The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ปัญหาทางกฎหมายเกี่ยวกับประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ระบุชื่อยาเสพติดให้ดทษประเภท 5 พุทธศักราช 2565 งานวิจัยนิติกร ตร. ระดับรอง สว. รุ่นที่ 8

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

ปัญหาทางกฎหมายเกี่ยวกับประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ระบุชื่อยาเสพติดให้ดทษประเภท 5 พุทธศักราช 2565

ปัญหาทางกฎหมายเกี่ยวกับประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ระบุชื่อยาเสพติดให้ดทษประเภท 5 พุทธศักราช 2565 งานวิจัยนิติกร ตร. ระดับรอง สว. รุ่นที่ 8

ปัญหาทางกฎหมายเกี่ยวกับประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ระบุยาเสพติดให้โทษประเภท 5 พุทธศักราช 2565 ร้อยตำรวจเอก อนุวัตร โตโส และคณะ หลักสูตรการพัฒนาผู้ทำหน้าที่นิติกรของสำนักงานตำรวจแห่งชาติระดับรองสารวัตร และหลักสูตรการฝึกอบรมสำหรับตำแหน่งผู้ทำหน้าที่ตรวจสอบสำนวนอัยการ และให้ความเห็นทางกฎหมายของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ระดับรองสารวัตร สถาบันส่งเสริมงานสอบสวน สำนักงานกฎหมายและคดี สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ปีงบประมาณ 2566


ปัญหาทางกฎหมายเกี่ยวกับประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ระบุยาเสพติดให้โทษประเภท 5 พุทธศักราช 2565 ร้อยตำรวจเอก อนุวัตร โตโส ร้อยตำรวจเอก ปัญญา สุขศรีพะเนา ร้อยตำรวจเอก ภควันต์ พาผล ร้อยตำรวจเอกหญิง ณภทรสร โคตรยอด ร้อยตำรวจโทหญิง ปิยมาดา ภูจำปา ร้อยตำรวจโทหญิง บุญญาพร บุญประคม ว่าที่ร้อยตำรวจโท ธาวิน บรรจงเขียน ว่าที่ร้อยตำรวจตรีหญิง กัณฐิกานต์ ตามตะขบ หลักสูตรการพัฒนาผู้ทำหน้าที่นิติกรของสำนักงานตำรวจแห่งชาติระดับรองสารวัตร และหลักสูตรการฝึกอบรมสำหรับตำแหน่งผู้ทำหน้าที่ตรวจสอบสำนวนอัยการ และให้ความเห็นทางกฎหมายของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ระดับรองสารวัตร สถาบันส่งเสริมงานสอบสวน สำนักงานกฎหมายและคดี สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ปีงบประมาณ 2566


Legal Measure for Notification of Ministry of Public Health. Issue: Specifying the name of narcotics category 5 B.E.2565 on June 8, B.E.2565. POL.CAPT. ANUWAT TOSO POL.CAPT. PHAKHAWAN PAPOL POL.CAPT. PANYA SUKSRIPANAO POL.CAPT. NAPATHARASORN KOTEYOD POL.LT. PIYAMADA POOCHAMPA POL.LT. BOONYAPORN BOONPRAKOM POL.LT. THAWIN BANJHOKKEANT POL.SUB.LT. KANTIKARN TAMTAKHOB The Course of Development of Legal Officers and Prosecutorial Case Reviewers of The Royal Thai Police Sub – Inspector Level Institute of Investigation and Interrogation Affairs Office of Legal Affairs and Litigation The Royal Thai Police 2023


หัวข้อวิจัย ปัญหาทางกฎหมายเกี่ยวกับประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ระบุชื่อยาเสพติดให้โทษประเภท 5 พุทธศักราช 2565 อาจารย์ที่ปรึกษา ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อัครเดช มณีภาค คณะผู้วิจัย ร้อยตำรวจเอก อนุวัตร โตโส และคณะ หลักสูตร หลักสูตรการพัฒนาผู้ทำหน้าที่นิติกรของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ระดับรองสารวัตร และหลักสูตรการฝึกอบรมสำหรับตำแหน่งผู้ทำหน้าที่ตรวจสอบสำนวนอัยการ และให้ความเห็นทางกฎหมายของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ระดับรองสารวัตร ปีที่วิจัย 2566 สถาบันส่งเสริมงานสอบสวน สำนักงานกฎหมายและคดี สำนักงานตำรวจแห่งชาติ อนุมัติให้ นับงานวิจัยฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตร พลตำรวจตรี ................................................................................. ( อนุชา สุทธยดิลก ) ผู้บังคับการสถาบันส่งเสริมงานสอบสวน สำนักงานกฎหมายและคดี คณะกรรมการตรวจสอบงานวิจัย พลตำรวจตรี ดร. .....................................................ประธานกรรมการ ( คมสัน สุขมาก ) พลตำรวจตรี ดร. ....................................................กรรมการ ( สมชาย ว่องไวเมธี ) ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. .............................................กรรมการภายนอกสถาบัน/อาจารย์ที่ปรึกษา ( อัครเดช มณีภาค )


4 หัวข้อวิจัย ปัญหาทางกฎหมายเกี่ยวกับประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ระบุชื่อยาเสพติดให้โทษประเภท 5 พุทธศักราช 2565 อาจารย์ที่ปรึกษา ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อัครเดช มณีภาค คณะผู้วิจัย ร้อยตำรวจเอก อนุวัตร โตโส และคณะ หลักสูตร หลักสูตรการพัฒนาผู้ทำหน้าที่นิติกรของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ระดับรองสารวัตร และหลักสูตรการฝึกอบรมสำหรับตำแหน่งผู้ทำหน้าที่ตรวจสอบสำนวนอัยการ และให้ความเห็นทางกฎหมายของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ระดับรองสารวัตร ปีที่วิจัย 2566 บทคัดย่อภาษาไทย งานวิจัยฉบับนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและวิเคราะห์ปัญหา ทางกฎหมายเกี่ยวกับประกาศ กระทรวงสาธารณสุขเรื่องระบุชื่อยาเสพติดให้โทษประเภท 5 พุทธศักราช 2565 โดยศึกษาแนวคิด ทฤษฎี และกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับกรณีปัญหาดังกล่าวเพื่อเสนอแนวทางในการแก้ไขปัญหาให้มี ความเหมาะสม มีประสิทธิภาพ และทันต่อสถานการณ์ปัจจุบัน ผลการศึกษาวิจัย พบว่ากัญชาได้กำหนดเป็นยาเสพติดให้โทษตามอนุสัญญาระหว่างประเทศ และกฎหมายที่มีโทษอาญาของประเทศไทย ต่อมามีการนำกัญชามาใช้เพื่อประโยชน์ในทางการแพทย์ การประกาศใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ.2564 ได้ให้อำนาจรัฐมนตรีว่าการกระทรวง สาธารณสุขออกประกาศกระทรวงกำหนดระบุชื่อยาเสพติดประเภท 5 ไว้ วันที่ 8 มิถุนายน 2565 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขได้ออกประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ระบุชื่อยาเสพติดให้ โทษประเภท 5 มีผลบังคับใช้วันที่ 9 มิถุนายน 2565 ในประกาศไม่ได้ระบุว่ากัญชาหรือส่วนต่าง ๆ ของกัญชาหรือกัญชงเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 5 เพียงแต่ระบุว่าสารสกัดเตตราไฮโดรแคนนา บินอล (Tetrahydrocannabinol:THC) ที่ได้จากกัญชาหรือกัญชงที่เกินกว่าร้อยละ 0.2 ของน้ำหนัก ที่ปลูกภายในประเทศ เป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 5 ในประกาศกระทรวงฉบับนี้ ไม่ได้ระบุให้ ชัดเจนว่า กัญชาหรือกัญชงเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 5 ดังเช่น ประกาศกระทรวงสาธารณสุข ที่ออกตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พุทธศักราช 2522 แต่มีการนำกัญชาไปควบคุมไว้ใน ประกาศกระทรวง ที่อออกตามพระราชบัญญัติทางการแพทย์หลายฉบับแทน จนเกิดปัญหาในการ บังคับใช้กฎหมาย เพื่อควบคุมให้ใช้กัญชาเฉพาะในทางการแพทย์เท่านั้น ส่งผลให้เกิดปัญหาในข้อ กฎหมายและข้อปฏิบัติบางประการ กล่าวคือ ผลกระทบจากประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ระบุชื่อ ยาเสพติดให้โทษประเภท 5 พ.ศ.2565 ลงวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2565 ข้อ 1 (3) ที่ก่อให้เกิดปัญหาในการ บังคับใช้กฎหมาย และปัญหาเกี่ยวกับการควบคุมการใช้กัญชาเพื่อประโยชน์ในทางการแพทย์เป็นการ เฉพาะตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข ข้อ 2 จึงควรแก้ไขปัญหาดังกล่าวด้วยการนำกัญชา กลับมา เป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 5 และออกประกาศกระทรวงสาธารณสุขกำหนดให้มีหลักเกณฑ์และ เงื่อนไขให้ใช้ได้เฉพาะทางการแพทย์เท่านั้น เพื่อให้เกิดความเหมาะสมต่อไป ( )


5 ดังนั้นจึงขอเสนอแนะให้มีการยกร่างให้ยกเลิกประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ระบุชื่อ ยาเสพติดให้โทษ ประเภท 5 พุทธศักราช 2565 โดยอาศัยตามความในมาตรา 29 วรรคสอง แห่งประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ.2564 โดยระบุให้ทุกส่วนของพืชกัญชา เช่น ใบ ดอก ยอด ผล ลำต้น และวัตถุหรือสารต่าง ๆ ที่มีอยู่ในพืชกัญชา เช่น ยาง น้ำมัน กลับไปเป็นยาเสพติด และกำหนดให้มีหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการอนุญาตและการควบคุมให้ใช้กัญชาเพื่อประโยชน์ในทาง การแพทย์อย่างชัดเจนและสอดคล้องกับประมวลกฎหมายยาเสพติด ซึ่งเป็นกฎหมายหลักที่บังคับใช้ กับยาเสพติด ( )


6 Title: Legal Measure for Notification of Ministry of Public Health. Issue: Specifying the name of narcotics category 5 B.E.2565 on June 8, B.E.2565. Advisor Prof. Dr. Akaradej Maneepak Researchers Police Captain Anuwat Toso and colleagues Course: Development of Legal Officers and Prosecutorial Case Reviewers of The Royal Thai Police Sub – Inspector Level. Year 2023 Abstract The purpose of this research is to study and analyze legal problems related to the announcement of the Ministry of Public Health B.E. 2565. By studying the concepts, theories and laws related to the aforementioned problem cases to propose appropriate solutions to the problem efficient, and keep up with the current situation. The results of the study revealed that Marijuana is classified as a narcotic drug according to international conventions and Thailand's criminal law. Later, Marijuana was used for medical purposes. The promulgation of the Narcotics Code of B.E.2564 authorized the Minister of Public Health to issue a ministry notification specifying the name of narcotics category 5 on June 8, B.E.2565. The announcement does not state that marijuana or its parts are classified as a category 5 narcotic, only that tetrahydrocannabinol (THC) extract derived from marijuana or hemp. Which is exceeds 0.2 percent of the weight grown within the country, It is a category 5 narcotic drug. In this ministry announcement not clearly stated marijuana or hemp is a category 5 narcotic, as announced by the Ministry of Public Health issued under the Narcotics Act B.E.2522. Instead, marijuana is regulated in several ministry announcements issued under the Medical Act. Until there was a problem in enforcing the law to control the use of marijuana only for medical purposes. Resulting in problems in some laws and practices, namely, the impact of the announcement of the Ministry of Public Health on identifying the names of narcotics type 5, B.E.2565, dated February 8, B.E.2565. Article 1(3), creates problems for law enforcement. And problems regarding the control of the use of marijuana for specific medical purposes according to the announcement of the Ministry of Public Health. Article 2, ( )


7 should solve such problems by bringing marijuana as a category 5 narcotic and issuing a notification from the Ministry of Public Health prescribing criteria and conditions for medical use only. For further suitability. Therefore, to recommended that a draft be repealed from the Notification of the Ministry of Public Health on Identifying Narcotics Type 5, B.E. 2565. By virtue of the second paragraph of section 29 of the Drug Code of laws of Thailand, B.E.2564. To identifying all parts of cannabis plants, such as leaves, flowers, shoots, fruits, stems and objects or substances contained in cannabis plants such as rubber, oil, back to be narcotic. And establish clear criteria and conditions for licensing and controlling the use of marijuana for medical purposes and in accordance with the Narcotics Code. This is the main law that governs drugs. ( )


กิตติกรรมประกาศ รายงานการศึกษาวิจัยฉบับนี้สามารถสำเร็จลุล่วงได้ คณะผู้วิจัยต้องขอกราบขอบพระคุณ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อัครเดช มณีภาค อาจารย์ที่ปรึกษางานวิจัย ซึ่งท่านกรุณาสละเวลาอันมีค่า ให้คำปรึกษาและคำแนะนำต่าง ๆ รวมถึงข้อมูลทางวิชาการอันเป็นประโยชน์ พร้อมทั้งตรวจแก้ไข ข้อบกพร่องในรายงานฉบับนี้ด้วยความเอาใจใส่ อันเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้ผลงานวิจัยฉบับนี้ มีความสมบูรณ์ ชัดเจน และมีคุณค่าทางวิชาการ ขอกราบขอบพระคุณ พลตำรวจตรี ดร.คมสัน สุขมาก รองผู้บัญชาการสำนักงานกฎหมายและคดี และพลตำรวจตรี ดร. สมชาย ว่องไวเมธี ที่กรุณาให้คำแนะนำและตรวจสอบผลสัมฤทธิ์ของรายงาน การวิจัยให้ถูกต้อง รวมถึงบูรพาจารย์ทุกท่านที่ได้ประสิทธิประสาทวิชาความรู้ให้แก่คณะผู้วิจัย ขอขอบคุณสถาบันส่งเสริมงานสอบสวน สำนักงานกฎหมายและคดี ข้าราชการและ เจ้าหน้าที่ทุกท่านที่เกี่ยวข้องกับการฝึกอบรมหลักสูตรการพัฒนาผู้ทำหน้าที่นิติกรและหลักสูตร การฝึกอบรมสำหรับตำแหน่งผู้ทำหน้าที่ตรวจสอบสำนวนอัยการและให้ความเห็นทางกฎหมาย ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ระดับรองสารวัตร ที่สนับสนุนส่งเสริม และเป็นแหล่งศึกษาค้นคว้า หาความรู้ ทำให้การทำรายงานการวิจัยฉบับนี้มีความถูกต้องครบถ้วนและสมบูรณ์ยิ่งขึ้น รายงานวิจัยเล่มนี้ หากเป็นประโยชน์อยู่บ้าง คณะผู้วิจัยขอยกความดีทั้งหลายให้แก่ ผู้มีพระคุณดังที่กล่าวมาแล้วทุกท่าน และหากมีข้อบกพร่องประการใด คณะผู้วิจัยต้องกราบขออภัย และขอน้อมรับ ในความผิดพลาดไว้ ณ ที่นี้


สารบัญ หน้า บทคัดย่อภาษาไทย (4) บทคัดย่อภาษาอังกฤษ (6) กิตติกรรมประกาศ (8) สารบัญ (9) บทที่ 1 บทนำ 1 1.1 ที่มาและความสำคัญของปัญหา 1 1.2 วัตถุประสงค์การวิจัย 5 1.3 สมมติฐานการวิจัย 5 1.4 ขอบเขตการวิจัย 5 1.5 วิธีดำเนินการวิจัย 5 1.6 นิยามศัพท์เฉพาะ 6 1.7 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 7 2 แนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง 8 2.1 แนวคิด ประวัติความเป็นมาของกัญชา 8 2.1.1 ความหมายของกัญชา 8 2.1.2 ความหมายของยาเสพติดที่มีลักษณะเดียวกัน 9 2.1.3 ประวัติและความเป็นมาของกัญชา 12 2.2 แนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกับการควบคุมและกำกับการใช้กัญชา 13 2.2.1 แนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกับการควบคุมและมาตรการกำกับการใช้กัญชา 13 2.2.2 แนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกับกัญชาในทางกฎหมายปกครอง 16 2.2.3 แนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกับกัญชาในทางกฎหมายอาญา 18 2.2.4 แนวคิดทฤษฎีในการใช้กัญชาเพื่อการแพทย์ 22 2.3 ข้อมูลเกี่ยวข้องกับการใช้กัญชาในต่างประเทศ 25 2.3.1 การใช้กัญชาในประเทศสิงคโปร์ 25 2.3.2 การใช้กัญชาในประเทศมาเลเซีย 25 2.3.3 การใช้กัญชาในประเทศออสเตรเลีย 25 2.3.4 การใช้กัญชาในประเทศเนเธอร์แลนด์ 28 2.3.5 การใช้กัญชาในประเทศแคนาดา 29 2.4 ข้อมูลเกี่ยวข้องกับการใช้กัญชาในประเทศไทย 30 2.4.1 ผลกระทบของกัญชา 30


10 บทที่ หน้า 2.4.2 สถิติการจับกุมในช่วงที่กัญชายังเป็นยาเสพติดตามพระราชบัญญัติ ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 32 2.4.3 การนำผลผลิตจากกัญชาไปใช้ในทางการแพทย์ 36 3 หลักกฎหมายที่เกี่ยวข้องที่เกี่ยวข้องกับกัญชาทางการแพทย์ 39 3.1กฎหมายระหว่างประเทศ 39 3.1.1 อนุสัญญาเดี่ยวว่าด้วยการควบคุมยาเสพติดให้โทษ ค.ศ. 1961 (1961 Single Convention on Narcotic Drugs) 39 3.1.2 อนุสัญญาว่าด้วยวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท ค.ศ.1971 44 3.1.3 อนุสัญญาเดี่ยวต่อต้านการค้ายาเสพติดและวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท อย่างผิดกฎหมายแห่งสหประชาชาติแห่งปี ค.ศ.1988 48 3.2 กฎหมายต่างประเทศ 51 3.2.1 กฎหมายประเทศออสเตรเลีย 51 3.2.2 กฎหมายประเทศแคนาดา 51 3.3 กฎหมายไทย 52 3.3.1 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 52 3.3.2 ประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ.2564 53 3.3.3 ประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ.2499 59 3.3.4 พระราชบัญญัติกัญชา พ.ศ.2477 59 3.3.5 พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 59 3.3.6 พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 7) พ.ศ.2562 60 3.3.7 พระราชบัญญัติว่าด้วยผลิตภัณฑ์สมุนไพร พ.ศ.2562 60 3.3.8 พระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย พ.ศ.2542 (บทกำหนดโทษ) 64 3.3.9 ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ระบุชื่อยาเสพติดให้โทษประเภท 5 พ.ศ.2565 ลงวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2565 64 3.3.10 ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง กำหนดให้การกระทำให้เกิดกลิ่น หรือควัน กัญชา กัญชง หรือพืชอื่นใด เป็นเหตุรำคาญ พ.ศ.2565 ลงวันที่ 13 มิถุนายน 2565 64 3.3.11 ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง สมุนไพรควบคุม (กัญชา) พ.ศ.2565 ลงวันที่ 11 พฤศจิกายน 2565 64 3.3.12 ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ การควบคุม คุณภาพ และการจัดการสุขลักษณะของการจำหน่ายอาหารประเภท ปรุงสำเร็จ ในสถานที่จำหน่ายอาหาร (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2565 ลงวันที่ 18 สิงหาคม 2565 64 ( )


11 ทที่ หน้า 3.3.13 ประกาศกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก เรื่อง กำหนดแบบ ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง สมุนไพรควบคุม (กัญชา) พ.ศ.2565 ลงวันที่ 10 มกราคม 2566 66 4 วิเคราะห์ปัญหาทางกฎหมายเกี่ยวกับประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ระบุชื่อ ยาเสพติดให้โทษประเภท 5 พุทธศักราช 2565 ลง 8 กุมภาพันธ์ 2565 67 4.1 ปัญหาผลกระทบจากประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ระบุชื่อยาเสพติดให้โทษ ประเภท 5 พุทธศักราช 2565 ลง 8 กุมภาพันธ์ 2565 ข้อ 1 (3) 67 4.2 ปัญหาการควบคุมการใช้กัญชาเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์เป็นการเฉพาะ ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ระบุชื่อยาเสพติดให้โทษ ประเภท 5 พุทธศักราช 2565 ลง 8 กุมภาพันธ์ 2565 ข้อ 2 72 5 บทสรุปและข้อเสนอแนะ 87 5.1 บทสรุป 87 5.2 ข้อเสนอแนะ 90 บรรณานุกรม 93 ประวัติคณะผู้วิจัย 95 ภาคผนวก ( )


12


บทที่ 1 บทนำ 1.1 ที่มาและความสำคัญของปัญหา กัญชา (Cannabis, Marijuana) มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Cannabis Sativa เป็นพืชที่มีการ นำมาใช้ประโยชน์เป็นเวลานานมากกว่า 4,000 ปี ในช่วงแรกของประวัติศาสตร์มีการปลูกกัญชา เพื่อเป็นแหล่งของเส้นใย จนกระทั่งปี พ.ศ.2441 นักวิจัยสามารถสกัดสารสำคัญในกัญชาได้สำเร็จ เป็นครั้งแรก สารสำคัญที่สกัดได้คือ Cannabinol (กรนันท์ คงทัน, 2564, หน้า 1) ประเทศไทยในอดีตกัญชาถูกนำมาใช้ในทางการแพทย์โดยปรากฏเป็นส่วนผสมในตำรับยา โบราณของไทยหลายตำรับ กัญชาได้ถูกจัดให้เป็นสิ่งผิดกฎหมายตั้งแต่ พ.ศ.2477 โดยพระราชบัญญัติ กัญชา พ.ศ.2477 ได้บัญญัติห้ามผู้ใดปลูก นำเข้า ซื้อขาย หรือครอบครองกัญชาโดยเด็ดขาด ไม่เช่นนั้น จะได้รับโทษทั้งจำและปรับอย่างรุนแรง และตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 กัญชา ถือเป็นยาเสพติดให้โทษ ประเภท 5 ซึ่งผู้ผลิต นำเข้า ส่งออก ครอบครอง เสพ มีโทษทั้งจำและปรับ ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 75 มาตรา 76 มาตรา 76/1 และมาตรา 92 ต่อมาในปี พ.ศ.2562 มีการ ตราพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 7) พ.ศ.2562 อนุญาตให้สามารถใช้กัญชาได้ในกรณี จำเป็นเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ การรักษาผู้ป่วยหรือการศึกษาวิจัยและพัฒนา (กรนันท์ คงทัน, 2564, หน้า 1) และเมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2565 ได้มีประกาศกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งออกตามความ ในประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ.2564 มาตรา 29 วรรคสอง ให้ยาเสพติดให้โทษที่ระบุชื่อ ดังต่อไปนี้เป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 5 ตามประมวลกฎหมายยาเสพติด คือ ข้อ 1 พืชฝิ่น หรือ พืชซึ่งมีชื่อพฤกษศาสตร์ว่า Papaver Somniferum L.และ Papaver Bracteatum Lindi. หรือที่มีชื่ออื่นในสกุลเดียวกันที่ให้ฝิ่นหรือแอลคาลอยด์ของฝิ่น เห็ดขี้ควายหรือ พืชเห็ดขี้ควาย ซึ่งมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Psilocybe Cubensis (Earle)singer หรือที่มีชื่ออื่นในสกุล เดียวกันที่ให้สาร Psilocybin หรือ Psilocin และสารสกัดจากทุกส่วนของพืชกัญชา หรือกัญชง ซึ่งเป็นพืชในสกุล Canabis ยกเว้นสารสกัดที่มีปริมาณสารเตตราไฮโดรแคนนาบินอล (Tetrahydrocannabinol:THC) ไม่เกินร้อยละ 0.2 โดยน้ำหนัก เฉพาะที่ได้รับอนุญาตให้สกัดจาก พืชกัญชาหรือกัญชงที่ปลูกภายในประเทศ และสารสกัดจากเมล็ดของพืชกัญชาหรือกัญชง ที่ได้จาก การปลูกในประเทศ ข้อ 2 กรณียาเสพติดให้โทษตามข้อ 1 ที่เป็นสารควบคุมคุณภาพในการตรวจวิเคราะห์ และควบคุมคุณภาพของการตรวจสารเสพติดในร่างกาย ซึ่งเป็นเครื่องมือแพทย์ตามกฎหมายว่าด้วย เครื่องมือแพทย์ และต้องใช้ตามวัตถุประสงค์ของเครื่องมือแพทย์นั้น ให้ยกเว้นจากการเป็นยาเสพติด ให้โทษในประเภท 5 จากประกาศกระทรวงสาธารณสุขฉบับนี้ ระบุว่าสารสกัดจากทุกส่วนของกัญชาหรือกัญชง ที่มีปริมาณสารเกินกว่าร้อยละ 0.2 ของน้ำหนัก ที่เป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 5 และให้ถือว่า สารสกัดจากกัญชาหรือกัญชง เป็นสารควบคุมคุณภาพในการตรวจวิเคราะห์และควบคุมคุณภาพ ของการตรวจสารเสพติดในร่างกาย ซึ่งเป็นเครื่องมือแพทย์ตามกฎหมายว่าด้วยเครื่องมือแพทย์ และต้องใช้ตามวัตถุประสงค์ของเครื่องมือแพทย์นั้น ให้ยกเว้นจากการเป็นยาเสพติดให้โทษ


