คู่มือการสร้างเครื่องมือประเมินสมรรถนะผู้เรยี นระดบั การศึกษาขั้นพนื้ ฐาน 45
1.3 รปู แบบ/แนวทางในการจดั การเรียนอิงสมรรถนะในปัจจุบนั
ในปัจจุบนั นี้ มีสถานศกึ ษาหลายแหง่ ได้จดั การเรียนรูอ้ งิ สมรรถนะ โดยมคี วามแตกตา่ งกนั
ตามความพร้อมหรือบรบิ ทของสถานศึกษา โดยพอสรุปรปู แบบของการจัดการเรียนรูอ้ ิงสมรรถนะ
จากผลการวิจัยของคณะอนุกรรมการด้านการเรียนการสอนในคณะกรรมการอสิ ระ
เพื่อปฏิรปู ซ่งึ ครสู ามารถเลือกใชต้ ามความพร้อมและบรบิ ทโรงเรยี นและความถนัดของตน ดงั รายละเอียด
ต่อไปนี้
รูปแบบ/แนวทางท่ี 1 : ใช้งานเดมิ เสรมิ สมรรถนะ
เปน็ การสอนตามปกติท่ีสอดแทรกสมรรถนะ ซ่ึงครเู หน็ ว่าสอดคล้องกับบทเรียนน้ันเขา้ ไป
และอาจปรับกิจกรรมหรือคิดกจิ กรรมต่อยอด เพ่ือให้ผู้เรียนได้พัฒนาสมรรถนะน้นั ยิ่งข้ึน หรือไดส้ มรรถนะ
อื่นเพ่ิมมากขึน้ ช่วยเพ่มิ การเรียนรขู้ องผเู้ รยี นให้เข้มขน้ มีความหมายย่งิ ข้ึน
รปู แบบ/แนวทางที่ 2 : ใช้งานเดมิ ตอ่ เติมสมรรถนะ
เป็นการสอนตามปกติทส่ี อดแทรกสมรรถนะ ซง่ึ ครูเหน็ ว่าสอดคล้องกบั บทเรียนน้ัน
มกี ารเน้นสมรรถนะทีเ่ กีย่ วข้องให้มากข้นึ ช่วยใหผ้ ้เู รียนใช้ความรู้ ทักษะไดจ้ ริง ในสถานการณท์ ่หี ลากหลาย
และพัฒนาคณุ สมบัตทิ ีช่ ่วยให้ใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพยง่ิ ขึน้
รปู แบบ/แนวทางท่ี 3 : ใชร้ ูปแบบการเรยี นรู้ สู่การพฒั นาสมรรถนะ
เป็นการสอนตามปกติท่มี ีการนำรูปแบบการเรียนรทู้ ่ีใช้เดิมมาวิเคราะหเ์ ช่ือมโยงกบั
สมรรถนะทสี่ อดคล้องกบั รปู แบบการเรียนรู้ ซ่ึงช่วยให้ผ้เู รยี นเกิดการเรยี นรู้ตามจดุ ประสงค์ของรปู แบบ
การเรยี นรูแ้ ละเกิดสมรรถนะทีม่ ุ่งพฒั นา
รูปแบบ/แนวทางท่ี 4 : สมรรถนะเป็นฐาน ผสานตัวชี้วัด
เปน็ การสอนโดยนำสมรรถนะและตวั ช้ีวดั ทสี่ อดคล้องกันมาออกแบบการสอนรว่ มกัน เพอื่ ให้
เดก็ ๆ ได้เรยี นรูท้ ้ังเนอ้ื หาสาระและทกั ษะตามทต่ี วั ชวี้ ัดกำหนดไปพร้อมกับพัฒนาสมรรถนะหลกั ท่จี ำเปน็
ตอ่ ชีวติ ของเขา
รปู แบบ/แนวทางท่ี 5 : บูรณาการผสานหลายสมรรถนะ
เปน็ การสอน โดยนำสมรรถนะหลกั ท้ังสิบด้านเป็นตวั ตง้ั และวเิ คราะห์ตวั ช้วี ัดทเ่ี ก่ยี วขอ้ ง
แล้วออกแบบการสอนทีม่ ีลักษณะเปน็ หนว่ ยบูรณาการที่ชว่ ยใหเ้ ดก็ ไดเ้ รียนรู้อย่างเป็นธรรมชาติ และเหน็
ความสัมพันธร์ ะหว่างวิชา/กลุ่มสาระการเรยี นรู้ต่าง ๆ
รูปแบบ/แนวทางที่ 6 : สมรรถนะชีวติ ในกิจวัตรประจำวัน
เป็นการอบรมส่งั สอน ที่ครูจงใจสอดแทรกการพฒั นาสมรรถนะเข้าในกจิ วตั รประจำวนั ของ
ผู้เรียน
โดยในแต่ละรปู แบบ/แนวทางมรี ายละเอยี ดดงั ต่อไปนี้
คมู่ อื การสรา้ งเครื่องมือประเมินสมรรถนะผเู้ รียนระดบั การศึกษาข้ันพน้ื ฐาน 46
แนวทางที่ 1 : ใช้งานเดมิ เสริมสมรรถนะ
การนำสมรรถนะเขา้ มาในการสอนปกติ ปรับหรือเพิ่มกจิ กรรมเพ่ือช่วยเพ่ิมการเรยี นรขู้ อง
ผูเ้ รียนใหเ้ ขม้ ขน้ มคี วามหมายย่ิงขน้ึ
ลักษณะ
การสอนแนวทางท่ี 1 น้ี เป็นการสอนตามปกติท่ีสอดแทรกสมรรถนะ ซ่ึงครเู ห็นวา่ สอดคล้องกบั
บทเรยี นนัน้ เข้าไป และอาจปรับกจิ กรรม หรอื คิดกจิ กรรมต่อยอด เพือ่ ให้ผู้เรยี นได้พัฒนาสมรรถนะนั้น
ย่งิ ขน้ึ หรือได้สมรรถนะอืน่ เพิ่มมากขนึ้ ชว่ ยเพมิ่ การเรียนรู้ของผ้เู รยี นให้เข้มข้น มคี วามหมายยิ่งขน้ึ
การสอนระดับนี้ เหมาะสมสำหรับครูที่ปกติได้สง่ เสริมนักเรียนใหม้ ีคณุ สมบัตติ า่ ง ๆ ไปพร้อมกบั
การสอนเน้ือหาสาระ โดยระบุเป็นวตั ถุประสงค์การเรียนรู้และกจิ กรรมการเรียนการสอนในแผนการจัด
การเรียนการสอนของตนอยู่แลว้ เช่น ฝกึ กระบวนการกลุ่ม ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ทักษะ
และวิธีการทางประวัติศาสตร์ เปน็ ต้น ครไู ม่ได้เปลย่ี นแปลงแผนการจดั การเรยี นการสอนและกจิ กรรม
การสอนของตนเองเลย เพียงแต่พิจารณาว่ามสี มรรถนะตัวใดท่ีเขา้ กนั กับการสอนของตน เชน่ สมรรถนะ
หลักดา้ นทกั ษะการคิดข้นั สูงและนวตั กรรม สมรรถนะหลกั ดา้ นภาษาไทยเพื่อการสื่อสาร เป็นต้น แลว้ นำ
สมรรถนะดา้ นนัน้ มาบรรจุไว้ในแผนการจัดการเรยี นการสอนของตน การทำเช่นน้ี จะช่วยกระต้นุ ให้ครู
ตระหนกั ในสมรรถนะนน้ั และกระตุ้นใหน้ ักเรยี นเกิดสมรรถนะนน้ั ในระหวา่ งเรยี นไปพรอ้ มกบั การเรียน
เนือ้ หา ทักษะ ตามปกติของตนมากยง่ิ ข้นึ
ขน้ั ตอน
1) ทบทวนสมรรถนะ ทง้ั 10 ด้าน ให้เข้าใจและพร้อมใชใ้ นการออกแบบกิจกรรม (สำหรับครู
ที่เร่มิ ทำอาจทำเปน็ ตารางวิเคราะห์ และวเิ คราะหท์ ีละกจิ กรรม เพราะจะช่วยใหว้ ิเคราะห์ได้งา่ ยข้นึ
แตเ่ มอ่ื คล่องขึน้ ก็อาจเพยี งวิเคราะห์ในใจ หรือเขียนโน้ตสนั้ ๆ กำกับไว้ โดยไม่ต้องระบุอย่างเปน็ ทางการ
ในแผนการจดั การเรียนการสอนก็ได้)
2) นำมาเทยี บกับวตั ถุประสงค์การเรยี นร้แู ละกจิ กรรมการเรียนการสอนของตน
3) เลอื กสมรรถนะทส่ี อดคล้องกับวัตถปุ ระสงคก์ ารเรียนรู้และกจิ กรรมการเรยี นการสอนของตน
มาระบุไวใ้ นตอนต้นของแผนการจดั การเรียนการสอนของตน
คมู่ อื การสรา้ งเคร่ืองมอื ประเมินสมรรถนะผู้เรยี นระดบั การศึกษาขน้ั พ้ืนฐาน 47
แนวทางที่ 2 : ใชง้ านเดิม ตอ่ เตมิ สมรรถนะ
การพัฒนาการสอนเดิมของครูผ่านการสอนโดยเน้นสมรรถนะให้มากขึ้น ช่วยให้ผู้เรียน
ใช้ความรู้ ทักษะได้จริง ในสถานการณ์ที่หลากหลาย และพัฒนาคุณสมบัติท่ีช่วยให้ใช้ชีวิตอย่างมี
คณุ ภาพยิง่ ขึ้น
เป็นการสอนตามปกติที่สอดแทรกสมรรถนะ ซึ่งครเู หน็ ว่าสอดคล้องกบั บทเรยี นน้นั เข้าไป มกี าร
เน้นสมรรถนะท่ีเกย่ี วข้องให้มากขน้ึ ซงึ่ จะช่วยให้ผเู้ รียนใชค้ วามรู้ ทักษะได้จริงในสถานการณ์ท่ีหลากหลาย
และพฒั นาคณุ สมบัติที่ช่วยใหใ้ ช้ชวี ติ อย่างมคี ุณภาพย่งิ ข้ึน
ลกั ษณะ
การสอนแนวทางนี้ เป็นการต่อยอดจากแนวทางท่ี 1 กล่าวคือ เม่อื ครเู ริ่มคุน้ เคยกับสมรรถนะมากข้นึ
แล้วและตอ้ งการให้ผ้เู รียนไดร้ ับประโยชน์จากสมรรถนะมากยงิ่ ขนึ้ ครูกส็ ามารถตัดสนิ ใจวา่ จะนำ
สมรรถนะบางตัวเขา้ มาในบทเรียน โดยปรบั เปลีย่ นหรือเพ่ิมกิจกรรมบางกิจกรรมตามขั้นตอน ดังน้ี
ขั้นตอน
1) วิเคราะห์กิจกรรมแต่ละกจิ กรรมในแผนการจดั การเรยี นการสอนว่ามีกจิ กรรมใดท่ีสามารถ
ตอ่ ยอดหรือควรปรับเปล่ียนเพอื่ ให้เป็นประโยชน์แก่ผ้เู รยี นยิง่ ข้นึ
2) พิจารณาเลือกสมรรถนะทีน่ ่าจะนำมาใช้ในการเรียนคร้ังนี้ (สำหรับครูบางท่าน ข้นั ท่ี 1
และขั้นท่ี 2 อาจทำไปพรอ้ มกัน หรือบางทา่ นอาจทำข้ันท่ี 2 ก่อน ข้นั ท่ี 1 กไ็ ด้)
3) ปรบั หรอื เพมิ่ กจิ กรรมให้มีลกั ษณะท่ีเออื้ ต่อการเกิดสมรรถนะท่ีตนเลือก
4) ปรบั หรือเพ่ิมวัตถปุ ระสงค์การเรียนรใู้ หส้ อดคลอ้ งกับสมรรถนะและกิจกรรมที่ปรับใหม่
5) ปรบั หรือเพม่ิ การประเมนิ ผลการเรียนรู้ใหส้ อดคล้องกับวัตถปุ ระสงคก์ ารเรียนรู้
6) เขียนวตั ถุประสงคเ์ ชิงสมรรถนะซง่ึ ครอบคลมุ ท้ังเนือ้ หาสาระ ทกั ษะและคุณสมบตั /ิ เจตคติไว้
เปน็ ภาพรวม เหนือวตั ถุประสงคย์ อ่ ย ๆ ตา่ ง ๆ
ขนั้ ตอนท่ีเสนอแนะน้จี ะทำจากบนลงลา่ ง หรอื ทำย้อนจากล่างขน้ึ บนก็ได้ สำหรับครทู ่ีสามารถ
มองเห็นภาพรวมของวัตถุประสงค์เชิงสมรรถนะไดต้ ้งั แต่ตน้ อาจเร่ิมจากวตั ถุประสงค์เชงิ สมรรถนะ และใช้
เป็นแนวทางในการปรับ/เพ่ิมวตั ถุประสงค์การเรยี นรู้ย่อย กิจกรรม และการประเมินผลการเรียนรู้
ตามลำดบั
ควรระวังให้มีความสมดุลระหว่างเนื้อหาสาระ ทักษะ และคุณสมบตั ิท่ีต้องการให้เกิดขึ้น
ในตัวนกั เรยี นกับการฝกึ ใหเ้ กิดสมรรถนะท่ีเลือกมา เพื่อให้แนใ่ จวา่ นักเรยี นจะได้ประโยชนอ์ ย่างครบถ้วน
ดังนนั้ จึงไม่ควรกำหนดสมรรถนะหลายข้อ หรือเพ่ิมกจิ กรรมเพ่ือสง่ เสรมิ สมรรถนะบางข้อ จนกระท่ัง
ไม่สามารถสอนไดเ้ สร็จทนั ตามกำหนด ทั้งน้ี ในความเป็นจริงแลว้ ครอู าจสอนโดยสอดแทรกสมรรถนะ
ตา่ ง ๆ มากมายอยา่ งไม่เปน็ ทางการในระหวา่ งการเรียนการสอน แต่เลือกระบใุ หเ้ ป็นวัตถุประสงค์
และประเมนิ ผลเพียงไม่กี่สมรรถนะ เพื่อไม่ใหเ้ ปน็ ภาระแก่ครู ซงึ่ ต้องสอนตามเน้ือหาในหลกั สูตรจนเกนิ ไป
คู่มอื การสร้างเครื่องมือประเมินสมรรถนะผ้เู รยี นระดบั การศึกษาขั้นพืน้ ฐาน 48
แนวทางที่ 3 : ใช้รูปแบบการเรียนรู้ สู่การพฒั นาสมรรถนะ
การออกแบบการสอนทใี่ ชร้ ูปแบบการเรียนรู้ สกู่ ารพัฒนาสมรรถนะน้ชี ่วยให้ผ้สู อน
เกดิ ความม่ันใจวา่ ผเู้ รยี นเกิดการเรยี นรู้ตามจดุ ประสงคข์ องรปู แบบการเรียนรู้และทำใหเ้ กิดสมรรถนะ
ทีส่ อดแทรก
เปน็ การสอนตามปกติทมี่ ีการนำรปู แบบการเรยี นรู้ที่ใช้เดมิ มาวิเคราะหเ์ ช่ือมโยงกับสมรรถนะ
ทีส่ อดคล้องกบั รูปแบบการเรียนรู้ ซง่ึ ช่วยใหผ้ เู้ รียนเกิดการเรยี นรู้ตามจุดประสงค์ของรปู แบบการเรียนรู้
และเกดิ สมรรถนะทม่ี ่งุ พัฒนา
ลกั ษณะ
การสอนตามแนวทางที่ 3 น้ี เป็นการสอนท่ีมีกระบวนการตามรปู แบบการเรยี นการสอนทค่ี รู
คดั สรรว่าสามารถพัฒนาสมรรถนะผู้เรียนได้ โดยพิจารณาความสอดคล้องระหว่างจุดหมายของรูปแบบ
การเรยี นการสอน แนวคิดทฤษฎพี น้ื ฐานและข้นั ตอนการสอนของรูปแบบ กบั สมรรถนะทม่ี ่งุ พัฒนาพจิ ารณา
ว่าสามารถปรบั หรอื เพิ่มขนั้ ตอนย่อย เพอื่ เพ่มิ หรือเนน้ ทักษะสำคัญ ๆ ของสมรรถนะได้อย่างมี
ประสิทธิภาพ และครอบคลมุ รปู แบบการเรียนรู้ เป็นชุดของความสมั พนั ธ์ของความร้ตู ่าง ๆ ท่อี ธบิ าย
เกี่ยวกบั การจัดการเรียนรู้ รปู แบบท่ีนกั การศึกษาพัฒนาขน้ึ ส่วนใหญ่มอี งค์ประกอบสำคัญ คอื จดุ หมาย
แนวคิดทฤษฎพี ืน้ ฐาน ขนั้ ตอนการจัดการเรียนรู้ หลกั ในการแสดงออกของครู ระบบสังคมในการเรยี น
ระบบสนบั สนนุ รูปแบบ และผลทเ่ี กดิ กับผเู้ รยี น โดยองค์ประกอบต้องสมั พนั ธ์กัน ครูผูใ้ ช้รูปแบบจงึ ตอ้ ง
เขา้ ใจกระจา่ ง
รปู แบบการเรียนการสอนตา่ ง ๆ มีจุดหมายหลกั ต่างกนั การจะบรรลุจุดหมายต้องใชแ้ นวคิด
ทฤษฎีต่างกนั ข้ันตอนการสอนตอ้ งเหมาะสม สอดคลอ้ งกบั แนวคดิ ทฤษฎีและทำใหเ้ กิดผลทีผ่ ู้เรียนได้
ตามจดุ หมาย อาทิ รปู แบบซิปปา (CIPPA) ใช้ทฤษฎี Constructivism เปน็ พื้นฐาน สามารถเชื่อมโยงไปสู่
การพฒั นาทกั ษะการคดิ ขัน้ สูงและนวัตกรรมได้ รูปแบบสะเตม็ ศึกษามแี นวคิดพื้นฐานใหผ้ ู้เรยี นเชื่อมโยง
ความรหู้ ลายวิชา ทักษะหลายด้านในการเรียนที่เน้นประสบการณ์ มผี ลผลติ จากการเรียน ใชใ้ นชวี ิต
ประจำวันหรอื ในการทำงานได้ จึงสามารถใชร้ ปู แบบน้ีพฒั นาทักษะชีวิตและความเจรญิ แหง่ ตนได้
นอกจากนี้ ครยู ังสามารถปรับหรือเพิ่มขนั้ ตอนหรอื ใช้แหล่งเรยี นรู้ ผเู้ ชย่ี วชาญ เพอ่ื นำไปสู่การพัฒนา
การรู้เทา่ ทันสื่อ สารสนเทศและดิจทิ ัล ทกั ษะอาชพี และผูป้ ระกอบการ ทักษะการคิดระดับสูง
และนวตั กรรมได้ เปน็ ตน้
ดงั นั้น เมอ่ื มีรปู แบบการเรียนการสอนที่มจี ดุ หมายหลักตรงกับสมรรถนะหลกั ครจู งึ เลือกใชไ้ ด้
โดยตรง อาทิ รปู แบบการสอนแบบสืบสอบ รปู แบบการสอนภาษาเพ่ือการสื่อสาร เปน็ ต้น ครูท่ีตอ้ งการ
ใชร้ ปู แบบการสอนหรือรูปแบบการเรยี นรู้สกู่ ารพัฒนาสมรรถนะในระยะเริ่ม ไม่จำเป็นต้องพัฒนา
หลายสมรรถนะโดยใช้รปู แบบเดียว และไม่จำเป็นต้องใช้หลายรปู แบบ เพราะครตู ้องทำความเขา้ ใจ
รปู แบบอยา่ งถ่องแท้ในการสอนตามรปู แบบควรเนน้ ความสามารถของนักเรยี นท่ปี ฏิบัตไิ ด้ แสดงออกได้
ทำไดใ้ นชีวติ จรงิ
คู่มือการสร้างเคร่ืองมอื ประเมินสมรรถนะผูเ้ รยี นระดับการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน 49
ข้นั ตอน
1) ศึกษาทำความเข้าใจรปู แบบตา่ ง ๆ พจิ ารณาร่วมกับสมรรถนะที่มุง่ พฒั นาในการทำ
ความเขา้ ใจรปู แบบต้องเขา้ ใจทั้งข้ันตอน แนวคดิ พ้ืนฐาน และหลักในการสดงออกของครู พจิ ารณาว่า
จะก่อใหเ้ กิดผลกบั ผเู้ รยี นเป็นทกั ษะหรอื ความสามารถต่าง ๆ ของสมรรถนะทม่ี ่งุ พัฒนา
2) เม่ือออกแบบกจิ กรรมการสอนอาจปรับหรือเพ่ิมขน้ั ตอนในการฝึกทักษะหรือสมรรถนะยอ่ ย
เน้นใหผ้ เู้ รียนแสดงความสามารถออกมาให้เหน็ ผลจรงิ เชน่ เพม่ิ ขั้นตอนการใชใ้ นสถานการณ์ใหม่หรือในชีวิต
จริง
3) เนื่องจากการสอนตามรปู แบบมีความเปน็ ระบบแบบแผนสูง ครจู งึ ต้องเตรยี มการ
เตรยี มพร้อมทงั้ ส่ือ อปุ กรณ์ เอกสาร คำถามสำคัญท่คี รูใช้ รวมทง้ั เคร่ืองมือวัด เพ่ือใหก้ ารจัดการเรียนรู้
เป็นไปตามรูปแบบ มปี ระสทิ ธภิ าพ นำไปสู่การพฒั นาสมรรถนะได้
แนวทางท่ี 4 : สมรรถนะเปน็ ฐาน ผสานตวั ชีว้ ดั
การออกแบบการสอนที่ใช้สมรรถนะเปน็ ตวั ต้งั ชว่ ยให้ผู้เรียนได้พัฒนาคุณสมบัติทจ่ี ำเปน็
ตอ่ การใช้ชวี ติ ในอนาคตของตน ควบคูไ่ ปกับการมคี วามรู้ ทกั ษะสำคญั ท่ีกำหนดไว้ในหลักสูตร
ให้ได้ท้งั ปลา วธิ แี ละเครอ่ื งมือจบั ปลา
ลักษณะ
การสอนแนวทางท่ี 4 น้ี เป็นการสอนโดยนำสมรรถนะและตวั ชี้วัดท่ีสอดคลอ้ งกันมาออกแบบ
การสอนร่วมกนั เพอ่ื ให้เดก็ ๆ ได้เรียนรทู้ ัง้ เนื้อหาสาระและทักษะตามที่ตวั ชี้วัดกำหนดไปพร้อมกับ
การพฒั นาสมรรถนะหลักท่ีจำเปน็ ตอ่ ชวี ติ ของเขา เหมาะสำหรับครูทีไ่ ด้ทดลองนำสมรรถนะเขา้ มา
ในการเรยี นการสอนปกติของตนตามแนวทางที่ 2 มาระยะหนงึ่ จนมีความมน่ั ใจมากขน้ึ และพร้อมทจ่ี ะ
กา้ วออกจากการสอนแบบเดิม ๆ ไปสกู่ ารสอนทเี่ น้นสมรรถนะอยา่ งเต็มตัว หรอื ครทู ่ีเห็นประโยชน์ของ
