The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

เล่มคู่มือการสร้างเครื่องมือประเมินสมรรถนะ

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

เล่มคู่มือการสร้างเครื่องมือประเมินสมรรถนะ

เล่มคู่มือการสร้างเครื่องมือประเมินสมรรถนะ

คู่มือการสรา้ งเครื่องมอื ประเมินสมรรถนะผู้เรียนระดบั การศึกษาขน้ั พน้ื ฐาน 90

ตัวอย่างแบบตรวจสอบรายการท่ีใชป้ ระกอบการสอบถาม

สมรรถนะผเู้ รียน : ความสามารถในการแกป้ ญั หา
ตัวช้ีวดั ท่ี 1 ใชก้ ระบวนการแกป้ ัญหาโดยวเิ คราะห์ปัญหา วางแผนในการแก้ปญั หา ดำเนินการแก้ปัญหา

ตรวจสอบและสรุปผล
แบบตรวจสอบรายการสมรรถนะการแกป้ ัญหาสำหรับนักเรียนชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 6
คำชแี้ จง ให้นักเรยี นลงมอื แก้ปัญหาตามที่กำหนดแลว้ ประเมินตนเองว่าสามารถปฏบิ ัตไิ ด้ตามพฤติกรรม
ทกี่ ำหนดในแบบสอบถามหรือไม่

ชือ่ นกั เรยี น ............................................................ นามสกุล ............................................ เลขท่ี ................

ข้อที่ รายการประเมิน ระดบั การปฏิบัติ
ได้ ไม่ได้
1 ข้าพเจา้ ระบขุ ้อดีและข้อจำกัดของวธิ ีการแกป้ ัญหาได้
2 ข้าพเจา้ ตัดสินใจเลอื กวธิ กี ารแกป้ ญั หาให้มีผลในทางลบแก่ตนเองและผอู้ ื่น

นอ้ ยที่สุด
3 ข้าพเจ้ามกี ารวางแผนการแก้ปญั หา
4 ข้าพเจา้ ตรวจสอบ ทบทวนแผนการแก้ปัญหาทก่ี ำหนดไว้
5 ข้าพเจ้าสรุปผลการแก้ปญั หาได้ชัดเจน มีหลกั ฐานอ้างองิ
6 ขา้ พเจา้ มผี ลการแกป้ ัญหา หรือชิ้นงานที่เกิดจากการแก้ปญั หา สามารถเป็น

ตวั อยา่ งแก่ผู้อ่ืนได้
รวมคะแนน

คมู่ ือการสรา้ งเครื่องมอื ประเมินสมรรถนะผู้เรยี นระดบั การศึกษาขนั้ พืน้ ฐาน 91

ตวั อยา่ งแบบมาตรประมาณค่าทใี่ ช้ประกอบการสอบถาม

สมรรถนะผเู้ รยี น : ความสามารถในการแก้ปญั หา
ตวั ช้วี ดั ท่ี 1 ใช้กระบวนการแก้ปญั หาโดยวเิ คราะหป์ ญั หา วางแผนในการแก้ปญั หา ดำเนนิ การแกป้ ัญหา

ตรวจสอบและสรปุ ผล
คำชี้แจง ให้นักเรียนลงมอื แก้ปัญหาตามทกี่ ำหนดแล้วนักเรยี นประเมินตนเองวา่ สามารถปฏิบตั ิได้

ตามพฤตกิ รรมทกี่ ำหนดในระดบั ใด

ชอื่ นักเรยี น ............................................................ นามสกุล .............................................. เลขที่ .............

ข้อท่ี รายการประเมนิ มาก ระดับความคดิ เห็น นอ้ ย
ทส่ี ุด
ทสี่ ุด มาก ปาน น้อย
กลาง

1 ขา้ พเจ้าสนใจหาสาเหตุของปัญหาทเ่ี กดิ ขึน้

2 ข้าพเจา้ สนใจหาขอ้ มลู หลาย ๆ ด้านในการแก้ปญั หา

3 ข้าพเจา้ ร้สู ึกโกรธตัวเองเม่ือดำเนินการแก้ปญั หาไมไ่ ด้

4 ข้าพเจา้ รสู้ กึ เบือ่ หน่ายในการบนั ทึกข้อมลู ในการแก้ปัญหา

5 ขา้ พเจา้ พึงพอใจที่ไดส้ รปุ และรายงานผลการแก้ปัญหา

ได้อย่างสมเหตสุ มผล

6 ข้าพเจ้ารสู้ ึกภาคภูมิใจเม่ือแก้ปัญหาได้สำเรจ็

อย่างสมเหตุสมผลและสอดคล้องกับคุณธรรม

คูม่ อื การสร้างเครื่องมือประเมินสมรรถนะผู้เรียนระดบั การศึกษาขั้นพืน้ ฐาน 92

4. การสมั ภาษณ์

การสัมภาษณ์ คือ ชดุ ของประเด็นคำถามท่ีกำหนดไวเ้ ป็นกรอบในการสนทนา แบ่งเปน็ 2 ประเภท
ประกอบดว้ ย

4.1 การสัมภาษณ์ท่ีมโี ครงสร้าง เป็นการสมั ภาษณ์ทีม่ ีการกำหนดประเดน็ คำถามอยา่ งละเอียด
ไว้ล่วงหน้า เรยี งลำดับกอ่ นหลงั อย่างเป็นข้นั ตอน

4.2 การสมั ภาษณ์ทไ่ี ม่มโี ครงสรา้ ง เป็นการสมั ภาษณ์ท่มี ีการกำหนดประเด็นคำถามไว้
อยา่ งกวา้ ง ๆ เพียงประเด็นหลกั ๆ ส่วนประเดน็ อ่นื ๆ จะเพ่ิมเตมิ ระหวา่ งการสนทนา ไมม่ ีการเรียงลำดับ
ก่อนหลงั

องค์ประกอบของการสัมภาษณ์
1. ประเด็นการสมั ภาษณ์
2. แบบบนั ทึกการสมั ภาษณ์
ข้อควรคำนงึ ในการสร้างแบบสัมภาษณ์
1. ประเด็นท่ีจะสัมภาษณ์ต้องสอดคล้องกบั วัตถปุ ระสงค์
2. ถามดว้ ยภาษาทง่ี า่ ยเหมาะกบั ผู้ตอบ
3. คำถามไม่ควรชี้นำการตอบไปในทางใดทางหน่งึ
4. หลกี เล่ียงคำถามทท่ี ำให้ผู้ตอบรสู้ ึกอึดอัดใจ

แบบตรวจสอบรายการ (Checklist) เป็นเครื่องมอื ที่ใช้ประกอบการสงั เกต การสอบถาม
การสมั ภาษณ์ การทดสอบภาคปฏบิ ตั ิ วา่ ผู้เรียนมีสมรรถนะทต่ี ้องการประเมนิ หรือไม่ แบบตรวจสอบ
รายการประกอบด้วยรายการย่อย ๆ ทีเ่ กีย่ วข้องกบั พฤติกรรมท่ีจะประเมินโดยพิจารณาเพยี ง 2 กรณี เช่น

1) ผู้เรยี นปฏบิ ตั ิตามรายการย่อย ๆ หรือไมป่ ฏบิ ัติ
2) ผู้เรียนปฏิบัติตามรายการย่อย ๆ ผ่านหรือไมผ่ า่ น
3) ผู้เรียนปฏบิ ัตติ ามรายการย่อย ๆ ถกู หรือผิด
4) โดยไม่สนใจระดับคุณภาพของการปฏิบัติวา่ ปฏิบัตไิ ด้ดีระดับใด
ข้อควรคำนงึ ในการสร้างแบบตรวจสอบรายการ
1. ผู้สร้างตอ้ งมีความรจู้ ริงเกย่ี วกับคณุ ลักษณะท่ีต้องการตรวจสอบ เพื่อจะไดก้ ำหนดรายการ
พฤติกรรมได้ครอบคลมุ และตรงกบั คณุ ลักษณะท่ีแท้จริง
2. รายการพฤติกรรมย่อย ๆ จะต้องกำหนดอยา่ งชัดเจนในลักษณะที่สามารถสังเกตได้
และวดั ผลออกมาเป็นคะแนนได้
3. ควรจดั รูปแบบของแบบตรวจสอบรายการใหส้ ะดวกต่อการบนั ทึก โดยเขียนคำช้แี จง
มีช่องสำหรบั บันทึกผล และมีเกณฑ์การให้คะแนนทช่ี ัดเจน
4. จัดรูปแบบของแบบตรวจสอบรายการใหส้ ะดวกตอ่ การจดั เก็บ โดยออกแบบตรวจสอบ
รายการทสี่ ามารถบันทึกผลได้แผน่ ละหลาย ๆ คน หรอื ออกแบบสำรวจที่สามารถบนั ทึกผลเป็นรายบคุ คล
5. แบบตรวจสอบรายการใช้วดั การปฏิบัตไิ ดท้ ั้งกระบวนการและผลงาน แตเ่ หมาะสมกับการวัด
กระบวนการปฏบิ ตั ิท่สี ามารถระบุขัน้ ตอนการปฏิบัติได้อยา่ งชดั เจน
6. การใช้แบบตรวจสอบรายการในกรณที ี่ต้องการตรวจสอบวา่ ผู้เรียนมีคณุ ลักษณะหรอื ปฏิบตั ิ

ตามรายการย่อย ๆ ได้ถกู ต้องหรอื ไมเ่ ทา่ น้ัน ไมส่ ามารถใช้ตรวจสอบคุณภาพของคุณลักษณะหรือคุณภาพ

ของการปฏิบตั ิ

ค่มู อื การสร้างเครื่องมือประเมินสมรรถนะผู้เรียนระดบั การศึกษาข้ันพนื้ ฐาน 93

แบบมาตรประมาณคา่ (Rating Scale) เปน็ เครื่องมือท่ปี ระกอบการสังเกต การสอบถาม
วา่ ผู้เรียนมสี มรรถนะที่ต้องการประเมนิ หรือไม่ แบบตรวจสอบรายการประกอบด้วยรายการย่อย ๆ
ทเี่ ก่ยี วข้องกบั พฤติกรรมที่จะประเมิน โดยมรี ายการพฤติกรรมท่ีจะสังเกตและกำหนดระดับความมากนอ้ ย
ของพฤติกรรม ผู้ประเมนิ จะประเมินว่าพฤตกิ รรมท่ีแต่ละรายการมรี ะดับความมากน้อยอยู่ในระดบั ใด
ดังตัวอย่างต่อไปนี้

ขอ้ ควรคำนึงในการสร้างมาตรประมาณคา่
มาตรประมาณค่ามหี ลกั การสรา้ งเช่นเดียวกบั แบบตรวจสอบรายการ เนือ่ งจากเป็นเครื่องมอื
ทม่ี ีลกั ษณะคลา้ ยกัน แต่มขี ้อแตกตา่ งเพมิ่ เติม ดังน้ี
1. ต้องอธิบายความหมายของระดับคุณภาพในแต่ละระดับใหช้ ัดเจน เพอื่ ใหผ้ ใู้ ช้แบบประเมิน
เข้าใจความหมายตรงกัน
2. การใช้มาตรประมาณค่าในการประเมินพฤตกิ รรมนักเรียน ต้องระมดั ระวังความคลาด
เคลือ่ นที่อาจเกิดจากตัวผ้ปู ระเมนิ เอง เช่น

2.1 ความคลาดเคลื่อนท่ีเกิดจากความลำเอียง (Hallo Affect) ซ่งึ อาจเกิดไดท้ ้ังทางบวก
และทางลบ เช่น นกั เรียนคนหน่ึงเป็นคนขยัน ต้งั ใจเรยี น และช่างซกั ถาม มีน้ำใจ ทำให้ครเู อน็ ดู
เวลาให้คะแนนจึงให้คะแนนสูงกว่าที่เปน็ จรงิ หรือในทางตรงขา้ ม นกั เรียนคนหนึ่งข้เี กยี จ ชอบแสดงกริยา
ไม่ดีต่อครู เวลาใหค้ ะแนนจึงใหต้ ำ่ กวา่ ท่เี ป็นจริง

2.2 ความคลาดเคลื่อนท่ีเกิดจากผปู้ ระเมนิ เปน็ คนใจกวา้ งเกินไป (Generosity Error)
มกั เกิดกบั ครูที่ใจดี ข้ีสงสาร เวลาประเมนิ เลยปล่อยคะแนนสงู กวา่ ความเปน็ จริง เพราะสงสารลกู ศิษย์

2.3 ความคลาดเคล่ือนทเ่ี กดิ จากผู้ประเมนิ เป็นคนเข้มงวดเกินไป (Severity Error)
มักเกดิ กับครูที่มลี กั ษณะนิสัยเข้มงวด หรอื เคร่งครัดมาก ๆ ใครทำอะไรกไ็ มถ่ ูกไปหมด เวลาประเมินเลยกด
คะแนนต่ำกว่าความเปน็ จรงิ

2.4 ความคลาดเคล่ือนท่ีเกิดจากผปู้ ระเมินทีช่ อบประเมินระดับกลาง ๆ (Central Tendency
Error) มักเกิดกับผูป้ ระเมนิ ที่ไมร่ ู้ในสิง่ ที่จะประเมนิ อย่างแท้จรงิ จงึ ประเมินระดับกลาง ๆ ไว้ก่อน

2.5 ความคลาดเคล่ือนทีเ่ กิดจากผปู้ ระเมินเชื่อในเรื่องพิมพเ์ ดียวกนั (Stereotype Error)
เชน่ ครูมคี วามเชื่อว่าคนจนี เป็นคนขยนั เวลาประเมนิ นักเรียนทม่ี เี ชือ้ สายจนี จงึ ให้คะแนนความขยันสงู ๆ
ไว้ก่อน หรือเม่ือปกี ่อนสอนนักเรียนคนพซ่ี ึง่ เรียนอ่อนมาก ในปนี สี้ อนน้องจึงประเมินใหต้ ่ำ เพราะเช่ือวา่
นอ้ งย่อมเหมือนพี่

2.6 ความคลาดเคลื่อนที่เกิดจากเหตผุ ลบางประการ (Logical Error) โดยนำคุณลักษณะ
หนง่ึ ในตวั นักเรียนไปสัมพันธ์กบั อีกคุณลักษณะหนึ่ง เช่น นำความสามารถทางสตปิ ัญญา ของนกั เรียน
ไปสัมพันธ์กับความสามารถในการปฏบิ ตั ิ เลยให้คะแนนการปฏบิ ตั กิ ับนกั เรียนทเี่ รยี นเกง่ สูงกวา่
ความเป็นจรงิ

กลา่ วโดยสรุปเคร่ืองมือแตล่ ะประเภทมีข้ันตอนการสร้างดังนี้
1. ศกึ ษาเอกสาร ทฤษฎที ี่เกี่ยวกับสมรรถนะ และเคร่ืองมือในการวัดและประเมินผล
2. กำหนดนยิ าม ตัวชว้ี ดั พฤตกิ รรมบง่ ช้ี ของสมรรถนะทีต่ ้องการวดั และเลอื กเคร่ืองมือ
ในการประเมินสมรรถนะใหส้ อดคล้องกับสมรรถนะท่ีต้องการประเมิน และกำหนดกรอบโครงสร้าง

