The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

หลักสูตรรายวิชาเพิ่มเติม-การป้องกันการทุจริต

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

หลักสูตรรายวิชาเพิ่มเติม-การป้องกันการทุจริต

หลักสูตรรายวิชาเพิ่มเติม-การป้องกันการทุจริต

-ก-

หลกั สูตรรายวชิ าเพมิ่ เตมิ
“การป้องกันการทุจรติ ”

ชดุ หลักสูตรต้านทจุ รติ ศึกษา
(Anti - Corruption Education)

สานกั งานคณะกรรมการปอ้ งกนั และปราบปรามการทจุ ริตแหง่ ชาติ
รว่ มกับสานักงานคณะกรรมการการศกึ ษาข้นั พน้ื ฐาน
พทุ ธศักราช 2561

หลักสูตรการศกึ ษาขน้ั พ้ืนฐาน รายวิชาเพ่มิ เตมิ “การป้องกันการทจุ รติ ”

พมิ พค์ รั้งแรก พฤศจิกายน ๒๕๖๑
๓๐,๐๐๐ เล่ม
จา� นวนพิมพ์ ส�านักงานคณะกรรมการปอ้ งกันและปราบปรามการทุจริตแหง่ ชาติ
เลขท ี่ 361 ถนนนนทบุร ี ตา� บลทา่ ทราย
ผจู้ ดั พิมพ ์ อาเภอเมอื� งนนทบรุ ี จงั หวดั นนทบุร ี 11000
โทรศัพท ์ 0 2528 4800 - 01 สายด่วน ป.ป.ช. 1205
ธรรมรัตน์ บญุ แพทย ์


แบบปก รูปเล่ม

-ข-

คานา

ยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ระยะที่ 3 (พ.ศ. 2560 – 2564)
ไดก้ าหนดยุทธศาสตร์ที่ 1 สร้างสงั คมทีไ่ มท่ นต่อการทจุ ริต ประกอบดว้ ย กลยุทธว์ ่าดว้ ย เร่ือง ของการปรบั ฐาน
ความคิดทุกช่วงวัย ตั้งแต่ปฐมวัยให้สามารถแยกแยะระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนและผลประโยชน์ส่วนรวม
ส่งเสริมให้มีระบบและกระบวนการกล่อมเกลาทางสังคมเพ่ือต้านทุจริต ประยุกต์หลักปรัชญาของเศรษฐกิจ
พอเพียงเป็นเครื่องมือต้านทุจริต เสริมพลังการมีส่วนร่วมของชุมชน และบูรณาการทุกภาคส่วนเพื่อต่อต้าน
การทุจริต คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (คณะกรรมการ ป.ป.ช.) จึงได้มีคาสั่งแต่งตั้ง
คณะอนุกรรมการจัดทาหลักสูตร หรือชุดการเรียนรู้ และสื่อประกอบการเรียนรู้ ด้านการป้องกันการทุจริตขึ้น
เพ่ือศึกษา วิเคราะห์ และรวบรวมข้อมูล กาหนดแนวทางและขอบเขตในการจัดทาหลักสูตร ยกร่างและจัดทา
เน้ือหาหลักสูตร หรือชุดการเรียนรู้ และสอื่ ประกอบการเรียนรู้ พิจารณาใหค้ วามเห็นเพ่มิ เตมิ กาหนดแผน หรือ
แนวทางการนาหลักสูตรไปใช้ในหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และดาเนินการอ่ืน ๆ ตามท่ีคณะกรรมการ ป.ป.ช.
มอบหมาย

คณะอนุกรรมการจัดทาหลักสูตร หรือชุดการเรียนรู้ และส่ือประกอบการเรียนรู้ ด้านการป้องกัน
การทุจริตได้ร่วมกันสร้างหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา (Anti-Corruption Education) ประกอบด้วย ๕ หลักสูตร
ดังน้ี ๑. หลักสูตรการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน (รายวิชาเพิ่มเติม การป้องกันการทุจริต) ๒. หลักสูตรอุดมศึกษา
(วัยใส ใจสะอาด “Youngster with Good Heart”) ๓. หลักสูตรตามแนวทางรับราชการ กลุ่มทหาร
และตารวจ ๔. หลักสูตรสร้างวิทยากรผู้นาการเปลี่ยนแปลงสู่สังคมท่ีไม่ทนต่อการทุจริต และ ๕. หลักสูตรโค้ช
เพื่อการรู้คิดต้านทุจริต หลักสูตรดังกล่าวได้ผ่านกระบวนการนาไปทดลองใช้ เพื่อปรับปรุงให้มีประสิทธิภาพ
สาหรับการใช้ในกลุ่มเป้าหมายต่อไป นอกจากน้ี คณะอนุกรรมการจัดทาหลักสูตร หรือชุดการเรียนรู้ และ
สื่อประกอบการเรียนรู้ ด้านการป้องกันการทุจริตยังได้คัดเลือกสื่อการเรียนรู้ จากแหล่งต่าง ๆ ทั้งในประเทศ
และต่างประเทศ เพ่อื ประกอบการเรียนการสอนต่อไป

สาหรับหลักสูตรการศึกษาขน้ั พ้ืนฐาน (รายวิชาเพิ่มเตมิ การป้องกนั การทุจริต) สานักงานคณะกรรมการ
ป้องกนั และปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ได้ร่วมกับสานกั งานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน เป็นผู้จัดทา
และคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้นาเสนอต่อคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ โดยคณะรัฐมนตรี เม่ือวันที่
22 พฤษภาคม 2561 ได้มีมติเห็นชอบตามทีค่ ณะกรรมการ ป.ป.ช. เสนอ

คณะกรรมการ ป.ป.ช. หวังเป็นอยา่ งย่ิงว่าหลักสูตรต้านทจุ รติ ศกึ ษา (Anti-Corruption Education)
จะสร้างความรู้ ความเข้าใจและทักษะให้แก่ผู้เรียนหรือผู้ผ่านการอบรมในเร่ือง การคิดแยกแยะระหว่าง
ผลประโยชน์ส่วนตนและผลประโยชน์ส่วนรวม ความละอายและความไม่ทนต่อการทุจริต STRONG : จิตพอเพียง
ต้านทุจริต และพลเมืองกบั ความรับผิดชอบต่อสังคม เพื่อร่วมกันป้องกันหรือต่อต้านการทุจรติ มิให้มีการทุจริต
เกดิ ขนึ้ ในสงั คมไทย ร่วมสรา้ งสงั คมไทยท่ีไมท่ นต่อการทุจริตต่อไป

พลตารวจเอก (วัชรพล ประสารราชกจิ )
ประธานกรรมการ ป.ป.ช.

14 มีนาคม ๒๕๖๑

-ค-

สารบญั หน้า

คานา............................................................................................................................. .................. ข
สารบญั ........................................................................................................................................... 1
หลักการและเหตุผล............................................................................................................ ............ 2
สภาพการณ์ทจุ ริตในประเทศไทย.................................................................................................... 3
จุดมุ่งหมายของรายวชิ า.................................................................................................................. 4
คาอธิบายรายวชิ า........................................................................................................................... 4
ผลการเรียนรู้........................................................................................ .......................................... 5
โครงสร้างรายวชิ า........................................................................................................................... 5
ระดับปฐมวยั ................................................................................................................................... 7
ระดบั ประถมศึกษา………………………………………………………………………………………………...........…. 7
ประถมศกึ ษาปีท่ี 1 ........................................................................................................................ 9
ประถมศกึ ษาปีท่ี 2 ........................................................................................................................
ประถมศึกษาปที ่ี 3 ........................................................................................................................ 11
ประถมศกึ ษาปีท่ี 4 ........................................................................................................................ 13
ประถมศกึ ษาปที ี่ 5 ........................................................................................................................ 15
ประถมศกึ ษาปีที่ 6 ........................................................................................................................ 17
ระดบั มัธยมศึกษาตอนต้น............................................................................................................... 19
มธั ยมศกึ ษาปีที่ 1 .......................................................................................................................... 19
มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 2 .......................................................................................................................... 21
มัธยมศึกษาปีท่ี 3 ........................................................................................................................... 23
ระดบั มัธยมศึกษาตอนปลาย............................................................................................................ 25
มธั ยมศึกษาปีท่ี 4 ........................................................................................................................... 25
มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 5 ........................................................................................................................... 27
มัธยมศกึ ษาปีที่ 6 ........................................................................................................................... 28

-ง-

สารบัญ (ต่อ) หน้า
29
กิจกรรมการเรยี นรู้......................................................................................................................... 29
สื่อการเรียนร้แู ละแหลง่ การเรียนรู้................................................................................................. 29
การประเมินการเรยี นรู้และการประเมนิ ผล.................................................................................... 30
ตารางชวั่ โมงการจัดกจิ กรรมการเรยี น............................................................................................. 31
แนวทางการนาหลักสูตรต้านทจุ ริตศกึ ษาไปใช้ ...............................................................................
ภาคผนวก 35
64
ชุดวชิ าท่ี 1 การคดิ แยกแยะระหว่างผลประโยชน์สว่ นตนและผลประโยชน์สว่ นรวม…........... 83
ชดุ วชิ าที่ 2 ความละอายและความไม่ทนต่อการทจุ ริต.......................................................... 96
ชดุ วิชาท่ี 3 STRONG : จิตพอเพียงต้านทุจรติ ..................................................................... 114
ชดุ วชิ าที่ 4 พลเมอื งกบั ความรับผิดชอบต่อสงั คม................................................................... 115
สื่อการเรียนรู้........................................................................................................................... 118
ส่อื ทีใ่ ช้ประกอบชดุ วชิ าท่ี ๑ การคดิ แยกแยะระหวา่ งผลประโยชน์ส่วนตน 122
และผลประโยชน์ส่วนรวม.......................................................……....................................… 125
ส่ือที่ใชป้ ระกอบชุดวิชาท่ี ๒ ความละอายและความไม่ทนต่อการทจุ ริต……….....................…. 134
สื่อทใ่ี ช้ประกอบชุดวชิ าท่ี ๓ STRONG : จิตพอเพียงตา้ นทจุ ริต………..................................... 137
ส่อื ที่ใช้ประกอบชุดวิชาที่ ๔ พลเมอื งกับความรบั ผดิ ชอบต่อสังคม………….........….............…. 140
คาส่งั แตง่ ตัง้ คณะอนุกรรมการจัดทาหลักสูตรหรอื ชดุ การเรียนรแู้ ละ 142
ส่อื ประกอบการเรยี นรู้ ด้านการปอ้ งกันการทจุ ริต สานักงาน ป.ป.ช. ....................................
รายชอ่ื คณะทางานจดั ทาหลักสตู รหรือชุดการเรียนรู้และสื่อประกอบการเรียนรู้
ด้านการปอ้ งกนั การทจุ ริต กลุ่มการศึกษาขัน้ พ้ืนฐาน……………………………………………………..
รายชอื่ คณะบรรณาธกิ ารกิจหลกั สูตรหรอื ชดุ การเรยี นรแู้ ละส่ือประกอบการเรียนรู้
ด้านการป้องกนั การทุจรติ กลุ่มการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน………………………………………………………
รายชือ่ คณะผู้ประสานงานการจดั ทาหลักสูตรหรอื ชดุ การเรียนรู้และส่ือประกอบการเรยี นรู้
ด้านการปอ้ งกนั การทุจริต กลุ่มการศึกษาข้นั พื้นฐาน สานักงาน ป.ป.ช. …………………………..



รายวิชาเพม่ิ เติม
การปอ้ งกนั การทจุ รติ

1. หลักการและเหตุผล
ยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ระยะที่ 3 (พ.ศ. 2560 – 2564)

ยุทธศาสตร์ท่ี 1 “สร้างสังคมท่ีไม่ทนต่อการทุจริต” ได้มุ่งเน้นให้ความสาคัญในกระบวนการปรับสภาพสังคม
ให้เกิดภาวะท่ี “ไม่ทนต่อการทุจริต” โดยเริ่มต้ังแต่กระบวนการกล่อมเกลาทางสังคมในทุกระดับช่วงวัย ต้ังแต่
ปฐมวัย เพ่ือสร้างวัฒนธรรมต่อต้านการทุจริต และปลกู ฝงั ความพอเพียง มีวินัย ซ่ือสัตย์สุจรติ สามารถแยกแยะ
ได้ระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนและผลประโยชน์ส่วนรวม เป็นการดาเนินการผ่านสถาบันหรือกลุ่มตัวแทน
ที่ทาหน้าท่ีในการกล่อมเกลาสังคมให้มีความเป็นพลเมืองท่ีดี มีจิตสาธารณะ เสียสละเพ่ือส่วนรวมและ
เสริมสร้างให้ทุกภาคส่วนมีพฤติกรรมที่ไม่ยอมรับและต่อต้านการทุจริตในทุกรูปแบบและได้กาหนดกลยุทธ์
4 กลยุทธ์ กล่าวคือ กลยุทธ์ท่ี 1 ปรับฐานความคิดทุกช่วงวัย ต้ังแต่ปฐมวัยให้สามารถแยกแยะระหว่าง
ผลประโยชน์ส่วนตนและผลประโยชน์ส่วนรวม กลยุทธ์ที่ 2 ส่งเสริมให้มีระบบและกระบวนการกล่อมเกลา
ทางสงั คม เพอื่ ต้านทุจรติ กลยทุ ธ์ที่ 3 ประยุกตห์ ลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี งเปน็ เคร่ืองมอื ต้านทจุ รติ และ
กลยุทธ์ท่ี 4 เสริมพลังการมีส่วนร่วมของชมุ ชน และบูรณาการทุกภาคส่วน เพื่อต่อต้านการทุจริต โดยกลยุทธ์ที่ 1
กลยุทธ์ท่ี 2 และกลยุทธ์ที่ 3 ได้กาหนดให้ต้องดาเนินการจัดทาหลักสูตร / บทเรียน / การเรียนการสอน /
การนาเสนอ และรูปแบบการป้องกันการทจุ รติ รวมทงั้ การพัฒนานวตั กรรมและส่ือการเรียนรสู้ าหรบั ทกุ ชว่ งวัย

คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (คณะกรรมการ ป.ป.ช.) ได้มีคาสั่ง
ที่ 646/2560 ลงวันที่ 26 เมษายน 2560 แต่งตั้งคณะอนุกรรมการจัดทาหลักสูตร หรือชุดการเรียนรู้และ
สื่อประกอบการเรียนรู้ ดา้ นการป้องกันการทุจริต ซ่ึงประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิ หรือผู้เช่ียวชาญจากหน่วยงาน
ด้านการศึกษา และหน่วยงานท่ีเก่ียวข้องในการจัดทาหลักสูตรการเรียนการสอน จากทัง้ ภายในและภายนอก
หน่วยงาน รวมทั้งผู้ทรงคุณวุฒิจากองค์กรภาคเอกชน เพ่ือดาเนินการจัดทาหลักสูตรหรือชุดการเรียนรู้และ
ส่ือประกอบการเรียนรู้ ด้านการป้องกันการทุจริต นาไปใช้ในการเรียนการสอนให้กับนักเรียน นักศึกษา
ในทุกระดับชั้นเรียน ท้ังในส่วนของการศึกษาตั้งแต่ระดับปฐมวัย ประถมศึกษา มัธยมศึกษา และอุดมศึกษา
ท้ังภาครัฐและเอกชน รวมทั้งอาชีวศึกษาและการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย นอกจากนี้
ยังรวมถึงสถาบันการศึกษาอ่ืนท่ีเก่ียวข้อง เช่น สถาบันการศึกษาในสังกัดสานักงานตารวจแห่งชาติ
สถาบันการศึกษาทางทหาร เป็นต้น เพ่ือให้ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายท่ีเกี่ยวข้องกับการศึกษาทั้งระบบ รวมท้ัง
บุคลากรภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ รวมทั้งภาคประชาชน เพื่อเป็นการปลูกฝังจิตสานึกในการแยกแยะระหว่าง
ผลประโยชน์ส่วนตนและผลประโยชน์ส่วนรวม จิตพอเพียงต้านทุจริต และสร้างพฤติกรรมท่ีไม่ยอมรับและ
ไม่ทนตอ่ การทจุ ริต

คณะอนุกรรมการจดั ทาหลกั สูตรฯ ในกลุ่มผู้ทรงคุณวุฒิดา้ นการศึกษาจึงได้จัดทาหลักสตู รต้านทุจริตศกึ ษา
รายวชิ าเพ่ิมเติม “การป้องกันการทุจริต” เพื่อปลกู ฝังและสรา้ งวัฒนธรรมต่อตา้ นการทุจริตให้แก่นกั เรียนตั้งแต่
ปฐมวัย จนถึงมัธยมศึกษาปีที่ 6 อย่างต่อเนื่อง เพ่ือให้นักเรียนสามารถแยกแยะระหว่างผลประโยชน์ส่วนตน
และผลประโยชน์ส่วนรวมได้อย่างอตั โนมัติ มีจิตพอเพียงต้านทจุ ริต มีความละอายและความไม่ทนตอ่ การทุจริต
และเป็นพลเมอื งทม่ี ีความรบั ผดิ ชอบต่อสงั คม

หลกั สตู รรายวชิ าเพม่ิ เติม “การป้องกันการทจุ ริต” : 2

-๒-

สภาพการณท์ ุจรติ ในประเทศไทย
ปัญหาการทุจริตเป็นปัญหาใหญ่ที่เกิดข้ึนในประเทศต่างๆ ทั่วโลก รวมท้ังประเทศไทย เป็นปัญหา

ทวีความรุนแรงและซบั ซ้อนมากข้ึนเร่อื ยๆ แม้วา่ ประเทศไทยจะกา้ วเข้าสคู่ วามทันสมยั มีระบบการบริหารราชการ
สมัยใหม่ มีการรณรงค์จากองคก์ รของรฐั หรอื องคก์ รอิสระตา่ งๆ ทเ่ี ห็นพ้องกนั ว่า การทจุ ริตเป็นปญั หาที่นาไปสู่
ความยากจน และเป็นอปุ สรรคท่ีขัดขวางการพัฒนาประเทศอย่างแท้จรงิ การทจุ รติ เป็นปัญหาสาคัญลาดับตน้ ๆ
ท่สี ่งผลกระทบตอ่ การพฒั นาประเทศเปน็ อย่างมาก แตเ่ ป็นปัญหาท่ีเกดิ ข้นึ มาชา้ นานจนฝังรากลึก และพบเกอื บ
ทุกกลุ่มอาชพี ในสงั คมไทย เกย่ี วพนั กบั วิถชี ีวิตของคนไทยมาอย่างยาวนาน

มขี ้อค้นพบว่าการทุจริตของประเทศไทยนั้นมีแนวโน้มเป็นพลวัตร (Dynamic) มีความสลับซับซ้อน
มากย่ิงข้ึน จากเดิมที่เป็นการทจุ ริตทางตรง อาทิ การรับสินบน การทจุ ริตต่อตาแหน่งราชการ การทุจรติ ในการ
จัดซ้ือจัดจ้าง ฯลฯ เกิดการพัฒนาเป็นรูปแบบท่ีมีความซับซ้อน มีการทุจริตเชิงนโยบายมาก การแก้กฎหมาย
เพ่ือเอ้ืออานวยประโยชน์ให้แก่ตนเองและพวกพ้อง การทุจริตโดยใช้อานาจและอิทธิพลในการแทรกแซงกลไก
ทางกฎหมาย หรือกลไกในกระบวนการยุติธรรม การทาลายการตรวจสอบอานาจรัฐ อีกทั้งยังมีการทุจริต
ที่เช่ือมโยงกันในระดับสากล เช่น การทุจริตในนโยบายระหว่างรัฐต่อรัฐผ่านข้อตกลงความร่วมมือต่างๆ หรือ
จะเปน็ การให้สินบนเจา้ หนา้ ท่ีไทยในการทาธุรกจิ ระหว่างประเทศของบริษัทข้ามชาติ

