The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

หลักสูตรสถานศึกษากลุ่มสาระวิทย์-ป.1-ม.3 รร.คลองอุดม

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Thawatchai Boonjoy, 2022-09-17 03:05:10

หลักสูตรสถานศึกษากลุ่มสาระวิทย์-ป.1-ม.3

หลักสูตรสถานศึกษากลุ่มสาระวิทย์-ป.1-ม.3 รร.คลองอุดม

หลกั สูตรสถานศึกษา
กลมุ่ สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี

(ฉบับปรับปรุง พ.ศ.๒๕๖๐)

โรงเรียนบ้านคลองอดุ ม พทุ ธศักราช ๒๕๖๑
ตามหลักสตู รแกนกลางการศึกษาข้ันพืน้ ฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑

(ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ.๒๕๖๐)

สำนกั งานเขตพืน้ ท่ีการศึกษาประถมศึกษาฉะเชงิ เทรา เขต ๒

สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาข้นั พ้ืนฐาน
กระทรวงศกึ ษาธกิ าร

หลกั สูตรสถานศึกษากลุ่มสาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ๒

(ฉบับปรับปรงุ พ.ศ.๒๕๖๐) ตามหลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาขั้นพ้นื ฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑

ประกาศโรงเรยี นบ้านคลองอุดม
เร่ือง ใหใ้ ช้หลักสูตรโรงเรียนบ้านคลองอุดม พุทธศักราช ๒๕๕๓ (ฉบบั ปรับปรงุ พุทธศักราช ๒๕๖๑)

ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑
……………………………….

ตามทโ่ี รงเรียนบ้านคลองอุดม ได้ประกาศใชห้ ลกั สูตรโรงเรียนบ้านคลองอุดม พุทธศกั ราช ๒๕๕๓ โดย
เร่ิมใช้หลักสูตรดังกล่าวกับนักเรียนทุกระดับช้ันในปีการศึกษา ๒๕๕๓ ต่อมาในปีการศึกษา ๒๕๕๖ โรงเรียน
บ้านคลองอุดม ได้เพ่ิมรายวิชาเพิ่มเติมเพ่ือให้สอดคล้องรับกับนโยบายเร่งด่วนของรัฐมนตรีว่าการ
กระทรวงศกึ ษาธิการ เพื่อให้ผ้เู รียนพัฒนาทักษะกระบวนการคิด วิเคราะห์ มีเวลาในการทำกิจกรรมเพ่ือพฒั นา
ความรู้ ความสามารถและทักษะ การปลูกฝังคุณธรรมจริยธรรม การสร้างวินัย การมีจิตสำนึกรับผิดชอบต่อ
สงั คม ยดึ มั่น ในสถาบนั ชาตศิ าสนา พระมหากษตั ริย์ และมคี วามภาคภูมใิ จในความเป็นไทย ตลอดจนการเรยี น
การสอนในวิชาประวัติศาสตร์ และหน้าท่ีพลเมือง รวมถึงการสอนศีลธรรมแก่นักเรียน ปัจจุบันโรงเรียนบ้าน
คลองอุดม ได้ดำเนินการจัดทำหลักสูตรโรงเรียนบ้านคลองอุดม พุทธศักราช ๒๕๕๓ (ฉบับปรับปรุง
พุทธศกั ราช ๒๕๖๑) ขึ้นใหม่ เพอ่ื ให้สอดคล้องตามประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง การบริหารจัดการเวลา
เรียน และปรับมาตรฐานและตัวช้ีวัด สอดคล้องกับ คำสั่งสพฐ. ที่ ๑๒๓๙/๖๐ และประกาศ สพฐ.ลงวันที่ ๘
มกราคม ๒๕๖๑ เปน็ ที่เรียบรอ้ ยแล้ว

ทั้งน้ีหลักสูตรโรงเรียนได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน เมื่อวันท่ี
...................................... จึงประกาศให้ใชห้ ลักสตู รสถานศึกษาโรงเรียนบา้ นคลองอุดมตั้งแตบ่ ัดนี้เป็นต้นไป

ประกาศ ณ วันท่ี ........... เดือน ........................... พ.ศ. ๒๕๖๑

ลงชอ่ื ลงชอ่ื
(นายสมโภชน์ โพธ์ิลอย) (นางนชิ นนั ท์ หลุยใจบุญ)

ประธานคณะกรรมการสถานศกึ ษาขั้นพน้ื ฐาน ผู้อำนวยการโรงเรียนบา้ นคลองอุดม
โรงเรียนบ้านคลองอดุ ม
โรงเรียนบา้ นคลองอุดม
สำนักงานเขตพ้ืนท่ีการศกึ ษาประถมศกึ ษาฉะเชงิ เทรา เขต ๒

หลกั สูตรสถานศึกษากล่มุ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ๓

(ฉบับปรับปรุง พ.ศ.๒๕๖๐) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขัน้ พ้ืนฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑

คำนำ

หลักสูตรสถานศึกษากลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของโรงเรียนบ้านคลองอุดม
พุทธศักราช ๒๕๕๓ ฉบับปรับปรุง พุทธศักราช ๒๕๖๑ จัดทำโดยยึดหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน
พุทธศักราช ๒๕๕๑ เพื่อให้มีมาตรฐานการเรียนรู้เป็นข้อกำหนดคุณภาพผู้เรียน ท้ังด้านความรู้ ทักษะ/
กระบวนการ คุณธรรม จริยธรรม และค่านิยม มสี าระการเรยี นรู้เปน็ การกำหนดองค์ความรู้ที่เป็นเนือ้ หา สาระ
ท่คี รอบคลุมระดบั การศึกษา ในระดับช้ันประถมศึกษาถึงระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนตน้ ท้ังน้ี เพื่อเป็นกรอบและ
ทิศทางในการจัดการศึกษาเพ่ือพัฒนานักเรียนโรงเรียนบ้านคลองอุดม ให้มีความรู้ ความสามารถและมีทักษะ
กระบวนการคิด เป็นคนดี มีคุณธรรม และดำรงชีวติ ในสังคมได้อยา่ งเป็นสขุ และเปน็ ไปตามจดุ มงุ่ หมาย

การจัดทำหลักสูตรสถานศึกษา กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของโรงเรียนบ้านคลองอุดม
พุทธศักราช ๒๕๕๓ ฉบับปรับปรุง พุทธศักราช ๒๕๖๑ จะประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่คาดหวัง ได้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องท้ัง
บุคลากรในโรงเรียนต้องร่วมรับผิดชอบ ร่วมกันทำงานอย่างเป็นระบบ และต่อเน่ือง ในการวางแผนดำเนินการ ชุมชน ครอบครัว ให้
การส่งเสริมสนับสนนุ ตรวจสอบ ตลอดจนปรับปรุงแก้ไข เพอื่ พฒั นาผเู้ รยี นไปสคู่ ุณภาพตามมาตรฐานการเรียนรูท้ ี่กำหนด

โรงเรียนบ้านคลองอุดม ขอขอบคุณทุกท่านท่ีให้คำปรึกษา และแนะนำในการจัดทำหลักสูตร
สถานศึกษา หากมีสิ่งใดท่ีผิดพลาด บกพร่อง ทางคณะผู้จัดทำต้องขออภัยไว้ ณ ที่น้ี และยินดีพร้อมรับคำ
เสนอแนะอนั เป็นประโยชน์ เปน็ แนวทาง และนำมาปรับปรงุ ในโอกาสต่อไป

คณะผู้จดั ทำหลกั สูตร
กลุ่มสาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี

โรงเรยี นบ้านคลองอดุ ม
สำนักงานเขตพ้นื ท่ีการศกึ ษาประถมศกึ ษาฉะเชงิ เทรา เขต ๒

หลักสูตรสถานศึกษากลุ่มสาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ๔

(ฉบับปรบั ปรงุ พ.ศ.๒๕๖๐) ตามหลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาขน้ั พน้ื ฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑

สารบญั

เร่อื ง หนา้
คำนำ
สารบัญ
ตอนที่ ๑ บทนำ

ทำไมต้องเรียนวิทยาศาสตร์
เรียนรอู้ ะไรในวิทยาศาสตร์
สาระและมาตรฐานการเรียนรู้
คุณภาพผูเ้ รียน
ตวั ช้ีวัดและสาระการเรยี นรู้แกนกลาง
ตอนที่ ๓ คำอธบิ ายรายวชิ า / โครงสร้างรายวชิ า
คำอธิบายรายวิชา
โครงสรา้ งรายวชิ า
ตอนที่ ๔ เกณฑก์ ารวดั และประเมินผล เกณฑก์ ารจบหลักสูตร
เกณฑ์การวดั และประเมินผล
เกณฑ์การจบหลักสตู ร
บรรณานุกรม
ภาคผนวก

โรงเรยี นบ้านคลองอุดม
สำนักงานเขตพนื้ ท่ีการศึกษาประถมศกึ ษาฉะเชงิ เทรา เขต ๒

หลักสูตรสถานศกึ ษากลุ่มสาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ๕

(ฉบับปรับปรุง พ.ศ.๒๕๖๐) ตามหลักสตู รแกนกลางการศึกษาข้นั พื้นฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑

ส่วนนำ

วิสัยทัศนห์ ลกั สูตรสถานศกึ ษา พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๓ ฉบบั ปรับปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๑
หลักสูตรสถานศึกษา กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนบ้านคลองอุดม

พุทธศักราช ๒๕๕๓ ฉบับปรับปรุง พุทธศักราช ๒๕๖๑ ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน
พุทธศักราช ๒๕๕๑ โรงเรียนบ้านคลองอุดม มุ่งพัฒนาผู้เรียนทุกคน ซ่ึงเป็นกำลังของชาติให้เป็นมนุษย์ท่ีมีความ
สมดุลท้ังด้านร่างกาย ความรู้ คุณธรรม มีจิตสำนึกในความเป็นพลเมืองไทยและเป็นพลโลก ยึดมั่นในการปกครอง
ตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มีความรู้และทักษะพื้นฐาน รวมท้ังเจตคติที่จำเป็น
ต่อการศึกษาต่อ การประกอบอาชีพการสบื สานภูมิปัญญา รู้จักใช้เทคโนโลยีในการเรียนรู้ ตามหลักปรัชญาของ
เศรษฐกิจพอเพียง และการศกึ ษาตลอดชวี ิต โดยมุ่งเน้นผูเ้ รียนเป็นสำคญั บนพ้นื ฐานความเช่ือว่า ทกุ คนสามารถ
เรียนรู้และพัฒนาตนเองไดเ้ ต็มตามศักยภาพ

วิสยั ทศั นข์ องโรงเรยี น
นกั เรียนมคี ุณธรรม เลิศลำ้ วิชาการ สืบสานภูมปิ ญั ญา กา้ วหนา้ ด้วยเทคโนโลยี มีวิถชี วี ิต

อยา่ งพอเพยี ง

อตั ลกั ษณข์ องโรงเรียน
ทกั ทาย ย้มิ ไหว้ ใส่ใจส่ิงแวดลอ้ ม

พนั ธกจิ
๑. พัฒนาการจัดกระบวนการเรยี นรู้ โดยปลูกฝังคณุ ธรรม จรยิ ธรรมให้เกิดแก่ผู้เรียนใน ทุกกล่มุ

สาระการเรียนรู้
๒. ส่งเสริมสนับสนนุ ให้นกั เรียนได้เรยี นรู้อยา่ งหลากหลายอยา่ งเตม็ ศักยภาพ
๓. พฒั นาบุคลากรให้มคี วามร้คู วามสามารถในการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้อยา่ งมี

ประสิทธิภาพ
๔. ส่งเสรมิ สนับสนนุ การเรียนรโู้ ดยใช้แหล่งเรียนรู้ เทคโนโลยี สือ่ นวตั กรรมท่หี ลากหลาย

ในการแสวงหาความรู้
๕. ส่งเสริมการเรียนรภู้ มู ิปัญญาทอ้ งถน่ิ โดยให้ชมุ ชนมีสว่ นร่วมในการถา่ ยทอด
๖. สง่ เสรมิ สนับสนุนบุคลากรภายในโรงเรยี นใหด้ ำเนนิ ชีวติ ดว้ ยหลักปรชั ญาของเศรษฐกิจ

พอเพียง
๗. จัดประสบการณ์เรยี นรูใ้ ห้กบั นกั เรียน ให้สอดคล้องกบั สภาพชวี ติ จรงิ ทางสงั คม

วฒั นธรรม เศรษฐกจิ และวถิ ีความเปน็ อยู่

โรงเรยี นบ้านคลองอุดม
สำนักงานเขตพนื้ ที่การศกึ ษาประถมศกึ ษาฉะเชงิ เทรา เขต ๒

หลักสูตรสถานศกึ ษากลุ่มสาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ๖

(ฉบับปรบั ปรุง พ.ศ.๒๕๖๐) ตามหลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาขัน้ พื้นฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑

เปา้ หมาย
๑. นกั เรยี นมีคุณธรรมจริยธรรม คุณลักษณะอันพึงประสงค์
๒. นักเรียนจบการศึกษาภาคบงั คบั ทกุ คนและมีคุณภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน
๓. นักเรียนมที ักษะการใชเ้ ทคโนโลยีและแหล่งเรยี นรู้ทีห่ ลากหลาย เพื่อแสวงหาความรู้
๔. นกั เรยี นสามารถสืบทอดภูมปิ ัญญาและพัฒนาให้สอดคล้องกบั การเปลย่ี นแปลง

ของสงั คม
๕. นกั เรียนดำเนนิ ชีวิตตามปรชั ญาเศรษฐกิจพอเพียงได้อยา่ งมีความสขุ

สมรรถนะสำคัญของผูเ้ รยี น และคณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค์
ในการพฒั นาผู้เรยี นตามหลักสตู รสถานศกึ ษา โรงเรียนบ้านคลองอุดม พทุ ธศักราช ๒๕๖๑

ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ มุ่งเน้นพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณภาพตาม
มาตรฐานท่ีกำหนด ซึ่งจะช่วยใหผ้ เู้ รยี นเกิดสมรรถนะสำคัญและคณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงค์ ดังนี้

สมรรถนะสำคญั ของผเู้ รยี น
๑. ความสามารถในการสื่อสาร เป็นความสามารถในการรับและส่งสาร มีวัฒนธรรมในการใช้ภาษา

ถ่ายทอดความคิด ความรู้ความเข้าใจ ความรู้สึก และทัศนะของตนเองเพื่อแลกเปล่ียนข้อมูลข่าวสารและ
ประสบการณอ์ ันจะเปน็ ประโยชนต์ ่อการพฒั นาตนเองและสังคม รวมทั้งการเจรจาต่อรอง
เพ่ือขจัดและลดปัญหาความขัดแย้งต่าง ๆ การเลือกรับหรือไม่รับข้อมูลข่าวสารด้วยหลักเหตุผลและความ
ถกู ต้อง ตลอดจนการเลือกใชว้ ธิ ีการสอ่ื สาร ทม่ี ีประสิทธภิ าพโดยคำนึงถึงผลกระทบท่ีมีตอ่ ตนเองและสงั คม

๒. ความสามารถในการคิด เป็นความสามารถในการคิดวิเคราะห์ การคิดสังเคราะห์ การคิดอย่าง
สร้างสรรค์ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ และการคิดเป็นระบบ เพื่อนำไปสู่การสร้างองค์ความรูห้ รือสารสนเทศ
เพ่อื การตดั สนิ ใจเกยี่ วกับตนเองและสงั คมได้อย่างเหมาะสม

๓. ความสามารถในการแก้ปัญหา เป็นความสามารถในการแก้ปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ ท่ีเผชิญได้
อย่างถูกต้องเหมาะสมบนพื้นฐานของหลักเหตุผล คุณธรรมและข้อมูลสารสนเทศ เข้าใจความสัมพันธ์และการ
เปล่ียนแปลงของเหตุการณ์ต่าง ๆ ในสังคม แสวงหาความรู้ ประยุกต์ความรู้มาใช้ในการป้องกันและแก้ไข
ปญั หา และมกี ารตัดสนิ ใจท่ีมีประสิทธภิ าพโดยคำนงึ ถึงผลกระทบท่ีเกดิ ขึ้นต่อตนเอง สงั คมและสิ่งแวดล้อม

๔. ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต เป็นความสามารถในการนำกระบวนการต่าง ๆ ไปใช้ใน
การดำเนินชีวิตประจำวัน การเรียนรู้ด้วยตนเอง การเรียนรู้อย่างต่อเน่ือง การทำงาน และการอยู่ร่วมกันใน
สังคมด้วยการสร้างเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างบุคคล การจัดการปัญหาและความขัดแย้งต่าง ๆ อย่าง
เหมาะสม การปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของสงั คมและสภาพแวดลอ้ ม และการรูจ้ ักหลีกเล่ียงพฤตกิ รรม
ไม่พึงประสงคท์ สี่ ง่ ผลกระทบต่อตนเองและผู้อ่ืน

๕. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี เป็นความสามารถในการเลือก และใช้ เทคโนโลยีด้านต่าง ๆ และ
มที ักษะกระบวนการทางเทคโนโลยี เพื่อการพัฒนาตนเองและสังคมในด้านการเรยี นรู้ การสื่อสาร การทำงาน การ
แก้ปัญหาอยา่ งสร้างสรรค์ ถูกตอ้ ง เหมาะสม และมคี ณุ ธรรม

โรงเรียนบา้ นคลองอดุ ม
สำนักงานเขตพื้นที่การศกึ ษาประถมศกึ ษาฉะเชงิ เทรา เขต ๒

หลักสูตรสถานศึกษากลุ่มสาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ๗

(ฉบับปรับปรงุ พ.ศ.๒๕๖๐) ตามหลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาขนั้ พน้ื ฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑

คุณลกั ษณะอนั พึงประสงค์
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณลักษณะอันพึง

ประสงค์ เพ่ือใหส้ ามารถอยู่รว่ มกบั ผอู้ น่ื ในสังคมได้อยา่ งมีความสขุ ในฐานะเป็นพลเมืองไทยและพลโลก ดังนี้
๑. รักชาติ ศาสน์ กษตั ริย์
๒. ซื่อสัตย์สุจริต
๓. มีวินัย
๔. ใฝเ่ รียนรู้
๕. อยู่อยา่ งพอเพยี ง
๖. มุ่งม่ันในการทำงาน
๗. รกั ความเป็นไทย
๘. มีจติ สาธารณะ

โรงเรียนบา้ นคลองอุดม
สำนักงานเขตพืน้ ท่ีการศึกษาประถมศกึ ษาฉะเชงิ เทรา เขต ๒

หลักสูตรสถานศึกษากลุม่ สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ๘

(ฉบับปรับปรงุ พ.ศ.๒๕๖๐) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศกั ราช ๒๕๕๑

โครงสร้างหลกั สตู รสถานศึกษาโรงเรียนบา้ นคลองอุดม

หลักสูตรสถานศึกษาโรงเรยี นบา้ นคลองอุดม กำหนดกรอบโครงสรา้ งเวลาเรยี น ดังน้ี

โครงสร้างเวลาเรียนระดบั ประถมศกึ ษา
หมายเหตุ ใชใ้ นปีการศึกษา ๒๕๖๑

กลมุ่ สาระการเรียนร้/ู เวลาเรยี น
กจิ กรรม ระดับประถมศกึ ษา
ป. ๑ ป. ๒ ป. ๓ ป. ๔ ป. ๕ ป. ๖
รายวิชาพ้นื ฐาน
ภาษาไทย ๒๐๐ ๒๐๐ ๒๐๐ ๑๖๐ ๑๖๐ ๑๖๐
คณิตศาสตร์ ๒๐๐ ๒๐๐ ๒๐๐
วทิ ยาศาสตร์ ๘๐ ๘๐ ๘๐ ๑๖๐ ๑๖๐ ๑๖๐
สงั คมศึกษา ศาสนาและวฒั นธรรม ๘๐ ๘๐ ๘๐
ประวัตศิ าสตร์ ๔๐ ๔๐ ๔๐ ๑๒๐ ๘๐ ๘๐
สุขศกึ ษาและพลศึกษา ๔๐ ๔๐ ๔๐
ศิลปะ ๔๐ ๔๐ ๔๐ ๘๐ ๘๐ ๘๐
การงานอาชีพและเทคโนโลยี ๔๐ ๔๐ ๔๐
ภาษาต่างประเทศ ๑๒๐ ๑๒๐ ๑๒๐ ๔๐ ๔๐ ๔๐
รวมเวลาเรียน (พ้นื ฐาน) ๘๔๐ ๘๔๐ ๘๔๐
๘๐ ๘๐ ๘๐
รายวชิ าเพ่มิ เตมิ ๘๐ ช่วั โมง
กจิ กรรมพฒั นาผูเ้ รยี น ๘๐ ๘๐ ๘๐
๑. กจิ กรรมแนะแนว
๒. กิจกรรมนักเรียน ๔๐ ๘๐ ๘๐

- ลกู เสือ – เนตรนารี ๘๐ ๘๐ ๘๐
- ชมุ นุม
๓. กิจกรรมเพือ่ สงั คมและ ๘๔๐ ๘๔๐ ๘๔๐
สาธารณประโยชน์
รวมเวลากิจกรรมพัฒนาผู้เรียน ๔๐ ชว่ั โมง

รวมเวลาเรยี นทง้ั หมด ๔๐ ๔๐ ๔๐ ๔๐ ๔๐ ๔๐

๓๐ ๓๐ ๓๐ ๓๐ ๓๐ ๓๐
๔๐ ๔๐ ๔๐ ๔๐ ๔๐ ๔๐
๑๐ ๑๐ ๑๐ ๑๐ ๑๐ ๑๐
๑๒๐ ๑๒๐ ๑๒๐ ๑๒๐ ๑๒๐ ๑๒๐

๑,๐๔๐ ช่ัวโมง/ปี ๑,๐๐๐ ชั่วโมง/ปี

โรงเรยี นบา้ นคลองอดุ ม
สำนักงานเขตพน้ื ท่ีการศึกษาประถมศกึ ษาฉะเชงิ เทรา เขต ๒

หลกั สูตรสถานศกึ ษากล่มุ สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ๙

(ฉบับปรบั ปรงุ พ.ศ.๒๕๖๐) ตามหลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาขนั้ พืน้ ฐาน พุทธศกั ราช ๒๕๕๑

โครงสร้างเวลาเรยี นระดับประถมศกึ ษา
หมายเหตุ ใชใ้ นปีการศึกษา ๒๕๖๒

กลมุ่ สาระการเรยี นรู้/ เวลาเรียน
กิจกรรม ระดบั ประถมศกึ ษา
ป. ๑ ป. ๒ ป. ๓ ป. ๔ ป. ๕ ป. ๖
รายวิชาพื้นฐาน
ภาษาไทย ๒๐๐ ๒๐๐ ๒๐๐ ๑๖๐ ๑๖๐ ๑๖๐
คณิตศาสตร์ ๒๐๐ ๒๐๐ ๒๐๐ ๑๖๐ ๑๖๐ ๑๖๐
วิทยาศาสตร์ ๘๐ ๘๐ ๘๐ ๑๒๐ ๑๒๐ ๘๐
สงั คมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ๘๐ ๘๐ ๘๐ ๘๐ ๘๐ ๘๐
ประวตั ศิ าสตร์ ๔๐ ๔๐ ๔๐ ๔๐ ๔๐ ๔๐
สุขศกึ ษาและพลศึกษา ๔๐ ๔๐ ๔๐ ๘๐ ๘๐ ๘๐
ศลิ ปะ ๔๐ ๔๐ ๔๐ ๘๐ ๘๐ ๘๐
การงานอาชีพและเทคโนโลยี ๔๐ ๔๐ ๔๐ ๔๐ ๔๐ ๘๐
ภาษาต่างประเทศ ๑๒๐ ๑๒๐ ๑๒๐ ๘๐ ๘๐ ๘๐
รวมเวลาเรียน (พนื้ ฐาน) ๘๔๐ ๘๔๐ ๘๔๐ ๘๔๐ ๘๔๐ ๘๔๐

รายวชิ าเพิม่ เตมิ ๘๐ ชวั่ โมง ๔๐ ชว่ั โมง
กจิ กรรมพฒั นาผู้เรยี น
๑. กจิ กรรมแนะแนว ๔๐ ๔๐ ๔๐ ๔๐ ๔๐ ๔๐
๒. กิจกรรมนกั เรียน
๓๐ ๓๐ ๓๐ ๓๐ ๓๐ ๓๐
- ลูกเสอื – เนตรนารี ๔๐ ๔๐ ๔๐ ๔๐ ๔๐ ๔๐
- ชมุ นมุ ๑๐ ๑๐ ๑๐ ๑๐ ๑๐ ๑๐
๓. กจิ กรรมเพ่อื สังคมและ ๑๒๐ ๑๒๐ ๑๒๐ ๑๒๐ ๑๒๐ ๑๒๐
สาธารณประโยชน์
รวมเวลากิจกรรมพัฒนาผเู้ รียน ๑,๐๔๐ ชวั่ โมง/ปี ๑,๐๐๐ ช่ัวโมง/ปี

รวมเวลาเรียนทั้งหมด

โรงเรียนบ้านคลองอุดม
สำนักงานเขตพนื้ ที่การศึกษาประถมศกึ ษาฉะเชงิ เทรา เขต ๒

หลักสูตรสถานศกึ ษากลมุ่ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ๑๐

(ฉบับปรับปรงุ พ.ศ.๒๕๖๐) ตามหลักสตู รแกนกลางการศึกษาขนั้ พน้ื ฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑

โครงสรา้ งเวลาเรียนระดบั ประถมศึกษา

หมายเหตุ ใชใ้ นปีการศึกษา ๒๕๖๓ เป็นต้นไป

กลมุ่ สาระการเรยี นร/ู้ เวลาเรยี น
กจิ กรรม ระดับประถมศึกษา
ป. ๑ ป. ๒ ป. ๓ ป. ๔ ป. ๕ ป. ๖
รายวิชาพ้ืนฐาน
ภาษาไทย ๒๐๐ ๒๐๐ ๒๐๐ ๑๖๐ ๑๖๐ ๑๖๐
คณติ ศาสตร์ ๒๐๐ ๒๐๐ ๒๐๐ ๑๖๐ ๑๖๐ ๑๖๐
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ๘๐ ๘๐ ๘๐ ๑๒๐ ๑๒๐ ๑๒๐
สงั คมศกึ ษา ศาสนาและวฒั นธรรม ๘๐ ๘๐ ๘๐ ๘๐ ๘๐ ๘๐
ประวัติศาสตร์ ๔๐ ๔๐ ๔๐ ๔๐ ๔๐ ๔๐
สขุ ศกึ ษาและพลศกึ ษา ๔๐ ๔๐ ๔๐ ๘๐ ๘๐ ๘๐
ศลิ ปะ ๔๐ ๔๐ ๔๐ ๘๐ ๘๐ ๘๐
การงานอาชีพ ๔๐ ๔๐ ๔๐ ๔๐ ๔๐ ๔๐
ภาษาตา่ งประเทศ ๑๒๐ ๑๒๐ ๑๒๐ ๘๐ ๘๐ ๘๐
รวมเวลาเรียน (พ้นื ฐาน) ๘๔๐ ๘๔๐ ๘๔๐ ๘๔๐ ๘๔๐ ๘๔๐

รายวชิ าเพม่ิ เตมิ ๘๐ ชว่ั โมง ๔๐ ชว่ั โมง
กจิ กรรมพฒั นาผู้เรยี น
๑. กจิ กรรมแนะแนว ๔๐ ๔๐ ๔๐ ๔๐ ๔๐ ๔๐
๒. กิจกรรมนักเรียน
๓๐ ๓๐ ๓๐ ๓๐ ๓๐ ๓๐
- ลกู เสอื – เนตรนารี ๔๐ ๔๐ ๔๐ ๔๐ ๔๐ ๔๐
- ชุมนมุ ๑๐ ๑๐ ๑๐ ๑๐ ๑๐ ๑๐
๓. กิจกรรมเพ่อื สงั คมและ ๑๒๐ ๑๒๐ ๑๒๐ ๑๒๐ ๑๒๐ ๑๒๐
สาธารณประโยชน์
รวมเวลากจิ กรรมพัฒนาผ้เู รยี น ๑,๐๘๐ ช่วั โมง/ปี ๑,๐๐๐ ชัว่ โมง/ปี

รวมเวลาเรยี นทั้งหมด

โรงเรียนบา้ นคลองอดุ ม
สำนักงานเขตพืน้ ที่การศกึ ษาประถมศกึ ษาฉะเชงิ เทรา เขต ๒

หลกั สูตรสถานศึกษากลมุ่ สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ๑๑

(ฉบับปรบั ปรงุ พ.ศ.๒๕๖๐) ตามหลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาข้นั พน้ื ฐาน พุทธศกั ราช ๒๕๕๑

โครงสร้างเวลาเรยี นระดับมธั ยมศกึ ษาตอนตน้
หมายเหตุ ใช้ในปกี ารศึกษา ๒๕๖๑

กลุม่ สาระการเรยี นร้/ู กจิ กรรม เวลาเรียน
ระดบั มัธยมศกึ ษาตอนตน้
รายวิชาพื้นฐาน ม. ๑ ม. ๒ ม. ๓
ภาษาไทย
คณติ ศาสตร์ ๑๒๐ (๓ นก.) ๑๒๐ (๓ นก.) ๑๒๐ (๓ นก.)
วิทยาศาสตร์ ๑๒๐ (๓ นก.) ๑๒๐ (๓ นก.) ๑๒๐ (๓ นก.)
สังคมศึกษา ศาสนา และวฒั นธรรม ๑๖๐ (๔ นก.) ๑๒๐ (๓ นก.) ๑๒๐ (๓ นก.)
ประวตั ศิ าสตร์ ๑๒๐ (๓ นก.) ๑๒๐ (๓ นก.) ๑๒๐ (๓ นก.)
สุขศึกษาและพลศึกษา ๔๐ (๑นก.) ๔๐ (๑ นก.) ๔๐ (๑ นก.)
ศิลปะ ๘๐ (๒นก.) ๘๐ (๒ นก.) ๘๐ (๒ นก.)
การงานอาชีพและเทคโนโลยี ๘๐ (๒นก.) ๘๐ (๒ นก.) ๘๐ (๒ นก.)
ภาษาต่างประเทศ ๔๐ (๑นก.) ๘๐ (๒ นก.) ๘๐ (๒ นก.)
รวมเวลาเรยี น (พ้ืนฐาน) ๑๒๐ (๓ นก.) ๑๒๐ (๓ นก.) ๑๒๐ (๓ นก.)
๘๘๐ (๒๒นก.) ๘๘๐ (๒๒นก.) ๘๘๐ (๒๒นก.)
รายวชิ าเพิ่มเตมิ ปลี ะ ๒๐๐ ชว่ั โมง
กจิ กรรมพัฒนาผู้เรยี น
๔๐ ๔๐ ๔๐
๑. กิจกรรมแนะแนว
๒. กิจกรรมนักเรยี น ๒๕ ๒๕ ๒๕
๔๐ ๔๐ ๔๐
- ลกู เสอื – เนตรนารี ๑๕ ๑๕ ๑๕
- ชมุ นุม ๑๒๐ ๑๒๐ ๑๒๐
๓. กจิ กรรมเพอื่ สังคม ฯ
รวมเวลากิจกรรมพัฒนาผู้เรยี น ๑,๒๐๐ ชวั่ โมง/ปี
รวมเวลาเรียนท้งั หมด

โรงเรียนบ้านคลองอดุ ม
สำนักงานเขตพ้นื ท่ีการศึกษาประถมศกึ ษาฉะเชงิ เทรา เขต ๒

หลักสูตรสถานศกึ ษากลุ่มสาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ๑๒

(ฉบับปรบั ปรงุ พ.ศ.๒๕๖๐) ตามหลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาข้นั พน้ื ฐาน พุทธศกั ราช ๒๕๕๑

โครงสรา้ งเวลาเรยี นระดบั มัธยมศกึ ษาตอนตน้
หมายเหตุ ใช้ในปกี ารศึกษา ๒๕๖๒

กลุม่ สาระการเรยี นร้/ู กจิ กรรม เวลาเรียน
ระดับมัธยมศึกษาตอนตน้
รายวิชาพื้นฐาน ม. ๑ ม. ๒ ม. ๓
ภาษาไทย
คณติ ศาสตร์ ๑๒๐ (๓ นก.) ๑๒๐ (๓ นก.) ๑๒๐ (๓ นก.)
วิทยาศาสตร์ ๑๒๐ (๓ นก.) ๑๒๐ (๓ นก.) ๑๒๐ (๓ นก.)
สังคมศึกษา ศาสนา และวฒั นธรรม ๑๖๐ (๔ นก.) ๑๖๐ (๔ นก.) ๑๒๐ (๓ นก.)
ประวตั ิศาสตร์ ๑๒๐ (๓ นก.) ๑๒๐ (๓ นก.) ๑๒๐ (๓ นก.)
สุขศกึ ษาและพลศึกษา ๔๐ (๑ นก.) ๔๐ (๑ นก.) ๔๐ (๑ นก.)
ศิลปะ ๘๐ (๒ นก.) ๘๐ (๒ นก.) ๘๐ (๒ นก.)
การงานอาชีพและเทคโนโลยี ๘๐ (๒ นก.) ๘๐ (๒ นก.) ๘๐ (๒ นก.)
ภาษาต่างประเทศ ๔๐ (๑ นก.) ๔๐ (๑ นก.) ๘๐ (๒ นก.)
รวมเวลาเรยี น (พื้นฐาน) ๑๒๐ (๓ นก.) ๑๒๐ (๓ นก.) ๑๒๐ (๓ นก.)
๘๘๐ (๒๒นก.) ๘๘๐ (๒๒นก.) ๘๘๐ (๒๒นก.)
รายวชิ าเพิ่มเตมิ ปลี ะ ๒๐๐ ชั่วโมง
กจิ กรรมพัฒนาผู้เรยี น
๔๐ ๔๐ ๔๐
๑. กิจกรรมแนะแนว
๒. กิจกรรมนักเรยี น ๒๕ ๒๕ ๒๕
๔๐ ๔๐ ๔๐
- ลกู เสอื – เนตรนารี ๑๕ ๑๕ ๑๕
- ชมุ นุม ๑๒๐ ๑๒๐ ๑๒๐
๓. กจิ กรรมเพอื่ สังคม ฯ
รวมเวลากิจกรรมพัฒนาผเู้ รียน ๑,๒๐๐ ช่วั โมง/ปี
รวมเวลาเรียนท้งั หมด

โรงเรียนบา้ นคลองอดุ ม
สำนักงานเขตพืน้ ที่การศึกษาประถมศกึ ษาฉะเชงิ เทรา เขต ๒

หลกั สูตรสถานศกึ ษากลุ่มสาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ๑๓

(ฉบับปรับปรุง พ.ศ.๒๕๖๐) ตามหลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาข้นั พื้นฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑

โครงสรา้ งเวลาเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนตน้
หมายเหตุ ใช้ในปกี ารศึกษา ๒๕๖๓ เปน็ ตน้ ไป