2 ในประเภท 5 ภายหลังออกประกาศฉบับดังกล่าว ได้มีการประชาสัมพันธ์ของทั้งสื่อต่าง ๆ รวมถึง พรรคการเมืองที่เป็นเจ้าของนโยบายกัญชาเสรี ทำให้ประชาชนเข้าใจว่ากัญชาไม่ได้เป็นสิ่งผิดกฎหมาย อีกต่อไป แต่ในทางการแพทย์กัญชายังถือว่าเป็นสิ่งเสพติดและมีผลกระทบต่อร่างกาย หากมีการเสพ รวมทั้งหลายประเทศทั่วโลกยังถือว่ากัญชาเป็นยาเสพติดให้โทษตามกฎหมายระหว่างประเทศ แม้จะมี บางประเทศให้ใช้ในทางการแพทย์ แต่มีเพียงหนึ่งหรือสองประเทศเท่านั้นที่อนุญาตให้ใช้ในทาง สันทนาการเท่านั้น กัญชาจึงถือว่ายังเป็นยาเสพติดที่กฎหมายสมควรกำหนดให้ต้องควบคุมการใช้ รวมถึง การเข้าถึงของประชาชน จากประกาศกระทรวงสาธารณสุขฉบับดังกล่าว ทำให้เกิดความสับสน ในสังคมว่ากัญชาไม่เป็นอันตรายแก่ร่างกาย ไม่ได้มีกฎหมายควบคุมการใช้ ไม่มีโทษทางอาญาใด ๆ ทำให้ประชาชนมีการนำไปใช้ทางสันทนาการและทางพาณิชย์มากขึ้น ทั้งที่กัญชาเป็นสารเสพติด ซึ่งมีฤทธิ์ในทางกดประสาท หากนำไปใช้ในทางสันทนาการแล้วก็มีโอกาสที่จะเสพติดและบั่นทอน ต่อสุขภาพของผู้เสพ อันส่งผลกระทบต่อผู้เสพและประชาชนทั่วไป ดังนั้นในทางกฎหมายแล้ว กัญชา ยังคงถูกควบคุมโดยกฎหมายหลายฉบับ แต่ไม่มีความชัดเจนและบังคับใช้ได้ครอบคลุมอย่างประมวล กฎหมายยาเสพติด พ.ศ.2564 ที่มีโทษทางอาญาชัดเจน และเป็นที่รับรู้รับทราบของประชาชน และนอกจากนี้ประกาศกระทรวงสาธารณสุขฉบับดังกล่าวไม่มีการระบุให้ชัดเจนถึงสถานะ ทางกฎหมายของกัญชาที่ยังไม่เป็นสารสกัด ปริมาณของสารเสพติด โทษการใช้กัญชา การควบคุม การใช้ส่วนต่าง ๆ ของกัญชาที่จะส่งผลกระทบต่อสุขภาพอนามัยของประชาชน ทำให้ประชาชนเข้าถึง กัญชาโดยเสรี ส่งผลกระทบต่อสังคมและประชาชนเป็นอย่างมาก คณะผู้วิจัยจึงมีความสนใจ ศึกษาและวิเคราะห์ปัญหา ดังนี้ 1.1.1 ปัญหาผลกระทบจากประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ระบุชื่อยาเสพติดให้โทษ ประเภท 5 พ.ศ.2565 ลงวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2565 มีผลใช้บังคับวันที่ 9 มิถุนายน 2565 ข้อ 1 (3) กัญชาแต่เดิมเป็นยาเสพติดให้โทษตามอนุสัญญาระหว่างประเทศ และกฎหมายอาญา ของประเทศไทย คือ พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 ต่อมามีแนวความคิดของพรรค การเมืองในประเทศที่จะนำกัญชามาใช้เพื่อประโยชน์ในทางการแพทย์ โดยประชาสัมพันธ์ ให้ประชาชนสามารถครอบครองกัญชาในครัวเรือนได้ และในปี พ.ศ.2564 ได้มีการประกาศใช้ ประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ.2564 ซึ่งยังคงระบุให้กัญชาเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 5 เช่นกฎหมายเดิม และให้อำนาจรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขออกประกาศกระทรวงกำหนด ระบุชื่อยาเสพติดประเภท 5 ไว้ กระทั่งเมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2565 รัฐมนตรีว่าการกระทรวง สาธารณสุขได้ออกประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ระบุชื่อยาเสพติดให้โทษประเภท 5 มีผลบังคับ ใช้วันที่ 9 มิถุนายน 2565 โดยในประกาศไม่ได้ระบุกัญชา หรือส่วนต่าง ๆ ของกัญชาหรือกัญชงเป็น ยาเสพติดให้โทษประเภท 5 เพียงแต่ระบุว่าสารสกัดเตตราไฮโดรแคนนาบินอล (Tetrahydrocannabinol:THC) ที่ได้จากกัญชาหรือกัญชงที่เกินกว่าร้อยละ 0.2 ของน้ำหนักที่ปลูก ภายในประเทศ เป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 5 ภายหลังการประกาศกระทรวงสาธารณสุขข้างต้น ได้พบปัญหาการใช้กัญชาโดยไม่มี การกำหนดมาตรการควบคุมตามช่องทางสื่อสารมวลชน เช่น กรณีเด็กหญิง อายุ 8 ปี แพ้เยลลี่ที่มี ส่วนผสมของกัญชาอย่างรุนแรง โดยมีอาการอาเจียนหนัก ซึม สะลึมสะลือ ลักษณะเหมือนหลับ


3 ปลุกไม่ค่อยตื่น แม่ระบุญาติซื้อเยลลี่มาฝาก ไม่รู้ว่ามีกัญชาเป็นส่วนผสมในเยลลี่ หรือหนุ่มวัย 24 ปี เสพกัญชาทำร้ายแฟน บังคับให้กินปัสสาวะ อุจจาระสุนัข และมีพฤติกรรมฆ่าสุนัขที่เลี้ยงไว้ 6 ตัว โดยสารภาพว่าเสพกัญชามานานหลายปี และเสพแทบจะรายวัน หรือพ่อ อายุ 75 ปี ถูกลูกชายแท้ ๆ พามาปล่อยในป่าโดยชาวบ้านพบศพ ขณะลงไปกู้อวนดักปลา ญาติยืนยันว่า ลูกชายมีอาการคล้ายเมา กัญชา ซึ่งเสพติดมาตลอดและเป็นคนสติไม่ดีมาตั้งแต่เด็ก เป็นต้น ซึ่งเหตุการณ์ต่าง ๆ ได้ปรากฏขึ้น ภายหลังประกาศกระทรวงฉบับดังกล่าวประกาศใช้ แสดงให้เห็นการเข้าถึงกัญชาของประชาชนที่ง่าย และมากขึ้นสามารถนำไปใช้อย่างเสรี และไม่ได้นำไปใช้ในทางการแพทย์ ซึ่งขัดต่อวัตถุประสงค์ของ ประมวลกฎหมายยาเสพติด ที่ให้ควบคุมการใช้กัญชาให้อยู่ในเฉพาะกลุ่มของผู้ป่วยตามความเห็นของ แพทย์เท่านั้น แต่ประกาศกระทรวงสาธารณสุขฉบับนี้ ไม่ได้ระบุชัดเจนว่า กัญชาหรือกัญชง เป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 5 ดังเช่นประกาศกระทรวงสาธารณสุขที่ออกตามพระราชบัญญัติ ยาเสพติด พุทธศักราช 2522 แต่มีการระบุแต่เพียงว่า สารสกัดเตตราไฮโดรแคนนาบินอล (Tetrahydrocannabinol:THC) ที่ได้จากกัญชาหรือกัญชงตามปริมาณที่กำหนดในประกาศ คือเกินกว่าร้อยละ 0.2 ของน้ำหนัก เป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 5 สารสารสกัดเตตราไฮโดรแคนนาบินอล (Tetrahydrocannabinol THC) หรือ “สารเมา” เป็นสารที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท โดยสารนี้ จะออกมาพร้อมกับสาร CBD ตอนสกัดกัญชา หากร่างกายได้รับสารเตตราไฮโดรแคนนาบินอล มากเกินไป อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อร่างกายความดันโลหิตเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง ใจสั่น สติแปรปรวนประสาทหลอน เกิดภาพหลอน หูแว่ว หวาดระแวง แพนิค ความจำระยะสั้นแย่ลงสมอง ทำงานแย่ลงโดยกะทันหัน มีผลอย่างมากต่อระบบสมอง โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กที่มีอายุน้อยกว่า 25 ปี โดยมีผลทั้งด้านความจำ และปริมาณเนื้อสมองที่จะลดลงถึง 10% ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคจิตเวช หรือมีประวัติครอบครัว เพิ่มความเสี่ยงเกิดอาการประสาทหลอนอย่างถาวรสูงถึง 20% อาการ ดังกล่าวเมื่อเกิดขึ้นแล้ว แม้จะหยุดการบริโภคไปแล้ว อาการก็อาจจะไม่ดีขึ้น (โรงพยาบาลศิครินทร์, 2565) การกำหนด ปริมาณเตตราไฮโดรแคนนาบินอลไม่ให้เกิน 0.2 ของน้ำหนักสารสกัดไม่ถือว่า เป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 5 ก็เพื่อประโยชน์ให้ผู้ที่จำเป็นจะต้องใช้สารสกัดจากกัญชาหรือกัญชง ในการรักษาอาการป่วย แต่หากปริมาณสารเตตราไฮโดรแคนนาบินอลเกินกว่า 0.2 ของน้ำหนัก ไม่ถือว่ามีไว้เพื่อรักษาอาการป่วย หากมีผู้ครอบครองส่วนใดส่วนหนึ่งของกัญชาหรือกัญชงที่สามารถ สกัดเป็นสารเสพติดปริมาณเกินกว่าที่กำหนดในประกาศจะถือว่ามีความผิดตามประมวลกฎหมาย ยาเสพติดหรือไม่ การจำหน่าย เสพ กัญชาหรือกัญชง ในที่ต่าง ๆ จนเกิดผลกระทบต่อประชาชน ยังไม่มีมาตรการควบคุมที่ชัดเจน แม้ว่ากระทรวงสาธารณสุขจะได้ออกกฎกระทรวงกำหนดเกี่ยวกับ การใช้กัญชา ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาทางการแพทย์แผนไทย พ.ศ.2542 และ พระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ.2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2560 เพื่อแก้ไข ปัญหาเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวแล้วก็ตาม แต่ก็เป็นการแก้ปัญหาในระยะสั้น จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง ที่จะต้องหามาตรการทางกฎหมายมาควบคุมการใช้กัญชาหรือกัญชงเพื่อให้เกิดประโยชน์เฉพาะทาง การแพทย์เท่านั้น 1.1.2 ปัญหาการควบคุมการใช้กัญชาเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์เป็นการเฉพาะ ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ระบุชื่อยาเสพติดให้โทษประเภท 5 พ.ศ.2565 ลงวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2565 มีผลใช้บังคับวันที่ 9 มิถุนายน 2565 ข้อ 2


4 ประเทศ อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น เวียดนาม เนปาล เกาหลีใต้ สิงคโปร์ สหราชอาณาจักร จอร์แดน อิรัก ปาเลสไตน์ บรูไน กัมพูชา ออสเตรเลีย และประเทศในทวีปแอฟริกา (กรมประชาสัมพันธ์, 2565) ถือว่ากัญชาเป็นยาเสพติดให้โทษ และมีกฎหมายควบคุมเกี่ยวกับกัญชาอย่างเข้มงวด การมีกัญชาไว้ในความครอบครองถือว่าเป็นความผิดตามกฎหมาย บางประเทศเช่น สิงคโปร์ มีโทษ อย่างรุนแรง ถึงประหารชีวิต เนื่องจากการใช้กัญชาเพื่อทางการแพทย์เริ่มเป็นที่ยอมรับในหลาย ประเทศ ทั่วโลก โดยวิศวะ เชียงแรง และวรรณวิภา เมืองถ้ำ (2564, หน้า 22 – 28) กล่าวว่า มีผลงานวิจัยจากสถาบันประสาทวิทยาฟาร์เบอร์ พบว่า กัญชามีประโยชน์ในหลาย ๆ ด้าน เช่น ลดอัตราการเสียชีวิตหลังผ่าตัด ในผู้ป่วยที่บาดเจ็บทางสมอง ใช้ในการยับยั้งการเจริญเติบโตของ เซลล์มะเร็งลำไส้ใหญ่ เสริมคุณภาพชีวิตผู้ป่วยพาร์กินสัน บรรเทาอาการทางเดินอาหารอักเสบ นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยของสถาบันประสาทวิทยาศาสตร์ฟาร์เบอร์ แห่งมหาวิทยาลัยเจฟเฟอร์สัน ในสหรัฐอเมริกา พบว่า การได้รับกัญชา ในปริมาณที่เหมาะสมสามารถบรรเทาอาการที่เกิดขึ้น ระหว่างการบำบัดอาการติดยาเสพติดกลุ่มเมธาโดนได้ จึงได้มีอนุญาตให้ใช้กัญชาอย่างเสรีทั้งในด้าน การแพทย์ การสันทนาการ และในทางการค้าเชิงพาณิชย์ ได้แก่ ประเทศแคนาดา อุรุกวัย และ เม็กซิโก โดยอนุญาตให้มีการจำหน่าย ครอบครอง เคลื่อนย้าย และเก็บเกี่ยวกัญชาให้ถูกต้องตาม กฎหมายได้ บางมลรัฐในสหรัฐอเมริกาอนุญาตให้ใช้กัญชาในทางการแพทย์ได้ โดยมีการกำหนดอายุ ขั้นต่ำของผู้ที่ใช้กัญชาไว้ และยังมีอีกในหลายประเทศ เช่น แคนาดา เนเธอร์แลนด์ ออสเตรเลีย ที่อนุญาตให้ใช้กัญชาทางการแพทย์เพื่อการรักษาโรค การนำกัญชามารักษาโรคหรือใช้ประโยชน์ในทางการแพทย์ในต่างประเทศ มีการระบุ ประเภทของโรค ขั้นตอน วิธีการ รวมถึงผู้ได้รับอนุญาตให้ใช้กัญชาเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ไว้ ในกฎหมายอย่างชัดเจน แต่จากประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ระบุชื่อยาเสพติดให้โทษประเภท 5 พ.ศ.2565 ลงวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2565 ไม่ปรากฏว่าได้มีการระบุให้นำกัญชาไปใช้ในทางการแพทย์ โดยตรง เพียงแต่ระบุถือสารสกัดจากส่วนต่าง ๆ ของกัญชาหรือกัญชง ตามข้อ 1 ที่ไม่เกินร้อยละ 0.2 ของน้ำหนัก และในข้อ 2 ได้ระบุว่าสารควบคุมคุณภาพในการตรวจวิเคราะห์และควบคุมคุณภาพ ของการตรวจสารเสพติดในร่างกาย ซึ่งเป็นเครื่องมือแพทย์ตามกฎหมายว่าด้วยเครื่องมือแพทย์ และต้องใช้ตามวัตถุประสงค์ของเครื่องมือแพทย์นั้น ให้ยกเว้นจากการเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 จากประกาศกระทรวงข้างต้น ข้อ 2 ไม่ได้ระบุความชัดเจนเกี่ยวกับปริมาณของสารสกัด รวมถึงโรค ที่จะใช้ว่าในแต่ละโรคจะต้องใช้ปริมาณสารสกัดจำนวนเท่าใด รวมถึงความหมายของเครื่องมือแพทย์ ตามพระราชบัญญัติเครื่องมือแพทย์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2562 ยังไม่มีความชัดเจน ดังนั้นการนำกัญชาไป ใช้และพัฒนาเพื่อประโยชน์ในทางการแพทย์ของประเทศไทย จึงยังไม่มีการกำหนดหลักเกณฑ์และ เงื่อนไขในการอนุญาตและการควบคุมการใช้กัญชาเพื่อประโยชน์ในทางการแพทย์อย่างชัดเจน อันอาจก่อให้เกิดผลประทบต่อการปฏิบัติงานของแพทย์ และส่งผลต่อการรักษาโรคของประชาชนได้ จากความเป็นมาและความสำคัญของปัญหาดังกล่าวที่ผู้ศึกษาได้กล่าวมานี้ ทำให้คณะ ผู้ศึกษาสนใจจะทำการศึกษา เรื่อง ปัญหาทางกฎหมายเกี่ยวกับประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ระบุชื่อยาเสพติดให้โทษ ประเภท 5 พ.ศ.2565 เพื่อศึกษาสถานะทางกฎหมายของกัญชา ในปัจจุบัน โดยศึกษาเปรียบเทียบระหว่าง พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 ประมวล กฎหมายยาเสพติด พ.ศ.2564 และประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ระบุชื่อยาเสพติดให้โทษ


5 ประเภท 5 พ.ศ.2565 ลง 8 กุมภาพันธ์ 2565 และแก้ไขปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวกับการใช้กัญชา ให้เหมาะสมและสอดคล้องกับสภาพสังคมที่มีการเปลี่ยนแปลง 1.2 วัตถุประสงค์การวิจัย 1.2.1 เพื่อศึกษาแนวคิด ทฤษฎีและหลักกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมการใช้กัญชา 1.2.2 เพื่อศึกษาปัญหาเกี่ยวกับผลกระทบจากประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ระบุชื่อยา เสพติดให้โทษ ประเภท 5 พุทธศักราช 2565 1.2.3 เพื่อศึกษาหลักกฎหมายและมาตรการทางกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับกัญชาทางการแพทย์ 1.2.4 เพื่อเสนอแนะแนวทางแก้ไขประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ระบุชื่อยาเสพติด ให้โทษ ประเภท 5 พุทธศักราช 2565 อย่างเหมาะสม 1.3 สมมติฐานการวิจัย เนื่องจากในปัจจุบัน ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข ลงวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2565 กัญชา ไม่ได้เป็นสารเสพติดตามประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ.2564 และ พระราชบัญญัติยาเสพติด ให้โทษ พ.ศ.2522 และมีการอนุญาตให้มีการใช้กัญชาในทางการแพทย์ตามประกาศกระทรวง สาธารณสุข เรื่อง ระบุชื่อยาเสพติดให้โทษประเภท 5 พ.ศ.2565 แต่สภาพสังคมปัจจุบัน ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว เช่น มลพิษทางอากาศ สิ่งปนเปื้อนในอาหารและเครื่องดื่ม อันส่งผล กระทบต่อปัญหาสุขภาพและการดำรงชีวิต จึงเห็นควรมีการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายเกี่ยวกับ การควบคุมการใช้กัญชาในทางการแพทย์ให้มีความสอดคล้องกับสภาพสังคมปัจจุบัน 1.4 ขอบเขตการวิจัย การศึกษาวิจัยนี้จำกัดขอบเขตของการศึกษาและวิเคราะห์เฉพาะปัญหาทางกฎหมายเกี่ยวกับ ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ระบุชื่อยาเสพติดให้โทษประเภท 5 พ.ศ.2565 ศึกษาเฉพาะกรณี กัญชา โดยมีขอบเขตการวิจัย ดังนี้ 1.4.1 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 1.4.2 พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พุทธศักราช 2522 1.4.3 พระราชบัญญัติผลิตภัณฑ์สมุนไพร พุทธศักราช 2562 1.4.4 พระราชบัญญัติการสาธารณสุข พุทธศักราช 2535 1.4.5 พระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาและการแพทย์แผนไทย พุทธศักราช 2542 1.4.6 กฎกระทรวง ระเบียบ ข้อบังคับ เกี่ยวกับการใช้กัญชา 1.4.7 กฎหมายประเทศออสเตรเลียที่เกี่ยวข้องกับการใช้กัญชา 1.4.8 กฎหมายประเทศแคนาดาที่เกี่ยวข้องกับการใช้กัญชา 1.5 วิธีดำเนินการวิจัย ดำเนินการศึกษาค้นคว้าโดยการวิจัยทางเอกสาร (Documentary Research) โดยทำการศึกษาค้นคว้า และรวบรวบข้อมูลจากเอกสาร ตำรา วารสาร วิทยานิพนธ์ บทความ รายงายวิจัย บทบัญญัติแห่งกฎหมาย ตลอดจนคำพิพากษาศาล ทั้งในภาษาไทยและภาษาต่างประเทศ จากห้องสมุด และจากฐานข้อมูลในเว็บไซต์บนเครือข่ายอินเตอร์เน็ต


6 1.6 นิยามศัพท์เฉพาะ “กัญชา” (Cannabis indica) คือ ชื่อของพืชล้มลุกชนิดหนึ่ง ในวงศ์ Cannabidaceae ใบมนแฉกลึกเข้าไปทางก้านหลายแฉก ดอกสีเขียว ช่อดอกเพศผู้และช่อดอกเพศเมียอยู่ต่างต้นกัน ยอดของต้นกัญชาเพศเมียที่กำลังออกดอก ใบและช่อดอกเพศเมียที่แห้งใช้สูบมีสรรพคุณทำให้ เคลิบเคลิ้มมึนเมา เปลือกลำต้นใช้ทำเชือกป่านและทอผ้า “กัญชง” (Cannabis sativa) คือ ไม้ล้มลุกมีลักษณะทางพฤกษศาสตร์ คล้ายกัญชา แตกต่าง กันที่กัญชงจัดอยู่ในพืชซึ่งให้ประโยชน์หลักทางด้านสิ่งทอเป็นสำคัญ โดยเส้นใยของกัญชง มีคุณภาพสูง สามารถนำมาใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตได้หลายชนิด เช่น การทำเสื้อผ้า เยื่อกระดาษ เชือกต่าง ๆ เป็นต้น “สมุนไพร” (Herb) หมายถึง ผลิตผลธรรมชาติ ได้จาก พืช สัตว์ และแร่ธาตุ ที่ใช้เป็นยา หรือ ผสมกับสารอื่นตามตำรับยา เพื่อบำบัดโรค บำรุง ร่างกาย หรือใช้เป็นยาพิษ ตามพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2525 หมายถึง พืชที่ใช้ ทำเป็นเครื่องยา สมุนไพรกำเนิดมาจากธรรมชาติ และมีความหมายต่อชีวิตมนุษย์โดยเฉพาะในทางสุขภาพ อันหมายถึงทั้งการส่งเสริมสุขภาพและการรักษาโรค “แพทย์” (Doctor) หมายถึง ผู้ตรวจค้นโรค และความผิดปกติของร่างกาย จิตใจ ทำหน้าที่ สั่งยา ให้การรักษา มีบทบาทหน้าที่ และรับผิดชอบสุขภาพประชาชน ทั้งในด้านส่งเสริม สนับสนุน ป้องกัน รักษาโรค และฟื้นฟูสมรรถภาพ “การแพทย์” (Medical) หมายถึง ศาสตร์ของวินิจฉัย บำบัดรักษาหรือป้องกันโรค โดยมุ่งหมายให้ มนุษย์บรรเทาจากอาการทุกข์ทรมานที่เป็นอยู่ หรือช่วยให้สามารถรักษาชีวิตหรือให้กลับมาสู่สภาวะ ที่ไม่เจ็บป่วยได้ “เครื่องมือแพทย์” ตามพระราชบัญญัติเครื่องมือแพทย์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2562 หมายถึง (1) เครื่องมือ เครื่องใช้ เครื่องกล วัตถุที่ใช้ใส่เข้าไปในร่างกาย น้ำยาที่ใช้ตรวจในหรือนอก ห้องปฏิบัติการ ผลิตภัณฑ์ ซอฟต์แวร์ หรือวัตถุอื่นใด ที่ผู้ผลิตหรือเจ้าของผลิตภัณฑ์มุ่งหมายเฉพาะ สำหรับใช้อย่างหนึ่งอย่างใดกับมนุษย์หรือสัตว์ดังต่อไปนี้ ไม่ว่าจะใช้โดยลำพัง ใช้ร่วมกันหรือใช้ ประกอบกับสิ่งอื่นใด (ก) วินิจฉัย ป้องกัน ติดตาม บำบัด บรรเทา หรือรักษาโรค (ข) วินิจฉัย ติดตาม บำบัด บรรเทา หรือรักษาการบาดเจ็บ (ค) ตรวจสอบ ทดแทน แก้ไข ดัดแปลง พยุง ค้ำ หรือจุน ด้านกายวิภาคหรือ กระบวนการทางสรีระของร่างกาย (ง) ประคับประคองหรือช่วยชีวิต (จ) คุมกำเนิด หรือช่วยการเจริญพันธุ์ (ฉ) ช่วยเหลือหรือช่วยชดเชยความทุพพลภาพหรือพิการ


7 (ช) ให้ข้อมูลจากการตรวจสิ่งส่งตรวจจากร่างกาย เพื่อวัตถุประสงค์ทางการแพทย์ หรือการวินิจฉัย (ซ) ทำลายหรือฆ่าเชื้อสำหรับเครื่องมือแพทย์ (2) อุปกรณ์เสริมสำหรับใช้ร่วมกับเครื่องมือแพทย์ตาม (1) (3) เครื่องมือ เครื่องใช้ เครื่องกล ผลิตภัณฑ์ หรือวัตถุอื่นที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดว่าเป็น เครื่องมือแพทย์ ผลสัมฤทธิ์ตามความมุ่งหมายของสิ่งที่กล่าวถึงตาม (1) ซึ่งเกิดขึ้นในร่างกายมนุษย์หรือสัตว์ ต้องไม่เกิดจากกระบวนการทางเภสัชวิทยา วิทยาภูมิคุ้มกันหรือปฏิกิริยาเผาผลาญให้เกิดพลังงานเป็นหลัก “เตตร้าไฮโดรแคนนาบินอล” (Tetrahydrocannabinol) หรือ THC หมายถึง สารที่มีฤทธิ์ ต่อจิตประสาท มีผลต่อร่างกายคือทำให้ผ่อนคลาย เคลิบเคลิ้ม ประสาทสัมผัสรับรสอาหารได้ดีขึ้น กระตุ้นให้เกิดความอยากอาหาร แต่หากรับสารชนิดนี้มากเกินไปจะทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย พบในพืช จำพวกกัญชารูปบริสุทธิ์ เป็นของแข็งคล้ายแก้วในที่เย็น และจะเป็นของเหลวข้นเหนียวเมื่อโดน ความร้อน ละลายน้ำได้ช้า “แคนนาบิดอล” (Cannabidiol) หรือ CBD หมายถึง สารที่มีในกัญชงและกัญชา ประโยชน์ ทางการแพทย์ คือ ช่วยในการลดความวิตกกังวล บรรเทาอาการเจ็บปวดเรื้อรังและภาวะซึมเศร้า คล้ายคลึงกับ THC ที่เป็นสารที่พบในพืชกัญชาเช่นกัน เป็นสารเคมีชนิดหนึ่งซึ่งพบในต้นเฮิมพ์ ตามธรรมชาติ (อารีญา กฤดาตระกูล, 2561) 1.7 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 1.7.1 เพื่อให้ทราบถึงแนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมการใช้กัญชา 1.7.2 เพื่อให้ทราบถึงปัญหาเกี่ยวกับผลกระทบจากประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ระบุ ชื่อยาเสพติดให้โทษ ประเภท 5 พุทธศักราช 2565 1.7.3 เพื่อให้ทราบถึงหลักกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมการใช้กัญชาทางการแพทย์ 1.7.4 เพื่อเสนอแนะแนวทางแก้ไขประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ระบุชื่อยาเสพติด ให้โทษ ประเภท 5 พุทธศักราช 2565 ให้เหมาะสมกับสภาพของสังคมไทยในปัจจุบัน