ผลงานวิจัยของ มาตาลักษณ์ ออรุ่งโรจน์ (2554) พบว่า สาเหตุหลักที่ก่อให้เกิดการทุจริตในสังคมไทย
มี 2 ประการ ไดแ้ ก่

1. การใชว้ ฒั นธรรมแบบไทยๆ ในทางทผี่ ดิ
2. ปัญหาเรอ่ื งตัวบคุ คลท่เี ปน็ เจา้ หนา้ ทรี่ ัฐ
กล่าวคือ ระบบอาวุโสและระบบอุปถัมภ์นาไปสู่การเอือ้ ประโยชน์ในทางมิชอบให้แก่ญาติมิตรและ
พวกพอ้ ง รวมไปถึงลดประสิทธิภาพการตรวจสอบความโปร่งใส จนทาใหค้ นในสังคมเห็นวา่ การทุจริตเป็นเร่ืองปกติ
ในสังคม อย่างไรก็ตามประเด็นเร่ืองวัฒนธรรมแบบไทยๆ เป็นเพียงตัวกระตุ้นเสริมให้เกิดโอกาสในการทุจริตเท่าน้ัน
ปัญหาสาคัญท่สี ุดอยู่ท่ีการขาดจิตสานึกความซื่อตรงของบคุ คล ซ่ึงเจ้าหน้าท่ีของรัฐปล่อยให้ความโลภในอานาจ
และทรัพย์สินมาอยู่เหนือความรับผิดชอบและศักดิ์ศรีในการปฏิบัติหน้าท่ีของตนเองจนนาไปสู่การทุจริต
ดว้ ยวิธีการใหม่ๆ ท่ีซับซอ้ นย่งิ ขึ้น
นอกจากสาเหตุหลักในเรื่องวัฒนธรรมและตัวบุคคลแล้ว สาเหตุและปัจจัยสาคัญที่นาไปสู่การทุจริต
มีอีกหลายประการ นับต้ังแต่เรื่องของโอกาสในการทาทุจริตท่ีเกิดจากช่องว่างของกฎหมายและการบังคับใช้
กฎหมายที่ไม่เข้มแข็ง รวมทั้งการขาดกลไกในการตรวจสอบความโปร่งใสที่มีประสิทธิภาพ การผูกขาด
ผลประโยชน์ทางธุรกิจกับการดาเนินงานของภาครัฐ ค่าตอบแทนท่ีไม่เหมาะสมของข้าราชการ การขาด
จริยธรรมคุณธรรมมองแต่ประโยชน์ส่วนตนเป็นที่ตั้งมากกว่าที่จะยึดผลประโยชน์ส่วนรวม และค่านิยมท่ีผิด
ยกยอ่ งคนท่ีมีเงินเห็นวา่ การทจุ ริตเป็นวิถชี ีวติ เป็นเร่ืองปกติธรรมดาไม่เกรงกลัวต่อกฎหมายของบา้ นเมือง
เมื่อเปรยี บเทียบสถานการณ์และการรับรู้การทจุ ริตกบั ประเทศต่างๆ องค์กรเพ่ือความโปรง่ ใสนานาชาติ
(Transparency International : TI) ได้จัดอันดับค่าคะแนนดัชนีการรับรู้การทุจริต (Corruption Perceptions
Index : CPI) โดยในปี 2560 พบว่า ประเทศไทยได้ 37 คะแนน จากคะแนนเต็ม 100 คะแนน อยู่ลาดับที่ 96
จากการจัดอันดับทั้งหมด 180 ประเทศท่ัวโลก หากเทียบกับปี 2559 ประเทศไทยได้คะแนน 35 คะแนน
อยู่ลาดับที่ 101 เท่ากับวา่ ประเทศไทย มีคะแนนความโปร่งใสดีข้ึน แต่ยังแสดงให้เห็นว่าประเทศไทยยังมีการทุจริต
อยู่ในระดบั สูง ซง่ึ สมควรไดร้ ับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน

หลกั สูตรรายวชิ าเพม่ิ เตมิ “การปอ้ งกันการทุจรติ ” : 3

-๓-

แนวทางการแก้ไขปญั หาดังกล่าว สานกั งานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ
(สานักงาน ป.ป.ช.) จึงได้จัดทายุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ระยะท่ี 3
(พ.ศ. 2560 – 2564) โดยกาหนดวิสัยทัศน์ว่า “ประเทศไทยใสสะอาด ไทยท้ังชาติต้านทุจริต” (Zero Tolerance &
Clean Thailand) และกาหนดพันธกิจว่า “สร้างวัฒนธรรมต่อต้านการทุจริต ยกระดับธรรมาภิบาลในการบริหาร
จัดการทุกภาคส่วนแบบบูรณาการและปฏิรูปกระบวนการป้องกันและปราบปรามการทุจริตทั้งระบบ
ให้มีมาตรฐานสากล” พร้อมท้ังกาหนดเป้าประสงคเ์ ชิงยุทธศาสตร์วา่ “ระดับค่าคะแนนดัชนีการรับรกู้ ารทุจริต
(Corruption Perceptions Index : CPI) สูงกว่าร้อยละ 50 ในปี พ.ศ. 2564”

เน่ืองจาก การศึกษาเป็นกลไกสาคัญยิ่งในการปลูกฝังและเสริมสร้างการเรียนรู้ท่ีย่ังยืน คณะอนุกรรมการ
จัดทาหลักสูตร หรือชุดการเรียนรู้และสื่อประกอบการเรียนรู้ ด้านการป้องกันการทุจริต ซึ่งประกอบด้วย
ผทู้ รงคุณวฒุ ิหรือผู้เชี่ยวชาญจากหน่วยงานด้านการศกึ ษา โดยเฉพาะในกลุ่มผูท้ รงคุณวุฒดิ ้านการศึกษาพื้นฐาน
จึงได้ร่วมกันจัดทาหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา รายวิชาเพิม่ เติม “การป้องกันการทุจริต” ประกอบด้วยเนื้อหา
4 หน่วยการเรียนรู้ ได้แก่

1) การคิดแยกแยะระหว่างผลประโยชน์สว่ นตนและผลประโยชน์ส่วนรวม
2) ความละอายและความไมท่ นตอ่ การทจุ ริต
3) STRONG : จิตพอเพียงต้านทุจริต
4) พลเมืองกับความรบั ผดิ ชอบต่อสังคม
ท้งั 4 หน่วยการเรียนรู้น้ี ได้จดั ทาเป็นแผนการจดั การเรียนรู้ต้ังแต่ชน้ั ปฐมวัยจนถึงช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 6
สาหรับให้สถานศึกษาทุกแห่งนาไปใช้ในการจัดการเรียนการสอน เพ่ือปลูกฝังการคิดแยกแยะระหว่าง
ผลประโยชน์ส่วนตนและผลประโยชน์ส่วนรวม มีจิตพอเพียงต้านทุจริต มีความละอายและความเกรงกลัว
ท่จี ะไมท่ ุจริตและไม่ทนต่อการทุจรติ ทุกรูปแบบให้แกน่ ักเรยี นทุกระดับ และเปน็ การสร้างพลเมืองท่ีซื่อสัตย์สุจริต
ให้แก่สงั คมและประเทศชาติ ลดปัญหาการทุจริต และยกระดับค่าคะแนนดัชนีการรับรู้การทจุ รติ (Corruption
Perceptions Index : CPI) ของประเทศไทยให้สูงข้ึน เพ่ือบรรลุตามเป้าประสงค์ของยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วย
การป้องกันและปราบปรามการทจุ รติ ระยะที่ 3 (พ.ศ. 2560 – 2564)

2. จุดมงุ่ หมายของรายวชิ า
เพอื่ ให้นักเรยี น
2.1 มีความรู้ ความเขา้ ใจเก่ียวกบั การแยกแยะระหวา่ งผลประโยชนส์ ว่ นตนและผลประโยชน์สว่ นรวม
2.2 มีความรู้ ความเขา้ ใจเก่ียวกบั ความละอายและความไม่ทนต่อการทจุ รติ
2.3 มีความรู้ ความเขา้ ใจเกี่ยวกบั STRONG : จติ พอเพยี งต้านทุจริต
2.4 มคี วามรู้ ความเข้าใจเกีย่ วกบั พลเมืองกบั ความรับผดิ ชอบต่อสังคม
2.5 สามารถคดิ แยกแยะระหวา่ งผลประโยชนส์ ว่ นตนและผลประโยชน์ส่วนรวมได้
2.6 ปฏบิ ตั ติ นเป็นผู้ละอายและไม่ทนตอ่ การทุจรติ ทกุ รูปแบบ
2.7 ปฏบิ ตั ติ นเป็นผู้ที่ STRONG : จิตพอเพยี งต้านทุจรติ
2.8 ปฏบิ ตั ิตนตามหนา้ ที่พลเมืองและมีความรบั ผิดชอบตอ่ สงั คม
2.9 ตระหนักและเหน็ ความสาคัญของการตอ่ ต้านและป้องกนั การทจุ รติ

หลกั สูตรรายวชิ าเพ่ิมเตมิ “การป้องกนั การทุจริต” : 4

-๔-

3. คาอธบิ ายรายวิชา
ศึกษาเกย่ี วกับการแยกแยะระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนและผลประโยชน์ส่วนรวม ความละอายและ

ความไม่ทนต่อการทุจริต STRONG : จิตพอเพียงต้านทุจริต รู้หน้าท่ีของพลเมืองกับความรับผิดชอบต่อสังคม
ในการตอ่ ตา้ นการทจุ รติ

โดยใช้กระบวนการคิด วิเคราะห์ จาแนก แยกแยะ การฝึกปฏิบัติจริง การทาโครงงานกระบวนการ
เรียนรู้ 5 ขั้นตอน (5 STEPs) การอภิปราย การสืบสอบ การแก้ปัญหา ทักษะการอ่านและการเขียน เพื่อให้มี
ความตระหนกั และเห็นความสาคัญของการต่อต้านและการป้องกันการทจุ รติ

ผลการเรยี นรู้
1. มีความรู้ ความเขา้ ใจเก่ยี วกบั การแยกแยะระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนและผลประโยชน์สว่ นรวม
2. มคี วามรู้ ความเขา้ ใจเกย่ี วกบั ความละอายและความไม่ทนตอ่ การทุจริต
3. มีความรู้ ความเขา้ ใจเกย่ี วกบั STRONG : จติ พอเพียงต้านทจุ รติ
4. มคี วามรู้ ความเขา้ ใจเกย่ี วกบั พลเมอื งกับความรบั ผิดชอบตอ่ สงั คม
5. สามารถคดิ แยกแยะระหวา่ งผลประโยชนส์ ว่ นตนและผลประโยชน์สว่ นรวมได้
6. ปฏบิ ัติตนเปน็ ผูล้ ะอายและความไม่ทนต่อการทจุ รติ ทุกรปู แบบ
7. ปฏิบัตติ นเปน็ ผู้ที่ STRONG : จิตพอเพียงต้านทุจริต
8. ปฏิบัติตนตามหน้าท่ีพลเมอื งและมีความรับผดิ ชอบต่อสงั คม
9. ตระหนกั และเหน็ ความสาคัญของการตอ่ ต้านและป้องกันการทุจรติ
รวมท้ังหมด 9 ผลการเรยี นรู้

หลักสูตรรายวชิ าเพิ่มเตมิ “การปอ้ งกนั การทจุ ริต” : 5

-๕-

4. โครงสร้างรายวิชา
ตารางท่ี 4.1 โครงสร้างรายวิชา หลกั สูตรตา้ นทุจรติ ศกึ ษา ระดับปฐมวยั

ลาดับ หน่วยการเรียนรู้ เร่อื ง จานวน
ชั่วโมง
1 การคดิ แยกแยะระหว่าง 1. ความหมายของใช้สว่ นตนและของใชส้ ว่ นรวม 14
ผลประโยชน์ส่วนตนและ 2. การจาแนกของใชส้ ว่ นตนและของใชส้ ่วนรวม 12
ผลประโยชนส์ ว่ นรวม 3. การปฏบิ ัติตนในการใช้ของใชส้ ว่ นตนและของใช้ส่วนรวม
3.1 ของเลน่
3.2 การรับประทานอาหาร
3.3 การเขา้ แถว
3.4 การเก็บของใชส้ ่วนตน
3.5 การทางานท่ีได้รับมอบหมาย
3.6 การแบง่ ปัน
3.7 การแตง่ กาย
3.8 การแปรงฟนั และการใช้น้าอย่างถูกวิธี
3.9 การใช้หอ้ งนา้ อยา่ งถูกวิธี
4. ความหมายของระบบคิดฐานสอง และระบบคิดฐานสิบ
5. การแยกแยะของระบบคิดฐานสอง และระบบคดิ ฐานสิบ
2 ความละอายและความไมท่ น 1. ความหมายของความละอายและความไม่ทนตอ่ การทุจริต
ตอ่ การทจุ ริต 2. การเกบ็ ของเลน่ ใหเ้ ป็นระเบียบ
3. ความละอายและไม่แยง่ หรือขโมยอาหารเพ่ือน
4. ความละอายและไมแ่ ซงคิวผู้อื่น
5. การใช้ของใชส้ ่วนตนอย่างถกู วธิ ี
6. ความละอายและไมแ่ ย่งหรือขโมยของใชผ้ ู้อ่นื
7. ความรับผิดชอบตอ่ การทางานท่ไี ดร้ บั มอบหมาย
8. การไม่ลอกหรอื ไม่นาผลงานของคนอืน่ มาเปน็ ของตนเอง
9. ความหมายของการแบ่งปัน
10. พฤตกิ รรมการแบง่ ปนั และปฏิบตั ิตนเป็นผู้มีความละอาย
และไม่ทนต่อการทุจริต
11. การแตง่ กายดว้ ยตนเองและการไมน่ าเอาเคร่ืองแต่งกาย
ของผู้อื่นมาเปน็ ของตนเอง
12. ความหมายของกิจวัตรประจาวนั
13. ข้อดแี ละข้อเสียของการปฏิบัตแิ ละไม่ปฏิบตั ิกิจวตั ร
ประจาวนั

หลักสตู รรายวิชาเพิ่มเติม “การป้องกันการทุจริต” : 6

-๖-

ตารางที่ 4.1 (ต่อ) เร่อื ง จานวน
ลาดบั หน่วยการเรียนรู้ 1. Sufficient : ความหมายของความพอเพียง ชว่ั โมง
2. Transparent : ความหมายของความโปรง่ ใส
3 STRONG : จติ พอเพยี ง 3. Realise/Knowledge : ความหมายของความตนื่ รู้และความรู้ 9
ต้านทุจรติ 4. Onward : ความหมายของการมุ่งไปข้างหนา้
5. Generosity : ความหมายของความเอื้ออาทร 5
4 พลเมอื งกบั ความรบั ผิดชอบ 6. ความหมายของการต้านทุจริต 40
ตอ่ สังคม 7. การรบั ประทานอาหารที่สอดคล้องกบั STRONG
8. การชว่ ยเหลอื เพ่อื นที่สอดคล้องกับ STRONG
9. การใช้กระดาษที่สอดคล้องกับ STRONG
1. ความรับผิดชอบตอ่ ตนเอง (การแปรงฟัน, การแตง่ กาย,
การรับประทานอาหาร)
2. ความรับผดิ ชอบต่อสังคม (การเก็บขยะ, ทาความสะอาด
ในหอ้ งเรยี น)

รวม

หมายเหตุ 1. การจดั ประสบการณ์แต่ละกิจกรรมจะใช้เวลาประมาณ 20 นาที
2. จานวนเวลาทก่ี าหนดไว้ในแต่ละหน่วยการเรยี นรู้ สถานศึกษาสามารถปรับได้
ตามความเหมาะสม แต่ต้องมเี วลาเรียนทั้ง 4 หน่วยการเรียนรู้ รวม 40 ชั่วโมง

หลกั สตู รรายวิชาเพิ่มเติม “การปอ้ งกนั การทุจริต” : 7

-๗-

ตารางที่ 4.2 โครงสร้างรายวชิ า หลักสตู รต้านทุจรติ ศกึ ษา ประถมศกึ ษาปีที่ 1

ลาดบั หนว่ ยการเรียนรู้ เรือ่ ง จานวน
ช่วั โมง
1 การคดิ แยกแยะระหวา่ ง 1. ของใช้ส่วนตนและของใช้สว่ นรวม (ภายในบ้าน, ภายในห้องเรียน) 16
ผลประโยชน์สว่ นตนและ 1.1 ความหมายของใช้ส่วนตนและของใช้ส่วนรวม
ผลประโยชนส์ ่วนรวม 1.2 การจาแนกของใช้ส่วนตนและของใชส้ ว่ นรวม
2. สถานทสี่ ว่ นตนและสถานทสี่ ่วนรวม (ภายในบ้าน, ภายใน
หอ้ งเรียน)
2.1 ความหมายของสถานท่สี ่วนตนและสถานที่ส่วนรวม
2.2 การจาแนกสถานที่สว่ นตนและสถานทสี่ ่วนรวม
3. ผลประโยชน์สว่ นตนและผลประโยชนส์ ว่ นรวม (ภายในบ้าน,
ภายในห้องเรยี น)
3.1 ความหมายของผลประโยชนส์ ว่ นตนและผลประโยชนส์ ว่ นรวม
3.2 การจาแนกของผลประโยชนส์ ว่ นตนและผลประโยชนส์ ว่ นรวม
4. ความหมายของระบบคิดฐานสองและพฤติกรรมแบบระบบ
คดิ ฐานสอง
5. สถานการณ์ใกล้ตัวภายในบ้านและห้องเรียนท่ีส่ือถึงระบบ
คิดฐานสอง
6. ยกตวั อยา่ งพฤติกรรมแบบระบบคิดฐานสอง
7. แยกแยะพฤติกรรมทแี่ สดงออกแบบระบบคิดฐานสอง
8. การประยุกต์ใชร้ ะบบคิดฐานสองในชีวติ ประจาวัน (ภายในบ้าน
และครอบครัว)
9. ความหมายของระบบคิดฐานสบิ และพฤตกิ รรมของระบบ
คดิ ฐานสบิ (ครอบครวั , ห้องเรียน)
10. สถานการณใ์ กลต้ ัวภายในบา้ นและครอบครัวที่สื่อถงึ ระบบ
คิดฐานสบิ
11. ยกตวั อย่างพฤตกิ รรมแบบระบบคดิ ฐานสิบ
12. แยกแยะพฤตกิ รรมท่แี สดงออกแบบระบบคดิ ฐานสิบ
2 ความละอายและความไมท่ น 1. ความหมายความละอายและความไม่ทนต่อการทจุ ริต ๖
ต่อการทุจริต 2. กิจกรรมภายในห้องเรยี น
2.1 การเข้าแถว
2.2 การทาเวร
2.3 การเลือกหัวหน้าห้อง
3. กจิ กรรมทส่ี ง่ ผลใหเ้ กดิ ความละอายและความไม่ทนต่อการทุจรติ
ผลดี / ผลเสยี
4. แนวทางการปฏบิ ตั ติ นเปน็ ผู้มคี วามละอายและความไมท่ น
ต่อการทจุ รติ