คมู่ อื การสรา้ งเครื่องมือประเมินสมรรถนะผเู้ รยี นระดับการศึกษาขัน้ พน้ื ฐาน 94

ตัวอย่าง สมรรถนะผูเ้ รยี น : ความสามารถในการแกป้ ัญหา
นยิ ามความสามารถในการแก้ปญั หา: ความสามารถในการแก้ปญั หาและอุปสรรคตา่ ง ๆ ท่ีเผชญิ
ได้อย่างถกู ต้องเหมาะสม บนพืน้ ฐานของหลกั เหตผุ ล คุณธรรม และข้อมูลสารสนเทศ เข้าใจความสัมพนั ธ์
และการเปลย่ี นแปลงของเหตุการณต์ ่าง ๆ ในสังคม แสวงหาความรู้ ประยกุ ตค์ วามร้มู าใช้ในการป้องกนั
และแก้ไขปัญหา และมกี ารตัดสินใจทมี่ ปี ระสิทธิภาพ โดยคำนึงถึงผลกระทบท่ีเกิดข้นึ ต่อตนเอง สังคม
และสงิ่ แวดลอ้ ม
ตัวช้ีวดั ท่ี 1 ใชก้ ระบวนการแก้ปญั หา โดยการวเิ คราะหป์ ัญหา วางแผนในการแกป้ ัญหา
ดำเนินการแกป้ ัญหา ตรวจสอบและสรุปผล
พฤติกรรมบ่งชี้ทตี่ ้องการวดั ให้ชัดเจน

1) ระบุสาเหตปุ ัญหาท่เี กิดข้ึนกบั ตนเองได้
2) จัดลำดบั ความสำคัญสาเหตุของปัญหาได้
3) ใช้ข้อมูลและรายละเอยี ดประกอบการวางแผนแก้ปัญหาอยา่ งหลากหลายได้
4) ปฏบิ ตั ติ ามแผนการแก้ปัญหาทีก่ ำหนดไว้ได้
5) สรปุ ผลการแกป้ ัญหาอยา่ งครบถว้ น สมเหตุสมผล
3. ศกึ ษาลักษณะของพฤติกรรม แล้ววิเคราะหเ์ ปน็ พฤติกรรมยอ่ ย ๆ
กระบวนการ
1) ระบุสาเหตุปญั หาทเ่ี กดิ ขึ้นกับตนเองได้
2) จัดลำดับความสำคัญสาเหตุของปัญหาได้
3) ใชข้ อ้ มลู และรายละเอยี ดประกอบการวางแผนแกป้ ญั หาอย่างหลากหลายได้
4) ปฏิบัตติ ามแผนการแกป้ ัญหาที่กำหนดไว้ได้
5) สรุปผลการแก้ปญั หาอยา่ งครบถว้ น สมเหตุสมผล

ฯลฯ
ผลงาน

1) ความคดิ สร้างสรรค์
2) ความครบถว้ น
3) ความสมเหตสุ มผล

ฯลฯ
คุณลกั ษณะดา้ นจติ พิสยั

1) ความตง้ั ใจ
2) ความพยายาม
3) ความสนุกสนานเพลดิ เพลิน

ฯลฯ

คูม่ อื การสร้างเครื่องมือประเมินสมรรถนะผเู้ รียนระดับการศึกษาข้ันพื้นฐาน 95

4. นำพฤตกิ รรมย่อยมาเลอื กเฉพาะพฤติกรรมท่ีสำคญั แล้วจัดเรยี งตามลำดบั ก่อนหลงั
กระบวนการ

1) ระบุสาเหตุปัญหาทเี่ กดิ ข้ึนกบั ตนเองได้
2) จัดลำดบั ความสำคญั สาเหตุของปัญหาได้
3) ใช้ข้อมูลและรายละเอยี ดประกอบการวางแผนแก้ปัญหาอย่างหลากหลายได้
4) ปฏบิ ัตติ ามแผนการแกป้ ญั หาท่กี ำหนดไวไ้ ด้
5) สรปุ ผลการแก้ปญั หาอย่างครบถ้วน สมเหตุสมผล

ฯลฯ
ผลงาน

1) ความคดิ สรา้ งสรรค์
2) ความสมเหตุสมผล

ฯลฯ
คณุ ลกั ษณะดา้ นจิตพิสัย

1) ความต้งั ใจ
2) ความพยายาม

ฯลฯ
5. สรา้ งเครื่องมือประเมนิ สมรรถนะตามกรอบโครงสรา้ งทีก่ ำหนด
6. นำเครื่องมือไปให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบความเท่ียงตรงเชิงเน้ือหาโดยใช้ดัชนีความสอดคล้อง
ระหว่างข้อคำถามกับพฤติกรรมบ่งช้ี (Index of item Objective Congruence : IOC)
7. ปรับปรงุ ตรวจทานแก้ไขตามขอ้ เสนอแนะของผเู้ ช่ยี วชาญ
8. นำไปทดลองใช้
9. หาคณุ ภาพรายข้อและรายฉบับ

ค่มู ือการสร้างเคร่ืองมอื ประเมินสมรรถนะผเู้ รียนระดับการศึกษาขั้นพ้นื ฐาน 96

แบบฝึกสรา้ งแบบทดสอบชนิดเขียนตอบ

สมรรถนะผู้เรียนที่ต้องการวัด คอื .................................................................................................................

ระดบั ชน้ั ภาคเรยี นท่ี ปกี ารศกึ ษา

ตัวชวี้ ัด

พฤตกิ รรมบ่งชี้

1)

2)

3)

สถานการณ์

ขอ้ คำถาม/โจทย์

แนวคำตอบ

คูม่ ือการสร้างเครื่องมอื ประเมินสมรรถนะผูเ้ รียนระดบั การศึกษาขน้ั พน้ื ฐาน 97

แบบฝกึ สร้างแบบทดสอบภาคปฏิบตั ิ

สมรรถนะผู้เรียนทต่ี ้องการวัด คอื .................................................................................................................

ระดับช้นั ภาคเรียนที่ ปกี ารศกึ ษา

ตัวชี้วดั

พฤติกรรมบ่งช้ี

1)

2)

3)

คำส่ัง/คำชีแ้ จง

เกณฑก์ ารประเมิน

คมู่ อื การสรา้ งเครื่องมอื ประเมินสมรรถนะผู้เรยี นระดับการศึกษาข้ันพนื้ ฐาน 98

ตอนที่ 7

การสรา้ งเกณฑ์การประเมินสมรรถนะผู้เรียน

คู่มือการสร้างเคร่ืองมือประเมินสมรรถนะผู้เรียนระดบั การศึกษาขน้ั พนื้ ฐาน 99

1. สาระสำคญั
สมรรถนะของผู้เรียน คือความสามารถของผ้เู รยี นในการปฏบิ ัตงิ านใดงานหน่ึงไดส้ ำเร็จ โดยใช้

ความรู้ ทักษะ และคุณลักษณะท่มี ีอยู่ ดงั นั้น ในการสร้างเกณฑ์การประเมนิ สมรรถนะจึงต้องอาศัย
เครื่องมือทสี่ ำคญั ท่จี ะนำไปสูก่ ารสรปุ ว่าผเู้ รยี นมีสมรรถนะในการปฏิบตั ิงานด้านใดดา้ นหน่ึง ในท่ีนี้จงึ อาศยั
เกณฑ์ในการประเมินผลการปฏบิ ตั งิ าน คอื เกณฑ์การให้คะแนน Scoring Rubrics เพราะเกณฑ์
การประเมินนี้ ทำใหส้ รุปผลการประเมินสมรรถนะของผ้เู รียนมีความยตุ ิธรรม ปราศจากความลำเอยี ง
และงา่ ยต่อการให้คะแนนของผู้ประเมนิ เกณฑ์การประเมินน้ีอาศยั เกณฑ์การให้คะแนนเปน็ เคร่ืองมือ
ในการประเมินสมรรถนะของผ้เู รียนจึงต้องมีความชัดเจนเพียงพอเพอื่ ใหผ้ ้ปู ระเมนิ ทกุ คนสามารถใช้
เกณฑ์การประเมนิ เดยี วกนั แลว้ ผลการประเมนิ มคี วามสอดคล้องและมีความเชือ่ มัน่ ได้ (Reliability)
เกณฑ์การประเมินมี 2 ประเภท คอื เกณฑ์การให้คะแนนแบบภาพรวม (Holistic Rubrics)
และเกณฑ์การให้คะแนนแบบแยกสว่ น (Analytic Rubrics) โดยองคป์ ระกอบสำคัญของเกณฑ์
การใหค้ ะแนน (Scoring Rubrics) ประกอบดว้ ย เกณฑ์หรือประเด็นทจ่ี ะประเมนิ (Criteria)
ระดบั ความสามารถหรือระดับคุณภาพ (Performance Level) และการบรรยายคณุ ภาพของแต่ละระดบั
ความสามารถ (Quality Description)

2. แนวคดิ เกี่ยวกบั การสร้างเกณฑ์การประเมินสมรรถนะผู้เรียน
การประเมนิ สมรรถนะผเู้ รียนเปน็ การประเมินวา่ ผเู้ รยี นสามารถประยุกต์ใช้ความรู้ ทักษะ

คณุ ลักษณะหรือเจตคติตามที่ระบุไว้ในองคป์ ระกอบของสมรรถนะน้ันหรอื ไมเ่ พยี งใด เม่ือครเู ลือกวธิ ีการ
เครอ่ื งมอื ในการประเมนิ ความรู้ ทักษะ คุณลักษณะของผ้เู รียนตามธรรมชาติของตวั ชี้วดั และพฤตกิ รรม
บ่งชีใ้ นแตล่ ะสมรรถนะแล้ว เมอื่ จบหนว่ ยการเรียนรู้ท่ีครูออกแบบไว้ ครจู ะตอ้ งตัดสินว่าผู้เรยี นมีสมรรถนะ
น้ัน ๆ โดยมเี กณฑ์การประเมินองคร์ วมของสมรรถนะ ซึ่งเกณฑต์ ้องนำไปสู่การสรุปผลการประเมนิ
สมรรถนะของผู้เรียน มีความยตุ ธิ รรม งา่ ยตอ่ การประเมนิ ของผ้ปู ระเมนิ ทุกคน มคี วามชดั เจน พอเพียง
เพอ่ื ให้ครผู ู้ประเมนิ ทุกคน สามารถใช้เกณฑ์การประเมินเดียวกนั ประเมนิ สมรรถนะของผู้เรยี น
อย่างมีความสอดคลอ้ ง และสะท้อนได้วา่ ระดับคุณภาพของเกณฑ์น้นั จำแนกไดว้ ่าผ้เู รยี นมีสมรรถนะ
อยใู่ นระดับใดได้

เกณฑ์การประเมินสมรรถนะผู้เรียนน้ี ตอ้ งกำหนดระดบั คุณภาพของความรู้ ทกั ษะ คุณลักษณะ
ให้เป็นมาตรฐานเดยี วกนั และเมือ่ นำมาประเมนิ รวบยอดวา่ ผูเ้ รียนมสี มรรถนะในระดับใดกต็ ้องมคี ำอธิบาย
ระดบั คุณภาพทเ่ี ชื่อถือได้ และมคี วามเที่ยงตรงตามสภาพ จึงทำใหส้ ามารถนำผลการประเมินมาใช้
เป็นขอ้ มลู ในการพฒั นาสมรรถนะผเู้ รยี นได้ต่อไป

ค่มู ือการสร้างเคร่ืองมือประเมินสมรรถนะผเู้ รยี นระดับการศึกษาขั้นพืน้ ฐาน 100

แผนภาพ แสดงการเกดิ สมรรถนะจากการประยุกต์ใชค้ วามสามารถทงั้ 3 ดา้ น

การประเมินสมรรถนะของผู้เรียนในชัน้ เรียนของครู เปน็ การประเมนิ จากภาระงาน/ช้ินงาน
ที่ครูกำหนดให้ผู้เรียน ซง่ึ ภาระงาน/ชิ้นงานที่ครูได้ออกแบบไว้นน้ั จะต้องให้ผเู้ รียนได้ประยกุ ต์ใช้ความรู้
ทกั ษะ และคุณลักษณะทีบ่ ูรณาการกบั ตวั ชวี้ ดั มาตรฐานการเรยี นรู้ในกลุ่มสาระการเรียนรทู้ ่คี รูผสู้ อน
รับผิดชอบ เม่อื ครูจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ และกำหนดภาระงาน/ชน้ิ งานนั้น ครูต้องคำนึงว่าสมรรถนะสำคัญ
ท่ีครจู ะนำมาบูรณาการในหน่วยการเรยี นรูใ้ ดหน่วยหนึ่ง มีตัวชีว้ ัด พฤติกรรมบ่งชี้ที่ครตู ้องพัฒนา
ควบคู่กนั ไป การจดั กจิ กรรมการเรียนร้บู รรลเุ มื่อตวั ชว้ี ดั ทกุ ตัวได้รบั การตัดสนิ เช่นกัน ตวั ชวี้ ัด/พฤตกิ รรม
บ่งชี้ในสมรรถนะทกุ ตวั กต็ ้องได้รับการประเมินควบคู่กนั ไป ซ่ึงเครื่องมือท่ใี ช้ในการประเมินตวั ชวี้ ัด
ทเี่ ป็นความรู้ย่อมแตกต่างจากตวั ช้ีวดั คณุ ลักษณะ หรอื ทักษะการปฏิบัติ แต่เม่อื นำมาสรุปรวมเป็น
ผลการประเมินสมรรถนะ เกณฑ์ท่ีใช้จึงต้องประกอบไปดว้ ย เกณฑ์ท่คี รอบคลุมคณุ ภาพดา้ นความรู้
ดา้ นคุณลกั ษณะ และทกั ษะปฏบิ ตั ิ เน้อื หาที่สำคญั ในหน่วยที่ 6 จึงจะกล่าวถึงการสร้างเกณฑ์
ในการประเมินทักษะปฏิบตั ิ (Performance Criteria) ของผเู้ รียนและเกณฑใ์ นการประเมนิ สมรรถนะ
ผเู้ รยี น

คู่มอื การสร้างเคร่ืองมือประเมินสมรรถนะผู้เรยี นระดบั การศึกษาข้ันพน้ื ฐาน 101

แผนภาพ แสดงกรอบแนวคิดในการประเมินสมรรถนะผูเ้ รยี น

3. ความหมายของเกณฑ์การประเมนิ (Rubric)
เกณฑ์การประเมิน (Rubric) คอื แนวการใหค้ ะแนนเพ่ือประเมนิ ผลงานหรือประเมินการ

ปฏิบตั งิ านของผเู้ รียน หรืออาจกล่าวไดว้ า่ Rubric เป็นเครื่องมือให้คะแนนชนิดหน่ึง ใชใ้ นการประเมินการ
ปฏิบัตงิ านหรอื ผลงานของผู้เรียน

4. องคป์ ระกอบของเกณฑ์การประเมิน (Rubric)
เกณฑ์การประเมิน (Rubric) มีองค์ประกอบ 3 สว่ น คอื
4.1 เกณฑห์ รือประเดน็ ทจี่ ะประเมิน (criteria) เป็นการพจิ ารณาวา่ การปฏิบัติงาน

