คำนำ
คมู่ อื การสรา้ งเครื่องมอื ประเมินสมรรถนะผเู้ รียนระดับการศึกษาขัน้ พน้ื ฐานฉบบั น้ี จดั ทำขึ้นเพอ่ื
เปน็ แนวทางใหค้ รผู สู้ อนนำไปใช้ในการสรา้ งเคร่ืองมือประเมินสมรรถนะผ้เู รียนเพื่อรองรับการเปล่ยี นแปลง
เกย่ี วกบั การใชห้ ลกั สตู รฐานสมรรถนะ (Competency based curriculum) ซง่ึ จะใชส้ มรรถนะ
(Competency) เป็นเป้าหมายปลายทางทต่ี ้องการใหเ้ กดิ ขึ้นในตวั ผู้เรียนภายหลังจากการจดั การเรียนรู้
ซึง่ การประเมนิ สมรรถนะผู้เรียนถือเปน็ ขัน้ ตอนกระบวนการสำคัญที่จะสะท้อนให้เห็นถึงคุณภาพผู้เรียน
ทีบ่ ง่ บอกถงึ ความสำเร็จของการจดั การเรียนรูต้ ามหลักสูตร
สำนักงานเขตพ้นื ท่ีการศึกษาประถมศกึ ษาพิจิตร เขต 2 หวงั เปน็ อยา่ งย่ิงวา่ คู่มือการสรา้ ง
เครื่องมอื ประเมินสมรรถนะผู้เรยี นระดบั การศกึ ษาขั้นพ้นื ฐานฉบับนี้ จะเปน็ ประโยชนส์ ำหรับครู
ได้เป็นอย่างดี
สำนกั งานเขตพื้นท่ีการศึกษาประถมศกึ ษาพิจติ ร เขต 2
กนั ยายน 2563
สารบญั
เร่อื ง หนา้
คำนำ ............................................................................................................................. ....................... ก
ตอนที่ 1 การพัฒนาศักยภาพครูในการสร้างเครื่องมือประเมินสมรรถนะผเู้ รียน
ระดับการศกึ ษาข้นั พืน้ ฐาน ............................................................................................ 1
ตอนที่ 2 ความสำคัญของสมรรถนะผเู้ รียนและการประเมินสมรรถนะผู้เรยี น ..................................... 4
ตอนท่ี 3 สมรรถนะระดับการศึกษาขนั้ พืน้ ฐาน .................................................................................... 9
ตอนที่ 4 การออกแบบการเรียนร้อู ิงสมรรถนะ ................................................................................. 40
ตอนที่ 5 การออกแบบการประเมินสมรรถนะผเู้ รยี น .......................................................................... 69
ตอนที่ 6 การสร้างเครื่องมือประเมนิ สมรรถนะ ................................................................................... 76
ตอนที่ 7 การสรา้ งเกณฑ์การประเมินสมรรถนะผูเ้ รียน ....................................................................... 98
ตอนท่ี 8 การตรวจสอบคณุ ภาพเครื่องมือประเมนิ สมรรถนะผ้เู รียน ................................................. 113
เอกสารอา้ งองิ .................................................................................................................................. 126
คณะทำงาน ...................................................................................................................................... 128
คูม่ ือการสร้างเครื่องมือประเมินสมรรถนะผูเ้ รียนระดบั การศึกษาขน้ั พื้นฐาน 1
ตอนท่ี 1
การพฒั นาศักยภาพครใู นการสรา้ ง
เครื่องมอื ประเมินสมรรถนะผเู้ รียน
ระดับการศกึ ษาข้นั พืน้ ฐาน
คมู่ อื การสรา้ งเครื่องมอื ประเมินสมรรถนะผเู้ รียนระดบั การศึกษาขนั้ พน้ื ฐาน 2
1. หลักการและเหตผุ ล
ตามที่สำนกั งานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพน้ื ฐาน ได้ดำเนินการปฏิรปู ระบบการวดั
และประเมินทางการศึกษาให้มีคณุ ภาพได้มาตรฐานเทียบเทา่ กบั ระดบั นานาชาตมิ าอยา่ งต่อเนื่อง เพ่ือให้
สอดรับกบั การเปล่ียนแปลงของศาสตร์ทางด้านการวัดและประเมินผล ไมว่ า่ จะเป็นการพัฒนาขอ้ สอบให้มี
รปู แบบทใ่ี กลเ้ คียงกบั ข้อสอบท่ีใชใ้ นการประเมนิ คุณภาพผูเ้ รยี นในระดบั นานาชาติ ซ่ึงไดแ้ ก่ ขอ้ สอบ PISA
และขอ้ สอบ TIMSS นอกจากนี้ ยังมีการประยุกต์นำระบบเทคโนโลยมี าใช้ในการวัดและประเมนิ คุณภาพ
ผู้เรียน ซึง่ ไดแ้ ก่ การทดสอบผ่านระบบออนไลน์ การจดั ทำระบบคลังข้อสอบแบบออนไลน์ เป็นต้น
ซ่ึงในปจั จบุ ันน้ีมีประเทศต่าง ๆ เรมิ่ ให้ความสนใจกบั การพัฒนาสมรรถนะผูเ้ รยี น (Competency) ซ่ึงเปน็
ความสามารถของผเู้ รียนทป่ี ระกอบดว้ ย ความรู้ ทักษะ คุณลักษณะ นำมาผสมผสานร่วมกัน เพื่อให้
สามารถปฏบิ ัตไิ ด้ตามเป้าหมายทก่ี ำหนด หรือสูงกว่าเกณฑ์ทก่ี ำหนด ดังนัน้ การประเมินสมรรถนะผ้เู รยี น
จึงเปน็ เร่ืองท่ีทา้ ทายสำหรบั นักวดั และประเมินทางการศกึ ษาท่ตี ้องทำการตรวจสอบคุณลักษณะหลายด้าน
ของผู้เรยี นในการประเมนิ คุณภาพผเู้ รียนในคร้ังเดยี ว ประกอบกับคณะกรรมการอสิ ระเพ่ือการปฏิรปู
การศกึ ษาและสำนักงานเลขาธิการสภาการศกึ ษา ได้ทำการศกึ ษาวิจัยเพอื่ พฒั นากรอบสมรรถนะหลกั
ของผ้เู รยี นระดบั ประถมศึกษาตอนตน้ โดยมวี ตั ถปุ ระสงค์เพอ่ื ศกึ ษาถึงสมรรถนะทีเ่ ปน็ เปา้ หมายสำคัญ
ทต่ี ้องพฒั นาใหเ้ กดิ ขึ้นในตัวเด็กและเยาวชนไทย และนำไปใชใ้ นการพฒั นาหลกั สตู รอิงสมรรถนะระดบั
การศึกษาขน้ั พนื้ ฐาน (Competency base Curriculum) ตามท่กี ำหนดไวใ้ นร่างพระราชบญั ญัติ
การศึกษาฉบบั ใหม่ ซงึ่ สมรรถนะหลกั ของผเู้ รยี นระดับประถมศึกษาตอนตน้ ประกอบด้วยสมรรถนะหลัก
10 ประการ ได้แก่ 1) ภาษาไทยเพื่อการส่ือสาร 2) คณิตศาสตร์ในชีวติ ประจำวนั 3) กระบวนการสืบสวน
ทางวิทยาศาสตร์และจิตวิทยาศาสตร์ 4) ภาษาองั กฤษเพอื่ การสือ่ สาร 5) ทักษะชวี ิตและการเจรญิ แหง่ ตน
6) ทักษะอาชีพและการเปน็ ผู้ประกอบการ 7) ทักษะการคิดข้นั สงู และนวัตกรรม 8) การรเู้ ท่าทันสื่อ
สารสนเทศและดจิ ิทัล 9) การทำงานแบบรวมพลังเปน็ ทีม และการมีภาวะผ้นู ำ และ 10) การเป็นพลเมือง
ตนื่ รทู้ ีม่ จี ติ สำนึกสากล ในขณะเดียวกัน หลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาข้ันพ้นื ฐาน พุทธศักราช 2551
ได้กำหนดสมรรถนะท่ีจำเป็นสำหรบั ผเู้ รียน 5 ประการ ได้แก่ 1) ความสามารถในการส่อื สาร
2) ความสามารถในการคดิ 3) ความสามารถในการแกป้ ัญหา 4) ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต
และ 5) ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี จากที่กลา่ วมาข้างต้น แสดงให้เห็นว่าสมรรถนะผู้เรียนถือเปน็
เปา้ หมายสำคญั ในการจัดการเรยี นรู้ทั้งในปัจจบุ นั และอนาคต
ดงั นั้น เพ่ือเป็นการเตรียมความพร้อมให้บุคลากรในระดับสถานศึกษา สามารถสร้างเครอ่ื งมอื
ในการประเมนิ สมรรถนะผเู้ รียนระดับการศึกษาขัน้ พน้ื ฐานท่ีเช่ือมโยงองคป์ ระกอบสำคัญในการจดั
การเรียนรใู้ นชัน้ เรียน ได้แก่ เป้าหมายในการจัดการเรียนรู้ (Objective) การจดั การเรยี นรู้ (Learning)
และการวดั และประเมินผล (Evaluation) เขา้ ด้วยกัน สำนักงานเขตพนื้ ที่การศึกษาประถมศึกษาพิจติ ร
เขต 2 จึงไดจ้ ดั ทำคู่มือการสร้างเครือ่ งมอื ประเมนิ สมรรถนะผู้เรียนระดับการศึกษาข้นั พนื้ ฐานข้นึ
เพื่อให้ครมู ีความรู้ความเข้าใจในการออกแบบการจัดการเรียนรอู้ ิงสมรรถนะ และการวดั และประเมินผล
องิ สมรรถนะ
คู่มือการสรา้ งเคร่ืองมอื ประเมินสมรรถนะผเู้ รียนระดับการศึกษาขั้นพ้นื ฐาน 3
2. วัตถุประสงค์
2.1 เพอื่ ใหค้ รผู ู้สอนมคี วามรูค้ วามเข้าใจเกี่ยวกับการประเมนิ สมรรถนะผ้เู รียน
2.2 เพื่อใหค้ รูผู้สอนสามารถออกแบบการเรยี นรู้และการวดั และประเมนิ ผลอิงสมรรถนะผเู้ รียนได้
2.3 เพื่อให้ครูผู้สอนสามารถสร้างเครื่องมือประเมินสมรรถนะผู้เรียนและสามารถตรวจสอบคุณภาพ
เครื่องมือประเมนิ สมรรถนะผเู้ รยี น
2.4 เพ่ือให้ครูผู้สอนสามารถนำเคร่ืองมือประเมินสมรรถนะไปใช้ สรุปผลการประเมินและนำผลไปใช้
ในการพฒั นาคุณภาพผู้เรยี น
ค่มู ือการสร้างเครื่องมือประเมินสมรรถนะผเู้ รียนระดบั การศึกษาขนั้ พื้นฐาน 4
ตอนที่ 2
ความสำคญั ของสมรรถนะ
และการประเมินสมรรถนะผเู้ รียน
คูม่ ือการสร้างเคร่ืองมือประเมินสมรรถนะผู้เรยี นระดบั การศึกษาขั้นพ้ืนฐาน 5
1. ความหมายของสมรรถนะ
สมรรถนะ (Competency) หมายถึง คุณลกั ษณะทีซ่ ่อนอยู่ภายในตัวบคุ คล ซึ่งคุณลกั ษณะเหล่าน้ี
จะเปน็ ตวั ผลกั ดนั ให้บุคคลสามารถสร้างผลการปฏิบัติงานในงานที่ตนรบั ผิดชอบใหส้ งู กวา่ หรือเหนือกวา่
เกณฑ์/เป้าหมายที่กำหนดไว้ (David C. McClelland, 1970) ซง่ึ จากนิยามความหมายของสมรรถนะ
ข้างตน้ เดวดิ ซี แมคเคลวแลนด์ (1970) ได้แบ่งกลุม่ ของคุณลักษณะทเ่ี ปน็ องค์ประกอบของสมรรถนะ
ไดเ้ ปน็ 2 กลุ่ม คือ กลุ่มแรกคุณลักษณะท่สี ามารถมองเห็นไดง้ ่ายและพฒั นาไดไ้ ม่ยาก ซงึ่ ไดแ้ ก่ องค์ความรู้
(Knowledge) และทักษะตา่ ง ๆ (Skills) และกลมุ่ ทส่ี อง คุณลักษณะที่มองเห็นไดย้ ากและยาก
ในการพฒั นา ซึ่งได้แก่ แรงจงู ใจ (Motive) คุณลกั ษณะภายในหรืออุปนิสัย (Traits) ภาพลักษณภ์ ายใน
(Self-Image) และบทบาททางสังคม (Social Role) ซง่ึ สามารถอธบิ ายไดด้ ังแผนภาพภูเขานำ้ แข็ง
(Ice Mountain) ตอ่ ไปน้ี
ดังนั้น สมรรถนะผู้เรยี นจึงหมายถงึ คุณลักษณะของผเู้ รียนที่ประกอบไปด้วยความรู้ ทักษะ
กระบวนการ บุคลกิ ภาพส่วนตวั และแรงจงู ใจที่มาประยุกตใ์ ชร้ ่วมกัน ในการปฏบิ ัตงิ านทีไ่ ด้รับมอบหมาย
จนผลกั ดันให้ผลการปฏบิ ตั งิ านสำเร็จบรรลุตามเปา้ หมาย หรอื เกนิ กว่าเป้าหมายที่กำหนด
2. การจัดการเรยี นรเู้ พอื่ พัฒนาสมรรถนะผเู้ รียน
การจดั การเรียนรู้ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขนั้ พ้นื ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 มงุ่ เนน้ การจัด
การเรียนการสอนท่ีพัฒนาผูเ้ รียนใหม้ ีคุณภาพตามมาตรฐานและตัวชวี้ ดั ในแตล่ ะกลมุ่ สาระการเรียนรู้
โดยมาตรฐานและตัวชว้ี ัดจะมีลกั ษณะของพฤติกรรมแบง่ ได้ออกเปน็ 3 ประเภท คือ ด้านความรู้
(Knowledge : K) ดา้ นทกั ษะกระบวนการ (Process Skill : P) และด้านคุณลักษณะ (Attribute : A)
ซงึ่ เม่ือครผู สู้ อนสามารถพฒั นาผู้เรยี นใหม้ คี ณุ ภาพตามมาตรฐานและตวั ชีว้ ัดของหลกั สูตรแลว้ ก็ไม่มี
การพัฒนาต่อยอดไปถึงสมรรถนะของผู้เรียน ซึ่งถา้ คุณครูผู้สอนได้ กำหนดภารกิจหรือช้ินงาน (Task)
ท่หี ลากหลายใหผ้ ู้ เรยี นลงมอื ปฏิบัติ โดยใหน้ กั เรยี นใช้ ท้ังความรู้ ความสามารถ ทักษะกระบวนการ
และคุณลักษณะในการปฏิบัติงานจนสำเร็จ ตามเป้าหมายที่กำหนด หรอื สูงเกินกวา่ เป้าหมายที่กำหนด
อย่างต่อเนื่อง จะทำใหผ้ ้เู รยี นสามารถปฏบิ ตั งิ าน ตามเป้าหมายที่กำหนด หรือสงู เกินกวา่ เปา้ หมาย
ทก่ี ำหนดอยา่ งต่อเนอ่ื ง จะทำใหผ้ เู้ รยี นสามารถปฏิบัตงิ านได้อยา่ งคล่องแคล่วและมปี ระสิทธภิ าพ
จนเกิดเป็น “สมรรถนะ” ในท่ีสุด ซง่ึ นำเสนอรปู การพัฒนาสมรรถนะผูเ้ รยี น ดงั แผนภาพต่อไปนี้
ค่มู อื การสร้างเครื่องมือประเมินสมรรถนะผูเ้ รยี นระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน 6
ดงั นน้ั เมือ่ ผ้เู รียนเรียนรเู้ สร็จส้นิ ตามหลกั สูตร นักเรียนก็จะมคี วามรคู้ วามสามารถตามมาตรฐาน
และตวั ช้วี ัดวดั ของหลกั สูตรในแต่ละกลมุ่ สาระการเรียนร้ทู ่ีมลี กั ษณะแยกส่วนกนั ระหว่างความรู้
(Knowledge) ทักษะกระบวนการ (Process Skill) และคุณลกั ษณะ (Attribute) และเมอ่ื ผเู้ รยี นต้องไป
ปฏบิ ตั งิ านในสถานการณห์ รือภารกิจงานใหม่ ๆ ท่นี ักเรยี นไม่เคยเจอมาก่อน ถา้ ผ้เู รยี นไม่บรู ณาการความรู้
ความสามารถทั้งสามดา้ นเข้าดว้ ยกันในการปฏิบัตงิ าน ใชแ้ ต่เพยี งความสามารถด้านใดด้านหน่งึ ผเู้ รยี นไม่