หลักสูตรรายวิชาเพมิ่ เติม “การปอ้ งกันการทุจริต” : 8

-๘-

ตารางท่ี 4.2 (ตอ่ )

ลาดบั หนว่ ยการเรียนรู้ เร่อื ง จานวน
ช่วั โมง
3 STRONG : จติ พอเพียง 1. ความหมายของ STRONG : จิตพอเพียงต้านทุจริต ๘
ต้านทุจริต 2. กิจกรรมในห้องเรียนทย่ี ึดหลัก STRONG : จติ พอเพียงต้านทุจริต
2.1 การเลือกต้งั หัวหน้าห้อง
2.2 การทาความสะอาดห้องเรยี น
2.3 การวางรองเทา้
2.4 การประดษิ ฐ์สิง่ ของจากเศษวัสดุ
4 พลเมอื งกับความรบั ผิดชอบ 1. ความหมายของความรบั ผิดชอบ 10
ตอ่ สงั คม 2. ยกตัวอย่างความรบั ผิดชอบตอ่ ตนเองและผู้อืน่
3. ความรบั ผิดชอบที่เก่ยี วกับชีวิตประจาวัน
3.1 ภายในบา้ น
- การทาความสะอาดบ้าน
- การล้างจาน
- การพับผา้
3.2 ภายในหอ้ งเรยี น
- การวางรองเทา้
- การทาความสะอาดห้องเรยี น
- การใชข้ องสว่ นรวมในหอ้ งเรยี น
4. ความเปน็ พลเมือง
4.1 การอย่รู ว่ มกนั ในห้องเรยี น
4.2 ขอ้ ตกลงในห้องเรียน
รวม 40

หมายเหตุ จานวนช่ัวโมงที่กาหนดไว้ในแต่ละหนว่ ยการเรียนรู้ สถานศึกษาสามารถปรับได้ตามความเหมาะสม
แต่ตอ้ งมเี วลาเรยี นทั้ง 4 หน่วยการเรยี นรู้ รวม 40 ช่วั โมง

หลกั สูตรรายวชิ าเพมิ่ เติม “การปอ้ งกนั การทจุ รติ ” : 9

-๙-

ตารางท่ี 4.3 โครงสร้างรายวิชา หลกั สูตรต้านทจุ ริตศึกษา ประถมศึกษาปีที่ 2

ลาดบั หน่วยการเรียนรู้ เรอื่ ง จานวน
ช่วั โมง
1 การคดิ แยกแยะระหวา่ ง 1. การคดิ แยกแยะระหวา่ งผลประโยชนส์ ว่ นตนและผลประโยชน์ 16
ผลประโยชน์สว่ นตนและ ส่วนรวม
ผลประโยชน์สว่ นรวม 1.1 การคดิ แยกแยะของใช้สว่ นตนภายในโรงเรยี นและของใช้
สว่ นรวมภายในโรงเรียน
1.2 การใชส้ ถานทีส่ ว่ นรวมในโรงเรียนเพื่อประโยชนส์ ว่ นตน
และเพื่อประโยชนส์ ่วนรวม
2. การเปรยี บเทียบผลประโยชน์สว่ นตนและผลประโยชนส์ ว่ นรวม
ในโรงเรยี น
3. ระบบคดิ ฐานสอง
3.1 พฤตกิ รรมระบบคิดฐานสองในระดับโรงเรยี น
3.2 การประยุกต์ใชร้ ะบบคดิ ฐานสองในระดบั โรงเรยี น
4. พฤตกิ รรมระบบคดิ ฐานสิบในระดับโรงเรียน
5. ผลของพฤติกรรมระบบคิดฐานสบิ ทส่ี ่งผลในระดบั โรงเรียน
2 ความละอายและความไมท่ น 1. ความละอายและความไม่ทนต่อการทุจริต เกยี่ วกับ 6
ตอ่ การทจุ รติ 1.1 การทาการบ้าน
1.2 การทาเวร
1.3 การสอบ
1.4 กจิ กรรมนกั เรียน (การปฏบิ ตั ิหน้าท่ีในโรงเรียน)
2. กจิ กรรมท่ีปฏิบตั ใิ นโรงเรียนและสง่ ผลใหเ้ กิดความละอายและ
ความไม่ทนต่อการทจุ ริต
3. ผลดขี องการปฏิบตั ิตนเป็นผู้ละอายและความไมท่ นต่อการทุจริต
4. ผลเสียของการปฏิบัตติ นไม่เป็นผ้ลู ะอายและความไมท่ นตอ่
การทุจริต
5. แนวทางการปฏิบตั ิตนเป็นผู้มคี วามละอายและความไม่ทนตอ่
การทจุ ริต (ระดับโรงเรยี น)
3 STRONG : จิตพอเพยี ง 1. การใช้นา้ 8
ต้านทุจรติ 2. การใช้ไฟฟ้า
3. ขยะ
4. การเลือกตัง้ ประธานนกั เรียน
5. การรับประทานอาหาร

หลักสตู รรายวชิ าเพ่มิ เติม “การปอ้ งกนั การทจุ รติ ” : 10

- ๑๐ -

ตารางที่ 4.3 (ตอ่ )

ลาดับ หน่วยการเรียนรู้ เร่อื ง จานวน
ชวั่ โมง
4 พลเมืองกับ 1. ความหมายของสิทธแิ ละหน้าท่ขี องพลเมือง 10
ความรับผิดชอบต่อสงั คม 2. ยกตัวอยา่ งสทิ ธิและหนา้ ท่ีของพลเมือง
3. การจาแนกสทิ ธแิ ละหน้าที่ในโรงเรียน
4. สิทธิและหน้าท่ขี องตนเองในโรงเรยี น
4.1 สทิ ธิท่ไี ดร้ ับในโรงเรยี น (หนงั สอื , อาหาร / นม, อปุ กรณ์ ฯลฯ)
4.2 หนา้ ทที่ ี่ตอ้ งปฏิบตั ใิ นโรงเรยี น
5. ความเปน็ พลเมอื งในโรงเรียน
5.1 การปฏบิ ัตติ นตามกฎ ระเบียบ กติกาของโรงเรยี น
5.2 การต่อตา้ นการทุจริตในโรงเรียน
รวม 40

หมายเหตุ จานวนชั่วโมงที่กาหนดไว้ในแตล่ ะหนว่ ยการเรยี นรู้ สถานศึกษาสามารถปรับได้ตามความเหมาะสม
แตต่ อ้ งมีเวลาเรยี นท้งั 4 หน่วยการเรยี นรู้ รวม 40 ช่วั โมง

หลักสูตรรายวิชาเพิ่มเติม “การปอ้ งกนั การทุจริต” : 11

- ๑๑ -

ตารางที่ 4.4 โครงสรา้ งรายวิชา หลกั สตู รต้านทุจริตศกึ ษา ประถมศึกษาปีท่ี 3

ลาดับ หน่วยการเรียนรู้ เรือ่ ง จานวน
ช่วั โมง
1 การคดิ แยกแยะระหวา่ ง 1. การคิดแยกแยะระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนและผลประโยชน์ 16
ผลประโยชนส์ ่วนตนและ สว่ นรวม
ผลประโยชนส์ ว่ นรวม 1.1 การปฏิบัตติ นเพือ่ ประโยชน์ส่วนตนและประโยชน์
ส่วนรวมในหมบู่ ้าน
1.2 การใช้สถานทีส่ ว่ นรวมในหมบู่ ้านเพ่ือประโยชน์สว่ นตน
และเพื่อประโยชนส์ ่วนรวม
2. การเปรียบเทียบผลประโยชน์สว่ นตนและผลประโยชน์
สว่ นรวมในหมู่บ้าน
3. การปฏบิ ตั ิตนในการใช้ของสว่ นรวมในระดบั หมู่บ้าน
4. ระบบคิดฐานสอง
4.1 พฤตกิ รรมระบบคิดฐานสองในระดบั หมบู่ า้ น
4.2 การประยุกต์ใช้ระบบคดิ ฐานสองในระดบั หมบู่ ้าน
5. ระบบคิดฐานสิบ
5.1 พฤตกิ รรมระบบคดิ ฐานสบิ ในระดับหมูบ่ ้าน
5.2 ผลของพฤติกรรมระบบคดิ ฐานสิบท่ีสง่ ผลในระดับหมบู่ ้าน
6. การขัดกันระหว่างผลประโยชนส์ ่วนตนและผลประโยชนส์ ่วนรวม
6.1 ความหมายของการขัดกนั หรือขดั แย้งในห้องเรียน โรงเรียน
6.2 แยกแยะระหว่างการขดั กนั ระหว่างประโยชนส์ ่วนตน
และประโยชน์ส่วนรวม
2 ความละอายและ 1. ความละอายและความไมท่ นต่อการทุจริตระดับหมูบ่ ้านเก่ียวกบั 6
ความไม่ทนตอ่ การทุจริต 1.1 การทงิ้ ขยะไมเ่ ป็นท่ี
1.2 การปฏิบตั ติ นตามข้อตกลงของหม่บู า้ น
2. กจิ กรรมทปี่ ฏบิ ัติและสง่ ผลใหเ้ กดิ ความละอายและความไม่ทน
ตอ่ การทจุ ริตระดับหมู่บา้ น
3. แนวทางการปฏิบตั ติ นเป็นผมู้ ีความละอายและไมท่ นตอ่ การทุจรติ
(ระดับหมบู่ ้าน)
3 STRONG : จิตพอเพียง STRONG : จติ พอเพียงตา้ นทุจริตระดับหมู่บ้านเกีย่ วกบั 8
ต้านทจุ รติ - ขยะในหมู่บ้าน
- การเลือกตัง้ ผใู้ หญบ่ ้าน
- การทาความสะอาดหมูบ่ ้าน
- การใชถ้ นนในหม่บู ้าน

หลักสตู รรายวิชาเพ่มิ เติม “การปอ้ งกันการทจุ ริต” : 12

- ๑๒ -

ตารางท่ี 4.4 (ต่อ)

ลาดบั หน่วยการเรียนรู้ เรอื่ ง จานวน
ชวั่ โมง
4 พลเมืองกับความรบั ผดิ ชอบ 1. เร่อื งการเคารพสิทธหิ นา้ ท่ีต่อตนเองและผู้อื่นในหมบู่ ้าน 10
ต่อสังคม 2. สิทธิทีไ่ ดร้ บั ในหมูบ่ า้ น 40
2.1 ทางสาธารณะ
2.2 พื้นทส่ี าธารณะ
2.3 ประชาสัมพันธห์ มบู่ า้ น
2.4 ไฟสาธารณะหมู่บา้ น
3. หน้าท่ที ่ตี อ้ งปฏบิ ตั ติ ่อหมูบ่ ้าน
3.1 การรว่ มกจิ กรรมหมบู่ ้าน
3.2 ใหค้ วามช่วยเหลอื
3.3 จิตสาธารณะ
3.4 ดแู ลรักษาสาธารณสมบตั ขิ องหมบู่ า้ น
4. ความเป็นพลเมอื ง
4.1 ปฏบิ ตั ติ ามกฎ กตกิ า ระเบียบ ข้อตกลง วัฒนธรรม
ในหมบู่ ้าน
4.2 การตอ่ ตา้ นการทุจริตในหมู่บ้าน
รวม

หมายเหตุ จานวนช่ัวโมงท่ีกาหนดไว้ในแต่ละหน่วยการเรยี นรู้ สถานศึกษาสามารถปรับไดต้ ามความเหมาะสม
แตต่ ้องมเี วลาเรียนท้งั 4 หน่วยการเรยี นรู้ รวม 40 ช่ัวโมง

หลักสตู รรายวิชาเพ่มิ เติม “การป้องกันการทุจริต” : 13

- ๑๓ -

ตารางท่ี 4.5 โครงสรา้ งรายวชิ า หลกั สตู รต้านทจุ รติ ศึกษา ประถมศึกษาปีท่ี 4

ลาดับ หนว่ ยการเรยี นรู้ เรอ่ื ง จานวน
1 การคิดแยกแยะระหวา่ ง 1. วเิ คราะหแ์ ยกแยะระหวา่ งผลประโยชนส์ ว่ นตนและผลประโยชน์ ชว่ั โมง
ผลประโยชน์สว่ นตนและ ส่วนรวมในชุมชน 16
ผลประโยชนส์ ่วนรวม 2. การเปรียบเทียบผลประโยชนส์ ่วนตนและผลประโยชนส์ ว่ นรวม
ในชมุ ชน 8
2 ความละอายและ 3. ขอ้ ดีและข้อเสียของผลประโยชน์ส่วนตนและผลประโยชน์
ความไม่ทนตอ่ การทุจริต สว่ นรวมในระดับชุมชน (ใช้กฎหมายเทศบาล / อบต. / ป่าไม้ /
ทสี่ าธารณะ)
4. การแยกแยะระหว่างผลประโยชน์สว่ นตนออกจาก
ผลประโยชน์ส่วนรวม โดยใช้ระบบคดิ ฐานสองในระดบั ชมุ ชน
5. พฤตกิ รรมระบบคิดฐานสิบในระดบั ชุมชน
6. ผลของพฤติกรรมระบบคดิ ฐานสิบทส่ี ่งผลในระดบั ชมุ ชน
7. ความแตกต่างระหวา่ งจริยธรรมและการทจุ ริต

7.1 ความหมายของจรยิ ธรรม
7.2 ความหมายของการทุจริต
7.3 ตัวอยา่ งของจริยธรรมและการทจุ ริต
8. การขัดกนั ระหวา่ งผลประโยชนส์ ว่ นตนและผลประโยชน์
สว่ นรวม
8.1 ผลกระทบจากการขัดกนั ระหวา่ งผลประโยชนส์ ว่ นตน
และผลประโยชนส์ ว่ นรวมในหมบู่ ้าน
8.2 วิธกี ารแกไ้ ขการขดั กันระหว่างผลประโยชนส์ ่วนตน
และผลประโยชน์ส่วนรวมในหมู่บ้าน
9. ผลประโยชน์ทบั ซอ้ น
9.1 ความหมายของผลประโยชนท์ ับซอ้ น
9.2 ยกตัวอย่างของผลประโยชนท์ บั ซ้อน
1. ความละอายและความไม่ทนต่อการทจุ ริตในชุมชน
1.1 การทิ้งขยะไมเ่ ป็นท่ีในชุมชน
1.2 การละเมดิ ข้อตกลงเก่ียวกบั การใชส้ ถานทใี่ นชุมชน
2. กิจกรรมท่ปี ฏบิ ตั ิและส่งผลให้เกิดความละอายและความไม่ทน
ต่อการทุจรติ ในชมุ ชน

หลกั สตู รรายวิชาเพมิ่ เตมิ “การปอ้ งกันการทุจรติ ” : 14

- ๑๔ -

ตารางท่ี 4.5 (ต่อ)

ลาดบั หนว่ ยการเรยี นรู้ เรอ่ื ง จานวน
ชั่วโมง
3 STRONG : จิตพอเพียง 1. การเลือกตง้ั ท้องถ่ินทีส่ อดคล้องกับ 6
ตา้ นทุจรติ STRONG : จิตพอเพียงต้านทุจรติ
2. การทิ้งขยะในชมุ ชนทีส่ อดคล้องกับ
STRONG : จิตพอเพยี งตา้ นทุจริต
3. อาชีพในชุมชนท่ีสอดคล้องกับ
STRONG : จติ พอเพยี งต้านทุจริต
4. การใช้พน้ื ทีส่ าธารณะในชมุ ชนท่ีสอดคล้องกบั
STRONG : จติ พอเพียงตา้ นทุจริต
4 พลเมอื งกบั 1. การเคารพสทิ ธแิ ละหน้าท่ีของตนเองและผ้อู ื่นในชุมชน 10
ความรบั ผิดชอบต่อสังคม 2. สิทธิทไ่ี ด้รับในชุมชน
2.1 ทางสาธารณะ
2.2 พืน้ ท่สี าธารณะ
2.3 ประชาสัมพันธช์ มุ ชน
2.4 ไฟสาธารณะชมุ ชน
3. หนา้ ที่ทตี่ อ้ งปฏบิ ัติต่อชมุ ชน
3.1 การร่วมกิจกรรมของชุมชน
3.2 การให้ความช่วยเหลอื
3.3 จติ สาธารณะ
3.4 การดแู ลรกั ษาสาธารณสมบตั ขิ องชุมชน
4. ความเป็นพลเมอื ง
4.1 ปฏิบัติตามกฎ กติกา ระเบียบ ข้อตกลงวฒั นธรรมในชมุ ชน
4.2 การตอ่ ต้านการทจุ ริตในชมุ ชน
รวม 40

หมายเหตุ จานวนช่ัวโมงที่กาหนดไว้ในแต่ละหนว่ ยการเรียนรู้ สถานศึกษาสามารถปรับได้ตามความเหมาะสม
แตต่ ้องมเี วลาเรียนท้งั 4 หนว่ ยการเรียนรู้ รวม 40 ช่ัวโมง

หลักสูตรรายวิชาเพิ่มเตมิ “การปอ้ งกนั การทุจรติ ” : 15

- ๑๕ -

ตารางที่ 4.6 โครงสรา้ งรายวิชา หลักสูตรตา้ นทจุ ริตศึกษา ประถมศึกษาปที ี่ 5

ลาดบั หน่วยการเรียนรู้ เรอ่ื ง จานวน
ช่ัวโมง
1 การคดิ แยกแยะระหวา่ ง 1. การคิดแยกแยะระหว่างผลประโยชนส์ ่วนตนและผลประโยชน์ 14
ผลประโยชนส์ ว่ นตนและ ส่วนรวม
ผลประโยชน์ส่วนรวม 1.1 วิเคราะห์ วิจารณร์ ะหวา่ งผลประโยชนส์ ่วนตนและ
ผลประโยชนส์ ่วนรวมในระดบั สังคม
1.2 การแยกแยะผลประโยชน์สว่ นตนออกจากผลประโยชน์
ส่วนรวมโดยใชร้ ะบบคดิ ฐานสองในระดบั สังคม
1.3 พฤตกิ รรมระบบคิดฐานสบิ ทเ่ี กิดข้ึนในระดบั สงั คม
1.4 ผลของพฤติกรรมระบบคิดฐานสิบท่สี ง่ ผลในระดบั สังคม
1.5 การเปรียบเทยี บผลประโยชน์ส่วนตนและผลประโยชน์
สว่ นรวมในสังคม
1.6 ข้อดีและข้อเสยี ของผลประโยชนส์ ว่ นตนและ
ผลประโยชน์ส่วนรวมในระดบั สังคม
2. ความแตกต่างระหว่างจรยิ ธรรมและการทุจริต
2.1 รปู แบบของการทุจริต
2.2 ความแตกต่างระหว่างจริยธรรมและการทุจริต
3. การขัดกนั ระหว่างผลประโยชน์สว่ นตนและผลประโยชน์
สว่ นรวม
3.1 ผลกระทบของการขัดกนั ระหว่างผลประโยชน์ส่วนตน
และผลประโยชน์ส่วนรวมในสังคม
3.2 วธิ กี ารแกไ้ ขการขดั กันระหว่างผลประโยชนส์ ว่ นตนและ
ผลประโยชน์ส่วนรวมในสงั คม
4. ผลประโยชนท์ บั ซ้อน
4.1 สาเหตกุ ารเกดิ ของผลประโยชนท์ ับซ้อนภายในโรงเรยี น
4.2 รูปแบบผลประโยชนท์ บั ซอ้ นภายในโรงเรยี น
4.3 แนวทางการป้องกันผลประโยชนท์ บั ซ้อนในโรงเรยี น
2 ความละอายและความไมท่ น 1. ความละอายและความไม่ทนต่อการทจุ ริตท่ีเกดิ ขึน้ ในสงั คม 5
ต่อการทุจรติ 1.1 การจอดรถไม่เป็นที่
1.2 การต้ังแผงขายของบนทางเทา้
2. กจิ กรรมทป่ี ฏิบตั ิและส่งผลให้เกดิ ความละอายและความไม่ทน
ต่อการทุจริตในสังคม
3. แนวทางการปฏิบัตติ นเป็นผมู้ คี วามละอายและไมท่ นต่อการทุจริต
ในสงั คม