บทที่ 2 แนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง การวิจัยครั้งนี้ได้ศึกษา แนวคิด ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับ การวิเคราะห์ ปัญหาทางกฎหมาย เกี่ยวกับประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ระบุชื่อยาเสพติดให้โทษ ประเภท 5 พ.ศ.2565 โดยศึกษาเฉพาะกรณีกัญชา เพื่อให้สอดคล้องกับการนำกัญชามาใช้เพื่อประโยชน์ในทางการแพทย์ และให้เหมาะสมกับสภาพสังคมที่มีการเปลี่ยนแปลง 2.1 แนวคิด ประวัติความเป็นมาของกัญชา 2.1.1 ความหมายของกัญชา ตามพจนานุกรม ราชบัณฑิตยสถาน กัญชา หมายถึง ชื่อไม้ล้มลุกชนิด Cannabis sative L. ในวงศ์ Cannabidaceae ใบมนแฉกลึกเข้าไปทางก้านหลายแฉก ดอกสีเขียว ช่อดอกเพศผู้ และช่อดอกเพศเมียอยู่ต่างต้นกัน ใบและช่อดอกเพศเมียที่แห้งเรียกว่า กะหลี่กัญชา ใบสูบปนกับ ยาสูบมีสรรพคุณทำให้มึนเมา เปลือกลำต้นใช้ทำเชือกป่านและทอผ้า กัญชามีชื่อเรียกต่าง ๆ กัน เช่น THAISTICKS,MARY - JANE หรือที่นิยมเรียกกัน ในกลุ่ม ผู้เสพว่า เนื้อ ลักษณะใบกัญชา จะเรียวยาวแตกเป็นแฉกคล้ายใบละหุ่งหรือมันสำปะหลัง ในกัญชามีสารเคมี cannabinoids อยู่จำนวนหนึ่ง โดยสารสำคัญในกลุ่มนี้ที่เชื่อว่าออกฤทธิ์ต่อจิต และประสาท คือ DELTA 9 TETRAHYDROCANNABINOL (THC) ซึ่งสารชนิดนี้ออกฤทธิ์หลายอย่าง ผสมผสานกันเริ่มตั้งแต่ กระตุ้น กด และหลอนประสาท และเป็นสารที่จัดอยู่ในกลุ่มวัตถุที่ออกฤทธิ์ ต่อจิตและประสาทในประเภท 1 ตามพระราชบัญญัติวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ.2518 โดยส่วนของกัญชาที่นิยมนำมาใช้เสพ คือ ใบและยอดช่อดอกตัวเมีย โดยการนำมาตากหรืออบแห้ง บดหรือหั่นเป็นผงหยาบ ๆ นำมามวนบุหรี่สูบ หรืออาจสูบด้วยกล้องหรือบ้องกัญชา บางรายใช้เคี้ยว หรือเจือปนกับอาหารรับประทาน ในกรณีที่เสพติดด้วยวิธีการสูบ กลิ่นกัญชาจะเหมือนกับเชือกหรือ หญ้าแห้งไหม้ไฟ กองควบคุมวัตถุเสพติด สำนักงานอาหารและยา รายงานว่า การค้นคว้าเกี่ยวกับฤทธิ์ ของ THC นำไปสู่การผลิตยา dronabinol (marinol) ซึ่งมีส่วนผสมของ THC สำหรับใช้ในผู้ป่วย มะเร็งที่รักษาด้วยวิธีเคมีบำบัดเพื่อป้องกันอาการคลื่นไส้ อาเจียน และทำให้เพิ่มความอยากอาหาร ในผู้ป่วยเอดส์ กัญชานิยมเสพโดยการสูบ ฤทธิ์ของกัญชาเมื่อเสพเข้าสู่ร่างกาย จะแทรกซึมเข้าสู่ กระแสเลือดอย่างรวดเร็วภายใน 2-3 นาที และจะออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทได้สูงสุดถึง 1 ชั่วโมง อาการ โดยทั่วไปจะมีอาการเซื่องซึมลงอย่างช้า ๆ แต่บางรายก็ลดลงอย่างรวดเร็ว ผู้เสพกัญชาจะมีอาการ เคลิ้มจิต (euphoric “high” or “stoned”) โดยในขั้นต้นกระตุ้นประสาท และบางคนจะมีอาการ ตึงเครียดทางใจหรืออาการวิตกกังวล ต่อมาก็มีอาการเคลิ้มจิต ทำให้ผู้สูบรู้สึกว่าบรรยากาศทั่วไปเงียบ สงบ จากนั้นมักจะมีปฏิกิริยาที่เปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน เดี๋ยวหัวเราะเดี๋ยวสงบ เพราะฉะนั้นอาการ เคลิ้มจิตจึงควรเรียกว่า “อาการบ้ากัญชา″ มากกว่าอาการอื่น ๆ ที่พบคือ ผู้เสพจะรู้สึกล่องลอย ปากแห้ง สับสน อยากอาหาร ชีพจรเพิ่มขึ้น ตาแดงขึ้นในขณะที่เสพยา หากเสพเป็นประจำจะส่งผล เสียต่อสุขภาพและทำให้สุขภาพเสื่อมลง ได้แก่ โรคหลอดลมอักเสบ ไซนัสอักเสบ ทางเดินหายใจ


9 อักเสบ ตะคริว ท้องร่วง โดยรวมแล้ว กัญชามีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาที่คล้ายกับพวกยากระตุ้นประสาท (stimulant) ยากดประสาท (depressant) ยาหลอนประสาท (hallucinogen) ยาแก้ปวด (analgesic) และยาที่ออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท (psychotomimetic) หลายประการในยาตัวเดียวกัน นอกจากนี้มีรายงานการวิจัยว่า สารเสพติด Lysergic Acid Diethylamide (LSD) มีฤทธิ์ต่อ จิตประสาทสูงเป็น 160 เท่าของ THC แม้ใช้ในปริมาณน้อย เมื่อทำการเปรียบเทียบประสิทธิภาพ ในการออกฤทธิ์ของกัญชาและแอลกอฮอล์ที่มีความคล้ายกัน คือ การออกฤทธิ์กระตุ้นประสาท แต่หลังจากนั้นจะมีฤทธิ์กล่อมประสาท (กองควบคุมวัตถุเสพติด สำนักงานอาหารและยา, 2563, หน้า 1) ผู้ที่เสพกัญชาในระยะแรกของการเสพ ฤทธิ์ของกัญชาจะกระตุ้นประสาททำให้ผู้เสพ มีอาการร่าเริง ช่างพูด หัวเราะง่าย หัวใจเต้นเร็ว ตื่นเต้นง่าย ต่อมาจะมีอาการคล้ายคนเมาเหล้า อย่างอ่อน เนื่องจากกัญชาออกฤทธิ์กดประสาท ผู้เสพจะมีอาการง่วงนอน ซึม หายใจถี่ เห็นภาพ ลวงตา ภาพหลอนต่าง ๆ เกิดอาการ หูแว่ว ตกใจง่าย วิตกกังวล หวาดระแวง บางรายคลื่นไส้อาเจียน ความจำเสื่อม ความคิดสับสน เพ้อคลั่ง ไม่สามารถควบคุมตนเองได้ มีอาการทางจิต นอกจากนี้ สารพิษในกัญชายังทำลายระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ทำให้ร่างกายอ่อนแอ ติดโรคอื่น ๆ ได้ง่าย เช่น โรคหลอดลมอักเสบเรื้อรัง โรคระบบทางเดินหายใจ โรคมะเร็งปอดทำให้สมรรถภาพทางเพศลดลง เกิดความผิดปกติของฮอร์โมนเพศและพันธุกรรม การใช้กัญชาครั้งแรกได้ปรากฏในบันทึกว่าเริ่มมีการใช้ตั้งแต่สหัสวรรษที่ 3 ก่อนคริสตกาล โดยใช้เป็นยานันทนาการหรือยารักษาโรค และเป็นส่วนหนึ่งของพิธีกรรมทางศาสนา หรือวิญญาณ แต่ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 กัญชาได้ถูกจำกัดตามกฎหมาย โดยปัจจุบันการครอบครอง การใช้ หรือการขาย การเตรียมกัญชาปรุงสำเร็จผิดกฎหมายในประเทศส่วนใหญ่ทั่วโลก ซึ่งในปี พ.ศ.2547 สหประชาชาติแถลงว่า กัญชาเป็นยาเสพติดที่ใช้มากที่สุดในโลก โดยประมาณการบริโภค กัญชาทั่วโลกชี้ว่าประมาณ 4% ของประชากรผู้ใหญ่ทั่วโลก (162 ล้านคน) ใช้กัญชาทุกปี และประมาณ 0.6% (22.5) ใช้กัญชาทุกวัน 2.1.2 ความหมายของยาเสพติดที่มีลักษณะเดียวกัน กัญชง เป็นไม้ล้มลุกมีลักษณะทางพฤกษศาสตร์คล้ายกัญชา แตกต่างกันคือ ต่อมน้ำมันของกัญชงมีปริมาณน้อยกว่า เดิมเป็นพืชที่เติบโตเฉพาะในแถบเอเชียตะวันออก แต่ปัจจุบัน ได้กระจายไปทั่วโลก เนื่องจากมีการเพาะปลูกอย่างแพร่หลาย กัญชงจัดอยู่ในพืชซึ่งให้ประโยชน์หลัก ทางด้านสิ่งทอเป็นสำคัญ พืชชนิดนี้ได้รับการจัดประเภทครั้งแรกโดยคาร์ล ลินเนียส ใน ค.ศ.1753 เดิมทีนั้นกัญชงเคยเป็นพืชล้มลุกที่ได้รับการจัดให้อยู่ในวงศ์เดียวกับพืชตระกูลตำแย (Urticaceae) แต่ว่าในภายหลังพบว่ากัญชงมีคุณสมบัติและลักษณะเฉพาะหลายอย่างที่ต่างออกไป จากพืชตระกูลตำแยเป็นอย่างมาก จึงได้รับการแบ่งเป็นอีกวงศ์หนึ่งโดยเฉพาะนั้นคือวงศ์ Cannabidaceae กัญชงนั้นถือว่า เป็นพืชพื้นบ้านที่มีความสำคัญกับวัฒนธรรมประเพณีของชาวม้ง นับตั้งแต่เกิดจนตายเป็นอย่างมาก เรียกในภาษาม้งว่า "หมั้ง" หรือ "ม่าง" ตามความเชื่อของม้ง เชื่อว่า เทพเจ้า หรือ เย่อโซ๊ะ (Yawm Saub) เป็นผู้สร้างโลก สร้างมนุษย์ และได้ประทานพันธุ์พืช พันธุ์สัตว์ มาให้มนุษย์ได้ใช้ หมั้งก็เป็นพันธุ์พืชชนิดหนึ่งที่ได้ประทานมาให้มนุษย์ได้ใช้ทำเป็นเครื่องนุ่งห่ม ใช้สอย และใช้ในพิธีกรรมต่าง ๆ


10 ชาวม้งจะลอกเปลือกกัญชง แล้วนำเส้นใยมาต่อกันเป็นเส้น เพื่อใช้เป็นเส้นด้าย และเส้นเชือก นอกจากนี้ยังใช้ในพิธีกรรมต่าง ๆ และใช้เป็นรองเท้าของคนตายเพื่อเดินทางไปสวรรค์ ทำเป็นด้ายสายสิญจน์เพื่อใช้ในการประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ ตลอดจนใช้ทอผ้า ทำเครื่องนุ่งห่ม ที่สำคัญ คือ ในพิธีอัวเน้งหรือพิธีเข้าทรง ซึ่งเป็นงานประเพณีสำคัญของชาวม้ง เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ.2563 กระทรวงสาธารณสุขได้ประกาศให้กัญชาและกัญชง ยังคงเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 5 เพียงแต่ส่วนของกัญชงที่ได้จากการปลูกหรือผลิตในประเทศ ได้แก่ ใบที่ไม่ติดกับช่อดอก กิ่ง ก้าน ลำต้น เปลือก ราก และ เส้นใย รวมถึงสารสกัดที่มี CBD เป็นส่วนประกอบและกากที่เหลือจากการสกัด ซึ่งต้องมี THC ไม่เกินร้อยละ 0.2 ของน้ำหนัก ของเมล็ดกัญชงน้ำมันและสารสกัดจากเมล็ดกัญชง ไม่จัดเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 โดยสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในทางการแพทย์ การศึกษาวิจัย ผลิตภัณฑ์สุขภาพ และอื่น ๆ ได้ ประชาชนสามารถใช้ส่วนต่าง ๆ ของกัญชงที่ไม่จัดเป็นยาเสพติดดังกล่าว ไปประกอบอาหาร ทำยา รักษาโรค เป็นต้น และในส่วนการนำเข้ากัญชงสามารถทำได้ โดยขออนุญาตเป็นยาเสพติด ยกเว้น เปลือกแห้ง แกนลำต้นแห้ง และเส้นใยแห้ง ซึ่งได้รับการยกเว้นไม่เป็นยาเสพติดตามประกาศนี้ นอกจากนี้ กรมสุขภาพจิต ได้ให้นิยามของ กัญชง หรือที่มีชื่อเรียกอีกอย่างว่า เฮมพ์ (Hemp) ไว้ว่า กัญชงเป็นเหมือนญาติสนิทกับกัญชา เนื่องจากกัญชา (Drug plant) และกัญชง (Hemp plant) เป็นพืชที่อยู่ในบัญชียาเสพติดประเภท 5 เช่นเดียวกัน จึงเป็นสาเหตุทำให้การปลูก ตลอดจนการนำมาใช้ประโยชน์ทำได้น้อยและมีขีดจำกัด องค์ประกอบสำคัญหลัก ๆ ที่พบในพืชตระกูลนี้ คือสารในกลุ่มแคนนาบินอยด์ (Cannabinoids) โดยมีโครงสร้างหลักในรูปของเทอร์พีนอยด์ (Terpenoids) มีสารเคมีที่เป็น องค์ประกอบสำคัญ ได้แก่ (Delta 9-tetrahydrocannabinol หรือ THC) แคนนาบิไดออล (Cannabidiol, CBD) แคนนาบินอล (Cannabinol, CBN) และอนุพันธ์ของคานาบินอยด์รูปแบบอื่น ๆ โดยนิยมใช้การตรวจวัด THC เป็นการตรวจเอกลักษณ์ (Identification) กัญชงแยกจากกัญชาได้ (กรมสุขภาพจิต) เพื่อการใช้ประโยชน์จากกัญชงให้ได้ประโยชน์สูงสุด องค์การอนามัยโลกได้พยายาม จะเสนอให้องค์การสหประชาชาติถอดสารสกัด CBD ออกจากยาเสพติดอย่างสิ้นเชิง ซึ่งสารสกัด CBD หรือน้ำมัน CBD นั้น ถูกระบุว่าจะต้องมีสาร THC ไม่เกินร้อยละ 0.2 ของน้ำหนัก ซึ่งมีแนวโน้มว่า มติขององค์การสหประชาชาติจะเห็นชอบตามมติองค์การอนามัยโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ว่า สารสกัด CBD ที่มี THC ไม่เกินร้อยละ 0.2 ของน้ำหนักนั้น จะไม่อยู่ในบัญชียาเสพติดให้โทษใด ๆ อีกต่อไป แต่สารสกัด CBD ที่ควบคุม THC ไม่เกินร้อยละ 0.2 ของน้ำหนัก เป็นคนละเรื่องกับในเรื่องที่ว่า องค์การอนามัยโลกหรือองค์การสหประชาชาติ จะบังคับให้มีการปลูกกัญชงที่ต้องห้ามมี THC เกินเท่าไหร่ เพราะแต่ละประเทศมีภูมิอากาศและสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อสาระสำคัญในพืช กัญชงไม่เหมือนกัน แต่ในยุคปัจจุบัน พันธุ์พืช วิธีการปลูก และวิธีการสกัด จะเป็นปัจจัยที่จะทำให้ ผลิตภัณฑ์ปลายสุดเป็นสาร CBD ที่มีสาร THC ไม่เกินร้อยละ 0.2 ของน้ำหนัก ได้อย่างแน่นอน ซึ่งก็ไม่ต้องถูกควบคุมในฐานะยาเสพติดในเวทีนานาชาติเช่นกัน การกำหนดพืชกัญชงไทยเอาไว้ว่า จะต้องมีสาร THC ไม่เกินร้อยละ 1 ของน้ำหนัก เป็นการถูกต้องแล้วเพราะเท่ากับประเทศไทยรักษา และขึ้นทะเบียนพันธุ์กัญชงพื้นเมืองที่เคยมีอยู่ได้โดยไม่ต้องซื้อสิทธิบัตรพันธุ์พืชจากชาติอื่น แต่ใน ขณะเดียวกันการกำหนดสาร CBD ที่จะไม่ถูกนับเป็นยาเสพติดให้โทษที่เตรียมตัวเอาไว้ตั้งแต่วันนี้


11 สำหรับการส่งออกที่ร้อยละ 0.2 ของน้ำหนัก ก็เป็นเรื่องสมควรแก่เหตุ เพราะจะได้มีการวางแผน ในเรื่องเมล็ดพันธุ์และการสกัดความบริสุทธิ์ของสาร CBD ให้ได้มากที่สุดเท่ากับว่าบทบาทของโรงงาน สกัดสาร CBD ให้เกือบบริสุทธิ์ที่สุดออกจากกัญชงจะมีบทบาทมากขึ้น ซึ่งหมายถึงว่ากระบวนการ สกัดที่จะต้องลงทุนมากเกินกว่าที่เกษตรกรจะทำได้ แต่เนื่องจากพันธุ์กัญชงไทยส่วนใหญ่นั้นเป็นพันธุ์ ไฟเบอร์ โดยมีหลายสายพันธุ์ที่มี THC ไม่เกินร้อยละ 1 ของน้ำหนัก หรือแม้จะมีการพัฒนาสายพันธุ์ ไทยให้มี THC ต่ำกว่าร้อยละ 0.3 ของน้ำหนักไปแล้ว แต่ก็มีปริมาณ CBD น้อยมาก ๆ ซึ่งอาจไม่คุ้มค่า ต่อความคาดหวังสาร CBD จากกัญชง รองศาสตราจารย์ วีรชัย พุทธวงศ์ อาจารย์ประจำภาควิชาเคมี มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้กล่าวไว้ว่าจากประสบการณ์การตรวจหาค่า THC ในกัญชาหลายสายพันธุ์ กว่า 2,000 ตัวอย่าง ไม่เคยพบค่า THC ต่ำกว่าร้อยละ 0.2 ไม่ว่าจะตรวจส่วนประกอบใดของกัญชาก็ตามทั้ง ในรูปแบบ กัญชาสด และแบบแห้ง ข้อมูลจากการให้สัมภาษณ์ ในข่าว ผู้จัดการออนไลน์ ยืนยันการตรวจค่า THC จากกัญชาและกัญชงของรองศาสตราจารย์ วีรชัยฯ ว่า จากกระแสกัญชาและกัญชงได้ทำให้ประชาชน ได้มีโอกาสเรียนรู้และเตรียมตัวสำหรับพืชสมุนไพร 2 ชนิด ที่กำลังจะจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญในวงการ สุขภาพและเศรษฐกิจของประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากสามารถกำหนดยุทธศาสตร์ในเรื่องกัญชง ได้อย่างถูกต้องและสอดคล้องกับประโยชน์ต่อประเทศชาติ ซึ่งเชื่อได้ว่าจะเป็นประโยชน์ต่อประชาชน คนไทยทุกคน กระท่อม พจนานุกรมราชบัณฑิตยสถาน กระท่อม (Kratom) หมายถึง ชื่อไม้ต้นขนาด กลางชนิด Mitragyna speciosa (Korth.) Havil. ในวงศ์ Rubiaceae ชอบขึ้นริมนํ้าทั่วไป ใบเดี่ยว ออกตรงข้ามกัน ยอด ใบอ่อน และก้านใบสีแดงเรื่อ ๆ ช่อดอกกลมสีเหลืองออกเดี่ยว ๆ ตามง่ามใบ ใบมีรสขม กินแล้วเมา เป็นยาเสพติด, อีถ่าง ก็เรียก กระท่อม ตามความหมายของกองควบคุมวัตถุเสพติด กระท่อมเป็นพืชยืนต้น ขนาดกลางชนิดหนึ่ง พบมากในแถบทวีปเอเชีย เช่น ประเทศอินเดีย ไทย เป็นต้น ลักษณะใบคล้ายใบ กระดังงา หรือใบฝรั่ง มีดอกกลมโตเท่าผลพุทรา มีชื่อเรียกต่าง ๆ กัน เช่น กระทุ่มโคก กระทุ่มพาย การเสพจะใช้ส่วนที่เป็นใบเคี้ยวสด หรือตากแห้งแล้วบดหรือหั่นเป็นผงหยาบนำไปผสมกับน้ำร้อน ดื่มแทนใบชาจีน สารเสพติดที่พบในใบกระท่อม คือ ไมทราไจนีน (Mitragynine) เป็นสารจำพวกอัลคาลอยด์ ออกฤทธิ์กดประสาทส่วนกลาง (CNS depressant) เช่นเดียวกันกับยาเสพติดกลุ่ม psilocybin LSD และยาบ้า ซึ่งวิธีการใช้มักจะเคี้ยวใบสด หรือบดใบแห้งให้เป็นผง ละลายน้ำดื่ม บางรายเติมเกลือด้วย เล็กน้อย เพื่อป้องกันท้องผูก ส่วนมากจะเคี้ยวเพียง 2-3 ใบ และดื่มน้ำอุ่น หรือกาแฟร้อนตาม ใช้วันละ 3-10 ครั้ง ต่อวันหากรู้สึกว่ามีอาการเหนื่อยล้า เมื่อใช้ไประยะหนึ่งปริมาณการใช้จะเพิ่มขึ้น (ประมาณร้อยละ 37 ใช้วันละ 21-30 ใบ) ภายหลังจากการเคี้ยวใบกระท่อมไปประมาณ 5-10 นาที ผู้ใช้จะมีอาการเป็นสุข กระปรี้กระเปร่า ไม่รู้สึกหิว (ไม่อยากอาหาร) กดความรู้สึกเมื่อยล้าขณะทำงาน ทำให้สามารถทำงานได้นาน และทนแดดมากขึ้น แต่จะเกิดอาการกลัวหนาวสั่นเวลาอากาศครึ้มฟ้า ครึ้มฝน จะมีผิวหนังแดงเพราะเลือดไปเลี้ยงผิวหนังมากขึ้น และมีอาการข้างเคียง ได้แก่ ปากแห้ง ปัสสาวะบ่อย เบื่ออาหาร ท้องผูก อุจจาระแข็งเป็นก้อนเล็ก ๆ นอนไม่หลับ ถ้าเสพใบกระท่อม


