หลักสตู รรายวิชาเพิม่ เตมิ “การปอ้ งกนั การทจุ ริต” : 45
- ๔๓ -
แก่ทางราชการโดยร้ายแรงและปฏิบัติหน้าท่ีราชการโดยทุจริต และยังกระทาการอันได้ช่ือว่าเป็นผู้ประพฤติช่ัว
อย่างร้ายแรงเป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง ตามมาตรา 85 (1) และ (4) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบ
ข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551
4.2 นิติกร ฝ่ายกฎหมายและเร่งรัดภาษีอากรค้าง สานักงานสรรพากรจังหวัดในส่วนภูมิภาค
หารายได้พิเศษโดยการเป็นตัวแทนขายประกันชีวิตของบริษัทเอกชน ได้อาศัยโอกาสท่ีตนปฏิบัติหน้าท่ี เร่งรัด
ภาษีอากรค้างผู้ประกอบการรายหน่ึงหาประโยชน์ให้แก่ตนเองด้วยการขายประกันชีวิตให้แก่หุ้นส่วนผู้จัดการ
ของผู้ประกอบการดังกล่าว รวมทั้งพนักงานของผู้ประกอบการนัน้ อีกหลายคนในขณะท่ีตนกาลังดาเนินการ
เร่งรัดภาษีอากรค้างพฤติการณ์ของเจ้าหน้าที่ดังกล่าวเป็นการอาศัยตาแหน่งหน้าท่ีราชการของตนหาประโยชน์
ให้แก่ตนเอง เป็นความผิดวินัยอย่างไม่ร้ายแรง ตามมาตรา 83 (3) ประกอบมาตรา 84 แห่งพระราชบัญญัติ
ระเบียบขา้ ราชการพลเรอื น พ.ศ. 2551
๔.3 การท่ีเจ้าหน้าที่ของรัฐอาศัยตาแหน่งหน้าที่ทางราชการรับจ้างเป็นที่ปรึกษาโครงการ เพ่ือให้
บรษิ ัทเอกชนทว่ี ่าจ้างนน้ั มคี วามน่าเช่ือถอื มากกว่าบริษัทคแู่ ขง่
๔.4 การที่เจ้าหน้าท่ีของรัฐไม่ทางานท่ีได้รับมอบหมายจากหน่วยงานอย่างเต็มท่ี แต่เอาเวลาไปรับงาน
พเิ ศษอืน่ ๆ ทอี่ ยู่นอกเหนอื อานาจหน้าทที่ ไ่ี ด้รับมอบหมายจากหน่วยงาน
4.5 การท่ีผู้ตรวจสอบบัญชีภาครัฐรับงานพิเศษเป็นที่ปรึกษา หรือเป็นผู้ทาบัญชีให้กับบริษัทท่ีต้อง
ถูกตรวจสอบ
5. การร้ขู ้อมลู ภายใน
๕.๑ นายช่าง 5 แผนกชุมสายโทรศัพท์เคล่ือนที่ องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย ได้นาข้อมูล
เลขหมายโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบ 470 MHZ และระบบปลดล็อคไปขายให้แก่ผู้อื่น จานวน 40 หมายเลข
เพ่ือนาไปปรับจูนเข้ากับโทรศัพท์เคล่อื นที่ท่ีนาไปใช้รับจ้างให้บริการโทรศัพท์แก่บุคคลท่ัวไป คณะกรรมการ ป.ป.ช.
มมี ติช้ีมูลความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 มาตรา 157 และ มาตรา 164 และมีความผิดวินัย
ข้อบงั คบั องคก์ ารโทรศพั ทแ์ หง่ ประเทศไทยว่าดว้ ยการพนกั งาน พ.ศ. 2536 ขอ้ 44 และ 46
๕.๒ การท่ีเจ้าหน้าท่ีของรัฐ ทราบข้อมูลโครงการตัดถนนเข้าหมู่บ้าน จึงบอกให้ญาติพี่น้องไปซื้อท่ีดิน
บริเวณโครงการดังกล่าว เพือ่ ขายใหก้ บั ราชการในราคาทีส่ ูงขึ้น
๕.๓ การทเ่ี จ้าหนา้ ที่หน่วยงานผู้รับผิดชอบโครงขา่ ยโทรคมนาคมทราบมาตรฐาน (Spec) วัสดอุ ปุ กรณ์
ท่ีจะใช้ในการวางโครงข่ายโทรคมนาคม แล้วแจ้งข้อมูลให้กับบริษัทเอกชนท่ีตนรู้จัก เพื่อให้ได้เปรียบในการ
ประมลู
5.4 เจ้าหน้าท่ีพัสดุ ของหน่วยงานเปิดเผย หรอื ขายข้อมูลท่ีสาคัญของฝ่ายท่ีมายื่นประมูลไว้ก่อนหน้า
ใหแ้ กผ่ ูป้ ระมูลรายอนื่ ท่ใี ห้ผลประโยชน์ ทาใหฝ้ ่ายทมี่ ายืน่ ประมลู ไวก้ ่อนหนา้ เสยี เปรียบ
6. การใชท้ รัพย์สนิ ของราชการเพอื่ ประโยชน์ส่วนตน
๖.๑ คณบดีคณะแพทย์ศาสตร์ ใช้อานาจหน้าท่ีโดยทุจริตด้วยการสั่งให้เจ้าหน้าท่ีนาเก้าอี้
พร้อมผ้าปลอกคลุมเก้าอ้ี เคร่ืองถ่ายวิดีโอ เครอื่ งเล่นวิดีโอ กล้องถ่ายรปู และผา้ เตน็ ท์ นาไปใช้ในงานมงคลสมรส
หลักสูตรรายวชิ าเพิม่ เติม “การป้องกนั การทจุ ริต” : 46 - ๔๔ -
ของบุตรสาว รวมทั้งรถยนต์ รถตู้ส่วนกลาง เพื่อใช้รับส่งเจ้าหน้าที่เข้าร่วมพิธี และขนย้ายอุปกรณ์ท้ังที่บ้านพัก
และงานฉลองมงคลสมรสที่โรงแรม ซ่ึงล้วนเป็นทรัพย์สินของทางราชการ การกระทาของจาเลยนับเป็นการใช้
อานาจโดยทุจริต เพื่อประโยชน์ส่วนตนอันเป็นการเสียหายแก่รัฐ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้ชี้มูลความผิดวินัย
และอาญา ต่อมาเร่ืองเข้าสู่กระบวนการในชั้นศาล ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานโจทก์แล้วเห็นว่าการกระทา
ของจาเลย เป็นการทุจริตต่อตาแหน่งหน้าที่ฐานเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าท่ีทาการจัดซ้ือ หรือรักษาทรัพย์ใด ๆ
ใช้อานาจในตาแหน่งโดยทุจริตอันเป็นการเสียหายแก่รัฐและเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 และ 157 จึงพิพากษาให้จาคุก 5 ปี และปรับ 20 ,000 บาท
คาให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดี ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจาคุกจาเลยไว้ 2 ปี 6 เดือน
และปรับ 10,000 บาท
๖.๒ การที่เจ้าหน้าท่ีของรัฐ ผู้มีหน้าท่ีขับรถยนต์ของส่วนราชการนาน้ามันในรถยนต์ไปขาย และ
นาเงินมาไว้ใช้จ่ายส่วนตัว ทาให้ส่วนราชการต้องเสียงบประมาณ เพ่ือซ้ือน้ามันรถมากกว่าที่ควรจะเป็น
พฤติกรรมดังกล่าวถือเป็นการทุจริตเป็นการเบียดบังผลประโยชน์ของส่วนรวมเพื่อประโยชน์ของตนเอง และ
มคี วามผิดฐานลักทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา
๖.๓ การท่ีเจ้าหน้าท่ีรัฐ ผู้มีอานาจอนุมัติให้ใช้รถราชการ หรือการเบิกจ่ายค่าน้ามันเชื้อเพลิง
นารถยนต์ของส่วนราชการไปใชใ้ นกจิ ธุระส่วนตัว
6.4 การที่เจ้าหน้าท่ีรัฐ นาวัสดุครุภัณฑ์ของหน่วยงานมาใช้ที่บ้าน หรือใช้โทรศัพท์ของหน่วยงาน
ตดิ ตอ่ ธรุ ะส่วนตน หรือนารถสว่ นตนมาล้างที่หน่วยงาน
7. การนาโครงการสาธารณะลงในเขตเลอื กตั้งเพือ่ ประโยชน์ในทางการเมอื ง
๗.๑ นายกองค์การบริหารส่วนตาบลแห่งหนึ่งร่วมกับพวก แก้ไข เปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการ
ปรับปรุงและซ่อมแซมถนนคนเดินใหม่ ในตาบลที่ตนมีฐานเสียง โดยไม่ผ่านความเห็นชอบจากสภาฯ และ
ตรวจรับงานท้ังที่ไม่ถูกต้องตามแบบรูปรายการท่ีกาหนด รวมท้ังเมื่อดาเนินการแล้วเสร็จได้ติดป้ายช่ือของตน
และพวก การกระทาดงั กล่าวมีมูลเป็นการกระทาการฝ่าฝืนตอ่ ความสงบเรยี บรอ้ ย หรือสวัสดิภาพของประชาชน
หรือละเลย ไม่ปฏิบัติตาม หรือปฏิบัติการไม่ชอบด้วยอานาจหน้าที่ มีมูลความผิดทั้งทางวินัยอย่างร้ายแรงและ
ทางอาญา คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีหนังสือแจ้งผลการพิจารณาของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ให้ผู้มีอานาจแต่งต้ัง
ถอดถอน และสานกั งานคณะกรรมการการเลือกตั้งทราบ
๗.๒ การท่ีนักการเมืองในจังหวัดขอเพิ่มงบประมาณ เพ่ือนาโครงการตัดถนน สร้างสะพาน
ลงในจงั หวดั โดยใช้ช่ือหรือนามสกุลของตนเองเปน็ ช่ือสะพาน
๗.๓ การท่รี ัฐมนตรอี นุมัติโครงการไปลงในพน้ื ทห่ี รอื บ้านเกิดของตนเอง
8. การใช้ตาแหนง่ หน้าทแี่ สวงหาประโยชนแ์ ก่เครอื ญาติ
พนักงานสอบสวนละเว้นไม่นาบันทึกการจับกุมท่ีเจ้าหน้าที่ตารวจชุดจับกุม ทาข้ึนในวันเกิดเหตุ
รวมเข้าสานวน แต่กลับเปลี่ยนบันทึกและแก้ไขข้อหาในบันทึกการจับกุม เพ่ือช่วยเหลือผู้ต้องหา ซ่ึงเป็นญาติ
ของตนให้รบั โทษนอ้ ยลง คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแลว้ มมี ูลความผิดทางอาญาและทางวินยั อยา่ งร้ายแรง
- ๔๕ - หลกั สตู รรายวิชาเพ่ิมเติม “การป้องกนั การทุจริต” : 47
9. การใชอ้ ทิ ธิพลเข้าไปมผี ลต่อการตัดสินใจของเจา้ หน้าที่รัฐหรอื หนว่ ยงานของรัฐอื่น
๙.๑ เจ้าหน้าท่ีของรัฐใช้ตาแหน่งหน้าท่ีในฐานะผู้บริหาร เข้าแทรกแซงการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่
ใหป้ ฏิบตั ิหน้าที่โดยมิชอบด้วยระเบียบ และกฎหมายหรอื ฝา่ ฝนื จริยธรรม
๙.๒ นายเอ เป็นหัวหน้าส่วนราชการแห่งหน่งึ ในจังหวัด รจู้ ักสนิทสนมกับ นายบี หัวหน้าส่วนราชการ
อีกแห่งหนึ่งในจังหวัดเดียวกัน นายเอ จึงใช้ความสัมพันธ์ส่วนตัวฝากลูกชาย คือ นายซี เข้ารับราชการภายใต้
สงั กดั ของนายบี
10. การขัดกันแห่งผลประโยชนส์ ว่ นตนและผลประโยชน์ส่วนรวมประเภทอน่ื ๆ
๑๐.๑ การเดินทางไปราชการต่างจังหวัด โดยไม่คานึงถึงจานวนคน จานวนงาน และจานวนวัน
อย่างเหมาะสม อาทิ เดินทางไปราชการจานวน 10 วัน แต่ใช้เวลาในการทางานจริงเพียง 6 วัน โดยอีก 4 วัน
เป็นการเดนิ ทางท่องเทีย่ วในสถานที่ตา่ งๆ
๑๐.๒ เจ้าหน้าท่ีผู้ปฏิบัติไม่ใช้เวลาในราชการปฏิบัติงานอย่างเต็มท่ี เน่ืองจากต้องการปฏิบัติงาน
นอกเวลาราชการ เพราะสามารถเบิกเงนิ งบประมาณคา่ ตอบแทนการปฏบิ ัตงิ านนอกเวลาราชการได้
๑๐.๓ เจ้าหน้าท่ีของรัฐ ลงเวลาปฏิบัติงานนอกเวลาราชการ โดยมิได้อยู่ปฏิบัติงานในช่วงเวลานั้น
อย่างแทจ้ ริง แตก่ ลบั ใชเ้ วลาดังกล่าวปฏบิ ตั ิกจิ ธรุ ะส่วนตวั
3. กฎหมายทเ่ี ก่ียวขอ้ งกับการขัดกนั ระหว่างผลประโยชน์สว่ นตนและผลประโยชนส์ ่วนรวม
พระราชบัญญตั ิประกอบรัฐธรรมนญู วา่ ดว้ ยการปอ้ งกันและปราบปรามการทจุ รติ
พ.ศ. 2561
มาตรา ๑๒๖ นอกจากเจ้าหน้าที่ของรัฐที่รัฐธรรมนญู กาหนดไว้เป็นการเฉพาะแลว้ ห้ามมิให้กรรมการ
ผู้ดารงตาแหน่งในองค์กรอิสระ และเจ้าหน้าที่ของรัฐที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ประกาศกาหนดดาเนินกิจการ
ดงั ต่อไปน้ี
(1) เป็นคู่สัญญาหรือมีส่วนได้ส่วนเสียในสัญญาที่ทากับหน่วยงานของรัฐท่ีเจ้าหน้าท่ีของรัฐผู้น้ัน
ปฏิบัติหน้าท่ีในฐานะท่ีเป็นเจ้าหน้าท่ีของรัฐ ซ่ึงมีอานาจไม่ว่าโดยตรงหรือโดยอ้อมในการกากับ ดูแล ควบคุม
ตรวจสอบหรอื ดาเนนิ คดี
(2) เป็นหุ้นส่วน หรือผู้ถือหุ้นในห้างหุ้นส่วน หรือบริษัทที่เข้าเป็นคู่สัญญากับหน่วยงานของรัฐ
ท่เี จ้าหน้าท่ีของรัฐผู้น้ันปฏิบัตหิ น้าทใี่ นฐานะท่ีเป็นเจ้าหน้าท่ีของรฐั ซงึ่ มีอานาจไม่ว่าโดยตรง หรอื โดยอ้อมในการ
กากับ ดูแล ควบคุม ตรวจสอบ หรือดาเนินคดี เว้นแต่จะเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัท จากัด หรือบริษัท มหาชน จากัด
ไมเ่ กนิ จานวนทค่ี ณะกรรมการ ป.ป.ช. กาหนด
หลกั สูตรรายวิชาเพมิ่ เติม “การป้องกันการทุจรติ ” : 48
- ๔๖ -
(3) รับสัมปทาน หรือคงถือไว้ซ่ึงสัมปทานจากรัฐ หน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือ
ราชการส่วนท้องถ่ิน หรือเข้าเป็นคู่สัญญากับรัฐ หน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการ
สว่ นท้องถิ่น อันมีลักษณะเป็นการผูกขาด ตัดตอน หรือเป็นหุ้นส่วน หรือผู้ถือหุ้นในห้างหุ้นส่วน หรือบริษัทท่ีรับ
สัมปทานหรือเข้าเป็นคู่สัญญาในลักษณะดังกล่าว ในฐานะท่ีเป็นเจ้าพนักงานของรัฐ ซึง่ มีอานาจไม่ว่าโดยตรง
หรือโดยอ้อมในการกากับ ดูแล ควบคุม ตรวจสอบ หรือดาเนินคดี เว้นแต่จะเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัท จากัด หรือ
บรษิ ทั มหาชน จากดั ไม่เกนิ จานวนทคี่ ณะกรรมการ ป.ป.ช. กาหนด
(4) เข้าไปมีส่วนได้ส่วนเสียในฐานะเป็นกรรมการ ท่ีปรึกษา ตัวแทน พนักงาน หรือลูกจ้างในธุรกิจ
ของเอกชนซึ่งอยู่ภายใต้การกากับ ดูแล ควบคุม หรือตรวจสอบของหน่วยงานของรัฐที่เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้น้ัน
สังกัดอยู่ หรือปฏิบัติหน้าท่ีในฐานะเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ซ่ึงโดยสภาพของผลประโยชน์ของธุรกิจของเอกชนน้ัน
อาจขัดหรอื แยง้ ต่อประโยชน์ส่วนรวมหรอื ประโยชน์ทางราชการ หรือกระทบต่อความมีอิสระในการปฏบิ ัตหิ น้าที่
ของเจา้ หน้าท่ีของรัฐผูน้ ัน้
ให้นาความในวรรคหน่ึง มาใช้บังคับกับคู่สมรสของเจ้าหน้าที่ของรัฐตามวรรคหน่ึงด้วย โดยให้ถือว่า
การดาเนินกจิ การของคู่สมรสเป็นการดาเนินกิจการของเจ้าหน้าที่ของรัฐ เว้นแตเ่ ป็นกรณีที่คสู่ มรสนั้นดาเนินการอยู่
ก่อนทเี่ จา้ หน้าท่ีของรฐั จะเขา้ ดารงตาแหนง่
คูส่ มรสตามวรรคสอง ให้หมายความรวมถึงผู้ซ่ึงอยู่กินกันฉันสามีภริยา โดยมิได้จดทะเบียนสมรสด้วย
ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑท์ คี่ ณะกรรมการ ป.ป.ช. กาหนด
เจ้าหนา้ ท่ีของรัฐที่มลี กั ษณะตาม (๒) หรือ (๓) ต้องดาเนินการไมใ่ ห้มีลักษณะดังกลา่ ว ภายในสามสิบวัน
นบั แต่วันที่เขา้ ดารงตาแหนง่
มาตรา ๑๒๗ ห้ามมิให้กรรมการ ผู้ดารงตาแหน่งในองค์กรอิสระ ผู้ดารงตาแหน่งระดับสูงและผู้ดารง
ตาแหน่งทางการเมืองที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. กาหนด ดาเนินการใดตามมาตรา ๑๒๖ (๔) ภายในสองปีนับแต่
วันท่ีพ้นจากตาแหนง่
มาตรา ๑๒๘ ห้ามมิให้เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้ใดรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดอันอาจคานวณเป็นเงินได้
จากผู้ใด นอกเหนือจากทรัพย์สิน หรือประโยชน์อันควรได้ตามกฎหมาย กฎ หรือข้อบังคับท่ีออกโดยอาศัยอานาจ
ตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย เว้นแต่การรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อืน่ ใด โดยธรรมจรรยาตามหลักเกณฑ์และ
จานวนทค่ี ณะกรรมการ ป.ป.ช. กาหนด
ความในวรรคหนึ่งมิให้ใช้บังคับกับการรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดจากบุพการี ผู้สืบสันดาน
หรือญาติที่ให้ตามประเพณี หรือตามธรรมจรรยาตามฐานานุรปู
บทบัญญัติในวรรคหน่ึงให้ใช้บังคับกับการรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดของผู้ซึ่งพ้นจากการเป็น
เจา้ หน้าท่ีของรฐั มาแลว้ ยงั ไมถ่ ึงสองปีด้วยโดยอนุโลม
มาตรา ๑๒๙ การกระทาอันเป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติในหมวดน้ีให้ถือว่าเป็นการกระทาความผิด
ตอ่ ตาแหน่งหน้าท่ีราชการ หรือความผดิ ต่อตาแหนง่ หน้าทใ่ี นการยตุ ธิ รรม
หลกั สูตรรายวิชาเพ่ิมเตมิ “การปอ้ งกนั การทุจรติ ” : 49
- ๔๗ -
ประกาศ คณะกรรมการปอ้ งกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เรอื่ ง หลกั เกณฑ์การรบั
ทรัพยส์ ินหรอื ประโยชน์อื่นใด โดยธรรมจรรยาของเจ้าหนา้ ที่ของรฐั พ.ศ. 2543
ขอ้ 3 ในประกาศนี้
“การรับทรพั ย์สินหรือประโยชน์อ่ืนใดโดยธรรมจรรยา” หมายความว่า การรับทรพั ย์สิน หรือประโยชน์
อื่นใดจากญาติ หรือจากบุคคลท่ีให้กันในโอกาสต่างๆ โดยปกติตามขนบธรรมเนียม ประเพณี หรือวัฒนธรรม
หรอื ใหก้ นั ตามมารยาทท่ปี ฏบิ ัติกันในสงั คม
“ญาติ” หมายความว่า ผู้บุพการี ผสู้ ืบสันดาน พ่ีนอ้ งร่วมบิดา มารดา หรือรว่ มบิดา หรอื มารดาเดยี วกัน
ลงุ ป้า นา้ อา ค่สู มรส ผบู้ พุ การี หรอื ผู้สบื สนั ดานของค่สู มรส บตุ รบุญธรรม หรอื ผรู้ ับบุตรบุญธรรม
“ประโยชน์อืน่ ใด” หมายความว่า สิ่งท่ีมูลค่า ได้แก่ การลดราคา การรับความบันเทิง การรับบริการ
การรับการฝึกอบรม หรือส่งิ อ่นื ใดในลกั ษณะเดียวกนั
ขอ้ 4 ห้ามมิให้เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้ใด รบั ทรัพยส์ ิน หรือประโยชน์อน่ื ใด จากบุคคลนอกเหนือจากทรพั ยส์ ิน
หรือประโยชน์อันควรได้ตามกฎหมาย หรือกฎ ข้อบังคับ ที่ออกโดยอาศัยอานาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
เว้นแต่การรับทรัพยส์ ิน หรือประโยชน์อน่ื ใด โดยธรรมจรรยาตามท่ีกาหนดไวใ้ นประกาศน้ี
ข้อ 5 เจา้ หนา้ ท่ีของรัฐจะรบั ทรพั ย์สิน หรอื ประโยชน์อื่นใด โดยธรรมจรรยาได้ ดังต่อไปนี้
(1) รับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดจากญาติ ซ่ึงให้โดยเสน่หาตามจานวนที่เหมาะสม
ตามฐานานุรปู
(2) รับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดจากบุคคลอ่ืน ซ่ึงมิใช่ญาติมีราคา หรือมูลค่าในการรับ
จากแต่ละบุคคล แต่ละโอกาสไม่เกนิ สามพนั บาท
(3) รบั ทรัพย์สนิ หรือประโยชน์อ่ืนใดท่กี ารให้นัน้ เป็นการใหใ้ นลกั ษณะให้กบั บุคคลท่วั ไป
ข้อ 6 การรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อ่ืนใดจากต่างประเทศ ซ่ึงผู้ให้มิได้ระบุให้เป็นของส่วนตัว หรือ
มรี าคาหรอื มูลค่าเกินกวา่ สามพนั บาท ไม่ว่าจะระบุเป็นของสว่ นตัวหรือไม่ แตม่ ีเหตุผลความจาเป็นทีจ่ ะต้องรับไว้
เพ่ือรักษาไมตรี มิตรภาพ หรือความสัมพันธ์อันดีระหว่างบุคคล ให้เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้นั้นรายงานรายละเอียด
ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์ดังกล่าวให้ผู้บังคับบัญชาทราบโดยเร็ว หากผู้บังคับบัญชา
เห็นว่าไม่มีเหตุท่ีจะอนุญาตให้เจ้าหน้าท่ีผู้นั้นยึดถือทรัพย์สิน หรือประโยชน์ดังกล่าวน้ันไว้เป็นประโยชน์ส่วนตน
ให้เจ้าหน้าท่ขี องรฐั ผนู้ ้นั สง่ มอบทรัพย์สินให้หน่วยงานของรัฐที่เจ้าหนา้ ท่ีของรฐั ผู้นัน้ สังกดั ทนั ที
ขอ้ 7 การรับทรัพย์สนิ หรือประโยชน์อื่นใดท่ีไม่เปน็ ไปตามหลักเกณฑ์ หรือมีราคา หรือมีมูลค่ามากกว่า
ท่ีกาหนดไว้ในข้อ 5 ซ่ึงเจ้าหน้าที่ของรัฐได้รับมาแล้วโดยมีความจาเป็นอย่างยิ่งที่ต้องรับไว้ เพื่อรักษาไมตรี
มิตรภาพ หรือความสัมพันธ์อันดีระหว่างบุคคล เจ้าหน้าท่ีของรัฐผู้น้ันต้องแจ้งรายละเอียดข้อเท็จจริงเกี่ยวกับ
การรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์นั้นต่อผู้บังคับบัญชา ซึ่งเป็นหัวหน้าส่วนราชการ ผู้บริหารสูงสุดของรัฐวิสาหกิจ
หรือผบู้ รหิ ารสงู สดุ ของหนว่ ยงาน สถาบัน หรือองค์กรทีเ่ จ้าหนา้ ทข่ี องรัฐผู้นั้นสังกัด โดยทันทที ่ีสามารถกระทาได้
เพื่อให้วินิจฉัยว่ามีเหตุผลความจาเป็น ความเหมาะสม และสมควรท่ีจะให้เจ้าหน้าที่ของรฐั ผู้น้ันรับทรัพย์สินหรือ
ประโยชน์นัน้ ไว้เป็นสทิ ธขิ องตนหรือไม่
หลักสตู รรายวชิ าเพม่ิ เตมิ “การปอ้ งกนั การทุจรติ ” : 50
- ๔๘ -
ในกรณีท่ีผู้บังคับบัญชา หรือผู้บริหารสูงสุดของรัฐวิสาหกิจ หน่วยงาน หรือสถาบัน หรือองค์กร
ท่ีเจ้าหน้าท่ีของรัฐผู้นั้นสังกัด มีคาสั่งว่าไม่สมควรรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์ดังกล่าว ก็ให้คืนทรัพย์สิน หรือ
ประโยชน์นั้นแก่ผู้ให้โดยทันที ในกรณีท่ีไม่สามารถคืนให้ได้ ให้เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้นั้นส่งมอบทรัพย์สิน หรือ
ประโยชนด์ ังกลา่ วให้เป็นสิทธขิ องหนว่ ยงานท่เี จา้ หน้าทข่ี องรัฐผู้นัน้ สงั กัดโดยเรว็
เมื่อได้ดาเนินการตามความในวรรคสองแล้ว ให้ถือว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้น้ัน ไม่เคยได้รับทรัพย์สินหรือ
ประโยชน์ดงั กล่าวเลย
ในกรณีท่ีเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้ได้รับทรัพย์สินไว้ตามวรรคหนึ่งเป็นผู้ดารงตาแหน่งผู้บังคับบัญชา ซึ่งเป็น
หัวหนา้ ส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า หรือเป็นกรรมการ หรือผู้บริหารสูงสุดของรัฐวิสาหกิจ หรือ
เป็นกรรมการหรือผู้บริหารสูงสุดของหน่วยงานของรัฐ ให้แจ้งรายละเอียดข้อเท็จจริงเก่ียวกับการรับทรัพย์สิน
หรือประโยชน์นั้นต่อผูม้ ีอานาจแต่งตั้งถอดถอน ส่วนผู้ทดี่ ารงตาแหน่งประธานกรรมการ และกรรมการในองค์กรอิสระ
ตามรัฐธรรมนูญหรือผู้ดารงตาแหน่งท่ีไม่มีผู้บังคับบัญชาที่มีอานาจถอดถอนให้แจ้งต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช.