หลักสตู รรายวิชาเพ่ิมเตมิ “การป้องกันการทจุ ริต” : 16

- ๑๖ -

ตารางที่ 4.6 (ต่อ)

ลาดบั หน่วยการเรียนรู้ เรือ่ ง จานวน
ชวั่ โมง
3 STRONG : จิตพอเพียง STRONG : จิตพอเพยี งตา้ นทุจรติ 11
ต้านทุจริต 1. การใช้ศาลาประชาคมท่สี อดคล้องกบั
STRONG : จิตพอเพยี งต้านทุจรติ
2. การใช้หอ้ งสมดุ ประชาชนท่ีสอดคล้องกับ
STRONG : จิตพอเพียงต้านทุจรติ
3. การจอดรถในที่สาธารณะทสี่ อดคล้องกับ
STRONG : จติ พอเพียงตา้ นทุจริต
4. การใช้สาธารณูปโภค (ไฟฟ้า,ประปา) ทีส่ อดคลอ้ งกับ
STRONG : จิตพอเพียงต้านทุจริต
5. การใช้รถใช้ถนนในที่สาธารณะท่สี อดคล้องกบั
STRONG : จิตพอเพยี งต้านทุจรติ
4 พลเมืองกบั 1. การเคารพสิทธิและหน้าที่ของตนเองและผูอ้ ่ืนในสังคม 10
ความรับผิดชอบต่อสังคม 2. สทิ ธทิ ไี่ ด้รับในสงั คม
2.1 การศกึ ษา
2.2 สาธารณสุข
2.3 ความปลอดภยั ในชวี ติ และทรัพย์สิน
2.4 สาธารณูปโภค
3. หน้าที่ทต่ี ้องปฏิบตั ิต่อสงั คมและประเทศชาติ
3.1 การเสียภาษี
3.2 การเคารพกฎจราจร
3.3 การปฏิบัติตามกฎหมาย
3.4 การใช้สทิ ธเิ ลือกตงั้
4. ความเปน็ พลเมือง
4.1 ปฏบิ ตั ิตามกฎ กติกา ระเบยี บ ข้อตกลง วัฒนธรรมในสงั คม
และประเทศชาติ
4.2 การตอ่ ต้านการทจุ รติ ในสังคมและประเทศชาติ
รวม 40

หมายเหตุ จานวนชั่วโมงที่กาหนดไว้ในแต่ละหนว่ ยการเรยี นรู้ สถานศึกษาสามารถปรับไดต้ ามความเหมาะสม
แตต่ ้องมีเวลาเรยี นทงั้ 4 หนว่ ยการเรียนรู้ รวม 40 ช่ัวโมง

- ๑๗ - หลักสตู รรายวิชาเพ่ิมเตมิ “การป้องกนั การทจุ รติ ” : 17

ตารางท่ี 4.7 โครงสร้างรายวิชา หลักสูตรตา้ นทุจรติ ศกึ ษา ประถมศึกษาปที ่ี 6

ลาดับ หนว่ ยการเรยี นรู้ เรื่อง จานวน
ชั่วโมง
1 การคิดแยกแยะระหว่าง 1. การคิดแยกแยะระหวา่ งผลประโยชน์สว่ นตนและผลประโยชน์ 14
ผลประโยชนส์ ว่ นตนและ สว่ นรวม
ผลประโยชน์สว่ นรวม 1.1 การวเิ คราะห์ วิจารณ์ ระหว่างผลประโยชนส์ ว่ นตน
และผลประโยชน์สว่ นรวมในประเทศ
1.2 การแยกแยะผลประโยชน์ส่วนตนออกจากผลประโยชน์
สว่ นรวม โดยใช้ระบบคิดฐานสองในระดบั ประเทศ
1.3 พฤติกรรมระบบคดิ ฐานสิบที่เกดิ ขึ้นในระดบั ประเทศ
1.4 ผลของพฤติกรรมระบบคดิ ฐานสิบท่สี ง่ ผลใน
ระดบั ประเทศ
1.5 การเปรยี บเทียบผลประโยชนส์ ่วนตนและผลประโยชน์
ส่วนรวมในประเทศ
1.6 ข้อดีและข้อเสียของผลประโยชน์ส่วนตนและผลประโยชน์
ส่วนรวมในระดบั ประเทศ
2. ความแตกตา่ งระหวา่ งจริยธรรมและการทจุ รติ
2.1 การทุจริตที่เกดิ ข้นึ ภายในโรงเรยี น
2.2 จริยธรรมทใี่ ชใ้ นการป้องกนั การทจุ รติ ภายในโรงเรียน
3. การขัดกนั ระหวา่ งผลประโยชนส์ ่วนตนและผลประโยชน์
ส่วนรวม
3.1 ความหมายของคาว่า “การขัดกนั ”
3.2 ผลกระทบการขดั กนั ระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนและ
ผลประโยชน์สว่ นรวมในประเทศชาติ
3.3 วิธีการแก้ไขความขัดกนั ระหวา่ งผลประโยชน์สว่ นตน
และผลประโยชน์สว่ นรวม
4. ผลประโยชน์ทับซอ้ นและรูปแบบของผลประโยชน์ทับซ้อน
4.1 สาเหตกุ ารเกิดของผลประโยชน์ทบั ซอ้ นภายในชุมชน
4.2 รูปแบบผลประโยชนท์ ับซ้อนภายในชมุ ชน
4.3 แนวทางการปอ้ งกนั ผลประโยชน์ทับซ้อนในชุมชน
2 ความละอายและความไม่ทน 1. ความละอายและความไม่ทนตอ่ การทจุ รติ ในระดับประเทศ 6
ต่อการทุจรติ 1.1 กจิ กรรมท่ปี ฏบิ ตั แิ ละสง่ ผลให้เกดิ ความละอายและ
ความไม่ทนต่อการทจุ ริตในระดับประเทศ
1.2 แนวทางการปฏบิ ัติตนเปน็ ผู้มีความละอายและความไมท่ น
ตอ่ การทจุ ริตในระดบั ประเทศ

หลกั สูตรรายวชิ าเพม่ิ เตมิ “การป้องกันการทุจริต” : 18

- ๑๘ -

ตารางท่ี 4.7 (ต่อ) เร่ือง จานวน
ลาดบั หนว่ ยการเรียนรู้ ชั่วโมง
1. การอนุรักษ์ส่งิ แวดลอ้ มท่ีสอดคล้องกบั STRONG : จิตพอเพยี ง 10
3 STRONG : จติ พอเพียง ต้านทุจริต
ตา้ นทจุ รติ 2. การอนรุ ักษแ์ หล่งน้าทส่ี อดคลอ้ งกับ STRONG : จิตพอเพยี ง
ตา้ นทุจริต
4 พลเมืองกับ 3. การเสียภาษีทีส่ อดคล้องกับ STRONG : จิตพอเพียงตา้ นทุจรติ
ความรับผิดชอบต่อสังคม 4. การเลือกตง้ั ทสี่ อดคล้องกับ STRONG : จิตพอเพียงตา้ นทุจรติ
5. พ้นื ทส่ี าธารณะทสี่ อดคล้องกบั STRONG : จติ พอเพยี ง
ตา้ นทุจริต
1. ความหมายของคาว่าพลเมือง 10
2. ท่มี าของคาศัพท์ทเี่ กย่ี วกบั พลเมือง
2.1 ประชาชน
2.2 ประชากร
2.3 ราษฎร
3. การเปรยี บเทียบความแตกต่างระหว่างราษฎรกบั พลเมือง
4. การเสยี ภาษแี ละการปฏบิ ัตติ นตามกฎหมาย
4.1 กฎหมายสิ่งแวดล้อม
4.2 การรกั ษาความสะอาดตามกฎหมาย (โทษปรับ)
5. สิทธแิ ละหนา้ ท่ีการเลอื กต้ัง
6. การสร้างสานกึ พลเมืองต่อชมุ ชน
รวม 40

หมายเหตุ จานวนชั่วโมงท่ีกาหนดไว้ในแตล่ ะหนว่ ยการเรยี นรู้ สถานศึกษาสามารถปรับไดต้ ามความเหมาะสม
แตต่ ้องมีเวลาเรยี นท้ัง 4 หนว่ ยการเรียนรู้ รวม 40 ชัว่ โมง

หลกั สตู รรายวชิ าเพ่มิ เติม “การป้องกนั การทจุ ริต” : 19

- ๑๙ -

ตารางที่ 4.8 โครงสร้างรายวชิ า หลกั สูตรตา้ นทจุ ริตศกึ ษา มัธยมศกึ ษาปีที่ 1

ลาดบั หนว่ ยการเรยี นรู้ เร่อื ง จานวน
1 การคิดแยกแยะระหว่าง ชวั่ โมง
ผลประโยชน์ส่วนตนและ 1. สาเหตกุ ารทุจริตและทิศทางการป้องกันในระดบั ชุมชน 12
ผลประโยชนส์ ่วนรวม 2. ทฤษฎี ความหมายของการขดั กนั ระหวา่ งประโยชน์ส่วนตน
และประโยชน์สว่ นรวม
3. การแก้ปญั หาการทจุ รติ ในชมุ ชน
4. กรณศี กึ ษาเกี่ยวกบั การทจุ รติ
5. การวเิ คราะห์ผลประโยชน์ส่วนตนออกจากประโยชนส์ ่วนรวม
โดยใช้ระบบคดิ ฐานสองท่สี ง่ ผลกระทบต่อประเทศ
6. การวิเคราะห์ความแตกตา่ งระหวา่ งระบบคิดฐานสิบและ
ระบบคดิ ฐานสอง
7. ความตระหนักและความสาคัญของการต่อต้านและป้องกนั
การทจุ รติ
8. ความแตกต่างระหวา่ งจรยิ ธรรมและการทุจริต (ในชุมชน
สังคม)
8.1 การทุจรติ ที่เกดิ ข้นึ ภายในชมุ ชน
8.2 จริยธรรมทใ่ี ชใ้ นการปอ้ งกนั การทจุ ริตในชมุ ชน
9. ประโยชน์ส่วนบุคคลและประโยชนส์ ว่ นรวม (ชมุ ชน สงั คม)
9.1 ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งการขดั กันของประโยชนส์ ว่ นตน
และประโยชน์สว่ นรวมกบั การทุจรติ
9.2 การแกป้ ัญหาการทุจรติ ท่เี กิดจากการไม่แยกแยะระหวา่ ง
ผลประโยชนส์ ว่ นตนและผลประโยชนส์ ว่ นรวม
10. การขัดกันระหวา่ งประโยชนส์ ว่ นบคุ คลและผลประโยชน์
สว่ นรวม (ชุมชน สังคม)
10.1 ทฤษฎี ความหมายและรปู แบบของการขัดกนั
11. ผลประโยชนท์ ับซอ้ นและรูปแบบของผลประโยชน์ทับซ้อน
(ชมุ ชน สังคม)
11.1 สาเหตุการเกดิ ของผลประโยชน์ทบั ซอ้ นระดบั สังคม
11.2 รปู แบบผลประโยชนท์ ับซอ้ นระดบั สังคม
11.3 แนวทางการป้องกันผลประโยชนท์ บั ซ้อนระดบั สังคม

หลกั สตู รรายวชิ าเพิ่มเติม “การปอ้ งกันการทุจรติ ” : 20

- ๒๐ -

ตารางที่ 4.8 (ตอ่ )

ลาดบั หนว่ ยการเรยี นรู้ เร่ือง จานวน
ช่ัวโมง
2 ความละอายและความไมท่ น 1. ลักษณะความละอายและความไม่ทนต่อการทจุ ริตในชมุ ชน 8
ต่อการทจุ รติ 2. การลงโทษทางสงั คมในชมุ ชน
3. กรณตี ัวอยา่ ง ความละอายและความไมท่ นต่อการทุจริตของชุมชน
3 STRONG : จิตพอเพยี ง 1. การปฏบิ ัตเิ พ่อื ใหเ้ กิดความพอเพียงบนพ้ืนฐานการไมท่ ุจริต 10
ตา้ นทุจริต 2. การปฏิบัตเิ พื่อใหเ้ กิดความโปร่งใสบนพน้ื ฐานการไมท่ ุจริต
3. การปฏิบัติเพอ่ื ให้เกิดความตน่ื ร้บู นพ้ืนฐานการไมท่ ุจรติ
4. การปฏิบัติเพอ่ื ให้เกดิ การมุ่งไปข้างหน้าบนพ้ืนฐานการไม่ทุจรติ
5. การปฏบิ ตั ิเพอ่ื ใหเ้ กดิ ความรบู้ นพ้นื ฐานการไมท่ ุจรติ
6. การปฏิบัติเพอ่ื ใหเ้ กดิ ความเออ้ื อาทรบนพน้ื ฐานการไม่ทุจรติ
4 พลเมอื งกับ 1. ความหมายของพลเมืองศึกษา 10
ความรับผดิ ชอบต่อสงั คม 2. คณุ ลกั ษณะของพลเมือง
2.1 อสิ รภาพและการพึง่ พาตนเอง
2.2 ความเทา่ เทียมกัน
2.3 การยอมรับความแตกต่างของความเปน็ พลเมือง
2.4 เคารพสทิ ธผิ ู้อ่ืน
2.5 การรบั ผิดชอบต่อสังคม
2.6 ระบอบประชาธิปไตยและการมสี ว่ นร่วม
3. การสรา้ งสานกึ พลเมืองต่อสังคม
รวม 40

หมายเหตุ จานวนชั่วโมงท่ีกาหนดไวใ้ นแต่ละหนว่ ยการเรียนรู้ สถานศึกษาสามารถปรับได้ตามความเหมาะสม
แต่ตอ้ งมีเวลาเรยี นทัง้ 4 หนว่ ยการเรยี นรู้ รวม 40 ชว่ั โมง

หลกั สตู รรายวิชาเพิม่ เตมิ “การป้องกันการทุจรติ ” : 21

- ๒๑ -

ตารางที่ 4.9 โครงสรา้ งรายวิชา หลักสตู รตา้ นทจุ ริตศึกษา มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 2

ลาดับ หน่วยการเรียนรู้ เร่ือง จานวน
ชวั่ โมง
1 การคดิ แยกแยะระหว่าง 1. สาเหตขุ องการทุจริตและทิศทางการป้องกันการทุจริตในสงั คม 12
ผลประโยชน์ส่วนตนและ 2. การวเิ คราะห์ วิจารณ์ สงั เคราะห์ ผลประโยชน์สว่ นตนออกจาก
ผลประโยชนส์ ว่ นรวม ผลประโยชน์สว่ นรวม โดยใช้ระบบคดิ ฐานสองท่สี ่งผลกระทบตอ่
ประเทศในระดับอาเซยี น
3. การทจุ ริตที่เกดิ จากระบบคิดฐานสบิ ในอาชีพต่างๆ ทีส่ ง่ ผลตอ่
ประเทศ และอาเซียน
4. รปู แบบการขัดกันระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนและผลประโยชน์
สว่ นรวม
5. การขดั กันระหว่างประโยชน์สว่ นตนและผลประโยชนส์ ว่ นรวม
(ชุมชน สังคม)
6. การวเิ คราะห์ ความสัมพนั ธก์ ารขดั กนั ระหวา่ งผลประโยชน์
ส่วนตนและผลประโยชน์ส่วนรวมต่อประเทศและอาเซียน
7. การทุจรติ ท่ีเกดิ ขึน้ ในระดับประเทศ
8. จริยธรรมท่ใี ช้ในการป้องกันการทุจริตในระดับประเทศ
9. สาเหตุการเกิดของผลประโยชนท์ บั ซ้อนระดับประเทศ
10. รปู แบบผลประโยชนท์ ับซ้อนระดับประเทศ
11. แนวทางการป้องกนั ผลประโยชน์ทับซ้อนระดบั ประเทศ
2 ความละอายและความไมท่ น 1. ลกั ษณะความละอายและความไม่ทนต่อการทุจริตในระดบั 8
ตอ่ การทจุ รติ ประเทศ
2. การลงโทษทางสังคมในระดบั ประเทศ
3. กรณตี วั อย่าง ความละอายและความไม่ทนต่อการทจุ รติ
ในกลมุ่ ประเทศอาเซียน
3 STRONG : จติ พอเพยี ง การประกอบอาชีพโดยใช้วสั ดุทอ้ งถน่ิ ตามหลกั 10
ต้านทุจรติ STRONG : จติ พอเพียงตา้ นทุจรติ เกย่ี วกบั
1. การทานา้ ยาลา้ งจาน
2. การนวดแผนโบราณ
3. การซ่อมรถจักรยาน
4. การทาปยุ๋ ชีวภาพ
5. การใหบ้ ริการ Home stay

หลกั สตู รรายวิชาเพมิ่ เติม “การป้องกันการทจุ ริต” : 22

- ๒๒ -

ตารางท่ี 4.9 (ตอ่ )

ลาดับ หน่วยการเรยี นรู้ เร่ือง จานวน
ชว่ั โมง
4 พลเมืองกบั ความรบั ผดิ ชอบ 1. องคป์ ระกอบของการศึกษาความเป็นพลเมือง 10
ต่อสงั คม 1.1 ความรบั ผิดชอบทางสังคม 40
1.2 ความเก่ยี วพนั ชมุ ชน
1.3 ความสามารถในการอา่ น การเขียน
2. การเป็นพลเมอื งดี
2.1 มงุ่ เนน้ ความรับผดิ ชอบระดับบุคคล
2.2 การมีสว่ นร่วม
2.3 ความยุตธิ รรม
3. การสรา้ งสานึกพลเมืองต่อประเทศ
รวม

หมายเหตุ จานวนช่ัวโมงท่ีกาหนดไวใ้ นแตล่ ะหนว่ ยการเรยี นรู้ สถานศึกษาสามารถปรับได้ตามความเหมาะสม
แต่ตอ้ งมเี วลาเรียนทง้ั 4 หน่วยการเรยี นรู้ รวม 40 ช่ัวโมง