12 ในปริมาณมากจะทำให้มึนงงและคลื่นไส้อาเจียน (เมากระท่อม) ในบางรายเสพเพียง 3 ใบ ก็ทำให้เมาได้ ในรายที่ใช้ใบกระท่อมในปริมาณมาก หรือเป็นระยะเวลานาน มักจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ของเม็ดสีขึ้นที่บริเวณผิวหนังได้ ทำให้ผู้ที่ใช้มีผิวคล้ำและเข้มขึ้น และยังพบอีกว่าผู้ที่เสพกระท่อม โดยไม่ได้เอาก้านใบออกจากตัวใบก่อน อาจจะทำให้เกิดอาการที่เรียกว่า “ถุงท่อม” ในลำไส้ได้ เนื่องจากก้านใบและใบของกระท่อมไม่สามารถย่อยได้ จึงตกตะกอนติดค้างอยู่ภายในลำไส้ ทำให้ ขับถ่ายออกมาไม่ได้เกิดพังผืดขึ้นมาหุ้มรัดอยู่โดยรอบก้อนกากกระท่อมนั้น ทำให้เกิดเป็นก้อนถุงขึ้นมา ในลำไส้ ทำให้ในบางรายจะมีอาการโรคจิตหวาดระแวง เห็นภาพหลอน คิดว่าคนจะมาทำร้ายตน และพูดจาไม่ค่อยรู้เรื่อง เมื่อผู้ใช้กระท่อมหยุดเสพจะปรากฏอาการว่า ไม่มีแรง ปวดเมื่อย ตามกล้ามเนื้อ และกระดูก แขนขากระตุก อ่อนเพลีย ไม่สามารถทำงานได้ อารมณ์ซึมเศร้า น้ำตาไหล น้ำมูกไหล ก้าวร้าว นอนไม่หลับ ร่างกายมีอุณหภูมิสูงผิดปกติ ถ่ายอุจจาระเหลวมากปกติ เบื่ออาหาร อาเจียน คลื่นไส้ มีอาการไอมากขึ้น รู้สึกกระวนกระวายมากขึ้น 2.1.3 ประวัติและความเป็นมาของกัญชา ประเทศไทยมีการใช้กัญชาเป็นเครื่องประกอบอาหารมาอย่างยาวนานโดยมีการปลูก ในระดับครัวเรือน และข้อมูลการแพทย์ก็บ่งชี้ว่ากัญชามีสรรพคุณทางการแพทย์ต่อการรักษาให้ผลดี นอกจากนี้ตำราการแพทย์ แผนไทยโบราณก็ได้ใช้กัญชาเป็นตัวยาหนึ่งในการรักษาหลายโรคด้วยกัน เช่น ยาทิพกาศและยาสุขไสยาศน์ ในคัมภีร์ธาตุพระนารายณ์ ฉบับใบลาน (The Office of Protection wisdom medicine of Thailand, 2012) กัญชาถือเป็นพืชประจำถิ่นในประเทศไทย และสายพันธุ์กัญชาในประเทศไทยได้รับการยอมรับให้เป็นสายพันธุ์ที่ดีแหล่งหนึ่งของโลก ในประเทศไทยกัญชาได้ถูกจัดให้เป็นสิ่งผิดกฎหมายตั้งแต่ พ.ศ.2477 โดยพระราชบัญญัติกัญชา พ.ศ.2477 ซึ่งมีบทบัญญัติห้ามผู้ใดปลูก นำเข้า ซื้อขาย หรือครอบครอง กัญชาโดยเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นจะได้รับโทษทั้งจำและปรับอย่างรุนแรง และถูกจัดเป็นยาเสพติดให้โทษ ใน พ.ศ.2522 ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 ต่อมาในปี พ.ศ.2562 ได้มีการตรา พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 7) พ.ศ.2562 ได้อนุญาตให้สามารถใช้กัญชาได้ในกรณี จำเป็นเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ การรักษาผู้ป่วยหรือการศึกษาวิจัยและพัฒนา (กรนันท์ คงทัน, ปัญหากฎหมายเกี่ยวกับกัญชา) จากรากฐานทางประวัติศาสตร์ของไทยได้มีการใช้กัญชาทั้งในฐานะพืชสมุนไพร และพืชสวนครัวมาเป็นเวลานาน ทั้งการใช้ในปริมาณที่เหมาะสมก็ไม่ได้ทำให้เกิดผลเสียหาย ต่อร่างกาย และใช้ในการบำบัดรักษา เช่น โรคซึมเศร้า รักษาอาการปวดประจำเดือน แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาสถานะทางกฎหมาย ตามพระราชบัญญัติ พ.ศ.2522 กัญชาถือเป็นยาเสพติดให้โทษ ประเภท 5 ซึ่งผู้ผลิต นำเข้า ส่งออก ครอบครอง เสพ มีโทษทั้งจำและปรับ ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 75 มาตรา 76 มาตรา 76/1 และมาตรา 92 แห่งพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 แต่เมื่อพิจารณา ตามหลักนิติปรัชญาของสำนักกฎหมายประวัติศาสตร์ของซาวิญยี่ (Georg Friedrich Carl Von Savigny) อธิบายไว้ว่า กฎหมายต้องให้ความสำคัญกับจารีตประเพณี และการทำความเข้าใจสภาพของสังคม โดยเห็นว่าความสำคัญดังกล่าวจะเชื่อมโยงการทำความเข้าใจ ธรรมชาติของกฎหมาย และก่อให้เกิดความยุติธรรมต่อสังคมอย่างแท้จริง ซึ่งเมื่อนำหลักนิติปรัชญา ดังกล่าวมาพิจารณาถึงสถานะทางกฎหมายของกัญชาแล้ว เห็นได้ว่าพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ


13 พ.ศ.2522 ไม่ได้นำรากฐานทางประวัติศาสตร์ตามแนวคิดของสำนักกฎหมายประวัติศาสตร์ มาพิจารณาในการตรากฎหมาย อย่างไรก็ตาม มาตรา 5 และมาตรา 26 แห่งพระราชบัญญัติยาเสพ ติดให้โทษ พ.ศ.2522 ได้มีบัญญัติบทยกเว้นไว้เพื่อให้เกิดการใช้กัญชาเพื่อการพัฒนาทางการแพทย์ได้ โดยมาตรา 5 บัญญัติไว้ว่า พระราชบัญญัตินี้ไม่ใช้บังคับแก่สำนักงานคณะกรรมการอาหาร และยา กระทรวงสาธารณสุข แต่ให้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข รายงานการรับ การจ่าย การเก็บรักษา และวิธีการปฏิบัติอย่างอื่นที่เกี่ยวกับการควบคุมยาเสพติดให้โทษ ให้คณะกรรมการทราบทุกหกเดือน แล้วให้คณะกรรมการเสนอพร้อมกับให้ความเห็นต่อรัฐมนตรี เพื่อสั่งการต่อไป ซึ่งจากหลักกฎหมายดังกล่าวหมายความว่า กฎหมายได้เปิดช่องให้สำนักงาน คณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข นำยาเสพติดให้โทษมาทำการวิจัยเพื่อประโยชน์ ทางการแพทย์ได้ แต่เพื่อไม่ให้มีการใช้หรือครอบครองยาเสพติดโดยไม่จำกัดหรือปราศจากการ ควบคุม กฎหมายจึงกำหนดให้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข ต้องรายงานการรับ การจ่าย การเก็บรักษา และวิธีการปฏิบัติอย่างอื่นที่เกี่ยวกับการควบคุมยาเสพติด ให้โทษให้คณะกรรมการทราบ ทุก 6 เดือน ส่วนมาตรา 26 บัญญัติไว้ว่า ห้ามมิให้ผู้ใดผลิต จำหน่าย นำเข้า ส่งออก หรือมีไว้ในครอบครอง ซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท 4 หรือในประเภท 5 เว้นแต่ รัฐมนตรีจะได้อนุญาตโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการเป็นราย ๆ ไป จากกฎหมายมาตรานี้ได้ เปิดช่องให้มีการขออนุญาตให้ผลิต นำเข้า จำหน่าย หรือมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษได้ ซึ่งในทางปฏิบัติพบว่ามีผู้ขออนุญาต แต่กลับไม่ได้รับการอนุญาตจากหน่วยงานที่มีอำนาจแต่อย่างใด 2.2 แนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกับการควบคุมและกำกับการใช้กัญชา 2.2.1 แนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกับการควบคุมและมาตรการกำกับการใช้กัญชา แนวคิดเกี่ยวกับนโยบายยาเสพติดและมาตรการทางกฎหมายของต่างประเทศพบว่า ในปัจจุบันต่างประเทศนิยมใช้หลักการลดทอนความเป็นอาชญากรรมมาเป็นเบื้องหลังในการออก กฎหมายหรือแนวนโยบายควบคุมยาเสพติดเพิ่มมากขึ้น การลดทอนความเป็นอาชญากรรมที่นำมา ประยุกต์ใช้กับยาเสพติดทั้งกัญชาและยาเสพติดชนิดอื่น ได้แก่ การทำให้ไม่เป็นความผิดอัน ประกอบด้วย 2 วิธีการ คือ การทำให้ไม่เป็นความผิดโดยนิตินัย (De Jure Decriminalisation) และการทำให้ไม่เป็นความผิดโดยพฤตินัย (De Facto Decriminalisation) ดังนี้ 1) การทำให้ไม่เป็นความผิดโดยนิตินัย (De Jure Decriminalisation) คือการนำ โทษทางอาญาออกไปจากกฎหมายอย่างเป็นทางการผ่านการปฏิรูปกฎหมาย เช่น การเสพยาเสพติด การมียาเสพติดไว้ในความครอบครองและการเพาะปลูกยาเสพติดเพื่อการเสพส่วนบุคคล ตลอดจน การครอบครองอุปกรณ์การเสพยาเสพติด ตัวอย่างของการนำวิธีการนี้มาใช้ในการทำให้ไม่เป็น ความผิดอาจแบ่งเป็น 2 แบบจำลอง คือ แบบจำลองการทำให้ไม่เป็นความผิดโดยไม่มีวิธีการบังคับ เช่น ประเทศอุรุกวัย มิได้กำหนดวิธีบังคับทั้งทางอาญาและปกครองสำหรับการเสพยาเสพติด หรือการครอบครองยาเสพติดในปริมาณที่มีเหตุผลเพื่อการเสพส่วนบุคคล แต่ใช้วิธีการบังคับทาง อาญากับผู้ผลิตยาเสพติดไม่ว่าจะเป็นการผลิตเพื่อใช้เสพส่วนบุคคลก็ตาม เป็นต้น แบบจำลองการทำ ให้ไม่เป็นความผิดโดยใช้วิธีการบังคับทางแพ่งหรือทางปกครอง คือการใช้วิธีการบังคับที่มิใช่การบังคับ


14 ทางอาญา เช่น ค่าปรับ คำสั่งบริการสังคม คำเตือนให้ระมัดระวังอันตราย คำเตือน การบังคับรักษา หรือการเข้าอบรมความรู้ การพักใบอนุญาตขับขี่ หรือพักใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ เป็นต้น ซึ่งประเทศที่ใช้แบบจำลองนี้ได้แก่ ประเทศโปรตุเกส สาธารณรัฐเช็ก เยอรมนี สเปน และสวิตเซอร์แลนด์ ส่วนประเทศที่ปฏิรูปกฎหมาย ยาเสพติดด้วยบทลงโทษทางปกครองเพื่อทดแทน วิธีการบังคับทางอาญาสำหรับกัญชา เช่น บางรัฐของประเทศออสเตรเลีย ตัวอย่างประสบการณ์ ของต่างประเทศที่ใช้วิธีการทำให้ไม่เป็นความผิดโดยนิตินัย มีดังนี้ (1) การกำหนดให้การเสพหรือมียาเสพติดไว้ในครอบครองไม่เป็นความผิด ได้แก่ ประเทศอุรุกวัย โดยกำหนดกรอบทางกฎหมายไว้ว่าการเสพหรือการมีไว้ในความครอบครองไม่เป็น ความผิดแต่กฎหมายจะแยกแยะระหว่างการเสพหรือครอบครองส่วนบุคคลกับเจตนาจัดหา โดยให้ อำนาจของตำรวจในการคุมขังกรณีที่มีข้อบ่งชี้ว่าเจตนาจัดหาเท่านั้น อันมีผลต่อกระบวนการทางศาล หรือทางปกครองว่าจะมีการปฏิบัติต่อเมื่อมีข้อบ่งชี้ว่ามีเจตนาจัดหายาเสพติด สำหรับวิธีการบังคับ สำหรับการเสพยาเสพติด คือ การริบยาเสพติดที่เกินปริมาณที่ต้องใช้อย่างมีเหตุผลเพื่อการเสพ ส่วนบุคคล (A Reasonable Quantity) (2) การกำหนดดุลยพินิจของตำรวจ ได้แก่ ประเทศสเปน กล่าวคือ การมีไว้ใน ความครอบครองกัญชาไม่ใช่อาชญากรรมแต่เป็นความผิดทางปกครองโดยตำรวจมีอำนาจระบุ ลักษณะของความผิดได้ หากเป็นกรณีมีไว้ในครอบครองเท่านั้นก็จะสามารถใช้วิธีการบังคับ ณ สถานที่ เกิดเหตุได้หากเป็นกรณีอื่นเช่น มีข้อบ่งชี้ว่ามีเจตนาจัดหาก็จะนำเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมของศาล สำหรับ วิธีการบังคับกรณีการเสพกัญชา เช่น การริบ การตักเตือน ค่าปรับ เป็นต้น 2) การทำให้ไม่เป็นความผิดโดยพฤตินัย (De Facto Decriminalisation) คือ มิได้ มีการนำบทลงโทษทางอาญาออกไปจากกฎหมายแต่ในทางปฏิบัติมิได้บังคับใช้บทลงโทษในทางอาญา แบบจำลองการทำให้ไม่เป็นความผิดโดยพฤตินัยมีลักษณะเฉพาะ ดังนี้ (1) การเสพยาเสพติดและ/หรือการมียาเสพติดไว้ในความครอบครองเพื่อการเสพ ส่วนบุคคลเป็นความผิด แต่รัฐกำหนดนโยบายให้นำไปสู่การปฏิบัติของตำรวจทำให้ผู้เสพยาเสพติด หลีกเลี่ยงการลงโทษทางอาญาและบทลงโทษทางอาญาได้ (2) วิธีการลงโทษอื่นมาแทนการลงโทษในทางอาญา เช่น ไม่ใช้การลงโทษ หรือใช้ วิธีการบังคับทางแพ่งหรือทางปกครองสถานเบา และ/หรือผันตัวบุคคลไปรับการรักษาด้านสุขภาพ หรือด้านสังคม หรือการให้คำปรึกษาและการให้ความรู้ประสบการณ์ของต่างประเทศของการทำให้ ไม่เป็นความผิดโดยพฤตินัยสามารถ กำหนดแบบจำลองต่าง ๆ ได้ ดังนี้ 1. แบบไม่มีวิธีการบังคับ ได้แก่ ประเทศเนเธอร์แลนด์ (เฉพาะกัญชา) คือ การมี ไว้ในความครอบครองเป็นความผิดอาญาแต่ตำรวจหรืออัยการได้รับคำสั่งไม่ให้มีการแทรกแซงโดยอิง อำนาจการใช้ดุลยพินิจ ซึ่งตำรวจไม่มีอำนาจคุมขังบุคคล มีเพียงอำนาจริบยาเสพติด ยกเว้นมีข้อบ่งชี้ ว่ามีเจตนาจัดหาสารเสพติด 2. แบบการผันตัวโดยตำรวจ ได้แก่ บางเมืองในสหรัฐอเมริกาและบางรัฐ ในประเทศออสเตรเลีย คือ การมีไว้ในครอบครองเป็นความผิดอาญาแต่ออกนโยบายใช้วิธีการบังคับ ทางเลือกอื่นแทนการจำคุก ตำรวจสามารถใช้ดุลยพินิจระบุลักษณะความผิดและตัดสินใจเลือกวิธี การบังคับ หรือส่งต่อไปยังเจ้าหน้าที่อาวุโสเพื่อการประเมินเฉพาะทาง ณ สถานีตำรวจได้ โดยวิธีการ


15 บังคับจะไม่ใช้กระบวนการทางศาลแต่จะใช้วิธีอื่น เช่น ริบทรัพย์ ตักเตือน ค่าปรับ วิธีทางปกครองอื่น เสนอให้เข้าสถานบำบัดรักษา การลดอันตรายและการบริการทางสังคม 3. แบบการผันตัวโดยงานยุติธรรม ได้แก่ บางมลรัฐในประเทศสหรัฐอเมริกา และประเทศออสเตรเลีย คือ การมีไว้ในครอบครองเป็นความผิดอาญาแต่ออกนโยบายหรือมาตรการ ทางกฎหมายให้ทางเลือกใช้วิธีการอื่นบังคับแทนการจำคุก โดยตำรวจสามารถจับกุมบุคคลที่มียาเสพ ติดไว้ในครอบครองได้แต่ในกระบวนการของศาล เจ้าหน้าที่ศาลมีดุลยพินิจส่งต่อบุคคลไปรับการรักษา หรือใช้วิธีบังคับอื่นที่มิใช่ทางอาญาในเฉพาะกรณีการเสพยาเสพติด เช่น การริบ ตักเตือน ค่าปรับ เสนอ ส่งต่อไปรับบริการด้านการรักษา ด้านการลดอันตรายและด้านสังคม แนวคิดว่าด้วยกัญชาเป็นสิ่งผิดกฎหมาย (Illegal) คือ รัฐที่กำหนดให้กัญชาเป็นยา เสพติดและผิดกฎหมายฐานครอบครอง การจำหน่าย ขนส่ง และการ เพาะปลูก เช่นเดียวกับรัฐบาลกลาง เช่น South Carolina, Wisconsin เป็นต้น แนวคิดการลดทอนความเป็นอาชญากรรมสำหรับการใช้ในทางการแพทย์ (Decriminalizationfor Medical Use Only) กล่าวคือ รัฐที่มีการลดทอนความเป็นอาชญากรรม ของกัญชาที่มีวัตถุประสงค์ในทางการแพทย์เช่น ลดทอนความผิดฐานครอบครอง การจำหน่าย ขนส่ง และการเพาะปลูกสำหรับการใช้กัญชาในทางการแพทย์ได้แก่รัฐ Arizona, Georgia, Hawaii. Illinois, Michigan เป็นต้น แนวคิดการทำให้กัญชาถูกกฎหมายโดยการควบคุมของรัฐ (Legalization for Recreation Use and Medical Use) คือ รัฐที่กำหนดให้กัญชาถูกกฎหมาย ในความผิดฐาน ครอบครอง จำหน่าย ขนส่ง และการเพาะปลูก ได้แก่รัฐ Colorado, Alaska, Oregon, Washington จากข้อมูลเบื้องต้น กฎหมายของรัฐบาลกลางกำหนดให้กัญชาผิดกฎหมายตามพระราชบัญญัติควบคุม สารเสพติด ค.ศ.1970 (Controlled Substances Act of 1970) โดยกฎหมายดังกล่าว จัดกัญชา เป็นยาเสพติดประเภท 1 (Schedule I) กล่าวคือเป็นยาเสพติดชนิดร้ายแรงซึ่งมีความเสี่ยงต่อการใช้ ในทางที่ผิดสูงและไม่มีประโยชน์ในทางการแพทย์แต่อย่างใด อย่างไรก็ตามในบางมลรัฐได้ผ่าน กฎหมายโดยการใช้แนวคิดการลดทอนความเป็นอาชญากรรมของกัญชา (Decriminalize) โดยมีการ อนุญาตให้ใช้ประโยชน์จากกัญชาในลักษณะเพื่อผ่อนคลาย (Recreation use) หรือใช้กัญชาในทาง การแพทย์ (Medical Use) ซึ่งอยู่ภายใต้มาตรการควบคุมของ แต่ละมลรัฐ มลรัฐที่อนุญาตให้บริโภค กัญชาทั้งเพื่อผ่อนคลายและใช้ในทางการแพทย์ (Recreational and Medicinal Marijuana) คือโคโลราโด (Colorado), โอเรกอน (Oregon), อลาสก้า (Alaska) และวอชิงตัน (Washington) รวมไปถึงเขตปกครองโคลัมเบีย (The District of Columbia) เป็นต้น (ชลิดา อุปัญญ์, 2561, สถานะ ทางกฎหมายและมาตรการควบคุมเพื่อใช้ประโยชน์จากกัญชา/กัญชงของประเทศไทย) ทั้งนี้จากการที่กัญชาเป็นยาเสพติดที่มีการระบาดมากที่สุด แต่อัตราการเสพติด ที่ไม่รุนแรง โดยบางประเทศได้นำมาใช้ทางการแพทย์หลายประเทศได้มีการขับเคลื่อนในการจัดการ ปัญหาการแพร่ระบาดของกัญชาที่แตกต่างกันไปแล้วแต่บริบทของสังคม และวัฒนธรรมของแต่ละ ประเทศ โดยอาจมีการกำหนดมาตรการที่แตกต่างกันไป เช่น 1) การลดทอนความเป็นอาชญากรรม (Decriminalization) ซึ่งเป็นการกำหนด ให้การกระทำ บางอย่างซึ่งเคยผิดกฎหมาย ให้ไม่ผิดกฎหมายหรือไม่มีบทลงโทษ


16 2) การลดโทษ ซึ่งเป็นมาตรการลดความรุนแรงของการลงโทษผู้กระทำฝ่าฝืน กฎหมาย 3) การกำหนดให้เป็นกฎหมาย (Legalization) ซึ่งเป็นมาตรการกำหนดให้การ กระทำซึ่งมักจะหมายถึง การผลิต การจัดหา การกระจายยาเสพติด ซึ่งแต่เดิมห้ามมิให้กระทำ ให้สามารถดำเนินการได้โดยไม่ผิดกฎหมาย แต่อยู่ภายใต้การต้องได้รับอนุญาต และมีกฎระเบียบ ควบคุมไว้ด้วย 4) การตรากฎหมาย (Legal Regulation) ให้มีข้อกำหนด กฎหรือข้อจำกัดในการผลิต จัดหา ครอบครอง และการเสพ เป็นต้น ดังนั้น การจัดการกับกัญชาในภาพรวมของโลกปัจจุบันจึงมีความชื่นชอบทั้งในมิติ ด้านสังคม วัฒนธรรม การแพทย์ และสาธารณสุข แตกต่างกันในแต่ละบริบทของสังคม และเป็นสิ่งที่ แต่ละสังคมเลือกที่จะควบคุมและใช้ประโยชน์จากกัญชาโดยที่ไม่ก่อให้เกิดผลกระทบด้านลบ ต่อประชาชนและสังคมของตน แนวโน้มใหม่ของการควบคุมดูแลกัญชา ปัจจุบันมีการถกเถียงกันอย่างมาก ในการควบคุมดูแลกัญชาว่าควรจะดำเนินการอย่างไร ซึ่งมีหลายประเทศ ห้ามขาดตั้งแต่การเสพ การปลูก การขาย การผลิต และไม่ให้ใช้ทางการแพทย์ด้วย เช่น ประเทศไทย แต่ก็มีหลายประเทศที่มี การยินยอมให้ใช้ทางการแพทย์เท่านั้น อย่างไรก็ตามเริ่มมีหลายประเทศที่ยอมให้มีการใช้เสพ เพื่อความบันเทิง (recreation use) เช่น สเปน เนเธอร์แลนด์ สหรัฐอเมริกา (รัฐที่ยอมให้เสพ เพื่อความบันเทิง คือ รัฐโคโลราโดและรัฐวอชิงตัน ขณะที่อีก 24 มลรัฐ ยอมให้ใช้ในทางการแพทย์) และอุรุกวัย เป็นต้น แต่ประเทศดังกล่าวก็มีการกำหนดมาตรการควบคุมดูแลปริมาณการครอบครอง การเสพผู้เสพและอื่น ๆ โดยมีเหตุผลว่า การห้ามการ เสพไม่สามารถประสบผลสำเร็จในการลดแพร่ ระบาดของการเสพกัญชา ก่อให้เกิดการลักลอบการค้ายาเสพติด และรัฐสูญเสียรายได้จากการเก็บ ภาษีการค้า 2.2.2 แนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกับกัญชาในทางกฎหมายปกครอง ในรัฐเสรีนิยมประชาธิปไตยนั้นจะมีแนวคิดพื้นฐานที่สำคัญ 2 ประการ คือ หลักการ ปกครองแบบประชาธิปไตย และหลักการปกครองภายใต้กฎหมายหรือหลักนิติรัฐ ทั้งนี้เพื่อให้เป็นไป ตามกลไก ในการควบคุมการใช้อำนาจรัฐไม่ให้การใช้อำนาจขององค์กรในรัฐขัดต่อกฎหมาย หรือ ละเมิดสิทธิของประชาชน ด้วยเหตุนี้หลักการปกครองภายใต้กฎหมาย หรือหลักนิติรัฐในภาพรวมจึง หมายรวมถึง การกระทำของรัฐหรือองค์กรในรัฐทุกองค์กร ไม่วาจะเป็นการใช้ อำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหารหรืออำนาจตุลาการ และรวมถึงการใช้อำนาจทางปกครองนั้น จะต้องชอบด้วยกฎหมาย และหากมีการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายเกิดขึ้นจะต้องมีการเพิกถอน การกระทำนั้น และหากมี ความเสียหายเกิดขึ้นก็จะต้องมีการเยียวยาในความเสียหายดังกล่าว หลักนิติรัฐประกอบด้วยหลักการ ดังนี้ หลักนิติรัฐ (Legal State) การกระทำของรัฐต้องชอบด้วยกฎหมาย เพราะฉะนั้นการ ควบคุมความชอบด้วยกฎหมาย ก็จะต้องมีองค์กรที่คอยควบคุมความชอบด้วย กฎหมายหรือมีระบบ Check and balance ให้องค์กรต่าง ๆ นั้นอยู่ภายใต้หลักนิติรัฐ (Legal State) กล่าวคือ หลักการ


