38 Substances 1971) ซึ่งประเทศไทยได้ร่วมเป็นภาคีของอนุสัญญานี้ด้วยวิธีภาคยานุวัติ เมื่อ พ.ศ.2518 รัฐบาลจึงประกาศใช้พระราชบัญญัติวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พุทธศักราช 2518 ซึ่งกฎหมาย ดังกล่าวมีเจตนารมณ์เพื่อควบคุมการเสพติดอื่นที่เกิดจากการที่เทคโนโลยีต่าง ๆ ได้มีความเจริญก้าวหน้า มากขึ้นและมีการสังเคราะห์สารต่าง ๆ ที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทได้อย่างเฉพาะเจาะจงมากยิ่งขึ้น ซึ่งยาเหล่านี้จะมีการใช้ในทางการแพทย์ แต่มีบุคคลจำนวนหนึ่งนำสารเหล่านี้ไปใช้ในทางที่ผิด เช่น แอลเอสดี, แอมเฟตามีน องค์การสหประชาชาติจึงได้มีมติเมื่อปี พ.ศ.2512 ให้มีมาตรการเกี่ยวกับ การควบคุมวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท
บทที่ 3 หลักกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ระบุยาเสพติดให้โทษประเภท 5 พุทธศักราช 2565 “การใช้กัญชาเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ ” เดิมกัญชา เป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 5 ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พุทธศักราช 2522 ต่อมาได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติ ให้ใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติด โดยในประมวลกฎหมายยาเสพติดมิได้บัญญัติให้กัญชาเป็นยาเสพติด ให้โทษประเภท 5 และได้ให้อำนาจรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ออกประกาศกระทรวง สาธารณสุขกำหนดชื่อยาเสพติดให้โทษประเภท 5 วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2565 ได้มีประกาศกระทรวง สาธารณสุข ให้ยาเสพติดให้โทษที่ระบุชื่อดังต่อไปนี้ เป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 5 ตามประมวล กฎหมายยาเสพติด ไม่ปรากฏว่ากัญชาเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 5 เว้นแต่ สารสกัดจากทุกส่วน ที่อยู่ในข้อยกเว้นของประกาศเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 5 การนำกัญชาไปใช้ประโยชน์ ทางการแพทย์จึงมีจำเป็นจะต้องมีการควบคุมการใช้โดยจะต้องระบุโรคที่ใช้ ผู้ที่จะใช้ ในการออก กฎหมายนั้นจะต้องนำไปศึกษาเปรียบเทียบกับประเทศต่าง ๆ ที่ให้นำกัญชามาใช้ทางการแพทย์ เท่านั้น โดยจะต้องไม่ให้กัญชาซึ่งมีสารเสพติดแพร่ระบาดกระจ่ายเข้าไปสู่สังคมไทย อันจะก่อปัญหา ให้กับประเทศชาติต่อไป ซึ่งคณะผู้วิจัยได้ทำการศึกษาหลักกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ดังนี้ 3.1. กฎหมายระหว่างประเทศ 3.1.1 อนุสัญญาเดี่ยวว่าด้วยการควบคุมยาเสพติดให้โทษ ค.ศ.1961 (1961 Single Convention on Narcotic Drugs) มาตรา 1 บทนิยาม ข้อ 1. เว้นแต่ที่ได้ระบุไว้เป็นอย่างอื่นหรือที่บทบัญญัติประสงค์เป็นอย่างอื่นในอนุสัญญา เท่านั้นให้ใช้ คำนิยามสำหรับคำดังต่อไปนี้ เป็นดังนี้คือ (ก) “คณะกรรมการ” หมายความว่าคณะกรรมการควบคุมยาเสพติดให้โทษระหว่างประเทศ (ข) “กัญชา” หมายความว่า ยอด ดอก หรือผลของต้นกัญชา (แต่ไม่รวมถึงเม็ดหรือใบซึ่งไม่มี ยอดติดอยู่ด้วย) ที่ยังมิได้สกัดยางไม้ออก ทั้งนี้ไม่ว่าจะใช้ชื่อเรียกอย่างไรก็ตาม (ค) “ต้นกัญชา” หมายความว่า พืชใด ๆ ในตระกูลกัญชา (ฆ) “ยางกัญชา” หมายความว่า ยางที่แยกออกไม่ว่าจะเป็นยางดิบหรือทำให้บริสุทธิ์แล้วก็ตาม ที่ได้จากต้นกัญชา (ง) “ต้นโคคา” หมายความว่า พืชไม่ว่าพันธุ์ใด ๆ ในตระกูล อีไรโธรไซลอน (จ) “ใบโคคา” หมายความว่า ใบของต้นโคคา ยกเว้นใบที่เอาเอ็กโกนีนโคเคนหรือ อัลคาลอยด์อื่น ๆ ออกแล้ว (ฉ) “คณะกรรมาธิการ” หมายความว่า คณะกรรมาธิการยาเสพติดให้โทษของคณะมนตรี (ช) “คณะมนตรี” หมายความว่า คณะมนตรีเศรษฐกิจและสังคมแห่งองค์การสหประชาชาติ (ช) “การเพาะปลูก” หมายความว่า การเพาะปลูกต้นฝิ่น ต้นโคคาและต้นกัญชา (ฌ) “ยาเสพติด” หมายความว่า วัตถุใด ๆ ที่ระบุไว้ในบัญชีประเภทที่ 1 และบัญชีประเภท
40 ที่ 2 ไม่ว่าจะได้มาตามธรรมชาติหรือโดยการสังเคราะห์ (ญ) “สมัชชาใหญ่” หมายความว่า สมัชชาใหญ่แห่งองค์การสหประชาชาติ (ฎ) “การค้าผิดกฎหมาย” หมายความว่า การเพาะปลูกหรือการค้ายาเสพติดให้โทษที่ผิด ต่อ บทบัญญัติแห่งอนุสัญญานี้ (ฏ) “การนำเข้าและการนำออก” หมายความว่า ตามที่เข้าใจของภาคีประเทศในการขนย้าย เข้าหรือออกซึ่งยาเสพติดให้โทษจากรัฐหนึ่งไปยังอีกรัฐหนึ่ง หรือจากอาณาเขตหนึ่งไปยังอีกอาณาเขต หนึ่งในรัฐเดียวกัน (ฐ) “การผลิต” หมายความว่า กระบวนการซึ่งจะให้ได้มาซึ่งยาเสพติดให้โทษรวมถึงการ ทำให้บริสุทธิ์ หรือเปลี่ยนรูปของยาเสพติดให้โทษจากชนิดหนึ่งไปยังอีกชนิดหนึ่ง แต่ไม่รวมถึงผลิตผล การแพทย์ (ฒ) “ฝุ่น” หมายความว่า น้ำยางของต้นฝิ่นที่แข็งตัว (ฌ) “ต้นฝิ่น” หมายความว่า พืชในตระกูล พาพาเวอร์ ซอมนิเฟอร์รุม แอล (ด) “ฟางฝิ่น” หมายความว่า ส่วนทั้งหลาย (ยกเว้นเมล็ด) ของต้นฝิ่นที่ตัดแล้ว (ต) “ยาปรุง” หมายความว่า ของปรุงไม่ว่าจะแข็งหรือเหลวที่มียาเสพติดผสมอยู่ รวมอนุสัญญาสหประชาชาติเกี่ยวกับการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ถ) “ผลิตผล” หมายความว่า ส่วนที่แยกออกมาจากต้นฝิ่น ใบโคคา กัญชา และยางกัญชา ที่ได้มาจากต้นกัญชา (ท) “บัญชีประเภทที่ 1” “บัญชีประเภทที่ 2” “บัญชีประเภทที่ 3” และ “บัญชีประเภทที่ 4” หมายความว่า บัญชีหมายเลขของยาเสพติดหรือยาปรุงอันเป็นภาคผนวกซึ่งแนบท้ายอนุสัญญานี้ ซึ่งจะได้ แก้ไขเพิ่มเติมเป็นคราว ๆ ตามมาตรา 3 (ธ) “เลขาธิการใหญ่” หมายความว่า เลขาธิการใหญ่ขององค์การสหประชาชาติ (น) “คลังยาเสพติดพิเศษ” หมายความว่า ปริมาณยาซึ่งรัฐบาลของประเทศหรืออาณาเขต มีไว้ในประเทศหรืออาณาเขตนั้น ๆ เพื่อจุดประสงค์พิเศษของรัฐบาลและในกรณีพิเศษและคำว่า “จุดประสงค์พิเศษ” ก็มีความหมายในทำนองเดียวกัน (บ) “คลังยาเสพติด” หมายความว่า ปริมาณยาเสพติดให้โทษชนิดต่างๆ ที่มีไว้ในประเทศ หรืออาณาเขตเพื่อ (1) บริโภคในประเทศหรืออาณาเขตสำหรับจุดประสงค์ทางการแพทย์และวิทยาศาสตร์ (2) ใช้ประโยชน์ในประเทศหรืออาณาเขตสำหรับทำยาและสารอื่นๆ หรือ (3) เป็นสินค้าขาออกแต่ไม่รวมปริมาณยาที่มีไว้ในประเทศหรืออาณาเขต (4) สำหรับร้านขายยาหรือบุคคลที่ได้รับใบอนุญาตให้มีใช้ ยาเสพติดให้โทษสถาบัน หรือบุคคลที่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่เพื่อใช้ในการบำบัดรักษา หรือ (5) เป็น “คลังยาเสพติดพิเศษ” (ป) “อาณาเขต” หมายความว่า ส่วนใด ๆ ของรัฐซึ่งได้แยกออกต่างหากในการที่จะต้อง มีการขออนุญาตเพื่อนำเข้าหรือส่งออกโดยพนักงานเจ้าหน้าที่ตามที่บัญญัติในมาตรา 31 คำนิยาม ตามข้อนี้ไม่ใช้ กับคำว่า “อาณาเขต” ซึ่งระบุไว้ในมาตรา 42 และ มาตรา 46 ข้อ 2. เพื่อความมุ่งหมายแห่งอนุสัญญานี้ “เสพ” ให้หมายถึงการที่ได้รับยาเสพติดให้โทษ
41 จากบุคคลใด ๆ หรือจากวิสาหกิจการจำหน่ายปลีก การใช้ในทางการแพทย์และการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ และคำว่า “การเสพ” ก็ให้มีความหมายในทำนองเดียวกัน มาตรา 2 วัตถุที่อยู่ภายใต้การควบคุม 1) เว้นแต่มาตรการควบคุมซึ่งจำกัดเฉพาะยาเสพติดให้โทษที่ระบุไว้เป็นอย่างอื่น ยาเสพติดฯ ในบัญชีประเภท 1 จะต้องใช้มาตรการให้อยู่ภายใต้มาตรการควบคุมตามที่ระบุไว้ในอนุสัญญานี้ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งตามที่ระบุไว้ในมาตรา 4 (ค), 19, 20, 21, 29, 30, 31, 32, 33, 34 และมาตรา 37 2) ยาเสพติดให้โทษในบัญชีประเภท 2 ให้มีมาตรการควบคุมเช่นเดียวกับยาเสพติดฯ ในบัญชี ประเภท 1 เว้นแต่ที่ระบุไว้ในมาตรา 30 วรรค 2 และ 5 ในส่วนที่เกี่ยวกับการขายปลีก 3) ยาปรุงใด ๆ ที่มียาเสพติดให้โทษในประเภทใดอยู่ ให้มีการควบคุมเช่นเดียวกับยาเสพติด ให้โทษประเภทนั้นๆ ยกเว้นแต่ยาปรุงที่มียาเสพติดให้โทษในบัญชีประเภท 3 ผสมอยู่ แต่การประมาณการ (มาตรา 19) และการแสดงสถิติ (มาตรา 20) ซึ่งไม่เกี่ยวกับยาเหล่านี้ ไม่ต้องแสดงในกรณีเป็นยาปรุง และมิ ให้นำมาตรา 29 วรรค 2 (ค) และมาตรา 30 วรรค 1 (ข) อนุ (2) มาใช้บังคับ 4) ยาปรุงที่มียาเสพติดให้โทษในบัญชีประเภท 3 ผสมอยู่ให้ใช้มาตรการควบคุมเช่นเดียวกับ ยาปรุงที่มียาเสพติดให้โทษเช่นเดียวกับบัญชีประเภท 2 ผสมอยู่ เว้นแต่บทบัญญัติในมาตรา 31 วรรค 1 (ข) และวรรค 3-15 และบทบัญญัติในมาตรา 34 (ข) ในส่วนที่เกี่ยวกับการได้มาหรือจ่ายไป ของผู้ขายปลีก มิให้นำมาใช้บังคับและสำหรับวัตถุประสงค์ในการทำประมาณการ (มาตรา 19) และการแสดงสถิติ (มาตรา 20) กำหนดเฉพาะให้แสดงข้อมูลที่เกี่ยวกับปริมาณของยาเสพติดให้โทษ ที่ใช้ในการผลิตยาปรุงเช่นว่าเท่านั้น 5) ยาเสพติดให้โทษที่ระบุในบัญชีประเภท 4 ให้จัดรวมอยู่ในพวกเดียวกับบัญชีประเภท 1 และใช้มาตรการควบคุมเช่นเดียวกับยาเสพติดให้โทษในบัญชีประเภท 1 และมีมาตรการควบคุมเพิ่ม ดังต่อไปนี้ ซึ่งเห็นว่าจำเป็นเมื่อคำนึงถึง (ก) ภาคีแต่ละประเทศจะจัดให้มีมาตรการควบคุมพิเศษ คุณสมบัติที่เป็นอันตรายของยา ที่เอามาสมทบ และ (ข) ภาคีแต่ละประเทศจะห้ามการผลิต การทำ การนำออกและนำเข้า การค้าการมีไว้ ในครอบครองหรือการใช้ประโยชน์ซึ่งยาเสพติดให้โทษใด ๆ เว้นแต่ในปริมาณที่จำเป็นสำหรับการวิจัย ทางแพทย์และทางวิทยาศาสตร์เท่านั้น รวมทั้งการทดลองในการรักษา ซึ่งได้กระทำหรือภายใต้ การควบคุมหรือแนะนำโดยตรงจากภาคีประเทศนั้น ในกรณีตามความเห็นของตนตามสถานการณ์ ซึ่งอำนวยและเป็นการเหมาะสมที่สุดเพื่อที่จะป้องกันสุขภาพและสังคมของภาคีประเทศนั้นๆ 6) นอกเหนือไปจากมาตรการควบคุมที่ใช้กับยาเสพติดให้โทษทั้งหลายที่ระบุไว้ในบัญชี ประเภท 1 แล้ว ฝิ่นยังจะต้องอยู่ภายใต้บทบัญญัติของมาตรา 19 วรรค 1 อนุมาตรา (จ) และมาตรา 21 ทวิ, มาตรา 23 และมาตรา 24 ใบโคคา มาตรา 26 และมาตรา 27 และกัญชา ตามมาตรา 28 7) ต้นฝิ่น ต้นโคคา ต้นกัญชา ฟางฝิ่น และใบกัญชานั้น ให้อยู่ภายใต้มาตรการควบคุม ตามที่ บัญญัติไว้คือ ต้นฝิ่น ตามมาตรา 19 วรรค 1 อนุ (ง) มาตรา 20 วรรค 1 อนุ (ฉ) มาตรา 21 ทวิ และ มาตรา 22 ถึงมาตรา 24 ต้นโคคา ตามมาตรา 22 มาตรา 26 และมาตรา 27 ต้นกัญชา ตามมาตรา 22 และมาตรา 28 ฟางฝิ่น ตามมาตรา 25 ใบกัญชา ตามมาตรา 28
42 8) ภาคีประเทศจะต้องปฏิบัติตามอย่างดีที่สุดที่จะดำเนินการต่อวัตถุใด ๆ ซึ่งไม่ได้อยู่ภายใต้ การควบคุมของอนุสัญญานี้ แต่วัตถุเช่นว่านั้นอาจนำมาใช้ในทางที่ผิดกฎหมายเพื่อการผลิตยาเสพติด ให้โทษในเมื่อเห็นว่ามาตรการควบคุมนั้นตนเห็นว่าเหมาะสม มาตรา 22 บทบัญญัติพิเศษสำหรับการเพาะปลูก 1) ในเมื่อสภาวะที่เป็นอยู่ในประเทศหรืออาณาเขตหนึ่งของภาคีประเทศยังผลให้การห้าม การปลูกฝิ่น ต้นโคคา หรือต้นกัญชา เป็นวิธีการเหมาะสมที่สุดในความเห็นของภาคีประเทศนั้น เพื่อป้องกันสุขภาพ สวัสดิภาพของประชาชน และป้องกันการหันเหไปใช้ยาเสพติดให้โทษในทาง ผิดกฎหมายแล้ว ภาคีประเทศที่เกี่ยวข้องต้องห้ามการเพาะปลูกเช่นว่านั้น 2) ภาคีประเทศซึ่งห้ามการเพาะปลูกต้นฝิ่นหรือต้นกัญชาต้องใช้มาตรการที่เหมาะสมเพื่อยึด พืชผลที่เพาะปลูกโดยผิดกฎหมายและทำลาย เว้นแต่จำนวนเล็กน้อยที่ภาคีประเทศต้องการเพื่อความ มุ่งหมายทางวิทยาศาสตร์หรือการวิจัยเท่านั้น มาตรา 28 มาตรการควบคุมกัญชา 1) ถ้าภาคีประเทศใดอนุญาตให้เพาะปลูกต้นกัญชาเพื่อการผลิตกัญชาหรือยางกัญชาต้องนำ ระบบการควบคุมในเรื่องต้นฝุ่นตามมาตรา 23 มาบังคับใช้ 2) อนุสัญญานี้ไม่นำไปใช้บังคับแก่การเพาะปลูกต้นกัญชาเพื่อการอุตสาหกรรม (เส้นใยและ เมล็ด) เท่านั้นหรือเพื่อความมุ่งหมายเป็นต้นไม้ประดับ 3) บรรดาภาคีประเทศต้องกำหนดมาตรการควบคุมเท่าที่จำเป็นเพื่อป้องกันมิให้มีการ นำไปใช้ในทางที่ผิดการค้าผิดกฎหมายซึ่งใบของต้นกัญชา มาตรา 29 การผลิต 1) บรรดาภาคีประเทศต้องให้ผู้ผลิตยาเสพติดให้โทษต้องมีใบอนุญาตยกเว้นการผลิต ซึ่งกระทำโดยรัฐหรือรัฐวิสาหกิจ มาตรา 30 การค้าและการจำหน่าย 1) (ก) ภาคประเทศทั้งหลายต้องกำหนดความต้องการให้ต้องมีใบอนุญาตในการค้าหรือ การ จำหน่ายซึ่ง ยาเสพติดให้โทษ ยกเว้นกรณีการค้าหรือการจำหน่ายซึ่งกระทำโดยรัฐวิสาหกิจ หนึ่งแห่งหรือหลายแห่ง (ข) ภาคีประเทศ ต้อง (1) ควบคุมบุคคลทุกคนและรัฐวิสาหกิจทุกแห่งที่เกี่ยวข้องในการค้าและการจำหน่าย รวมอนุสัญญาสหประชาชาติเกี่ยวกับการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (2) ควบคุมโดยการออกใบอนุญาตแก่สถานที่และอาคารซึ่งมีการค้าและการจำหน่าย เช่นว่านั้น กำหนดความต้องการเกี่ยวกับใบอนุญาตไม่จำเป็นสำหรับกรณียาปรุง (ค) บทบัญญัติตามอนุวรรค (ก) และวรรค (ข) ซึ่งเกี่ยวกับใบอนุญาต ไม่จำเป็นต้อง นำมาใช้ กับบุคคล ซึ่งมีหน้าที่โดยชอบที่จะกระทำและขณะกระทำการรักษาหรือกระทำหน้าที่ ทางวิทยาศาสตร์
43 2) ภาคีประเทศ ต้อง (ก) ป้องกันการสะสมการมีไว้ในครอบครองของผู้ค้า ผู้จำหน่าย รัฐวิสาหกิจ หรือบุคคล ซึ่งมีหน้าที่โดยชอบตามที่กล่าวข้างต้น ซึ่งปริมาณของยาเสพติดให้โทษ ฟางฝิ่น ในปริมาณที่เกินพอ สำหรับความต้องการตามปกติในการดำเนินการของธุรกิจโดยคำนึงถึงภาวะของตลาดเท่าที่เป็นอยู่ และ (ข) (1) กำหนดความต้องการเรื่องใบสั่งแพทย์สำหรับการได้มาหรือจ่ายไปซึ่งยาเสพติด ให้โทษสำหรับบุคคลเฉพาะราย กำหนดความต้องการนี้ไม่นำไปใช้ในกรณียาเสพติดให้โทษสำหรับ บุคคล เฉพาะกรณีที่ กฎหมายให้มี, ใช้, จ่าย หรือบริหารงานในส่วนที่เกี่ยวกับหน้าที่การรักษาซึ่งได้รับ อนุญาต และ (2) ถ้าบรรดาภาคีเห็นเป็นความจำเป็นหรือตนปรารถนาจะกำหนดความต้องการ ว่าใบสั่งยาเสพติดให้โทษในบัญชีประเภท 1 ต้องเขียนในแบบซึ่งต้องมีสำเนาต้นฉบับซึ่งพนักงาน เจ้าหน้าที่ของรัฐบาลหรือของสมาคมวิชาชีพซึ่งได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ก็ได้ 3) เป็นที่พึงปรารถนาว่าบรรดาภาคีประเทศจึงกำหนดความต้องการว่าสิ่งเขียนหรือสิ่งพิมพ์ เพื่อใช้ไปซึ่งยาเสพติดให้โทษ การโฆษณาทุกชนิด หรือวารสารที่เกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษและความ ประสงค์ทางการค้า สิ่งห่อหุ้มที่อยู่ภายในกล่องซึ่งบรรจุยาเสพติดให้โทษ และฉลากสำหรับยาเสพติด ให้โทษเพื่อขายต้องใช้ชื่อสามัญทั่วไปที่องค์การอนามัยโลกเห็นชอบด้วย 4) ถ้าภาคีประเทศหนึ่งพิจารณาเห็นว่ามาตรการที่จำเป็นหรือที่ตนปรารถนาต้องกำหนด ความต้องการว่าหีบห่อข้างในที่บรรจุยาเสพติดให้โทษ หรือสิ่งห่อหุ้มต้องแสดงให้เห็นได้ชัดเจนด้วย คาดสีแดง 2 แถบแล้วสิ่งห่อหุ้มภายนอกซึ่งยาเสพติดให้โทษบรรจุอยู่ต้องไม่แสดงคาดสีแดง 2 แถบ 5) ภาคีประเทศต้องกำหนดความต้องการให้ยาเสพติดให้โทษมีไว้เพื่อขาย แสดงน้ำหนักและ จำนวนร้อยละที่แท้จริง กำหนดความต้องการนี้สำหรับข้อความฉลาก ไม่ต้องนำไปใช้กับยาเสพติด ให้โทษซึ่งจ่ายเฉพาะรายตามใบสั่งของแพทย์ 6) บทบัญญัติตามวรรค 2 และวรรค 5 ไม่นำไปใช้กับยาเสพติดให้โทษในบัญชีประเภท 2 สำหรับ การค้าปลีก หรือร้านค้าย่อย มาตรา 38 มาตรการต่อต้านการใช้ยาเสพติดให้โทษในทางที่ผิด 1) บรรดาภาคีประเทศทั้งหลายต้องให้ความสนใจเป็นพิเศษและใช้วิธีปฏิบัติทุกวิถีทาง เพื่อป้องกันการใช้ยาเสพติดให้โทษในทางที่ผิด และเพื่อตรวจสอบแต่เนิ่น ๆ รักษา ให้การศึกษา การดูแล หลังจากการรักษา การติดตามและการเข้าสู่สังคมใหม่ของผู้ใช้ยาเสพติดให้โทษในทางที่ผิด และต้อง ร่วมกันทุกวิถีทางเพื่อให้บรรลุจุดหมายปลายทางทั้งหลาย 2) ภาคีประเทศทั้งหลายต้องส่งเสริมเท่าที่จะทำได้ในการฝึกอบรมองค์บุคคลในการรักษา การดูแลหลังการรักษา การติดตาม และการเข้าสู่สังคมใหม่ของผู้ใช้ยาเสพติดให้โทษในทางที่ผิด 3) ภาคีประเทศทั้งหลายต้องใช้มาตรการที่ปฏิบัติได้ทุกวิถีทางเพื่อสนับสนุนบุคคลผู้ทำงาน ซึ่งปรารถนาจะทำความเข้าใจในปัญหาของการใช้ยาเสพติดให้โทษในทางที่ผิดและการป้องกันการใช้นั้น และต้องสนับสนุนความเข้าใจระหว่างประชาชนทั่วไป ถ้ามีการเสี่ยงต่อการใช้ยาเสพติดไปในทางที่ผิด
44 3.1.2 อนุสัญญาว่าด้วยวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท ค.ศ.1971 มาตรา 1 ความหมายของคำ หากมิได้แจ้งไว้ว่ามีความหมายเป็นอย่างอื่น หรือมิได้มีข้อความบ่งไว้ว่า ต้องการที่จะหมาย เป็นอย่างอื่น คำต่างๆ ในอนุสัญญานี้มีความหมายดังต่อไปนี้ คือ จ. “วัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท” หมายความถึง วัตถุใดๆ ไม่ว่าจะเป็นวัตถุตามธรรมชาติ หรือวัตถุสังเคราะห์ หรือ สิ่งธรรมชาติใดๆ ตามที่ระบุไว้ในหมวด 1, 2, 3, หรือ 4 ฉ. “ยาตำรับ” หมายความถึง 1) น้ำยาหรือยาผสมใดๆ ไม่ว่าจะอยู่ในรูปลักษณะใดซึ่งมีวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท อยู่หนึ่งหรือหลายตัว หรือ 2) วัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทตัวหนึ่งตัวใดหรือหลายตัวที่มีลักษณะเป็นยา ช. “หมวด 1” “หมวด 2” “หมวด 3” และ“หมวด 4” หมายความถึงบัญชีรายชื่อในหมวด นั้นๆ ซึ่งวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทที่ได้แนบท้ายอนุสัญญาฉบับนี้ ซึ่งมีการแก้ไขตามความใน มาตรา 2 ซ. “การส่งออก” และ “การนำเข้า” หมายถึงการจัดส่งตัววัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทจาก ประเทศหนึ่งไปยังอีกประเทศหนึ่ง ณ. “การผลิต” หมายถึงการดำเนินการต่าง ๆ ทุกอย่างซึ่งทำให้ได้มาซึ่งวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิต ประสาท และรวมถึงการทำให้บริสุทธิ์ หรือการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ที่ทำให้วัตถุที่ออกฤทธิ์ ต่อจิตประสาทกลาย เป็นวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทอย่างอื่น ๆ คำนี้ให้รวมถึงการทำยาตำรับ ที่นอกเหนือไปจากการปรุงยา ในร้านขายยาตามใบสั่งแพทย์ด้วย ญ. “การค้าที่ผิดกฎหมาย” หมายความถึงการผลิตหรือการค้าซึ่งวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิต ประสาทอัน เป็นการฝ่าฝืนต่อข้อกำหนดของอนุสัญญาฉบับนี้ มาตรา 3 ข้อกำหนดพิเศษเกี่ยวกับการควบคุมยาตำรับ 1) ยาตำรับแต่ละขนานที่มีวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทจะต้องอยู่ภายใต้มาตรการควบคุม เช่นเดียวกันกับวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทที่มีอยู่ในตำรับนั้น ๆ และถ้าเป็นกรณีที่มีวัตถุหลายตัว อยู่ในยาตำรับขนานนั้น จะต้องใช้มาตรการที่เข้มงวดสูงสุดสำหรับการควบคุมวัตถุเหล่านั้น ทั้งนี้ ยกเว้นดังที่จะได้กล่าวถึงในวรรคต่อ ๆ ไป ของมาตรานี้ 2) ในกรณีที่ยาตำรับใด ๆ มีวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทที่มิใช่อยู่ในหมวด 1 ในลักษณะ ที่ไม่อาจจะก่อให้เกิดมีการใช้ที่ผิดทาง หรือถ้าจะมีก็เพียงเล็กน้อยมากและวัตถุนั้น ๆ ไม่สามารถที่จะ ถูกแยกสกัด กลับมาใช้ในปริมาณที่จะทำให้เกิดมีการใช้ผิดทางและยาตำรับนั้นจะไม่ก่อให้เกิดปัญหา ทางด้านสาธารณสุขและสังคมได้ ยาขนานนั้นอาจได้รับการยกเว้นตามวรรค 3 จากมาตรการควบคุม บางอย่างที่ได้กำหนดไว้ในอนุสัญญาฉบับนี้ 3) ในกรณีที่ภาคีประเทศหนึ่งได้พิจารณาเห็นว่ายาตำรับใดตำรับหนึ่งมีลักษณะเข้าตามความ ใน วรรคก่อน ภาคีนั้นอาจจะตัดสินตกลงใจให้ยาตำรับนั้นจัดเป็นยายกเว้นจากกรณีที่จะต้องอยู่ภายใต้ มาตรการควบคุมบทกำหนดในอนุสัญญาฉบับนี้ภายในประเทศของตน หรือเขตใดเขตหนึ่งของตนได้ แต่ทั้งนี้จะต้องมีข้อกำหนดดังต่อไปนี้อยู่ คือ ก. มาตรา 8 (การอนุญาต) สำหรับผู้ผลิต