สมรรถนะและตอ้ งการจะออกแบบแผนการสอนของตน โดยใหส้ มรรถนะเปน็ ตัวนำ แตข่ ณะเดียวกนั
กค็ รอบคลมุ ตวั ช้ีวดั ของหลกั สูตรอย่างครบถ้วน
ลกั ษณะของแผนการจดั การเรียนการสอนแบบนี้ คอื การเขียนแผนการจดั การเรียนการสอนที่มี
การบูรณาการสมรรถนะสำคัญ ๆ ทเ่ี กยี่ วข้องกบั สง่ิ ทค่ี รตู ้องการให้ผ้เู รียนเกิดการเรียนรู้ เพอ่ื ให้มกี ารจัด
การเรยี นร้ทู ี่หลายหลาย เนน้ ให้ผูเ้ รียนไดฝ้ กึ การประยกุ ต์ใช้ความรู้ ฝกึ ทักษะ และพฒั นาคุณสมบัติต่าง ๆ
ผา่ นการปฏบิ ตั ิจริงในสถานการณ์ตา่ ง ๆ อย่างกวา้ งขวาง
ทมี่ าของหัวข้อ/หัวเร่ือง
ในช่วงแรกนั้น การคิดจากสมรรถนะเป็นฐาน อาจเป็นสง่ิ ท่ีครูยงั ไม่คุ้นเคย จงึ มขี ้อเสนอแนะวา่
ครสู ามารถเร่มิ ได้หลายวิธี เช่น
1. เร่ิมจากปัญหาสังคม ประเด็นทางสงั คม เหตกุ ารณ์ท่ีเกดิ ขนึ้ ในระดับโรงเรยี น ระดบั ชมุ ชน
ระดบั ชาติ และระดับนานาชาติ และออกแบบแผนการจัดการเรียนการสอนที่เอ้ือให้ผู้เรยี นได้เกิดประสบการณ์
ตรงท่เี กีย่ วข้องกบั ประเด็นนนั้ ๆ และเป็นไปตามวัตถุประสงคท์ ่วี างไว้
2. เริ่มจากแนวคดิ (Concept) เนอื้ หาสาระ ความรู้ (Content/Knowledge) สำคัญที่ต้องการ
ให้นกั เรยี นได้เรยี นรู้ สรา้ งองค์ความรู้ ได้มีประสบการณ์ตรง เพอื่ ให้เกดิ การเรียนร้อู ย่างมีความหมาย
ค่มู อื การสร้างเครื่องมือประเมินสมรรถนะผเู้ รยี นระดับการศึกษาขัน้ พนื้ ฐาน 50
ท่ีสามารถเชอื่ มโยงแนวคดิ หรือความรนู้ นั้ ๆ ไปใชใ้ นการดำเนนิ ชวี ิตประจำวัน ในสถานการณต์ า่ ง ๆ
ไดอ้ ยา่ งแทจ้ รงิ
ขนั้ ตอน
1) ทบทวนสมรรถนะหลัก พิจารณาเนื้อหาสาระการเรียนรู้ตามหลกั สูตรในแต่ละวชิ า/กลุ่มสาระ
และตัวชี้วดั ที่สอนในหลักสตู ร
2) กำหนดหัวข้อ/หวั เรือ่ งจากปญั หา แนวคดิ หรอื เน้ือหาสาระสำคัญในหลักสูตร (ดู ทม่ี าของ
หวั ข้อ/หัวเรือ่ งข้างบน) โดยเริ่มจากแนวคดิ เนื้อหาสาระ ความร้สู ำคัญทต่ี ้องการให้ผเู้ รยี นไดเ้ รียนรู้
สรา้ งองค์ความรู้ ได้มปี ระสบการณต์ รง เพื่อใหเ้ กดิ การเรยี นร้อู ย่างมีความหมาย ที่สามารถเช่อื มโยงแนวคิด
หรอื ความรู้นัน้ ๆ ไปใช้ในการดำเนินชวี ิตประจำวนั ได้อย่างแท้จรงิ
3) ออกแบบแผนการจดั การเรียนการสอนท่เี อ้ือให้ผเู้ รยี นไดเ้ กิดประสบการณ์ตรงทีเ่ สริมสรา้ ง
สมรรถนะ และเป็นไปตามวัตถุประสงค์ท่ีวางไว้ โดยมีข้นั ตอนยอ่ ยดังน้ี
3.1) เมอ่ื ได้กำหนดหัวข้อ/หัวเรือ่ ง และแนวคิดสำคญั แลว้ วเิ คราะหว์ า่ หวั ขอ้ /หวั เร่ืองนน้ั
เกย่ี วข้องกับเน้ือหาสาระในกลุ่มสาระใดมากท่ีสุด ซ่งึ เม่อื วิเคราะห์แล้วอาจพบวา่ นำ้ หนักของเน้อื หาสาระ
ทกั ษะ อาจเทา่ ๆ กัน ใน 2-3 กลุ่มสาระ กเ็ ปน็ ได้ ในขั้นตน้ หากครเู คยชินกับการสอนแยกแต่ละกลมุ่ สาระ
การเรียนรู้ แตย่ งั ไม่คุ้นเคยกับการบูรณาการระหว่างกลุ่มสาระการเรยี นรู้ การเลือกเพียงกลมุ่ สาระการเรียนรู้
เดยี วอาจง่ายกว่า แต่ถ้าครูมีประสบการณ์การบรู ณาการระหวา่ งกลุม่ สาระการเรยี นรูม้ าแลว้
การบรู ณาการหลาย ๆ กลุ่มสาระการเรยี นรู้เขา้ เป็นหัวข้อ/หัวเร่อื งเดยี วกัน จะช่วยการเรียนร้ขู องผู้เรยี น
มคี วามหมายย่ิงข้นึ และการสอนเน้อื หาสาระแต่ละกลมุ่ สาระการเรียนรู้ก็จะกลมกลืนกันย่ิงขึน้ ดว้ ย
3.2) กำหนดขอบเขตเนือ้ หาสาระ ทกั ษะ เจตคติ วตั ถุประสงค์การเรยี นรู้ ในแต่ละกลุ่มสาระ
ทส่ี ัมพันธ์กบั หัวข้อ/หัวเรอื่ งท่เี ลอื กมาสอน และในขณะที่ดำเนนิ การในข้อน้ีให้พจิ ารณาวา่ สมรรถนะหลัก
ขอ้ ใดทีส่ ัมพนั ธ์กบั เน้อื หาสาระ ทกั ษะ ซ่งึ เป็นตวั ชี้วดั ในกลุม่ สาระน้นั ๆ ดว้ ย คขู่ นานกนั ไป ข้ันน้ี
เมอื่ เรมิ่ ทำใหม่ ๆ ครูอาจต้องพจิ ารณากลบั ไปกลบั มาระหว่างตวั ช้ีวดั ในหลกั สูตรกับสมรรถนะหลกั
แตเ่ มอ่ื ชำนาญขึน้ กจ็ ะสามารถคดิ ทั้งสองเรื่องไปพร้อมกนั ไดโ้ ดยอัตโนมัติ
3.3) ออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ โดยคำนึงถึงสมรรถนะที่เลือกมา ซึ่งสมั พันธ์กับขอบเขต
เนื้อหา ทกั ษะ เจตคติ ซึ่งเป็นตวั ชวี้ ัดในแต่ละกลมุ่ สาระที่สัมพันธ์กบั หัวข้อ/หวั เร่ืองทกี่ ำหนด โดยทำ
ความเข้าใจใหช้ ดั เจนเกีย่ วกบั สมรรถนะหลักทเ่ี ลือกมาวา่ สมรรถนะนัน้ ๆ ต้องการใหผ้ เู้ รียนไดร้ ับ
ประสบการณ์อะไร แลว้ จึงเริ่มออกแบบกจิ กรรมการสอน โดยนำสมรรถนะมาเช่อื มโยงกับกจิ กรรม
ที่ให้นกั เรยี นทำ เพ่ือใหบ้ รรลุวตั ถปุ ระสงค์
3.4) กำหนดคำถามสำคญั ๆ ทจ่ี ะใช้ถามนำ เพ่ือสรา้ งความตระหนักและใหแ้ นวทาง
แก่ผเู้ รียนในการเรียนแตล่ ะหัวขอ้ ย่อย โดยครูชว่ ยถามกระตุน้ ให้ผู้เรียนได้ตง้ั เป้าหมายในการหาคำตอบ
ในบทเรียนน้นั ๆ เนอื่ งจากการสอนแบบสมรรถนะเป็นฐาน เนน้ การสง่ เสริมให้ผเู้ รียนใชค้ วามรแู้ ละทักษะ
ในสถานการณ์ตา่ ง ๆ ในชีวติ จรงิ อยา่ งหลากหลาย ครูจึงต้องกระตนุ้ ให้ผู้เรยี นกลา้ ลอง และเปดิ โอกาสให้
ผู้เรียนทดลองใชค้ วามรู้และทักษะของตนในสถานการณ์ต่าง ๆ ทต่ี นยงั ไมค่ ุน้ เคยหรือมน่ั ใจ โดยรับฟงั
และพร้อมให้ข้อคดิ เพิม่ เติม โดยไมด่ ่วนตดั สินหรอื บอกว่าผดิ คดิ ไมเ่ ปน็ เชน่ “ถา้ เหตุการณ์น้ีเกดิ ขึน้ กับ
ตวั นกั เรยี นเอง นกั เรยี นจะทำอยา่ งไร” หากผเู้ รยี นไมส่ ามารถอธิบายได้อยา่ งครบถ้วนสมบูรณ์ ครคู วรช่วย
ถามนำตะลอ่ มความคิดของนักเรยี นข้นึ ตน้ ให้ พูดให้กำลังใจ หรือกระตุ้นให้ผู้เรียนชว่ ยกันคดิ ช่วยกัน
วางแผน เชน่ “นกั เรยี นลองคิดดกู ่อน แลว้ หันไปแลกเปล่ียนกบั เพ่ือนข้าง ๆ ว่าคิดเหมือนกันหรือไม่เหมือนกนั
คู่มอื การสร้างเครื่องมือประเมินสมรรถนะผเู้ รยี นระดับการศึกษาข้ันพนื้ ฐาน 51
อย่างไร” “ส่ิงทน่ี ักเรียนตอบมาน้นั กม็ บี างสว่ นถูกแล้ว เราลองขอความเหน็ จากเพ่ือน ๆ ให้ช่วยเตมิ เต็ม
คำตอบนี้ มีนักเรยี นคนใดจะช่วยให้เหตุผลเพิ่มเติมไดไ้ หมคะ” จึงเห็นไดว้ า่ การสอนแบบสมรรถนะ
เปน็ ฐาน ซึง่ เน้นให้ผู้เรียนไดใ้ ช้ความรแู้ ละทักษะตามทกี่ ำหนดในตัวบง่ ชีข้ องหลักสูตรในสถานการณ์ต่าง ๆ
อย่างหลากหลายน้ัน สัมพนั ธ์กบั ทกั ษะการคิดและการทำงานรว่ มกันอยู่ตลอดเวลา
3.5) วางแผนการประเมินผล โดยเนน้ การประเมนิ ตามสภาพจรงิ (Authentic Assessment)
เมื่อผเู้ รียนสามารถปฏิบัติได้ แสดงวา่ มีความรู้ความสามารถหรอื มีการเรยี นรูเ้ รอื่ งนน้ั แล้ว โดยใหส้ อดคลอ้ ง
และตอบรับวตั ถปุ ระสงค์เชิงสมรรถนะทก่ี ำหนดไวต้ ง้ั แตต่ ้น โดยวางแผนใหป้ ระเมนิ ผลการเรยี นรู้
หลายดา้ น เป็นงานทีช่ ดั เจน ยดื หยุ่นได้ สามารถทำไดห้ ลายวธิ ี อยูใ่ นความสนใจของผู้เรียน ท่ีสำคัญ
ครคู วรระบเุ ง่ือนไขความสำเร็จของงานอยา่ งชัดเจน เพอ่ื เอื้อต่อการประเมินผลลกั ษณะนี้
สมรรถนะเป็นความสามารถท่ีเป็นผลรวมของความรู้ ทักษะ และคณุ ลักษณะหลายสว่ น
เข้าด้วยกนั จงึ ไมส่ ามารถประเมนิ อยา่ งชัดเจนไดภ้ ายในเวลา 1-2 บทเรยี น หากแตส่ มรรถนะน้ันจะเกดิ ขนึ้
เมอื่ ผู้เรียนได้เรยี นรจู้ ากประสบการณ์จรงิ ได้ลงมือกระทำ ผ่านกจิ กรรมการเรียนรู้ต่าง ๆ ท่ผี สมผสานกนั
ระหว่างสาระความรู้ กระบวนการ คุณลักษณะอันพึงประสงค์อยา่ งต่อเนื่อง ครูจงึ ประเมนิ ไดว้ า่ ผเู้ รยี น
มสี มรรถนะน้นั ๆ
แนวทางท่ี 5 : บรู ณาการผสานหลายสมรรถนะ
การสอนสมรรถนะแบบบูรณาการช่วยใหผ้ เู้ รียนได้พฒั นาสมรรถนะหลักครบถว้ น ไดเ้ รียน
สาระการเรยี นร้กู ลมุ่ ต่าง ๆ อย่างมีความหมาย อีกท้งั ชว่ ยให้ผเู้ รยี นสามารถนำสงิ่ ทเ่ี รียนรไู้ ปใช้
ในชีวิตประจำวนั ได้อย่างแท้จรงิ
รู้จรงิ เข้าใจชดั และใช้เปน็
ลักษณะ
สำหรบั แนวทางท่ี 5 “บรู ณาการผสานหลายสมรรถนะ” เป็นการสอนโดยนำสมรรถนะหลัก
ท้งั 10 ด้าน เป็นตัวตั้งและวิเคราะหต์ วั ชวี้ ัดทเ่ี กี่ยวข้อง แล้วออกแบบการสอนท่ีมีลักษณะ
เป็นหนว่ ยบูรณาการที่ชว่ ยให้เดก็ ไดเ้ รยี นรู้อย่างเป็นธรรมชาติ และเห็นความสมั พันธ์ระหว่างวชิ า/
กลุม่ สาระการเรียนร้ตู า่ ง ๆ
การบูรณาการ เป็นการจัดการเรยี นรู้แบบองค์รวมทน่ี ำส่ิงท่ีเกิดขึน้ จรงิ ในชวี ติ สังคม และโลก
เช่น สถานการณ์ ประเด็นสำคญั ในสังคม ปรากฏการณ์ที่เกย่ี วข้องสัมพันธ์กับผเู้ รยี นมาเช่ือมโยงกบั เนื้อหา
ทกั ษะ และเจตคติในทกุ กลมุ่ สาระการเรียนร้ทู เี่ หมาะสมกับชว่ งวยั ของผู้เรียน โดยผเู้ รียนสามารถเชือ่ มโยง
การเรยี นกบั ประสบการณ์ในชวี ิต สร้างประสบการณ์ ความรู้และความสามารถ เพอ่ื ใหเ้ กิดสรรถนะหลัก
ทง้ั 10 ดา้ นและนำไปใช้ได้จริงในสถานการณต์ ่าง ๆ อย่างมีความสุข และเป็นพลเมืองไทยผู้ใสใ่ จสังคม
การสอนแบบบูรณาการจึงเป็นแนวทางการสอนทีส่ อดคลอ้ งกับปรชั ญาการสอนแบบสมรรถนะเปน็ ฐาน
มากท่สี ุด
คูม่ อื การสรา้ งเคร่ืองมอื ประเมินสมรรถนะผเู้ รียนระดบั การศึกษาขัน้ พืน้ ฐาน 52
ข้ันตอน
1) ทบทวนสมรรถนะท้งั 10 ด้าน และวิเคราะห์เนื้อหาสาระ ความรู้ ทกั ษะที่กำหนดเปน็ ตัวชี้วัด
ของกลมุ่ สาระต่าง ๆ
2) กำหนดหนว่ ยการเรยี นรู้ เป็นหน่วยท่สี ามารถสร้างความเชอื่ มโยงกบั เนื้อหาการเรียนรู้
ท่ีสมั พนั ธ์และน่าสนใจ เหมาะสมกบั วยั ของผู้เรยี น หรอื เป็นหน่วยการเรยี นรทู้ ่เี ป็นภมู ปิ ัญญา วิธีการ
คัดเลอื กหน่วยการเรยี นรู้ สามารถทำได้หลายวธิ ี เชน่
2.1) เรม่ิ จากสงิ่ ทผี่ เู้ รยี นสนใจหรือส่ิงทส่ี ามารถกระตุ้นใหส้ นใจได้งา่ ย
2.2) เริม่ จากปัญหาที่พบในผเู้ รยี น ในโรงเรียน ในสังคม และออกแบบหน่วยทเ่ี อ้ือให้ผเู้ รยี น
ได้เกิดประสบการณ์จากกิจกรรมที่จัด และเป็นไปตามวตั ถุประสงคท์ ว่ี างไว้
2.3) เรม่ิ จากปัญหาสังคม ประเด็นทางสงั คม เหตุการณท์ ี่เกิดข้ึน ในระดับโรงเรียน ระดับ
ชมุ ชน ระดับชาติ หรือระดบั โลก
2.4) เรมิ่ จากแนวคดิ (Concept) สำคัญทีต่ ้องการให้นกั เรยี นได้เรียนรู้ สร้างองค์ความรู้
และนำแนวคดิ นัน้ ไปใช้ในการดำเนนิ ชีวิตประจำวนั
3) กำหนดแนวคิด และคิดคำถามให้สอดคล้องกับแนวคิด เน้ือหา และต้งั คำถามทโี่ ตแ้ ย้งได้
เพ่อื ใหน้ กั เรยี นไดฝ้ กึ คดิ
4) กำหนดขอบเขตเน้ือหาสาระการเรยี นรู้ ทักษะ เจตคติทก่ี ำหนดเป็นตวั บง่ ช้ใี นแต่ละกลุ่มสาระ
ที่สัมพนั ธ์กับหนว่ ยการเรยี นรู้ ผลการเรยี นรู้ และการประเมินผล
5) กำหนดประสบการณ์การเรียนรู้ โดยนำสมรรถนะมาเช่อื มโยงกับกจิ กรรมทีจ่ ดั ใหน้ ักเรียน
เพื่อให้บรรลุวตั ถปุ ระสงคใ์ นการวางแผนนน้ั เนื่องจากครมู กั คิดถึงองค์ประกอบตา่ ง ๆ ของการจัดกิจกรรม
การเรียนการสอนไปพร้อม ๆ กัน โดยคำนงึ ถึงนักเรยี น สอ่ื ทรัพยากรท่ีมใี นบริบทของตน การเรียงลำดับ
การเขยี นแผนการจดั การเรียนการสอน จึงอาจสลับ ยดื หยนุ่ ไดต้ ามความถนัดของครู ส่อื ที่มี และบริบท
ของโรงเรียน
6) ดำเนินการสอน นำข้อมูล ข้อสงั เกตจากการสอนมาประเมนิ ปรับแผนระหว่างสอน
และปรบั ปรงุ หลังสอน เพื่อให้มีประสทิ ธภิ าพมากข้ึนหรือพัฒนาสมรรถนะไดม้ ากขึน้
การสอนแบบบรู ณาการนี้ เป็นแนวทางการสอนทใ่ี ห้ความสำคญั กับความสนใจ และความ
ต้องการจำเปน็ ของผู้เรียน จึงอาจมกี ารปรบั เพ่ิม หรือลดเนอื้ หาสาระ กิจกรรม สื่อ และวธิ ีประเมนิ ผล
หลังจากสอนไปสักระยะ ซึง่ ครูสามารถยืดหยนุ่ ได้ตามความเหมาะสม
คู่มอื การสรา้ งเคร่ืองมอื ประเมินสมรรถนะผเู้ รียนระดับการศึกษาข้นั พ้ืนฐาน 53
แนวทางที่ 6 : สมรรถนะชีวติ ในกจิ วตั รประจำวัน
การส่งเสริมสมรรถนะหลักขณะผูเ้ รียนปฏิบัติกจิ วัตรประจำวนั เปน็ วิธีการส่งเสริมสมรรถนะ
อยา่ งเป็นธรรมชาตแิ ละชว่ ยปลกู ฝงั ให้สมรรถนะดังกล่าวมีความมั่นคงถาวรจากการปฏบิ ัติเปน็ ประจำ
ทุกวันอีกด้วย
ลกั ษณะ
สมรรถนะชีวติ ในกจิ วตั รประจำวนั เปน็ การสรา้ งสรรค์การเรียนร้อู ยา่ งสอดคล้อง สมั พนั ธ์กบั
การดำเนินชีวติ ประจำวันปกติของนักเรยี น สอดคล้องกิจกรรมต่าง ๆ ทมี่ ักเกดิ ในโรงเรียน นบั เป็นการฝกึ
พฒั นาสมรรถนะน้นั ๆ ได้อย่างซ้ำ ๆ อีกทั้งเปน็ ไปตามธรรมชาตปิ กติของชีวติ นกั เรียน ท่ีจะมีความยืดหยนุ่
และทา้ ทายท่จี ะเผชิญสถานการณต์ ามธรรมชาติของชวี ติ และเม่ือฝึกพัฒนาสมรรถนะน้ัน ๆ ได้อย่าง
คล่องแคล่วและผ่านสถานการณ์ต่าง ๆ ผูเ้ รียนจะค่อยๆ มีสมรรถนะนน้ั ๆ อยา่ งแทจ้ ริง สามารถนำความรู้
ทักษะ และ ประสบการณ์ ไปใช้ในสถานการณต์ ่าง ๆ ในการดำเนนิ ชวี ิตจริง
ในส่วนน้ีจะนำเสนอตัวอย่างสมรรถนะชีวติ ในกิจวตั รประจำวันและสมรรถนะย่อย เพ่ือให้ครู
ไดใ้ ช้ในการพฒั นาผูเ้ รยี น ตรวจสอบพฤติกรรมผเู้ รียน และช่วยเหลอื ฝกึ ฝนให้ผ้เู รียนเกิดสมรรถนะดังกลา่ ว
คู่มือการสรา้ งเครื่องมือประเมินสมรรถนะผเู้ รยี นระดบั การศึกษาข้ันพื้นฐาน 54
แสดงดังตาราง วัตถปุ ระสงค์เชิงสมรรถนะระดับประถมศึกษาตอนตน้ (ป.1-3)
กิจวัตรประจำวัน
1. ตรงเวลาตามทนี่ ัดหมายกัน
1. การเดินทางมาโรงเรยี น 2. โดยสารยานพาหนะอยา่ งถูกวธิ ี
3. เดนิ ทางอย่างระมัดระวงั
2. การทำความเคารพ 4. ปฏิบัติตามกฎจราจร โดยคำนึงถงึ ความปลอดภยั ของตนเอง
3. การชว่ ยเหลอื ส่วนรวม
และผู้อน่ื
4. การเลน่ รว่ มกนั
1. กราบ ไหว้อยา่ งถูกวธิ ี
5. การเขา้ แถวเคารพธงชาติ 2. กราบ ไหว้ได้อย่างถูกตอ้ งกับสถานะของบุคคล
3. กราบ ไหว้ ไดอ้ ยา่ งถูกต้องกบั สถานะของบุคคล