กลุ่มสาระการเรยี นร้/ู กจิ กรรม เวลาเรยี น
ระดับมธั ยมศึกษาตอนตน้
รายวชิ าพน้ื ฐาน ม. ๑ ม. ๒ ม. ๓
ภาษาไทย
คณติ ศาสตร์ ๑๒๐ (๓ นก.) ๑๒๐ (๓ นก.) ๑๒๐ (๓ นก.)
วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ๑๒๐ (๓ นก.) ๑๒๐ (๓ นก.) ๑๒๐ (๓ นก.)
สงั คมศกึ ษา ศาสนา และวฒั นธรรม ๑๖๐ (๔ นก.) ๑๖๐ (๔ นก.) ๑๖๐ (๔ นก.)
ประวตั ศิ าสตร์ ๑๒๐ (๓ นก.) ๑๒๐ (๓ นก.) ๑๒๐ (๓ นก.)
สขุ ศึกษาและพลศึกษา ๔๐ (๑ นก.) ๔๐ (๑ นก.) ๔๐ (๑ นก.)
ศิลปะ ๘๐ (๒ นก.) ๘๐ (๒ นก.) ๘๐ (๒ นก.)
การงานอาชพี ๘๐ (๒ นก.) ๘๐ (๒ นก.) ๘๐ (๒ นก.)
ภาษาต่างประเทศ ๔๐ (๑ นก.) ๔๐ (๑ นก.) ๔๐ (๑ นก.)
รวมเวลาเรียน (พ้ืนฐาน) ๑๒๐ (๓ นก.) ๑๒๐ (๓ นก.) ๑๒๐ (๓ นก.)
๘๘๐ (๒๒นก.) ๘๘๐ (๒๒นก.) ๘๘๐ (๒๒นก.)
รายวชิ าเพ่ิมเติม ปีละ ๒๐๐ ชั่วโมง
กจิ กรรมพัฒนาผู้เรียน
๔๐ ๔๐ ๔๐
๑. กจิ กรรมแนะแนว
๒. กจิ กรรมนักเรยี น ๒๕ ๒๕ ๒๕
๔๐ ๔๐ ๔๐
- ลกู เสือ – เนตรนารี ๑๕ ๑๕ ๑๕
- ชุมนุม ๑๒๐ ๑๒๐ ๑๒๐
๓. กจิ กรรมเพอ่ื สงั คม ฯ
รวมเวลากจิ กรรมพัฒนาผู้เรยี น ๑,๒๐๐ ชั่วโมง/ปี
รวมเวลาเรยี นทั้งหมด

โรงเรียนบา้ นคลองอดุ ม
สำนักงานเขตพน้ื ท่ีการศกึ ษาประถมศกึ ษาฉะเชงิ เทรา เขต ๒

กลุม่ สาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ความสำคัญ

ในการเรียนการสอนวิทยาศาสตรม์ งุ่ เนน้ ใหผ้ ้เู รยี นได้ค้นพบความรูด้ ้วยตนเองมากทีส่ ดุ เพือ่ ให้
ไดท้ ั้งกระบวนการและความรู้ จากวิธกี ารสงั เกต การสำรวจตรวจสอบ การทดลอง แล้วนำผลทไ่ี ด้มา
จัดระบบเป็นหลักการ แนวคิด และองคค์ วามรู้
การจัดการเรยี นการสอนวิทยาศาสตรจ์ ึงมีเปา้ หมายที่สำคัญ ดังน้ี

๑. เพื่อใหเ้ ขา้ ใจหลกั การ ทฤษฎี และกฎทีเ่ ปน็ พน้ื ฐานในวิชาวทิ ยาศาสตร์
๒. เพ่ือให้เข้าใจขอบเขตของธรรมชาตขิ องวชิ าวทิ ยาศาสตรแ์ ละข้อจำกัดในการศึกษาวชิ า
วิทยาศาสตร์
๓. เพอ่ื ใหม้ ีทักษะที่สำคัญในการศึกษาคน้ คว้าและคิดค้นทางเทคโนโลยี
๔. เพื่อใหต้ ระหนักถึงความสัมพนั ธร์ ะหว่างวิชาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี มวลมนุษย์ และ
สภาพแวดลอ้ มในเชงิ ท่ีมีอิทธิพลและผลกระทบซึ่งกันและกัน
๕. เพ่อื นำความรู้ ความเข้าใจ ในวชิ าวทิ ยาศาสตร์ และเทคโนโลยไี ปใช้ให้เกดิ ประโยชน์ต่อ
สังคมและการดำรงชีวิต
๖. เพอื่ พฒั นากระบวนการคดิ และจนิ ตนาการ ความสามารถในการแก้ปัญหา และการจัดการ
ทกั ษะในการสื่อสาร และความสามารถในการตัดสนิ ใจ
๗. เพอื่ ใหเ้ ปน็ ผู้ท่มี จี ิตวิทยาศาสตร์ มีคุณธรรม จริยธรรม และค่านยิ มในการใชว้ ทิ ยาศาสตร์
และเทคโนโลยอี ยา่ งสร้างสรรค์

ทำไมต้องเรยี นวทิ ยาศาสตร์

วิทยาศาสตร์มีบทบาทสำคัญย่ิงในสังคมโลกปัจจุบันและอนาคต เพราะวิทยาศาสตร์เก่ียวข้อง
กับทุกคนทั้งในชีวิตประจำวันและการงานอาชีพต่าง ๆ ตลอดจนเทคโนโลยี เคร่ืองมือเครื่องใช้และ
ผลผลิตต่าง ๆ ที่มนุษย์ได้ใช้เพ่ืออำนวยความสะดวกในชีวิตและการทำงาน เหล่าน้ีล้วนเป็นผลของ
ความรู้วิทยาศาสตร์ ผสมผสานกับความคิดสร้างสรรค์และศาสตร์อื่น ๆ วิทยาศาสตร์ช่วยให้มนุษย์ ได้
พัฒนาวิธีคิด ทั้งความคิดเป็นเหตุเป็นผล คิดสร้างสรรค์ คิดวิเคราะห์ วิจารณ์ มีทักษะสำคัญในการ
ค้นคว้าหาความรู้ มีความสามารถในการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ สามารถตัดสินใจโดยใช้ข้อมูลที่
หลากหลายและมปี ระจกั ษ์พยานที่ตรวจสอบได้ วิทยาศาสตร์เปน็ วัฒนธรรมของโลกสมัยใหมซ่ ่ึงเป็นสงั คม
แห่งการเรียนรู้ (knowledge-based society) ดังน้ันทกุ คนจึงจำเป็นต้องได้รับการพัฒนาให้รู้วิทยาศาสตร์
เพ่ือที่จะมีความรู้ความเข้าใจในธรรมชาติและเทคโนโลยีท่ีมนุษย์สร้างสรรค์ข้ึน สามารถนำความรู้ไปใช้
อย่างมเี หตผุ ล สร้างสรรค์ และมคี ุณธรรม

เรียนรู้อะไรในวิทยาศาสตร์

กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์มุ่งหวังให้ผู้เรียนได้เรียนรู้วิทยาศาสตร์ ท่ีเน้นการเช่ือมโยง
ความรู้กับกระบวนการ มีทักษะสำคัญในการค้นคว้าและสร้างองค์ความรู้ โดยใช้กระบวนการในการสืบ
เสาะหาความรู้ และแก้ปัญหาท่ีหลากหลาย ให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ทุกข้ันตอน มีการทำ
กิจกรรมด้วยการลงมือปฏิบัติจริงอย่างหลากหลาย เหมาะสมกับระดับช้ัน โดยกำหนดสาระสำคัญ ดังน้ี

โรงเรียนบา้ นคลองอุดม
สำนักงานเขตพ้นื ที่การศกึ ษาประถมศกึ ษาฉะเชงิ เทรา เขต ๒

✧ วทิ ยาศาสตร์ชวภี าพ เรียนรเู้ กยี่ วกบั ชวี ติ ในสงิ่ แวดล้อม องค์ระกอบของสิ่งมีชีวิต การ
ดำรงชีวิตของมนุษย์และสัตว์ การดำรงชวี ิตของพชื พนั ธุกรรม ความหลากหลายทางชีวภาพ และ
วิวัฒนาการของส่งิ มีชีวิต

✧ วิทยาศาสตร์กายภาพ เรยี นรเู้ กี่ยวกบั ธรรมชาตขิ องสาร การเปลยี่ นแปลงของสาร การ
เคลื่อนท่ีพลังงาน และคล่ืน

✧ วิทยาศาสตร์โลกและอวกาศ เรียนรู้เกี่ยวกับ องค์ประกอบของเอกภพ ปฏสิ ัมพันธ์ ภายใน
ระบบสรุ ยิ ะ เทคโนโลยีอวกาศ ระบบโลก การเปลีย่ นแปลงทางธรณวี ิทยา กระบวนการ เปลย่ี นแปลงลม
ฟา้ อากาศและผลต่อสิ่งมชี ีวิตและสิ่งแวดล้อม

✧ เทคโนโลยี
● การออกแบบและเทคโนโลยี เรยี นรูเ้ กี่ยวกับเทคโนโลยีเพอ่ื การดำรงชีวิต ในสงั คมท่ี

มีการเปล่ียนแปลงอย่างรวดเร็ว ใช้ความรู้และทักษะทางด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และศาสตร์อ่ืน
ๆเพื่อแก้ปัญหาหรือพัฒนางานอย่างมีความคิดสร้างสรรค์ด้วยกระบวนการออกแบบ เชิงวิศวกรรม
เลือกใช้เทคโนโลยีอย่างเหมาะสมโดยคำนงึ ถงึ ผลกระทบต่อชวี ิต สงั คม และสิ่งแวดล้อม

● วิทยาการคำนวณ เรียนรู้เก่ียวกับการคิดเชิงคำนวณ การคิดวิเคราะห์ แก้ปัญหา
เปน็ ข้ันตอนและเป็นระบบ ประยุกต์ใช้ความรดู้ ้านวิทยาการคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ และ
การสอ่ื สารในการแกป้ ญั หาทพี่ บในชีวิตจริงไดอ้ ยา่ งมีประสทิ ธิภาพ

สาระและมาตรฐานการเรยี นรู้
สาระท่ี ๑ วิทยาศาสตรช์ ีวภาพ
มาตรฐาน ว ๑.๑ เข้าใจความหลากหลายของระบบนิเวศ ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งไม่มีชีวิตกับ

ส่ิงมีชีวิต และความสัมพันธ์ระหว่างส่ิงมีชีวิตกับส่ิงมีชีวิตต่างๆ ในระบบนิเวศ การ
ถ่ายทอดพลังงาน การเปลี่ยนแปลงแทนที่ในระบบนิเวศ ความหมายของประชากร
ปัญหาและผลกระทบที่มีต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม แนวทางในการ
อนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม รวมทั้งนำความรู้ไปใช้
ประโยชน์
มาตรฐาน ว ๑.๒ เข้าใจสมบัติของสิง่ มชี ีวติ หน่วยพ้นื ฐานของสิง่ มชี ีวิต การลาเลยี งสารผา่ นเซลล์
ความสมั พนั ธ์ของโครงสร้าง และหน้าทข่ี องระบบตา่ ง ๆ ของสตั วแ์ ละมนษุ ยท์ ี่
ทำงานสมั พันธ์กัน ความสัมพันธข์ องโครงสร้าง และหนา้ ท่ขี องอวยั วะตา่ ง ๆ ของ
พืชท่ที ำงานสัมพันธก์ นั รวมทัง้ นาความรไู้ ปใชป้ ระโยชน์
มาตรฐาน ว ๑.๓ เข้าใจกระบวนการและความสำคัญของการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมสาร
พนั ธุกรรม การเปล่ยี นแปลงทางพันธกุ รรมท่มี ผี ลตอ่ ส่ิงมชี วี ิต ความหลากหลายทาง
ชวี ภาพและวิวัฒนาการของสิง่ มีชีวิต รวมท้งั นำความรู้ไปใช้ประโยชน์

โรงเรียนบ้านคลองอดุ ม
สำนักงานเขตพืน้ ที่การศึกษาประถมศกึ ษาฉะเชงิ เทรา เขต ๒

สาระที่ ๒ วิทยาศาสตร์กายภาพ
มาตรฐาน ว ๒.๑ เข้าใจสมบัติของสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสัมพันธ์ระหว่างสมบัติของ

สสารกับโครงสร้างและแรงยึดเหน่ียวระหว่างอนุภาค หลักและธรรมชาติของการ
เปลย่ี นแปลงสถานะของสสาร การเกดิ สารละลาย และการเกิดปฏิกิริยาเคมี
มาตรฐาน ว ๒.๒ เข้าใจธรรมชาติของแรงในชีวิตประจำวัน ผลของแรงที่กระทำต่อวัตถุ ลักษณะการ
เคลอ่ื นท่แี บบตา่ ง ๆ ของวัตถุ รวมทง้ั นำความรู้ไปใชป้ ระโยชน์
มาตรฐาน ว ๒.๓ เข้าใจความหมายของพลังงาน การเปล่ียนแปลง และการถ่ายโอนพลังงาน
ปฏิสัมพันธ์ระหว่างสสารและพลังงาน พลังงานในชีวิตประจำวัน ธรรมชาติของ
คลื่น ปรากฏการณ์ท่ีเก่ียวข้องกับเสียง แสง และคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า รวมท้ังนำ
ความรไู้ ปใช้ประโยชน์

สาระที่ ๓ วิทยาศาสตร์โลก และอวกาศ
มาตรฐาน ว ๓.๑ เข้าใจองค์ประกอบ ลักษณะ กระบวนการเกดิ และวิวัฒนาการของเอกภพ กาแลก็ ซี

ดาวฤกษ์ และระบบสรุ ิยะ รวมท้ังปฏิสัมพันธ์ภายในระบบสุรยิ ะทีส่ ่งผลต่อสิ่งมีชวี ิต
และการประยุกตใ์ ชเ้ ทคโนโลยีอวกาศ
มาตรฐาน ว ๓.๒ เข้าใจองค์ประกอบและความสัมพันธ์ของระบบโลก กระบวนการเปล่ียนแปลง
ภายในโลก และบนผิวโลก ธรณีพิบัติภัย กระบวนการเปลี่ยนแปลงลมฟ้าอากาศ
และภมู อิ ากาศโลก รวมทั้งผลต่อสิ่งมีชวี ิตและสงิ่ แวดล้อม

สาระท่ี ๔ เทคโนโลยี
มาตรฐาน ว ๔.๑ เข้าใจแนวคิดหลักของเทคโนโลยีเพ่ือการดำรงชีวิตในสังคมที่มีการเปลี่ยนแปลง

อย่างรวดเร็ว ใช้ความรู้และทักษะทางด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และศาสตร์
อื่น ๆ เพื่อแก้ปัญหาหรือพัฒนางานอย่างมีความคิดสร้างสรรค์ด้วยกระบวนการ
ออกแบบเชิงวศิ วกรรม เลือกใช้เทคโนโลยีอย่างเหมาะสมโดยคำนึงถงึ ผลกระทบต่อ
ชวี ิต สังคม และสิ่งแวดล้อม
มาตรฐาน ว ๔.๒ เขา้ ใจและใช้แนวคิดเชิงคำนวณในการแก้ปัญหาท่ีพบในชวี ติ จรงิ อย่างเปน็ ขนั้ ตอน
และเป็นระบบ ใช้เทคโนโลยสี ารสนเทศและการส่ือสารในการเรยี นรู้ การทำงาน
และการแก้ปัญหาไดอ้ ย่างมีประสทิ ธิภาพ ร้เู ท่าทัน และมจี ริยธรรม

คณุ ภาพผู้เรยี น
จบชัน้ ประถมศึกษาปีที่ ๓

❖ เข้าใจลักษณะท่ัวไปของสิง่ มีชีวิตและการดำรงชวี ิตของสิ่งมชี วี ิตรอบตวั

❖ เข้าใจลักษณะท่ีปรากฏ ชนิดและสมบัติบางประการของวัสดุที่ใช้ทำวัตถุ และการเปลี่ยนแปลงของ
วัสดรุ อบตัว

❖ เข้าใจการดึง การผลัก แรงแม่เหล็ก และผลของแรงที่มีต่อการเปลี่ยนแปลง การเคล่ือนที่ของวัตถุ
พลังงานไฟฟ้า และการผลติ ไฟฟา้ การเกดิ เสียง แสงและการมองเหน็

โรงเรียนบา้ นคลองอดุ ม
สำนักงานเขตพน้ื ท่ีการศกึ ษาประถมศกึ ษาฉะเชงิ เทรา เขต ๒

❖ เข้าใจการปรากฏของดวงอาทิตย์ ดวงจนั ทร์ และดาว ปรากฏการณ์ขึน้ และตกของดวงอาทิตย์ การ
เกิดกลางวันกลางคืน การกำหนดทิศ ลักษณะของหิน การจำแนกชนิดดนิ และการใช้ประโยชน์ ลักษณะ
และความสำคญั ของอากาศ การเกดิ ลม ประโยชน์และโทษของลม

❖ ตั้งคำถามหรือกำหนดปัญหาเก่ียวกับสิ่งท่ีจะเรียนรู้ตามท่ีกำหนดให้หรือตามความสนใจสังเกต
สำรวจตรวจสอบโดยใช้เครื่องมืออย่างง่าย รวบรวมข้อมูล บันทึก และอธิบายผลการสำรวจตรวจสอบ
ด้วยการเขียนหรือวาดภาพ และส่ือสารส่ิงที่เรียนรู้ด้วยการเล่าเรื่อง หรือด้วยการแสดงท่าทางเพื่อให้
ผู้อนื่ เข้าใจ

❖ แก้ปัญหาอย่างง่ายโดยใช้ข้ันตอนการแก้ปัญหา มีทักษะในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการ
สื่อสารเบือ้ งตน้ รกั ษาข้อมลู ส่วนตัว

❖ แสดงความกระตือรือร้น สนใจที่จะเรียนรู้ มีความคิดสร้างสรรค์เกี่ยวกับเรื่องที่จะศึกษาตามที่
กำหนดใหห้ รือตามความสนใจ มีส่วนร่วมในการแสดงความคดิ เหน็ และยอมรับฟงั ความคิดเหน็ ผู้อนื่

❖ แสดงความรับผิดชอบด้วยการทำงานที่ได้รับมอบหมายอย่างมุง่ มั่น รอบคอบ ประหยัด ซือ่ สัตย์ จน
งานลลุ ่วงเป็นผลสำเร็จ และทำงานร่วมกับผอู้ นื่ อย่างมคี วามสุข