45 ข. มาตรา 11 (บัญชี) สำหรับยาตำรับที่ได้รับการยกเว้น ค. มาตรา 13 (การห้ามและการจำกัดซึ่งการส่งออกและนำเข้า) ฆ. มาตรา 15 (การตรวจตรา) สำหรับผู้ผลิต ง. มาตรา 16 (รายงานที่ภาคีทุกประเทศจะต้องจัดการเสนอ)สำหรับยาตำรับที่ได้รับการยกเว้น จ. มาตรา 22 (บทกำหนดโทษ) ตามความจำเป็นแก่การที่จะปราบปรามการกระทำใด ๆ ที่ขัดต่อ กฎหมายหรือข้อบังคับตามที่ได้ยอมรับสำหรับการปฏิบัติตามข้อผูกพันต่าง ๆ ที่กล่าวข้างต้น ภาคีแต่ละ ประเทศที่ได้ตัดสินตกลงใจดังกล่าวจะต้องแจ้งให้เลขาธิการได้ทราบถึงชื่อและส่วนประกอบของยาตำรับ ที่ได้รับการยกเว้น เลขาธิการจะได้จัดส่งข้อความดังกล่าวไปยังภาคีประเทศอื่น ๆ องค์การอนามัยโลกและสภา 4) ถ้าภาคีประเทศหนึ่งหรือองค์การอนามัยโลก ได้รับทราบรายละเอียดเกี่ยวกับยาตำรับ ที่ได้รับการยกเว้นตามความในวรรค 3 และพิจารณาเห็นว่าควรจะได้มีการยกเลิกการยกเว้น ยาดังกล่าวเสียทั้งหมด หรือบางส่วน ภาคีประเทศนั้นหรือองค์การอนามัยโลกดังกล่าวจะต้องแจ้งให้ เลขาธิการทราบ พร้อมด้วยเสนอรายละเอียดข้อความที่สนับสนุน เลขาธิการจะได้จัดส่งข้อแจ้งนั้น พร้อมด้วยรายละเอียดต่าง ๆ ที่เห็นว่าเกี่ยวข้องไปยังภาคีทุกประเทศและคณะกรรมาธิการ ในกรณีที่ ข้อแจ้งนั้นมาจากภาคีประเทศหนึ่งประเทศใดไปยังองค์การอนามัยโลกด้วย องค์การอนามัยโลกจะได้ ติดต่อไปยังคณะกรรมาธิการแจ้งให้ทราบถึงการประเมินปัญหาของยาตำรับดังกล่าวตามที่ได้กำหนด ไว้ในวรรค 2 พร้อมด้วยข้อคิดเห็นเกี่ยวกับมาตรการที่จะใช้ในการควบคุมหากจำเป็น ซึ่งในกรณี ดังกล่าวยาตำรับนั้นควรจะถูกยกเลิกจากการเป็นยา ยกเว้นเมื่อคณะกรรมาธิการได้รับแจ้งจาก องค์การอนามัยโลกเกี่ยวกับการประเมินปัญหาในด้านการแพทย์และวิทยาศาสตร์ดังกล่าวแล้ว จะได้ นำมาพิจารณาในด้านเศรษฐกิจ สังคม กฎหมาย การบริหาร และ ปัญหาอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องแล้วตัดสิน ตกลงใจเกี่ยวกับการที่จะยกเลิกการยกเว้นจากมาตรการควบคุมใด ๆ หรือทั้งหมดก็ได้ เลขาธิการ จะได้จัดส่งมติของคณะกรรมาธิการตามความในวรรคนี้ไปยังประเทศสมาชิกของสหประชาชาติ ภาคี ของอนุสัญญานี้ที่มิใช่ประเทศสมาชิก องค์การอนามัยโลกและสภาในกรณีดังกล่าว ภาคีทุกประเทศ จะต้องยกเลิกการดำเนินการยกเว้นจากมาตรการควบคุมดังกล่าวภายใน 180 วัน นับจากวันที่ เลขาธิการแจ้งไป มาตรา 5 ข้อจำกัดในการใช้ทางด้านการแพทย์และวิทยาศาสตร์ 1) ภาคีแต่ละประเทศจะจำกัดการใช้วัตถุตามหมวด 1 ตามที่ได้กำหนดไว้ในมาตรา 7 2) ภายใต้ข้อยกเว้นตามมาตรา 4 ภาคีแต่ละประเทศจะใช้มาตรการที่เหมาะสมในการที่จะ จำกัด การผลิต การส่งออก การนำเข้า การจำหน่าย การเก็บ การค้า การใช้ และการมีไว้ใน ครอบครองซึ่งวัตถุตามหมวด 2, 3 และ 4 ให้อยู่ภายในวัตถุประสงค์เพื่อการแพทย์และวิทยาศาสตร์ เท่านั้น 3) ภาคีแต่ละประเทศไม่ควรจะยอมให้มีไว้ในครอบครองซึ่งวัตถุในหมวด 2, 3 และ 4 นอกเสียจากว่าได้รับอนุญาตโดยถูกต้องตามกฎหมายแล้วเท่านั้น มาตรา 7 ข้อกำหนดพิเศษเกี่ยวกับวัตถุในหมวด 1 เกี่ยวกับวัตถุตามหมวด 1 ภาคีต่าง ๆ จะต้อง (ก) ห้ามมิให้มีการใช้ในกรณีใด ๆ นอกจากเพื่อการทดลองทางวิทยาศาสตร์ เพื่อการใช้ ในทางการแพทย์อย่างจำกัดหรือโดยบุคคลที่ได้รับอนุญาตเป็นพิเศษเท่านั้น และการใช้นั้นจะต้อง
46 อยู่ในสถาบันทางการแพทย์หรือวิทยาศาสตร์ ซึ่งอยู่ภายใต้การควบคุมโดยตรงของรัฐบาลหรือได้รับ อนุญาตโดยเฉพาะจากรัฐบาลดังกล่าว (ข) กำหนดให้มีใบอนุญาตพิเศษหรือการขออนุญาตล่วงหน้าสำหรับการที่จะทำการผลิต จำหน่าย หรือมีไว้ในครอบครอง (ค) จัดให้มีการตรวจตราอย่างใกล้ชิดสำหรับกิจกรรมและการดำเนินการดังกล่าวในวรรค (ก) และ (ข) (ง) จำกัดปริมาณที่จะจ่ายให้แก่ผู้ที่ได้รับอนุญาตให้อยู่ภายในปริมาณที่จำเป็นเฉพาะ เพื่อกิจการที่ได้รับอนุญาตดังกล่าวนี้เท่านั้น (จ) กำหนดให้บุคคลผู้มีหน้าที่ในด้านการแพทย์ วิทยาศาสตร์ทำการลงบัญชีเกี่ยวกับ การได้มาซึ่งวัตถุและรายละเอียดต่าง ๆ เกี่ยวกับการใช้วัตถุดังกล่าว บัญชีดังกล่าวจะต้องเก็บเอาไว้ อย่างน้อยที่สุดสองปี หลังจากการลงบัญชีครั้งสุดท้าย และ (ฉ) ห้ามมิให้มีการส่งออกและนำเข้า นอกเสียจากว่าผู้ที่ส่งออกและผู้ที่นำเข้านั้นเป็นพนักงาน เจ้าหน้าที่หรือสถาบันตามกฎหมายของประเทศหรือเขตที่ส่งออกและนำเข้าตามลำดับหรือเป็นบุคคล หรือหน่วยงานที่ได้รับอนุญาตเป็นพิเศษโดยเฉพาะจากพนักงานเจ้าหน้าที่ของประเทศ หรือเขต เพื่อกิจการดังกล่าว ให้นำข้อกำหนดตามวรรค 1 ของมาตรา 12 สำหรับขออนุญาตนำเข้าหรือส่งออก สำหรับวัตถุตาม หมวด 2 มาใช้บังคับ สำหรับวัตถุตามหมวด 1 ด้วย มาตรา 8 ใบอนุญาต 3) สำหรับบุคคลที่ได้รับอนุญาตให้ปฏิบัติหน้าที่ในด้านการรักษาพยาบาลหรือ การวิทยาศาสตร์ในขณะที่ดำเนินกิจการดังกล่าว ไม่จำเป็นต้องนำข้อกำหนดตามวรรค 1 และ 2 ตามมาตรานี้เกี่ยวกับการขออนุญาตหรือการควบคุมอื่น ๆ ที่คล้ายคลึงกันมาใช้บังคับ 4) ภาคีต่าง ๆ จะต้องกำหนดว่าบุคคลทุกคนซึ่งได้รับใบอนุญาตตามความในอนุสัญญานี้ หรือ บุคคลที่ได้รับอนุญาตในวรรค 1 ของมาตรานี้ หรือ อนุวรรค (ข) ของมาตรา 7 จะต้องเป็นบุคคลที่มี คุณวุฒิอย่างเพียงพอในการที่จะดำเนินการตามข้อกำหนดของกฎหมาย และกฎกระทรวงที่ออก ตามความในอนุสัญญานี้ได้อย่างเคร่งครัด มาตรา 9 ใบสั่งยาของแพทย์ 1) ภาคีต่าง ๆ จะต้องมีข้อกำหนดไว้ว่าในการที่จะจ่ายหรือปรุงวัตถุตามหมวด 2, 3 และ 4 มาใช้ในทางการแพทย์จะกระทำได้ต่อเมื่อมีใบสั่งยาของแพทย์เท่านั้น ทั้งนี้ยกเว้นสำหรับบุคคล ผู้ที่กฎหมายได้อนุญาตให้ปฏิบัติหน้าที่ในด้านบำบัดหรือด้านวิทยาศาสตร์ที่จะรับเอา ใช้ปรุง หรือ ให้ยาดังกล่าวได้เท่านั้น 2) ภาคีต่าง ๆ จะต้องวางมาตรการเพื่อที่จะให้แน่ใจว่าใบสั่งยาสำหรับวัตถุต่าง ๆ ในหมวด 2, 3 และ 4 นั้น ได้มีการใช้โดยถูกต้องทางการแพทย์และเป็นไปตามข้อกำหนดต่าง ๆ โดยเพาะอย่างยิ่ง จำนวนครั้งที่ใบสั่งยานั้นอาจจะจ่ายยาให้ผู้ป่วยและอายุระยะเวลาที่ใบสั่งยานั้นใช้ได้ ทั้งนี้เพื่อที่จะ คุ้มครองต่อกิจการสาธารณสุขและสวัสดิภาพของประชาชน 3) อย่างไรก็ดี ถึงแม้จะมีบทบัญญัติตามวรรค 1 แต่ถ้าเป็นกรณีที่ภาคีประเทศหนึ่งเห็นว่า สถานการณ์ในประเทศยังไม่อำนวยที่จะให้ปฏิบัติดังกล่าวได้ ภาคีประเทศนั้นจะอนุญาตให้เภสัชกร ซึ่งขึ้นทะเบียนแล้ว หรือผู้จำหน่ายปลีกที่ได้รับอนุญาตแล้วให้ขายวัตถุในหมวด 3 และ 4 เพื่อใช้ใน
47 กิจการแพทย์ ในกรณีที่จำเป็นจริง ๆ ได้ ตามที่เห็นสมควรโดยไม่ต้องมีใบสั่งยา และจ่ายครั้งละจำนวน น้อยตามข้อจำกัดของภาคีต่าง ๆ ทั้งนี้โดยมีเงื่อนไขบางอย่างรวมทั้งจะต้องมีการจดบัญชีไว้ด้วย มาตรา 10 คำเตือนที่หีบห่อและคำโฆษณา 1) ภาคีแต่ละประเทศจะต้องกำหนดให้มีการแจ้งคำแนะนำสำหรับการใช้รวมทั้งข้อควรระวัง และคำเตือนไว้ที่ฉลากยาเท่าที่สามารถจะทำได้ และจะต้องมีสิ่งต่าง ๆ ดังกล่าวไว้ที่เอกสารกำกับยา ของยาจำพวกนี้ที่จะจ่ายปลีก ทั้งนี้ตามความจำเป็นเพื่อความปลอดภัยของผู้ใช้และให้พิจารณา ถึงข้อกำหนดและข้อแนะนำขององค์การอนามัยโลกเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวด้วย 2) ภาคีแต่ละประเทศจะต้องห้ามมิให้มีการโฆษณาวัตถุดังกล่าวต่อชุมชน ทั้งนี้โดยพิจารณา ถึงข้อกำหนดตามธรรมนูญของประเทศของตนด้วย มาตรา 13 การห้ามและการจำกัดในการส่งออกหรือนำเข้าซึ่งวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท 1) ภาคีแต่ละประเทศอาจจะแจ้งผ่านเลขาธิการสหประชาชาติไปยังภาคีประเทศอื่น ๆ ให้ทราบได้ว่าประเทศของตนได้ห้ามมิให้มีการนำเข้าไปในเขตประเทศของตน หรือภาคีหนึ่งภาคีใด ของตนซึ่งวัตถุใดวัตถุหนึ่ง ตามที่ระบุไว้ในหมวด 2 หมวด 3 หมวด 4 ดังที่แจ้งไว้ในหนังสือของตน ข้อแจ้งดังกล่าวจะต้องกำหนดชื่อของวัตถุดังกล่าวตามชื่อที่ได้มีอยู่ในหมวด 2 หมวด 3 หรือหมวด 4 2) ในกรณีที่ภาคีประเทศหนึ่งได้รับแจ้งถึงการห้ามตามความในวรรค 1 ภาคีประเทศนั้น จะต้องดำเนินมาตรการที่จะปฏิบัติให้ได้ผลว่าไม่มีการส่งซึ่งวัตถุที่ได้ประกาศนั้นออกไปยังประเทศ หรือภาคีหนึ่งภาคีใดของภาคีที่แจ้งมานั้น 3) ถึงแม้ว่าจะได้มีข้อกำหนดตามความในวรรคต้น ๆ นี้แล้วก็ตาม แต่ภาคีผู้ซึ่งได้แจ้ง ตามหนังสือดังกล่าวในวรรค 1 ไปแล้ว ก็อาจที่จะอนุญาตให้มีการนำเข้าซึ่งวัตถุดังกล่าวหรือยาตำรับ ที่มีวัตถุดังกล่าวในปริมาณที่กำหนดได้ โดยมีใบอนุญาตพิเศษเป็นคราว ๆ ไป พนักงานเจ้าหน้าที่ ของประเทศที่ออกใบอนุญาตนำเข้านั้น จะต้องส่งใบอนุญาตที่แสดงชื่อและสถานที่ตั้งของผู้นำเข้า และผู้ส่งออกไปยังพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของประเทศหรือเขตที่ส่งออกรวม 2 สำเนา ผู้ซึ่งจะได้ ออกใบอนุญาตให้ผู้ส่งออกดำเนินการส่งวัตถุดังกล่าวออกไปได้ ในการส่งออกจะต้องแนบสำเนา ใบอนุญาตนำเข้าพิเศษดังกล่าว 1 สำเนา ซึ่งพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของประเทศ หรือภาคี ที่ส่งออกได้สลักหลังแล้วไปด้วย มาตรา 14 ข้อกำหนดพิเศษสำหรับการนำวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทไปในกระเป๋า ปฐมพยาบาลของเรือ เครื่องบิน หรือยานพาหนะสาธารณะอื่น ๆ ที่ใช้ในกิจการค้าระหว่างประเทศ 1)สำหรับการนำเอาวัตถุจำนวนน้อยตามหมวด 2,3 หรือ 4 ไปในเรือ เครื่องบิน หรือยานพาหนะอื่น ที่ใช้ในกิจการค้าระหว่างประเทศ เช่น รถไฟระหว่างประเทศ หรือรถยนต์โดยสารสำหรับที่จะใช้ใน ระหว่างการเดินทางดังกล่าว เพื่อกิจการปฐมพยาบาลหรือในรายที่เกิดเหตุฉุกเฉินนั้นจะต้องไม่ถือว่า เป็นการส่งออก นำเข้า หรือ นำผ่านประเทศตามทางที่ผ่านไป ตามความหมายของอนุสัญญานี้ 2) ประเทศที่รับจดทะเบียนยานดังกล่าวจะต้องจัดให้มีการป้องกันที่เหมาะสมในการ ที่จะมิให้มีการนำเอาวัตถุดังกล่าวตามวรรค 1 ไปใช้ในทางที่ผิด หรือในทางที่ผิดกฎหมาย คณะกรรมาธิการจะปรึกษากับองค์การสากลระหว่างประเทศที่เหมาะสม เพื่อที่จะให้คำแนะนำ สำหรับการป้องกันดังกล่าว 3) วัตถุที่นำไปในเรือ เครื่องบิน หรือยานพาหนะ สาธารณะระหว่างประเทศ เช่น รถไฟ
48 ระหว่างประเทศ หรือรถยนต์โดยสารตามความในวรรค 1 นั้น จะต้องอยู่ภายใต้กฎหมายข้อบังคับ การออกใบอนุญาตและใบทะเบียนของประเทศที่รับจดทะเบียน แต่เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นที่มีอำนาจ อาจจะดำเนินการตรวจสอบ ตรวจตรา ควบคุม โดยมาตรการอื่น ๆ สำหรับการนำไปในพาหนะดังกล่าว นั้นได้การใช้วัตถุดังกล่าวสำหรับรายที่ฉุกเฉินจะต้องไม่ถูกถือไม่ว่าเป็นการฝ่าฝืนตามข้อกำหนด ของมาตรา 9 วรรค 1 มาตรา 15 การตรวจตรา ภาคีต่าง ๆ จะต้องมีระบบงานที่จะมีการตรวจตรา ผู้ผลิต ผู้ส่งออก ผู้นำเข้า ผู้ขายส่ง และผู้ขายปลีกซึ่งวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท และมีการตรวจตราสถาบันทางด้านการแพทย์ และวิทยาศาสตร์ซึ่งใช้วัตถุดังกล่าว ภาคีดังกล่าวจะต้องกำหนดให้มีการตรวจตราบ่อย ๆ ตามความ จำเป็นซึ่งสถานที่และคลังที่เก็บรวมทั้งการบัญชีด้วย มาตรา 20 มาตรการที่จะป้องกันมิให้มีการใช้วัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทในทางที่ผิด 1) ภาคีต่าง ๆ จะต้องใช้มาตรการที่เหมาะสมทุกอย่างในทางที่จะป้องกันมิให้มีการใช้ ในทางที่ผิดซึ่งวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทและจะต้องพยายามค้นหาบุคคลดังกล่าวให้การรักษา ให้การศึกษา ให้การดูแลภายหลังการรักษา ให้การฟื้นฟู พยายามที่จะนำบุคคลดังกล่าวกลับมา ส่งสังคมและจะต้องใช้ความพยายามโดยวิถีทางต่าง ๆ ให้สอดคล้องกันเพื่อไปสู่จุดหมายดังกล่าว 2) ภาคีต่าง ๆ จะต้องพยายามส่งเสริมให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ต่อการฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ ในการจะให้การรักษา ให้การดูแลหลังการรักษา ให้การฟื้นฟูและพยายามนำกลับมาสู่สังคมแก่บุคคล ที่ใช้วัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทในทางที่ผิด 3) ภาคีต่าง ๆ จะต้องช่วยเหลืออบรมบุคคลที่ปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวกับเรื่องนี้ให้มีความเข้าใจ ต่อปัญหาต่าง ๆ ในเรื่องการใช้วัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทในทางที่ผิด รวมทั้งการป้องกันและแก้ไข เหตุการณ์ดังกล่าวให้ดีขึ้นและในกรณีที่ปรากฏว่าได้เกิดมีการนำเอาวัตถุดังกล่าวไปใช้ในทางที่ผิดแล้ว และกำลังจะแพร่หลายขึ้น ก็จะต้องพยายามที่จะส่งเสริมให้ประชาชนทั่วไปมีความเข้าใจในสิ่งต่าง ๆ เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวด้วย 3.1.3 อนุสัญญาเดี่ยวต่อต้านการค้ายาเสพติดและวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทอย่างผิด กฎหมายแห่งสหประชาชาติแห่งปี ค.ศ.1988 ได้ตกลงกันดังต่อไปนี้ ข้อ 1 บทนิยาม เว้นแต่จะได้ระบุไว้อย่างชัดแจ้งเป็นอย่างอื่น หรือตามบริบทแล้วจำเป็นต้องใช้คำนิยาม เป็นอย่างอื่นให้ใช้คำนิยามที่กำหนดต่อไปนี้ตลอดอนุสัญญานี้ (ก) “คณะกรรมการ” หมายถึง คณะกรรมการควบคุมยาเสพติดระหว่างประเทศที่จัดตั้งขึ้น โดยอนุสัญญาเดี่ยวว่าด้วยยาเสพติด ค.ศ.1961 และตามอนุสัญญาดังกล่าวที่ได้รับการแก้ไข โดยพิธีสาร ค.ศ.1972 (ข) “พืชกัญชา” หมายถึง พืชใด ๆ ในสกุลคานาบิส (Cannabis) (ค) “ต้นโคคา” หมายถึง พืชในสกุลอีริทโธรไซลอน (Erythroxylon) (ง) “ผู้ประกอบการขนส่ง” หมายถึง บุคคลใด ๆ หรือหน่วยงานของรัฐ เอกชน หรือ หน่วยงานใดที่ประกอบกิจการการขนส่งบุคคล สินค้า หรือไปรษณียภัณฑ์เพื่อค่าตอบแทน ค่าจ้าง หรือผลประโยชน์อย่างอื่น
49 (ฉ) “การริบ” ซึ่งรวมถึงการถูกตัดกรรมสิทธิ์ถ้าหากมี หมายถึง การทําให้สิ้นกรรมสิทธิ์ ในทรัพย์สินนั้นอย่างถาวรโดยคำสั่งศาล หรือเจ้าพนักงานอื่นผู้มีอำนาจ (ฑ) “ยาเสพติด” หมายถึง สารใด ๆ ที่ได้จากธรรมชาติหรือจากการสังเคราะห์ตามที่ระบุไว้ ในตารางที่ 1 และ 2 ของอนุสัญญาเดี่ยวว่าด้วยยาเสพติด ค.ศ.1961 และอนุสัญญาดังกล่าวที่ได้รับ การแก้ไขโดยพิธีสาร ค.ศ.1972 (ต) “วัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท” หมายถึง สารใดที่ได้จากธรรมชาติ หรือจากการ สังเคราะห์หรือวัสดุธรรมชาติใด ๆ ที่ระบุไว้ในตารางที่ I, II, III และ IV ของอนุสัญญาว่าด้วยวัตถุ ที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท ค.ศ.1971 ข้อ 3 ความผิดและบทลงโทษ 3.1 แต่ละภาคีจะต้องนำมาใช้ซึ่งมาตรการตามที่จำเป็น เพื่อบัญญัติให้การกระทำซึ่งได้กระทำ โดยเจตนาดังต่อไปนี้ เป็นความผิดอาญาตามกฎหมายภายในของตน (ก) (1) การทำขึ้น ผลิต สกัด ปรุง เสนอให้ เสนอขาย จำหน่าย ขาย ส่งมอบ ไม่ว่าจะตาม เงื่อนไขใด เป็นนายหน้า จัดส่ง จัดส่งผ่านแดน ขนส่ง นำเข้าหรือส่งออกซึ่งยาเสพติดหรือวัตถุที่ออก ฤทธิ์ต่อจิตและประสาทใด ๆ อันขัดต่อบทบัญญัติแห่งอนุสัญญา ค.ศ.1961 ที่ได้รับการแก้ไขหรือ อนุสัญญา ค.ศ.1971 (2) การเพาะปลูกพืชฝิ่น ต้นโคคาหรือพืชกัญชาเพื่อวัตถุประสงค์ในการผลิตยาเสพติด ที่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งอนุสัญญา ค.ศ.1961 และอนุสัญญา ค.ศ.1961 ที่ได้รับการแก้ไข (3) การครอบครองหรือซื้อยาเสพติดหรือวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทไม่ว่าชนิด ใด โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อกระทำการใด ๆ ตามที่ระบุไว้ใน (1) ข้างต้น (4) การผลิต ขนส่ง หรือจำหน่ายอุปกรณ์ วัสดุ หรือสารตามที่ระบุไว้ในบัญชี1 และบัญชี 11 โดยรู้ว่าจะมีการใช้สิ่งเหล่านั้นในการหรือเพื่อการเพาะปลูก การทำขึ้นหรือการผลิต ยาเสพติดและวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทที่ผิดกฎหมาย (5) การจัดให้มีจัดการหรือให้เงินสนับสนุนการกระทำความผิดใด ๆ ที่ระบุไว้ใน (1), (2), (3) หรือ (4) ข้างต้น (ข) (1) การแปรสภาพหรือโอนทรัพย์สินโดยรู้ว่าทรัพย์สินดังกล่าวได้มาจากการกระทำ ความผิดเดียวหรือหลายความผิดที่บัญญัติไว้ตามอนุวรรค (ก) ของวรรคนี้หรือได้มาจากการมีส่วนร่วม ในการกระทำความผิดเดียวหรือหลายความผิดดังกล่าวโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อปกปิดหรืออำพราง แหล่งกำเนิดซึ่งผิดกฎหมายของทรัพย์สินหรือเพื่อช่วยเหลือบุคคลใด ๆ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการกระทำ ความผิดเดียวหรือหลายความผิดดังกล่าวให้หลบเลี่ยงผลตามกฎหมายอันเกิดจากการกระทำของตน (2) การปกปิดหรืออำพรางลักษณะอันแท้จริง แหล่งที่มา สถานที่ตั้ง การจำหน่าย การเคลื่อนย้ายสิทธิที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินหรือกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน โดยรู้ว่าทรัพย์สินดังกล่าวได้มา จากการกระทำความผิดเดียวหรือหลายความผิดที่บัญญัติไว้ตามอนุวรรค (ก) ของวรรคนี้ หรือที่ได้มา จากการมีส่วนร่วมในการกระทำความผิดเดียวหรือหลายความผิดดังกล่าว ข้อ 12 สารที่ใช้บ่อยครั้งในการลักลอบผลิตยาเสพติดหรือวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท 12.4 โดยคำนึงถึงขอบเขตความสำคัญและความหลากหลายของการใช้สารนั้นโดยชอบ ด้วยกฎหมายและความเป็นไปได้และความง่ายในการเลือกใช้สารทดแทน ทั้งเพื่อวัตถุประสงค์ที่ชอบ
50 ด้วยกฎหมายและเพื่อการลักลอบผลิตยาเสพติดหรือวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท เมื่อคณะกรรมการพบว่า (ก) สารนั้นถูกใช้ในการลักลอบผลิตยาเสพติดหรือวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทบ่อยครั้ง (ข) ปริมาณและขอบเขตของการลักลอบผลิตยาเสพติดหรือวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิต และ ประสาทก่อให้เกิดปัญหาสาธารณสุขหรือปัญหาสังคมอย่างร้ายแรง เพื่อให้มีการดำเนินการของ นานาชาติ คณะกรรมการจะต้องแจ้งผลการประเมินสารนั้นให้แก่คณะกรรมาธิการ รวมทั้งผล ที่น่าจะเกิดขึ้นจากการเพิ่มชื่อสารนั้นในบัญชี 1 หรือบัญชี 2 ทั้งเพื่อการใช้ที่ชอบด้วยกฎหมาย และการลักลอบผลิต รวมทั้งข้อแนะนำในเรื่องมาตรการติดตามตรวจสอบใดซึ่งอาจจะเหมาะสม เมื่อคำนึงถึงการประเมินดังกล่าว 12.8 (ก) โดยไม่กระทบต่อหลักการทั่วไปของบทบัญญัติในวรรค 1 ของข้อนี้ บทบัญญัติ ของอนุสัญญา ค.ศ.1961 และอนุสัญญา ค.ศ.1961 ที่ได้รับการแก้ไข รวมถึงอนุสัญญา ค.ศ.1971 ภาคีจะต้องดำเนินมาตรการที่ตนพิจารณาว่าเหมาะสม เพื่อติดตามตรวจสอบการผลิตและการจำหน่าย สารในบัญชี 1 และบัญชี 2 ซึ่งดำเนินการภายในดินแดนของตน (ข) เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์นี้ ภาคีอาจจำหน่ายสารดังกล่าว (1) ควบคุมบุคคลและวิสาหกิจทั้งมวลที่ประกอบการผลิตและจำหน่ายสารดังกล่าว (2) ควบคุมโดยใช้ใบอนุญาตในเรื่องเกี่ยวกับการก่อตั้งและสถานที่ที่จะมีการผลิต หรือ (3) กำหนดให้ผู้รับอนุญาตต้องมีใบอนุญาตเพื่อประกอบการดังกล่าว (4) ป้องกันการสะสมสารดังกล่าวในความครอบครองของผู้ผลิตและผู้จำหน่ายที่เกิน กว่าปริมาณสารที่ต้องการสำหรับการดำเนินธุรกิจปกติและสภาพตลาดที่เป็นอยู่ ข้อ 14 มาตรการทำลายการลักลอบเพาะปลูกพืชเสพติดและขจัดความต้องการที่ผิดกฎหมาย สำหรับยาเสพติดและวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท (1) มาตรการใด ๆ ที่ภาคีดำเนินการโดยสอดคล้องกับอนุสัญญานี้จะรุนแรงและเข้มงวด ไม่น้อยกว่าบทบัญญัติที่ใช้บังคับกับการทำลายลักลอบเพาะปลูกพืชที่มีสารเสพติดและวัตถุที่ออกฤทธิ์ ต่อจิตและประสาทและการขจัดความต้องการที่ผิดกฎหมายสำหรับยาเสพติดและวัตถุที่ออกฤทธิ์ ต่อจิตและประสาทภายใต้บทบัญญัติแห่งอนุสัญญา ค.ศ.1961 อนุสัญญา ค.ศ.1961 ที่ได้รับการแก้ไข และอนุสัญญา ค.ศ.1971 (2) ภาคีจะต้องดำเนินมาตรการที่เหมาะสมเพื่อที่จะป้องกันการลักลอบเพาะปลูกและ ทำลายพืช ที่มีสารเสพติดและวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท เช่น ต้นฝิ่น ต้นโคคาและพืชกัญชาที่ ลักลอบ เพาะปลูกในดินแดนของตน มาตรการที่รับเอาไว้นั้นจะต้องคำนึงถึงสิทธิมนุษยชนพื้นฐานและ จะต้อง พิจารณาตามสมควรถึงการใช้โดยชอบด้วยกฎหมายตามประเพณีหากมีหลักฐานทาง ประวัติศาสตร์เกี่ยวกับการใช้ดังกล่าวปรากฏอยู่ ตลอดจนการคุ้มครองสภาพแวดล้อมด้วย (3) (ก) ภาคีอาจร่วมมือกันเพื่อเพิ่มประสิทธิผลของความพยายามทำลายการเพาะปลูกพืช เสพติดดังกล่าว นอกเหนือจากประการอื่นแล้วและเมื่อเหมาะสมความร่วมมือดังกล่าวอาจรวมถึง การสนับสนุนการพัฒนาท้องถิ่นแบบผสมผสาน อันนำมาซึ่งทางเลือกที่สามารถดำเนินการได้ในเชิง เศรษฐกิจ เพื่อทดแทนการเพาะปลูกพืชเสพติด ภาคีควรคำนึงถึงปัจจัยต่าง ๆ เช่น การเข้าถึงตลาด ความพร้อมของทรัพยากร ตลอดจนสภาพเศรษฐกิจสังคมที่เป็นอยู่ ก่อนที่การพัฒนาท้องถิ่นดังกล่าว
51 จะได้รับการปฏิบัติ อนึ่งภาคีอาจเห็นชอบกับมาตรการความร่วมมืออื่นใดที่เหมาะสมด้วย (ข) ภาคีจะต้องอำนวยความสะดวกในการแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านวิทยาศาสตร์และ เทคนิครวมทั้งการปฏิบัติงานวิจัยเกี่ยวกับการทำลายการลักลอบเพาะปลูกพืชเสพติดนั้น (ค) เมื่อใดที่ภาคีมีเขตแดนร่วมกัน ภาคีจะต้องพยายามร่วมมือกันในแผนงานทำลาย การลักลอบเพาะปลูกพืชเสพติดในแต่ละพื้นที่ของตนตลอดแนวเขตแดนเหล่านั้น (4) ภาคีจะต้องรับเอามาตรการอันเหมาะสมที่มุ่งขจัดหรือลดความต้องการอันมิชอบ ซึ่งยาเสพติดและวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท เพื่อที่จะลดความทุกข์ทรมานของมนุษย์และขจัด แรงจูงใจด้านเงินตราในการลักลอบค้า นอกเหนือจากประการอื่นแล้ว มาตรการเหล่านี้อาจเป็นไป ตามคำแนะนำขององค์การสหประชาชาติ ทบวงการชำนัญพิเศษแห่งสหประชาชาติ อาทิ องค์การ อนามัยโลกและองค์การระหว่างประเทศอื่นที่มีอำนาจและเป็นไปตามโครงร่างการดำเนินงาน เพื่อแก้ปัญหาการใช้ยาในทางที่ผิด ซึ่งรับเอาโดยที่ประชุมระหว่างประเทศว่าด้วยการใช้ยาในทางที่ผิด และการลักลอบค้าที่จัดขึ้นในปี ค.ศ.1987 อันเป็นการประชุมที่เกี่ยวกับความพยายามขององค์กร ระดับรัฐบาลและมิใช่ระดับรัฐบาลและของภาคเอกชนในเรื่องการป้องกัน การบำบัดรักษาและ การฟื้นฟู อนึ่งบรรดาภาคีอาจเข้าเป็นภาคีความตกลงหรือข้อตกลงในลักษณะทวิภาคีหรือพหุภาคี ซึ่งมุ่งขจัดหรือลดความต้องการอันมิชอบซึ่งยาเสพติดและวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท (5) ภาคีอาจดำเนินมาตรการที่จำเป็นเพื่อการทำลายโดยเร็วหรือการจำหน่ายจ่ายโอน โดยชอบด้วยกฎหมายซึ่งยาเสพติด วัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทและสารในบัญชี 1 และบัญชี 2 ซึ่งถูกยึดหรือริบและเพื่อให้มีการยอมรับสารดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานในปริมาณที่จำเป็นซึ่งได้รับ การรับรองอย่างถูกต้อง 3.2 กฎหมายต่างประเทศ 3.2.1 กฎหมายประเทศออสเตรเลีย กฎหมายยาเสพติดของประเทศออสเตรเลีย คือ Narcotic Drugs Act 1967 ซึ่งสาระสำคัญ ของกฎหมายฉบับนี้กำหนดใบอนุญาตให้ใช้กัญชาในทางการแพทย์และการวิจัย (Medical Cannabis Licences and Cannabis Research Licences and Permit) Narcotic Drugs Regulation 2016 จัดทำโครงการอนุญาตให้ผู้ป่วยในระยะสุดท้ายของชีวิต ใช้กัญชารักษาอาการได้ ตลอดจนมีนโยบายให้เอกชนปลูกกัญชาเพื่อวิจัยอันมีวัตถุประสงค์ในทาง การแพทย์เพื่อเปิดโอกาสให้ผลิตยารักษาอาการป่วยรุนแรงภายในประเทศ มีนโยบายออกใบอนุญาต ให้เอกชนปลูกกัญชาเพื่อวัตถุประสงค์ในทางการแพทย์ เพื่อเปิดโอกาสให้ผลิตยารักษาอาการป่วย รุนแรงภายในประเทศ กล่าวคือ เพื่อให้ผู้ป่วยเข้าถึงผลิตภัณฑ์จากกัญชาได้ง่ายมากขึ้น 3.2.2 กฎหมายประเทศแคนาดา กฎหมายยาเสพติดของประเทศแคนาดา (Controlled Drugs and Substances Act) มีผลบังคับใช้เมื่อปี ค.ศ.2013 (พ.ศ.2556) ในประเทศแคนนาดา กัญชาสามารถใช้เพื่อทางการแพทย์ ได้แก่ กัญชาสดหรือแห้ง หรือน้ำมันกัญชา และผู้ที่สามารถใช้กัญชาเพื่อทางการแพทย์ในประเทศ แคนาดาได้นั้น ได้แก่ บุคคลซึ่งรับกัญชาจากผู้มีใบอนุญาตผลิต จากสถานพยาบาลหรือโรงพยาบาล ที่ได้รับอนุญาตให้ใช้กัญชาเพื่อบำบัดรักษา หรือบุคคลที่ร้องขอใช้กัญชาเพื่อการรักษาจากผู้ประกอบ