6. การมสี มาธิ
และสถานการณ์
1. ลงมือปฏบิ ัติช่วยเหลอื งานสว่ นรวมได้ครบถ้วน ตามท่ีได้รบั
มอบหมาย
2. ลงมอื ปฏิบัตชิ ่วยเหลืองานส่วนรวม ได้เรยี บร้อย คณุ ภาพงานดี
3. ลงมือปฏบิ ัติชว่ ยเหลอื งานส่วนรวม ตรงตามเวลาทร่ี ับ
มอบหมาย
1. เล่นกับเพ่อื นหลากหลายกลมุ่ ได้
2. ปฏิบตั ติ ามข้อตกลง กติกาการเลน่ ได้
3. ยอมรบั วา่ คนเราไมเ่ หมือนกนั
4. แบ่งปนั ประนปี ระนอมในการแก้ปญั หารว่ มกัน
5. ร้แู พ้ รู้ชนะ รูอ้ ภัย เขา้ ใจและยกโทษใหเ้ พ่ือน
1. เตรียมตัวพร้อมก่อนเวลาเขา้ แถว
2. เขา้ แถวตรงเวลา ไม่ให้ผู้อ่ืนคอย
3. เออื้ เฟือ้ ประนปี ระนอม เพือ่ ให้ทุกคนทำไดถ้ ูกต้อง
ตามระเบียบการเข้าแถว
4. ฟงั ครแู ละเพ่ือนอย่างตัง้ ใจและให้เกียรติ
5. รว่ มร้องเพลงชาติโดยรู้ว่าเพลงชาตคิ ือตัวแทน
ของความเปน็ ชาตไิ ทย
6. ปฏบิ ตั กิ ิจกรรมหนา้ เสาธงด้วยความต้ังใจ และเคารพ
1. ยืน เดิน หรือ นง่ั คนเดยี ว ไม่ส่งเสียง ไม่มองวอกแวก เป็นเวลา
ยาวนานตดิ ต่อกันไมน่ ้อยกว่า 5 นาที อย่างมคี วามสุข
เบิกบานใจ
2. รู้ว่ามีลมหายใจเขา้ ลมหายใจออกทปี่ ลายรูจมูกเปน็ เวลา
ยาวนานติดตอ่ กนั ไม่น้อยกว่า 5 นาที อย่างมีความสุข
เบิกบานใจ
คมู่ อื การสร้างเคร่ืองมือประเมินสมรรถนะผู้เรยี นระดบั การศึกษาขัน้ พน้ื ฐาน 55
กจิ วัตรประจำวัน วัตถปุ ระสงค์เชิงสมรรถนะระดบั ประถมศกึ ษาตอนตน้ (ป.1-3)
7. การเข้าเรยี น 1. เข้าเรียนตรงเวลา โดยรู้ว่าการรกั ษาเวลามผี ลต่อตนเอง
และคนอน่ื ๆ ในชั้นเรยี น
2. ปฏิบัติตามกตกิ าของหอ้ งเรยี น มีมารยาทในการอย่รู ่วมกัน
ขออนญุ าตเมื่อจะเขา้ หรือออกจากห้องเรยี น
3. เอ้ือเฟ้ือแบง่ ปนั หนังสอื สมุด อปุ กรณ์การเรยี น
4. รักษาความสะอาดในสว่ นตน และสถานท่ีสว่ นรวม
8. การรบั ประทานอาหาร 1. รบั ประทานอาหารได้ครบ 5 หมู่
2. ลดการรับประทานหรือเติมเครื่องปรุงหวานมัน
3. รับประทานอาหารได้สัดสว่ นพอดีกบั ปริมาณความต้องการ
ของรา่ งกาย
4. มีระเบยี บในการรบั แบง่ ปันอาหารและใช้ของรว่ มกับเพ่ือน
5. เลือกอาหารท่ีสะอาดและปลอดภัย
9. การขับถา่ ยและทำความสะอาดร่างกาย 1. ดแู ลร่างกายของตนเองให้สะอาดและปลอดภัยด้วยวธิ กี าร
ทถ่ี ูกต้องและสม่ำเสมอ
2. ใช้ห้องน้ำถูกวิธแี ละรักษาความสะอาดของห้องน้ำ
เพือ่ สุขอนามัยและความปลอดภัยของทุกคน
10. การใชเ้ วลาวา่ ง ใช้เวลานอกเวลาเรยี น วงิ่ เลน่ ออกกำลงั กายให้แขง็ แรง พูดคยุ
เลน่ กบั เพ่ือน อา่ นนิทาน ฟงั เพลง รอ้ งเพลง ดรู ายการโทรทัศน์
ที่ใหค้ วามรู้ ฯลฯ
11. การชื่นชมกบั ความงามรอบตัว เพลิดเพลนิ กับส่งิ ตา่ ง ๆ รอบตวั
12. การเกบ็ ออม 1. แบง่ เงนิ ค่าขนมประจำวันเปน็ สามส่วนได้ทกุ วัน คือ เงินออม
เงินไว้บริจาคช่วยเหลอื และเงินใชจ้ ่าย
2. นำเงินออมและเงินบรจิ าคหยอดกระปุกได้ทุกวัน
3. ยนิ ดีปราโมทย์ที่ไดน้ ำเงินออมของตน ไปบรจิ าคแก่ผู้อ่นื
ขนั้ ตอน
1) ศกึ ษาค้นคว้าท้ังในเชิงศาสนา ปรชั ญามานุษยวทิ ยาอนาคตศึกษาฯลฯ พจิ ารณา
“อปุ นสิ ยั ดีงาม” ที่คาดหวังจะค่อย ๆ ปลกู ฝงั ให้เกดิ ขน้ึ เมอื่ นักเรียนจบการศึกษาข้นั พน้ื ฐาน เป็นมนุษย์
คนไทยทส่ี มบูรณ์ดำรงชีวิตท่ีดีงามของตนและเปน็ ประโยชน์ตอ่ สังคมได้
2) ศึกษาค้นคว้าขอ้ มลู กล่นั กรองประสบการณ์ พิจารณากิจกรรมในวิถีชวี ิตนกั เรยี น เพ่ือกำหนด
“สมรรถนะชวี ติ ในกจิ วตั รประจำวัน” ออกแบบการเรยี นรูผ้ า่ นกจิ กรรมปกติในวิถชี ีวิตนักเรียน
3) ดู/ทบทวนกิจวตั รประจำวนั ของนักเรยี นและวิเคราะหเ์ น้ือหาสาระความรู้ทกั ษะที่กำหนด
เป็นตวั ชว้ี ัดของกลมุ่ สาระตา่ ง ๆ
คมู่ ือการสร้างเคร่ืองมือประเมินสมรรถนะผู้เรยี นระดับการศึกษาข้ันพ้นื ฐาน 56
4) กำหนดแนวทางการปลูกฝงั สมรรถนะท่ีสอดคลอ้ งในกจิ วัตรประจำวนั โดยสร้าง
ความเชือ่ มโยงกับเนอื้ หาการเรียนรทู้ ี่สมั พันธแ์ ละน่าสนใจ เหมาะสมกับวยั ของผเู้ รยี น วิธีการกำหนด
แนวทางการปลูกฝงั สมรรถนะสามารถทำไดห้ ลายวิธี เชน่
4.1) เริ่มจากส่งิ ท่ีผ้เู รยี นสนใจ
4.2) เริ่มจากปญั หาทพี่ บในกิจวตั รประจำวันของผู้เรียน ในโรงเรียน ในสังคม และออกแบบ
แนวทางการปลูกฝังสมรรถนะ ทเ่ี ออื้ ใหผ้ ูเ้ รยี นได้เกดิ ประสบการณ์จากกิจกรรมกจิ วตั รประจำวนั
และเปน็ ไปตามวตั ถปุ ระสงค์ที่วางไว้
4.3) เริ่มจากปญั หาสงั คม ประเดน็ ทางสังคม เหตุการณ์กิจวตั รประจำวนั ท่ีเกิดขึ้น ในระดับ
โรงเรียน ระดบั ชมุ ชนระดบั ชาติ หรือระดบั โลก
4.4) เรม่ิ จากแนวคิด (Concept) สำคญั ทตี่ ้องการให้นักเรยี นไดเ้ รยี นรู้จากกิจวัตรประจำวนั
สร้างองค์ความรู้ และนำแนวคดิ นั้นไปใช้ในการดำเนินชวี ติ ประจำวัน
5) กำหนดแนวทางการปลกู ฝงั สมรรถนะ และคดิ คำถามใหส้ อดคล้องกบั แนวคิด เน้ือหา
และตัง้ คำถามท่โี ตแ้ ย้งไดเ้ พื่อใหน้ ักเรยี นไดฝ้ ึกคิด
6) ยกร่าง เกณฑร์ ะดับคุณภาพ 4 ระดบั
7) ยกรา่ ง ตวั อย่างการนำ “สมรรถนะชวี ติ ในกิจวัตรประขำวนั ” ไปฝึกพฒั นาในโรงเรยี น
เป็นรายประเด็น
8) ยกร่าง ตวั อยา่ งการนำ “สมรรถนะชวี ติ ในกิจวตั รประจำวัน” ไปฝึกพฒั นาในโรงเรียน
แบบบรู ณาการ ในการวางแผนนน้ั เนื่องจากครมู กั คดิ ถึงองคป์ ระกอบต่าง ๆ ของการจดั การเรยี นการสอน
ไปพร้อม ๆ กัน โดยคำนึงถึงนักเรยี น ส่อื ทรพั ยากรที่มใี นบรบิ ทของตน การเรียงลำดบั การเขียนแผน
การจัดการเรียนรู้ จึงอาจสลบั ยดื หยุน่ ไดต้ ามความถนัดของครู สื่อทีม่ ี และบรบิ ทของโรงเรียน
9) สอน ประเมิน ปรบั แผนระหวา่ งสอน และหลังสอน
คูม่ ือการสร้างเครื่องมือประเมินสมรรถนะผู้เรียนระดับการศึกษาขนั้ พนื้ ฐาน 57
2. การออกแบบและเขียนแผนการจดั การเรยี นรูอ้ ิงสมรรถนะ
2.1 แนวคิดการจัดทำแผนการจดั การเรยี นการสอนฐานสมรรถนะ
การจดั ทำแผนการจดั การเรยี นการสอนฐานสมรรถนะ หมายถึง การวางแผนการสอนของ
หลักสูตรรายวชิ า ทเ่ี กิดจากการศึกษาและกำหนดแนวทาง และวธิ กี ารตง้ั แต่ก่อนการสอน ขณะดำเนนิ การ
สอน และหลังการสอน โดยมุ่งเน้นให้ผ้เู รียนเกิดสมรรถนะด้านความรู้ ทักษะ และเจตคติที่สอดคล้องกบั
จุดประสงคร์ ายวชิ า สมรรถนะรายวชิ า ส่งผลใหผ้ ู้เรียนที่ได้ผ่านการเรยี น จบหลกั สตู รรายวิชานั้นแล้ว
สามารถปฏิบัติงานได้บรรลุเป้าหมายของจดุ ประสงค์รายวิชา และสมรรถนะรายวิชาองค์ประกอบของ
การจัดทำแผนการสอนฐานสมรรถนะ แบ่งได้เป็น 4 องค์ประกอบ ซ่งึ จดั เปน็ ลำดับข้นั ดังนี้
(สำนกั งานเลขาธิการสภาการศกึ ษา กระทรวงศกึ ษาธิการ, 2560)
1) ขน้ั ศึกษาและจดั เตรยี มทรพั ยากรพ้นื ฐาน การวางแผนด้วยการเร่มิ ตน้ จากการศึกษา
วเิ คราะหต์ ลอดจนจดั เตรียมทรพั ยากร นับเปน็ องค์ประกอบที่เปน็ ข้นั ตอนแรกท่ีมคี วามสำคญั มาก ภารกจิ
ทตี่ ้องทำในขน้ั ตอนน้ีมี ดังนี้
1.1) ศกึ ษาหลักสูตร วัตถปุ ระสงคข์ องหลักสูตร หัวเรอื่ ง ตลอดจนขอบเขตของเนอ้ื หา
ทก่ี ำหนดอยา่ งครา่ ว ๆ ในหลักสตู ร
1.2) สำรวจและวินจิ ฉยั ผเู้ รียน
1.3) สำรวจทรัพยากรอน่ื ๆ เช่น งบประมาณสนบั สนุน สง่ิ อำนวยความสะดวกต่อการเรยี น
การสอน เชน่ อปุ กรณ์สาธติ อุปกรณ์ชว่ ยสอน เปน็ ตน้
1.4) สำรวจสภาวะแวดลอ้ ม ตลอดจนความรู้ ความสามารถของผู้สอนทีจ่ ะต้องนำมาเพื่อใช้
ในการพจิ ารณาแนวทางทีเ่ หมาะสมท่ีสุดต่อไป
2) ขั้นกำหนดแนวทางและวิธีการ ภายหลังจากศึกษาวเิ คราะหข์ ้อมูลเบอ้ื งตน้ ได้แล้ว ก็จะนำ
ข้อมูลดงั กลา่ วมากำหนดวิธกี ารสอนและส่ือการเรียนการสอน ภารกจิ ท่ีจะต้องกระทำในข้ันนี้ มีดังนี้
2.1) กำหนดวัตถุประสงคเ์ ชงิ พฤติกรรม
2.2) กำหนดวธิ นี ำเขา้ สบู่ ทเรียนและการสร้างแรงจงู ใจ
2.3) กำหนดวิธสี อนในแตล่ ะขอบเขตเนื้อหาและวตั ถปุ ระสงค์
2.4) กำหนดส่อื การเรยี นการสอน พรอ้ มกบั การจดั เตรียมส่ือทจ่ี ำเปน็ ไว้อยา่ งพรอ้ ม
2.5) กำหนดเวลาทใี่ ช้ในแตล่ ะขน้ั ตอน
2.6) กำหนดวิธีการประเมนิ ผลผ้เู รียน ตลอดจนเลอื กและสร้างเครอ่ื งมือต่าง ๆ ท่เี หมาะสม
เช่น ใบงาน ใบทดสอบ เป็นต้น
3) ข้นั ดำเนนิ กิจกรรมการเรียนการสอน เป็นการนำสง่ิ ที่ได้ศกึ ษา จัดเตรยี มไว้ มาใชใ้ นขั้นตอน
น้ีจะต้องพยายามใชว้ ิธกี ารท่จี ัดเตรยี มไว้ ผสู้ อนจะตอ้ งใชค้ วามรูแ้ ละทักษะในการนำการเรยี นการสอน
ให้สำเร็จผลตามเปา้ หมายและวิธีการ
4) ขนั้ การประเมนิ ผล เปน็ ข้ันของการตรวจสอบผลวา่ ปฏบิ ัตกิ ารท่ีผา่ นมาเป็นเชน่ ไร ผเู้ รียน
เข้าใจมากน้อยเพียงใด การเตรียมการในข้ันนี้ จะต้องวางแผนไวล้ ว่ งหนา้ เมื่อถงึ ข้ันตอนนี้กจ็ ะเป็นขนั้ ของ
การนำสงิ่ ทีเ่ ตรียมมาใช้ แล้วเกบ็ ข้อมลู เกยี่ วกบั ความรู้ ความเขา้ ใจของผเู้ รียนในทนั ที ซ่งึ จะปอ้ นข้อมูล
กลับไปยังผเู้ รยี นเพือ่ ปรับความร้คู วามเข้าใจให้เป็นไปตามเป้าหมาย จากองค์ประกอบของการจดั ระบบ
ในการวางแผนการสอนดงั กลา่ ว จะเปน็ แนวทางพฒั นาเพ่ือกำหนดขน้ั ตอนการจดั การเรยี นร้ฐู านสมรรถนะ
ใหเ้ ปน็ ระบบ โดยดำเนนิ การตามขัน้ ตอนดังนี้
คู่มอื การสร้างเคร่ืองมือประเมินสมรรถนะผเู้ รยี นระดบั การศึกษาข้ันพืน้ ฐาน 58
4.1) ศึกษาหลักสูตร วตั ถปุ ระสงค์ท่ัวไป ตลอดจนขอบเขตเน้อื หา
4.2) ศกึ ษาวินจิ ฉยั เก่ียวกับตวั ผู้เรยี น
4.3) กำหนดวตั ถปุ ระสงคเ์ ชิงพฤติกรรม
4.4) เลอื กวิธกี ารสอนตลอดจนสือ่ การเรยี นการสอน
4.5) ดำเนนิ กจิ กรรมการเรยี นการสอน
4.6) ประเมนิ ผลความกา้ วหน้าในการเรียนของผ้เู รยี น
4.7) ศกึ ษาข้อมลู ย้อนกลบั เพื่อนำมาปรับปรุงวธิ ีสอนในคร้ังต่อไป ผูส้ อนจะต้อง
มีการวางแผนไวใ้ นทกุ ข้ันตอนอยา่ งละเอยี ดล่วงหนา้ เพื่อช่วยใหผ้ เู้ รยี นมีความเข้าใจในบทเรยี นได้มากที่สดุ
และในการดำเนินการจดั การเรียนการสอนจะสามารถดำเนินการได้หลายรูปแบบตามความเหมาะสมกบั
บริบทของผ้เู รยี นและสภาพแวดลอ้ ม โดยผสู้ อนจำเปน็ ทจ่ี ะตอ้ งมีการเตรียมการอย่างต่อเนื่อง ตัง้ แตเ่ ร่ิมต้น
ก่อนการสอน ขณะดำเนนิ การสอน และประเมินผลความก้าวหนา้ เป็นลำดับสดุ ทา้ ย
2.2 ตัวอย่าง การออกแบบและเขยี นแผนการจัดการเรียนรอู้ ิงสมรรถนะ
ตัวอยา่ งการออกแบบและเขียนแผนการจดั การเรยี นรู้อิงสมรรถนะในส่วนนี้ใช้รูปแบบแนวทาง
ท่ี 1 “ใช้งานเดิม เสรมิ สมรรถนะ” โดยมีตวั อยา่ งดังต่อไปน้ี
1) ตัวอยา่ ง การวเิ คราะห์สมรรถนะผูเ้ รียนกับมาตรฐาน/ตวั ชวี้ ดั ตามหลักสตู รแกนกลาง
การศกึ ษาข้ันพืน้ ฐาน
การวิเคราะหส์ มรรถนะสำคญั ของผ้เู รียน โดยเชื่อมโยงกับมาตรฐาน/ตวั ชว้ี ัด เพ่ือนำไปสู่
การออกแบบการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้อิงสมรรถนะ
1.1 มาตรฐานและตัวช้ีวดั ท่ีต้องการพัฒนา
มาตรฐานการเรียนรู้ ส 2.1 เข้าใจและปฏบิ ตั ิตนตามหน้าท่ีของการเป็นพลเมืองดี มีค่านิยม
ท่ีดีงาม และธำรงรักษาประเพณแี ละวฒั นธรรมไทย ดำรงชีวติ อย่รู ่วมกนั ในสังคมไทย และสังคมโลก
อย่างสันติสุข
ตัวชีว้ ัด 1. ปฏบิ ตั ติ ามกฎหมายทเ่ี กย่ี วขอ้ งกับชวี ิตประจำวันของครอบครวั และชุมชน
2. วเิ คราะห์การเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมตามกาลเวลาและธำรงรักษาวัฒนธรรม
อนั ดีงาม
3. แสดงออกถึงมารยาทไทยไดเ้ หมาะสม ถกู กาลเทศะ
4. อธิบายคุณค่าทางวัฒนธรรมที่แตกต่างกันระหวา่ งกลุ่มคนในสงั คมไทย
5. ตดิ ตามข้อมลู ข่าวสาร เหตกุ ารณ์ต่าง ๆ ในชวี ติ ประจำวัน เลอื กรับและใช้
ขอ้ มูลข่าวสารในการเรียนรู้ได้เหมาะสม
1.2 สมรรถนะที่ต้องการเสริม
สมรรถนะ คือ ความสามารถในการแก้ปัญหา
ตัวชี้วัด 1. ใชก้ ระบวนการแก้ปญั หาโดยการวเิ คราะหป์ ัญหา วางแผนในการแก้ปัญหา
ดำเนนิ การแกป้ ัญหา ตรวจสอบและสรปุ ผล
2. ผลลพั ธท์ เี่ กดิ จากการแกป้ ัญหา
คู่มอื การส
มาตรฐานการเรียนรู้ ตัวชี้วดั ตามสาระเรยี นรู้ สิง่ ที่ผเู้ รยี นพึงร้แู ละทำได้
มาตรฐานการเรียนรู้ ป.6/1 ปฏิบตั ิตามกฎหมายทเ่ี กย่ี วขอ้ ง การปฏบิ ตั ติ นตามกฎหมายทเี่ ก่ยี วขอ้ งกบั กฎหม
ส 2.1 เข้าใจและปฏิบตั ิตน กบั ชีวิตประจำวันของครอบครวั และ ชีวิตประจำวันของครอบครวั และชุมชน ชวี ิตป
ตามหน้าที่ของการเปน็ ชุมชน
พลเมอื งดี มีคา่ นยิ มท่ดี งี าม
และธำรงรกั ษาประเพณีและ 2. วิเคราะห์การเปลย่ี นแปลงวฒั นธรรม -การวเิ คราะหก์ ารเปลยี่ นแปลงวฒั นธรรม การเป
วัฒนธรรมไทย ดำรงชวี ิตอยู่ ตามกาลเวลาและธำรงรักษาวฒั นธรรม -ปฏิบตั ติ นตามวัฒนธรรมอนั ดงี าม อดีต-ป
รว่ มกันในสงั คมไทย และ อนั ดงี าม
สังคมโลกอย่างสันติสุข
3. แสดงออกถงึ มารยาทไทยได้ ปฏบิ ัตติ นเปน็ ผูม้ มี ารยาทไทย มารยา
เหมาะสม ถกู กาลเทศะ
4. อธิบายคุณค่าทางวัฒนธรรมท่ี -เขา้ ใจ ยอมรับ และเหน็ คุณค่าในความ วัฒนธ
แตกต่างกันระหว่างกลมุ่ คนในสงั คมไทย แตกตา่ งกนั ระหวา่ งวฒั นธรรม สงั คมไ
-วิเคราะหค์ วามแตกตา่ งกันระหวา่ ง
วฒั นธรรม
5. ติดตามข้อมูล ข่าวสาร เหตกุ ารณ์ต่าง ๆ ตดั สินใจและเลือกใชข้ ้อมลู ข่าวสารได้ ข้อมลู
ในชวี ติ ประจำวนั เลอื กรับและใชข้ อ้ มูล เหมาะสม ในชวี ติ
ขา่ วสารในการเรยี นรู้ได้เหมาะสม
สรา้ งเคร่ืองมอื ประเมินสมรรถนะผู้เรยี นระดับการศึกษาข้นั พ้นื ฐาน 59
สาระการเรยี นรู้ ตวั ชวี้ ดั สมรรถนะ (สพฐ) สมรรถนะหลกั และสมรรถนะย่อย (กอ.ปศ.)