หรือผลงานนัน้ ประกอบด้วยคุณภาพอะไรบา้ ง
4.2 ระดับความสามารถหรือระดับคุณภาพ (Performance Level) เป็นการกำหนดจำนวน

ระดบั ของเกณฑ์ (criteria) ว่าจะกำหนดก่รี ะดับ ส่วนมากจะกำหนดขึ้น 3-6 ระดับ
4.3 การบรรยายคุณภาพของแต่ละระดับความสามารถ (Quality Description) เปน็ การเขยี น

คำอธบิ ายความสามารถให้เห็นถงึ ความแตกตา่ งอย่างชัดเจนในแต่ละระดบั ซึ่งจะทำให้ง่ายตอ่ การตรวจ
ใหค้ ะแนน

5. ชนิดของเกณฑ์การประเมนิ (Rubric)
เกณฑ์การประเมิน (Rubric) มี 2 ชนดิ คอื เกณฑ์การประเมนิ แบบภาพรวม (Holistic Rubric)

และเกณฑ์การประเมนิ แบบแยกสว่ น (Analytic Rubric)
5.1 เกณฑก์ ารประเมนิ แบบภาพรวม (Holistic Rubric) เป็นการประเมนิ ภาพรวม

ของการปฏิบตั ิงานหรือผลงาน โดยดูคณุ ภาพโดยรวมมากกวา่ ดขู อ้ บกพร่องส่วนย่อย การประเมินแบบน้ี
เหมาะกบั การปฏิบตั ทิ ่ีต้องการให้นกั เรียนสรา้ งสรรคง์ านที่ไมม่ คี ำตอบที่ถกู ต้องชัดเจนแน่นอน ผ้ปู ระเมนิ
ตอ้ งอ่านหรอื พจิ ารณาผลงานให้ละเอียด สว่ นใหญ่มักกำหนดระดบั คุณภาพอยทู่ ่ี 3-6 ระดับ

คู่มอื การสร้างเคร่ืองมือประเมินสมรรถนะผ้เู รยี นระดบั การศึกษาขน้ั พ้ืนฐาน 102

5.2 เกณฑ์การประเมินแบบแยกสว่ น (Analytic Rubric) เป็นการประเมินแบบแยกส่วน
ทตี่ อ้ งการเน้นการตอบสนองท่มี ลี ักษณะเฉพาะ ไม่เน้นความคดิ สร้างสรรค์ ผลลัพธข์ ้นั ตน้ จะมีคะแนน
หลายตัว ตามด้วยคะแนนรวม ใช้เปน็ ตวั แทนของการประเมินหลายมิติ เกณฑก์ ารประเมนิ แบบน้ี
จะไดผ้ ลสะทอ้ นกลับค่อนข้างสมบูรณ์ เปน็ ประโยชนส์ ำหรบั ผเู้ รียนและผสู้ อนมาก ผู้สอนท่ีใชเ้ กณฑ์
การประเมนิ แบบแยกส่วนนี้ จะสามารถสร้างเส้นภาพ (Profile) จุดเด่น-จดุ ด้อย ของผู้เรียนแตล่ ะคนได้

6. ประโยชน์ของเกณฑ์การประเมิน (Rubric)
6.1 ชว่ ยใหค้ วามคาดหวงั ของครูท่มี ตี ่อผลงานของผูเ้ รียน บรรลคุ วามสำเร็จได้
6.2 ชว่ ยให้ครเู กดิ ความกระจ่างชัดยงิ่ ขนึ้ ว่าต้องการให้ผู้เรียนเกดิ การเรียนรหู้ รือมีพฒั นาการ

อะไรบ้าง
6.3 ผูเ้ รียนจะเกิดความเขา้ ใจและสามารถใชเ้ กณฑ์การประเมนิ ตดั สนิ คุณภาพผลงานของตนเอง

และของคนอืน่ อย่างมเี หตุผล
6.4 ชว่ ยใหผ้ ูเ้ รียนระบุคุณลักษณะจากงานท่เี ป็นตวั อย่างไดโ้ ดยใชเ้ กณฑ์การประเมินตรวจสอบ
6.5 ชว่ ยให้ผเู้ รยี นสามารถควบคุมตนเองในการปฏิบัตงิ านเพ่ือไปสคู่ วามสำเร็จได้
6.6 เป็นเครื่องมอื ในการเช่อื มโยงความสมั พันธร์ ะหวา่ งกจิ กรรมการปฏบิ ตั ิงานต่าง ๆ

ของผูเ้ รียนได้เป็นอย่างดี
6.7 ชว่ ยลดเวลาของครผู สู้ อนในการประเมนิ งานของผเู้ รยี น
6.8 ช่วยเพ่มิ คณุ ภาพผลงานของผู้เรียน
6.9 สามารถยืดหยุ่นตามสภาพของผเู้ รียน
6.10 ทำให้บคุ ลากรท่เี กย่ี วข้อง เชน่ ผู้ปกครอง ศึกษานิเทศก์ หรอื อนื่ ๆ เข้าใจในเกณฑ์

การตดั สนิ ผลงานของผเู้ รยี น ท่ีครใู ช้ช่วยในการใหเ้ หตุผลประกอบการให้ระดบั คณุ ภาพได้

คมู่ ือการสร้างเคร่ืองมือประเมินสมรรถนะผู้เรยี นระดับการศึกษาขัน้ พืน้ ฐาน 103

7. ขนั้ ตอนการสร้างเกณฑก์ ารประเมนิ (Rubric)
กระบวนการสรา้ งเกณฑก์ ารประเมิน มีหน่วยงานทางการศึกษาและนักวิชาการหลายท่าน

ไดเ้ สนอแนวทางการสรา้ งไว้หลากหลาย มีทัง้ ใหน้ ักเรียนมีส่วนรว่ มและผู้สอนสร้างเอง ในท่นี ี้ขอเสนอ
ข้นั ตอน ดงั นี้

ขั้นตอนที่ 1 กำหนดประเดน็ สำคญั ในการตรวจให้คะแนน และจดั ลำดบั ความสำคญั หรอื น้ำหนกั
ของแต่ละประเดน็

ขั้นตอนที่ 2 กำหนดระดับหรือคุณภาพทตี่ อ้ งการใหค้ ะแนน เชน่ 3 ระดับ ไดแ้ ก่ ดี (2 คะแนน)
พอใช้ (1 คะแนน) และปรบั ปรุง (0 คะแนน)

ขน้ั ตอนที่ 3 กำหนดชนิดของ Rubric คือ แบบภาพรวม (Holistic Rubric) หรือ แบบแยกส่วน
(Analytic Rubric)

ขั้นตอนที่ 4 วธิ ีการเขียนคำอธิบายในแตล่ ะระดับสามารถเขียนได้ 3 รูปแบบ คอื
แบบที่ 1 กำหนดคำอธบิ ายแบบลดลง หมายถึง การเขียนเกณฑ์การใหค้ ะแนนโดยเริ่มเขียน

เกณฑท์ ี่ระดับคุณภาพสงู สดุ หรือได้คะแนนเต็มก่อน แลว้ ลดคะแนนตามคุณภาพท่ีลดลง
แบบที่ 2 กำหนดคำอธบิ ายแบบบวกหรือแบบเพ่ิมข้ึน หมายถงึ การเริ่มต้นที่ระดับ

คณุ ภาพตำ่ สุดหรือไม่ได้คะแนนก่อน แลว้ เพิม่ ระดบั คุณภาพตามระดับคะแนนที่เพิ่มข้นึ ไปตามลำดับ
แบบท่ี 3 กำหนดคำอธิบายแบบเพิ่มข้ึนและลดลง หมายถึง การเรมิ่ ต้นที่ระดับ

คุณภาพกลาง (พึงพอใจ/ผา่ นเกณฑ์) แล้วเพิ่มระดับคุณภาพตามคะแนนทีเ่ พ่ิมขึ้น (ดี/ดีมาก) และลดระดับ
คณุ ภาพตามคะแนนที่ลดลง (ปรบั ปรุง) ไปตามลำดบั

ขัน้ ตอน 5 ตรวจสอบโดยคณะผ้ทู ม่ี ีส่วนร่วมหรอื ผู้เช่ยี วชาญทางการวัดผล
ขน้ั ตอน 6 ทดลองใช้เกณฑ์ในการตรวจผลงานทม่ี มี าตรฐาน/คุณลกั ษณะตามเกณฑ์ทก่ี ำหนด
ขั้นตอน 7 หาความเทยี่ งตรงตามสภาพ (Concurrence Validity) โดยพจิ ารณาจาก
ความสอดคล้องของคะแนนที่กรรมการ 1 ท่าน ให้กบั สภาพที่เป็นจริงของงาน 3 ช้ิน ท่ีมีคณุ ภาพต่างกัน
และหาความเช่ือมัน่ (inter rater reliability) โดยพิจารณาจากความสอดคลอ้ งในการตรวจสอบอัตนัย
ของกรรมการ 3 ท่าน
ขั้นตอน 8 ปรบั ปรุงเกณฑท์ ่ีไม่ไดม้ าตรฐาน

8. หลักในการเขยี นเกณฑ์การประเมิน
การสรา้ งเกณฑ์การประเมนิ จะต้องศกึ ษาและพจิ ารณาจากตัวอยา่ งงานหรือผลการปฏิบัติ

หลาย ๆ ตัวอย่างทีม่ ีระดับความแตกต่างกันต้ังแตท่ ี่ดที ส่ี ุดถึงแย่ทีส่ ดุ โดยมีหลักการ ดังต่อไปนี้
8.1 เขียนอธบิ ายคุณภาพของงานโดยใชถ้ ้อยคำทบี่ อกถึงคุณภาพทีส่ ูงกว่า หรอื สิ่งทีข่ าดหายไป

จากงานนัน้ เพื่อใหส้ ามารถแยกแยะความเหมือนหรือความแตกต่างของแตล่ ะระดับคุณภาพ โดยพยายาม
หลกี เลยี่ งคำขยายเชิงเปรยี บเทยี บทีเ่ ป็นนามธรรม

8.2 กำหนดระดับของการประเมนิ ใหพ้ อเหมาะกับความสามารถที่จะกำหนดความแตกต่าง
ตามระดบั คณุ ภาพไดอ้ ยา่ งพอเพียง ไมม่ ากเกนิ ไป โดยท่ัวไปจะอยู่ใน 6 ระดับ หรอื 12 ระดับ คำอธิบายระดบั
คณุ ภาพ กำหนดให้เหมาะสมกบั วยั ของผู้เรียน เพ่อื ทเ่ี ขาจะสามารถประเมินตนเองได้ และปรบั ปรุงตัวเอง
ได้ตามระดับคุณภาพนน้ั ในกรณีนี้ มขี ้อแนะนำคือ ในแตล่ ะระดบั ควรมีตวั อยา่ งงานที่ได้รบั การประเมิน
ในระดับน้ัน ๆ ให้เหน็ ชดั เจน สามารถเปรียบเทยี บไดแ้ ละเป็นรปู ธรรม

คูม่ อื การสร้างเคร่ืองมอื ประเมินสมรรถนะผู้เรยี นระดับการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน 104

8.3 เกณฑ์การประเมนิ ต้องเนน้ ใหเ้ ห็นถงึ ผลกระทบอันเนื่องมาจากการปฏบิ ัตงิ านน้ัน
ผลประโยชน์ท่เี กิดขึน้ จากการท่ีผู้เรียนไดส้ รา้ งผลงานนนั้ โดยเน้นกระบวนการและความพยายาม
ในการปฏิบตั งิ านนั้น

9. เทคนคิ และข้อควรพจิ ารณาในการสร้างเกณฑก์ ารประเมิน
สิง่ ทีจ่ ำเปน็ จะต้องกำหนดหรือระบุไว้ในการพิจารณาคุณสมบตั ขิ องเกณฑ์การประเมนิ มีดงั น้ี
9.1 ความต่อเน่ือง
ความแตกต่างระหว่างระดบั คุณภาพในมาตรวดั จะต้องต่อเนื่อง และมีขนาดเท่ากัน เช่น

ความแตกตา่ งระหว่างระดับ 5 กบั ระดับ 4 จะต้องมขี นาดเทา่ กับความแตกต่างระหวา่ งระดับ 2
กบั ระดับ 1 ซึ่งเป็นคุณสมบัติของตวั เลขในมาตราอันตรภาค (interval scale) ทง้ั นี้ คณุ ภาพของ
สิ่งทีป่ ระเมนิ จะมีคุณสมบตั ิตอ่ เนือ่ ง (continuous variable)

9.2 ความค่ขู นาน (Parallel)
คำอธบิ ายในแตล่ ะระดับคุณภาพจะต้องใช้คำหรือภาษาท่คี ู่ขนานกนั ตลอด ทกุ ชว่ งของ

มาตรวดั
9.3 ยึดสมรรถภาพทต่ี ้องการประเมนิ (Unity in competency)
เกณฑ์การประเมินจะตอ้ งเน้นทต่ี วั สมรรถภาพ ทต่ี ้องการประเมนิ สมรรถภาพเดียวกนั

คำอธิบายในแตล่ ะระดับจะแตกตา่ งกนั เฉพาะในคณุ ภาพของงาน หรือการปฏบิ ัตขิ องสมรรถภาพนั้นทใี่ ชเ้ ป็น
หลกั เฉพาะในเกณฑ์การประเมินทพี่ ิจารณานนั้

9.4 กำหนดนำ้ หนักของเกณฑก์ ารประเมนิ (Weighting)
เม่ือมหี ลายเกณฑ์การประเมนิ การกำหนดน้ำหนักความสำคัญของเกณฑ์จึงมีความจำเป็น

ตามจดุ เนน้ หนักเบาของผลงาน หรอื สมรรถภาพที่ไดร้ บั ของการประเมนิ นน้ั ๆ
9.5 ความตรง/ความเทยี่ งตรง (Validity)
เกณฑ์การประเมินจะต้องมีหลักฐานแสดงใหเ้ ห็นถึงความเท่ียงตรงของการพิจารณาผลงาน

ออกมาในรปู ของระดบั คะแนนทเี่ ปน็ ตวั แทนของพฤติกรรม ให้เป็นรปู ธรรมท่ีปกติ ไมส่ ามารถมองเหน็ ได้
ง่าย ดังนัน้ การให้ระดับคุณภาพทตี่ ่างกนั จะตอ้ ง