ทงั้ นี้ เพือ่ ดาเนนิ การตามความในวรรคหน่ึงและวรรคสอง
ในกรณีท่ีเจา้ หน้าท่ีของรัฐผไู้ ด้รบั ทรัพยส์ นิ ตามวรรคหนึ่ง เป็นผดู้ ารงตาแหนง่ สมาชิกสภาผแู้ ทนราษฎร
หรือสมาชิกวุฒิสภา หรือสมาชิกสภาท้องถ่ิน ให้แจ้งรายละเอียดข้อเท็จจริงเก่ียวกับการรับทรัพย์สิน หรือ
ประโยชนเ์ ทา่ นั้นต่อประธานสภาผู้แทนราษฎร ประธานวฒุ สิ ภา หรือประธานสภาท้องถิ่นท่ีเจ้าหน้าท่ขี องรฐั ผู้น้ัน
เป็นสมาชกิ แล้วแตก่ รณี เพอ่ื ดาเนินการตามวรรคหน่ึงและวรรคสอง
ข้อ 8 หลักเกณฑ์การรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อืน่ ใดของเจ้าหน้าท่ีของรัฐ ตามประกาศฉบับน้ี
ให้ใชบ้ งั คบั แกผ่ ู้ซ่งึ พน้ จากการเป็นเจา้ หน้าท่ีของรฐั มาแลว้ ไมถ่ ึงสองปดี ว้ ย
ระเบียบสานกั นายกรัฐมนตรีวา่ ด้วยการให้หรอื รบั ของขวญั ของเจา้ หน้าท่ีของรฐั
พ.ศ. 2544
โดยท่ีผ่านมาคณะรัฐมนตรีได้เคยมีมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับแนวทางปฏิบัติในการให้ของขวัญและ
รับของขวัญของเจ้าหน้าท่ีของรัฐไว้หลายครั้ง เพ่ือเป็นการเสริมสร้างค่านิยมให้เกิดการประหยัด มิให้มี
การเบียดเบียนข้าราชการโดยไม่จาเป็นและสร้างทัศนคติท่ีไม่ถูกต้อง เนื่องจากมีการแข่งขันกันให้ของขวัญ
ในราคาแพงทั้งยังเป็นช่องทางให้เกิดการประพฤติมิชอบอื่นๆ ในวงราชการอีกด้วย และในการกาหนด
จรรยาบรรณของเจ้าหน้าที่ของรัฐประเภทต่างๆ ก็มีการกาหนดในเร่ืองทานองเดียวกัน ประกอบกับ
คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติได้ประกาศกาหนดหลักเกณฑ์และจานวนที่เจ้าหน้าที่
ของรัฐจะรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อืน่ ใด โดยธรรมจรรยาได้ ฉะนั้นจึงสมควรรวบรวมมาตรการเหล่านัน้ และ
กาหนดเป็นหลักเกณฑ์การปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ของรัฐในการให้ของขวัญและรับของขวัญไว้เป็นการถาวร
มีมาตรฐานอย่างเดียวกัน และมีความชัดเจน เพือ่ เสริมมาตรการของคณะกรรมการป้องกันและปราบปราม
การทุจริตแห่งชาติ ให้เป็นผลอย่างจรงิ จัง ทั้งน้ี เฉพาะในส่วนที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริต
แหง่ ชาติ ไม่ได้กาหนดไว้
อาศัยอานาจตามความในมาตรา 11 (8) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน
พ.ศ. 2534 นายกรัฐมนตรโี ดยความเหน็ ชอบของคณะรฐั มนตรี จงึ วางระเบยี บไว้ ดงั ตอ่ ไปนี้
หลักสูตรรายวชิ าเพม่ิ เตมิ “การปอ้ งกนั การทุจรติ ” : 51
- ๔๙ -
ข้อ 3 ในระเบยี บนี้
“ของขวัญ” หมายความว่า เงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดท่ีให้แก่กัน เพ่ืออัธยาศัยไมตรี และ
ให้หมายความรวมถึงเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อืน่ ใดทีใ่ ห้เป็นรางวัล ให้โดยเสน่หา หรือเพื่อการสงเคราะห์
หรือให้เป็นสินน้าใจ การให้สิทธิพิเศษ ซ่ึงมิใช่เป็นสิทธิที่จัดไว้สาหรับบุคคลทั่วไปในการได้รับการลดราคา
ทรัพย์สิน หรือการให้สิทธิพิเศษในการได้รับบริการ หรือความบันเทิงตลอดจนการออกค่าใช้จ่ายในการเดินทาง
หรอื ทอ่ งเทย่ี ว ค่าท่ีพัก ค่าอาหาร หรือส่งิ อ่ืนใดในลักษณะเดยี วกนั และไม่ว่าจะให้เป็นบัตร ต๋ัว หรอื หลกั ฐานอืน่ ใด
การชาระเงินใหล้ ่วงหนา้ หรือการคนื เงินใหใ้ นภายหลัง
“ปกติประเพณีนิยม” หมายความว่า เทศกาล หรือวันสาคัญ ซึ่งอาจมีการให้ของขวัญกัน และ
ให้หมายความรวมถึงโอกาสในการแสดงความยินดี การแสดงความขอบคุณ การต้อนรับ การแสดงความเสียใจ
หรือการให้ความช่วยเหลือตามมารยาททถ่ี ือปฏบิ ตั ิกันในสังคมดว้ ย
“ผู้บังคับบัญชา” ให้หมายความรวมถึง ผู้ซ่ึงปฏิบัติหน้าท่ีหัวหน้าหน่วยงาน ท่ีแบ่งเป็นการภายใน
ของหน่วยงานของรัฐ และผู้ซึ่งดารงตาแหน่งในระดับท่ีสูงกว่า และได้รบั มอบหมายให้มีอานาจบังคับบัญชาหรือ
กากับดแู ลด้วย
“บุคคลในครอบครัว” หมายความว่า คู่สมรส บุตร บิดา มารดา พี่น้องร่วมบิดา มารดา หรือร่วมบิดา
หรอื มารดาเดยี วกนั
ข้อ 4 ระเบียบน้ีไม่ใช้บังคับกับกรณีการรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อ่ืนใดของเจ้าหน้าท่ีของรัฐ
ซงึ่ อยู่ภายใตบ้ ังคับกฎหมายประกอบรฐั ธรรมนญู ว่าดว้ ยการป้องกนั และปราบปรามการทุจริต
ข้อ 5 เจ้าหน้าท่ีของรัฐจะให้ของขวัญแก่ผู้บังคับบัญชา หรือบุคคลในครอบครัวของผู้บังคับบัญชา
นอกเหนือจากกรณีปกติประเพณนี ยิ มทม่ี ีการใหข้ องขวญั แก่กนั มิได้
การให้ของขวัญตามปกติประเพณีนิยมตามวรรคหน่ึง เจ้าหน้าที่ของรัฐจะให้ของขวัญท่ีมีราคา หรือ
มูลค่าเกินจานวนที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติกาหนดไว้ สาหรับการรับทรัพย์สิน
หรือประโยชน์อื่นใด โดยธรรมจรรยาของเจ้าหน้าทีข่ องรัฐตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกัน
และปราบปรามการทุจรติ มิได้
เจ้าหน้าท่ีของรัฐจะทาการเรี่ยไรเงิน หรือทรัพย์สินอ่ืนใด หรือใช้เงินสวัสดิการใดๆ เพือ่ มอบให้ หรือ
จดั หาของขวัญให้ผูบ้ งั คบั บัญชา หรอื บคุ คลในครอบครัวของผู้บงั คบั บัญชาไมว่ า่ กรณใี ดๆ มไิ ด้
ข้อ 6 ผู้บังคับบัญชาจะยินยอม หรือรู้เห็นเป็นใจให้บุคคลในครอบครัวของตนรับของขวัญจาก
เจา้ หน้าที่ของรฐั ซง่ึ เปน็ ผ้อู ยู่ในบงั คับบญั ชามไิ ด้ เวน้ แต่เป็นการรบั ของขวญั ตามขอ้ 5
ข้อ 7 เจ้าหน้าท่ีของรัฐจะยินยอม หรือรู้เห็นเป็นใจให้บุคคลในครอบครัวของตนรับของขวัญจาก
ผทู้ ่เี กี่ยวข้องในการปฏบิ ตั ิหน้าที่ของเจา้ หน้าที่ของรัฐมไิ ด้ ถา้ มิใชเ่ ปน็ การรับของขวัญตามกรณที ี่กาหนดไวใ้ น ขอ้ 8
ผู้ท่ีเก่ียวข้องในการปฏิบัติหน้าท่ีของเจ้าหน้าที่ของรัฐตามวรรคหน่ึง ได้แก่ ผู้มาติดต่องาน หรือ
ผู้ซ่ึงได้รบั ประโยชนจ์ ากการปฏบิ ัติงานของเจ้าหนา้ ท่ขี องรฐั ในลักษณะ ดังต่อไปน้ี
(1) ผู้ซึ่งมีคาขอให้หน่วยงานของรัฐดาเนินการอย่างหนึ่งอย่างใด เช่น การขอใบรับรอง
การขอให้ออกคาสง่ั ทางปกครอง หรือการรอ้ งเรยี น เป็นต้น
หลกั สูตรรายวชิ าเพมิ่ เตมิ “การปอ้ งกันการทจุ ริต” : 52
- ๕๐ -
(2) ผู้ซึ่งประกอบธุรกิจ หรือมสี ่วนไดเ้ สียในธุรกิจท่ีทากบั หน่วยงานของรฐั เช่น การจดั ซื้อจัดจ้าง
หรอื การไดร้ บั สัมปทาน เป็นต้น
(3) ผู้ซึ่งกาลังดาเนินกิจกรรมใดๆ ที่มีหน่วยงานของรัฐเป็นผู้ควบคุม หรือกากับ ดูแล เช่น
การประกอบกิจการโรงงาน หรือธุรกจิ หลักทรพั ย์ เป็นต้น
(4) ผู้ซึ่งอาจได้รับประโยชน์ หรือผลกระทบจากการปฏิบัติหน้าท่ี หรอื ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่
ของเจ้าหนา้ ท่ขี องรฐั
ข้อ 8 เจ้าหน้าที่ของรัฐจะยินยอม หรือรู้เห็นเป็นใจให้บุคคลในครอบครัวของตนรับของขวัญจาก
ผู้ที่เก่ียวข้องในการปฏิบัติหน้าท่ีของเจ้าหน้าท่ีของรัฐได้เฉพาะกรณีการรับของขวัญที่ให้ตามปกติประเพณีนิยม
และของขวัญนั้นมีราคา หรือมูลค่าไม่เกินจานวนที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ
กาหนดไว้สาหรับการรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใด โดยธรรมจรรยาของเจ้าหน้าที่ของรัฐ ตามกฎหมาย
ประกอบรัฐธรรมนญู วา่ ดว้ ยการปอ้ งกันและปราบปรามการทจุ ริต
ข้อ 9 ในกรณีที่บุคคลในครอบครัวของเจ้าหน้าท่ีของรัฐรับของขวัญแล้วเจ้าหน้าที่ของรัฐทราบ
ในภายหลังวา่ เป็นการรับของขวญั โดยฝ่าฝืนระเบียบน้ีให้เจ้าหน้าท่ขี องรัฐปฏิบัตติ ามหลักเกณฑ์ท่คี ณะกรรมการ
ป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ กาหนดไว้สาหรับการรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อ่ืนใด
โดยธรรมจรรยาของเจ้าหน้าท่ีของรัฐท่ีมีราคา หรอื มูลค่าเกินกวา่ ท่ีกาหนดไว้ ตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ
ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทจุ รติ
ขอ้ 10 ในกรณีทเี่ จา้ หนา้ ที่ของรัฐ ผู้ใดจงใจปฏิบตั ิเกีย่ วกับการใหข้ องขวญั หรือรับของขวญั โดยฝา่ ฝืน
ระเบยี บน้ีใหด้ าเนนิ การ ดงั ต่อไปน้ี
(1) ในกรณีที่เจ้าหน้าที่ของรัฐ เป็นข้าราชการการเมือง ให้ถือว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้นั้นประพฤติ
ปฏิบัติไม่เป็นไปตามคุณธรรมและจริยธรรม และให้ดาเนินการตามระเบียบท่ีนายกรัฐมนตรีกาหนด
โดยความเหน็ ชอบของคณะรัฐมนตรวี า่ ดว้ ยมาตรฐานทางคณุ ธรรมและจรยิ ธรรมของขา้ ราชการการเมือง
(2) ในกรณีที่เจ้าหน้าท่ีของรัฐ เป็นข้าราชการประเภทอ่ืนนอกจาก (1) หรือพนักงาน
ขององคก์ รปกครองส่วนทอ้ งถน่ิ หรือพนกั งานของรัฐวิสาหกิจให้ถอื ว่าเจ้าหน้าท่ีของรัฐผู้นั้นเปน็ ผ้กู ระทาความผิด
ทางวินยั และใหผ้ บู้ งั คับบัญชามหี น้าท่ีดาเนนิ การให้มีการลงโทษทางวินัยเจา้ หน้าที่ของรฐั ผู้นัน้
ข้อ 11 ให้สานักงานปลัดสานักนายกรัฐมนตรีมีหน้าที่สอดส่อง และให้คาแนะนาในการปฏิบัติตาม
ระเบียบนี้แก่หน่วยงานของรัฐ ในกรณีท่ีมีผู้ร้องเรียนต่อสานักงานปลัดสานักนายกรัฐมนตรีว่าเจ้าหน้าท่ีของรัฐ
ผู้ใดปฏิบัติในการให้ของขวัญหรือรับของขวัญฝ่าฝืนระเบียบน้ี ให้สานักงานปลัดสานักนายกรัฐมนตรีแจ้งไปยัง
ผู้บงั คบั บญั ชาของเจา้ หน้าที่ของรัฐผนู้ ้ันเพอื่ ดาเนนิ การตามระเบียบน้ี
ข้อ 12 เพ่ือประโยชน์ในการเสริมสร้างให้เกิดทัศนคติในการประหยัดแก่ประชาชนทั่วไปในการแสดง
ความยนิ ดี การแสดงความปรารถนาดี การแสดงการต้อนรบั หรือการแสดงความเสยี ใจในโอกาสต่างๆ ตามปกติ
ประเพณีนิยมให้เจ้าหน้าท่ีของรัฐพยายามใช้วิธกี ารแสดงออกโดยใช้บัตรอวยพร การลงนามในสมุดอวยพร หรือ
ใชบ้ ัตรแสดงความเสยี ใจ แทนการให้ของขวญั
หลักสูตรรายวชิ าเพ่มิ เติม “การปอ้ งกนั การทุจริต” : 53
- ๕๑ -
ให้ผู้บังคับบัญชามีหน้าท่ีเสริมสร้างค่านิยมการแสดงความยินดี การแสดงความปรารถนาดี การแสดง
การต้อนรับ หรือการแสดงความเสียใจ ด้วยการปฏิบัติตนเป็นแบบอย่าง แนะนา หรือกาหนดมาตรการจูงใจ
ท่จี ะพัฒนาทัศนคติ จิตสานกึ และพฤตกิ รรมของผ้อู ยู่ในบงั คบั บัญชาให้เป็นไปในแนวทางประหยัด
ระเบยี บ สานกั นายกรฐั มนตรีวา่ ด้วยการเร่ียไรของหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2544
ข้อ 4 ในระเบยี บน้ี
“การเร่ียไร” หมายความว่า การเก็บเงิน หรือทรัพย์สิน โดยขอร้องให้ช่วยออกเงิน หรือทรัพย์สิน
ตามใจสมัคร และให้หมายความรวมถึงการซื้อขาย แลกเปล่ียน ชดใช้ หรือบริการ ซึ่งมีการแสดงโดยตรง หรือ
โดยปริยายว่า มิใช่เป็นการซื้อขาย แลกเปล่ียน ชดใช้ หรือบริการธรรมดา แต่เพือ่ รวบรวมเงิน หรือทรัพย์สิน
ท่ีไดม้ าทัง้ หมด หรอื บางสว่ นไปใชใ้ นกิจการอย่างใดอย่างหน่ึงนัน้ ดว้ ย
“เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเร่ียไร” หมายความว่า เข้าไปชว่ ยเหลอื โดยมสี ว่ นร่วมในการจัดให้มีการเรีย่ ไร
ในฐานะเป็นผู้รว่ มจัดใหม้ กี ารเรยี่ ไร หรอื เป็นประธานกรรมการ อนุกรรมการ คณะทางาน ที่ปรกึ ษา หรือในฐานะ
อ่ืนใดในการเรี่ยไรน้นั
ข้อ 6 หน่วยงานของรัฐจะจัดให้มีการเรี่ยไร หรือเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเรี่ยไรมิได้ เว้นแต่เป็น
การเรี่ยไร ตามข้อ 19 หรือได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการควบคุมการเรี่ยไรของหน่วยงานของรัฐ (กคร.) หรือ
กคร. จงั หวัด แลว้ แต่กรณี ทัง้ นี้ ตามหลักเกณฑท์ ่ีกาหนดไวใ้ นระเบยี บน้ี
หน่วยงานของรัฐ ซึ่งจะต้องได้รับอนุญาตในการเรีย่ ไรตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมการเร่ียไร
นอกจากจะต้องปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมการเร่ียไรแล้ว จะต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่กาหนดไว้
ในระเบียบนี้ด้วย ในกรณีนี้ กคร. อาจกาหนดแนวทางปฏิบัติของหน่วยงานรัฐดังกล่าวให้สอดคล้องกับกฎหมาย
ว่าดว้ ยการควบคุมการเรยี่ ไรก็ได้
ขอ้ 8 ใหม้ ีคณะกรรมการควบคมุ การเร่ียไรของหน่วยงานของรัฐ เรียกโดยยอ่ ว่า “กคร.” ประกอบดว้ ย
รองนายกรัฐมนตรีที่นายกรัฐมนตรีมอบหมายเป็นประธานกรรมการ ผู้แทนสานักนายกรัฐมนตรี ผู้แทน
กระทรวงกลาโหม ผู้แทนกระทรวงการคลัง ผู้แทนกระทรวงมหาดไทย ผู้แทนกระทรวงศึกษาธิการ ผู้แทน
กระทรวงสาธารณสุข ผู้แทนสานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ผู้แทนสานักงานคณะกรรมการป้องกันและ
ปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ผู้แทนสานักงานการตรวจเงินแผ่นดิน และผู้ทรงคุณวุฒิ ซ่ึงนายกรัฐมนตรีแต่งตั้ง
อีกไมเ่ กินส่ีคนเป็นกรรมการ และผแู้ ทนสานักงานปลดั สานกั นายกรัฐมนตรีเปน็ กรรมการและเลขานุการ
กคร. จะแต่งตง้ั ขา้ ราชการในสานกั งานปลดั สานกั นายกรัฐมนตรจี านวนไมเ่ กนิ สองคนเป็นผู้ช่วยเลขานุการก็ได้
ข้อ 18 การเรี่ยไร หรือเข้าไปมีส่วนเก่ียวข้องกับการเร่ียไรที่ กคร. หรือ กคร. จังหวัด แล้วแต่กรณี
จะพิจารณาอนมุ ัตใิ ห้ตามข้อ 6 ไดน้ น้ั จะตอ้ งมีลกั ษณะและวตั ถปุ ระสงค์อยา่ งหนง่ึ อย่างใด ดงั ต่อไปน้ี
(1) เป็นการเรย่ี ไรท่หี นว่ ยงานของรฐั เปน็ ผู้ดาเนนิ การเพอื่ ประโยชนแ์ ก่หน่วยงานของรัฐนั้นเอง
ประเทศ (2) เป็นการเรี่ยไรที่หน่วยงานของรัฐเป็นผู้ดาเนินการเพื่อประโยชน์แก่การป้องกันหรือพัฒนา
(3) เปน็ การเรย่ี ไรทห่ี น่วยงานของรัฐเป็นผู้ดาเนินการเพ่อื สาธารณประโยชน์
หลกั สตู รรายวชิ าเพม่ิ เตมิ “การปอ้ งกันการทุจรติ ” : 54
- ๕๒ -
(4) เป็นกรณีท่ีหน่วยงานของรัฐเข้าไปมีส่วนเก่ียวข้องกับการเร่ียไรของบุคคลหรือนิติบุคคล
ทไี่ ดร้ ับอนญุ าตจากคณะกรรมการควบคุมการเร่ยี ไรตามกฎหมายวา่ ด้วยการควบคมุ การเรยี่ ไรแล้ว
ข้อ 19 การเร่ียไร หรือเข้าไปมีส่วนเก่ียวข้องกับการเร่ียไรดังต่อไปน้ี ให้ได้รับยกเว้นไม่ต้องขออนุมัติ
จาก กคร. หรอื กคร. จังหวัด แลว้ แต่กรณี
(1) เป็นนโยบายเร่งด่วนของรฐั บาล และมีมตคิ ณะรัฐมนตรใี หเ้ รี่ยไรได้
(2) เปน็ การเรย่ี ไรทีร่ ัฐบาล หรอื หน่วยงานของรัฐจาเปน็ ตอ้ งดาเนินการ เพือ่ ชว่ ยเหลือผู้เสียหาย
หรอื บรรเทาความเสียหายท่เี กดิ จากสาธารณภัย หรือเหตุการณใ์ ดท่ีสาคญั
(3) เปน็ การเรีย่ ไร เพอื่ รว่ มกันทาบญุ เนอ่ื งในโอกาสการทอดผ้าพระกฐินพระราชทาน
(4) เป็นการเร่ียไรตามข้อ 18 (1) หรือ (3) เพื่อให้ได้เงิน หรือทรัพย์สินไม่เกินจานวนเงินหรือ
มลู ค่าตามที่ กคร. กาหนดโดยประกาศในราชกิจจานเุ บกษา
(5) เป็นการเข้าไปมีส่วนเก่ียวข้องกับการเร่ียไรตามข้อ 18 (4) ซึ่ง กคร. ได้ประกาศใน
ราชกจิ จานุเบกษายกเว้นให้หนว่ ยงานของรฐั ดาเนนิ การได้โดยไม่ตอ้ งขออนมุ ัติ
(6) เป็นการให้ความร่วมมือกับหน่วยงานของรัฐอ่ืนที่ได้รับอนุมัติ หรือได้รับยกเว้นในการ
ขออนมุ ตั ิ ตามระเบียบนีแ้ ลว้
ขอ้ 20 ในกรณีที่หน่วยงานของรัฐได้รับอนุมัติ หรือได้รบั ยกเว้นตามขอ้ 19 ให้จัดให้มีการเร่ียไร หรือ
เข้าไปมีสว่ นเกยี่ วขอ้ งกบั การเรยี่ ไรให้หนว่ ยงานของรฐั ดาเนนิ การ ดงั ตอ่ ไปนี้
(1) ใหก้ ระทาการเรย่ี ไรเป็นการท่ัวไป โดยประกาศ หรือเผยแพรต่ ่อสาธารณชน
(2) กาหนดสถานท่ี หรอื วิธกี ารที่จะรบั เงนิ หรือทรพั ย์สินจากการเรย่ี ไร
(3) ออกใบเสร็จ หรือหลักฐานการรับเงิน หรือทรัพย์สินให้แก่ผู้บริจาคทุกครั้ง เว้นแต่
โดยลักษณะแห่งการเร่ียไรไม่สามารถออกใบเสร็จ หรือหลักฐานดังกล่าวได้ ก็ให้จัดทาเป็นบัญชีการรับเงิน หรือ
ทรพั ย์สินนั้นไว้เพอื่ ให้สามารถตรวจสอบได้
(4) จัดทาบัญชีการรับจ่าย หรือทรัพย์สินท่ีได้จากการเรี่ยไรตามระบบบัญชีของทางราชการ
ภายในเก้าสบิ วันนับแต่วันท่สี ้ินสดุ การเร่ียไร หรือทกุ สามเดือน ในกรณีทเ่ี ป็นการเรยี่ ไรทก่ี ระทาอย่างต่อเนอ่ื งและ
ปดิ ประกาศเปิดเผย ณ ที่ทาการของหน่วยงานของรัฐที่ได้ทาการเร่ียไรไม่น้อยกว่าสามสิบวัน เพ่ือให้บุคคลทั่วไป
ได้ทราบ และจัดให้มีเอกสารเกี่ยวกับการดาเนินการเร่ียไรดังกล่าวไว้ ณ สถานท่ีสาหรับประชาชนสามารถใช้ใน
การค้นหา และศกึ ษาขอ้ มูลข่าวสารของราชการดว้ ย
(5) รายงานการเงินของการเร่ียไรพร้อมทั้งส่งบัญชีตาม (4) ให้สานักงานการตรวจเงินแผ่นดิน
ภายในสามสิบวันนับแต่วันท่ีได้จัดทาบัญชีตาม (4) แล้วเสร็จ หรือในกรณีท่ีเป็นการเรี่ยไรที่ได้กระทา
อยา่ งต่อเนื่อง ใหร้ ายงานการเงนิ พรอ้ มท้งั ส่งบัญชีดังกลา่ วทุกสามเดือน
ข้อ 21 ในการเรี่ยไร หรือเข้าไปมีส่วนเก่ียวข้องกับการเรี่ยไร ห้ามมิให้หน่วยงานของรัฐดาเนินการ
ดังตอ่ ไปนี้
(1) กาหนดประโยชน์ท่ีผู้บริจาค หรือบุคคลอื่นจะได้รับซ่ึงมิใช่ประโยชน์ท่ีหน่วยงานของรัฐ
ได้ประกาศไว้
หลกั สูตรรายวิชาเพิ่มเติม “การปอ้ งกนั การทุจริต” : 55
- ๕๓ -
(2) กาหนดให้ผู้บริจาคต้องบริจาคเงิน หรือทรัพย์สินเป็นจานวน หรือมูลค่าที่แน่นอน เว้นแต่
โดยสภาพมีความจาเป็นต้องกาหนดเป็นจานวนเงินท่ีแน่นอน เช่น การจาหน่ายบัตรเข้าชมการแสดง หรือ
บตั รเขา้ ร่วมการแขง่ ขนั เป็นต้น
(3) กระทาการใดๆ ที่เป็นการบังคับให้บุคคลใดทาการเร่ียไร หรือบริจาค หรือกระทาการ
ในลักษณะท่ีทาให้บุคคลนั้นต้องตกอยู่ในภาวะจายอมไม่สามารถปฏิเสธ หรือหลีกเลี่ยงท่ีจะไม่ช่วยทาการเรี่ยไร
หรอื บรจิ าคไม่วา่ โดยทางตรง หรือทางออ้ ม
(4) ใหเ้ จ้าหน้าที่ของรัฐออกทาการเรยี่ ไร หรือใช้ ส่ัง ขอรอ้ ง หรือบังคับให้ผใู้ ต้บังคับบัญชาหรือ
บุคคลอน่ื ออกทาการเรี่ยไร
ขอ้ 22 เจ้าหน้าท่ขี องรัฐท่ีเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเร่ียไรของบุคคล หรือนิติบุคคลที่ได้รับอนุญาต
จากคณะกรรมการควบคุมการเร่ียไรตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมการเรี่ยไร ซ่ึงมิใช่หน่วยงานของรัฐจะต้อง
ไม่กระทาการ ดงั ต่อไปน้ี
(1) ใช้หรือแสดงตาแหน่งหน้าที่ให้ปรากฏในการดาเนินการเรี่ยไรไม่ว่าจะเป็นการโฆษณาด้วย
สงิ่ พมิ พต์ ามกฎหมายวา่ ดว้ ยการพมิ พ์ หรอื ส่ืออยา่ งอ่ืน หรอื ด้วยวธิ กี ารอ่นื ใด
(2) ใช้ ส่ัง ขอร้อง หรอื บังคับให้ผู้ใต้บังคับบัญชา หรือบุคคลใดช่วยทาการเรยี่ ไรให้ หรือกระทา
ในลักษณะท่ีทาให้ผู้ใต้บังคับบัญชา หรือบุคคลอื่นนั้นต้องตกอยู่ในภาวะจายอมไม่สามารถปฏิเสธ หรือหลีกเล่ียง
ทจ่ี ะไม่ชว่ ยทาการเรยี่ ไรให้ได้ ไมว่ า่ โดยทางตรงหรอื ทางอ้อม
4. วธิ คี ดิ แบบฐานสบิ (Analog thinking) / ฐานสอง (Digital thinking)
แนวทางการแก้ปัญหาการทจุ ริตอย่างยั่งยืน ตอ้ งเร่ิมต้นแก้ไขท่ีตัวบุคคล โดยการปรับเปลยี่ นระบบการคิด
ของคนในสงั คมแยกแยะใหไ้ ดว้ ่า…
“เร่ืองใดเปน็ ประโยชน์ส่วนตน...เร่ืองใดเปน็ ประโยชนส์ ว่ นรวม”
ต้องแยกออกจากกันให้ได้อย่างเด็ดขาดไม่นามาปะปนกัน ไม่เอาประโยชน์ส่วนรวมมาเป็นประโยชน์
ส่วนตน ไม่เอาผลประโยชน์ส่วนรวมมาทดแทนบุญคุณส่วนตน ไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนและพวกพ้อง
เหนอื กว่าประโยชนส์ ว่ นรวม กรณีเกิดผลประโยชน์ขัดกนั ต้องยึดประโยชน์สว่ นรวมเหนอื กวา่ ประโยชน์สว่ นตน
โดยเฉพาะอย่างยิง่ ในกลุ่ม “เจ้าหน้าท่ีของรัฐ” ซ่ึงมีอานาจหน้าที่ที่จะต้องกระทาการ หรอื ใชด้ ุลยพินิจ
ในการตัดสินใจทีเ่ กีย่ วข้องกับผลประโยชน์ของส่วนรวม หากปล่อยให้มีผลประโยชน์ส่วนตนหรือความสัมพันธ์
ส่วนตนเข้ามามีส่วนในการตัดสินใจแล้วย่อมต้องเกิดการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนตนและประโยชน์ส่วนรวม
หรือผลประโยชน์ทับซ้อน (Conflict of interests) ขึ้นแน่นอนและความเสียหายก็จะตกอยูก่ ับประชาชนและ
ประเทศชาติน่ันเอง
หลกั สตู รรายวชิ าเพ่มิ เตมิ “การป้องกนั การทุจริต” : 56 - ๕๔ -
ระบบคิดที่จะกล่าวต่อไปน้ี… เป็นการนามาประยุกต์ใช้และเปรียบเทียบ เพ่ือให้เจ้าหน้าที่ของรัฐนาไปเป็น
“หลักคดิ ” ในการปฏิบตั ิงานให้สามารถแยกระหว่างประโยชนส์ ว่ นตนและประโยชนส์ ่วนรวมไดอ้ ยา่ งเด็ดขาด คอื
“ระบบคิด ฐานสิบ (Analog)”
กับ
“ระบบคดิ ฐานสอง (Digital)”
ทาไม จึงใชร้ ะบบเลขฐานสิบ (Analog) และระบบเลขฐานสอง (Digital) มาใช้แยกแยะการแกท้ ุจรติ
เรามาทาความเข้าใจในระบบ… ฐานสิบ (Analog), ฐานสอง (Digital) กนั เถอะ
ระบบเลข “ฐานสิบ” (decimal number system) หมายถึง ระบบเลขที่มตี ัวเลข
10 ตัว คือ 0 , 1 , 2 , 3 , 4 , 5 , 6 , 7 , 8 , 9 เป็นระบบคิดเลขที่เราใช้ในชีวิต
ประจาวันกันมาตง้ั แตจ่ าความกนั ได้ ไมว่ ่าจะเป็นการใชบ้ อกปริมาณ หรือบอกขนาด ช่วยให้
เกิดความเข้าใจที่ตรงกันในการส่ือความหมาย สอดคล้องกับระบบ “Analog” ท่ีใช้
ค่าต่อเน่ือง หรือสัญญาณซึ่งเป็นค่าต่อเนื่อง หรือแทนความหมายของข้อมูลโดยการใช้ฟังช่ัน
ที่ต่อเน่ือง (Continuous)
- ๕๕ -หลกั สตู รรายวิชาเพมิ่ เติม “การป้องกนั การทุจริต” : 57
ระบบเลข “ฐานสอง” (binary number system) หมายถึง ระบบเลขท่ีมี
สัญลักษณ์เพียงสองตัว คือ 0 (ศูนย์) กับ 1 (หนึ่ง) สอดคล้องกับการทางานระบบ Digital
ที่มีลักษณะการทางานภายในเพียง 2 จังหวะ คือ 0 กับ 1 หรือ ON กับ OFF (Discrete)
ตัดเดด็ ขาด
จากที่กล่าวมา... เม่ือนาระบบเลข “ฐานสิบ Analog” และระบบเลข “ฐานสอง Digital” มาปรับใช้
เป็นแนวคดิ คือ ระบบคิด “ฐานสบิ Analog” และ ระบบคดิ “ฐานสอง Digital” จะเหน็ ไดว้ ่า...