17 กระทำของรัฐต้องชอบด้วยกฎหมาย ไม่วาจะเป็นการกระทำของรัฐสภาหรือการกระทำของรัฐบาล หรือการกระทำของฝ่ายปกครองหรือเป็นการกระทำของศาล จะต้องชอบด้วยกฎหมาย หลักความชอบด้วยกฎหมายของการกระทำของฝ่ายปกครอง ตามหลักความชอบด้วย กฎหมายการกระทำของฝ่ายปกครอง มีประเด็นพิจารณาที่สำคัญ คือ ก. ในแง่ที่มาของกฎหมายกับหลักความชอบด้วยกฎหมายของการกระทำของ องค์กรรัฐพิจารณาว่า การกระทำขององค์กรรัฐมีกฎหมายให้อำนาจหรือไม่ ทั้งที่เป็นที่มาของกฎหมาย ที่บัญญัติไว้เป็นลายลักษณ์อักษร และที่มาของกฎหมายที่ไม่ได้บัญญัติไว้เป็นลายลักษณ์อักษร ข. ในแง่ขอบเขตของการกระทำของเจ้าหน้าที่ของรัฐ (Limitation) พิจารณาว่า การกระทำ ของเจ้าหน้าที่ของรัฐต้องไม่เกินขอบเขตของบรรดากฎเกณฑ์แห่งกฎหมายทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นรัฐธรรมนูญ หรือพระราชบัญญัติจนถึงกฎที่ออกโดยฝ่ายปกครอง โดยเฉพาะการกระทำ ทางปกครอง ไม่ว่าจะเป็นคำสั่งที่มีผลเป็นการทั่วไป หรือคำสั่งที่มีผลเฉพาะบุคคลจะต้องไม่ขัด หรือแย้ง ต่อกฎเกณฑ์ที่มีศักดิ์สูงกว่าและต้องเป็นไปตามหลักการที่ศาลใช้ในการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ ของประชาชน คือ 1. หลักความมาก่อนของกฎหมาย คือ การกระทำของรัฐที่อยู่ในรูป ของบทบัญญัติของกฎหมายย่อมมาก่อนการกระทำของรัฐต่าง ๆ รวมถึงการกระทำของฝ่ายปกครอง ดังนั้น การกระทำของรัฐต่าง ๆ รวมถึงการกระทำของฝ่ายปกครองที่ขัดต่อบทบัญญัติของกฎหมาย ยอมถือเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย 2. หลักเงื่อนไขของกฎหมาย คือ การกระทำของรัฐต้องมีกฎหมายให้อำนาจ ไว้โดยเฉพาะการกระทำของรัฐที่กระทบต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชน หากไม่มีกฎหมายให้อำนาจ ยอมถือเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย 3. หลักความแน่นอนของกฎหมาย ได้แก่ หลักความชัดเจนของกฎหมาย ที่ต้องบัญญัติกฎหมายให้มีความชัดเจนเพียงพอที่ประชาชนจะสามารถทราบถึงสิทธิหน้าที่ของตน ในสภาพการณ์ของกฎหมายว่าควรจะปฏิบัติเช่นไรจึงจะมิให้ละเมิดกฎหมาย 4. หลักคุ้มครองความสุจริต ฝ่ายปกครองต้องชั่งน้ำหนักระหว่างประโยชน์ สาธารณะที่ได้จากการเพิกถอนนิติกรรมทางปกครองกับประโยชน์ของเอกชนผู้ที่เชื่อโดยสุจริตว่านิติ กรรมทางปกครองนั้นออกโดยชอบด้วยกฎหมายก็ควรคุ้มครองเอกชนผู้กระทำการโดยสุจริต 5. หลักความเสมอภาค (Equality before the Law) ถือเป็นหลักการทั่วไป ที่ป้องกันไม่ให้ฝ่ายปกครองเลือกปฏิบัติ เช่น ความเสมอภาคในการเข้าถึงบริการสาธารณะ ความเสมอ ภาคในการสมัครเข้ารับราชการ ความเสมอภาคในการใช้สาธารณสมบัติของแผ่นดิน ความเสมอภาค ในการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม เป็นต้น 6. หลักแห่งความได้สัดส่วน (Proportionality) รัฐต้องมีอำนาจจำกัดสิทธิ เสรีภาพของผู้อยู่ใต้อำนาจเพียงเท่าที่พอเหมาะ 7. หลักความเป็นกลาง ห้ามมิให้ผู้มีอำนาจสั่งการวินิจฉัยสั่งการมีส่วนได้เสีย ในเรื่องนั้น เช่น ผู้บังคับบัญชาที่พิจารณาความดีความชอบมีคำสั่งขึ้นเงินเดือนเป็นกรณีพิเศษ แก่ผู้ใต้บังคับบัญชาที่เป็นน้องชายตนเอง ถือเป็นการกระทำทางปกครองที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย


18 8. หลักสิทธิป้องกันตนเองหรือหลักการฟังความ 2 ฝ่าย (Audi alterampartem) ให้สิทธิแก่บุคคลที่จะได้รับผลกระทบจากคำสั่งได้รับทราบเหตุผลของการสั่งการข้อเท็จจริง ข้อกฎหมายที่เป็นเหตุผลของคำวินิจฉัย เปิดโอกาสให้การแก้ข้อกล่าวหาและแสดงหลักฐานและให้ เวลาพอสมควรที่จะเข้าใจข้อหาและเตรียมคำให้การแก้ข้อกล่าวหาและพยานหลักฐานสนับสนุน คำให้การได้อย่างเต็มที่ 9. หลักความไม่มีผลใช้บังคับย้อนหลังของการกระทำทางปกครอง หลักกฎหมายไม่มีผลย้อนหลังถือเป็นหลักการทั่วไปที่ป้องกันไม่ให้กระทบสิทธิของประชาชนโดยไม่รู้ ล่วงหน้า ห้ามมิให้ออกกฎหมายผลย้อนหลังกับกรณีที่เกิดขึ้นมาแล้วโดยเฉพาะการย้อนหลังให้เป็นโทษ หลักไม่มีกฎหมาย ไม่มีความผิด ไม่มีโทษ ความสำคัญของหลักนี้ คือ เป็นหลักประกัน ในกฎหมายอาญา และยังใช้กับกรณีโทษปรับทางปกครอง โทษทางวินัยและข้อบังคับขององค์กร วิชาชีพด้วย การกำหนดโทษจะต้องกระทำโดยกฎหมายลายลักษณ์อักษรที่ผ่านกระบวนการ ของรัฐสภาเท่านั้นไม่อาจจะกระทำโดยกฎหมายจารีตประเพณีได้ และต้องมีความชัดเจนแน่นอน ประชาชนจะได้ทราบว่าพฤติกรรมเช่นไรที่กฎหมายบัญญัติเป็นความผิด และควรจะปฏิบัติอย่างไร และห้ามมิให้ออกกฎหมายย้อนหลังไปลงโทษหรือเพิ่มโทษยกเว้นจะเป็นคุณแก่ผู้กระทำความผิด หลักความสูงสุดของรัฐธรรมนูญ รัฐธรรมนูญในฐานะเป็นกฎหมายสูงสุดรากฐาน แนวคิดจากแนวคิดรัฐธรรมนูญนิยม (Constitutionalism) ที่รัฐธรรมนูญเป็นสัญญาประชาคม เป็นกรอบวิถีชีวิตทางการเมือง จัดตั้งองค์กรทางการเมืองแบ่งแยกอำนาจการใช้อธิปไตย และถ่วงดุล อำนาจระหว่างองค์กรจากอำนาจรัฐ และคุ้มครองเสรีภาพของประชาชน จึงทำให้รัฐธรรมนูญอยู่ใน ฐานะสูงสุด กฎหมายใดจะขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญไม่ได้ผลจากการที่แนวคิดนิติรัฐถูกใช้เป็น เครื่องมือในการควบคุมความชอบด้วยกฎหมายของการใช้อำนาจทุกอำนาจขององค์กรต่าง ๆ หลักนิติ รัฐจึงประกอบด้วยหลักการย่อยหลายประการทั้งนี้ เพื่อให้สอดคล้องกบลักษณะของอำนาจที่หลักนิติ รัฐเข้าไปควบคุม เนื่องจากการใช้อำนาจทางปกครองของฝ่ายบริหาร หรือการใช้อำนาจทางปกครอง ขององค์กรอื่น ๆ ตามรัฐธรรมนูญ โดยหลักทั่วไปแล้วการใช้อำนาจทางปกครองเหล่านี้ก็ต้องอยู่ภายใต้ หลักนิติรัฐที่ถูกควบคุมโดยศาลปกครอง โดยการตัดสินข้อพิพาทระหว่างรัฐกับประชาชน ซึ่งการใช้ อำนาจของศาลปกครองดังกล่าวก็จะต้องถูกควบคุมให้อยู่ภายใต้หลักนิติรัฐเช่นเดียวกัน ซึ่งในที่นี้ หมายความรวมถึงการที่ศาลปกครองต้องผูกพันการใช้อำนาจของตนภายใต้หลักการย่อยต่าง ๆ ภายใต้หลักนิติรัฐ อาทิเช่น หลักประกันในการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ หลักความชอบด้วยกฎหมาย ของฝ่ายตุลาการ หลักความสูงสุดของรัฐธรรมนูญ 2.2.3 แนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกับกัญชาในทางกฎหมายอาญา ทฤษฎีการควบคุมอาชญากรรม (Crime Control Model) เป็นทฤษฎีการควบคุม อาชญากรรมมีรูปแบบที่เน้นการส่งเสริมประสิทธิภาพของ กระบวนการยุติธรรม โดยมุ่งที่การควบคุม ระงับ และปราบปรามอาชญากรรมเป็นสำคัญ โดยมองว่าการควบคุม อาชญากรรมเป็นหลักการ ที่สำคัญที่สุดของกระบวนการยุติธรรมทางอาญา กระบวนการยุติธรรมต้อง สม่ำเสมอไม่หยุดชะงัก มีลักษณะรวบรัดและมีประสิทธิภาพ ส่วนสิทธิของ ผู้ต้องหาทฤษฎีนี้มีความมุ่งหวัง ที่จะปราบปราม


19 อาชญากรรมหรือจับกุมอาชญากรรมมาลงโทษ หากเจ้าหน้าที่ไม่สามารถนำตัวอาชญากรรมมาลงโทษ ได้แล้วจะส่งผลกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพของประชาชนในสังคม กระบวนการยุติธรรมรูปแบบ การควบคุมอาชญากรรมจึงปรากฏสถิติ การจับกุมผู้กระทำความผิดสูง ซึ่งสัมพันธ์กับความมุ่งหมาย คือ ขั้นตอนในกระบวนการยุติธรรมต้องรวดเร็วและเด็ดขาด มีประสิทธิภาพและต้องยอมรับว่า การค้นหาข้อเท็จจริงในชั้นตำรวจและพนักงานอัยการนั้นเพียง พอที่จะให้ความเชื่อถือว่าสามารถ จะวินิจฉัยความถูกผิดของขั้นตอนได้ (ประธาน วัฒนวาณิชย์, 2550, หน้า151) ทฤษฎีความชอบด้วยกระบวนการทางกฎหมาย (Due Process Model) หรือที่เรียกว่า กระบวนการนิติธรรม หรือหลักกระบวนการที่ถูกต้องตามกฎหมาย เป็นหลักกฎหมาย ที่พัฒนาขึ้นในประเทศสหรัฐอเมริกา ได้รับอิทธิพลแนวความคิดจากการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของ ประชาชนมาจากประเทศอังกฤษ ซึ่งปรากฏครั้งแรกในกฎบัตรแมกนาคาร์ตา ค.ศ.1354 สมัยพระเจ้า เอ็ดเวิร์ดที่ 3 แห่งอังกฤษ มีลักษณะเป็นการให้หลักประกันแก่ประชาชนว่าไม่มีผู้ใดจะล่วงละเมิดสิทธิ เสรีภาพของประชาชนได้ เว้นแต่ โดยวิถีทางที่ถูกต้องและชอบธรรมตามกฎหมายเท่านั้น หรือมีชื่อ เรียกในภาษาไทยว่า “รูปแบบที่ยึดกฎหมายเป็นสำคัญ” หลัก Due Process Model ในรัฐธรรมนูญ ของสหรัฐอเมริกาได้บัญญัติรับรองไว้ในบทบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมฉบับที่ 5 และบทบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติม ฉบับที่ 14 ซึ่งวางหลักไว้ว่า รัฐจะเพิกถอน ลิดรอน หรือกระทำการใด ๆ อันมีผลกระทบต่อสิทธิ ในชีวิต เสรีภาพและทรัพย์สินของ บุคคลโดยปราศจากกระบวนการที่ถูกต้อง ตามกฎหมายไม่ได้ เป็นหลักที่ให้บุคคลได้มีโอกาสเข้าสู่กระบวนการไต่สวน หรือกระบวนการพิจารณาคดีที่เหมาะสม และเป็นไปตามวิถีทางที่กฎหมาย กำหนดไว้ทฤษฎีนี้มุ่งเน้นที่กระบวนการและวิธีปฏิบัติในการรับรอง และคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของผู้ต้องหาและจำเลยในกระบวนการยุติธรรม มากกว่าทฤษฎีการควบคุม อาชญากรรมที่มุ่งเน้นการปราบปรามและป้องกันอาชญากรรม ทฤษฎีกระบวนการยุติธรรมจะยึด กฎหมายเป็นหลักการดำเนินคดี ต้องกระทำตามรูปแบบและไม่เห็นด้วยกับการแสวงหาข้อเท็จจริง ที่ไม่เป็นทางการ เน้นการแสวงหาพยานหลักฐานที่เชื่อถือได้และชอบด้วยขั้นตอนตามที่กฎหมาย บัญญัติ การกระทำของเจ้าหน้าที่ตำรวจในการค้นหาความจริง แสวงหาพยานหลักฐานในคดีต้อง ดำเนินไปอย่างเป็นทางการ และมีการกระทำอย่างเปิดเผย สรุปได้ว่า การตีความและการยอมรับสิทธิ ประเภทต่าง ๆ ยังมีความแตกต่างกันอยู่บ้าง เนื่องจากขึ้นอยู่กับรูปแบบของกระบวนการยุติธรรมทาง อาญาทั้ง 2 ทฤษฎีต่างมีเป้าหมาย คือ มุ่งรักษาความสงบเรียบร้อยและความปลอดภัยของสังคมโดย ส่วนรวม เพียงแต่ส่วนที่แตกต่าง คือ วิธีการที่นำไปสู่เป้าหมายว่าให้ความสำคัญกับทฤษฎีใดมากกว่า กัน ระหว่างทฤษฎีการควบคุมอาชญากรรม หรือทฤษฎีความชอบด้วยกระบวนการยุติธรรม ทางกฎหมาย โดยทฤษฎีควบคุมอาชญากรรมเน้นการส่งเสริมประสิทธิภาพกระบวนการยุติธรรม มุ่งเน้นการควบคุม การระงับและการปราบปรามเป็นหลัก ส่งผลให้มีสถิติการจับกุมผู้กระทำความผิด ที่สูง การดำเนินการตามขั้นตอน เน้นความรวดเร็วและเด็ดขาด แต่หากยึดทฤษฎีการควบคุม อาชญากรรมมากเกินไป จะส่งผลให้สังคมยอมรับการกระทำที่มิชอบด้วยกฎหมายของเจ้าหน้าที่ได้ ซึ่งเป็นผลเสียต่อสิทธิเสรีภาพของผู้ต้องหาที่อาจถูกละเมิด ส่วนทฤษฎีกระบวนการยุติธรรมนั้น เน้นในแง่การคุ้มครองสิทธิมากกว่า ยึดหลัก กฎหมายหรือหลักนิติธรรม ไม่ว่าจะเป็นหลักที่ว่าบุคคล จะไม่ถูกกล่าวหาว่าประกอบอาชญากรรม เพียงเพราะมีพยานหลักฐานว่าเขาได้กระทำการเช่นนั้น


20 แต่จะมีความผิดต่อเมื่อผู้มีอำนาจ ทางกฎหมายที่เป็นกลางได้ พิจารณาและชี้ขาดแล้วว่าผิดจริง และการพิจารณาชี้ขาดต้องกระทำโดยเปิดเผย ไม่เข้าข้างฝ่ายใด ที่สำคัญต้องให้ผู้มีอำนาจพิจารณา พิพากษาพิจารณาว่าสิทธิอันเป็นธรรมของบุคคลนั้นได้ถูกยอมรับโดยองค์กรของกระบวนการยุติธรรม อย่างถี่ถ้วน ไม่ว่าจะเป็นการจับกุม การค้น และการยึด เพื่อหาพยานหลักฐานมาพิสูจน์ความผิดหรือ ความบริสุทธิ์ของผู้ต้องหา แต่มีข้อเสีย คือ หากมุ่งคำนึงถึงสิทธิเสรีภาพของผู้ต้องหามากเกินไป อาจส่งผลให้อาชญากรรอดพ้นจากการถูกลงโทษได้ ในส่วนประเด็นว่ามีประเทศใดที่ใช้เพียงรูปแบบใดรูปหนึ่งหรือไม่นั้น อาจกล่าวได้ว่า โดยส่วนมากมักจะใช้ทั้งสองรูปแบบประสานกัน จะต่างกันเพียงว่าจะให้ความสำคัญต่อทฤษฎีใด มากกว่า เนื่องจากการดำเนินคดีอาญาของประเทศใดก็ตามต้องประกอบไปด้วยความขัดแย้งระหว่าง ประโยชน์ของรัฐ และประโยชน์ของเอกชนอยู่ตลอดเวลา ประโยชน์ของรัฐ คือ ความสงบเรียบร้อย ภายในรัฐ ส่วนประโยชน์ของเอกชนคือ สิทธิและเสรีภาพของบุคคล (ประธาน วัฒนวาณิชย์, 2550, หน้า 153) กฎหมายอาญา คือ กฎหมายที่บัญญัติว่า การกระทำหรือไม่กระทำการอย่างใด เป็นความผิดและกำหนดโทษที่จะลงแก่ผู้กระทำความผิดไว้ด้วย กล่าวอีกนัยหนึ่ง กฎหมายอาญา คือ กฎหมายที่บัญญัติห้ามมิให้มีการกระทำอย่างหนึ่งอย่างใด หรือบังคับให้มีการกระทำอย่างหนึ่ง อย่างใด โดยผู้ที่ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามจะต้องได้รับโทษ ทฤษฎีเกี่ยวกับการลงโทษ 1.ทฤษฎีเด็ดขาด (absolute theory) ถือว่าการที่กฎหมายอาญาบัญญัติ ให้ลงโทษผู้กระทำผิดนั้น เพราะเหตุที่ได้มีการกระทำความผิดเกิดขึ้นอย่างเดียว กล่าวคือจะต้องมีการ ลงโทษเพื่อให้มีการแก้แค้นที่ถูกต้องต่อผู้กระทำความผิด 2.ทฤษฎีสัมพัทธ์ (relative theory) ไม่ได้พิจารณาในแง่ของการกระทำความผิด แต่ได้พิจารณาในแง่ที่ว่าควรจะลงโทษอย่างใดจึงจะเกิดประโยชน์และโดยเหตุนั้น การลงโทษจึงต้อง คำนึงถึงตัวผู้กระทำความผิดกับเพื่อนมนุษย์อื่น ๆ โทษนั้นควรจะมีผลเป็นการกระทำให้ผู้กระทำ ความผิดหวาดกลัว ทำให้ผู้กระทำความผิดกลับตนเป็นคนดี หรือทำให้สังคมปลอดภัยจากการกระทำ ความผิด ทั้งนี้ เพื่อเป็นการป้องกันขัดขวางมิให้การกระทำความผิดเกิดขึ้นอีก วัตถุประสงค์ของการลงโทษ 1. เพื่อเป็นการแก้แค้นทดแทน ซึ่งเป็นไปตามแนวคิดที่ว่า ผู้ใดกระทำการใด ย่อมได้รับผลตอบแทนการกระทำนั้น 2. เพื่อเป็นการข่มขู่ ไม่ให้คนทั่วไปกระทำและไม่ให้ผู้กระทำแล้วทำผิดซ้ำอีก 3. เพื่อเป็นการคุ้มครองสังคมให้พ้นจากภยันตราย ในระหว่างที่ผู้กระทำถูกตัด ขาดจากสังคมไป 4. เพื่อเป็นการปรับปรุงแก้ไขตัวผู้กระทำความผิด โดยจะมีการแยกประเภท นักโทษเพื่อสะดวกแก่การอบรม และการรักษาพยาบาล ทฤษฎีหรือวัตถุประสงค์เหล่านี้ บางกรณีก็ขัดแย้งกัน เช่น การลงโทษเพื่อเป็นการ แก้แค้นทดแทน ข่มขู่ จะต้องให้ผู้ต้องโทษได้ประสบกับความยากลำบากพอสมควร ซึ่งถ้าผู้ต้องโทษ


21 ได้รับความทุกข์ทรมาน อาจจะทำให้โอกาสที่จะปรับตัวเป็นพลเมืองดีมีน้อยลงไป ถ้าพิจารณาในแง่ ของการปรับปรุงแก้ไขตัวผู้กระทำผิดแต่อย่างเดียว หรือในแง่ของการคุ้มครองสังคมให้ปลอดภัย ผลคือ เมื่อใดที่ผู้นั้นกลับตัวเป็นคนดีจะต้องปล่อยเขาให้พ้นโทษทันที เพราะไม่มีเหตุที่จะควบคุมตัวอีก ต่อไป แต่การปล่อยตัวดังกล่าวเป็นการขัดต่อทฤษฎีข่มขู่บุคคลอื่นและทฤษฎีแก้แค้นทดแทน เพราะหากกระทำความผิดร้ายแรงแต่ผู้กระทำความผิดกลับตัวเป็นคนดีอย่างแน่นอนแล้ว จำต้อง ปล่อยก่อนกำหนดผลของการข่มขู่ก็ไม่มี การแก้แค้นทดแทนก็ไม่มีด้วยเหตุนี้ การลงโทษจึงมุ่งเพื่อ วัตถุประสงค์ประการหนึ่งประการใดแต่เพียงอย่างเดียว โดยไม่คำนึงถึงประการอื่นไม่ได้ การลงโทษ จะต้องมีความมุ่งหมายหลายประการประกอบกัน จะพิจารณาแง่หนึ่งแง่ใดโดยไม่คำนึงถึงจุดประสงค์ อื่นด้วยไม่ได้ หลักเกณฑ์ในการกำหนดความผิดทางอาญา โดยที่จารีตประเพณี ศาสนา และศีลธรรม มีส่วนสำคัญในการก่อให้เกิดกฎหมาย และการปฏิบัติตามกฎหมาย ซึ่งกฎหมายอาญา และศีลธรรมนั้นมีความเกี่ยวพันกัน ความผิดอาญาที่ร้ายแรง เช่น ฆ่าคน ชิงทรัพย์ เป็นสิ่งที่ผิด ศีลธรรม แต่มีหลายกรณีที่ถือว่าผิดศีลธรรมแต่ไม่ผิดกฎหมายอาญา เช่น การพูดโกหก การดื่มสุรา และการกระทำบางอย่างที่ไม่ผิดศีลธรรม แต่ผิดกฎหมายอาญา เช่น กรณีความรับผิดโดยเด็ดขาด ในทางอาญา กล่าวคือ ไม่มีเจตนา ไม่ประมาท แต่กฎหมายบัญญัติให้การกระทำนั้นเป็นความผิด จึงเห็นได้ว่า ศีลธรรมและกฎหมายอาญาไม่ได้สอดคล้องกันทุกกรณีซึ่งเห็นได้ชัดในหลายประเทศ ที่ยอมให้มีการกระทำซึ่งเห็นได้ชัดว่าผิดศีลธรรม เช่น การทำแท้ง เป็นต้น Herbert L. Packer ได้ให้หลัก 6 ประการ ในอันที่จะถือว่าการกระทำเรื่องนั้น ควรเป็นความผิดอาญาหรือไม่ ดังต่อไปนี้ 1.การกระทำนั้นเป็นที่เห็นได้ชัดในคนส่วนมากกว่าเป็นการกระท ำ ที่กระทบกระเทือนต่อสังคม และให้อภัยแก่การกระทำเช่นนั้นมิได้ 2.ถ้าการกระทำดังกล่าวเป็นความผิดทางอาญาแล้วจะไม่ขัดแย้งกับวัตถุประสงค์ ของการลงโทษประการต่าง ๆ 3. การปราบปรามการกระทำเช่นนั้น กล่าวคือ การถือว่าการกระทำนั้นเป็น ความผิดทางอาญา จะไม่มีผลเป็นการลดการกระทำที่สังคมเห็นว่าถูกต้องให้น้อยลงไป 4. หากเป็นความผิดอาญาแล้ว จะมีการใช้บังคับกฎหมายอย่างเสมอภาคและเท่า เทียมกัน 5. การใช้กระบวนการยุติธรรมทางอาญากับการกระทำดังกล่าวจะไม่มีผลทำให้ เกิดการใช้กระบวนการนั้นอย่างเกินขีดความสามารถทั้งทางด้านคุณภาพและปริมาณ 6. ไม่มีมาตรการควบคุมอย่างสมเหตุสมผลอื่นแล้ว นอกจากการใช้กฎหมาย อาญากับกรณีที่เกิดขึ้น หลักเกณฑ์ในการกำหนดขอบเขตของกฎหมายอาญาดังกล่าวนี้ จะช่วยแก้ปัญหาการเกิดกฎหมายอาญาเฟ้อ (overcriminalization) ขึ้นได้ เพราะหากรัฐ มุ่งแต่จะควบคุมความประพฤติของสมาชิกในสังคมโดยใช้กฎหมายอาญาเป็นเครื่องมือ โดยไม่พิจารณาถึงประสิทธิภาพและความสามารถของกลไกของรัฐที่จะใช้บังคับกฎหมายอาญาแล้ว กฎหมายจะไร้ความหมาย ขาดความศักดิ์สิทธิ์และเป็นการเปิดโอกาสให้เจ้าพนักงานของรัฐ ที่ประพฤติมิชอบมีโอกาสแสวงหาประโยชน์เพื่อตนเองจากกฎหมายเหล่านี้ หรือหากมีการใช้บังคับ กฎหมายซึ่งมิได้มีการใช้บังคับมาเป็นเวลานาน ผู้ถูกใช้บังคับจะเกิดปฏิกิริยาเพราะถือว่า