52 วิชาชีพแพทย์ หรือพนักงานในสถานพยาบาลที่มีหน้าที่เกี่ยวกับกัญชาเพื่อการรักษานั้น โดยจะต้อง ลงทะเบียนในฐานะผู้ได้รับอนุญาตให้ใช้กัญชาเพื่อการแพทย์ส่วนปริมาณมีไว้ในครอบครองกัญชา เพื่อใช้ทางการแพทย์มีความแตกต่างกันของผู้รับอนุญาตแต่ละประเภท เช่น ผู้ประกอบวิชาชีพแพทย์ สามารถมีไว้ในครอบครองกัญชาแห้งได้ 150 กรัม นอกจากนี้ประเทศแคนาดา มีกฎหมายที่เกี่ยวข้อง กับการใช้กัญชาอีก 2 ฉบับ คือ Access to Cannabis for Medical Purposes Regulations (ACMPR) และ Regulations on Cannabis ซึ่ง ACMPR เป็นกฎระเบียบหลักที่ใช้ควบคู่ กับ Cannabis Act และมีผลบังคับใช้ในวันเดียวกันนั้น แทนที่กฎหมายเดิมคือ The Marihuana for Medical Purposes Regulations (24 สิงหาคม พ.ศ.2559) ทั้งมี Regulations on Cannabis ขยายความเกี่ยวกับมาตรการความปลอดภัยในการออกแบบพื้นที่ปลูก พื้นที่ดำเนินการ พื้นที่เก็บ พืชกัญชา รวมถึงการควบคุมแมลง การจำหน่าย และการเก็บรักษาด้วย ทั้งนี้ การใช้เพื่อวัตถุประสงค์ อื่นยังคงผิดกฎหมาย โดยหน่วยงานที่รับผิดชอบได้แก่กระทรวงสาธารณสุข ในปี พ.ศ.2561 ประเทศแคนาดาได้ออกกฎหมายอนุญาตให้ใช้กัญชา เพื่อสันทนาการได้เป็น ประเทศที่ 2 รองจากอุรุกวัย โดยประชาชนที่บรรลุนิติภาวะสามารถซื้อกัญชาจากตัวแทนที่ได้รับ อนุญาตโดยถูกกฎหมาย แต่มีข้อจำกัด ได้แก่ ครอบครองเฉพาะน้ำมัน เมล็ด หรือกัญชาแห้งขนาด 30 กรัม หรือ 1 ออนซ์ หากเกินกว่านี้ ถือว่าผิดกฎหมาย ส่วนอาหารที่มีส่วนผสมของกัญชานั้น ยังไม่ สามารถซื้อขายได้ 3.3 กฎหมายไทย 3.3.1 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 25 สิทธิและเสรีภาพของปวงชนชาวไทย นอกจากที่บัญญัติคุ้มครองไว้เป็น การเฉพาะในรัฐธรรมนูญแล้ว การใดที่มิได้ห้ามหรือจำกัดไว้ในรัฐธรรมนูญหรือในกฎหมายอื่น บุคคลย่อมมีสิทธิและเสรีภาพที่จะทำการนั้นได้และได้รับความคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญตราบเท่าที่การ ใช้สิทธิหรือเสรีภาพเช่นว่านั้นไม่กระทบกระเทือนหรือเป็นอันตรายต่อความมั่นคงของรัฐ ความสงบ เรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนและไม่ละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพของบุคคลอื่น สิทธิหรือเสรีภาพใดที่รัฐธรรมนูญให้เป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติหรือให้เป็นไป ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กฎหมายบัญญัติ แม้ยังไม่มีการตรากฎหมายนั้นขึ้นใช้บังคับบุคคล หรือชุมชนย่อมสามารถใช้สิทธิหรือเสรีภาพนั้นได้ตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ บุคคลซึ่งถูกละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพที่ได้รับความคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ สามารถยก บทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญเพื่อใช้สิทธิทางศาลหรือยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้คดีในศาลได้ บุคคลซึ่งได้รับความเสียหายจากการถูกละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพหรือจากการกระทำ ความผิดอาญาของบุคคลอื่น ย่อมมีสิทธิที่จะได้รับการเยียวยาหรือช่วยเหลือจากรัฐตามที่กฎหมายบัญญัติ มาตรา 26 การตรากฎหมายที่มีผลเป็นการจำกัดสิทธิหรือเสรีภาพของบุคคลต้องเป็นไป ตามเงื่อนไขที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ในกรณีที่รัฐธรรมนูญมิได้บัญญัติเงื่อนไขไว้ กฎหมายดังกล่าว ต้องไม่ขัดต่อหลักนิติธรรม ไม่เพิ่มภาระหรือจำกัดสิทธิหรือเสรีภาพของบุคคลเกินสมควรแก่เหตุ และ จะกระทบต่อศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของบุคคลมิได้ รวมทั้งต้องระบุเหตุผลความจำเป็น ในการจำกัด สิทธิและเสรีภาพไว้ด้วย
53 กฎหมายตามวรรคหนึ่ง ต้องมีผลใช้บังคับเป็นการทั่วไป ไม่มุ่งหมายให้ใช้บังคับ แก่กรณีใดกรณีหนึ่งหรือแก่บุคคลใดบุคคลหนึ่งเป็นการเจาะจง มาตรา 28 บุคคลย่อมมีสิทธิและเสรีภาพในชีวิตและร่างกาย การจับและการคุมขัง บุคคลจะกระทำมิได้ เว้นแต่มีคำสั่งหรือหมายของศาลหรือมีเหตุอย่างอื่นตามที่กฎหมายบัญญัติ การค้นตัวบุคคลหรือการกระทำใดอันกระทบกระเทือนต่อสิทธิหรือเสรีภาพในชีวิต หรือร่างกายจะกระทำมิได้ เว้นแต่มีเหตุตามที่กฎหมายบัญญัติ การทรมาน ทารุณกรรมหรือการลงโทษด้วยวิธีการโหดร้ายหรือไร้มนุษยธรรมจะกระทำมิได้ มาตรา 29 บุคคลไม่ต้องรับโทษอาญา เว้นแต่ได้กระทำการอันกฎหมายที่ใช้อยู่ในเวลา ที่กระทำนั้นบัญญัติเป็นความผิดและกำหนดโทษไว้และโทษที่จะลงแก่บุคคลนั้นจะหนักกว่า โทษที่บัญญัติไว้ในกฎหมายที่ใช้อยู่ในเวลาที่กระทำความผิดมิได้ ในคดีอาญาให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้ต้องหาหรือจำเลยไม่มีความผิดและก่อน มีคำพิพากษาอันถึงที่สุดแสดงว่าบุคคลใดได้กระทำความผิดจะปฏิบัติต่อบุคคลนั้นเสมือน เป็นผู้กระทำความผิดมิได้ การควบคุมหรือคุมขังผู้ต้องหาหรือจำเลยให้กระทำได้เพียงเท่าที่จำเป็น เพื่อป้องกันมิให้ มีการหลบหนี มาตรา 33 บุคคลย่อมมีเสรีภาพในเคหสถาน การเข้าไปในเคหสถานโดยปราศจากความยินยอมของผู้ครอบครองหรือการค้น เคหสถานหรือที่รโหฐานจะกระทำมิได้ เว้นแต่มีคำสั่งหรือหมายของศาลหรือมีเหตุอย่างอื่น ตามที่กฎหมายบัญญัติ 3.3.2 ประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ.2564 ประมวลกฎหมายฉบับนี้มีผลใช้บังคับในวันที่ 9 ธันวาคม 2564 ได้บัญญัติให้ยกเลิก พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด รวม 24 ฉบับ โดยในกฎหมายใหม่นี้มีการเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์ องค์ประกอบการกระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติด มีการกำหนดชนิดประเภทและความผิดของการมี การใช้ยาเสพติดให้โทษ วัตถุออกฤทธิ์ต่อ จิตประสาทและสารระเหยใหม่ เปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์การใช้ประโยชน์จากยาเสพติด สำหรับในส่วน ของกัญชานั้น ยังเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 5 เช่นเดิม ตามมาตรา 29 (5) แห่งประมวลกฎหมายยา เสพติด โดยมีบทกำหนดโทษ ดังนี้ “มาตรา 93 ห้ามผู้ใดผลิต นำเข้า ส่งออก จำหน่าย หรือมีไว้ใน ครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 ประกอบ มาตรา 148 ผู้ใดผลิต นำเข้า ส่งออก จำหน่าย หรือมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษ ในประเภท 5 อันเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 93 ต้องระวางโทษ จำคุกไม่เกินห้าปี และปรับไม่เกินห้าแสนบาท ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคหนึ่ง เป็นการกระทำ ดังต่อไปนี้ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบห้าปี และปรับตั้งแต่หนึ่งแสนบาทถึงหนึ่งล้าน ห้าแสนบาท (1) การกระทำเพื่อการค้า (2) การก่อให้เกิดการแพร่กระจายในกลุ่มประชาชน (3) การจำหน่ายแก่บุคคลอายุไม่เกินสิบแปดปี(4) การจำหน่ายในบริเวณสถานศึกษา สถานอันเป็น ที่เคารพในทางศาสนาของหมู่ชนใด หรือสถานที่ราชการ (5) การกระทำโดยใช้กำลังประทุษร้ายหรือ ขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย (6) การกระทำโดยมีอาวุธหรือใช้อาวุธ ” นอกจากนี้ยังมีมาตรา ที่เกี่ยวข้องกับกัญชาที่สำคัญ ดังนี้
54 มาตรา 1 ในประมวลกฎหมายนี้ “ยาเสพติด” หมายความว่า ยาเสพติดให้โทษ วัตถุออกฤทธิ์หรือสารระเหย “ยาเสพติดให้โทษ” หมายความว่า สารเคมี พืชหรือวัตถุชนิดใด ๆ ซึ่งเมื่อเสพแล้ว ทำให้เกิดผลต่อร่างกายและจิตใจในลักษณะสำคัญ เช่น ต้องเพิ่มขนาดการเสพขึ้นเป็นลำดับ มีอาการ ถอนยาเมื่อขาดยา มีความต้องการเสพทั้งทางร่างกายและจิตใจอย่างรุนแรงตลอดเวลาและสุขภาพ โดยทั่วไปจะทรุดโทรมลง กับให้รวมถึงสารเคมีที่ใช้ในการผลิตยาเสพติดให้โทษด้วย แต่ไม่หมายความ รวมถึงยาสามัญประจำบ้านบางตำรับที่มียาเสพติดให้โทษผสมอยู่ตามกฎหมายว่าด้วยยา “วัตถุออกฤทธิ์” หมายความว่า วัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทที่เป็นสิ่งธรรมชาติ หรือที่ได้จากสิ่งธรรมชาติหรือวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทที่เป็นวัตถุสังเคราะห์ “สารระเหย” หมายความว่า สารเคมีหรือผลิตภัณฑ์ที่อาจนำไปใช้เพื่อสนอง ความต้องการของร่างกายหรือจิตใจซึ่งทำให้สุขภาพโดยทั่วไปทรุดโทรมลง “ความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด” หมายความว่า ความผิดตามที่บัญญัติไว้ในประมวล กฎหมายนี้ “ความผิดร้ายแรงเกี่ยวกับยาเสพติด” หมายความว่า ความผิดเกี่ยวกับการผลิต นำเข้า ส่งออก จำหน่ายหรือมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติด เว้นแต่มีไว้ในครอบครองเพื่อเสพและให้ หมายความรวมถึงการสมคบ สนับสนุน ช่วยเหลือหรือพยายามกระทำความผิดดังกล่าวด้วย “ทรัพย์สินที่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดร้ายแรงเกี่ยวกับยาเสพติด” หมายความว่า เงินหรือทรัพย์สินที่ได้รับมาเนื่องจากการกระทำความผิดร้ายแรงเกี่ยวกับยาเสพติดและให้หมายความ รวมถึงเงินหรือทรัพย์สินที่ได้มาโดยการใช้เงินหรือทรัพย์สินดังกล่าวซื้อหรือกระทำไม่ว่าด้วยประการใด ๆ ให้เงินหรือทรัพย์สินนั้นเปลี่ยนสภาพไปจากเดิม ไม่ว่าจะมีการเปลี่ยนสภาพกี่ครั้งและไม่ว่าเงิน หรือทรัพย์สินนั้นจะอยู่ในความครอบครองของบุคคลอื่น โอนไปเป็นของบุคคลอื่นหรือปรากฏ ตามหลักฐานทางทะเบียนว่าเป็นของบุคคลอื่นก็ตาม “ผลิต” หมายความว่า เพาะ ปลูก ทำ ผสม ปรุง แปรสภาพ เปลี่ยนรูปและสังเคราะห์ ทางวิทยาศาสตร์ “นำเข้า” หมายความว่า นำหรือสั่งเข้ามาในราชอาณาจักร “ส่งออก” หมายความว่า นำหรือส่งออกนอกราชอาณาจักร “จำหน่าย” หมายความว่า ขาย แลกเปลี่ยน จ่าย แจกหรือให้โดยมีสิ่งตอบแทน หรือผลประโยชน์อย่างอื่นและให้หมายความรวมถึงมีไว้เพื่อจำหน่าย “นำผ่าน” หมายความว่า นำหรือส่งผ่านราชอาณาจักร แต่ไม่รวมถึงการนำ หรือส่งยาเสพติดผ่านราชอาณาจักร โดยมิได้มีการขนถ่ายออกจากอากาศยานที่ใช้ในการขนส่ง สาธารณะระหว่างประเทศ “เสพ” หมายความว่า การรับยาเสพติดเข้าสู่ร่างกายโดยรู้อยู่ว่าเป็นยาเสพติด ไม่ว่าด้วยวิธีใด มาตรา 5 ให้คณะกรรมการ ป.ป.ส. มีหน้าที่และอำนาจ ดังต่อไปนี้ (1) เสนอนโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยการป้องกัน ปราบปรามและแก้ไขปัญหา ยาเสพติดต่อคณะรัฐมนตรีตามมาตรา 3 รวมทั้งดำเนินการตามนโยบายและแผนระดับชาติดังกล่าว
55 แล้วรายงานผลการดำเนินการให้คณะรัฐมนตรีทราบอย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง (2) ติดตาม ดูแล ประสาน สนับสนุนและเร่งรัดการดำเนินการของคณะกรรมการ ที่มีหน้าที่และอำนาจเกี่ยวกับยาเสพติด เพื่อให้มีการดำเนินการสอดคล้องกับนโยบายและแผน ระดับชาติว่าด้วยการป้องกัน ปราบปรามและแก้ไขปัญหายาเสพติด (3) ให้คำแนะนำหรือข้อเสนอแนะแก่คณะกรรมการควบคุมยาเสพติด คณะกรรมการ ตรวจสอบทรัพย์สินและคณะกรรมการบำบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติด (4) ให้ความเห็นชอบต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขในการระบุชื่อยาเสพติดให้โทษ ว่ายาเสพติดให้โทษชื่อใดอยู่ในประเภทใดและการเพิกถอนหรือเปลี่ยนแปลงชื่อหรือประเภท ยาเสพติดให้โทษดังกล่าวตามมาตรา 29 วรรคสอง (5) กำหนดเขตพื้นที่เพื่อทดลองเพาะปลูก ผลิตและทดสอบหรือเสพหรือครอบครอง ยาเสพติดตามมาตรา 55 (6) กำหนดมาตรการป้องกัน ปราบปรามและแก้ไขปัญหาการกระทำความผิด เกี่ยวกับยาเสพติดในสถานประกอบการและกำหนดให้สถานที่ซึ่งใช้ในการประกอบธุรกิจใด ๆ เป็นสถานประกอบการที่อยู่ภายใต้บังคับของมาตรการดังกล่าวตามมาตรา 56 (7) วางระเบียบเกี่ยวกับการบริหารและการดำเนินการของกองทุนป้องกัน ปราบปราม และแก้ไขปัญหายาเสพติดตามมาตรา 89 (8) เสนอความเห็นต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อให้มีการปรับปรุงการปฏิบัติราชการ หรืองานแผนงานหรือโครงการของหน่วยงานของรัฐที่มีหน้าที่และอำนาจในการปฏิบัติการ ตามประมวลกฎหมายนี้ รวมทั้งการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการป้องกัน ปราบปราม และแก้ไขปัญหายาเสพติด (9) ควบคุม เร่งรัดและประสานงานในการปฏิบัติงานของหน่วยงานของรัฐที่มีหน้าที่ และอำนาจในการสืบสวน สอบสวน ปราบปรามและการบังคับโทษตามประมวลกฎหมายนี้ (10) กำหนดสถานะของพื้นที่หรือกลุ่มพื้นที่ในแต่ละปีหรือพื้นที่ที่มีความจำเป็นเร่งด่วน และกำหนดผู้รับผิดชอบในพื้นที่ดังกล่าวเพื่อป้องกันและปราบปรามยาเสพติด พร้อมกับกำหนด ให้มีกลไก โครงสร้างและเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน รวมทั้งจัดสรรทรัพยากรที่เหมาะสมกับสถานะ ของปัญหาและให้หน่วยงานของรัฐให้การสนับสนุนตามที่ร้องขอ (11) กำกับและติดตามการใช้งบประมาณของหน่วยงานทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ที่เกี่ยวข้องกับการป้องกัน ปราบปรามและแก้ไขปัญหายาเสพติด (12) วางโครงการและดำเนินการ ตลอดจนสั่งให้หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องดำเนินการ เผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับยาเสพติด (13) สนับสนุนให้หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชนและภาคประชาชนมีส่วนร่วม ในการป้องกัน ปราบปรามและแก้ไขปัญหายาเสพติด (14) ประสานงานและกำกับเกี่ยวกับการบำบัดรักษาและฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด (15) พิจารณาอนุมัติหรือมอบหมายให้คณะอนุกรรมการพิจารณาอนุมัติการแต่งตั้ง เจ้าพนักงาน ป.ป.ส. เพื่อปฏิบัติการตามประมวลกฎหมายนี้ (16) ปฏิบัติการอื่นใดตามที่ประมวลกฎหมายนี้หรือกฎหมายอื่นกำหนดให้เป็นหน้าที่
56 และอำนาจของคณะกรรมการ ป.ป.ส. ให้คณะรัฐมนตรีเสนอรายงานผลการดำเนินการตาม (1) พร้อมด้วยข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรีต่อสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา ทั้งนี้รายงานผล การดำเนินการอย่างน้อยให้มีสาระสำคัญเกี่ยวกับการป้องกัน ปราบปรามและแก้ไขปัญหายาเสพติด การตรวจสอบทรัพย์สิน การบำบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดและการดำเนินการอื่น ตามประมวลกฎหมายนี้ มาตรา 15 ในลักษณะนี้ “ตำรับยาเสพติดให้โทษ” หมายความว่า สูตรซึ่งระบุส่วนประกอบและปริมาณ ของสิ่งปรุงที่มียาเสพติดให้โทษรวมอยู่ด้วย “ตำรับวัตถุออกฤทธิ์” หมายความว่า สูตรซึ่งระบุส่วนประกอบและปริมาณของ สิ่งปรุงที่มีวัตถุออกฤทธิ์รวมอยู่ด้วย “วัตถุตำรับ” หมายความว่า สิ่งปรุงไม่ว่าจะมีรูปลักษณะใดที่มีวัตถุออกฤทธิ์รวม อยู่ด้วย ทั้งนี้รวมทั้งวัตถุออกฤทธิ์ที่มีลักษณะเป็นวัตถุสำเร็จรูปทางเภสัชกรรมซึ่งพร้อมที่จะนำไปใช้ แก่คนหรือสัตว์ได้ “วัตถุตำรับยกเว้น” หมายความว่า วัตถุตำรับที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ประกาศกำหนดให้ได้รับการยกเว้นจากมาตรการควบคุมบางประการสำหรับวัตถุออกฤทธิ์ที่มีอยู่ใน วัตถุตำรับนั้น “ฉลาก” หมายความว่า รูป รอยประดิษฐ์ เครื่องหมายหรือข้อความใด ๆ ซึ่งแสดงไว้ ที่ภาชนะหรือหีบห่อบรรจุยาเสพติด “ผู้รับอนุญาต” หมายความว่า ผู้ได้รับใบอนุญาตตามบทบัญญัติในลักษณะนี้ “ผู้อนุญาต” หมายความว่า เลขาธิการ อย. หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเลขาธิการ อย. “หน่วยงานของรัฐ” หมายความว่า ราชการส่วนกลาง ราชการส่วนภูมิภาค ราชการ ส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชนและหน่วยงานอื่นของรัฐ มาตรา 23 ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขโดยการเสนอแนะของคณะกรรมการ ควบคุมยาเสพติด มีอำนาจประกาศกำหนดเกี่ยวกับวัตถุออกฤทธิ์ ดังต่อไปนี้ (1) ระบุชื่อและจัดแบ่งประเภทวัตถุออกฤทธิ์ว่าวัตถุออกฤทธิ์ใดอยู่ในประเภท 1 ประเภท 2 ประเภท 3 หรือประเภท 4 (2) กำหนดมาตรฐานว่าด้วยปริมาณ ส่วนประกอบ คุณภาพ ความบริสุทธิ์หรือลักษณะอื่น ของวัตถุออกฤทธิ์ ตลอดจนการบรรจุและการเก็บรักษาวัตถุออกฤทธิ์ตาม (1) (3) เพิกถอนหรือเปลี่ยนแปลงชื่อหรือประเภทวัตถุออกฤทธิ์ตาม (1) (4) ระบุชื่อและประเภทวัตถุออกฤทธิ์ที่ห้ามผลิต นำเข้า ส่งออก จำหน่าย มีไว้ ในครอบครองหรือนำผ่าน (5) ระบุชื่อวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 ซึ่งอนุญาตให้ผลิตเพื่อส่งออกหรือส่งออกได้ (6) ระบุวัตถุตำรับให้เป็นวัตถุตำรับยกเว้นและเพิกถอนวัตถุตำรับยกเว้น (7) กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการกำหนดปริมาณวัตถุออกฤทธิ์ที่ผู้อนุญาต จะอนุญาตให้ผลิต นำเข้า จำหน่ายหรือมีไว้ในครอบครอง (8) ระบุชื่อและประเภทวัตถุออกฤทธิ์ที่ต้องมีคำเตือนหรือข้อควรระวังและข้อความ
57 ของคำเตือนหรือข้อควรระวังเป็นตัวอักษร ภาพหรือเครื่องหมายให้ผู้ใช้ระมัดระวังตามความจำเป็น เพื่อความปลอดภัยของผู้ใช้ (9) กำหนดปริมาณวัตถุออกฤทธิ์ที่ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม ผู้ประกอบวิชาชีพทันตกรรม ผู้ประกอบวิชาชีพการสัตวแพทย์ชั้นหนึ่ง ผู้ประกอบวิชาชีพเภสัชกรรมหรือผู้ประกอบวิชาชีพ ทางการแพทย์หรือสาธารณสุขอื่น มีไว้ในครอบครองได้ตามมาตรา 32 (10) ระบุชื่อหน่วยงานของรัฐตามมาตรา 33 (4) (11) ระบุชื่อและประเภทวัตถุออกฤทธิ์ที่ประเทศหนึ่งประเทศใดห้ามนำเข้าตามมาตรา 44 (12) กำหนดสถานที่แห่งใดในราชอาณาจักรให้เป็นด่านตรวจสอบวัตถุออกฤทธิ์ที่นำเข้า ส่งออกหรือนำผ่าน (13) กำหนดการอื่นเพื่อประโยชน์แก่การปฏิบัติตามลักษณะนี้ มาตรา 29 ยาเสพติดให้โทษแบ่งออกเป็น 5 ประเภท คือ (1) ประเภท 1 ยาเสพติดให้โทษชนิดร้ายแรง เช่น เฮโรอีน (Heroin) (2) ประเภท 2 ยาเสพติดให้โทษทั่วไป เช่น มอร์ฟีน (Morphine) โคคาอีน (Cocaine) โคเดอีน (Codeine) หรือฝิ่นยา (Medicinal Opium) (3) ประเภท 3 ยาเสพติดให้โทษที่มีลักษณะเป็นตำรับยาและมียาเสพติดให้โทษ ในประเภท 2 ผสมอยู่ด้วย ทั้งนี้ตามหลักเกณฑ์ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข โดยการเสนอแนะของคณะกรรมการควบคุมยาเสพติดประกาศกำหนด (4) ประเภท 4 สารเคมีที่ใช้ในการผลิตยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 หรือประเภท 2 เช่น อาเซติค แอนไฮไดรด์ (Acetic Anhydride) (5) ประเภท 5 ยาเสพติดให้โทษที่มิได้เข้าอยู่ในประเภท 1 ถึงประเภท 4 เช่น พืชฝิ่น การระบุชื่อยาเสพติดให้โทษว่ายาเสพติดให้โทษชื่อใดอยู่ในประเภทใดตามวรรคหนึ่ง (1) (2) (4) และ(5) และการเพิกถอนหรือเปลี่ยนแปลงชื่อหรือประเภทยาเสพติดให้โทษดังกล่าว ให้เป็นไปตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการ ป.ป.ส. ประกาศกำหนด เพื่อประโยชน์แห่งมาตรานี้ คำว่า “ฝิ่นยา (Medicinal Opium)” หมายความว่า ฝิ่นที่ได้ผ่านกรรมวิธีปรุงแต่งโดยมีความมุ่งหมายเพื่อใช้ในทางยา มาตรา 32 การผลิต นำเข้า ส่งออก จำหน่าย หรือมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษ หรือวัตถุออกฤทธิ์ เพื่อประโยชน์แก่ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม ผู้ประกอบวิชาชีพทันตกรรม ผู้ประกอบวิชาชีพการสัตวแพทย์ชั้นหนึ่ง ผู้ประกอบวิชาชีพเภสัชกรรมหรือผู้ประกอบวิชาชีพ ทางการแพทย์หรือสาธารณสุขอื่นหรือเพื่อประโยชน์ของหน่วยงานของรัฐหรือสภากาชาดไทย ไม่ต้องขออนุญาต ทั้งนี้ตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการควบคุมยาเสพติดประกาศกำหนด มาตรา 33 การมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษหรือวัตถุออกฤทธิ์ ในกรณีดังต่อไปนี้ ไม่ต้องขออนุญาต (1) การมียาเสพติดให้โทษในประเภท 2 หรือวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 ประเภท 3 หรือประเภท 4 ไว้ในครอบครองไม่เกินปริมาณเท่าที่จำเป็น สำหรับใช้รักษาโรคเฉพาะตัวตามคำสั่ง