9.5.1 สะทอ้ นให้เหน็ ถึงการวิเคราะหผ์ ลงานตามตัวอยา่ งในระดบั ความสามารถต่าง ๆ กัน
9.5.2 อธิบายคุณภาพของการปฏิบัตงิ านไม่ใชป่ รมิ าณงาน
9.5.3 เกณฑ์การประเมินจะต้องไม่พิจารณาเกีย่ วข้องอืน่ ๆ แต่จะเนน้ เกณฑ์การแสดงออก
ตามสภาพจริง ดังตัวอย่างในการพูด ผ้เู สนอหลายคนใชบ้ นั ทึกยอ่ ในการพูด แต่เกณฑ์การประเมิน
ไมพ่ จิ ารณาการใช้หรอื ไม่ใช้บันทึกยอ่ แตจ่ ะพิจารณาประสิทธิภาพของการพดู ดังน้นั เกณฑก์ ารประเมิน
จะพจิ ารณาพฤตกิ รรมการนำเสนอและการเรยี บเรยี งข้อสนเทศท่ีนำเสนอ
9.6 ความเทย่ี ง/ความเช่อื ม่ัน (Reliability)
เกณฑ์การประเมนิ จะต้องมีความคงเส้นคงวาในการตดั สินใจใหร้ ะดบั คุณภาพ ไม่วา่ ใคร
จะเป็นผู้ประเมิน หรอื ไมว่ ่าจะประเมนิ เวลาใด เกณฑ์การประเมินท่ีใชค้ ำประเภทการลงความเห็นเชิงสรุป
(เช่น ดีมาก ใชไ้ ม่ได้) และคำประเภทเปรียบเทียบ (เช่น ดีกวา่ แย่กวา่ ) น้ัน ควรใช้คำที่เปน็ การอธิบาย
หรือบรรยายลกั ษณะงาน หรอื การกระทำจะชว่ ยใหเ้ กณฑ์การประเมินมีความเช่อื มั่นมากข้ึน

คู่มอื การสร้างเครื่องมือประเมินสมรรถนะผเู้ รียนระดบั การศึกษาขั้นพน้ื ฐาน 105

ตวั อย่าง เกณฑ์คณุ ภาพแบบภาพรวม (Holistic Rubric)
สมรรถนะที่ 3 ความสามารถในการแก้ปัญหา
ตวั ชีว้ ัดที่ 1 ใช้กระบวนการแกป้ ัญหาโดยวเิ คราะหป์ ัญหา วางแผนในการแกป้ ญั หา ดำเนินการแก้ปัญหา

ตรวจสอบและสรปุ ผล

ตวั ช้ีวดั ที่ 2 ผลลัพธ์ของการแกป้ ญั หา

พฤติกรรมบ่งชี้ ดี ระดับคณุ ภาพ ดี

ใช้กระบวนการ มีความสามารถในการระบุ พอใช้ ขาดความสามารถ
แกป้ ญั หา สาเหตุปญั หา จดั ลำดบั ในการใช้เหตผุ ลในการ
โดยวเิ คราะห์ปญั หา ความสำคัญของปญั หา มคี วามสามารถในการใช้ แกป้ ญั หาและอุปสรรค
วางแผนในการ ทเี่ กดิ ขึน้ ใช้ขอ้ มูล เหตผุ ลในการแก้ปัญหา แก้ปัญหาโดยไมค่ ำนงึ ถงึ
แกป้ ัญหา ดำเนินการ และรายละเอียดประกอบ และอุปสรรค แก้ปัญหา หลกั คุณธรรม
แกป้ ญั หา ตรวจสอบ การวางแผนการแกป้ ญั หา โดยคำนงึ ถงึ หลักคณุ ธรรม และจรยิ ธรรม
และสรุปผล อย่างหลากหลาย ปฏิบัตติ าม และจรยิ ธรรม แต่ขาด ไม่สามารถปรบั เปล่ยี น
แผนการแก้ปญั หาทก่ี ำหนดไว้ ข้อมูลสารสนเทศ เข้าใจ พฤตกิ รรมให้เขา้ กบั
สามารถสรปุ ผลการแกป้ ัญหา ความสมั พนั ธ์และ สภาพแวดลอ้ ม ตดั สนิ ใจ
อยา่ งครบถว้ น สมเหตสุ มผล การเปลีย่ นแปลงของ โดยไมค่ ำนึงถึง
ถกู ตอ้ งเหมาะสมบนพน้ื ฐาน เหตกุ ารณต์ ่าง ๆ ในสังคม ผลกระทบทเ่ี กิดขนึ้
ของหลักเหตผุ ล มคี ณุ ธรรม ปรับเปลย่ี นพฤตกิ รรม ตอ่ ตนเอง สังคม
จรยิ ธรรม มีขอ้ มลู สารสนเทศ ใหเ้ ข้ากบั สภาพแวดลอ้ ม และสงิ่ แวดลอ้ ม
เขา้ ใจความสมั พันธแ์ ละ ตัดสินใจอยา่ งมี
การเปล่ียนแปลงของเหตุการณ์ ประสิทธิภาพ ยอมรบั
ต่าง ๆ ในสงั คม แสวงหา การตัดสินใจของตนเอง
ความรู้ ประยกุ ตค์ วามร้มู าใช้
ในการป้องกนั และแกไ้ ขปญั หา
มกี ารตัดสนิ ใจทีม่ ปี ระสทิ ธิภาพ
โดยคำนงึ ถึงผลกระทบ
ทเี่ กิดขึ้นต่อตนเอง สงั คม
และส่งิ แวดล้อม

ตวั อย่าง เกณฑ์คุณภาพแบบภาพรวม (Holistic Rubric)

ค่มู อื การสร้างเคร่ืองมอื ประเมินสมรรถนะผู้เรียนระดับการศึกษาขน้ั พืน้ ฐาน 106

สมรรถนะที่ 3 ความสามารถในการแกป้ ญั หา
ตัวช้ีวัดที่ 2 ผลลพั ธข์ องการแก้ปญั หา

พฤติกรรมบ่งชี้ ดี ระดับคณุ ภาพ ดี

ผลลัพธข์ อง ผลงาน/ชิน้ งานที่เกดิ จาก พอใช้ ผลงาน/ชิน้ งานทีเ่ กดิ
การแก้ปัญหา การแก้ปัญหามีความถกู ต้อง จากการแก้ปญั หามี
เหมาะสมบนพนื้ ฐานของ ผลงาน/ชิน้ งานทีเ่ กิด ความถกู ตอ้ งเหมาะสม
หลกั เหตุผลและคุณธรรม จากการแกป้ ญั หา บนพื้นฐานของหลัก
อย่างน้อยร้อยละ 80 ข้นึ ไป มีความถูกตอ้ งเหมาะสม เหตผุ ลและคณุ ธรรม
ของปญั หาทแ่ี ก้ไข บนพ้นื ฐานของหลกั ตำ่ กว่ารอ้ ยละ 50
เหตุผลและคณุ ธรรม ของปญั หาทแ่ี กไ้ ข
ร้อยละ 50-69
ของปญั หาที่แกไ้ ข

ตัวอยา่ ง เกณฑ์คณุ ภาพแบบแยกสว่ น (Analytic Rubric)

สมรรถนะท่ี 3 ความสามารถในการแก้ปัญหา

พฤติกรรมบ่งชี้ ดี ระดับคุณภาพ ปรับปรุง
พอใช้

ตัวชี้วัดท่ี 1 ใช้กระบวนการแกป้ ัญหาโดยวเิ คราะห์ปญั หา วางแผนในการแก้ปญั หา

ดำเนินการแก้ปัญหา ตรวจสอบและสรุปผล

1. วิเคราะหป์ ญั หา ระบปุ ัญหาตา่ ง ๆ ที่เกดิ ขน้ึ กับ ระบปุ ญั หาตา่ ง ๆ ที่เกดิ ขึน้ กบั ระบุปญั หาที่เกดิ ขึน้ กับบุคคล

ระบปุ ัญหาทเ่ี กิดขนึ้ กับ ตนเองและบคุ คลใกล้ตวั ทต่ี รงกบั ตนเองและบคุ คลใกล้ตวั ที่ตรง ใกล้ตัวไม่ไดห้ รือระบปุ ัญหาได้

ตนเอง ระบปุ ัญหาที่ ปญั หา ระบสุ าเหตุของปญั หา ตามสภาพปัญหา ระบสุ าเหตุ แตไ่ ม่ตรงสภาพปญั หา ระบุ

เกิดขน้ึ กบั บคุ คลใกล้ตัว ต่าง ๆ ที่เกดิ ข้ึนได้สอดคลอ้ งกบั ของปัญหาต่าง ๆ ทเ่ี กิดข้นึ ได้ สาเหตขุ องปญั หาตา่ ง ๆ

ระบสุ าเหตุของปัญหา ปัญหามากกวา่ 2 ปัญหา จำแนก สอดคล้องกบั ปญั หา 1 สาเหตุ ท่ีเกิดขน้ึ ไม่ได้หรือระบสุ าเหตุ

จัดระบบข้อมูล และจดั หมวดหมูส่ าเหตุของปัญหา จำแนกและจดั หมวดหมู่ ไดแ้ ตไ่ ม่สอดคลอ้ งกบั ปัญหา

โดยการจำแนก ได้ถูกต้องทุกสาเหตุ จดั ลำดบั สาเหตุของปัญหาได้ถูกต้อง จำแนกและจดั หมวดหมู่

การจดั ลำดบั เชอื่ มโยง ความสำคัญสาเหตขุ องปัญหา มกี ารจดั ลำดบั ความสำคัญ สาเหตุของปัญหาไมไ่ ด้

กำหนดทางเลือก ได้อย่างสมเหตสุ มผลทุกสาเหตุ สาเหตุของปัญหาได้อย่าง หรือไม่มกี ารจัดหมวดหมู่

การตัดสนิ ใจเลือก แสดงการเชอื่ มโยงความสมั พนั ธ์ สมเหตสุ มผล 1 ใน 3 สาเหตุ ไมม่ ีการจดั ลำดบั ความสำคัญ

วิธกี าร ระหว่างสาเหตุ ของปัญหาและผล แสดงการเชอื่ มโยง สาเหตุของปัญหา หรอื จดั ได้

ทีจ่ ะเกิดขนึ้ ได้ โดยมขี อ้ มูล ความสัมพันธ์ระหวา่ งสาเหตุ ไม่สมเหตสุ มผลไม่มกี ารแสดง

สนับสนนุ อย่างสมเหตสุ มผล ของปญั หาและผลท่จี ะเกดิ ข้ึน การเชือ่ มโยงความสมั พนั ธ์

ทุกสาเหตุ กำหนดทางเลอื ก ได้โดยมขี ้อมลู สนับสนนุ ระหว่างสาเหตุของปญั หาและ

ในการแก้ปัญหาทมี่ คี วามเปน็ ไปได้ อยา่ งสมเหตุสมผล 1 ใน 3 ผลทีจ่ ะเกดิ ขึ้น ตดั สินใจเลอื ก

มากกว่า 2 วิธี ตัดสนิ ใจเลือก สาเหตุ ตดั สนิ ใจเลือกวธิ กี าร วธิ กี ารแก้ปัญหาโดยไม่

วธิ ีการแก้ปญั หาโดยพิจารณาขอ้ ดี แกป้ ัญหาโดยพจิ ารณาขอ้ ดี พจิ ารณาข้อดแี ละข้อจำกัด

และขอ้ จำกดั ซงึ่ ไม่เกดิ ผลกระทบ และขอ้ จำกดั และมีผลกระทบ ทำให้เกดิ ผลกระทบในทางลบ

ในทางลบแก่ตนเองและผอู้ นื่ ได้ ในทางลบแกต่ นเองและผูอ้ ่ืน แกต่ นเองและผอู้ นื่

2 ประเดน็

ค่มู ือการสร้างเครื่องมือประเมินสมรรถนะผูเ้ รยี นระดบั การศึกษาขั้นพน้ื ฐาน 107

พฤติกรรมบ่งช้ี ดี ระดบั คณุ ภาพ ปรบั ปรงุ
พอใช้

ตวั ชี้วัดที่ 1 ใช้กระบวนการแกป้ ญั หาโดยวเิ คราะห์ปญั หา วางแผนในการแก้ปัญหา

ดำเนินการแกป้ ญั หา ตรวจสอบและสรปุ ผล

2. การวางแผน มีการวางแผนในการแก้ปัญหา มกี ารวางแผนในการแกป้ ญั หา ไม่มกี ารวางแผน

ในการแกป้ ญั หา โดยใชข้ ้อมูลและรายละเอยี ด โดยใช้ข้อมลู และรายละเอยี ด ในการแกป้ ัญหา

ประกอบการวางแผนมีขั้นตอน ประกอบการวางแผน

ของแผนงานอย่างชดั เจน และมี

ข้อมลู เพียงพอ

3. การดำเนินการ ปฏบิ ตั ติ ามแผนการแกป้ ัญหา ปฏบิ ัติตามแผนการแก้ปญั หา ไม่มีการปฏิบัตติ ามแผน

ในการแกป้ ญั หา ทก่ี ำหนดไวท้ กุ ขั้นตอนมขี ้อมลู ที่กำหนดไว้ 1 ใน 3 ของ การแก้ปญั หาท่วี างไว้

การปฏบิ ตั ติ ามแผน สนับสนนุ ครบถ้วนสมบูรณ์ ข้ันตอนและมีขอ้ มูลสนับสนนุ ไม่มกี ารตรวจสอบทบทวน

การตรวจสอบ มีการตรวจสอบทบทวนแผน สมบูรณ์ มกี ารตรวจสอบ ไม่มกี ารบันทกึ ผล

ทบทวนแผน และมีการปรบั ปรงุ แกไ้ ข ทบทวนแผนบนั ทกึ ผล การปฏิบัตงิ าน

การบันทกึ ผล ขอ้ บกพรอ่ งครบถว้ น สมบูรณ์ การปฏิบัติงานทุกขนั้ ตอน

การปฏิบตั ิ และมีความชดั เจน แต่มี

การบันทกึ ผลการปฏบิ ัติงาน

ไม่ครบทุกขนั้ ตอน

4. สรุปผลและรายงาน มกี ารสรุปผลและจดั ทำรายงาน มีการสรุปผลการดำเนนิ งาน ไมม่ กี ารสรุปและรายงานผล

อยา่ งถกู ต้อง สมบรู ณช์ ดั เจน แตไ่ มไ่ ดจ้ ดั ทำรายงาน

ตวั ชว้ี ดั ท่ี 2 ผลลัพธ์ของการแก้ปญั หา

ผลลัพธข์ องการ ผลงาน/ชน้ิ งานที่เกดิ จาก ผลงาน/ชิ้นงานท่ีเกิดจาก ผลงาน/ชิ้นงานที่เกิดจาก

แก้ปญั หา การแก้ปญั หามีความถูกต้อง การแกป้ ญั หามีความถกู ต้อง การแกป้ ัญหามคี วามถกู ต้อง

เหมาะสมบนพืน้ ฐานของ เหมาะสมบนพ้ืนฐานของ เหมาะสมบนพืน้ ฐานของ

หลกั เหตุผลและคณุ ธรรม หลกั เหตผุ ลและคุณธรรม หลกั เหตุผลและคุณธรรม

อย่างนอ้ ยรอ้ ยละ 80 ข้นึ ไป ร้อยละ 50-69 ของปญั หา ต่ำกว่ารอ้ ยละ 50 ลงมา

ของปัญหาท่ีแก้ไข ท่ีแกไ้ ข ของปัญหาที่แก้ไข

จากตวั อยา่ งขา้ งต้นท่ีเปน็ การประเมินสมรรถนะการแกป้ ัญหา ทำให้สามารถนำสู่การประเมิน
สมรรถนะการแกป้ ัญหาของครูตามกลมุ่ สาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ดงั ตัวอยา่ งตอ่ ไปน้ี