มายทีเ่ กย่ี วขอ้ งกบั ความสามารถในการแกป้ ญั หา การเปน็ พลเมืองต่ืนรู้
ประจำวัน 1. ใชก้ ระบวนการแกป้ ญั หาโดยการวิเคราะห์ -เคารพสิทธิและเสรีภาพของตนเองและผู้อนื่
ปญั หา วางแผนในการแก้ปญั หา ดำเนนิ การ เคารพและปฏบิ ตั ติ ามกฎกติกาขอ้ ตกลงและ
แกป้ ัญหา ตรวจสอบและสรุปผล กฎหมายรวทั้งแนวปฏบิ ัตติ าม
2. ผลลพั ธ์ที่เกิดจากการแก้ปัญหา ขนบธรรมเนียมประเพณี
ปลีย่ นแปลงวฒั นธรรมจาก ทกั ษะชีวติ และความเจริญแหง่ ตน
ปัจจุบนั -พรอ้ มรับความเปลย่ี นแปลง สามารถปรับตัว
เผชิญปญั หา แกป้ ัญหา ยอมรบั ผลทีเ่ กดิ ขึ้น
และฟื้นคนื สภาพจากปญั หาได้อย่างรวดเรว็
าทไทย ทกั ษะชีวติ และความเจรญิ แหง่ ตน
-มีสนุ ทรยี ภาพชื่นชมความในธรรมชาติ
ศลิ ปวฒั นธรรมและรักษาเอกลักษณ์ความเป็น
ไทยให้ธำรงตอ่ ไป
ธรรมทแี่ ตกตา่ งกันใน การเปน็ พลเมืองตนื่ รู้
ไทย -มีการตดั สินใจและการแกป้ ัญหารว่ มกนั
สามารถแสดงจดุ ยืนของตนเองมที กั ษะในการ
ตดั สนิ ใจ การแกป้ ัญหา การแก้ไขความขัดแยง้
ด้วยการใหค้ วามรว่ มมอื และการแสดงออกซ่งึ
ความสามารถทจี่ ะอยรู่ ว่ มกนั ทา่ มกลางความ
หลากหลาย
ล ขา่ วสาร เหตกุ ารณ์ตา่ ง ๆ ทกั ษะการคดิ ขนั้ สูงและนวตั กรรม
ตประจำวัน -คดิ พิจารณาเรื่องตา่ ง ๆ โดยมีขอ้ มลู เกย่ี วข้อง
กบั เรื่องนั้นอยา่ งเพียงพอ สามารถวิเคราะห์
วิพากษ์ และประเมินข้อมูลและเหตุผล
สามารถสรุปความเข้าใจและให้ความเหน็ ใน
เรือ่ งนัน้ ๆ
ค่มู อื การสรา้ งเคร่ืองมอื ประเมินสมรรถนะผเู้ รียนระดับการศึกษาข้นั พนื้ ฐาน 60
2) ตัวอยา่ ง การกำหนดกิจกรรมเรียนรู้ทอ่ี งิ สมรรถนะ
ตวั อย่างของการออกแบบการเรยี นรู้ที่อิงสมรรถนะจะใชร้ ูปแบบละแนวทางการเรียนรู้ที่ 1 คือ
“ใชง้ านเดิม เสริมสมรรถนะ” โดยมรี ายละเอียดต่อไปน้ี
สถานการณ์
ครอู ่อง วลั ลภา บุญเส่ียง โรงเรียนอนุบาลสมุทรสงคราม ได้ใชข้ นั้ ตอนการวิเคราะห์แผนการจัด
การเรยี นการสอนหน่วย “ของเล่นของใช”้ หน่วยย่อย “วสั ดุหรรษา” ของตน แตเ่ น่ืองจากแผนการจดั
การเรยี นการสอนของโรงเรียนครอู ่อง มกี ารกำหนดใหร้ ะบุกระบวนการคดิ และการทำงานไวใ้ น
แผนการจดั การเรยี นการสอนอยา่ งชดั เจน การวเิ คราะห์สมรรถนะของครูอ่องจงึ ทำไดง้ า่ ยข้ึน ดงั ตวั อย่าง
ทีย่ กมาจากบางสว่ นของกจิ กรรมของครูอ่องในช่ัวโมงที่ 1 ดังนี้
กจิ กรรมการเรยี นรู้ สมรรถนะท่สี อดคลอ้ งกับกจิ กรรม
1. แบง่ กลุ่มนักเรยี นกลุม่ ละ 3-4 คน โดยให้ การเป็นพลเมืองตืน่ ร้ทู ีม่ ีสำนึกสากล
นกั เรียนแตล่ ะกลุ่มมีนักเรยี นเก่ง ปานกลาง และ - ปฏิบัติตามบทบาทและหนา้ ทท่ี ีร่ บั ผดิ ชอบตอ่ ครอบครวั ชน้ั เรียน
อ่อน อยู่ในกลุ่มเดียวกนั แบง่ หน้าทร่ี ับผิดชอบ โรงเรยี นและชุมชนอยา่ งเหมาะสม
2. นักเรียนแตล่ ะกลมุ่ สำรวจวสั ดทุ ่ีใชท้ ำของเลน่ การสืบสอบทางวิทยาศาสตร์และจติ วิทยาศาสตร์
ของใช้ และรว่ มวางแผน สังเกตรวบรวม บันทกึ - ต้งั คำถามเกย่ี วกับปรากฏการณต์ ่าง ๆ ทพ่ี บในชวี ติ ประจำวัน
และสรปุ ผลการสังเกตรวบรวม ระบชุ นดิ ของวสั ดุที่ คาดคะเนหาคำตอบและคดิ วิธีการหาคำตอบโดยอาจใชว้ สั ดุอุปกรณ์
ทำของเล่นของใช้ โดยครูนำนักเรยี นออกไปสำรวจ เครอื่ งมือช่วยในการสำรวจตรวจสอบเก็บข้อมูลและสรปุ คำตอบ
ตามทตี่ ่าง ๆ รอบโรงเรยี นภายในเวลา 15–20 นาที - กล้าพดู ให้ความคิดสนับสนนุ หรอื คดั ค้านเกี่ยวกบั เรื่องทาง
เพ่อื สังเกตและรวบรวมส่ิงของตา่ ง ๆ ทง้ั ทเ่ี ปน็ ของ วิทยาศาสตร์ทีเ่ ป็นปญั หาถกเถยี งกนั สามารถช้แี จงเหตผุ ลโดยมี
เล่นและของใช้ให้ได้ อยา่ งน้อย 5 อยา่ ง และ หลักฐานประกอบ
ร่วมกันแสดงความคิดเห็นเกยี่ วกบั คุณลักษณะของ การเป็นพลเมอื งตน่ื รู้ ท่มี ีสำนกึ สากล
วัสดุว่า ของเลน่ และของใชท้ ส่ี ำรวจนั้น แต่ละอย่าง - อยู่รว่ มกันอยา่ งเอื้ออาทร รักษาสิทธิของตนเองโดยเคารพ
น้ันทำจากอะไร บันทกึ ขอ้ มลู ลงในแบบฝึกที่ 1 และไมล่ ะเมดิ สิทธิของผู้อื่น
- อยรู่ ว่ มกบั ผอู้ ่นื อย่างพึ่งพาอาศัยกนั ท้ังผ้ทู ่ีอย่ใู นชนั้ เรยี น โรงเรยี น
ครอบครวั และชุมชน ดว้ ยความเข้าใจในความแตกต่างในดา้ นอายุ
เพศ ความถนดั ฐานะ และบทบาทหนา้ ที่
ทกั ษะชีวิตและความเจรญิ แห่งตน
- รู้จกั ตนเอง บอกส่ิงทส่ี ามารถทำได้ และส่งิ ท่ีทำไม่ไดบ้ อกไดว้ ่า
ตนชอบ ไมช่ อบอะไร บอกความคดิ ความรู้สึกความต้องการ และปญั หา
ของตนได้
- มีวนิ ัยในการปฏิบัตติ ามสขุ บัญญตั ิ ทำกจิ วัตรประจำวนั กิน เลน่
เรียน ช่วยทำงาน พักผ่อน นอนหลับอยา่ งพอดี พอเหมาะกับวยั
- ปฏิบตั ติ ามกฎ ระเบียบและข้อตกลงของครอบครัวและโรงเรยี น
รวมทัง้ มีสัมมาคารวะต่อผใู้ หญ่และปฏิบัตติ นต่อผ้อู น่ื ไดอ้ ยา่ งเหมาะสม
คูม่ อื การสรา้ งเคร่ืองมือประเมินสมรรถนะผูเ้ รียนระดับการศึกษาข้ันพน้ื ฐาน 61
3) ตัวอย่าง การกำหนดวัตถุประสงคเ์ ชิงสมรรถนะ
ครอู ่องได้ศึกษามาตรฐานและตวั ชว้ี ดั ของหลกั สตู ร วัตถุประสงค์การเรียนในแต่ละแผนการจัด
การเรยี นรู้ แลว้ จงึ ได้ทดลองปรบั วตั ถุประสงค์ให้เป็นวัตถุประสงค์เชงิ สมรรถนะ(C-Competency)
และปรับวัตถุประสงคก์ ารเรียนรู้อนื่ ๆ ใหส้ อดคลอ้ งกนั ดังนี้
ตวั ช้วี ดั และวตั ถุประสงคก์ ารเรยี นรู้ ของแผนการจัดการเรียนรู้ คือ
1. นกั เรียนมีความรเู้ กย่ี วกบั ชนิดของวสั ดุที่ใชท้ ำของเลน่ ของใช้ (Knowledge) (ชว่ั โมงที่ 1-2)
2. นกั เรียนสามารถระบุชนดิ ของวสั ดุทใ่ี ชใ้ นของเลน่ ของใชร้ อบตัว (Knowledge) (ช่ัวโมงที่ 1-2)
3. นักเรยี นเกดิ ความตระหนกั ในวสั ดุทใี่ ชใ้ นของเลน่ ของใช้รอบตวั (Attribute) (ช่วั โมงท่ี 2)
4. นกั เรียนมที กั ษะการคดิ ช้แี จงเหตผุ ลในการตดั สนิ ใจในเรื่องทีต่ ดั สนิ ใจวา่ ส่ิงใดเปน็ ของเลน่
ส่งิ ใดเปน็ ของใชด้ ้วยเหตผุ ลสนบั สนุน (Process skill) (ชว่ั โมงท่ี 1)
5. นักเรยี นมีทักษะสังเกต สำรวจ และบนั ทกึ ข้อมลู เกี่ยวกับวัสดุที่ใช้ในของเลน่ ของใช้รอบตัว
(Process skill) (ชว่ั โมงที่ 1)
6. นักเรยี นมที กั ษะการคดิ แปลความ สังเคราะห์ สรปุ และใช้ข้อมูลเก่ยี วกับวสั ดทุ ี่ใช้ในของเลน่
ของใช้รอบตวั ในการอภปิ รายร่วมกันในช้นั (Process skill) (ชั่วโมงที่ 1)
7. นักเรยี นใช้กระบวนการทำงานกลุ่มในการสำรวจและสรุปผลเก่ียวกบั วัสดทุ ใี่ ชใ้ นของเลน่
ของใช้ (Process skill) (ช่ัวโมงที่ 1-2)
8. นกั เรียนใช้ความสามารถในการใช้ภาษา ฟัง พูด อ่าน เขยี น ในการทำสำรวจ นำเสนอ
และอภปิ รายร่วมกัน (Process skill) (ชวั่ โมงที่ 1-2)
9. นักเรียนรับผิดชอบ มงุ่ ม่นั ในการปฏิบัติกจิ กรรม และยอมรบั ความคดิ เห็นของผู้อน่ื
(Attribute) (ชวั่ โมงท่ี 1-2)
วัตถปุ ระสงคเ์ ชิงสมรรถนะ (C-Competency) ของหน่วยการเรียน คอื
นักเรยี นสามารถใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ทักษะการคดิ ภาษาไทยเพื่อการส่ือสาร
และกระบวนการกลุ่มทำงานในการสำรวจ นำเสนอ และอภิปรายรว่ มกันเพ่ือใหเ้ กิดความรู้
และความตระหนักเกีย่ วกบั ชนิดวัสดทุ ใ่ี ช้ในการทำของเลน่ ของใชร้ อบตวั (Competency)
คู่มอื การส
4) ตวั อย่าง การออกแบบการเรียนรู้
สมรรถนะผู้เรยี น
มาตรฐานการเรียนรู้ ตัวชว้ี ัด สมรรถนะของ กอปศ. สมรรถนะตามหลักสูตร
“ทกั ษะการคิดขน้ั สูงและ “ความสามารถในการ
นวัตกรรม” แกป้ ญั หา”
ส 2.1 เขา้ ใจและปฏิบัตติ น ป.6/5 ติดตามขอ้ มลู สมรรถนะย่อย ตัวชี้วดั ขอ้ มูล
ตามหน้าที่ของการเป็นพลเมือง ข่าวสาร เหตกุ ารณต์ ่าง ๆ ใน -คดิ พจิ ารณาเรอื่ งต่าง ๆ โดย ใชข้ อ้ มลู สารสนเทศที่ถกู ตอ้ ง ชีวติ ป
ดี มคี ่านยิ มทดี่ ีงาม และธำรง ชีวติ ประจำวนั เลือกรบั และ มีข้อมลู เกยี่ วข้องกบั เรอ่ื งนนั้ เหมาะสมในการแก้ปญั หา
รักษาประเพณีและวฒั นธรรม ใชข้ ้อมูลข่าวสารในการ อย่างเพยี งพอ สามารถ และอปุ สรรคต่าง ๆ
ไทย ดำรงชีวติ อยรู่ ว่ มกันใน เรยี นรูไ้ ดเ้ หมาะสม วิเคราะห์วิพากษ์ และ
สงั คมไทย และสังคมโลกอย่าง ประเมินขอ้ มูลและเหตผุ ล
สันติสขุ สามารถสรุปความเข้าใจและ
ใหค้ วามเหน็ ในเรอ่ื งน้ัน ๆ
สร้างเครื่องมือประเมินสมรรถนะผู้เรยี นระดบั การศึกษาข้นั พน้ื ฐาน 62
สาระการเรียนรู้ กิจกรรมการเรยี นรู้ ภาระงาน/ช้ินงาน การวดั
และประเมนิ ผล
ล ข่าวสาร เหตกุ ารณต์ ่าง ๆใน การใช้ปญั หาเป็นฐาน (PBL) -ผังมโนทศั นแ์ นวทางการ -การประเมินผังมโน
ทศั น์
ประจำวัน ขน้ั ท่ี 1 กำหนดปัญหา แก้ปญั หาความรุนแรงใน
-ครูนำเสนอปัญหาท่เี กิดขนึ้ ใน ครอบครวั
ครอบครัว
ข้ันท่ี 2 ทำความเขา้ ใจปญั หา
2.1 แบ่งนักเรียนออกเป็นกลุ่มๆละ
5-6 คน
2.2 นกั เรียนแตล่ ะกลุม่ ร่วมกัน
วิเคราะหถ์ ึงสาเหตุของปัญหาและหา
แนวทางแก้ไข
2.3 ให้นักเรยี นแต่ละกลมุ่ ร่วมกัน
ระบวุ ่าในการแก้ปญั หาจาก
สถานการณท์ ี่กำหนด จำเป็นตอ้ ง
ศกึ ษาความรจู้ ากเรื่องอะไรบ้าง
2.4 ให้แต่ละกลมุ่ นำเสนอ แลว้ ครู
เตมิ เต็มความรู้
ขน้ั ท่ี 3 ดำเนนิ การศกึ ษาคน้ ควา้
3.1 ครูจดั เตรยี มแหลง่ ข้อมลู ให้
นกั เรยี นไวส้ ำหรัยศกึ ษาค้นควา้ เช่น
หนงั สอื พมิ พ์ อนิ เทอรเ์ น็ต ฯลฯ
3.2 ใหน้ กั เรยี นกำหนดส่งิ ท่ตี นเอง
ต้องเรียนรู้ในการที่จะแนวทางการ
แกไ้ ข
3.2 ให้นกั เรยี นศึกษาด้วยตนเองเปน็
รายบุคคลจากแหล่งขอ้ มูล
ค่มู ือการส
สมรรถนะผู้เรียน
มาตรฐานการเรยี นรู้ ตวั ชวี้ ดั สมรรถนะของ กอปศ. สมรรถนะตามหลักสูตร
“ทักษะการคิดขั้นสงู และ “ความสามารถในการ
นวัตกรรม” แกป้ ัญหา”
สรา้ งเคร่ืองมือประเมินสมรรถนะผเู้ รยี นระดับการศึกษาข้นั พน้ื ฐาน 63
สาระการเรยี นรู้ กจิ กรรมการเรยี นรู้ ภาระงาน/ชน้ิ งาน การวดั
และประเมินผล
ขน้ั ที่ 4 สงั เคราะหค์ วามรู้
4.1 นักเรียนแตล่ ะกลมุ่ รว่ มกนั
อภิปรายถึงเรือ่ งท่ีตนเองศึกษาและ
สังเคราะหค์ วามรูท้ ่ไี ด้มาว่าเหมาะสม
ถูกต้องหรือไม่
ขน้ั ที่ 5 สรปุ และประเมินคา่ ของ
คำตอบ
5.1 นกั เรียนแตล่ ะกลุ่มสรปุ ความรู้
5.2 นกั เรียนทุกกลุม่ รว่ มสรปุ เปน็
ภาพรวมทง้ั ชน้ั
5.3 ให้นกั เรยี นแต่ละคนนำข้อสรปุ ท่ี
ได้ มาเขียนเรยี บเรยี งเปน็ ความร้ขู อง
ตนเอง
ข้นั ที่ 6 นำเสนอและประเมนิ ผล
งาน
6.1 นักเรียนนำข้อสรุปท่ีไดม้ า
จัดระบบและนำไปสูก่ ารเขียนผังมโน
ทศั น์
6.2 ใหล้ ะกลมุ่ นำเสนอผลงาน
6.3 ใหท้ ุกกลุ่มประเมินการเขยี นผงั
โนทศั น์ของเพ่อื น
คมู่ อื การสร้างเคร่ืองมือประเมินสมรรถนะผเู้ รียนระดับการศึกษาขนั้ พืน้ ฐาน 64
5) ตัวอย่าง แผนการจดั การเรยี นรู้
ตัวอยา่ งแผนการจดั การเรยี นรู้
กลุ่มสาระการเรียนร้วู ทิ ยาศาสตร์ ชน้ั ประถมศึกษาปีที่ 2 ภาคเรยี นที่ 2 /2562
จำนวน 2 ช่ัวโมง
หน่วยการเรยี นรู้ ของเล่นของใช้ หนว่ ยย่อย วสั ดุหรรษา
(แผนการจดั การเรยี นรู้นี้เป็นสว่ นหนึ่งของแผนการสอนหน่วยใหญ่ “ของเลน่ ของใช”้ ซงึ่ ใช้เวลาทงั้ สนิ้ 12 ชัว่ โมง)
1. เปา้ หมายการเรียนรู้
1.1 มาตรฐานการเรียนร/ู้ ตวั ชวี้ ดั ชนั้ ปี
สาระ มาตรฐาน ตวั ช้วี ดั รายปี
สาระที่ 3 ว 3.1 เขา้ ใจสมบตั ิของสาร ความสมั พันธ์ ป 2/1 ระบชุ นิดและเปรยี บเทียบสมบัติของวสั ดุ
สารและ ระหวา่ งสมบัตขิ องสารกับโครงสร้าง และ ทนี่ ำมาทำของเล่นของใช้ในชีวิตประจำวนั
สมบตั ิ แรงยดึ เหน่ยี วระหว่างอนภุ าค มี
ของสาร กระบวนการสืบเสาะหาความรแู้ ละ
จิตวิทยาศาสตรส์ ื่อสารสิ่งทเ่ี รียนรู้และนำ
ความรไู้ ปใชป้ ระโยชน์
สาระที่ 8 ว 8.1 ใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ป 2/1 ตั้งคำถามเกย่ี วกบั เรอ่ื งทีจ่ ะศึกษา ตามท่ี
ธรรมชาติ และจิตวทิ ยาศาสตร์ ในการสืบเสาะหา กำหนดให้และตามความสนใจ
ของ ความรู้ การแกป้ ัญหา รวู้ า่ ปรากฏการณ์ ป 2/2 วางแผน การสังเกต สำรวจ ตรวจสอบ
วทิ ยาศาสตร์ ทางธรรมชาติท่ีเกิดขึ้นส่วนใหญ่มีรูปแบบ ศึกษาค้นควา้ โดยใช้ความคิดของตนเอง ของกล่มุ
และ ท่ีแน่นอนสามารถอธบิ ายและตรวจสอบได้ และของครู
เทคโนโลยี ภายใตข้ อ้ มูลและเครื่องมือทีม่ ีอยู่ใน ป 2/3 ใชว้ สั ดอุ ุปกรณ์ เครื่องมือทเี่ หมาะสม
ชว่ งเวลานั้น ๆ เขา้ ใจวา่ วทิ ยาศาสตร์ ในการสำรวจตรวจสอบและบันทึกข้อมลู
เทคโนโลยี สังคมและสง่ิ แวดล้อมมีความ ป 2/4 จัดกลุม่ ข้อมูล เปรียบเทยี บและนำเสนอผล
เก่ยี วข้องสัมพนั ธก์ ัน ป 2/5 ตั้งคำถามใหมจ่ ากผลการสำรวจตรวจสอบ
ป 2/6 แสดงความคิดเห็นเป็นกลมุ่ และรวบรวม
เปน็ ความรู้
ป 2/7 บันทกึ และอธิบายผลการสังเกต สำรวจ
ตรวจสอบอย่างตรงไปตรงมาโดยเขียนภาพ
แผนภาพหรือคำอธบิ าย
ป 2/8นำเสนอผลงานดา้ นวาจาให้ผู้อืน่ เข้าใจ
กระบวนการและผลของงาน
1.2 วตั ถปุ ระสงค์การเรียนรู้
1) วัตถปุ ระสงคเ์ ชิงสมรรถนะ (C-Competency)
นักเรียนสามารถใชก้ ระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ทักษะการคิด ภาษาไทยในการสื่อสารและ
กระบวนการกลุ่มทำงานในการสำรวจ นำเสนอ และอภปิ รายรว่ มกนั เพื่อให้เกิดความร้แู ละความตระหนกั
เกยี่ วกบั ชนดิ วสั ดุท่ีใชใ้ นการทำของเล่นของใช้รอบตัว (C)
คูม่ อื การสร้างเคร่ืองมือประเมินสมรรถนะผู้เรียนระดบั การศึกษาขน้ั พ้นื ฐาน 65
2) วัตถุประสงคก์ ารเรยี นรู้ ของแผนการจัดการเรยี นรู้ คือ
1. นักเรยี นมีความร้เู กยี่ วกบั ชนดิ ของวัสดุที่ใช้ทำของเล่นของใช้ (Knowledge) (ชัว่ โมงที่ 1-2)
2. นักเรียนสามารถระบุชนิดของวสั ดทุ ่ีใชใ้ นของเล่นของใช้รอบตัว (Knowledge) (ชั่วโมงท่ี 1-2)
3. นกั เรยี นเกดิ ความตระหนักในวสั ดทุ ่ใี ช้ในของเลน่ ของใชร้ อบตัว (Attribute) (ช่ัวโมงท่ี 2)
4. นักเรยี นมที กั ษะการคิดช้แี จงเหตุผลในการตดั สนิ ใจในเรื่องทต่ี ดั สินใจวา่ สงิ่ ใดเป็นของเล่น
สง่ิ ใดเปน็ ของใชด้ ว้ ยเหตุผลสนบั สนนุ (Process skill) (ชว่ั โมงท่ี 1)
5. นกั เรยี นมีทักษะสงั เกต สำรวจ และบนั ทึกข้อมูลเกย่ี วกับวัสดทุ ใี่ ชใ้ นของเลน่ ของใช้รอบตวั
(Process skill) (ช่ัวโมงที่ 1)
6. นกั เรียนมที ักษะการคดิ แปลความ สังเคราะห์ สรุปและใชข้ ้อมลู เกี่ยวกับวัสดทุ ใี่ ชใ้ นของเลน่
ของใชร้ อบตวั ในการอภปิ รายร่วมกนั ในชน้ั (Process skill) (ช่ัวโมงที่ 1)
7. นกั เรียนใชก้ ระบวนการทำงานกลุม่ ในการสำรวจและสรุปผลเกย่ี วกับวสั ดุที่ใชใ้ นของเล่น