สามารถท่ีจะปฏิบตั งิ านได้สำเรจ็ ตามเป้าหมายทก่ี ำหนดไว้ ดังแผนภาพต่อไปน้ี
ค่มู อื การสรา้ งเครื่องมอื ประเมินสมรรถนะผ้เู รียนระดบั การศึกษาขั้นพ้นื ฐาน 7
คู่มือการสร้างเคร่ืองมือประเมินสมรรถนะผเู้ รียนระดบั การศึกษาข้นั พ้นื ฐาน 8
3. การพฒั นาและประเมนิ สมรรถนะผเู้ รยี น
การพฒั นาและประเมนิ สมรรถนะผเู้ รยี น ครูผ้สู อนจะเชื่อมโยงองค์ประกอบสำคัญในการจดั การ
เรยี นรู้ 3 องค์ประกอบ ซ่งึ ได้แก่ เปา้ หมายในการจัดการเรียนรู้ (Objective) การจดั การเรียนรู้ (Learning)
และการวัดและประเมินผล (Evaluation) ใหม้ คี วามสอดคล้องกนั โดยการกำหนดสมรรถนะท่ตี ้องการ
พฒั นาเป็นเปา้ หมายของการจดั การเรยี นรู้และกำหนดกิจกรรมการเรียนรู้ ท่ีมุ่งพัฒนาองคป์ ระกอบสำคัญ
ของสมรรถนะ ได้แก่ ความรู้ (Knowledge) ทกั ษะกระบวนการ (Process Skill) และคณุ ลักษณะ
(Attribute) แลว้ จึงทำการกำหนดภารกจิ หรือช้นิ งานให้นักเรียนปฏิบัติงาน โดยให้ผเู้ รียนได้ใชค้ ณุ ลักษณะ
ตา่ ง ๆ ที่เกิดจากการเรยี นรู้มาปฏบิ ัติงาน นำไปสกู่ ารประเมินสมรรถนะผ้เู รียน ดังน้ัน การประเมนิ
สมรรถนะผูเ้ รียนจึงถือเป็นส่ิงสำคัญทจี่ ะช่วยสะทอ้ นให้ครูผู้สอนได้รบั ทราบถงึ สมรรถนะต่าง ๆ ของผู้เรยี น
วา่ อยใู่ นระดบั ใด เพื่อนำไปสู่การพัฒนาให้ผู้เรยี นเต็มตามศักยภาพ โดยการประเมนิ สมรรถนะนนั้ จะต้อง
ดำเนนิ การให้สอดคลอ้ งกับคุณลกั ษณะของสมรรถนะผ้เู รียน และกระบวนการจดั การเรียนการสอนท่ีม่งุ
พัฒนาสมรรถนะของผู้เรียนอีกด้วย ประกอบกบั สมรรถนะเป็นคณุ ลักษณะทีซ่ ับซ้อน ซงึ่ ประกอบด้วย
ความรู้ ทกั ษะกระบวนการ และคุณลักษณะตา่ ง ๆ ทีห่ ลากหลาย ดงั นั้น การประเมนิ สมรรถนะต้องใช้
รปู แบบวิธีการทหี่ ลากหลาย และนำข้อมูลที่ไปเทียบกับเกณฑก์ ารพจิ ารณาของสมรรถนะแต่ละดา้ นต่อไป
คมู่ อื การสรา้ งเครื่องมอื ประเมินสมรรถนะผู้เรียนระดบั การศึกษาขั้นพ้นื ฐาน 9
ตอนที่ 3
สมรรถนะระดบั การศึกษาข้นั พืน้ ฐาน
คมู่ ือการสรา้ งเครื่องมอื ประเมินสมรรถนะผู้เรยี นระดับการศึกษาขน้ั พ้ืนฐาน 10
1. แนวคดิ เกีย่ วกับสมรรถนะผเู้ รยี น
สมรรถนะถือเป็นคุณลักษณะสำคัญที่สามารถสะท้อนให้เห็นถึงความสำเร็จในการปฏบิ ตั ิงานของ
ผูเ้ รียน ดังนั้น ครผู ู้สอนจะต้องมีความรู้ ความเขา้ ใจเกีย่ วกับสมรรถนะผ้เู รยี นอยา่ งถ่องแท้ เพอื่ นำไปใช้
ในการออกแบบการจัดการเรียนรแู้ ละออกแบบการวดั และประเมินผล โดยมีรายละเอยี ดแนวคดิ เกีย่ วกบั
สมรรถนะผู้เรยี นระดับการศกึ ษาขัน้ พน้ื ฐาน ดงั ตอ่ ไปน้ี
2. นยิ ามความหมายของสมรรถนะผู้เรียน
สมรรถนะผู้เรียน หมายถึง ความสามารถของผ้เู รยี นในการนำความรู้ ความเข้าใจ ทักษะ
ความสามารถ เจตคติ และคุณลักษณะต่าง ๆ ทีผ่ า่ นการเรียนรู้ ฝึกฝนและพฒั นาไปประยกุ ตใ์ ช้
ในการปฏบิ ัติงานในสถานการณต์ ่าง ๆ ที่ไมเ่ คยเจอมาก่อน จนสามารถดำเนนิ งานได้บรรลตุ ามเป้าหมาย
ทว่ี างไวห้ รือสงู กว่าเกณฑ์ท่ีกำหนด
3. องคป์ ระกอบของสมรรถนะ
องค์ประกอบสำคัญของสมรรถนะ สามารถแบ่งออกเป็น 5 องค์ประกอบ ดงั น้ี (สำนักทดสอบ
ทางการศึกษา, 2554)
2.1 ทกั ษะ (Skills) หมายถึง สง่ิ ทบ่ี คุ คลกระทำไดด้ ี และฝึกปฏิบัติเปน็ ประจำจนเกิดความชำนาญ
เช่น ทักษะของหมอฟนั ในการอุดฟัน โดยไม่ทำให้คนไขร้ สู้ ึกเสยี วเส้นประสาท
2.2 ความรู้ (Knowledge) หมายถงึ ความรู้เฉพาะด้านของบคุ คล เช่น ความร้ภู าษาอังกฤษ
ความรดู้ ้านการบริหารตน้ ทนุ เป็นต้น
2.3 ภาพลักษณ์ภายในบุคคล (Self-Image/Self-concept) หมายถึง ทัศนคติ คา่ นยิ ม
และความคดิ เหน็ เกยี่ วกับภาพลกั ษณ์ของตนเอง หรอื สิ่งที่บคุ คลเช่ือว่าตนเองเป็น เชน่ Self-confidence
คนทม่ี คี วามเชือ่ มัน่ ในตนเองสงู จะเช่ือว่าตนเองสามารถแก้ปัญหาตา่ ง ๆ ได้
2.4 คุณลักษณะภายในหรอื อุปนิสัย (Traits) หมายถงึ บคุ ลิกลกั ษณะประจำตวั ของบคุ คล
เปน็ ส่ิงท่ีอธบิ ายถึงบคุ คลนัน้ เช่น เปน็ คนทน่ี า่ เช่อื ถือ และไวว้ างใจ หรอื มีลกั ษณะเปน็ ผนู้ ำ เปน็ ต้น
2.5 แรงจงู ใจ (Motive) หมายถงึ แรงขบั ภายใน ซ่ึงทำใหบ้ ุคคลแสดงพฤติกรรมที่มุ่งสสู่ ิ่งท่เี ป็น
เปา้ หมาย เช่น บุคคลท่ีมุ่งผลสมั ฤทธิ์ (Achievement Orientation) มักชอบตง้ั เป้าหมายท่ที ้าทาย
และพยายามทำงานสำเร็จตามเปา้ ทตี่ ้ังไว้ ตลอดจนพยายามปรบั ปรงุ การทำงานของตนเองตลอดเวลา
คู่มือการสร้างเครื่องมอื ประเมินสมรรถนะผู้เรียนระดบั การศึกษาขน้ั พน้ื ฐาน 11
4. ตวั ช้ีวัดและพฤตกิ รรมบ่งชี้ของสมรรถนะ
สมรรถนะมีลักษณะเหมือนกลุม่ ของพฤติกรรมท่มี าเชือ่ มโยงสมั พันธ์กัน มีความเป็นนามธรรม
โดยพฤติกรรมท่ีมาเช่ือมโยงกันน้ันเป็นทั้งพฤติกรรมด้านความรู้ พฤติกรรมดา้ นทกั ษะกระบวนการ และ
พฤติกรรมดา้ นคุณลักษณะ ดังน้ัน การท่คี รูผู้สอนจะทำการประเมนิ สมรรถนะผู้เรยี น ครูผสู้ อนจำเป็นต้อง
จำแนกพฤตกิ รรมเหล่านอ้ี อกจากกนั เปน็ พฤติกรรมย่อย ๆ ทเ่ี รยี กวา่ “ตวั ชวี้ ดั ” ซ่ึงตวั ชว้ี ดั ทจ่ี ำแนกมาจาก
ตวั สมรรถนะยงั ไมส่ ามารถสะท้อนพฤติกรรมของผูเ้ รยี นได้อย่างชัดเจนและครอบคลมุ จงึ จำเปน็ ต้อง
กำหนด “พฤติกรรมบง่ ชี”้ ในแตล่ ะตัวชว้ี ัด ซ่ึงพฤติกรรมบง่ ชจ้ี ะเปน็ พฤติกรรมย่อย ๆ ของผู้เรียนทสี่ ามารถ
สังเกตจากตวั ผูเ้ รยี นในระหวา่ งทีก่ ารปฏิบัติกจิ กรรม/สถานการณ์ /ภารกิจ ทผี่ ูส้ อนกำหนดให้ ซ่ึงสามารถ
นำเสนอความสมั พันธข์ องสมรรถนะ ตวั ชวี้ ดั และพฤติกรรมบ่งชี้ ได้ดงั แผนภาพ ต่อไปน้ี
คู่มอื การสรา้ งเครื่องมอื ประเมินสมรรถนะผู้เรยี นระดบั การศึกษาขนั้ พ้ืนฐาน 12
ตัวอย่างของสมรรถนะ ตัวชี้วัด และพฤติกรรมบง่ ช้ี มีดังต่อไปน้ี
สมรรถนะ ตวั ชีว้ ดั พฤติกรรมบ่งช้ี
ความสามารถในการคดิ 1. คดิ พน้ื ฐาน 1. จำแนกข้อมลู จัดหมวดหมู่ จัดลำดบั
ความสำคัญของข้อมลู และเปรยี บเทียบขอ้ มูล
2. คิดข้ันสงู ในบรบิ ทท่ีเป็นสิง่ ใกลต้ วั
2. เชื่อมโยงความสัมพนั ธ์ ของขอ้ มูลทีพ่ บเห็น
ในบริบทท่ีเปน็ สิง่ ใกลต้ วั
3. ระบุรายละเอียด คุณลกั ษณะ และความคิด
รวบยอดของข้อมลู ต่าง ๆ ที่พบเหน็ ในบรบิ ท
ที่เปน็ สิ่งใกลต้ ัว
1. คิดสงั เคราะห์ เพื่อนำไปสูก่ ารสร้างองค์
ความรู้ หรอื สารสนเทศ ประกอบการตดั สินใจ
เก่ยี วกับตนเอง และสงั คมไดอ้ ยา่ งเหมาะสม
2. คิดอย่างสรา้ งสรรค์ เพอ่ื นำไปสู่การสร้าง
องค์ความรู้ใหม่ หรือสารสนเทศ ประกอบ
การตดั สินใจเกี่ยวกับตนเองและ สงั คม
ไดอ้ ย่างเหมาะสม
3. คิดอย่างมวี จิ ารณญาณ เพื่อนำไปสู่การสร้าง
องค์ความรู้หรอื สารสนเทศ ประกอบการ
ตดั สนิ ใจเก่ียวกบั ตนเอง และสังคมได้อย่าง
เหมาะสม
5. ประเภทของสมรรถนะ
สมรรถนะสามารถจำแนกไดเ้ ป็น 5 ประเภทคือ
5.1 สมรรถนะส่วนบคุ คล (Personal Competencies) หมายถึง สมรรถนะที่แตล่ ะคน
เป็นความสามารถเฉพาะตัว คนอืน่ ไม่สามารถลอกเลยี นแบบได้ เชน่ การตอ่ สู้ป้องกันตวั ของจา พนม
นกั แสดงชอื่ ดังในหนงั เรื่อง “ต้มยำกุ้ง” ความสามารถของนักดนตรี นักกายกรรม และนักกฬี า เปน็ ตน้
ลกั ษณะเหลา่ นีย้ ากที่จะเลียนแบบหรอื ต้องมีความพยายามสงู มาก
5.2 สมรรถนะเฉพาะงาน (Job Competencies) หมายถึง สมรรถนะของบุคคลกับการทำงาน
ในตำแหน่ง หรือบทบาทเฉพาะตวั เช่น อาชพี นักสำรวจ ก็ต้องมีความสามารถในการวิเคราะห์ตวั เลข
การคดิ คำนวณ ความสามารถในการทำบัญชี เปน็ ตน้
5.3 สมรรถนะองค์การ (Organization Competencies) หมายถึง ความสามารถพเิ ศษเฉพาะ
องค์การนนั้ เทา่ น้นั เชน่ บริษัทเนชัน่ แนล (ประเทศไทย) จำกดั เปน็ บรษิ ัทท่ีมีความสามารถในการผลิต
เครือ่ งใช้ไฟฟา้ บรษิ ัทฟอรด์ (มอเตอร)์ จำกดั มคี วามสามารถในการผลิตรถยนต์ เปน็ ตน้ หรอื บรษิ ัท
ที โอ เอ (ประเทศไทย) จำกดั มคี วามสามารถในการผลติ สี เป็นต้น
คมู่ อื การสร้างเครื่องมือประเมินสมรรถนะผูเ้ รียนระดบั การศึกษาขั้นพืน้ ฐาน 13
5.4 สมรรถนะหลกั (Core Competencies) หมายถงึ ความสามารถสำคญั ทบ่ี ุคคลต้องมี
หรือตอ้ งทำเพอ่ื ให้บรรลผุ ลตามเป้าหมายทต่ี ั้งไว้ เช่น พนักงานเลขานุการสำนักงาน ตอ้ งมสี มรรถนะหลัก
คือ การใชค้ อมพิวเตอร์ได้ ติดต่อประสานงานได้ดี เป็นตน้ หรือผจู้ ัดการบริษัท ตอ้ งมสี มรรถนะหลัก คือ
การสือ่ สารการวางแผน การบริหารจดั การ และการทางานเป็นทีม เปน็ ต้น
5.5 สมรรถนะในงาน (Functional Competencies) หมายถึง ความสามารถของบุคคลทม่ี ี
ตามหน้าทท่ี ร่ี บั ผดิ ชอบ ตำแหน่งหน้าทีอ่ าจเหมอื น แต่ความสามารถตามหน้าท่ีต่างกัน เช่น ข้าราชการ
ตำรวจเหมือนกัน แต่มคี วามสามารถต่างกัน บางคนมสี มรรถนะทางการสบื สวน สอบสวน บางคนมี
สมรรถนะทางปราบปราม เป็นต้น
6. สมรรถนะผเู้ รยี นระดับการศึกษาขัน้ พนื้ ฐานในประเทศไทย
สมรรถนะผู้เรียนระดับการศึกษาข้ันพื้นฐานในประเทศไทย ไดม้ ีผกู้ ำหนดไว้ 2 หน่วยงาน คอื
สมรรถนะสำคัญของผู้เรยี นตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขน้ั พ้ืนฐาน พุทธศกั ราช 2551 ของ
กระทรวงศึกษาธกิ าร และกรอบสมรรถนะหลกั ผเู้ รยี นระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน ของคณะกรรมการอสิ ระ
เพ่ือปฏริ ปู การศึกษา (กอปศ.) โดยในแต่ละกล่มุ สมรรถนะ มีรายละเอยี ดดังต่อไปน้ี
6.1 สมรรถนะสำคัญของผู้เรียนตามหลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาข้นั พ้นื ฐาน พทุ ธศกั ราช
2551
กระทรวงศึกษาธิการ โดยสำนักงานคณะกรรมการการศกึ ษาขน้ั พ้นื ฐาน ได้กำหนดสมรรถนะ
สำคญั ของผู้เรียนตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขน้ั พนื้ ฐาน พุทธศกั ราช 2551 ประกอบด้วย
5 สมรรถนะ ดงั นี้
สมรรถนะท่ี 1 ความสามารถในการสือ่ สาร
ความสามารถในการรับ และส่งสาร มีวฒั นธรรมในการใชภ้ าษาถ่ายทอดความคิด ความรู้
ความเข้าใจ ความรู้สึก และทัศนะของตนเอง เพื่อแลกเปล่ียนข้อมลู ข่าวสาร และประสบการณ์อนั จะเปน็
ประโยชน์ตอ่ การพฒั นาตนเองและสงั คม รวมทัง้ การเจรจาตอ่ รองเพื่อขจดั และลดปญั หาความขดั แย้ง
ตา่ ง ๆ การเลอื กรับหรอื ไมร่ บั ขอ้ มลู ข่าวสารดว้ ยหลกั เหตผุ ลและความถูกต้อง ตลอดจนการเลือกใช้วิธีการ
สอ่ื สารที่มปี ระสทิ ธภิ าพ โดยคำนึงถงึ ผลกระทบท่ีมีต่อตนเองและสงั คม
สมรรถนะท่ี 2 ความสามารถในการคิด
ความสามารถในการคดิ วเิ คราะห์ การคิดสังเคราะห์ การคิดอยา่ งสร้างสรรค์ การคิดอย่างมี
วิจารณญาณ และการคดิ เป็นระบบ นำไปสกู่ ารสรา้ งองคค์ วามร้หู รอื สารสนเทศ เพ่ือการตัดสนิ ใจเก่ียวกับ
ตนเอง และสังคมได้อย่างเหมาะสม
สมรรถนะที่ 3 ความสามารถในการแก้ปัญหา
ความสามารถในการแก้ปัญหาและอุปสรรคตา่ ง ๆ ทเ่ี ผชิญไดอ้ ยา่ งถกู ต้อง เหมาะสม
บนพน้ื ฐานของหลักเหตผุ ล คุณธรรม และข้อมูลสารสนเทศ เขา้ ใจความสัมพนั ธ์และการเปลี่ยนแปลง
ของเหตุการณ์ ต่าง ๆ ในสงั คม แสวงหาความรู้ ประยุกตค์ วามรูม้ าใชใ้ นการป้องกันและแกไ้ ขปญั หา
และมีการตดั สนิ ใจที่มปี ระสิทธภิ าพ โดยคำนงึ ถงึ ผลกระทบที่เกดิ ขึ้นต่อตนเอง สังคมและสิ่งแวดล้อม
คู่มอื การสร้างเคร่ืองมือประเมินสมรรถนะผู้เรียนระดบั การศึกษาข้นั พน้ื ฐาน 14
สมรรถนะท่ี 4 ความสามารถในการใชท้ กั ษะชวี ติ
ความสามารถในการนำกระบวนการต่าง ๆ ไปใชใ้ นการดำเนนิ ชวี ิตประจำวนั การเรยี นรู้