คู่มือการสรา้ งเครื่องมอื ประเมินสมรรถนะผเู้ รียนระดับการศึกษาขัน้ พนื้ ฐาน 108

ตัวอย่าง การสร้างเกณฑก์ ารประเมนิ สมรรถนะ
สมรรถนะที่ 3 ความสามารถในการแก้ปัญหา
ตวั ชี้วัดที่ 1 ใช้กระบวนการแก้ปัญหาโดยวเิ คราะห์ปัญหา วางแผนในการแกป้ ญั หา ดำเนินการแก้ปัญหา

ตรวจสอบและสรุปผล
ตัวชี้วดั ท่ี 2 ผลลัพธ์ของการแกป้ ญั หา
รายวิชา คณิตศาสตร์ ช้นั ประถมศึกษาปที ่ี 4
ภาระงาน/ช้นิ งาน ช่อื ผลงาน “แผนภมู ิคนพอเพียง”
ลกั ษณะของงาน

ให้นักเรยี นศกึ ษาสถานการณ์ท่ีกำหนด แล้วเลอื กข้อมลู จากสถานการณน์ ้นั อาจเป็นข้อมูลท้งั หมด
หรือเป็นข้อมูลเพยี งบางส่วน มานำเสนอด้วยแผนภมู ิภาพและแผนภมู ิแท่งใหส้ วยงามนา่ สนใจ แสดงถึง
ความคิดสร้างสรรค์ของนักเรียน พรอ้ มท้ังใหเ้ หตผุ ลประกอบการตดั สินใจในการเลอื กใช้ข้อมลู

สถานการณ์
นารี ปรีดา เมตตา และนภิ า ไดร้ ับเงนิ รายวนั จากคุณแม่ ดงั น้ี นารี ได้รบั วันละ 10 บาท ปรีดา

วนั ละ 20 บาท เมตตา 15 บาท และนิภา วันละ 4 บาท ทุกคนเปน็ เดก็ ดีใชเ้ งินอยา่ งประหยัด เกบ็ ออมไว้
ทกุ วนั โดยแตล่ ะคนเกบ็ รวบรวมเป็นรายวัน สรุปได้ ดงั ตาราง

ช่อื จนั ทร์ อังคาร พธุ พฤหสั บดี ศุกร์ รวม (บาท)
วัน
5 4 5 3 2 19
นารี 6 4 5 6 4 25
ปรดี า 7 3 3 6 5 24
เมตตา 4 3 2 2 3 14
นิภา

คู่มอื การสร้างเคร่ืองมอื ประเมินสมรรถนะผู้เรยี นระดับการศึกษาขนั้ พน้ื ฐาน 109

เกณฑ์การประเมินแบบภาพรวม (Holistic Rubric)

ระดบั คณุ ภาพ เกณฑพ์ ิจารณา
สมรรถนะสูงกว่าเกณฑม์ าก
เลือกใชข้ ้อมลู จากสถานการณ์ และระบุเหตผุ ลการตดั สนิ ใจเลอื กข้อมูล
สมรรถนะสูงกว่าเกณฑ์ ได้ถูกต้อง ครอบคลมุ องคป์ ระกอบของแผนภูมิครบถว้ น ขนาด
สมรรถนะตามเกณฑ์ และระยะห่างของแผนภูมิเทา่ กนั ทัง้ หมด กำหนดมาตราส่วนได้เหมาะสม
ไม่มสี มรรถนะ สอดคลอ้ งกบั ข้อมลู ข้อมลู ถกู ต้องครบถ้วนและผลงานบง่ บอกถึงความคิด
รเิ ร่ิมสร้างสรรค์ สวยงาม และนา่ สนใจ

เลือกใช้ข้อมลู จากสถานการณ์ และระบุเหตุผลการตดั สนิ ใจเลอื กข้อมูล
ไดถ้ ูกตอ้ งแต่ไมค่ รอบคลมุ องคป์ ระกอบของแผนภูมคิ รบถว้ น ขนาด
และระยะหา่ งของแผนภูมิเทา่ กันทง้ั หมด กำหนดมาตราส่วนได้เหมาะสม
สอดคล้องกบั ข้อมลู ข้อมูลถกู ต้องครบถ้วน

เลือกใชข้ ้อมูลจากสถานการณ์ และระบเุ หตุผลการตดั สินใจเลอื กข้อมลู ได้
องคป์ ระกอบของแผนภมู ิขาดองคป์ ระกอบใดองคป์ ระกอบหนง่ึ ขนาด
และระยะห่างของแผนภูมิไมเ่ ท่ากันหนึ่งแห่ง กำหนดมาตราส่วนไมเ่ หมาะสม
กบั ข้อมูล ข้อมลู ถกู ต้องแต่ขาดรายการใดรายการหน่ึง

เลือกใช้ข้อมูลจากสถานการณ์ และระบเุ หตุผลการตัดสินใจเลอื กข้อมูลได้
องค์ประกอบของแผนภูมิขาดมากกวา่ หน่ึงรายการ ขนาดและระยะหา่ ง
ของแผนภมู ิผิดมากกวา่ หนึ่งแห่ง ไม่มีการกำหนดมาตราส่วน ข้อมูล
ถกู ต้องแต่ขาดมากกว่าหนึง่ รายการ หรือ ผลงานไม่สำเร็จ

คูม่ อื การสรา้ งเครื่องมือประเมินสมรรถนะผู้เรยี นระดบั การศึกษาขัน้ พื้นฐาน 110

เกณฑก์ ารประเมนิ แบบภาพรวม (Analytic Rubric)

ประเด็นประเมิน สมรรถนะสงู กว่า สมรรถนะสูงกวา่ สมรรถนะตาม ไม่มีสมรรถนะ
1. การเลือกใช้ เกณฑ์มาก เกณฑ์ เกณฑ์
ข้อมูล เลือกใชข้ ้อมลู จาก เลือกใช้ข้อมูลจาก ไมส่ ามารถเลือกใช้
สถานการณ์ เลือกใช้ข้อมลู จาก สถานการณ์ ขอ้ มูลได้
2. องค์ประกอบ และระบุเหตผุ ล สถานการณ์ และระบุเหตผุ ล
ของแผนภมู ิ การตดั สินใจเลือก และระบุเหตุผล การตดั สินใจเลอื ก องคป์ ระกอบของ
ข้อมลู ได้ถูกต้อง การตัดสนิ ใจเลือก ขอ้ มูลได้บางสว่ น แผนภมู ขิ าด
3. ขนาดและ ครอบคลุม ขอ้ มลู ไดแ้ ต่ มากกว่าสอง
ระยะห่างของ องค์ประกอบของ ไม่ครอบคลมุ องคป์ ระกอบของ รายการ
แผนภูมิ แผนภมู ิครบถว้ น แผนภมู ขิ าด ขนาดและ
4. การกำหนด ถูกต้องตามชนดิ องคป์ ระกอบของ มากกว่าหนงึ่ ระยะห่างของ
มาตราสว่ น ของแผนภูมิ แผนภูมขิ าด รายการ แผนภูมิไม่เท่ากัน
ขนาดและ องคป์ ระกอบใด ขนาดและ มากกวา่ สองแห่ง
5. ความครบถ้วน ระยะหา่ งของ องคป์ ระกอบหน่งึ ระยะหา่ งของ ไม่มีการกำหนด
ถกู ตอ้ งของขอ้ มลู แผนภูมิเท่ากัน แผนภูมไิ มเ่ ทา่ กนั มาตราสว่ น
6. ความคดิ รเิ รม่ิ ทง้ั หมด ขนาดและ มากกว่าหนงึ่ แหง่
สร้างสรรค์ กำหนดมาตราสว่ น ระยะห่างของ กำหนดมาตราส่วน ข้อมลู ไมถ่ ูกต้อง
ไดเ้ หมาะสม แผนภูมไิ ม่เทา่ กนั ไมเ่ หมาะสมกบั
สอดคลอ้ งกับ หนึ่งแหง่ ขอ้ มูล ผลงานไมบ่ ง่ บอก
ขอ้ มลู ถึงความคิดรเิ ร่ิม
กำหนดมาตราสว่ น ขอ้ มูลถูกต้อง สรา้ งสรรค์
ขอ้ มูลถูกต้อง ไดเ้ หมาะสม แตข่ าดมากกวา่ สวยงาม และ
ครบถว้ น สอดคล้องกับ หน่งึ รายการ นา่ สนใจ
ข้อมลู แต่ไม่ ผลงานบ่งบอกถึง
ผลงานบ่งบอกถงึ ครบถว้ น ความคิดรเิ รม่ิ
ความคดิ รเิ ริ่ม สรา้ งสรรค์ เพยี ง
สร้างสรรค์ ข้อมลู ถูกต้อง เล็กน้อย
สวยงาม และ แตข่ าดรายการใด
นา่ สนใจ รายการหนึง่

ผลงานบง่ บอกถงึ
ความคิดริเริม่
สร้างสรรค์
สวยงาม น่าสนใจ
เพียงเล็กน้อย

การตดั สนิ ผลการประเมินสมรรถนะผเู้ รยี น
ในการตดั สนิ ผลการประเมนิ รายสมรรถนะ ใช้ประเด็นในการพจิ ารณา ดงั นี้
1. จำนวนของความสามารถท่ใี ช้ (K, P, A)
2. ลกั ษณะของการนำความสามารถ (K, P, A) ไปใช้

คู่มือการสร้างเคร่ืองมอื ประเมินสมรรถนะผู้เรยี นระดบั การศึกษาขน้ั พ้นื ฐาน 111

3. ความสำเรจ็ ของงาน

ระดบั คุณภาพ เกณฑ์การตัดสิน
มสี มรรถนะสงู มาก
ประยุกตใ์ ช้ความรู้ ทกั ษะและคุณลักษณะ ในการทำงาน/แก้ปัญหา
มีสมรรถนะสงู ในสถานการณต์ า่ ง ๆ ครบทง้ั 3 ด้าน รว่ มกนั อย่างดี จนทำใหผ้ ลงาน
มคี วามสำเร็จสูงกว่าเปา้ หมาย
มีสมรรถนะ
ไม่มสี มรรถนะ ประยกุ ต์ใช้ความรู้ ทักษะและคุณลักษณะ ในการทำงาน/แกป้ ัญหา
ในสถานการณ์ตา่ ง ๆ ครบท้ัง 3 ดา้ น รว่ มกนั อยา่ งดี จนทำใหผ้ ลงาน
มคี วามสำเรจ็ ตามเป้าหมาย

ประยกุ ต์ใช้ความรู้ ทกั ษะและคุณลักษณะ ในการทำงาน/แกป้ ัญหา
ในสถานการณ์ต่าง ๆ ครบท้งั 3 ด้าน รว่ มกัน จนทำให้ผลงานมคี วามสำเร็จ
ตามเปา้ หมาย

ไมม่ ีการประยุกต์ใชค้ วามรู้ ทักษะและคุณลักษณะ ในการทำงาน/แกป้ ัญหา
ในสถานการณ์ตา่ ง ๆ หรือผลงานไม่สำเร็จตามเปา้ หมาย

การสรปุ ผลการประเมินสมรรถนะ
ครผู ู้รับผิดชอบจดั การเรยี นการสอน ซ่ึงมีหนา้ ท่ีในการพัฒนาผูเ้ รยี นให้มสี มรรถนะตามที่

หลักสตู รกำหนด และจะต้องดำเนนิ การประเมนิ และสรปุ ผลทีเ่ กดิ ขนึ้ ในตวั ผเู้ รียน ดงั นัน้ เพือ่ ให้มแี นว
ทางการสรุปผลการประเมนิ ที่ชัดเจน เป็นธรรมสำหรับผู้เรียน จงึ ไดเ้ สนอแนวทางการดำเนินงาน ดังนี้

1. ครูผสู้ อนรายสาระการเรยี นรู้ เปน็ ผ้ปู ระเมินสมรรถนะผู้เรียนระหว่างจัดการเรียนรูใ้ นแต่ละ
หน่วยและสรุปผลตดั สนิ ให้ระดบั คณุ ภาพเป็นรายสมรรถนะ

2. ครปู ระจำชั้นรวบรวมผลการประเมินจากครผู ูส้ อนรายกลมุ่ สาระการเรียนรู้ แลว้ สรปุ ผล
เปน็ รายสมรรถนะ

3. วธิ ีการสรปุ ผลการประเมิน มี 2 กรณี ดังน้ี
3.1 พิจารณาจากฐานนยิ ม (Mode) หมายความวา่ ระดบั คณุ ภาพใดมีความถส่ี งู ท่สี ดุ

ถือว่าเปน็ ระดับสมรรถนะของผูเ้ รยี น ในกรณีทม่ี ีฐานนิยม (Mode) มากกว่า 1 ระดบั ให้พิจารณาเลือก
ระดับสมรรถนะตามดุลยพนิ ิจของผปู้ ระเมนิ

3.2 พิจารณาจากการเปรียบเทียบกบั เกณฑใ์ นการตัดสิน ซงึ่ แบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ คอื
3.2.1 ผลการประเมนิ เป็นขอ้ มูลเชิงคุณภาพ (ระดับคณุ ภาพ) ให้พิจารณาเปรยี บเทยี บ

กับเกณฑ์ ดังต่อไปน้ี

ระดบั คณุ ภาพ เกณฑพ์ จิ ารณา
มสี มรรถนะสูงมาก มีผลการประเมินระดับมีสมรรถนะสงู ขึ้นไป ทกุ กลุม่ สาระการเรียนรู้
มสี มรรถนะสูง มผี ลการประเมินระดับมีสมรรถนะสงู ขึ้นไป อยู่ระหวา่ ง 5-7 กลุ่มสาระการเรยี นรู้
มสี มรรถนะ มผี ลการประเมินระดบั สมรรถนะสูงข้ึนไป อยู่ระหว่าง 2 - 4 กลุ่มสาระการเรยี นรู้
ไม่มสี มรรถนะ มีผลการประเมินระดับสมรรถนะสูงขึ้นไป น้อยกว่า 2 กลุ่มสาระการเรยี นรู้

คมู่ ือการสรา้ งเครื่องมอื ประเมินสมรรถนะผู้เรียนระดับการศึกษาข้ันพน้ื ฐาน 112

3.2.2 ผลการประเมินเป็นข้อมูลเชงิ ปรมิ าณ (ระดับคะแนน) คะแนนผลการประเมิน
รายกลุ่มสาระการเรยี นร้เู ปน็ ผลการประเมนิ ท่คี รผู สู้ อนประเมินจากผู้เรยี น โดยใชแ้ บบประเมิน
แบบมาตรประมาณค่า (Rating scale) 4 ระดบั (มคี ่าอยรู่ ะหว่าง 0 – 3 คะแนน) เกณฑใ์ นการตัดสินผล
การประเมนิ มดี งั น้ี

คะแนนเฉล่ีย ระดับคุณภาพ
2.50 - 3.00 มสี มรรถนะสงู มาก
2.01 - 2.49 มสี มรรถนะสงู
1.50 - 2.00 มสี มรรถนะ
0 – 1.49 ไมม่ ีสมรรถนะ