ของใช้ (Process skill) (ช่วั โมงที่ 1-2)
8. นักเรยี นใช้ความสามารถในการใช้ภาษา ฟัง พดู อ่าน เขยี น ในการทำสำรวจ นำเสนอ
และอภิปรายร่วมกัน (Process skill) (ชวั่ โมงที่ 1-2)
9. นักเรยี นรับผิดชอบ มงุ่ ม่ันในการปฏิบัติกจิ กรรม และยอมรบั ความคิดเหน็ ของผูอ้ ื่น
(Attribute) (ช่วั โมงที่ 1-2)
1.3 สาระการเรียนรู้
ชนิดของวัสดุทีใ่ ช้ทำของเลน่ ของใช้
1.4 คณุ ลกั ษณะอันพงึ ประสงค์
1. ซ่อื สตั ย์ สจุ ริต 2. มีวินัย 3. ใฝ่เรียนรู้
4. มุ่งม่นั ในการทำงาน 5. มจี ิตสาธารณะ
2. หลกั ฐานการเรียนรู้
2.1 ภาระงาน/ชน้ิ งาน
2.1.1 ระบชุ นดิ ทีใ่ ชท้ ำของเล่นของใช้
2.1.2 นำเสนอผลการสงั เกต สำรวจวสั ดทุ ใ่ี ชท้ ำของเลน่ ของใช้
คูม่ อื การสรา้ งเครื่องมอื ประเมินสมรรถนะผเู้ รียนระดบั การศึกษาขั้นพ้นื ฐาน 66
2.2 เครื่องมอื /สื่อและแหล่งเรียนรู้
2.2.1 แบบฝกึ เรือ่ ง วัสดทุ ีใ่ ช้ทำของเลน่ ของใช้
2.2.2 วัสดทุ ่ที ำของเล่นของใช้
2.2.3 บริเวณโรงเรียน
2.3 การวัดผลประเมินผล
ผ่านเกณฑ์การประเมนิ สมรรถนะทเ่ี ลอื กมา คุณภาพระดบั 2 ข้ึนไป
3. การจดั การเรยี นรู้
กจิ กรรม สมรรถนะ
กจิ กรรมท่ี 1 (กจิ กรรมชั้วโมงท่ี 1) ภาษาไทยเพื่อการสื่อสาร
1. ต้งั คำถามเพอื่ กำหนดประเดน็ การสังเกตเกย่ี วกบั ชนิด - พดู ส่อื สารในสถานการณ์ตา่ ง ๆ ในชวี ติ ประจำวนั
วสั ดุทใี่ ช้ทำของเล่นของใชใ้ นชวี ติ ประจำวนั โดยครู บอกความรู้สึกนกึ คิดของตนเลา่ เรอ่ื งและเหตุการณ์ตา่ ง ๆ
นำเสนอของเล่นและของใชท้ ี่เตรียมมาใหน้ ักเรียนสังเกต หรือบอกผ่านการเลน่ บทบาท
และพจิ ารณา แลว้ ถามว่าส่งิ ใดเป็นของเล่นและส่ิงใดเป็น - ฟัง พดู อา่ น เขียน อยา่ งมีความสขุ สนุกกบั การเรยี นรู้
ของใช้ หลังจากตอบคำถามแล้ว ครใู ห้นกั เรยี นรว่ มกนั และทดลองใช้หรือเลือกใชภ้ าษาไทย เพ่ือวัตถปุ ระสงค์
อภิปราย ดังน้ี ต่าง ๆ
“เพราะเหตุใด นกั เรยี นถงึ คิดว่าส่ิงทน่ี ักเรยี นตอบเป็นของ ทกั ษะการคิดข้ันสูงและนวตั กรรม
เล่นหรือของใช”้ เพื่อให้ได้ข้อสรปุ วา่ ของเลน่ กค็ ือสิง่ ที่ - ชี้แจงเหตุผลของการตดั สินใจในเรอื่ งตา่ ง ๆ ใน
นำมาเล่นเพ่ือให้ความเพลดิ เพลนิ ส่วนของใชก้ ็คือสงิ่ ท่ี ชีวติ ประจำวันของตน และบอกไดว้ ่าการตัดสินใจของตน
นำมาใชป้ ระโยชน์ในการทำงานอย่างใดอยา่ งหนึ่ง เชน่ มีความเหมาะสมอย่างไร
- ดินสอ ใช้เขียนหนังสอื
- ไม้บรรทัดใชข้ ดี เสน้ ใหต้ รง
- กระเปา๋ นำมาใสห่ นังสือ
- เกา้ อ้ี ใช้ในการนัง่
2. แบ่งกลุ่มนกั เรียนกลุม่ ละ 3-4 คน โดยให้นักเรียน การเป็นพลเมอื งตนื่ รทู้ ม่ี ีสำนกึ สากล
แตล่ ะกลมุ่ มีคนเกง่ ปานกลางและอ่อนอยู่ในกลุ่มเดยี วกัน - ปฏิบัตติ ามบทบาทและหน้าท่ี ทร่ี ับผิดชอบต่อครอบครวั
แบ่งหนา้ ท่ีรับผิดชอบ ช้ันเรียน โรงเรียน และชมุ ชนอย่างเหมาะสม
3. นกั เรียนแต่ละกลมุ่ สำรวจวัสดุทใ่ี ชท้ ำของเลน่ ของใช้ ภาษาไทยเพ่ือการส่ือสาร
และรว่ มวางแผนสงั เกตรวบรวมบนั ทึกและสรุปผล - เขียนข้อความ เรือ่ งสน้ั ๆ เพ่ือบอกความคดิ ความรู้สึก
การสงั เกตรวบรวมระบุชนดิ ของวัสดุท่ีทำของเลน่ ของใช้ หรอื แต่งเร่ืองตามจนิ ตนาการ โดยมีความสามารถในการเขยี น
โดยครนู ำนกั เรยี นออกไปสำรวจตามท่ตี ่าง ๆ รอบ ในระดับ A1 ตามทสี่ ถาบันภาษาไทยสริ นิ ธรกำหนด สามารถ
โรงเรียนภายในเวลา 15–20 นาที เพ่ือสังเกตและรวบรวม เขยี นให้เขา้ ใจงา่ ย ถกู ต้องตามหลักภาษาไทย และคำนึงถงึ
ส่ิงของตา่ ง ๆ ท้งั ทีเ่ ป็นของเลน่ และของใชใ้ ห้ได้อย่างนอ้ ย ผ้อู ่านและผู้ที่ตนเขียนถึง
๕ อยา่ งและรว่ มกันแสดงความคิดเห็นเกยี่ วกบั การสบื สอบทางวิทยาศาสตร์ และจิตวทิ ยาศาสตร์
คณุ ลกั ษณะของวัสดวุ ่าของเลน่ และของใชท้ ี่สำรวจน้ัน - ตัง้ คำถามเกยี่ วกับปรากฏการณ์ต่าง ๆ ทีพ่ บ
แตล่ ะอย่างนน้ั ทำจากอะไร บนั ทึกข้อมลู ลงในแบบฝึกที่ 1 ในชีวิตประจำวนั คาดคะเนหาคำตอบและคดิ วิธีการ
4. นกั เรียนแต่ละกลุ่มส่งตัวแทนนำเสนอผลการสำรวจ หาคำตอบ โดยอาจใชว้ สั ดอุ ุปกรณ์ เคร่ืองมือช่วยในการ
ของกลุ่มหน้าช้ันเรยี น (กิจกรรมชว่ั โมงที่ 2) สำรวจตรวจสอบ เก็บขอ้ มลู และสรุปคำตอบ
คมู่ อื การสรา้ งเครื่องมอื ประเมินสมรรถนะผู้เรยี นระดบั การศึกษาขัน้ พน้ื ฐาน 67
กิจกรรม สมรรถนะ
- กล้าพดู ใหค้ วามคดิ สนับสนุนหรอื คัดค้านเก่ียวกับ
เรอื่ งทางวิทยาศาสตร์ที่เปน็ ปัญหาถกเถยี งกัน สามารถ
ชีแ้ จงเหตผุ ลโดยมหี ลักฐานประกอบ
การเป็นพลเมอื งต่ืนรู้ทีม่ ีสำนกึ สากล
- ปฏบิ ัติตามบทบาทและหน้าท่ที ่รี บั ผิดชอบต่อครอบครัว
ชน้ั เรยี น โรงเรยี น และชุมชนอยา่ งเหมาะสม
โดยเคารพและไม่ละเมิดสิทธิของผู้อ่นื
- อยรู่ ่วมกบั ผ้อู ื่นอยา่ งพึ่งพาอาศยั กันทง้ั ผทู้ ี่อย่ใู นชนั้ เรยี น
โรงเรียน ครอบครัว และชุมชน ด้วยความเขา้ ใจ
ในความแตกตา่ งในด้านอายุ เพศ ความถนดั ฐานะ
และบทบาทหน้าที่
ทักษะชีวิตและความเจรญิ แห่งตน
- รู้จกั ตนเอง บอกสิ่งท่ีสามารถทำได้ และสงิ่ ที่ทำไม่ได้
บอกได้ว่า ตนชอบ ไม่ชอบอะไร บอกความคดิ ความรสู้ ึก
ความต้องการ และปัญหาของตนได้
- มวี นิ ัยในการปฏิบัตติ ามสุขบัญญัติ ทำกจิ วัตรประจำวัน
กิน เล่น เรียน ชว่ ยทำงาน พักผอ่ น นอนหลบั อย่างพอดี
พอเหมาะกบั วัย
- ควบคมุ อารมณ์ปรับตัวรว่ มเล่นและเรียนกบั เพ่ือน ๆ
ได้รู้จกั แบ่งปันสามารถแก้ปัญหาดว้ ยสนั ติวิธี
5. นักเรยี นทง้ั หมดและครรู ว่ มกนั อภิปรายจนไดข้ ้อสรปุ วา่ การเป็นพลเมอื งต่นื รทู้ ่ีมสี ำนกึ สากล
- ของเลน่ ของใชม้ มี ากมาย ทำจากวสั ดตุ ่าง ๆ กัน - ปฏิบตั ติ ามบทบาทและหน้าที่ ทร่ี บั ผดิ ชอบต่อ
บางอย่างทำจากวัสดุเพียงอย่างเดยี วบางชนิดทำจากวสั ดุ ครอบครัว ช้นั เรยี น โรงเรยี น และชมุ ชนอยา่ งเหมาะสม
หลาย ๆ อย่างประกอบกนั ของเลน่ ของใช้ตา่ งชนดิ กัน - อยู่ร่วมกนั อย่างเอ้ืออาทร รกั ษาสทิ ธิของตนเอง
อาจใช้วสั ดุเหมอื นกัน โดยเคารพและไม่ละเมดิ สทิ ธิของผู้อื่น
- วัสดทุ ใ่ี ชท้ ำของเลน่ ของใช้มีหลายอย่าง เช่น ไม้ - มีส่วนร่วมในการกำหนดกตกิ า ปฏบิ ตั ติ ามกติกา
พลาสติก กระดาษ ยาง โลหะ ฯลฯ ในห้องเรียน และโรงเรียน ติดตาม ตรวจสอบ
และปรับเปล่ียนให้เหมาะสมเพ่ือการอยู่ร่วมกนั
อยา่ งสงบสุข
ค่มู อื การส
ฝกึ การวิเคราะห์สมรรถนะผ้เู รียนกับมาตรฐาน/ตัวช้ีวัด ตามหลักสูตรแกนกลางการศึก
มาตรฐานการเรยี นรู้ ตัวชวี้ ัด ส่ิงท่ผี ู้เรียนพึงรู้และทำได้ ส
มาตรฐานการเรยี นรู้ 1. สบื ค้นขอ้ มูลและอภปิ รายแหลง่ ................................................. ............
................................................. ............
ว 2.2 เขา้ ใจความสำคญั ของ ทรพั ยากรธรรมชาติในแตล่ ะทอ้ งถ่ิน ................................................. ............
.................................................. .............
ทรัพยากรธรรมชาติ การใช้ ที่เปน็ ประโยชน์ต่อการดำรงชวี ิต ................................................. ............
ทรพั ยากรธรรมชาติในระดับ ................................................. ............
................................................. ............
ทอ้ งถ่ิน ประเทศและโลก 2. วิเคราะหผ์ ลของการเพ่มิ ข้นึ ของ ................................................. ............
นำความรไู้ ปใช้ในในการ ประชากรมนษุ ยต์ ่อการใช้ .................................................. .............
จดั การทรัพยากรธรรมชาติ ทรัพยากรธรรมชาติ ................................................. ............
และส่ิงแวดล้อมในทอ้ งถิ่น
................................................. ............
อย่างยง่ั ยืน 3. อภปิ รายผลตอ่ ส่งิ มีชวี ิตจากการ ................................................. ............
................................................. ............
เปลย่ี นแปลงส่งิ แวดลอ้ ม ท้งั โดย .................................................. .............
................................................. ............
ธรรมชาติและโดยมนุษย์
................................................. ............
4. อภปิ รายแนวทางในการดูแลรกั ษา ................................................. ............
ทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละส่งิ แวดลอ้ ม ................................................. ............
.................................................. .............
5. มีสว่ นรว่ มในการดแู ลรกั ษา
ส่งิ แวดลอ้ มในท้องถิ่น ................................................. ............
................................................. ............
................................................. ............
.................................................. .............
สรา้ งเครื่องมอื ประเมินสมรรถนะผ้เู รยี นระดบั การศึกษาขั้นพ้นื ฐาน 68
กษาขั้นพ้ืนฐาน ตวั ช้ีวดั สมรรถนะ (สพฐ.) สมรรถนะหลักและสมรรถนะย่อย (กอปศ.)
ความสามารถในการแก้ปัญหา
สาระการเรยี นรู้
................................................. ...............................................................................
...................................... ................................................. ................................................................................
...................................... ................................................. ...............................................................................
...................................... .................................................. ................................................................................
...................................... ................................................. .................................................................................
......................................
...................................... ................................................. ...............................................................................
...................................... ................................................. ................................................................................
...................................... ................................................. ...............................................................................
...................................... .................................................. ................................................................................
...................................... ................................................. .................................................................................
......................................
...................................... ................................................. ...............................................................................
...................................... ................................................. ................................................................................
...................................... ................................................. ...............................................................................
...................................... .................................................. ................................................................................
...................................... ................................................. .................................................................................
......................................
...................................... ................................................. ...............................................................................
...................................... ................................................. ................................................................................
...................................... ................................................. ...............................................................................
...................................... .................................................. ................................................................................
......................................
...................................... ................................................. ...............................................................................
................................................. ................................................................................
................................................. ...............................................................................
.................................................. ................................................................................