ด้วยตนเอง การเรียนรู้อย่างต่อเนอ่ื ง การทำงาน และการอยู่รว่ มกนั ในสงั คม ด้วยการสร้างเสริม
ความสมั พันธ์อนั ดรี ะหว่างบุคคล การจดั การปญั หาและความขดั แยง้ ต่าง ๆ อย่างเหมาะสม การปรบั ตวั
ใหท้ ันกับการเปลย่ี นแปลงของสังคมและสภาพแวดลอ้ ม และการรูจ้ กั หลีกเลยี่ งพฤตกิ รรมไม่พงึ ประสงค์
ทสี่ ่งผลกระทบตอ่ ตนเองและผูอ้ ่นื
สมรรถนะที่ 5 ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี
ความสามารถในการเลอื กและใช้เทคโนโลยีด้านตา่ ง ๆ และมีทักษะกระบวนการ
ทางเทคโนโลยีเพื่อการพฒั นาตนเองและสงั คมในดา้ นการเรียนรู้ การส่ือสาร การทำงาน การแกป้ ัญหา
อย่างสรา้ งสรรค์ ถูกต้องเหมาะสมและมีคุณธรรม
คู่มอื การสรา้ งเครื่องมือประเมินสมรรถนะผูเ้ รยี นระดบั การศึกษาขนั้ พนื้ ฐาน 15
ตัวอย่างสมรรถนะ ตวั ช้วี ดั และพฤติกรรมบ่งชี้
สมรรถนะสำคัญของผเู้ รยี นตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขนั้ พ้นื ฐาน พุทธศักราช 2551
5 สมรรถนะ โดยมตี ัวอย่างรายละเอยี ดของตัวชวี้ ัด และพฤตกิ รรมบ่งชีด้ งั น้ี
สมรรถนะ ตัวชว้ี ดั พฤตกิ รรมบ่งชี้
1. ความสามารถ
ในการสือ่ สาร 1.1 ใช้ภาษา 1. พูดถา่ ยทอดความรู้ ความเข้าใจจากสารทอ่ี ่าน
2. ความสามารถ ถา่ ยทอดความรู้ ฟัง หรอื ดตู ามที่กำหนดได้
ในการคดิ
ความเขา้ ใจ ความคดิ 2. พูดถ่ายทอดความคดิ ความรสู้ กึ และทศั นะของ
ความรสู้ กึ และทัศนะ ตนเอง จากสารท่ีอ่าน ฟงั หรอื ดูตามท่ีกำหนดได้
ของตนเอง 3. เขียนถา่ ยทอดความรู้ ความเข้าใจจากสารท่ีอา่ น
ด้วยการพูด ฟงั หรือดูตามที่กำหนดได้
และการเขยี น 4. เขียนถ่ายทอดความคดิ ความรู้สกึ และทัศนะ
ของตนเอง จากสารท่อี ่าน ฟงั หรือดูจากท่ีกำหนดได้
1.2 พดู เจรจาต่อรอง 1. พดู เจรจาโน้มน้าวได้อย่างเหมาะสม
ตามสถานการณ์ เพื่อขจดั และลดปญั หา
ความขดั แย้งตา่ ง ๆ
2. พดู เจรจาตอ่ รองได้อยา่ งเหมาะสม
ตามสถานการณ์ เพื่อขจดั และลดปญั หา
ความขดั แย้งตา่ ง ๆ
1.3 เลอื กรบั หรอื 1. รับรู้ขอ้ มลู ขา่ วสารทเี่ ป็นประโยชน์
ไม่รบั ข้อมลู ข่าวสาร 2. ตัดสินใจเลือกรับหรอื ไมร่ ับข้อมูลขา่ วสารได้
อย่างมเี หตุผล
1.4 เลือกใช้วิธกี าร เลือกใช้วธิ กี ารสอ่ื สารที่มปี ระสทิ ธภิ าพ โดยคำนงึ ถึง
สอื่ สาร ผลกระทบท่ีมตี อ่ ตนเองและสังคม
2.1 คิดพื้นฐาน 1. จำแนกขอ้ มลู จดั หมวดหมู่ จดั ลำดบั
ความสำคญั ของข้อมูล และเปรยี บเทียบขอ้ มูล
ในบริบททเี่ ป็นส่ิงใกลต้ วั
2. เชอ่ื มโยงความสัมพนั ธ์ ของขอ้ มลู ที่พบเหน็
ในบรบิ ททเี่ ปน็ ส่ิงใกลต้ ัว
3. ระบุรายละเอียด คุณลักษณะ และความคิด
รวบยอดของข้อมูลต่าง ๆ ท่ีพบเห็นในบริบท
ที่เปน็ ส่งิ ใกลต้ ัว
คมู่ ือการสรา้ งเคร่ืองมือประเมินสมรรถนะผู้เรยี นระดบั การศึกษาขนั้ พนื้ ฐาน 16
สมรรถนะ ตวั ช้วี ดั พฤตกิ รรมบ่งช้ี
3. ความสามารถ 2.2 คดิ ขัน้ สูง 1. คิดสงั เคราะห์ เพอื่ นำไปสู่การสรา้ งองคค์ วามรู้
ในการแกป้ ัญหา
หรือสารสนเทศ ประกอบการตดั สนิ ใจเกยี่ วกับ
4. ความสามารถ
ในการใช้ทักษะชวี ิต ตนเอง และสงั คมได้อยา่ งเหมาะสม
2. คดิ อย่างสรา้ งสรรค์ เพอื่ นำไปสูก่ ารสรา้ ง
องค์ความร้ใู หม่ หรือสารสนเทศ ประกอบการ
ตัดสนิ ใจเกยี่ วกับตนเองและสังคมไดอ้ ย่างเหมาะสม
3. คิดอย่างมวี จิ ารณญาณ เพ่ือนำไปสู่การสรา้ ง
องค์ความรูห้ รอื สารสนเทศ ประกอบการตัดสินใจ
เกย่ี วกับตนเอง และสงั คมไดอ้ ยา่ งเหมาะสม
3.1 ใช้กระบวนการ 1. วิเคราะห์ปัญหา
แกป้ ัญหา โดยการ 1.1 ระบปุ ัญหาทเี่ กดิ ขึน้ กับตนเอง
วเิ คราะหป์ ัญหา 1.2 ระบุปัญหาท่เี กิดขึ้นกบั บุคคลใกล้ตัว
วางแผนในการ 1.3 ระบุสาเหตุของปญั หา
แกป้ ญั หา ดำเนินการ 1.4 จดั ระบบข้อมลู
แกป้ ญั หา ตรวจสอบ 1.4.1 การจำแนก
และสรปุ ผล 1.4.2 การจัดลำดบั
1.4.3 เชือ่ มโยง
1.5 กำหนดทางเลอื ก
1.6 การตัดสินใจเลอื กวธิ ีการ
2. การวางแผนในการแก้ปัญหา
3. การดาเนนิ การในแก้ปัญหา
3.1 การปฏิบัติตามแผน
3.2 การตรวจสอบ ทบทวนแผน
3.3 การบันทกึ ผลการปฏิบตั ิ
4. สรุปผลและรายงาน
3.2 ผลลพั ธ์ทเ่ี กิด ผลลพั ธ์ของการแก้ปัญหา
จากการแกป้ ญั หา
4.1 นำกระบวนการ นำความรู้ ทกั ษะ และกระบวนการทห่ี ลากหลาย
เรยี นรทู้ ่ีหลากหลาย มาสร้างชิน้ งาน/สิง่ ของ/เครื่องใช้ และสามารถ
ไปใช้ในชีวติ นำมาแกป้ ัญหาในการดำเนินชวี ติ ประจำวัน
ประจำวัน ไดอ้ ย่างเหมาะสม
4.2 เรยี นรูด้ ้วย 1. มีทักษะในการแสวงหาความร้ขู ้อมลู ข่าวสาร
ตนเองและเรียนรู้ 2. เช่ือมโยงความรู้
อยา่ งต่อเน่ือง 3. มวี ิธีการในการศึกษา ความรเู้ พิ่มเติม เพื่อขยาย
ประสบการณ์ไปสู่การเรยี นรสู้ ่ิงใหม่ตามความสนใจ
คู่มือการสร้างเครื่องมอื ประเมินสมรรถนะผู้เรยี นระดับการศึกษาขน้ั พื้นฐาน 17
สมรรถนะ ตวั ชว้ี ัด พฤตกิ รรมบ่งช้ี
5. ความสามารถ 4.3 ทำงานและ 1. ทำงานด้วยตนเองได้สำเร็จ
ในการใชเ้ ทคโนโลยี
อยรู่ ว่ มกนั ในสงั คม 2. ทำงานร่วมกับผอู้ ื่น สามารถแสดงความคดิ เหน็
อยา่ งมีความสุข และยอมรับความคดิ เหน็ ผอู้ นื่
3. เห็นคุณคา่ ของการมีชีวติ และครอบครัวที่อบอุน่
เปน็ สุข
4.4 จัดการกับ รบั รสู้ าเหตุและจดั การ แก้ปญั หา/ความขัดแย้ง
ปัญหาและ ได้ประสบความสำเร็จ
ความขัดแย้ง
ในสถานการณ์ตา่ ง ๆ
ได้อยา่ งเหมาะสม
4.5 ปรบั ตัวตอ่ 1. ตดิ ตามขา่ วสาร เหตกุ ารณ์ปัจจบุ นั ของสังคม
การเปล่ยี นแปลง 2. เขา้ ใจ ยอมรับ และปรบั ตัวต่อการเปลยี่ นแปลง
ทางสังคม และ ทางสงั คม สภาพแวดล้อมอยา่ งเหมาะสม
สภาพแวดล้อม
4.6 หลีกเล่ียง 1. รู้จกั ปอ้ งกัน หลกี เลยี่ ง พฤติกรรมเสย่ี งต่อ
พฤติกรรมไม่ พึง การเกิดปญั หาสุขภาพ การล่วงละเมิดทางเพศ
ประสงค์ ท่สี ่งผล อุบตั ิเหตุ สารเสพตดิ และความรุนแรง
กระทบ ต่อตนเอง 2. จัดการกบั อารมณ์และความเครียดไดด้ ว้ ยวธิ กี าร
และผู้อืน่ ท่ีเหมาะสม
5.1 เลือกและใช้ 1. เลือกและใชเ้ ทคโนโลยใี นการเรยี นรู้
เทคโนโลยเี พื่อพัฒนา อย่างสรา้ งสรรค์และมีคุณธรรม
ตนเอง และสังคม 2. เลอื กและใช้เทคโนโลยีในการส่อื สาร
อยา่ งสรา้ งสรรค์และมีคุณธรรม
3. เลอื กและใช้เทคโนโลยใี นการทำงาน
และนำเสนอผลงานอยา่ งสรา้ งสรรค์และมีคณุ ธรรม
4. การเลือกและใช้ เทคโนโลยี ในการแก้ ปัญหา
อยา่ งสร้างสรรค์และมีคุณธรรม
5.2 มีทักษะ 1. กำหนดปัญหา หรอื ความตอ้ งการ
กระบวนการ 2. รวบรวมขอ้ มูล
ทางเทคโนโลยี 3. ออกแบบและปฏบิ ตั ิการ
4. ประเมนิ ผล
ค่มู อื การสรา้ งเครื่องมือประเมินสมรรถนะผูเ้ รยี นระดบั การศึกษาขั้นพนื้ ฐาน 18
6.2 สมรรถนะหลักของผูเ้ รียนระดบั การศกึ ษาขัน้ พน้ื ฐานของคณะกรรมการอิสระเพื่อปฏิรปู
การศกึ ษา (กอปศ.)
คณะกรรมการอสิ ระเพอ่ื ปฏริ ูปการศึกษา (กอปศ.) ได้กำหนดกรอบสมรรถนะหลักของ
ผเู้ รยี น (Student Care Competencies) ซ่ึงเปน็ สมรรถนะสำคญั ทจี่ ำเปน็ ต่อการทำงาน และการเรียนรู้
ของผู้เรยี น ทัง้ นี้ ต้องการใหส้ มรรถนะเหล่านี้เกิดข้ึนในผ้เู รยี นทุกคนทจี่ บการศึกษาขั้นพ้ืนฐานใน 4 มติ ิ คือ
คนไทยสามารถสงู (Smart Thais) คนไทยอยู่ ดีมสี ุข (Happy Thais) คนไทยฉลาดรู้ (Literacy Thais)
และคนไทยใส่ ใจสังคม (Active Thai Citizen) โดยแบง่ สมรรถนะออกเป็น 10 สมรรถนะ ดงั น้ี
สมรรถนะท่ี 1 ภาษาไทยเพือ่ การส่ือสาร (Thai Language for Communication) คือ
ความสามารถในการใชภ้ าษาไทยเป็นเครื่องมือ ในการติดต่อเกยี่ วข้องกับบุคคลรอบตัว ผ่านการฟงั ดู พดู
อา่ น และเขียน เพื่อรบั แลกเปล่ยี น และถ่ายทอดข้อมลู ความรู้ ความรู้สึกนกึ คิด โดยใชค้ วามรู้
ทางหลกั ภาษา และการใช้ภาษา ร่วมกบั ประสบการณ์ของตน ตามช่วงวยั ผา่ นการคิดวิเคราะห์ ไตร่ตรอง
และแก้ปัญหาอย่างมีสติเท่าทัน และสร้างสรรค์เพ่ือนำไปสกู่ ารมีชีวติ ทม่ี คี ุณภาพ และการทำประโยชน์
ใหแ้ ก่ตนเองและสังคมไทย รวมทงั้ การใช้ภาษาไทยผา่ นการฟัง ดู พดู อา่ นและเขยี นในการเข้าถงึ
องค์ความรขู้ องสังคมไทย ภาคภมู ิ ผูกพนั และสืบสานสงิ่ ที่ดีงาม อีกท้ังสะท้อนความเป็นไทยออกมา
ในผลงานตา่ ง ๆ ทีต่ นผลิต
สมรรถนะท่ี 2 คณิตศาสตรใ์ นชวี ติ ประจำวัน (Mathematics in Everyday Life) คอื
การบูรณาการเนอื้ หาสาระของคณติ ศาสตร์กบั อกี หลาย ๆ สาขาวชิ าเขา้ ดว้ ยกนั เพ่ือใหเ้ กดิ การเรียนรู้
อย่างมีความหมาย เปน็ การนำความรูไ้ ปเช่ือมกับปญั หา สถานการณใ์ นชวี ติ ประจำวันทผ่ี เู้ รยี นพบ ทำให้
ผู้เรียนมองเหน็ สะพานเชอื่ มระหว่างคณติ ศาสตรก์ ับโลกท่เี ปน็ จริง เป็นการประยุกต์เพอื่ นำไปใชใ้ นชวี ิต
ประจำวนั หรอื ใชใ้ นการทำงานท่เี หมาะสมตามวยั
สมรรถนะท่ี 3 การสบื สวนทางวทิ ยาศาสตร์และจิตวทิ ยาศาสตร์ (Scientific Inquiry
and Scientific Mind) คือ ความสามารถในการใชว้ ธิ กี ารทางวทิ ยาศาสตร์ เพ่อื การแสวงหาความรู้
หรือคำถามทตี่ ้องการ อาจมีการใชแ้ ละสรา้ งแบบจำลอง เพ่ือความเข้าใจเรื่องราวในธรรมชาติ มกี ารใช้
เหตุผลเพือ่ สนบั สนนุ หรอื คดั ค้านสูก่ ารตัดสนิ ใจได้คำตอบ ตลอดจนสร้างนวัตกรรมเพ่ือแก้ปัญหา
ชีวิตประจำวัน ด้วยการเปน็ ผสู้ นใจใฝร่ ู้ มีเหตผุ ล รวมทัง้ มีจนิ ตนาการ
สมรรถนะท่ี 4 ภาษาอังกฤษเพื่อการสอ่ื สาร (English for Communication) คือ
ความสามารถใชภ้ าษาอังกฤษในการรับสาร และการสง่ สาร การมีปฏิสัมพนั ธ์ มีกลยุทธใ์ นการตดิ ต่อ
ส่ือสาร สามารถสอ่ื สารไดถ้ ูกตอ้ งเหมาะสมกับบรบิ ททางสังคมและวัฒนธรรม มีเจตคติท่ีดีตอ่ การเรยี นรู้
และการใช้ภาษาอังกฤษ สามารถส่อื สาร แลกเปลย่ี น และถ่ายทอดความคิด ประสบการณ์ และวฒั นธรรม
ไทย ไปยงั สังคมโลกไดอ้ ย่างสรา้ งสรรค์ มัน่ ใจ
สมรรถนะท่ี 5 ทักษะชวี ติ และความเจรญิ แหง่ (Life Skills and Personal Growth)
คอื ความสามารถทจ่ี ำเป็นในการใช้ชวี ิตอย่างมปี ระสทิ ธภิ าพและมีความสขุ โดยการนอ้ มนำหลักปรชั ญา
ของเศรษฐกิจพอเพยี งมาใชส้ รา้ งความสมดลุ และพอดีในการใชช้ ีวติ มกี ารรจู้ กั ตนเอง ทั้งจุดเด่น
และจดุ บกพรอ่ ง และนำมาใช้ในการกำหนดเป้าหมายของชีวติ กนิ อยู่ ดู ฟังเปน็ มสี ติสมั ปชญั ญะ
บริหารจดั การ และดำเนนิ ชวี ิตสเู่ ป้าหมาย มกี ารน้อมนำหลักศาสนาท่ตี นนับถือมาเปน็ เครื่องยึดเหนี่ยว
ค่มู อื การสร้างเคร่ืองมือประเมินสมรรถนะผเู้ รยี นระดบั การศึกษาข้นั พน้ื ฐาน 19
ในการดำรงชวี ิต มกี ารปรับตัวและฟนื้ คนื สภาพอย่างรวดเร็วเม่อื เผชญิ กับปัญหา และความเปลีย่ นแปลง
สามารถปอ้ งกนั และหลีกเล่ยี งจากภัยตา่ ง ๆ สรา้ งปฏิสัมพันธท์ ดี่ ี พรอ้ มเกื้อกูล ช่วยเหลือเพือ่ น ครอบครวั
และผู้เกย่ี วข้อง เพื่อความสขุ ในการอยรู่ ว่ มกัน ปฏิบัตหิ นา้ ที่ตอ่ สงั คมได้เหมาะสมกบั บทบาทและหน้าท่ี
มกี ารพัฒนาตนเองใหม้ ชี วี ติ อยา่ งสมดุลทุกด้านทงั้ ทางด้านรา่ งกาย จติ ใจ อารมณ์ สงั คม สตปิ ญั ญา
และสนุ ทรยี ะ มคี วามพึงพอใจในการใชช้ วี ิต นับถือตนเอง พึ่งพาตนเอง และพฒั นาตนเองให้มีสุขภาวะทดี่ ี
มีสนุ ทรยี ภาพ ชน่ื ชมความงามของธรรมชาติ และศิลปวฒั นธรรม เหน็ ความสำคัญ มสี ่วนร่วมในการรักษา
สืบทอด สง่ ต่อ ทะนบุ ำรุงรักษาวัฒนธรรมให้ ดำรงสบื ทอดต่อไปได้
สมรรถนะที่ 6 ทักษะอาชพี และการเปน็ ผู้ประกอบการ (Career Skills and
Entrepreneurship) คอื ความสามารถของบุคคลทม่ี ุ่งเน้นการสรา้ งความพรอ้ ม สำหรบั การทำงาน
การประกอบอาชพี และเปน็ ผู้ประกอบการทีเ่ ก้ือกลู สงั คม โดยบคุ คลต้องรู้จกั ความถนัด และความสนใจ