ค่มู ือการสร้างเครื่องมอื ประเมินสมรรถนะผู้เรียนระดับการศึกษาขั้นพน้ื ฐาน 113

ตอนที่ 8

การตรวจสอบคณุ ภาพเครือ่ งมือ
ประเมนิ สมรรถนะผู้เรียน

คู่มอื การสร้างเคร่ืองมือประเมินสมรรถนะผ้เู รียนระดบั การศึกษาขั้นพืน้ ฐาน 114

การตรวจสอบคุณภาพของเครอ่ื งมือประเมินสมรรถนะผู้เรียน เป็นกระบวนการสำคัญ
ในการพฒั นาเคร่ืองมือใหม้ ีประสทิ ธิภาพก่อนนำไปใช้ ในลำดบั แรกผู้ประเมินต้องประเมินวา่ ผเู้ รยี น
มคี วามรู้ ความเขา้ ใจ ทักษะ เจตคติและคุณลักษณะต่าง ๆ ไปประยุกตใ์ ชใ้ นงาน หรือในสถานการณ์ต่าง ๆ
ได้จนประสบความสำเร็จ ซงึ่ ต้องใชเ้ คร่ืองมือประเมินสมรรถนะผู้เรียนทม่ี คี ุณภาพ ผา่ นการตรวจสอบ
ค่าความเท่ยี งตรง (Validity) คา่ ความเชือ่ มั่น (Reliability) ค่าความยาก (Difficulty)
และคา่ อำนาจจำแนก (Discrimination power) ใหส้ อดคล้องกบั ลักษณะของเครือ่ งมือ

สมรรถนะผูเ้ รียน (Competency) เป็นคณุ ลกั ษณะและพฤตกิ รรมท่บี ่งชถี้ ึงความสามารถ

ความชำนาญในการใช้ความรู้ ความเข้าใจ และทักษะท่ีมีอยู่อยา่ งเช่ยี วชาญ ซึ่งในการประเมินสมรรถนะ

ผ้เู รียนจะต้องเลือกใชเ้ คร่อื งมือประเมินให้เหมาะสมกบั คุณลกั ษณะและพฤติกรรมนน้ั ๆ ใหห้ ลากหลาย

และเหมาะสมกับพฤติกรรมท่ีต้องการประเมิน เช่น แบบทดสอบ แบบสังเกต แบบสอบถาม แบบสมั ภาษณ์

รวมถึงการทดสอบภาคปฏบิ ตั ิ ซง่ึ เครอ่ื งมอื แต่ละประเภทก็จะใชว้ ธิ กี ารตรวจสอบคณุ ภาพท่ีแตกตา่ งกนั ไป

แสดงไดด้ งั ตาราง

ค่มู อื การสร
ตาราง แสดงการตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือในการประเมินสมรรถนะผเู้ รียน

สมรรถนะ พฤตกิ รรม วธิ กี าร เคร่อื งมือ

สมรรถนะ K การทดสอบ แบบทดสอบเลือกตอบ 
พทุ ธิพิสัย แบบทดสอบเขยี นตอบ 
P การทดสอบ แบบทดสอบ/แบบประเมนิ 
ทกั ษะพสิ ยั ภาคปฏิบตั ิ ภาคปฏบิ ัติ
การสงั เกต แบบตรวจสอบรายการ 
แบบบนั ทกึ 
A การสงั เกต แบบมาตรประมาณค่า 
จติ พิสัย แบบตรวจสอบรายการ 
แบบบันทกึ 
การสัมภาษณ์ แบบมาตรประมาณคา่ 
การประเมินตนเอง แบบสัมภาษณ์ 
แบบมาตรประมาณค่า 

                         ตามเนอ้ื หา ความเทีย่ งตรง ร้างเครื่องมอื ประเมินสมรรถนะผเู้ รียนระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน
ตามโครงสรา้ ง (Validity)
เชงิ สภาพ
       เชงิ พยากรณ์ ความเชอื่ มนั่
การทดสอบซำ้ rXY (Reliability)
 การทดสอบค่ขู นาน rXY
  Inter-Rater
Split half
 KR-20 , KR-21
 Cronbach’s alpha

 ความยากงา่ ย
Difficulty Index
115
อำนาจจำแนก
 Discrimination power

ค่มู อื การสร้างเคร่ืองมอื ประเมินสมรรถนะผ้เู รยี นระดับการศึกษาขนั้ พน้ื ฐาน 116

การตรวจสอบคุณภาพของเคร่อื งมือประเมนิ สมรรถนะผู้เรียน มลี ักษณะเช่นเดียวกับ
แบบทดสอบ และแบบประเมินทางการเรียนชนดิ อ่ืน ๆ ซง่ึ มีคณุ ลกั ษณะสำคัญที่ตอ้ งตรวจสอบ
ประกอบดว้ ย ความเท่ยี งตรง (Validity) ความเช่ือมนั่ (Reliability) ความยากง่าย (Difficulty)
อำนาจจำแนก (Discrimination power) และความเป็นปรนัย (Objectivity) ดังมีรายละเอียด ตอ่ ไปน้ี
1. ความเท่ียงตรง (Validity)

ความเท่ยี งตรง เปน็ คุณลกั ษณะของเคร่อื งมือทแ่ี สดงถงึ ความสามารถในการวัดในส่ิงท่ีต้องการ
วัดไดอ้ ยา่ งถูกต้อง แมน่ ยำ วดั ได้ตรงตามส่งิ ทต่ี ้องการวดั และสภาพท่เี ปน็ จริง คุณสมบัตดิ ้านความเทย่ี งตรง
ถือเปน็ หัวใจของการวดั และประเมนิ ผล เครอ่ื งมือทมี่ ีความเทยี่ งตรงสูงนั้น ทำใหผ้ ลการวดั ถกู ต้อง แม่นยำ

ความเทย่ี งตรงของเครื่องมือวัดผล แบง่ ได้เป็น 4 ประเภท ดังนี้
1.1 ความเทยี่ งตรงตามเนอ้ื หา (Content Validity)

เป็นคุณสมบตั ิท่ีเคร่ืองมือนนั้ มีคำถามสอดคล้อง ตรงตามเน้ือเรอื่ งหรือเนื้อหาวิชาท่ีระบุไว้
ในหลกั สูตร สามารถวดั เน้อื หาสาระทีต่ ้องการวัดได้ครบถ้วน หรือวัดไดค้ รบตามจุดประสงค์การเรียนรู้
ทกี่ ำหนด

1.2 เท่ยี งตรงตามโครงสร้าง (Construct Validity)
เป็นคุณสมบัติทเี่ คร่ืองมือนน้ั สามารถวดั พฤตกิ รรมและสมรรถภาพดา้ นตา่ ง ๆ ได้

ตามจุดมงุ่ หมายทก่ี ำหนดไวแ้ ละเปน็ ไปตามหลกั การของทฤษฎนี ้นั ๆ อย่างครบถว้ น
1.3 ความเทยี่ งตรงตามสภาพ (Concurrent Validity)
เป็นคณุ สมบตั ิท่เี คร่ืองมือนนั้ สามารถวดั ได้ตรงตามสภาพความเปน็ จริงของนกั เรียน

ในขณะน้นั ถา้ นักเรียนมคี วามสามารถสูง ผลการประเมนิ ก็ตอ้ งสะทอ้ นวา่ นักเรียนมีคะแนนสูง ซ่ึงต้องใช้
คะแนนจากการทดสอบของนักเรยี นไปเปรยี บเทียบกบั สภาพจริงของนักเรียนเพื่อดูวา่ สอดคล้องกนั หรอื ไม่

1.4 ความเทยี่ งตรงตามพยากรณ์ (Predictive Validity)
เปน็ คณุ สมบัติท่เี คร่ืองมือนั้นท่ีสามารถให้ข้อมลู ได้ตรงตามสภาพของนักเรยี นท่ีจะเกดิ ข้นึ

ในอนาคต เชน่ นักเรียนที่มคี ะแนนผ่านการประเมนิ Pre-test จะมีโอกาสจบการศึกษาได้มากกวา่
นกั เรยี นทสี่ อบไมผ่ ่าน หรือได้คะแนนน้อยกว่า

อย่างไรก็ตาม ความเท่ยี งตรงทต่ี ้องตรวจสอบเปน็ อบั ดับแรก คอื ความเท่ยี งตรงตามเน้ือหา
(Content Validity) ซ่ึงการหาค่าความเท่ียงตรงตามเน้ือหาของแบบทดสอบท่ีนยิ มใชก้ ัน เรียกว่า
ดัชนีความสอดคล้องระหวา่ งข้อสอบกับจดุ ประสงคเ์ ชงิ พฤตกิ รรม (IOC : Index of item Objective
Congruence) (พวงรัตน์ ทวีรตั น์. 2543 : 137)

การหาคา่ IOC ดำเนนิ การโดยให้ผูเ้ ช่ยี วชาญอย่างน้อยจำนวน 3 คน (เป็นจำนวนค่ี) ประเมิน
ความสอดคล้องของขอ้ สอบแต่ละข้อกบั จุดประสงค์หรือตัวช้ีวดั และพจิ ารณาให้คะแนนแตล่ ะข้อ ดังนี้

ให้ +1 ถา้ แน่ใจวา่ ขอ้ คำถามหรือข้อความสอดคลอ้ งกับจุดประสงค์หรือตวั ช้ีวัดท่ีต้องการวัด
ให้ 0 ถา้ ไม่แน่ใจวา่ ข้อคำถามหรอื ข้อความสอดคล้องกบั จุดประสงคห์ รือตวั ชว้ี ัดท่ตี ้องการวดั
ให้ -1 ถ้าแนใ่ จวา่ ขอ้ คำถามหรือข้อความไมส่ อดคล้องกับจดุ ประสงค์หรือตวั ชวี้ ัดทีต่ อ้ งการวดั

คู่มอื การสร้างเคร่ืองมอื ประเมินสมรรถนะผูเ้ รียนระดับการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน 117

ตวั อย่าง แบบตรวจสอบความสอดคลอ้ งของตัวชว้ี ัดกับสมรรถนะ (รายบคุ คล)

คำช้แี จง โปรดพิจารณาข้อคำถามแตล่ ะข้อทีแ่ นบมาให้วา่ วัดได้ตรงกบั จุดประสงค์/ตวั ช้ีวดั หรอื ไม่
พร้อมท้งั แสดงความคิดเหน็ และขอ้ เสนอแนะ โดยทำเคร่ืองหมาย ✓ลงในชอ่ งความคดิ เหน็
ของผ้เู ชยี่ วชาญ ซ่ึงมีความหมายดังนี้

+1 ถา้ แน่ใจวา่ พฤติกรรมบง่ ช้/ี ข้อคำถามสอดคล้องกบั จดุ ประสงค์หรอื ตัวชี้วดั ท่ตี ้องการวดั

0 ถา้ ไมแ่ น่ใจว่าพฤติกรรมบ่งช/้ี ขอ้ คำถามสอดคลอ้ งกับจุดประสงคห์ รือตวั ช้ีวัดทีต่ ้องการวดั

-1 ถ้าแน่ใจวา่ พฤตกิ รรมบ่งช้ี/ ขอ้ คำถามไมส่ อดคล้องกบั จุดประสงค์หรือตวั ชีว้ ดั ทต่ี อ้ งการวดั

ความคดิ เห็นของ ความคดิ เห็น/
ตวั ชวี้ ดั พฤติกรรมบ่งชี้ ผู้เชย่ี วชาญ ขอ้ เสนอแนะ

+1 0 -1

จากน้ันนำคะแนนของผู้เชี่ยวชาญทุกคนมาคำนวณหาค่า IOC ตามสูตรและแปลความหมายค่า

IOC ทคี่ ำนวณได้ดังน้ี

สตู รคำนวณค่า IOC R
N
IOC =

เมอ่ื IOC แทน คา่ ดัชนคี วามสอดคล้องระหว่างข้อคำถามกบั จุดประสงค์

(Index of item Objective Congruence)
R แทน ผลรวมของคะแนนความคดิ เห็นของผเู้ ชยี่ วชาญทงั้ หมด

N แทน จำนวนผู้เชยี่ วชาญท้งั หมด

เกณฑก์ ารแปลความหมายค่า IOC
IOC ≥ 0.5 แสดงวา่ ขอ้ คำถามผ่านเกณฑก์ ารประเมิน
IOC < 0.5 แสดงวา่ ข้อคำถามไม่ผ่านเกณฑ์การประเมิน

ค่มู อื การสรา้ งเคร่ืองมอื ประเมินสมรรถนะผูเ้ รยี นระดับการศึกษาขัน้ พ้ืนฐาน 118

ตวั อยา่ งแบบสรุปผลการตรวจสอบความสอดคล้องของข้อคำถามกับจุดประสงค์

ตวั ช้วี ัด พฤติกรรมบง่ ชี้/ คะแนนความคดิ เห็นของ รวม ค่า แปลผล
ผเู้ ชี่ยวชาญ
ขอ้ คำถาม R IOC
12345

1.1 +1 +1 +1 0 +1 4 .80 ผ่านเกณฑ์

1 1.2 0 +1 +1 0 +1 3 .60 ผ่านเกณฑ์

1.3 +1 +1 -1 +1 +1 3 .60 ผา่ นเกณฑ์

2 2.1 0 -1 -1 -1 +1 -2 -.40 ไมผ่ า่ นเกณฑ์
2.2 +1 -1 0 +1 -1 0 0.00 ไม่ผา่ นเกณฑ์

2. ความเชือ่ ม่นั (Reliability)
ความเชือ่ ม่ันเปน็ คุณลกั ษณะของเคร่ืองมือ ทวี่ ัดสิ่งท่ตี ้องการวัดซ้ำแล้วไดผ้ ลการวดั คงที่

หรอื ใกลเ้ คยี งกบั ผลการวัดครั้งที่ผา่ นมา ไม่ว่าจะวดั กคี่ รั้งหรือวดั ในสถานการณท์ ี่แตกตา่ งกนั
การตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือด้านความเช่ือม่ัน ทำได้โดยการคำนวณสัมประสิทธ์ิสหสัมพันธ์

เพ่ือตรวจสอบความสอดคล้องระหวา่ งผ้ปู ระเมนิ โดยค่าที่คำนวณได้จะมีค่าตั้งแต่ 0 ถงึ +1 คา่ ความเชื่อม่ันทดี่ ี
ควรมีค่าเขา้ ใกล้ 1.00

วธิ ีการคำนวณ
วิธีการคำนวณค่าสัมประสิทธิ์ความเช่ือมนั่ มีหลายวิธี แต่ละวธิ กี เ็ หมาะสมกับเครอ่ื งมอื
แตล่ ะประเภท ดงั น้ี
2.1 วธิ ีการหาความเชื่อมั่นดว้ ยวิธแี อลฟาของครอนบัค (Cronbach’s alpha)

เป็นวธิ ีท่ีเหมาะสมสำหรับแบบทดสอบทั้งแบบเลือกตอบและแบบเขียนตอบ มีสูตรคำนวณ

ในการประมาณคา่  จากกลุ่มตวั อย่างดงั นี้ (ศิริชยั กาญจนวาสี, 2552 : 71)