ระบบคิด “ฐานสิบ Analog” เป็นระบบการคิดวิเคราะห์ข้อมูลที่มีตัวเลขหลายตัว และอาจหมายถึง
โอกาสท่ีจะเลือกได้หลายทาง เกิดความคิดที่หลากหลาย ซับซ้อน หากนามาเปรียบเทียบกับการปฏิบัติงาน
ของเจ้าหน้าท่ีของรัฐ จะทาให้เจ้าหน้าท่ีของรัฐต้องคิดเยอะ ต้องใช้ดุลยพินิจเยอะ อาจจะนาประโยชน์ส่วนตน
และประโยชนส์ ่วนรวมมาปะปนกันได้ แยกประโยชนส์ ่วนตนและประโยชนส์ ว่ นรวมออกจากกันไม่ได้
ระบบคิด “ฐานสอง Digital” เป็นระบบการคิดวิเคราะห์ข้อมูลที่สามารถเลือกได้เพียง 2 ทางเท่านั้น
คือ 0 (ศูนย์) กับ 1 (หนึ่ง) และอาจหมายถึงโอกาสท่ีจะเลือกได้เพียง 2 ทาง เช่น ใช่ กับ ไม่ใช่, เท็จ กับ จริง,
ทาได้ กับ ทาไม่ได้, ประโยชน์ส่วนตน กับ ประโยชน์ส่วนรวม เป็นต้น จึงเหมาะกับการนามาเปรียบเทียบกับ
การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ของรัฐท่ีต้องสามารถแยกเรื่องตาแหน่งหน้าที่กับเร่ืองส่วนตัวออกจากกันได้
อยา่ งเดด็ ขาด และไมก่ ระทาการท่ีเป็นการขดั กันระหวา่ งประโยชนส์ ่วนตนและประโยชนส์ ่วนรวม
ระบบคดิ “ฐานสบิ Analog”
Vs
ระบบคิด “ฐานสอง Digital”
“การปฏิบัติงานแบบใช้ระบบคิดฐานสิบ (Analog)” คือ การที่เจ้าหน้าที่ของรัฐยังมีระบบการคิด
ท่ียังแยกเรื่องตาแหน่งหน้าที่ กับเร่ืองส่วนตนออกจากกันไม่ได้ นาประโยชน์ส่วนตนและประโยชน์ส่วนรวม
มาปะปนกันไปหมด แยกแยะไม่ออกว่าสิ่งไหนคือประโยชน์ส่วนตน ส่ิงไหนคือประโยชน์ส่วนรวม นาบุคลากร
หรือทรัพย์สินของราชการมาใช้เพื่อประโยชน์ส่วนตน เบียดบังราชการ เห็นแก่ประโยชน์สว่ นตน เครือญาติ หรือ
พวกพ้อง เหนือกว่าประโยชน์ของส่วนรวม หรือของหน่วยงาน จะคอยแสวงหาประโยชน์จากตาแหน่งหน้าที่
ราชการ กรณเี กิดการขดั กันระหวา่ งประโยชนส์ ่วนตนและประโยชน์สว่ นรวมจะยึดประโยชน์สว่ นตนเปน็ หลกั
หลักสูตรรายวชิ าเพิ่มเตมิ “การป้องกนั การทจุ รติ ” : 58 - ๕๖ -
“การปฏิบัติงานแบบใช้ระบบคิดฐานสอง (Digital)” คือ การท่ีเจ้าหน้าที่ของรัฐมีระบบการคิด
ท่ีสามารถแยกเรื่องตาแหน่งหน้าที่กับเร่ืองส่วนตนออกจากกัน แยกออกอย่างชัดเจนว่าสิ่งไหนถูก ส่ิงไหนผิด
ส่ิงไหนทาได้ สิ่งไหนทาไม่ได้ ส่ิงไหนคือประโยชน์ส่วนตน สิ่งไหนคือประโยชน์ส่วนรวม ไม่นามาปะปนกัน ไม่นา
บคุ ลากรหรือทรัพย์สนิ ของราชการมาใช้เพอื่ ประโยชน์ส่วนตน ไมเ่ บียดบงั ราชการ เหน็ แก่ประโยชนส์ ่วนรวมหรือ
ของหน่วยงานเหนือกว่าประโยชน์ของสว่ นตน เครือญาติ และพวกพ้อง ไมแ่ สวงหาประโยชน์จากตาแหน่งหน้าที่
ราชการ ไม่รับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดจากการปฏิบัติหน้าท่ี กรณีเกิดการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนตน
และประโยชน์สว่ นรวม ก็จะยดึ ประโยชน์สว่ นรวมเป็นหลัก
5. บทบาทของรฐั / เจา้ หนา้ ทขี่ องรฐั
หลักคิดการแยกแยะประโยชน์ส่วนตนและประโยชน์ส่วนรวมอย่างเด็ดขาด ดังกล่าวนี้ สอดคล้องกับ
แนวปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ของรัฐ ตามประมวลจริยธรรมข้าราชการพลเรือน ข้อ 5 ท่ีกาหนดให้เจ้าหน้าที่ของรัฐ
ตอ้ งแยกเร่ืองสว่ นตัวออกจากตาแหน่งหน้าที่ และยดึ ถือประโยชน์ส่วนรวมของประเทศชาติ เหนือกว่าประโยชน์
สว่ นตน โดยอยา่ งนอ้ ยต้องวางตน ดังน้ี
(๑) ไม่นาความสัมพันธ์ส่วนตัวที่ตนมีต่อบุคคลอ่ืน ไม่ว่าจะเป็นญาติพี่น้อง พรรคพวก เพื่อนฝูง หรือ
ผู้มีบุญคุณส่วนตัว มาประกอบการใช้ดุลยพินิจให้เป็นคุณหรือเป็นโทษแก่บุคคลน้ัน หรือปฏิบัติต่อบุคคลนั้น
ต่างจากบคุ คลอ่นื เพราะชอบหรือชัง
(๒) ไมใ่ ช้เวลาราชการ เงิน ทรัพย์สิน บคุ ลากร บรกิ าร หรือสิ่งอานวยความสะดวกของทางราชการไป
เพือ่ ประโยชน์สว่ นตวั ของตนเองหรอื ผูอ้ ื่น เวน้ แต่ได้รบั อนุญาตโดยชอบดว้ ยกฎหมาย
(๓) ไม่กระทาการใด หรือดารงตาแหน่ง หรอื ปฏิบัติการใดในฐานะส่วนตัว ซ่ึงก่อให้เกิดความเคลอื บแคลง
หรือสงสยั ว่าจะขัดกับประโยชนส์ ว่ นรวมทีอ่ ยใู่ นความรับผดิ ชอบของหน้าท่ี
ในกรณีมีความเคลือบแคลงหรือสงสัย ให้ข้าราชการผู้น้ันยุติการกระทาดังกล่าวไว้ก่อนแล้วแจ้งให้
ผู้บังคับบัญชา หัวหน้าส่วนราชการ และคณะกรรมการจริยธรรมพิจารณา เมื่อคณะกรรมการจริยธรรมวินิจฉัย
เป็นประการใดแล้วจงึ ปฏบิ ัติตามนั้น
(๔) ในการปฏิบัติหน้าท่ีที่รับผิดชอบในหน่วยงานโดยตรงหรือหน้าท่ีอ่ืนในราชการรัฐวิสาหกิจ
องคก์ ารมหาชน หรอื หนว่ ยงานของรัฐ ขา้ ราชการตอ้ งยดึ ถอื ประโยชน์ของทางราชการเป็นหลกั ในกรณีท่มี คี วามขัดแย้ง
ระหว่างประโยชน์ของทางราชการหรือประโยชน์ส่วนรวม กับประโยชน์ส่วนตนหรือส่วนกลุ่ม อันจาเป็นต้อง
วนิ ิจฉัยหรอื ชขี้ าด ต้องยดึ ประโยชนข์ องทางราชการและประโยชนส์ ว่ นรวมเป็นสาคญั
นอกจากน้ี ยังสอดคล้องกับแนวปฏิบัติของเจ้าหน้าท่ีของรัฐในระดับสากล ซ่ึงองค์กรในระดับสากล
ต่างก็ให้ความสาคัญ ดังจะเห็นได้จากจรรยาบรรณสากลสาหรับเจ้าหน้าท่ีของรัฐ ตามประกาศขององค์การ
สหประชาชาติ และอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการทุจริต (United Nations Convention
Against Corruption – UNCAC) ค.ศ. 2003 ที่กาหนดให้การแยกเร่ืองส่วนตัวออกจากตาแหน่งหน้าที่
เปน็ มาตรฐานความประพฤติสาหรบั เจา้ หน้าที่ของรฐั ในการปฏิบัติงานของรัฐแตล่ ะรัฐ และระหว่างรัฐ
จรรยาบรรณระหว่างประเทศสาหรบั เจา้ หนา้ ที่ของรัฐ
จรรยาบรรณระหว่างประเทศสาหรับเจ้าหนา้ ที่ของรัฐ ที่ระบุในภาคผนวกของมติสหประชาชาติ ครั้งท่ี 51/59
เมื่อวนั ที่ 12 ธนั วาคม 1996 (พ.ศ. 2539)
- ๕๗ - หลักสูตรรายวชิ าเพ่ิมเติม “การป้องกนั การทจุ ริต” : 59
ผลประโยชน์ขัดกนั และการขาดคณุ สมบัติ
(1) เจ้าหน้าที่ของรัฐไม่พงึ ใช้อานาจในตาแหน่งหน้าทีข่ องตนในการแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตน
หรือผลประโยชน์ทางการเงินอันไม่สมควรสาหรับตนหรือสมาชิกในครอบครัว ไม่พึงประกอบธุรกรรม เข้ารับ
ตาแหนง่ หรือหน้าทีห่ รือมีผลประโยชน์ทางการเงิน การค้า หรือผลประโยชน์อื่นใดในทานองเดียวกันซึ่งขัดกับ
ตาแหนง่ บทบาทหนา้ ที่ หรอื การปฏิบตั ใิ นตาแหน่ง หรือบทบาทหน้าที่น้นั
(2) เจ้าหน้าที่ของรัฐ ตามขอบเขตท่ีกาหนดโดยตาแหน่งหน้าท่ีของตนภายใต้กฎหมายหรือ
นโยบายในการบริหารพึงแจ้งเกี่ยวกับผลประโยชน์ทางธุรกิจ การค้า และการเงิน หรือ กิจการอันทา
เพื่อผลตอบแทนทางการเงิน ซ่ึงอาจก่อให้เกิดผลประโยชน์ขัดกันได้ในสถานการณ์ที่มีโอกาสจะเกิดหรือ
ที่ดูเหมือนว่าได้เกิดกรณีผลประโยชน์ขัดกันข้ึนระหว่างหน้าท่ีและผลประโยชน์ส่วนตนของเจ้าหน้าที่ ของรัฐผู้ใด
เจา้ หน้าที่ของรฐั ผนู้ ัน้ พึงปฏบิ ตั ติ ามมาตรการท่ีกาหนดไวเ้ พื่อลดหรือขจดั ซงึ่ ผลประโยชน์ขัดกันนนั้
(3) เจ้าหน้าท่ีของรัฐไม่พึงใช้เงิน ทรัพย์สิน บริการ หรือข้อมูลซ่ึงได้มาจากการปฏิบัติงาน หรือ
เป็นผลมาจากการปฏิบัตงิ าน เพ่ือกจิ การอน่ื ใดโดยไม่เก่ียวข้องกับงานในตาแหน่งหนา้ ที่ โดยไมส่ มควรอย่างเดด็ ขาด
(4) เจ้าหน้าที่ของรัฐ พึงปฏิบัติมาตรการซ่ึงกาหนดโดยกฎหมายหรือนโยบายในการบริหาร
เพ่อื มใิ ห้ผลประโยชนจ์ ากตาแหน่งหน้าที่เดมิ ของตน โดยไม่สมควรเมอื่ พน้ จากตาแหนง่ หน้าทไี่ ปแล้ว
การรบั ของขวัญหรือของกานัล
เจา้ หนา้ ที่ของรัฐไม่พึงเรียกรอ้ ง หรอื รับของขวัญหรือของกานลั อื่นไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม ซึง่ อาจมี
อทิ ธพิ ลตอ่ การปฏิบัติงานตามบทบาท การดาเนินงานตามหน้าท่ีหรอื การวนิ ิจฉัยของตน
6. กรณีตัวอยา่ ง เร่อื ง ระบบคิดเพือ่ แยกแยะระหวา่ งผลประโยชน์สว่ นตนและผลประโยชนส์ ่วนรวม
ตวั อย่าง ระบบคิดฐานสบิ & ระบบคดิ ฐานสอง
- ๕๘ -
หลกั สูตรรายวิชาเพ่มิ เตมิ “การปอ้ งกนั การทุจริต” : 60
ตวั อย่าง ระบบคดิ ฐานสิบ & ระบบคิดฐานสอง
หลักสตู รรายวิชาเพ่ิมเตมิ “การป้องกนั การทจุ รติ ” : 61
- ๕๙ -
คดิ ฐานสอง คดิ ฐานสิบ คดิ ฐานสอง คิดฐานสิบ
คดิ ฐานสอง คดิ ฐานสิบ คิดฐานสอง คิดฐานสิบ
หลกั สูตรรายวิชาเพิ่มเติม “การป้องกันการทุจริต” : 62
- ๖๐ -
คิดแบบไหน ? ...ไม่ทุจริต
คดิ ได้ - คดิ ก่อนทา (ก่อนกระทาการทจุ รติ )
- คดิ ถงึ ผลเสยี ผลกระทบต่อประเทศชาติ (ความเสียหายท่เี กดิ ข้ึนกับ
คดิ ดี ประเทศในทกุ ๆ ด้าน)
คดิ เปน็ - คิดถึงผูไ้ ด้รับบทลงโทษจากการทจุ รติ (เอามาเปน็ บทเรยี น)
- คิดถึงผลเสียผลกระทบทจ่ี ะเกดิ ขนึ้ กับตนเอง (จะต้องอย่กู ับ
ความเสย่ี งท่จี ะถูกร้องเรยี น ถูกลงโทษไล่ออกและตดิ คุก)
- คิดถงึ คนรอบข้าง (เสอ่ื มเสยี ต่อครอบครัวและวงศ์ตระกูล)
- คิดอยา่ งมสี ตสิ ัมปชัญญะ
- คิดแบบพอเพียง ไมเ่ บียดเบียนตนเอง ไมเ่ บยี ดเบียนผู้อ่นื และ
ไมเ่ บียดเบียนประเทศชาติ
- คดิ อย่างรับผดิ ชอบตามบทบาทหนา้ ที่ กฎระเบียบ
- คดิ ตามคุณธรรมวา่ “ทาดีได้ดี ทาชั่วไดช้ ่ัว”
- คดิ แยกแยะ เรอื่ ง ประโยชน์ส่วนตนและประโยชนส์ ว่ นรวม
ออกจากกนั อยา่ งชัดเจน
- คดิ แยก เร่ือง ตาแหน่งหน้าท่ี กบั เร่ืองส่วนตวั ออกจากกัน
- คดิ ที่จะไมน่ าประโยชน์ส่วนตนและประโยชน์สว่ นรวมมาปะปนกัน
มากา้ วก่ายกัน
- คิดท่ีจะไม่เอาประโยชนส์ ่วนรวมมาเปน็ ประโยชนส์ ่วนตน
- คดิ ทจ่ี ะไม่เอาผลประโยชนส์ ว่ นรวมมาตอบแทนบญุ คุณส่วนตน
- คิดเห็นแกป่ ระโยชนส์ ว่ นรวมมากกวา่ ประโยชน์ส่วนตน เครือญาติ
และพวกพ้อง
- คิดฐานสองและทิ้งฐานสบิ
หลกั สตู รรายวชิ าเพ่มิ เติม “การป้องกันการทจุ ริต” : 63
- ๖๑ -
บรรณานุกรม
- ยทุ ธศาสตรช์ าติว่าดว้ ยการป้องกันและปราบปรามการทจุ ริตแห่งชาติ ระยะท่ี 3 (พ.ศ. 2560 - 2564)
- พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542
และทแี่ กไ้ ขเพม่ิ เตมิ
- ค่มู อื การปอ้ งกันผลประโยชน์ทับซ้อน สานกั งานปลดั กระทรวงสาธารณสุข
- คู่มือปอ้ งกันผลประโยชน์ทับซ้อน สานักงานปลดั สานกั นายกรฐั มนตรี
- ค่มู อื การป้องกนั ผลประโยชนท์ ับซ้อน สานักงานปลดั กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม
- ค่มู ือการป้องกันผลประโยชนท์ ับซอ้ น สานกั งานปลัดกระทรวงพาณิชย์
- คมู่ อื การป้องกันผลประโยชนท์ ับซอ้ น กรมสรรพากร
- หนังสือชดุ ความรู้การเฝ้าระวงั การทจุ รติ ของหน่วยงานภาครัฐ ชุดที่ 3 สานกั งาน ป.ป.ช.
- กาชัย จงจักรพันธ์ “การขัดกันแห่งผลประโยชน์และมาตรา 100 พ.ร.บ. ป.ป.ช.”จัดพิมพ์และ
เผยแพรโ่ ดยสานกั งานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทจุ รติ แห่งชาติ
- สทุ ธินนั ท์ สารมิ าน. การกาหนดตาแหน่งเจ้าหนา้ ที่ของรฐั ทต่ี อ้ งห้ามดาเนนิ กจิ การอนั เป็นการขดั กัน
ระหว่างประโยชน์ส่วนตนและประโยชน์ส่วนรวม ตามบทบัญญัติมาตรา 100 พระราชบัญญัติประกอบ
รัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542. วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต,
ภาควิชานิตศิ าสตร์จุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั , 2552.
- สุวรรณา ตุลยวศินพงศ์ และคณะ. (2546). รายงานผลการวิจัย เรื่อง ความขัดแย้งระหว่าง
ผลประโยชนส์ ่วนตนและผลประโยชนส์ ่วนรวม. กรุงเทพฯ : สานักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน.
- เว็บไซต์สานักงานคณะกรรมการปอ้ งกนั และปราบปรามการทจุ ริตแห่งชาติ (www.nacc.go.th)
หลักสตู รรายวิชาเพม่ิ เตมิ “การป้องกนั การทจุ รติ ” : 64
- ๖๒ -
ชดุ วชิ าที่ ๒
ความละอายและความไมท่ นตอ่ การทุจรติ
2.1 การทจุ รติ
ปัญหาการทุจริต เป็นปัญหาท่ีสาคัญทั้งของประเทศไทยและประเทศอ่ืนๆ ท่ัวโลก ปัญหาการทุจริต
จะทาให้เกิดความเส่ือมในด้านต่างๆ เกิดข้ึนทั้งสังคม เศรษฐกิจ การเมือง และนับวันปัญหาดังกล่าว
ก็จะรุนแรงมากขึ้น และมีรูปแบบการทุจริตท่ีซับซ้อนยากแก่การตรวจสอบมากข้ึนจากเดิมท่ีกระทาเพียงสองฝ่าย
ปัจจุบันการทุจริตจะกระทากันหลายฝ่าย ท้ังผู้ดารงตาแหน่งทางการเมือง เจ้าหน้าท่ีของรัฐ และเอกชน
โดยประกอบด้วยสองส่วนใหญ่ๆ คือ ผู้ให้ผลประโยชน์กับผู้รับผลประโยชน์ ซึ่งทั้งสองฝ่ายน้ีจะมีผลประโยชน์
ร่วมกัน ตราบใดท่ีผลประโยชน์สมเหตุสมผลต่อกัน ก็จะนาไปสู่ปัญหาการทุจริตได้ บางคร้ังผู้ท่ีรับผลประโยชน์
กเ็ ป็นผ้ใู หป้ ระโยชนไ์ ด้เชน่ กนั โดยผรู้ บั ผลประโยชน์และผูใ้ ห้ผลประโยชน์ คือ
1. ผู้รับผลประโยชน์ จะเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ซึ่งมีอานาจ หน้าที่ในการกระทา การดาเนินการ
ต่างๆ และรับประโยชน์จะเป็นไปในรปู แบบต่างๆ เช่น การจัดซ้ือจัดจา้ ง การเรียกรับประโยชน์โดยตรง การกาหนด
ระเบยี บหรือคณุ สมบัติที่เอื้อตอ่ ตนเองและพวกพ้อง
2. ผู้ให้ผลประโยชน์ เช่น ภาคเอกชน โดยการเสนอผลตอบแทนในรูปแบบต่างๆ เช่น เงิน สิทธิพิเศษอ่ืนๆ
เพื่อจูงใจให้นักการเมือง เจ้าหน้าท่ีของรัฐ กระทาการหรือไม่กระทาการอย่างใดอย่างหนึ่งในตาแหน่งหน้าท่ี
ซงึ่ การกระทาดงั กลา่ วเป็นการกระทาทฝี่ า่ ฝนื ต่อระเบียบหรือผิดกฎหมาย เปน็ ต้น
2.๑.1 ทุจรติ คืออะไร
คาว่าทุจริต มีการให้ความหมายได้มากมายหลากหลายขึ้นอยู่กับว่าจะมีการให้ความหมายดังกล่าวไว้ว่า
อย่างไร โดยที่คาว่าทุจริตนั้นจะมีการให้ความหมายโดยหน่วยงานของรัฐ หรือการให้ความหมาย โดยกฎหมาย
ซ่ึงไม่ว่าจะเป็นการให้ความหมายจากแหล่งใด เน้ือหาสาคัญของคาวา่ ทุจริตก็ยังคงมีความหมายท่ีสอดคล้องกันอยู่
นั่นคือ การทุจริตเป็นส่ิงที่ไม่ดี มีการแสวงหาหรือเอาผลประโยชน์ของส่วนรวมมาเป็นของส่วนตวั ทั้ง ๆ ทีต่ นเอง
ไมไ่ ดม้ ีสิทธิในสง่ิ ๆ นั้น การยดึ ถือเอามาดงั กลา่ วจงึ ถือเปน็ สิง่ ท่ผี ดิ ทงั้ ในแงข่ องกฎหมายและศลี ธรรม
ในแง่ของกฎหมายน้ัน ประเทศไทยได้มีการกาหนดถึงความหมายของการทุจริตไว้หลักๆ ในกฎหมาย
2 ฉบับ คือ
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 1 (1) “โดยทุจริต” หมายถึง “เพ่ือแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้
โดยชอบดว้ ยกฎหมายสาหรับตนเองหรอื ผอู้ ื่น”
พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561
มาตรา 4 คาว่า “ทุจริตต่อหน้าที่” หมายถึง “ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตาแหน่งหรือหน้าท่ี หรือ
ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในพฤติการณ์ที่อาจทาให้ผู้อ่ืนเชื่อว่ามีตาแหน่งหรือหน้าที่ ทั้งท่ีตนมิได้มี
ตาแหน่งหรือหน้าท่ีนั้น หรือใช้อานาจในตาแหน่งหรือหน้าท่ี ท้ังนี้ เพ่ือแสวงหาประโยชน์ท่ีมิควรได้โดยชอบ
สาหรับตนเองหรือผู้อ่ืน หรือกระทาการอันเป็นความผิดต่อตาแหน่งหน้าท่ีราชการหรือความผิดต่อตาแหน่ง
หน้าที่ในการยตุ ธิ รรมตามประมวลกฎหมายอาญาหรอื ตามกฎหมายอืน่ ”
นอกจากน้ี คาว่าทุจริต ยังได้มีการบัญญัติให้ความหมายเอาไว้ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน
พ.ศ. 2542 โดยระบไุ ว้ว่าทุจรติ หมายถึง “ความประพฤติชว่ั คดโกง ฉ้อโกง”
หลักสูตรรายวิชาเพ่มิ เติม “การปอ้ งกนั การทจุ ริต” : 65
- ๖๓ -
ในคาภาษาอังกฤษ คาว่าทุจริตจะตรงกับคาว่า Corruption (คอร์รัปชัน) โดยในประเทศไทย มักมี
การกล่าวถึงคาว่าคอร์รัปชันมากกว่าการใช้คาว่าทุจริต โดยการทุจริตน้ีสามารถใช้ได้กับทุกท่ีไม่ว่าจะเป็น
หน่วยงานราชการ หน่วยงานของเอกชน หากเกิดกรณีการยึดเอา ถือเอาซึง่ ประโยชน์ส่วนตนมากกว่าส่วนรวม
ไม่คานึงถึงว่าสิ่งๆ น้ันเป็นของตนเอง หรือเป็นสิทธิที่ตนเองควรจะได้มาหรือไม่แล้วนั้น ก็จะเรียกได้ว่าเป็น
การทุจรติ เชน่ การทุจรติ ในการเบกิ จ่ายเงนิ ไมว่ า่ จะเกดิ ข้ึนในหน่วยงานของรฐั หรอื ของเอกชน การกระทาเช่นน้ี
ก็ถือเปน็ การทุจริต
อย่างไรก็ตาม เน่ืองจากคอร์รัปชนั มิได้เกิดเฉพาะในวงราชการเท่านั้น ดังน้นั ในอีกมุมหน่ึง คอร์รัปชัน
จึงต้องหมายรวมถึงการแสวงหาผลประโยชน์ของภาคธุรกิจเอกชน ในรูปของการให้สินบนหรือส่ิงตอบแทน
แก่นักการเมืองหรือข้าราชการเพื่อให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์ท่ีตนเองอยากได้ในรูปแบบของการประมูล
การสัมปทาน เป็นต้น รูปแบบเหล่านี้จะสามารถสร้างกาไรให้แก่ภาคเอกชนเป็นจานวนมากหากภาคเอกชน
สามารถเข้ามาดาเนินงานได้ รวมถึงการท่ีเจา้ หน้าท่ีของรัฐมีความต้องการทรัพย์สิน ประโยชน์อื่นนอกเหนือจาก
สงิ่ ที่ได้รบั ตามปกติ เม่ือเหตผุ ลของท้ังสองฝ่ายสามารถบรรจบหากันได้ การทุจรติ กเ็ กดิ ข้ึนได้
จากนิยามของการทุจริตคอร์รัปชันไม่เพียงแต่จะกินความถึงการทุจริตคอร์รัปชันในระบบราชการเท่าน้ัน
แต่ยังครอบคลุมไปถึงเร่ืองกิจกรรมทางการเมือง เศรษฐกิจและสังคมในภาคเอกชนอีกด้วย ซึ่งอาจกล่าวได้ว่า
การทุจริตคอร์รัปชนั คอื การทุจรติ และการประพฤติมชิ อบของขา้ ราชการ
ดังนั้น การทุจริต คือ การคดโกง ไมซ่ ่ือสัตย์สจุ รติ การกระทาท่ีผิดกฎหมาย เพื่อให้เกิดความได้เปรียบ
ในการแข่งขัน การใช้อานาจหน้าที่ในทางท่ีผิดเพ่ือแสวงหาประโยชน์ หรือให้ได้รับส่ิงตอบแทน การให้หรือ
การรบั สนิ บน การกาหนดนโยบายท่เี ออ้ื ประโยชน์แก่ตนหรือพวกพ้องรวมถึงการทจุ ริตเชงิ นโยบาย
2.1.๒ รปู แบบการทจุ ริต
รูปแบบการทุจริตท่ีเกิดขึ้นสามารถแบ่งได้ 3 ลักษณะ คือ แบ่งตามผู้ท่ีเก่ียวข้อง แบ่งตามกระบวนการ
ทใ่ี ชแ้ ละแบง่ ตามลักษณะรูปธรรม ดังนี้
1) แบ่งตามผู้ที่เก่ียวข้อง เป็นรูปแบบการทุจริตในเร่ืองของอานาจและความสัมพันธ์แบบอุปถัมภ์
ระหว่างผู้ท่ีให้การอุปถัมภ์ (ผู้ให้การช่วยเหลือ) กับผู้ถูกอุปถัมภ์ (ผู้ที่ได้รับการช่วยเหลือ) โดยในกระบวนการ
การทุจริตจะมี 2 ประเภท คอื
(1) การทุจริตโดยข้าราชการ หมายถึง การกระทาท่ีมีการใช้หน่วยงานราชการเพื่อมุ่งแสวงหา
ผลประโยชน์จากการปฏิบัติงานของหน่วยงานนัน้ ๆ มากกว่าประโยชน์ส่วนรวมของสังคม หรือประเทศ
โดยลักษณะของการทุจรติ โดยขา้ ราชการสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทย่อย ดงั น้ี
ก) การคอร์รัปชันตามน้า (corruption without theft) จะปรากฏขึ้นเมื่อเจ้าหน้าท่ีของรัฐ
ต้องการสินบน โดยให้มีการจ่ายตามช่องทางปกติของทางราชการ แต่ให้เพิ่มสินบนรวมเข้าไว้กับการจ่าย
ค่าบริการของหน่วยงานนั้นๆ โดยที่เงินค่าบริการปกติที่หน่วยงานน้ันจะต้องได้รับก็ยังคงได้รับต่อไป เช่น
การจ่ายเงินพิเศษให้แก่เจ้าหน้าท่ีในการออกเอกสารต่างๆ นอกเหนือจากค่าธรรมเนียมปกติที่ต้องจ่ายอยู่แล้ว
เปน็ ตน้
ข) การคอร์รัปชันทวนน้า (corruption with theft) เป็นการคอร์รัปชันใน ลักษณ ะ
ท่ีเจ้าหน้าท่ีของรัฐจะเรียกร้องเงินจากผู้ขอรับบริการโดยตรง โดยที่หน่วยงานนั้นไม่ได้มีการเรียกเก็บ
เงินค่าบริการแต่อย่างใด เช่น ในการออกเอกสารของหน่วยงานราชการไม่ได้มีการกาหนดให้ต้องเสียค่าใช้จ่าย
ในการดาเนนิ การ แต่กรณนี ี้มีการเรยี กเก็บค่าใชจ้ ่ายจากผู้ทม่ี าใช้บริการของหนว่ ยงานของรัฐ