22 ถูกเลือกปฏิบัติ ซึ่งจะทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ใช้บังคับกฎหมายและชุมชนเสียไป ปัจจุบันได้มี การใช้กฎหมายอาญาต่อการกระทำหรือไม่กระทำอย่างมากมาย แม้เรื่องเล็กน้อยก็ตาม หรือแม้แต่ การกระทำที่ไม่มีเจตนาและไม่ประมาทที่เรียกว่าความรับผิดเด็ดขาด (strict liability) หรือความรับ ผิดในการกระทำของบุคคลอื่น (vicarious liability) ก็เป็นความผิดทางอาญาหลายกรณีด้วยกัน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าแม้ผู้กระทำจะมิได้มีความชั่วในการกระทำนั้น ๆ ผู้กระทำ ก็อาจต้องรับผิดทางอาญา นอกจากนี้ต้องคำนึงอยู่เสมอว่า การใช้บังคับกฎหมายอาญานั้นสิ้นเปลืองกว่ากฎหมายแพ่ง เพราะรัฐ ต้องจัดหาตำรวจ อัยการ ศาล และราชทัณฑ์ให้เพียงพอเพื่อให้การใช้บังคับกฎหมายเป็นไปอย่าง เสมอภาคและมีประสิทธิภาพ 2.2.4 แนวคิดทฤษฎีในการใช้กัญชาเพื่อการแพทย์ แนวคิดการคุ้มครองสิทธิผู้เสพกัญชาโดยใช้มาตรการทางกฎหมาย กล่าวว่าความผิด การเสพกัญชานั้น ปัจจุบันถูกกำหนดให้เป็นความผิดทางอาญาที่มิใช่เป็นความชั่วร้ายในตัวเอง (mala in se) แต่เป็นความผิดเพราะกฎหมายห้าม (mala prohibita) ซึ่งคือการกระทำเพราะมีกฎหมาย กำหนดให้เป็นความผิด โดยนักกฎหมายมักจะกำหนดโทษการครอบครองยาเสพติดให้เป็นความผิด ทางกฎหมายรวมถึงกัญชา การใช้มาตรการทางกฎหมายที่เหมาะสมกับยาเสพติดไม่ใช่เป็นการทำให้ สิ่งที่ผิดกฎหมายให้ถูกกฎหมายเสมอไป แต่เป็นการลดทอนความผิดทางอาญา (Decriminalization) ซึ่งในประเทศไทยนั้นก็เคยมีการใช้กัญชาในสมัยก่อนโดยใช้เป็นตำรับยาแผนโบราณ และปัจจุบัน การใช้กัญชาในมิติต่าง ๆ เกิดขึ้นอย่างมากมายจึงต้องมีมาตรการทางกฎหมายในการครอบครอง กัญชาอย่างเป็นธรรมและถูกต้อง และได้กำหนดให้กัญชาเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 5 (พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 7), 2562) และกำหนดความผิดการเสพ คือ ห้ามมิให้ผู้ใด เสพยาเสพติดให้โทษประเภท 5 เว้นแต่การเสพนั้นเป็นการเสพเพื่อการรักษาโรค ตามคำสั่งของ ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม ผู้ประกอบวิชาชีพทันตกรรม ผู้ประกอบวิชาชีพการแพทย์ แผนไทย ผู้ประกอบวิชาชีพการแพทย์แผนไทยประยุกต์ หรือหมอพื้นบ้านตามกฎหมายว่าด้วยวิชาชีพ การแพทย์แผนไทยที่ได้รับใบอนุญาตหรือเป็นการเสพเพื่อการศึกษาวิจัย ทั้งนี้ ตำรับยาที่เสพได้ ให้เป็นไปตามที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด (พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 7), 2562) และหากการครอบครองไม่เกินปริมาณที่จำเป็นสำหรับใช้รักษาโรคเฉพาะตัว โดยมีใบสั่งยาหรือ หนังสือรับรองของผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม ผู้ประกอบวิชาชีพทันตกรรม ผู้ประกอบวิชาชีพ การแพทย์แผนไทย ผู้ประกอบวิชาชีพการแพทย์แผนไทยประยุกต์ หรือหมอพื้นบ้าน ตามกฎหมายว่า ด้วยวิชาชีพการแพทย์แผนไทยซึ่งเป็นผู้ให้การรักษา ส่วนผู้ประกอบวิชาชีพการแพทย์แผนไทยและ หมอพื้นบ้าน ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดโดย ความเห็นชอบของคณะกรรมการ (พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 7), 2562) หากพิจารณา จากกฎหมายของประเทศไทยเกี่ยวกับการครอบครองกัญชาอันเป็นยาเสพติดประเภทที่ 5 แล้ว ทำให้การเสพและครอบครองกัญชาที่ไม่ได้รับอนุญาตซึ่งต้องเป็นกรณีเฉพาะเท่านั้น ผู้เสพทั่วไป ยังมีความผิดทางอาญาอยู่ จึงต้องนำกระบวนการยุติธรรมทางอาญามาใช้บังคับกับผู้เสพกัญชา โดยสภาพทางวิทยาศาสตร์ของกัญชานั้นมีส่วนที่เป็นคุณและเป็นโทษต่อร่างกาย ของผู้เสพ หากมีการเสพมากไปก็จะส่งผลเสียต่อร่างกายของผู้เสพ ดังนั้นทฤษฎีการลดทอนความผิด


23 ทางอาญากับความผิดฐานเสพกัญชาให้ผู้เสพกัญชา เพื่อเปิดโอกาสถ้ามีให้สิทธิในการอนุญาตให้เสพ กัญชาอย่างถูกต้องตามกฎหมายและดำเนินการไปพร้อมกับการควบคุมปริมาณสารของการผลิตสาร สกัดที่อาจจะมีผลอันตรายต่อสุขภาพ ซึ่งต้องควบคุมปริมาณการเสพอย่างปลอดภัยให้มากขึ้นในทาง ปฏิบัติ รวมถึงมีการลงทะเบียนไว้กับหน่วยงานที่รับผิดชอบด้านสาธารณสุขเกี่ยวกับสารเสพติด เพื่อสามารถดูแลสุขภาพได้อย่างปลอดภัยในการเสพกัญชา ด้วยเหตุที่ความผิดฐานเสพกัญชาเป็นหนึ่ง ในบทบัญญัติของกฎหมายที่ต้องทำให้สอดรับกับแนวคิดที่จะพัฒนาประเทศไทยซึ่งเป็นประเทศที่มีมิติ ทางนิติบัญญัติในการกำหนดความผิดอาญา ทำให้ปัจจุบันมีการใช้กฎหมายอาญาฟุ่มเฟือย โดยเฉพาะ การกำหนดความผิดอาญาเกี่ยวกับยาเสพติด มีการดำเนินกระบวนยุติธรรมทางอาญาและมีการใช้โทษ จำคุกเป็นหลักมากเกินกว่าจำเป็น ความผิดฐานเสพกัญชานั้นมีความเกี่ยวข้องกับทฤษฎีการกำหนด ความผิดทางอาญาโดยหลักการกำหนด “ความผิดอาญา” มีความสำคัญมาก เพราะมีผลกระทบต่อ เนื้อตัวร่างกาย สิทธิและเสรีภาพของมนุษย์ การกำหนดความผิดอาญาจึงต้องใช้เฉพาะกับการกระทำ ที่เป็นอาชญากรรมเท่านั้นและ “เท่าที่จำเป็น” กล่าวคือ ถ้ากำหนดความผิดอาญาเกินความจำเป็น ก็จะมีผลกระทบต่อปัจเจกบุคคล หลักนิติธรรม สิทธิมนุษยชน ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ กระบวนการ ยุติธรรม สังคม ซึ่งจะก่อให้เกิดผลกระทบเสียหายมาก ดังที่ปรากฏจากนโยบายการใช้กฎหมายอาญา และกระบวนการยุติธรรมทางอาญาซึ่งเน้นการปราบปราม แต่พฤติกรรมการเสพกัญชาไม่มีความเป็น อาชญากรรม หากพิจารณาความเป็นอาชญากรรมนั้น ต้องพิจารณาถึงความชั่วในการกระทำความผิด ด้วย “ความชั่ว” (Schuld) (คณิต ณ นคร, 2551) ที่มีความสัมพันธ์กับการลงโทษทางอาญานั้น ต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของความชั่วด้วยประการหนึ่ง จึงทำให้สามารถพิจารณาถึงการบัญญัติกฎหมาย เกี่ยวกับการเสพกัญชาว่าแท้จริงแล้วควรจะลดทอนความผิดทางอาญาหรือไม่ (แก้ไขหรือยกเลิก ความผิดทางอาญา) โดยการบัญญัติกฎหมายต่าง ๆ นั้นย่อมมีแหล่งที่มาของกฎหมาย โดยประเภท ของกฎหมาย ความสัมพันธ์ของกฎหมายที่เกี่ยวกับกัญชานั้นยังเกี่ยวข้องกับหลักการของรัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักร พ.ศ.2560 ปัจจุบันรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 มาตรา 77 วรรคหนึ่ง มีการบัญญัติถึงหลักเกณฑ์ในการตรากฎหมายขึ้นมาในการบังคับใช้มีความว่า “รัฐพึงจัดให้มีกฎหมาย เพียงเท่าที่จำเป็น และยกเลิกหรือปรับปรุงกฎหมายที่หมดความจำเป็นหรือไม่สอดคล้องกับ สภาพการณ์ หรือที่เป็นอุปสรรคต่อการดำรงชีวิตหรือการประกอบอาชีพโดยไม่ชักช้าเพื่อไม่ให้เป็นภาระแก่ ประชาชน และดำเนินการให้ประชาชนเข้าถึงตัวบทกฎหมายต่าง ๆ ได้โดยสะดวกและสามารถเข้าใจ กฎหมายได้ง่ายเพื่อปฏิบัติตามกฎหมายได้อย่างถูกต้อง” ดังนั้น กฎหมายเกี่ยวกับการเสพกัญชา โดยให้ถือว่ามีความผิดทางอาญานั้น อาจกล่าวได้ว่าเป็นกฎหมายที่ไม่สอดคล้องกับสภาพการณ์และ เป็นอุปสรรคต่อการประกอบอาชีพต่าง ๆ ที่จะเกี่ยวกับความก้าวหน้าของนวัตกรรมเกี่ยวกับกัญชา ในอนาคต ซึ่งสอดคล้องกับหลักการและทฤษฎีว่าด้วยความได้สัดส่วน แต่ถึงอย่างนั้น การจะกำหนดกฎเกณฑ์หรือบทบัญญัติใด ๆ ไม่อาจจะสามารถบัญญัติได้ ตามอำเภอใจ ตามความนึกคิดของตัวผู้บัญญัติเอง แต่ต้องคำนึงถึงหลักความได้สัดส่วนประกอบการ พิจารณาด้วยหลักนี้สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าลายลักษณ์อักษรในรัฐธรรมนูญ หรือเรียกอีกนัยหนึ่งได้ว่า “รัฐธรรมนูญที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร แม้รัฐธรรมนูญของประเทศต่าง ๆ จะไม่ได้บัญญัติหลักแห่ง ความได้สัดส่วนไว้เป็นลายลักษณ์อักษร แต่ก็ถือกันว่าเป็นหลักรัฐธรรมนูญทั่วไปและมีค่าบังคับเสมอ กันกับบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ (Bloc Constitutionnel) (เกรียงไกร เจริญธนาวัฒน์, 2556)


24 ดังนั้น หลักความได้สัดส่วนนี้ เป็นหลักการพื้นฐานอย่างแท้จริงของความสัมพันธ์ระหว่างผู้ใช้อำนาจ กับผู้ที่ตกอยู่ภายใต้ อำนาจที่บังคับให้ผู้ใช้อำนาจจำกัดสิทธิและเสรีภาพของผู้ตกอยู่ภายใต้อำนาจของ ตนอย่างพอเหมาะพอประมาณ (Moderation) หลักแห่งความได้สัดส่วนนี้เป็นหลักกฎหมายที่ ศาลปกครองประเทศสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีและประเทศสาธารณรัฐฝรั่งเศสได้พัฒนา ขึ้นมาเพื่อเป็นหลักเกณฑ์ในการตรวจสอบความชอบด้วยกฎหมายในการใช้อำนาจรัฐ โดยมิให้ใช้อำนาจรัฐเป็นการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของประชาชนเกินขอบเขตของความเหมาะสม ความจำเป็นขาดการสร้างดุลยภาพที่มีขึ้นระหว่างประโยชน์ของปัจเจกชนและประโยชน์สาธารณะ ดังนั้น ลักษณะความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดในประเทศไทยนั้น “ผู้เสพกัญชา” มีความผิดอาญา มีโทษจำคุกและปรับ แม้ว่าในปัจจุบันจะมีการคุ้มครองสิทธิมากขึ้นก็ตาม แต่ “การเสพกัญชา” ก็ยังเป็นความผิดทางอาญาเช่นเดิม ในหลายประเทศได้เปลี่ยนเป็นการใช้มาตรการทางกฎหมายอื่น ๆ แทนการนำ กระบวนการยุติธรรมทางอาญามาบังคับใช้กับ“คนเสพยาเสพติด มีไว้เพื่อเสพ ซื้อขายเพื่อเสพ” โดยการออกกฎหมายที่ยกระดับหน่วยงานทางปกครองและงานทางการแพทย์และสาธารณสุข หรือให้ภาคสังคมเข้ามาช่วยเข้ามาดูแลร่วมกันแทน ในการดูแลสุขภาพอนามัยของผู้เสพยาเสพติด ทำให้ “การเสพกัญชา” ไม่ต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมทางอาญาอีกต่อไป ในการพิจารณาการปรับปรุงพัฒนากฎหมายกัญชาให้เหมาะสมกับประโยชน์ และโทษของกัญชาเมื่อทำเปรียบเทียบกัญชากับกระท่อมที่อยู่ในยาเสพติดประเภทเดียวกัน แล้วนั้น จะเห็นได้ว่าในอดีตพืชกระท่อมเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 ตามพระราชบัญญัติ ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 แต่ในหลายประเทศมิได้กำหนดให้พืชกระท่อมเป็นยาเสพติด ให้โทษประกอบกับอนุสัญญาเดี่ยวว่าด้วยยาเสพติดให้โทษ ค.ศ.1961 และพิธีสารแก้ไข อนุสัญญาเดี่ยวว่าด้วยยาเสพติดให้โทษ ค.ศ.1972 มิได้กำหนดให้พืชกระท่อมเป็นยาเสพติดให้โทษ เพื่อให้สอดคล้องกับหลักสากลและบริบทของสังคมไทย ในบางพื้นที่ที่มีการบริโภคพืชกระท่อม ตามวิถีชาวบ้าน เห็นสมควรยกเลิกพืชกระท่อมจากการเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 จึงได้มีประกาศยกเลิกพืชกระท่อมเป็นยาเสพติด เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2564 ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่ประกาศพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 8) พ.ศ.2564 ทำให้ประชาชน สามารถปลูกและขายได้ มีผลใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดเก้าสิบวันนับแต่วันประกาศในราชกิจจา นุเบกษาเป็นต้นไป ปัจจุบันถือว่ามีผลใช้บังคับแล้ว การให้พืชกระท่อมออกจากยาเสพติดให้โทษ ประเภท 5 นอกจากจะเป็นประโยชน์ทางเศรษฐกิจ โดยเป็นการสร้างอาชีพ ส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชน รักษาวิถีชีวิตท้องถิ่นและนำไปสู่การต่อยอดด้านการวิจัยพัฒนาทางการแพทย์ ตามแนวทางเศรษฐกิจ ชีวภาพแล้ว ยังช่วยแก้ปัญหาด้านการอำนวยความยุติธรรมให้แก่ประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน เนื่องจากเคยถูกจับกุมดำเนินคดีเป็นจำนวนมาก อีกทั้งยังช่วยประหยัดงบประมาณ ในส่วนของภาครัฐและภาคประชาชนในขั้นตอนการดำเนินคดีอาญาอีกด้วย ซึ่งการนำ รูปแบบการยกเลิกพืชกระท่อมเป็นยาเสพติด อาจเป็นแนวทางในการพัฒนากฎหมาย เพื่อนำมาใช้เป็นแนวทางในการคุ้มครองสิทธิของผู้เสพกัญชาในอนาคตที่อนุญาตให้เสพ และมีมาตรการคุ้มครองสำหรับผู้เสพมากขึ้นกว่าปัจจุบัน (วิเชษฐ์ สินประสิทธิ์กุล, พ.ย.64)


25 2.3 ข้อมูลเกี่ยวข้องกับการใช้กัญชาในต่างประเทศ ในประเทศส่วนใหญ่ทั่วโลกยังไม่มีการยอมรับให้ใช้กัญชาเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ และ ในประเทศแถบอาเซียนก็เช่นเดียวกัน ซึ่งบางประเทศได้กำหนดบทลงโทษรุนแรง ยกเว้นประเทศไทย ที่อนุญาตให้ใช้กัญชาเพื่อประโยชน์ในทางการแพทย์ เช่น 2.3.1 การใช้กัญชาในประเทศสิงคโปร์ ได้มีบทบัญญัติเกี่ยวกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับกฎหมายยาเสพติด ซึ่งรวมถึง กัญชา และมีบทกำหนดโทษที่มีโทษรุนแรง ในความผิดเกี่ยวกับกัญชา (Cannabis) ในประเทศ สิงค์โปร์ ชาวสิงคโปร์ บุคคลที่มีถิ่นที่อยู่ในประเทศสิงคโปร์(permanent resident) และผู้ที่ จะเดินทางเข้าประเทศสิงคโปร์ที่ใช้กัญชานอกสิงคโปร์ ต้องรับโทษเช่นเดียวกับกากระทำความผิด ในประเทศ บทกำหนดโทษกรณีครอบครองหรือเสพกัญชา จำคุกสูงสุด 10 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 ดอลลาร์สิงคโปร์หรือทั้งจำทั้งปรับ กรณีการลักลอบ แจกจ่าย นำเข้าหรือส่งออกกัญชา มากกว่า 500 กรัม อาจได้รับโทษประหารชีวิต ยางกัญชา (Cannabis Mixture) มากกว่า 200 กรัม อาจได้รับโทษ ประหารชีวิต กัญชาผสม (Cannabis Mixture) มากกว่า 1,000 กรัม อาจได้รับโทษประหารชีวิต (สำนักงานแรงงาน, 2565) 2.3.2 การใช้กัญชาในประเทศมาเลเซีย ได้มีบทบัญญัติเกี่ยวกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับกฎหมายยาเสพติด ซึ่งรวมถึง กัญชา และมีโทษรุนแรง บทลงโทษในความผิดเกี่ยวกับกัญชา (Cannabis) ในประเทศมาเลเซีย บุคคลที่มีถิ่นที่อยู่ในประเทศมาเลเซีย(permanent resident) และผู้ที่จะเดินทางเข้าประเทศมาเลเซีย ที่ใช้กัญชานอกสิงคโปร์ต้องรับโทษเช่นเดียวกับการกระทำความผิดในประเทศ บทกำหนดโทษ กรณีผู้ค้า ผู้ครอบครองกัญชา 200 กรัม มีโทษประหารชีวิต ส่วนการครอบครองไม่เกิน 50 กรัม มีโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี ในส่วนของประเทศที่มีการอนุญาตให้ใช้กัญชาเพื่อประโยชน์ในทางการแพทย์ มีดังต่อไปนี้ 2.3.3 การใช้กัญชาในประเทศออสเตรเลีย ประเทศออสเตรเลีย (Australia) เป็นภาคีสมาชิกในอนุสัญญาเดียวว่าด้วยยาเสพติด ค.ศ.1961 เช่นเดียวกับประเทศไทย เป็นประเทศที่มีกฎหมายยาเสพติด คือ Narcotic Drugs Act 1967 ซึ่งจำกัดการใช้ หรือ ครอบครองกัญชา อีกทั้งประเทศออสเตรเลียกำลังพัฒนากฎหมายที่ เกี่ยวข้องกับกัญชา คือ Narcotic Drugs Regulation 2016 เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2016 ซึ่งอยู่ภายใต้ บังคับของกฎหมาย ยาเสพติด (Narcotic Drugs Act 1967) สาระสำคัญของกฎหมายฉบับนี้กำหนด ใบอนุญาตให้ใช้กัญชาในทางการแพทย์และการวิจัย (Medical Cannabis Licences and Cannabis Research Licences and Permit) นอกจากนี้บางรัฐยังจัดทำโครงการอนุญาตให้ผู้ป่วยในระยะ สุดท้ายของชีวิตใช้กัญชารักษาอาการได้ในบางรัฐ ตลอดจนมีนโยบายให้เอกชนปลูกกัญชาเพื่อวิจัย อันมีวัตถุประสงค์ในทางการแพทย์เพื่อเปิดโอกาสให้ผลิตยารักษาอาการป่วยรุนแรงภายในประเทศ เป็นต้น 1) นโยบายและแนวคิดว่าด้วยยาเสพติดของรัฐ ประเทศออสเตรเลียเป็นประเทศที่มี ประชากรใช้ยาเสพติดในทางที่ผิดเป็นจำนวนมาก จากการสำรวจผู้ใช้กัญชาในประเทศออสเตรเลีย พบว่าประชากรประมาณ 1 ใน 3 ของประชากรที่มีอายุ 22 ปีขึ้นไป เคยทดลองใช้กัญชา (ประมาณ


26 5.8 ล้านคน) และมีผู้ใช้กัญชาเป็นประจำในทุกสัปดาห์ จำนวนประมาณ 75,000 คน อีกทั้งมีผู้สูบ กัญชาทุกวันประมาณ 300,000 คน ตั้งแต่ปี ค.ศ.1985 ประเทศออสเตรเลียมีนโยบายยาเสพติด โดยถือว่ายาเสพติดเป็นอาชญากรรม (Criminalisation) และมาตรการลดอันตรายจากการใช้ยา (Harm-Minimisation Strategies) ควบคู่กัน ในปัจจุบันประเทศออสเตรเลียมีนโยบายหลีกเลี่ยง การลงโทษในคดียาเสพติด โดยเน้นพัฒนามาตรการลดอันตรายจากการใช้ยาเสพติด (HarmMinimisation Strtegies) และกระบวนการบำบัดรักษา (Treatment Framework) อย่างไรก็ตาม การส่งออกกัญชาในทางการค้ายังคงเป็นสิ่งผิดกฎหมาย มาตรการลดอันตรายจากการใช้ยา (Harm-Minimisation Strategies) มีจุดมุ่งหมาย ที่จะจัดการปัญหาการใช้เครื่องดื่มแอลกอฮอล์และยาเสพติดชนิดอื่น เพื่อลดอันตรายที่จะเกิดขึ้นจาก การใช้เครื่องดื่มแอลกอฮอล์และยาเสพติดของปัจเจกชนและสังคม ซึ่งมาตรการนี้จะพิจารณาในเรื่อง ปัญหาด้านสุขภาพ สังคมและเศรษฐกิจทั้งหมดของผู้ใช้ยาเสพติด กล่าวคือ มาตรการลดอันตราย ประกอบด้วยยุทธศาสตร์ 3 ประการ ดังนี้ 1. Harm Reduction เป็นยุทธศาสตร์ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อลดอันตรายจากการใช้ ยาเสพติดของบุคคลและสังคมซึ่งมิใช่การมุ่งหมายให้หยุดใช้ยาเสพติด ตัวอย่างเช่น โครงการบริการ เข็มฉีดยาเสพติด, การใช้เมทาโดนทดแทนและการให้คำแนะนำและการศึกษาอบรม เป็นต้น 2. Supply Reduction เป็นยุทธศาสตร์ที่มุ่งหมายจะลดการผลิตและอุปทาน ของการใช้ยาเสพติดในทางที่ผิด เช่น การออกกฎหมายและการบังคับใช้กฎหมาย เป็นต้น 3. Demand Reduction เป็นยุทธศาสตร์ที่มุ่งหมายเพื่อป้องกันอันตรายจากการ ใช้ยาเสพติด เช่น โครงการพัฒนาชุมชนและการสื่อสารมวลชน เป็นต้น ปัจจุบันกระทรวงสาธารณสุขมีนโยบายออกใบอนุญาตให้เอกชนปลูกกัญชา เพื่อวัตถุประสงค์ในทางการแพทย์ เพื่อเปิดโอกาสให้ผลิตยารักษาอาการป่วยรุนแรงภายในประเทศ กล่าวคือ เพื่อให้ผู้ป่วยเข้าถึงผลิตภัณฑ์จากกัญชาได้ง่ายมากขึ้นโดยมีมาตรการเฝ้าระวังความปลอดภัย ของชุมชนไว้อย่างเข้มงวด อย่างไรก็ตามการใช้กัญชาเพื่อความหย่อนใจ (Recreation Use) ยังคง ผิดกฎหมายเช่นเดิม 2) มาตรการทางกฎหมาย ด้วยประเทศออสเตรเลีย เป็นรัฐภาคีและลงนาม ในอนุสัญญาเดี่ยวว่าด้วยยาเสพติด ค.ศ.1961 (Single Convention on Narcotic Drug 1961) ซึ่งตามอนุสัญญานี้มีข้อผูกพันให้ภาคีสามารถใช้กัญชาได้เฉพาะในทางการแพทย์เท่านั้น ในการศึกษา มาตรการทางกฎหมาย และกฎเกณฑ์การใช้กัญชาศึกษาเฉพาะมาตรการทางกฎหมายของมลรัฐ นิวเซาท์เวลส์เนื่องจากเป็นรัฐที่มีนโยบายอนุญาตให้ผู้ป่วยใช้กัญชาในทางการแพทย์เพื่อเป็นแนวทาง ในการกำหนดหลักเกณฑ์ เงื่อนไขและวิธีการในการอนุญาตให้ใช้ประโยชน์จากกัญชาของประเทศไทย ต่อไป ซึ่งสรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้ มลรัฐนิวเซาท์เวลส์ (New South Wales, Australia) ซึ่งเป็นรัฐหนึ่งของออสเตรเลีย การใช้และการเพาะปลูกกัญชาที่ไม่ได้รับอนุญาตเป็นสิ่งผิดกฎหมายในประเทศออสเตรเลีย ตามกฎหมายยาเสพติด (Narcotic Drugs Act 1967) ต่อมาเมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม ค.ศ.2013 คณะกรรมาธิการรัฐสภาของรัฐนิวเซาท์เวลส์ (NSW) เสนอให้ใช้กัญชาเพื่อวัตถุประสงค์ในทาง การแพทย์สำหรับผู้ป่วยระยะสุดท้ายของชีวิตและสนับสนุนให้การใช้กัญชากัญชาที่มีพื้นฐานตามหลัก