คมู่ ือการสรา้ งเคร่ืองมือประเมินสมรรถนะผ้เู รยี นระดบั การศึกษาข้ันพ้นื ฐาน 119

= k 1 − s 2 
− i 
s2
k 1 x

เมื่อ  แทน สมั ประสทิ ธ์ิความเชอ่ื มัน่ ของแบบทดสอบ

k แทน จำนวนข้อคำถาม

si2 แทน ความแปรปรวนของคะแนนข้อที่ i

sx2 แทน ความแปรปรวนของคะแนนรวม x

โดย 2 = ∑( − ̅ )2 เมอื่ n คอื จำนวนผสู้ อบ
−1
ตัวอย่าง แสดงการคำนวณค่าสัมประสทิ ธแ์ิ อลฟา

ผู้สอบ พฤติกรรมบ่งช้ี คะแนนรวม
12345
31
1 68917 30
13
2 88824 6
80
3 03613 20

4 21102

รวม 16 20 24 4 16

ค่าเฉลยี่ 45614

ข้นั ตอนการคำนวณ
1) k = 5

2) sx2 = ∑( − ̅ )2
−1
=
(31−20)2+(30−20)2+(13−20)2+(6−20)2
3) s12 = 4−1

s2 = 155.33
2
= ∑( − ̅ )2
s2 = −1
3 =
= (6−4)2+(8−4)2+(0−4)2+(2−4)2
s2 = 4−1
4 =
13.33
s2 12.67
5 12.67
0.67
4.67

คูม่ ือการสร้างเคร่ืองมอื ประเมินสมรรถนะผเู้ รียนระดบั การศึกษาขนั้ พ้ืนฐาน 120

4)  s2 = 13.33 + 12.67 + 12.67 + 0.67 + 4.67 = 41.01
i

5) แทนคา่ ในสตู ร

6)  = 5 [ 41.01 ]

5−1 155.33

= 0.925
แบบทดสอบฉบับน้ี มีคา่ ความเช่อื มั่นเท่ากบั 0.925 สามารถนำไปใช้ได้

2.2 วธิ ีการหาความเช่อื มน่ั โดยผปู้ ระเมนิ 2 คน
วธิ กี ารหาความเช่อื ม่นั แบบหาคา่ ความสอดคลอ้ งระหว่างผปู้ ระเมิน (Inter-rater

reliability : IRR)
เป็นการวัดความเช่อื มน่ั ของเครือ่ งมือท่ตี ้องอาศัยผปู้ ระเมนิ ผ้เู ชี่ยวชาญ หรือผู้ทรงคุณวุฒิ

ให้คะแนนคา่ ความเช่ือมั่นในลกั ษณะนขี้ นึ้ กบั ความคงเส้นคงวาของผลการพจิ ารณาของผปู้ ระเมิน

(Rosenthal and Rosnow, 1991) เชน่ ให้ครู 2 คนประเมนิ การรบั ร้ขู ้อมลู ข่าวสารท่ีเป็นประโยชน์ของ

ผู้เรยี น 1 คน โดยประเมินพร้อมกัน ด้วยแบบประเมนิ เดยี วกัน สามารถคำนวณความเชื่อมน่ั จากการสังเกต

ระหวา่ งผ้ปู ระเมนิ ซึ่งมอี ยูห่ ลายวิธี ดงั น้ี

วิธีที่ 1 ใช้สูตรสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน หรือใช้ความสัมพันธ์แบบอื่น ๆ ตามระดับ
การวดั ตวั แปร เหมาะกับแบบประเมนิ ทเ่ี ป็นมาตราสว่ นประมาณค่า (Rating Scale)

N  xy −  x y
( ) ( )r =
xy  x2 2   y2 y 2
 N − x   N −  

ค่มู อื การสรา้ งเครื่องมอื ประเมินสมรรถนะผเู้ รียนระดับการศึกษาขนั้ พน้ื ฐาน 121

ตวั อยา่ งการคำนวณ

ในการตรวจสอบคุณภาพแบบประเมินสมรรถนะผู้เรียน โดยใช้ผู้ประเมิน 2 คน ประเมิน

สมรรถนะผู้เรยี น 10 คน ปรากฏคะแนนการวัดของผูป้ ระเมินท้งั 2 คน ดงั นี้

ผูเ้ รยี นคนท่ี 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10

ผปู้ ระเมนิ คนท่ี 1 35 40 40 40 45 48 49 50 50 55

ผปู้ ระเมินคนที่ 2 40 40 42 40 45 50 50 52 55 52

ตาราง แสดงการคำนวณคา่ สหสมั พันธ์ระหว่างผลการวดั ของผู้ประเมิน 2 คน ไดด้ งั นี้

คนที่ 2

1 35 40 1,225 1,600 1,400
1,600
2 40 40 1,600 1,600 1,680
1,600
3 40 42 1,600 1,764 2,025
2,400
4 40 40 1,600 1,600 2,450
2,600
5 45 45 2,025 2,025 2,750
2,860
6 48 50 2,304 2,500 21,365

7 49 50 2,401 2,500

8 50 52 2,500 2, 704

9 50 55 2,500 3,025

10 55 52 3,025 2,704

∑ 452 466 20,780 22,022

N  xy −  x y
( ) ( )r =
xy  x2 2   y2 2
 N − x   N − y 

  = 10(21,365) − (452)(466)
10(20,780) − (452)2 10(22,022) − (466)2

= 213,650 − 210,632

207,800 − 204,304220,220 − 217,156

= 3,018
(3,496)(3,064)

= 3,018
3,272.88

= 0.92

คู่มือการสร้างเคร่ืองมอื ประเมินสมรรถนะผเู้ รยี นระดับการศึกษาขั้นพน้ื ฐาน 122

แสดงว่า ผู้ประเมนิ คนที่ 1 ให้คะแนน สอดคล้องกับผปู้ ระเมินคนที่ 2 คือ เป็นไปในทิศทาง
เดียวกนั สรุปได้ว่า แบบประเมนิ ฉบับน้มี คี วามเท่ียงหรือความเชือ่ มัน่ สูง

3. ค่าความยากง่าย (Difficulty Index)
ความยากง่ายของข้อสอบ (p) คอื สัดสว่ นของจำนวนผู้ทต่ี อบขอ้ สอบข้อนนั้ ถูกตอ่ จำนวนผสู้ อบ

ทัง้ หมด ซง่ึ มีค่าตง้ั แต่ 0 – 1 ถ้าข้อสอบข้อนั้นงา่ ย ค่า p จะมคี า่ เข้าใกล้ 1 ในทางตรงกันขา้ ม ถ้าขอ้ สอบ
ขอ้ น้ันยาก คา่ p จะมคี า่ เขา้ ใกล้ 0

ข้อสอบทด่ี ีควรมีความยากงา่ ยพอเหมาะ ไมย่ ากหรือง่ายเกนิ ไป ควรมีค่า p อยู่ระหว่าง

0.20 - 0.80 ถือวา่ เปน็ ข้อสอบท่มี คี า่ ความยากงา่ ยพอเหมาะ

การวิเคราะหค์ ่าความยากง่าย (Difficulty Index) ข้อสอบเขียนตอบ
การวิเคราะห์ค่าความยากง่ายของข้อสอบเขียนตอบสามารถดำเนินการตามข้ันตอนและสูตร

การคำนวณดงั ต่อไปน้ี
1. ตรวจและเรียงคะแนนรวมจากสงู สดุ ถึงตำ่ สุด
2. แบง่ กลมุ่ สงู (H) และกลุ่มตำ่ (L)
3. คำนวณสัดสว่ นของคะแนนรวมรายขอ้ ท่ไี ดจ้ ำแนกตามกลมุ่

PH = H PL = L

TH TL

H รวมคะแนนกลุ่มสูง L รวมคะแนนกล่มุ ต่ำ

TH รวมคะแนนเตม็ กล่มุ สูง TL รวมคะแนนเต็มกล่มุ ต่ำ

4. วิเคราะหค์ า่ ความยาก (p) p = PH + PL
2

4. ค่าอำนาจจำแนก (Discrimination Power)
อำนาจจำแนก (r) คือลกั ษณะของขอ้ สอบท่ีสามารถแบ่งผ้สู อบออกเป็นกลุ่ม เชน่ กลมุ่ ผู้รู้

กับผู้ไมร่ ู้ กลุ่มเก่ง กบั กลุม่ ออ่ น หรอื กลมุ่ ผ้เู รียนท่มี ีสมรรถนะ กบั กลุ่มผู้เรียนทย่ี ังไมม่ สี มรรถนะ
ข้อสอบทม่ี ีอำนาจจำแนกสงู จะสามารถจำแนกผสู้ อบได้ โดย กลุ่มผรู้ ู้ ต้องทำข้อสอบข้อน้ันได้ถูกตอ้ ง
สว่ นกล่มุ ผู้ไมร่ ู้ต้องไมไ่ ด้คะแนนจากการทำข้อสอบข้อน้นั (นักเรียนกล่มุ เกง่ ทำขอ้ สอบถูก นักเรยี นกล่มุ ออ่ น
ทำข้อสอบผิด) หรือกลุม่ ผเู้ รียนทมี่ สี มรรถนะควรปฏิบตั ขิ ้อสอบขอ้ น้นั ได้คะแนนมาก ในทางตรงขา้ ม
กลุ่มผู้เรียนทย่ี ังไม่มสี มรรถนะตอ้ งได้คะแนนจากข้อสอบข้อนั้นในระดับน้อย (ไมผ่ า่ นเกณฑก์ ารประเมนิ )

ค่าอำนาจจำแนกมีคา่ ตัง้ แต่ -1 ถึง 1 แต่ข้อสอบทีม่ ีอำนาจจำแนกเหมาะสมควรมีค่าตง้ั แต่
0.2 ขนึ้ ไป

ค่มู อื การสร้างเครื่องมอื ประเมินสมรรถนะผู้เรียนระดับการศึกษาขั้นพืน้ ฐาน 123

คา่ อำนาจจำแนกหาได้จากสูตร

r = PH - PL
เม่อื PH คอื สดั ส่วนของคะแนนในกลมุ่ สูง

PL คอื สัดส่วนของคะแนนในกล่มุ ต่ำ

ตวั อยา่ งการหาคณุ ภาพด้านความยากง่ายและอำนาจจำแนกของข้อสอบแบบเลือกตอบ
และแบบเขยี นตอบ

การวเิ คราะห์ค่าความยากง่ายและอำนาจจำแนกของข้อสอบตามหลักการข้างต้น สามารถ
กระทำไดโ้ ดยการวิเคราะห์ผลการตอบของผู้สอบทุกคน (เทคนคิ 50%) แตใ่ นกรณีมผี ู้สอบจำนวนมาก
เพอ่ื ความสะดวกในการวเิ คราะห์สามารถใชผ้ ลการตอบของผสู้ อบเพียงบางสว่ นได้ เชน่ ใช้กลุ่มสงู
และกลุ่มต่ำเพียงกล่มุ ละ 25%, 27%, 30% และ 33%

การวิเคราะห์คา่ ความยากง่ายและอำนาจจำแนกของข้อสอบแบบเลอื กตอบและแบบเขียนตอบ
ดำเนนิ การ ไดด้ ังนี้

1. ตรวจให้คะแนนข้อสอบแต่ละข้อ แล้วรวมคะแนนทกุ ขอ้
2. เรยี งกระดาษคำตอบจากคะแนนสูงสดุ ลงมาหาตำ่ สดุ ถา้ ใช้เทคนิค 25% ให้คดั เอาเฉพาะผทู้ ่ี
ได้คะแนนสงู สดุ 25% ของคนสอบทงั้ หมดเป็นกลมุ่ สูง และผูท้ ีไ่ ด้คะแนนตำ่ สดุ 25% ของคนสอบท้ังหมด
เป็นกลุ่มต่ำ กล่มุ ท่เี หลอื เปน็ กลมุ่ กลาง มีจำนวน 50% ของคนสอบทัง้ หมด ไมน่ ำมาใช้ในการวิเคราะห์
3. บันทกึ คะแนนของแตล่ ะคนในแต่ละข้อลงในตาราง โดยแยกตามกลมุ่ จากนัน้ ให้รวม
คะแนนแตล่ ะข้อของแต่ละกลุ่ม ทงั้ นอ้ี าจใช้แบบฟอรม์ ดังตัวอย่างการวิเคราะห์ข้อสอบแบบเลือกตอบ
ช้นั ประถมศึกษาปที ่ี 6 ดังน้ี

คู่มือการสรา้ งเครื่องมือประเมินสมรรถนะผเู้ รยี นระดับการศึกษาขัน้ พื้นฐาน 124

ตัวอยา่ ง ตารางการวเิ คราะห์ขอ้ สอบแบบเขียนตอบ ช้ันประถมศึกษาปีท่ี 6

กล่มุ ผูส้ อบ 1 ขอ้ สอบข้อที่ 5 รวม
กลุ่มสูง
19 234 10 42
กลุ่มตำ่ 28 10 39
ผลกำรวเิ ครำะห์รวม 38 878 9 37
48 867 9 36
767
766

รวม 33 30 25 28 38

1 5 5 5 7 5 27
2 5 5 3 8 4 25
3 4 6 3 6 3 22
4 2 3 2 7 2 16

รวม 16 19 13 28 14

p .61 .61 .47 .70 .65

r .42 .27 .30 .00 .60

สรุป ใช้ได้ ใชไ้ ด้ ใช้ได้ ใช้ไมไ่ ด้ ใชไ้ ด้

จากตารางจะเห็นว่าข้อสอบมีจำนวนทง้ั หมด 5 ข้อ คะแนนเตม็ ข้อละ 10 คะแนน
นักเรยี นทส่ี อบมจี ำนวนทง้ั หมด 16 คน จึงมีกลุ่มสงู และกลุ่มต่ำกลุ่มละ 4 คน ซ่ึงเท่ากับ 25% ของ 16 คน

ผู้ที่ไดค้ ะแนนสูงสุดทำได้ 42 คะแนน ตอบข้อ 1 ถึง ข้อ 5 ไดค้ ะแนนตามลำดับดังนี้ 9, 8, 7, 8,
10 ผ้ทู ไ่ี ด้คะแนนตำ่ สดุ ทำได้ 16 คะแนน ตอบข้อ 1 ถึงข้อ 5 ได้คะแนนตามลำดับดังนี้ 2, 3, 2, 7, 2 ขอ้ 1
มกี ลุ่มสูงทำไดค้ ะแนนรวมท้ังหมด 33 คะแนน กลุ่มต่ำทำได้ 16 คะแนน

ตวั อย่าง การหาค่าความยากง่ายของข้อ 1

p = 33 +16 = 49 = .61
2x4x10 80

ตัวอย่าง การหาค่าอำนาจจำแนกของข้อ 1
33 −16 17
r = 4 x 10 = 40 = .42

4. นำค่าความยากและค่าอำนาจจำแนกทคี่ ำนวณได้บันทกึ ลงในตาราง และสรปุ คณุ ภาพของ
ข้อสอบขอ้ นนั้ ว่าใชไ้ ด้หรอื ไม่ โดยข้อสอบทใ่ี ชไ้ ดต้ ้องมีค่าทีเ่ หมาะสมทั้งค่าความยากงา่ ยและอำนาจจำแนก
จากตวั อยา่ งการวิเคราะห์ข้อสอบแบบเขยี นตอบดังกล่าวข้างต้น แสดงว่าข้อ 1, 2, 3, และ 5 มีคุณภาพ
เหมาะสม สว่ นข้อ 4 ถงึ แมว้ ่าคา่ ความยากจะอย่ใู นเกณฑ์ใช้ได้ แตไ่ ม่มีอำนาจจำแนก จงึ เปน็ ขอ้ ที่ใช้ไม่ได้