หลักสูตรรายวิชาเพิม่ เตมิ “การป้องกันการทุจรติ ” : 23

- ๒๓ -

ตารางท่ี 4.10 โครงสร้างรายวชิ า หลกั สูตรต้านทจุ ริตศกึ ษา มธั ยมศกึ ษาปีที่ 3

ลาดบั หน่วยการเรียนรู้ เรอ่ื ง จานวน
ช่วั โมง
1 การคดิ แยกแยะระหวา่ ง 1. การวเิ คราะหส์ ถานการณ์การขดั กนั ระหว่างผลประโยชนส์ ่วนตน 12
ผลประโยชน์สว่ นตนและ และผลประโยชน์สว่ นรวม
ผลประโยชน์ส่วนรวม 2. การวเิ คราะห์และสังเคราะห์ผลประโยชนส์ ่วนตนออกจาก
ผลประโยชนส์ ่วนรวม โดยใช้ระบบคดิ ฐานสองท่ีสง่ ผลกระทบต่อ
ประเทศในระดบั สังคมโลก
3. การทจุ รติ ทเี่ กิดจากระบบการคดิ ฐานสบิ ในสถานการณ์ต่างๆ
ทส่ี ่งผลตอ่ ประเทศและสงั คมโลก
4. การทจุ รติ ทเี่ กิดขนึ้ ในโลกและจริยธรรมทใ่ี ช้ในการแก้ปญั หา
การทุจรติ ทีเ่ กดิ ขนึ้ ในโลก
5. ผลกระทบทีเ่ กิดจากการขัดกันระหวา่ งผลประโยชน์ส่วนตน
และผลประโยชน์สว่ นรวมทีเ่ กิดข้นึ ในประเทศ
6. รปู แบบของผลประโยชน์ทับซอ้ นและแนวทางการป้องกัน
ผลประโยชน์ทบั ซอ้ นในกลุ่มประเทศอาเซียน
2 ความละอายและความไมท่ น 1. ลกั ษณะความละอายและความไมท่ นต่อการทจุ รติ ในระดับโลก 5
ตอ่ การทจุ รติ 2. การลงโทษทางสังคมในระดับโลก
3. ตวั อย่าง ความละอายและความไม่ทนต่อการทุจรติ ของประเทศ
ตา่ งๆ ในระดับโลก
3 STRONG : จติ พอเพียง การดาเนินงาน บรษิ ัท สร้างการดี โดยยดึ หลัก 13
ต้านทจุ รติ STRONG : จิตพอเพียงต้านทุจรติ
S = Sufficient (พอเพยี ง)
T = Transparent (โปรง่ ใส)
R = Realise (ตนื่ ร้)ู
O = Onward (มุ่งไปข้างหนา้ )
N = Knowledge (ความร้)ู
G = Generosity (ความเอื้ออาทร)

หลักสูตรรายวิชาเพ่ิมเติม “การป้องกันการทจุ ริต” : 24

- ๒๔ -

ตารางท่ี 4.10 (ต่อ)

ลาดับ หน่วยการเรียนรู้ เร่ือง จานวน
4 พลเมอื งกบั ความรับผิดชอบต่อ 1. แนวทางการปฏิบัติตนเป็นพลเมืองดี ช่วั โมง
สังคม 10
1.1 ด้านสงั คม 40
1.2 ดา้ นเศรษฐกจิ
1.3 ดา้ นการเมือง การปกครอง
2. การพจิ ารณาความเป็นพลเมือง
2.1 ดา้ นคณุ คา่ คา่ นิยม
2.2 ความรู้ ความเข้าใจ
2.3 ทกั ษะและพฤตกิ รรม
3. การสร้างสานึกพลเมืองต่อสงั คมโลก

รวม

หมายเหตุ จานวนชั่วโมงท่ีกาหนดไว้ในแต่ละหน่วยการเรียนรู้ สถานศึกษาสามารถปรับได้ตามความเหมาะสม
แต่ต้องมีเวลาเรียนท้ัง 4 หนว่ ยการเรยี นรู้ รวม 40 ชวั่ โมง

หลกั สตู รรายวิชาเพิ่มเตมิ “การปอ้ งกันการทจุ รติ ” : 25

- ๒๕ -

ตารางท่ี 4.11 โครงสร้างรายวิชา หลักสูตรต้านทุจริตศึกษา มัธยมศกึ ษาปที ่ี 4

ลาดับ หนว่ ยการเรยี นรู้ เรื่อง จานวน
ชัว่ โมง
1 การคดิ แยกแยะระหว่าง 1. การคิดแยกแยะระหวา่ งผลประโยชนส์ ว่ นตนและผลประโยชน์ 13
ผลประโยชน์ส่วนตนและ สว่ นรวมทส่ี ่งผลตอ่ ระดบั ประเทศ
ผลประโยชน์ส่วนรวม 2. ระบบคิดฐานสองทส่ี ่งผลต่อตนเอง ประเทศ และโลก
3. การอภปิ ราย เสวนา สมั มนา ระบบคดิ ฐานสิบ ท่สี ง่ ผลต่อ
ตนเอง ประเทศ และโลก
4. กฎหมายประมวลจริยธรรมทีเ่ กย่ี วข้องกับนกั เรยี น ครู
5. การขดั กันระหว่างผลประโยชนส์ ่วนตนและผลประโยชน์
ส่วนรวมทสี่ ง่ ผลตอ่ สงั คม ประเทศ
6. ปัญหาของผลประโยชนท์ ับซอ้ นที่ส่งผลต่อการพฒั นาประเทศ
7. ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 1 (1) โดยทจุ รติ
2 ความละอายและความไม่ทน 1. ผลกระทบท่ีเกิดจากความไม่ละอายและการเพกิ เฉยต่อ 4
ต่อการทจุ ริต การทจุ ริต
2. แนวทางการแกป้ ญั หาและวิธกี ารปฏิบัติ
3 STRONG : จิตพอเพียง 1. การสร้างสรรค์ภาพยนตรส์ น้ั โดยใชห้ ลัก 8
ตา้ นทจุ รติ STRONG : จติ พอเพียงตา้ นทุจรติ
2. วเิ คราะหภ์ าพยนตรส์ น้ั โดยใชห้ ลกั
STRONG : จติ พอเพียงตา้ นทุจรติ
4 พลเมอื งกบั ความรับผดิ ชอบ 1. แนวทางการสรา้ งเสริมสานึกความเปน็ พลเมือง กรณีศกึ ษา 15
ต่อสังคม ประเทศไทย
1) กรณภี าคเหนอื จงั หวดั ลาปาง
1.1) กจิ กรรมเพ่ือเสริมสร้างสานกึ ความเปน็ พลเมือง
แก่เยาวชนในจังหวดั ลาปาง
1.2) ปัญหา อปุ สรรค และปจั จัยสู่ความสาเร็จในการ
สร้างเสรมิ สานึกความเปน็ พลเมืองแกเ่ ด็กและเยาวชน
1.3) แนวทางในการพฒั นารปู แบบกิจกรรมเพื่อเสรมิ สร้าง
สานกึ ความเป็นพลเมืองแก่เด็กและเยาวชน

หลักสูตรรายวิชาเพ่ิมเติม “การป้องกนั การทุจรติ ” : 26

- ๒๖ -

ตารางที่ 4.11 (ต่อ) เร่ือง จานวน
ลาดับ หน่วยการเรยี นรู้ ชว่ั โมง

2) กรณีภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนือ จังหวัดสกลนคร
2.1) กจิ กรรมเพือ่ เสริมสรา้ งสานึกความเปน็ พลเมอื งแกเ่ ยาวชน
ในจงั หวัดสกลนคร
2.2) ปัญหา อปุ สรรค และปจั จยั สู่ความสาเรจ็ ในการสร้างเสริม
สานกึ ความเป็นพลเมืองแก่เด็กและเยาวชน
2.3) แนวทางในการพฒั นารูปแบบกจิ กรรมเพ่ือเสรมิ สร้าง
สานึกความเป็นพลเมืองแก่เด็กและเยาวชน
3) กรณภี าคใต้ จงั หวดั ยะลา
3.1) กิจกรรมเพ่อื เสริมสรา้ งสานกึ ความเป็นพลเมืองแก่เยาวชน
ในจังหวดั ยะลา
3.2) ปัญหา อุปสรรค และปัจจัยสู่ความสาเรจ็ ในการสรา้ งเสรมิ
สานกึ ความเปน็ พลเมืองแก่เด็กและเยาวชน
3.3) แนวทางในการพัฒนารูปแบบกจิ กรรมเพ่ือเสรมิ สรา้ ง
สานึกความเปน็ พลเมืองแก่เด็กและเยาวชน
รวม 40

หมายเหตุ จานวนชั่วโมงท่ีกาหนดไวใ้ นแต่ละหนว่ ยการเรียนรู้ สถานศึกษาสามารถปรับได้ตามความเหมาะสม
แต่ตอ้ งมีเวลาเรียนทัง้ 4 หนว่ ยการเรยี นรู้ รวม 40 ช่วั โมง

หลกั สูตรรายวิชาเพม่ิ เตมิ “การปอ้ งกนั การทุจรติ ” : 27

- ๒๗ -

ตารางที่ 4.12 โครงสรา้ งรายวิชา หลกั สตู รต้านทุจริตศึกษา มัธยมศกึ ษาปีที่ 5

ลาดับ หนว่ ยการเรียนรู้ เร่ือง จานวน
ชัว่ โมง
1 การคิดแยกแยะระหว่าง 1. การคดิ แยกแยะระหวา่ งผลประโยชน์ส่วนตนและผลประโยชน์ 12
ผลประโยชนส์ ่วนตนและ สว่ นรวมทีส่ ง่ ผลต่อประเทศในระดบั อาเซยี น
ผลประโยชน์ส่วนรวม 2. ผลของพฤติกรรมท่ีเกิดจากระบบคิดฐานสองไปแกร้ ะบบ
คดิ ฐานสบิ ส่งผลตอ่ ระดบั ประเทศ สังคมโลก
3. การขัดกันระหว่างผลประโยชนส์ ว่ นตนและผลประโยชน์
สว่ นรวม(สังคม ประเทศชาติ โลก)
3.1 แนวทางการแก้ปญั หาการขดั กันระหวา่ งผลประโยชน์
ส่วนตนและผลประโยชน์ส่วนรวมทสี่ ง่ ผลต่อสงั คมและประเทศ
3.2 กฎหมายที่สง่ ผลตอ่ การแกป้ ัญหาการขัดกนั ระหวา่ ง
ผลประโยชน์สว่ นตนและผลประโยชน์สว่ นรวม
4. ความแตกตา่ งระหวา่ งจรยิ ธรรมและการทุจรติ (สังคม)
4.1 ประมวลกฎหมายอาญาท่เี กย่ี วข้องกบั การแกไ้ ขปัญหา
การทุจริต
4.2 ความสมั พนั ธร์ ะหว่างจริยธรรม คุณธรรม ที่สง่ ผลต่อ
การแก้ไขปัญหาการทุจริต
5. ผลประโยชนท์ บั ซอ้ นทส่ี ง่ ผลตอ่ ระดับประเทศ
2 ความละอายและความไมท่ น ตัวอยา่ ง กรณีศกึ ษาปญั หาการทุจรติ ท่ีเกิดขึ้นในประเทศไทยและ 5
ตอ่ การทุจริต ผลกระทบต่อประเทศไทย
3 STRONG : จติ พอเพียง 1. กรณีตัวอย่างการแกป้ ัญหาการทจุ ริตในสังคมไทยโดยยดึ หลัก 8
ตา้ นทุจรติ STRONG : จติ พอเพยี งตา้ นทุจรติ
2. แนวทางการนาหลกั STRONG : จติ พอเพียงต้านทจุ ริต
มาพฒั นาสังคมไทย
4 พลเมอื งกบั การศึกษาเก่ียวกบั ความเป็นพลเมืองในบรบิ ทตา่ งประเทศ 15
ความรบั ผดิ ชอบต่อสังคม 1.1 ประเทศญปี่ ุน่
1.2 ประเทศเกาหลีใต้
รวม 40

หมายเหตุ จานวนช่ัวโมงท่ีกาหนดไว้ในแต่ละหน่วยการเรียนรู้ สถานศึกษาสามารถปรับได้ตามความเหมาะสม
แตต่ อ้ งมเี วลาเรยี นทั้ง 4 หน่วยการเรียนรู้ รวม 40 ชว่ั โมง

หลักสตู รรายวชิ าเพมิ่ เติม “การปอ้ งกันการทจุ รติ ” : 28

- ๒๘ -

ตารางท่ี 4.13 โครงสรา้ งรายวชิ า หลกั สูตรต้านทุจรติ ศกึ ษา มธั ยมศึกษาปที ่ี 6

ลาดับ หนว่ ยการเรยี นรู้ เรือ่ ง จานวน
ช่ัวโมง
1 การคดิ แยกแยะระหว่าง 1. ความแตกต่างระหว่างจริยธรรมและการทจุ ริต (โลก) 12
ผลประโยชนส์ ว่ นตนและ 1.1 หลักการแยกแยะระหวา่ งจรยิ ธรรมและการทจุ ริต
ผลประโยชน์สว่ นรวม 1.2 เกีย่ วกบั การแยกแยะระหว่างจริยธรรมและการทุจริต 8
- ผลจากการกระทาไม่ทาใหต้ นเองและผอู้ น่ื เดือดร้อน 8
- การกระทาสอดคล้องกับคุณธรรม 12
2. ผลประโยชนส์ ว่ นตนและผลประโยชน์สว่ นรวม (โลก) 40
2.1 ความแตกตา่ งระหวา่ งผลประโยชนส์ ว่ นตนและ
ผลประโยชนส์ ่วนรวมท่สี ง่ ผลตอ่ ประเทศชาติและสงั คมโลก
3. การขัดกันระหวา่ งผลประโยชน์สว่ นตนและผลประโยชน์
ส่วนรวม (โลก)
3.1 การขดั กนั ทเ่ี กิดข้ึนระหว่างบคุ คล สงั คม ประเทศชาติ
และสงั คมโลก
4. กฎหมายท่เี กี่ยวข้องกับการทจุ รติ
4.1 ระเบียบการป้องกนั และปราบปรามการทจุ ริต
4.2 พ.ร.บ.ประกอบรฐั ธรรมนูญวา่ ด้วยการป้องกนั และ
ปราบปรามการทจุ รติ พ.ศ. 2542 มาตรา 4
5. ผลประโยชน์ทับซ้อน (โลก)
5.1 กฎหมายทเ่ี กยี่ วขอ้ งกับผลประโยชน์ทับซอ้ น
5.2 รปู แบบของผลประโยชนท์ ับซ้อน (โลก)
2 ความละอายและความไมท่ น 1. ตวั อยา่ ง กรณศี ึกษาเกี่ยวกับประเทศที่มปี ัญหาการทจุ รติ
ต่อการทุจรติ เกิดขน้ึ ในประเทศไทย และส่งผลกระทบต่อตา่ งประเทศและโลก
2. แนวทางการแกป้ ญั หาและวธิ ีการปฏบิ ัติ
3 STRONG : จิตพอเพยี ง 1. การจัดกิจกรรมอาสา โดยผา่ นกระบวนการ
ตา้ นทจุ ริต STRONG : จติ พอเพยี งต้านทุจรติ
2. STRONG : จิตพอเพียงต้านทุจริตกับการพัฒนาประเทศ
สูส่ งั คมโลก
4 พลเมืองกับ 1. ความเป็นพลเมืองไทยกับความเปน็ พลเมืองโลก
ความรับผดิ ชอบต่อสงั คม 2. พลเมืองท่ีมีความรบั ผดิ ชอบตอ่ การป้องกนั การทจุ รติ
3. พลโลกท่ีมคี วามรับผิดชอบต่อการป้องกนั การทจุ รติ
4. ความเป็นพลเมอื งไทยทสี่ มบรู ณ์
รวม

หมายเหตุ จานวนชั่วโมงที่กาหนดไว้ในแต่ละหนว่ ยการเรยี นรู้ สถานศึกษาสามารถปรับได้ตามความเหมาะสม
แต่ต้องมีเวลาเรียนท้ัง 4 หน่วยการเรียนรู้ รวม 40 ชั่วโมง

หลักสตู รรายวชิ าเพมิ่ เติม “การป้องกันการทุจรติ ” : 29

- ๒๙ -

5. กจิ กรรมการเรียนรู้
แนวคิดและแนวการสอน
กิจกรรมการเรียนรู้ที่ใช้ในการจัดการเรียนการสอน เน้นการใช้ทฤษฎีการเรียนรู้ การสร้างความรู้

ได้แก่ ทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์ (Constructivist Theory) ประกอบด้วย ทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์เชิงสังคม
(Social Constructivist Theory) และทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์เชิงปัญญา (Cognitive Constructivist Theory)
ทฤษฎีประมวลผลข้อมูล (Information Processing Theory) ทฤษฎีพหุปัญญา (Theory of Multiple
Intelligences) ทฤษฎีการเรียนรู้แบบร่วมมือ (Cooperative Learning Theory) ในการจัดการเรียนการสอน
โดยภาพรวมจะใช้กลยุทธ์การสอนท่ีเน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ คือ จัดตามความแตกต่างของเด็กแต่ละคน
ด้วยการสอน โดยใช้กระบวนการคิดวิเคราะห์ (คิดแยกแยะระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนและผลประโยชน์
ส่วนรวม) คิดสังเคราะห์ การฝึกปฏิบัติจริงการทาโครงงานสืบสวนสอบสวน กระบวนการเรียนรู้ 5 ข้ันตอน
(5 STEPs) การอภิปราย การเรียนรู้แบบ Active Learning การแก้ปัญหาตลอดจนใช้เทคนิคการสอน
ทหี่ ลากหลายเหมาะกับผู้เรียนแตล่ ะวัย

6. สือ่ การเรยี นร้แู ละแหล่งเรียนรู้
จัดกิจกรรมด้วยส่ือการเรียนรู้ท่ีเกี่ยวกับการป้องกันและปราบปรามการทุจริต เช่น วีดีโอ ข่าว VTR

นิทาน การ์ตูน ภาพยนตร์ส้ัน เอกสารแก้ทุจริตคิดฐานสอง ส่ือส่ิงพิมพ์ ใบความรู้ ใบงาน วัสดุอุปกรณ์ต่างๆ
ตลอดจนแหล่งเรยี นร้ทู ี่ใช้คอมพิวเตอรใ์ นการสบื คน้

7. การประเมนิ การเรียนรู้และการประเมนิ ผล
7.1 การประเมินการเรียนรู้ โดยใช้เคร่ืองมือประเมินการเรียนรู้ในด้าน
1) ความรคู้ วามเขา้ ใจ
2) การปฏบิ ตั ิ
3) คณุ ลกั ษณะที่พึงประสงค์
เคร่อื งมอื ทใี่ ช้ประเมนิ
1) แบบสอบถาม
2) แบบประเมนิ การปฏิบัตงิ าน
3) แบบสงั เกตพฤติกรรมการปฏิบตั ิงาน
7.2 การตดั สิน การประเมนิ ผล
นักเรยี นผา่ นการประเมินทกุ กจิ กรรม ร้อยละ 80 ขึ้นไป จึงจะถอื วา่ ผ่านเกณฑ์การประเมิน

- 30 - หลกั สูตรรายวิชาเพิ่มเตมิ “การป้องกนั การทจุ ริต” : 30

ตารางช่ัวโมงการจ-ัดกจิ กรรมการเรียน
รายวิชาเพม่ิ เติม “การป้องกันการทจุ รติ ”
หนว่ ย ระดับ

ที่ ประถมศกึ ษาตอนตน้ ประถมศึกษาตอนปลาย มธั ยมศกึ ษาตอนตน้ มัธยมศกึ ษาตอนปลาย

ปฐมวัย
ชวั่ โมง ป.๑ ป.๒ ป.๓ ป.๔ ป.๕ ป.๖ ม.๑ ม.๒ ม.๓ ม.๔ ม.๕ ม.๖

๑ การคิดแยกแยะระหว่าง 14 16 16 16 16 ๑๔ ๑๔ ๑๒ ๑๒ ๑๒ ๑๓ ๑๒ ๑๒
ผลประโยชนส์ ว่ นตนและ
ผลประโยชน์ส่วนรวม 12 ๖ ๖ ๖ ๘ ๕ ๖ ๘ ๘ ๕ ๔ ๕ ๘
9 ๘ ๘ ๘ ๖ ๑๑ 10 10 10 ๑๓ ๘ ๘ ๘
๒ ความละอายและความไมท่ น 5 10 10 10 10 10 10 10 10 10 ๑๕ ๑๕ ๑๒
ตอ่ การทุจริต 40 40 40 40 40 40 40 40 40 40 40 40 40