หลักสตู รรายวชิ าเพ่ิมเติม “การป้องกันการทจุ รติ ” : 66
- ๖๔ -
(2) การทุจริตโดยนักการเมือง (political corruption) เป็นการใช้หน่วยงานของทางราชการ
โดยบรรดานักการเมืองเพื่อมุ่งแสวงหาผลประโยชน์ในทางการเงินมากกว่าประโยชน์ส่วนรวมของสังคมหรือ
ประเทศเช่นเดียวกัน โดยรูปแบบหรือวิธีการทั่วไปจะมีลักษณะเช่นเดียวกับการทุจริตโดยข้าราชการ แต่จะเป็น
ในระดับที่สูงกว่า เช่น การทุจริตในการประมูลโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ และมีการเรียกรับ หรือยอมรับ
ทรพั ย์สนิ หรอื ประโยชน์ต่างๆ จากภาคเอกชน เปน็ ตน้
2) แบ่งตามกระบวนการท่ีใช้ มี 2 ประเภท คือ (1) เกิดจากการใช้อานาจในการกาหนด กฎ กติกา
พืน้ ฐาน เช่น การออกกฎหมาย และกฎระเบียบต่างๆ เพือ่ อานวยประโยชน์ต่อกลุม่ ธุรกิจของตนหรือพวกพ้อง
และ (2) เกิดจากการใช้อานาจหน้าท่ีเพ่ือแสวงหาผลประโยชน์จากกฎ และระเบียบที่ดารงอยู่ ซึ่งมักเกิดจาก
ความไม่ชัดเจนของกฎและระเบียบเหล่าน้ันที่ทาให้เจ้าหน้าที่สามารถใช้ความคิดเห็นของตนได้ และการใช้
ความคดิ เห็นน้ันอาจไม่ถกู ตอ้ งหากมีการใช้ไปในทางที่ผดิ หรอื ไมย่ ตุ ธิ รรมได้
3) แบง่ ตามลักษณะรูปธรรม มที งั้ หมด 4 รปู แบบ คือ
(1) คอร์รัปชันจากการจัดซ้ือจัดหา (Procurement Corruption) เช่น การจัดซื้อส่ิงของ
ในหน่วยงาน โดยมกี ารคดิ ราคาเพ่ิม หรือลดคณุ สมบัติแต่กาหนดราคาซื้อไว้เท่าเดมิ
(2) คอร์รัปชันจากการให้สัมปทานและสิทธิพิเศษ (Concessionaire Corruption) เช่น
การให้เอกชนรายใดรายหนึ่งเขา้ มามสี ทิ ธใิ นการจัดทาสมั ปทานเปน็ กรณีพิเศษต่างกบั เอกชนรายอนื่
(3) คอร์รัปชันจากการขายสาธารณสมบัติ (Privatization Corruption) เช่น การขายกิจการ
ของรัฐวิสาหกจิ หรอื การยกเอาทดี่ ิน ทรัพย์สินไปเปน็ สิทธิการครอบครองของตา่ งชาติ เป็นตน้
(4) คอร์รัปชันจากการกากับดูแล (Regulatory Corruption) เช่น การกากับ ดูแลในหน่วยงาน
แลว้ ทาการทจุ ริต เปน็ ตน้
นักวิชาการท่ีได้ศึกษาเกี่ยวกับปัญหาการทุจริต ได้มีการกาหนด หรือแบ่งประเภทของการทุจริต
เป็นรูปแบบต่างๆ ไว้ เช่น การวิจัยของรองศาสตราจารย์ ดร.นวลน้อย ตรีรัตน์ และคณะ ได้แบ่งการทุจริต
คอร์รัปชันออกเป็น 3 รูปแบบ ได้แก่ 1) การใช้อานาจในการอนุญาตให้ละเว้นจากการปฏิบัติตามกฎระเบียบ
ของรัฐเพื่อลดต้นทุนการทาธรุ กิจ 2) การใช้อานาจในการจัดสรรผลประโยชน์ในรูปของส่ิงของ และบริการ หรือ
สิทธิให้แก่เอกชน และ 3) การใช้อานาจในการสร้างอุปสรรคในการให้บริการแก่ภาคประชาชนและภาคธุรกิจ
เนอื่ งจากเงนิ เดอื นและผลตอบแทนในระบบราชการต่าเกนิ ไปจนขาดแรงจูงใจในการทางาน
นอกจากนี้ จากผลการสอบสวนและศึกษา เร่ือง การทุจริต ของคณะกรรมการวิสามัญพิจารณา
สอบสวนและศึกษาเรื่องเก่ียวกับการทุจริตของวุฒิสภา (วิชา มหาคุณ) มีการแบ่งรูปแบบการทุจริตคอร์รัปชัน
ออกเปน็ 5 ประเภท ไดแ้ ก่
1) การทุจรติ เชิงนโยบาย
เป็นรูปแบบใหม่ของการทุจริตท่ีแยบยล โดยอาศัยรปู แบบของกฎหมาย หรือมติของคณะรัฐมนตรี
หรือมติของคณะกรรมการเป็นเคร่ืองมือในการแสวงหาผลประโยชน์ ทาให้ประชาชนส่วนใหญ่เข้าใจผิดว่าเป็น
การกระทาทีถ่ ูกตอ้ งชอบธรรม
2) การทจุ ริตตอ่ ตาแหน่งหนา้ ทีร่ าชการ
เป็นการใช้อานาจและหน้าที่ในความรับผิดชอบของตนในฐานะของเจ้าหน้าท่ีของรัฐเอื้อประโยชน์
ให้แก่ตนเองหรือบุคคลใดบุคคลหน่ึงหรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ปัจจุบันมักเกิดจากความร่วมมือกันระหว่าง
นกั การเมือง พอ่ คา้ และข้าราชการประจา
หลักสูตรรายวชิ าเพ่ิมเติม “การป้องกนั การทุจรติ ” : 67
- ๖๕ -
3) การทจุ รติ ในการจัดซื้อจดั จา้ ง
การทุจริตประเภทน้ีจะพบได้ท้ังรูปแบบของการสมยอมราคา ตั้งแต่ขั้นตอนการออกแบบ กาหนด
รายละเอียดหรือสเปคงาน กาหนดเงื่อนไข คานวณราคากลางออกประกาศประกวดราคา การขายแบบ การรับ
และเปดิ ซอง การประกาศผล การอนุมัติ การทาสัญญาทุกขั้นตอนของกระบวนการจัดซ้ือจัดจ้างล้วนมีช่องโหว่
ให้มีการทุจริตกันได้อย่างง่ายๆ นอกจากนี้ ยังมีการทุจริตที่มาเหนือเมฆ คือ การอาศัยความเป็นหน่วยงาน
ราชการด้วยกันจึงได้รับการยกเว้นและการไม่ถูกเพ่งเล็ง แต่ความจริงผลประโยชน์จากการรับงานและเงินที่ได้
จากการรับงานไม่ได้นาส่งกระทรวงการคลัง แต่เป็นผลประโยชน์ของกลุ่มบุคคล ซ่ึงไม่แตกต่างอะไรกับการจ้าง
บรษิ ัทเอกชน
4) การทจุ รติ ในการใหส้ ัมปทาน
เป็นการแสวงหา หรือเอื้อประโยชน์ โดยมิชอบจากโครงการ หรือกิจการของรัฐ ซึ่งรัฐได้อนุญาต
หรือมอบให้เอกชนดาเนินการแทนให้ลักษณะสัมปทานผูกขาดในกิจการใดกิจการหนึ่ง เช่น การทาสัญญา
สัมปทานโรงงานสุรา การทาสญั ญาสมั ปทานโทรคมนาคม เป็นตน้
5) การทจุ รติ โดยการทาลายระบบตรวจสอบการใชอ้ านาจรฐั
เป็นการพยายามดาเนินการให้ได้บุคคลซ่ึงมีสายสัมพันธ์กับผู้ดารงตาแหน่งทางการเมืองในอันท่ีจะ
เข้าไปดารงตาแหน่งในองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ ซึง่ มีอานาจหน้าท่ีในการตรวจสอบการใช้อานาจรัฐ เช่น
คณะกรรมการการเลือกต้ัง คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เป็นต้น ทาให้องค์กร
เหล่าน้มี ีความออ่ นแอ ไมส่ ามารถตรวจสอบการใหอ้ านาจรัฐไดอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพ
2.1.๓ สาเหตุทีท่ าใหเ้ กิดการทุจริต
จากการศกึ ษาวจิ ัยโครงการประเมนิ สถานการณ์ด้านการทุจรติ ในประเทศไทยของเสาวนยี ์ ไทยรุ่งโรจน์
ไดร้ ะบุ เงือ่ นไข/สาเหตุ ทท่ี าใหเ้ กิดการทจุ ริตคอรร์ ปั ชันอาจมาจากสาเหตภุ ายในหรอื สาเหตุภายนอก ดังน้ี
1) ปัจจัยส่วนบุคคล ได้แก่ พฤติกรรมส่วนตัวของข้าราชการบางคนท่ีเป็นคนโลภมาก เห็นแก่ได้
ไม่รู้จักพอ ความเคยชินของข้าราชการท่ีคุ้นเคยกับการทีจ่ ะได้ “ค่าน้าร้อนน้าชา” หรือ “เงินใต้โต๊ะ” จากผู้มา
ตดิ ตอ่ ราชการ ขาดจิตสานกึ เพอื่ ส่วนรวม
๒) ปจั จัยภายนอก ประกอบด้วย
1) ด้านเศรษฐกิจ ได้แก่ รายได้ของข้าราชการน้อย หรือต่ามากไม่ได้สัดส่วนกับการครองชีพ
ที่สูงข้ึน การเติบโตของระบบทุนนิยมท่ีเน้นการบริโภค สร้างนิสัยการอยากได้ อยากมี เมื่อรายได้ไม่เพียงพอ
ก็ตอ้ งหาทางใชอ้ านาจไปทุจรติ
๒) ด้านสังคม ได้แก่ ค่านิยมของสังคมท่ียกย่องคนมีเงิน คนร่ารวย และไม่สนใจว่าเงินนั้น
ไดม้ าอย่างไร เกดิ ลัทธิเอาอยา่ ง อยากไดส้ ง่ิ ท่คี นรวยมี เมอ่ื เงนิ เดอื นของตนไม่เพียงพอ กห็ าโดยวธิ มี ิชอบ
๓) ด้านวัฒนธรรม ได้แก่ การนิยมจ่ายเงินของนักธุรกิจให้กับข้าราชการที่ต้องการความสะดวก
รวดเร็ว หรือการบริการท่ดี ีกว่าด้วยการลดต้นทุนท่จี ะต้องปฏบิ ัติตามระเบียบ
4) ด้านการเมือง ได้แก่ การทุจริตของข้าราชการแยกไม่ออกจากนักการเมือง การร่วมมือของคน
สองกลุม่ น้เี กิดข้ึนไดใ้ นประเด็นการใชจ้ า่ ยเงินการหารายไดแ้ ละการตัดสินพจิ ารณาโครงการของรัฐ
หลกั สตู รรายวิชาเพมิ่ เตมิ “การป้องกันการทจุ รติ ” : 68
- ๖๖ -
5) ด้านระบบราชการ ได้แก่
- ความบกพรอ่ งในการบรหิ ารงานเปดิ โอกาสใหเ้ กิดการทจุ ริต
- การใชด้ ลุ ยพนิ ิจมากและการผูกขาดอานาจจะทาให้อัตราการทจุ รติ ในหน่วยงานสูง
- การที่ขั้นตอนของระเบียบราชการมีมากเกินไป ทาให้ผู้ท่ีไปติดต่อต้องเสียเวลามาก จึงเกิด
การสมยอมกันระหว่างผ้ใู ห้กับผ้รู บั
- การตกอย่ใู ตภ้ าวะแวดลอ้ มและอทิ ธิพลของผู้ทจุ รติ มีทางเปน็ ไปได้ทีผ่ ูน้ นั้ จะทาการทุจรติ ดว้ ย
- การรวมอานาจระบบราชการมีลักษณะท่ีรวมศูนย์ ทาให้ไม่มีระบบตรวจสอบท่ีเป็นจริงและ
มีประสทิ ธิภาพ
- ตาแหน่งหน้าท่ีในลักษณะอานวยต่อการกระทาผิด เช่น อานาจในการอนุญาต การอนุมัติ
จัดซือ้ จดั จา้ ง ผปู้ ระกอบการเอกชนมักจะยอมเสยี เงินติดสนิ บนเจ้าหน้าท่ี เพอ่ื ใหเ้ กดิ ความสะดวกและรวดเร็ว
- การที่ข้าราชการผู้ใหญ่ทุจริตให้เห็นเป็นตัวอย่างแล้วไม่ถูกลงโทษข้าราชการชั้นผู้น้อย
จึงเลียนแบบกลายเป็นความเคยชิน และมองไม่เห็นว่าการกระทาเหล่านั้นจะเป็นการคอร์รัปชัน หรือมีความสับสน
ระหว่างสินน้าใจกับคอรร์ ัปชันแยกออกจากกัน
6) กฎหมายและระเบียบ ได้แก่
- กฎหมายหลายฉบบั ท่ีใชอ้ ยยู่ งั มี “ช่องโหว่” ทท่ี าใหเ้ กดิ การทุจรติ ที่ดารงอยไู่ ด้
- การทุจริตไม่ได้เป็นอาชญากรรมให้คู่กรณีท้ังสองฝ่าย หาพยานหลักฐานได้ยากยิ่งกว่าน้ัน
คู่กรณีท้ังสองฝ่ายมักไม่ค่อยมีฝ่ายใดยอมเปิดเผยออกมา และถ้าหากมีฝ่ายใดต้องการที่จะเปิดเผยความจริง
ในเร่ืองนี้ กฎหมายหม่ินประมาทก็ยับยั้งเอาไว้ อีกท้ังกฎหมายของทุกประเทศเอาผิดกับบุคคลผู้ให้สินบนเท่า ๆ กับ
ผรู้ บั สินบน จึงไม่ค่อยมผี ใู้ หส้ นิ บนรายใดกล้าดาเนนิ คดีกบั ผู้รบั สินบน
- ราษฎรที่รู้เห็นการทุจริตก็เป็นโจทย์ฟ้องร้องมิได้เนื่องจากไม่ใช่ผู้เสียหาย ยิ่งกว่าน้ัน
กระบวนการพจิ ารณาพพิ ากษายงั ยุ่งยากซบั ซ้อนจนกลายเปน็ ผลดแี กผ่ ทู้ ุจริต
- ข้ันตอนทางกฎหมายหรือระเบียบปฏิบัติยุ่งยาก ซับซ้อน มีข้ันตอนมาก ทาให้เกิดช่องทางให้
ขา้ ราชการหาประโยชนไ์ ด้
7) การตรวจสอบ ได้แก่
- ภาคประชาชนขาดความเข้มแข็ง ทาให้กระบวนการต่อต้านการทุจริตจากฝ่ายประชาชน
ไม่เข้มแขง็ เทา่ ทีค่ วร
- การขาดการควบคมุ ตรวจสอบ ของหนว่ ยงานท่ีมีหน้าทีต่ รวจสอบหรือกากับดูแลอย่างจริงจงั
8) สาเหตุอ่นื ๆ
- อิทธิพลของภรรยาหรือผู้หญิง เน่ืองจากเป็นผู้ใกล้ชิดสามีอันเป็นตัวการสาคัญท่ีสนับสนุน
และสง่ เสรมิ ให้สามขี องตนทาการทุจริตเพ่ือความเปน็ อยู่ของครอบครัว
- การพนนั ทาใหข้ ้าราชการทเี่ สยี พนันมีแนวโน้มจะทจุ ริตมากข้ึน
หลกั สตู รรายวิชาเพ่มิ เตมิ “การปอ้ งกนั การทจุ ริต” : 69
- ๖๗ -
2.1.๔ ระดับการทจุ รติ ในประเทศไทย
1) การทุจริตระดับชาติ เป็นรูปแบบการทุจริตของนักการเมืองท่ีใช้อานาจในการบริหารราชการ
รวมถึงอานาจนิตบิ ญั ญัติ เปน็ เครอ่ื งมือในการออกกฎหมาย แก้ไขกฎหมาย การออกนโยบายต่างๆ โดยการอาศัย
ช่องว่างทางกฎหมาย
2) การทุจริตในระดับท้องถิ่น การบริหารราชการในรูปแบบท้องถิ่นเป็นการกระจายอานาจ
เพ่ือให้บริการต่างๆ ของรัฐสามารถตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนได้มากขึน้ แต่การดาเนินการ
ในรูปแบบของท้องถิ่นก็ก่อให้เกิดปัญหาการทุจริตเป็นจานวนมาก ผู้บริหารท้องถิ่นจะเป็นนักการเมืองท่ีอยู่ใน
ท้องถ่ินนั้น หรือนักธุรกิจที่ปรับบทบาทตนเองมาเป็นนักการเมือง และเม่ือเป็นนักการเมือง เป็นผู้บริหารท้องถิ่นแล้ว
ก็เปน็ โอกาสในการแสวงหาผลประโยชนส์ าหรับตนเองและพวกพ้องได้
ระดับการทุจริตในประเทศไทยทีแ่ บ่งออกเป็นระดับชาติ และระดับท้องถิ่นส่วนใหญ่มักจะมีรูปแบบ
การทุจริตที่คล้ายกัน เช่น การจัดซ้ือจัดจ้าง การประมูล การซื้อขายตาแหน่ง โดยเฉพาะในระดับท้องถ่ินท่ีมีข่าว
จานวนมากเกี่ยวกับผบู้ ริหารท้องถนิ่ เรียกรบั ผลประโยชน์ในการปรบั เปลยี่ นตาแหนง่ หรอื เลื่อนตาแหน่ง เป็นต้น
โดยการทุจรติ ที่เกดิ ขึ้นอาจจะไม่ใช่การทุจริตท่ีเป็นตัวเงนิ ให้เห็นได้ชัดเจนเท่าใด แต่จะแฝงตวั อยู่ในรปู แบบต่างๆ
หากไม่พิจารณาให้ดีแล้วอาจมองได้ว่าการกระทาดังกล่าวไม่ใช่การทุจริต แต่แท้จริงแล้วการกระทานั้น
เป็นการทุจริตอย่างหน่ึง และร้ายแรงมากพอที่จะส่งผลกระทบ และก่อให้เกิดความเสียหาย ต่อสังคม
ประเทศชาติได้เช่นกัน ตัวอย่างเช่น การประเมินผลการปฏิบัติงานซ่ึงผู้บังคับบัญชาให้คะแนนประเมินพิเศษ
แก่ลูกน้องท่ีตนเองชอบ ทาให้ได้รับเงินเดือนในอัตราท่ีสูงกว่าความเป็นจริงที่บุคคลนั้นควรจะได้รับ เป็นต้น
การกระทาดังกล่าวถือเป็นความผิดทางวินัย ซึ่งเจ้าหน้าท่ีของรัฐจะมีบทบัญญัติเกี่ยวกับประมวลจริยธรรม
ข้าราชการพลเรือนให้ยึดถือปฏิบัติอยู่แล้ว ซึ่งหากเกิดกรณีดังกล่าวขึ้นเท่ากับว่าเป็นการกระทาที่ทุจริตและ
ประพฤติผดิ ประมวลจริยธรรมอีกด้วย
2.1.๕ สถานการณก์ ารทุจรติ ของประเทศไทย
การทุจริตที่เกิดขึ้นย่อมส่งผลต่อภาพลักษณ์ของประเทศ หากประเทศใดมีการทุจริตน้อยจะส่งผลให้
ประเทศนั้นมคี วามเป็นอยู่ที่ดี นกั ลงทุนมีความต้องการท่จี ะมาลงทุนในประเทศ ซ่งึ หมายถึง เศรษฐกจิ ของประเทศ
จะสามารถพัฒนาไปได้อย่างต่อเนื่อง แต่หากมีการทุจริตเป็นจานวนมากนักธุรกิจย่อมไม่กล้าที่จะลงทุน
ในประเทศน้ันๆ เนื่องจากต้องเสียค่าใช้จ่ายในการทาธุรกิจท่ีมากกว่าปกติ แต่หากสามารถดาเนินธุรกิจดังกล่าว
ได้ผลที่เกิดข้ึนย่อมตกแก่ผู้บริโภคที่จะต้องซื้อสินค้าและบริการที่มีราคาสูง หรืออีกกรณีหนึ่ง คือ การใช้สินค้า
และบรกิ ารท่ีไม่มีคุณภาพ ดงั น้ัน จึงได้มีการวัดและจัดอันดับประเทศต่างๆ เพื่อบ่งบอกถึงสถานการณ์การทุจริต
ซ่ึงการทุจริตท่ีผ่านมานอกจากจะพบเห็นข่าวการทุจริตด้วยตนเอง และผ่านสื่อต่างๆ แล้วยังมีตัวชี้วัดท่ีสาคัญ
อีกตัวหน่ึงท่ีได้รับการยอมรับ คือ ตัวช้ีวัดขององค์กรเพ่ือความโปร่งใสนานาชาติ (Transparency International : TI)
ได้จัดอันดับค่าคะแนนดัชนีการรับรู้การทุจริต ประจาปี 2560 พบว่า ประเทศไทยได้ 37 คะแนน จากคะแนนเต็ม
100 คะแนน อยู่อันดับท่ี 96 จากการจดั อันดับทง้ั หมด 180 ประเทศท่ัวโลก หากเทียบกับปี 2559 ประเทศไทย
ได้คะแนน 35 คะแนน อยลู่ าดับท่ี 101 เท่ากับว่าประเทศไทย มีคะแนนความโปร่งใสดีข้ึน แตย่ ังแสดงให้เห็นว่า
ประเทศไทยยังมีการทุจริตคอร์รัปชันอยู่ในระดับสูง ซ่ึงสมควรได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน โดยคะแนนท่ีประเทศไทย
ไดร้ ับตงั้ แตอ่ ดตี จนถึงปจั จุบนั ได้คะแนนและลาดับ ดังน้ี
หลักสตู รรายวิชาเพม่ิ เตมิ “การป้องกนั การทจุ ริต” : 70
- ๖๘ -
ตารางท่ี 1 แสดงค่าคะแนนดชั นีการรับรู้การทุจริตของประเทศไทย ระหว่างปี พ.ศ. 2547 – 2560
ปี พ.ศ. คะแนน อันดบั จานวนประเทศ
2547 3.60 (คะแนนเตม็ 10) 64 146
2548 3.80 (คะแนนเต็ม 10) 59 159
2549 3.60 (คะแนนเตม็ 10) 63 163
2550 3.30 (คะแนนเตม็ 10) 84 179
2551 3.50 (คะแนนเตม็ 10) 80 180
2552 3.40 (คะแนนเต็ม 10) 84 180
2553 3.50 (คะแนนเตม็ 10) 78 178
2554 3.40 (คะแนนเตม็ 10) 80 183
2555 37 (คะแนนเต็ม 100) 88 176
2556 35 (คะแนนเต็ม 100) 102 177
๒๕๕๗ ๓๘ (คะแนนเต็ม 100) ๘๕ ๑๗๕
๒๕๕๘ ๓๘ (คะแนนเต็ม 100) ๗๖ ๑๖๘
2559 35 (คะแนนเตม็ 100) 101 176
2560 37 (คะแนนเต็ม 100) 96 180
และเม่ือจัดอันดับประเทศในกลุ่มอาเซียน จานวน 10 ประเทศ เพื่อเปรียบเทียบค่าคะแนนดัชนี
การรับรู้การทุจริตในปี พ.ศ. 2560 ประเทศสิงคโปร์ยังคงอันดับหนึ่งในกลุ่มอาเซียนเช่นเดียวกับ ปี พ.ศ. 2559
ตามตารางดา้ นลา่ งน้ี
ตารางท่ี 2 แสดงค่าคะแนนดัชนีการรับรู้การทุจรติ ประจาปี พ.ศ. 2558 - 2560 ในภูมิภาคอาเซียน
อันดบั ในอาเซียน ประเทศ คะแนน คะแนน คะแนน
๑ สงิ คโปร์ ปี พ.ศ.๒๕60 ปี พ.ศ.๒๕๕9 ปี พ.ศ.๒๕๕๘
2 บรไู น
3 มาเลเซีย 84 ๘4 ๘๕
4 อนิ โดนีเซีย 62 58 -
5 47 49 ๕๐
6 ไทย 37 ๓7 ๓๖
7 เวียดนาม 37 ๓5 ๓๘
8 ฟลิ ปิ ปินส์ 35 ๓3 ๓๑
9 34 ๓๕ ๓๕
10 พมา่ 30 28 ๒๒
ลาว 29 30 ๒๖
กัมพูชา 21 ๒๑ ๒๑
หลักสูตรรายวชิ าเพ่ิมเตมิ “การปอ้ งกันการทจุ ริต” : 71
- ๖๙ -
ในการประเมินดัชนีการรับรู้การทุจริตท่ีผ่านมาจะถูกประเมินจากแหล่งข้อมูล 9 แหล่ง ครอบคลุม
ด้านต่างๆ ทั้งด้านเศรษฐกิจ การเมือง การจัดการของรัฐบาล ความสามารถในการแข่งขันระดับประเทศ
ความคิดเห็นเก่ียวกับการรับรู้การทุจริต ประสิทธิภาพของภาครัฐและภาคเอกชนในการดาเนินงานและการวัด
ด้านความเป็นประชาธิปไตยของประเทศ โดยวัดจากความคิดเห็นของประชาชนว่าประเทศนัน้ มีความเป็น
ประชาธิปไตยมากนอ้ ยแค่ไหน เชน่ การมีสว่ นร่วม ความเป็นเอกฉันท์ การเลือกต้ัง ความเท่าเทียม ความเป็นเสรี
โดยท้งั หมดนี้จะใชร้ ปู แบบของการสอบถามจากนักลงทุนชาวตา่ งชาติทีเ่ ขา้ มาทาธุรกจิ ในประเทศ
2.1.๖ ผลกระทบของการทุจริตตอ่ การพฒั นาประเทศ
การทจุ ริตมีผลกระทบต่อการพฒั นาประเทศในทกุ ๆ ด้านเป็นพ้ืนฐานที่ก่อใหเ้ กิดความขดั แย้งของคนในชาติ
จากการเห็นประโยชน์ส่วนตนมากกว่าประโยชน์ของประเทศ ประชาชนได้รับบริการสาธารณะ หรือส่ิงอานวย
ความสะดวกไม่เต็มท่ีอย่างที่ควรจะเป็น เงินภาษีของประชาชนตกไปอยู่ในกระเป๋าของผู้ทุจริต และผลกระทบอ่ืนๆ
อีกมากมาย นอกจากน้ีแล้ว หากพิจารณาในแงก่ ารลงทุนจากต่างประเทศ เพอื่ ประกอบกจิ การต่างๆ ภายในประเทศ
พบว่า นักลงทุนต่างประเทศจะมองว่าการทุจริตถือว่าเป็นต้นทุนอย่างหนึ่ง ซึ่งนักลงทุนจากต่างประเทศจะใช้
ประกอบการพิจารณาการลงทุนประกอบกับปัจจัยด้านอื่นๆ ทั้งน้ี หากต้นทุนที่ต้องเสียจากการทุจริตมีต้นทุนที่สูง
นักลงทุนจากต่างประเทศอาจพิจารณาตัดสินใจการลงทนุ ไปยงั ประเทศอ่นื ส่งผลให้การจ้างงาน การสร้างรายได้
ให้แก่ประชาชนลดลง เม่ือประชาชนมีรายได้ลดลงก็จะส่งผลต่อการจัดเก็บภาษีอากร ซ่งึ เป็นรายได้ของรัฐลดลง
จงึ ส่งผลต่อการจดั สรรงบประมาณและการพฒั นาประเทศ
มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ไดส้ ารวจดัชนีสถานการณ์คอรร์ ัปชนั ไทยจากกล่มุ ตัวอย่าง 2,400 ตัวอยา่ ง
จากประชาชนทั่วไป ผู้ประกอบการภาคเอกชน และข้าราชการ/ภาครัฐ เมื่อเดือนมิถุนายน 2559 พบว่า
หากเปรียบเทียบความรุนแรงของปัญหาการทุจริตในปัจจุบันกับปีทผ่ี ่านมา พบว่า ผ้ทู ่ีตอบวา่ ความรุนแรงเพิม่ ข้ึน
มี 38% ความรุนแรงเท่าเดิม 30% ส่วนสาเหตุการทุจริตอันดับหนึ่ง คือ กฎหมายเปิดโอกาสให้เจ้าหน้าที่ใช้
ดุลยพินิจที่เอ้ือต่อการทุจริต อันดับสอง คือ ความไม่เข้มงวดของการบังคับใช้กฎหมาย อันดับสาม คือ
กระบวนการทางการเมอื งขาดความโปร่งใส ตรวจสอบได้ยาก ส่วนรปู แบบการทจุ ริตท่ีเกิดข้ึนบ่อยท่สี ุด อันดับหน่ึง
คอื การให้สินบน ของกานัล หรือรางวัล อนั ดับสอง คือ การใชช้ ่องโหวท่ างกฎหมาย เพอ่ื แสวงหาประโยชน์ส่วนตัว
อนั ดบั สาม คอื การใช้ตาแหนง่ ทางการเมอื งเพือ่ เอื้อประโยชนแ์ ก่พรรคพวก
สาหรบั ความเสียหายจากการทจุ รติ โดยการประเมินจากงบประมาณรายจา่ ยปี 2559 ที่ 2.72 ล้านลา้ นบาท
ว่าแม้จะมีการจ่ายเงินใต้โต๊ะ แต่อัตราการจ่ายอยู่ท่ีเฉล่ีย 1-15% โดยหากจ่ายที่ 5% ความเสียหายจะอยู่ท่ี
59,610 ล้านบาท หรือ 2.19% ของงบประมาณ และมีผลทาให้อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจลดลง 0.42%
แต่หากจา่ ยที่ 15% คิดเป็นความเสยี หาย 178,830 ลา้ นบาท หรอื 6.57% ของเงินงบประมาณ และมผี ลทาให้
เศรษฐกิจลดลง 1.27% โดยการลดการเรียกเงินสินบนลงทุกๆ 1% จะทาให้มูลค่าความเสียหายจากการทุจริตลดลง
10,000 ลา้ นบาท
ในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตของประเทศไทยจะมีหน่วยงานหลักทีด่ าเนินการป้องกันและ
ปราบปรามการทุจริต คือ สานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (สานักงาน ป.ป.ช.)