❖ ตระหนักถึงประโยชน์ของการใช้ความรูแ้ ละกระบวนการทางวทิ ยาศาสตรใ์ นการดำรงชีวติ ศกึ ษาหา
ความรเู้ พิ่มเตมิ ทำโครงงานหรือชิ้นงานตามท่ีกำหนดให้หรือตามความสนใจ

จบชั้นประถมศึกษาปีท่ี ๖

❖ เข้าใจโครงสร้าง ลักษณะเฉพาะและการปรับตัวของส่ิงมีชีวิต รวมท้ังความสัมพันธ์ของ
สิ่งมีชีวิตในแหล่งท่ีอยู่ การทำหน้าที่ของส่วนต่าง ๆ ของพืช และการทำงานของระบบย่อยอาหารของ
มนุษย์

❖ เข้าใจสมบัติและการจำแนกกลุ่มของวัสดุ สถานะและการเปลี่ยนสถานะของสสารการ
ละลาย การเปลยี่ นแปลงทางเคมี การเปลีย่ นแปลงที่ผันกลับได้และผันกลับไม่ได้ และการแยกสารอย่าง
ง่าย

❖ เข้าใจลักษณะของแรงโน้มถ่วงของโลก แรงลัพธ์ แรงเสียดทาน แรงไฟฟ้าและผลของแรง
ต่าง ๆ ผลทีเ่ กดิ จากแรงกระทำต่อวัตถุ ความดัน หลกั การทีม่ ีตอ่ วัตถุ วงจรไฟฟ้าอย่างงา่ ย ปรากฏการณ์
เบ้ืองต้นของเสยี ง และแสง

❖ เข้าใจปรากฏการณ์การข้ึนและตก รวมถึงการเปล่ียนแปลงรูปร่างปรากฏของดวงจันทร์
องคป์ ระกอบของระบบสุรยิ ะ คาบการโคจรของดาวเคราะห์ ความแตกต่างของดาวเคราะหแ์ ละดาวฤกษ์
การข้ึนและตกของกลุ่มดาวฤกษ์ การใช้แผนที่ดาว การเกิดอุปราคา พัฒนาการและประโยชน์ของ
เทคโนโลยีอวกาศ

❖ เข้าใจลักษณะของแหล่งน้ำ วัฏจักรน้ำ กระบวนการเกิดเมฆ หมอก น้ำค้าง น้ำค้างแข็ง
หยาดน้ำฟ้า กระบวนการเกิดหิน วัฏจักรหิน การใช้ประโยชน์หินและแร่ การเกิดซากดึกดำบรรพ์ การ
เกิดลมบก ลมทะเล มรสุม ลักษณะและผลกระทบของภัยธรรมชาติ ธรณีพิบัติภัย การเกิดและ
ผลกระทบของปรากฏการณเ์ รอื นกระจก

โรงเรียนบ้านคลองอุดม
สำนักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาประถมศกึ ษาฉะเชงิ เทรา เขต ๒

❖ คน้ หาขอ้ มลู อย่างมีประสิทธภิ าพและประเมินความน่าเชื่อถือ ตัดสนิ ใจเลือกขอ้ มูลใช้เหตุผล
เชงิ ตรรกะในการแกป้ ัญหา ใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศและการสื่อสารในการทำงานร่วมกัน เข้าใจสิทธิและ
หนา้ ท่ขี องตน เคารพสทิ ธิของผู้อ่นื

❖ ต้ังคำถามหรือกำหนดปัญหาเก่ียวกับส่ิงท่ีจะเรียนรู้ตามที่กำหนดให้หรือตามความสนใจ
คาดคะเนคำตอบหลายแนวทาง สรา้ งสมมติฐานที่สอดคล้องกับคำถามหรือปัญหาที่จะสำรวจตรวจสอบ
วางแผนและสำรวจตรวจสอบโดยใชเ้ ครอื่ งมือ อุปกรณ์ และเทคโนโลยีสารสนเทศท่เี หมาะสม ในการเก็บ
รวบรวมขอ้ มลู ท้งั เชงิ ปรมิ าณและคณุ ภาพ

❖ วิเคราะห์ข้อมูล ลงความเห็น และสรุปความสัมพันธ์ของข้อมูลที่มาจากการสำรวจ
ตรวจสอบในรูปแบบที่เหมาะสม เพ่ือส่ือสารความรู้จากผลการสำรวจตรวจสอบได้อย่างมีเหตุผลและ
หลักฐานอ้างอิง

❖ แสดงถึงความสนใจ มุ่งม่ัน ในสิ่งท่ีจะเรียนรู้ มีความคิดสร้างสรรค์เกี่ยวกับเรื่องที่จะศึกษา
ตามความสนใจของตนเอง แสดงความคดิ เห็นของตนเอง ยอมรับในขอ้ มูลที่มีหลักฐานอ้างอิง และรับฟัง
ความคดิ เหน็ ผ้อู ่นื

❖ แสดงความรับผิดชอบด้วยการทำงานที่ได้รับมอบหมายอย่างมุ่งม่ัน รอบคอบ ประหยัด
ซอื่ สตั ย์ จนงานลุลว่ งเป็นผลสำเรจ็ และทำงานรว่ มกับผู้อ่ืนอย่างสร้างสรรค์

❖ ตระหนักในคุณค่าของความรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ใช้ความรู้และกระบวนการทาง
วิทยาศาสตร์ในการดำรงชวี ิต แสดงความชน่ื ชม ยกยอ่ ง และเคารพสิทธิในผลงานของผู้คิดคน้ และศึกษา
หาความรเู้ พ่ิมเติม ทำโครงงานหรอื ชิน้ งานตามที่กำหนดใหห้ รือตามความสนใจ

❖ แสดงถึงความซาบซึ้ง ห่วงใย แสดงพฤติกรรมเกี่ยวกับการใช้ การดูแลรัก ษา
ทรัพยากรธรรมชาติและสงิ่ แวดลอ้ มอยา่ งรู้คณุ ค่า

จบชน้ั มัธยมศึกษาปีท่ี ๓

❖ เข้าใจลักษณะและองค์ประกอบที่สำคัญของเซลล์สิ่งมีชีวิต ความสัมพันธ์ของการ
ทำงานของระบบต่างๆในร่างกายมนุษย์ การดำรงชีวิตของพืช การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม
การเปลี่ยนแปลงของยีนหรือโครโมโซม และตัวอย่างโรคที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรม
ประโยชน์และผลกระทบของสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรม ความหลากหลายทางชีวภาพ ปฏิสัมพันธ์
ขององค์ประกอบของระบบนิเวศและการถ่ายทอดพลังงานในสิง่ มีชวี ิต

❖ เข้าใจองค์ประกอบและสมบัติของธาตุ สารละลาย สารบริสุทธ์ิ สารผสม หลั
กการแยกสาร การเปลี่ยนแปลงของสารในรูปแบบของการเปลี่ยนสถานะ การเกิดสารละลาย และ
การเกิดปฏิกริ ิยาเคมี และสมบัตทิ างกายภาพ และการใช้ประโยชน์ของวสั ดุประเภทพอลเิ มอร์ เซรา
มกิ ส์ และวัสดุผสม

❖ เข้าใจการเคลื่อนท่ี แรงลัพธ์และผลของแรงลัพธ์กระทำต่อวัตถุ โมเมนต์ของแรง
แรงทีป่ รากฏในชีวติ ประจำวัน สนามของแรง ความสมั พนั ธข์ องงาน พลงั งานจลน์ พลงั งานศักย์โน้มถ่วง

โรงเรียนบ้านคลองอุดม
สำนักงานเขตพ้นื ท่ีการศึกษาประถมศกึ ษาฉะเชงิ เทรา เขต ๒

กฎการอนุรักษ์พลังงาน การถ่ายโอนพลังงาน สมดุลความร้อน ความสัมพันธ์ของปริมาณทางไฟฟ้า
การต่อวงจรไฟฟ้าในบา้ น พลงั งานไฟฟ้า และหลกั การเบื้องต้นของวงจรอเิ ลก็ ทรอนิกส์

❖ เข้า ใจ ส ม บัติขอ งค ลื่น แ ล ะ ลัก ษ ณ ะข องค ลื่น แ บ บ ต่าง ๆ แ ส ง กา รส ะ ท้อ น
การหกั เหของแสงและทศั นอปุ กรณ์

❖ เข้าใจก ารโคจรของด าว เค ราะ ห์รอบ ดวงอาทิตย์ การเกิด ฤดู การเคลื่อน ที่
ปรากฏของดวงอาทิตย์ การเกิดข้างขึ้นข้างแรม การขึ้นและตกของดวงจันทร์ การเกิดน้ำขึ้นน้ำลง
ประโยชน์ของเทคโนโลยีอวกาศ และความกา้ วหนา้ ของโครงการสำรวจอวกาศ

❖ เข้าใจลักษณะของชั้นบรรยากาศ องค์ประกอบและปัจจัยที่มีผลต่อลมฟ้าอากาศ
การเกิดและผลกระทบของพายุฟ้าคะนอง พายุหมุนเขตร้อน การพยากรณ์อากาศ สถานการณ์
การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศโลก กระบวนการเกิดเชื้อเพลิงซากดึกดำบรรพ์และการใช้ประโยชน์
พลังงานทดแทนและการใช้ประโยชน์ ลักษณะโครงสร้างภายในโลก กระบวนการเปลี่ยนแปลง
ทางธรณีวิทยาบนผิวโลก ลักษณะชั้นหน้าตัดดิน กระบวนการเกิดดิน แหล่งน้ำผิวดิน แหล่งน้ำใต้ดิน
กระบวนการเกดิ และผลกระทบของภยั ธรรมชาติ และธรณีพิบตั ิภัย

❖ เข้าใจแนวคิดหลักของเทคโนโลยี ได้แก่ ระบบทางเทคโนโลยี การเปลี่ยนแปลง
ของเทคโนโลยี ความสัมพันธ์ระหว่างเทคโนโลยีกับศาสตร์อื่น โดยเฉพาะวิทยาศาสตร์ หรือ
คณิตศาสตร์ วิเคราะห์ เปรียบเทียบ และตัดสินใจเพื่อเลือกใช้เทคโนโลยี โดยคำนึงถึงผลกระทบ
ต่อชีวิต สังคม และสิ่งแวดล้อม ประยุกต์ใช้ความรู้ ทักษะ และทรัพยากรเพื่อออกแบบและสร้าง
ผลงานสำหรับการแก้ปัญหาในชีวิตประจำวันหรือการประกอบอาชีพ โดยใช้กระบวนการออกแบบ
เชงิ วิศวกรรม รวมทัง้ เลือกใชว้ สั ดุ อุปกรณ์ และเคร่ืองมือได้อยา่ งถูกต้อง เหมาะสม ปลอดภยั รวมท้ัง
คำนงึ ถึงทรพั ย์สนิ ทางปัญญา

❖ นำข้อมูลปฐมภูมิเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ วิเคราะห์ ประเมิน นำเสนอข้อมูล
และสารสนเทศได้ตามวัตถุประสงค์ ใช้ทักษะการคิดเชิงคำนวณในการแก้ปัญหาที่พบในชีวิตจริง
และเขียนโปรแกรมอย่างง่ายเพื่อช่วยในการแก้ปัญหา ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
อย่างรเู้ ท่าทนั และรับผดิ ชอบต่อสังคม

❖ ตั้งคำถามห รือกำหนดปัญหาที่เชื่อมโยงกับพยานหลักฐาน หรือหลักการทาง
วิทยาศาสตรท์ ีม่ ีการกำหนดและควบคุมตวั แปร คิดคาดคะเนคำตอบหลายแนวทาง สร้างสมมตฐิ าน
ทีส่ ามารถนำไปสูก่ ารสำรวจตรวจสอบ ออกแบบและลงมอื สำรวจตรวจสอบโดยใช้วสั ดุและเครือ่ งมือ
ที่เหมาะสม เลือกใช้เครื่องมือและเทคโนโลยีสารสนเทศที่เหมาะสมในการเก็บรวบรวมข้อมูล ทั้งใน
เชงิ ปริมาณและคณุ ภาพทไ่ี ด้ผลเที่ยงตรงและปลอดภัย

❖ วิเคราะห์และประเมินความสอดคล้องของข้อมูลที่ได้จากการสำรวจตรวจสอบ
จากพยานหลักฐาน โดยใช้ความรู้และหลักการทางวิทยาศาสตร์ในการแปลความหมายและลงข้อสรุป
และสื่อสารความคิด ความรู้ จากผลการสำรวจตรวจสอบหลากหลายรูปแบบ หรือใช้เทคโนโลยี
สารสนเทศเพอื่ ให้ผูอ้ ื่นเขา้ ใจไดอ้ ย่างเหมาะสม

โรงเรียนบา้ นคลองอดุ ม
สำนักงานเขตพนื้ ท่ีการศกึ ษาประถมศกึ ษาฉะเชงิ เทรา เขต ๒

❖ แสดงถึงความสนใจ มุ่งมั่น รับผิดชอบ รอบคอบ และซื่อสัตย์ ในสิ่งที่จะเรียนรู้
มีความคิดสร้างสรรค์เกี่ยวกับเรื่องที่จะศึกษาตามความสนใจของตนเอง โดยใช้เครื่องมือและวิธีการ
ที่ให้ได้ผลถูกต้อง เชื่อถือได้ ศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมจากแหล่งความรู้ต่าง ๆ แสดงความคิดเห็นของ
ตนเอง รับฟังความคิดเห็นผู้อื่น และยอมรับการเปลี่ยนแปลงความรู้ที่ค้นพบ เมื่อมีข้อมูล
และประจกั ษพ์ ยานใหมเ่ พิ่มขึน้ หรอื โต้แยง้ จากเดิม

❖ ตระหนักในคุณค่าของความรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ใช้ในชีวิตประจำวัน
ใช้ความรู้และกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในการดำรงชีวิต และการประกอบอาชีพ
แสดงความชื่นชม ยกย่อง และเคารพสิทธิในผลงานของผู้คิดค้น เข้าใจผลกระทบทั้งด้านบวกและ
ด้านลบของการพัฒนาทางวิทยาศาสตร์ต่อสิ่งแวดล้อมและต่อบริบทอื่น ๆ และศึกษาหาความรู้
เพมิ่ เตมิ ทำโครงงานหรือสรา้ งชิน้ งานตามความสนใจ

❖ แสดงถึงความซาบซึ้ง ห่วงใย มีพฤติกรรมเกี่ยวกับการดูแลรักษาความสมดุล
ของระบบนิเวศ และความหลากหลายทางชวี ภาพ

โรงเรยี นบา้ นคลองอุดม
สำนักงานเขตพน้ื ท่ีการศึกษาประถมศกึ ษาฉะเชงิ เทรา เขต ๒

ตัวชวี้ ัดและสาระการเรยี นร้แู กนกลาง

สาระท่ี 1 วิทยาศาสตร์ชีวภาพ
มาตรฐาน ว 1.1 เขา้ ใจความหลากหลายของระบบนิเวศ ความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งสง่ิ ไมม่ ีชีวติ กบั สง่ิ มีชวี ิต

และความสมั พนั ธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตกบั ส่งิ มชี ีวติ ตา่ งๆ ในระบบนิเวศ การถา่ ยทอด
พลังงาน การเปล่ยี นแปลงแทนทีใ่ นระบบนิเวศ ความหมายของประชากร ปัญหาและ
ผลกระทบท่ีมีต่อทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสง่ิ แวดล้อม แนวทางในการอนรุ กั ษ์
ทรัพยากรธรรมชาติ และการแกไ้ ขปญั หาสิง่ แวดลอ้ มรวมทัง้ นำความรู้ไปใช้ประโยชน์

ช้นั ตัวช้วี ดั สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง
ป.๑ ๑. ระบชุ ่ือพืช และสตั วท์ ่ีอาศัยอย่บู รเิ วณ
• บรเิ วณตา่ งๆ ในทอ้ งถนิ่ เช่น สนามหญา้ ใต้ตน้ ไม้
ตา่ งๆ จากขอ้ มลู ท่รี วบรวมได้ สวนหยอ่ ม แหล่งนำ้ อาจพบพืช และสัตว์หลายชนดิ
๒. บอกสภาพแวดลอ้ มทเี่ หมาะสมกับการ อาศัยอยู่

ดำรงชวี ติ ของสตั วใ์ นบรเิ วณทอ่ี าศัยอยู่ • บริเวณทแ่ี ตกตา่ งกันอาจพบพชื และสตั ว์แตกต่างกนั
เพราะสภาพแวดล้อมของแต่ละบรเิ วณจะมคี วาม
ป.๒ - เหมาะสมต่อการดำรงชวี ิตของพชื และสตั วท์ ี่อาศยั อยู่ใน
ป.๓ - แต่ละบริเวณ เชน่ สระน้ำ มีนำ้ เป็นทอ่ี ยู่อาศัยของหอย
ป.๔ - ปลา สาหร่าย เปน็ ทห่ี ลบภัยและมแี หลง่ อาหารของหอย
ป.๕ ๑. บรรยายโครงสร้างและลักษณะของ และปลา บริเวณต้นมะม่วงมีตน้ มะม่วงเป็นแหล่งทอี่ ยู่
และมอี าหารสำหรับกระรอกและมด
ส่งิ มชี วี ติ ที่เหมาะสมกบั การดำรงชวี ติ ซ่งึ
เป็นผลมาจากการปรบั ตัวของสิ่งมชี ีวติ • ถา้ สภาพแวดลอ้ มในบรเิ วณท่พี ืชและสตั วอ์ าศยั อยมู่ ีการ
ในแตล่ ะแหล่งท่ีอยู่ เปล่ยี นแปลง จะมผี ลตอ่ การดำรงชวี ิตของพืชและสัตว์