27 เภสัชวิทยาเป็นสิ่งที่ถูกต้องตามกฎหมาย คณะกรรมาธิการได้ขอความเห็นชอบจากรัฐบาลกลาง ออสเตรเลีย เพื่อเสนอโครงการอนุญาตให้ผู้ป่วยครอบครองกัญชาได้ 15 กรัม ต่อมารัฐบาลกลาง เห็นชอบตามโครงการดังกล่าว แต่ไม่เห็นชอบกับการอนุญาตให้ใช้กัญชาในผู้ป่วยที่มีอาการปวดเรื้อรัง (Chronic Pain) หรือการปลูกกัญชาเพื่อใช้ส่วนบุคคล นอกจากนี้ทั้งผู้ป่วยและผู้ดูแลผู้ป่วยจะต้อง ได้รับใบรับรองจากผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ และลงทะเบียนกับกระทรวงสาธารณสุข ตลอดจนต้อง พกบัตรประจำตัวผู้ป่วย อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม ค.ศ.2015 รัฐบาลกลางออสเตรเลียประกาศว่า จะทำให้การปลูกกัญชาที่มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้ในทางการแพทย์และด้านวิทยาศาสตร์เป็นสิ่งที่ถูกต้อง ตามกฎหมาย ต่อมารัฐสภาออสเตรเลียได้มีการแก้ไขกฎหมายยาเสพติดที่ทำให้การปลูกกัญชา ที่มีวัตถุประสงค์ด้านการแพทย์และวิทยาศาสตร์ขึ้น เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ ค.ศ.2016 หลังจากนั้น การใช้กัญชาในทางการแพทย์ได้รับการรับรองในระดับรัฐบาลกลางเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน ค.ศ.2016 และสามารถจำหน่ายกัญชาที่มีวัตถุประสงค์ในทางการแพทย์ได้ในรัฐนิวเซาท์เวลส์และรัฐเวสเทิร์น ออสเตรเลีย และรัฐและเขตปกครองอื่นจึงเริ่มทยอยจำหน่ายกัญชาภายในรัฐของตน สำนักงานควบคุมยาเสพติดกระทรวงสาธารณสุขได้ออกใบอนุญาตให้วิจัยกัญชา เพื่อวัตถุประสงค์ในทางการแพทย์เป็นครั้งแรก ภายใต้บทบัญญัติตามกฎหมายยาเสพติดให้โทษ ค.ศ.1967 (Narcotic Drugs Act 1967) เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ ค.ศ.2017 หลักเกณฑ์และแนวทางปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับกัญชาเพื่อบรรเทาอาการเจ็บป่วยของ ผู้ป่วยระยะสุดท้าย (Terminal Illness) คือ MedicalCannabis Compassionate Use Scheme: Fact Sheet for Adults with a Terminal Illness and their Carers ซึ่งรัฐบาลของมลรัฐได้ กำหนดแนวทางในการใช้ดุลพินิจที่เหมาะสมของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่จะไม่แจ้งข้อกล่าวหาหรือ ดำเนินคดีกับผู้ป่วยระยะสุดท้าย (Terminal Illness) ผู้ซึ่งใช้กัญชาเพื่อบรรเทาอาการเจ็บป่วยของ ตนเองและผู้ดูแลซึ่งเป็นผู้ช่วยเหลือผู้ป่วยระยะสุดท้าย (Carers) ซึ่งประกอบด้วยสาระสำคัญ ดังนี้ (1) คุณสมบัติ (Eligibility) ได้แก่ บุคคลที่อาศัยอยู่ในมลรัฐนิวเซาท์เวลส์ซึ่งมีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป และเป็นบุคคลที่เจ็บป่วยด้วยโรคเรื้อรังในระยะสุดท้ายของชีวิตและได้ลงทะเบียน ตามหลักเกณฑ์ที่รัฐกำหนด และบุคคลที่บรรลุนิติภาวะที่อาจจะได้รับคัดเลือกให้เป็นผู้ดูแลโดยจะต้อง ลงทะเบียนภายใต้ข้อกำหนดของรัฐและผู้ดูแลอาจได้รับคัดเลือกให้ดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายจำนวน สูงสุดไม่เกิน 3 ราย (2) การรับรอง (Certification) การขึ้นทะเบียนภายใต้กฎเกณฑ์นี้ คือ การที่แพทย์ เวชปฏิบัติผู้ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนในประเทศออสเตรเลียและเป็นแพทย์ที่รักษาผู้ป่วยอย่างต่อเนื่อง และจะต้องเป็นผู้รับรองว่าผู้ป่วยดังกล่าวเป็นผู้ป่วยระยะสุดท้าย (terminal illness) ตามหลักเกณฑ์ ที่รัฐกำหนด กล่าวคือ ผู้ป่วยระยะสุดท้ายของชีวิต หมายถึง ผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเจ็บป่วยถึงขั้น สูญเสียชีวิตในการรักษาด้วยวิธีธรรมดาที่ไม่ต้องอาศัยเครื่องมือพิเศษหรือการรักษาที่ไม่ได้การยอมรับ จากผู้ป่วย (3) การลงทะเบียน (Registration) ผู้ป่วยจะต้องลงทะเบียนโดยการกรอกรายละเอียด ข้อมูลส่วนตัวลงในแบบฟอร์มที่กำหนดไว้ ( Part A) ให้สมบูรณ์ พร้อมกับข้อมูลของลงทะเบียนไม่เกิน 3 ราย เมื่อผู้ป่วยได้ลงทะเบียนตามแบบฟอร์มการลงทะเบียนเรียบร้อยแล้วให้ส่งผู้ดูแลโดยผู้ดูแล


28 จะต้องมีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไปซึ่งผู้ดูแลจะได้รับการเสนอชื่อให้เป็นผู้ดูแลผู้ป่วยที่แบบลงทะเบียน ทั้ง Part A และ Part B ไปให้หน่วยงานของรัฐต่อไป (NSW Department of Justice) ภายหลังการ ลงทะเบียนเรียบร้อยรัฐก็จะส่งเอกสารการขึ้นทะเบียนเป็นผู้ป่วยและเอกสารการขึ้นทะเบียนของ ผู้ดูแลกลับมาเพื่อให้ใช้แสดงตนเมื่อได้รับการร้องขอจากเจ้าหน้าที่ตำรวจต่อไป (4) ดุลพินิจของเจ้าหน้าที่ตำรวจ (Police Discretion) เจ้าหน้าที่ตำรวจอาจพิจารณา ไม่ดำเนินคดีหรือแจ้งข้อกล่าวหากับผู้ป่วยระยะสุดท้าย (Adults with a Terminal Illness) ดังนี้ 1. ผู้ป่วยระยะสุดท้ายที่ได้ทำการลงทะเบียน 2. ผู้ที่ครอบครองกัญชาไม่เกินปริมาณที่กำหนดไว้ในตารางที่ 1 และ 3. เป็นผู้ที่มีอาการเจ็บป่วยระยะสุดท้ายซึ่งได้ใช้กัญชารักษาในสถานที่พักอาศัย หรือในที่พักอาศัยส่วนบุคคล เจ้าหน้าที่ตำรวจอาจพิจารณาไม่ดำเนินคดีหรือแจ้งข้อกล่าวหากับผู้ดูแลผู้ป่วย ระยะสุดท้าย (Carers of Adults with a Terminal Illness) ดังนี้ 1) ผู้ดูแลได้ทำการลงทะเบียน 2) ผู้ดูแลได้ครอบครองกัญชาไม่เกินปริมาณที่กำหนดไว้ในตารางที่ 1 3) ผู้ดูแลเป็นผู้บริหารจัดการ/เก็บรักษากัญชาสำหรับผู้ป่วยระยะสุดท้ายที่ ลงทะเบียนในสถานที่พักอาศัยหรือในที่พักอาศัยส่วนบุคคล (5) ขอบเขตการบังคับใช้ประกอบด้วย 1. การเก็บสำรองกัญชาและผลิตภัณฑ์จากกัญชาของบุคคลผู้ที่ไม่ได้ลงทะเบียน ภายใต้นโยบายนี้ 2. การปลูกกัญชา 3. การใช้กัญชาในสถานที่สาธารณะ 4. การครอบครองกัญชาในปริมาณที่เกินกำหนด 5. การขับรถ คือ ไม่สามารถขับรถได้เมื่อใช้กัญชาเนื่องจากกัญชาจะ ยังคงอยู่ในร่างกาย ภายหลังจากใช้กัญชาแล้วซึ่งอาจจะได้รับการสุ่มตรวจหากัญชาจากเจ้าหน้าที่ตำรวจใน ระหว่างการเดินทางได้ 2.3.4 การใช้กัญชาในประเทศเนเธอร์แลนด์ นโยบายกัญชาทางการแพทย์ในเนเธอร์แลนด์ได้ถูกขับเคลื่อนจากกระทรวง สาธารณสุขในช่วงเวลาที่มีการใช้กัญชาเพื่อความบันเทิงและมีการใช้กัญชาเพื่อบรรเทาความปวด จากโรคมะเร็ง โดยกระทรวงสาธารณสุขตระหนักถึงข้อเสียของการนำกัญชาที่ไม่มีคุณภาพ มาใช้ทางการแพทย์ประกอบกับจำนวนผู้ป่วยที่ขอใช้กัญชาในทางการแพทย์เริ่มมีจำนวนมากขึ้น จึงได้กำหนดกรอบและนโยบายเพื่อให้มีการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ ซึ่งในแต่ละปีบริษัทที่ได้รับ สัมปทานจะมีการปรับปรุงผลิตภัณฑ์ให้ได้มาตรฐานตามความต้องการของผู้ใช้และตามกฎระเบียบ ที่วางไว้อย่างต่อเนื่องผู้สั่งจ่ายยาคือ อายุรแพทย์ที่ต้องมีความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านที่ทำการ


29 รักษาผู้ป่วยมาประกอบ โดยมีเภสัชกรทำหน้าที่จัดยาให้ตามใบสั่งแพทย์ แต่เภสัชกรก็สามารถ มีความเห็นไปยังแพทย์ผู้สั่งยาได้ด้วย Office for Medicinal Cannabis (OMC) กระทรวงสาธารณสุข มีหน้าที่ควบคุมดูแล ธุรกิจกัญชาทางการแพทย์มีการใช้ระบบประมูลสัมปทานทุก 5 ปี ในแต่ละปีบริษัทที่ได้รับสัมปทาน จะมีการปรับปรุงผลิตภัณฑ์ให้ได้มาตรฐานตามความต้องการของผู้ใช้และตามกฎระเบียบที่วางไว้ บริษัทที่ได้รับสัมปทานจากรัฐบาลได้แก่ บริษัท Bedrocan ซึ่งได้รับสัมปทานทุกขั้นตอนมาอย่าง ต่อเนื่องตั้งแต่ปี ค.ศ.2015 (พ.ศ.2558) ดำเนินการภายใต้ Good Manufacturing Product (GMP) ทางการแพทย์ในการควบคุมตั้งแต่ขั้นการปลูก การผลิต จัดทำผลิตภัณฑ์ ระบบการสั่งจ่ายยา จนกระทั่งส่งยาถึงผู้ป่วยที่มีคุณสมบัติครบตามที่กำหนด และมีห้องปฏิบัติการที่ใช้ในการตรวจสอบ องค์ประกอบของยาด้วย เพื่อตรวจสอบให้ยาปลอดภัยและมีคุณภาพ (safety and consistency control) และเพื่อป้องกันไม่ให้มีการนำยาไปใช้ในทางที่ผิด กระบวนการตรวจสอบมาตรฐานเป็นไป ตามข้อกำหนดของรัฐบาล สำหรับการใช้กัญชาในทางนันทนาการ หรือใช้เพื่อความบันเทิงนั้น ในเนเธอร์แลนด์ สามารถหาซื้อได้ใน Coffee Shop ซึ่งเป็นสถานที่ที่กำหนดให้มีการขายกัญชาเพื่อความบันเทิงได้ แต่จำกัดอายุของผู้ซื้อและปริมาณการซื้อ ที่ผ่านมามีคนจำนวนมากที่ต้องการใช้กัญชาไปทำเป็นยา ต้องไปซื้อกัญชาใน Coffee Shop ซึ่งกัญชาที่ได้ไม่มีมาตรฐาน คุณภาพและประสิทธิภาพไม่แน่นอน ราคาไม่คงที่ และบางแห่งเป็นกัญชาจากตลาดมืด จึงเป็นอันตรายต่อผู้ใช้ (ปวีณา ชาติรังสรรค์, วารสาร ป.ป.ส., 2562) 2.3.5 การใช้กัญชาในประเทศแคนาดา กัญชาอยู่ภายใต้ “Controlled Drugs and Substances Act” มีผลบังคับใช้เมื่อ ปี ค.ศ.2013 (พ.ศ.2556) มีหลักเกณฑ์ ดังนี้ กัญชาที่สามารถใช้เพื่อทางการแพทย์ได้แก่ กัญชาสดหรือแห้ง หรือน้ำมันกัญชา ผู้ที่สามารถใช้กัญชาเพื่อทางการแพทย์ในประเทศแคนาดาได้นั้น ได้แก่ บุคคลซึ่งรับกัญชา จากผู้มีใบอนุญาตผลิตจากสถานพยาบาลหรือโรงพยาบาลที่ได้รับอนุญาตให้ใช้กัญ ชา เพื่อบำบัดรักษา หรือบุคคลที่ร้องขอใช้กัญชาเพื่อการรักษาจากผู้ประกอบวิชาชีพแพทย์ หรือพนักงานในสถานพยาบาลที่มีหน้าที่เกี่ยวกับกัญชาเพื่อการรักษานั้น โดยจะต้องลงทะเบียน ในฐานะผู้ได้รับอนุญาตให้ใช้กัญชาเพื่อการแพทย์ ส่วนปริมาณมีไว้ในครอบครองกัญชา เพื่อใช้ทางการแพทย์มีความแตกต่างกันของผู้รับอนุญาตแต่ละประเภท เช่น ผู้ประกอบวิชาชีพ แพทย์สามารถมีไว้ในครอบครองกัญชาแห้งได้ 150 กรัม นอกจากนี้ประเทศแคนาดา มี Access to Cannabis for Medical Purposes Regulations (ACMPR) และ Regulations on Cannabis ซึ่ง ACMPR เป็นกฎระเบียบหลักที่ใช้ ควบคู่กับ Cannabis Act และมีผลบังคับใช้ในวันเดียวกันนั้น แทนที่กฎระเบียบเดิม คือ The Marihuana for Medical Purposes Regulations (24 สิงหาคม พ.ศ.2559) ทั้งมี Regulations


30 on Cannabis ขยายความเกี่ยวกับมาตรการความปลอดภัยในการออกแบบพื้นที่ปลูกพื้นที่ดำเนินการ พื้นที่เก็บพืชกัญชา รวมถึงการควบคุมแมลง การจำหน่ายและการเก็บรักษาด้วย ทั้งนี้ การใช้เพื่อ วัตถุประสงค์อื่นก็ยังคงผิดกฎหมาย หน่วยงานที่รับผิดชอบได้แก่กระทรวงสาธารณสุข เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม พ.ศ.2561 ประเทศแคนนาดาได้ออกกฎหมายอนุญาตให้ใช้กัญชาเพื่อสันทนาการได้เป็นประเทศที่ 2 รองจาก อุรุกวัย โดยประชาชนที่บรรลุนิติภาวะสามารถซื้อกัญชาจากตัวแทนที่ได้รับอนุญาตโดยถูกกฎหมาย แต่มีข้อจำกัด ได้แก่ ครอบครองเฉพาะน้ำมัน เมล็ด หรือกัญชาแห้งขนาด 30 กรัม หรือ 1 ออนซ์ หากเกินกว่านี้ ถือว่าผิดกฎหมาย ส่วนอาหารที่มีส่วนผสมของกัญชานั้น ยังไม่สามารถซื้อขายได้ 2.4 ข้อมูลเกี่ยวข้องกับการใช้กัญชาในประเทศไทย 2.4.1 ผลกระทบของกัญชา ด้านสันทนาการ แม้จะพบว่ากัญชามีประโยชน์ แต่เมื่อขึ้นชื่อว่าเป็นสารเสพติดให้โทษ ย่อมต้องมีผลเสียอย่างร้ายแรง หากนำไปใช้อย่างไม่ถูกต้องก็จะส่งผลกระทบต่อตัวผู้ใช้เอง หรือบุคคลภายนอก ดังนี้ ผลกระทบตัวตัวผู้ใช้กัญชา 1) ทำลายสมรรถภาพทางกาย หากเสพกัญชาในปริมาณมาก เป็นระยะเวลานาน ร่างกายจะมีความเสื่อมโทรมจนไม่สามารถประกอบกิจการใด ๆ ได้ โดยเฉพาะในงานที่ต้องใช้แรงงาน ทางด้านความคิด และการตัดสินใจ รวมทั้งยังหมดแรงจูงใจในการใช้ชีวิต ซึ่งส่งผลเสียต่อ การดำเนินชีวิตและการทำงานอย่างยิ่ง 2) ทำลายระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย กัญชาส่งผลเสียต่อระบบภูมิคุ้มกัน ของร่างกายจนทำระบบภูมิคุ้มกันทำงานบกพร่อง จนร่างกายอ่อนแอลง และติดเชื้อโรคต่าง ๆ ได้ง่าย 3) ความจำเสื่อม การเสพกัญชาแม้เพียงระยะสั้น ก็มีผลทำให้ผู้เสพบางราย สูญเสียความทรงจำ เพราะฤทธิ์ของกัญชาจะทำให้สมองและความจำเสื่อม เกิดความสับสน วิตกกังวล และหากผู้เสพเป็นผู้มีอาการของโรคจิตเภท หรือป่วยเป็นโรคซึมเศร้าจะมีความเสี่ยง ในการจะเกิดอาการรุนแรงมากกว่าคนปกติทั่วไป 4) ทำให้เกิดมะเร็งปอด เนื่องจากผู้เสพจะอัดควันกัญชาเข้าไปในปอด ลึกนานหลายวินาที การสูบบุหรี่ยัดไส้กัญชาเพียง 4 มวน ซึ่งเท่ากับการสูบบุหรี่ 1 ซอง หรือ 20 มวน สามารถทำลายการทำงานของระบบทางเดินหายใจทำให้มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง ได้มากกว่าคนสูบบุหรี่ธรรมดาถึง 5 เท่า และในกัญชายังมีสารเคมีที่เป็นอันตราย สามารถให้เกิดโรคมะเร็งได้ 5) ทำร้ายทารกในครรภ์ โดยกัญชาจะเข้าไปทำลายโครโมโซม ฉะนั้นผู้หญิง ที่เสพกัญชาในระยะตั้งครรภ์ จะส่งผลให้ทารกที่เกิดมามีความพิการและมีความผิดปกติทางร่างกาย เช่น ความผิดปกติของเซลล์ประสาทในสมอง ความผิดปกติของฮอร์โมนเพศและพันธุกรรม 6) เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ กัญชาจะทำให้ระดับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน ในชายลดลง ทำให้ปริมาณอสุจิน้อยลง ทั้งยังพบว่าผู้เสพติดกัญชามักกลายเป็นคนขาดสมรรถภาพ ทางเพศ


31 7) ทำลายสุขภาพจิต ฤทธิ์ของกัญชาจะทำให้ผู้เสพมีอาการเลื่อนลอย ความคิด สับสน และมีอาการประสาทหลอนจนไม่สามารถควบคุมตนเองได้ ซึ่งถ้าเสพเป็นระยะเวลานาน จะทำให้เกิดอาการจิตเสื่อม ผลกระทบต่อบุคคลภายนอกและสาธารณชน นอกจากผลเสียต่อสุขภาพของผู้ใช้กัญชาเองแล้ว การเสพกัญชาโดยการสูบควันเข้าไป ยังส่งผลกระทบต่อบุคคลอื่นในด้านสุขอนามัย เนื่องจากควันของกัญชามีสารพิษบางชนิด ที่จะก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อทางเดินหายใจ และผู้ที่แพ้สารเสพติดและสารพิษของกัญชา หากผู้เสพกัญชาโดยการสูบควันในที่สาธารณะหรือที่อื่นที่ไม่ใช่พื้นที่ส่วนบุคคล ก็จะส่งผลกระทบต่อ บุคคลอื่น อีกทั้งการสูบกัญชา ซึ่งจะก่อให้เกิดควันและกลิ่นของกัญชาในที่สาธารณะยังทำให้เกิดมลพิษ ทางอากาศ และกลิ่นก่อความเดือนร้อนรำคาญแก่บุคคลรอบข้างในสถานที่ที่มีการใช้ด้วย ด้านการค้าการพาณิชย์แม้ในปัจจุบันยังไม่ความชัดเจนในการนำกัญชาไปใช้ในเชิง พาณิชย์ แต่มีการนำกัญชาไปใช้ในการปรุงอาหารในร้านอาหาร รวมถึงนำไปผสมกับเครื่องดื่ม หลายชนิด เนื่องจากสารเคมีบางชนิดในกัญชามีผลต่อสมอง ระบบประสาทและการพัฒนาการเรียนรู้ ในบางรายอาจเกิดอาการแพ้ รวมถึงเกิดอันตรายต่อสุขภาพของผู้บริโภคได้ ปัจจุบันปรากฏว่า มีการนำกัญชาไปใช้ในเชิงพาณิชย์ โดยนำไปเป็นส่วนผสมของอาหารและเครื่องดื่ม ซึ่งผู้ประกอบการ ส่วนใหญ่ไม่ได้ปฏิบัติให้ถูกต้องตามประกาศกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข เรื่อง การนำใบกัญชา มาใช้ในการทำประกอบ หรือปรุงอาหารในสถานประกอบกิจการอาหาร (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2565 เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2565 ซึ่งหมายรวมถึงตลาด สถานที่จำหน่ายอาหาร สถานที่สะสมอาหาร และการจำหน่ายในที่หรือทางสาธารณะจะต้องแสดงข้อมูลปริมาณการใช้ใบกัญชาเป็นส่วนประกอบ ต่อรายการอาหาร ตามประเภทการทำประกอบหรือปรุงอาหาร เช่น อาหารทอด ใช้ใบกัญชาสด 1-2 ใบสดต่อเมนูสำหรับอาหารประเภทผัด แกง ต้ม ผสมในเครื่องดื่ม ใช้ใบกัญชาสด 1 ใบสดต่อเมนู นอกจากนี้จะต้องแสดงคำเตือนรายการอาหารที่มีการใช้ใบกัญชา ให้แก่ผู้บริโภคที่มี ความเสี่ยงทราบด้วยการระบุข้อความ “เด็กและวัยรุ่นช่วงอายุน้อยกว่า 18 ปีควรหลีกเลี่ยง การบริโภคอาหารที่มีส่วนผสมของกัญชา เช่น ขนม อาหารและเครื่องดื่ม สตรีมีครรภ์และสตรีให้นม บุตร ไม่ควรรับประทาน”“หากมีอาการผิดปกติควรหยุดรับประทานทันที” “ผู้ที่แพ้หรือไวต่อสารTHC หรือสาร CBD ควรระวังในการรับประทาน” “อาจทำให้ง่วงซึมได้ควรหลีกเลี่ยงการขับขี่ยานพาหนะ หรือทำงานเกี่ยวกับเครื่องจักรกล” และห้ามแสดงข้อความหรือโฆษณาสรรพคุณในการป้องกัน หรือรักษาโรค แต่ส่วนใหญ่ร้านอาหารหรือเครื่องดื่มไม่แสดงคำเตือนดังกล่าวไว้ในเมนูหรือแจ้ง แก่ผู้บริโภคก่อน ซึ่งพบว่ามีส่วนผสมของกัญชาในอาหารที่จำหน่ายโดยทั่วไปในร้านอาหาร เช่น ร้านก๋วยเตี๋ยวไม่ได้แจ้งให้ผู้บริโภคทราบ จึงพบปัญหาผู้ที่แพ้กัญชาเป็นเด็กหรือเป็นผู้ที่ไม่เคยใช้ กัญชามาก่อนได้รับผลกระทบต่อร่างกายเป็นจำนวนมาก ในส่วนของเครื่องสำอาง กัญชาแม้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ได้ออก ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง การใช้ส่วนของกัญชาในเครื่องสำอาง พ.ศ.2564โดยใช้ส่วนต่าง ๆ มาทำเป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้แล้วล้างออกนั้น ห้ามใช้ในผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในช่องปาก หรือผลิตภัณฑ์ที่ใช้ บริเวณจุดซ่อนเร้น และเครื่องสำอางพร้อมใช้จะต้องมีสาร THC ปนเปื้อนไม่เกินร้อยละ 0.2 ของน้ำหนัก ทั้งนี้จะต้องมีการแสดงสรรพคุณบนฉลากหรือโฆษณาเครื่องสำอาง อาทิ“ช่วยให้ความนุ่มลื่นแก่ผิว”


32 “บำรุง ดูแลเส้นผมหรือหนังศีรษะ” “แต่งกลิ่นจากกัญชาหรือกัญชง” เป็นต้น (สำนักงานข่าว กรมประชาสัมพันธ์, 16 มิ.ย.2565) ตัวอย่างกรณีศึกษา/ข่าว 1. เด็กหญิง อายุ 8 ปี แพ้เยลลี่ที่มีส่วนผสมของกัญชาอย่างรุนแรง โดยมีอาการ อาเจียนหนัก ซึม สะลึมสะลือ ลักษณะเหมือนหลับ ปลุกไม่ค่อยตื่น แม่ระบุญาติซื้อเยลลี่มาฝาก ไม่รู้ว่ามีกัญชาเป็นส่วนผสมในเยลลี่ (https://www.thaipbs.or.th/news/content/324309) 2. หนุ่มวัย 24 ปี เสพกัญชาทำร้ายแฟน บังคับกินปัสสาวะ อุจจาระสุนัข และมี พฤติกรรมฆ่าสุนัขที่เลี้ยงไว้ 6 ตัว โดยสารภาพว่า เสพกัญชามานานหลายปี และเสพแทบจะรายวัน (https://today.line.me/th/v2/article/BE8va2N) 3. พ่อ อายุ 75 ปีถูกลูกชายแท้ ๆ พามาปล่อยในป่าโดยชาวบ้านพบศพ ขณะลงไป กู้อวนดักปลา ญาติยืนยันว่า ลูกชายมีอาการคล้ายเมากัญชา ซึ่งเสพติดมาตลอดและเป็นคนสติไม่ดี มาตั้งแต่เด็ก (https://today.line.me/th/v2/article/gknvBm) 2.4.2 สถิติการจับกุมในช่วงที่กัญชายังเป็นยาเสพติดตามพระราชบัญญัติยาเสพติด ให้โทษ พ.ศ.2522 จากข้อมูล ร่างแผนปฏิบัติการป้องกันปราบปราม และแก้ไขปัญหายาเสพติดของ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ปี พ.ศ.2565 เสนอโดย ศูนย์อำนวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศอ.ปส.ตร.) พบว่า ในระหว่างปี พ.ศ.2560–2564 มีการจับกุมผู้ต้องหาในคดี เกี่ยวกับยาเสพติดรวมทั้งกัญชา ดังนี้ ปี พ.ศ.2560 จับกุมผู้ต้องหาได้ จำนวน 278,752 ราย ปี พ.ศ.2561 จับกุมผู้ต้องหาได้ จำนวน 377,258 ราย ปี พ.ศ.2562 จับกุมผู้ต้องหาได้ จำนวน 376,671 ราย ปี พ.ศ.2563 จับกุมผู้ต้องหาได้ จำนวน 321,009 ราย ปี พ.ศ.2564 จับกุมผู้ต้องหาได้ จำนวน 339,360 ราย ในระหว่างปี พ.ศ.2560-2564 สามารถยึดของกลางที่เป็นยาเสพติดประเภทกัญชา ดังนี้ ปี พ.ศ.2560 สามารถยึด กัญชาแห้ง ได้ จำนวน 13,765.46 กิโลกรัม ปี พ.ศ.2561 สามารถยึด กัญชาแห้ง ได้ จำนวน 16,400.67 กิโลกรัม ปี พ.ศ.2562 สามารถยึด กัญชาแห้ง ได้ จำนวน 13,917.30 กิโลกรัม ปี พ.ศ.2563 สามารถยึด กัญชาแห้ง ได้ จำนวน 11,714.38 กิโลกรัม ปี พ.ศ.2564 สามารถยึด กัญชาแห้ง ได้ จำนวน 50,597.10 กิโลกรัม ( กองบัญชาการตำรวจภูธร ภาค 7, 28 ต.ค.2564 ) ตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกาคดีเกี่ยวกับกัญชา 1.การผลิตกัญชา คำพิพากษาศาลฎีกา 436/2550 โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยผลิตกัญชาอันเป็น ยาเสพติดให้โทษประเภท 5 โดยการเพาะปลูกกัญชา 5 ต้น น้ำหนักรวม 501.420 กรัม โดยฝ่าฝืน