นอกจากนี้ยังมีหน่วยงานอื่นที่มีภารกิจในลักษณะเดียวกันหรือใกล้เคียงกับสานักงาน ป.ป.ช. เช่น สานักงาน
การตรวจเงินแผ่นดิน สานักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน สานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริต
ในภาครัฐ นอกจากนี้ยังมีหน่วยงานภาคเอกชนที่ให้ความร่วมมือในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต
อกี หลายหนว่ ยงาน และสาหรับหน่วยงานภาครัฐในปัจจุบันประเทศไทยได้มกี ารประกาศใชย้ ทุ ธศาสตร์ชาติวา่ ดว้ ย
หลกั สูตรรายวชิ าเพ่มิ เติม “การปอ้ งกันการทุจริต” : 72 - ๗๐ -
การป้องกันและปราบปรามการทุจริต ระยะท่ี 3 (พ.ศ. 2560 – 2564) เพื่อเป็นมาตรการแนวทาง
การดาเนนิ งานท้งั ของภาครฐั และภาคเอกชน
2.1.๗ ทศิ ทางการปอ้ งกันและปราบปรามการทุจริต
ประเทศไทยได้มีความพยายามในการแก้ไขปัญหาการทุจริตมาอย่างต่อเนื่อง โดยอาศัยความร่วมมือ
ทัง้ หน่วยงานของรัฐ หน่วยงานของเอกชน และภาคประชาชนในการร่วมมือป้องกันและปราบปรามการทุจริต
รวมถึงได้มีการออกกฎหมายลงโทษผู้ที่กระทาความผิด มีการจัดตั้งศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ
เพ่ือทาหน้าท่ีในการดาเนินคดีกับบุคคลที่ทาการทุจริต นอกจากนี้ยังได้มีการกาหนดยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วย
การป้องกันและปราบปรามการทุจริต ซึง่ ฉบับปัจจุบันเป็นฉบับที่ 3 มีกาหนดใช้ตั้งแต่ พ.ศ. 2560 – 2564
โดยมีวสิ ยั ทัศน์ว่า “ประเทศไทยใสสะอาด ไทยทง้ั ชาตติ ้านทุจรติ (Zero Tolerance & Clean Thailand)” และ
มพี ันธกจิ คอื สร้างวัฒนธรรมตอ่ ต้านการทุจรติ ยกระดับธรรมาภบิ าลในการบริหารจดั การทุกภาคส่วนแบบบรู ณาการ
และปฏิรปู กระบวนการป้องกนั และปราบปรามการทุจรติ ท้ังระบบให้มมี าตรฐานสากล โดยมรี ายละเอยี ด ดังน้ี
ยทุ ธศาสตร์ชาติว่าดว้ ยการป้องกนั และปราบปรามการทจุ รติ ระยะท่ี 3 (พ.ศ. 2560 – 2564)
ยุทธศาสตร์ชาติฯ ระยะที่ 3 ประกอบด้วยยุทธศาสตร์ จานวน 6 ยุทธศาสตร์ เป็นการดาเนินการ
ป้องกันและปราบปรามการทุจริตทั้งระบบ ต้ังแต่การป้องกันการทุจริต โดยใช้กระบวนการปลูกฝังคุณธรรม
จริยธรรมผ่านกิจกรรมและการเรียนการสอน รวมถึงการป้องกันการทุจริตเชิงระบบ นอกจากนี้รวมไปถึง
การดาเนินการในส่วนการตรวจสอบทรัพย์สินที่เป็นการตรวจสอบบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน
ของเจ้าหน้าที่ของรัฐว่าจะมีแนวทางในการดาเนินงานอย่างไร และด้านการปราบปรามการทุจริต เพ่ือให้
การดาเนินการด้านการปราบปรามการทุจริตมีประสิทธิภาพมากข้ึน ทั้งนี้ เพื่อเป็นการยกระดับค่า CPI ให้ได้
คะแนน 50 คะแนน ตามท่ีตง้ั เป้าหมายไว้ โดยมีรายละเอียดแต่ละยุทธศาสตร์ ดังน้ี
ยุทธศาสตรท์ ี่ 1 : สรา้ งสังคมที่ไม่ทนต่อการทจุ ริต
มีวัตถุประสงค์ในการปรับฐานความคิดทุกชว่ งวัยให้มีค่านิยมร่วมต้านทุจริต มีจิตสานึกสาธารณะและ
สามารถแยกแยะระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนและผลประโยชน์ส่วนรวม และสร้างกระบวนการกล่อมเกลา
ทางสังคมในการปอ้ งกันและปราบปรามการทุจรติ อย่างเป็นระบบ รวมถึงการบูรณาการและเสริมพลังการมสี ่วนร่วม
ของทุกภาคสว่ นในการผลักดันใหเ้ กดิ สังคมท่ีไม่ทนตอ่ การทุจรติ
ยุทธศาสตรท์ ่ี 2 : ยกระดบั เจตจานงทางการเมืองในการตอ่ ตา้ นการทจุ ริต
มีวัตถุประสงค์เพื่อให้เจตจานงทางการเมืองในการต่อต้านการทุจริตของประชาชนได้รับการปฏิบัติ
ให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม และเพ่ือรักษาเจตจานงทางการเมืองในการแก้ไขปัญหาการทุจริตให้เป็นส่วนหน่ึง
ของนโยบายรัฐบาลในแตล่ ะช่วง
ยุทธศาสตรท์ ี่ 3 : สกดั กัน้ การทุจริตเชิงนโยบาย
มวี ัตถุประสงค์เพื่อให้กระบวนการนโยบายเป็นไปตามหลักธรรมาภบิ าล สามารถกระจายผลประโยชน์
สู่ประชาชนอย่างเป็นธรรม และไม่มีลักษณะของการขัดกันแห่งผลประโยชน์ และเพ่ือแก้ไขปัญหาการทุจริต
เชิงนโยบายทุกระดบั
ยุทธศาสตร์ท่ี 4 : พัฒนาระบบปอ้ งกันการทจุ รติ เชิงรุก
มีวัตถุประสงค์เพ่ือพัฒนากลไกการป้องกันการทุจริตให้เท่าทันต่อสถานการณ์การทุจริตพัฒน า
กระบวนการทางานด้านการป้องกนั การทุจริต ให้สามารถป้องกันการทุจริตให้มีประสิทธิภาพเพ่ือให้เกิดความเข้มแข็ง
- ๗๑ - หลกั สูตรรายวชิ าเพ่ิมเตมิ “การปอ้ งกันการทจุ รติ ” : 73
ในการบูรณาการการทางานระหว่างองค์กรท่ีเก่ียวข้องกับการป้องกันการทุจริต และเป็นการป้องกันไม่ให้มี
การทจุ ริตเกดิ ขนึ้ ในอนาคต
ยทุ ธศาสตร์ท่ี 5 : ปฏิรปู กลไกและกระบวนการปราบปรามการทุจริต
มีวัตถุประสงค์เพื่อปรับปรุงและพัฒนากลไกและกระบวนการปราบปรามการทุจริตให้มีความรวดเร็ว
มีประสิทธิภาพ และเท่าทนั ตอ่ พลวัตรของการทุจริต การตรากฎหมายและปรบั ปรงุ กฎหมายใหก้ ระบวนการปราบปราม
การทุจริตมีประสิทธิภาพ บูรณาการกระบวนการปราบปรามการทุจริตของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องท้ังระบบ
และเพอื่ ให้ผกู้ ระทาความผิดถกู ดาเนนิ คดีและลงโทษอย่างเปน็ รปู ธรรมและเท่าทนั ต่อสถานการณ์
ยุทธศาสตร์ที่ 6 : ยกระดับคะแนนดชั นีการรบั รู้การทจุ รติ
มวี ัตถุประสงค์เพอ่ื ยกระดบั คะแนนดัชนีการรบั รู้การทจุ ริตของประเทศไทยใหม้ ีระดับรอ้ ยละ 50 ขึน้ ไป
เป็นเป้าหมายที่ต้องการยกระดับคะแนนให้มีค่าสูงข้ึน หากได้รับคะแนนมากจะหมายถึงการท่ี ประเทศน้ัน
มีการทุจริตน้อย ดังนั้น ยุทธศาสตร์ท่ี 6 นี้ จึงถือเป็นเป้าหมายสาคัญในการที่จะต้องมุ่งม่ันในการดาเนินการ
ป้องกันและปราบปรามการทุจรติ
2.1.๘ กรณีตัวอยา่ งผลทีเ่ กดิ จากการทุจรติ
คดีทจุ ริตจัดซ้ือรถและเรือดบั เพลิงของกรุงเทพมหานคร
แตเ่ ดิมภารกจิ ดา้ นการดับเพลิงเป็นภารกจิ ของตารวจดับเพลงิ มีฐานะเปน็ กองบงั คบั การตารวจดับเพลิง
ปฏิบัติงานทางด้านป้องกันระงับอัคคีภัยและบรรเทาสาธารณภัยจนกระทัง้ ได้มีแนวคิดทีจ่ ะปรับปรุงโครงสร้าง
ของสานักงานตารวจแห่งชาติ ซึ่งเป็นหน่วยงานต้นสังกัดของกองบังคับการตารวจดับเพลิงให้มีขนาดเล็กลง
โดยมีแนวคิดที่จะโอนภารกจิ ท่ีไม่ใช่หน้าทข่ี องตารวจโดยตรงให้ไปอยู่ในความรับผดิ ชอบของหนว่ ยงานท่ีมีหน้าท่ี
รับผิดชอบโดยตรง งานด้านดับเพลิงและกู้ภัย ถือเป็นภารกิจหนึ่งที่มิใช่หน้าที่โดยตรงของสานักงานตารวจแห่งชาติ
จึงเห็นควรท่ีจะโอนภารกิจดังกล่าวให้กรุงเทพมหานครรับไปดาเนินการ โดยเม่ือปี พ.ศ. 2546 คณะรัฐมนตรี
ได้มีมติให้สานักงานตารวจแห่งชาติ ถ่ายโอนภารกิจป้องกันและระงับอัคคีภัยให้กรุงเทพมหานคร มีสถานะ
เปน็ สานัก ชอ่ื วา่ สานกั ป้องกนั และบรรเทาสาธารณภยั
คดีทุจริตจัดซื้อรถและเรือดับเพลิงของกรุงเทพมหานคร มีผู้เกี่ยวข้องท้ังเจ้าหน้าที่ของรัฐ และเอกชน
โดยเอกชนที่เข้ามาทาธุรกิจการขายรถและเรือดับเพลิง คือ บริษัท ส. โดยเม่ือเดือนตุลาคม พ.ศ. 2546
บริษัท สไตเออร์เดมเลอร์พุคสเปเชียลฟาห์รซอยก์ จากัด ถูกบริษัท General Dynamics Worldwide
Holdings, Inc. ของสหรัฐอเมริกา ซ้ือกิจการท้ังหมด แต่ยังคงเป็นบริษัทถูกต้องตามกฎหมายของประเทศออสเตรีย
บริษัท สไตเออร์เดมเลอร์พุคสเปเชียลฟาห์รซอยก์ จากัด ว่าจ้าง บริษัท Somati Vehicle N.V. ของประเทศเบลเย่ียม
เป็นผู้รับจ้างจัดหา ผลิตและประกอบรถดับเพลิงและอุปกรณ์บรรเทาสาธารณภัย (ยกเว้นเรือดับเพลิง) ให้กับ
กรุงเทพมหานคร โดยได้รับค่าจ้างผลิตราว 28 ล้านยูโร หรือราว 1,400 ล้านบาท บริษัท สไตเออร์ฯ จึงไม่ใช่
ผู้ผลติ และประกอบสินค้าเพ่ือเสนอขายโดยตรง แต่เปน็ เพียงนายหนา้ และบรหิ ารจัดการในการจัดหาสินค้าให้กับ
กรงุ เทพมหานครเทา่ นน้ั
ในช่วงเดือนมิถุนายน 2546 เอกอัครราชทูตออสเตรียประจาประเทศไทย ได้มีหนังสือถึงรัฐมนตรี
วา่ การกระทรวงมหาดไทย เสนอโครงการขายรถดบั เพลงิ และอุปกรณ์บรรเทาสาธารณภยั ของ บรษิ ัท สไตเออร์ฯ
โดยเป็นข้อเสนอให้ดาเนินการในลักษณะรัฐต่อรัฐ และบริษัท สไตเออร์ฯ ได้เชิญนาย ป. รัฐมนตรีช่วยว่าการ
หลกั สตู รรายวิชาเพิ่มเตมิ “การป้องกันการทจุ รติ ” : 74
- ๗๒ -
กระทรวงมหาดไทย ดูงานโรงงานผลิตของบริษัท MAN ซ่ึงผลิตตัวรถดับเพลิงให้ บริษัท สไตเออร์ฯ ท่ีประเทศ
ออสเตรียและเบลเยี่ยม และนาย ส. ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้อนุมัติโครงการจัดซื้อครุภัณฑ์เพ่ือใช้
ในกิจการดับเพลิง ตามที่ พล.ต.ต. อ. ผู้อานวยการสานักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยกรุงเทพมหานครเสนอ
ได้แก่ รถดับเพลิงชนิดต่างๆ และรถบรรทกุ น้ารวม 315 คนั และเรือดับเพลงิ 30 ลา ตลอดจนอุปกรณ์สาธารณภัย
อ่ืนๆ ซึ่งตรงกันกับรายการในใบเสนอราคาของบริษัท สไตเออร์ฯ ผ่านเอกอัครราชทูตออสเตรีย จากน้ัน
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการโดยมีการจัดทา A.O.U. (Agreement of Understanding) และข้อตกลงซื้อขาย
(Purchase/Sale Agreement) โดยทูตพาณิชย์แห่งสาธารณรัฐออสเตรียย่ืนร่าง A.O.U.ให้แก่ พล.ต.ต. อ.
ซึง่ นาเสนอต่อนาย ส. โดยตรงโดยไม่ผ่านปลัดกรุงเทพมหานคร นาย ส. ลงนามรับทราบบันทึกและเสนอต่อ
นาย ภ. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และหลังจากที่ได้มีการลงนามร่วมกับคุณหญิง ณ. ปลัดกรุงเทพมหานคร
ได้ส่งร่างข้อตกลงซ้ือขายยานพาหนะและอุปกรณ์ดับเพลิงระหว่างกรุงเทพมหานครกับ บริษัท สไตเออร์ฯ
ให้สานักงานอัยการสูงสุดตรวจพิจารณาตามข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่อง การพัสดุ พ.ศ. 2538 และ
คณะรัฐมนตรี ได้มีมติอนุมัตใิ ห้กระทรวงมหาดไทย (กรงุ เทพมหานคร) ดาเนนิ การก่อหน้ีผูกพันขา้ มปีงบประมาณ
โครงการจัดซ้ือรถและเรือดับเพลิงในวงเงิน 6,687,489,000 บาท และอนุมัติวงเงินเพ่ิมเติม เพ่ือเป็น
ค่าธรรมเนียมในการเปิด Letter of Credit (L/C) อีกจานวน 20,000,000 บาท หรือตามจานวนท่ีจ่ายจริง
รวมท้ังให้กระทรวงพาณิชย์เร่งรัดดาเนินการเกี่ยวกับการค้าต่างตอบแทนตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อ 20
กรกฎาคม 2547
ในปี พ.ศ. 2547 ได้มีการเปล่ียนแปลงผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครเป็นนาย อ. และก่อนมอบหมายงาน
ในหน้าที่ให้กับผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครคนใหม่ นาย ส. ซึ่งเป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครคนเดิม
ได้มีหนังสือถึงผู้จัดการธนาคารกรุงไทย ขอเปิด L/C วงเงิน 133,749,780 ยูโร ให้กับบริษัท สไตเออร์ฯ
โดยกรุงเทพมหานครชาระค่าธรรมเนยี ม เป็นเงิน 20,000,000 บาท และมอบอานาจให้ พล.ต.ต. อ. ผู้อานวยการ
สานกั ปอ้ งกนั และบรรเทาสาธารณภัย กรงุ เทพมหานคร เป็นผดู้ าเนินการและลงนาม
ในปี พ.ศ. 2548 คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้ดาเนินการไต่สวนการดาเนินการดังกล่าวของกรงุ เทพมหานคร
และยนื่ ฟ้องต่อศาลฏีกา แผนกคดีอาญา ของผู้ดารงตาแหน่งทางการเมือง จากการกระทาดังกล่าวท่ีเกิดข้ึน
กอ่ ให้เกดิ ผลกระทบท่ีเสียหายและรนุ แรง โดยราคาของรถและเรอื ดับเพลงิ ทก่ี รุงเทพมหานครซื้อมาน้ันมรี าคาท่ีสงู มาก
ส่งผลให้รฐั สญู เสยี งบประมาณไปอยา่ งน่าเสียดาย ซ่ึงความเสียหายทเ่ี กิดขน้ึ มี ดังนี้
ตารางท่ี 3 เปรียบเทยี บราคาจากการจัดซ้อื ของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภยั เมือ่ พ.ศ. 2547
กบั กรงุ เทพมหานคร
รถดบั เพลิง 4x4 + สูบน้าแบกหาม
รายละเอียด ความแตกตา่ ง
โครงประธานรถเครื่องยนต์ยี่ห้อ มิตซูบิชิ 2,500 ซีซี กรุงเทพมหานคร ซื้อแพงกว่า คนั ละ 2,154,050 บาท
4x4 ประกอบโดย บรษิ ัท กาญจนาอิควิปเม้นท์ จากัด รวม 72 คัน เป็นเงนิ แพงกว่า 154,875,600 บาท
เครือ่ งดบั เพลิงชนิดหาบหามจากญป่ี ่นุ
รถดบั เพลิง + บันได 13 เมตร
รายละเอียด ความแตกต่าง
โครงประธานรถผลิตภณั ฑ์ฟินแลนด์ ซ้อื จาก กรุงเทพมหานคร ซ้ือแพงกวา่ คนั ละ 17,143,200 บาท
บริษทั เชส เอ็นเตอร์ไพรส์ (สยาม) จากดั รวม 9 คนั เป็นเงนิ แพงกวา่ 154,875,600 บาท
มาตรฐานใกลเ้ คียงกันเคร่ืองสูบนา้ สมรรถนะสูงกว่า
หลกั สูตรรายวชิ าเพิม่ เติม “การป้องกันการทจุ รติ ” : 75
- ๗๓ -
รายละเอียด รถดบั เพลิง 2,000 ลติ ร
ความแตกต่าง
ซ้ือจาก บริษัท ตรเี พชรอีซซู ุเซลส์ จากดั กรงุ เทพมหานคร ซ้ือแพงกวา่ คนั ละ 15,455,370 บาท
รวม 144 คัน เป็นเงนิ แพงกว่า 2,225,573,280 บาท
รถถงั น้า 20,000 ลติ ร
รายละเอยี ด ความแตกต่าง
ขนาด 10,000 ลิตร ซือ้ จาก กรงุ เทพมหานคร ซื้อแพงกวา่ คันละ 15,189,100 บาท
บรษิ ัท มติ ซบู ิชิ มอเตอรส์ (ประเทศไทย) จากดั รวม 72 คนั เปน็ เงิน แพงกวา่ 1,093,615,200 บาท
รถไฟฟ้าสอ่ งสว่าง 30 KVA
รายละเอียด ความแตกต่าง
ซ้ือจาก บริษทั มติ ซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จากัด กรงุ เทพมหานคร ซื้อแพงกว่า คันละ 56,577,250 บาท
รวม 7 คัน เปน็ เงนิ แพงกวา่ 396,040,750 บาท
ตารางท่ี 4 เปรียบเทียบข้อมูลและราคาเรอื ดับเพลิง
ขอ้ มูลเรือดับเพลิง
บริษัท สไตเออร์เดมเลอร์พุคสเปเชยี ลฟาห์รซอยก์ จากดั บรษิ ัท สไตเออร์เดมเลอรพ์ ุคสเปเชยี ลฟาห์รซอยก์ จากัด
ซอ้ื เรอื ดับเพลิงจาก บริษทั ซีทโบ๊ต จากัด ผลิตและ ขายให้ กรงุ เทพมหานคร ราคาลาละ 25,462,100 บาท
ประกอบที่เมอื งพัทยา ราคาลาละ 14,300,000 บาท
จากตารางข้างต้น แสดงให้เห็นถึงความเสียหายท่ีเกิดข้ึนจากการทุจริต ความเสียหายท่ีเกิดขึ้น
นอกจากจะสามารถแสดงเป็นตัวเลขให้ได้เห็นว่าสูญเสียงบประมาณจานวนเท่าไร แต่การสูญเสียดังกลา่ วแทนท่ีรัฐ
และประชาชนจะได้ใช้ประโยชน์จากรถและเรือดับเพลิง ซ่ึงถือเป็นส่ิงจาเป็นที่ช่วยในการป้องกันและบรรเทา
สาธารณภัย โดยเฉพาะอคั คภี ัยได้เป็นอย่างดี แต่เม่ือมีการทุจริตแลว้ ยงั ส่งผลให้ไม่สามารถนารถและเรอื ดับเพลิง
มาใชง้ านได้ เท่ากับวา่ สญู เสียงบประมาณแลว้ ยงั ไม่สามารถนาส่ิงเหล่านี้มาใช้ประโยชน์ได้อีก ซึ่งหากเกิดอัคคีภัย
เกดิ ขนึ้ อุปกรณ์ต่างๆ ที่มอี ย่อู าจไมเ่ พียงพอต่อการใชง้ านส่งผลให้เกิดความเสียหายอยา่ งต่อเนื่องจากเหตุนั้นๆ อีก
2.2 ความละอายและความไมท่ นตอ่ การทุจริต
การสร้างสังคมที่ไม่ทนต่อการทุจริตเป็นการปรับเปล่ียนสภาพสังคมให้เกิดภาวะ “ท่ีไม่ทนต่อการทุจริต”
โดยเริ่มตั้งแต่กระบวนการกล่อมเกลาทางสังคมในทุกช่วงวัย เพ่ือสร้างวัฒนธรรมต่อต้านการทุจริต และปลูกฝัง
ความพอเพียง มีวินัย ซ่ือสัตยส์ ุจริต ความเป็นพลเมอื งดี มีจติ สาธารณะ ผ่านทางสถาบันหรือกลุ่มตวั แทนที่ทาหนา้ ท่ี
ในการกล่อมเกลาทางสังคม เพ่ือให้เด็ก เยาวชน ผู้ใหญ่ เกิดพฤติกรรมที่ละอายต่อการกระทาความผิด การไม่ยอมรับ
และตอ่ ต้านการทจุ ริตทุกรปู แบบ
หลักสูตรรายวิชาเพมิ่ เติม “การปอ้ งกันการทุจรติ ” : 76
- ๗๔ -
2.2.1 ความละอายและความไม่ทนต่อการทุจริต คอื อะไร
คาวา่ “ความละอาย” และ “ความไม่ทน” ได้มกี ารให้ความหมายไว้ ดงั น้ี
พจนานุกรมราชบัณฑิตยสถาน ให้ความหมายของคาว่า ละอาย หมายถึง การรู้สึกอายท่ีจะทาในส่ิงท่ีไม่ถูก
ไมค่ วร เช่น ละอายท่ีจะทาผิด ละอายใจ
ความละอาย เป็นความละอายและความเกรงกลัวต่อสิ่งท่ีไม่ดี ไม่ถูกต้อง ไม่เหมาะสม เพราะเห็นถึงโทษ
หรือผลกระทบท่ีจะได้รับจากการกระทาน้ัน จึงไม่กล้าท่ีจะกระทา ทาให้ตนเองไม่หลงทาในสิ่งท่ีผิด น่ันคือ
มีความละอายใจ ละอายต่อการทาผดิ
พจนานุกรมราชบัณฑิตยสถาน ให้ความหมายของคาว่า ทน หมายถึง การอดกล้ันได้ ทานอยู่ได้ เช่น
ทนด่า ทนทกุ ข์ ทนหนาว ไม่แตกหัก หรือบุบสลายง่าย
ความอดทน คือ การรู้จักรอคอย และคาดหวังเป็นการแสดงให้เห็นถึงความมั่นคง แน่วแน่ต่อสิ่งท่ีรอคอย
หรือส่ิงท่ีจูงใจให้กระทาในสงิ่ ที่ไมด่ ี
ไมท่ น หมายถงึ ไม่อดกลั้น ไม่อดทน ไมย่ อม
ดังนั้น ความไม่ทน หมายถึง การแสดงออกต่อการกระทาท่ีเกิดข้ึนกับตนเอง บุคคลท่ีเก่ียวข้อง หรือ
สังคมในลักษณะท่ีไม่ยินยอม ไม่ยอมรับในส่ิงที่เกิดขึ้น ความไม่ทนสามารถแสดงออกได้หลายลักษณะทั้งใน
รูปแบบของกิริยาท่าทางหรอื คาพดู
ความไม่ทนต่อการทุจริต หรือการกระทาท่ีไม่ถูกต้อง ต้องมีการแสดงออกอย่างใดอย่างหน่ึงเกิดขึ้น
เช่น การแซงคิวเพ่ือซื้อของ การแซงคิวเป็นการกระทาท่ีไม่ถูกต้อง ผู้ถูกแซงคิวจึงต้องแสดงออกให้ผู้ท่ีแซงคิวรับรู้ว่า
ตนเองไม่พอใจ โดยแสดงกริ ิยา หรือบอกกล่าวให้ทราบ เพื่อให้ผูท้ ่ีแซงคิวยอมท่ีจะตอ่ ทา้ ยแถว กรณีนีแ้ สดงให้เห็นว่า
ผู้ที่ถูกแซงคิว ไม่ทนต่อการกระทาที่ไม่ถูกต้อง และหากผู้ท่ีแซงคิวไปต่อแถวก็จะแสดงให้เห็นว่าบุคคลนั้น
มีความละอายตอ่ การกระทาที่ไม่ถูกต้อง เป็นตน้
ความไม่ทนต่อการทุจริต บุคคลจะมีความไม่ทนต่อการทุจริตมาก – น้อย เพียงใด ข้ึนอยู่กับจิตสานึก
ของแต่ละบุคคลและผลกระทบที่เกิดข้ึนจากการกระทาน้ันๆ แล้วมีพฤติกรรมท่ีแสดงออกมา ซึ่งการแสดงกริยา
หรือการกระทาจะมีหลายระดับ เช่น การว่ากล่าวตักเตือน การประกาศให้สาธารณชนรับรู้ การแจ้งเบาะแส
การร้องทุกข์กล่าวโทษ การชุมนุมประท้วง ซ่ึงเป็นขั้นตอนสุดท้ายท่ีรุนแรงที่สุด เนื่องจากมีการรวมตัวของคน
จานวนมากและสร้างความเสยี หายอย่างมากเชน่ กัน
ความไม่ทนของบุคคลต่อสิง่ ต่างๆ รอบตัวที่ส่งผลในทางไม่ดีต่อตนเองโดยตรง สามารถพบเห็นได้ง่าย
ซึ่งปกติแล้วทุกคนมักจะไม่ทนต่อสภาวะสภาพแวดล้อมท่ีไม่ดี และส่งผลกระทบต่อตนเองแล้วมักจะแสดง
ปฏิกิริยาออกมา แต่การท่ีบุคคลจะไม่ทนต่อการทุจริตและแสดงปฏิกิริยาออกมาน้ันอาจเป็นเร่ืองยาก เนื่องจาก
ปัจจุบันสังคมไทยมีแนวโน้มยอมรับการทุจริต เพื่อให้ตนเองได้รับประโยชน์ หรือให้งานสามารถดาเนินต่อไป
สูค่ วามสาเรจ็ ซ่ึงการยอมรับการทุจริตในสังคมไม่เวน้ แม้แต่เด็กและเยาวชน และมองว่าการทุจรติ เป็นเรื่องไกลตัว
และไมม่ ีผลกระทบกบั ตนเองโดยตรง
หลักสตู รรายวิชาเพมิ่ เติม “การป้องกันการทจุ รติ ” : 77
- ๗๕ -
2.2.2 ลักษณะของความละอายและความไมท่ นต่อการทุจรติ
ลักษณะของความละอายสามารถแบ่งได้ 2 ระดับ คือ ความละอายระดับต้น หมายถึง ความละอาย
ไม่กล้าที่จะทาในส่ิงที่ผิด เน่ืองจากกลัวว่าเมื่อตนเองได้ทาลงไปแล้วจะมีคนรับรู้ หากถูกจับได้จะได้รับการลงโทษ
หรอื ไดร้ ับความเดอื ดรอ้ นจากส่ิงที่ตนเองไดท้ าลงไป จึงไม่กล้าทีจ่ ะกระทาผดิ และในระดับที่สองเป็นระดับท่ีสูง คือ
แม้ว่าจะไม่มีใครรับรู้ หรือเห็นในสิ่งที่ตนเองได้ทาลงไป ก็ไม่กล้าท่ีจะทาผิด เพราะนอกจากตนเองจะได้รับ
ผลกระทบแล้ว ครอบครัว สังคมก็จะได้รับผลกระทบตามไปด้วย ท้ังชื่อเสียงของตนเองและครอบครัวก็จะเสื่อมเสีย
บางครั้งการทุจริตบางเรือ่ งเป็นส่ิงเล็กๆ น้อยๆ เช่น การลอกข้อสอบ อาจจะไม่มีใครใส่ใจ หรือสังเกตเห็น แต่หากเป็น
ความละอายข้ันสูงแลว้ บคุ คลน้นั ก็จะไมก่ ล้าทา
สาหรับความไม่ทนต่อการทุจริต จากความหมายที่ได้กล่าวมาแล้ว คือ เป็นการแสดงออกอย่างใดอย่างหน่ึง
เกิดขึ้น เพื่อให้รับรู้ว่าจะไม่ทนต่อบุคคล หรือการกระทาใดๆ ท่ีทาให้เกิดการทุจริต ความไม่ทนต่อการทุจริต
สามารถแบ่งระดับต่างๆ ได้มากกวา่ ความละอาย ใช้เกณฑ์ความรุนแรงในการแบ่งแยก เช่น หากเพ่ือนลอกข้อสอบเรา
และเราเหน็ ซึ่งเราจะไมย่ ินยอมให้เพ่ือนทุจริตในการลอกข้อสอบ เรากใ็ ช้มือ หรือกระดาษมาบังสว่ นท่ีเป็นคาตอบไว้
เช่นน้ีก็เปน็ การแสดงออกถึงการไมท่ นตอ่ การทุจริต นอกจากการแสดงออกด้วยวธิ ีดงั กล่าวท่ีถือเป็นการแสดงออก