คมู่ อื การสร้างเครื่องมือประเมินสมรรถนะผเู้ รยี นระดบั การศึกษาขนั้ พืน้ ฐาน 69
ตอนที่ 5
การออกแบบการประเมนิ สมรรถนะผู้เรยี น
คู่มือการสรา้ งเครื่องมือประเมินสมรรถนะผู้เรียนระดบั การศึกษาข้นั พื้นฐาน 70
การออกแบบการประเมนิ สมรรถนะผเู้ รียน เป็นการวางแผนในการดำเนนิ การประเมินสมรรถนะ
ผเู้ รียนท้ังในเร่อื งของสมรรถนะที่เป็นเปา้ หมายในการประเมนิ ภารกจิ หรอื ชน้ิ งานทีม่ อบหมายให้นกั เรยี น
ไดท้ ำ วิธีการประเมนิ และเคร่ืองมือที่ใช้ในการประเมนิ รวมท้ังช่วงระยะเวลาในการประเมิน เพอื่ ใหไ้ ด้
ผลประเมินทสี่ ามารถสะท้อนสมรรถนะที่แทจ้ ริงของผเู้ รยี น อกี ทงั้ ยังชว่ ยในเรื่องของการจดั สรรการใช้
ทรัพยากรและกำลงั คนอย่างมีประสทิ ธิภาพ เพื่อให้เกดิ ประโยชนส์ งู สุด ดังนน้ั การออกแบบการประเมนิ
สมรรถนะผเู้ รียน จึงต้องมีการวางแผนการประเมินให้สอดคล้องสมรรถนะที่เป็นเปา้ หมายในการประเมนิ
และกจิ กรรมการจดั การเรยี นรูใ้ นช้นั เรียน ซ่ึงรปู แบบการประเมินสมรรถนะผ้เู รยี นสามารถทำได้
หลากหลายวิธี ได้แก่ ผูเ้ รียนประเมนิ ตนเอง ครูประเมนิ ผูเ้ รียน ประเมนิ แบบผสมผสาน (360 องศา)
ในส่วนของวิธีการประเมนิ น้นั ครผู ้สู อนจะต้องกำหนดให้สอดคลอ้ งกับพฤติกรรมทตี่ ้องการวัด ไมว่ ่าจะเป็น
พฤติกรรมดา้ นความรู้ (Knowledge) พฤติกรรมด้านทักษะกระบวนการ (Process skill) และพฤตกิ รรม
ดา้ นคณุ ลกั ษณะ (Attribute) นอกจากน้ีเคร่ืองมือทใ่ี ชใ้ นการประเมินจะต้องสอดคล้องกับวิธีการประเมนิ
และพฤตกิ รรมบง่ ชี้ของแตล่ ะตวั ช้ีวัดของสมรรถนะท่ตี ้องการประเมิน นอกจากนี้ ช่วงเวลาในการประเมนิ
น้นั ควรกำหนดให้สอดคลอ้ งกบั กิจกรรมการจดั การเรยี นรู้ของผู้เรียน ซง่ึ สามารถดำเนินการได้ทั้งระหว่าง
การจดั การเรียนรู้ และเมื่อส้นิ ภาคเรยี น/สิน้ ปีการศึกษาขนึ้ อยกู่ บั วัตถปุ ระสงค์ของการประเมนิ โดยมี
รายละเอียดเกี่ยวกับขั้นตอนการออกแบบการประเมิน รูปแบบการประเมิน วธิ กี ารประเมิน เคร่ืองมือที่ใช้
ในการประเมิน และช่วงระยะเวลาในการประเมนิ ดังต่อไปน้ี
1. ขนั้ ตอนการออกแบบการประเมินสมรรถนะผู้เรียน
1.1 กำหนดสมรรถนะผเู้ รยี นที่ต้องการ ครผู ูส้ อนกำหนดสมรรถนะของผ้เู รยี นท่ีต้องการ
ประเมินในแตล่ ะหน่วยการเรียนในแตล่ ะระดบั ชนั้
1.2 ศึกษานิยามเชิงปฏบิ ตั กิ ารของสมรรถนะ ตวั ชีว้ ดั และพฤติกรรมบง่ ชีข้ องสมรรถนะ
สำหรับการออกแบบการประเมินสมรรถนะ ซึ่งโดยนยิ ามของสมรรถนะจะเป็นการผสมผสานการทำงาน
รว่ มกนั ระหว่างพฤติกรรมดา้ นความรู้ (Knowledge) พฤติกรรมด้านทักษะกระบวนการ (Process skill)
และพฤตกิ รรมด้านคุณลักษณะ (Attribute) จงึ จำเปน็ ต้องจำแนกพฤตกิ รรมเหลา่ นั้นออกเป็นพฤติกรรม
ยอ่ ย ๆ ที่เรียกว่า “ตวั ชวี้ ดั ” และสามารถแตกออกเปน็ พฤตกิ รรมของผูเ้ รยี นที่ปรากฏในชั้นเรยี น ทีเ่ รยี กว่า
“พฤตกิ รรมบง่ ชี้” ดังนั้น ครผู สู้ อนตอ้ งทำการกำหนดตัวช้ีวัด และพฤตกิ รรมบง่ ช้ขี องสมรรถนะในแต่ละ
หน่วยการเรียนรู้
1.3 วิเคราะหภ์ ารกจิ หรือช้ินงานที่ผู้เรียนปฏบิ ตั ิ ครูผสู้ อนต้องทำการวิเคราะหภ์ ารกิจ
และช้ินงานทผี่ เู้ รียนปฏบิ ตั วิ า่ ต้องทำการประเมินในส่วนของกระบวน หรือผลงาน หรือท้ังกระบวนการ
และผลงาน
1.4 กำหนดรปู แบบการประเมนิ วิธกี ารประเมนิ เครอ่ื งมอื ที่ใช้ในการประเมิน และช่วงเวลา
ในการประเมิน ครูผูส้ อนกำหนดรายละเอียดของการประเมนิ สมรรถนะใหส้ อดคล้องกับสมรรถนะ ตัวชี้วัด
และพฤตกิ รรมบง่ ช้ี และการจัดการเรียนรใู้ นชนั้ เรียนอีกด้วย
ค่มู อื การสร้างเคร่ืองมอื ประเมินสมรรถนะผูเ้ รยี นระดับการศึกษาขนั้ พื้นฐาน 71
2. รูปแบบการประเมนิ สมรรถนะผู้เรยี น
รูปแบบในการประเมินสมรรถนะผู้เรียนมรี ปู แบบวธิ ีการท่หี ลากหลาย ซ่ึงคณุ ครูผ้สู อนจะต้อง
กำหนดใหส้ อดคล้องกบั สมรรถนะ ตัวชวี้ ัด และพฤติกรรมบ่งชีท้ ีต่ อ้ งการวดั รวมทงั้ ต้องคำนงึ ถงึ จำนวน
และศักยภาพของผู้เรยี นท่ีต้องการวัดอีกดว้ ย โดยรายละเอียดของรปู แบบการประเมนิ สมรรถนะ
มดี งั ต่อไปนี้
2.1 การประเมินสมรรถนะของตนเอง (Self Assessment) เปน็ การตรวจสอบสมรรถนะ
ของผเู้ รยี นโดยให้ผู้เรยี นทำการประเมนิ สมรรถนะของตนเอง มีวตั ถปุ ระสงคเ์ พ่ือสร้างการรับรู้สมรรถนะ
ตนเองของผ้เู รียน และสรา้ งแรงจูงใจภายในสำหรับการมุ่งม่ันพยายามพัฒนาสมรรถนะของตนเอง
ในอนาคต อกี ทงั้ เปน็ การกระตุ้นทักษะการกำหนดเปา้ หมายของตนเอง (self-direction)
2.2 การประเมินสมรรถนะของผ้เู รียน (Assessment by Teacher) เปน็ การประเมนิ
สมรรถนะของผูเ้ รยี นท่ีมอี ยู่ในปัจจบุ ันโดยผู้สอน มวี ตั ถุประสงคเ์ พื่อสะท้อนสมรรถนะของผู้เรยี นจากผู้ท่ีมี
ประสบการณ์ และป้องกันการลำเอียงหรอื ประเมินเขา้ ขา้ งตนเองของผเู้ รยี น โดยผลการประเมนิ น้จี ะใช้
เป็นฐานข้อมูล (based line data) สำหรับการกำหนดเปา้ หมายและวิธกี ารในการพัฒนาสมรรถนะผู้เรยี น
แตล่ ะคนต่อไป
2.3 การประเมินแบบศนู ย์ทดสอบ (Assessment Center) เป็นการประเมินสมรรถนะ
ของผู้เรยี นที่ใช้เทคนิคหลายวิธีรว่ มกนั และใช้บุคคลหลายคนรว่ มกนั ประเมินผลการประเมิน มคี ่าความเทยี่ ง
และความเช่ือถือไดส้ ูง เพราะใช้เทคนิคหลายวธิ ีร่วมกนั ใช้คนหลายคนชว่ ยกันประเมนิ
2.4 การประเมินแบบสามร้อยหกสบิ องศา (360 Evaluation) เป็นการประเมินสมรรถนะ
ของผ้เู รียน โดยใช้เครื่องมือทเ่ี ป็นแบบมาตรประมาณคา่ (Rating Scale) หรอื แบบประเมินจากพฤติกรรม
การปฏิบัติงาน (Behaviorally Anchored Rating: BARS) โดยใหผ้ ้ทู ่เี กย่ี วข้องกับผู้เรยี น ไดแ้ ก่
เพอื่ นนักเรยี น ครูผู้สอน ผูป้ กครอง และรุ่นน้องเปน็ ผู้ประเมนิ สมรรถนะ แลว้ หาข้อสรปุ ว่าผูเ้ รยี น
มสี มรรถนะอยู่ในระดับใด
3. วธิ ีการประเมนิ สมรรถนะผู้เรียน
สมรรถนะผ้เู รียนเป็นคุณลกั ษณะส่วนบคุ คลของผู้เรียนที่ประกอบด้วยพฤติกรรมด้านความรู้
(Knowledge) พฤตกิ รรมด้านทกั ษะกระบวนการ (Process skill) และพฤติกรรมดา้ นคุณลกั ษณะ
(Attribute) มาประยุกตใ์ ชใ้ นการปฏบิ ัติงาน จนสำเรจ็ ตามเปา้ หมายหรือสงู กว่าเกณฑ์ท่ีกำหนด ดังนัน้
วธิ ีการวัดและประเมนิ สมรรถนะของผูเ้ รยี นจงึ อาจใช้วธิ กี ารประเมินทห่ี ลากหลาย ดงั รปู
คมู่ อื การสร้างเคร่ืองมอื ประเมินสมรรถนะผู้เรยี นระดับการศึกษาขนั้ พน้ื ฐาน 72
ดังนนั้ วิธีการประเมินสมรรถนะผ้เู รียน ครผู ู้สอนจะต้องกำหนดให้สอดคล้องกับพฤติกรรมท่ีต้องการ
วดั ไมว่ า่ จะเปน็ พฤติกรรมดา้ นความรู้ (Knowledge) พฤติกรรมดา้ นทักษะกระบวนการ (Process skill)
และพฤตกิ รรมด้านคุณลกั ษณะ (Attribute) ซง่ึ วธิ ีการประเมินสมรรถนะผเู้ รียนนั้นมีหลากหลาย
มดี ังต่อไปน้ี
3.1 การทดสอบ เป็นการใช้แบบทดสอบเครื่องมือวัดความร้หู รือทกั ษะตามสมรรถนะ
ของผู้เรยี น แบบทดสอบทีด่ จี ะชว่ ยใหค้ รทู ราบถึงสถานภาพของนกั เรยี นวา่ เป็นเชน่ ไร มีดา้ นใดดี
หรือควรปรบั ปรงุ อย่างไร ซ่งึ เครอื่ งมือท่ีใช้ ประกอบดว้ ยแบบสอบเขียนตอบ แบบสอบเลอื กตอบ
การสอบภาคปฏบิ ตั ิ และแบบวดั ต่าง ๆ เปน็ ตน้
3.2 การสงั เกต เปน็ การวดั และประเมินที่มีรายการพฤติกรรมเป้าหมายท่ตี องการเก็บขอมลู
ดวยประสาทสมั ผสั โดยเฉพาะอยา่ งย่งิ ทางหูและตา เพื่อศึกษาพฤตกิ รรมทีม่ ีความละเอียดชดั เจน
ของผู้เรยี นในสภาพการณตาง ๆ ทก่ี ำหนด เคร่ืองมือทใี่ ชป้ ระกอบดว้ ย แบบตรวจสอบรายการ
แบบมาตรวดั ประเมินคา่ และแบบบนั ทกึ เปน็ ตน้
3.3 การสัมภาษณ์ เปน็ วธิ ีการวดั ผลดว้ ยการซกั ถาม สนทนา โต้ตอบ เพื่อประเมินความคดิ ทัศนคติ
ต่าง ๆ เครอื่ งมือทใ่ี ช้ ไดแ้ ก่ แบบสมั ภาษณแ์ บบมีโครงสร้าง (เตรียมคำถามไวล้ ่วงหนา้ ) และคำถามแบบไม่มี
โครงสร้าง (กำหนดเฉพาะแนวทาง หรอื ประเด็นแตไ่ ม่มีคำถามทชี่ ัดเจน)
3.4 การประเมินผลงาน เปน็ การวัดและประเมนิ ดว้ ยการกำหนดงาน กจิ กรรม หรือแบบฝกึ
ใหผ้ ู้เรยี นไดป้ ฏบิ ัติ ฝึกฝน โดยผูส้ อน จะเป็นผ้ตู รวจสอบความถกู ต้องด้วยตนเอง หรอื เพื่อนผู้เรยี นทไ่ี ด้รบั
มอบหมาย เพ่ือให้ได้ข้อมูลจริงสำหรบั สะท้อนผลการปรับปรงุ แก้ไข พฤตกิ รรมการเรยี นรู้ของผ้เู รียน
อยา่ งเป็นระบบต่อไป เคร่ืองมือท่ีใช้ ได้แก่ แบบประเมนิ ผลงาน เป็นต้น
ค่มู อื การสร้างเคร่ืองมือประเมินสมรรถนะผเู้ รียนระดบั การศึกษาข้นั พนื้ ฐาน 73
3.5 การประเมินโดยใชแ้ ฟ้มสะสมงาน เปน็ การวัดและประเมินทใ่ี ช้หลกั การเกบ็ หลักฐาน
ผลงานทีด่ แี ละมีความภาคภมู ิใจทีเ่ ปน็ ตวั แทนงานทีป่ ฏิบัตขิ องผูเ้ รียน เก่ยี วกับทักษะ แนวคดิ ความสนใจ
ความสำเรจ็ โดยมผี ลการประเมิน จุดเด่น จุดด้อยของชิน้ งาน อนั แสดงถึงความก้าวหน้าในการเรียนดว้ ยตนเอง
ของผูเ้ รียนเอง เพอ่ื นรว่ มชน้ั หรอื ผ้สู อน แล้วนำหลกั ฐานมาบรรจุลงในแฟ้ม สมดุ โนต้ แผ่นบันทึกข้อมลู
เป็นต้น ลักษณะแฟ้มสะสมงานท่ดี คี วรมคี วามหลากหลาย สามารถสะท้อนความสามารถที่แท้จริง
ของผ้เู รียนแต่ละคน เครอื่ งมือที่ใช้สำหรับประเมนิ แฟ้มสะสมงาน ได้แก่ แบบบันทึก แบบประเมินผลงาน
และแบบประเมินตนเอง เป็นต้น
3.6 การประเมนิ การปฏิบัติจริง เป็นการวดั และประเมินที่เนน้ การสืบเสาะ พัฒนาทักษะ
การแก้ปัญหาตามสภาพจริงท่ีเกิดขึน้ ของผเู้ รียน ซ่ึงเป็นการกระตุ้นและอำนวยความสะดวกใหก้ ับผ้เู รียน
และสะท้อนผลการเรียนรู้ เพื่อการพฒั นาผู้เรียน เคร่ืองมือทีใ่ ช้ ไดแ้ ก่ แบบประเมนิ การปฏิบตั งิ าน
แบบรายงานตนเอง เป็นตน้
4. เครือ่ งมือในการประเมินสมรรถนะผู้เรยี น
เครื่องมือทใ่ี ช้ในการประเมนิ สมรรถนะของผู้เรียน จะตอ้ งสอดคลอ้ งกับวิธกี ารประเมนิ
และประเภทของพฤตกิ รรมบง่ ชีข้ องแต่ละตัวชีว้ ดั ของสมรรถนะทีต่ ้องการประเมนิ ดงั ตารางตอ่ ไปน้ี
ประเภทของพฤติกรรมบ่งชี้ วิธกี ารประเมนิ เคร่ืองมอื
ด้านความรู้ 1. การทดสอบ 1. แบบทดสอบแบบเลอื กตอบ
2. แบบทดสอบแบบเขยี นตอบ
Knowledge (K)
1. แบบสัมภาษณแ์ บบมโี ครงสรา้ ง
2. การสัมภาษณ์ 2. แบบสัมภาษณ์แบบไมม่ ีโครงสร้าง
3. แบบสอบถาม
ดา้ นทักษะกระบวนการ 1. การสังเกต
Process Skill (P) 2. การสมั ภาษณ์ 1. แบบสังเกตแบบมสี ว่ นร่วม
2. แบบสังเกตแบบไม่มีส่วนร่วม
ด้านคณุ ลักษณะ 3. การประเมินผลงาน
Attribute (A) 4. การประเมินโดยใช้แฟม้ 1. แบบสมั ภาษณแ์ บบมีโครงสรา้ ง
สะสมงาน 2. แบบสัมภาษณ์แบบไมม่ โี ครงสร้าง
3. แบบสอบถาม
5. การประเมินการปฏบิ ัตจิ รงิ
1. แบบประเมินผลงาน
1. การสัมภาษณ์
1. แบบบนั ทึก
2. แบบประเมินผลงาน
3. แบบประเมินตนเอง
1. แบบประเมนิ การปฏบิ ตั ิงาน
2. แบบรายงานตนเอง
1. แบบสัมภาษณแ์ บบมีโครงสรา้ ง
2. แบบสัมภาษณ์แบบไมม่ ีโครงสรา้ ง
3. แบบสอบถาม
2. การประเมนิ ผลงาน 1. แบบประเมนิ ผลงาน
ค่มู ือการสร้างเครื่องมือประเมินสมรรถนะผ้เู รียนระดบั การศึกษาข้นั พ้ืนฐาน 74
ประเภทของพฤติกรรมบ่งช้ี วธิ ีการประเมิน เครื่องมอื
3. การประเมินโดยใช้แฟ้ม
สะสมงาน 1. แบบบันทกึ
2. แบบประเมนิ ผลงาน
4. การประเมนิ การปฏิบัติจรงิ 3. แบบประเมนิ ตนเอง
1. แบบประเมนิ การปฏิบตั งิ าน
2. แบบรายงานตนเอง
5. ชว่ งเวลาการประเมินสมรรถนะผู้เรียน
การกำหนดชว่ งเวลาในการประเมนิ สมรรถนะผเู้ รียนข้นึ อยกู่ ับวตั ถุประสงค์ของการประเมิน
สามารถกำหนดได้ ดงั นี้
5.1 ประเมนิ ระหว่างเรยี น เป็นการประเมนิ ทเ่ี น้นเพอ่ื การพัฒนา นำผลที่ไดจ้ ากการประเมนิ
เปน็ ขอ้ มลู ในการพฒั นาสมรรถนะของผูเ้ รียนต่อไป โดยผู้สอนอาจจะใชว้ ิธีการทดสอบ สังเกต สอบถาม
ระหวา่ งการจดั การเรียนรใู้ หก้ ับผเู้ รยี น
5.2 ประเมินปลายป/ี ปลายภาค เปน็ การประเมินเพือ่ สรปุ ตัดสนิ ผลการพัฒนาสมรรถนะ
ของผ้เู รียนเมื่อส้ินภาคเรียน/ส้ินปกี ารศึกษา โดยผ้สู อนพจิ ารณาจากผลงาน หรอื กระบวนการปฏิบตั ิงาน
หรือท้ังสองส่วน เปน็ การตรวจสอบว่าเมอ่ื ผูส้ อนจัดการเรยี นรู้เสรจ็ สน้ิ แลว้ ผู้เรยี นเกิดสมรรถนะ
ตามทีต่ ้องการหรือไม่
คมู่ ือการส
ตัวอยา่ งการออกแบบกา
ตัวชว้ี ัดสมรรถนะ พฤตกิ รรมบง่ ชี้
สมรรถนะ (สมรรถนะสำคญั ตามข้อเสนอ “ความสามารถใน ภาระ
ความสามารถในการ ของ กอปศ) การแก้ปัญหา”
แก้ปัญหา
3.1 ใชก้ ระบวนการแก้ปัญหา ทักษะการคดิ ขั้นสูงและนวัตกรรม -ใชข้ อ้ มูลสารสนเทศที่ -โครงงาน
โดยการวเิ คราะหป์ ญั หา
วางแผนในการแก้ปัญหา -คิดพจิ ารณาเร่ืองตา่ ง ๆ โดยมีข้อมูล ถูกตอ้ งเหมาะสมใน แกป้ ัญหา
ดำเนินการแก้ปัญหา
ตรวจสอบและสรุปผล เก่ียวขอ้ งกับเร่อื งนั้นอยา่ งเพียงพอ การแก้ปัญหาและ ครอบคร
สามารถวิเคราะหว์ ิพากษ์ และ อุปสรรคต่าง ๆ
ประเมินข้อมูลและเหตุผล สามารถ
สรปุ ความเข้าใจและให้ความเห็นใน
เร่อื งน้ัน ๆ
สร้างเคร่ืองมือประเมินสมรรถนะผู้เรียนระดับการศึกษาขน้ั พน้ื ฐาน 75
ารประเมนิ สมรรถนะ
ะงาน/ชนิ้ งาน พฤติกรรมบง่ ชสี้ มรรถนะ วิธีการประเมิน เครื่องมือประเมิน ชว่ งเวลา
ตามภาระงาน
นแนวทางการ สามารถออกแบบโครงงาน 1.การประเมนิ ผล แบบประเมินผลงาน ระหว่างเรียน
าความรุนแรงใน แนวทางการแกป้ ัญหาความ งาน
รัว รนุ แรงในครอบครวั ได้ตาม
เง่อื นไขทก่ี ำหนดให้ได้
สามารถดำเนินกจิ กรรมตาม 1.การประเมินการ 1. แบบประเมินการปฏิบัตงิ าน ระหวา่ งเรยี น
โครงงานแนวทางการ ปฏบิ ตั จิ ริง 2. แบบรายงานตนเอง
แกป้ ญั หาความรุนแรงใน 2.การสงั เกต 3.แบบสังเกตแบบไมม่ ีสว่ นร่วม
ครอบครัว ท่อี อกแบบไว้ได้
อยา่ งถกู ข้นั ตอน
สามารถนำเสนอผลการ 1.การประเมินการ 1. แบบประเมินการปฏิบัตงิ าน ระหวา่ งเรียน
ดำเนินการโครงงานแนว ปฏบิ ัติจรงิ 2. แบบรายงานตนเอง
ทางการแกป้ ญั หาความ 2.การสงั เกต 3.แบบสงั เกตแบบไมม่ ีสว่ นร่วม
รนุ แรงในครอบครัว
ได้
สามารถสรุปความ อภิปราย 1.การทดสอบ แบบทดสอบแบบเขียนตอบ ระหว่างเรียน
ผล และตอบขอ้ ซกั ถามจาก 2.การประเมินผล แบบประเมินผลงาน
ผรู้ บั ฟงั การนำเสนอได้ งาน
คู่มอื การสร้างเครื่องมือประเมินสมรรถนะผเู้ รียนระดบั การศึกษาขนั้ พ้นื ฐาน 76
ตอนที่ 6
การสร้างเครือ่ งมอื ประเมนิ สมรรถนะ
คมู่ ือการสร้างเครื่องมอื ประเมินสมรรถนะผ้เู รียนระดับการศึกษาขัน้ พน้ื ฐาน 77
การสรา้ งเครื่องมือประเมินสมรรถนะผู้เรยี นต้องเลือกประเภท/ชนดิ เครือ่ งมือให้สอดคล้องกบั
ส่ิงทตี่ อ้ งการวดั อีกทัง้ ต้องมีความรู้ ความเขา้ ใจในการสรา้ งเครื่องมอื ประเมินแต่ละชนิด การสรา้ งเคร่ืองมือ
อาจนำสถานการณ์ตา่ ง ๆ ในชวี ิตประจำวันมากำหนดเป็นสถานการณ์ประกอบข้อคำถาม เพอ่ื เร้าใหผ้ เู้ รียน
แสดงพฤติกรรมทอี่ ย่ใู นรปู ของการกระทำหรือผลการปฏบิ ัติงานที่กำหนด ผู้ประเมินอาจมอบภาระงาน
ทีส่ อดคล้องกับพฤติกรรมบ่งชตี้ ามสมรรถนะ แลว้ ตรวจงาน/สงั เกตพฤติกรรมของผู้เรยี น
การประเมนิ สมรรถนะผู้เรยี นต้องใช้เคร่ืองมือที่มคี วามเหมาะสม หลากหลาย และสอดคลอ้ งกับ
คณุ ลกั ษณะตามนยิ าม ตัวชี้วัด และพฤติกรรมบ่งช้ี ผ้ปู ระเมนิ ตอ้ งเขา้ ใจธรรมชาตแิ ละลักษณะของ
เครือ่ งมือประเมนิ สมรรถนะผู้เรยี นในแต่ละชนดิ เช่น แบบทดสอบเลือกตอบ แบบทดสอบเขยี นตอบ
แบบทดสอบภาคปฏบิ ตั ิ แบบสัมภาษณ์ แบบสงั เกต แบบสอบถาม เป็นต้น แต่ละชนดิ มีหลกั การ