-

-

-

• ส่งิ มีชวี ติ ทั้งพืชและสตั วม์ ีโครงสร้างและลักษณะท่ี

เหมาะสมในแตล่ ะแหล่งท่ีอยูซ่ งึ่ เป็นผลมาจากการ

ปรับตัวของส่งิ มชี วี ิต เพ่ือใหด้ ํารงชีวิตและอยู่รอดได้ใน

แตล่ ะแหล่งทอี่ ยู่ เช่น ผักตบชวามีชอ่ งอากาศในกา้ น

ใบ ช่วยใหล้ อยน้ำได้ ต้นโกงกางทข่ี ้ึนอยู่ในปา่ ชายเลน

มีรากค้ำจุนทําใหล้ ําต้นไม่ลม้ ปลามีครีบช่วยในการ

เคลอ่ื นท่ีในน้ำ

โรงเรยี นบา้ นคลองอดุ ม
สำนักงานเขตพื้นที่การศกึ ษาประถมศกึ ษาฉะเชงิ เทรา เขต ๒

ชน้ั ตวั ชว้ี ัด สาระการเรียนรูแ้ กนกลาง

ป.๕ ๒. อธิบายความสัมพันธ์ระหว่างส่งิ มชี วี ติ กบั • ในแหลง่ ทีอ่ ย่หู นึ่ง ๆ ส่งิ มชี ีวิตจะมีความสมั พนั ธซ์ ึ่งกัน
ส่ิงมีชวี ติ และความสมั พันธ์ระหว่าง
และกนั และสัมพนั ธ์กับสิ่งไมม่ ีชีวิต เพ่ือประโยชนต์ ่
ส่งิ มีชีวิตกับส่งิ ไม่มชี ีวิต เพ่ือประโยชน์ การดํารงชวี ติ เช่น ความสมั พันธก์ นั ด้านการกินกนั เป็น
ตอ่ การดํารงชีวติ
อาหารเปน็ แหล่งท่ีอยอู่ าศัยหลบภัยและเลี้ยงดูลกู ออ่ น
๓. เขียนโซอ่ าหารและระบุบทบาทหนา้ ท่ี
ของส่งิ มชี ีวติ ทเ่ี ป็นผู้ผลติ และผบู้ รโิ ภคใน • ใช้อากาศในการหายใจ
สง่ิ มีชวี ิตมกี ารกนิ กนั เป็นอาหาร โดยกนิ ตอ่ กนั เปน็ ทอดๆ
โซ่อาหาร
ในรูปแบบของโซอ่ าหาร ทาํ ให้สามารถระบบุ ทบาท
๔. ตระหนกั ในคุณคา่ ของส่งิ แวดล้อมทม่ี ตี อ่ หน้าท่ขี องสง่ิ มีชวี ิตเปน็ ผู้ผลติ และผบู้ รโิ ภค
การดาํ รงชีวติ ของส่ิงมีชีวติ โดยมสี ่วน

ร่วมในการดแู ลรกั ษาสง่ิ แวดลอ้ ม

ป.๖ - -

ม.๑ - -

ม.๒ - -

ม.๓ ๑. อธบิ ายปฏสิ มั พันธข์ ององค์ประกอบของ • ระบบนเิ วศประกอบด้วยองคป์ ระกอบทม่ี ีชวี ิต เช่น พืช

ระบบนเิ วศทไ่ี ดจ้ ากการสาํ รวจ สัตว์ จลุ ินทรีย์ และองค์ประกอบที่ไม่มชี ีวิต เชน่ แสง น้ำ

อณุ หภูมิ แร่ธาตุ แก๊ส องค์ประกอบเหลา่ นมี้ ีปฏิสัมพันธ์

กนั เช่นพชื ตอ้ งการแสง น้ำ และแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์

ในการสร้างอาหาร สตั วต์ ้องการอาหาร และสภาพ

แวดลอ้ มทีเ่ หมาะสมในการดํารงชีวติ เช่น อณุ หภูมิ

ความชนื้ องค์ประกอบทั้งสองส่วนน้ีจะต้องมีความ

สมั พนั ธ์กันอย่างเหมาะสม ระบบนเิ วศจงึ จะสามารถคง

อยตู่ อ่ ไปได้

๒. อธิบายรปู แบบความสมั พันธ์ระหว่าง • สง่ิ มีชีวติ กบั สิง่ มชี ีวิตมีความสัมพันธก์ นั ในรูปแบบตา่ ง ๆ

สิ่งมีชีวิตกับสงิ่ มีชวี ติ รปู แบบตา่ งๆใน เชน่ ภาวะพง่ึ พากัน ภาวะองิ อาศยั ภาวะเหย่ือกับผู้ลา่

แหล่งท่ีอยู่เดียวกันท่ีได้จากการสํารวจ ภาวะปรสิต

• สิ่งมีชวี ิตชนิดเดียวกนั ที่อาศยั อยู่ร่วมกันในแหลง่ ทอ่ี ยู่

เดยี วกัน ในช่วงเวลาเดียวกัน เรียกวา่ ประชากร

• กลมุ่ สิ่งมีชีวติ ประกอบด้วยประชากรของสิ่งมชี ีวติ

หลายๆ ชนดิ อาศัยอยู่รว่ มกนั ในแหลง่ ทอี่ ย่เู ดยี วกนั

โรงเรยี นบา้ นคลองอดุ ม
สำนักงานเขตพ้นื ท่ีการศกึ ษาประถมศกึ ษาฉะเชงิ เทรา เขต ๒

ชนั้ ตวั ช้ีวดั สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง

ม.๓ ๓. สร้างแบบจาํ ลองในการอธิบายการ • กลมุ่ สิง่ มชี ีวิตในระบบนิเวศแบ่งตามหนา้ ทไี่ ด้เป็น

ถา่ ยทอดพลังงานในสายใยอาหาร ๓ กลุ่ม ไดแ้ ก่ ผูผ้ ลติ ผบู้ ริโภค และผู้ยอ่ ยสลาย

๔. อธบิ ายความสัมพันธ์ของผู้ผลติ ผบู้ ริโภค สารอินทรีย์ ส่งิ มชี ีวิตทงั้ ๓ กล่มุ นี้มคี วามสมั พันธ์กัน

และผยู้ ่อยสลายสารอนิ ทรียใ์ นระบบ ผู้ผลติ เป็นส่งิ มชี ีวติ ทสี่ รา้ งอาหารไดเ้ อง โดยกระบวนการ

นิเวศ สังเคราะห์ด้วยแสง ผู้บริโภค เป็นสิง่ มีชวี ิตทีไ่ มส่ ามารถ

๕. อธิบายการสะสมสารพิษในสงิ่ มชี ีวิต สร้างอาหารได้เอง และตอ้ งกินผผู้ ลิตหรือสิง่ มีชวี ติ อ่ืน

ในโซ่อาหาร เป็นอาหาร เมื่อผู้ผลติ และผู้บรโิ ภคตายลง จะถูกยอ่ ย

๖. ตระหนกั ถงึ ความสัมพนั ธ์ของสง่ิ มชี วี ิต โดยผยู้ อ่ ยสลายสารอนิ ทรียซ์ ึ่งจะเปล่ยี นสารอนิ ทรยี ์เปน็

และสงิ่ แวดลอ้ มในระบบนิเวศ โดยไม่ สารอนินทรยี ์กลบั คืนสู่สิง่ แวดล้อมทําใหเ้ กิดการหมุน

ทําลายสมดลุ ของระบบนเิ วศ เวียนสารเป็นวฏั จกั ร จํานวนผผู้ ลติ ผบู้ รโิ ภคและผู้ยอ่ ย

สลายสารอินทรยี จ์ ะตอ้ งมคี วามเหมาะสม จึงทําให้กลมุ่

สง่ิ มชี ีวิตอยไู่ ด้อย่างสมดุล

• พลังงานถูกถ่ายทอดจากผู้ผลิตไปยงั ผบู้ ริโภคลําดบั

ต่างๆ รวมทงั้ ผ้ยู อ่ ยสลายสารอนิ ทรียใ์ นรูปแบบสายใย

อาหาร ทปี่ ระกอบด้วยโซ่อาหารหลายโซท่ สี่ มั พนั ธก์ ัน

ในการถา่ ยทอดพลงั งานในโซอ่ าหาร พลังงานทีถ่ ูก

ถ่ายทอดไปจะลดลงเรอ่ื ย ๆ ตามลาํ ดบั ของการบรโิ ภค

• การถ่ายทอดพลงั งานในระบบนเิ วศ อาจทาํ ใหม้ สี ารพิษ

สะสมอย่ใู นสิ่งมีชวี ติ ไดจ้ นอาจกอ่ ใหเ้ กิดอันตรายตอ่

สง่ิ มชี วี ิต และทําลายสมดลุ ในระบบนิเวศ ดังนนั้ การดแู ล

รักษาระบบนิเวศใหเ้ กิดความสมดุล และคงอยตู่ ลอดไป

จงึ เป็นสงิ่ สาํ คัญ

โรงเรยี นบ้านคลองอดุ ม
สำนักงานเขตพ้ืนที่การศกึ ษาประถมศกึ ษาฉะเชงิ เทรา เขต ๒

สาระที่ ๑ วิทยาศาสตร์ชวี ภาพ
มาตรฐาน ว ๑.๒ เขา้ ใจสมบัตขิ องสิง่ มชี ีวติ หน่วยพื้นฐานของสงิ่ มีชวี ิต การลำเลียงสารผ่านเซลล์

ความสัมพันธ์ของโครงสร้าง และหน้าทข่ี องระบบตา่ ง ๆ ของสัตวแ์ ละมนุษยท์ ่ที ำงาน
สมั พันธ์กนั ความสมั พันธข์ องโครงสรา้ ง และหน้าท่ขี องอวยั วะต่าง ๆ ของพืชท่ที างาน
สัมพนั ธก์ ันรวมทงั้ นาความร้ไู ปใช้ประโยชน์

ชัน้ ตัวชว้ี ัด สาระการเรียนรแู้ กนกลาง

ป.1 ๑. ระบุชอ่ื บรรยายลกั ษณะและบอกหนา้ ท่ี • มนษุ ย์มสี ว่ นตา่ ง ๆ ท่ีมีลักษณะและหนา้ ท่ีแตกตา่ งกัน

ของสว่ นตา่ ง ๆ ของร่างกายมนุษยส์ ัตว์ เพื่อให้เหมาะสมในการดํารงชีวิตเชน่ ตา มหี น้าที่ไว้

และพืชรวมทง้ั บรรยายการทําหนา้ ท่ี มองดโู ดยมหี นงั ตาและขนตาเพื่อปอ้ งกนั อันตรายใหก้ บั

รว่ มกนั ของสว่ นต่างๆของรา่ งกายมนุษย์ ตา หู มีหน้าทร่ี ับฟังเสยี ง โดยมีใบหู และรหู ู เพ่อื เปน็

ในการทาํ กจิ กรรมตา่ งๆจากขอ้ มลู ที่ ทางผ่านของเสยี ง ปาก มหี น้าทพ่ี ูด กนิ อาหาร มีช่อง

รวบรวมได้ ปากและมีริมฝปี ากบนลา่ ง แขนและมอื มีหนา้ ทย่ี ก หยิบ

๒. ตระหนักถงึ ความสาํ คัญของสว่ นตา่ ง ๆ จับมีทอ่ นแขนและนวิ้ มือที่ขยบั ไดส้ มองมีหน้าทค่ี วบคุม

ของร่างกายตนเอง โดยการดแู ลสว่ น การทํางานของส่วนต่าง ๆ ของร่างกายอยู่ในกะโหลก

ตา่ ง ๆ อย่างถกู ต้อง ให้ปลอดภัย และ ศรี ษะ โดยสว่ นต่างๆของรา่ งกายจะทําหน้าที่รว่ มกันใน

รักษาความสะอาดอยเู่ สมอ การทํากจิ กรรมในชีวิตประจาํ วัน

• สตั ว์มีหลายชนดิ แตล่ ะชนดิ มีสว่ นตา่ ง ๆ ทีม่ ีลักษณะ

และหน้าท่แี ตกตา่ งกนั เพ่ือใหเ้ หมาะสมในการดํารงชีวติ

เชน่ ปลามีครบี เป็นแผน่ สว่ นกบ เต่า แมว มีขา ๔ ขา

และมีเท้าสาํ หรบั ใชใ้ นการเคลื่อนที่

• พชื มสี ่วนตา่ ง ๆ ทมี่ ลี กั ษณะและหนา้ ทแี่ ตกตา่ งกนั

เพ่อื ให้เหมาะสมในการดํารงชวี ติ โดยท่วั ไป รากมี

ลักษณะเรียวยาว และแตกแขนงเปน็ รากเล็ก ๆทําหน้าท่ี

ดูดนา้ํ ลําต้นมีลกั ษณะเป็นทรงกระบอกตั้งตรงและมีกง่ิ

กา้ น ทาํ หนา้ ท่ชี ูกิ่งกา้ น ใบ และดอก ใบมลี ักษณะเป็น

แผน่ แบน ทาํ หนา้ ที่สร้างอาหาร นอกจากน้พี ชื หลาย

ชนดิ อาจมดี อกท่ีมสี ีรปู ร่างตา่ ง ๆ ทาํ หน้าท่ีสืบพันธุ์

รวมทง้ั มีผลท่มี เี ปลือก มีเน้อื ห่อห้มุ เมล็ด และมีเมลด็

ซ่งึ สามารถงอกเป็นตน้ ใหม่ได้

• มนุษยใ์ ชส้ ว่ นตา่ ง ๆ ของรา่ งกายในการทาํ กจิ กรรม

ตา่ ง ๆ เพอื่ การดํารงชีวติ มนุษยจ์ ึงควรใช้ส่วนตา่ ง ๆ

ของรา่ งกายอยา่ งถูกตอ้ ง ปลอดภยั และรกั ษาความ

โรงเรยี นบ้านคลองอดุ ม
สำนักงานเขตพนื้ ที่การศกึ ษาประถมศกึ ษาฉะเชงิ เทรา เขต ๒

ชน้ั ตวั ช้วี ัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง

ป.1 สะอาดอยู่เสมอ เชน่ ใช้ตามองตวั หนังสอื ในที่ทมี่ ีแสง

สว่างเพียงพอ ดแู ลตาใหป้ ลอดภัยจากอันตราย และ

รกั ษาความสะอาดตาอยู่เสมอ

ป.๒ ๑. ระบุวา่ พชื ต้องการแสงและน้ำ เพ่ือการ • พชื ตอ้ งการน้ำ แสง เพอ่ื การเจรญิ เติบโต

เจริญเตบิ โต โดยใช้ขอ้ มลู จากหลกั ฐาน

เชิงประจกั ษ์

๒. ตระหนกั ถงึ ความจาํ เปน็ ท่ีพืชต้องไดร้ บั

น้ำและแสงเพื่อการเจรญิ เตบิ โต โดย

ดแู ลพชื ให้ได้รบั สิ่งดังกลา่ วอยา่ ง

เหมาะสม

๓. สรา้ งแบบจาํ ลองทีบ่ รรยายวัฏจักรชวี ิต • พชื ดอกเม่ือเจริญเตบิ โตและมีดอก ดอกจะมีการสืบพันธ์ุ

ของพชื ดอก เปล่ียนแปลงไปเปน็ ผล ภายในผลมีเมลด็ เม่ือเมลด็ งอก

ต้นอ่อนทอ่ี ยูภ่ ายในเมลด็ จะเจรญิ เติบโตเปน็ พชื ตน้ ใหม่

พชื ต้นใหม่จะเจริญเติบโตออกดอกเพ่ือสบื พนั ธุ์มีผล

ต่อไปได้อกี หมนุ เวียนต่อเนื่องเปน็ วัฏจกั รชวี ิตของพชื

ดอก

ป.๓ ๑. บรรยายสิง่ ทีจ่ ําเปน็ ตอ่ การดํารงชีวิต • มนุษย์และสัตวต์ ้องการอาหาร น้ำ และอากาศเพือ่ การ

และการเจริญเตบิ โตของมนษุ ย์และสตั ว์ ดํารงชีวติ และการเจรญิ เตบิ โต

โดยใช้ข้อมลู ท่รี วบรวมได้ • อาหารชว่ ยใหร้ ่างกายแข็งแรงและเจริญเติบโตนํา้ ช่วยให้

๒. ตระหนกั ถงึ ประโยชน์ของอาหาร นำ้ รา่ งกายทาํ งานได้อยา่ งปกติอากาศใช้ในการหายใจ

และอากาศโดยการดแู ลตนเองและสตั ว์

ให้ได้รับสง่ิ เหลา่ นี้อย่างเหมาะสม

๓. สร้างแบบจําลองทบี่ รรยายวฏั จักรชีวิต • สัตวเ์ มอื่ เปน็ ตัวเต็มวยั จะสบื พนั ธุ์มลี กู เมือ่ ลูก

ของสัตว์และเปรียบเทียบวัฏจักรชวี ิต เจรญิ เตบิ โตเปน็ ตัวเต็มวัยกส็ ืบพันธ์มุ ีลกู ต่อไปไดอ้ กี

ของสตั วบ์ างชนิด หมุนเวยี นตอ่ เนื่องเปน็ วัฏจักรชวี ิตของสัตวซ์ ง่ึ สตั วแ์ ต่ละ

๔. ตระหนักถงึ คุณค่าของชีวิตสัตว์โดยไมท่ าํ ชนดิ เชน่ ผเี สื้อ กบ ไก่มนษุ ยจ์ ะมวี ัฏจกั รชวี ิตทเ่ี ฉพาะ

ให้วฏั จกั รชวี ิตของสัตว์เปลีย่ นแปลง และแตกต่างกัน

ป.๔ ๑. บรรยายหนา้ ทข่ี องราก ลาํ ต้น ใบ และ • สว่ นตา่ งๆของพชื ดอกทาํ หนา้ ที่แตกต่างกัน