ทางกายแล้ว การว่ากล่าวตักเตือนต่อบุคคลที่ทุจริต การประณาม การประจาน การชุมนุมประท้วง ถือว่าเป็น
การแสดงออกซ่ึงการไม่ทนต่อการทุจริตทั้งส้ิน แต่จะแตกต่างกันไปตามระดับของการทุจริต ความต่ืนตัว
ของประชาชน และผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการทุจริต โดยท้ายบทนี้ได้ยกตัวอย่างกรณีศึกษาที่มีสาเหตุ
มาจากการทุจริต ทาให้ประชาชนไมพ่ อใจและรวมตวั ตอ่ ตา้ น
ความจาเป็นของการที่ไม่ทนต่อการทุจริตถือเป็นสิ่งสาคัญ เพราะการทุจริตไม่ว่าระดับเล็ก หรือ
ใหญ่ย่อมก่อให้เกิดความเสียหายต่อสังคม ประเทศชาติ ดังเช่นตัวอย่าง คดีรถและเรือดับเพลิงของกรุงเทพมหานคร
ผลของการทุจริตสร้างความเสียหายไว้อย่างมาก รถและเรือดับเพลิงก็ไม่สามารถนามาใช้ได้ รัฐต้องสูญเสีย
งบประมาณไปโดยเปล่าประโยชน์ และประชาชนเองก็ไม่ได้ใช้ประโยชน์ด้วยเช่นกัน หากเกิดเพลิงไหม้พรอ้ มกัน
หลายแห่ง รถ เรอื และอุปกรณ์ดับเพลิงจะไมม่ ี ไม่เพียงพอท่ีจะดับไฟได้ทันเวลา เพียงแค่คิดจากมูลค่าความเสียหาย
ท่ีรัฐสูญเสียงบประมาณไปยังไม่ได้คิดถึงความเสียหายท่ีเกิดจากความเดือดร้อนหากเกิดเพลิ งไหม้แล้วถือเป็น
ความเสียหายที่สูงมาก ดังนั้น หากยังมีการปล่อยให้มีการทุจริต ยินยอมให้มีการทุจริต โดยเห็นว่าเปน็ เรอื่ งของคนอื่น
เป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่รฐั ไม่เกยี่ วข้องกบั ตนเองแล้ว สุดท้ายความสูญเสียทจี่ ะไดร้ ับตนเองกย็ ังคงที่จะได้รับผลน้นั อยู่
แมไ้ มใ่ ช่ทางตรงก็เปน็ ทางอ้อม
ดังน้ัน การท่ีบุคคลจะเกิดความละอายและความไม่ทนต่อการทุจริตได้ จาเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องสร้าง
ให้เกิดความตระหนักและรับรู้ถึงผลกระทบที่เกิดข้ึนจากการทุจริตในทุกรูปแบบ ทุกระดับ ซ่ึงหากสังคมเป็น
สงั คมที่มีความละอายและความไม่ทนต่อการทุจรติ แลว้ จะทาใหเ้ กิดสงั คมทนี่ ่าอยู่ และมีการพัฒนาในทุกๆ ด้าน
2.2.3 การลงโทษทางสังคม (Social Sanctions)
คาว่า “การลงโทษโดยสังคม” หรือเรียกว่า “การลงโทษทางสังคม” ซึ่งตรงกับภาษาอังกฤษคาว่า
“Social Sanction”
พจนานุกรมศัพท์สังคมวิทยาฉบับราชบัณฑิตยสถาน (2532 : 361 - 362) ได้ให้ความหมายของ คาว่า
“Social Sanctions” เป็นภาษาไทยว่า สิทธานุมัติทางสังคม หมายถึง การขู่ว่าจะลงโทษ หรือการสัญญาว่า
จะให้รางวลั ตามที่กลุ่มกาหนดไว้สาหรับการประพฤตปิ ฏบิ ัติของสมาชิก เพื่อชกั นาให้สมาชิกกระทาตามข้อบังคับ
และกฎเกณฑ์
หลักสตู รรายวชิ าเพิ่มเตมิ “การป้องกันการทุจรติ ” : 78
- ๗๖ -
Radcliffe – Brown (1952 : 205) อธิบายการลงโทษ โดยสังคมว่าเป็นปฏิกิรยิ าตอบสนองทางสังคม
อย่างหนึ่งและเป็นการแสดงออกถึงพฤติกรรมท่ีเป็นด้านตรงกันข้ามระหว่างการเห็นชอบกับการไม่เห็นชอบพูด
อีกอย่างหน่ึงก็คือการลงโทษ โดยสังคมน้ันมีคุณลักษณะวิภาษ (Dialectic) คือ มีทั้งด้านบวกและด้านลบ
อยภู่ ายในความหมายของตวั เองสาหรับการลงโทษ โดยสงั คมเชิงบวก (Positive Social Sanctions) จะอยู่ในรูป
ของการให้การสนับสนุน หรือการสร้างแรงจูงใจ ฯลฯ ให้แก่ปัจเจกบุคคลและสังคมให้ประพฤติปฏิบัติ
ให้สอดคล้องกับปทัสถานของชุมชน หรือของสังคมจากการศึกษายังพบด้วยว่าการลงโทษโดยสังคมเชิงบวก
น้ันอาจเป็นการสร้างแรงจูงใจให้แก่สังคม เพ่ือยกระดับปทัสถานของสังคมในระดับท้องถ่ินให้ไปสอดคล้องกับ
ปทสั ถานใหมใ่ นระดับระหว่างประเทศ
Whitmeyer (2002 : 630 – 632) กล่าวว่า การลงโทษโดยสังคม มีทง้ั เชงิ บวกและเชิงลบ เป็นการทางาน
ตามกลไกของสังคม การลงโทษโดยสังคมเป็นมาตรการควบคุมทางสังคมท่ีต้องการให้สมาชิกในสังคมประพฤติปฏิบัติ
ตามมาตรฐานหรือกฎเกณฑ์ท่ีสังคมยอมรับร่วมกัน เม่ือสมาชิกปฏิบัติตามก็จะมีการให้รางวัลเป็นแรงจูงใจ และ
ลงโทษเมอ่ื สมาชิกไมป่ ฏบิ ัติตามกฎเกณฑ์ของสงั คมและจะแสดงการไมย่ อมรับสมาชิกคนหนึ่ง หรือกลมุ่ คนกลุม่ หน่ึง
โดยสรุปแล้ว การลงโทษโดยสังคม (Social Sanction) หมายถึง ปฏิกิริยาปฏิบัติทางสังคม เป็นมาตรการ
ควบคุมทางสังคมที่ต้องการให้สมาชิกในสังคมประพฤติปฏิบัติตามมาตรฐาน หรือกฎเกณฑ์ท่ีสังคมกาหนด โดยมีทั้ง
ด้านลบและด้านบวก การลงโทษโดยสงั คมเชิงลบ (Negative Social Sanction) เปน็ การลงโทษ โดยการกดดัน
และแสดงปฏิกิริยาต่อต้านพฤติกรรมของบุคคลที่ไม่ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของสังคม ทาให้บุคคลน้ันเกิดความอับอาย
ขายหน้า สาหรับการลงโทษ โดยสังคมเชิงบวก หรือการกระตุ้นสังคมเชิงบวก (Positive Social Sanction)
เป็นการแสดงออกในเชิงสนับสนุน หรือให้รางวัลเป็นแรงจูงใจ เพื่อให้บุคคลในสังคมประพฤติปฏิบัติตาม
กฎเกณฑ์ของสังคม
การลงโทษทางสังคม เป็นการลงโทษกับบุคคลที่ปฏิบัตติ นฝ่าฝืนกับธรรมเนียม ประเพณี หรือแบบแผนท่ี
ปฏิบัติต่อๆ กันมาในชุมชนมักใช้ในลักษณะการลงโทษทางสังคมเชิงลบ มากกว่าเชิงบวก การฝ่าฝืนดังกล่าว
อาจจะไม่ผิดกฎหมาย แต่ด้วยธรรมเนียมที่ปฏิบัติสืบต่อกันมาน้ันถูกละเมิด ถูกฝ่าฝืน หรือถูกดูหม่ินเกี่ยวกับ
ความเช่ือของชุมชน ก็จะนาไปสู่การต่อต้านจากคนในชุมชน แม้ว่าการฝ่าฝืนดังกล่าวจะไม่ผิดกฎหมายก็ตาม
และที่สาคัญไปกว่านั้น หากการกระทาดังกล่าวผิดกฎหมายด้วยแล้ว อาจสร้างให้เกิดความไม่พอใจขึ้นได้
ไม่เพียงแต่ในชุมชนน้ันแต่อาจเก่ียวเน่ืองไปกับชุมชนอ่ืนรอบข้าง หรือเป็นชุมชนท่ีใหญ่ท่ีสุด น่ันคือประชาชน
ท้ังประเทศ ซงึ่ การลงโทษทางสังคมมที ั้งดา้ นบวกและด้านลบ ดังน้ี
การลงโทษโดยสังคมเชิงบวก (Positive Social Sanctions) จะอยู่ในรูปของการให้การสนับสนุนหรือ
การสร้างแรงจูงใจ หรือการให้รางวัล ฯลฯ แก่บุคคลและสังคม เพ่ือให้ประพฤติปฏิบัติสอดคล้องกับปทัสถาน
(Norm) ของสังคมในระดับชมุ ชนหรือในระดับสังคม
การลงโทษโดยสังคมเชิงลบ (Negative Social Sanctions) จะอยู่ในรูปแบบของการใช้มาตรการต่างๆ
ในการจัดระเบียบสังคม เช่น การว่ากล่าวตักเตือน ซ่ึงเป็นมาตรการข้ันต่าสุดเรื่อยไปจนถึงการกดดันและบีบคั้น
ทางจิตใจ (Moral Coercion) การต่อต้าน (Resistance) และการประท้วง (Protest) ในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะ
โดยปัจเจกบุคคลหรือการชุมนุมของมวลชน
หลกั สูตรรายวชิ าเพ่มิ เตมิ “การปอ้ งกันการทุจรติ ” : 79
- ๗๗ -
การลงโทษทางสังคมทางลบ จะสร้างให้เกิดการลงโทษต่อบุคคลที่ถูกกระทา การลงโทษประเภทน้ี
เป็นการลงโทษเพ่ือให้หยุดกระทาในสิ่งท่ีไม่ถูกต้อง และบุคคลท่ีถูกลงโทษจะเกิดการเข็ดหลาบ ไม่กล้าที่จะทา
ในสิ่งนั้นอีก การลงโทษประเภทนี้มคี วามรุนแรงแตกต่างกัน ตง้ั แต่การว่ากล่าวตักเตือน การนินทา การประจาน
การชุมนุมขับไล่ ซง่ึ เป็นการแสดงออกถึงการไมท่ น ไมย่ อมรับต่อส่งิ ท่ีบคุ คลอ่ืนได้กระทาไป ดังน้ัน เมื่อมีใครที่ทา
พฤติกรรมเหล่าน้ันข้ึนจึงเป็นการสร้างให้เกิดความไม่พอใจแก่บุคคลรอบข้าง หรือสังคมจนนาไปสู่การต่อต้าน
ดงั กลา่ ว
การลงโทษทางสังคมจะมีความรุนแรงมากหรือน้อย ก็ขึ้นอยู่กับการกระทาของบุคคลนั้นว่าร้ายแรง
ขนาดไหน หากเป็นเร่ืองเล็กน้อยจะถูกต่อต้านน้อย แต่หากเรื่องนั้นเป็นเร่ืองร้ายแรง เร่ืองที่เกิดขึ้นประจา หรือ
มีผลกระทบต่อสังคม การลงโทษก็จะมีความรุนแรงมากข้ึนด้วย เช่น หากมีการทุจริตเกิดข้ึนก็อาจนาไปเป็น
ประเด็นทางสังคมจนนาไปสู่การต่อตา้ นจากสงั คมได้ เพราะการทุจรติ ถือว่าเป็นสง่ิ ที่ไม่ถูกต้อง ผิดกฎหมาย และ
ผิดต่อศีลธรรม บ่อยครั้งท่ีมีการทุจรติ เกิดขึ้นจนเป็นสาเหตุของการชุมนุมประท้วง เพ่ือกดดัน ขับไล่ให้บุคคลนั้น
หยุดการกระทาดังกล่าว หรือการออกจากตาแหน่งนั้นๆ หรือการนาไปสู่การตรวจสอบและลงโทษโดยกฎหมาย
โดยในหัวข้อสุดท้ายของชุดวิชาน้ี ได้นาเสนอตัวอย่างที่ได้แสดงออกถึงความไม่ทนต่อการทุจริตท่ีมีการชุมนุมประท้วง
บางเหตุการณ์ผู้ท่ีถูกกล่าวหาได้ลาออกจากตาแหน่ง ซ่ึงการลาออกจากตาแหน่งนั้นถือเป็นความรับผิดชอบอย่างหนึ่ง
และเปน็ การแสดงออกถึงความละอายในส่ิงทตี่ นเองไดก้ ระทา
2.2.4 ตวั อย่าง ความละอายและความไมท่ นตอ่ การทุจริต
การทุจริต มีผลกระทบต่อการพัฒนาประเทศ ทาให้เกิดความเสียหายอย่างมากในด้านต่างๆ
หากนาเอาเงินที่ทุจริตไปมาพัฒนาในส่วนอ่ืน ความเจริญหรือการได้รับโอกาสของผู้ท่ีด้อยโอกาสก็จะมีมากข้ึน
ความเหล่ือมล้าทางด้านโอกาส ทางด้านสังคม ทางด้านการศึกษา ฯลฯ ของประชาชนในประเทศก็จะลดนอ้ ยลง
ดงั ท่ีเห็นในปัจจุบันวา่ ความเจรญิ ต่างๆ มักอยู่กับคนในเมอื งมากกว่าชนบททั้งๆ ที่คนชนบทก็คือประชาชนส่วนหน่ึง
ของประเทศ แต่เพราะอะไรทาไมประชาชนเหล่านั้นถึงไม่ได้รับโอกาสให้ทัดเทียมหรือใกล้เคียงกับคนในเมือง
ปจั จัยหนึง่ คอื การทจุ รติ สาเหตุการเกิดทุจริตมีหลายประการตามท่ีกลา่ วมาแล้วข้างต้น แต่ทาอยา่ งไรถงึ ทาให้มี
การทุจริตได้มาก อย่างหนงึ่ คือ การลงทุน เมื่อมกี ารลงทุนก็ย่อมมีงบประมาณ เม่ือมีงบประมาณก็เป็นสาเหตุให้
บุคคลท่ีคิดจะทุจริตสามารถหาช่องทางดังกล่าวในทางทุจริตได้ แม้ว่าประเทศไทยจะมีกฎหมายหลายฉบับ
เพ่ือป้องกันการทุจริต ปราบปรามการทุจริต แต่นั่นก็คือตัวหนังสือท่ีได้เขียนเอาไว้ แต่การบังคับใช้ยังไม่จริงจัง
เท่าที่ควร และย่ิงไปกว่านั้น หากประชาชนเห็นว่าเรื่องดังกล่าวไม่เกี่ยวข้องกับตนเองก็มักจะไปอยากเข้าไป
เกย่ี วข้อง เน่ืองจากตนเองก็ไมไ่ ดร้ ับผลกระทบท่ีเกิดขึ้น แต่การคิดดังกล่าวเปน็ สงิ่ ทผ่ี ิด เน่ืองจากว่าตนเองอาจจะ
ไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงต่อการที่มีคนทุจริต แต่โดยอ้อมแล้วถือว่าใช่ เช่น เมื่อมีการทุจริตมากงบประมาณ
ของประเทศทจี่ ะใชพ้ ฒั นา หรือลงทนุ ก็นอ้ ย อาจส่งผลใหป้ ระเทศไม่สามารถจา้ งแรงงานหรอื ลงทนุ ได้
ความเสียหายท่ีเกิดจากการทุจริต หากเป็นการทุจริตในโครงการใหญ่ๆ แล้วปริมาณเงินท่ีทุจริตย่อมมีมาก
ความเสียหายก็ย่อมมีมากตามไปด้วย โดยในบทน้ีได้ยกกรณีตัวอย่างท่ีเกิดข้ึนจากการทุจริตไว้ในท้ายบท
ซ่ึงจะเห็นได้ว่าความเสียหายท่ีเกิดข้ึนน้ันมีมูลค่ามากมาย และน้ีเป็นเพียงโครงการเดียวเท่านั้น หากรวมเอา
การทุจริตหลายๆ โครงการ หลายๆ กรณีเข้าด้วยกันจะพบว่าความเสียหายท่ีเกิดขึ้นมานั้นมากมายมหาศาล
ดงั น้ัน เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ประชาชนจะต้องมีความตื่นตัวในการท่ีจะร่วมมือในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต
การร่วมมือกันในการเฝ้าระวังเหตุการณ์ สถานการณ์ที่อาจเกิดการทุจริตได้ เม่ือประชาชนรวมถึงภาคเอกชน
ภาคธุรกิจ มีความตื่นตัวที่จะร่วมมือกันในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว ปัญหาการทุจริตจะถือเป็นปัญหาเพียงเล็กน้อย
หลกั สตู รรายวชิ าเพมิ่ เติม “การปอ้ งกันการทุจรติ ” : 80
- ๗๘ -
ของประเทศไทย เพราะไม่ว่าจะทาอย่างไรก็จะมีการสอดส่อง ติดตาม เฝ้าระวัง เร่ือง การทุจริตอย่างต่อเนื่อง
ดงั นน้ั ส่ิงสาคัญสิ่งแรกท่ีจะต้องสร้างให้เกิดข้ึน คือ ความตระหนกั รู้ถึงผลเสียที่เกิดขนึ้ จากการทุจริต สร้างให้เกิด
ความตื่นตัวตอ่ การปราบปราบการทจุ ริต การไมท่ นตอ่ การทุจรติ ใหเ้ กดิ ขึน้ ในสังคมไทย
เมื่อประชาชนในประเทศมคี วามต่ืนตัวท่ีว่า “ไมท่ นต่อการทุจริต” แล้วจะทาใหเ้ กิดกระแสการต่อต้าน
ตอ่ การกระทาทจุ ริต และคนทที่ าทจุ ริตก็จะเกิดความละอายไมก่ ล้าท่ีจะทาทุจริตต่อไป เช่น หากพบเห็นวา่ มีการทุจริต
เกิดข้ึนอาจมกี ารบันทึกเหตุการณ์หรือลักษณะการกระทา แลว้ แจ้งข้อมูลเหล่าน้ันไปยงั หน่วยงานหรือส่ือมวลชน
เพ่ือร่วมกันตรวจสอบการกระทาท่ีเกิดข้ึน และยิ่งในปัจจุบันเป็นสังคมสมัยใหม่ และกาลังเดินหน้าประเทศไทย
ก้าวสู่ยุคไทยแลนด์ 4.0 แต่การจะเป็น 4.0 ให้สมบูรณ์แบบได้น้ัน ปัญหาการทุจริตจะต้องลดน้อยลงไปด้วย
เมื่อประชาชนมีความต่ืนตัวต่อการที่ไมท่ นต่อการทุจรติ แลว้ ผลทีเ่ กิดข้ึนจะเป็นอย่างไร ตวั อย่างท่ีจะนามากลา่ วถึง
ต่อไปน้ีเป็นกรณีที่เกิดขึ้นในต่างประเทศ แสดงให้เห็นถึงความไม่ทนต่อการทุจริตท่ีประชาชนได้ลุกข้ึนมาต่อสู้
ต่อต้านต่อนักการเมืองที่ทาทุจริต จนในที่สุดนักการเมืองเหล่าน้ันหมดอานาจทางการเมืองและได้รับบทลงโทษ
ทั้งทางสังคมและทางกฎหมาย ดังนี้
1. ประเทศเกาหลีใต้ เกาหลใี ตถ้ ือเป็น
ประเทศหนึ่งที่ประสบความสาเร็จในด้านของ
การป้องกันและปราบปรามการทุจริต แต่ก็ยังคงมี
ปญั หาการทจุ รติ เกิดข้นึ อยบู่ า้ ง เช่น
เม่ือปี พ.ศ. 2559 มีข่าวกรณีของ
ประธานาธิบดีถูกปลดออกจากตาแหน่งเพราะ
เข้าไปมีส่วนเกีย่ วข้องในการเอ้ือประโยชน์ให้พวกพ้อง
โดยการถูกกล่าวหาว่าให้เพื่อนสนิทของครอบครัว ท่ีมา : http://www.bbc.com/thai/international-39227441
เข้ามาแทรกแซงการบริหารประเทศ รวมถึงใช้ความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับประธานาธิบดีแสวงหาประโยชน์ส่วนตัว
ผลท่ีเกิดขึน้ คือ ถูกดาเนินคดีและตงั้ ข้อหาวา่ พัวพันการทุจริตและใช้อานาจหน้าที่ในทางมิชอบเพื่อเอื้อผลประโยชน์
ให้แก่พวกพ้อง กรณีที่เกิดขึ้นนี้ประชาชนเกาหลีใต้ ได้มีการรวมตัวกันประท้วงกว่าพันคนเรียกร้องให้
ประธานาธบิ ดีคนดังกล่าวลาออกจากตาแหน่งหลงั มเี หตุอื้อฉาวทางการเมือง
อีกกรณีที่จะกล่าวถึงเพื่อเป็นตัวอย่าง การต่อต้านการกระทาที่ไม่ถูกต้อง คือ การที่นักศึกษาคนหน่ึง
ได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยท้ังที่ผลคะแนนที่เรียนมานั้นไม่ได้สูง
และการท่ีคุณสมบัติของนักศึกษาดังกล่าว มีคุณสมบัติไม่ตรงกับ
การคัดเลือกโควตานักกีฬาที่กาหนดไว้ว่าจะต้องผ่านการแข่งขัน
ประเภทเดี่ยว แต่นักศึกษาคนดังกล่าวผ่านการแข่งขันประเภททีม
เท่ากับว่าคุณสมบัติไม่ถูกต้องแต่ได้รับเข้าเรียนในมหาวิทยาลัย
ดังกล่าว การกระทาเช่นนี้จึงเป็นสาเหตุหน่ึงของการนาไปสู่
การประท้วง ต่อต้านจากนักศึกษาและอาจารย์ของมหาวิทยาลัย
ดังกล่าว ซึง่ ทางมหาวิทยาลัยก็ไม่สามารถให้คาตอบท่ีชัดเจน
ทมี่ า : https://teen.mthai.com/education /119903.html แก่กลุ่มผู้ประท้วงได้จนในที่สุด ประธานของมหาวิทยาลัยดังกล่าว
จงึ ลาออกจากตาแหน่ง
หลกั สูตรรายวิชาเพิ่มเติม “การป้องกนั การทุจรติ ” : 81
- ๗๙ -
2. ป ระ เท ศ บ ราซิ ล ป ล าย ปี พ .ศ . 2 5 5 9 ทมี่ า : https://www.dailynews.co.th/ foreign
ประชาชนในประเทศบราซิลได้มีการชุมนุมประท้วงการทุจริต /540734
ที่เกิดข้ึน เป็นการแสดงออกถึงความไม่พอใจต่อวัฒนธรรม
การโกงของระบบราชการของประเทศ โดยมีประชาชนจานวน
หลายหมื่นคนเข้าร่วมการชุมนุมในครั้งน้ี และมีการแสดงภาพหนู
เพื่อเป็นสัญลักษณ์ในการประณามต่อนักการเมืองท่ีทุจริต
การประท้วงดังกล่าวยังถือว่ามีขนาดเล็กกว่าคร้ังก่อน เพราะ
ที่ผ่านมาได้มีการทุจริตเกิดขึ้นและมีการประท้วง จนในที่สุด
ประธานาธิบดีได้ถูกปลดจากตาแหน่ง เนื่องจากการกระทาที่
ละเมดิ ตอ่ กฎ ระเบยี บ เรอ่ื ง งบประมาณ
จากตัวอย่างขา้ งต้น แสดงให้เห็นถึงความต่ืนตัวของประชาชนที่ออกมาต่อต้านต่อการทุจริต ไม่ว่าจะเป็น
การทุจริตในระดับหน่วยเล็กๆ หรือระดับประเทศ เป็นการแสดงออกซึง่ การไม่ทนต่อการทุจริต การไม่ทนต่อ
การทุจรติ สามารถแสดงออกมาได้หลายระดับ ต้ังแต่การเห็นคนท่ีทาทุจริตแล้วตนเองรู้สึกไม่พอใจ มีการส่งเร่ือง
ตรวจสอบ ร้องเรยี น และในที่สุด คือ การชุมนุม ประท้วง ตามตัวอย่างท่ีได้นามาแสดงให้เห็นข้างต้น ตราบใดที่
สามารถสร้างให้สังคมไม่ทนต่อการทุจริตได้ เมื่อน้ันปัญหาการทุจริตก็จะลดน้อยลง แต่หากจะให้เกิดผลดียิ่งข้ึน
จะต้องสร้างให้เกิดความละอายต่อการทุจริต ไม่กล้าที่จะทาทุจริต โดยนาเอาหลักธรรมทางศาสนามาเป็น
เครอื่ งมือในการสั่งสอน อบรม ในขณะเดียวกันหากมีการทุจรติ เกิดขึ้นกระบวนการในการแสดงออกต่อการไม่ทนต่อ
การทุจริตจะต้องเกิดข้ึนและมีการเปิดเผยชื่อบุคคลท่ีทุจริตให้กับสาธารณะชนได้รับทราบอย่างท่ัวถึง เม่ือสังคม
มีทั้งกระบวนการในการป้องกันการทุจริต การปราบปรามการทุจริตที่ดี รวมถึงการสร้างให้สังคมเป็นสังคมท่ีไม่ทนต่อ
การทจุ ริต มีความละอายต่อการทาทุจริตแลว้ ปัญหาการทจุ รติ จะลดน้อยลงประเทศชาติจะสามารถพัฒนาได้มากข้นึ
สาหรับระดับการทุจริตท่ีเกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นในระดับใดล้วนแล้วแต่ส่งผลกระทบต่อสังคมและ
ประเทศชาติท้ังสิ้น บางครั้งการทุจริตเพียงนิดเดียวอาจนาไปสู่การทุจริตอย่างอื่นที่มากกว่าเดิมได้ การมีวัฒนธรรม
ค่านิยม หรือความเช่ือที่ไม่ถูกต้องก็ส่งผลให้เกิดการทุจริตได้เช่นกัน เช่น การมอบเงินอุดหนุนแก่สถานศึกษา
เพื่อให้บุตรของตนได้เข้าศึกษาในสถานท่ีแห่งนั้น หากพิจารณาแล้วอาจพบว่าเป็นการช่วยเหลือสถานศึกษา
เพื่อที่สถานศึกษาแห่งนั้นจะได้นาเงินที่ได้ไปพัฒนาสภาพแวดล้อม การเรียนการสอนของทางสถานศึกษาต่อไป
แต่การกระทาดังกล่าวน้ีไม่ถกู ต้อง เป็นการปลูกฝังส่ิงท่ีไม่ดีให้เกิดข้ึนในสังคม และต่อไปหากกระทาเชน่ น้ีเร่ือยๆ
จะมองว่าเป็นเรื่องปกติท่ีทุกคนทากัน ไม่มีความผิดแต่อย่างใด จนทาให้แบบแผน หรือพฤติกรรมทางสังคมท่ีดี
ถูกกลืนหายไปกับการกระทาท่ีไม่เหมาะสมเหล่าน้ี ตัวอย่าง การมอบเงินอุดหนุนแก่สถานศึกษายังคงเกิดข้ึน
ในประเทศไทยอย่างต่อเน่ือง โดยเฉพาะในสถานศึกษาที่มีช่ือเสียง ซึ่งหลายคนอยากให้บุตรของตนเข้าศึกษา
ในสถานท่แี หง่ น้นั แต่ดว้ ยขอ้ จากดั ท่ไี ม่สามารถรับนักเรียน นักศึกษาไดท้ ั้งหมด จึงทาให้ผ้ปู กครองบางคนต้องให้เงิน
กับสถานศกึ ษา เพือ่ ใหบ้ ุตรของตนเองได้เขา้ เรยี น
หลักสูตรรายวชิ าเพ่มิ เตมิ “การปอ้ งกันการทุจรติ ” : 82
- ๘๐ -
บรรณานกุ รม
ดชั นีช้ วี้ ดั ภาพลักษณค์ อรร์ ัปชัน. (2560). เข้าถงึ ไดจ้ าก http://thaipublica.org/2017/01/corruption-
perceptions-index-2016-thailand/ (วนั ทคี่ น้ ขอ้ มลู : 15 กุมภาพันธ์ 2560).
ประวตั หิ น่วยดับเพลิงในประเทศไทย. (ม.ป.ป.). เขา้ ถึงได้จาก http://www.firefara.org/firebrigade.html
(วันทคี่ ้นข้อมูล : 24 กุมภาพันธ์ 2560).
พระราชบญั ญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าดว้ ยการปอ้ งกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542
สังศติ พิรยิ ะรงั สรรค์ และคณะ. (2559). โครงการส่งเสริมและสนบั สนนุ มาตรการลงโทษทางสังคม.
ทนุ สนบั สนุนการวิจัยจากสานักงานคณะกรรมการปอ้ งกันและปราบปรามการทจุ รติ แห่งชาติ
เสาวนีย์ ไทยรุ่งโรจน์ และคณะ. (2553). โครงการประเมนิ ด้านสถานการณ์ดา้ นการทจุ ริตในประเทศไทย.
กรุงเทพมหานคร : คณะอนกุ รรมการฝา่ ยวจิ ัย สานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปราม
การทจุ ริตแห่งชาติ
สานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจรติ แหง่ ชาต.ิ (2558). เปดิ แฟ้ม 10 คดีทจุ รติ บทเรยี น
ราคาแพงของคนไทย. กรุงเทพมหานคร : อมรนิ พร้ินตงิ้ แอนดพ์ ับลิชชิง่
__________. (2560). ยุทธศาสตรช์ าตวิ ่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจรติ .https://www.nacc.go.th/
more_news.php?cid=36 (วันท่คี น้ ข้อมลู : 16 กมุ ภาพันธ์ 2560).
หอการค้าไทย. (ม.ป.ป.). ผลกระทบจากการทจุ ริต. เข้าถึงไดจ้ ากhttp://www.thairath.co.th/content/661992
(วนั ท่ีคน้ ข้อมูล : 15 กุมภาพันธ์ 2560).
Radcliffe-Brown, A.R. (1952). Structure and function in primitive society. Illinois. The free Press.