๓ STRONG : จติ พอเพียง
ตา้ นทุจริต

๔ พลเมืองกบั ความรบั ผดิ ชอบ
ต่อสงั คม
รวม

หมายเหตุ จานวนชวั่ โมงท่ีกาหนดไว้ในแต่ละหน่วยการเรยี นรู้ สถานศึกษาสามารถปรบั ได้ตามความเหมาะสม แต่ตอ้ งมเี วลาเรยี นทัง้ 4 หนว่ ยการเรียนรู้
รวม 40 ชวั่ โมง

หลกั สตู รรายวิชาเพิ่มเตมิ “การปอ้ งกันการทุจริต” : 31

- 31 -
แนวทางการนาหลกั สตู รต้านทุจรติ ศกึ ษาไปใช้

กระทรวงศึกษาธิการเห็นด้วยกับการนาหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ในสถานศึกษา เน่ืองจาก
จุดมุ่งหมายของรายวิชาและผลการเรียนรู้ที่หลักสูตรต้านทุจริตศึกษากาหนดจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ
ท่ีสร้างความตระหนัก ความเข้าใจและการมีส่วนร่วมรับผิดชอบต่อสังคม ผ่านการเรียนรู้และลงมือปฏิบัติจริง
ซึ่งการปลูกฝังและการสร้างวัฒนธรรมต่อต้านการทุจริต ควรปลูกฝังให้ครอบคลุมทุกระดับการศึกษาและ
มีความต่อเนื่อง ตั้งแต่การศึกษาระดับปฐมวัย ประถมศึกษา มัธยมศึกษา จนถึงระดับอุดมศึกษา รวมท้ัง
การส่งเสริมให้หน่วยงานภาครัฐ และขอความร่วมมือจากภาคเอกชน จัดให้มีการฝึกอบรม หรือบูรณาการกับ
หลักสูตรฝึกอบรมในระดับต่างๆ เพื่อให้เกิดพฤติกรรมการตระหนักรู้ ค่านิยมพื้นฐานของแต่ละบุคคล และ
จรรยาบรรณในวชิ าชพี กระทรวงศึกษาธิการได้เสนอความเห็นเพิ่มเติมในส่วนที่เก่ียวข้องกับหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา
(Anti-Corruption Education) ท่ีเกย่ี วกบั หลักสูตรการศึกษาข้นั พน้ื ฐาน รายวชิ าเพม่ิ เตมิ การปอ้ งกันการทจุ รติ

ด้านการนาหลักสูตรไปใช้ เน่ืองจากปัจจุบัน สานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน ได้เปิดโอกาส
ให้สถานศึกษาสามารถบริหารจัดการหลักสูตรสถานศึกษาได้ตามบริบท จุดเน้น ความพร้อมและศักยภาพ
ทงั้ นี้ ต้องอยู่ภายใต้กรอบของหลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาข้ันพืน้ ฐาน พุทธศกั ราช 2551 ดงั นั้น เพ่อื ให้สอดคล้องกับ
แนวทางดังกล่าว จึงเห็นควรกาหนดเป้าหมายการเรียนรู้ของแต่ละช่วงวัยให้ชัดเจน และจัดทาแนวดาเนินการ
ท่เี ปน็ รูปธรรม ส่วนวธิ ีการนาไปปฏิบัตใิ ห้สถานศกึ ษาเป็นผูพ้ ิจารณาว่าจะดาเนนิ การในแนวทางใดบ้าง เชน่

๑. เปิดรายวชิ าเพม่ิ เติม
๒. บูรณาการการเรยี นการสอนกบั กลมุ่ สาระการเรียนรู้ สงั คมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม
๓. บรู ณาการการเรยี นการสอนกับกล่มุ สาระการเรียนรู้อน่ื ๆ
๔. จดั เปน็ กจิ กรรมพฒั นาผเู้ รียน
๕. จัดเปน็ กจิ กรรมเสรมิ หลักสูตร หรอื บรู ณาการกบั วิถีชวี ิตในโรงเรียน
สาหรับจานวนชว่ั โมงท่ีกาหนดไวใ้ นแตล่ ะหน่วยการเรยี นรู้ สถานศึกษาสามารถปรับไดต้ ามความ
เหมาะสม แต่ตอ้ งมเี วลาเรียนท้งั ๔ หน่วยการเรยี นรู้ รวม ๔๐ ช่ัวโมง



ภาคผนวก



- ๓๓ -

ชุดวิชาท่ี ๑
การคิดแยกแยะระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนและผลประโยชนส์ ่วนรวม
1.๑ สาเหตขุ องการทุจริตและทิศทางการป้องกนั การทจุ ริตในประเทศไทย

การทุจริตเป็นหน่ึงในประเด็นท่ีทั่วโลกแสดงความกังวล อันเนื่องมาจากปัญหาท่ีมีความซับซ้อน
ยากต่อการจัดการและเกี่ยวข้องกับทุกภาคส่วน เป็นท่ียอมรับกันว่าการทุจริตน้ันมีความเป็นสากล เพราะมีการทุจริต
เกิดข้ึนในทุกประเทศ ไม่ว่าจะเป็นประเทศท่ีพัฒนาแล้ว หรือประเทศที่กาลังพัฒนา การทุจริตเกิดข้ึนทั้งในภาครัฐ
และภาคเอกชน หรือแม้กระท่ังในองค์กรที่ไม่แสวงหาผลกาไร หรือองค์กรเพ่ือการกุศล ในปัจจุบันการกล่าวหา
และการฟ้องร้องคดี การทุจริตยังมีบทบาทสาคัญในด้านการเมืองมากกวา่ ช่วงท่ีผ่านมา รัฐบาลในหลายประเทศ
มีผลการปฏิบัติงานที่ไม่โปร่งใสเท่าที่ควร องค์กรระดับโลกหลายองค์กรเส่ือมเสียช่ือเสียง เนื่องมาจากเหตุผล
ด้านความโปร่งใส ส่ือมวลชนท่ัวท้ังโลกต่างเฝ้ารอที่จะได้นาเสนอข่าวอื้อฉาว และการประพฤติผิดจริยธรรม
ดา้ นการทุจริต โดยเฉพาะบุคคลซ่ึงดารงตาแหน่งระดบั สูงต่างเฝ้าจับจ้องว่าจะถูกสอบสวนเมื่อใด อาจกล่าวได้ว่า
การทุจริตเป็นหนึง่ ในปัญหาใหญ่ทีจ่ ะขัดขวางการพัฒนาประเทศให้เป็นรัฐสมัยใหม่ ซ่ึงต่างเป็นท่ีทราบกันดีว่า
การทจุ รติ ควรเป็นประเด็นแรกๆ ทีค่ วรใหค้ วามสาคญั ในวาระของการพฒั นาประเทศของทกุ ประเทศ

เห็นได้ชัดว่าการทุจริตส่งผลกระทบอย่างมากกับการพัฒนาประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศ
ที่กาลังพัฒนา เช่นเดียวกันกับกลุ่มประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกก็มีความกังวลในปัญหาการทุจริตด้วย
เชน่ เดียวกัน โดยเห็นพ้องต้องกันว่าการทุจรติ เป็นปัญหาใหญ่ท่กี าลังขัดขวางการพัฒนาเศรษฐกจิ การเมือง และ
สงั คม ใหก้ ้าวไปสู่รฐั สมยั ใหม่ และเปน็ ปญั หาท่คี วรจะตอ้ งรีบแกไ้ ขโดยเร็วทส่ี ุด

การทุจริตนั้น อาจเกิดขึ้นได้ในประเทศที่มีสถานการณ์ ดังต่อไปน้ี 1) มีกฎหมาย ระเบียบ หรือ
ขอ้ กาหนดจานวนมากทีเ่ ก่ยี วข้องกับการดาเนินการทางธุรกจิ ซึง่ จะเปน็ โอกาสที่จะทาใหเ้ กิดมูลค่าเพิ่ม หรอื กาไร
ส่วนเกินทางเศรษฐกิจ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมาตรการหรือข้อกาหนดดังกล่าวมีความซับซ้อน คลุมเครือ
เลือกปฏิบัติ เป็นความลับหรือไม่โปร่งใส 2) เจ้าหน้าท่ีผู้มีอานาจสิทธิขาดในการใช้ดุลยพินิจ ซ่ึงให้อิสระในการ
เลือกปฏิบัติเป็นอย่างมากว่าจะเลือกใช้อานาจใดกับใครก็ได้ 3) ไม่มีกลไกที่มีประสิทธิภาพหรือองค์กรท่ีมีหน้าที่
ควบคุมดูแลและจัดการต่อการกระทาใดๆ ของเจ้าหน้าที่ที่มีอานาจโดยเฉพาะอย่างย่ิงประเทศที่กาลังพัฒนา
การทุจริตมีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นได้อย่างมาก โดยไม่ใช่เพียงเพราะว่าลักษณะประชากรนั้นแตกต่างจากภูมิภาคอื่น
ท่ีพัฒนาแล้ว หากแต่เปน็ เพราะกลุ่มประเทศที่กาลังพฒั นานัน้ มีปัจจัยภายในต่างๆ ที่เอ้ือหรือสนับสนุนต่อการเกิด
การทุจริต อาทิ 1) แรงขับเคล่ือนท่ีอยากมีรายได้เป็นจานวนมากอันเป็นผลเน่ืองมาจากความจน ค่าแรงในอัตราท่ีต่า
หรือมีสภาวะความเสยี่ งสูงในด้านต่างๆ เชน่ ความเจ็บป่วย อุบัตเิ หตุ หรอื การว่างงาน 2) มีสถานการณ์หรอื โอกาส
ทีอ่ าจกอ่ ให้เกิดการทุจริตได้เป็นจานวนมาก และมีกฎ ระเบียบต่างๆ ที่อาจนาไปสู่การทุจริต 3) การออกกฎหมาย
และกระบวนการยุติธรรมที่ไม่เข้มแข็ง 4) กฎหมายและประมวลจริยธรรมไม่ได้รับการพัฒนาให้ทันสมัย
5) ประชากรในประเทศยังคงจาเป็นต้องพ่ึงพาทรัพยากรธรรมชาติอยู่เป็นจานวนมาก 6) ความไม่มีเสถียรภาพ
ทางการเมือง และเจตจานงทางการเมืองท่ไี ม่เขม้ แข็ง ปัจจัยตา่ งๆ ดังกล่าวจะนาไปสู่การทุจรติ ไมว่ า่ จะเปน็ ทุจริต
ระดับบนหรือระดับล่างก็ตาม ซ่ึงผลที่ตามมาอย่างเห็นได้ชัดเจนมีด้วยกันหลายประการ เช่น การทุจริตทาให้
ภาพลักษณ์ของประเทศด้านความโปร่งใสนั้นเลวร้ายลง การลงทุนในประเทศ โดยเฉพาะอย่างย่ิงจากนักลงทุน
ต่างชาติลดน้อยลง ส่งผลกระทบทาให้การเติบโตทางเศรษฐกิจลดน้อยลงไปด้วยเช่นกัน หรือการทุจริตทาให้เกิด
ชอ่ งว่างของความไมเ่ ท่าเทียมท่ีกว้างข้ึนของประชากรในประเทศ หรอื อีกนัยหนึ่งคือระดับความจนน้ันเพ่ิมสูงขึ้น
ในขณะที่กลุ่มคนรวยกระจุกตัวอยู่เพียงกลุ่มเล็กๆ กลุ่มเดียว นอกจากน้ีการทุจริตยังทาให้การสร้างและปรับปรุง

หลกั สูตรรายวิชาเพมิ่ เตมิ “การป้องกันการทุจรติ ” : 36

- ๓๔ -

สาธารณูปโภคต่างๆ ของประเทศนั้นลดลงท้ังในด้านปรมิ าณและคณุ ภาพ รวมท้ังยังอาจนาพาประเทศไปสู่วิกฤติ
ทางการเงนิ ทรี่ า้ ยแรงไดอ้ กี ดว้ ย

การเปลี่ยนแปลงวิธีคิด (Paradigm Shift) จึงเป็นเรื่องสาคัญอย่างมากต่อการดาเนินงาน
ด้านการต่อต้านการทุจรติ ตามคาปราศรัยของประธานท่ีได้กล่าวต่อท่ีประชุมองค์การสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก
สหรัฐอเมริกา เมื่อปี พ.ศ. 2558 ว่า “การทุจริตเป็นหน่ึงในความท้าทายที่มีความสาคัญมากในศตวรรษที่ 21
ผู้นาโลกควรจะเพ่ิมความพยายามข้ึนเปน็ สองเท่าท่ีจะสร้างเครอ่ื งมือท่ีมีความเขม้ แข็ง เพื่อร้ือระบบการทุจริต
ท่ซี ่อนอยู่ออกให้หมดและนาทรัพย์สินกลับคืนให้กบั ประเทศต้นทางทถี่ ูกขโมยไป…” ทั้งน้ี ไม่เพียงแต่ผู้นาโลก
เท่าน้ันท่ีต้องจริงจังมากขึ้นกับการต่อต้านการทุจริต เราทุกคนในฐานะประชากรโลกก็มีความจาเป็นท่ีจะต้อง
เอาจริงเอาจังกับการต่อต้านการทุจริตเช่นเดียวกัน โดยทั่วไปอาจมองว่าเป็นเร่ืองไกลตัวแต่แท้ท่ีจริงแล้ว
การทุจริตนั้นเป็นเร่ืองใกล้ตัวทุกคนในสังคมมาก การเปลีย่ นแปลงระบบวิธีการคิดเป็นเร่ืองสาคัญ หรือ
ความสามารถในการแยกแยะระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนออกจากผลประโยชน์ส่วนรวมเป็นส่ิงจาเป็นที่จะต้อง
เกิดข้ึนกับทุกคนในสังคม ต้องมีความตระหนักได้ว่าการกระทาใดเป็นการล่วงล้าสาธารณประโยชน์ การกระทาใด
เป็นการกระทาที่อาจเกิดการทับซ้อนระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนและผลประโยชน์ส่วนรวม ต้องคานึงถึง
ประโยชนข์ องประเทศชาติเปน็ อนั ดับแรกกอ่ นที่จะคานึงถึงผลประโยชน์สว่ นตนหรอื พวกพ้อง

การทุจริตในสังคมไทยระหว่างช่วงกว่าทศวรรษท่ีผ่านมาส่งผลเสียต่อประเทศอย่างมหาศาล และ
เป็นอุปสรรคสาคัญต่อการพัฒนาประเทศในทุกมิติ รูปแบบการทุจริตจากเดิมที่เป็นการทุจริตทางตรงไม่ซับซ้อน
อาทิ การรับสินบน การจัดซื้อจัดจ้าง ในปัจจุบันได้ปรับเปล่ียนเป็นการทุจริตท่ีซับซ้อนมากข้ึน ตัวอย่างเช่น
การทุจริตโดยการทาลายระบบการตรวจสอบการใช้อานาจรัฐ การกระทาที่เป็นการขัดกันแห่งผลประโยชน์หรือ
ผลประโยชน์ทบั ซ้อนและการทุจรติ เชงิ นโยบาย

ประเทศไทยมีความพยายามแก้ไขปัญหาการทุจริต โดยหน่วยงานท่ีเกี่ยวข้องได้ร่วมกันสร้างเคร่ืองมือกลไก
และกาหนดเป้าหมายสาหรับการปฏิบัติงานด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริต เร่ิมตั้งแต่ช่วงปี พ.ศ. 2551
จนถึงปัจจุบัน การดาเนินงานได้สร้างความตื่นตัวและเข้ามามีส่วนร่วมในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต
ตามบทบาทของแต่ละหน่วยงาน จึงมีความจาเป็นอย่างย่ิงที่จะต้องปรับฐานความคิดและสร้างความตระหนักรู้
ให้ทกุ ภาคสว่ นของสังคม

สาหรับประเทศไทยได้กาหนดทิศทางการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ซ่ึงมีความสอดคล้องกับ
สถานการณ์ทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม และความรุนแรง รวมถึงการสร้างความตระหนักในการ
ประพฤติปฏิบัติตนด้วยความซ่ือสัตย์ สุจริตของคนในสังคม ทั้งน้ี สานักงาน ป.ป.ช. ในฐานะองค์กรหลัก
ด้านการดาเนินงานป้องกันและปราบปรามการทุจริต รวมท้ังบูรณาการการทางานด้านการต่อต้านการทุจริต
เข้ากับทุกภาคส่วน ดังนั้น สาระสาคัญที่มีความเช่ือมโยงกับทิศทางการป้องกันและปราบปรามการทุจริต
ท่ีสานกั งาน ป.ป.ช. มีดงั น้ี

1. รฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย พุทธศักราช 2560
2. วาระการปฏริ ปู ที่ 1 การป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบของสภาปฏริ ูปแห่งชาติ
3. ยุทธศาสตรช์ าติระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2560 – 2579)
4. แผนพฒั นาเศรษฐกิจและสงั คมแหง่ ชาติ ฉบบั ท่ี 12 (พ.ศ. 2560 – 2564)
5. โมเดลประเทศไทยส่คู วามมัน่ คง ม่ังค่ัง และยง่ั ยนื (Thailand 4.0)
6. ยุทธศาสตรช์ าตวิ ่าด้วยการป้องกนั และปราบปรามการทุจริต ระยะที่ 3 (พ.ศ. 2560 – 2564)