ดอกของพชื ดอก โดยใชข้ ้อมลู ท่ีรวบรวม - รากทําหนา้ ทีด่ ูดนํา้ และธาตุอาหารขึน้ ไปยงั ลาํ ตน้

ได้ - ลาํ ต้นทําหนา้ ท่ลี ําเลียงนํ้าตอ่ ไปยังส่วนตา่ ง ๆของพชื

- ใบทําหน้าทส่ี รา้ งอาหาร อาหารที่พืชสรา้ งขึน้ คือ

โรงเรียนบา้ นคลองอุดม
สำนักงานเขตพนื้ ท่ีการศึกษาประถมศกึ ษาฉะเชงิ เทรา เขต ๒

ชัน้ ตัวชว้ี ัด สาระการเรยี นรู้แกนกลาง

ป.๔ น้ำตาลซึ่งจะเปล่ยี นเปน็ แปง้

- ดอกทาํ หน้าทสี่ บื พันธ์ุประกอบด้วยส่วนประกอบ

ตา่ ง ๆ ไดแ้ กก่ ลบี เล้ียง กลีบดอกเกสรเพศผู้และเกสร

เพศเมีย ซ่ึงส่วนประกอบแต่ละสว่ นของดอกทําหน้าท่ี

แตกต่างกัน

ป.๕ - -

ป.๖ ๑. ระบุสารอาหารและบอกประโยชน์ของ • สารอาหารทอ่ี ย่ใู นอาหารมี๖ ประเภท ไดแ้ ก่

สารอาหารแต่ละประเภทจากอาหารที่ คาร์โบไฮเดรต โปรตนี ไขมนั เกลอื แร่ วิตามนิ และน้ำ

ตนเองรบั ประทาน • อาหารแตล่ ะชนิดประกอบด้วยสารอาหารทแ่ี ตกต่างกัน

๒. บอกแนวทางในการเลอื กรบั ประทาน อาหารบางอยา่ งประกอบดว้ ยสารอาหารประเภทเดียว

อาหารใหไ้ ด้สารอาหารครบถว้ น ใน อาหารบางอยา่ งประกอบดว้ ยสารอาหารมากกว่าหนึง่

สดั ส่วนที่เหมาะสมกบั เพศและวัยรวมท้ัง ประเภท

ความปลอดภัยตอ่ สุขภาพ • สารอาหารแต่ละประเภทมีประโยชน์ตอ่ รา่ งกายแตกตา่ ง

๓. ตระหนักถงึ ความสําคญั ของสารอาหาร กัน โดยคารโ์ บไฮเดรต โปรตีน และไขมนั เปน็ สารอาหาร

โดยการเลือกรับประทานอาหารทม่ี ี ท่ีใหพ้ ลังงานแก่ร่างกายส่วนเกลือแร่วติ ามิน และน้ำ

สารอาหารครบถ้วนในสัดสว่ นท่ี เปน็ สารอาหารทไ่ี มใ่ ห้พลังงานแก่รา่ งกาย แต่ช่วยให้

เหมาะสมกบั เพศและวยั รวมท้ัง รา่ งกายทาํ งานได้เป็นปกติ

ปลอดภยั ต่อสขุ ภาพ • การรับประทานอาหาร เพ่ือให้รา่ งกายเจริญเตบิ โต มี

การเปลีย่ นแปลงของรา่ งกายตามเพศและวยั และมี

สุขภาพดีจาํ เป็นต้องรับประทานให้ได้พลังงานเพียงพอ

กบั ความตอ้ งการของร่างกายและให้ได้สารอาหาร

ครบถ้วน ในสัดส่วนทเี่ หมาะสมกับเพศและวัย รวมทัง้

ตอ้ งคาํ นึงถงึ ชนดิ และปรมิ าณของวัตถเุ จือปนในอาหาร

เพอื่ ความปลอดภัยตอ่ สุขภาพ

๔. สรา้ งแบบจําลองระบบย่อยอาหาร และ • ระบบย่อยอาหารประกอบดว้ ยอวยั วะต่างๆ ไดแ้ ก่

บรรยายหนา้ ที่ของอวัยวะในระบบย่อย ปาก หลอดอาหาร กระเพาะอาหาร ลาํ ไสเ้ ลก็ ลาํ ไส้ใหญ่

อาหาร รวมทง้ั อธบิ ายการยอ่ ยอาหาร ทวารหนกั ตับ และตบั ออ่ น ซ่ึงทําหน้าทร่ี ่วมกันในการ

และการดดู ซึมสารอาหาร ย่อยและดูดซึมสารอาหาร

๕. ตระหนักถงึ ความสาํ คัญของระบบยอ่ ย • ปากมฟี ันชว่ ยบดเค้ียวอาหารใหม้ ีขนาดเล็กลงและมีลน้ิ

อาหารโดยการบอกแนวทางในการดูแล ชว่ ยคลุกเคล้าอาหารกบั น้ำลายในน้ำลายมเี อนไซม์ยอ่ ย

รกั ษาอวยั วะในระบบย่อยอาหารให้ แป้งให้เป็นน้ำตาล

โรงเรียนบา้ นคลองอดุ ม
สำนักงานเขตพื้นท่ีการศกึ ษาประถมศกึ ษาฉะเชงิ เทรา เขต ๒

ชั้น ตวั ชว้ี ัด สาระการเรยี นรู้แกนกลาง
ป.๖ ทํางานเป็นปกติ • หลอดอาหารทาํ หนา้ ทีล่ ําเลียงอาหารจากปากไปยงั

ม.๑ ๑. เปรยี บเทียบรปู ร่าง ลักษณะ และ กระเพาะอาหาร ภายในกระเพาะอาหารมกี ารย่อย
โครงสรา้ งของเซลลพ์ ืช และเซลล์สัตว์ โปรตนี โดยกรดและเอนไซม์ที่สร้างจากกระเพาะอาหาร
รวมทง้ั บรรยายหนา้ ที่ของผนังเซลล์ • ลาํ ไส้เลก็ มเี อนไซมท์ ี่สรา้ งจากผนังลําไสเ้ ล็กเองและจาก
เย่อื หุ้มเซลล์ ไซโทพลาซมึ นวิ เคลยี ส ตับออ่ นทช่ี ว่ ยยอ่ ยโปรตีน คาร์โบไฮเดรต และไขมัน โดย
แวคิวโอล ไมโทคอนเดรยี และ โปรตนี คารโ์ บไฮเดรต และไขมัน ทผ่ี า่ นการย่อยจนเป็น
คลอโรพลาสต์ สารอาหารขนาดเลก็ พอท่จี ะดูดซึมได้รวมถงึ น้ำ เกลือแร่
และวติ ามนิ จะถกู ดูดซึมทผี่ นงั ลําไส้เลก็ เข้าสูก่ ระแสเลือด
๒. ใช้กลอ้ งจุลทรรศนใ์ ช้แสงศกึ ษาเซลล์ เพ่ือลําเลียงไปยังสว่ นต่าง ๆ ของรา่ งกาย ซึง่ โปรตีน
และโครงสร้างตา่ ง ๆ ภายในเซลล์ คาร์โบไฮเดรต และไขมัน จะถูกนําไปใชเ้ ปน็ แหล่ง
พลงั งานสําหรบั ใช้ในกิจกรรมต่าง ๆ ส่วนน้ำ เกลอื แร่
และวติ ามนิ จะชว่ ยใหร้ ่างกายทาํ งานไดเ้ ปน็ ปกติ
• ตบั สรา้ งน้ำดแี ลว้ ส่งมายังลาํ ไสเ้ ล็กช่วยให้ไขมนั แตกตวั
• ลําไส้ใหญท่ าํ หน้าที่ดูดน้ำและเกลอื แร่ เป็นบรเิ วณท่ีมี
อาหารทย่ี ่อยไม่ได้หรอื ยอ่ ยไมห่ มดเปน็ กากอาหาร ซ่งึ จะ
ถูกกาํ จดั ออกทางทวารหนกั
• อวัยวะตา่ ง ๆ ในระบบย่อยอาหารมคี วามสําคัญจงึ ควร
ปฏิบัตติ น ดแู ลรกั ษาอวัยวะให้ทาํ งานเป็นปกติ
• เซลล์เป็นหน่วยพ้ืนฐานของส่งิ มชี วี ิตสงิ่ มีชวี ติ บางชนดิ มี
เซลล์เพียงเซลลเ์ ดียว เช่น อะมีบา พารามีเซยี ม ยีสต์
บางชนดิ มหี ลายเซลลเ์ ช่น พืช สตั ว์
• โครงสรา้ งพ้ืนฐานทีพ่ บทัง้ ในเซลล์พืชและเซลล์สัตวแ์ ละ
สามารถสงั เกตไดด้ ว้ ยกล้องจุลทรรศนใ์ ช้แสงได้แก่
เยื่อหมุ้ เซลล์ ไซโทพลาซมึ และนิวเคลยี ส โครงสร้างท่ี
พบในเซลลพ์ ชื แต่ไม่พบในเซลล์สตั วไ์ ดแ้ กผ่ นังเซลล์และ
คลอโรพลาสต์
• โครงสร้างต่างๆของเซลลม์ หี น้าท่ีแตกต่างกัน
- ผนังเซลลท์ ําหนา้ ที่ใหค้ วามแข็งแรงแก่เซลล์
- เยือ่ หมุ้ เซลลท์ ําหน้าทห่ี ่อห้มุ เซลลแ์ ละควบคุมการ
ลาํ เลียงสารเข้าและออกจากเซลล์
- นวิ เคลียส ทาํ หนา้ ท่ีควบคุมการทาํ งานของเซลล์

โรงเรียนบา้ นคลองอดุ ม
สำนักงานเขตพ้นื ท่ีการศึกษาประถมศกึ ษาฉะเชงิ เทรา เขต ๒

ชัน้ ตวั ช้วี ดั สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง

ม.๑ - ไซโทพลาซึมมอี อรแ์ กเนลลท์ ท่ี าํ หนา้ ทแ่ี ตกต่างกัน

- แวควิ โอล ทําหนา้ ที่เก็บน้ำและสารตา่ ง ๆ

- ไมโทคอนเดรยี ทําหน้าที่เกยี่ วกับการสลายสาร

อาหารเพือ่ ใหไ้ ดพ้ ลังงานแก่เซลล์

- คลอโรพลาสต์เป็นแหลง่ ทเ่ี กิดการสังเคราะห์ดว้ ยแสง

๓. อธบิ ายความสัมพนั ธร์ ะหว่างรูปรา่ ง • เซลลข์ องสง่ิ มชี ีวิตมีรูปรา่ ง ลักษณะ ท่ีหลากหลายและมี

กบั การทําหน้าที่ของเซลล์ ความเหมาะสมกบั หน้าทขี่ องเซลลน์ นั้ เชน่ เซลล์ประสาท

ส่วนใหญม่ เี สน้ ใยประสาทเปน็ แขนงยาว นํากระแส

ประสาทไปยงั เซลลอ์ ื่น ๆ ท่ีอยไู่ กลออกไป เซลลข์ นราก

เป็นเซลลผ์ วิ ของรากที่มผี นงั เซลล์และเย่ือหมุ้ เซลล์ยน่ื

ยาวออกมาลักษณะคล้ายขนเสน้ เลก็ ๆ เพ่อื เพิม่ พ้นื ท่ผี วิ

ในการดูดน้ำและธาตอุ าหาร

๔. อธิบายการจดั ระบบของส่ิงมีชีวติ โดย • พืชและสตั วเ์ ป็นสง่ิ มีชวี ิตหลายเซลลม์ ีการจัดระบบ โดย

เร่ิมจากเซลล์เนอ้ื เยือ่ อวัยวะ เร่ิมจากเซลล์ไปเป็นเน้ือเยอื่ อวัยวะ ระบบอวัยวะ และ

ระบบอวยั วะ จนเป็นส่งิ มีชีวติ ส่ิงมีชีวิตตามลําดับ เซลล์หลายเซลล์มารวมกันเปน็

เนื้อเยื่อ เนอื้ เย่ือหลายชนิดมารวมกนั และทํางานรว่ มกนั

เป็นอวัยวะอวยั วะตา่ งๆทํางานร่วมกันเป็นระบบอวัยวะ

ระบบอวยั วะทกุ ระบบทํางานรว่ มกันเปน็ ส่ิงมชี วี ิต

๕. อธิบายกระบวนการแพรแ่ ละออสโมซสิ • เซลล์มกี ารนาํ สารเข้าสู่เซลลเ์ พื่อใช้ในกระบวนการต่าง ๆ

จากหลักฐานเชิงประจักษ์และ ของเซลล์ และมกี ารขจัดสารบางอย่างทเ่ี ซลลไ์ ม่ตอ้ งการ

ยกตัวอย่างการแพรแ่ ละออสโมซสิ ใน ออกนอกเซลล์ การนาํ สารเข้า และออกจากเซลล์มีหลาย

ชวี ติ ประจําวัน วิธีเชน่ การแพร่ เป็นการเคลื่อนทข่ี องสารจากบรเิ วณท่ีมี

ความเข้มขน้ ของสารสงู ไปสูบ่ ริเวณท่มี คี วามเขม้ ข้นของ

สารต่ำ ส่วนออสโมซสิ เปน็ การแพร่ของน้ำผา่ นเย่ือหมุ้

เซลลจ์ ากด้านทีม่ ีความเข้มขน้ ของสารละลายต่ำไปยัง

ด้านทม่ี ีความเข้มข้นของสารละลายสูงกวา่

๖. ระบุปจั จัยท่ีจาํ เป็นในการสังเคราะหด์ ้วย • กระบวนการสังเคราะหด์ ว้ ยแสงของพชื ท่เี กดิ ข้ึนใน

แสง และผลผลิตทเ่ี กิดข้ึนจากการ คลอโรพลาสตจ์ าํ เปน็ ต้องใช้แสงแกส๊ คาร์บอนได-

สังเคราะห์ดว้ ยแสงโดยใชห้ ลักฐานเชงิ ออกไซดค์ ลอโรฟิลล์และน้ำ ผลผลติ ที่ได้จากการ

ประจักษ์ สงั เคราะหด์ ้วยแสง ไดแ้ ก่ น้ำตาลและแกส๊ ออกซิเจน

โรงเรียนบ้านคลองอุดม
สำนักงานเขตพืน้ ที่การศกึ ษาประถมศกึ ษาฉะเชงิ เทรา เขต ๒

ชนั้ ตัวชี้วดั สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง

ม.๑ ๗. อธบิ ายความสาํ คัญของการสังเคราะห์ • การสงั เคราะหด์ ้วยแสง เปน็ กระบวนการทส่ี ําคญั ต่อ

ด้วยแสงของพชื ตอ่ ส่งิ มีชีวิตและ สิ่งมชี ีวติ เพราะเปน็ กระบวนการเดียวทสี่ ามารถนาํ

ส่งิ แวดล้อม พลงั งานแสงมาเปลีย่ นเป็นพลงั งานในรูปสารประกอบ

๘. ตระหนกั ในคณุ คา่ ของพืชท่มี ตี ่อส่ิงมีชวี ติ อนิ ทรีย์ และเกบ็ สะสมในรูปแบบตา่ ง ๆ ในโครงสรา้ ง

และสิง่ แวดล้อม โดยการร่วมกันปลกู ของพชื พืชจึงเป็นแหลง่ อาหารและพลังงานท่ีสําคญั ของ

และดแู ลรกั ษาตน้ ไมใ้ นโรงเรียนและ สง่ิ มีชวี ติ อืน่ นอกจากนกี้ ระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง

ชมุ ชน ยังเปน็ กระบวนการหลักในการสรา้ งแกส๊ ออกซเิ จนให้กับ

บรรยากาศเพอื่ ใหส้ ิง่ มีชวี ติ อน่ื ใชใ้ นกระบวนการหายใจ

๙. บรรยายลักษณะและหนา้ ท่ีของไซเลม็ • พืชมีไซเลม็ และโฟลเอ็ม ซ่งึ เปน็ เนื้อเย่อื มลี กั ษณะคลา้ ย

และโฟลเอ็ม ทอ่ เรยี งตัวกนั เปน็ กลุ่มเฉพาะท่ีโดยไซเล็มทาํ หนา้ ท่ี

๑๐. เขียนแผนภาพที่บรรยายทิศทางการ ลาํ เลียงน้ำและธาตอุ าหารมที ิศทางลาํ เลียงจากรากไป

ลาํ เลียงสารในไซเลม็ และโฟลเอ็มของพชื สู่ลาํ ต้น ใบ และสว่ นต่างๆของพืชเพ่ือใช้ในการ

สังเคราะห์ดว้ ยแสงรวมถึงกระบวนการอนื่ ๆ สว่ น

โฟลเอ็มทําหนา้ ท่ีลาํ เลยี งอาหารที่ไดจ้ ากการสังเคราะห์

ด้วยแสงมีทศิ ทางลาํ เลียงจากบริเวณทม่ี กี ารสังเคราะห์

ด้วยแสงไปสู่ส่วนต่าง ๆ ของพชื

๑๑. อธบิ ายการสบื พนั ธ์แุ บบอาศัยเพศ • พืชดอกทุกชนิดสามารถสบื พนั ธแ์ุ บบอาศัยเพศได้และ

และไมอ่ าศยั เพศของพชื ดอก บางชนดิ สามารถสบื พันธ์ุแบบไมอ่ าศัยเพศได้

๑๒. อธบิ ายลกั ษณะโครงสรา้ งของดอกทมี่ ี • การสืบพันธุแ์ บบอาศยั เพศเปน็ การสบื พนั ธ์ทุ ่มี ีการผสม

สว่ นทําใหเ้ กิดการถา่ ยเรณรู วมทงั้ กันของสเปิรม์ กบั เซลล์ไข่ การสบื พันธ์แุ บบอาศัยเพศ

บรรยายการปฏสิ นธขิ องพชื ดอก การ ของพชื ดอกเกดิ ขนึ้ ที่ดอกโดยภายในอบั เรณูของส่วน