หลกั สตู รรายวชิ าเพม่ิ เติม “การปอ้ งกันการทุจริต” : 83
- ๘๑ -
ชุดวิชาที่ ๓
STRONG : จติ พอเพียงตา้ นทุจริต
เมื่อวันท่ี 9 มิถุนายน พ.ศ. 2489 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ได้เสด็จขึ้น
เถลิงถวัลยราชสมบัติ และเม่ือวันท่ี 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2493 ณ พระท่ีนั่งไพศาลทักษิณ พระราชพิธี
บรมราชาภิเษกในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช นับเป็นเวลา 70 ปี ทีพ่ ระบาทสมเด็จ -
พระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงครองราชย์ ทรงมีพระราชปณิธาณที่จะให้ประชาชนชาวไทยได้ประโยชน์
และความสุขอย่างท่ัวถึงกันท้ังประเทศ โดย “คน” เป็นศูนย์กลางในการพัฒนา และทรงพระวิริยะอุตสาหะ
ท่ีจะขจัดปัญหาต่างๆ ทั้ง อาทิ ปัญหาด้านเศรษฐกิจ เกษตรกรรม สังคม การศึกษา เป็นต้น เพ่ือยกระดับ
คณุ ภาพชีวติ ของประชาชนชาวไทยสามารถพง่ึ พาตนเองอยา่ งมั่นคงและยง่ั ยนื ต่อไป
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงพระราชทานแนวพระราชดาริหลักปรัชญา
เศรษฐกิจพอเพียง จากพระบรมราโชวาทในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรแก่นิสิตมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
วันพฤหัสบดีที่ ๑๘ กรกฎาคม ๒๕๑๗ โดยมีใจความตอนหน่ึงว่า “...การพัฒนาประเทศจาเป็นต้องทาตามลาดับข้ัน
ต้องสร้างพ้ืนฐาน คือ ความพอมี พอกิน พอใช้ของประชาชนส่วนใหญ่เป็นเบื้องต้นก่อน โดยใช้วิธีการและ
ใช้อุปกรณ์ท่ีประหยัดแต่ถูกต้องตามหลักวิชา เม่ือได้พื้นฐานม่ันคงพร้อมพอควรและปฏิบัติได้แล้ว จึงค่อยสร้าง
ค่อยเสริมความเจริญและฐานะเศรษฐกิจข้ันท่ีสูงขึ้นโดยลาดับต่อไป หากมุ่งแต่จะทุ่มเทสร้างความเจริญ
ยกเศรษฐกิจข้ึนให้รวดเร็วแต่ประการเดียว โดยไม่ให้แผนปฏิบัติการสัมพันธ์กับสภาวะของประเทศและ
ของประชาชนโดยสอดคล้องด้วยก็จะเกิดความไม่สมดุลในเรอื่ งต่างๆ ขึ้น ซ่ึงอาจกลายเป็นความยุ่งยากล้มเหลวได้
ในที่สุด ดังเห็นได้ที่อารยประเทศหลายประเทศกาลังประสบปัญหาทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรงอยู่ในเวลานี้...”
ซึง่ เป็นแนวพระราชดาริท่ีพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พระราชทานแก่ราษฎรมานานกว่า
40 ปี เพ่ือให้ราษฎรสามารถดารงชีวิตด้วยการพึงพาตนเอง มีสตอิ ยู่อย่างประมาณตน สามารถดารงชีพปกติสุข
อย่างมน่ั คงและยง่ั ยนื
เม่ือวันที่ 26 พฤษภาคม 2549 องค์การสหประชาชาติ (United Nations : UN) โดยนายโคฟี อันนัน
เลขาธิการองค์การสหประชาชาติ ได้ทูลเกล้าทูลกระหม่อม ถวายรางวัลความสาเร็จสูงสุด ด้านการพัฒนามนุษย์
ของโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (The Human Development Lifetime Achievement Award)
เพ่ือเทิดพระเกียรติเป็นกรณีพิเศษ ในวโรกาสท่ีทรงครองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี โดยนายโคฟี อันนัน ได้กล่าว
สดุดีพระเกียรติคุณพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และกล่าวถึงปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
ว่าเป็นหลักการที่มุ่งเน้นการกลั่นกรองในการบริโภคเน้นความพอประมาณและการมีภูมิคุม้ กันในตัวสามารถ
ต้านทานผลกระทบจากกระแสโลกาภิวัตน์ “ทางสายกลาง” จึงเป็นการตอกย้าแนวทางที่สหประชาชาติที่มุ่งเน้นคน
เป็นศูนย์กลางการพัฒนา เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีและยั่งยืนต่อมาในปี พ.ศ. 2550 สานักงานโครงการพัฒนา
แห่งสหประชาชาติประจาประเทศไทย (United Nations Development Programme : UNDP) ได้กล่าวถึง
ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง โดยจัดพิมพ์ในรายงานประจาปี 2007 เพ่ือเผยแพร่ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงไปยัง
ประเทศสมาชกิ กว่า 150 ประเทศทั่วโลก
หลกั สูตรรายวิชาเพ่ิมเติม “การป้องกันการทุจรติ ” : 84 - ๘๒ -
3.1 จิตพอเพยี งต้านการทจุ ริต
ยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตระยะที่ 3 (พ.ศ. 2560 – 2564) ได้มี
การวิเคราะห์ภาพอนาคตของประชาชนและสังคมไทยในระยะ ๕ ปีข้างหน้าไว้ว่า หากยุทธศาสตร์ชาติฯ ได้รับ
ความร่วมมือร่วมใจจากทุกภาคส่วนของสังคมไทยในการนาไปปฏิบัติจริง ประชาชนไทยจะมีความต่ืนตัวต่อ
การทุจริตมากข้ึน มีการให้ความสนใจตอ่ ข่าวสารและตระหนักถงึ ผลกระทบของการทจุ ริตที่มีตอ่ ประเทศมากขึ้น
มีการแสดงออกซึ่งการต่อต้านการทุจริตทั้งในชีวิตประจาวันและการแสดงออกผ่านส่ือสาธารณะและสื่อสังคม
ออนไลน์ต่างๆ ประชาชนในแต่ละช่วงวัยได้รับกระบวนการกล่อมเกลาทางสังคมว่าการทุจริตถือเป็นพฤติกรรม
ที่นอกจากจะผิดกฎหมายและทาให้เกิดความเสียหายต่อประเทศแล้ว ยังเป็นพฤติกรรมที่ผิดจริยธรรม ไม่ได้รับ
การยอมรับจากสังคม ประชาชนจะเร่ิมเรียนรู้การปรับเปล่ียนฐานความคิดที่ทาให้สามารถแยกแยะระหว่าง
ผลประโยชน์ส่วนตนและผลประโยชน์ส่วนรวมได้ วัฒนธรรมทางสังคมที่มีฐานอยู่บนหลักปรัชญาของเศรษฐกิจ
พอเพียงจะหล่อหลอมให้ประชาชนไม่กระทาการทุจริต เนื่องจากมีพ้ืนฐานจิตท่ีพอเพียงมีความละอายต่อการทุจริต
ประพฤติมชิ อบ และไม่ยอมใหผ้ ูอ้ ืน่ กระทาการทุจริตอันส่งผลใหเ้ กิดความเสียหายต่อสังคมส่วนรวม
เพื่อให้ภาพอนาคตดังกล่าว สามารถบรรลุผลได้จริง หน่วยงานทุกภาคส่วนต้องให้ความสาคัญอย่างแท้จริง
กับการปรับประยุกต์หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ประกอบกับหลักการต่อต้านการทุจริตอืน่ ๆ เพ่ือ
สร้างฐานคิดจิตพอเพียงต่อต้านการทุจริตให้เกิดขึ้น เป็นพื้นฐานความคิดของปัจเจกบุคคล โดยประยุกต์หลัก
“STRONG : จิตพอเพยี งต้านทุจริต” ซ่ึงคิดค้นโดย รองศาสตราจารย์ ดร.มาณี ไชยธรี านุวัฒศิริ ในปี พ.ศ. 2560
มาเป็นแนวทางในการพัฒนาวัฒนธรรมหน่วยงาน
หลักสตู รรายวชิ าเพิ่มเตมิ “การป้องกนั การทุจริต” : 85
- ๘๓ -
คาอธบิ ายความหมายของ “STRONG : จติ พอเพียงตา้ นทจุ ริต”
๑) S (sufficient) : ความพอเพียง ผนู้ า ผู้บริหาร บุคคลทุกระดับ องคก์ รและชุมชนน้อมนาปรัชญา
ของเศรษฐกจิ พอเพยี งมาปรับประยุกตเ์ ป็นหลักความพอเพยี งในการทางาน การดารงชวี ิต การพัฒนาตนเองและ
สว่ นรวม รวมถงึ การปอ้ งกันการทุจรติ อยา่ งยง่ั ยืน
ความพอเพียงต่อสิ่งใดส่ิงหนึ่งของมนุษย์แม้ว่าจะแตกต่างกันตามพ้ืนฐาน แต่การตัดสินใจว่าความพอเพียง
ของตนเองตอ้ งตง้ั อยบู่ นความมเี หตุ มผี ล รวมท้งั ตอ้ งไม่เบยี ดเบียนตนเอง ผู้อ่นื และส่วนรวม
ความพอเพียงดังกลา่ ว จึงเป็นภูมิคุ้มกันให้บุคคลน้ันไม่กระทาการทุจริต ซ่ึงต้องให้ความรู้ ความเข้าใจ
(knowledge) และปลุกใหต้ ื่นรู้ (realise)
๒) T (transparent) : ความโปร่งใส ผู้นา ผู้บริหาร บุคคลทุกระดับ องค์กรและชุมชนต้องปฏิบัติงาน
บนฐานของความโปร่งใส ตรวจสอบได้ ดังน้ัน จึงต้องมีและปฏิบัติตามหลัก ปฏิบัติตามระเบียบ ข้อปฏิบัติ
กฎหมาย ดา้ นความโปรง่ ใส ซ่งึ ตอ้ งใหค้ วามรคู้ วามเข้าใจ (knowledge) และปลกุ ให้ต่ืนรู้ (realise)
๓) R (realize) : ความต่ืนรู้ ผู้นา ผู้บริหาร บุคคลทุกระดับ องค์กรและชุมชน มีความรู้ ความเข้าใจ
และตระหนักรู้ถึงรากเหง้าของปัญหา และภัยร้ายแรงของการทุจริตประพฤติมิชอบภายในชุมชนและประเทศ
ความต่ืนรู้จะบังเกิดเมื่อได้พบเห็นสถานการณ์ท่ีเสี่ยงต่อการทุจริต ย่อมจะมีปฏิกิริยาเฝ้าระวังและไม่ยินยอมต่อ
การทุจริตในที่สุดซึ่งต้องให้ความรู้ ความเข้าใจ (knowledge) เก่ียวกับสถานการณ์การทุจริตที่เกิดข้ึนความร้ายแรง
และผลกระทบต่อระดับบคุ คลและส่วนรวม
๔) O (onward) : มุ่งไปข้างหน้า ผู้นา ผู้บริหาร บุคคลทุกระดับ องค์กรและชุมชน มุ่งพัฒนาและ
ปรับเปลี่ยนตนเองและส่วนรวมให้มีความเจริญก้าวหน้าอย่างย่ังยืน บนฐานความโปร่งใส ความพอเพียงและร่วมสร้าง
วฒั นธรรมสุจริตใหเ้ กดิ ข้ึนอยา่ งไมย่ อ่ ท้อ ซึง่ ตอ้ งมีความรู้ ความเข้าใจ (knowledge) ในประเดน็ ดังกลา่ ว
๕) N (knowledge) : ความรู้ ผู้นา ผู้บรหิ าร บุคคลทุกระดับ องคก์ รและชุมชน ต้องมีความรู้ ความเข้าใจ
สามารถนาความรู้ไปใช้ สามารถวิเคราะห์ สังเคราะห์ ประเมินได้อย่างถ่องแท้ ในเรื่อง สถานการณ์การทุจริต
ผลกระทบที่มีต่อตนเองและส่วนรวม ความพอเพียงต้านทุจริต การแยกแยะระหว่างผลประโยชน์ส่วนตัวและ
ผลประโยชน์ส่วนรวมท่ีมีความสาคัญย่ิงต่อการลดการทุจริตในระยะยาว รวมทั้งความอายไม่กล้าทาทุจริตและ
ความไม่ทนเม่อื พบเหน็ วา่ มีการทจุ ริตเกดิ ข้นึ เพ่ือสรา้ งสงั คมไมท่ นต่อการทจุ รติ
๖) G (generosity) : ความเอื้ออาทร คนไทยมีความเอื้ออาทร มีเมตตา น้าใจ ต่อกันบนฐานของ
จิตพอเพียงต้านทจุ รติ ไมเ่ ออ้ื ต่อการรบั หรือการให้ผลประโยชนห์ รอื ตอ่ พวกพ้อง
S (sufficient) ความพอเพียง พระราชดารัสพระราชทานแก่บุคคลต่างๆ ที่เข้าเฝ้าฯ ถวายชัยมงคล
เนอ่ื งในโอกาสวนั เฉลมิ พระชนมพรรษา ณ ศาลาดุสิดาลัย สวนจติ รลดาฯ พระราชวงั ดุสิต วันศุกร์ที่ 4 ธนั วาคม 2541
“...คาว่า พอเพียง มีความหมายกว้างออกไปอีก ไม่ได้หมายถึง การมีพอสาหรับใช้ของตัวเอง
มคี วามหมายว่าพอมี พอกิน พอมีพอกินนี้ ถ้าใครได้มาอยทู่ ่นี ี่ ในศาลานี้เม่อื ๒๔ ปี พ.ศ. ๒๕๑๗ ถึง พ.ศ. ๒๕๔๑
ก็ ๒๔ ปีใช่ไหม วันนั้นได้พูดถึงว่า เราควรจะปฏิบัติให้พอมีพอกิน พอมีพอกินน้ีก็แปลว่า เศรษฐกิจพอเพียง
นั่นเอง ถ้าแต่ละคนพอมี พอกินก็ใช้ได้ ยิ่งถ้าทั้งประเทศพอมีพอกินก็ยิ่งดี และประเทศไทยเวลานั้นก็เร่ิมจะเป็น
ไม่พอมีพอกิน บางคนก็มีมาก บางคนก็ไม่มีเลย สมัยก่อนนี้พอมีพอกิน มาสมัยนี้ชักจะไม่พอมีพอกิน จึงต้องมี
นโยบายท่จี ะทาเศรษฐกจิ พอเพียง เพื่อท่ีจะให้ทุกคนมีพอเพียงได้...”
หลักสูตรรายวิชาเพ่มิ เติม “การป้องกันการทุจรติ ” : 86
- ๘๔ -
“...คาว่า พอก็เพียง พอเพียงนี้ก็พอ ดังนั้นเองคนเราถ้าพอในความต้องการก็มีความโลภน้อย เม่ือมี
ความโลภน้อย ก็เบียดเบียนคนอื่นน้อย ถ้าทุกประเทศได้มีความคิด อันน้ีไม่ใช่เศรษฐกิจมีความคิดว่าทาอะไร
ต้องพอเพียง หมายความวา่ พอประมาณ ไม่สุดโต่ง ไม่โลภอย่างมาก คนเราก็อยู่เป็นสุข พอเพียงนี้อาจจะมีมาก
อาจจะมีของหรูหราก็ได้ แต่ว่าต้องไม่ไปเบียดเบียนคนอ่ืน ต้องให้พอประมาณ พูดจาก็พอเพียง ทาอะไรก็พอเพียง
ปฏิบตั ิตนก็พอเพยี ง…”
“...อย่างเคยพูดเหมือนกันว่า ท่านท้ังหลายท่ีน่ังอยู่ตรงนี้ ถ้าไม่พอเพียง คือ อยากจะไปนั่งบนเก้าอ้ี
ของผู้ที่อยู่ข้างๆ อันน้ันไม่พอเพียง และทาไม่ได้ ถ้าอยากน่ังอย่างน้ันก็เดือดร้อนกันแน่ เพราะว่าอึดอัดจะทาให้
ทะเลาะกัน และเม่อื มกี ารทะเลาะกนั ก็ไมม่ ปี ระโยชน์เลย ฉะนัน้ ควรทจ่ี ะคิดว่าทาอะไรพอเพียง...”
“...ถ้าใครมีความคิดอย่างหนึ่งและต้องการให้คนอื่นมีความคิดอย่างเดียวกับตัว ซึ่งอาจจะไม่ถูกอันน้ี
ก็ไม่พอเพียง การพอเพียงในความคิดก็คือ แสดงความคิด ความเห็นของตัวและปล่อยให้อีกคนพูดบ้างและ
มาพิจารณาว่าทีเ่ ขาพูดกับที่เราพูด อันไหนพอเพียงอันไหนเข้าเร่ือง ถ้าไม่เข้าเรื่องก็แก้ไขเพราะว่าถ้าพูดกัน
โดยที่ไม่รูเ้ ร่ืองกนั ก็จะกลายเป็นการทะเลาะ จากการทะเลาะด้วยวาจา ก็กลายเป็นการทะเลาะดว้ ยกาย ซึ่งในท่ีสุด
ก็นามาสู่ความเสยี หาย แก่คนสองคนทเ่ี ป็นตวั การ เป็นตัวละครท้งั สองคน ถ้าเปน็ หมู่มากก็เลยเปน็ การตกี นั อยา่ งรุนแรง
ซ่งึ จะทาให้คนอืน่ อีกมากเดอื ดร้อน ฉะนนั้ ความพอเพยี งนี้ก็แปลวา่ ความพอประมาณ และความมีเหตุผล...”
สานักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ได้ประมวลและกล่ันกรองจาก
พระราชดารัสของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เร่ือง เศรษฐกิจพอเพียง และ
ขอพระราชทาน พระบรมราชานุญาตนาไปเผยแพร่ ซึง่ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
ทรงพระกรุณาปรับปรุงแก้ไขและทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม พระราชทานพระบรมราชานุญาต
ตามทข่ี อพระมหากรุณาโดยมีใจความว่า
“เศรษฐกิจพอเพียง เป็นปรัชญาชี้ถึงแนวการดารงอยู่และปฏิบัติตนของประชาชนในทุกระดับ ตั้งแต่
ระดับครอบครัว ระดับชุมชน จนถึงระดับรัฐ ทั้งในการพัฒนาและบริหารประเทศให้ดาเนินไปในทางสายกลาง
โดยเฉพาะการพัฒนาเศรษฐกิจ เพ่ือให้ก้าวทันต่อโลกยุคโลกาภิวัตน์ ความพอเพียง หมายถึง ความพอประมาณ
ความมีเหตุผล รวมถึงความจาเป็นท่ีจะต้องมีระบบภูมิคมุ้ กันในตัวที่ดีพอสมควร ต่อการมีผลกระทบใดๆ อันเกิด
จากการเปลีย่ นแปลงทั้งภายนอกและภายใน ท้ังน้ี จะต้องอาศยั ความรอบรู้ ความรอบคอบ และความระมดั ระวัง
อย่างยิ่งในการนาวิชาการต่างๆ มาใช้ในการวางแผนและการดาเนินการทุกขัน้ ตอน และขณะเดียวกันจะต้อง
เสริมสร้างพ้ืนฐานจิตใจของคนในชาติ โดยเฉพาะเจ้าหน้าท่ีของรัฐ นักทฤษฎี และนักธุรกิจในทุกระดับให้มีสานึกใน
คุณธรรม ความซ่ือสัตย์สุจริต และให้มีความรอบรู้ท่ีเหมาะสม ดาเนินชีวิตด้วยความอดทน ความเพียร
มีสติปัญญา และความรอบคอบ เพ่ือให้สมดุลและพร้อมต่อการรองรับการเปล่ียนแปลงอย่างรวดเร็วและกว้างขวาง
ทง้ั ดา้ นวัตถสุ ังคม สง่ิ แวดลอ้ ม และวฒั นธรรมจากโลกภายนอกได้เป็นอย่างดี”
หลักสตู รรายวิชาเพิ่มเติม “การป้องกันการทุจรติ ” : 87
- ๘๕ -
คุณลักษณะที่สาคัญของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ประกอบด้วย 3 ห่วง 2 เงื่อนไข คือ แนวทาง
การดาเนินชีวิตให้อยู่บนทางสายกลางตามหลกั ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เพ่ือพ้นจากภยั และวิกฤติการณ์ตา่ งท่ีเกดิ ข้ึน
กอ่ ใหเ้ กดิ คุณภาพชวี ติ ทดี่ ีอย่างมั่นคงและย่ังยนื
ความพอประมาณ หมายถึง ความพอดีต่อความจาเป็นไม่มากเกินไป ไม่น้อยเกินไป และต้อง
ไม่เบยี ดเบยี นตนเองและผูอ้ ื่น
ความมีเหตุผล หมายถึง การตัดสินใจดาเนินการเรื่องต่างๆ อย่างมีเหตุผลตามหลักวิชาการ
หลักกฎหมาย หลักศีลธรรม จริยธรรมและวัฒนธรรมท่ีดีงาม คิดถึงปัจจัยท่ีเกี่ยวข้องอย่างถี่ถ้วน โดยคานึงถึง
ผลที่คาดว่าจะเกิดข้ึนจากการกระทานัน้ ๆ อย่างรอบคอบ
มีภูมิคุ้มกันท่ีดีในตัวเอง หมายถึง การเตรียมตัวให้พร้อมรับผลกระทบและการเปลี่ยนแปลง
ด้านเศรษฐกิจ สงั คม สิง่ แวดลอ้ มทจี่ ะเกิดขน้ึ เพื่อให้สามารถปรบั ตวั และรบั มือไดอ้ ย่างทันทว่ งที
เงอื่ นไขในการตัดสนิ ใจในการดาเนนิ กจิ กรรมต่างๆ ตามหลกั ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
๑. เงอื่ นไขความรู้ ประกอบดว้ ย ความรอบรูเ้ ก่ียวกับวชิ าการต่างๆ ที่เก่ยี วข้องรอบด้าน ความรอบคอบ
ที่จะนาความร้เู หลา่ น้ันมาพจิ ารณาให้เชือ่ มโยงกนั เพอ่ื ประกอบการวางแผนและความระมดั ระวงั ในการปฏบิ ตั ิ
๒. เง่ือนไขคุณธรรม ที่จะตอ้ งเสรมิ สร้างประกอบด้วย มีความตระหนกั ในคุณธรรม มีความซอ่ื สัตยส์ ุจริต
และมคี วามอดทน มคี วามเพียร ใชส้ ตปิ ญั ญาในการดาเนนิ ชีวติ
ท่ีมา : สานกั งานคณะกรรมการพฒั นาการเศรษฐกจิ และสงั คมแหง่ ชาติ
หลักสตู รรายวิชาเพ่มิ เตมิ “การป้องกนั การทจุ ริต” : 88
- ๘๖ -
ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เป็นแนวทางดาเนินชีวิตทางสายกลาง การพึ่งตนเอง รู้จักประมาณตน
อย่างมีเหตุผลอยู่บนพื้นฐานความรู้และคุณธรรมในการพิจารณา ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงดาเนินการไม่ได้
เฉพาะเจาะจงในเร่อื งของเศรษฐกจิ แต่เพยี งอย่างเดยี วแตย่ งั ครอบคลุมไปถงึ การดาเนนิ ชีวติ ด้านอืน่ ๆ ของมนุษย์
ให้อยู่ร่วมกันในสังคมได้อย่างปกติสุข อย่างเช่น หากเรามีความพอเพียง เราจะไม่ทุจริต ไม่คดโกง ไม่ลักขโมยของ
ไม่เบียดเบยี นผู้อน่ื กจ็ ะสง่ ผลใหผ้ ูอ้ นื่ ไมเ่ ดือดรอ้ น สงั คมก็อยไู่ ด้อย่างปกติสขุ
๓.๒ พระบาทสมเดจ็ พระปรมินทรมหาภมู พิ ลอดลุ ยเดชแบบอยา่ งในเรื่องของความพอเพียง
เรอ่ื ง ฉลองพระองค์ บนความ “พอเพยี ง” : หนังสอื พมิ พ์ คม ชดั ลกึ เมอ่ื วันที่ 24 ตลุ าคม พ.ศ. 2559
นายสุนทร ชนะศรีโยธิน เจ้าของร้านสูท “วินสัน เทเลอร์” ได้บอกเล่าพระราชจริยวัตรในด้าน
“ความพอเพียง” ท่ีพระองค์ท่านทรงปฏิบัติมาอย่างต่อเน่ืองว่า “นายตารวจท่านหนึ่งนาผ้าชิ้นหนง่ึ มาให้ผมซ่อม
เป็นผ้ารัดอกสาหรับเล่นเรือใบสภาพเก่ามากแล้ว นายตารวจท่านน้ันบอกว่าไม่มีร้านไหนยอมซ่อมให้เลย ผมเห็นว่า
ยังแก้ไขได้ก็รับมาซ่อมแซมให้ไม่คิดเงิน เพราะแค่นึกอยากบริการแก้ไขให้ดี ให้ลูกค้าประทับใจ แต่ไม่รู้มากอ่ นว่า
เขาเปน็ เจ้าหนา้ ท่ใี นพระราชสานักตอนน้ันผมบอกไมค่ ิดค่าตดั บอกเขาวา่ ไม่รับเงนิ แก้ไขแค่น้ีผมมีน้าใจ ผมเปิดรา้ นเสื้อ
เพราะต้องการให้มชี ื่อเสียงด้านคุณภาพและบริการลูกคา้ มากกวา่ แก้ไขนิดเดียวก็อยากทาให้เขาดีๆ ไม่ต้องเสียเงิน
ตอนนั้นเขาถามผมอีกว่าแล้วจะเอามาให้ทาอีกได้ไหม เราก็บอกได้เลยผมบริการให้ จากนั้นเราก็รับแก้ชุดให้
นายตารวจท่านน้ีเร่ือยๆ เขาขอให้คิดเงินก็ไม่คิดให้ พอคร้ังที่ 5 น่ีสิท่านเอาผ้ามา 4 - 5 ผืน จะให้ตัดถามผมว่า
ราคาค่าตัดเท่าไหร่ แล้วก็รีบควักนามบัตรมาให้ผม ท่านชื่อ พล.ต.ต.จรัส สุดเสถียร ตาแหน่งเขียนว่า
เปน็ นายตารวจประจาราชสานัก ท่านบอกวา่ “ส่ิงทีเ่ ถ้าแกท่ าให้เปน็ ของพระเจ้าอยู่หัวนะ” ผมองึ้ มากรีบยกมอื ท่วมหัว
ด้วยความดีใจท่ไี ด้รับใช้เบ้ืองพระยุคลบาทแล้ว” นายสุนทรเล่าดว้ ยน้าเสียงต้ืนตันใจแต่ละฉลองพระองค์ทีไ่ ดร้ ับมา
ให้ซ่อมแซม ถ้าเป็นคนอื่นผ้าเก่าขนาดนั้นเขาไม่ซ่อมกันแล้ว เอาไปท้ิงหรือให้คนอ่ืนๆ ได้แล้ว แต่พระเจ้าอยู่หัว
รัชกาลท่ี 9 ทรงมีความมัธยัสถ์แต่ละองค์ท่ีเอามาเก่ามาก เช่น เสื้อสูทสีฟ้าชัยพัฒนา ผ้าเก่าสีซีดมากแล้ว
ตรงตราชัยพัฒนามัวหมอง ตรงดิ้นทองก็หลุดเกือบหมด ผมเอามาแกะหมดเลยให้โรงงานปักใหม่ให้เหมือนแบบเดิม
เพราะเข้าใจว่าท่านอยากได้ฉลองพระองค์องค์เดิม แต่เปลี่ยนตราให้ดูใหม่ ถ้าสมมุติวันน้ีมีเจ้าหน้าท่ีมาส่งซ่อม
พรุ่งนี้เย็นๆ ผมก็ทาเสร็จส่งคืนเข้าไป เจ้าหน้าท่ีท่ีมารับฉลองพระองค์ชอบถามว่า ทาไมทาไว ผมตอบเลยว่า
เพราะต้ังใจถวายงานครับ ผมอยู่ผืนแผ่นดินไทย ใต้ร่มพระบารมีของพระองค์ ผมก็อยากได้รับใช้เบื้องพระยุคลบาท
สักเรื่อง ผมเปน็ แค่ช่างตดั เส้ือไดร้ บั ใชข้ นาดนผี้ มก็ปลืม้ ปิตทิ ี่สดุ แล้ว
“ผมถือโอกาสนาหลักเศรษฐกิจพอเพียง ของพระองค์ท่านมาใช้ตลอด เส้ือผ้าเก่าๆ ท่ีได้รับมาวันแรก
ทาให้รู้ว่าพระองค์ทรงอยู่อย่างประหยัด มัธยัสถ์ ทรงเป็นแบบอย่างความพอเพียงให้แก่ประชาชน และเม่ือได้
ถวายงานบ่อยคร้ังทาให้ผมตระหนักว่าคนเราวันหน่ึงต้องคิดพิจารณาตัวเอง ว่าส่ิงไหนบกพร่องก็ต้องแก้ไขสิ่งนั้น
ทกุ คนต้องแก้ไขสง่ิ ทบี่ กพร่องกอ่ น งานถึงจะบรรลุเป้าหมาย และเมอื่ ประสบความสาเร็จแลว้ อยา่ ลืมตัง้ ใจทาส่งิ ดีๆ
ให้ประเทศชาติตลอดไป” ขอ้ คดิ และขอ้ ปฏบิ ัตดิ ีๆ ที่ได้จากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยหู่ วั ของช่างสุนทร
หลักสูตรรายวชิ าเพ่ิมเติม “การป้องกนั การทุจรติ ” : 89
- ๘๗ -
เร่ือง ฉลองพระบาท ก. เปรมศิลป์ ช่างซ่อมฉลองพระบาท รอยเท้า ในหลวงรัชกาลที่ 9 รอยเท้า
ของความพอเพยี ง
นายศรไกร แน่นศรีนิล หรือช่างไก่ ช่างนอกราชสานักผูถ้ วายงานซ่อมฉลองพระบาท ในหลวงรัชกาลที่ 9
มานานกว่า 10 ปี ปัจจุบันยังเป็นเจ้าของร้านซ่อมรองเท้า ก. เปรมศิลป์ บริเวณส่ีแยกพิชัย เขตดุสิต กรุงเทพฯ