ของตนเอง และนำไปสู่การเลือกอาชพี ท่เี หมาะสมกบั ตนเอง การพัฒนาทกั ษะในการทำงาน การทำงาน
ดว้ ยการพง่ึ พาตนเอง ยึดหลกั การบริหารจัดการ และการนำหลักปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพียงในการ
ปฏบิ ัตงิ านดา้ นการเงนิ เปน็ การประกอบการทเ่ี นน้ นวตั กรรม การสรา้ งผลิตภณั ฑ์เชงิ สร้างสรรค์ท่มี ี
คุณภาพสงู มีจรรยาบรรณพร้อมรบั ผดิ ชอบสงั คม
สมรรถนะที่ 7 ทกั ษะการคดิ ขนั้ สูงและนวตั กรรม (Higher-order Thinking Skills and
Innovation) คือ ทักษะการนยิ าม การวเิ คราะห์ การสงั เคราะห์ การหาแบบแผน การจัดระบบโครงสรา้ ง
การสรา้ งการคดิ อย่างมวี ิจารณญาณ แบ่งออกเปน็ ทกั ษะย่อย 3 ดา้ น ได้แก่ ทักษะการคิดอย่างมี
วจิ ารณญาณ (เป็นกระบวนการคิดทมี่ งุ่ ไปท่ีการตรวจสอบความถกู ตอ้ งของข้อมูล เหตุผล และหลักฐาน
ของเรื่องท่ีพิจารณาว่ามีความนา่ เชอ่ื ถอื เพียงใด มีประเดน็ อะไรทเี่ ปน็ จุดอ่อน สามารถโต้แยง้ ไดโ้ ดยมี
หลักฐานสนบั สนนุ ซงึ่ ผลการวิพากษ์ และประเมนิ ข้อมูลนี้จะเปน็ ข้อมูลสำคญั ที่นำไปพจิ ารณารว่ มกับ
ข้อมูลด้านอนื่ ๆ เชน่ ความเหมาะสมตามหลักกฎหมาย ศีลธรรม คุณธรรม ค่านิยม ความเชอ่ื
และบรรทัดฐานทางสังคมและวฒั นธรรม อันจะนำไปสู่การตัดสนิ ใจ อย่างมวี ิจารณญาณ) ทกั ษะ
การแกป้ ัญหา (เป็นกระบวนการคดิ ท่ีมุ่งไปทคี่ วามเข้าใจเหตแุ ละผลของปญั หาการแกป้ ัญหาใหไ้ ดผ้ ล
จะตอ้ งหาต้นเหตุของปัญหาน้ัน และขจัดท่ีเหตุซง่ึ ต้องอาศัยวธิ กี ารทเ่ี หมาะสม เมือ่ ไดว้ ิธีการท่นี ่าจะดีทส่ี ดุ
แลว้ กต็ อ้ งวางแผนดำเนนิ การแกไ้ ขปัญหานั้นอยา่ งเปน็ ลำดับข้ันตอน และลงมือทำตามแผนน้ัน เก็บ
และวิเคราะห์ข้อมลู สรุปผล ปรบั ปรงุ จนบรรลผุ ลตามเป้าหมายที่ตอ้ งการ) และทักษะการคดิ ริเร่มิ
สรา้ งสรรค์ (เปน็ กระบวนการคดิ ท่ีต้องอาศัยจินตนาการ และทกั ษะพืน้ ฐาน ด้านการคิดคลอ่ ง
คดิ ยืดหย่นุ คดิ หลากหลาย รวมทั้งการคดิ วเิ คราะห์ และสังเคราะห์ เพ่ือให้ไดส้ ่งิ ใหมท่ แ่ี ตกตา่ งไปจากเดิม
ดีกวา่ มปี ระโยชน์ มีคุณคา่ มากกว่าเดิม การคิดริเร่ิม อาจเป็นการปรบั หรอื ประยกุ ต์ของเดมิ ให้อยู่
ในรปู แบบใหมห่ รืออาจเป็นการต่อยอดจากของเดิม หรอื เป็นการรเิ ร่มิ ส่ิงใหม่ขน้ึ มาเลยก็ได้
สมรรถนะที่ 8 การรู้เท่าทนั สื่อ สารสนเทศและดิจิทลั (Media, Information and
Digital Literacy) คือ ความสามารถในการเขา้ ถงึ เข้าใจ สร้าง และใชส้ อ่ื สารสนเทศและเทคโนโลยี
ดิจทิ ัล เพือ่ การเรยี นรแู้ ละใช้เป็นเคร่อื งมอื ในการเปล่ยี นแปลงสังคมอยา่ งรเู้ ท่าทันตนเอง รู้เท่าทันสื่อ
และรูเ้ ทา่ ทนั สงั คม โดยเฉพาะส่อื ซึง่ มีการพัฒนาอยา่ งซับซ้อนกลายเปน็ ส่ือหลอมรวม (Convergence)
สามารถจำแนกสมรรถนะของผเู้ รียน ตามชอ่ งทางและลกั ษณะของส่ือได้ 3 ประการคอื การรเู้ ท่าทนั ส่อื
ค่มู อื การสร้างเครื่องมอื ประเมินสมรรถนะผเู้ รยี นระดับการศึกษาข้นั พื้นฐาน 20
(Media Literacy) (ความสามารถในการอา่ นสื่อให้ออก มีทักษะในการเข้าถงึ สื่อ วเิ คราะหส์ อ่ื ตีความ
เน้ือหาของสอื่ ประเมินคุณค่าและเขา้ ใจผลกระทบของสอ่ื และสามารถใชส้ อื่ ให้เกิดประโยชนไ์ ด้) การรู้
เทา่ ทนั สารสนเทศ (Information Literacy) (ความสามารถในการประเมิน เลอื กใช้ และส่อื สารขอ้ มูล
ในหลากหลายรปู แบบได้อยา่ งมีประสิทธิภาพ เพือ่ การเรยี นรู้ด้วยตนเอง และเรียนรูต้ ลอดชีวิต) และการ
รเู้ ทา่ ทนั ดิจทิ ลั (Digital Literacy) (ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยีดจิ ิทัล เครอ่ื งมือสื่อสารสอื่ ออนไลน์
ตา่ ง ๆ เพ่ือค้นหาข้อมูล ประมวลผล และสรา้ งสรรค์ข้อมูลไดห้ ลากหลายรูปแบบ)
สมรรถนะที่ 9 การทำงานแบบรวมพลังเป็นทีม และภาวะผูน้ ำ (Collaboration,
Teamwork and Leadership) คือ การรว่ มกันทำงานตามบทบาทเพ่ือให้บรรลุเปา้ หมายทก่ี ำหนด
รว่ มกนั อีกท้ังสง่ เสรมิ บม่ เพาะความสมั พันธ์ทางบวก โดยผู้เก่ียวข้องตระหนักในการสนับสนนุ แบง่ ปนั
แลกเปลีย่ นความรู้ แ ละความคดิ พร้อมสนบั สนุนเก้ือกูลกันทกุ ด้าน นอกจากนต้ี อ้ งใสใ่ จในการประสาน
ความคดิ ประนีประนอม เสนอทางเลือก และแนวปฏบิ ัตทิ ี่ทุกฝา่ ยยอมรบั สรา้ งและรักษาความสัมพันธ์
ทางบวกกบั สมาชิก โดยตอ้ งมีภาวะผนู้ า ซง่ึ เป็นคณุ ลักษณะของบุคคลท่สี ามารถแกป้ ัญหาและใช้
มนษุ ยสมั พันธ์ที่ดีเพ่ือช้ีแนะแนวทางให้ไปส่เู ป้าหมาย และสร้างแรงบันดาลใจใหผ้ อู้ ่ืนได้พฒั นาตนเอง
และนำจุดเด่นของแตล่ ะคนมาใชป้ ฏิบตั งิ าน ในฐานะสมาชิกกลุ่มท่ีดี เพื่อให้บรรลผุ ลสำเร็จรว่ มกัน
สมรรถนะท่ี 10 พลเมืองตน่ื ร้แู ละสำนึกสากล (Active Citizen and Global
Mindedness) คือ พลเมืองทีต่ ระหนักในศักยภาพของตนเอง ศรัทธา และเชือ่ เรื่องศักด์ิศรคี วามเปน็
มนุษย์ การอยรู่ ่วมกนั ท่ามกลางความหลากหลาย มีความรู้ ความสามารถเชิงการเมืองทีเ่ อื้อให้สามารถ
อยรู่ ว่ มกนั และปกครองกนั เองภายใต้ระบอบประชาธิปไตย อนั มีพระมหากษัตริยท์ รงเป็นประมขุ ตระหนกั
ในบทบาท และหน้าท่ี สทิ ธิ และเสรภี าพ ความเท่าเทยี ม และเป็นธรรม มคี วามเปน็ เหตเุ ปน็ ผล มสี ำนกึ
การเป็นเจา้ ของประเทศ รว่ มกันปรึกษาหารือ เพื่อแสวงหาแนวทางการแก้ปญั หา/ความขัดแยง้ ดว้ ยสันติวธิ ี
หรอื พัฒนาสร้างสรรคส์ ังคมโดยรวมรว่ มกันในระดับตา่ ง ๆ ได้แก่ ชุมชน ทอ้ งถน่ิ ประเทศชาติ อาเซียน
และโลก เห็นความเกีย่ วเนื่องเชือ่ มโยงท่สี ่งผลถึงกันและกนั ท้งั หมด
คู่มือการสรา้ งเครื่องมือประเมินสมรรถนะผ้เู รียนระดับการศึกษาข้ันพ้นื ฐาน 21
สมรรถนะหลัก สมรรถนะยอ่ ย พฤติกรรมบง่ ช้ี
สมรรถนะหลกั ของผเู้ รยี นระดับการศึกษาข้นั พนื้ ฐานของคณะกรรมการอสิ ระเพื่อปฏริ ูปการศึกษา
(กอปศ.) ได้กำหนดสมรรถนะหลัก สมรรถนะย่อย และพฤติกรรมบง่ ช้ี โดยมีรายละเอยี ด ดงั นี้
สมรรถนะหลกั สมรรถนะย่อย พฤติกรรมบ่งชี้
1. ภาษาไทยเพื่อ 1.1 รบั ฟงั อยา่ งตงั้ ใจและเขา้ ใจลึกซึง้ 1. ฟงั อยา่ งต้งั ใจและเขา้ ใจในสิง่ ที่รบั ฟัง ได้แก่
การส่ือสาร (Thai ในผูพ้ ดู และสาระทีร่ บั ฟัง ทั้งท่ีเป็น ข้อความ คำพูด ท่าทาง สญั ลักษณ์
Language for ข้อความคำพดู ท่าทาง สญั ลกั ษณ์ และกราฟิก
Communication) และกราฟิกต่าง ๆ เขา้ ใจมุมมองที่ 2. เข้าใจมมุ มองที่แตกต่างกันตามบริบท
แตกต่างกันตามบริบทสงั คมและ สงั คมและวฒั นธรรม
วัฒนธรรม มกี ารตรวจสอบความเขา้ ใจ 3. ตรวจสอบความถูกต้องของขอ้ มลู
ให้ตรงกันระหว่างผู้พดู และผ้ฟู งั กอ่ นตัดสนิ ใจเกย่ี วกบั เรื่องที่ฟัง
รวมทั้งตรวจสอบ ความถูกต้องของ 4. เลอื กนำความรู้ท่ีได้จากการฟงั
ขอ้ มลู กอ่ นตดั สินใจ เก่ยี วกบั เรื่องที่ฟงั ใช้ประโยชนใ์ นชวี ติ ของตนและส่วนรวม
และเลือกนำความรู้ ท่ีได้จากการฟัง
ไปใชป้ ระโยชน์ในชวี ิตของตน
และสว่ นรวม
คูม่ ือการสรา้ งเครื่องมอื ประเมินสมรรถนะผู้เรยี นระดับการศึกษาขน้ั พน้ื ฐาน 22
สมรรถนะหลกั สมรรถนะย่อย พฤติกรรมบ่งช้ี
1. ภาษาไทยเพ่ือ 1.2 พดู เพ่ือวตั ถุประสงค์ตา่ ง ๆ 1. พูดในสถานการณ์ท่ีหลากหลาย
อยา่ งสร้างสรรค์
การสือ่ สาร (Thai ในสถานการณ์ ที่หลากหลายอย่าง 2. ใช้สอื่ และภาษาท่าทางประกอบ
ไดอ้ ยา่ งเหมาะสมกบั กาลเทศะบริบท
Language for สร้างสรรค์ โดยคำนึงถงึ ลกั ษณะและ ทางสงั คมและวัฒนธรรม
3. ตรวจสอบความเขา้ ใจของผ้ฟู ัง
Communication) ความต้องการของผู้ฟัง สามารถพูดได้ และประเมนิ เพื่อปรบั ปรุงการพดู ของตน
กระชบั ถูกตอ้ งตรงประเด็น เขา้ ใจงา่ ย
ใชส้ อ่ื และภาษาท่าทางประกอบได้
อยา่ งมปี ระสิทธิภาพเหมาะสมกบั
กาลเทศะ บรบิ ททางสงั คมและ
วัฒนธรรม รวมท้งั ตรวจสอบ
ความเขา้ ใจของผู้ฟงั และประเมิน
เพ่ือปรบั ปรุงการพดู ของตน
1.3 อา่ นสาระในรูปแบบต่าง ๆ ได้ 1. เขา้ ใจในสงิ่ ท่ีอ่านไดอ้ ย่างถูกตอ้ ง
โดยมีวตั ถปุ ระสงค์การอ่านทีช่ ัดเจน ตรงประเด็น
อา่ นได้อยา่ งเข้าใจ ถูกต้องตรงประเด็น 2. วิเคราะห์ แปลความ ตคี วาม
โดยใชป้ ระสบการณ์ ความรู้ และกลวธิ ี และประเมินสาระทอี่ า่ นได้อย่างรูเ้ ท่าทัน
การอา่ นต่าง ๆ สามารถวิเคราะห์ ในเจตนาของผู้เขียน
แปลความ ตีความ และประเมนิ สาระ 3. นำความคดิ ความรู้ท่ีได้จากการอา่ น
ไดอ้ ยา่ งร้เู ทา่ ทนั ในเจตนาของผ้เู ขียน ไปใชป้ ระโยชน์ในชวี ติ ของตน
และนำความคดิ ความรู้ทไี่ ด้ และส่วนรวม
จากการอา่ นไปใชป้ ระโยชน์
ในชีวิตของตนและสว่ นรวม
1.4 เขยี นโดยมวี ัตถปุ ระสงค์ที่ชดเจน 1. เขียนโดยมีวัตถุประสงค์ท่ีชัดเจน
ในการสือ่ สารข้อมูล ความรู้ ความคดิ ในการสอื่ สารข้อมูล ความรู้ ความคดิ
ความร้สู กึ ในรปู แบบทหี่ ลากหลาย ความรสู้ ึกในรปู แบบท่ีหลากหลาย
โดยใชก้ ลวิธีการนำเสนอที่เหมาะสม โดยใช้กลวธิ กี ารนำเสนอท่ีเหมาะสม
สามารถเขียนสื่อความหมายไดต้ รง 2. เขยี นส่อื ความหมายไดต้ รงตาม
ตามเจตนา เข้าใจไดง้ ่าย และถูกต้อง เจตนา เขา้ ใจไดง้ า่ ย และถูกต้อง
ตามอักขรวิธใี ช้กระบวนการเขยี น ตามอักขรวิธี
ผลติ งานในทางสร้างสรรค์ 3. ใชก้ ระบวนการเขียน ผลิตงานในทาง
อย่างรับผดิ ชอบและเคารพในสทิ ธิ สรา้ งสรรคอ์ ยา่ งรับผิดชอบ และเคารพ
ของผู้อืน่ ในสทิ ธขิ องผู้อน่ื
คูม่ อื การสรา้ งเคร่ืองมอื ประเมินสมรรถนะผู้เรยี นระดับการศึกษาขน้ั พ้นื ฐาน 23
สมรรถนะหลัก สมรรถนะย่อย พฤตกิ รรมบ่งช้ี
1. ภาษาไทยเพ่ือ 1.5 ใช้ภาษาไทยในการศึกษาเรยี นรู้ 1. ใชภ้ าษาไทยในการศึกษาเรยี นรู้
การสอ่ื สาร (Thai สร้างความเข้าใจพน้ื ฐานทางสังคม สร้างความเขา้ ใจพืน้ ฐานทางสังคม
Language for วฒั นธรรม และภมู ิปัญญาของไทย วฒั นธรรม และภมู ปิ ัญญาของไทย
Communication) มีความภาคภมู ิ ผกู พันในความเปน็ ไทย 2. มีความภาคภูมิ ผกู พนั
สามารถกลั่นกรองและสืบสานสงิ่ ดงี าม ในความเปน็ ไทย
ท่บี รรพบรุ ุษได้สรา้ งไวแ้ ละพัฒนาให้มี 3. สืบสานส่ิงดงี ามทบี่ รรพบุรุษ
คุณคา่ ต่อไป ได้สร้างไว้ และพฒั นาให้มคี ุณค่าตอ่ ไป
1.6 พดู อ่าน และเขยี นภาษาไทยได้ 1. พดู ภาษาไทยได้ถกู ต้อง ตามอักขรวิธี
ถกู ต้องตามอกั ขรวธิ ี โดยเลือกใชค้ ำศพั ท์ โดยเลือกใช้คำศัพท์ ความรเู้ ก่ยี วกับ
ความรู้เกีย่ วกบั หลกั ภาษาและกลวธิ ี หลักภาษาและกลวธิ ตี ่าง ๆ รว่ มกับ
ตา่ ง ๆ ร่วมกับประสบการณ์ชีวติ ประสบการณ์ชวี ิตในการนำเสนอ
ในการนำเสนอ และผลติ ผลงานตา่ ง ๆ และผลิตผลงานต่าง ๆ อย่างเหมาะสม
อย่างเหมาะสม และสรา้ งสรรค์ และสรา้ งสรรค์
2. อา่ นภาษาไทยได้ถูกต้องตามอักขรวิธี
โดยเลือกใช้คำศัพท์ ความรู้เกี่ยวกบั
หลักภาษาและกลวิธีตา่ ง ๆ รว่ มกบั
ประสบการณ์ชวี ติ ในการนำเสนอ
และผลิตผลงานตา่ ง ๆ อย่างเหมาะสม
และสร้างสรรค์
3. เขยี นภาษาไทยไดถ้ ูกต้องตาม
อักขรวธิ ี โดยเลือกใชค้ ำศัพท์ ความรู้
เกีย่ วกับหลกั ภาษาและกลวธิ ีตา่ ง ๆ
รว่ มกับประสบการณช์ วี ิตในการนำเสนอ
และผลิตผลงานตา่ ง ๆ อยา่ งเหมาะสม
และสร้างสรรค์
2. คณติ ศาสตร์ 2.1 แกป้ ัญหาในชวี ิตประจำวัน แกป้ ัญหาในชวี ิตประจำวันทเี่ กีย่ วขอ้ งกับ
ในชีวติ ประจาวนั ทเี่ กี่ยวข้องกับคณิตศาสตร์ โดยประยกุ ต์ คณติ ศาสตร์ โดยประยุกต์ความรู้
(Mathematics in ความรู้ความเข้าใจทางคณิตศาสตร์ ความเขา้ ใจทางคณิตศาสตร์
Everyday Life) เพอื่ ทำความเข้าใจปญั หา ระบปุ ระเดน็ - ระบปุ ระเด็นปญั หา