58 ของผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมหรือผู้ประกอบวิชาชีพทันตกรรมซึ่งเป็นผู้ให้การรักษาหรือผู้ประกอบ วิชาชีพการสัตวแพทย์ชั้นหนึ่ง สำหรับใช้ในการบำบัดหรือป้องกันโรคสำหรับสัตว์ที่ให้การรักษานั้น (2) การมียาเสพติดให้โทษในประเภท 2 หรือประเภท 5 หรือวัตถุออกฤทธิ์ ในประเภท 2 ประเภท 3 หรือประเภท 4 ไว้ในครอบครองในปริมาณเท่าที่จำเป็นต้องใช้ประจำในการปฐมพยาบาล หรือในกรณีเกิดเหตุฉุกเฉินในยานพาหนะที่ใช้ในการขนส่งสาธารณะระหว่างประเทศซึ่งไม่ได้ จดทะเบียนในราชอาณาจักร โดยให้ได้รับการยกเว้นจากมาตรการควบคุมสำหรับการนำเข้า ส่งออก หรือนำผ่าน ทั้งนี้ผู้ควบคุมยานพาหนะดังกล่าวต้องจัดให้มีการป้องกันตามสมควร เพื่อมิให้ ยาเสพติดให้โทษหรือวัตถุออกฤทธิ์สูญหายหรือมีการนำเอาไปใช้โดยมิชอบ (3) การมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษหรือวัตถุออกฤทธิ์สำหรับกิจการ ของผู้รับอนุญาตผลิต นำเข้า ส่งออก จำหน่ายหรือนำผ่านซึ่งยาเสพติดให้โทษหรือวัตถุออกฤทธิ์ ประเภทนั้น ๆ (4) การมีไว้ในครอบครองหรือใช้ประโยชน์ซึ่งวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 3 หรือประเภท 4 ตามหน้าที่ของกระทรวง ทบวง กรมหรือสภากาชาดไทยหรือหน่วยงานอื่นของรัฐตามที่รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงสาธารณสุขประกาศกำหนด (5) การมียาเสพติดให้โทษในประเภท 5 ไว้ในครอบครองไม่เกินปริมาณที่จำเป็น สำหรับใช้รักษาโรคเฉพาะตัว โดยมีใบสั่งยาหรือหนังสือรับรองของผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม ผู้ประกอบ วิชาชีพทันตกรรม ผู้ประกอบวิชาชีพการแพทย์แผนไทย ผู้ประกอบวิชาชีพการแพทย์แผน ไทยประยุกต์หรือหมอพื้นบ้านตามกฎหมายว่าด้วยวิชาชีพการแพทย์แผนไทยซึ่งเป็นผู้ให้การรักษา มาตรา 35 ผู้อนุญาตมีอำนาจอนุญาต ดังต่อไปนี้ (1) ให้ผู้ใดผลิต นำเข้า ส่งออก จำหน่ายหรือมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษ ในประเภท 2 (2) ให้ผู้ใดผลิต นำเข้า ส่งออกหรือจำหน่ายซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท 3 (3) ให้ผู้ใดนำเข้า ส่งออกหรือมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 หรือประเภท 4 ในปริมาณเล็กน้อยที่นำไปใช้เป็นสารมาตรฐานในการตรวจวิเคราะห์ (4) ให้ผู้ใดจำหน่ายหรือมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 (5) ให้ผู้ใดผลิต นำเข้า ส่งออก จำหน่าย มีไว้ในครอบครองหรือนำผ่านซึ่งวัตถุออกฤทธิ์ ผู้อนุญาตโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการควบคุมยาเสพติดมีอำนาจอนุญาต ให้ผู้ใดผลิต นำเข้าหรือส่งออกซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 เพื่อประโยชน์ของทางราชการ การแพทย์ การรักษาผู้ป่วย การศึกษาวิจัยหรือประโยชน์อื่นตามที่กำหนดในกฎกระทรวง การขออนุญาตคุณสมบัติของผู้ขออนุญาต การออกใบอนุญาต การออกใบแทน ใบอนุญาต การต่ออายุใบอนุญาตและการแก้ไขรายการในใบอนุญาตให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขกำหนดในกฎกระทรวง ผู้รับอนุญาตตามวรรคหนึ่งหรือวรรคสอง ผู้ใดประกอบกิจการภายหลังที่ใบอนุญาต สิ้นอายุแล้ว ให้ถือว่าผู้นั้นประกอบกิจการโดยไม่ได้รับอนุญาต เว้นแต่จะได้ยื่นคำขอต่ออายุใบอนุญาต ภายในสามสิบวัน นับแต่วันที่ใบอนุญาตสิ้นอายุ โดยแสดงเหตุที่ไม่สามารถยื่นคำขอต่ออายุใบอนุญาต
59 ภายในกำหนดและผู้อนุญาตหรือผู้อนุญาตโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการควบคุมยาเสพติด แล้วแต่กรณีเห็นสมควรให้ต่ออายุใบอนุญาตได้ มาตรา 40 ให้ผู้รับอนุญาตผลิต นำเข้า ส่งออก จำหน่ายหรือมีไว้ในครอบครอง ซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท 2 ประเภท 3 หรือประเภท 5 หรือผู้รับอนุญาตผลิต นำเข้า ส่งออก หรือจำหน่ายซึ่งวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 ประเภท 3 หรือประเภท 4 ต้องจัดให้มีเภสัชกรอยู่ประจำ ควบคุมกิจการตลอดเวลาทำการซึ่งระบุไว้ในใบอนุญาต พร้อมทั้งต้องดูแลให้เภสัชกรได้ปฏิบัติหน้าที่ ทั้งนี้ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขกำหนดในกฎกระทรวง 3.3.3 ประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ.2499 มาตรา 397 ผู้ใดกระทำด้วยประการใด ๆ ต่อผู้อื่น อันเป็นการรังแก ข่มเหง คุกคาม หรือกระทำให้ได้รับความอับอายหรือเดือดร้อนรำคาญ ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าพันบาท ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคหนึ่งเป็นการกระทำในที่สาธารณสถานหรือต่อหน้า ธารกำนัลหรือเป็นการกระทำอันมีลักษณะส่อไปในทางที่จะล่วงเกินทางเพศ ต้องระวางโทษจำคุก ไม่เกินหนึ่งเดือนหรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคสองเป็นการกระทำโดยอาศัยเหตุที่ผู้กระทำมีอำนาจเหนือ ผู้ถูกกระทำอันเนื่องจากความสัมพันธ์ในฐานะที่เป็นผู้บังคับบัญชา นายจ้าง หรือผู้มีอำนาจเหนือ ประการอื่น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน และปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท 3.3.4 พระราชบัญญัติกัญชา พ.ศ.2477 กำหนดว่าห้ามการปลูก ซื้อ ขาย จำหน่าย มีไว้ ในครอบครอง หรือสูบกัญชา 3.3.5 พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 เป็นกฎหมายหลักเกี่ยวกับการป้องกัน ปราบปรามยาเสพติด ให้คำนิยามยาเสพติดให้โทษประเภท 5 หมายถึง ยาเสพติดให้โทษที่ไม่เข้าอยู่ใน ประเภท 1 ถึง 4 ซึ่งมีจำนวนทั้งสิ้น 4 รายการ ได้แก่กัญชา พืชกระท่อม พืชฝิ่น ทุกส่วนของพืชกัญชา ทุกส่วนของพืชกระท่อม และพืชเห็ด มาตรา 75 ผู้ใดผลิต นำเข้า หรือส่งออกซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 อันเป็น การฝ่าฝืนมาตรา 26 ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สองปีถึงสิบห้าปี และปรับตั้งแต่สองแสนบาทถึงหนึ่ง ล้านห้าแสนบาท ถ้ายาเสพติดให้โทษซึ่งเป็นวัตถุแห่งการกระทำความผิดดังกล่าวมานั้นเป็นพืช กระท่อม ผู้นั้นต้องระวางโทษ จำคุกไม่เกินสองปี และปรับไม่เกินสองแสนบาท มาตรา 76 ผู้ใดมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 อันเป็นการฝ่าฝืน มาตรา 26 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปีหรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ถ้ายาเสพ ติดให้โทษซึ่งเป็นวัตถุแห่งการกระทำความผิดดังกล่าวมาในวรรคหนึ่งนั้นเป็นพืชกระท่อม ผู้นั้นต้อง ระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ มาตรา 76/1 ผู้ใดจำหน่ายหรือมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายซึ่งยาเสพติดให้โทษ ในประเภท 5 อันเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 26 วรรคหนึ่ง โดยมีจำนวนยาเสพติดให้โทษไม่ถึงสิบกิโลกรัม ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สองปีถึงสิบปี หรือปรับตั้งแต่สี่หมื่นบาทถึงสองแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ กรณีตามวรรคหนึ่ง ถ้ามียาเสพติดให้โทษในประเภท 5 ตั้งแต่สิบกิโลกรัมขึ้นไป ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สองปีถึงสิบห้าปีและปรับตั้งแต่สองแสนบาทถึงหนึ่งล้านห้าแสนบาท
60 ถ้ายาเสพติดให้โทษซึ่งเป็นวัตถุแห่งการกระทำความผิดดังกล่าวมาในวรรคหนึ่งนั้น เป็นพืชกระท่อม ผู้นั้นต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ถ้ายาเสพติดให้โทษซึ่งเป็นวัตถุแห่งการกระทำความผิดดังกล่าวมาในวรรคสองนั้นเป็น พืชกระท่อม ผู้นั้นต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี และปรับไม่เกินสองแสนบาท มาตรา 92 ผู้ใดเสพยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 อันเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 57 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ถ้ายาเสพติด ให้โทษซึ่งเป็นวัตถุแห่งการกระทำความผิดดังกล่าวมานั้นเป็นพืชกระท่อม ผู้นั้นต้องระวางโทษ จำคุก ไม่เกินหนึ่งเดือน หรือปรับไม่เกินสองพันบาท 3.3.6 พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 7) พ.ศ.2562 อนุญาตให้ใช้กัญชา เพื่อประโยชน์ ทางการแพทย์ใช้รักษาผู้ป่วย ใช้รักษาโรคเฉพาะตัว หรือใช้ในการศึกษาวิจัยได้ 3.3.7 พระราชบัญญัติว่าด้วยผลิตภัณฑ์สมุนไพร พ.ศ.2562 มาตรา 4 ในพระราชบัญญัตินี้ “สมุนไพร” หมายความว่า ผลิตผลธรรมชาติที่ได้จากพืช สัตว์ จุลชีพหรือแร่ที่ใช้ผสม ปรุง หรือแปรสภาพเป็นผลิตภัณฑ์สมุนไพร “ผลิตภัณฑ์สมุนไพร” หมายความว่า (1) ยาจากสมุนไพรและให้หมายความรวมถึงยาแผนไทย ยาพัฒนาจากสมุนไพร ยาแผนโบราณที่ใช้กับมนุษย์ตามกฎหมายว่าด้วยยาหรือยาตามองค์ความรู้การแพทย์ทางเลือก ตามที่รัฐมนตรีโดยคำแนะนำของคณะกรรมการประกาศกำหนด เพื่อการบำบัด รักษาและบรรเทา ความเจ็บป่วยของมนุษย์หรือการป้องกันโรค (2) ผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรหรือผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบสำคัญที่เป็นหรือแปรสภาพ จากสมุนไพร ซึ่งพร้อมที่จะนำไปใช้แก่มนุษย์เพื่อให้เกิดผลต่อสุขภาพหรือการทำงานของร่างกาย ให้ดีขึ้น เสริมสร้างโครงสร้างหรือการทำงานของร่างกายหรือลดปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรค (3) วัตถุที่มุ่งหมายสำหรับใช้เป็นส่วนผสมในการผลิตผลิตภัณฑ์สมุนไพร (4) วัตถุอื่นตามที่รัฐมนตรีโดยคำแนะนำของคณะกรรมการประกาศกำหนดให้เป็น ผลิตภัณฑ์สมุนไพรความตาม (1) (2) หรือ(3) ไม่หมายความรวมถึง (ก) วัตถุที่มุ่งหมายสำหรับใช้ในการเกษตร การอุตสาหกรรมหรือการอื่นตามที่รัฐมนตรี โดยคำแนะนำของคณะกรรมการประกาศกำหนด (ข) วัตถุที่จัดเป็นยาแผนปัจจุบัน ยาแผนโบราณสำหรับสัตว์ อาหารสำหรับมนุษย์ หรือสัตว์ เครื่องกีฬา เครื่องมือเครื่องใช้ในการส่งเสริมสุขภาพ เครื่องสำอาง เครื่องมือแพทย์ วัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท ยาเสพติดให้โทษ วัตถุอันตรายหรือวัตถุอื่นตามที่รัฐมนตรี โดยคำแนะนำของคณะกรรมการประกาศกำหนด “ยาแผนไทย” หมายความว่า ยาที่ได้จากสมุนไพรโดยตรงหรือที่ได้จากการผสม ปรุงหรือแปรสภาพสมุนไพรที่มุ่งหมายสำหรับใช้ตามศาสตร์องค์ความรู้การแพทย์แผนไทย
61 หรือยาที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดให้เป็นยาแผนไทย “ยาพัฒนาจากสมุนไพร” หมายความว่า ยาที่ได้จากสมุนไพรโดยตรงหรือที่ได้จากการ ผสม ปรุงหรือแปรสภาพสมุนไพรที่ไม่ใช่ยาแผนไทยและยาตามองค์ความรู้การแพทย์ทางเลือก “การแพทย์แผนไทย” หมายความว่า กระบวนการทางการแพทย์เกี่ยวกับการตรวจ วินิจฉัย บำบัด รักษาหรือป้องกันโรคหรือการส่งเสริมและฟื้นฟูสุขภาพของมนุษย์ การผดุงครรภ์ การนวดไทยและให้หมายความรวมถึงการเตรียมหรือการผลิตยาแผนไทย ทั้งนี้โดยอาศัยความรู้ หรือตำราที่ได้ถ่ายทอดและพัฒนาสืบต่อกันมา “สารสำคัญ” หมายความว่า วัตถุอันเป็นส่วนประกอบสำคัญของผลิตภัณฑ์สมุนไพร หรือสารในผลิตภัณฑ์สมุนไพรที่ใช้เพื่อบำบัด รักษาและบรรเทาความเจ็บป่วยของมนุษย์ หรือ การป้องกันโรค ส่งเสริมสุขภาพ บำรุงร่างกายหรือลดปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรค “ความแรงของสารสำคัญ” หมายความว่า (1) ความเข้มข้นของผลิตภัณฑ์สมุนไพรที่มีปริมาณของสาระสำคัญระบุเป็นน้ำหนักต่อ น้ำหนัก น้ำหนักต่อปริมาตรหรือปริมาณของสารสำคัญต่อหนึ่งหน่วยการใช้ (2) การแสดงผลหรือสรรพคุณของผลิตภัณฑ์สมุนไพรตามที่ได้มีการทดสอบ ในห้องปฏิบัติการ ด้วยวิธีการที่ได้มาตรฐานหรือผ่านการใช้อย่างได้ผลเพียงพอแล้ว “ตำรับ” หมายความว่า สูตรซึ่งระบุส่วนประกอบสิ่งปรุงที่มีสมุนไพรรวมอยู่ด้วย ไม่ว่าสิ่งปรุงนั้น จะมีรูปลักษณะใดและให้หมายความรวมถึงผลิตภัณฑ์สมุนไพรที่มีลักษณะ เป็นวัตถุสำเร็จรูปทางเภสัชกรรมซึ่งพร้อมที่จะนำไปใช้แก่มนุษย์ “ผลิต” หมายความว่า ทำ ผสม ปรุงหรือแปรสภาพและให้หมายความรวมถึงเปลี่ยนรูป แบ่งและการแบ่งบรรจุจากภาชนะหรือหีบห่อเดิมเพื่อขาย “นำเข้า” หมายความว่า นำหรือสั่งเข้ามาในราชอาณาจักร “ขาย” หมายความว่า จำหน่าย จ่าย แจกหรือแลกเปลี่ยน เพื่อประโยชน์ในทางการค้า และให้หมายความรวมถึงมีไว้เพื่อขาย “ฉลาก” หมายความว่า ข้อความใด ๆ ซึ่งแสดงไว้ที่ภาชนะหรือหีบห่อบรรจุผลิตภัณฑ์ สมุนไพร “เอกสารกำกับผลิตภัณฑ์” หมายความว่า กระดาษหรือวัตถุอื่นใดที่ทำให้ปรากฏ ความหมายด้วยข้อความใด ๆ เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ที่สอดแทรก รวมไว้หรือแสดงไว้ที่ภาชนะหรือหีบห่อ บรรจุผลิตภัณฑ์สมุนไพร “ข้อความ” หมายความรวมถึงการกระทำให้ปรากฏด้วยตัวอักษร รูป รอยประดิษฐ์ ภาพ ภาพยนตร์ แสง เสียง เครื่องหมายหรือการกระทำใด ๆ ที่ทำให้บุคคลทั่วไปสามารถเข้าใจ ความหมายได้ “โฆษณา” หมายความว่า การกระทำไม่ว่าโดยวิธีใด ๆ ให้ประชาชนเห็น ได้ยิน หรือทราบข้อความ เพื่อประโยชน์ในทางการค้าและให้หมายความรวมถึงการส่งเสริมการขาย “การส่งเสริมการขาย” หมายความว่า การให้ข้อมูล การชักนำหรือการกระทำโดยวิธีใด ๆ โดยมุ่งหมายให้มีการใช้ผลิตภัณฑ์สมุนไพรเพิ่มขึ้นและกระทำเพื่อประโยชน์ในทางการค้า “กระบวนการพิจารณาผลิตภัณฑ์สมุนไพร” หมายความว่า การพิจารณาคำขอ
62 การตรวจสอบ ความถูกต้องของเอกสาร การประเมินเอกสารทางวิชาการ การตรวจวิเคราะห์ การตรวจสถานที่ผลิต นำเข้า ขายหรือเก็บรักษาผลิตภัณฑ์สมุนไพรหรือการตรวจสอบ ทั้งนี้ เพื่อออกใบอนุญาต ใบสำคัญการขึ้นทะเบียนตำรับ ใบรับแจ้งรายละเอียดหรือใบรับจดแจ้ง ตลอดจน การพิจารณาใด ๆ เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์สมุนไพร “ผู้ประกอบวิชาชีพทางการแพทย์และสาธารณสุข” หมายความว่า ผู้ประกอบวิชาชีพ เวชกรรม ผู้ประกอบวิชาชีพเภสัชกรรม ผู้ประกอบวิชาชีพการแพทย์แผนไทย ผู้ประกอบวิชาชีพ การแพทย์แผนไทยประยุกต์หรือผู้ประกอบวิชาชีพทางการแพทย์และสาธารณสุขอื่นตามที่รัฐมนตรี ประกาศกำหนด “ผู้รับอนุญาต” หมายความว่า ผู้ได้รับใบอนุญาตตามพระราชบัญญัตินี้และในกรณี นิติบุคคลเป็นผู้ได้รับใบอนุญาตให้หมายความรวมถึงผู้แทนนิติบุคคลหรือผู้มีอำนาจทำการแทน นิติบุคคลซึ่งเป็นผู้ได้รับใบอนุญาต “ผู้มีหน้าที่ปฏิบัติการ” หมายความว่า ผู้ที่มีชื่อในใบอนุญาตให้เป็นผู้ปฏิบัติการ ตามพระราชบัญญัตินี้ “ผู้อนุญาต” หมายความว่า (1) เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยาหรือผู้ซึ่งเลขาธิการคณะกรรมการอาหาร และยามอบหมาย สำหรับการอนุญาตให้ประกอบกิจการผลิตหรือนำเข้าการขึ้นทะเบียนตำรับ การแจ้ง รายละเอียด การจดแจ้งและการอนุญาตให้โฆษณาผลิตภัณฑ์สมุนไพร (2) เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยาหรือผู้ซึ่งเลขาธิการคณะกรรมการอาหาร และยามอบหมาย สำหรับการอนุญาตให้ประกอบกิจการขายในกรุงเทพมหานคร (3) ผู้ว่าราชการจังหวัดหรือผู้ซึ่งผู้ว่าราชการจังหวัดมอบหมาย สำหรับการอนุญาต ให้ประกอบกิจการขายในจังหวัดที่อยู่ในเขตอำนาจ นอกจากกรุงเทพมหานคร “คณะกรรมการนโยบาย” หมายความว่า คณะกรรมการนโยบายสมุนไพรแห่งชาติ “คณะกรรมการ” หมายความว่า คณะกรรมการผลิตภัณฑ์สมุนไพร “พนักงานเจ้าหน้าที่” หมายความว่า ผู้ซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งให้ปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้ “เลขาธิการ” หมายความว่า เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา “อธิบดี” หมายความว่า อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก “รัฐมนตรี” หมายความว่า รัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ มาตรา 5 ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ และให้มีอำนาจแต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่กับออกกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมไม่เกินอัตรา ท้ายพระราชบัญญัตินี้ ลดหรือยกเว้นค่าธรรมเนียมและกำหนดกิจการอื่น รวมทั้งออกประกาศ เพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้ การออกกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมตามวรรคหนึ่ง จะกำหนดอัตราค่าธรรมเนียม ให้แตกต่างกันโดยคำนึงถึงประเภท ชนิดหรือลักษณะของผลิตภัณฑ์สมุนไพร ขนาดและกิจการ ของผู้ประกอบการก็ได้ กฎกระทรวงและประกาศนั้น เมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับได้
63 มาตรา 6 ให้รัฐมนตรีโดยคำแนะนำของคณะกรรมการมีอำนาจประกาศกำหนด ดังต่อไปนี้ (1) ชื่อ ประเภท ชนิดหรือลักษณะของผลิตภัณฑ์สมุนไพร ซึ่งการผลิต นำเข้า หรือขาย ต้องได้รับใบอนุญาต (2) ชื่อ ประเภท ชนิดหรือลักษณะของผลิตภัณฑ์สมุนไพร ซึ่งการผลิตหรือนำเข้า เพื่อขาย ต้องได้รับใบสำคัญการขึ้นทะเบียนตำรับผลิตภัณฑ์สมุนไพร (3) ชื่อ ประเภท ชนิดหรือลักษณะของผลิตภัณฑ์สมุนไพร ซึ่งการผลิตหรือนำเข้า เพื่อขาย ต้องได้ใบรับแจ้งรายละเอียดหรือใบรับจดแจ้ง (4) ชื่อ ประเภท ชนิดหรือลักษณะของผลิตภัณฑ์สมุนไพรที่ห้ามผลิต นำเข้า หรือขาย (5) รายการตำรับยาแผนไทยแห่งชาติ ตำราผลิตภัณฑ์สมุนไพร ตำรามาตรฐาน ยาแผนไทย ตำรามาตรฐานยาสมุนไพรไทยและตำรายาอื่นที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์สมุนไพร (6) ชื่อวัตถุที่เป็นผลิตภัณฑ์สมุนไพร ชื่อวัตถุที่ไม่เป็นผลิตภัณฑ์สมุนไพรและชื่อวัตถุ ที่ห้ามใช้เป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์สมุนไพร (7) ชื่อ ปริมาณและเงื่อนไขของวัตถุที่อาจใช้เป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์สมุนไพร สำหรับผลิตภัณฑ์สมุนไพรที่ขอจดแจ้ง (8) ชื่อ ปริมาณและเงื่อนไขของวัตถุที่มีการกำหนดเงื่อนไขหรือจำกัดการใช้ เป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์สมุนไพร (9) ชื่อ ประเภท ชนิดหรือลักษณะของผลิตภัณฑ์สมุนไพรที่มีการควบคุมฉลาก และเอกสารกำกับผลิตภัณฑ์ (10) หลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขเกี่ยวกับการผลิต นำเข้า ขายและการเก็บรักษา ผลิตภัณฑ์สมุนไพร รวมทั้งลักษณะของสถานที่ผลิต นำเข้า ขายและเก็บรักษาผลิตภัณฑ์ สมุนไพร และอุปกรณ์ที่จำเป็นต้องใช้ เพื่อเป็นการส่งเสริม สนับสนุนศักยภาพของผู้ประกอบการ คุณภาพ และความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์สมุนไพรที่จะส่งผลต่อผู้บริโภค (11) หลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขเกี่ยวกับการแจ้ง การอนุญาตและการผลิต หรือนำเข้า ผลิตภัณฑ์สมุนไพรเพื่อเป็นตัวอย่างสำหรับการขึ้นทะเบียนตำรับ การศึกษาวิจัย การวิเคราะห์ การแสดงนิทรรศการหรือการบริจาค (12) หลักเกณฑ์และวิธีการทำลายผลิตภัณฑ์สมุนไพร (13) คุณสมบัติ จำนวน หลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขเกี่ยวกับการปฏิบัติงาน ของผู้มีหน้าที่ปฏิบัติการในสถานที่ผลิต นำเข้า ขายและเก็บรักษาผลิตภัณฑ์สมุนไพร (14) โรคที่เป็นลักษณะต้องห้ามของผู้รับอนุญาตและผู้มีหน้าที่ปฏิบัติการ (15) สถานที่แห่งใดในราชอาณาจักรให้เป็นด่านตรวจสอบผลิตภัณฑ์สมุนไพร ที่นำเข้า (16) หน้าที่ที่ผู้รับอนุญาตหรือผู้มีหน้าที่ปฏิบัติการต้องปฏิบัติตามมาตรา 28 มาตรา 29 มาตรา 30 มาตรา 31 มาตรา 32 และมาตรา 33 แล้วแต่กรณีเพื่อประโยชน์ในการ คุ้มครองผู้บริโภค (17) รายการที่ต้องยื่นในการขอขึ้นทะเบียนตำรับ แจ้งรายละเอียดและจดแจ้ง