คู่มือการสรา้ งเครื่องมือประเมินสมรรถนะผูเ้ รยี นระดับการศึกษาขั้นพนื้ ฐาน 125

5. ความเปน็ ปรนัย (Objectivity)
ความเปน็ ปรนยั มีความหมายถึง ความชดั เจนโดยพจิ ารณาจากองค์ประกอบสำคญั 3 ประการ

คอื
5.1 ความชัดเจนในเร่อื งของภาษาการใชภ้ าษาทัง้ แบบทดสอบและเครือ่ งมือวดั อืน่ ๆ ต้องมี

ความชัดเจนและสามารถสื่อสารไดต้ รงประเดน็ โดยผูส้ อบสามารถเขา้ ใจเจตนารมณ์ของผู้ออกข้อสอบไดถ้ ูกต้อง
ตรงกันทั้งหมด ความชัดเจนของภาษาท่ีใช้จะช่วยลดความคลาดเคลื่อนท่ีเกิดข้ึนจากการทำแบบทดสอบ
และการตีความสง่ิ ที่ถามในแบบทดสอบ รวมทงั้ คำสั่งตา่ ง ๆ และตวั เลอื กท่ีปรากฏอยูใ่ นแบบทดสอบดว้ ย

5.2 ความชดั เจนในการตรวจใหค้ ะแนน ความชดั เจนในการตรวจใหค้ ะแนนพจิ ารณาจาก
วธิ กี ารตรวจขอ้ สอบว่ามีความถูกต้องและคงที่ในการเฉลยคำตอบและการตรวจใหค้ ะแนนหรอื ไม่ วธิ ีการ
ตรวจให้คะแนนจะต้องเหมือนกนั ในการตรวจคำตอบของผู้สอบแต่ละคน กระบวนการและการเฉลย
คำตอบต้องมีความเหมอื นกนั เพือ่ ก่อให้เกดิ ความยุตธิ รรมในการใหค้ ะแนน ความชัดเจน
ในการตรวจให้คะแนนสามารถทำได้โดยการสร้างเกณฑ์การตรวจใหค้ ะแนนไว้ล่วงหนา้ เช่น การสรา้ ง
รูบรคิ (Rubric) การกำหนดขั้นตอน และวิธกี ารในการตรวจให้คะแนน

5.3 ความชัดเจนในการแปลความหมายคะแนน ผลจากการวดั คือคะแนนหรือตวั เลขทไ่ี ด้มา
ตอ้ งมีการนำมาเปรยี บเทยี บกับเกณฑ์ท่ีกำหนดขึ้น โดยผู้เข้าสอบทุกคนจะไดร้ ับการพจิ ารณาโดยใชเ้ กณฑ์
เดยี วกันในการแปลความหมายคะแนนท่ีทำได้ ความชดั เจนในการแปลความหมายคะแนนท่ไี ดจ้ าก
การทำแบบทดสอบจะส่งผลให้เกิดความยุติธรรม ไมเ่ กิดความเหล่ือมลำ้ ในการแปลความหมายคะแนน
ผ้เู ขา้ สอบทีไ่ ด้คะแนนเทา่ กนั ในองคป์ ระกอบเดยี วกันจะได้รบั การแปลผลคะแนนท่เี หมือนกนั
การตรวจสอบความเปน็ ปรนยั นยิ มใหผ้ ู้เชย่ี วชาญเปน็ ผตู้ รวจสอบ แตใ่ นเบื้องต้น ผสู้ รา้ งเครือ่ งมือ

ควรพจิ ารณาทบทวนในประเดน็ ท้งั 3 ประเดน็ เปน็ เบื้องต้น เพอื่ ให้เครื่องมอื ท่ีสร้างขน้ึ มีคุณภาพ ถูกต้อง

และได้มาตรฐาน นอกจากน้ี การทดลองใชเ้ คร่ืองมือที่สร้างขน้ึ กับกลุ่มทมี่ ลี ักษณะคลา้ ยกลมุ่ เป้าหมาย

กถ็ อื เป็นอีกวธิ ีท่จี ะช่วยให้ผู้สร้างเครอ่ื งมอื เหน็ ข้อพกพร่องในการตีความดา้ นภาษา และกระบวนการ

ในการตรวจให้คะแนนและการแปลผลคะแนน

ค่มู อื การสรา้ งเคร่ืองมอื ประเมินสมรรถนะผู้เรยี นระดับการศึกษาขั้นพ้นื ฐาน 126

เอกสารอ้างองิ

เกริกเกยี รติ ศรเี สริมโภค. (2546). การพฒั นาความสามารถเชงิ สมรรถนะ. กรุงเทพฯ : โกบลั คอนเซิร์น.
คณะอนุกรรมการด้านการเรยี นการสอนในคณะกรรมการอิสระเพื่อปฏริ ูปการศึกษา. (2562). คูม่ ือการนำ

กรอบสมรรถนะหลักของผูเ้ รียนระดับประถมศึกษาตอนตน้ (ป.1-ป.3) ไปใชใ้ นการพัฒนาผูเ้ รียน
โครงการวจิ ยั และพัฒนาสมรรถนะหลักของผู้เรียนระดับประถมศึกษาตอนต้น (ป. 1-3), มปท.
ธำรง บังศร.ี (2532). ทฤษฎหี ลักสตู ร : การออกแบบและพัฒนา, กรุงเทพมหานคร: โรงพมิ พค์ ุรสุ ภา.
กระทรวงศึกษาธกิ าร. (2552). หลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาขนั้ พน้ื ฐาน พุทธศักราช 2551.
กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแหง่ ประเทศไทย จำกดั
บุญสม ศรศี ักดา. (2558). การพัฒนาเครื่องมือประเมนิ สมรรถนะสาํ คัญของนกั เรยี นมธั ยมศกึ ษาตอนตน้
ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศกั ราช 2551. ดุษฎีนพิ นธค์ รุศาสตรดุษฎีบณั ฑติ
สาขาวชิ าการวัดและประเมนิ ผลการศกึ ษา, คณะครุศาสตร์, จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย.
วิชัย วงษ์ใหญ่ และมารุต พฒั ผล. (2562). การประเมินตามสภาพจรงิ อิงสมรรถนะ (Authentic
competency-based assessment). กรุงเทพมหานคร : ศูนยผ์ ู้นำนวัตกรรมหลักสูตร
และการเรยี นรู้.
ศริ ชิ ัย กาญจนวาสี. (2545). ทฤษฎีการประเมิน. กรงุ เทพฯ : สำนกั พมิ พ์แหง่ จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
สมชาย รัตนทองคำ. เอกสารประกอบการสอน การวัดและประเมินผลทางการศึกษา.
มหาวิทยาลยั ขอนแก่น.
https://ams.kku.ac.th/aalearn/resource/edoc/tech/54/13eva.pdf
สกุ ัญญา รศั มธี รรมโชต.ิ (2552). การพฒั นาทรัพยากรมนษุ ย์ดว้ ย Competency based HRM. กรุงเทพฯ :
ซเี อดยเู คชัน่ จำกัด (มหาชน).
สำนักทดสอบทางการศึกษา. (2557). คูม่ อื ประเมินสมรรถนะสำคญั ของผเู้ รียนระดับการศกึ ษาขัน้ พืน้ ฐาน
ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขนั้ พืน้ ฐาน พุทธศกั ราช 2551. กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พช์ ุมนุม
สหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จำกัด.
สำนกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขนั้ พ้ืนฐาน. (2555). คู่มือประเมนิ สมรรถนะสำคญั ของผเู้ รียนระดบั
การศกึ ษาข้ันพน้ื ฐาน ช้นั ประถมศึกษาปีท่ี 6 ตามหลักสตู รแกนกลางการศึกษาขนั้ พน้ื ฐาน
พทุ ธศกั ราช 2551. กรงุ เทพมหานคร : โรงพิมพ์สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ.
สำนกั งานคณะกรรมการข้าราชการพลเรอื น (ก.พ.). (2548). การปรับใชส้ มรรถนะในการบริหารทรัพยากร
มนษุ ย.์ เอกสารประกอบการสัมมนา เรอื่ งสมรรถนะของขา้ ราชการ, 31 มกราคม.
สำนักทดสอบทางการศกึ ษา. (2554). คมู่ อื ประเมนิ สมรรถนะสำคญั ของผเู้ รยี นระดบั การศึกษาข้ันพน้ื ฐาน
ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขน้ั พ้นื ฐาน พุทธศักราช 2551 ชน้ั ประถมศึกษาปีท่ี 6. กรงุ เทพฯ :
สำนกั งานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ.
สำนักทดสอบทางการศกึ ษา. (2562). หลักสตู ร พัฒนาศักยภาพศกึ ษานิเทศก์และครูผู้สอนในการสร้าง
เครอื่ งมอื ประเมินสมรรถนะผู้เรยี นระดับการศึกษาขน้ั พนื้ ฐาน. กรงุ เทพฯ : มปท.
อานนท์ ศักด์ิวรวชิ ญ์. (2547). “แนวคิดเรื่องสมรรถนะ Competency : เรื่องเก่าที่เรายังหลงทาง,”
Chulalongkon Review. 16 (ก.ค.–ก.ย.) : 57 – 72.

คูม่ ือการสร้างเครื่องมอื ประเมินสมรรถนะผเู้ รยี นระดบั การศึกษาขน้ั พน้ื ฐาน 127

McClelland, D.C. (1973). Testing for Competence rather than for Intelligence. American

Psychologist. 28, P.1–14.

McClelland, D.C. (1973). Test for Competence, rather than intelligence. American
Psychologists. 17 (7). P.57-83.

คู่มอื การสรา้ งเคร่ืองมอื ประเมินสมรรถนะผูเ้ รียนระดบั การศึกษาขัน้ พ้นื ฐาน 128

คณะทำงาน

ท่ีปรึกษา ผูอ้ ำนวยการสำนักงานเขตพืน้ ทก่ี ารศึกษาประถมศกึ ษาพิจิตร เขต 2
ว่าท่รี อ้ ยเอกสาโรช ยกให้ รองผู้อำนวยการสำนกั งานเขตพนื้ ท่กี ารศึกษาประถมศกึ ษาพจิ ิตร เขต 2
นายบานเย็น มูลเทย่ี ง รองผ้อู ำนวยการสำนักงานเขตพนื้ ทีก่ ารศึกษาประถมศึกษาพิจติ ร เขต 2
นางปณดา โภชนส์ าลี

ผรู้ บั ผดิ ชอบโครงการ ศึกษานิเทศก์ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพจิ ิตร เขต 2
นางสาวชัชนนั ท์ สขุ คมุ้

คณะทำงาน

นายสกุล หนุ่ วนั ศึกษานเิ ทศก์ สำนกั งานเขตพน้ื ที่การศึกษาประถมศึกษาพิจิตร เขต 2

นายทวี หาแกว้ ศกึ ษานเิ ทศก์ สำนักงานเขตพืน้ ท่ีการศึกษาประถมศึกษาพจิ ติ ร เขต 2

นางสิริเพญ็ แพงศรี ศึกษานิเทศก์ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพจิ ิตร เขต 2

นางสาวชชั นันท์ สขุ คุ้ม ศกึ ษานเิ ทศก์ สำนกั งานเขตพ้นื ทก่ี ารศึกษาประถมศึกษาพิจติ ร เขต 2

นายประเทือง เขม็ เพชร ศึกษานเิ ทศก์ สำนักงานเขตพ้ืนทีก่ ารศึกษาประถมศึกษาพจิ ิตร เขต 2

นายทศพล พลู พฒุ ศกึ ษานเิ ทศก์ สำนกั งานเขตพน้ื ท่ีการศึกษาประถมศึกษาพิจิตร เขต 2

นางชตุ กิ าญจน์ ทองแจม่ ศกึ ษานเิ ทศก์ สำนักงานเขตพ้นื ท่ีการศึกษาประถมศึกษาพิจติ ร เขต 2

วา่ ที่ ร.ต.หญงิ เสาวลักษณ์ สนิ สมุทร์ ศกึ ษานเิ ทศก์ สำนกั งานเขตพน้ื ท่ีการศกึ ษาประถมศึกษาพิจติ ร เขต 2

นายยงยุทธ สินสวาท ศึกษานิเทศก์ สำนักงานเขตพืน้ ที่การศึกษาประถมศกึ ษาพจิ ติ ร เขต 2

นางยคุ ลธร สังขส์ อน ศกึ ษานิเทศก์ สำนกั งานเขตพ้ืนที่การศกึ ษาประถมศกึ ษาพจิ ติ ร เขต 2

นายกฤษณ์ จันทมาส ศกึ ษานิเทศก์ สำนกั งานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาประถมศึกษาพจิ ติ ร เขต 2

นางสาวอัญชลี ศรเพ็ชร ศึกษานเิ ทศก์ สำนักงานเขตพน้ื ที่การศึกษาประถมศึกษาพิจิตร เขต 2

นางสาวนุตประวีณ์ ทัศนสุวรรณ ศึกษานเิ ทศก์ สำนักงานเขตพืน้ ที่การศึกษาประถมศึกษาพิจิตร เขต 2

นางสาวนรศิ รา แสงจนั ทร์ ศึกษานเิ ทศก์ สำนกั งานเขตพืน้ ที่การศกึ ษาประถมศกึ ษาพจิ ติ ร เขต 2

นางสาวสภุ ัสสร บญุ รอด ศกึ ษานเิ ทศก์ สำนกั งานเขตพนื้ ที่การศกึ ษาประถมศึกษาพิจิตร เขต 2

นางสรวงสดุ า บญุ เรศ ศกึ ษานิเทศก์ สำนักงานเขตพื้นที่การศกึ ษาประถมศกึ ษาพจิ ติ ร เขต 2

บรรณาธิการกจิ

นางสาวชัชนนั ท์ สุขคมุ้ ศึกษานิเทศก์ สำนกั งานเขตพนื้ ทีก่ ารศึกษาประถมศึกษาพจิ ิตร เขต 2

นางสาวนตุ ประวณี ์ ทศั นสุวรรณ ศึกษานเิ ทศก์ สำนักงานเขตพืน้ ที่การศึกษาประถมศึกษาพจิ ติ ร เขต 2

ออกแบบปกและจัดทำรปู เล่ม

นางสาวชชั นันท์ สุขคุ้ม ศกึ ษานเิ ทศก์ สำนักงานเขตพ้นื ท่กี ารศึกษาประถมศึกษาพจิ ิตร เขต 2

นางสาวนุตประวณี ์ ทศั นสวุ รรณ ศกึ ษานเิ ทศก์ สำนักงานเขตพ้ืนที่การศึกษาประถมศึกษาพจิ ิตร เขต 2




Click to View FlipBook Version