ปญั หา วิเคราะหป์ ญั หา วางแผน - วิเคราะหป์ ญั หา
แก้ปญั หาโดยหากลวิธที ีห่ ลากหลาย - วางแผนแกป้ ัญหาโดยหากลวธิ ี
ในการแก้ปัญหา และดำเนนิ การ ท่ีหลากหลายในการแก้ปญั หา
จนได้คำตอบทส่ี มเหตุสมผล - ดำเนินการจนได้คำตอบทีส่ มเหตุสมผล
ค่มู อื การสรา้ งเครื่องมือประเมินสมรรถนะผ้เู รยี นระดับการศึกษาข้ันพ้นื ฐาน 24
สมรรถนะหลกั สมรรถนะย่อย พฤติกรรมบ่งช้ี
2.2 หาข้อสรุป หรอื ข้อความคาดการณ์
2. คณติ ศาสตร์ ของสถานการณ์ปญั หา และระบุถงึ 1. หาข้อสรปุ หรอื ข้อความคาดการณ์
ในชวี ติ ประจาวนั ความสัมพันธ์ของข้อมูล เพื่อยืนยันหรือ ของสถานการณ์ปญั หา
(Mathematics in คดั ค้านข้อสรุปหรือข้อความคาดการณ์ 2. ระบถุ ึงความสมั พันธ์ของข้อมูล
Everyday Life) น้นั ๆ อย่างสมเหตสุ มผล และใชเ้ หตผุ ล เพือ่ ยนื ยนั หรือคดั คา้ นข้อสรปุ
หรอื ขอ้ ความคาดการณน์ น้ั ๆ
แบบอปุ นัย (Inductive Reasoning) อย่างสมเหตุสมผล
3. ใชเ้ หตผุ ลแบบอุปนัย (Inductive
ในการสร้างแบบรปู และข้อคาดเดา Reasoning) ในการสร้างแบบรปู
หรือใชเ้ หตผุ ลแบบนิรนัย (Deductive และข้อคาดเดาหรือใชเ้ หตุผลแบบนริ นัย
Reasoning) ในการตรวจสอบข้อสรปุ (Deductive Reasoning)
และสร้างเหตุผลสนับสนนุ ที่น่าเชอ่ื ถือ ในการตรวจสอบข้อสรปุ และสรา้ งเหตผุ ล
สนับสนนุ ท่นี า่ เช่อื ถือ
2.3 ออกแบบ อธิบาย และนำเสนอ
ข้อมลู ที่ส่ือความหมายให้ผอู้ ่ืนเข้าใจ 1. ออกแบบ อธบิ าย และนำเสนอขอ้ มูล
ตรงกัน เพ่ือแสดงความเขา้ ใจหรือ ที่สอื่ ความหมายใหผ้ อู้ ื่น เขา้ ใจตรงกัน
ความคิดท่ีเกีย่ วกับคณติ ศาสตรข์ อง เพื่อแสดงความเขา้ ใจหรือความคดิ
ตนเอง โดยใช้การพดู และเขยี น วตั ถุ ทเ่ี กย่ี วกับคณติ ศาสตรข์ องตนเอง
รูปธรรม รูปภาพ กราฟ สัญลักษณ์ 2. ใช้การพูดและเขียน วัตถุ รูปธรรม
ทางคณิตศาสตร์ และตวั แทน รวมทั้ง รปู ภาพ กราฟ สัญลกั ษณ์ทาง
บอกความสัมพันธร์ ะหวา่ งภาษา คณิตศาสตร์ และตวั แทน
ในชีวติ ประจำวันกับภาษาและสญั ลักษณ์ 3. บอกความสมั พนั ธ์ระหวา่ งภาษา
ทางคณิตศาสตร์ได้อยา่ งหลากหลาย ในชีวติ ประจำวนั กบั ภาษาและสญั ลักษณ์
และเหมาะสมกับเนอ้ื หาและสถานการณ์ ทางคณิตศาสตร์ได้อยา่ งหลากหลาย
2.4 เชือ่ มโยงความรหู้ รอื ปญั หา และเหมาะสมกับเนอ้ื หาและสถานการณ์
ทางคณิตศาสตรท์ ีเ่ รียนมากับความรู้
ปญั หา หรือสถานการณ์อื่นท่ีตนเองพบ เชอื่ มโยงความร้หู รือปัญหา
ซง่ึ อาจเปน็ การเช่ือมโยงภายในวชิ า ทางคณิตศาสตร์ โดยการ
คณติ ศาสตร์ เชือ่ มโยงคณิตศาสตร์กบั - เชอ่ื มโยงภายในวชิ าคณติ ศาสตร์
ศาสตรอ์ ืน่ ๆ และเช่ือมโยงคณติ ศาสตร์ - เชือ่ มโยงคณติ ศาสตรก์ ับศาสตรอ์ ื่น ๆ
กบั ชีวิตประจำวนั เพ่ือนาไปสู่ - เชื่อมโยงคณติ ศาสตรก์ บั ชวี ติ ประจำวนั
การแกป้ ัญหาและการเรยี นรู้แนวคิดใหม่
ทซ่ี ับซอ้ นหรือสมบูรณ์ขึน้
คูม่ ือการสรา้ งเคร่ืองมือประเมินสมรรถนะผเู้ รียนระดับการศึกษาขนั้ พื้นฐาน 25
สมรรถนะหลัก สมรรถนะย่อย พฤติกรรมบ่งชี้
2. คณติ ศาสตร์ 2.5 ใชค้ วามคดิ คล่อง ความคิดยืดหยุน่ 1. แก้ปัญหาทางคณติ ศาสตร์ โดยใช้
ในชวี ิตประจาวนั ความคิดริเร่ิม และความคิดละเอยี ดลออ ความคดิ คล่อง ความคดิ ยืดหย่นุ
(Mathematics in ในการคิดแกป้ ญั หาทางคณิตศาสตร์ ความคิดรเิ ร่มิ และความคดิ ละเอียดลออ
Everyday Life) และขยายความคิดทมี่ ีอยเู่ ดมิ เพอ่ื สร้าง 2. สร้างแนวคิดใหม่ ปรบั ปรุงหรือ
แนวคดิ ใหม่ ปรับปรงุ หรือพัฒนา พัฒนาองค์ความรู้ทางคณิตศาสตร์
องค์ความรู้ทางคณติ ศาสตร์ หรือศาสตร์ หรือศาสตร์อ่ืน ๆ โดยใช้คณิตศาสตร์
อนื่ ๆ โดยใชค้ ณิตศาสตร์เปน็ ฐาน เป็นฐาน
3. การสืบสอบ 3.1 สามารถเขียนผงั เช่ือมโยงเหตุ 1. เขยี นผังเช่อื มโยงเหตแุ ละผลจากเหตุ
ทางวทิ ยาศาสตร์ และผลจากเหตุตน้ ทางถงึ ผลปลายทาง ตน้ ทางถึงผลปลายทาง โดยแสดง
และจิตวิทยา โดยแสดงความสมั พนั ธเ์ ช่ือมโยงเหตุ ความสัมพนั ธ์เชือ่ มโยงเหตแุ ละผลแทรก
ศาสตร์ (Scientific และผลแทรกระหวา่ งเหตุต้นทางและผล ระหวา่ งเหตุตน้ ทางและผลปลายทาง
Inquiry and ปลายทางอยา่ งเปน็ ลาดบั และครบถว้ น อยา่ งเปน็ ลำดับและครบถว้ น
Scientific Mind) เพ่อื สรุป/สร้างความรทู้ างวทิ ยาศาสตร์ 2. สรปุ /สรา้ งความร้ทู างวิทยาศาสตร์
3.2 อธิบายปรากฏการณ์ธรรมชาติ 1. อธิบายปรากฏการณธ์ รรมชาติ
และปรากฏการณ์ทเ่ี ปน็ ผลจากการ 2. อธิบายปรากฏการณ์ท่ีเป็นผล
กระทำของมนุษย์ ด้วยการใช้เหตผุ ล จากการกระทาของมนุษยด์ ้วยการใช้
แบบอุปนัย แบบนริ นยั และทั้งอปุ นัย เหตุผลแบบอปุ นัย แบบนิรนยั
และนิรนัยประกอบกันอย่างสมเหตุ และทงั้ อปุ นยั และนริ นยั ประกอบกัน
สมผล อยา่ งสมเหตสุ มผล
3.3 สืบสอบความรูท้ างวิทยาศาสตร์ สบื สอบความรู้ทางวทิ ยาศาสตร์ โดย
โดยสามารถตง้ั คำถามสำคัญ ออกแบบ - ตงั้ คำถามสำคญั
และวางแผนการสำรวจตรวจสอบขอ้ มลู - ออกแบบและวางแผน การสำรวจ
เลือกใชว้ สั ดุอปุ กรณ์และเคร่ืองมอื ที่ ตรวจสอบขอ้ มลู
เหมาะสม เก็บรวบรวมขอ้ มลู วเิ คราะห์ - เลือกใช้วัสดอุ ุปกรณ์และเครื่องมือ
ขอ้ มลู และนำเสนอผลการสำรวจ ท่ีเหมาะสม
ตรวจสอบ รวมท้ังหลักฐานเชงิ ประจักษ์ - เกบ็ รวบรวมขอ้ มูล
ทไ่ี ดร้ ับการยอมรับจากสาธารณะ - วเิ คราะหข์ ้อมลู
ซง่ึ นำไปส่กู ารพัฒนาความเป็นผู้รัก - นำเสนอผลการสำรวจ ตรวจสอบ
ในความมีเหตผุ ลทางวิทยาศาสตร์ รวมท้ังหลักฐาน เชงิ ประจักษ์ที่ไดร้ ับ
การยอมรบั จากสาธารณะ ซ่งึ นำไปสู่
การพัฒนาความเป็นผูร้ กั ในความมีเหตผุ ล
ทางวทิ ยาศาสตร์
ค่มู อื การสร้างเครื่องมือประเมินสมรรถนะผู้เรียนระดบั การศึกษาข้นั พนื้ ฐาน 26
สมรรถนะหลกั สมรรถนะย่อย พฤติกรรมบ่งช้ี
3. การสืบสอบ 3.4 ออกแบบและสรา้ งแบบจำลอง 1. ออกแบบและสรา้ งแบบจำลอง
ทางวิทยาศาสตร์ โดยใช้ความร้แู ละหลกั การ โดยใชค้ วามรูแ้ ละหลักการทาง
และจิตวทิ ยา ทางวทิ ยาศาสตร์ และใชแ้ บบจำลอง วิทยาศาสตร์
ศาสตร์ (Scientific เพื่ออธิบาย ปรากฏการณ์ธรรมชาติ 2. ใชแ้ บบจาลองเพื่ออธบิ าย
Inquiry and และปรากฏการณ์ทเ่ี ปน็ ผลจาก ปรากฏการณ์ธรรมชาติ และ
Scientific Mind) การกระทำของมนุษย์ ปรากฏการณ์ที่เปน็ ผลจากการกระทำ
ของมนษุ ย์
3.5 โต้แย้งในประเด็นทางวทิ ยาศาสตร์ 1. โต้แยง้ ในประเดน็ ทางวทิ ยาศาสตร์
โดยการให้เหตุผลสนับสนนุ หรือคดั ค้าน โดยการให้เหตผุ ลสนบั สนนุ หรือคัดค้าน
พร้อมทงั้ หลกั ฐานเชิงประจักษ์ เพ่ือการ พรอ้ มทั้งหลกั ฐานเชงิ ประจักษ์ เพื่อการ
ตดั สินใจเลอื กเหตุผลที่ดี นา่ เชอ่ื ถอื ตัดสนิ ใจเลือกเหตผุ ลที่ดีน่าเชอ่ื ถือ
มากทส่ี ุด และกล้าพดู กล้าแสดง มากท่ีสดุ
ความคิดเห็นบนฐานความรู้ พร้อมรบั ฟัง 2. กลา้ พดู กล้าแสดงความคิดเหน็
ความคิดเห็นผูอ้ ่ืน บนฐานความรู้ และรับฟังความคิดเห็น
ผอู้ น่ื
3.6 วางแผนหาวิธีการแก้ไขปัญหา 1. วางแผนหาวธิ ีการแก้ไขปัญหา
ในชวี ติ ประจำวนั อยา่ งเปน็ ขนั้ ตอน ในชวี ิตประจำวนั อยา่ งเป็นข้ันตอน
โดยใชก้ ระบวนการออกแบบ 2. ใชก้ ระบวนการออกแบบ
ทางวิศวกรรมที่ประกอบด้วยข้นั ตอน ทางวิศวกรรมท่ปี ระกอบดว้ ยข้นั ตอน
การระบปุ ัญหา การสืบค้นขอ้ มลู การระบปุ ัญหา การสืบค้นขอ้ มลู เพ่อื ใช้
เพือ่ ใชใ้ นการออกแบบ การสร้างต้นแบบ ในการออกแบบ
โดยใชว้ สั ดอุ ุปกรณภ์ ายใตข้ ้อจำกดั หรอื 3. การสร้างต้นแบบ โดยใชว้ สั ดอุ ุปกรณ์
ตามสภาพบริบท ตลอดจนการทดสอบ ภายใต้ขอ้ จำกดั หรือตามสภาพบรบิ ท
คุณภาพของต้นแบบ เพื่อให้ไดข้ อ้ มูล 4. ทดสอบคณุ ภาพของตน้ แบบเพือ่ ให้ได้
ย้อนกลับในการปรบั แก้ไขการออกแบบ ขอ้ มูลย้อนกลับในการปรับแก้ไข
และตน้ แบบให้มคี วามเหมาะสม การออกแบบและตน้ แบบให้มี
ความเหมาะสม
4. ภาษาองั กฤษ 4.1 เขา้ ใจประเดน็ สำคัญของเรื่องท่ีฟัง เขา้ ใจประเด็นสำคัญของเร่ืองท่ีฟัง
เพอื่ การส่ือสาร เมือ่ ผ้พู ูด/คสู่ นทนาพูดอย่างชัดเจน
(English for ในหวั ข้อท่ีคุน้ เคยและพบบ่อยเก่ียวกบั
Communication) การทำงาน การไปโรงเรียน กิจกรรม
ยามว่าง เป็นตน้ ตัวอย่างของการพดู
ในลกั ษณะดงั กลา่ วไดแ้ กก่ ารเล่าเร่ืองส้นั ๆ
คู่มอื การสรา้ งเคร่ืองมือประเมินสมรรถนะผู้เรียนระดับการศึกษาขนั้ พ้ืนฐาน 27
สมรรถนะหลกั สมรรถนะย่อย พฤติกรรมบ่งช้ี
4. ภาษาอังกฤษ 4.2 สามารถอา่ นงานเขียนทเ่ี ปน็ 1. อ่านงานเขียนทเี่ ปน็ ข้อเท็จจริง
เพื่อการสื่อสาร ข้อเทจ็ จริงและตรงไปตรงมาในประเด็น ทเี่ ก่ียวข้องกบั สาขาและความสนใจ
(English for ท่ีเกย่ี วข้องกับสาขาและความสนใจ ของตนเอง
Communication) ของตนเองและเข้าใจในระดบั ทีน่ ่าพอใจ 2. เข้าใจในเร่ืองท่อี ่าน
4.3 สามารถใช้ภาษาที่งา่ ยและ 1. ใชภ้ าษาท่งี า่ ยและหลากหลาย
หลากหลายเพอื่ สนทนาในหัวข้อท่ี เพือ่ สนทนา
คนุ้ เคย แสดงความคดิ เห็นของตนเอง 2. แสดงความคดิ เหน็ ของตนเอง
และแลกเปลี่ยนข้อมลู เก่ียวกับหัวขอ้ ท่ี และแลกเปลยี่ นข้อมลู เกยี่ วกับหัวขอ้
ตนเองค้นุ เคยสนใจหรือหวั ข้อเกย่ี วกับ ที่ตนเองคนุ้ เคยสนใจหรือหวั ข้อเก่ียวกบั
ชวี ิตประจำวัน ชวี ิตประจำวนั
4.4 สามารถสร้างงานเขียนงา่ ย ๆ สร้างงานเขยี นง่าย ๆ ที่มคี วามคดิ
ท่มี คี วามคดิ เช่ือมโยงกันในประเดน็ ต่าง ๆ เชือ่ มโยงกนั ในประเด็นตา่ ง ๆ
ทีค่ นุ้ เคยในสาขาทต่ี นเองสนใจ
โดยเชอื่ มโยงสว่ นตา่ ง ๆ ในงานเขยี น
ให้เปน็ ลำดบั ตอ่ เน่ืองกันได้
4.5 เขา้ ใจคำและวลสี ำคัญในบทสนทนา เขา้ ใจคำและวลีสำคัญในบทสนทนา
และติดตามหวั ขอ้ ในการสนทนาได้
4.6 สามารถคาดเดาความหมายของคำ 1. เดาความหมายของคำท่ีไม่รู้
ที่ไมร่ ู้ความหมายจากบริบท และสรปุ ความหมายจากบริบท
ความหมายของประโยคไดห้ ากเก่ยี วข้อง 2. สรปุ ความหมายของประโยคไดจ้ าก
กับหัวขอ้ ท่ีคุน้ เคย หวั ข้อท่คี ้นุ เคยและเก่ยี วข้อง
4.7 สามารถหาวธิ ถี า่ ยทอดประเด็น หาวิธถี า่ ยทอดประเด็นสำคญั
สำคญั ทต่ี นเองต้องการส่ือสารในบริบท ท่ตี นเองต้องการส่ือสารในบริบท
ท่ีหลากหลาย โดยตอ้ งเปน็ เร่ืองราว ทห่ี ลากหลาย
ทต่ี นเองจำไดห้ รือหาวิธีท่ีจะถ่ายทอ
เร่ืองราวดังกล่าวได้เท่าน้ัน แม้วา่ จะมี
ความลงั เลและพดู อ้อมในหวั ข้อท่ีคนุ้ เคยบ้าง
5. ทกั ษะชวี ติ และ 5.1 รูจ้ ักตนเอง พึ่งตนเอง และกำหนด 1. รูจ้ กั ตนเอง พึ่งตนเอง และกำหนด
ความเจริญแหง่ ตน เปา้ หมายชีวิต ตามความสามารถ เป้าหมายชีวิตตามความสามารถ
(Life Skills and และความถนดั ของตน วางแผน และความถนัดของตน
Personal และดำเนินชีวิตตามหลักของปรัชญา 2. วางแผนและดำเนินชวี ิตตามหลกั ของ
Growth) เศรษฐกิจพอเพยี ง เพอ่ื ไปสูเ่ ป้าหมาย ปรชั ญาเศรษฐกิจพอเพยี งเพือ่ ไปสู่
เปา้ หมาย
คมู่ อื การสรา้ งเคร่ืองมือประเมินสมรรถนะผู้เรียนระดับการศึกษาขัน้ พ้นื ฐาน 28
สมรรถนะหลัก สมรรถนะย่อย พฤตกิ รรมบ่งช้ี
5.2 มวี นิ ัยในการดูแลจัดการตนเองใหม้ ี มวี นิ ัยในการดแู ลจัดการตนเองให้มีสุข
5. ทกั ษะชวี ิตและ สุขภาวะทางกายท่ีดีอย่างสมดุลกบั ภาวะทางกายท่ดี ีอย่างสมดุลกบั สขุ ภาวะ
ความเจรญิ แหง่ ตน สขุ ภาวะดา้ นอน่ื ๆ โดยมีสขุ ภาพแข็งแรง ด้านอ่ืน ๆ
(Life Skills and กิน อยู่ ดู ฟงั เปน็ ปกป้องตนเองให้
Personal ปลอดภยั จากภัยตา่ ง ๆ ทั้งโรคภัย 1. ควบคมุ อารมณ์ ความคดิ
Growth) อบุ ัตภิ ยั ภยั ธรรมชาติ ภยั ทางเพศ ภยั จาก และพฤติกรรมให้แสดงออกอย่างเหมาะสม