64 ผลิตภัณฑ์สมุนไพร (18) หลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขในกระบวนการพิจารณาผลิตภัณฑ์สมุนไพร รวมทั้งอัตราค่าใช้จ่ายสูงสุดและค่าใช้จ่ายที่จะจัดเก็บจากผู้ยื่นคำขอ (19) หลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขในการขึ้นบัญชี อัตราค่าขึ้นบัญชีสูงสุดและค่า ขึ้นบัญชีที่จะจัดเก็บจากผู้เชี่ยวชาญ องค์กรผู้เชี่ยวชาญ หน่วยงานของรัฐหรือองค์กรเอกชนทั้งใน ประเทศ และต่างประเทศ (20) เกณฑ์มาตรฐาน ค่าความบริสุทธิ์หรือคุณลักษณะอื่นอันมีความสำคัญ ต่อคุณภาพ และค่าคลาดเคลื่อนสำหรับตำรับผลิตภัณฑ์สมุนไพรที่ขึ้นทะเบียน แจ้งรายละเอียดหรือ จดแจ้ง (21) หลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขเกี่ยวกับการโฆษณาผลิตภัณฑ์สมุนไพร 3.3.8 พระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย พ.ศ.2542 มาตรา 46 ห้ามมิให้ผู้ใดศึกษาวิจัยหรือส่งออกสมุนไพรควบคุม หรือจำหน่าย หรือแปรรูปสมุนไพรควบคุมเพื่อการค้า เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากผู้อนุญาต ผู้ใดฝ่าฝืนต้องรับโทษตามมาตรา 78 คือ จำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกิน สองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ 3.3.9 ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ระบุชื่อยาเสพติดให้โทษประเภท 5 พ.ศ.2565 ลงวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2565 3.3.10 ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง กำหนดให้การกระทำให้เกิดกลิ่น หรือควัน กัญชา กัญชง หรือพืชอื่นใดเป็นเหตุรำคาญ พ.ศ.2565 ลงวันที่13 มิถุนายน 2565 3.3.11 ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง สมุนไพรควบคุม (กัญชา) พ.ศ.2565 ลงวันที่11 พฤศจิกายน 2565 3.3.12 ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ การควบคุมคุณภาพ และการจัดการสุขลักษณะของการจำหน่ายอาหารประเภทปรุงสำเร็จ ในสถานที่จำหน่าย อาหาร (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2565 ลงวันที่ 18 สิงหาคม 2565 โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง สมุนไพรควบคุม (กัญชา) พ.ศ.2565 ลงวันที่ 16 มิถุนายน พ.ศ.2565 ที่ได้ประกาศให้กัญชาเป็นสมุนไพร ควบคุมที่มีค่าต่อการศึกษาหรือวิจัย หรือมีความสำคัญทางเศรษฐกิจ เพื่อให้เหมาะสมกับสภาพการณ์ ในปัจจุบัน ประกอบกับได้มีการปรับเปลี่ยนระบบการกากับดูแลกัญชาจากยาเสพติดให้โทษ ในประเภทที่ 5 เป็นสมุนไพรควบคุมซึ่งในช่วงที่มีการเปลี่ยนผ่านดังกล่าว ควรมีการควบคุม ไม่ให้นำกัญชาเฉพาะส่วน โดยเฉพาะส่วนที่เป็นช่อดอกไปใช้ในทางที่ผิดวัตถุประสงค์ของการคุ้มครอง และส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากสมุนไพร อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 4 วรรคหนึ่ง มาตรา 44 และมาตรา 45 (4) (5) และ (6) แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย พ.ศ.2542 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขโดยคำแนะนำของคณะกรรมการคุ้มครองและส่งเสริม ภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย ในการประชุมครั้งที่ 99-4/2565 จึงออกประกาศไว้ ดังต่อไปนี้
65 ข้อ 1 ให้ยกเลิกประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง สมุนไพรควบคุม (กัญชา) พ.ศ.2565 ลงวันที่ 16 มิถุนายน พ.ศ.2565 ข้อ 2 ให้กัญชา ซึ่งมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Cannabis sativa L. วงศ์ Cannabaceae รวมทั้งชื่อวิทยาศาสตร์อื่น ๆ อันเป็นชื่อพ้อง เฉพาะส่วนของช่อดอก เป็นสมุนไพรควบคุม ข้อ 3 ผู้ใดประสงค์จะศึกษาวิจัย ส่งออก จาหน่าย หรือแปรรูปสมุนไพรควบคุม เพื่อการค้า จะกระทำได้ก็ต่อเมื่อได้รับใบอนุญาตตามมาตรา 46 และผู้รับใบอนุญาตต้องปฏิบัติ ตามเงื่อนไข ดังต่อไปนี้ (1) ผู้รับใบอนุญาตให้ศึกษาวิจัย ส่งออก จาหน่าย หรือแปรรูปสมุนไพรควบคุม เพื่อการค้า ต้องจัดทำข้อมูลเกี่ยวกับแหล่งที่มา การนำไปใช้ และจำนวนที่เก็บไว้ ณ สถานประกอบการ และให้รายงานข้อมูลนั้นต่อนายทะเบียนตามแบบที่อธิบดีประกาศกาหนด (2) ผู้รับใบอนุญาตให้ส่งออกสมุนไพรควบคุมเพื่อการค้า ต้องแจ้งรายละเอียด การส่งออก ต่อผู้อนุญาตเป็นรายครั้ง ตามแบบที่อธิบดีประกาศกำหนด (3) ห้ามจำหน่ายสมุนไพรควบคุม หรือแปรรูปสมุนไพรควบคุมเพื่อการค้า ให้กับ ผู้ที่มีอายุต่ำกว่ายี่สิบปี สตรีมีครรภ์หรือสตรีให้นมบุตร (4) ห้ามจำหน่ายสมุนไพรควบคุม หรือแปรรูปสมุนไพรควบคุมเพื่อการค้า ให้กับ นักเรียน นิสิตหรือนักศึกษา (5) ห้ามจำหน่ายสมุนไพรควบคุมเพื่อการสูบในสถานที่ประกอบการ เว้นแต่ การจำหน่าย โดยผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม ตามกฎหมายว่าด้วยวิชาชีพเวชกรรม ผู้ประกอบวิชาชีพ การแพทย์แผนไทย ผู้ประกอบวิชาชีพการแพทย์แผนไทยประยุกต์ หมอพื้นบ้านที่ได้รับการรับรอง ตามระเบียบกระทรวงสาธารณสุขว่าด้วยการรับรองหมอพื้นบ้าน พ.ศ.2562 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ตามกฎหมายว่าด้วยวิชาชีพการแพทย์แผนไทย ผู้ประกอบโรคศิลปะสาขาการแพทย์แผนจีน ตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบโรคศิลปะ และผู้ประกอบวิชาชีพทันตกรรม ตามกฎหมายว่าด้วย วิชาชีพทันตกรรมที่ใช้ในการรักษาผู้ป่วยของตน หรือผู้ประกอบวิชาชีพการสัตวแพทย์ ตามกฎหมายว่าด้วยวิชาชีพการสัตวแพทย์ที่ใช้ในการรักษาสัตว์ (6) ห้ามจำหน่ายสมุนไพรควบคุม หรือสินค้าที่แปรรูปจากสมุนไพรควบคุม เพื่อการค้า ผ่านเครื่องจาหน่ายสินค้าอัตโนมัติ (Vending Machine) ผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือเครือข่ายคอมพิวเตอร์ (7) ห้ามโฆษณาสมุนไพรควบคุมในทุกช่องทางเพื่ออการค้า (8) ห้ามจำหน่ายสมุนไพรควบคุม หรือสินค้าที่แปรรูปจากสมุนไพรควบคุม เพื่อการค้า ในสถานที่ ดังต่อไปนี้ (ก) วัดหรือสถานที่สำหรับปฏิบัติพิธีกรรมทางศาสนา (ข) หอพักตามกฎหมายว่าด้วยหอพัก (ค) สวนสาธารณะ สวนสัตว์ และสวนสนุก ข้อ 4 ให้ผู้รับใบอนุญาตตามมาตรา 46 อยู่ก่อนวันที่ประกาศนี้ใช้บังคับ เฉพาะในส่วน ที่เป็นสมุนไพรควบคุมตามประกาศนี้ ต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในข้อ 3 ของประกาศฉบับนี้ด้วย ข้อ 5 แบบการรายงาน และแบบการแจ้งรายละเอียดการส่งออกสมุนไพรควบคุม
66 รายครั้ง ให้เป็นไปตามแบบที่อธิบดีประกาศกำหนด ข้อ 6 ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป 3.3.13 ประกาศกรมการแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือก เรื่อง กำหนดแบบตามประกาศ กระทรวงสาธารณสุข เรื่อง สมุนไพรควบคุม (กัญชา) พ.ศ.2565 ลง 10 มกราคม 2566 โดยที่เป็นการสมควรกำหนดแบบการรายงานข้อมูลแหล่งที่มา การนำไปใช้ และจำนวน ที่เก็บไว้ณ สถานประกอบการ และแบบการแจ้งรายละเอียดการส่งออกสมุนไพรควบคุมรายครั้ง (กัญชา) เพื่อปฏิบัติการให้เป็นไปตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง สมุนไพรควบคุม (กัญชา) พ.ศ. 2565 อาศัยอำนาจตามความในข้อ 5 ของประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง สมุนไพร ควบคุม (กัญชา) พ.ศ. 2565 อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ออกประกาศไว้ ดังต่อไปนี้ ข้อ 1 กำหนดแบบตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง สมุนไพรควบคุม (กัญชา) พ.ศ. 2565 ดังต่อไปนี้ (1) แบบรายงานข้อมูลแหล่งที่มา และจำนวนที่เก็บไว้ของสมุนไพรควบคุม (กัญชา) ตามแบบ ภ.ท. 27 (2) แบบการรายงานข้อมูลการนำไปใช้ สมุนไพรควบคุม (กัญชา) ตามแบบ ภ.ท. 28 (3) แบบการรายงานข้อมูลการนำไปใช้ กรณีแปรรูปและจำหน่ายสมุนไพรควบคุม เพื่อการค้า (กัญชา) ตามแบบ ภ.ท. 29 (4) แบบการรายงานผลการนำไปใช้ กรณีศึกษาวิจัยสมุนไพรควบคุม (กัญชา) ตาม แบบ ภ.ท. 30 (5) แบบการรายงานข้อมูลการนำไปใช้ ณ สถานประกอบการ กรณีส่งออก สมุนไพรควบคุม (กัญชา) ตามแบบ ภ.ท. 31 (6) แบบการแจ้งรายละเอียดการส่งออกสมุนไพรควบคุมรายครั้ง (กัญชา) ตามแบบ ภ.ท. 32 ข้อ 2 ประกาศฉบับนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา เป็นต้นไป
67 บทที่ 4 วิเคราะห์ปัญหาทางกฎหมายเกี่ยวกับประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ระบุชื่อยาเสพติดให้โทษประเภท 5 พ.ศ.2565 ลงวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2565 จากการศึกษาประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ระบุชื่อยาเสพติดให้โทษประเภท 5 พ.ศ.2565 ลงวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2565 ระบุให้ประกาศกระทรวงสาธารณสุขฉบับนี้ เฉพาะสารสกัดจาก ทุกส่วนของกัญชาหรือกัญชงที่มีปริมาณสารเกินกว่าร้อยละ 0.2 ของน้ำหนักที่เป็นยาเสพติดให้โทษ ประเภท 5 และให้ถือว่าสารสกัดจากกัญชาหรือกัญชง เป็นสารควบคุมคุณภาพในการตรวจวิเคราะห์ และควบคุมคุณภาพของการตรวจสารเสพติดในร่างกาย เป็นเครื่องมือแพทย์ตามกฎหมายว่าด้วย เครื่องมือแพทย์และต้องใช้ตามวัตถุประสงค์ของเครื่องมือแพทย์ ให้ยกเว้นจากการเป็นยาเสพติดให้โทษ ประเภท 5 ทำให้เข้าใจได้ว่าทุกส่วนของกัญชาหรือกัญชงไม่ได้เป็นสิ่งผิดกฎหมายอีกต่อไป ซึ่งคณะผู้วิจัยพบข้อบกพร่องและปัญหาทางกฎหมายเกี่ยวกับประกาศกระทรวงสาธารณสุขฉบับ ดังกล่าว ซึ่งในบทนี้จะได้ทำการวิเคราะห์ปัญหาต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ 4.1 ปัญหาผลกระทบจากประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ระบุชื่อยาเสพติดให้โทษ ประเภท 5 พ.ศ.2565 ลงวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2565 ข้อ 1 (3) เดิมกัญชานั้นถูกจัดว่าเป็นสิ่งผิดกฎหมายในประเทศไทย ตามพระราชบัญญัติกัญชา พ.ศ.2477 ซึ่งห้ามการปลูก ซื้อ ขาย จำหน่าย มีไว้ในครอบครอง หรือสูบกัญชา ต่อมาประเทศไทย มีกฎหมายหลักเกี่ยวกับการป้องกันปราบปรามยาเสพติด คือ พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 ซึ่งในพระราชบัญญัติฉบับนี้ กัญชาเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 5 ซึ่งนิยามยาเสพติด ให้โทษประเภท 5 หมายถึง ยาเสพติดให้โทษที่ไม่เข้าอยู่ในประเภท 1 ถึง 4 ซึ่งมีจำนวนทั้งสิ้น 4 รายการ ได้แก่ กัญชา พืชกระท่อม พืชฝิ่น ทุกส่วนของพืชกัญชา ทุกส่วนของพืชกระท่อม และเห็ด ขี้ควาย ต่อมามีการออกพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2562 อนุญาตให้ใช้กัญชา เพื่อประโยชน์ ทางการแพทย์ใช้รักษาผู้ป่วย ใช้รักษาโรคเฉพาะตัว หรือใช้ในการศึกษาวิจัยได้ ในปี พ.ศ.2564 มีการประกาศใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติด เป็นกฎหมายหลักเกี่ยวกับการ ป้องกันปราบปรามยาเสพติด โดยมีผลใช้บังคับในวันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ.2564 โดยประมวลกฎหมาย ยาเสพติดได้บัญญัติ ให้ยกเลิกพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 และกฎหมายอื่น ที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด รวม 24 ฉบับ โดยในกฎหมายใหม่นี้มีการเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์องค์ประกอบ การกระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติด มีการกำหนดชนิดประเภทและความผิดของการมีไว้ในครอบครอง การใช้ยาเสพติดให้โทษ วัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทและสารระเหยใหม่ เปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์ การใช้ประโยชน์จากยาเสพติด สำหรับในส่วนของกัญชานั้น ยังเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 5 เช่นเดิม ตามมาตรา 29 (5) แห่งประมวลกฎหมายยาเสพติด โดยมีบทกำหนดโทษ ดังนี้ “มาตรา 93 ห้ามผู้ใดผลิต นำเข้า ส่งออก จำหน่าย หรือมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษ ในประเภท 5 ประกอบ มาตรา 148 ผู้ใดผลิต นำเข้า ส่งออก จำหน่าย หรือมีไว้ในครอบครองซึ่ง ยาเสพติดให้โทษ ในประเภท 5 อันเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 93 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี และปรับ ไม่เกินห้าแสนบาท ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคหนึ่ง เป็นการกระทำดังต่อไปนี้ ต้องระวางโทษ
68 จำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบห้าปี และปรับตั้งแต่หนึ่งแสนบาทถึงหนึ่งล้านห้าแสนบาท (1) การกระทำเพื่อ การค้า (2) การก่อให้เกิดการแพร่กระจายในกลุ่มประชาชน (3) การจำหน่ายแก่บุคคลอายุไม่เกิน สิบแปดปี(4) การจำหน่ายในบริเวณสถานศึกษา สถานอันเป็นที่เคารพในทางศาสนาของหมู่ชนใด หรือสถานที่ราชการ (5) การกระทำ โดยใช้กำลังประทุษร้ายหรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย (6) การกระทำโดยมีอาวุธหรือใช้อาวุธ ” อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2565 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข โดยความ เห็นชอบของคณะกรรมการ ป.ป.ส. ได้ออกประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ระบุชื่อยาเสพติด ให้โทษประเภท 5 พ.ศ.2565 โดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 29 วรรคสอง แห่งประมวล กฎหมายยาเสพติด โดยมีผลใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนด 180 วัน นับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา (มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 9 มิถุนายน 2565 เป็นต้นไป) โดยตามประกาศกระทรวงสาธารณสุขดังกล่าว กำหนดให้เฉพาะสารสกัดจากทุกส่วนของพืชกัญชาหรือกัญชง ซึ่งเป็นพืชในตระกูล Cannabis เป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 5 ยกเว้นสารสกัด ดังต่อไปนี้ (ก) สารสกัดที่มีปริมาณสารเตตราไฮโดรแคนนาบินอล (Tetrahydrocannabinol, THC) ไม่เกินร้อยละ 0.2 โดยน้ำหนัก เฉพาะที่ได้รับอนุญาตให้สกัดจากพืชกัญชาหรือกัญชงที่ปลูก ภายในประเทศ (ข) สารสกัดจากเมล็ดของพืชกัญชาหรือกัญชง ที่ได้จากการปลูกภายในประเทศ เห็นได้ว่า เมื่อประกาศกระทรวงสาธารณสุขดังกล่าวผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 9 มิถุนายน 2565 เป็นต้นไป ส่งผลให้ส่วนต่าง ๆ ของพืชกัญชา ได้แก่ ช่อดอก เปลือก ลำต้น เส้นใย กิ่งก้าน ราก ใบ ไม่ว่าสดหรือแห้ง กากหรือเศษที่เหลือจากการสกัดกัญชาและยางกัญชา ไม่เป็นยาเสพติดให้โทษ ประเภท 5 อีกต่อไป จากการเปลี่ยนแปลงบทกฎหมายดังกล่าว ทำให้ประชาชนทั่วไปและผู้บังคับใช้กฎหมาย เกิดความสับสนและไม่เข้าใจเกี่ยวกับการบังคับใช้กฎหมายยาเสพติดที่เกี่ยวข้องกับกัญชา การใช้ ประโยชน์จากกัญชา โดยประชาชนบางส่วนเข้าใจว่าประเทศไทยเปิดเสรีให้สามารถใช้ประโยชน์ จากกัญชาได้ และไม่มีกฎหมายควบคุมการบังคับใช้กัญชา และไม่มีบทลงโทษอีกต่อไป ทำให้ผู้ใช้ หลงผิด เข้าใจว่าสามารถกระทำได้โดยชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งเป็นความคิดที่ผิดมหันต์ เนื่องจากกัญชา ยังเป็นภัยต่อตนเอง ครอบครัว และสังคมอย่างร้ายแรง แม้ภายหลังกระทรวงสาธารณสุข จะออกประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง กำหนดให้ การกระทำให้เกิดกลิ่น หรือควันกัญชา กัญชง หรือพืชอื่นใด เป็นเหตุรำคาญ พ.ศ.2565 ลงวันที่ 13 มิถุนายน 2565 ซึ่งมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่15 มิถุนายน 2565 โดยอาศัยอำนาจตาม พระราชบัญญัติ การสาธารณสุข พ.ศ.2535 ได้กำหนดให้การกระทำให้เกิดกลิ่น หรือควันกัญชา กัญชง หรือพืชอื่นใด เป็นเหตุรำคาญ หากฝ่าฝืนต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามเดือนหรือปรับไม่เกินสองหมื่นห้าพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ตามพระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ.2535 มาตรา 25 มาตรา 27 และ มาตรา 74 และออกประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่องสมุนไพรควบคุม (กัญชา) พ.ศ.2565 ลงวันที่ 11 พฤศจิกายน 2565 ซึ่งมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 24 พฤศจิกายน 2565 โดยอาศัยอำนาจ ตาม พระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย พ.ศ.2542 โดยกำหนด ให้ “ช่อดอกของกัญชา” เป็นสมุนไพรควบคุม โดยอนุญาตให้ ผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไป สามารถ
69 ครอบครอง ใช้ประโยชน์ ดูแล เก็บรักษา ขนย้าย จำหน่ายกัญชา หรือสารสกัดจากกัญชาได้ เมื่อพิจารณาตามความใน มาตรา 46 แห่งพระราชบัญญัตินี้กำหนดให้กัญชาในส่วนเฉพาะ “ช่อดอก” เท่านั้นเป็นสมุนไพรควบคุม และห้ามศึกษาวิจัย หรือส่งออก หรือจำหน่าย หรือแปรรูปสมุนไพร เพื่อการค้า เว้นแต่จะได้รับใบอนุญาตจากผู้อนุญาต และมีบทกำหนดโทษที่ออกตามความใน มาตรา 78 กำหนดให้ผู้ฝ่าฝืนตามมาตรา 46 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ อย่างไรก็ตาม แม้จะส่วนช่อดอกของกัญชาจะมีค่า THC สูงกว่าส่วนอื่น ๆ ของกัญชา แต่จากผลการวิจัยของ รศ.วีรชัย พุทธวงศ์ อาจารย์ประจำภาควิชาเคมี มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ พบว่าจากประสบการณ์ในการตรวจหาค่า THC ในกัญชาหลายสายพันธุ์ กว่า 2,000 ตัวอย่าง ไม่เคยพบว่ามีค่า THC ต่ำกว่าร้อยละ 0.2 ของน้ำหนัก ไม่ว่าจะตรวจในส่วนประกอบใดก็ตาม ทั้งในรูปแบบกัญชาแบบสด และแบบแห้ง แสดงให้เห็นว่าทุกส่วนของกัญชา เมื่อนำมาสกัดและนำไป ตรวจสอบ ยังคงปรากฏผลว่ามีค่า THC สูงกว่าที่กฎหมายกำหนด พระราชบัญญัตินี้ ผู้กระทำความผิดมักอ้างความไม่รู้กฎหมาย และถึงแม้ว่าจะถูกดำเนินคดี ไม่เกิดความเกรงกลัว และมีการกระทำความผิดซ้ำเนื่องจากสภาพบังคับในการลงโทษไม่รุนแรง ซึ่งในความเป็นจริง การพิจารณาโทษของศาลส่วนใหญ่จะลงเบากว่าโทษที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติ เป็นการขัดกับหลักทฤษฎีที่เกี่ยวกับการลงโทษ คือ หลักทฤษฎีสัมพัทธ์ (relative theory) ที่พิจารณา ในแง่ที่ควรลงโทษอย่างไรจึงจะให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับตัวผู้กระทำความผิด โดยโทษที่ลงนั้น ควรมีผลเป็นการกระทำให้ผู้กระทำความผิดเกิดความหวาดกลัว กลับตนเป็นคนดี และเพื่อเป็นการป้องกัน ขัดขวางมิให้เกิดการกระทำควา มผิดนั้นอีกตามหลักทฤษฎีการควบคุมอาชญากรรม (Crime Control Model) เมื่อไม่มีกฎกระทรวงหรือกฎหมายลำดับรองใด ๆ เข้ามาควบคุมการใช้กัญชา ในประโยชน์ทางสันทนาการ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการควบคุมอายุของ ผู้ครอบครอง การซื้อ ขาย หรือการควบคุมการใช้ส่วนต่าง ๆ ของกัญชานอกเหนือจากจุดประสงค์ ทางการแพทย์ ทำให้เกิดเป็นสุญญากาศทางกฎหมายซึ่งสร้างความกังวลสังคมและความสับสนให้แก่ประชาชน จำนวนมาก นอกจากประชาชนทั่วไปเกิดความสับสนแล้ว ในส่วนของเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ทำหน้าที่บังคับ ใช้กฎหมาย โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้ที่ทำหน้าที่สืบสวนจับกุม และเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้ทำหน้าที่ พนักงานสอบสวน ก็เกิดความสับสน และไม่มั่นใจในการบังคับใช้กฎหมาย หรือการบังคับใช้กฎหมาย เป็นไปอย่างยากลำบาก ในความผิดที่เกี่ยวกับกัญชา กล่าวคือ นับตั้งแต่วันที่ 9 มิถุนายน 2565 เป็นต้นมา พืชกัญชาไม่ถือเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 5 และยกเลิกความผิดฐานผลิต นำเข้า หรือส่งออก มีไว้ในความครอบครอง จำหน่าย มีไว้ครอบครองเพื่อเสพ หรือเสพพืชกัญชา ดังนั้น หากเจ้าหน้าที่ตำรวจพบการกระทำดังกล่าว เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่อาจทำการจับกุม เพื่อนำตัวผู้เสพมาดำเนินคดีหรือส่งผู้เสพเข้ารับการบำบัดรักษาได้ เนื่องจากการกระทำเช่นนั้น ไม่เป็นความผิด ซึ่งเป็นไปตามหลัก ทฤษฎีความชอบด้วยกระบวนการทางกฎหมาย (Due Process Model) ซึ่งมุ่งเน้นคุ้มครองสิทธิของผู้กระทำความผิด และเป็นไปตามหลักไม่มีกฎหมาย ไม่มีความผิด ไม่มีโทษ เนื่องจากเจ้าหน้าที่ผู้ทำหน้าที่สืบสวนดำเนินการจับกุมผู้ใช้กัญชามาดำเนินคดี จะเป็นการจับกุมโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และไม่สามารถแจ้งข้อกล่าวหาเพื่อดำเนินคดีกับผู้เสพกัญชาได้ เพราะต้องรอผลการตรวจพิสูจน์หาค่าปริมาณสารสกัดTHC สูงเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดหรือไม่
70 ในส่วนสารสกัดหรือน้ำมันกัญชา ที่ไม่มีหลักฐานการขออนุญาตสกัด, ไม่มีเครื่องหมาย อนุญาตจากองค์การอาหารและยา (อย.), ไม่มีหลักฐานการผลิตในประเทศ ต้องดำเนินการตรวจ ยึดก่อน เพื่อนำไปส่งตรวจพิสูจน์ เมื่อไม่มีกำหนดไว้ว่าการกระทำดังกล่าวเป็นความผิด เมื่อพิจารณา ตามหลักไม่มีกฎหมาย ไม่มีความผิด ไม่มีโทษ จึงทำให้ไม่สามารถทำการจับกุม แจ้งข้อกล่าวหา หรือ ดำเนินคดีได้ เนื่องจากต้องรอผลการตรวจพิสูจน์จากผู้เชี่ยวชาญ ในเรื่องค่า THC จากแหล่งผลิตหรือ หลักฐานการผ่านแดนก่อน หากพบความผิดจึงจะสามารถเรียกตัวมาแจ้งข้อกล่าวหา หรือขออนุมัติ ออกหมายจับ และจับกุมมาดำเนินคดีได้ ในส่วนการเสพสารสกัดหรือน้ำมันกัญชา โดยไม่มีคำสั่งแพทย์หรือแพทย์แผนไทย นั้น หากได้ส่งตรวจพิสูจน์แล้วและผลการตรวจพิสูจน์ว่ามีค่าสารสกัดสูงเกินกว่าที่กำหนดจนเป็นยาเสพติด ให้โทษประเภท 5 จึงจะสามารถเรียกตัวผู้เสพมาสอบถามความสมัครใจ และนำตัวส่งเข้าระบบ การบำบัดรักษาหรือดำเนินคดีข้อหาเสพได้ ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ระบุชื่อยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 พ.ศ.2565 เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์พ.ศ.2565 เผยแพร่ในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2565 และมีผลใช้บังคับใช้ตั้งแต่ วันที่ 9 มิถุนายน 2565 มีผลให้สารสกัดจากทุกส่วนของกัญชา กัญชง ไม่เป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 ยกเว้น สารสกัดที่มีสาร Tetrahydrocannabinol (THC) เกินร้อยละ 0.2 ของน้ำหนักยังคงเป็นยาเสพติด สำหรับในเรื่องการปลูกนั้น ผู้ที่ต้องการปลูกสามารถ ปลูกได้โดยจดแจ้งการปลูกกัญชา กัญชงผ่านแอปพลิเคชัน “ปลูกกัญ” ทั้งนี้ การนำเข้า เมล็ดพันธุ์ กัญชา กัญชง ส่วนอื่น ๆ ของพืช เช่น ช่อดอก ใบ กิ่ง ก้าน ไม่ต้องขออนุญาตนำเข้าตามกฎหมาย ว่าด้วยยาเสพติด แต่ต้องขออนุญาตนำเข้าตามพระราชบัญญัติพันธุ์พืช พ.ศ.2518 และพระราชบัญญัติ กักพืช พ.ศ.2507 หากเป็นสารสกัดที่นำเข้าจากต่างประเทศ จัดเป็นยาเสพติดให้โทษ และต้องได้รับ อนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยยาเสพติด ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ระบุชื่อยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 พ.ศ.2565 ก่อให้เกิดความกังวลของสังคมและสร้างความสับสนให้แก่ประชาชนถึงสถานะทางกฎหมายของกัญชา แม้จะได้มีการออกกฎหมาย ประกาศ เพื่อใช้ในการควบคุมออกมาในภายหลัง แต่กฎหมายที่มีอยู่ ก็ไม่ครอบคลุมและไม่สามารถดำเนินการได้อย่างแท้จริง ภายหลังการประกาศกระทรวงสาธารณสุขข้างต้น ได้พบปัญหาการใช้กัญชาโดยไม่มี การกำหนดมาตรการควบคุมตามช่องทางสื่อสารมวลชน เช่น กรณี เด็กหญิง อายุ 8 ปี แพ้เยลลี่ที่มี ส่วนผสมของกัญชาอย่างรุนแรง โดยมีอาการอาเจียนหนัก ซึม สะลึมสะลือ ลักษณะเหมือนหลับ ปลุกไม่ค่อยตื่น แม่ระบุญาติซื้อเยลลี่มาฝาก ไม่รู้ว่ามีกัญชาเป็นส่วนผสมในเยลลี่ หรือ ชาย อายุ 24 ปี เสพกัญชาทำร้ายแฟน บังคับให้กินปัสสาวะ อุจจาระสุนัข และมีพฤติกรรมฆ่าสุนัขที่เลี้ยงไว้ 6 ตัว โดย สารภาพว่า เสพกัญชามานานหลายปี และเสพแทบจะรายวัน หรือ บิดาอายุ 75 ปีถูกลูกชายพามา ปล่อยทิ้งในป่าจนเสียชีวิต โดยชาวบ้านมาพบศพ ขณะลงไปกู้อวนดักปลา ญาติให้การว่าลูกชายเป็น คนสติไม่ดีตั้งแต่เด็กและมีพฤติกรรมเสพกัญชามาตลอด หรือ เจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมหนุ่ม “ปาหิน” ซึ่งสาเหตุมาจากการเมากัญชา คนขับรถอัลพาร์ดแจ้งความว่าถูกขว้างหินใส่รถ และกล้องหน้ารถ บันทึกหน้าคนร้ายได้ชัดเจน ตำรวจจึงประสานฝ่ายปกครองเข้าจับกุมที่บ้านพร้อมรถจักรยานยนต์ และเสื้อผ้าที่สวมใส่วันก่อเหตุ สอบประวัติเคยต้องโทษคดียาเสพติด ซึ่งจากการสอบปากคำก่อน