เกดิ ผลและเมลด็ การกระจายเมล็ด และ เกสรเพศผมู้ ีเรณูซึ่งทําหนา้ ท่สี ร้างสเปริ ม์ ภายในออวุล

การงอกของเมลด็ ของสว่ นเกสรเพศเมียมถี ุงเอ็มบริโอ ทาํ หน้าที่สรา้ งเซลล์

๑๓. ตระหนักถงึ ความสาํ คญั ของสัตวท์ ่ชี ่วย ไข่

ในการถ่ายเรณขู องพชื ดอก โดยการไม่ • การสืบพันธ์ุแบบไมอ่ าศัยเพศเปน็ การสืบพนั ธ์ุทพ่ี ชื ตน้

ทาํ ลายชีวติ ของสัตว์ที่ชว่ ยในการถ่าย ใหมไ่ ม่ไดเ้ กดิ จากการปฏิสนธริ ะหว่างสเปริ ม์ กับเซลลไ์ ข่

เรณู แต่เกิดจากส่วนต่าง ๆ ของพชื เชน่ ราก ลําตน้ ใบ มีการ

เจริญเติบโตและพัฒนาขนึ้ มาเปน็ ตน้ ใหมไ่ ด้

• การถ่ายเรณูคือ การเคล่อื นยา้ ยของเรณูจากอบั เรณูไป

ยังยอดเกสรเพศเมยี ซึง่ เกี่ยวข้องกับลักษณะและ

โครงสร้างของดอก เชน่ สีของกลบี ดอก ตาํ แหน่งของ

โรงเรยี นบา้ นคลองอดุ ม
สำนักงานเขตพนื้ ท่ีการศกึ ษาประถมศกึ ษาฉะเชงิ เทรา เขต ๒

ชัน้ ตัวชว้ี ดั สาระการเรียนรูแ้ กนกลาง

ม.๑ เกสรเพศผูแ้ ละเกสรเพศเมีย โดยมสี ่ิงท่ชี ว่ ยในการถา่ ย

เรณเู ชน่ แมลง ลม

• การถ่ายเรณจู ะนาํ ไปสู่การปฏิสนธิซึ่งจะเกดิ ขึน้ ท่ี

ถงุ เอ็มบริโอภายในออวุล หลังการปฏสิ นธจิ ะได้ ไซโกต

และเอนโดสเปิรม์ ไซโกตจะพัฒนาต่อไปเป็นเอ็มบริโอ

ออวุลพัฒนาไปเปน็ เมล็ด และรงั ไขพ่ ัฒนาไปเปน็ ผล

• ผลและเมล็ดมกี ารกระจายออกจากต้นเดิม โดยวิธกี าร

ต่าง ๆ เมื่อเมลด็ ไปตกในสภาพแวดลอ้ มท่ีเหมาะสมจะ

เกดิ การงอกของเมล็ด โดยเอม็ บรโิ อภายในเมล็ดจะเจรญิ

ออกมา โดยระยะแรกจะอาศัยอาหารที่สะสมภายใน

เมล็ด จนกระทงั่ ใบแท้พัฒนา จนสามารถสงั เคราะหด์ ว้ ย

แสงได้เตม็ ทแี่ ละสรา้ งอาหารได้เองตามปกติ

๑๔. อธบิ ายความสําคัญของธาตุอาหารบาง • พชื ต้องการธาตอุ าหารท่ีจาํ เป็นหลายชนดิ ในการ

ชนิดทมี่ ผี ลต่อการเจริญเติบโต และการ เจรญิ เติบโตและการดํารงชวี ติ

ดํารงชวี ติ ของพชื • พชื ตอ้ งการธาตุอาหารบางชนิดในปรมิ าณมากได้แก่

๑๕. เลอื กใช้ปยุ๋ ทมี่ ีธาตอุ าหารเหมาะสมกบั ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม แคลเซยี ม

พชื ในสถานการณ์ที่กาํ หนด แมกนีเซียมและกํามะถัน ซ่งึ ในดนิ อาจมไี มเ่ พยี งพอ

สาํ หรบั การเจรญิ เตบิ โตของพืช จงึ ตอ้ งมกี ารใหธ้ าตุ

อาหารในรปู ของป๋ยุ กับพชื อยา่ งเหมาะสม

๑๖. เลอื กวธิ ีการขยายพันธ์ุพืชให้เหมาะสม • มนุษยส์ ามารถนําความรเู้ รือ่ งการสบื พนั ธุแ์ บบอาศยั เพศ

กับความต้องการของมนุษย์โดยใชว้ ามรู้ และไมอ่ าศัยเพศ มาใชใ้ นการขยายพนั ธุ์เพื่อเพิ่มจาํ นวน

เก่ียวกบั การสืบพันธ์ุของพืช พชื เชน่ การใช้เมลด็ ท่ีไดจ้ ากการสบื พนั ธุแ์ บบอาศยั เพศ

๑๗. อธิบายความสําคญั ของเทคโนโลยี มาเพาะเลีย้ งวิธีการน้จี ะไดพ้ ืชในปรมิ าณมาก แต่อาจมี

การเพาะเลย้ี งเน้ือเย่ือพืชในการใช้ ลกั ษณะที่แตกต่างไปจากพ่อแมส่ ่วนการตอนกิ่ง

ประโยชน์ด้านตา่ ง ๆ การปักชาํ การตอ่ ก่ิง การตดิ ตา การทาบก่งิ

๑๘. ตระหนกั ถงึ ประโยชนข์ องการยายพนั ธ์ุ การเพาะเล้ยี ง เนือ้ เยื่อ เปน็ การนาํ ความร้เู รื่องการ

พชื โดยการนาํ ความรไู้ ปใช้ในชวี ติ สบื พันธ์ุแบบ ไมอ่ าศยั เพศของพชื มาใชใ้ นการขยายพนั ธ์ุ

ประจาํ วนั เพอ่ื ให้ได้พชื ท่มี ลี ักษณะเหมอื นต้นเดิมซึ่งการขยายพนั ธุ์

แตล่ ะวิธีมขี ้ันตอนแตกตา่ งกนั จึงควรเลือกให้เหมาะสม

กับความต้องการของมนษุ ยโ์ ดยต้องคาํ นงึ ถึงชนิดของพชื

และลกั ษณะการสืบพนั ธุ์ของพชื

โรงเรยี นบ้านคลองอดุ ม
สำนักงานเขตพ้นื ที่การศกึ ษาประถมศกึ ษาฉะเชงิ เทรา เขต ๒

ชน้ั ตวั ช้วี ดั สาระการเรียนรู้แกนกลาง

ม.๑ • เทคโนโลยีการเพาะเลี้ยงเนือ้ เยือ่ พืช เปน็ การนําความรู้

เกีย่ วกับปจั จัยท่ีจําเป็นต่อการเจริญเติบโตของพืชมาใช้

ในการเพ่ิมจํานวนพืช และทาํ ให้พืชสามารถเจรญิ เตบิ โต

ได้ในหลอดทดลอง ซึง่ จะได้พืชจํานวนมากในระยะเวลา

สนั้ และสามารถนําเทคโนโลยกี ารเพาะเล้ียงเนื้อเยื่อมา

ประยุกต์เพือ่ การอนุรักษ์พันธุกรรมพืช ปรับปรุงพนั ธุพ์ ืช

ที่มีความสาํ คญั ทางเศรษฐกจิ การผลติ ยาและสารสาํ คญั

ในพืช และอื่น ๆ

๑. ระบุอวัยวะและบรรยายหน้าทขี่ อง • ระบบหายใจมีอวัยวะต่าง ๆ ทเ่ี กยี่ วข้อง ไดแ้ ก่ จมูก

อวยั วะทีเ่ กี่ยวขอ้ งในระบบหายใจ ท่อลม ปอด กะบงั ลม และกระดกู ซ่ีโครง

๒. อธบิ ายกลไกการหายใจเข้าและออก • มนษุ ยห์ ายใจเข้า เพื่อนําแก๊สออกซิเจนเขา้ สูร่ า่ งกาย

โดยใชแ้ บบจาํ ลอง รวมทั้งอธิบาย เพอ่ื นาํ ไปใชใ้ นเซลล์และหายใจออกเพ่ือกาํ จัด

กระบวนการแลกเปล่ยี นแกส๊ แก๊สคารบ์ อนไดออกไซด์ออกจากรา่ งกาย

๓. ตระหนักถงึ ความสาํ คัญของระบบหายใจ • อากาศเคลื่อนทเี่ ข้าและออกจากปอดไดเ้ น่ืองจากการ

โดยการบอกแนวทางในการดูแลรักษา เปลี่ยนแปลงปรมิ าตรและความดนั ของอากาศภายใน

อวัยวะในระบบหายใจให้ทํางานเปน็ ชอ่ งอกซ่งึ เกี่ยวขอ้ งกับการทาํ งานของกะบงั ลม และ

ปกติ กระดกู ซีโ่ ครง

• การแลกเปลย่ี นแกส๊ ออกซเิ จนกับแก๊ส

คาร์บอนไดออกไซดใ์ นรา่ งกาย เกดิ ข้ึนบรเิ วณงลมใน

ปอดกับหลอดเลอื ดฝอยทถี่ ุงลม และระหวา่ งหลอดเลือด

ฝอยกับเนอ้ื เย่ือ

• การสบู บุหร่กี ารสดู อากาศท่ีมสี ารปนเปือ้ น และการเป็น

โรคเกยี่ วกับระบบหายใจบางโรคอาจทาํ ให้เกิดโรคถุงลม

โป่งพอง ซงึ่ มผี ลให้ความจุอากาศของปอดลดลง ดงั น้นั

จึงควรดแู ลรักษาระบบหายใจ ให้ทาํ หนา้ ท่ีเป็นปกติ

ม.๒ ๔. ระบอุ วยั วะและบรรยายหนา้ ที่ของ • ระบบขับถ่ายมีอวัยวะท่ีเกี่ยวข้อง คือ ไต ท่อไต

อวยั วะในระบบขบั ถ่ายในการกําจดั ของ กระเพาะปสั สาวะ และท่อปัสสาวะ โดยมไี ตทําหนา้ ท่ี

เสียทางไต กาํ จดั ของเสีย เชน่ ยูเรีย แอมโมเนยี กรดยรู กิ รวมทั้งสาร

๕. ตระหนกั ถึงความสําคญั ของระบบ ที่รา่ งกายไม่ตอ้ งการออกจากเลือด และควบคมุ สารท่มี ี

ขับถ่ายในการกําจดั ของเสียทางไต โดย มากหรือน้อยเกนิ ไป เชน่ น้ำ โดยขับออกมาในรูปของ

การบอกแนวทางในการปฏบิ ัติตนทีช่ ว่ ย ปสั สาวะ

โรงเรียนบา้ นคลองอดุ ม
สำนักงานเขตพ้นื ที่การศึกษาประถมศกึ ษาฉะเชงิ เทรา เขต ๒

ช้นั ตวั ชีว้ ัด สาระการเรยี นรู้แกนกลาง

ม.๒ ให้ระบบขับถ่ายทําหนา้ ท่ีได้อย่างปกติ • การเลอื กรับประทานอาหารทเี่ หมาะสม เชน่

รับประทานอาหารท่ีไมม่ ีรสเคม็ จัด การดืม่ น้ำสะอาดให้

เพียงพอ เป็นแนวทางหนึ่งท่ีช่วยให้ระบบขับถา่ ยทํา

หนา้ ท่ีได้อย่างปกติ

๖. บรรยายโครงสรา้ งและหนา้ ที่ของหวั ใจ • ระบบหมนุ เวียนเลอื ดประกอบด้วย หัวใจหลอดเลอื ด

หลอดเลอื ด และเลือด และเลือด

๗. อธบิ ายการทาํ งานของระบบหมนุ เวียน • หัวใจของมนษุ ย์แบ่งเปน็ ๔ ห้อง ได้แก่ หวั ใจหอ้ งบน

เลอื ดโดยใชแ้ บบจาํ ลอง ๒ ห้อง และหอ้ งล่าง ๒ หอ้ ง ระหวา่ งหัวใจหอ้ งบนและ

หัวใจห้องลา่ งมลี ิน้ หวั ใจกน้ั

• หลอดเลือด แบง่ เป็น หลอดเลอื ดอารเ์ ตอรี

หลอดเลอื ดเวน หลอดเลอื ดฝอย ซ่ึงมีโครงสรา้ งต่างกนั

• เลอื ด ประกอบด้วย เซลล์เมด็ เลือด เพลตเลตและ

พลาสมา

• การบีบและคลายตวั ของหวั ใจทําให้เลอื ดหมนุ เวียนและ

ลาํ เลยี งสารอาหาร แก๊ส ของเสยี และสารอ่ืน ๆ ไปยัง

อวัยวะและเซลล์ต่าง ๆ ทว่ั ร่างกาย

• เลอื ดทมี่ ีปรมิ าณแกส๊ ออกซิเจนสงู จะออกจากหัวใจไปยัง

เซลล์ตา่ ง ๆ ทว่ั รา่ งกาย ขณะเดียวกัน

แกส๊ คารบ์ อนไดออกไซดจ์ ากเซลล์จะแพร่เข้าสู่เลือดและ

ลาํ เลียงกลบั เข้าส่หู ัวใจและถูกสง่ ไปแลกเปล่ียนแกส๊ ที่

ปอด

๘. ออกแบบการทดลองและทดลอง ในการ • ชพี จรบอกถงึ จังหวะการเตน้ ของหวั ใจซึง่ อัตราการเตน้

เปรยี บเทยี บอัตราการเตน้ ของหวั ใจ ของหวั ใจในขณะปกติและหลังจากทํากิจกรรมต่าง ๆ จะ

ขณะปกติและหลังทาํ กิจกรรม แตกต่างกันสว่ นความดันเลือด ระบบหมนุ เวียนเลอื ดเกิด

๙. ตระหนักถงึ ความสําคญั ของระบบมุน จากการทาํ งานของหวั ใจและหลอดเลือด

เวียนเลอื ดโดยการบอกแนวทางในการ • อตั ราการเตน้ ของหัวใจมคี วามแตกต่างกันในแต่ละ

ดแู ลรกั ษาอวัยวะในระบบหมนุ เวยี น บคุ คล คนทีเ่ ป็นโรคหวั ใจและหลอดเลือดจะสง่ ผลทําให้

เลือดให้ทํางานเปน็ ปกติ หัวใจสูบฉีดเลือดไมเ่ ป็นปกติ

• การออกกําลังกาย การเลอื กรบั ประทานอาหารการ

พกั ผอ่ น และการรกั ษาภาวะอารมณ์ใหเ้ ป็นปกติจงึ เปน็

ทางเลือกหนง่ึ ในการดแู ลรกั ษาระบบหมุนเวยี นเลอื ดให้

โรงเรียนบ้านคลองอดุ ม
สำนักงานเขตพน้ื ท่ีการศกึ ษาประถมศกึ ษาฉะเชงิ เทรา เขต ๒

ชัน้ ตัวช้ีวดั สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง

ม.๒ เป็นปกติ

๑๐. ระบุอวัยวะและบรรยายหน้าท่ขี อง • ระบบประสาทสว่ นกลาง ประกอบดว้ ยสมอง และ

อวยั วะในระบบประสาทสว่ นกลางใน ไขสันหลงั จะทาํ หนา้ ท่ีร่วมกบั เสน้ ประสาท ซ่งึ เป็น

การควบคุมการทาํ งานตา่ ง ๆ ของ ระบบประสาทรอบนอก ในการควบคมุ การทาํ งานของ

รา่ งกาย อวัยวะตา่ ง ๆ รวมถึงการแสดงพฤติกรรม เพ่ือการ

๑๑. ตระหนกั ถึงความสําคญั ของระบบ ตอบสนองตอ่ ส่ิงเรา้

ประสาทโดยการบอกแนวทางในการ • เม่ือมีสง่ิ เรา้ มากระต้นุ หน่วยรับความรู้สึกจะเกิด

ดแู ลรกั ษา รวมถงึ การป้องกนั การ กระแสประสาทส่งไปตามเซลลป์ ระสาทรับความรู้สกึ

กระทบกระเทือนและอันตรายตอ่ สมอง ไปยงั ระบบประสาทสว่ นกลาง แล้วสง่ กระแสประสาทมา

และไขสันหลัง ตามเซลลป์ ระสาทสัง่ การ ไปยงั หน่วยปฏบิ ัติงาน เชน่

กล้ามเนื้อ

• ระบบประสาทเปน็ ระบบที่มคี วามซับซ้อนและมี

ความสมั พันธก์ ับทกุ ระบบในร่างกาย ดังนน้ั จงึ ควร

ป้องกันการเกิดอุบตั เิ หตุท่กี ระทบกระเทอื นต่อสมอง

หลีกเล่ียงการใช้สารเสพติด หลกี เลีย่ งภาวะเครยี ด และ

รบั ประทานอาหารทม่ี ีประโยชน์ เพือ่ ดูแลรกั ษาระบบ

ประสาทให้ทาํ งานเปน็ ปกติ

๑๒. ระบุอวัยวะและบรรยายหนา้ ที่ของ • มนษุ ย์มีระบบสืบพนั ธท์ุ ่ีประกอบด้วยอวยั วะต่าง ๆ ท่ีทํา

อวยั วะในระบบสบื พันธ์ขุ องเพศชายและ หน้าที่เฉพาะ โดยรังไขใ่ นเพศหญิงจะทาํ หนา้ ท่ีผลิต

เพศหญิงโดยใชแ้ บบจําลอง เซลลไ์ ข่ สว่ นอัณฑะในเพศชายจะทําหนา้ ที่สร้างเซลล์

๑๓. อธบิ ายผลของฮอรโ์ มนเพศชายและ อสุจิ

เพศหญงิ ที่ควบคุมการเปลยี่ นแปลงของ • ฮอรโ์ มนเพศทําหนา้ ท่คี วบคุมการแสดงออกของลกั ษณะ