สง่ิ เสพติดและอบายมุขตา่ ง ๆ รวมท้ัง 2. รกั ษาบคุ ลกิ ภาพความเป็นไทยผสาน
ภยั จากสือ่ สารสนเทศและเทคโนโลยี กบั สากลอย่างกลมกลนื
5.3 ควบคุมอารมณ์ ความคดิ
และพฤตกิ รรมให้แสดงออก 1. แยกแยะสงิ่ ดีช่ัวถูกผิด
อยา่ งเหมาะสมรักษาบุคลิกภาพ 2. มคี วามกลา้ หาญเชิงจรยิ ธรรม ยนื หยัด
ความเปน็ ไทยผสานกับสากล ในการทำส่ิงท่ีถกู ตอ้ ง
อย่างกลมกลนื 3. นำหลักศาสนาทตี่ นยึดถือมาเป็น
5.4 เปน็ คนดี สามารถแยกแยะสิ่งดีช่ัว เคร่อื งยดึ เหนีย่ วในการดำรงชีวิต
ถูกผิด มีความกลา้ หาญเชิงจริยธรรม 1. รักษาระเบยี บวินยั ของสงั คม
ยนื หยดั ในการทำสิ่งทถ่ี ูกตอ้ ง น้อมนำ 2. สร้างและรักษาความสัมพันธ์อันดี
หลักศาสนาทีต่ นยึดถือมาเปน็ เครอ่ื ง กบั ผู้อ่นื
ยึดเหน่ยี วในการดำรงชีวิต 3. รบั ผดิ ชอบในบทบาทหนา้ ท่ขี องตน
5.5 รกั ษาระเบยี บวินัยของสังคม สร้าง ท่ีมตี ่อครอบครัวและสังคม
และรกั ษาความสัมพันธอ์ นั ดีกับผู้อ่นื 1. มีสนุ ทรยี ภาพ ชื่นชมความงาม
รับผดิ ชอบในบทบาทหน้าท่ีของตน ในธรรมชาติ ศิลปวัฒนธรรม
ทม่ี ตี ่อครอบครัวและสังคม 2. รกั ษาเอกลกั ษณค์ วามเปน็ ไทยให้ธำรง
ต่อไป
5.6 มีสนุ ทรียภาพ ชน่ื ชมความงาม 1. สามารถปรับตวั ในการเผชิญปัญหา
ในธรรมชาติ ศิลปวฒั นธรรมและรักษา 2. แกป้ ญั หาและยอมรับผลทเ่ี กิดขนึ้
เอกลักษณ์ความเปน็ ไทยใหธ้ ำรงต่อไป 3. ฟื้นคนื สภาพจากปัญหา
ไดอ้ ยา่ งรวดเรว็
5.7 พร้อมรบั ความเปลีย่ นแปลง
สามารถปรบั ตัว เผชญิ ปญั หา แก้ปญั หา
ยอมรับผลทีเ่ กิดขึ้น และฟน้ื คืนสภาพ
จากปัญหาไดอ้ ยา่ งรวดเร็ว
คูม่ อื การสรา้ งเครื่องมือประเมินสมรรถนะผู้เรียนระดับการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน 29
สมรรถนะหลกั สมรรถนะย่อย พฤติกรรมบ่งชี้
1. สรา้ งแรงจูงใจและนำตนเอง
5. ทักษะชีวิตและ 5.8 สรา้ งแรงจูงใจและนำตนเองในการ ในการเรียนรู้
2. เรยี นรูว้ ิธกี ารเรยี นรู้ โดยใชท้ ักษะ
ความเจริญแห่งตน เรยี นรู้ เรยี นรวู้ ิธีการเรยี นรู้ โดยใช้ การเรยี นรหู้ ลากหลาย ทง้ั ทักษะ
การเรยี นรู้ ทักษะการสบื คน้ ข้อมลู
(Life Skills and ทักษะการเรยี นรหู้ ลากหลาย ทงั้ ทกั ษะ ทักษะการสบื สอบ ทักษะการสร้างความรู้
และนวัตกรรม รวมทั้งทักษะการประยุกต์ใช้
Personal Growth) การเรียนรู้ ทกั ษะการสืบคน้ ข้อมลู ความรู้ เพ่ือพัฒนาตนเองและชวี ติ
1. วเิ คราะหต์ นเอง เพื่อค้นหาเป้าหมาย
ทักษะการสืบสอบ ทกั ษะการสรา้ ง ของชวี ติ
2. เตรียมทกั ษะเฉพาะอาชีพ
ความรู้และนวตั กรรม รวมทงั้ ทักษะ และการปฏบิ ตั งิ านที่สอดคลอ้ งกบั
ความสนใจ ความถนดั และสติปญั ญา
การประยุกต์ใช้ความรู้ เพอ่ื พัฒนา 3. ฝกึ ฝนอาชีพทส่ี นใจอยา่ งต่อเนื่อง
เพ่อื เป็นพ้นื ฐานในการประกอบอาชพี
ตนเองและชีวิต ในอนาคต
1. กำหนดเป้าหมายในการทำงาน
6. ทกั ษะอาชีพ 6.1 วิเคราะหต์ นเอง ค้นหาเป้าหมาย ท่ีชัดเจน
2. วางแผน จดั เรยี งลำดับความสำคัญ
และการเปน็ ของชวี ิต เตรียมทักษะเฉพาะอาชีพ ของงานและบริหารเวลาอยา่ งมี
ประสิทธิภาพ
ผู้ประกอบการ และการปฏิบตั งิ านท่ีสอดคลอ้ งกับ 1. ปฏบิ ตั งิ านอย่างม่งุ ม่ัน อดทน
2. รบั ผดิ ชอบ และเพียรพยายาม เพื่อให้
(Career Skills and ความสนใจ ความถนดั และสตปิ ญั ญา บรรลุเป้าหมาย
คิดและปฏบิ ตั งิ านโดยใช้หลกั ปรัชญา
Entrepreneurship) และฝึกฝนอาชีพทส่ี นใจอยา่ งต่อเน่อื ง ของเศรษฐกจิ พอเพียง
เพ่อื เปน็ พ้นื ฐานในการประกอบอาชีพ 1. มคี วามรู้และทกั ษะพน้ื ฐาน
ของการเปน็ ผปู้ ระกอบการที่ดี
ในอนาคต 2. วางแผนการลงทุน การผลิต
การตลาด การบรหิ ารจัดการ
6.2 กำหนดเป้าหมายในการทำงาน ด้านทรพั ยากร บคุ ลากร และการเงิน
ทช่ี ดั เจน วางแผน จัดเรยี งลำดับ
ความสำคัญของงานและบริหารเวลา
อยา่ งมีประสิทธภิ าพ
6.3 ปฏิบัติงานอย่างม่งุ มั่น อดทน
รบั ผดิ ชอบ และเพียรพยายาม เพอื่ ให้
บรรลเุ ปา้ หมาย
6.4 คดิ และปฏบิ ตั งิ านใด ๆ โดยใช้
หลักปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพียง
คอื ทำพอประมาณอยา่ งมีเหตผุ ล
และมภี มู ิคุ้มกนั บนฐานของความรู้
และคณุ ธรรม
6.5 มีความรแู้ ละทักษะพ้ืนฐาน
ของการเปน็ ผปู้ ระกอบการที่ดี สามารถ
วางแผนการลงทนุ การผลติ การตลาด
การบรหิ ารจดั การดา้ นทรัพยากร
บุคลากร และการเงิน
คู่มอื การสรา้ งเคร่ืองมอื ประเมินสมรรถนะผู้เรยี นระดับการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน 30
สมรรถนะหลัก สมรรถนะย่อย พฤติกรรมบ่งชี้
6. ทกั ษะอาชพี 6.6 สามารถประยุกตใ์ ชค้ วามรู้ 1. ประยกุ ต์ใชค้ วามรู้ในการสรา้ ง
และการเปน็ ในการสร้างผลิตภัณฑเ์ ชงิ สร้างสรรค์ ผลิตภณั ฑ์เชิงสรา้ งสรรค์
ผ้ปู ระกอบการ มีจรรยาบรรณและความรับผิดชอบ 2. มจี รรยาบรรณและความรับผดิ ชอบ
(Career Skills and ต่อสังคม ตอ่ สังคม
Entrepreneurship)
7. ทักษะการคิด 7.1 คิดพิจารณาเร่อื งตา่ ง ๆ โดยมขี ้อมลู 1. คิดพจิ ารณาเรื่องตา่ ง ๆ โดยมขี อ้ มลู
ขั้นสงู และนวัตกรรม เกย่ี วข้องกบั เรื่องนั้นอย่างเพียงพอ เกี่ยวขอ้ งกบั เร่ืองนนั้ อย่างเพียงพอ
(Higher Order สามารถวเิ คราะห์ วิพากษ์ และประเมนิ 2. วิเคราะห์ วพิ ากษ์ และประเมินขอ้ มูล
Thinking Skills ขอ้ มูลและเหตุผล สามารถสรุป และเหตุผล
and Innovation) ความเข้าใจและใหค้ วามเห็นในเรือ่ งนน้ั ๆ 3. สรุปความเข้าใจและใหค้ วามเห็น
HOTS: Critical ในเรือ่ งน้ัน ๆ
Thinking, 7.2 ใชว้ จิ ารณญาณ มีการตัดสินใจ ตัดสนิ ใจเรือ่ งตา่ ง ๆ บนฐานของข้อมลู
Problem solving, เร่ืองต่าง ๆ บนฐานของข้อมลู เหตผุ ล เหตผุ ล หลกั ฐาน อยา่ งมีวิจารณญาณ
Creative Thinking หลกั ฐานรวมทงั้ การพจิ ารณา
อยา่ งรอบดา้ น ทัง้ ในดา้ นคุณโทษ
และความเหมาะสมตามหลักกฎหมาย
ศีลธรรม คุณธรรม ค่านยิ ม รวมท้งั
ความเช่อื และบรรทดั ฐานของสังคม
และวฒั นธรรม
7.3 ระบปุ ัญหาทเ่ี กิดขึน้ กบั ตนเอง 1. ระบปุ ญั หาทเี่ กิดขนึ้ กบั ตนเอง
และผู้อืน่ ได้ มีมุมมองต่อปญั หา และผอู้ ่นื ได้
ในทางบวก กล้าเผชญิ ปัญหา และคิด 2. มมี มุ มองต่อปัญหาในทางบวก
แก้ปญั หาอยา่ งเปน็ ระบบ โดยมี 3. กลา้ เผชญิ ปญั หา
การวเิ คราะหป์ ัญหาและหาสาเหตุ และคดิ แกป้ ญั หาอยา่ งเป็นระบบ
ที่แทจ้ ริง หาวิธกี ารแกป้ ัญหา 4. มกี ารวิเคราะห์ปัญหา
ทหี่ ลากหลาย และแปลกใหม่ และหาสาเหตุทีแ่ ท้จรงิ
เลือกวิธีการทเี่ หมาะสมที่สดุ 5. หาวิธีการแก้ปญั หาท่ีหลากหลาย
แล้ววางแผนดำเนินการแก้ปัญหา และแปลกใหม่
อยา่ งเปน็ ขัน้ ตอน 6. เลือกวิธกี ารที่เหมาะสมท่สี ุด
แลว้ วางแผนดำเนินการแก้ปัญหา
อย่างเปน็ ข้นั ตอน
คู่มอื การสรา้ งเคร่ืองมือประเมินสมรรถนะผู้เรียนระดับการศึกษาขัน้ พนื้ ฐาน 31
สมรรถนะหลัก สมรรถนะย่อย พฤตกิ รรมบ่งชี้
7. ทักษะการคิด 7.4 ลงมอื แก้ปญั หาดว้ ยตนเอง 1. ลงมอื แกป้ ัญหาดว้ ยตนเอง
ขั้นสงู และนวตั กรรม และรว่ มมือกบั ผู้อืน่ ในการแก้ปัญหา 2. รว่ มมอื กับผู้อ่ืนในการแก้ปัญหา
(Higher Order อยา่ งเปน็ ระบบ มีการดำเนนิ การ อยา่ งเปน็ ระบบ
Thinking Skills ตามแผน เกบ็ ข้อมลู วิเคราะห์ขอ้ มูล 3. มีการดำเนินการตามแผน
and Innovation) สรปุ และประเมินผล 4. เกบ็ ข้อมลู
HOTS: Critical 5. วเิ คราะหข์ ้อมลู
Thinking, 7.5 มีความยืดหยุ่นทางความคิด 6. สรุปและประเมินผล
Problem solving, สามารถมอง/คดิ และให้ความเห็น
Creative Thinking ในเร่อื งตา่ ง ๆ ไดห้ ลากหลายแง่มมุ 1. มคี วามยืดหยุ่นทางความคิด สามารถ
หลายมิติ หลายวิธี ยินดีรบั ฟงั มอง/คดิ และให้ความเห็นในเรื่องตา่ ง ๆ
8. การร้เู ท่าทนั ความคิดเหน็ ท่ีแตกต่าง สามารถ ไดห้ ลากหลายแง่มมุ หลายมติ ิ หลายวิธี
ส่อื สารสนเทศ ประสานหรือสังเคราะห์ความคดิ 2. ยินดรี บั ฟังความคดิ เหน็ ที่แตกต่าง
และดจิ ทิ ลั (Media, ทแ่ี ตกตา่ ง และรเิ รม่ิ ความคิดใหม่ ๆ 3. ประสานหรือสังเคราะห์ความคิด
Information and 7.6 คดิ ริเร่ิมสงิ่ ใหม่ ๆ ซึ่งอาจเปน็ ท่แี ตกต่าง และริเร่มิ ความคดิ ใหม่ ๆ
Digital Literacy: การปรบั หรอื ประยกุ ต์จากของเดิม
MIDL) หรอื ตอ่ ยอดจากสิ่งเดมิ หรือริเริม่ 1. คิดริเริ่มสิง่ ใหม่ ๆ ซึ่งอาจเป็น
ความคดิ แปลกใหม่ท่แี ตกต่างจากเดิม การปรับหรอื ประยุกตจ์ ากของเดมิ
โดยสามารถอธิบายความคดิ ให้ผู้อ่ืน หรอื ตอ่ ยอดจากสิ่งเดมิ หรือริเริม่
เข้าใจ และทำให้ความคิดนนั้ เกิดผล ความคิดแปลกใหม่ แตกตา่ งจากเดิม
เป็นรปู ธรรม เปน็ แนวคดิ ใหม่ กระบวนการ 2. อธบิ ายความคิดให้ผู้อื่นเขา้ ใจ
ใหม่ นวตั กรรม ส่ิงประดิษฐ์ และทำให้ความคิดนัน้ เกิดผล
และผลติ ภัณฑ์ ตา่ ง ๆ อนั เปน็ ประโยชน์ เป็นรูปธรรม เป็นแนวคิดใหม่
ตอ่ ตนเอง ผอู้ นื่ สังคม ประเทศ กระบวนการใหม่ นวตั กรรม สง่ิ ประดษิ ฐ์
และโลก และผลติ ภัณฑ์ตา่ ง ๆ อนั เปน็ ประโยชน์
8.1 เข้าถงึ แหลง่ ส่ือ สารสนเทศ ตอ่ ตนเอง ผอู้ นื่ สังคม ประเทศ และโลก
และเทคโนโลยดี ิจิทัลทีห่ ลากหลาย
เพอื่ ใชส้ ืบคน้ ข้อมูลและสารสนเทศ 1. เข้าถึงแหล่งสอ่ื สารสนเทศ
ทต่ี อ้ งการอย่างเขา้ ใจ และเลือกเร่ือง และเทคโนโลยีดิจทิ ัลทห่ี ลากหลาย
ที่จะเกิดประโยชน์ต่อตนเอง ชมุ ชน เพ่อื ใช้สืบคน้ ขอ้ มูลและสารสนเทศ
และสงั คม ท่ตี อ้ งการอย่างเขา้ ใจ
8.2 เข้าใจความร้สู ึกและความต้องการ 2. เลอื กเรอ่ื งท่จี ะเกิดประโยชน์
ของตนเองเมอื่ ใช้สื่อ สารสนเทศ ต่อตนเอง ชมุ ชน และสงั คม
ทงั้ การเข้าถงึ ส่งต่อ และกระจายข้อมูล เขา้ ใจความร้สู ึกและความต้องการ
ข่าวสาร โดยรบั ผดิ ชอบผลทจี่ ะเกิด ของตนเอง เม่ือใช้ส่อื สารสนเทศ
ตามมาท้ังต่อตนเอง ผู้อืน่ และสังคม
คู่มือการสรา้ งเครื่องมอื ประเมินสมรรถนะผ้เู รียนระดับการศึกษาขนั้ พ้นื ฐาน 32
สมรรถนะหลกั สมรรถนะย่อย พฤตกิ รรมบ่งช้ี
8. การรเู้ ทา่ ทนั 8.3 วิเคราะห์ วพิ ากษ์ และประเมนิ 1. วิเคราะห์ วพิ ากษ์สอ่ื สารสนเทศ
ส่ือสารสนเทศ สือ่ สารสนเทศ และเทคโนโลยีดจิ ิทัล และเทคโนโลยีดจิ ิทลั
และดจิ ิทลั (Media, ในดา้ นจุดประสงค์ของการสื่อสาร 2. ประเมนิ สื่อสารสนเทศ
Information and กระบวนการสรา้ ง และบทบาทของสื่อ และเทคโนโลยดี ิจิทัล
Digital Literacy: สารสนเทศ และเทคโนโลยีดิจทิ ลั
MIDL) แบบต่าง ๆ อยา่ งเปน็ ผู้รูเ้ ทา่ ทัน
ผลกระทบท่ีอาจจะเกิดกบั ตนเอง ผู้อนื่
และสงั คม
8.4 ประยกุ ต์ใชค้ วามฉลาดรดู้ ้านดจิ ิทัล ประยกุ ต์ใช้ความฉลาดรดู้ า้ นดิจิทัล
ประกอบดว้ ยการจัดการเวลา การรกั ษา - การจัดการเวลา
ข้อมลู สว่ นตวั การรักษาความปลอดภัย - การรกั ษาขอ้ มลู ส่วนตัว
ของตนเอง และการตั้งรบั ภยั คกุ คาม - การรักษาความปลอดภัยของตนเอง
ทางโลกออนไลน์ เม่ือต้องสัมพนั ธก์ ับ การตั้งรับภัยคุกคามทางโลกออนไลน์
เทคโนโลยดี ิจทิ ัลในสถานการณ์ตา่ ง ๆ
8.5 ใชค้ วามรู้และความเข้าใจด้านส่อื ใชค้ วามร้แู ละความเขา้ ใจดา้ น
สารสนเทศ และเทคโนโลยีดจิ ทิ ัล สือ่ สารสนเทศและเทคโนโลยีดจิ ิทลั
อยา่ งรบั ผิดชอบและมีจริยธรรม ท้ังเพ่ือ อย่างรับผิดชอบและมจี ริยธรรม
การเรียนรู้ การใชช้ วี ิต
และความสัมพันธ์กบั บุคคลอื่น ๆ
ในโลกความจริงและโลกเสมือน
9. การทำงาน 9.1 มีทักษะการเป็นผ้นู ำ การเป็นสมาชิก 1. มที กั ษะการเป็นผูน้ ำ การเปน็
แบบรวมพลังเป็นทีม กลุ่ม และกระบวนการทำงานกลุ่ม/ สมาชกิ กลุ่ม
และมีภาวะผูน้ ำ กระบวนการทำงานเปน็ ทมี ท่ีดี 2. มีทกั ษะกระบวนการทำงานกลมุ่ /