71 ก่อเหตุอ้างว่าตนเองมีอาการเมากัญชาจนหลอน เห็นรถวิ่งบนถนน คิดว่าจะวนมาทำร้าย จึงคว้า หินพร้อมขี่รถจักรยานยนต์ปาหินใส่รถเหยื่อถึง 2 คันติดต่อกัน ซึ่งก่อนหน้าแค่เพียงวันเดียวเพิ่งก่อ เหตุปาหินใส่รถยนต์และกระจกร้านค้าในหมู่บ้านแตกมาแล้ว (ข่าวไทยรัฐออนไลน์ 22 พ.ค.66) จากเหตุการณ์ต่าง ๆ ได้ปรากฏขึ้นภายหลังประกาศกระทรวงฉบับดังกล่าวประกาศใช้มีจำนวนเพิ่ม มากขึ้น แสดงให้เห็นว่าการเข้าถึงกัญชาของประชาชนทำได้ง่ายและสะดวกขึ้น สามารถนำไปใช้อย่าง เสรี และไม่ได้ถูกนำไปใช้ในเพื่อประโยชน์ในด้านทางการแพทย์เพียงเท่านั้น ซึ่งขัดต่อวัตถุประสงค์ ของประมวลกฎหมายยาเสพติด อีกทั้งไม่มีการควบคุมการใช้กัญชาให้อยู่ในเฉพาะกลุ่มของผู้ป่วย ตามความเห็นของแพทย์เท่านั้น ซึ่งสถิติอาชญากรรมที่มีเหตุเกิดขึ้นดังกล่าว สืบเนื่องมาจากการเสพกัญชา ที่ไม่มีเหตุป้องกันปราบปรามในเบื้องต้นก่อนที่จะเกิดคดีอาชญากรรมที่ตามมาจากการเสพกัญชาตามทฤษฎี การควบคุมอาชญากรรม (Crime Control Model) ตารางเปรียบเทียบสถานะทางกฎหมายของกัญชาตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522, ประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ. 2564 และประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ระบุ ชื่อยาเสพติดให้โทษ ประเภท 5 พุทธศักราช 2565 ลง 8 กุมภาพันธ์ 2565 ประเด็นย่อย พระราชบัญญัติยา เสพติดให้โทษ พุทธศักราช 2522 ประมวลกฎหมายยา เสพติด พ.ศ. 2564 ประกาศกระทรวง สาธารณสุข เรื่อง ระบุชื่อยาเสพ ติดให้โทษ ประเภท 5 พุทธศักราช 2565 ลง 8 กุมภาพันธ์ 2565 1.สถานะทางกฎหมาย พระราชบัญญัติ พระราชบัญญัติ ประกาศกระทรวง 2.ค ว า ม ไ ม ่ ช ั ด เ จ น ข อ ง กฎหมาย เป็นยาเสพติดให้ โทษประเภท 5 เป็นยาเสพติดให้โทษ ประเภท 5 ไม่เป็นยาเสพติดให้ โทษประเภท 5 (ยกเว้นสารสกัดบาง ลักษณะ) 3.ปริมาณสารเสพติด ไม่กำหนด (เช่น ปริมาณครอบ จำนวนกี่กิโลกรัม) ไม่กำหนด (เช่น ปริมาณครอบจำนวนกี่ กิโลกรัม) สารสกัดเกิน 0.2 โดยน้ำหนัก ถือว่า เป็นยาเสพติด 4.บทกำหนดโทษ มาตรา 75 มาตรา 76 มาตรา 76/1 มาตรา 92 มาตรา 148 (มาตรา 93 ผู้ใดผลิต นำเข้า ส่งออก จำหน่ายหรือ มีไว้ในครอบครองซึ่ง ยาเสพติดให้โทษ ไม่มีบทกำหนดโทษ
72 ประเภท 5 เว้นแต่เป็น กรณีได้รับอนุญาต…” มาตรา 162 (มาตรา 104 “ห้ามผู้ใดเสพยา เสพติดให้โทษประเภท 5 เว้นแต่การเสพยา เสพติดให้โทษประเภท 5 ตามที่ รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงสาธารณสุข ประกาศกำหนดตาม มาตรา 58…” ) มาตรา 164 (มาตรา 107 “ห้ามผู้ใดมีไว้ใน ครอบครองซึ่งยาเสพ ติดให้โทษประเภท 5 เพื่อเสพ”) 5.ประโยชน์ทางการแพทย์ พระราชบัญญัติยา เสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 แก้ไข เพิ่มเติม (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2562 อนุญาตให้ใช้กัญชา เพื่อประโยชน์ทาง การแพทย์ ใช้รักษา ผู้ป่วย ใช้รักษาโรค เฉพาะตัว หรือใช้ ในการศึกษาวิจัยได้ มาตรา 32 มาตรา 33 (5) ระบุไว้ใน ข้อ 2 จากตาราง ประเด็นย่อยที่ 1. สถานะทางกฎหมาย สถานะทางกฎหมายของกัญชาในปัจจุบัน กำหนดอยู่ในประกาศกระทรวง อันมีลำดับศักดิ์ของกฎหมายต่ำกว่าในอดีต กล่าวคือ พระราชบัญญัติ ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 และประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ.2564 เป็นกฎหมายที่มีลำดับศักดิ์ ทางกฎหมายระดับพระราชบัญญัติแสดงให้เห็นว่า ประเทศไทยไม่ได้ให้ความสำคัญกับการบังคับใช้ กฎหมายเกี่ยวกับกัญชาเท่าที่ควร เนื่องจากกัญชาบังคับใช้ตามประกาศกระทรวงเท่านั้น ประเด็นย่อยที่ 2. ความไม่ชัดเจนของกฎหมาย พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522
73 และประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ.2564 มีความชัดเจนเป็นที่รับทราบของสังคมว่ากัญชา เป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 5ส่วนประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ระบุชื่อยาเสพติดให้โทษ ประเภท 5 พุทธศักราช 2565 ลง 8 กุมภาพันธ์ 2565 มีผลให้ส่วนต่าง ๆ ของพืชกัญชา ได้แก่ ช่อดอก เปลือก ลำต้น เส้นใย กิ่งก้าน ราก ใบ ไม่ว่าสดหรือแห้ง กากหรือเศษที่เหลือจากการสกัดกัญชาและยางกัญชา ไม่เป็น ยาเสพติดให้โทษประเภท 5 แต่เฉพาะสารสกัดจากทุกส่วนของพืชกัญชาหรือกัญชง ซึ่งเป็นพืชในสกุล Canabis เป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 5อย่างไรก็ตาม สารสกัดที่มีปริมาณสารเตตราไฮโดรแคนนาบินอล (Tetrahydrocannabinol:THC) ไม่เกินร้อยละ 0.2 โดยน้ำหนัก เฉพาะที่ได้รับอนุญาตให้สกัดจากพืชกัญชา หรือกัญชงที่ปลูกภายในประเทศ และสารสกัดจากเมล็ดของพืชกัญชาหรือกัญชง ที่ได้จากการปลูก ในประเทศ ไม่เป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 ประเด็นย่อยที่ 3. ปริมาณสารเสพติด พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พุทธศักราช 2522 และประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ. 2564 ไม่ได้กำหนดปริมาณกัญชา โดยมีไว้ในความครอบครองเพียง เล็กน้อยก็เป็นความผิด ส่วนประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ระบุชื่อยาเสพติดให้โทษ ประเภท 5 พุทธศักราช 2565 ลง 8 กุมภาพันธ์ 2565กำหนดให้ สารสกัดจากทุกส่วนของพืชกัญชาหรือกัญชง ซึ่งเป็น พืชในสกุล Canabis เป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 5อย่างไรก็ตาม สารสกัดที่มีปริมาณสารเตตราไฮโดรแคน นาบินอล(Tetrahydrocannabinol:THC) ไม่เกินร้อยละ 0.2 โดยน้ำหนัก เฉพาะที่ได้รับอนุญาตให้สกัดจาก พืชกัญชาหรือกัญชงที่ปลูกภายในประเทศ และสารสกัดจากเมล็ดของพืชกัญชาหรือกัญชง ที่ได้จากการปลูก ในประเทศ ไม่เป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 ประเด็นย่อยที่ 4. บทกำหนดโทษ พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พุทธศักราช 2522 ได้มีบท กำหนดโทษทางอาญา บัญญัติไว้ในมาตรา 75 มาตรา 76 มาตรา 76/1 และ มาตรา 92 ส่วนประมวล กฎหมายยาเสพติด พ.ศ.2564 มีบทกำหนดทางอาญา บัญญัติไว้ในมาตรา 148 มาตรา 162 และมาตรา 164 ส่วนประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ระบุชื่อยาเสพติดให้โทษ ประเภท 5 พุทธศักราช 2565 ลง 8 กุมภาพันธ์ 2565ในเนื้อหาของประกาศดังกล่าว ไม่มีบทกำหนดทางอาญา ประเด็นย่อยที่ 5. ประโยชน์ทางการแพทย์พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2562 อนุญาตให้ใช้กัญชาเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ ใช้รักษาผู้ป่วย ใช้รักษาโรคเฉพาะตัว หรือใช้ในการศึกษาวิจัยได้ส่วนประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ.2564 มีการ บัญญัติให้นำไปใช้ในทางการแพทย์ ตามมาตรา 32 และมาตรา 33 (5) ส่วนประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ระบุชื่อยาเสพติดให้โทษ ประเภท 5 พุทธศักราช 2565ลง 8 กุมภาพันธ์ 2565กำหนดให้นำสารสกัด จากกัญชาเป็นสารควบคุมคุณภาพในการตรวจวิเคราะห์และควบคุมคุณภาพของการตรวจสารเสพติดใน ร่างกาย ซึ่งเป็นเครื่องมือแพทย์ ตามกฎหมายว่าด้วยเครื่องมือแพทย์ และต้องใช้ตามวัตถุประสงค์ ของเครื่องมือแพทย์นั้น 4.2 ปัญหาการควบคุมการใช้กัญชาเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์เป็นการเฉพาะตามประกาศกระทรวง สาธารณสุข เรื่อง ระบุชื่อยาเสพติดให้โทษประเภท 5 พ.ศ.2565 ลงวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2565 ข้อ 2 จากการศึกษา เกี่ยวกับฤทธิ์ของ THC นำไปสู่การผลิตยา dronabinol (marinol) ซึ่งมี
74 ส่วนผสมของ THC สำหรับใช้ในผู้ป่วยมะเร็งที่รักษาด้วยวิธีเคมีบำบัดเพื่อป้องกันอาการคลื่นไส้ อาเจียน และทำให้เพิ่มความอยากอาหารในผู้ป่วยเอดส์ ฤทธิ์ของกัญชาเมื่อเสพเข้าสู่ร่างกาย จะแทรก ซึมเข้าสู่กระแสเลือดอย่างรวดเร็วภายใน 2-3 นาที และจะออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทได้สูงสุดถึง 1 ชั่วโมง อาการโดยทั่วไปจะมีอาการเซื่องซึมลงอย่างช้า ๆ แต่ในบางรายก็ลดลงอย่างรวดเร็ว ผู้เสพ กัญชาจะมีอาการเคลิ้มจิต (euphoric “high” or “stoned”) โดยในขั้นต้นกระตุ้นประสาท และบาง คนจะมีอาการตึงเครียดทางใจหรืออาการวิตกกังวล ต่อมาก็มีอาการเคลิ้มจิต ทำให้ผู้เสพรู้สึกว่า บรรยากาศทั่วไปเงียบสงบ จากนั้นมักจะมีปฏิกิริยาที่เปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน เดี๋ยวหัวเราะเดี๋ยว สงบ เพราะฉะนั้นอาการเคลิ้มจิตจึงควรเรียกว่า “อาการบ้ากัญชา″ มากกว่าอาการอื่น ๆ ที่พบคือ ผู้เสพจะรู้สึกล่องลอย ปากแห้ง สับสน อยากอาหาร ชีพจรเพิ่มขึ้น ตาแดงขึ้นในขณะที่เสพยา หากเสพ เป็นประจำจะส่งผลเสียต่อสุขภาพและทำให้สุขภาพเสื่อมลง กัญชามีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาที่คล้ายกับ พวกยากระตุ้นประสาท (stimulant) ยากดประสาท (depressant) ยาหลอนประสาท (hallucinogen) ยาแก้ปวด (analgesic) และยาที่ออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท (psychotomimetic) หลายประการในยาตัวเดียวกัน ผู้ที่เสพกัญชาในระยะแรกของการเสพ ฤทธิ์ของกัญชาจะกระตุ้น ประสาททำให้ผู้เสพมีอาการร่าเริง ช่างพูด หัวเราะง่าย หัวใจเต้นเร็ว ตื่นเต้นง่าย ต่อมาจะมีอาการ คล้ายคนเมาเหล้าอย่างอ่อน เนื่องจากกัญชาออกฤทธิ์กดประสาท ผู้เสพจะมีอาการง่วงนอน ซึม หายใจถี่ เห็นภาพลวงตา ภาพหลอนต่าง ๆ เกิดอาการ หูแว่ว ตกใจง่าย วิตกกังวล หวาดระแวง บางราย คลื่นไส้อาเจียนความจำเสื่อม ความคิดสับสน เพ้อคลั่ง ไม่สามารถควบคุมตนเองได้ มีอาการทางจิต นอกจากนี้สารพิษในกัญชายังทำลายระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ทำให้ร่างกายอ่อนแอ ติดโรคอื่น ๆ ได้ง่าย เช่น โรคหลอดลมอักเสบเรื้อรัง โรคระบบทางเดินหายใจ โรคมะเร็งปอดทำให้สมรรถภาพ ทางเพศลดลง เกิดความผิดปกติของฮอร์โมนเพศและพันธุกรรม ดังนั้นกัญชาได้ถูกจำกัดตามกฎหมาย โดยปัจจุบันการครอบครองการใช้ หรือการขาย การเตรียมกัญชาปรุงสำเร็จเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย ในประเทศส่วนใหญ่ทั่วโลก ปี พ.ศ.2547 สหประชาชาติแถลงว่า กัญชาเป็นยาเสพติดที่ใช้มากที่สุด ในโลก โดยประมาณการบริโภคกัญชาทั่วโลก ในอดีตประเทศไทยมีการใช้กัญชาเป็นเครื่องประกอบอาหาร โดยมีการปลูกในระดับ ครัวเรือน และมีข้อมูลการแพทย์บ่งชี้ว่ากัญชามีสรรพคุณทางการแพทย์ต่อการรักษาให้ผลดี นอกจากนี้ตำราการแพทย์แผนไทยโบราณใช้กัญชาเป็นตัวยาหนึ่งในการรักษาหลายโรคด้วยเช่นกัน เช่น ยาทิพกาศและยาสุขไสยาศน์ในคัมภีร์ธาตุพระนารายณ์ ฉบับใบลาน (The Office of Protection wisdom medicine of Thailand, 2012) จนกระทั่ง พ.ศ.2477 กัญชาได้ถูกจัดให้เป็นสิ่งผิดกฎหมาย โดยพระราชบัญญัติกัญชา พ.ศ.2477 ซึ่งบัญญัติห้าม ผู้ใดปลูก นำเข้า ซื้อขาย หรือครอบครองกัญชาโดยเด็ดขาด หากฝ่าฝืน จะได้รับโทษทั้งจำและปรับอย่างรุนแรง และตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษในปีพ.ศ.2522 กัญชายังคงถูกบัญญัติให้เป็นยาเสพติดให้โทษตามกฎหมาย และต่อมาในปี พ.ศ.2562 ได้มีการตรา พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 7) พ.ศ.2562 อนุญาตให้สามารถใช้กัญชาได้ในกรณีจำเป็น เพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ การรักษาผู้ป่วยหรือการศึกษาวิจัยและพัฒนา (กรนันท์ คงทัน, ปัญหา กฎหมายเกี่ยวกับกัญชา) ในขณะนั้น เมื่อพิจารณาสถานะทางกฎหมายกัญชาถือเป็นยาเสพติดให้โทษ
75 ประเภท 5 ซึ่งผู้ผลิต นำเข้า ส่งออก ครอบครอง เสพ มีโทษทั้งจำและปรับ ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 75 มาตรา 76 มาตรา 76/1 และมาตรา 92 แห่งพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 ทั้งนี้เมื่อพิจารณา ตามหลักนิติปรัชญาตามสำนักกฎหมายประวัติศาสตร์ของ ซาวิญยี่ (Georg Friedrich Carl Von Savigny) ได้อธิบายว่า กฎหมายต้องให้ความสำคัญกับจารีตประเพณีและ การทำความเข้าใจสภาพของสังคม โดยความสำคัญดังกล่าวจะเชื่อมโยงการทำความเข้าใจธรรมชาติ ของกฎหมาย และก่อให้เกิดความยุติธรรมต่อสังคมอย่างแท้จริง และเมื่อนำหลักนิติปรัชญาดังกล่าว มาพิจารณาถึงสถานะทางกฎหมายของกัญชาแล้ว กล่าวได้ว่าพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 ไม่ได้นำรากฐานทางประวัติศาสตร์ตามแนวคิดของสำนักกฎหมายประวัติศาสตร์ มาพิจารณาในการตรากฎหมาย จากรากฐานทางประวัติศาสตร์ของไทยได้มีการใช้กัญชาทั้งในฐานะ พืชสมุนไพร และพืชผักสวนครัวมาเป็นเวลานาน ทั้งการใช้ในปริมาณที่เหมาะสมก็ไม่ได้ทำให้เกิดผล เสียหายต่อร่างกาย จึงมีการทบทวนสถานะของกัญชาและโทษสำหรับผู้ผลิต นำเข้า ส่งออก ครอบครอง เสพ ให้ไม่มีความผิดหรือใช้มาตรการด้านอื่น เช่น การบำบัดรักษา และการลดทอน ความผิดทางอาญาสำหรับผู้ผลิต นำเข้า ส่งออก ครอบครอง เสพ แม้กัญชาจะเป็นยาเสพติดให้โทษ ประเภท 5 ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 แต่มาตรา 5 และมาตรา 26 แห่งพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 7) พ.ศ.2562 ได้มีบัญญัติเป็นบทยกเว้นไว้เพื่อให้เกิด การใช้กัญชาเพื่อการพัฒนาทางการแพทย์ได้ โดยไม่ใช้บังคับแก่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข แต่ให้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข รายงาน การรับ การจ่าย การเก็บรักษา และวิธีการปฏิบัติอย่างอื่นที่เกี่ยวกับการควบคุมยาเสพติดให้โทษ ให้คณะกรรมการ ทราบทุกหกเดือน แล้วให้คณะกรรมการเสนอพร้อมกับให้ความเห็นต่อ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นผู้มีความเห็นและอนุญาตให้นำกัญชามาใช้ในทางการแพทย์ได้ จากหลักกฎหมายดังกล่าวจึงสรุปได้ว่า พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 ไม่ใช้บังคับกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข หมายความว่า กฎหมาย ฉบับนี้ได้อนุญาตให้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุขนำยาเสพติดให้โทษ มาทำการวิจัย เพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ได้ แต่เพื่อไม่ให้มีการใช้หรือครอบครองยาเสพติด โดยไม่จำกัดหรือปราศจากการควบคุม กฎหมายจึงกำหนดให้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข ต้องรายงานการรับ การจ่าย การเก็บรักษา และวิธีการปฏิบัติอย่างอื่นที่เกี่ยวกับ การควบคุมยาเสพติดให้โทษให้คณะกรรมการทราบทุกหกเดือน ส่วนมาตรา 26 หมายความว่า กฎหมายมาตรานี้ได้เปิดช่องให้มีการขออนุญาตให้ผลิต นำเข้า จำหน่าย หรือมีไว้ในครอบครอง ซึ่งยาเสพติดให้โทษได้ แต่ในทางปฏิบัติพบว่ามีผู้ขออนุญาต แต่กลับไม่ได้รับการอนุญาตจากหน่วยงาน ที่มีอำนาจแต่อย่างใด แสดงว่าในพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 กฎหมายได้อนุญาต ให้สามารถนำกัญชามาใช้ประโยชน์ในทางการแพทย์ได้อยู่แล้ว แต่การนำมาใช้นั้นจะต้องผ่าน สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา และผู้ที่วางหลักเกณฑ์ในการอนุญาตต่าง ๆ ก็คือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และจากสถิติข้อมูลของสำนักงานตำรวจแห่งชาติเอง พบว่าตั้งแต่ พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 จนถึงการประกาศใช้ประมวลยาเสพติด พ.ศ.2564 และ ประกาศกฎกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ระบุชื่อยาเสพติดให้โทษประเภท 5 ที่ระบุว่าสารสกัดจาก กัญชาหรือกัญชงเกินกว่า 0.2 ของน้ำหนักเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 5 พบว่ามีสถิติในการจับกุม
76 ความผิดทั้งการผลิต จำหน่าย ครอบครอง และเสพกัญชา เป็นจำนวนมาก และรัฐจำเป็นอย่างยิ่ง ที่จะต้องนำงบประมาณจำนวนมหาศาลเพื่อใช้ในการดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับกัญชา จากการศึกษากฎหมายของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก ทั้งที่เป็นภาคีสมาชิกของอนุสัญญาเดี่ยว ว่าด้วยการควบคุมยาเสพติดให้โทษ ค.ศ.1961 (1961 Single Convention on Narcotic Drugs), อนุสัญญาว่าด้วยวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท ค.ศ.1971 และ อนุสัญญาเดี่ยวต่อต้านการค้ายาเสพติด และวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทอย่างผิดกฎหมายแห่งสหประชาชาติแห่งปี ค.ศ.1988 ส่วนใหญ่ ยังให้กัญชาเป็นยาเสพติด และไม่ยอมรับให้ใช้กัญชาเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ โดยมีการกำหนด โทษทางอาญาที่รุนแรง เช่น ประเทศสิงคโปร์ได้มีบทบัญญัติเกี่ยวกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับ กฎหมายยาเสพติดซึ่งรวมถึงกัญชา และมีบทลงโทษที่รุนแรง บทลงโทษในความผิดเกี่ยวกับกัญชา (Cannabis) ในประเทศสิงค์โปร์ บัญญัติไว้ว่า ชาวสิงคโปร์บุคคลที่มีถิ่นที่อยู่ในประเทศสิงคโปร์ (permanent resident) และผู้ที่จะเดินทางเข้าประเทศสิงคโปร์ที่ใช้กัญชานอกสิงคโปร์ต้องรับโทษ เช่นเดียวกับการกระทำความผิดในประเทศ บทกำหนดโทษกรณีครอบครองหรือเสพกัญชา ต้องถูก จำคุกสูงสุด 10 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 ดอลลาร์สิงคโปร์หรือทั้งจำทั้งปรับ กรณีการลักลอบ แจกจ่าย นำเข้าหรือส่งออกกัญชา มากกว่า 500 กรัม อาจได้รับโทษประหารชีวิต ยางกัญชา (Cannabis Mixture) มากกว่า 200 กรัม อาจได้รับโทษประหารชีวิต กัญชาผสม (Cannabis Mixture) มากกว่า 1,000 กรัม อาจได้รับโทษประหารชีวิต (สำนักงานแรงงาน,2565) ประเทศ มาเลเซีย ได้มีบทบัญญัติเกี่ยวกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับกฎหมายยาเสพติด ซึ่งรวมถึงกัญชา และมีบทลงโทษที่รุนแรงคล้ายกับประเทศสิงคโปร์บทลงโทษในความผิดเกี่ยวกับกัญชา (Cannabis) ในประเทศมาเลเซีย บุคคลที่มีถิ่นที่อยู่ในประเทศมาเลเซีย(permanent resident) และผู้ที่จะเดิน ทางเข้าประเทศมาเลเซียที่ใช้กัญชานอกประเทศต้องรับโทษเช่นเดียวกับการกระทำความผิด ในประเทศ บทกำหนดโทษกรณี ผู้ค้า ผู้ครอบครองกัญชา 200 กรัม มีโทษประหารชีวิต ส่วนการ ครอบครองไม่เกิน 50 กรัม มีโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี อย่างไรก็ตาม จากการศึกษาพบว่า มีประเทศที่ยอมรับให้ใช้กัญชาเพื่อประโยชน์ในทาง การแพทย์คือ ประเทศออสเตรเลีย การอนุญาตให้ใช้กัญชาในผู้ป่วยระยะสุดท้ายของชีวิตในบางรัฐ ประเทศออสเตรเลีย (Australia) เป็นภาคีสมาชิกในอนุสัญญาเดียวว่าด้วยยาเสพติด ค.ศ.1961 เช่นเดียวกับประเทศไทย เป็นประเทศที่มีกฎหมายยาเสพติด คือ Narcotic Drugs Act 1967 ซึ่งจำกัดขอบเขตการใช้ หรือ ครอบครองกัญชา อีกทั้งประเทศออสเตรเลียกำลังพัฒนากฎหมาย ที่เกี่ยวข้องกับกัญชา คือ Narcotic Drugs Regulation 2016 เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2016 ซึ่งอยู่ ภายใต้บังคับของกฎหมายยาเสพติด (Narcotic Drugs Act 1967) สาระสำคัญของกฎหมายฉบับนี้ กำหนดใบอนุญาตให้ใช้กัญชาในทางการแพทย์และการวิจัย (Medical Cannabis Licences and Cannabis Research Licences and Permit) นอกจากนี้บางรัฐยังจัดทำโครงการอนุญาตให้ผู้ป่วย ในระยะสุดท้ายของชีวิตใช้กัญชารักษาอาการได้ ตลอดจนมีนโยบายให้เอกชนปลูกกัญชาเพื่อวิจัยอันมี วัตถุประสงค์ในทางการแพทย์เพื่อเปิดโอกาสให้ผลิตยารักษาอาการป่วยรุนแรงภายในประเทศ ประเทศออสเตรเลียเป็นประเทศที่มีประชากรใช้ยาเสพติดในทางที่ผิดเป็นจำนวนมาก ประเทศ ออสเตรเลียมีนโยบายยาเสพติดโดยถือว่ายาเสพติดเป็นอาชญากรรม (Criminalisation) และใช้ มาตรการลดอันตรายจากการใช้ยา (Harm-Minimisation Strategies) ควบคู่กัน