33 บทบัญญัติแห่ง พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 และหลังจากที่จำเลยเพาะปลูกกัญชาแล้ว จำเลย มีไว้ในครอบครองซึ่งกัญชา 5 ต้น อันเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 5 โดยฝ่าฝืนบทบัญญัติ แห่ง พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 ขอให้ลงโทษตาม พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 26, 75, 76 กับอ้าง พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 5) พ.ศ.2545 มาตรา 22 ซึ่งยกเลิกความในมาตรา 75 และมาตรา 76 แห่ง พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 และให้ ใช้ความใหม่แทนด้วยการที่โจทก์บรรยายฟ้องอ้างถึง พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 จึงเป็นการอ้างถึงมาตรา 75 และมาตรา 76 ที่แก้ไขใหม่โดย พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 5) พ.ศ.2545 เป็นการอ้างมาตราในกฎหมายซึ่งบัญญัติว่าการกระทำเป็นความผิดชอบด้วยประมวล กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (5) ซึ่งศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "ที่จำเลยฎีกาว่า คดีนี้โจทก์ มีคำขอท้ายฟ้องให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 5) พ.ศ.2545 มาตรา 22 แต่คำฟ้องของโจทก์ไม่ได้บรรยายลักษณะการกระทำความผิดของจำเลยว่าเป็นความผิดตาม พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษที่แก้ไขใหม่ดังกล่าว และโจทก์ต้องบรรยายฟ้องระบุกฎหมายในขณะ กระทำความผิดให้ชัดเจน ฟ้องโจทก์จึงไม่ชอบและทำให้จำเลยหลงข้อต่อสู้ นั้น เห็นว่า คำฟ้องของ โจทก์ได้บรรยายว่า จำเลยผลิตกัญชาอันเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 5 โดยการเพาะปลูกกัญชา 5 ต้น น้ำหนักรวมทั้งราก กิ่ง ลำต้น ใบ เมล็ด หนัก 501.420 กรัม โดยฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติ ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 และหลังจากที่จำเลยเพาะปลูกกัญชาดังกล่าวแล้ว จำเลยมีไว้ใน ครอบครองซึ่งกัญชาจำนวน 5 ต้น อันเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 5 โดยฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่ง พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 และคำขอท้ายฟ้องโจทก์อ้างว่าการกระทำของจำเลยเป็น ความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 26, 75, 76 กับอ้างพระราชบัญญัติ ยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 5) พ.ศ.2545 มาตรา 22 ซึ่งยกเลิกความในมาตรา 75 และมาตรา 76 แห่งพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 และให้ใช้ความใหม่แทนด้วย การที่โจทก์บรรยาย ฟ้องอ้างถึงพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 จึงเป็นการอ้างถึงมาตรา 75 และมาตรา 76 ที่แก้ไขใหม่โดยพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 5) พ.ศ.2545 เป็นการบรรยายฟ้องและอ้าง มาตรา ในกฎหมายซึ่งบัญญัติว่าการกระทำเช่นนั้นเป็นความผิดชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความอาญา มาตรา 158 (5) จึงไม่เป็นเหตุให้จำเลยหลงต่อสู้ เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพ ศาลย่อมมี อำนาจลงโทษจำเลยในความผิดฐานผลิตกัญชาและมีกัญชาไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตได้ ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น สำหรับการบังคับชำระค่าปรับศาลล่างทั้งสองมิได้สั่งให้กักขังจำเลยไว้เป็น อย่างอื่น ดังนั้น หากกักขังจำเลยแทนค่าปรับ 100,000 บาท ก็กักขังได้เพียง 1 ปี ตามประมวล กฎหมายอาญา มาตรา 30 วรรคแรก ศาลฎีกาเห็นสมควรระบุให้ชัดเจนเสียด้วย" พิพากษายืน คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5362/2549 ขณะที่จำเลยปลูกกัญชาจำเลยย่อมจะต้อง มีกัญชาไว้ในครอบครอง เพราะถ้าไม่มีกัญชาก็จะปลูกกัญชาไม่ได้ จำเลยจึงมีเจตนามีกัญชาไว้ใน ครอบครองตั้งแต่ขณะปลูก และเมื่อปลูกแล้วกัญชาย่อมเจริญเติบโต เมื่อปรากฏว่ากัญชาจำนวน 128 ตัน น้ำหนัก 435.55 กรัม ที่จำเลยมีไว้ในครอบครองเป็นผลที่เกิดจากการผลิตกัญชาโดยการปลูก ของจำเลย การกระทำของจำเลยจึงเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท


34 คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8721/2549 โจทก์บรรยายฟ้องตอนแรกว่า จำเลยผลิตกัญชา โดยการแบ่งบรรจุออกเป็นห่อ ๆ แต่กลับบรรยายความต่อไปว่า จำเลยมีกัญชาแห้งไว้ในครอบครอง เพื่อจำหน่าย 1 ห่อ น้ำหนัก 0.57 กรัม และที่เป็นห่อไม่ทราบจำนวนและน้ำหนัก และจำเลยจำหน่าย กัญชาแห้งที่มีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย 1 ห่อ ดังกล่าวให้แก่สายลับผู้ล่อซื้อ กับบรรยายฟ้องในตอนท้าย ว่า เจ้าพนักงานจับจำเลยพร้อมยึดได้กัญชาแห้งที่จำเลยจำหน่ายให้แก่สายลับผู้ล่อซื้อเป็นของกลาง แสดงว่านอกจากกัญชาแห้ง 1 ห่อ ที่เจ้าพนักงานยึดได้จากจำเลยแล้ว ไม่มีกัญชาจำนวนอื่นอีก ที่โจทก์อ้างในฎีกาว่า จำเลยจำหน่ายกัญชาแห้งให้สายลับ 1 ห่อ ทั้งยังรับว่าได้นำกัญชามาแบ่งใส่ห่อ เพื่อจำหน่ายให้แก่เพื่อน ๆ ไม่ทราบจำนวนและน้ำหนักนั้น กลับปรากฏตามบันทึกการจับกุมที่แนบ ท้ายคำร้องขอฝากขังว่า จำเลยให้การว่ากัญชาของกลางเป็นของ ต. ซึ่งจำเลยได้แบ่งมาเพื่อจำหน่ายต่อ ดังนี้ แม้จำเลยให้การรับสารภาพ แต่เมื่อกัญชาของกลางที่จำเลยมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย มีเพียงห่อเดียวและจำเลยจำหน่ายให้สายลับไปทั้งหมดโดยไม่มีการแบ่งบรรจุเป็นจำนวนอื่นอีก การกระทำของจำเลยตามที่โจทก์บรรยายฟ้องมาจึงไม่เป็นความผิดฐานผลิตกัญชาโดยการแบ่งบรรจุ ปัญหาดังกล่าว แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา แต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 225 ส่วนความผิดฐานมีกัญชาไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและ จำหน่ายกัญชานั้น เมื่อได้ความตามฟ้องว่าเป็นกัญชาจำนวนเดียวกัน การกระทำของจำเลยจึงเป็น กรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท หาใช่เป็นความผิดสองกรรมไม่ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า แม้โจทก์ บรรยายฟ้องตอนแรกว่า จำเลยผลิตกัญชาโดยการแบ่งบรรจุออกเป็นห่อ ๆ แต่กลับบรรยายความ ต่อไปว่า จำเลยมีกัญชาแห้งไว้ในครอบครอง เพื่อจำหน่าย 1 ห่อ น้ำหนัก 0.57 กรัม และที่เป็นห่อ ไม่ทราบจำนวนและน้ำหนัก และจำเลยจำหน่ายกัญชาแห้งที่มีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย 1 ห่อ ดังกล่าวให้แก่สายลับผู้ล่อซื้อ กับบรรยายฟ้องตอนท้ายว่า เจ้าพนักงานจับจำเลยพร้อมยึดได้กัญชา แห้งที่จำเลยจำหน่ายให้แก่สายลับผู้ล่อซื้อเป็นของกลาง แสดงว่านอกจากกัญชาแห้ง 1 ห่อ ที่เจ้าพนักงานยึดได้จากจำเลยแล้ว ไม่มีกัญชาจำนวนอื่นอีกที่โจทก์อ้างในฎีกาว่า จำเลยจำหน่าย กัญชาแห้งให้สายลับ 1 ห่อ ทั้งยังรับว่าได้นำกัญชามาแบ่งใส่ห่อเพื่อจำหน่ายให้แก่เพื่อน ๆ ไม่ทราบ จำนวนและน้ำหนักนั้น กับปรากฏตามบันทึกการจับกุมที่แนบท้ายคำร้องขอฝากขังว่า จำเลยให้การว่า กัญชาของกลางเป็นของนายเต้าซึ่งจำเลยได้แบ่งมาเพื่อจำหน่ายต่อ ดังนี้ แม้จำเลยให้การรับสารภาพ แต่เมื่อกัญชาของกลางที่จำเลยมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายมีเพียงห่อเดียวและจำเลยจำหน่ายให้ สายลับไปทั้งหมดโดยไม่มีการแบ่งบรรจุเป็นจำนวนอื่นอีก การกระทำของจำเลยตามที่โจทก์บรรยาย ฟ้องมาจึงไม่เป็นความผิดฐานผลิตกัญชาโดยการแบ่งบรรจุ ปัญหาดังกล่าว แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา แต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เองตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 225 ส่วน ความผิดฐานมีกัญชาไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายกัญชานั้น เมื่อได้ความตามฟ้องว่าเป็น กัญชาจำนวนเดียวกัน การกระทำของจำเลยจึงเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท หาใช่เป็น ความผิดสองกรรมไม่ ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติ


35 ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 26 วรรคหนึ่ง, 76/1 วรรคหนึ่ง การกระทำของจำเลยเป็นกรรม เดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท แต่ละบทมีระวางโทษเท่ากัน ให้ลงโทษฐานจำหน่ายกัญชาโดยไม่ได้รับ อนุญาต ยกฟ้องข้อหาผลิตกัญชา นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8 2.จำหน่ายกัญชา คำพิพากษาศาลฎีกา 5078/2537 จำเลยนำกัญชา 8 ชิ้น ใส่รวมในเข่งใบเดียวกันแล้ว นำมะพร้าววางทับไว้ข้างบน หลังจากนั้นจำเลยได้บรรทุกเข่งใส่ท้ายรถจักรยานยนต์เอาไปมอบให้แก่ สายลับผู้ล่อซื้อ พฤติการณ์ดังกล่าวเป็นเรื่องที่จำเลยกระทำเพียงเพื่อความสะดวกในการขนส่งกัญชา ไปยังจุดหมายที่ประสงค์และอำพรางไม่ให้มีผู้พบเห็นการกระทำผิดของตนเท่านั้น มิใช่เป็นการกระทำ เพื่อความสะดวกในการจำหน่ายกัญชาให้แก่ลูกค้าเป็นการทั่วไป การกระทำของจำเลยดังกล่าว จึงยังถือไม่ได้ว่าเป็นการผลิตกัญชาโดยวิธีการรวมบรรจุ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1551/2559 โจทก์ฟ้องว่าจำเลยมีกัญชา 19 ห่อ น้ำหนัก 122.550 กรัม ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำเลยขายกัญชา 1 ห่อใหญ่ น้ำหนักเท่าใดไม่ปรากฏชัด แต่ไม่เกิน 122.550 กรัม อันเป็นส่วนหนึ่งของกัญชาที่จำเลยมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย การที่โจทก์บรรยายฟ้องว่ากัญชาที่จำเลยจำหน่ายมีน้ำหนักเท่าใดไม่ปรากฏชัดแต่ไม่เกินกว่า 122.550 กรัม จึงอาจแปลความได้ว่ากัญชาที่จำเลยจำหน่ายให้แก่สายลับมีน้ำหนักน้อยกว่า 122.550 กรัม ก็ได้ หรือมีน้ำหนักเท่ากับ 122.550 กรัม ก็ได้ กรณีจึงต้องฟังข้อเท็จจริงเป็นคุณแก่จำเลยว่า จำเลยจำหน่ายกัญชาน้ำหนัก 122.550 กรัม ให้แก่สายลับ เมื่อกัญชาที่จำเลยมีไว้ในครอบครอง เพื่อจำหน่าย และจำหน่ายเป็นจำนวนเดียวกันจึงเป็นกรรมเดียวกัน แม้จำเลยจะให้การรับสารภาพ ว่ากระทำความผิดหลายกรรมต่างกรรมกัน แต่การกระทำของจำเลยมิใช่เป็นความผิดหลายกรรม ต่างกันตามที่โจทก์ฎีกา 3.ครอบครองกัญชา ฎีกาที่ 6528/2560 ความผิดฐานมีกัญชาไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตต้อง ระวางโทษตาม พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 76 วรรคหนึ่ง ส่วนความผิดฐาน มีพืชกระท่อมไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตต้องระวางโทษตามมาตรา 76 วรรคสอง และยาเสพติดทั้งสองชนิดซึ่งเป็นวัตถุแห่งการกระทำความผิดดังกล่าว กฎหมายถือว่าเป็นยาเสพติดให้ โทษประเภท 5 เช่นเดียวกัน โดยบัญญัติบทความผิดกับบทลงโทษในบทมาตราเดียวกัน เมื่อจำเลย ที่ 4 มีไว้ในครอบครอง ในขณะเดียวกัน การกระทำของจำเลยที่ 4 จึงเป็นการกระทำกรรมเดียวผิด ต่อกฎหมายหลายบท แม้โจทก์บรรยายฟ้องแยกเป็นความผิดแต่ละกรรมโดยชัดแจ้ง และขอให้ลงโทษ ทุกกรรม ก็ไม่ทำให้การกระทำความผิดของจำเลยที่ 4 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน การกระทำของ จำเลยที่ 4 ในความผิดฐานมีกัญชาไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตและฐานมีพืชกระท่อม ไว้ในครอบครอง โดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันหรือไม่ ศาลเห็นว่าความผิดฐาน มีกัญชาไว้ในครอบครอง โดยไม่ได้รับอนุญาตต้องระวางโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 76 วรรคหนึ่ง ส่วนความผิดฐานมีพืชกระท่อมไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ต้องระวางโทษตามมาตรา 76 วรรคสอง และยาเสพติดให้โทษทั้งสองชนิดซึ่งเป็นวัตถุแห่งการกระทำ ความผิดดังกล่าว กฎหมายถือว่าเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 เช่นเดียวกัน โดยบัญญัติบทความ ผิดกับบทลงโทษ ในบทมาตราเดียวกัน เมื่อจำเลยที่ 4 มีไว้ในครอบครองในขณะเดียวกัน การกระทำ


36 ของจำเลยที่ 4 จึงเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท แม้โจทก์บรรยายฟ้องแยก เป็นความผิดแต่ละกรรมโดยชัดแจ้ง และขอให้ลงโทษทุกกรรม ก็ไม่ทำให้การกระทำความผิด ของจำเลยที่ 4 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันดังที่โจทก์ฎีกาได้ ที่ศาลอุทธรณ์ลงโทษจำเลย ในความผิดฐานดังกล่าวเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทชอบแล้ว คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9059/2555 ตาม พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มิได้บัญญัติหรือให้คำนิยามคำว่า "มีไว้ในครอบครอง" ว่ามีความหมายครอบคลุมเพียงใด จึงต้องถือ ตามความหมายที่ใช้กันโดยทั่วไป ซึ่งตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตสถาน พ.ศ.2542 ได้บัญญัติ ความหมายของคำว่า "ครอบครอง" ไว้ว่า ยึดถือไว้ มีสิทธิปกครองส่วนความหมายในทางกฎหมาย ให้นิยามไว้ว่า ยึดถือทรัพย์สินไว้โดยเจตนาจะยึดถือเพื่อตนอันทำให้บุคคลได้มาซึ่งสิทธิครอบครอง ดังนั้น การมีกัญชาไว้ในครอบครองตาม พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง จะต้องเป็นการยึดถือไว้โดยมีเจตนาที่จะหวงกันไว้เพื่อตนเอง โดยอาจมุ่งหมายเพื่อใช้หรือหาประโยชน์ จากทรัพย์สินนั้น หรือเพื่อที่จะเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์อย่างใดอย่างหนึ่ง แต่ข้อเท็จจริงกลับได้ความว่า จำเลยได้รับการว่าจ้างจาก ห. ให้มารับกัญชาจากคนลาวไปส่งมอบให้ ห. ที่จังหวัดสกลนคร และตั้งแต่ เจ้าพนักงานตำรวจวางแผนตรวจค้นจับกุมจำเลยและขยายผลจนจับกุมผู้กระทำความผิดคนอื่นได้ พร้อมกัญชา กัญชาของกลางไม่เคยอยู่ในความครอบครองของจำเลยแต่อย่างใด การที่จำเลยขับรถไป ยังจุดนัดหมายเพื่อรอรับกัญชาของกลางเป็นเพียงการเตรียมการเพื่อกระทำความผิด แม้จำเลยจะให้ การรับสารภาพทั้งในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนในข้อหามีกัญชาไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ก็ไม่อาจ รับฟังลงโทษจำเลยได้ 2.4.3 การนำผลผลิตจากกัญชาไปใช้ในทางการแพทย์ แนวนโยบายของรัฐในการควบคุมยาเสพติดในประเทศไทยในสมัยปัจจุบัน รัฐบาล เล็งเห็นความสำคัญและตระหนักถึงความจำเป็นในการพัฒนาระบบการควบคุมอาหารและยา และก่อตั้งสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาขึ้นเพื่อทำหน้าที่รับผิดชอบโดยตรงในเรื่องการ คุ้มครองผู้บริโภคให้ได้รับความปลอดภัยจากการบริโภคหรืออุปโภค ได้แก่ อาหาร ยา เครื่องสำอาง วัตถุมีพิษ วัตถุเสพติดให้โทษ และวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท ในปี พ.ศ.2504 องค์การ สหประชาชาติได้พิจารณาเห็นว่าในการควบคุมยาเสพติดให้โทษนี้ได้มีอนุสัญญาและพิธีสารหลายฉบับ ด้วยกัน ดังนั้น จึงได้ตกลงทำอนุสัญญาและพิธีสารที่มีอยู่ประมวลไว้เป็นฉบับเดียวกัน คือ อนุสัญญา เดี่ยวว่าด้วยยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2504 (ค.ศ.1961) และให้ภาคีสมาชิกถือปฏิบัติตาม ดังนั้น ประเทศ ไทยซึ่งเป็นภาคีสมาชิกอยู่ด้วยก็ได้พัฒนามาตรการทางกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดให้โทษ เพื่อให้สอดคล้องกับอนุสัญญาระหว่างประเทศ โดยประกาศใช้พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ประกอบด้วยมาตรการเพื่อแก้ไขปัญหายาเสพติดให้โทษซึ่งมีเจตนารมณ์ ของกฎหมาย ดังนี้ 1. กฎหมายว่าด้วยยาเสพติดให้โทษที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบันได้ใช้บังคับมานาน และมีบทบัญญัติที่ไม่เหมาะสมกับยุคสมัย 2. ประเทศไทยได้เป็นภาคีสมาชิกอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยยาเสพติดให้โทษ จึงมีความจำเป็นที่จะต้องปรับปรุงกฎหมายเพื่อให้สอดคล้องกับอนุสัญญาดังกล่าว


37 3. การปรับปรุงกฎหมายเพื่อให้มีประสิทธิภาพในการป้องกันปราบปรามและ บำบัดรักษาตลอดจนเพิ่มโทษ สำหรับหลักการและสาระสำคัญในกฎหมายฉบับนี้คือการจัดประเภท ยาเสพติดให้โทษออกเป็น 5 ประเภท โดยจัดตั้งคณะกรรมการควบคุมยาเสพติดให้โทษเพื่อควบคุม ยาเสพติดให้โทษและประสานงานกับสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.), การควบคุมยาเสพติดให้โทษบางประเภทซึ่งมีการควบคุมโดยใกล้ชิดและเข้มงวดกวดขัน เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของยาเสพติดให้โทษ กล่าวคือ ยาเสพติดให้โทษบางชนิดห้ามเด็ดขาด และบางชนิด ไม่ห้ามเด็ดขาด สามารถขออนุญาตประกอบการได้ โดยให้เหตุผลที่กฎหมายฉบับนี้ บัญญัติไว้ เช่น วัตถุประสงค์ในทางการแพทย์ เป็นต้น กำหนดอำนาจหน้าที่ของพนักงานเจ้าหน้าที่ และมาตรการควบคุมพิเศษเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษ, กำหนดโทษสำหรับผู้ที่ใช้อุบายหลอกลวง ขู่เข็ญ ใช้กำลังประทุษร้าย ใช้อำนาจครอบงำโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย หรือใช้วิธีข่มขืนใจด้วยประการอื่นใด ให้ผู้อื่นเสพยาเสพติดให้โทษ และกำหนดบทบัญญัติเกี่ยวกับการบำบัดรักษาผู้ติดยาเสพติด พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 ได้ขยายขอบเขตการควบคุมไปถึงสารเคมีที่จำเป็นสำหรับ ใช้ในการผลิตยาเสพติดให้โทษด้วย ส่วนยารักษาโรคที่เป็นยาเสพติดก็ให้ปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้ เท่านั้น นอกจากนี้ กฎหมายกำหนดให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขมีอำนาจในการ จำแนกประเภทยาเสพติด เพิกถอน หรือเปลี่ยนแปลงชื่อหรือประเภทยาเสพติด กำหนดปริมาณยา เสพติดให้โทษที่ผู้รับอนุญาต ผลิต นำเข้า จำหน่าย หรือมีไว้ในครอบครอง สั่งเพิกถอนใบอนุญาต ในการกำหนดตำแหน่งและระดับของพนักงานเจ้าหน้าที่เพื่อทำการตรวจคันสถานที่ หรือบุคคลใด ๆ ที่มีเหตุอันควรสงสัยว่ามียาเสพติดให้โทษซุกซ่อนอยู่โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และมีอำนาจในการยึด ยาเสพติดให้โทษ วางระเบียบปฏิบัติราชการในการประสานกับสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและ ปราบปรามยาเสพติด และกระทรวง ทบวง กรมอื่น ในการอนุญาตให้ผลิต จำหน่าย นำเข้า ส่งออก หรือมีไว้ในการครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท 4 และในประเภท 5 กฎหมายกำหนดให้ "คณะกรรมการยาเสพติด" มีอำนาจหน้าที่หน้าที่ให้ความเห็นต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในการจำแนกประเภทยาเสพติด เพิกถอนชื่อหรือประเภทยาเสพติด กำหนดปริมาณยาเสพติดให้โทษ ที่ผู้รับอนุญาต ผลิตหรือมีไว้ในครอบครองของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ตลอดจนให้ ความเห็นชอบต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในการกำหนดตำแหน่งและระดับของพนักงาน เจ้าหน้าที่ เพื่อทำการตรวจค้นสถานที่อันมีเหตุอันสมควรสงสัยว่ามียาเสพติดให้โทษซุกซ่อนอยู่ โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย รวมไปถึงในการวางระเบียบปฏิบัติราชการในการประสานกับสำนักงาน คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดและกระทรวง ทบวง กรมอื่น และกำหนดให้ "คณะกรรมการวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท" มีหน้าที่ให้ความเห็น คำแนะนำหรือความเห็นชอบ ในเรื่องการผลิต ขาย หรือมีไว้ในครอบครองซึ่งวัตถุออกฤทธิ์ การพักใช้ใบอนุญาตการเพิกถอน ใบอนุญาต การเพิกถอนทะเบียนวัตถุตำรา การกำหนดหลักเกณฑ์อันเกี่ยวกับการผลิต นำผ่าน มีไว้ครอบครอง เป็นต้น นอกจากนี้ ในปี พ.ศ.2514 ได้มีการประชุมผู้แทนประเทศต่าง ๆ ณ กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย เพื่อพิจารณาเรื่องการใช้วัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท และที่ประชุมได้มีมติตกลงให้แยกการควบคุมวัตถุดังกล่าวออกเป็นอีกอนุสัญญาหนึ่งต่างหาก คือ อนุสัญญาว่าด้วยวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ.2514 (Convention on Psychotropic


Click to View FlipBook Version