ประมาณปี 2546 มีลูกค้าสวมชุดพระราชสานักมา 2 คน เดินประคองถุงผ้าลายสก๊อต ด้านในเป็นรองเท้า
เข้ามาในร้าน พอวางรองเท้าลงก็ก้มลงกราบ เลยถามว่าเอาอะไรมาให้ลูกค้ารายนั้นตอบว่า ฉลองพระบาทของ
พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยู่หัว ในหลวงรัชกาลที่ 9 ได้ยินเท่านัน้ ทาตัวไม่ถูก ขนลุก พูดอะไรไม่ถูกในใจคิดแต่เพยี งว่า
โชคดีแล้ว ไม่นึกไม่ฝันว่าจะมีโอกาสได้ซ่อมรองเท้าของเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินช่างไก่ เล่าว่า รองเท้าคู่แรกท่ีในหลวง
รัชกาลท่ี 9 ทรงนามาซ่อม เป็นรองเท้าหนังสีดา ทรงคัทชูแบรนด์ไทย เป็นฉลองพระบาทคู่โปรดของพระองค์
เบอร์ 43 เท่าที่สังเกตสภาพชารดุ ทรุดโทรม ราวกับใส่ใช้งานมาแล้วหลายสิบปี ภายในรองเท้าผุกร่อนหลุดลอก
หลายแหง่ ถา้ เป็นคนทวั่ ไปจะแนะนาใหท้ ิ้งแล้วซอื้ ใหม่
“จริงๆ ผมใชเ้ วลาซ่อมรองเทา้ คู่นัน้ ไม่ถึง 1 ช่ัวโมงก็เสรจ็ แต่ด้วยความที่อยากใหร้ องเท้าคนู่ ้ันอยูใ่ นบ้าน
ใหน้ าน เลยบอกเจ้าหนา้ ทว่ี ่าใชเ้ วลาซอ่ ม 1 เดือน ซ่ึงฉลองพระบาทค่นู ้ีทรงโปรดใช้ทรงดนตรี”
นับจากนั้นเป็นต้นมา ช่างไก่ ยังมีโอกาสได้ถวายงานซ่อมฉลองพระบาทอีกหลายคู่ ซึง่ คู่ที่ 2 และคู่ท่ี 3
เป็นรองเท้าหนังสีดา ทรงคัทชู คู่ท่ี 4 ฉลองพระบาทหนังวัว ทรงฮาฟ มักใส่ในงานราชพิธี ซ่ึงฉลองพระบาทคู่นี้
มรี อยพระบาทติดมากับแผ่นรองเท้า ช่างไก่ เกบ็ แผ่นรองเท้าไว้ที่ร้านเพื่อความเป็นสิริมงคล ส่วนฉลองพระบาท
คู่ท่ี 5 ทรงนามาเปลี่ยนพ้ืน ฉลองพระบาทคู่ที่ 6 เป็นรองเท้าเปิดส้น ซ่ึงคุณทองแดง สุนัขทรงเล้ียงกัด รวมแล้ว
ทั้งหมด 6 คู่
“ผมซ่อมฉลองพระบาททุกคู่อย่างสุดความสามารถ ซึ่งรองเท้าของพระองค์จะนาไปวางปนกับ
ของลูกค้าคนอื่นไม่ได้ ผมเลยซื้อพานมาใส่พร้อมกับผ้าสีเหลืองมารอง แล้วนาไปวางไว้ท่ีสูงท่ีสุดในร้าน เพราะ
ท่านคงทรงโปรดมาก สภาพรองเท้าชารุดมาก ซับในรองเท้าหลุดออกมาหมด ถ้าเป็นเศรษฐีท่ัวไปคงจะ
ไม่นามาใชแ้ ลว้ แต่นพ่ี ระองคย์ ังทรงใชค้ ู่เดมิ อยู่”
ประการสาคัญท่ีทาให้ชายผู้นี้ได้เรียนรู้จากพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช คือ
“ความพอเพียง” ขนาดฉลองพระบาทขาดและเก่ายังส่งมาซ่อม หากคนไทยเดินตามรอยของพระองค์ท่านชีวิต
ไมฟ่ งุ้ เฟอ้ จะเปน็ สุขกันมากกวา่ น้ี
“ดร.สเุ มธ ตนั ตเิ วชกลุ ” เขยี นไว้ในหนังสอื “ใต้เบื้องพระยคุ ลบาท”
“...พระองค์ท่าน ทรงเป็นผู้นาอย่างแท้จริง ดูแค่ฉลองพระบาทเป็นต้น พวกตามเสด็จฯ ท้ังหลาย
ใส่รองเท้านอก และย่ิงมาจากต่างประเทศใส่แล้วนุ่มเท้าดี พระองค์ท่านกลับทรงรองเท้าท่ีผลิตในเมืองไทย
ค่ลู ะร้อยกว่าบาทสีดาเหมือนอย่างท่ีนักเรยี นใส่กัน แม้กระท่ังพวกเรายังไม่ซื้อใส่เลย...” “ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล”
เขียนไว้ในหนงั สือ “ใตเ้ บ้อื งพระยุคลบาท”
เรอ่ื ง นาฬิกาบนข้อพระกร
วันงานเปิดตัวรายการทีวี “ธรรมดีที่พ่อทา” และงานสัมมนา “ถอดรหัส”ธรรมดีที่พ่อทาพอเร่ิมบรรยาย
ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล ถามผู้ฟังว่า พวกเรามีเสื้อผ้าคนละก่ีชุด ใส่นาฬิกาเรือนละเท่าไหร่ หลายคนแย่งกันตอบ
และพากันอ้ึง เม่ือ ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล เล่าว่า "ครั้งหน่ึง ผมพยายามจะแอบดูว่า พระองค์ท่านใส่นาฬิกาย่ีห้ออะไร
หลกั สตู รรายวชิ าเพมิ่ เติม “การป้องกนั การทุจริต” : 90
- ๘๘ -
จนพระองค์ท่านรู้สึกได้ว่าผมพยายามอยากจะดูยี่ห้อนาฬิกาของพระองค์ท่าน ท่านจึงยื่นข้อพระหัตถ์มาให้ดูตรงหน้า
จงึ ทราบว่าพระองค์ท่านใส่นาฬิการาคาเพียงเรือนละ 750 บาท เท่าน้ันซ่ึงก็เดินตรงเหมือนกนั กับนาฬิกาเรือนแพง
แม้กระทั่งฉลองพระองค์ก็ทรงมีไม่ก่ีชุด ทรงใช้จนเป่ือยซีด แต่พวกเรามักคิดวา่ การมีแบบเหลือกินเหลือใช้จึงจะดี
เพราะคนสมัยน้ีเร่ิมไม่เอาเกษตรกรรม แต่เลือกท่ีจะทาอุตสาหกรรม (เป็นศัพท์ที่บัญญัติข้ึนเอง สุดท้ายอนาคต
ก็จะอดกนิ )
ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล ถามอีกว่าคนในห้องน้ีมีรองเท้าคนละกี่คู่ ก็มีนักธุรกิจสตรีตอบว่า ร้อยกว่าคู่
ดร.สุเมธ จึงถามต่อว่า วันน้ใี สม่ ากีค่ ู่ถ้าจะใชใ้ ห้คุ้ม ทาไมไม่เอามาแขวนคอด้วย (ทาเอาบรรยากาศในห้องเงยี บสงัด
เพราะโดนใจกันเต็มๆ) ก่อนจะบอกวา่ พระองคท์ รงฉลองพระบาทคู่ละ 300 - 400 บาท ขณะทข่ี ้าราชบริพาร
ใส่รองเท้าคู่ละ 3 - 4 พันบาท แต่เวลาท่ีพระองค์ทรงออกเยี่ยมราษฎรในพ้ืนท่ีห่างไกลที่สุดแล้วข้าราชบริพาร
กเ็ ดนิ ตามพระองค์ไม่ทนั อยูด่ ี เวลาเดนิ คนเราใส่รองเท้าได้เพียงคู่เดียว อีกทั้งฉลองพระบาทของพระองค์ยังถูกนาส่งไป
ซอ่ มแลว้ ซ่อมอีก
เรื่อง ดนิ สอทรงงาน
สารคดีเฉลิมพระเกยี รติเนือ่ งในโอกาสมหามงคล เฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550
หมวด พระบารมบี นั ดาล ตอน ดนิ สอของพระเจ้าอย่หู ัว
ดินสอธรรมดาซึ่งคนท่ัวไปอาจหาซื้อได้ด้วยราคาเพียงไม่กี่บาทน้ีเป็นดินสอชนิดเดียวที่ปรากฏอยู่บน
พระหัตถข์ องพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยหู่ วั ขณะทรงงานอนั เน่อื งมาจากพระราชดารติ า่ งๆ
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงดินสอไม้ธรรมดาๆ โดยมีบันทึกว่าในปีหนึ่ง ๆ
ทรงเบิกดนิ สอใช้เพียง 12 แทง่ โดยทรงใช้ดินสอเดือนละ 1 แท่งเท่านั้น เมื่อดนิ สอสั้นจะทรงใช้กระดาษมาม้วน
ต่อปลายดินสอให้ยาวเพ่ือให้เขียนได้ถนัดมือจนกระท่ังดินสอน้ันสั้นกุดใช้ไม่ได้แล้ว เน่ืองจาก พระบาทสมเด็จ
พระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงมีแนวพระราชดาริที่เป็นเหตุเป็นผล ดินสอ 1 แท่ง ท่านไม่ได้มองว่า
เราต้องประหยัดเงินในกระเปา๋ แต่ท่านมองวา่ ดินสอ 1 แทง่ ตอ้ งใชท้ รพั ยากร หรือพลังงานเทา่ ไหร่ ต้องใชท้ รัพยากร
ธรรมชาติ คือ ไม้ แร่ธาตุที่ทาไส้ดินสอ การนาเข้าวัตถุดิบที่นาเข้าต่างประเทศ พลังงานในกระบวนการผลิต
และขนส่ง ดังนั้น การผลิตดินสอทุกแท่งมีผลต่อรายรับ รายจ่ายของประเทศ เป็นส่วนหน่ึงมูลค่าสินค้านาเข้า
ดา้ นวตั ถุดิบและเป็นการนาทรัพยากรธรรมชาตทิ ่ีมีจากัดมาใชใ้ หเ้ กดิ ประโยชน์สูงสดุ ความประหยัดไม่ใช่หมายถึง
การไมใ่ ช้ แตย่ งั รวมถงึ การใช้สง่ิ ตา่ งๆ อย่างมีสตแิ ละมีเหตุผล อันเป็นสาคัญของเศรษฐกิจพอเพยี ง
“ดร.สเุ มธ ตนั ติเวชกุล” เขยี นไวใ้ นหนงั สือ ชอ่ื เรือ่ ง “ใต้เบ้ืองพระยคุ ลบาท”
“ท่านผู้หญิงบุตรี” บอกผมมาว่าปีหนึ่งท่านทรงเบิกดินสอ ๑๒ แท่ง เดือนละแท่ง ใช้จนกระทั่งสั้นกุด
ใครอย่าได้ไปท้ิงของพระองค์ท่านนะ จะทรงกร้ิว ทรงประหยัดทกุ อย่าง ทรงเป็นต้นแบบทุกอย่างของทุกอย่างมีค่า
สาหรับพระองค์ทา่ นท้ังหมด ทุกบาท ทกุ สตางค์ จะทรงใชอ้ ยา่ งระมัดระวงั ทรงสง่ั ให้เราปฏบิ ตั งิ านดว้ ยความรอบคอบ...
เร่อื ง หลอดยาสีพระทนต์
หลอดยาสพี ระทนต์ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีลักษณะแบนราบเรียบ
คล้ายแผ่นกระดาษ โดยเฉพาะบริเวณคอหลอดย่ิงปรากฏรอยบุ๋มลึกลงไปจนถงึ เกลียวคอหลอด สาเหตุท่ีเป็นเช่นนี้
เพราะพระองค์ท่านทรงใชด้ ้ามแปรงสพี ระทนต์ช่วยรีดและกดจนเป็นรอยบุ๋ม ศาสตราจารย์พิเศษ ทันตแพทย์หญิง
ท่านผู้หญิงเพ็ชรา เตชะกัมพุช ทันตแพทย์ประจาพระองค์ อดีตคณบดีคณะทันตแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์
มหาวิทยาลัย ได้เขียนเล่าว่า "ครั้งหนึ่งทันตแพทย์ประจาพระองค์ กราบถวายบังคมทูล เรื่องศิษย์ทันตแพทย์
หลกั สตู รรายวิชาเพิ่มเติม “การป้องกันการทจุ ริต” : 91
- ๘๙ -
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย บางคนมีค่านิยมในการใช้ของต่างประเทศและมีราคาแพง รายท่ีไม่มีทรัพย์พอซ้ือหา
กย็ ังขวนขวาย เช่ามาใช้เป็นการช่ัวคร้ังชั่วคราว ซ่ึงเท่าท่ีทราบมามคี วามแตกต่างจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ
ที่ทรงนิยมใช้กระเป๋าที่ผลิตภายในประเทศเช่นสามัญชนทั่วไป ทรงใช้ดินสอสั้นจนต้องต่อด้าม แม้ยาสีพระทนต์
ของพระองคท์ า่ น กท็ รงใชด้ ้ามแปรงพระทนตร์ ีดหลอดยาจนแบนจนแน่ใจว่าไม่มยี าสีพระทนต์หลงเหลอื อยู่ในหลอดจริงๆ
“เมื่อกราบบังคมทูลเสร็จ พระบาทสมเด็จพระปรมนิ ทรมหาภูมิพลอดลุ ยเดช ทรงรบั ส่ังวา่ ของพระองค์ท่าน
ก็เหมือนกันและยังทรงรับสั่งต่อไปอีกด้วยว่า เม่ือไม่นานมานี้เองมหาดเล็กห้องสรง เห็นว่ายาสีพระทนต์ของพระองค์
คงใช้หมดแล้วจึงได้นาหลอดใหมม่ าเปล่ียนให้แทน เม่ือพระองค์ได้ทรงทราบก็ได้ขอให้เขานายาสีพระทนต์หลอดเก่า
มาคืนและพระองค์ท่านยังทรงสามารถใช้ต่อไปได้อีกถึง 5 วัน จะเห็นได้ว่าในส่วนของพระองค์ท่านเองนั้น
ทรงประหยัดอย่างยิ่ง ซงึ่ ตรงกันขา้ มกับพระราชทรัพยส์ ่วนพระองค์ที่ทรงพระราชทานเพ่ือราษฎรผู้ยากไร้อยู่เปน็ นิจ”
“พระจริยวัตรของพระองค์ได้แสดงให้เห็นอย่างแจ่มชัดถึงพระวิรยิ ะ อุตสาหะ ตลอดจนความประหยัด
ในการใช้ของอย่างคุ้มค่า หลังจากน้ันทันตแพทย์ประจาพระองค์ได้กราบพระบาททูลขอพระราชทานหลอด
ยาสีพระทนตห์ ลอดน้นั เพ่อื นาไปใหศ้ ษิ ย์ไดเ้ หน็ และรับใสเ่ กล้าเป็นตวั อยา่ งเพ่ือประพฤติปฏิบัตใิ นโอกาสต่อๆ ไป”
“ประมาณหน่งึ สัปดาห์หลงั จากน้ัน พระบาทสมเด็จพระปรมนิ ทรมหาภมู ิพลอดลุ ยเดช ได้พระราชทาน
สง่ หลอดยาสีพระทนต์เปล่าหลอดนั้นมาให้ถึงบา้ น ทันตแพทย์ประจาพระองค์รูส้ ึกซาบซ้ึงในพระมหากรุณาธิคุณ
เป็นล้นเกล้ายิ่ง เมื่อไดพ้ ิจารณาถึงลักษณะของหลอดยาสีพระทนต์เปล่าหลอดนั้นแล้วทาให้เกิดความสงสัยว่าเหตุใด
หลอดยาสีพระทนต์หลอดนจี้ ึงแบนราบเรยี บโดยตลอด คล้ายแผ่นกระดาษ โดยเฉพาะบรเิ วณคอหลอดยงั ปรากฏ
รอยบุ๋มลึกลงไปเกือบถึงเกลียวคอหลอด เมื่อได้มีโอกาสเข้าเฝ้าฯอีกครั้งในเวลาต่อมา จึงได้รับคาอธิบาย
จากพระองค์ว่า หลอดยาสีพระทนต์ท่เี ห็นแบนเรียบน้ันเป็นผลจากการใช้ด้ามแปรงสีพระทนต์ช่วยรีดและกดจนเป็น
รอยบมุ๋ ท่เี หน็ น่นั เอง และเพื่อที่จะขอนาไปแสดงให้ศิษย์ทันตแพทยไ์ ด้เห็นเปน็ อทุ าหรณ์ จึงได้ขอพระราชานุญาต
ซึ่งพระองคท์ า่ นกไ็ ด้ทรงพระเมตตาดว้ ยความเต็มพระราชหฤทัย”
ภาพหลอดยาสีพระทนตข์ องพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภมู ิพลอดุลยเดช มีท่มี าจากทันตแพทย์
ประจาพระองค์ (ท่านผู้หญิงเพ็ชรา เตชะกัมพุช) ได้กราบถวายบังคมทูลพระองค์ท่านเร่ืองลูกศิษย์บางคน
มคี ่านิยมใช้ของต่างประเทศ และของมีราคาแพง แมบ้ างรายไม่มเี งินพอท่ีจะซอ้ื หาก็ยังขวนขวายไปเช่ามาช่ัวคร้ัง
ช่ัวคราวซึ่งเท่าที่ทราบมาแตกต่างจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ที่ทรงนิยมใช้กระเป๋าท่ีผลิตภายในประเทศ
เช่นสามัญชนทั่วไป ทรงใช้ดินสอสั้นจนต้องต่อด้าม แมจ้ นยาสีฟันพระทันต์ของพระองค์ท่านก็ใช้ด้ามแปรงพระทนต์
รีดหลอดยาจนแบน จนแน่ใจว่าไม่มียาสีพระทนต์หลงเหลืออยู่ในหลอดจริงๆ เมื่อกราบบังคมทูลเสร็จ
พระเจา้ อยู่หัวทรงตรัสว่า “...ของเราก็มี วันก่อนยังใช้ไม่หมด มหาดเลก็ มาทาความสะอาดห้องสรง คิดว่าหมดแล้ว
มาเอาไปแล้วเปล่ียนหลอดใหม่มาให้ เราบอกให้ไปตามกลับมา เรายังใช้ต่อได้อีก ๕ วัน...” จึงได้กราบพระบาท
ของทูลขอพระราชทานหลอดยาสีพระทนต์หลอดนั้น หลอดยาสีพระทนต์ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทร
มหาภูมิพลอดลุ ยเดช ทรงใช้จนแบนราบเรยี บโดยตลอดคลา้ ยแผ่นกระดาษ โดยเฉพาะบริเวณคอหลอดยังปรากฏ
รอยบุ๋มลึกลงไปเกือบถึงเกลียวคอหลอด ซ่ึงได้รับคาอธิบายจากพระองค์ภายหลังว่า หลอดยาสีพระทนต์ท่ีเห็น
แบนเรยี บนน้ั เปน็ ผลจากการใช้ดา้ มแปรงสพี ระทนตช์ ว่ ยรดี และกดจนเป็นรอยบุ๋มอย่างท่ีเหน็ น่นั เอง
หลกั สูตรรายวชิ าเพิ่มเตมิ “การปอ้ งกนั การทุจรติ ” : 92
- ๙๐ -
เรอ่ื ง รถยนต์พระท่ีน่ัง
นายอนันต์ รม่ รื่นวาณิชกิจ ช่างดูแลรถยนต์ประจาพระท่ีน่ัง ได้ให้สัมภาษณ์รายการตีสิบ เม่ือวนั ที่ 27
พฤศจิกายน 2552 โดยมีใจความว่า “คร้ังหน่ึงผมต้องซ่อมรถตู้เชฟโรเลต ซึ่งเป็นรถที่พระบาทสมเด็จ
พระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พระราชทานแก่สมเด็จพระเทพรัตน์ฯ สมัยท่านเรียนจบท่ีจุฬาฯ และเป็นคันโปรด
ของท่านด้วยก่อนซ่อมขา้ งประตูด้านท่ีท่านประทับเวลาฝนตกจะมีนา้ หยด แต่หลงั จากท่ีซอ่ มแล้ว วันหน่ึงท่านกร็ ับสั่ง
กบั สารถวี ่า วนั นร้ี ถดูแปลกไป น้าไม่หยด อย่างน้กี ็ไม่เย็นน่ะสิ แต่ก็ดีเหมอื นกันไมต่ อ้ งเอากระป๋องมารอง”
นายอนันต์เปิดเผยว่า ภายในรถยนต์พระที่น่ังของแต่ละพระองค์นั้น เรียบง่ายมากไม่มีอะไรเลยที่เป็น
สิง่ อานวยความสะดวก มแี ตถ่ ังขยะเลก็ ๆ กับท่ีทรงงานเท่านั้น ส่วนการไดม้ โี อกาสดแู ลรถยนต์พระทนี่ ัง่ ทาให้ได้เหน็ ถึง
พระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ด้วยน้ัน นายอนันต์กล่าวว่า คร้ังหน่ึง
มีรถยนต์พระที่น่ังที่เพ่ิงทรงใช้ในพระราชกรณียกิจมาทา เห็นว่าพรมใต้รถมีน้าแฉะขังอยู่และมีกลิ่นเหม็นด้วย
แสดงว่าพระองค์ท่านทรงนารถไปทรงพระราชกรณียกิจในท่ีที่มีน้าท่วม แถมน้ายังซึมเข้าไปในรถพระท่ีนั่งด้วย
แสดงว่าน้าก็ต้องเปียกพระบาทมาตลอดทาง จึงถามสารถีว่าทาไมไม่รีบเอารถมาซ่อม ก็ได้คาตอบว่าต้องรอให้
เสร็จพระราชกรณียกิจก่อน เม่ือพิธีกรถามวา่ จากการท่ีได้มีโอกาสรับใช้เบอ้ื งพระยคุ ลบาท ได้เห็นถึงความพอเพียง
ของพระองค์อย่างไร นายอนันต์ ตอบว่า “ปกติถ้าทรงงานส่วนพระองค์ ท่านก็ใช้รถคันเล็กเพื่อประหยัดน้ามัน
และเมอ่ื เราสังเกตสีรถพระทนี่ ั่งของพระองค์ จะเห็นว่ามีรอยสถี ลอกรอบคันรถ กว่าที่ท่านจะนามาทาสใี หมก่ ็รอบคันแล้ว
แต่คนใช้รถอย่างเราแค่รอยนิดเดียวก็รีบเอามาทาสีแล้ว และคร้ังหน่ึงระหว่างที่ผมกาลังประสานงานไปรับรถ
พระท่นี ่ังของสมเด็จพระเทพรัตนฯ์ ก็มีวิทยุของข้าราชบริพารบอกกันวา่ รถติดมาก สมเด็จพระเทพรัตน์ฯ เสด็จฯ
ขน้ึ รถไฟฟา้ ไปแลว้ ”
เร่ือง หอ้ งทรงงาน
ห้องทรงงานพระตาหนักจิตรลดารโหฐานไม่ได้หรูหราประดับด้วยของแพงแต่อย่างใด เวลาทรงงาน
จะประทับบนพืน้ พระตาหนักจิตรลดารโหฐาน มิได้ประทับพระเก้าอีเ้ วลาทรงงาน เพราะทรงวางสิ่งของต่าง ๆ
ได้สะดวก ห้องทรงงานเป็นห้องเล็กๆ ขนาด 3 x 4 เมตร ภายในห้องทรงงานจะมีวิทยุ โทรทัศน์ โทรสาร
โทรศัพท์คอมพิวเตอร์ เทเล็กซ์เคร่ืองบันทึกเสียง เคร่ืองพยากรณ์อากาศ เพื่อจะได้ทรงสามารถแก้ปัญหาต่าง ๆ
ไดท้ ันท่วงทโี ดยผนงั ห้องทรงงานโดยรอบมีแผนทีท่ างอากาศแสดงถงึ พ้นื ทปี่ ระเทศ
ห้องทรงงานของพระองค์ก็เป็นอีกสิ่งหน่ึง ท่ีเตือนสติคนไทยได้อย่างมาก โต๊ะทรงงานหรือเก้าอ้ีโยก
รูปทรงหรูหราไม่เคยมีปรากฏในห้องนี้ ดังพระราชดารัสของพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
ตอนหน่ึงท่ีว่า “...สานักงานของท่าน คือ ห้องกว้างๆ ไม่มีเก้าอี้ มีพื้น และท่านก็ก้มทรงงานอยู่กับพ้ืน...” นั่นเอง
นับเป็นแบบอย่างของความพอดี ไม่ฟุง้ เฟ้อโดยแท้
“ห้องทรงงาน” เป็นเพียงห้องขนาดธรรมดา กว้าง ยาว รวม ๕ x ๑๐ เมตร โปร่งๆ โล่งๆ พื้นท่ีเป็น
ไม้ปาร์เกต์ ผมกราบบังคมทูลและถวายตารา จากนั้นได้ทรงสอบถามรายละเอียดของตาราพร้อมทั้งเร่ืองราว
ความคืบหน้างานอืน่ ทกี่ าลงั ดาเนนิ เปน็ เวลากว่าหนึ่งชั่วโมง
หลักสูตรรายวิชาเพ่มิ เตมิ “การปอ้ งกันการทจุ ริต” : 93
- ๙๑ -
เรอ่ื ง เครอ่ื งประดับ
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ฉลองพระองค์ธรรมดา ห้อยกล้องถ่ายภาพไว้
ที่พระศอ มิทรงโปรดการสวมใส่เครื่องประดับอื่น เช่น แหวน สร้อยคอหรือของมีค่าต่างๆ เว้นแต่นาฬิกาบน
ข้อพระกรเท่านน้ั ซงึ่ กไ็ มไ่ ด้มรี าคาแพงแตอ่ ย่างใด
“...เครื่องประดับ พระองค์ก็มิทรงโปรดท่ีจะสวมใส่สักช้ิน นอกเสียจากว่าจะทรงแต่งองค์เพื่อเสด็จฯ
ไปงานพระราชพธิ ีต่างๆ หรือตอ้ นรับแขกบา้ นแขกเมอื งเทา่ นน้ั ...”
ดร.สุเมธ ตนั ติเวชกลุ เขยี นไว้ในหนังสือ “ใตเ้ บอื้ งพระยคุ ลบาท”
“...เม่ือปี ๒๕๒๔ ท่ีได้รับแต่งต้ังจากรัฐบาลให้ไปถวายงาน ผมต่ืนเต้นมาก สังเกตรายละเอียดรอบ ๆ
ตัวไปเสียทุกอย่าง มองไปที่ข้อพระหัตถ์ว่า ทรงใช้นาฬิกาอะไร มองจนพระองค์ทรงย่ืนข้อพระหัตถ์มาให้ดู
ทรงตรัสอย่างมีพระอารมณ์ขันว่า “ยี่ห้อใส่แล้วโก้” ผมจาแบบไว้ เพราะอยากรู้ว่าพระบาทสมเด็จพระปรมินทร
มหาภูมพิ ลอดุลยเดช ทรงใชน้ าฬิกาเรือนละเท่าไร พอวันหยุดก็รบี ไปท่รี ้าน กท็ ราบวา่ มรี าคาเพยี งแค่ ๗๕๐ บาท...”
“ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล” เขียนเล่าไว้ใน “ประสบการณ์สนองพระราชดาริเรียนรูห้ ลักการทรงงาน
ในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมพิ ลอดลุ ยเดช”
เร่อื ง พระตาหนักจติ รลดา
พระตาหนักจิตรลดา “...ไม่มีพระราชวังไหนในโลกเหมือนพระตาหนักจิตรลดา และบริเวณ
สวนจิตรลดาที่เต็มไปด้วยบ่อเลี้ยงปลา และไร่นาทดลอง อีกทั้งผองโคนม ผสมด้วยโรงสีและโรงงานหลากหลาย
จึงพูดได้เต็มปากว่า ในประเทศไทยไม่มีช่องว่างระหว่างเกษตรกรกับพระมหากษัตริย์ ผู้ทรงทางานอย่าง “หลังสู้ฟ้า
หน้าสดู่ นิ ” ด้วยพระองค์เอง
กราบบังคมทูลถวายพระพรชัยมงคลของ พลอากาศเอก หะริน หงสกุล ประธานรัฐสภาในพระราชพิธี
เฉลิมพระชนมพรรษา ๕ ธันวาคม ๒๕๒๓
“โครงการส่วนพระองค์ สวนจิตรลดา” เกิดจากพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทร
มหาภูมิพลอดุลยเดช ภายหลังจากเสด็จพระราชดาเนินไปทรงเยีย่ มพสกนิกรในพื้นทีต่ ่างๆ ด้วยทรงปรารถนา
จะได้เห็นประชาชนอยู่ดีมีสุขตามสมควรแก่อัตภาพ โดยเฉพาะอาชีพด้านเกษตรกรรม ซึ่งถือเป็นอาชีพหลัก
ของประเทศ จึงทาให้เกิด โครงการส่วนพระองค์เกีย่ วกับการเกษตร สวนจิตรลดา ภายในบริเวณพระตาหนัก
สวนจิตรลดารโหฐาน อันเป็นพระราชฐานที่ประทับในปี พ.ศ. ๒๕๐๔ โดยเร่ิมต้นจาก “นาข้าวทดลอง” และ
“ป่าไม้สาธติ ” ต่อมากจิ กรรมการเกษตรอื่นๆ จงึ ค่อยๆ ทยอยหย่ังรากฝังลึกภายใต้ร่มเงาวังสวนจติ รลดา กระท่ัง
โครงการต่าง ๆ เริ่มประสบความสาเร็จ จึงจัดทาโครงการตัวอย่าง เพ่ือให้ประชาชนท่ีสนใจสามารถเข้ามาศึกษา
และนากลับไปดาเนินการเองได้ โดยโครงการต่างๆ ที่เกิดขึ้นภายในสวนจิตรลดา เป็นโครงการที่ไม่หวัง
ผลตอบแทน (เชิงธุรกิจ) ทาให้วันนี้ โครงการส่วนพระองค์ สวนจิตรลดา กลายเป็นแหล่งรวมนวัตกรรม
ด้านการเกษตรของแผ่นดินทีเ่ ปิดพร้อมสาหรับประชาชนทส่ี นใจศึกษาเรียนรกู้ ิจกรรมการเกษตรตามพระราชดดาริ
หลักสูตรรายวชิ าเพ่มิ เตมิ “การปอ้ งกนั การทจุ รติ ” : 94
- ๙๒ -
เร่อื ง ซองเอกสารต่างๆ ทจ่ี ะส่งขึน้ ทูลเกลา้
“... แต่หากเป็นเรื่อง “งานในราชการ” แล้ว พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
ได้พระราชทานพระบรมราโชวาทมายังข้าราชบริพารในพระองค์ว่า “เอกสารต่างๆ ท่ีจะส่งขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย
หากเปน็ ซองแลว้ ก็ขอใหต้ ดิ กาวเฉพาะตรงหัวมุม หรอื หากเป็นต้องใชเ้ ทปกาวตดิ ก็ใหต้ ดิ แค่สองน้วิ กพ็ อ ไม่ใชป่ ดิ ท้ังหมด
เพราะเป็นการเปลืองเทปและเปิดยาก” พระองค์จะไม่พอพระราชหฤทัย เพราะไม่เป็นการประหยัด ซึ่งตรงน้ี
เป็นสิง่ สาคัญ นอกจากนี้ กระดาษและซองจดหมายภายใน หากไม่ใช่เอกสารสาคัญ ก็ควรใช้กระดาษรีไซเคิล
แตห่ ากเป็นจดหมายลบั หรอื สาคญั กส็ ามารถใช้ของใหม-่ได๙้”๓ -
บรรณานกุ รม
https://www.youtube.com/watch?v=buvNmqtbz_g
http://www.amarin.com/royalspeech/speech41.htm
http://www.tsdf.or.th/th/kingspeech.aspx