77 ในปัจจุบัน ประเทศออสเตรเลียมีนโยบายหลีกเลี่ยงการลงโทษในคดียาเสพติด โดยเน้น พัฒนามาตรการลดอันตรายจากการใช้ยาเสพติด (Harm-Minimisation Strtegies) และกระบวนการ บำบัดรักษา (Treatment Framework) อย่างไรก็ตาม การส่งออกกัญชาในทางการค้ายังคงเป็นสิ่งผิด กฎหมาย มาตรการลดอันตรายจากการใช้ยา (Harm-Minimisation Strategies) มีจุดมุ่งหมายที่จะ จัดการปัญหาการใช้เครื่องดื่มแอลกอฮอล์และยาเสพติดชนิดอื่นเพื่อลดอันตรายที่จะเกิดขึ้นจากการใช้ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์และยาเสพติดของปัจเจกชนและสังคม ซึ่งมาตรการนี้จะพิจารณาในเรื่องปัญหา ด้านสุขภาพ สังคมและเศรษฐกิจทั้งหมดของผู้ใช้ยาเสพติด นอกจากนี้ กระทรวงสาธารณสุข ของประเทศออสเตรเลีย มีนโยบายออกใบอนุญาตให้เอกชนปลูกกัญชาเพื่อวัตถุประสงค์ในทาง การแพทย์ เพื่อเปิดโอกาสให้ผลิตยารักษาอาการป่วยรุนแรงภายในประเทศ กล่าวคือ เพื่อให้ผู้ป่วย เข้าถึงผลิตภัณฑ์จากกัญชาได้ง่ายมากขึ้น โดยมีมาตรการเฝ้าระวังความปลอดภัยของชุมชนไว้อย่าง เข้มงวด อย่างไรก็ตาม การใช้กัญชาเพื่อความหย่อนใจ (Recreation Use) ยังคงผิดกฎหมายเช่นเดิม ประเทศออสเตรเลีย เป็นรัฐภาคีและลงนามในอนุสัญญาเดี่ยวว่าด้วยยาเสพติด ค.ศ.1961 (Single Convention on Narcotic Drug 1961) ซึ่งตามอนุสัญญานี้มีข้อผูกพันให้ภาคีสามารถใช้กัญชา ได้เฉพาะในทางการแพทย์เท่านั้น และในการศึกษามาตรการทางกฎหมาย และกฎเกณฑ์การใช้กัญชา โดยศึกษาเฉพาะมาตรการทางกฎหมายของมลรัฐนิวเซาท์เวลส์ เนื่องจากเป็นรัฐที่มีนโยบายอนุญาตให้ ผู้ป่วยใช้กัญชาในทางการแพทย์เพื่อเป็นแนวทางในการกำหนดหลักเกณฑ์ เงื่อนไขและวิธีการในการ อนุญาตให้ใช้ประโยชน์จากกัญชาในทางการแพทย์ มลรัฐนิวเซาท์เวลส์ (New South Wales, Australia) ซึ่งเป็นรัฐหนึ่งของประเทศ ออสเตรเลีย การใช้และการเพาะปลูกกัญชาที่ไม่ได้รับอนุญาตเป็นสิ่งผิดกฎหมายในประเทศ ออสเตรเลียตามกฎหมายยาเสพติด (Narcotic Drugs Act 1967) แต่ในปี ค.ศ.2013 คณะกรรมาธิการ รัฐสภาของรัฐนิวเซาท์เวลส์ (NSW) เสนอให้ใช้กัญชาเพื่อวัตถุประสงค์ในทางการแพทย์สำหรับผู้ป่วย ระยะสุดท้ายของชีวิตและสนับสนุนให้การใช้กัญชากัญชาที่มีพื้นฐานตามหลักเภสัชวิทยาเป็นสิ่งที่ ถูกต้องตามกฎหมาย คณะกรรมาธิการได้ขอความเห็นชอบจากรัฐบาลกลางออสเตรเลีย เพื่อเสนอ โครงการอนุญาตให้ผู้ป่วยครอบครองกัญชาได้ 15 กรัม ต่อมารัฐบาลกลางให้ความเห็นชอบโครงการ ดังกล่าว แต่ไม่เห็นชอบกับการอนุญาตให้ใช้กัญชาในผู้ป่วยที่มีอาการปวดเรื้อรัง (Chronic Pain) หรือการปลูกกัญชาเพื่อใช้ส่วนบุคคล นอกจากนี้ทั้งผู้ป่วยและผู้ดูแลผู้ป่วยจะต้องได้รับใบรับรอง จากผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ และลงทะเบียนกับกระทรวงสาธารณสุข ตลอดจนต้องพกบัตร ประจำตัวผู้ป่วย และในปี ค.ศ.2015 รัฐบาลกลางออสเตรเลียประกาศว่าจะทำให้การปลูกกัญชาที่มี วัตถุประสงค์เพื่อใช้ในทางการแพทย์และด้านวิทยาศาสตร์เป็นสิ่งที่ถูกต้องตามกฎหมาย รัฐสภา ออสเตรเลียได้มีการแก้ไขกฎหมายยาเสพติดที่ทำให้การปลูกกัญชาที่มีวัตถุประสงค์ด้านการแพทย์และ วิทยาศาสตร์ขึ้น สำนักงานควบคุมยาเสพติดกระทรวงสาธารณสุขได้ออกใบอนุญาตให้วิจัยกัญชา เพื่อวัตถุประสงค์ในทางการแพทย์ โดยมีการกำหนดคุณสมบัติของผู้ป่วยและผู้ดูแลจะต้องเป็นบุคคล ที่อาศัยอยู่ในมลรัฐนิวเซาท์เวลส์ซึ่งมีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป เป็นบุคคลที่เจ็บป่วยด้วยโรคเรื้อรังในระยะ สุดท้ายของชีวิต และได้ลงทะเบียนตามหลักเกณฑ์ที่รัฐกำหนด โดยบุคคลที่บรรลุนิติภาวะที่อาจจะ ได้รับคัดเลือกให้เป็นผู้ดูแล จะต้องลงทะเบียนภายใต้ข้อกำหนดของรัฐและผู้ดูแลอาจได้รับคัดเลือก ให้ดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย จำนวนสูงสุดไม่เกิน 3 ราย โดยการรับรอง (Certification) การขึ้น
78 ทะเบียนภายใต้กฎเกณฑ์นี้ คือ แพทย์เวชปฏิบัติผู้ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนในประเทศออสเตรเลีย และเป็นแพทย์ที่รักษาผู้ป่วยอย่างต่อเนื่องและจะต้องเป็นผู้รับรองว่าผู้ป่วยดังกล่าวเป็นผู้ป่วยระยะ สุดท้าย (terminal illness) ตามหลักเกณฑ์ที่รัฐกำหนด ในการลงทะเบียน (Registration) ผู้ป่วย จะต้องลงทะเบียนโดยการกรอกรายละเอียดข้อมูลส่วนตัวลงในแบบฟอร์มที่กำหนดไว้ (Part A) ให้สมบูรณ์ จากนั้นส่งไปให้หน่วยงานของรัฐต่อไป (NSW Department of Justice) ภายหลังจาก การลงทะเบียนเรียบร้อย รัฐก็จะส่งเอกสารการขึ้นทะเบียนเป็นผู้ป่วยและเอกสารการขึ้นทะเบียนของ ผู้ดูแลกลับมาเพื่อให้ใช้แสดงตนเมื่อได้รับการร้องขอจากเจ้าหน้าที่ตำรวจต่อไป นอกจากนี้ยังได้ศึกษา ประเทศแคนาดา ซึ่งกัญชาอยู่ภายใต้กฎหมาย “Controlled Drugs and Substances Act” มีผลบังคับใช้เมื่อปี ค.ศ.2013 (พ.ศ.2556) ในประเทศแคนนาดา กัญชา ที่อนุญาตให้ใช้เพื่อทางการแพทย์ได้แก่ กัญชาสดหรือแห้ง หรือน้ำมันกัญชา ผู้ที่สามารถใช้กัญชา เพื่อทางการแพทย์ในประเทศแคนาดาได้นั้น ได้แก่ บุคคลซึ่งรับกัญชาจากผู้มีใบอนุญาตผลิต จากสถานพยาบาลหรือโรงพยาบาลที่ได้รับอนุญาตให้ใช้กัญชาเพื่อบำบัดรักษา หรือบุคคลที่ร้องขอ ใช้กัญชาเพื่อการรักษาจากผู้ประกอบวิชาชีพแพทย์ หรือพนักงานในสถานพยาบาลที่มีหน้าที่เกี่ยวกับ กัญชาเพื่อการรักษานั้น โดยจะต้องลงทะเบียนในฐานะผู้ได้รับอนุญาตให้ใช้กัญชาเพื่อการแพทย์ ส่วนปริมาณมีไว้ในครอบครองกัญชาเพื่อใช้ทางการแพทย์มีความแตกต่างกันของผู้รับอนุญาตแต่ละ ประเภท เช่น ผู้ประกอบวิชาชีพแพทย์สามารถมีไว้ในครอบครองกัญชาแห้งได้ 150 กรัม ทั้งนี้ ประเทศแคนาดา ยังมีกฎหมายอีก 2 ฉบับ คือ Access to Cannabis for Medical Purposes Regulations (ACMPR) และ Regulations on Cannabis ซึ่ง ACMPR เป็นกฎระเบียบ หลักที่ใช้ควบคู่กับ Cannabis Act และมีผลบังคับใช้ในวันเดียวกันนั้น แทนที่กฎระเบียบเดิมคือ The Marihuana for Medical Purposes Regulations (24 สิงหาคม พ.ศ.2559) ทั้งมี Regulations on Cannabis ขยายความเกี่ยวกับมาตรการความปลอดภัยในการออกแบบพื้นที่ปลูก พื้นที่ดำเนินการ พื้นที่เก็บพืชกัญชา รวมถึงการควบคุมแมลง การจำหน่าย และการเก็บรักษาด้วย ทั้งนี้ การใช้เพื่อ วัตถุประสงค์อื่นก็ยังคงผิดกฎหมาย โดยหน่วยงานที่รับผิดชอบ คือ กระทรวงสาธารณสุข ในปี พ.ศ.2561 ประเทศแคนนาดาได้ออกกฎหมายอนุญาตให้ใช้กัญชาเพื่อการสันทนาการ ได้เป็นประเทศที่ 2 รองจากอุรุกวัย โดยประชาชนที่บรรลุนิติภาวะสามารถซื้อกัญชาจากตัวแทน ที่ได้รับอนุญาตโดยถูกกฎหมาย แต่มีข้อจำกัด ได้แก่ ครอบครองเฉพาะน้ำมัน เมล็ด หรือกัญชาแห้ง ขนาด 30 กรัม หรือ 1 ออนซ์ หากเกินกว่านี้ ถือว่าผิดกฎหมาย ส่วนอาหารที่มีส่วนผสมของกัญชานั้น ยังไม่สามารถซื้อขายได้ จากการศึกษาแนวคิดเกี่ยวกับนโยบายยาเสพติดและมาตรการทางกฎหมายของต่างประเทศ พบว่าในปัจจุบันต่างประเทศนิยมใช้หลักการลดทอนความเป็นอาชญากรรมมาเป็นแนวทางในการ ออกกฎหมายหรือแนวนโยบายควบคุมยาเสพติดเพิ่มมากขึ้น การลดทอนความเป็นอาชญากรรม ที่นำมาประยุกต์ใช้กับยาเสพติดทั้งกัญชาและยาเสพติดชนิดอื่น ได้แก่ การทำให้ไม่เป็นความผิด อันประกอบด้วย 2 วิธีการ คือ การทำให้ไม่เป็นความผิดโดยนิตินัย (De Jure Decriminalisation) และ การทำให้ไม่เป็นความผิดโดยพฤตินัย (De Facto Decriminalisation)
79 การทำให้ไม่เป็นความผิดโดยนิตินัย (De Jure Decriminalisation) คือ การนำโทษทาง อาญาออกไปจากกฎหมายอย่างเป็นทางการผ่านการปฏิรูปกฎหมาย เช่น การเสพยาเสพติด การมี ยาเสพติดไว้ในความครอบครองและการเพาะปลูกยาเสพติดเพื่อการเสพส่วนบุคคล ตลอดจน การครอบครองอุปกรณ์การเสพยาเสพติด แบบจำลองการทำให้ไม่เป็นความผิดโดยไม่มีวิธีการบังคับ มิได้กำหนดวิธีบังคับทั้งทางอาญาและปกครองสำหรับการเสพยาเสพติดหรือการครอบครองยาเสพติด ในปริมาณที่มีเหตุผลเพื่อการเสพส่วนบุคคล แต่ใช้วิธีการบังคับทางอาญากับผู้ผลิตยาเสพติดไม่ว่าจะ เป็นการผลิตเพื่อใช้เสพส่วนบุคคลก็ตาม เป็นต้น แบบจำลองการทำให้ไม่เป็นความผิดโดยใช้วิธีการ บังคับทางแพ่งหรือทางปกครอง คือการใช้วิธีการบังคับที่มิใช่การบังคับทางอาญา เช่น ค่าปรับ คำสั่ง บริการสังคม คำเตือนให้ระมัดระวังอันตราย คำเตือน การบังคับรักษาหรือการเข้าอบรมความรู้ การพักใบอนุญาตขับขี่ หรือพักใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ เป็นต้น โดยการกำหนดให้การเสพหรือมี ยาเสพติดไว้ในครอบครองไม่เป็นความผิด ได้กำหนดกรอบทางกฎหมายไว้ว่าการเสพหรือการมีไว้ใน ความครอบครองไม่เป็นความผิดแต่กฎหมายจะแยกแยะระหว่างการเสพ หรือครอบครองส่วนบุคคล กับเจตนาจัดหา โดยให้อำนาจของเจ้าหน้าที่ตำรวจในการคุมขังกรณีที่มี ข้อบ่งชี้ว่าเจตนาจัดหา เท่านั้น อันมีผลต่อกระบวนการทางศาล หรือทางปกครองว่าจะมีการปฏิบัติต่อเมื่อมีข้อบ่งชี้ว่า มีเจตนาจัดหายาเสพติด สำหรับวิธีการบังคับสำหรับการเสพยาเสพติด คือ การริบยาเสพติดที่เกิน ปริมาณที่ต้องใช้อย่างมีเหตุผลเพื่อการเสพส่วนบุคคล (A Reasonable Quantity) ในการกำหนดดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ในการพิจารณาถึงการมีกัญชาไว้ในครอบครอง ไม่ใช่อาชญากรรม แต่เป็นความผิดทางปกครอง โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจมีอำนาจระบุลักษณะของ ความผิดได้หากเป็นกรณีมีไว้ในครอบครองเท่านั้น ก็จะสามารถใช้วิธีการบังคับ ณ สถานที่เกิดเหตุได้ หากเป็นกรณีอื่น เช่น มีข้อบ่งชี้ว่ามีเจตนาจัดหาก็จะนำเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมของศาล สำหรับ วิธีการบังคับกรณีการเสพกัญชา เช่น การริบ การตักเตือน ค่าปรับ เป็นต้น การทำให้ไม่เป็นความผิดโดยพฤตินัย (De Facto Decriminalisation) คือ มิได้มีการนำ บทลงโทษทางอาญาออกไปจากกฎหมาย แต่ในทางปฏิบัติมิได้บังคับใช้บทลงโทษในทางอาญา แบบจำลองการทำให้ไม่เป็นความผิดโดยพฤตินัยมีลักษณะเฉพาะ การเสพยาเสพติดรวมถึงการมี ยาเสพติดไว้ในความครอบครองเพื่อการเสพส่วนบุคคลเป็นความผิด แต่รัฐกำหนดนโยบายให้นำไปสู่ การปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ตำรวจทำให้ผู้เสพยาเสพติดหลีกเลี่ยงการลงโทษทางอาญาและบทลงโทษ ทางอาญาได้โดยนำวิธีการลงโทษอื่นมาแทนการลงโทษในทางอาญา เช่น ไม่ใช้การลงโทษ หรือใช้ วิธีการบังคับทางแพ่งหรือทางปกครองสถานเบา และใช้วิธีการนำตัวบุคคลไปเข้ารับการรักษา ด้านสุขภาพ หรือด้านสังคม หรือการให้คำปรึกษาและการให้ความรู้ประสบการณ์ของต่างประเทศ ของการทำให้ไม่เป็นความผิดโดยพฤตินัย การทำให้ไม่เป็นความผิดโดยพฤตินัยในต่างประเทศนั้น สามารถทำได้โดยกำหนดแบบจำลอง ต่าง ๆ เช่น ในชั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือพนักงานอัยการ แบบจำลองที่ใช้นั้น ได้แก่ แบบไม่มีวิธีการ บังคับ กรณีการมีไว้ในความครอบครองเป็นความผิดอาญาแต่เจ้าหน้าที่ตำรวจหรือพนักงานอัยการ
80 ได้รับคำสั่งไม่ให้มีการแทรกแซงโดยอาศัยอำนาจการใช้ดุลยพินิจ ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่มีอำนาจคุมขัง บุคคล มีเพียงอำนาจริบยาเสพติด ยกเว้นมีข้อบ่งชี้ว่ามีเจตนาจัดหาสารเสพติด แบบการผันตัวโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ คือ การมีไว้ในครอบครองเป็นความผิดอาญาแต่ออก นโยบายใช้วิธีการบังคับทางเลือกอื่นแทนการจำคุก เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถใช้ดุลยพินิจระบุลักษณะ ความผิดและตัดสินใจเลือกวิธีการบังคับหรือส่งต่อไปยังเจ้าหน้าที่อาวุโสเพื่อการประเมินเฉพาะทาง ณ สถานีตำรวจได้ หรือกรณีวิธีการบังคับจะไม่ใช้กระบวนการทางศาล แต่จะใช้วิธีอื่นแทน เช่น ริบทรัพย์ ตักเตือน ค่าปรับ วิธีทางปกครองอื่น เสนอให้เข้าสถานบำบัดรักษา การลดอันตรายและการ บริการทางสังคม แบบการผันตัวโดยงานยุติธรรม คือ การมีไว้ในครอบครองเป็นความผิดอาญาแต่ออกนโยบาย หรือมาตรการทางกฎหมายให้ทางเลือกใช้วิธีการอื่นบังคับแทนการจำคุก โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถ จับกุมบุคคลที่มียาเสพติดไว้ในครอบครองได้แต่ในกระบวนการของศาล เจ้าหน้าที่ศาลมีดุลยพินิจ ในการส่งต่อบุคคลไปรับการรักษาหรือ ใช้วิธีบังคับอื่นที่มิใช่ทางอาญาในเฉพาะกรณีการเสพยาเสพติด เช่น การริบ ตักเตือน ค่าปรับ เสนอส่งตัวต่อไปเพื่อรับบริการด้านการรักษา ด้านการลดอันตราย และด้านสังคม นอกจากนี้จากการศึกษาแนวคิดการลดทอนความเป็นอาชญากรรมสำหรับการใช้ในทาง การแพทย์(Decriminalizationfor Medical Use Only) กล่าวคือ รัฐที่มีการลดทอนความเป็น อาชญากรรมของกัญชาที่มีวัตถุประสงค์ในทางการแพทย์ เช่น ลดทอนความผิดฐานครอบครอง การจำหน่าย ขนส่ง และการเพาะปลูกสำหรับการใช้กัญชาในทางการแพทย์ และแนวคิดการทำให้ กัญชาถูกกฎหมายโดยการควบคุมของรัฐ (Legalization for Recreation Use and Medical Use) คือ รัฐที่กำหนดให้กัญชาถูกกฎหมาย ในความผิดฐานครอบครอง จำหน่าย ขนส่ง และการเพาะปลูก กฎหมายของรัฐบาลกลางกำหนดให้กัญชาผิดกฎหมายตามพระราชบัญญัติควบคุมสารเสพติด ค.ศ.1970 (Controlled Substances Act of 1970) โดยกฎหมายดังกล่าวจัดให้กัญชาเป็นยาเสพติดประเภท 1 (Schedule I) กล่าวคือ เป็นยาเสพติดชนิดร้ายแรงซึ่งมีความเสี่ยงต่อการใช้ในทางที่ผิดสูงและไม่มี ประโยชน์ในทางการแพทย์แต่อย่างใด จากการใช้แนวคิดการลดทอนความเป็นอาชญากรรมของ กัญชา (Decriminalize) มีการอนุญาตให้ใช้ประโยชน์จากกัญชาในลักษณะเพื่อผ่อนคลาย (Recreation use) หรือใช้กัญชาในทางการแพทย์ (Medical Use) ซึ่งอยู่ภายใต้มาตรการควบคุม ของแต่ละรัฐ (ชลิดา อุปัญญ์, 2561 หน้า 4) ทั้งนี้ จากการที่กัญชาเป็นยาเสพติดที่มีการแพร่ระบาด มากที่สุด แต่อัตราการเสพติดไม่รุนแรง โดยบางประเทศได้นำมาใช้เพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ ในหลายประเทศได้มีการขับเคลื่อนในการจัดการปัญหาการแพร่ระบาดของกัญชาที่แตกต่าง กันไป แล้วแต่บริบทของสังคมและวัฒนธรรมของแต่ละประเทศ โดยอาจมีการกำหนดมาตรการ ที่แตกต่างกันไป เช่น การลดทอนความเป็นอาชญากรรม (Decriminalization) ซึ่งเป็นการกำหนดให้ การกระทำบางอย่างซึ่งเคยผิดกฎหมาย ให้ไม่ผิดกฎหมายหรือไม่มีบทลงโทษ การลดโทษ ซึ่งเป็น มาตรการลดความรุนแรงของการลงโทษผู้กระทำฝ่าฝืนกฎหมาย การกำหนดให้เป็นกฎหมาย (Legalization) ซึ่งเป็นมาตรการกำหนดให้การกระทำซึ่งมักจะหมายถึง การผลิต การจัดหา การกระจายยาเสพติด ซึ่งแต่เดิมห้ามมิให้กระทำ ให้สามารถดำเนินการได้โดยไม่ผิดกฎหมาย แต่อยู่ ภายใต้การต้องได้รับอนุญาต และมีกฎระเบียบควบคุมไว้ด้วย การตรากฎหมาย (Legal Regulation)
81 ให้มีข้อกำหนด กฎหรือข้อจำกัดในการผลิต จัดหา ครอบครอง และการเสพ เป็นต้น ดังนั้น การจัดการกับกัญชาในภาพรวมของโลกปัจจุบัน จึงมีความชื่นชอบทั้งในมิติด้านสังคม วัฒนธรรม การแพทย์ และสาธารณสุข แตกต่างกันในแต่ละบริบทของสังคม และเป็นสิ่งที่แต่ละสังคมเลือกที่จะ ควบคุมและใช้ประโยชน์จากกัญชาโดยที่ไม่ก่อให้เกิดผลกระทบด้านลบต่อประชาชนและสังคมของตน ทางด้านการปกครอง จากแนวคิดทฤษฎีทางกฎหมายปกครอง รัฐเสรีนิยมประชาธิปไตย จะมีแนวคิดพื้นฐานที่สำคัญ 2 ประการ คือ หลักการปกครองแบบประชาธิปไตย และหลักการ ปกครองภายใต้กฎหมายหรือหลักนิติรัฐ ทั้งนี้เพื่อให้เป็นไปตามกลไกในการควบคุมการใช้อำนาจรัฐ ไม่ให้การใช้อำนาจขององค์กรในรัฐขัดต่อกฎหมาย หรือละเมิดสิทธิของประชาชน ด้วยเหตุนี้หลักการ ปกครองภายใต้กฎหมาย หรือหลักนิติรัฐในภาพรวมจึงหมายรวมถึง การกระทำของรัฐหรือองค์กร ในรัฐทุกองค์กร ไม่วาจะเป็นการใช้อำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหารหรืออำนาจตุลาการ และรวมถึง การใช้อำนาจทางปกครองนั้นจะต้องชอบด้วยกฎหมาย และหากมีการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เกิดขึ้นจะต้องมีการเพิกถอนการกระทำนั้น และหากมีความเสียหายเกิดขึ้นก็จะต้องมีการเยียวยา ในความเสียหายดังกล่าว หลักนิติรัฐ (Legal State) ประกอบด้วยหลักการกระทำของรัฐต้องชอบด้วยกฎหมาย เพราะฉะนั้นการควบคุมความชอบด้วยกฎหมาย ต้องมีองค์กรที่ควบคุมและกำกับความชอบด้วย กฎหมายหรือมีระบบ Check and balance ให้องค์กรต่าง ๆ นั้นอยู่ภายใต้หลักนิติรัฐ (Legal State) กล่าวคือ หลักการกระทำของรัฐต้องชอบด้วยกฎหมาย ไม่วาจะเป็นการกระทำของรัฐสภา การกระทำ ของรัฐบาล การกระทำของฝ่ายปกครอง หรือเป็นการกระทำของศาล จะต้องชอบด้วยกฎหมาย โดยอาศัย หลักความมาก่อนของกฎหมาย คือ การกระทำของรัฐที่อยู่ในรูปของบทบัญญัติของ กฎหมายย่อมมาก่อนการกระทำของรัฐต่าง ๆ รวมถึงการกระทำของฝ่ายปกครอง ดังนั้น การกระทำ ของรัฐต่าง ๆ รวมถึงการกระทำใดของฝ่ายปกครองที่ขัดต่อบทบัญญัติของกฎหมายยอมถือเป็นการ กระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย หลักเงื่อนไขของกฎหมาย คือ การกระทำของรัฐต้องมีกฎหมายให้ อำนาจไว้โดยเฉพาะการกระทำของรัฐที่กระทบต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชน หากไม่มีกฎหมายให้ อำนาจ ยอมถือเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย หลักความแน่นอนของกฎหมาย ได้แก่ หลัก ความชัดเจนของกฎหมายที่ต้องบัญญัติกฎหมายให้มีความชัดเจนเพียงพอที่ประชาชนจะสามารถ ทราบถึงสิทธิหน้าที่ของตนในสภาพการณ์ของกฎหมายว่าควรจะปฏิบัติเช่นไรจึงจะมิให้ละเมิด กฎหมาย หลักคุ้มครองความสุจริต ฝ่ายปกครองต้องชั่งน้ำหนักระหว่างประโยชน์สาธารณะที่ได้จาก การเพิกถอนนิติกรรมทางปกครองกับประโยชน์ของเอกชนผู้ที่เชื่อโดยสุจริตว่านิติกรรมทางปกครอง นั้นออกโดยชอบด้วยกฎหมายก็ควรคุ้มครองเอกชนผู้กระทำการโดยสุจริต หลักความเสมอภาค (Equality before the Law) ถือเป็นหลักการทั่วไปที่ป้องกันไม่ให้ฝ่ายปกครองเลือกปฏิบัติ เช่น ความเสมอภาคในการเข้าถึงบริการสาธารณะ ความเสมอภาคในการสมัครเข้ารับราชการ ความเสมอภาคในการใช้สาธารณสมบัติของแผ่นดิน ความเสมอภาคในการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม หลักแห่งความได้สัดส่วน (Proportionality) รัฐต้องมีอำนาจจำกัดสิทธิเสรีภาพของ ผู้อยู่ใต้อำนาจ เพียงเท่าที่พอเหมาะ หลักความเป็นกลาง ห้ามมิให้ผู้มีอำนาจสั่งการวินิจฉัยสั่งการมีส่วนได้เสียในเรื่อง นั้น ๆ เช่น ผู้บังคับบัญชาที่พิจารณาความดีความชอบมีคำสั่งขึ้นเงินเดือนเป็นกรณีพิเศษแก่ ผู้ใต้บังคับบัญชาที่เป็นน้องชายตนเอง ถือเป็นการกระทำทางปกครองที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
82 หลักสิทธิป้องกันตนเอง หรือหลักการฟังความสองฝ่าย (Audi alterampartem) ให้สิทธิแก่บุคคล ที่จะได้รับผลกระทบจากคำสั่งได้รับทราบเหตุผลของการสั่งการข้อเท็จจริงข้อกฎหมายที่เป็นเหตุผล ของคำวินิจฉัย เปิดโอกาสให้การแก้ข้อกล่าวหาและแสดงหลักฐานและให้เวลาพอสมควรที่จะเข้าใจ ข้อหาและเตรียมคำให้การแก้ข้อกล่าวหาและพยานหลักฐานสนับสนุนคำให้การได้อย่างเต็มที่ หลักความไม่มีผลใช้บังคับย้อนหลังของการกระทำทางปกครอง หลักกฎหมายไม่มีผลย้อนหลังถือเป็น หลักการทั่วไปที่ป้องกันไม่ให้กระทบสิทธิของประชาชนโดยไม่รู้ล่วงหน้า ห้ามมิให้ออกกฎหมายมีผล ย้อนหลัง กับกรณีที่เกิดขึ้นมาแล้วโดยเฉพาะการย้อนหลังให้เป็นโทษ หลักไม่มีกฎหมาย ไม่มีความผิด ไม่มีโทษ ความสำคัญของหลักนี้ คือ เป็นหลักประกันในกฎหมายอาญา และยังใช้กับกรณีโทษปรับ ทางปกครอง โทษทางวินัยและข้อบังคับขององค์กรวิชาชีพด้วย การกำหนดโทษจะต้องกระทำโดย กฎหมายลายลักษณ์อักษรที่ผ่านกระบวนการของรัฐสภาเท่านั้นไม่อาจจะกระทำโดยกฎหมายจารีต ประเพณีได้ และต้องมีความชัดเจนแน่นอน ประชาชนจะได้ทราบว่าพฤติกรรมเช่นไรที่กฎหมายบัญญัติ เป็นความผิด และควรจะปฏิบัติตนอย่างไร และห้ามมิให้ออกกฎหมายย้อนหลังไปลงโทษหรือเพิ่มโทษ ยกเว้นจะเป็นคุณแก่ผู้กระทำความผิด ซึ่งหลักดังกล่าวได้บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ.2499 มาตรา 2 และมาตรา 3 นอกจากนี้ในทางปกครอง จะต้องมีหลักความสูงสุดของรัฐธรรมนูญ ในฐานะที่รัฐธรรมนูญ เป็นกฎหมายสูงสุด โดยมาจากรากฐานแนวคิดจากแนวคิดรัฐธรรมนูญนิยม (Constitutionalism) ที่ให้รัฐธรรมนูญเป็นสัญญาประชาคม เป็นกรอบวิถีชีวิตทางการเมือง จัดตั้งองค์กรทางการเมือง แบ่งแยกอำนาจการใช้อธิปไตย และถ่วงดุลอำนาจระหว่างองค์กรจากอำนาจรัฐ และคุ้มครองเสรีภาพ ของประชาชน จึงทำให้รัฐธรรมนูญอยู่ในฐานะสูงสุด กฎหมายใดจะขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญไม่ได้ ผลจากการที่แนวคิดนิติรัฐถูกใช้เป็นเครื่องมือในการควบคุมความชอบด้วยกฎหมายของการใช้อำนาจ ทุกอำนาจขององค์กรต่าง ๆ หลักนิติรัฐจึงประกอบด้วยหลักการย่อยหลายประการทั้งนี้เพื่อให้ สอดคล้องกับลักษณะของอำนาจที่หลักนิติรัฐเข้าไปควบคุม เนื่องจากการใช้อำนาจ ทางปกครอง ของฝ่ายบริหาร หรือการใช้อำนาจทางปกครองขององค์กรอื่น ๆ ตามรัฐธรรมนูญ โดยหลักทั่วไปแล้ว การใช้อำนาจทางปกครองเหล่านี้ก็ต้องอยู่ภายใต้หลักนิติรัฐที่ถูกควบคุมโดยศาลปกครอง โดยการ ตัดสินข้อพิพาทระหว่างรัฐกับประชาชน ซึ่งการใช้อำนาจของศาลปกครองดังกล่าวก็จะต้องถูกควบคุม ให้อยู่ภายใต้หลักนิติรัฐเช่นเดียวกัน ซึ่งในที่นี้หมายความรวมถึงการที่ศาลปกครองต้องผูกพันการใช้ อำนาจของตนภายใต้หลักการย่อยต่าง ๆ ภายใต้หลักนิติรัฐ อาทิเช่น หลักประกันในการคุ้มครองสิทธิ เสรีภาพ หลักความชอบด้วยกฎหมายของฝ่ายตุลาการ หลักความสูงสุดของรัฐธรรมนูญ ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 มาตรา 25 มาตรา 26 มาตรา 29 ในส่วนแนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกับกัญชาในทางกฎหมายอาญา คือ ทฤษฎีการควบคุม อาชญากรรม (Crime Control Model) มีรูปแบบที่เน้นการส่งเสริมประสิทธิภาพของกระบวนการ ยุติธรรม โดยมุ่งที่การควบคุม ระงับ และปราบปรามอาชญากรรมเป็นสำคัญ โดยมองว่าการควบคุม อาชญากรรมเป็นหลักการที่สำคัญที่สุดของกระบวนการยุติธรรมทางอาญา กระบวนการยุติธรรม ต้องสม่ำเสมอไม่หยุดชะงัก มีลักษณะรวบรัดและมีประสิทธิภาพ ส่วนสิทธิของผู้ต้องหา ตามทฤษฎีนี้ มีความมุ่งหวังที่จะปราบปรามอาชญากรรมหรือจับกุมอาชญากรรมมาลงโทษ หากเจ้าหน้าที่ไม่สามารถ นำตัวอาชญากรรมมาลงโทษได้แล้ว จะส่งผลกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพของประชาชนในสังคม
83 กระบวนการยุติธรรมรูปแบบการควบคุมอาชญากรรมจึงปรากฏสถิติการจับกุมผู้กระทำความผิดสูง ซึ่งสัมพันธ์กับความมุ่งหมาย คือ ขั้นตอนในกระบวนการยุติธรรมต้องรวดเร็วและเด็ดขาด มีประสิทธิภาพและต้องยอมรับว่าการค้นหาข้อเท็จจริงในชั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจและพนักงานอัยการนั้น เพียงพอที่จะให้ความเชื่อถือว่าสามารถจะวินิจฉัยความถูกผิดของขั้นตอนได้ (ประธาน วัฒนวาณิชย์, 2550:151) และทฤษฎีความชอบด้วยกระบวนการทางกฎหมาย (Due Process Model) หมายความได้ว่า หลักกระบวนการนิติธรรม หรือหลักกระบวนการที่ถูกต้องตามกฎหมาย เป็นหลักกฎหมายที่พัฒนาขึ้น ในประเทศสหรัฐอเมริกา ได้รับอิทธิพลแนวความคิด จากการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชน โดยมีรากฐานมาจากประเทศอังกฤษ ซึ่งปรากฏครั้งแรกในกฎบัตรแมกนาคาร์ตา ค.ศ.1354 สมัยพระ เจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 3 แห่งอังกฤษ มีลักษณะเป็นการให้หลักประกันแก่ประชาชนว่า ไม่มีผู้ใดจะล่วงละเมิด สิทธิเสรีภาพของประชาชนได้ เว้นแต่ โดยวิถีทางที่ถูกต้องและชอบธรรมตามกฎหมายเท่านั้น หรือมี ชื่อเรียกในภาษาไทยว่า “รูปแบบที่ยึดกฎหมายเป็นสำคัญ” หลัก Due Process Model ในรัฐธรรมนูญของสหรัฐอเมริกา ได้บัญญัติรับรองไว้ใน บทบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมฉบับที่ 5 และบทบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมฉบับที่ 14 ซึ่งวางหลักไว้ว่า รัฐจะเพิก ถอน ลิดรอน หรือกระทำการใด ๆ อันมีผลกระทบต่อสิทธิในชีวิต เสรีภาพและทรัพย์สินของบุคคล โดยปราศจากกระบวนการที่ถูกต้องตามกฎหมายไม่ได้เป็นหลักที่ให้บุคคลได้มีโอกาสเข้าสู่ กระบวนการไต่สวน หรือกระบวนการพิจารณาคดีที่เหมาะสมและเป็นไปตามวิถีทางที่กฎหมาย กำหนดไว้ทฤษฎีนี้มุ่งเน้นที่กระบวนการและวิธีปฏิบัติในการรับรองและคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ ของผู้ต้องหาและจำเลยในกระบวนการยุติธรรม มากกว่าทฤษฎีการควบคุมอาชญากรรมที่มุ่งเน้น การปราบปรามและป้องกันอาชญากรรม ทฤษฎีกระบวนการยุติธรรมจะยึดกฎหมายเป็นหลักการ ดำเนินคดี ต้องกระทำตามรูปแบบและไม่เห็นด้วยกับการแสวงหาข้อเท็จจริงที่ไม่เป็นทางการ เน้นการ แสวงหาพยานหลักฐานที่เชื่อถือได้และชอบด้วยขั้นตอนตามที่กฎหมายบัญญัติ การกระทำของ เจ้าหน้าที่ตำรวจในการค้นหาความจริง แสวงหาพยานหลักฐานในคดีต้องดำเนินไปอย่างเป็นทางการ และมีการกระทำอย่างเปิดเผย สรุปได้ว่า การตีความและการยอมรับสิทธิประเภทต่าง ๆ ยังมีความ แตกต่างกันอยู่บ้าง เนื่องจากขึ้นอยู่กับรูปแบบของกระบวนการยุติธรรมทางอาญาทั้ง 2 ทฤษฎีข้างต้น โดยต่างมีเป้าหมาย คือ มุ่งรักษาความสงบเรียบร้อยและความปลอดภัยของสังคมโดยส่วนรวม เพียงแต่ส่วนที่แตกต่างคือวิธีการที่นำไปสู่เป้าหมายว่าให้ความสำคัญกับทฤษฎีใดมากกว่ากันระหว่าง ทฤษฎีการควบคุมอาชญากรรม หรือทฤษฎีความชอบด้วยกระบวนการยุติธรรมทางกฎหมายโดย ทฤษฎีควบคุมอาชญากรรมนั้นเน้นการส่งเสริมประสิทธิภาพกระบวนการยุติธรรม มุ่งเน้นการควบคุม การระงับและการปราบปรามเป็นหลัก ส่งผลให้มีสถิติการจับกุมผู้กระทำความผิดที่สูง การดำเนินการ ตามขั้นตอน เน้นความรวดเร็วและเด็ดขาด แต่หากยึดทฤษฎีการควบคุมอาชญากรรมมากเกินไป จะส่งผลให้สังคมยอมรับการกระทำที่มิชอบด้วยกฎหมายของเจ้าหน้าที่ได้ ซึ่งเป็นผลเสียต่อสิทธิ เสรีภาพของผู้ต้องหาที่อาจถูกละเมิด ส่วนทฤษฎีกระบวนการยุติธรรมนั้นเน้นในแง่การคุ้มครองสิทธิ มากกว่ายึดหลักกฎหมายหรือหลักนิติธรรม ไม่ว่าจะเป็นหลักที่ว่าบุคคลจะไม่ถูกกล่าวหาว่าประกอบ อาชญากรรม เพียงเพราะมีพยานหลักฐานว่าเขาได้กระทำการเช่นนั้น แต่จะมีความผิดต่อเมื่อผู้มี อำนาจทางกฎหมายที่เป็นกลางได้พิจารณาและชี้ขาดแล้วว่าผิดจริง และการพิจารณาชี้ขาดต้อง กระทำโดยเปิดเผย ไม่เข้าข้างฝ่ายใด ที่สำคัญคือผู้มีอำนาจพิจารณาพิพากษาต้องพิจารณาว่าสิทธิ
84 อันเป็นธรรมของบุคคลนั้นได้ถูกยอมรับโดยองค์กรของกระบวนการยุติธรรมอย่างถี่ถ้วน ไม่ว่าจะเป็น การจับกุม การค้น และการยึด เพื่อหาพยานหลักฐานมาพิสูจน์ความผิดหรือความบริสุทธิ์ของผู้ต้องหา แต่มีข้อเสีย คือ หากมุ่งคำนึงถึงสิทธิเสรีภาพของผู้ต้องหามาเกินไป อาจส่งผลให้อาชญากรรอดพ้นจาก การถูกลงโทษได้ ในส่วนประเด็นที่ว่ามีประเทศใดที่ใช้เพียงรูปแบบใดรูปหนึ่งหรือไม่นั้น อาจกล่าว ได้ว่า โดยส่วนมากมักจะใช้ทั้งสองรูปแบบประสานกัน จะต่างกันเพียงว่าจะให้ความสำคัญต่อทฤษฎีใด มากกว่า เนื่องจากการดำเนินคดีอาญาของประเทศใดก็ตามต้องประกอบไปด้วยความขัดแย้งระหว่าง ประโยชน์ของรัฐและประโยชน์ของเอกชนอยู่ตลอดเวลา ประโยชน์ของรัฐ คือ ความสงบเรียบร้อย ภายในรัฐ ส่วนประโยชน์ของเอกชนคือ สิทธิและเสรีภาพของบุคคล (ประธาน วัฒนวาณิชย์, 2550, หน้า 153) จากการศึกษาแนวคิดทฤษฎีต่าง ๆ รวมถึงงานวิจัยที่เกี่ยวกับกัญชา พบว่าแม้กัญชาจะมี ประโยชน์ในทางการแพทย์ แต่ก็พบว่ามีโทษเช่นกัน และตามอนุสัญญาที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด ยังคงให้กัญชาเป็นยาเสพติดที่มีพิษร้ายแรง ประเทศส่วนใหญ่ โดยเฉพาะประเทศอยู่ใกล้กับประเทศไทย เช่น มาเลเซีย และสิงค์โปร์ ต่างก็มีการบัญญัติให้กัญชาเป็นยาเสพติดชนิดร้ายแรง การผลิต นำเข้า ส่งออก จำหน่าย ครอบครอง เสพ กฎหมายกำหนดไว้ว่าเป็นความผิดและมีบทกำหนดโทษไว้รุนแรง ตั้งแต่จำคุกหรือปรับ จนกระทั่งถึงประหารชีวิต แม้จะมีบางประเทศที่กัญชาถูกนำมาใช้เพื่อการแพทย์ และสันทนาการ ซึ่งในปัจจุบันมีเพียง 3 ประเทศ คือ ประเทศแคนาดา อุรุกวัย และเม็กซิโก เท่านั้น ส่วนประเทศที่กัญชาถูกนำมาใช้ทางการแพทย์ เช่น ประเทศออสเตรเลีย การนำกัญชามาใช้ในทาง การแพทย์นั้น ได้มีกฎหมายกำหนดคุณสมบัติของผู้ป่วยที่จะใช้กัญชาไว้อย่างชัดเจนว่า อนุญาตให้ใช้ กัญชาเฉพาะในผู้ป่วยระยะสุดท้ายของชีวิตในบางรัฐ ประเทศออสเตรเลีย (Australia) เป็นภาคีสมาชิกในอนุสัญญาเดียวว่าด้วยยาเสพติด ค.ศ.1961 เช่นเดียวกับประเทศไทย เป็นประเทศที่มีกฎหมายยาเสพติด คือ Narcotic Drugs Act 1967 ซึ่งจำกัดการใช้ หรือ ครอบครองกัญชา การกำหนดใบอนุญาตให้ใช้กัญชาในทางการแพทย์และการ วิจัย (Medical Cannabis Licences and Cannabis Research Licences and Permit) รวมถึง จัดทำโครงการอนุญาตให้ผู้ป่วยในระยะสุดท้ายของชีวิตใช้กัญชารักษาอาการได้ ตลอดจนมีนโยบาย ให้เอกชนปลูกกัญชาเพื่อวิจัยอันมีวัตถุประสงค์ในทางการแพทย์เพื่อเปิดโอกาสให้ผลิตยารักษาอาการ ป่วยรุนแรงภายในประเทศออสเตรเลีย แต่ประเทศออสเตรเลียยังถือว่ายาเสพติดเป็นอาชญากรรม (Criminalisation) และใช้มาตรการลดอันตรายจากการใช้ยา (Harm-Minimisation Strategies) ควบคู่กัน ปัจจุบันประเทศออสเตรเลียได้มีนโยบายหลีกเลี่ยงการลงโทษในคดียาเสพติดโดยเน้นการ พัฒนามาตรการลดอันตรายจากการใช้ยาเสพติด (Harm-Minimisation Strtegies) และกระบวนการ บำบัดรักษา (Treatment Framework) แต่การส่งออกกัญชาในทางการค้ายังคงเป็นสิ่งผิดกฎหมาย มาตรการลดอันตรายจากการใช้ยา (Harm-Minimisation Strategies) ของประเทศ ออสเตรเลีย มีจุดมุ่งหมายที่จะจัดการปัญหาการใช้เครื่องดื่มแอลกอฮอล์และยาเสพติดชนิดอื่น เพื่อลด อันตรายที่จะเกิดขึ้นจากการใช้เครื่องดื่มแอลกอฮอล์และยาเสพติดของปัจเจกชนและสังคม ซึ่งมาตรการนี้จะพิจารณาในเรื่องปัญหาด้านสุขภาพ สังคม และเศรษฐกิจทั้งหมดของผู้ใช้ยาเสพติด ในปัจจุบันกระทรวงสาธารณสุขของประเทศออสเตรเลีย มีนโยบายออกใบอนุญาตให้เอกชนปลูก กัญชา เพื่อวัตถุประสงค์ในทางการแพทย์ เพื่อเปิดโอกาสให้ผลิตยารักษาอาการป่วยรุนแรง
85 ภายในประเทศ เพื่อให้ผู้ป่วยเข้าถึงผลิตภัณฑ์จากกัญชาได้ง่ายมากขึ้น โดยมีมาตรการเฝ้าระวังความ ปลอดภัยของชุมชนไว้อย่างเข้มงวด แต่การใช้กัญชาเพื่อความหย่อนใจ (Recreation Use) ยังคงผิด กฎหมายเช่นเดิม ด้วยประเทศออสเตรเลียเป็นรัฐภาคีและลงนามในอนุสัญญาเดี่ยวว่าด้วยยาเสพติด ค.ศ.1961 (Single Convention on Narcotic Drug 1961) ตามอนุสัญญานี้ มีข้อผูกพันให้ภาคีสามารถใช้ กัญชาได้เฉพาะในทางการแพทย์ เท่านั้น ในการศึกษามาตรการทางกฎหมายและกฎเกณฑ์การใช้ กัญชา ศึกษาเฉพาะมาตรการทางกฎหมายของมลรัฐนิวเซาท์เวลส์ เนื่องจากเป็นรัฐที่มีนโยบาย อนุญาตให้ผู้ป่วยใช้กัญชาในทางการแพทย์เพื่อเป็นแนวทางในการกำหนดหลักเกณฑ์ เงื่อนไขและ วิธีการในการอนุญาตให้ใช้ประโยชน์จากกัญชา มลรัฐนิวเซาท์เวลส์ (New South Wales, Australia) การใช้และการเพาะปลูกกัญชาที่ไม่ได้รับอนุญาตเป็นสิ่งผิดกฎหมายตามกฎหมายยาเสพติด (Narcotic Drugs Act 1967) คณะกรรมาธิการรัฐสภาของรัฐนิวเซาท์เวลส์ (NSW) เสนอให้ใช้กัญชาเพื่อ วัตถุประสงค์ในทางการแพทย์สำหรับผู้ป่วยระยะสุดท้ายของชีวิตและสนับสนุนให้การใช้กัญชากัญชา ที่มีพื้นฐานตามหลักเภสัชวิทยาเป็นสิ่งที่ถูกต้องตามกฎหมาย คณะกรรมาธิการได้ขอความเห็นชอบ จากรัฐบาลกลางออสเตรเลีย โดยเสนอโครงการอนุญาตให้ผู้ป่วยครอบครองกัญชาได้ 15 กรัม ต่อมา รัฐบาลกลางเห็นชอบตามโครงการดังกล่าว แต่ไม่เห็นชอบกับการอนุญาตให้ใช้กัญชาในผู้ป่วยที่มี อาการปวดเรื้อรัง (Chronic Pain) หรือการปลูกกัญชาเพื่อใช้ส่วนบุคคล เป็นการวางหลักการที่ชัดเจน นอกจากนี้ทั้งผู้ป่วยและผู้ดูแลผู้ป่วยจะต้องได้รับใบรับรองจากผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ และลงทะเบียนกับกระทรวงสาธารณสุข ตลอดจนต้องพกบัตรประจำตัวผู้ป่วย รัฐบาลกลางออสเตรเลีย ประกาศว่าจะทำให้การปลูกกัญชาที่มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้ในทางการแพทย์และด้านวิทยาศาสตร์ เป็นสิ่งที่ถูกต้องตามกฎหมาย และรัฐสภาออสเตรเลียได้มีการแก้ไขกฎหมายยาเสพติดที่ทำให้การปลูก กัญชาที่มีวัตถุประสงค์ด้านการแพทย์และการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ขึ้น โดยสำนักงานควบคุมยาเสพติด กระทรวงสาธารณสุขได้ออกใบอนุญาตให้วิจัยกัญชาเพื่อวัตถุประสงค์ในทางการแพทย์ โดยมีการ กำหนดคุณสมบัติของผู้ป่วยและผู้ดูแลจะต้องเป็นบุคคลที่อาศัยอยู่ในมลรัฐนิวเซาท์เวลส์ มีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป เป็นบุคคลที่เจ็บป่วยด้วยโรคเรื้อรังในระยะสุดท้ายของชีวิตและได้ลงทะเบียนตาม หลักเกณฑ์ที่รัฐกำหนด โดยบุคคลที่บรรลุนิติภาวะที่อาจจะได้รับคัดเลือกให้เป็นผู้ดูแลโดยจะต้อง ลงทะเบียนภายใต้ข้อกำหนดของรัฐและผู้ดูแลอาจได้รับคัดเลือกให้ดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายจำนวน สูงสุดไม่เกิน 3 ราย และผู้อนุญาตให้การรับรอง (Certification) การขึ้นทะเบียนภายใต้กฎเกณฑ์นี้ คือ แพทย์เวชปฏิบัติผู้ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนในประเทศออสเตรเลียและเป็นแพทย์ที่รักษาผู้ป่วย อย่างต่อเนื่องและจะต้องเป็นผู้รับรองว่าผู้ป่วยดังกล่าวเป็นผู้ป่วยระยะสุดท้าย (terminal illness) ตามหลักเกณฑ์ที่รัฐกำหนด ในการลงทะเบียน (Registration) ผู้ป่วยจะต้องลงทะเบียนโดยการกรอก รายละเอียดข้อมูลส่วนตัวลงในแบบฟอร์มที่กำหนดไว้ (Part A) ให้สมบูรณ์ จากนั้นส่งไปให้หน่วยงาน ของรัฐต่อไป (NSW Department of Justice) ภายหลังการลงทะเบียนเรียบร้อยรัฐจะทำการจัดส่ง เอกสารการขึ้นทะเบียนเป็นผู้ป่วยและเอกสารการขึ้นทะเบียนของผู้ดูแลกลับมาเพื่อให้ใช้แสดงตน เมื่อได้รับการร้องขอจากเจ้าหน้าที่ตำรวจต่อไป ถือว่าประเทศออสเตรเลีย ได้วางหลักเกณฑ์เกี่ยวกับ กัญชาซึ่งเป็นยาเสพติดให้โทษไว้ในกฎหมายอย่างชัดเจน ว่าผู้ที่จะใช้กัญชาได้จะต้องมีคุณสมบัติ อย่างไร และมีมาตรการทางสังคมควบคุมการใช้อย่างชัดเจน แต่ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ระบุ
86 ชื่อยาเสพติดให้โทษประเภท 5 พ.ศ.2565 ลงวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2565 ไม่ได้ระบุหลักเกณฑ์เกี่ยวกับ กัญชาหรือกัญชงไว้ชัดเจนเช่นกฎหมายของประเทศออสเตรเลีย อีกทั้งประกาศกระทรวงฉบับข้างต้น ไม่ได้ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า กัญชาหรือกัญชงเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 5 ดังเช่นประกาศกระทรวง สาธารณสุขที่ออกตามความในพระราชบัญญัติยาเสพติด พุทธศักราช 2522 แต่มีการระบุแต่เพียงว่า สารสกัดเตตราไฮโดรแคนนาบินอล (Tetrahydrocannabinol:THC) ที่ได้จากกัญชาหรือกัญชง ตามปริมาณที่กำหนดในประกาศ คือ เกินกว่าร้อยละ 0.2 ของน้ำหนัก เป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 5 สารเตตราไฮโดรแคนนาบินอล (Tetrahydrocannabinol:THC)หรือ “สารเมา” เป็นสารที่ออกฤทธิ์ ต่อจิตและประสาท โดยสารนี้จะสกัดออกมาได้พร้อมกับสาร CBD ตอนสกัดกัญชา หากร่างกายได้รับ สารเตตราไฮโดรแคนนาบินอลมากเกินไป อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อร่างกาย โดยอาการที่เกิดขึ้น คือ ความดันโลหิตเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง ใจสั่น สติแปรปรวนประสาทหลอน เกิดภาพหลอน หูแว่ว หวาดระแวง แพนิค ความจำระยะสั้นแย่ลง สมองทำงานแย่ลงโดยกะทันหัน มีผลอย่างมากต่อระบบ สมอง โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กที่มีอายุน้อยกว่า 25 ปี โดยมีผลทั้งด้านความจำ และปริมาณเนื้อสมอง ที่จะลดลงถึงร้อยละ 10 ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคจิตเวช หรือมีประวัติครอบครัว เพิ่มความเสี่ยง เกิดอาการประสาทหลอนอย่างถาวรสูงถึงร้อยละ 20 อาการดังกล่าวเมื่อเกิดขึ้นแล้ว แม้จะหยุดการ บริโภคไปแล้ว อาการก็อาจจะไม่ดีขึ้น (โรงพยาบาลศิครินทร์,2565 หน้า 1) การกำหนดปริมาณสารเตตราไฮโดรแคนนาบินอล ไม่ให้เกิน 0.2 ของน้ำหนักสารสกัด ให้ไม่ถือว่าเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 5 ก็เพื่อประโยชน์ให้ผู้ที่จำเป็นจะต้องใช้สารสกัดจากกัญชา หรือกัญชงในการรักษาอาการป่วย แต่หากปริมาณสารเตตราไฮโดรแคนนาบินอลเกินกว่า 0.2 ของ น้ำหนักไม่ถือว่ามีไว้เพื่อรักษาอาการป่วย หากมีผู้ครอบครองส่วนใดส่วนหนึ่งของกัญชาหรือกัญชง ที่สามารถสกัดเป็นสารเสพติดปริมาณเกินกว่าที่กำหนดในประกาศจะถือว่ามีความผิดตามประมวล กฎหมายยาเสพติดหรือไม่ การจำหน่าย เสพ กัญชาหรือกัญชง ในที่ต่าง ๆ จนเกิดผลกระทบต่อ ประชาชน ยังไม่มีมาตรการควบคุมที่ชัดเจน แม้ว่ากระทรวงสาธารณสุขจะได้ออกกฎกระทรวงกำหนด เกี่ยวกับการใช้กัญชา ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาทางการแพทย์แผนไทย พ.ศ.2542 และ พระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ.2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2560 เพื่อแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวแล้วก็ตาม และจากการศึกษายังไม่พบว่ามีประกาศกระทรวง สาธารณสุข ที่ออกตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2562 หรือ ประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ.2564 เรื่องที่กำหนดหลักเกณฑ์ของโรคที่จะใช้กัญชารักษา รวมถึงหลักเกณฑ์ในการควบคุมผู้ที่จะ ใช้กัญชาในการักษา ผู้ดูแล คำสั่งหรือหนังสือรับรองของเภสัชกรหรือแพทย์ รวมถึงการแจ้งข้อมูลต่าง ๆ แก่เจ้าหน้าที่รัฐ ดังเช่นประเทศออสเตรเลีย เพื่อเป็นมาตรการทางกฎหมายในการควบคุม การใช้ กัญชาหรือกัญชงเพื่อให้เกิดประโยชน์เฉพาะทางการแพทย์เท่านั้น คณะผู้วิจัยจึงมีความเห็นว่า มีความจำเป็นที่ต้องกำหนดหลักเกณฑ์ของโรคที่จะใช้กัญชาใน การรักษา รวมถึงหลักเกณฑ์ในการควบคุม ผู้ที่จะใช้กัญชาในการรักษา ผู้ดูแล คำสั่งหรือหนังสือ รับรองของเภสัชกรหรือแพทย์รวมถึงการแจ้งข้อมูลต่าง ๆ แก่เจ้าหน้าที่รัฐ ในการผลิต จำหน่าย ครอบครองหรือใช้กัญชาหรือกัญชง รวมถึงสารสกัดจากกัญชาและกัญชง โดยคณะผู้วิจัยจะได้นำเสนอ ไว้ในข้อเสนอแนะของบทที่ 5 ต่อไป
87 บทที่ 5 บทสรุปและข้อเสนอแนะ ในบทนี้ผู้วิจัยจะสรุปข้อมูลของปัญหาทางกฎหมายเกี่ยวกับประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ระบุชื่อยาเสพติดให้โทษ ประเภท 5 พุทธศักราช 2565 พร้อมยกข้อเสนอแนะในประเด็นต่าง ๆ ของปัญหา ซึ่งปัญหาดังกล่าวได้ศึกษาและวิเคราะห์ไว้ในบทที่ 4 โดยสรุป พร้อมยกข้อเสนอแนะ สำหรับการแก้ปัญหา มีรายละเอียดดังต่อไปนี้ 5.1 บทสรุป จากการศึกษาพบปัญหาที่เกิดขึ้นจากประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ระบุชื่อยาเสพติด ให้โทษประเภท 5 พ.ศ.2565 ลงวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2565 ให้อำนาจรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการ ป.ป.ส. ในการระบุชื่อ เพิกถอน หรือเปลี่ยนแปลงชื่อหรือประเภท ของยาเสพติดให้โทษ ซึ่งออกตามความในประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ.2564 มาตรา 29 วรรคสอง ซึ่งมีปัญหาดังต่อไปนี้ 5.1.1 ปัญหาผลกระทบจากประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ระบุชื่อยาเสพติดให้โทษ ประเภท 5 พ.ศ.2565 ลงวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2565 ข้อ 1(3) สถานะทางกฎหมายของกัญชาในปัจจุบัน กำหนดอยู่ในประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ระบุชื่อยาเสพติดให้โทษประเภท 5 พ.ศ.2565 ลงวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2565 ซึ่งออกตามความ ในประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ.2564 มาตรา 29 วรรคสอง อันมีลำดับศักดิ์ของกฎหมาย ต่ำกว่าในอดีต กล่าวคือ พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มีบทบัญญัติไว้ในมาตรา 2 (5) อย่างชัดเจน ในกฎหมายระดับพระราชบัญญัติว่า กัญชาเป็นยาเสพติดในโทษประเภท 5 แสดงให้เห็นว่า ประเทศไทยไม่ได้ให้ความสำคัญกับการบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับกัญชาเท่าที่ควร เนื่องจากกัญชา บังคับใช้ตามประกาศกระทรวงเท่านั้น ซึ่งประกาศกระทรวงมีสถานะทางกฎหมายต่ำกว่า พระราชบัญญัติดังนั้น สถานะหรือลำดับศักดิ์ของกฎหมายมีความสำคัญในระบบกฎหมายไทย กล่าวคือ การออกกฎหมายที่มีลำดับศักดิ์ต่ำกว่า ต้องสอดคล้องกับกฎหมายที่มีลำดับศักดิ์สูงกว่า หากการออกกฎหมายที่มีลำดับศักดิ์ต่ำกว่าออกมามีข้อความอันใดที่เป็นการขัดหรือแย้ง หรือฝ่าฝืน ต่อบทบัญญัติของกฎหมายหลักแล้ว จะมีผลให้กฎหมายที่มีลำดับศักดิ์ต่ำกว่านั้นมีผลใช้บังคับไม่ได้ ประกาศกระทรวงฉบับนี้ กำหนดให้เฉพาะสารสกัดจากทุกส่วนของพืชกัญชาหรือกัญชง ซึ่งเป็นพืชในสกุล Canabis ยกเว้นสารสกัดที่มีปริมาณสารเตตราไฮโดรแคนนาบินอล (Tetrahydrocannabinol:THC) ไม่เกินร้อยละ 0.2 โดยน้ำหนัก เฉพาะที่ได้รับอนุญาตให้สกัดจากพืช กัญชาหรือกัญชงที่ปลูกภายในประเทศ และสารสกัดจากเมล็ดของพืชกัญชาหรือกัญชง ที่ได้จากการ ปลูกในประเทศ ไม่เป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 อีกต่อไป ทำให้ประชาชนเกิดความเข้าใจว่า กัญชาหรือกัญชงนั้นไม่เป็นยาเสพติด ไม่ถูกควบคุมและสามารถนำไปใช้ได้อย่างเสรี ทำให้การเข้าถึง กัญชาของประชาชนง่ายขึ้น ทำให้ส่งผลต่อสุขภาพ และไม่ได้ถูกนำไปใช้ในทางการแพทย์