หลักสตู รรายวิชาเพ่ิมเติม “การป้องกนั การทจุ รติ ” : 37

- ๓๕ -

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 กาหนดในหมวดท่ี 4 หน้าที่ของประชาชน
ชาวไทยว่า “...บุคคลมีหน้าที่ไม่ร่วมมือหรือสนับสนุนการทุจริต และประพฤติมิชอบทุกรูปแบบ” ถือได้ว่าเป็น
คร้ังแรกท่ีรัฐธรรมนูญได้กาหนดให้การป้องกันและปราบปรามการทุจรติ เป็นหน้าท่ีของประชาชนชาวไทยทุกคน
นอกจากนี้ ยังกาหนดชัดเจนในหมวดท่ี 5 หน้าที่ของรัฐว่า “รัฐต้องส่งเสริม สนับสนุน และให้ความรู้แก่ประชาชน
ถึงอันตรายท่ีเกิดจากการทุจริตและประพฤติมิชอบท้ังภาครัฐและภาคเอกชน และจัดให้มีมาตรการและกลไก
ท่ีมีประสิทธิภาพเพื่อป้องกันและขจัดการทุจริต และประพฤติมิชอบดังกล่าวอย่างเข้มงวด รวมท้ังกลไกในการ
สง่ เสริมให้ประชาชนรวมตัวกัน เพ่ือมีส่วนร่วมในการรณรงค์ให้ความรู้ตอ่ ต้านการทุจริตหรือช้ีเบาะแส โดยได้รับ
ความคุ้มครองจากรัฐตามท่ีกฎหมายบัญญัติ” การบริหารราชการแผ่นดินรฐั ต้องเสริมสรา้ งให้ประชาชนได้รับบรกิ าร
ท่ีสะดวก มีประสิทธิภาพท่ีสาคัญ คือ ไม่เลือกปฏิบัติตามหลักการบริหารกิจการบ้านเมืองท่ีดี ซึง่ การบริหารงาน
บุคคลของหน่วยงานของรัฐต้องเป็นไปตามระบบคุณธรรมตามท่ีกฎหมายบัญญัติ โดยอย่างน้อยต้องมีมาตรการ
ป้องกันมิให้ผู้ใดใช้อานาจหรือกระทาการโดยมิชอบแทรกแซงการปฏิบัติหน้าท่ี หรือกระบวนการแต่งตั้ง หรือ
การพิจารณาความดีความชอบของเจา้ หน้าที่ของรัฐ และรัฐต้องจัดให้มีมาตรฐานทางจริยธรรม เพื่อให้หน่วยงาน
ใช้เป็นหลักในการกาหนดประมวลจริยธรรมสาหรับเจ้าหน้าที่ในหน่วยงาน ซ่ึงต้องไม่ต่ากว่ามาตรฐาน
ทางจริยธรรมดังกล่าว การท่ีรฐั ธรรมนญู ได้ให้ความสาคัญตอ่ การบรหิ ารราชการท่ีมีประสิทธิภาพและการบริหาร
บุคคลที่มีคุณธรรมนั้น สืบเน่ืองมาจากช่วงระยะเวลาท่ีผ่านมาได้เกิดปัญหาท่ีเก่ียวข้องกับการบริหารบุคคล
มีการโยกย้ายแต่งต้ังท่ีไม่เป็นธรรม บังคับหรือชี้นาให้ข้าราชการหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติงานโดยไม่ยึดมั่น
ในหลักผลประโยชน์แห่งรัฐ รวมถึงการมงุ่ เน้นการแสวงหาผลประโยชน์ใหก้ ับตนเองรวมถึงพวกพ้อง รฐั ธรรมนูญ
แห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 จึงได้มีความพยายามทีจ่ ะแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าต้องการสร้าง
ประสิทธิภาพในระบบการบริหารงานราชการแผ่นดิน และเจ้าหน้าที่ของรัฐต้องยึดมั่นในหลักธรรมาภิบาล และ
มีคณุ ธรรมจรยิ ธรรมตามทกี่ าหนดเอาไว้

วาระการปฏิรูปท่ี 1 การป้องกนั และปราบปรามการทุจริตและประพฤติมชิ อบของสภาปฏิรูปแหง่ ชาติ
สภาปฏิรูปแห่งชาติในฐานะองค์กรที่มบี ทบาทและอานาจหน้าที่ในการปฏิรูปกลไก และปฏิบัติงานด้านการบรหิ าร
ราชการแผ่นดิน ได้มีข้อเสนอเพื่อปฏริ ูปด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมชิ อบ เพื่อแก้ไข
ปญั หาดงั กล่าวให้เปน็ ระบบมีประสิทธิภาพ ยง่ั ยืน เป็นรูปธรรม ปฏบิ ัติได้สอดคลอ้ งกบั มาตรฐานสากลและบรบิ ท
ของสังคมไทย โดยเสนอให้มียทุ ธศาสตร์การแก้ไขปัญหา 3 ยุทธศาสตร์ ประกอบด้วย (1) ยุทธศาสตร์การปลูกฝัง
“คนไทย ไม่โกง” เพ่ือปฏิรูปคนให้มีจิตสานึก สร้างจิตสานึกท่ีตัวบุคคลรับผิดชอบชวั่ ดีอะไรควรทา อะไรไม่ควรทา
มองว่าการทุจริตเป็นเรือ่ งน่ารังเกียจเป็นการเอาเปรียบสังคมและสังคมไม่ยอมรับ (2) ยุทธศาสตร์การป้องกัน
ด้วยการเสริมสร้างสังคมธรรมาภิบาล เพ่ือเป็นระบบป้องกันการทุจริต เสมือนการสร้างระบบภูมิต้านทานแก่
ทุกภาคส่วนในสังคม (3) ยุทธศาสตร์การปราบปรามเพ่ือปฏิรูประบบและกระบวนการจัดการต่อกรณีการทุจริต
ให้มีประสิทธิภาพ ให้สามารถเอาตัวผู้กระทาความผิดมาลงโทษได้ ซ่ึงจะทาให้เกิดความเกรงกลัวไม่กล้า
ที่จะกระทาการทจุ รติ ข้ึนอกี ในอนาคต

ยทุ ธศาสตรช์ าติระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2560 - 2579) สภาขับเคล่ือนการปฏิรูปประเทศได้กาหนดให้
กฎหมายวา่ ด้วยยทุ ธศาสตร์ชาติมผี ลบังคับภายในปี พ.ศ. 2559 หรือภายในรัฐบาลน้ี และกาหนดให้หน่วยงาน
ของรัฐทุกหน่วยงานนายุทธศาสตร์ชาติ ยุทธศาสตร์ด้านต่างๆ แผนพัฒนาด้านต่างๆ มาเป็นแผนแม่บทหลัก
ในการกาหนดแผนปฏิบตั ิการและแผนงบประมาณ ยทุ ธศาสตรช์ าติดงั กล่าวเป็นยุทธศาสตร์ทย่ี ึดวัตถปุ ระสงคห์ ลัก
แห่งชาตเิ ป็นแมบ่ ทหลัก ทศิ ทางดา้ นการป้องกันและปราบปรามการทุจริต การสร้างความโปร่งใสและธรรมาภิบาล
ในการบริหารราชการแผ่นดนิ ของหน่วยงานภาครัฐทกุ หนว่ ยงานจะถูกกาหนดจากยุทธศาสตร์ชาติ

หลกั สตู รรายวชิ าเพม่ิ เตมิ “การป้องกนั การทจุ รติ ” : 38 - ๓๖ -

สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปแห่งชาติ วางกรอบยุทธศาสตร์ชาติ ในระยะ 20 ปี โดยมีกรอบวิสัยทัศน์
“ประเทศไทยมีความมั่นคง ม่ังค่ัง ยั่งยืน เป็นประเทศพัฒนาแล้ว ด้วยการพัฒนาตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจ
พอเพียง” คติพจน์ประจาชาติว่า “มั่นคง ม่ังค่ัง ย่ังยืน” ประกอบด้วย 6 ยุทธศาสตร์ คือ ยุทธศาสตร์ท่ี 1
ความม่ันคง ยุทธศาสตร์ท่ี 2 การสร้างความสามารถในการแข่งขัน ยุทธศาสตร์ท่ี 3 การพัฒนาและเสริมสร้าง
ศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ ยุทธศาสตร์ท่ี 4 การสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม ยุทธศาสตร์ที่ 5
การสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตท่ีเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และยุทธศาสตร์ที่ 6 การปรับสมดุลและพัฒนา
ระบบการบริหารจัดการภาครัฐ ในยุทธศาสตร์ท่ี 6 ได้กาหนดกรอบแนวทางที่สาคัญ 7 แนวทาง ประกอบด้วย
(1) การปรับปรุงการบริหารจัดการรายได้และรายจ่ายของภาครัฐ (2) การพัฒนาระบบการให้บริการประชาชน
ของหน่วยงานภาครัฐ (3) การปรับปรงุ บทบาท ภารกิจ และโครงสร้างของหน่วยงานภาครัฐให้มีขนาดที่เหมาะสม
(4) การวางระบบบริหารงานราชการแบบบูรณาการ (5) การพัฒนาระบบบริหารจัดการกาลังคนและพัฒนา
บุคลากรภาครัฐในการปฏิบัติราชการ (6) การต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ (7) การปรับปรุงแก้ไข
กฎหมาย ระเบียบ และข้อบังคับให้มีความชัดเจน ทันสมัย เป็นธรรม และสอดคล้องกับข้อบังคับสากลหรือ
ข้อตกลงระหว่างประเทศ ตลอดจนพัฒนาหน่วยงานภาครัฐและบุคลากรที่มีหน้าท่ีเสนอความเห็นทางกฎหมาย
ใหม้ ีศกั ยภาพ

แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2560 – 2564) กาหนดในยุทธศาสตร์ที่ 6
การบรหิ ารจัดการภาครฐั การป้องกันการทุจริตและประพฤติมชิ อบและธรรมาภบิ าลในสังคมไทย ในยทุ ธศาสตร์นี้
ได้กาหนดกรอบ แนวทางการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและคอร์รัปชัน มุ่งเน้นการส่งเสริม และพัฒนา
ปลูกฝังค่านิยม วัฒนธรรม วิธีคิดและกระบวนทัศน์ให้คนมีความตระหนัก มีความรู้เท่าทันและมีภูมิต้านทาน
ต่อโอกาสและการชักจูงให้เกิดการทุจริตคอร์รัปชันและมีพฤติกรรมไม่ยอมรับการทุจริตประพฤติมิชอบ รวมทั้ง
สนับสนุนทุกภาคส่วนในสังคมได้เข้ามามีส่วนร่วมในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต และมุ่งเน้นให้เกิด
การส่งเสริมธรรมาภิบาลในภาคเอกชน เพื่อเป็นการตัดวงจรการทุจริตระหว่างนักการเมือง ข้าราชการ และ
นักธรุ กิจออกจากกนั ทั้งน้ี การบรหิ ารงานของสว่ นราชการตอ้ งมคี วามโปร่งใสและตรวจสอบได้

โมเดลประเทศไทยสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง และย่ังยนื (Thailand 4.0) เป็นโมเดลที่น้อมนาหลกั ปรัชญา
ของเศรษฐกิจพอเพียงมาเป็นแนวคิดหลักในการบริหารประเทศ ถอดรหัสออกมาเป็น 2 ยุทธศาสตร์สาคัญ คือ
(1) การสร้างความเข้มแข็งจากภายใน (Strength from Within) และ (2) การเชื่อมโยงกับประชาคมโลก
ในยุทธศาสตร์การสร้างความเข้มแข็งจากภายใน Thailand 4.0 เน้นการปรับเปลี่ยน 4 ทิศทางและเน้นการพัฒนา
ท่สี มดุลใน 4 มิติ มิติท่ีหยิบยก คอื การยกระดับศักยภาพและคุณค่าของมนษุ ย์ (Human Wisdom) ดว้ ยการพฒั นา
คนไทยให้เป็น “มนุษย์ที่สมบูรณ์” ผ่านการปรับเปล่ียนระบบนิเวศน์ การเรียนรู้เพื่อเสริมสร้างแรงบันดาลใจ
บ่มเพาะความคิดสร้างสรรค์ ปลูกฝังจิตสาธารณะ ยึดประโยชน์ส่วนรวมเป็นทีต่ ัง้ มีความซื่อสัตย์ สุจริต มีวินัย
มคี ุณธรรมจริยธรรม มีความรบั ผดิ ชอบ เน้นการสร้างคณุ ค่ารว่ ม และคา่ นิยมที่ดี คอื สังคมที่มีความหวัง (Hope)
สังคมทีเ่ ปย่ี มสุข (Happiness) และสังคมทมี่ คี วามสมานฉันท์ (Harmony)

ยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ระยะท่ี 3 (พ.ศ. 2560 – 2564)
ท่ีกาหนดวิสัยทัศน์ “ประเทศไทยใสสะอาด ไทยทั้งชาติต้านทุจริต” (Zero Tolerance & Clean Thailand)
กาหนดยุทธศาสตร์หลักออกเป็น 6 ยุทธศาสตร์ ยุทธศาสตร์ที่สาคัญ คือ ยุทธศาสตร์ที่ 1 สร้างสังคมที่ไม่ทนต่อ
การทุจริต เป็นยุทธศาสตร์ท่ีมุ่งเน้นกระบวนการปรับสภาพทางสังคมให้เกิดภาวะ “ไม่ทนต่อการทุจริต” โดย
เริ่มตั้งแต่กระบวนการกล่อมเกลาทางสังคม สร้างวัฒนธรรมต่อต้านการทุจริต ปลูกฝังความพอเพียง มีวินัย

- ๓๗ - หลักสูตรรายวิชาเพิม่ เติม “การปอ้ งกันการทจุ รติ ” : 39

ซ่ือสัตย์ สุจริต มีจิตสาธารณะ จิตอาสา และความเสียสละเพ่ือส่วนรวม ปลูกฝังความคิดแบบดิจิทัล (Digital
Thinking) ให้สามารถคิดแยกแยะระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนและผลประโยชน์ส่วนรวม และประยุกต์
หลกั ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพียงเป็นเครือ่ งมือต้านทุจรติ

สาระสาคัญทั้ง 6 ด้าน ดังกล่าวน้ีจะเป็นเครื่องมือช้ีนาทิศทางการปฏิบัติงานและการบูรณาการ
ด้านต่อต้านการทุจริตของประเทศ โดยมีสานักงาน ป.ป.ช. เป็นองค์กรหลักในการบูรณาการงานของภาคส่วนต่างๆ
เข้าด้วยกัน และเพอ่ื ใหเ้ ป็นไปในทิศทางเดยี วกัน
2. ทฤษฎี ความหมาย และรูปแบบของการขัดกันระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนและผลประโยชน์ส่วนรวม
(Conflict of interests)

คาว่า Conflict of Interests มีผู้ให้คาแปลเป็นภาษาไทยไว้หลากหลาย เช่น “การขัดกันแห่งผลประโยชน์
ส่วนตนและผลประโยชน์ส่วนรวม” หรือ “การขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนตนและประโยชน์ส่วนรวม” หรือ
“การขัดกันระหว่างผลประโยชน์สาธารณะและผลประโยชน์ส่วนตน” หรือ “ประโยชน์ทับซ้อน” หรือ
“ผลประโยชน์ทับซ้อน” หรือ “ผลประโยชน์ขัดกัน” หรือบางท่านแปลว่า “ผลประโยชนข์ ัดแย้ง” หรือ “ความขัดแย้ง
ทางผลประโยชน์”

การขัดกันระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนและผลประโยชน์ส่วนรวม หรือทเี่ รยี กว่า Conflict of Interests
นนั้ ก็มีลักษณะทานองเดียวกันกับกฎศลี ธรรม ขนบธรรมเนียม จารีตประเพณี หลักคุณธรรม จริยธรรม กล่าวคือ
การกระทาใดๆ ที่เป็นการขัดกันระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนและผลประโยชน์ส่วนรวม เป็นสิ่งท่ีควรหลีกเลี่ยง
ไม่ควรจะกระทา แต่บุคคลแต่ละคน แต่ละกลุ่ม แต่ละสังคม อาจเห็นว่าเรื่องใดเป็นการขัดกันระหว่างประโยชน์
ส่วนตนกับประโยชน์ส่วนรวมแตกต่างกันไป หรือเมื่อเห็นว่าเป็นการขัดกันแล้วยังอาจมีระดับของความหนักเบา
แตกต่างกัน อาจเห็นแตกต่างกันว่าเรื่องใดกระทาได้ กระทาไม่ได้ แตกต่างกันออกไปอีก และในกรณีที่มกี ารฝ่าฝืน
บางเร่ืองบางคนอาจเห็นว่าไม่เป็นไร เป็นเร่ืองเล็กน้อย หรืออาจเห็นเป็นเรื่องใหญ่ ต้องถูกประณาม ตาหนิ ติฉิน
นินทา ว่ากลา่ ว ฯลฯ แตกตา่ งกนั ตามสภาพของสงั คม

โดยพ้ืนฐานแล้ว เร่ืองการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนตนและประโยชน์ส่วนรวม เป็นกฎศีลธรรม
ประเภทหน่ึงท่ีบคุ คลไม่พึงละเมิดหรอื ฝ่าฝนื แตเ่ นื่องจากมกี ารฝา่ ฝืนกนั มากขน้ึ และบุคคลผู้ฝา่ ฝนื ก็ไม่มคี วามเกรงกลัว
หรือละอายต่อการฝ่าฝืนน้ัน สังคมก็ไม่ลงโทษหรือลงโทษไม่เพียงพอที่จะมีผลห้ามการกระทาดังกล่าว และ
ในท่ีสุดเพ่ือหยุดยั้งเร่ืองดังกล่าวนี้ จึงมีการตรากฎหมายท่ีเก่ียวข้องกับการขัดกันแห่งผลประโยชน์มากข้ึน
และเปน็ เรือ่ งทสี่ ังคมใหค้ วามสนใจมากข้ึนตามลาดบั

ค่มู ือการปฏิบัติสาหรบั เจ้าหน้าที่ของรัฐ เพื่อมใิ ห้ดาเนินกิจการท่ีเป็นการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนตน
และประโยชน์ส่วนรวม แห่งกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ได้ให้
ความหมายไว้ ดงั นี้

“ประโยชน์ส่วนตน (Private Interests) คือ การที่บุคคลท่ัวไปในสถานะเอกชน หรอื เจ้าหนา้ ท่ีของรัฐ
ในสถานะเอกชนได้ทากิจกรรมหรือได้กระทาการต่างๆ เพ่ือประโยชน์ส่วนตน ครอบครัว เครือญาติ พวกพ้อง
หรือของกลุ่มในสังคมที่มีความสัมพันธ์กันในรูปแบบต่างๆ เช่น การประกอบอาชีพ การทาธุรกิจ การค้า
การลงทนุ เพื่อหาประโยชน์ในทางการเงินหรอื ในทางธรุ กิจ เปน็ ตน้ ”

หลกั สตู รรายวชิ าเพ่มิ เติม “การป้องกันการทุจรติ ” : 40 - ๓๘ -

“ประโยชน์สว่ นรวมหรอื ประโยชนส์ าธารณะ (Public Interests) คอื การท่ีบุคคลใดๆ ในสถานะท่ีเป็น
เจ้าหน้าที่ของรัฐ (ผู้ดารงตาแหน่งทางการเมือง ข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ
ในหน่วยงานของรัฐ) ได้กระทาการใดๆ ตามหน้าที่หรือได้ปฏิบัติหน้าท่ีอันเป็นการดาเนินการในอีกส่วนหนึ่ง
ที่แยกออกมาจากการดาเนินการตามหน้าที่ในสถานะของเอกชน การกระทาการใดๆ ตามหน้าที่ของเจ้าหน้าท่ี
ของรัฐจึงมีวัตถุประสงค์หรือมีเป้าหมายเพื่อประโยชน์ของส่วนรวม หรือการรักษาประโยชน์ส่วนรวมที่เป็น
ประโยชน์ของรัฐ การทาหน้าท่ีของเจ้าหน้าที่ของรัฐจึงมีความเก่ียวเนื่องเช่ือมโยงกับอานาจหน้าท่ีตามกฎหมาย
และจะมีรปู แบบของความสมั พันธ์หรือมีการกระทาในลักษณะต่างๆ กันทเ่ี หมือนหรือคล้ายกับการกระทาของบคุ คล
ในสถานะเอกชน เพียงแต่การกระทาในสถานะที่เป็นเจ้าหน้าท่ีของรัฐกับการกระทาในสถานะเอกชน จะมี
ความแตกต่างกนั ทีว่ ัตถุประสงค์ เปา้ หมายหรือประโยชน์สุดทา้ ยทีแ่ ตกต่างกัน”

“การขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนตนและประโยชน์ส่วนรวม หรือผลประโยชน์ทับซ้อน (Conflict of
interests) คือ การท่ีเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทาการใดๆ หรือดาเนินการในกิจการสาธารณะท่ีเป็นการดาเนินการ
ตามอานาจหน้าที่หรือความรับผิดชอบในกิจการของรัฐหรือองค์กรของรัฐ เพ่ือประโยชน์ของรัฐหรือ
เพ่ือประโยชน์ของส่วนรวม แต่เจ้าหน้าท่ีของรัฐได้มีผลประโยชน์ส่วนตนเข้าไปแอบแฝง หรือเป็นผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสีย
ในรูปแบบต่างๆ หรือนาประโยชน์ส่วนตนหรือความสัมพันธ์ส่วนตนเข้ามามีอิทธิพลหรือเกี่ยวข้องในการใช้
อานาจหน้าท่ีหรือดุลยพินิจในการพิจารณาตัดสินใจในการกระทาการใดๆ หรือดาเนินการดังกล่าวน้ั น
เพ่อื แสวงหาประโยชนใ์ นทางการเงินหรือประโยชน์อ่ืนๆ สาหรบั ตนเองหรอื บคุ คลใดบุคคลหน่งึ ”
ความสมั พันธร์ ะหว่าง “การขดั กนั ระหวา่ งประโยชนส์ ว่ นตนกบั ประโยชน์ส่วนรวม” “จรยิ ธรรม” และ “การทุจริต”

“จริยธรรม” เป็นกรอบใหญ่ทางสังคมท่ีเป็นพื้นฐานของแนวคิดเก่ียวกับการขัดกันระหว่างประโยชน์
ส่วนตนและประโยชน์สว่ นรวมและการทุจรติ การกระทาใดท่ีผิดตอ่ กฎหมายวา่ ด้วยการขัดกันระหว่างประโยชน์
ส่วนตนและประโยชนส์ ่วนรวมและการทุจริตยอ่ มเปน็ ความผดิ จริยธรรมด้วย

แต่ตรงกันข้าม การกระทาใดท่ีฝ่าฝืนจริยธรรม อาจไม่เป็นความผิดเกี่ยวกับการขัดกันระหว่า ง
ประโยชน์ส่วนตนและประโยชน์ส่วนรวมและการทุจริต เช่น มีพฤติกรรมส่วนตัวไม่เหมาะสม มีพฤติกรรมชู้สาว
เปน็ ตน้

- ๓๙ -

หลกั สตู รรายวิชาเพิม่ เติม “การป้องกนั การทจุ ริต” : 41

“จริยธรรม” เป็นหลักสาคัญในการควบคุมพฤติกรรมของเจ้าหน้าท่ีของรัฐ
เปรียบเสมือนโครงสร้างพนื้ ฐานท่เี จา้ หน้าทขี่ องรฐั ต้องยึดถือปฏิบตั ิ

“การขัดกนั ระหวา่ งผลประโยชน์สว่ นตนและผลประโยชน์สว่ นรวม” เป็นพฤตกิ รรม
ท่ีอยู่ระหว่างจริยธรรมกับการทุจริตที่จะก่อให้เกิดผลประโยชน์ส่วนตนกระทบต่อ
ผลประโยชนส์ ่วนรวม ซึ่งพฤติกรรมบางประเภทมีการบัญญัติเปน็ ความผดิ ทางกฎหมาย
มีบทลงโทษชดั เจนแตพ่ ฤตกิ รรมบางประเภทยงั ไมม่ ีการบญั ญัติข้อหา้ มไว้ในกฎหมาย

“การทุจริต” เป็นพฤติกรรมท่ีฝ่าฝืนกฎหมายโดยตรง ถือเป็นความผิดอย่างชัดเจน
สังคมส่วนใหญ่จะมีการบัญญัติกฎหมายออกมารองรับ มีบทลงโทษชัดเจน ถือเป็นความผิด
ข้นั รนุ แรงท่ีสดุ ท่เี จ้าหนา้ ที่ของรัฐตอ้ งไม่ปฏิบัติ

“เจ้าหน้าที่ของรัฐท่ีขาดจริยธรรมในการปฏิบัติหน้าท่ี” โดยเข้าไปกระทาการใดๆ
ที่เป็นการขัดกนั ระหวา่ งประโยชน์ส่วนตนและประโยชนส์ ว่ นรวม ถอื วา่ เจ้าหน้าทข่ี องรัฐผนู้ ้ัน
ขาดความชอบธรรมในการปฏิบตั หิ นา้ ทแ่ี ละจะเปน็ ต้นเหตุของการทจุ ริตต่อไป

หลักสตู รรายวชิ าเพม่ิ เตมิ “การปอ้ งกนั การทจุ รติ ” : 42 - ๔๐ -

รปู แบบของการขดั กนั ระหวา่ งประโยชนส์ ่วนตนและประโยชน์ส่วนรวม
การขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนตนและประโยชน์ส่วนรวมมี ได้หลายรูปแบบไม่จากัดอยู่เฉพาะ

ในรูปแบบของตัวเงิน หรือทรัพย์สินเท่านั้น แต่รวมถึงผลประโยชน์อ่ืนๆ ที่ไม่ได้อยู่ในรูปแบบของตัวเงินหรือ
ทรัพย์สินด้วย ทั้งนี้ John Langford และ Kenneth Kernaghan ได้จาแนกรูปแบบของการขัดกันระหว่าง
ประโยชน์ส่วนตนและประโยชน์ส่วนรวม ออกเปน็ 7 รปู แบบ คือ

๑) การรับผลประโยชน์ต่างๆ (Accepting benefits) ซึ่งผลประโยชน์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สิน
ของขวัญ การลดราคา การรับความบันเทิง การรับบริการ การรับการฝึกอบรม หรือสิ่งอื่นใดในลักษณะเดียวกันนี้
และผลจากการรับผลประโยชน์ต่างๆ น้ัน ได้ส่งผลต่อการตัดสินใจของเจ้าหน้าที่ของรัฐในการดาเนินการ
ตามอานาจหน้าท่ี

๒) การทาธุรกิจกับตนเอง (Self – dealing) หรือเป็นคู่สัญญา (Contracts) เป็นการท่ีเจ้าหน้าที่
ของรัฐ โดยเฉพาะผู้มีอานาจในการตัดสินใจเข้าไปมีส่วนได้ส่วนเสียในสัญญาท่ีทากับหน่วยงานท่ีตนสังกัด โดย
อาจจะเป็นเจ้าของบริษัทที่ทาสัญญาเอง หรือเป็นของเครือญาติ สถานการณ์เช่นน้ีเกิดบทบาทท่ีขัดแย้ง หรือ
เรยี กได้วา่ เปน็ ทง้ั ผูซ้ ือ้ และผ้ขู ายในเวลาเดียวกัน

๓) การทางานหลังจากออกจากตาแหน่งหน้าที่สาธารณะหรอื หลังเกษียณ (Post – employment)
เป็นการที่เจ้าหน้าที่ของรัฐลาออกจากหน่วยงานของรัฐ และไปทางานในบริษัทเอกชนทีด่ าเนินธุรกิจประเภท
เดียวกันหรือบริษัทท่ีมีความเก่ียวข้องกับหน่วยงานเดิม โดยใชอ้ ิทธิพลหรือความสัมพันธจ์ ากที่เคยดารงตาแหน่ง
ในหนว่ ยงานเดมิ นั้นหาประโยชน์จากหนว่ ยงานใหก้ ับบรษิ ัทและตนเอง

๔) การทางานพิเศษ (Outside employment or moonlighting) ในรูปแบบน้ีมีได้หลายลักษณะ
ไม่ว่าจะเป็นการที่เจ้าหน้าที่ของรัฐตั้งบริษัทดาเนินธุรกิจทีเ่ ป็นการแข่งขันกับหน่วยงานหรือองค์การสาธารณะ
ท่ีตนสังกัด หรือการรับจ้างพิเศษเป็นที่ปรึกษาโครงการ โดยอาศัยตาแหน่งในราชการสร้างความน่าเชื่อถือว่า
โครงการของผวู้ ่าจา้ งจะไม่มปี ญั หาตดิ ขัดในการพิจารณาจากหนว่ ยงานที่ปรึกษาสงั กัดอยู่

๕) การรูข้ ้อมูลภายใน (Inside information) เป็นสถานการณ์ที่เจ้าหน้าที่ของรัฐใช้ประโยชน์
จากการที่ตนเองรับรู้ข้อมูลภายในหน่วยงาน และนาข้อมูลนั้นไปหาผลประโยชน์ให้กับตนเองหรือพวกพ้อง
อาจจะไปหาประโยชน์โดยการขายขอ้ มลู หรือเอาประโยชน์เสียเอง

๖) การใช้ทรัพย์สินของราชการเพ่ือประโยชน์ธุรกิจส่วนตัว (Using your employer’s property
for private advantage) เป็นการที่เจ้าหน้าท่ีของรัฐนาเอาทรัพย์สินของราชการซ่ึงจะต้องใช้เพ่ือประโยชน์
ของทางราชการเท่านั้น ไปใช้เพื่อประโยชน์ของตนเองหรือพวกพ้อง หรือการใช้ให้ผู้ใต้บังคับบัญชาไปทางาน
สว่ นตวั

๗) การนาโครงการสาธารณะลงในเขตเลือกตั้งเพือ่ ประโยชน์ทางการเมือง (Pork – barreling)
เป็นการท่ีผู้ดารงตาแหน่งทางการเมืองหรือผู้บริหารระดับสูงอนุมัติโครงการไปลงพื้นท่ีหรือบ้านเกิดของตนเอง
หรือการใช้งบประมาณสาธารณะเพอื่ หาเสยี ง

ท้ังนี้ เมื่อพิจารณา “ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนตน
และประโยชนส์ ว่ นรวม พ.ศ. ....” ทาใหม้ ีรูปแบบเพม่ิ เตมิ จากทก่ี ลา่ วมาแลว้ ขา้ งต้นอกี 2 กรณี

- ๔๑ - หลักสูตรรายวชิ าเพิม่ เติม “การปอ้ งกนั การทุจรติ ” : 43

๘) การใช้ตาแหน่งหน้าที่แสวงหาประโยชน์แก่เครือญาติหรือพวกพ้อง (Nepotism) หรือ
อาจจะเรยี กว่าระบบอปุ ถัมภ์พิเศษ เป็นการที่เจ้าหน้าที่ของรฐั ใช้อทิ ธิพลหรอื ใช้อานาจหน้าที่ทาให้หน่วยงานของตน
เข้าทาสญั ญากบั บรษิ ทั ของพี่นอ้ งของตน

๙) การใชอ้ ิทธพิ ลเข้าไปมีผลต่อการตัดสินใจของเจ้าหน้าที่รฐั หรือหน่วยงานของรัฐอื่น (Influence)
เพ่ือให้เกิดประโยชน์แก่ตนเองหรือพวกพ้อง โดยเจ้าหน้าที่ของรัฐใช้ตาแหน่งหน้าท่ีข่มขู่ผู้ใต้บังคับบัญชาให้หยุด
ทาการตรวจสอบบรษิ ทั ของเครือญาตขิ องตน

ตวั อยา่ ง การขัดกันระหวา่ งผลประโยชน์ส่วนตนและผลประโยชน์สว่ นรวมในรปู แบบต่างๆ

1. การรับผลประโยชนต์ า่ งๆ

๑.๑ นายสุจริต ข้าราชการช้ันผู้ใหญ่ ได้เดินทางไปปฏิบัติราชการในพ้ืนท่ีจังหวัดราชบุรี ซึ่งในวัน
ดังกล่าว นายรวย นายก อบต. แหง่ หนึง่ ได้มอบงาช้างจานวนหนึง่ ค่ใู หแ้ ก่ นายสจุ รติ เพ่ือเปน็ ของท่รี ะลึก

๑.๒ การทีเ่ จ้าหนา้ ทข่ี องรัฐรับของขวญั จากผูบ้ ริหารของบรษิ ัทเอกชน เพอ่ื ชว่ ยให้บริษทั เอกชนรายน้ัน
ชนะการประมลู รบั งานโครงการขนาดใหญข่ องรัฐ

๑.๓ การท่ีบริษัทแห่งหน่ึงให้ของขวัญเป็นทองคา มูลค่ามากกว่า 10 บาท แก่เจ้าหน้าที่ในปีที่ผ่านมา
และปีน้ีเจ้าหน้าที่เร่งรัดคืนภาษีให้กับบริษัทน้ันเป็นกรณีพิเศษ โดยลัดคิวให้ก่อนบริษัทอื่นๆ เพราะคาดว่า
จะได้รบั ของขวญั อีก

๑.๔ การที่เจ้าหน้าที่ของรัฐไปเป็นคณะกรรมการของบริษัทเอกชน หรือรัฐวิสาหกิจและได้รับ
ความบันเทิงในรูปแบบต่างๆ จากบริษัทเหล่านั้น ซ่ึงมีผลต่อการให้คาวินิจฉัย หรือข้อเสนอแนะท่ีเป็นธรรม หรือ
เป็นไปในลักษณะทีเ่ อ้ือประโยชน์ต่อบริษัทผูใ้ ห้น้นั ๆ

๑.๕ เจ้าหน้าที่ของรัฐได้รับชุดไม้กอล์ฟจากผู้บริหารของบริษัทเอกชน เม่ือต้องทางานที่เก่ียวข้องกับ
บริษทั เอกชนแหง่ น้ันกช็ ว่ ยเหลอื ใหบ้ รษิ ทั นน้ั ไดร้ บั สมั ปทาน เนอ่ื งจากรสู้ กึ ว่าควรตอบแทนที่เคยได้รับของขวัญมา

2. การทาธรุ กิจกบั ตนเองหรือเปน็ คสู่ ญั ญา

2.1 การท่ีเจ้าหน้าท่ีในกระบวนการจัดซ้ือจัดจ้างทาสัญญาให้หน่วยงานต้นสังกัดซ้ือคอมพิวเตอร์
สานักงานจากบริษัทของครอบครวั ตนเอง หรือบรษิ ัทท่ตี นเองมีหนุ้ สว่ นอยู่

๒.2 ผู้บริหารหน่วยงาน ทาสัญญาเช่ารถไปสัมมนาและดูงานกับบริษัท ซึ่งเป็นของเจ้าหน้าที่หรือ
บริษทั ทีผ่ ู้บริหารมหี นุ้ สว่ นอยู่

2.3 ผู้บริหารของหน่วยงาน ทาสัญญาจ้างบริษัทที่ภรรยาของตนเองเป็นเจ้าของมาเป็นที่ปรึกษา
ของหนว่ ยงาน

หลักสูตรรายวิชาเพ่ิมเติม “การปอ้ งกนั การทจุ รติ ” : 44

- ๔๒ -

2.4 ผ้บู ริหารของหน่วยงาน ทาสัญญาให้หน่วยงานจัดซื้อทีด่ นิ ของตนเองในการสร้างสานักงานแห่งใหม่
๒.๕ ภรรยาอดีตนายกรัฐมนตรี ประมูลซ้ือท่ีดินย่านถนนรัชดาภิเษกใกล้กับศูนย์วัฒนธรรม
แห่งประเทศไทย จากกองทุนเพื่อการฟ้ืนฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินในการกากับ ดูแลของธนาคาร
แห่งประเทศไทย กระทรวงการคลัง โดยอดีตนายกรัฐมนตรี ซึง่ ในขณะนั้นดารงตาแหน่งนายกรัฐมนตรีในฐานะ
เจ้าพนักงานมีหน้าที่ดูแลกิจการของกองทุนฯ ได้ลงนามยินยอมในฐานะคู่สมรสให้ภรรยาประมูลซื้อท่ีดินและ
ทาสัญญาซ้ือขายที่ดิน ส่งผลให้เป็นคู่สัญญา หรือมีส่วนได้ส่วนเสียในสัญญาซ้ือที่ดินโฉนดแปลงดังกล่าว อันเป็น
การขัดกันระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนและผลประโยชน์ส่วนรวมเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย มีความผิดตาม
พระราชบัญญตั ปิ ระกอบรฐั ธรรมนญู วา่ ดว้ ยการป้องกนั และปราบปรามการทจุ ริต พ.ศ. 2542 มาตรา 100 (1)

3. การทางานหลงั จากออกจากตาแหน่งหน้าที่สาธารณะหรือหลังเกษียณ

๓.๑ อดีตผูอ้ านวยการโรงพยาบาลแหง่ หนงึ่ เพ่ิงเกษียณอายุราชการไปทางานเป็นท่ปี รึกษาในบรษิ ทั ผลิต
หรือขายยา โดยใช้อิทธิพลจากที่เคยดารงตาแหน่งในโรงพยาบาลดังกล่าว ให้โรงพยาบาลซื้อยาจากบริษัท
ทต่ี นเองเป็นที่ปรึกษาอยู่ พฤติการณ์เชน่ นีม้ มี ูลความผิดท้งั ทางวินยั และทางอาญาฐานเป็นเจา้ หน้าที่ของรัฐปฏิบัติ
หรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในพฤติการณ์ท่ีอาจทาให้ผู้อื่นเชื่อว่าตนมีตาแหน่งหรือหน้าที่ ท้ังท่ีตนมิได้มี
ตาแหน่งหรือหน้าที่น้ันเพื่อแสวงหาประโยชน์ท่ีมิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสาหรับตนเองหรือผู้อ่ืน
ตามพระราชบัญญตั ิประกอบรัฐธรรมนญู วา่ ดว้ ยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 123

๓.๒ การที่ผู้บริหาร หรือเจ้าหน้าท่ีขององค์กรด้านเวชภัณฑ์และสุขภาพออกจากราชการไปทางาน
ในบรษิ ัทผลติ หรอื ขายยา

๓.๓ การท่ผี ู้บริหาร หรือเจา้ หน้าที่ของหนว่ ยงานทเ่ี กษียณแล้วใช้อิทธิพลที่เคยดารงตาแหนง่ ในหน่วยงานรัฐ
รับเป็นท่ีปรึกษาให้บริษัทเอกชนที่ตนเคยติดต่อประสานงาน โดยอ้างว่าจะได้ติดต่อกับหน่ว ยงานรัฐได้
อย่างราบรื่น

๓.๔ การว่าจ้างเจ้าหน้าที่ผู้เกษียณมาทางานในตาแหน่งเดิมท่ีหน่วยงานเดิม โดยไม่คุ้มค่ากับภารกิจ
ทีไ่ ด้รับมอบหมาย

4. การทางานพเิ ศษ

๔.๑ เจ้าหน้าที่ตรวจสอบภาษี 6 สานักงานสรรพากรจังหวัดในส่วนภูมิภาค ได้จัดตั้งบริษัทรับจ้าง
ทาบัญชีและให้คาปรึกษาเกี่ยวกับภาษีและมีผลประโยชน์เก่ียวข้องกับบริษัท โดยรับจ้างทาบัญชีและยื่นแบบ
แสดงรายการให้ผู้เสยี ภาษีในเขตจงั หวัดท่ีรบั ราชการอยู่และจังหวดั ใกล้เคียง กลบั มพี ฤติการณ์ช่วยเหลือผเู้ สียภาษี
ให้เสียภาษีน้อยกว่าความเป็นจริง และรับเงินค่าภาษีอากรจากผู้เสียภาษีบางรายแล้ว มิได้นาไปยื่นแบบ
แสดงรายการชาระภาษีให้ พฤติการณ์ของเจ้าหน้าที่ดังกล่าว เป็นการไม่ปฏิบัติตามข้อบังคับกรมสรรพากร
ว่าด้วยจรรยาบรรณข้าราชการ กรมสรรพากร พ.ศ. 2559 ข้อ 9 (7) (8) และอาศัยตาแหน่งหน้าท่ีราชการ
ของตนหาประโยชน์ให้แก่ตนเอง เป็นความผิดวินัยอย่างไม่ร้ายแรงตามมาตรา 83 (3) แห่งพระราชบัญญัติ
ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 อกี ท้ังเป็นการปฏิบัติหน้าทรี่ าชการโดยมชิ อบ เพ่ือให้เกิดความเสียหาย


Click to View FlipBook Version