(Collaboration มีประสทิ ธภิ าพ กระบวนการทำงานเปน็ ทีมท่ีดี
Teamwork and มปี ระสิทธภิ าพ
Leadership)
9.2 แลกเปลย่ี นความรู้ แบ่งปันความคิด แลกเปลย่ี นความรู้ แบง่ ปนั ความคดิ
ด้วยความเต็มใจ เพอื่ สนบั สนุนส่งเสริม
ใหก้ ลุ่มบรรลผุ ลตามเป้าหมายทกี่ ำหนด
รว่ มกนั
9.3 รบั ฟงั ยอมรับ และเคารพ รบั ฟงั ยอมรบั และเคารพความคดิ เห็น
ความคิดเหน็ มุมมองท่ีแตกตา่ งของผู้อนื่ มมุ มองที่แตกตา่ งของผู้อนื่
อย่างจรงิ ใจ เพ่ือให้เกิดความเข้าใจอนั ดี
ระหว่างกันอยา่ งแท้จรงิ
คูม่ ือการสร้างเครื่องมือประเมินสมรรถนะผเู้ รียนระดับการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน 33
สมรรถนะหลัก สมรรถนะย่อย พฤตกิ รรมบ่งช้ี
9. การทำงาน 9.4 รว่ มทำงานกลุ่ม ปฏิบตั ิตนในฐานะ 1. รว่ มทำงานกลมุ่
2. ปฏบิ ตั ติ นในฐานะสมาชิกกลุ่ม
แบบรวมพลังเปน็ ทีม สมาชกิ กลุ่มที่รบั ผดิ ชอบตอ่ หนา้ ท่ี ทร่ี บั ผิดชอบตอ่ หน้าทีแ่ ละบทบาท
ทีไ่ ด้รบั มอบหมายอยา่ งใสใ่ จ
และมภี าวะผู้นำ และบทบาทที่ไดร้ บั มอบหมาย 3. ใหค้ วามไว้วางใจกันและกัน เพ่อื ให้
เกิดความสำเร็จในการทำงาน
(Collaboration อย่างใส่ใจ และให้ความไว้วางใจกนั และความสัมพันธ์ทด่ี ี
Teamwork and และกัน เพือ่ ใหเ้ กิดความสำเร็จ
Leadership) ในการทำงาน และความสมั พันธ์ทด่ี ี
9.5 สร้างแรงบนั ดาลใจใหผ้ อู้ ื่นได้พัฒนา 1. สร้างแรงบันดาลใจใหผ้ ูอ้ ่นื ได้พฒั นา
ตนเองและใช้ความสามารถของ ตนเอง
แต่ละคน เพ่ือให้บรรลผุ ลสำเรจ็ ร่วมกัน 2. ใชค้ วามสามารถของแตล่ ะคนเพื่อให้
บรรลุผลสำเรจ็ รว่ มกนั
9.6 ปรับตัว พร้อมประสานความคิดทม่ี ี 1. ปรบั ตัว พร้อมประสานความคดิ
ความแตกต่าง พร้อมใช้สันตวิ ิธี ที่มีความแตกต่าง
ในการจัดการปัญหาความขดั แย้ง 2. ใชส้ นั ติวิธใี นการจดั การปัญหา
เพื่อสร้างและรักษาความสัมพันธ์ ความขัดแย้ง เพ่ือสรา้ งและรักษา
ทางบวกกบั สมาชิก ความสัมพันธ์ทางบวกกบั สมาชกิ
10. การเปน็ พลเมือง 10.1 ปฏบิ ัตติ ามบทบาทหน้าที่ของ ปฏบิ ตั ิตามบทบาทหนา้ ทีข่ องพลเมือง
ในระบอบประชาธปิ ไตย อันมี
ตน่ื รู้ ที่มีสำนึกสากล พลเมืองในระบอบประชาธิปไตย อนั มี พระมหากษัตริยท์ รงเปน็ ประมุข
(Active Citizens พระมหากษัตรยิ ท์ รงเปน็ ประมขุ 1. เคารพสทิ ธิและเสรีภาพของตนเอง
และผ้อู ื่น
with Global 10.2 เคารพสทิ ธิและเสรีภาพของ 2. เคารพและปฏิบตั ิตามกฎ กตกิ า
ขอ้ ตกลงและกฎหมาย รวมทั้ง
Mindedness) ตนเองและผู้อ่นื เคารพและปฏิบัติ แนวปฏิบัติตามขนบธรรมเนยี ม
และประเพณี
ตามกฎ กติกา ข้อตกลงและกฎหมาย 1. ใหเ้ กยี รตผิ ้อู ื่น
2. เหน็ อกเห็นใจ เอ้ืออาทร
รวมท้งั แนวปฏิบตั ิตามขนบธรรมเนยี ม 3. ชว่ ยเหลอื ผอู้ ่นื เพ่อื การอยู่รว่ มกนั
อยา่ งสงบสขุ
และประเพณี
รว่ มมอื กบั ผู้อ่ืนในการทำงานสาธารณะ
10.3 ให้เกียรตผิ ู้อน่ื เห็นอกเห็นใจ และจติ อาสา
เอ้ืออาทร ชว่ ยเหลือผอู้ ื่น
เพอื่ การอยรู่ ่วมกนั อย่างสงบสุข
10.4 รว่ มมอื กบั ผ้อู ่นื ในการทำงาน
สาธารณะและจิตอาสา
คูม่ อื การสร้างเครื่องมอื ประเมินสมรรถนะผ้เู รยี นระดบั การศึกษาขนั้ พ้ืนฐาน 34
สมรรถนะหลกั สมรรถนะย่อย พฤตกิ รรมบ่งช้ี
10. การเปน็ พลเมือง 10.5 ตดิ ตามสถานการณ์ เหตุการณ์ 1. ตดิ ตามสถานการณ์ เหตุการณ์
ต่นื รู้ ท่มี ีสำนกึ สากล บา้ นเมือง และปญั หาของชุมชน สังคม บ้านเมือง และปัญหาของชมุ ชน สังคม
(Active Citizens และโลก มสี ว่ นรว่ มทางตรงหรอื และโลก
with Global ทางอ้อมในการพฒั นาเปลี่ยนแปลง 2. มีสว่ นรว่ มทางตรงหรือทางออ้ ม
Mindedness) และแก้ไขปัญหา ในการพฒั นาเปลย่ี นแปลง และแก้ไข
ปัญหา
10.6 มกี ารตดั สินใจและการแก้ปัญหา 1. มีการตดั สนิ ใจและการแก้ปัญหา
ร่วมกนั สามารถแสดงจุดยืนของตนเอง รว่ มกนั
มีทกั ษะในการตัดสินใจ การแก้ไขปัญหา 2. แสดงจดุ ยืนของตนเอง
การแก้ไขความขดั แย้งดว้ ยการ 3. มที กั ษะในการตดั สนิ ใจ การแกไ้ ข
ให้ความร่วมมือ และการแสดงออก ปญั หา การแก้ไขความขดั แยง้
ซ่ึงความสามารถทจี่ ะอย่รู ่วมกัน ดว้ ยการให้ความรว่ มมือ
ท่ามกลางความหลากหลาย 4. มกี ารแสดงออกซง่ึ ความสามารถทจ่ี ะ
อย่รู ว่ มกนั ทา่ มกลางความหลากหลาย
10.7 มีทกั ษะการตคี วาม การตดิ ตาม 1. มที กั ษะการตีความ การติดตาม
ข่าวสาร เหตกุ ารณบ์ ้านเมือง ขา่ วสาร เหตกุ ารณ์บ้านเมอื ง
และความเคล่อื นไหวเชิงการเมือง และความเคลื่อนไหวเชงิ การเมือง
การตีความนโยบายและการตัดสินใจ 2. มที กั ษะการตีความ นโยบาย
ทางการเมือง และการวจิ ารณ์ขอ้ มลู และการตดั สินใจทางการเมือง
ขา่ วสารจากสอื่ รวมถึงผลประโยชน์ 3. มีทกั ษะการวจิ ารณ์ข้อมูลข่าวสาร
และระบบคณุ ค่าท่ีเกี่ยวขอ้ งกัน จากสื่อ รวมถงึ ผลประโยชนแ์ ละระบบ
คุณค่าเกี่ยวข้องกนั
10.8 มสี ว่ นรว่ มกับกลมุ่ หนว่ ยงาน 1. มสี ่วนรว่ มกบั กลมุ่ หนว่ ยงาน
หรอื องคก์ รเพื่อกิจการสาธารณะ หรอื องค์กรเพอ่ื กจิ การสาธารณะ
เป็นอาสาสมัครในประเด็นทางสงั คม 2. เปน็ อาสาสมัครในประเด็น
ที่หลากหลาย สามารถทำงานกับชมุ ชน ทางสงั คมที่หลากหลาย
และภาคประชาสังคมระดับต่าง ๆ 3. สามารถทำงานกบั ชุมชนและภาค
ท่เี หมาะสมกบั ความรู้ความสามารถ ประชาสงั คมระดับตา่ ง ๆ ทเี่ หมาะสม
ของตนเอง กบั ความร้คู วามสามารถของตนเอง
10.9 มที กั ษะการจดั การการ 1. มที กั ษะการจดั การ การเปล่ยี นแปลง
เปล่ียนแปลง และประยุกต์ใช้เพื่อลด 2. ประยุกตใ์ ช้เพื่อลดหรือขจัดขอ้ ขัดแย้ง
หรือขจดั ข้อขัดแย้ง และการแสวงหา 3. แสวงหาทางออกด้วยวิธกี ารตา่ ง ๆ
ทางออกด้วยวธิ ีการตา่ ง ๆ เช่น
การประนปี ระนอม การเจรจาเชิงสันติ
สมานฉันท์ การคดิ เชิงยุทธศาสตร์ เพื่อ
ก้าวข้ามปัญหาไปสเู่ ป้าหมายอยา่ งสนั ติ
คมู่ ือการสรา้ งเครื่องมอื ประเมินสมรรถนะผเู้ รยี นระดบั การศึกษาข้นั พ้นื ฐาน 35
7. การเชือ่ มโยงความสัมพันธ์ระหว่างสมรรถนะผู้เรียนตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพน้ื ฐาน
กบั สมรรถนะหลกั ของผเู้ รียนระดับการศกึ ษาข้ันพนื้ ฐาน ของคณะกรรมการอิสระเพ่ือปฏริ ปู การศึกษา
การบริหารจัดการเก่ยี วกบั สมรรถนะผู้เรียนทีเ่ ป็นเปา้ หมายในการจัดการเรยี นรู้ในชนั้ เรียน
ในกรณีท่ีมีสมรรถนะท่ีเกยี่ วข้องกบั ผู้เรียนจาก 2 หน่วยงาน คอื สมรรถนะทจ่ี ำเป็นของผเู้ รยี นตามหลกั สูตร
แกนกลางการศึกษาข้ันพ้นื ฐาน กับ สมรรถนะหลักของผเู้ รียนระดับการศึกษาข้นั พน้ื ฐาน
ของคณะกรรมการอิสระเพื่อปฏิรูปการศกึ ษา ดงั นัน้ เพ่ือลดความซับซ้อนในการจัดการเรียนรู้และการวดั
ประเมินผล ครผู ู้สอนจำเป็นต้องทำการวิเคราะหเ์ พื่อเชอ่ื มโยงความสมั พันธ์ระหวา่ งสมรรถนะภายในกลุ่ม
สมรรถนะ (Within) และระหว่างกลมุ่ สมรรถนะ (Between) โดยพจิ ารณาจากความสมั พนั ธ์ของตวั ช้ีวัด
ของสมรรถนะตามหลกั สตู รกับสมรรถนะย่อยของสมรรถนะของคณะกรรมการอิสระฯ เม่อื ทำการเชอื่ มโยง
แลว้ สถานศึกษาสามารถกำหนดเปน็ สมรรถนะผู้เรยี นของตนเอง โดยกำหนดเป็นกรอบในการจัดการเรยี นรู้
และประเมินผล และดำเนินการในลักษณะของปฏิบตั ิเพยี งครัง้ เดียว แตส่ ามารถสะท้อนสมรรถนะของ
ผ้เู รยี นพร้อมกันทั้งสองหนว่ ยงาน โดยการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ สามารถแสดงได้ดังแผนภาพต่อไปนี้
ตวั ชวี้ ัด สอดคลอ้ ง สมรรถนะ
ที่ 1 ยอ่ ยที่ 1
สมรรถนะ สอดคล้อง สมรรถนะ
ที่ 1 บางสว่ น ที่ 1
สมรรถนะ ตวั ชี้วัด สมรรถนะ สมรรถนะตาม
ท่ี 2 ยอ่ ยท่ี 2 คณะกรรมการ
สมั พนั ธก์ นั ตาม สอดคล้อง อสิ ระฯ สัมพนั ธก์ ัน
หลกั สตู รฯ
สมรรถนะ
ตัวชี้วดั สมรรถนะ ที่ …….
ท่ี 1 ยอ่ ยท่ี 1
สมรรถนะ สอดคล้อง
ที่ ……. บางส่วน
ตัวช้ีวดั สมรรถนะ
ท่ี 2 ยอ่ ยที่ 2
คูม่ อื การสรา้ งเคร่ืองมือประเมินสมรรถนะผูเ้ รยี นระดบั การศึกษาข้ันพื้นฐาน 36
ตัวอย่างการเช่ือมโยงความสัมพันธ์ของสมรรถนะสำคัญผู้เรียนตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษา
ข้ันพื้นฐาน กับสมรรถนะหลักของผู้เรียนระดับการศึกษาข้ันพื้นฐาน ของคณะกรรมการอิสระเพ่ือปฏิรูป
การศกึ ษา
คู่มอื การส
ตัวอยา่ ง การเช่อื มโยงตวั ช้ีวดั ของสมรรถนะสำคัญของผู้เรยี นตามหลกั สูตรฯ กบั สมรร
การศกึ ษา
สมรรถนะหลกั
ส
ตวั ชี้วดั ที่ 1 ใช้เหตุผลในการแกป้ ัญหา สมรรถนะยอ่ ยที่ 1 สมรรถนะย่อยท่ี
และอุปสรรค คดิ พจิ ารณาเร่ืองต่าง ๆ ใชว้ ิจารณญาณ ม
โดยมีข้อมูลเกยี่ วขอ้ ง ตดั สินใจบนฐานข
ตวั ชว้ี ดั ที่ 2 แกป้ ญั หาโดยคำนงึ ถึงหลัก กับเรอื่ งนน้ั อยา่ ง ขอ้ มลู หลกั ฐาน
คณุ ธรรมและจริยธรรม เพียงพอ รวมทัง้ การพิจารณ
อย่างรอบด้าน
ตวั ชว้ี ดั ท่ี 3 แสวงหาความรแู้ ละ ⚫
สารสนเทศมาประยุกต์ใชใ้ นการปอ้ งกนั ⚫
สมรรถนะสำคญั และแกไ้ ขปญั หา ⚫
ของผเู้ รียนตาม
ตัวช้วี ดั ท่ี 4 สามารถปรับเปลย่ี น ⚫
หลกั สตู รฯ พฤตกิ รรมให้เข้ากบั สภาพแวดล้อมได้
สมรรถนะที่ 5 ตัวชี้วดั ที่ 5 สามารถตัดสินใจอยา่ งมี
ความสามารถใน ประสิทธภิ าพ โดยคำนึงถงึ ผลกระทบที่
เกดิ ข้นึ ตอ่ ตนเอง สังคม และสง่ิ แวดล้อม
การคดิ
ตวั ชวี้ ดั ที่ 6 ยอมรับการตัดสินใจของ
ตนเอง
หมายเหตุ ⚫ สอดคล้อง สอดคล้องบางสว่ น/ไม่แน่ใจ
สรา้ งเครื่องมอื ประเมินสมรรถนะผู้เรยี นระดับการศึกษาขัน้ พนื้ ฐาน 37
รถนะยอ่ ยของสมรรถนะหลักของผเู้ รียน ของคณะกรรมการอิสระเพ่ือการปฏริ ูป
กของผเู้ รยี น ของคณะกรรมการอสิ ระเพ่ือการปฏิรปู การศึกษา
สมรรถนะท่ี 7 ทักษะการคิดขั้นสงู และนวัตกรรม
2 สมรรถนะย่อยท่ี 3 สมรรถนะย่อยที่ 4 สมรรถนะยอ่ ยท่ี 5 สมรรถยอ่ ยท่ี 6
มีการ ระบปุ ญั หาที่เกดิ ขน้ึ กบั ลงมือแก้ปญั หาดว้ ย มคี วามยดื หย่นุ ทาง คิดรเิ ริม่ สิ่งใหม่ ๆ ซ่งึ
ของ ตนเองและผอู้ ่ืนได้ ตนเอง และร่วมมอื กบั ความคดิ มอง/คิดและ อาจเป็นการปรับหรือ
มีมมุ มองตอ่ ปญั หา ผ้อู น่ื ในการแก้ปญั หา ให้ความเห็นในเรอ่ื ง ประยุกต์จากของเดิม
ณา ในทางบวก และคิด อยา่ งเปน็ ระบบ ตา่ ง ๆ ได้หลากหลาย หรือต่อยอดจากส่ิงเดิม
แก้ปญั หาเปน็ ระบบ มติ ิ หลายวธิ ี คิดแปลกใหม่
⚫
⚫
คู่มอื การส
แบบฝกึ วเิ คราะห์ความเช่อื มโยงสมรรถนะสำคญั ของผูเ้ รยี นตามหลักสตู รแกนกลางการ
สมรรถนะสำคญั ของผ
สมรรถนะท่ี
ตัวชวี้ ัดท่ี 1 ตัวชี้วดั ท่ี 2
ตชว.1 นำกระบวนการเรยี นรู้ที่
สมรรถนะสำคัญ หลากหลายไปใช้ในชวี ิตประจำวัน
ของผู้เรียนตาม
ตชว.2 เรียนร้ดู ้วยตนเองและเรยี นรู้
หลักสตู รฯ อยา่ งตอ่ เนื่อง
ตชว.3 ทำงานและอยรู่ ว่ มกนั ใน
สงั คมอย่างมีความสุข
สมรรถนะที่ 4 ตชว.4 จดั การกบั ปัญหาและ
ความขัดแย้ง ในสถานการณ์ต่าง ๆ
ความสามารถใน ได้อย่างเหมาะสม
การใช้ทักษะชวี ติ
ตชว.5 ปรับตวั ต่อการเปลย่ี นแปลง
ทางสงั คม และสภาพแวดล้อม
ตชว.6 หลกี เลี่ยงพฤติกรรมไม่
พงึ ประสงค์ ท่ีส่งผลกระทบต่อตนเอง
และผูอ้ ่ืน
หมายเหตุ ⚫ สอดคล้อง สอดคลอ้ งบางสว่ น/ไมแ่ น่ใจ
สรา้ งเครื่องมือประเมินสมรรถนะผเู้ รยี นระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน 38
รศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศกั ราช 2551
ผเู้ รียนตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พทุ ธศกั ราช 2551
...........................................................................................