และเทคนิควิธกี ารสรา้ งทแี่ ตกตา่ งกัน ดังนี้
1. แบบทดสอบ
แบบทดสอบเป็นชุดของคำถาม ปญั หา สถานการณ์ กลมุ่ ของงานหรือกิจกรรมอยา่ งใดอย่างหนง่ึ
ท่ใี ช้เปน็ สง่ิ เรา้ กระตุน้ ยั่วยหุ รอื ชกั นำใหผ้ ถู้ ูกทดสอบแสดงพฤติกรรมหรือปฏิกริ ยิ าตอบสนองตามแนวทาง
ทตี่ อ้ งการ มี 3 แบบ ได้แก่ แบบทดสอบเลือกตอบ (Multiple Choice) แบบทดสอบเขียนตอบ (Essay
Test) และแบบทดสอบภาคปฏิบตั ิ (Performance Assessment)
1.1 แบบทดสอบเลือกตอบ (Multiple Choice) เป็นเครือ่ งมือทีป่ ระกอบดว้ ยข้อความ
2 สว่ น ส่วนที่ 1 ตัวคำถามท่เี ป็นตวั เร้าใหผ้ ้สู อบคดิ และสว่ นที่ 2 ตวั เลือกเปน็ คำตอบหลาย ๆ คำตอบ
เพือ่ ใหผ้ สู้ อบเลือกตอบคำตอบใดคำตอบหน่งึ โดยตวั เลือกมี 2 ชนดิ คือ ตัวเลือกที่เปน็ คำตอบถูกและตวั เลือก
ทีเ่ ปน็ คำตอบผิดหรือตัวลวง
คำถาม หรือตวั คำถามของข้อสอบเลือกตอบ มจี ุดมงุ่ หมายเพ่อื ให้ผูต้ อบได้แสดงความรู้
ความสามารถต่าง ๆ ตามท่ผี ู้ถามต้องการ ซ่ึงจะวัดตั้งแตค่ วามจำไปจนถึงวดั พฤติกรรมขั้นการสงั เคราะห์
และคำถามแตล่ ะข้อจะถามเฉพาะจุดเล็ก ๆ ของเนอื้ หา
คำตอบ หรือตวั เลือกของคำถามประเภทนี้ผู้ตอบต้องใชเ้ วลาในการคิดและการตอบ
เปน็ สว่ นใหญ่ โดยทำเคร่อื งหมายบนคำตอบที่ต้องการ
ขอ้ ควรคำนึงในการสร้างแบบทดสอบเลือกตอบ
1. คำถามควรเปน็ ประโยคคำถามทสี่ มบูรณ์ จะช่วยให้คำถามมคี วามชดั เจนและเขา้ ใจงา่ ยกวา่
ประโยคบอกเลา่
2. เนน้ จดุ ทีเ่ ปน็ คำถามให้ชัดเจน เพ่ือให้เกดิ ความเป็นปรนัย
3. หลีกเลย่ี งคำถามทีเ่ ปน็ ประโยคปฏิเสธ โดยเฉพาะปฏิเสธซอ้ น แตถ่ ้าจำเปน็ ต้องใชป้ ระโยค
ปฏเิ สธควรขดี เสน้ ใตใ้ หช้ ัดเจน
4. การถามคำถามจะต้องสั้น กะทัดรัดและได้ใจความ ไม่ควรใช้คำฟุม่ เฟือย
5. ถามในสงิ่ ท่ีมีประโยชน์ เพราะจะชว่ ยใหเ้ ด็กไดเ้ รยี นร้สู ่งิ ทดี่ ีงาม เปน็ การปลกู ฝงั ค่านยิ ม
ทพ่ี ึงประสงค์ กล่าวคือ ถ้าสงิ่ ใดเป็นสง่ิ ทดี่ สี งั คมยอมรับให้ถามในทางท่ดี ี แต่ถ้าสิ่งใดไม่ดสี ังคมไม่ยอมรับ
ใหถ้ ามในทางท่ีไม่ดี
6. ถามในส่งิ ทีส่ ามารถหาข้อยุติได้ตามหลักวชิ า เพือ่ ใหเ้ ด็กไดใ้ ช้ความคิด ไมถ่ ามในสิง่ ทเี่ ป็น
ความเชอ่ื
7. ควรถามพฤติกรรมที่ต้องใช้ความคิด และควรหลีกเล่ียงการถามความจำจากตำรา
คูม่ ือการสรา้ งเคร่ืองมือประเมินสมรรถนะผู้เรียนระดบั การศึกษาข้ันพ้นื ฐาน 78
8. ใชภ้ าษาให้เหมาะสมกับวยั ของเด็ก เพราะถ้าใช้ภาษาท่ียากเกินไป เด็กกจ็ ะไมส่ ามารถทีจ่ ะ
เข้าใจในความหมาย จึงไม่สามารถทำขอ้ สอบนัน้ ได้
9. ควรใชค้ ำถามท่ยี ่วั ยุใหเ้ ด็กชวนคิด และบางครั้งคำถามหรอื ตวั เลือกอาจเป็นรูปภาพ
สัญลักษณ์ สถานการณ์ เพอื่ ย่ัวยใุ ห้เด็กอยากทำ
10. ตัวเลอื กควรสน้ั กะทดั รดั และมีความหมาย ตดั คำฟมุ่ เฟอื ยตา่ ง ๆ ท้ิง
11. ตัวเลอื กแตล่ ะตัวควรมคี วามยาวเท่า ๆ กัน ถ้าตวั เลอื กยาวไมเ่ ท่ากันควรเรยี งจากส้นั
ไปหายาวแตถ่ า้ เป็น วัน เดอื น พ.ศ. ตัวเลขหรือจำนวน ใหเ้ รียงจากน้อยไปหามาก หรือมากไปหาน้อย
12. หลกี เลี่ยงการเขียนตวั เลือกซ้ำซ้อนกนั หรอื มคี วามหมายเหมอื นกัน เพราะจะทำให้ตัวเลือก
มคี ุณค่าลดน้อยลง
ตวั อยา่ งแบบทดสอบเลือกตอบ
สมรรถนะ : ความสามารถในการแก้ปัญหา
ตวั ช้ีวดั ที่ 1 ใชก้ ระบวนการแก้ปญั หาโดยวิเคราะหป์ ัญหา วางแผนในการแกป้ ญั หา ดำเนินการแกป้ ัญหา
ตรวจสอบและสรปุ ผล
สถานการณ์
ปจั จบุ ันสภาพแวดล้อมเริ่มทรุดโทรมมากยิ่งข้นึ น้ำเปน็ ปัจจัยท่ีจำเปน็ ต่อการดำรงชีวิต แต่เมื่อใด
กต็ าม ถ้าน้ำท่ีมีอยู่ปะปนด้วยสิง่ ปฏกิ ูล ขยะมูลฝอย แล้วมนุษยแ์ ละสิ่งมชี ีวิตจะนำนำ้ ที่ไหนมาใช้
ในการดำรงชีวิต
คำถาม
1. ขอ้ ใดเปน็ ปญั หาสำคญั ของสถานการณน์ ้ี
1. ปญั หาน้ำท่วม
2. ปัญหานำ้ เนา่ เสยี
3. ปริมาณน้ำฝนน้อย
4. ปัญหานำ้ ทะเลหนุน
2. ขอ้ ใดคือสาเหตุของปัญหาในสถานการณ์น้ี
1. การตัดไม้ทำลายปา่
2. การไม่รักษาแหล่งน้ำ
3. จำนวนประชากรมากข้ึน
4. ไมท่ ้งิ ขยะลงแหล่งนำ้
3. ขอ้ ใดคือการแก้ปัญหาจากสถานการณน์ ี้
1. สรา้ งเขื่อน
2. บำบัดนำ้ เสยี
3. ปลูกปา่ ทดแทน
4. ไม่ทงิ้ ขยะลงแหลง่ น้ำ
คมู่ อื การสรา้ งเครื่องมอื ประเมินสมรรถนะผเู้ รียนระดับการศึกษาขัน้ พนื้ ฐาน 79
4. ขอ้ ใดไมใ่ ช่ผลท่ีเกิดจากการแก้ปญั หาในสถานการณน์ ี้
1. สัตวน์ ำ้ ไมส่ ูญพันธ์ุ
2. ปราศจากลกู น้ำยงุ ลาย
3. แหล่งน้ำมภี มู ิทัศน์สวยงาม
4. แหลง่ น้ำปราศจากส่ิงปฏกิ ูล
1.2 แบบทดสอบเขยี นตอบ (Essay Test) เป็นเครื่องมือท่ีมีคำถามและคำตอบที่ต้อง
เขียนตอบตามความรู้และความเข้าใจของผู้สอบ อาจกำหนดความยาวหรอื ไมม่ ีก็ได้ แบบทดสอบเขียนตอบ
สามารถสะท้อนทักษะหลาย ๆ ดา้ น ของผตู้ อบได้ เชน่ ทักษะการคดิ การใชเ้ หตุผล การอธิบาย การเขยี น
การเรียบเรียงความคดิ การวิพากษว์ ิจารณ์ การแสดงเหตผุ ล เห็นด้วย/ไม่เห็นด้วย สามารถบรู ณาการเนื้อหา
สาระจากองค์ความรู้ จากประสบการณ์หรือจากทฤษฎี พร้อมยกตัวอย่างประกอบคำอธิบาย เพอื่ ให้ผูอ้ า่ น
เห็นภาพไดช้ ัดเจน
ข้อควรคำนงึ ในการสร้างแบบทดสอบเขียนตอบ
1. เขียนคำช้ีแจงเกี่ยวกับวิธกี ารตอบให้ชัดเจน ระบจุ ำนวนข้อคำถาม เวลาท่ีใช้สอบ และคะแนน
เตม็ ของแตล่ ะข้อ เพื่อใหผ้ ูต้ อบสามารถวางแผนการตอบได้ถูกต้อง
2. ข้อคำถามต้องพิจารณาใหเ้ หมาะสมกับพื้นความรขู้ องผู้ตอบ
3. ควรถามเฉพาะเร่ืองทส่ี ำคัญและเป็นเร่ืองทแ่ี บบทดสอบเลือกตอบวัดได้ไม่ดเี ทา่ เนื่องจาก
ไม่สามารถถามได้ทกุ เนื้อหาท่ีเรียน ควรถามเกย่ี วกับการนำไปใช้ การวิเคราะห์ การสังเคราะห์ ความคดิ
สร้างสรรค์ การแสดงความคดิ เหน็ การวพิ ากษ์วิจารณ์ เปน็ ต้น
4. กำหนดขอบเขตของคำถาม เพ่ือให้ผตู้ อบทราบถึงจดุ มุ่งหมายในการวดั สามารถตอบได้
ตรงประเดน็
5. การกำหนดเวลาในการสอบ จะตอ้ งสอดคล้องกับความยาวและลกั ษณะคำตอบท่ีต้องการ
ระดับความยากงา่ ยและจำนวนขอ้ สอบ
6. ไม่ควรใหผ้ สู้ อบเลือกทำข้อสอบเปน็ บางข้อ เพราะอาจมีการไดเ้ ปรยี บเสียเปรียบกัน เน่ืองจาก
แตล่ ะข้อคำถามจะมีความยากง่ายไม่เทา่ กัน และวดั เนื้อหาแตกต่างกัน รวมท้งั ไมย่ ุติธรรมกับผู้ท่สี ามารถ
ตอบได้ทกุ ขอ้ ซ่งึ มีโอกาสได้คะแนนเท่ากับผทู้ ี่ตอบได้เพียงบางขอ้
7. หลีกเลย่ี งคำถามที่วัดความร้คู วามจำ หรอื ถามเร่ืองทผี่ ู้เรียนเคยทำ หรือเคยอภปิ รายมากอ่ น
หรอื ถามเรื่องที่มีคำตอบในหนังสอื เพราะจะเปน็ การวดั ความจำ ควรถามในเรอ่ื งทีผ่ ู้เรยี นตอ้ งนำความรู้
ไปใช้ในสถานการณใ์ หม่
8. พยายามเขียนคำถามใหม้ จี ำนวนมากข้อ โดยจำกัดใหต้ อบสั้น ๆ เพอ่ื ให้วดั ไดค้ รอบคลุม
เนื้อหาทำให้แบบทดสอบมีความเชือ่ ม่นั สงู
9. ควรเตรยี มแนวทางคำตอบและกำหนดเกณฑ์การให้คะแนนตามขนั้ ตอนและน้ำหนกั
ทต่ี ้องการ
10. ถ้าแบบทดสอบมหี ลายข้อ ควรเรยี งลำดบั จากข้องา่ ยไปหายาก
คูม่ ือการสรา้ งเครื่องมือประเมินสมรรถนะผ้เู รียนระดับการศึกษาข้นั พ้นื ฐาน 80
ตัวอยา่ งแบบทดสอบเขียนตอบ
สมรรถนะ : ความสามารถในการแกป้ ญั หา
ตวั ชว้ี ดั ที่ 1 ใชก้ ระบวนการแก้ปญั หาโดยวเิ คราะหป์ ัญหา วางแผนในการแก้ปัญหา ดำเนินการแก้ปัญหา
ตรวจสอบและสรุปผล
สถานการณ์
จากเหตุการณส์ ะพานแขวนข้ามแม่นำ้ ปา่ สักถล่มลงมา ก่อให้เกิดความเสยี หายทั้งชีวติ
และทรัพย์สิน มีสัญญาณเตือนก่อนสะพานถลม่ หลายวัน ชาวบ้านได้นำความไปแจง้ กบั ทางราชการ
แต่ไม่ไดร้ บั ความสนใจ จึงทำใหเ้ กิดเหตุการณด์ งั กลา่ ว
คำถาม
1. จากสถานการณป์ ญั หาของเรื่องน้ี คืออะไร
ตอบ ............................................................................................................................. ............................
2. สาเหตขุ องปัญหาในสถานการณ์น้ี คืออะไร
ตอบ ............................................................................................................................. ............................
3. จากเหตุการณน์ ้ี โปรดระบุแนวทางการแก้ปญั หา 3 แนวทาง
ตอบ ............................................................................................................................. ............................
1.3 แบบทดสอบภาคปฏิบตั ิ (Performance Assessment) เป็นเครื่องมือประเมิน
ผ้เู รียนผา่ นการประเมนิ คณุ ภาพของผลงานทีใ่ ห้ผู้เรียนลงมือปฏบิ ตั ิ และประเมนิ กระบวนการปฏิบตั งิ าน
ของผเู้ รียน รวมท้งั ประเมินลักษณะนสิ ัยของผู้เรียนไดท้ ั้งในสภาพตามธรรมชาติหรอื สถานการณท์ ่ีกำหนด
ขนึ้ การประเมนิ ภาคปฏบิ ตั ิจะเปน็ การประเมนิ ทกี่ ระทำไปพรอ้ ม ๆ กับการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้ ซง่ึ ตอ้ งมี
การกำหนดจุดประสงค์ของการประเมินให้ชดั เจนวา่ จะประเมนิ ผลงาน (ช้ินงาน) หรอื ประเมินกระบวนการ
(ภาระงาน) หรือประเมินทั้งสองอย่าง เนอื้ หาสาระของงานทใ่ี ห้ผู้เรยี นปฏิบตั ติ ้องสอดคล้องกับสภาพจริง
(Authentic) มีการกำหนดเง่ือนไขหรอื องค์ประกอบในการวัดทชี่ ดั เจน
การทดสอบภาคปฏิบัติเปน็ การให้ผู้เรียนได้ปฏบิ ัตติ ามสถานการณ์ท่ีกำหนด ซง่ึ สถานการณ์
จะเปน็ สง่ิ เรา้ กระตุ้นให้นักเรียนแสดงพฤตกิ รรมหรือผลงานออกมาสะท้อนพฤตกิ รรมบ่งชีต้ ามที่ผูป้ ระเมิน
ได้กำหนด แล้วทำการประเมินผลงานหรือกระบวนการทำงาน โดยใช้เกณฑ์การใหค้ ะแนน (Scoring
rubric) เพ่ือจำแนกระดับพฤตกิ รรมทีแ่ สดงลกั ษณะหรือความสำเร็จของการปฏิบัตงิ านหรอื ผลงาน
ซ่ึงเกณฑ์การให้คะแนนน้ีจะมีคำอธบิ ายพฤติกรรมหรอื ลักษณะทีส่ ะท้อนถึงทักษะท่ีประเมินในแต่ละระดบั
ผลการประเมนิ กำกบั ไว้ต้งั แต่ระดบั สงู หรอื ดีมากจนถงึ ระดับต่ำหรือต้องปรบั ปรุง
คูม่ ือการสรา้ งเคร่ืองมือประเมินสมรรถนะผเู้ รียนระดับการศึกษาข้นั พนื้ ฐาน 81
ตัวอยา่ งแบบทดสอบภาคปฏบิ ัติ
สมรรถนะผเู้ รียน ความสามารถในการแก้ปญั หา
ตัวช้ีวัดท่ี 1 ใช้กระบวนการแก้ปัญหาโดยวิเคราะห์ปัญหา วางแผนในการแก้ปัญหา ดำเนินการแก้ปัญหา
ตรวจสอบและสรุปผล
สถานการณ์ จ๊ิกซอวจ์ ำนวน 7 ช้นิ ดงั รูป
กำหนดให้นำชิ้นส่วนจิก๊ ซอว์มาตอ่ กนั ลงในตารางต่อไปนี้ โดยให้ตัวเลข 1 อยตู่ ิดกับตวั เลข 2
ตวั เลข 3 อยตู่ ดิ กับ ตัวเลข 4 และตวั เลข 5 อย่ตู ิดกับตัวเลข 6
คมู่ ือการสรา้ งเคร่ืองมือประเมินสมรรถนะผูเ้ รยี นระดบั การศึกษาขน้ั พ้นื ฐาน 82
คำสั่ง
ให้ผู้เรียนวิเคราะห์ปัญหา วางแผนแก้ปัญหา ลงมือดำเนินการแก้ปัญหาตามแผนท่ีกำหนดไว้
และตรวจสอบและสรปุ ผลการดำเนนิ การแก้ปญั หา
เฉลย
คู่มอื การสร้างเคร่ืองมอื ประเมินสมรรถนะผูเ้ รียนระดับการศึกษาขั้นพน้ื ฐาน 83
เกณฑ์การใหค้ ะแนน (Scoring rubric) ความสามารถในการแกป้ ญั หา
ตวั ช้ีวัดที่ 1 ใช้กระบวนการแก้ปญั หาโดยวเิ คราะห์ปัญหา วางแผนในการแกป้ ัญหา ดำเนินการแก้ปัญหา
ตรวจสอบและสรปุ ผล
คำช้ีแจง โปรดทำเคร่อื งหมาย ✓ ในชอ่ งท่ีสอดคล้องกับระดับการปฏิบัติในกระบวนการแกป้ ัญหาของ
นกั เรยี นมากท่ีสุด
พฤตกิ รรมบงช้ี ดเี ย่ียม (3) ระดบั คณุ ภาพ ปรบั ปรุง (0)
ดี (2) พอใช้ (1)
1. วเิ คราะห์ปัญหา
1.1 ระบุปญั หาที่ ❑ ระบุปัญหาตา่ ง ๆ ❑ ระบปุ ญั หาต่าง ๆ ❑ ระบุปญั หาต่าง ๆ ❑ ระบุปญั หาทเ่ี กดิ
เกดิ ข้นึ กับตนเอง ทเ่ี กดิ ขึ้นกบั ตนเอง ที่เกดิ ข้นึ กับตนเอง ทีเ่ กดิ ขึ้นกบั ตนเอง ขนึ้ กับตนเองไมไ่ ด้
ที่ตรงกับสภาพปญั หา ที่ตรงกับสภาพปญั หา ที่ตรงกบั สภาพปญั หา หรือระบปุ ญั หาได้
มากกวา่ 2 ปญั หา 2 ปัญหา 1 ปญั หา แต่ไมต่ รงสภาพปญั หา
1.2 ระบุปญั หา ❑ ระบุปัญหาตา่ ง ๆ ❑ ระบปุ ญั หา ต่าง ๆ ❑ ระบปุ ัญหา ต่าง ๆ ❑ ระบุปญั หาทเี่ กดิ
ทเ่ี กดิ ขึน้ กบั บุคคล ทีเ่ กิดขน้ึ กับบุคคล ท่ีเกิดขนึ้ กบั บุคคล ท่ีเกิดข้ึน กับบคุ คล ขึน้ กบั บคุ คล ใกล้ตัว
ใกล้ตัว ใกล้ตวั ท่ตี รงกับ ใกลต้ ัวท่ีตรงกบั ใกล้ตวั ท่ีตรงกับ ไมไ่ ด้หรือระบปุ ญั หา
สภาพปญั หามากกว่า สภาพปญั หาได้ สภาพปญั หาได้ ไดแ้ ตไ่ มต่ รงสภาพ
2 ปัญหา 2 ปญั หา 1 ปญั หา ปัญหา
1.3 ระบุสาเหตุ ❑ ระบสุ าเหตขุ อง ❑ ระบสุ าเหตขุ อง ❑ ระบุสาเหตุของ ❑ ระบสุ าเหตุของ
ของปญั หา ปญั หาตา่ ง ๆ ท่เี กดิ ข้ึน ปญั หาต่าง ๆ ทีเ่ กดิ ขน้ึ ปญั หาตา่ ง ๆ ทเ่ี กดิ ข้ึน ปัญหาตา่ ง ๆ ทเี่ กดิ ขนึ้
ไดส้ อดคล้องกบั ปัญหา ได้สอดคล้องกบั ได้สอดคล้องกับ ไม่ไดห้ รือระบสุ าเหตุ
มากกว่า 2 สาเหตุ ปญั หา 2 สาเหตุ ปญั หา 1 สาเหตุ ได้ แตไ่ มส่ อดคลอ้ งกับ
ปัญหา
1.4 จัดระบบข้อมลู ❑ จำแนกและจดั ❑ จำแนกและจดั ❑ จำแนกและจดั ❑ จำแนกและจดั
1.4.1. การจำแนก หมวดหมู่ สาเหตขุ อง หมวดหมู่ สาเหตุของ หมวดหมู่ สาเหตขุ อง หมวดหมู่ สาเหตุของ
ปัญหาได้ถูกตอ้ ง ปญั หาได้ถกู ต้อง ปญั หาไดถ้ กู ต้อง ปัญหาไมไ่ ด้หรอื
ทุกสาเหตุ 2 ใน 3 สาเหตุ 1 ใน 3 สาเหตุ ไม่มกี ารจดั หมวดหมู่
1.4.2. การจัดลำดบั ❑ มีการจัดลำดบั ❑ มกี ารจดั ลำดับ ❑ มีการจดั ลำดับ ❑ ไมม่ ีการจัดลำดบั
ความสำคญั สาเหตุ ความสำคญั สาเหตุ ความสำคญั สาเหตุ ความสำคญั สาเหตุ
ของปญั หาได้ ของปัญหาได้ ของปัญหาได้ ของปัญหาหรอื จดั ได้
อย่างสมเหตุสมผล อย่างสมเหตุสมผล อยา่ งสมเหตุสมผล ไม่สมเหตสุ มผล
ทุกสาเหตุ 2 ใน 3 สาเหตุ 1 ใน 3 สาเหตุ
1.4.3. เช่ือมโยง ❑ แสดงการเชือ่ มโยง ❑ แสดงการเชื่อมโยง ❑ แสดงการ ❑ ไม่มีการแสดง
ความสมั พนั ธร์ ะหว่าง ความสัมพนั ธร์ ะหวา่ ง เชอ่ื มโยงความสัมพันธ์ การเชอื่ มโยง
สาเหตขุ อง ปัญหา สาเหตขุ อง ปญั หา ระหวา่ งสาเหตุ ความสัมพันธร์ ะหว่าง
และผลทจ่ี ะเกิดข้ึนได้ และผลท่ีจะเกิดข้ึนได้ ของ ปัญหาและผล สาเหตุของปญั หา
โดยมีข้อมลู สนบั สนนุ โดยมขี อ้ มลู สนบั สนนุ ท่จี ะเกดิ ขึน้ ได้ โดยมี และผลท่ีจะเกดิ ข้นึ
อยา่ งสมเหตุสมผล อย่างสมเหตสุ มผล ขอ้ มลู สนับสนุน
ทุกสาเหตุ 2 ใน 3 สาเหตุ อย่างสมเหตุสมผล
1 ใน 3 สาเหตุ
คูม่ อื การสรา้ งเครื่องมือประเมินสมรรถนะผู้เรียนระดบั การศึกษาขั้นพ้ืนฐาน 84
พฤติกรรมบงช้ี ระดับคุณภาพ
1.5 กำหนด ดเี ยี่ยม (3) ดี (2) พอใช้ (1) ปรบั ปรุง (0)
ทางเลอื ก
❑กำหนดทางเลอื ก ❑กำหนดทางเลือก ❑กำหนดทางเลอื ก ❑ กำหนดทางเลือก
1.6 การตัดสินใจ ในการแกป้ ญั หาไม่ได้
เลือกวธิ ีการ ในการแก้ปญั หาท่มี ี ในการแกป้ ัญหาทีม่ ี ในการแกป้ ญั หาท่ีมี หรือไมม่ ีความเป็นไปได้
ความเปน็ ไปไดม้ ากกวา่ ความเปน็ ไปได้ 2 วธิ ี ความเป็นไปได้ 1 วิธี ❑ ตัดสนิ ใจเลือก
วธิ กี ารแกป้ ญั หา
2 วธิ ี โดยไมพ่ ิจารณาข้อดี
และขอ้ จำกดั ทำให้
❑ ตดั สินใจเลือก ❑ ตดั สนิ ใจเลอื ก ❑ ตัดสนิ ใจเลอื ก เกิดผลกระทบ
ในทางลบแก่ตนเอง
วธิ ีการแกป้ ัญหา วธิ กี ารแกป้ ญั หา วธิ ีการแกป้ ญั หา และผู้อน่ื มากกว่า
2 ประเด็น
โดยพิจารณาข้อดี โดยพิจารณาข้อดี โดยพจิ ารณาขอ้ ดี ❑ ไมม่ กี ารวางแผน
ในการแก้ปัญหา
และข้อจำกัด และขอ้ จำกัดและมี และขอ้ จำกดั และมี
❑ ไมม่ ีการปฏบิ ตั ิ
ซ่งึ ไมเ่ กดิ ผลกระทบ ผลกระทบในทางลบ ผลกระทบในทางลบ ตามแผนการแก้ปัญหา
ที่วางไว้
ในทางลบแก่ตนเอง แก่ตนเอง และผอู้ น่ื แกต่ นเองและผู้อื่น