2 ตัวชว้ี ดั ท่ี 3 ตวั ชว้ี ดั ที่ 4 ตวั ชีว้ ดั ที่ 5 ตวั ช้ีวดั ท่ี 6
คูม่ ือการส
แบบฝกึ วิเคราะห์ความเชอ่ื มโยงสมรรถนะสำคัญของผู้เรียนตามหลกั สูตรฯ กับสมรรถน
สมรรถนะหล
สมรรถนะท
สมรรถนะย่อยท่ี 1 สมรรถนะย่อย
ตชว.1 นำกระบวนการเรียนรู้ที่
สมรรถนะสำคญั หลากหลายไปใชใ้ นชีวิตประจำวัน
ของผูเ้ รียนตาม
ตชว.2 เรยี นรดู้ ้วยตนเองและเรยี นรู้
หลักสูตรฯ อยา่ งตอ่ เนอื่ ง
ตชว.3 ทำงานและอยรู่ ว่ มกันในสงั คม
อยา่ งมคี วามสุข
สมรรถนะท่ี 4 ตชว.4 จัดการกับปัญหาและ
ความขัดแย้ง ในสถานการณ์ต่าง ๆ ได้
ความสามารถใน อย่างเหมาะสม
การใช้ทกั ษะชีวิต
ตชว.5 ปรบั ตวั ต่อการเปล่ยี นแปลงทาง
สังคม และสภาพแวดลอ้ ม
ตชว.6 หลีกเล่ียงพฤติกรรมไม่
พงึ ประสงค์ ทีส่ ง่ ผลกระทบต่อตนเองและผอู้ นื่
หมายเหตุ ⚫ สอดคล้อง สอดคลอ้ งบางส่วน/ไมแ่ น่ใจ
สรา้ งเคร่ืองมอื ประเมินสมรรถนะผเู้ รยี นระดับการศึกษาขัน้ พ้ืนฐาน 39
นะหลกั ของผเู้ รยี นของคณะกรรมการอิสระเพ่ือการปฏริ ปู การศึกษา
ลกั ของผเู้ รยี น ของคณะกรรมการอสิ ระเพ่ือการปฏริ ปู การศกึ ษา
ท่ี ...........................................................................................
ยที่ 2 สมรรถนะยอ่ ยที่ 3 สมรรถนะย่อยที่ 4 สมรรถนะย่อยที่ 5 สมรรถนะย่อยที่ 6
ค่มู ือการสร้างเครื่องมือประเมินสมรรถนะผ้เู รยี นระดับการศึกษาขัน้ พ้นื ฐาน 40
ตอนท่ี 4
การออกแบบการเรยี นรอู้ งิ สมรรถนะ
คมู่ ือการสร้างเคร่ืองมือประเมินสมรรถนะผู้เรียนระดับการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน 41
การออกแบบการเรยี นรู้องิ สมรรถนะ เป็นการวางแผนการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้ให้แกผ่ ้เู รยี น
ทไี่ ม่ได้มุ่งเรื่องความรู้เนื้อหาวิชาทอ่ี าจเปล่ยี นแปลงได้ตามกาลเวลา แต่จะมุ่งพัฒนาในด้านทกั ษะ
ความสามารถ คุณลกั ษณะ เจตคติ และค่านิยม อนั จะมปี ระโยชนต์ อ่ ชีวติ ประจำวนั และอนาคตของผู้เรียน
ต่อไป โดยส่งเสริมใหผ้ ู้เรยี นนำความรู้ ทักษะ มาประยุกตใ์ ช้ในการปฏบิ ตั ิงาน หรือในสถานการณต์ า่ ง ๆ
ได้ประสบความสำเร็จตามวัตถุประสงค์ท่ีกำหนดไว้
การออกแบบการเรยี นรู้อิงสมรรถนะถือเปน็ ข้ันตอนสำคญั ท่ีจะชว่ ยพัฒนาความรู้ ความสามารถ
ทกั ษะกระบวนการ และคุณลักษณะในตวั ของผเู้ รียนเปน็ ผลผลิตทีเ่ กดิ จากการเรียนรู้ นำไปสู่การพฒั นา
สมรรถนะของผเู้ รียนเปน็ ผลลัพธท์ ีเ่ กดิ จากการเรยี นรู้ ดงั น้ัน ครูผู้สอนจะทำการออกแบบการเรยี นรู้
อิงสมรรถนะไดจ้ ะต้องมีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับหลกั สูตร การจัดการเรียนร้อู ิงสมรรถนะ การออกแบบ
และเขียนแผนการจัดการเรียนรู้อิงสมรรถนะ โดยมีรายละเอียดดงั ต่อไปน้ี
1. แนวคดิ เกี่ยวกบั หลักสตู รและการจดั การเรยี นรู้องิ สมรรถนะ
แนวคิดเกี่ยวกับการจัดการเรียนรู้อิงสมรรถนะในส่วนนจ้ี ะประกอบดว้ ย แนวคิดเก่ียวกับหลักสูตร
ฐานสมรรถนะ แนวคิดเกี่ยวกับการจัดการเรียนรู้องิ สมรรถนะ และรปู แบบการจดั การเรียนอิงสมรรถนะ
ในปจั จบุ นั โดยมีรายละเอียดดังตอ่ ไปนี้
1.1 หลักสตู รฐานสมรรถนะ (Competence-Based Curriculum)
หลกั สตู รฐานสมรรถนะ เปน็ หลกั สตู รท่ยี ดึ ความสามารถของผู้เรยี นเปน็ หลัก การออกแบบ
หลักสูตรตามแนวคิดสมรรถนะนี้ มกี ารกำหนดเกณฑ์ความสามารถท่ผี ้เู รียนพงึ ปฏิบัตไิ ด้ เปน็ หลักสูตรท่ี
ไม่ได้มุ่งเนน้ เรื่องเน้ือหาวิชาที่อาจมีการเปลย่ี นแปลงไดต้ ลอดเวลา แต่จะมุง่ พฒั นาดา้ นทักษะความสามารถ
เจตคติและค่านิยม อันจะมีประโยชนต์ อ่ ชีวิตประจำวันและในอนาคต ซงึ่ หลักสตู รฐานสมรรถนะน้มี ี
ลกั ษณะสำคญั คือ
1) มีการกำหนดผลการเรียนร้อู ย่างชัดเจนวา่ ผเู้ รยี นสามารถทำอะไรไดเ้ ม่อื จบหลักสูตร
(Course Outcomes /Performance Outcomes)
2) มีการใชก้ รอบมาตรฐานสมรรถนะเป็นกรอบในการพัฒนาหลกั สตู ร กำหนดเนื้อหา
วางแผนการจดั การเรียนการสอนและการประเมินผล ทำให้การเรยี นการสอนเช่ือมโยงกับการประเมินผล
และการรับรองคณุ วุฒิ โดยมาตรฐานสมรรถนะเป็นข้อกำหนดความรู้ และทักษะ และนำความรู้และทักษะ
น้นั ๆ ไปประยุกตใ์ ชใ้ นการทำงาน โดยปฏบิ ัตงิ านใหไ้ ด้ตามมาตรฐานทกี่ ำหนด
3) มีเกณฑ์การปฏิบัติ (Performance Criteria) เพ่ือใช้ในการประเมินผลผเู้ รยี นทแ่ี นน่ อน
ซ่งึ เกณฑ์การปฏบิ ตั ิ คือ ผลการเรยี นรู้ ซ่ึงคาดหวงั ใหผ้ รู้ ับการอบรม หรอื ผ้เู รียนสามารถทำได้เม่ือเรียนจบ
หนว่ ยน้ี
ดังน้ัน การวางแผนการจัดกจิ กรรมการเรยี นการสอนในหน่วยสมรรถนะนี้ ตอ้ งกำหนด
จดุ ประสงค์การปฏบิ ัติ (Performance Objective) หรือ จุดประสงค์การเรียนรู้ โดยให้ความรูแ้ ละการฝึก
ปฏบิ ัติเพ่ือใหผ้ ู้เรียนเกิดทักษะ สามารถปฏิบัตงิ านได้ตามเกณฑท์ ่ีกำหนด และการประเมินผลตอ้ ง
สอดคลอ้ งกบั เกณฑก์ ารปฏบิ ัติ จึงจะเกดิ การเรยี นการสอนและการประเมนิ ผลแบบฐานสมรรถนะ
เพราะใช้สมรรถนะเป็นตวั กำหนดตัง้ แต่การจัดการเรียนการสอนจนถงึ การประเมนิ ผล ซ่ึงการประเมนิ ผล
สามารถใช้รูปแบบทีห่ ลากหลาย ได้แก่ การสังเกต (Observation) การสาธิตและตั้งคำถาม
(Demonstration and Questioning) แบบทดสอบและข้อสอบอตั นัย (Pen and Paper Test and Essays)
ซ่ึงใช้ประเมินด้านความรู้ การสอบปากเปลา่ (Oral Test) การทำโครงงาน (Projects)
คมู่ อื การสรา้ งเครื่องมือประเมินสมรรถนะผูเ้ รียนระดบั การศึกษาขนั้ พนื้ ฐาน 42
สถานการณ์จำลอง (Simulations) แฟ้มผลงาน (Portfolios) การประเมนิ ผลโดยการใช้คอมพวิ เตอร์
(Computer-Based Assessment) ใชโ้ ปรแกรมสำเร็จรปู เปน็ เคร่ืองมอื ในการสร้างแบบทดสอบ
และบันทึกผลได้ (สจุ ติ รา ปทุมลังการ์, 2552)
1.2 การจดั การเรียนรู้องิ สมรรถนะ (Competency-Based Learning)
การจดั การเรยี นรู้องิ สมรรถนะ การเรียนรู้อิงสมรรถนะ หมายถึง ระบบการสอน
การประเมิน การให้ระดบั คะแนน (grading) และการรายงานทางการศกึ ษาท่ีอยบู่ นฐานการแสดงออก
ของนักเรียนท่ีไดร้ บั ความรูแ้ ละทักษะตา่ ง ๆ ท่ีพวกเขาถูกคาดหวังให้เรียน ทพ่ี วกเขากา้ วหน้าขนึ้ โดยผ่าน
การการศึกษาของพวกเขา ในโรงเรยี นของรัฐ ระบบฐานสมรรถนะใช้มาตรฐานการเรียนรู้ของรฐั กำหนด
ความคาดหวงั ทางวิชาการและนิยาม “สมรรถนะ” หรือ “ความชำนาญ” ในคอร์ส ขอบเขตวชิ า หรอื
ระดับช้ันท่ีจัดให้ (แม้ว่าชุดมาตรฐานอ่นื อาจจะถูกใช้ด้วย รวมถงึ มาตรฐานต่าง ๆ ท่ีถูกพัฒนาโดยเขตพ้นื ท่ี
และโรงเรียนหรอื โดยองคก์ รตามสาระวิชา) เปา้ หมายทั่วไปของการเรยี นรฐู้ านสมรรถนะ คอื เพื่อทำให้
มน่ั ใจว่าผู้เรียนจะไดร้ ับความรู้และทกั ษะท่ีถือวา่ สำคัญต่อความสำเรจ็ ในโรงเรยี น การศกึ ษาตอ่
ในระดบั อดุ มศึกษา การประกอบอาชีพ และการดำเนินชีวติ เม่อื เติบใหญ่ หากผูเ้ รยี นไมบ่ รรลุมาตรฐาน
การเรยี นรู้ พวกเขาก็จะต้องเรียน ฝึกปฏบิ ัติ และความชว่ ยเหลอื ทางวิชาการเพม่ิ เพอ่ื ชว่ ยให้พวกเขาบรรลุ
สมรรถนะหรือพฒั นาถึงมาตรฐานที่คาดหวงั
การจัดการเรียนรู้องิ สมรรถนะ (Competency-Based Learning) มีแกน่ ของการจดั
การเรียนการสอนทีเ่ น้นสมรรถนะได้ ดงั นี้
1. ผูเ้ รียนกา้ วหนา้ ในระดับทีส่ ามารถแสดงออกซง่ึ ความเชย่ี วชาญ
2. สมรรถนะท่ีแสดงออกมคี วามชัดเจน วดั ได้ และสะท้อนวตั ถุประสงค์ของการจัด
การเรยี นรู้ท่ตี ้องการสร้างให้ผเู้ รยี นมีความสามารถทเี่ ข้มแข็ง
3. มีการจัดประสบการณ์เรยี นรู้ในเชิงบวก และมคี วามหมายต่อผ้เู รยี น
4. ผ้เู รียนได้รบั การช่วยเหลือ รวมท้ังการจัดสรรเวลาใหเ้ หมาะสม บนพน้ื ฐานของ
ความแตกตา่ งในความตอ้ งการการเรียนรขู้ องผเู้ รยี นแต่ละคน
5. ผลการเรยี นร้ทู ีเ่ นน้ สมรรถนะรวมถงึ การนำไปใช้ และสร้างองค์ความรู้ได้ พรอ้ มกบั
การพัฒนาทกั ษะและคุณลักษณะที่สำคัญ
การจดั การเรียนการสอนองิ สมรรถนะใชแ้ นวคิดองคร์ วม (Holistic Approach) คอื
มองเด็กทุกดา้ น “Whole Child” มงุ่ พาผเู้ รยี นใหไ้ ปถงึ มาตรฐานที่แท้จริงมากกวา่ การบนั ทึกผลการเรียนรู้
กับแนวคดิ สมรรถนะ เปน็ หลักสูตรทสี่ อดคลอ้ งกับความต้องการของผูเ้ รยี นเป็นรายบคุ คลมากขนึ้
เป็นหลักสตู รฐานสมรรถภาพ (Proficiency-Based System) ซ่งึ จากการศึกษาสำรวจก็ได้พบ ลกั ษณะ
ดงั กล่าวน้ีด้วยเหมอื นกันในสหรฐั อเมริกาและที่อื่น ๆ
คูม่ ือการสรา้ งเคร่ืองมือประเมินสมรรถนะผูเ้ รียนระดับการศึกษาขน้ั พนื้ ฐาน 43
การเปรยี บเทียบลกั ษณะของการจดั การเรียนการสอนองิ สมรรถนะกับแบบดั้งเดมิ
ประเดน็ แบบอิงสมรรถนะ แบบดงั้ เดมิ
เนือ้ หา การเรยี นการสอนยึดตามผลการเรยี นรู้ การเรียนการสอนยึดตำราเรยี นเปน็ หลัก
(Learning Outcomes /Course Outcomes) หรือสื่อตา่ ง ๆ เพื่อนำมากำหนดเปน็ เนื้อหา
หรือเรยี กวา่ สมรรถนะ หรอื ภาระงาน รายวชิ า ซง่ึ อาจไมเ่ กย่ี วข้องกับการดำเนิน
(Competencies or Tasks) อย่างชัดเจน ชีวิตประจำวัน ผ้เู รียนไมท่ ราบชัดเจนว่า
ซ่งึ สมรรถนะทก่ี ำหนดขน้ึ เป็นสิ่งจำเป็นกับ ตอ้ งทำอะไรไดเ้ ม่ือจบหลกั สูตร ผู้สอนยึด
การศกึ ษาและการปฏิบตั ิงานตา่ ง ๆ ท่คี าดหวงั ว่า เนือ้ หาตามตำราเรียน บทต่อบทหรือ
ผูเ้ รยี นจะสามารถปฏบิ ตั ิได้เมื่อจบหลกั สตู ร หน่วยตอ่ หนว่ ย
ผสู้ อนจัดกจิ กรรมการเรยี นการสอน
ตามสมรรถนะที่กำหนด
กิจกรรม จัดกจิ กรรมการเรยี นที่เนน้ ผู้เรียนเปน็ สำคญั การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนเปน็ ไป
เลือกใชส้ ่อื ท่ีหลากหลาย และอปุ กรณ์ที่จะชว่ ยให้ ตามทผี่ ้สู อนกำหนด ผู้สอนเป็นผ้สู าธติ
ผู้เรียนปฏิบัตภิ าระงาน (task-oriented บรรยาย (Instructor centre learning
activities) ไดส้ ำเรจ็ ตามสมรรถนะที่กำหนด activities) ผูเ้ รยี นไดร้ บั ข้อมูลย้อนกลบั น้อย
เน้นกระบวนการเรียนรู้ ให้ข้อมูลย้อนกลบั
(Feedback) แกผ่ ู้เรยี นเป็นระยะ เพือ่ ใหผ้ เู้ รยี น
ไดป้ รบั ปรุง แก้ไขการปฏบิ ตั ิงานใหไ้ ด้ตามเกณฑ์
ระยะเวลา ใหเ้ วลาผู้เรียนแต่ละคนเพียงพอท่ีจะปฏิบตั ิ ใหเ้ วลาผ้เู รียนทกุ คนภายในเวลาท่ีกำหนด
ภาระงานหนง่ึ ๆ ให้สำเร็จก่อนทจี่ ะไปสภู่ าระงาน เทา่ กัน และเรยี นบทเรียนต่อไปพรอ้ มกนั
ตอ่ ไป ซึง่ อาจมากไป หรือน้อยไปสำหรบั ผเู้ รียน
แตล่ ะคนทม่ี ีศักยภาพแตกตา่ งกัน
การวดั และ ใหผ้ เู้ รียนแตล่ ะคนปฏิบตั ิภาระงานให้สำเรจ็ ใชข้ อ้ สอบวดั ผลแบบองิ กลุ่ม (Norm
ประเมินผล ตามเกณฑ์การปฏิบัติงานที่กำหนด ใช้การวัดผล referenced) โดยการเปรยี บเทยี บผล
แบบองิ เกณฑ์ (Criterion referenced) การปฏบิ ัติกบั ผ้เู รียนในกลุ่ม
ในการประเมนิ ผลความสำเร็จของผ้เู รยี น
แต่ละคน
คมู่ ือการสร้างเครื่องมอื ประเมินสมรรถนะผเู้ รียนระดับการศึกษาขัน้ พ้ืนฐาน 44
การวเิ คราะห์เปรยี บเทียบการสอนตามแนวคิดแบบด้งั เดิม (Traditional Approach)
และแบบอิงสมรรถนะ (Competency-based Approach)
กจิ กรรมก่อนเรยี น Traditional Approach Competency-based Approach
ผเู้ รยี นไมต่ อ้ งเชื่อมโยง ประสบการณ์และ ผู้เรยี นเชื่อมโยงความร้แู ละประสบการณ์
ความรู้ที่มี ที่มมี าใช้
กิจกรรมระหว่างเรยี น ผสู้ อนเป็นผู้จดั การประสบการณแ์ ละ ผูส้ อนให้ความรู้และประสบการณ์ท่ี
ความรู้ เชอ่ื มโยงกบั ความคิดและคา่ นยิ มของ
ผูส้ อนใหป้ ระสบการณแ์ ละความรู้ต่อ ผูเ้ รียน
ผู้เรียน
ผเู้ รียนได้รบั ความรูแ้ ละประสบการณใ์ หม่
ผเู้ รียนฟังและดกู ารนำเสนอ แล้วนำมาเช่อื มโยงกบั ความรูแ้ ละ
ประสบการณเ์ ดิม
ผู้เรียนกลน่ั กรองความรแู้ ละคา่ นยิ มท่ี
ไดร้ ับใหม่
กจิ กรรมหลงั เรียน ผ้เู รยี นทดลองความรู้และประสบการณ์ ผเู้ รยี นทดลองใช้ความรู้และประสบการณท์ ี่
ใหมใ่ นชวี ติ จรงิ หลงั จากเรียนจบแล้ว ได้รับใหมท่ ้ังในสถานการณจ์ ำลองและชวี ิต
จรงิ
ผู้เรียนใช้ความรแู้ ละประสบการณใ์ หม่
เป็นพนื้ ฐานในการเรยี นและหาความรู้
และประสบการณต์ อ่ ไป
ผูเ้ รียนประยุกต์ความร้แู ละนำไปใชใ้ น
ชวี ิตจริง