❑ แผนไมม่ ี
และผู้อื่น ไม่เกนิ 1 ประเด็น 2 ประเดน็ การตรวจสอบทบทวน
2. การวางแผน ❑ มีการวางแผน ❑ มกี ารวางแผน ❑ มีการวางแผน ❑ ไมม่ กี ารบนั ทึกผล
ในการแกป้ ญั หา ในการแกป้ ัญหา โดยใช้ ในการแก้ปัญหาโดยใช้ ในการแกป้ ัญหา การปฏบิ ตั งิ าน
ขอ้ มลู และรายละเอียด ขอ้ มูลและรายละเอียด โดยใช้ขอ้ มูล ❑ ไม่มีการสรปุ
และรายงานผล
ประกอบการวางแผน ประกอบการวางแผน และรายละเอยี ด
มขี ัน้ ตอนของแผนงาน และมีขัน้ ตอน ประกอบการวางแผน
อยา่ งชดั เจนและมี ของแผนงาน
ข้อมลู เพยี งพอ
3. การดำเนนิ การในแก้ปญั หา
3.1 การปฏิบตั ิ ❑ ปฏบิ ัตติ ามแผน ❑ ปฏิบัติตามแผน ❑ ปฏิบัตติ ามแผน
ตามแผน การแกป้ ัญหา การแก้ปญั หา การแก้ปัญหา
ทก่ี ำหนดไวท้ กุ ขน้ั ตอน ทกี่ ำหนดไว้ 2 ใน 3 ทกี่ ำหนดไว้ 1 ใน 3
มขี ้อมูลสนบั สนนุ ของขน้ั ตอนและมี ของขนั้ ตอนและมี
ครบถ้วนสมบรู ณ์ ข้อมูลสนบั สนุน ข้อมูลสนบั สนนุ
สมบรู ณ์ สมบรู ณ์
3.2 การตรวจสอบ ❑ มกี ารตรวจสอบ ❑ มกี ารตรวจสอบ ❑ มีการตรวจสอบ
ทบทวนแผน ทบทวนแผน และมี ทบทวนแผน และมี ทบทวน
การปรับปรุงแกไ้ ข การแก้ไขข้อบกพร่อง
ขอ้ บกพรอ่ งครบถว้ น แตไ่ มส่ มบรู ณ์
สมบรู ณ์
3.3 การบนั ทึกผล ❑ บนั ทกึ ผล ❑ บันทกึ ผล ❑ มกี ารบันทึกผล
การปฏิบัติ การปฏบิ ัติงาน การปฏบิ ัติงาน การปฏิบัติงานไมค่ รบ
ทุกข้นั ตอน ทกุ ขัน้ ตอน แต่ไมค่ ่อย ทกุ ขั้นตอน
และมีความชัดเจน ชัดเจน
4. สรุปผล ❑ มีการสรปุ ผล ❑ มีการสรุปผล ❑ มีการสรุปผล
และรายงาน และจัดทำรายงาน และจดั ทำรายงาน การดำเนนิ งาน
อย่างถกู ต้อง สมบรู ณ์ แต่ไมไ่ ด้จดั ทำรายงาน
ชดั เจน
คู่มือการสรา้ งเคร่ืองมือประเมินสมรรถนะผู้เรียนระดับการศึกษาข้ันพนื้ ฐาน 85
2. การสงั เกต (Observation)
การสังเกต เป็นวิธีการที่ใชใ้ นการเกบ็ ข้อมูลพฤติกรรมของผู้เรยี น โดยครูจะเป็นผสู้ งั เกต
พฤติกรรมแล้วบนั ทึกผลลงในแบบบนั ทึกการสงั เกต มักใชว้ ัดเจตคติ คา่ นิยม คุณลกั ษณะ คุณธรรม
จริยธรรม การสังเกตมี 2 ประเภท คอื
2.1 การสงั เกตท่ีมีโครงสรา้ ง (Structured Observation) เปน็ การสังเกตท่ีมีการกำหนด
ประเด็นไวล้ ่วงหน้า ตามวธิ ีการสรา้ ง มีการตรวจสอบคุณภาพก่อนนำไปใช้ เครื่องมือท่ีนิยมใช้
ประกอบการสงั เกตมี 2 แบบ คือ แบบตรวจสอบรายการ และมาตรประมาณคา่ ซึง่ จะกล่าวถึงในสว่ นท้าย
2.2 การสงั เกตท่ไี ม่มโี ครงสรา้ ง (Unstructured Observation) เปน็ การสังเกตที่มเี ฉพาะ
หวั ข้อในการสงั เกต ไม่มรี ายละเอียด ผูส้ งั เกตตอ้ งมีความละเอียดในการสงั เกต การแปลความหมาย
พฤติกรรมท่ีแสดงออกและจดบนั ทกึ ข้อมลู โดยบนั ทกึ รายละเอยี ดพฤติกรรมทีส่ ังเกตไดเ้ ทา่ นัน้ จะไมบ่ นั ทึก
ความรู้สกึ หรอื ความคิดเห็นของผูส้ ังเกตลงไป ดังน้ัน เพ่ือให้ผสู้ ังเกตทราบขอบเขตของพฤตกิ รรม ผสู้ ังเกต
ควรต้องทำบัญชีพฤติกรรมทีเ่ ปน็ การรวบรวมพฤติกรรมทส่ี ะท้อนถงึ สมรรถนะทีต่ ้องการประเมนิ เพ่ือนำมา
สรปุ ผลและตดั สนิ ผลตามเกณฑก์ ารตัดสินต่อไป
คู่มือการสร้างเคร่ืองมอื ประเมินสมรรถนะผู้เรยี นระดบั การศึกษาข้ันพื้นฐาน 86
ตัวอยา่ งเครือ่ งมือที่ใชป้ ระกอบการสงั เกตแบบมีโครงสร้าง
สมรรถนะผ้เู รยี น : ความสามารถในการแกป้ ัญหา
ตวั ชว้ี ดั ที่ 1 ใช้กระบวนการแกป้ ญั หาโดยวเิ คราะหป์ ญั หา วางแผนในการแก้ปญั หา ดำเนนิ การแกป้ ัญหา
ตรวจสอบและสรุปผล
คำชแ้ี จง ใหน้ ักเรียนลงมือแกป้ ญั หาตามที่กำหนดแลว้ ครูสังเกตว่านกั เรียนปฏิบตั ไิ ด้ตามพฤติกรรม
ท่กี ำหนดในแบบสังเกตหรือไม่
ชือ่ ผถู้ กู สงั เกต................................................................................ชนั้ .............................เลขท.่ี ......................
ชื่อผู้สังเกต................................................................................................................ ......................................
วนั เดือน ปีท่ีสงั เกต.......................................................................................เวลาท่ีสงั เกต.............................
สถานทีส่ งั เกต.................................................................................................................................................
ข้อท่ี รายการประเมนิ ระดับการปฏิบัติ
ได้ ไม่ได้
1 ระบุสาเหตุปญั หาที่เกิดขึ้นกับตนเอง
2 จัดลำดับความสำคัญสาเหตุของปัญหา
3 ใชข้ ้อมูลและรายละเอยี ดประกอบการวางแผนแกป้ ัญหาอย่างหลากหลาย
4 ปฏบิ ัติตามแผนการแก้ปญั หาที่กำหนดไว้
5 สรุปผลการแกป้ ญั หาอยา่ งครบถ้วน สมเหตุสมผล
6 มีผลการแก้ปัญหา หรือชนิ้ งานทีเ่ กิดจากการแก้ปัญหา
รวมคะแนน
คู่มือการสรา้ งเครื่องมอื ประเมินสมรรถนะผเู้ รยี นระดบั การศึกษาขนั้ พ้นื ฐาน 87
ตวั อย่างมาตรประมาณคา่ ทใี่ ช้ประกอบการสังเกต
สมรรถนะผเู้ รียน : ความสามารถในการแกป้ ญั หา
ตวั ช้ีวดั ท่ี 1 ใชก้ ระบวนการแกป้ ญั หาโดยวิเคราะหป์ ญั หา วางแผนในการแก้ปัญหา ดำเนินการแก้ปัญหา
ตรวจสอบและสรปุ ผล
มาตรประมาณคา่ ประเมนิ สมรรถนะความสามารถในการแก้ปัญหา
คำชี้แจง ใหส้ ังเกตพฤตกิ รรมของนักเรียนแล้วขีดเครื่องหมาย ในช่องว่างระดบั ของพฤตกิ รรม
มี 5 ระดบั คือ
ปฏบิ ัติทกุ คร้ัง หมายถงึ แสดงพฤติกรรมเช่นน้นั ทุกครั้ง
ปฏบิ ัตเิ ป็นประจำ หมายถงึ แสดงพฤติกรรมเชน่ นนั้ เสมอ
ปฏิบัตบิ ่อยคร้ัง หมายถงึ แสดงพฤติกรรมเช่นนน้ั บ่อยมาก
ปฏิบัติเป็นบางครงั้ หมายถงึ แสดงพฤตกิ รรมเช่นนน้ั แต่ไม่บอ่ ย
ไมป่ ฏิบตั เิ ลย หมายถึง ไม่แสดงพฤติกรรมอยา่ งน้ันเลย
ชื่อผู้ถกู สงั เกต................................................................................ชน้ั .............................เลขท.ี่ ......................
ชอื่ ผู้สังเกต................................................................................................................ ......................................
วนั เดือน ปีท่สี ังเกต.......................................................................................เวลาทสี่ งั เกต.............................
สถานที่สงั เกต.................................................................................................................................................
ระดบั คณุ ภาพการปฏิบตั ิ
ขอ้ รายการประเมิน ปฏิ ับติ ุทกค ้ัรง
ที่ ปฏิบัติเ ็ปนประจำ
ปฏิ ับ ิตบ่อยค ้รัง
ปฏิบั ิตเป็นบางค ัร้ง
ไม่ป ิฏบั ิตเลย
1 ค้นหาสาเหตเุ พื่อหาแนวทางในการแกป้ ัญหา
2 เชอ่ื มโยงความสัมพันธ์ระหวา่ งสาเหตุของปญั หาและผลท่จี ะ
เกดิ ข้นึ อยา่ งเปน็ ระบบ
3 หาทางเลอื กที่หลากหลาย เพื่อการตัดสนิ ใจแกป้ ัญหา
4 ปฏบิ ตั ติ ามแผนการแกป้ ญั หาทีว่ างไว้
5 สรุปและรายงานผลการแก้ปัญหาได้อยา่ งสมเหตสุ มผล
6 แกป้ ัญหาได้สำเรจ็ อย่างสมเหตุสมผลและสอดคล้องกับคุณธรรม
เกณฑ์การให้คะแนน
ปฏบิ ัตทิ ุกครั้ง = 4 คะแนน
ปฏิบตั เิ ป็นประจำ = 3 คะแนน
ปฏิบตั บิ ่อยครง้ั = 2 คะแนน
ปฏิบัตเิ ปน็ บางครงั้ = 1 คะแนน
ไมป่ ฏิบตั เิ ลย = 0 คะแนน
คมู่ ือการสร้างเครื่องมอื ประเมินสมรรถนะผ้เู รียนระดับการศึกษาข้ันพ้นื ฐาน 88
ตวั อย่างการสงั เกตแบบไม่มโี ครงสรา้ ง
สมรรถนะผเู้ รยี น : ความสามารถในการแกป้ ญั หา
ตวั ชี้วัดที่ 1 ใช้กระบวนการแก้ปญั หาโดยวิเคราะหป์ ัญหา วางแผนในการแก้ปัญหา ดำเนินการแกป้ ัญหา
ตรวจสอบและสรปุ ผล
แบบบนั ทกึ การสงั เกตพฤตกิ รรมเพือ่ ประเมนิ สมรรถนะความสามารถในการแก้ปญั หา
คำช้ีแจง ใหส้ งั เกตพฤติกรรมทแี่ สดงถงึ การหลกี เลย่ี งพฤติกรรมทไ่ี ม่พึงประสงค์ที่สง่ ผลกระทบต่อตนเอง
และผอู้ ่ืนของนักเรียนแลว้ บันทึกลงในแบบบนั ทึก
ช่อื ผ้ถู กู สังเกต................................................................................ชั้น.............................เลขที่.......................
ชอื่ ผู้สังเกต................................................................................................................ ......................................
วัน เดอื น ปีท่สี ังเกต.......................................................................................เวลาที่สังเกต.............................
สถานทสี่ งั เกต.................................................................................................................................................
พฤติกรรมทีส่ งั เกต..........................................................................................................................................
............................................................................................................................. ..........................................
......................................................................................... ..............................................................................
............................................................................................................................. ..........................................
...................................................................................................................................... .................................
................................................................................................. ......................................................................
............................................................................................................................. ..........................................
.............................................................................................................................................. .........................
......................................................................................................... ..............................................................
............................................................................................................................. ..........................................
...................................................................................................................................................... .................
................................................................................................................. ......................................................
............................................................................................................................. ..........................................
.............................................................................................................................................................. .........
......................................................................................................................... ..............................................
............................................................................................................................. ..........................................
...................................................................................................................................................................... .
............................................................................................................................. ..........................................
............................................................................................................................. ..........................................
.......................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. ..........................................
............................................................................................................................. ..........................................
คมู่ อื การสร้างเคร่ืองมอื ประเมินสมรรถนะผเู้ รยี นระดบั การศึกษาข้นั พ้ืนฐาน 89
3. แบบสอบถาม (Questionnaire)
แบบสอบถาม (Questionnaire) เป็นรูปแบบของคำถามเป็นชดุ ๆ ทไ่ี ดถ้ ูกรวบรวมไว้อยา่ งมี
หลกั เกณฑแ์ ละเปน็ ระบบ เพ่ือใช้วัดสิ่งท่ีตอ้ งการจะวัดจากผตู้ อบแบบสอบถาม ให้ไดม้ าซง่ึ ขอ้ เท็จจริง
ทั้งในอดีต ปัจจุบนั และการคาดคะเนเหตุการณ์ในอนาคต แบบสอบถามเป็นเคร่ืองมือชนิดหนึง่ ท่นี ยิ ม
กันมาก เพราะการเก็บรวมรวมขอ้ มลู สะดวก และสามารถใชว้ ดั ไดอ้ ย่างกว้างขวาง การเก็บขอ้ มลู
ด้วยแบบสอบถามสามารถทำได้ดว้ ยการสัมภาษณ์ด้วยตวั เอง หรือใหผ้ ตู้ อบตอบดว้ ยตนเอง
แบบสอบถามประกอบดว้ ยรายการคำถาม เพ่ือรวบรวมข้อมลู เกีย่ วกับความคิดเหน็
หรอื ขอ้ เท็จจริง โดยสง่ ใหผ้ ตู้ อบแบบสอบถามตามความสมัครใจ การใช้แบบสอบถามเป็นเครอื่ งมอื
ในการเกบ็ รวบรวมข้อมูลน้ัน ขอ้ คำถามต้องมคี วามเปน็ ปรนยั เพราะว่าผ้เู ก็บรวบรวมข้อมลู อาจไม่มโี อกาส
ไดพ้ บปะกับผู้ตอบแบบสอบถามเพ่ืออธบิ ายความหมายต่าง ๆ ของข้อคำถามทีต่ ้องการเก็บรวบรวม
ข้อควรระวังในการสร้างคำถามในแบบสอบถาม
1. สอดคล้องกบั นยิ าม ตวั ชวี้ ดั และพฤติกรรมบ่งช้ขี องสมรรถนะทจี่ ะวัดและประเมิน
2. ใช้ภาษาที่เขา้ ใจงา่ ย เหมาะสมกับผู้ตอบ
3. ใชข้ อ้ ความที่สน้ั กะทัดรดั ได้ใจความ
4. แตล่ ะคำถามควรมนี ัยเพียงประเด็นเดียว
5. หลีกเลี่ยงการใชป้ ระโยคปฏิเสธซ้อน
6. ไม่ควรใชค้ ำย่อ
7. หลกี เล่ียงการใชค้ ำทเ่ี ป็นนามธรรมมาก
8. ไมช่ ี้นำการตอบให้เป็นไปแนวทางใดแนวทางหน่ึง
9. หลกี เลีย่ งคำถามท่ีทำใหผ้ ้ตู อบเกิดความลำบากใจในการตอบ
10. คำตอบท่ีมใี หเ้ ลือกต้องชัดเจนและครอบคลุมคำตอบท่ีเป็นไปได้
11. หลีกเล่ียงคำท่สี ่ือความหมายหลายอยา่ ง
12. ไม่ควรเป็นแบบสอบถามท่ีมีจำนวนมากเกนิ ไป ไมค่ วรให้ผู้ตอบใช้เวลาในการตอบแบบสอบถาม
นานเกินไป
13. ขอ้ คำถามควร ถามประเด็นทีเ่ ฉพาะเจาะจงตามเป้าหมายของการวดั และประเมนิ
14. คำถามต้องนา่ สนใจสามารถกระตนุ้ ใหเ้ กดิ ความอยากตอบ