รา่ งกาย เมอ่ื เขา้ สู่วัยหนุม่ สาว ทางเพศทแ่ี ตกตา่ งกนั เมอ่ื เข้าสวู่ ยั หนมุ่ สาวจะมกี ารสรา้ ง

๑๔. ตระหนกั ถงึ การเปล่ยี นแปลงของ เซลลไ์ ขแ่ ละเซลล์อสจุ กิ ารตกไขก่ ารมีรอบเดือน และถา้ มี

รา่ งกายเมื่อเขา้ สวู่ ัยหนุม่ สาว โดยการ การปฏสิ นธิของเซลล์ไข่ และเซลลอ์ สุจจิ ะทําให้เกิดการ

ดูแลรกั ษารา่ งกายและจิตใจของตนเอง ตง้ั ครรภ์

ในช่วงที่มกี ารเปล่ียนแปลง

๑๕. อธิบายการตกไข่การมีประจําเดือน • การมปี ระจาํ เดือน มคี วามสัมพนั ธก์ ับการตกไข่

การปฏสิ นธแิ ละการพฒั นาของไซโกต โดยเป็นผลจากการเปล่ียนแปลงของระดบั ฮอร์โมน

จนคลอดเปน็ ทารก เพศหญงิ

๑๖. เลอื กวธิ กี ารคมุ กาํ เนิดที่เหมาะสมกบั • เม่ือเพศหญิงมีการตกไขแ่ ละเซลล์ไข่ไดร้ บั การปฏิสนธิกบั

โรงเรียนบา้ นคลองอดุ ม
สำนักงานเขตพืน้ ที่การศึกษาประถมศกึ ษาฉะเชงิ เทรา เขต ๒

ช้ัน ตัวชว้ี ัด สาระการเรยี นรูแ้ กนกลาง

ม.๒ สถานการณท์ ี่กาํ หนด เซลล์อสุจิจะทําใหไ้ ดไ้ ซโกตไซโกตจะเจริญเปน็ เอม็ บริโอ

๑๗. ตระหนักถงึ ผลกระทบของการตั้งครรภ์ และฟีตสั จนกระทั่งคลอดเป็นทารก แต่ถา้ ไมม่ กี าร

ก่อนวัยอนั ควร โดยการประพฤตติ นให้ ปฏสิ นธเิ ซลล์ไขจ่ ะสลายตัว ผนังด้านในมดลกู รวมทั้ง

เหมาะสม หลอดเลอื ดจะสลายตวั และหลุดลอกออก เรียกว่า

ประจําเดือน

• การคมุ กําเนดิ เป็นวธิ ปี ้องกนั ไม่ใหเ้ กดิ การตั้งครรภ์โดย

ปอ้ งกนั ไม่ให้เกิดการปฏิสนธหิ รอื ไม่ใหม้ ีการฝังตัวของ

เอม็ บรโิ อ ซง่ึ มีหลายวธิ ีเชน่ การใช้ถงุ ยางอนามยั การกิน

ยาคมุ กําเนิด

ม.๓ - -

สาระท่ี ๑ วิทยาศาสตรช์ วี ภาพ
มาตรฐาน ว ๑.๓ เข้าใจกระบวนการและความสำคัญของการถ่ายทอดลกั ษณะทางพันธกุ รรม

สารพันธกุ รรม การเปลยน่ี แปลงทางพันธกุ รรมทมี่ ีผลต่อสิ่งมีชีวิต ความลากหลาย
ทางชีวภาพและวิวฒั นาการของสิ่งมชี ีวิต รวมทงั้ นำความรูไ้ ปใชป้ ระโยชน์

ชัน้ ตัวชว้ี ดั สาระการเรยี นรูแ้ กนกลาง/สาระท้องถิ่น
ป.๑ - -
ป.๒ ๑. เปรียบเทียบลกั ษณะของส่ิงมีชีวิต
• สิง่ ทีอ่ ย่รู อบตวั เรามีทงั้ ทีเ่ ป็นสิ่งมชี ีวติ และ
และสงิ่ ไมม่ ชี ีวิตจากข้อมูลท่รี วบรวม สิง่ ไม่มชี วี ติ สง่ิ มีชีวิตตอ้ งการอาหาร มีการหายใจ
ได้ เจรญิ เติบโตขับถ่ายเคลอื่ นไหวตอบสนองต่อสิ่งเร้า
และสืบพันธุ์ได้ลูกทม่ี ลี ักษณะคล้ายคลงึ กับพ่อแม่
ป.๓ - สว่ นสงิ่ ไมม่ ีชีวิตจะไม่มีลกั ษณะดงั กล่าว
ป.๔ ๑. จําแนกสง่ิ มชี ีวิตโดยใชค้ วามเหมอื น
-
และความแตกต่างของลกั ษณะของ • สิ่งมีชวี ติ มีหลายชนดิ สามารถจัดกล่มุ ได้โดยใช้
สิง่ มชี ีวิตออกเปน็ กลมุ่ พืช กลุ่มสัตว์ ความเหมอื นและความแตกต่างของลกั ษณะต่างๆ
และกล่มุ ท่ไี ม่ใช่พืชและสัตว์ เช่น กลุม่ พืชสร้างอาหารเองได้และเคล่ือนที่ด้วย
ตนเองไมไ่ ด้กลมุ่ สัตว์กนิ ส่ิงมชี วี ติ อน่ื เป็นอาหาร
๒. จาํ แนกพชื ออกเป็นพืชดอกและพชื ไม่ และเคล่ือนทไ่ี ดก้ ลุม่ ท่ีไม่ใชพ่ ืชและสตั ว์เช่น
เห็ด รา จุลินทรยี ์
• การจําแนกพืช สามารถใช้การมีดอกเปน็ เกณฑ์

โรงเรียนบ้านคลองอดุ ม
สำนักงานเขตพน้ื ท่ีการศึกษาประถมศกึ ษาฉะเชงิ เทรา เขต ๒

ชั้น ตวั ช้วี ัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง/สาระทอ้ งถิน่
ป.๔ มีดอกโดยใช้การมีดอกเป็นเกณฑโ์ ดย ในการจาํ แนก ได้เปน็ พืชดอกและพชื ไมม่ ดี อก

ใช้ข้อมลู ทร่ี วบรวมได้ • การจําแนกสัตว์สามารถใช้การมกี ระดูกสนั หลังเปน็
๓. จาํ แนกสตั ว์ออกเป็นสตั วม์ ีกระดูกสัน เกณฑ์ในการจาํ แนกไดเ้ ป็นสตั วม์ ีกระดูกสันหลงั และ
สตั วไ์ มม่ กี ระดูกสันหลงั
หลังและสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลงั โดย
ใชก้ ารมีกระดูกสันหลงั เป็นเกณฑโ์ ดย • สตั วม์ ีกระดูกสันหลงั มหี ลายกลุ่ม ไดแ้ ก่กลุม่ ปลา กลมุ่
ใช้ข้อมูลที่รวบรวมได้ สตั วส์ ะเทนิ นํ้าสะเทินบกกลุ่มสัตว์เลื้อยคลาน กลุ่มนก
๔. บรรยายลักษณะเฉพาะท่ีสังเกตได้ และกล่มุ สัตว์เลี้ยงลูกดว้ ยน้ำนม ซ่ึงแตล่ ะกลุ่มจะมี
ของสตั วม์ กี ระดูกสนั หลังในกล่มุ ปลา ลกั ษณะเฉพาะทส่ี ังเกตได้
กลมุ่ สัตวส์ ะเทนิ น้าํ สะเทนิ บก กลมุ่
สตั ว์เลื้อยคลาน กลมุ่ นก และกลุ่ม • สง่ิ มชี ีวิตทั้งพืช สัตว์ และมนษุ ย์ เมอ่ื โตเตม็ ท่ีจะมี
สตั วเ์ ล้ียงลกู ด้วยนํ้านม และ การสืบพนั ธเ์ุ พอื่ เพ่ิมจํานวน และดาํ รงพันธุ์ โดยลกู ท่ี
ยกตวั อยา่ งส่งิ มชี วี ิตในแต่ละกลุ่ม เกิดมาจะได้รับการถา่ ยทอดลักษณะทางพันธกุ รรมจาก
ป.๕ ๑. อธิบายลกั ษณะทางพันธุกรรมทม่ี ีการ พ่อแม่ทาํ ให้มีลักษณะทางพันธุกรรมที่เฉพาะแตกต่าง
ถ่ายทอดจากพ่อแม่ส่ลู กู ของพชื สัตว์ จากส่ิงมชี ีวิตชนดิ อ่ืน
และมนุษย์
๒. แสดงความอยากรู้อยากเห็น โดยการ • พชื มีการถา่ ยทอดลกั ษณะทางพันธกุ รรม เชน่ ลกั ษณะ
ถามคาํ ถามเก่ยี วกบั ลักษณะที่ ของใบ สดี อก
คล้ายคลงึ กันของตนเองกับพ่อแม่
• สัตว์มกี ารถา่ ยทอดลักษณะทางพนั ธกุ รรม เชน่ สีขน
ป.๖ - ลักษณะของขน ลกั ษณะของหู
ม.๑ -
ม.๒ - • มนษุ ยม์ ีการถา่ ยทอดลักษณะทางพนั ธกุ รรม เช่น เชิงผม
ม.๓ ๑. อธบิ ายความสมั พนั ธ์ระหว่าง ยีน ท่ีหน้าผาก ลักยม้ิ ลกั ษณะหนงั ตา การหอ่ ลนิ้ ลักษณะ
ของต่งิ หู
ดเี อ็นเอ และโครโมโซม โดยใช้ -
แบบจาํ ลอง -
-

• ลักษณะทางพันธกุ รรมของส่ิงมชี วี ติ สามารถถา่ ยทอด
จากรนุ่ หนึ่งไปยังอีกร่นุ หน่ึงได้ โดยมียีนเป็นหน่วย
ควบคมุ ลักษณะทางพันธุกรรม

โรงเรียนบ้านคลองอดุ ม
สำนักงานเขตพนื้ ท่ีการศึกษาประถมศกึ ษาฉะเชงิ เทรา เขต ๒

ชัน้ ตัวชวี้ ดั สาระการเรียนรู้แกนกลาง/สาระท้องถ่นิ
ม.๓ • โครโมโซมประกอบดว้ ย ดีเอ็นเอ และโปรตนี ขดอย่ใู น

๒. อธิบายการถ่ายทอดลกั ษณะทาง นวิ เคลยี ส ยีน ดเี อ็นเอ และโครโมโซมมีความสัมพันธ์
พนั ธุกรรมจากการผสมโดยพิจารณา กนั โดยบางส่วนของดีเอ็นเอทําหน้าที่เปน็ ยนี ที่กาํ หนด
ลักษณะเดียวทแี่ อลลลี เดน่ ข่มแอลลลี ลักษณะของสิง่ มีชีวติ
ด้อยอยา่ งสมบูรณ์ • สิ่งมีชวี ติ ทมี่ โี ครโมโซม ๒ ชุด โครโมโซมทเ่ี ปน็ ค่กู ันมีการ
เรียงลาํ ดับของยีนบนโครโมโซมเหมือนกันเรียกว่า
๓. อธบิ ายการเกิดจโี นไทป์และฟโี นไทป์ ฮอมอโลกัสโครโมโซม ยีนหนึ่งท่ีอยบู่ นค่ฮู อมอโลกัส
ของลกู และคาํ นวณอัตราส่วนการเกิด โครโมโซม อาจมีรปู แบบแตกตา่ งกนั เรยี กแตล่ ะ
จโี นไทป์และฟโี นไทปข์ องร่นุ ลูก รปู แบบของยนี ท่ตี ่างกันน้ีวา่ แอลลีล ซง่ึ การเข้าคกู่ นั ของ
แอลลลี ต่าง ๆ อาจส่งผลทําใหส้ ่งิ มีชวี ติ มีลักษณะท่ี
แตกตา่ งกันได้
• สง่ิ มีชวี ิตแตล่ ะชนดิ มจี ํานวนโครโมโซมคงท่มี นุษยม์ ี
จํานวนโครโมโซม ๒๓ คู่ เป็นออโตโซม ๒๒ คูแ่ ละ
โครโมโซมเพศ ๑ คู่ เพศหญิงมโี ครโมโซมเพศเป็น XX
เพศชายมีโครโมโซมเพศเป็น XY
• เมนเดลได้ศกึ ษาการถ่ายทอดลักษณะทางพนั ธกุ รรม
ของต้นถว่ั ชนิดหนงึ่ และนํามาสูห่ ลกั การพื้นฐานของ
การถ่ายทอดลักษณะทางพันธกุ รรมของส่งิ มชี วี ติ
• สิง่ มีชวี ติ ท่ีมโี ครโมโซมเป็น ๒ ชุด ยนี แตล่ ะตาํ แหน่ง
บนฮอมอโลกัสโครโมโซมมี๒ แอลลีล โดยแอลลลี หนึ่ง
มาจากพอ่ และอีกแอลลีลมาจากแมซ่ งึ่ อาจมรี ูปแบบ
เดียวกัน หรือแตกตา่ งกันแอลลีลที่แตกต่างกันน้ี
แอลลลี หนง่ึ อาจมกี ารแสดงออกข่มอีกแอลลลี หน่ึงได้
เรยี กแอลลลี นนั้ ว่าเปน็ แอลลลี เด่น ส่วนแอลลลี ท่ถี กู ข่ม
อย่างสมบูรณ์ เรยี กว่าเปน็ แอลลีลดอ้ ย
• เมือ่ มีการสร้างเซลลส์ ืบพนั ธแุ์ อลลีลทเี่ ปน็ คู่กันในแต่ละ
ฮอมอโลกสั โครโมโซมจะแยกจากกนั ไปสู่เซลลส์ บื พันธ์ุ
แต่ละเซลล์โดยแต่ละเซลลส์ ืบพันธุ์จะไดร้ ับเพยี ง
๑ แอลลีลและจะมาเข้าคูก่ ับแอลลลี ทีต่ ําแหน่งเดยี วกนั
ของอีกเซลล์สบื พนั ธห์ุ น่งึ เม่ือเกิดการปฏิสนธิจนเกิด

โรงเรียนบ้านคลองอดุ ม
สำนักงานเขตพืน้ ท่ีการศึกษาประถมศกึ ษาฉะเชงิ เทรา เขต ๒

ชน้ั ตวั ชี้วัด สาระการเรียนรแู้ กนกลาง/สาระท้องถิ่น

ม.๓ เป็นจีโนไทป์ และแสดงฟีโนไทปใ์ นรุ่นลูก

๔. อธิบายความแตกต่างของการแบ่ง • กระบวนการแบ่งเซลล์ของสง่ิ มีชวี ิตม๒ี แบบ คือ ไมโทซิส

เซลลแ์ บบไมโทซสิ และไมโอซสิ และไมโอซสิ
• ไมโทซิส เปน็ การแบ่งเซลล์เพือ่ เพม่ิ จํานวนเซลลร์ า่ งกาย

ผลจากการแบ่งจะได้เซลล์ใหม่ ๒ เซลล์ ที่มีลักษณะและ

จํานวนโครโมโซมเหมือนเซลลต์ ัง้ ต้น
• ไมโอซิส เปน็ การแบง่ เซลล์เพื่อสร้างเซลลส์ บื พันธุ ผลจาก

การแบง่ จะได้เซลลใ์ หม่ ๔ เซลลท์ ่ีมจี ํานวนโครโมโซมเป็น

ครึ่งหน่ึงของเซลล์ต้ังตน้ เม่ือเกิดการปฏิสนธขิ องเซลล์
สบื พนั ธุ์ลกู จะได้รบั การถา่ ยทอดโครโมโซมชดุ หน่ึงจากพ่อ
และอีกชุดหนึง่ จากแม่จงึ เปน็ ผลให้รนุ่ ลูกมจี ํานวน

โครโมโซมเท่ากบั รุ่นพ่อแม่และจะคงที่ในทกุ ๆรุน่
๕. บอกได้ว่าการเปล่ยี นแปลงของยีน • การเปล่ียนแปลงของยนี หรือโครโมโซม สง่ ผลให้เกิดการ

หรือโครโมโซมอาจทําให้เกิดโรคทาง เปลย่ี นแปลงลักษณะทางพันธุกรรมของสง่ิ มีชวี ติ เชน่
พนั ธกุ รรม พร้อมทง้ั ยกตัวอย่างโรค โรคธาลัสซีเมยี เกดิ จากการเปลย่ี นแปลงของยีน
กล่มุ อาการดาวน์เกดิ จากการเปลีย่ นแปลงจํานวน
ทางพนั ธกุ รรม • โครโมโซม
๖. ตระหนักถงึ ประโยชน์ของความรูเ้ รอื่ ง โรคทางพนั ธกุ รรมสามารถถา่ ยทอดจากพ่อแม่ไปส่ลู กู ได้

โรคทางพันธกุ รรมโดยรวู้ า่ กอ่ น ดังน้นั ก่อนแต่งงานและมีบุตรจงึ ควรปอ้ งกนั โดยการตรวจ

แต่งงานควรปรึกษาแพทย์เพ่อื ตรวจ และวนิ ิจฉัยภาวะเสีย่ งจากการถา่ ยทอดโรคทางพนั ธุกรรม

และวนิ จิ ฉยั ภาวะเส่ียงของลูกที่อาจ

เกิดโรคทางพันธกุ รรม

๗. อธบิ ายการใชป้ ระโยชน์จากส่ิงมีชีวติ • มนษุ ย์เปล่ยี นแปลงพนั ธุกรรมของส่ิงมีชีวติ ตามธรรมชาติ

ดดั แปรพนั ธุกรรม และผลกระทบท่ี เพ่ือใหไ้ ดส้ ิง่ มีชีวิตท่ีมลี กั ษณะตามตอ้ งการเรยี กสิ่งมีชวี ิตน้ี
อาจมีตอ่ มนุษย์และสิ่งแวดลอ้ ม โดย วา่ สิง่ มีชีวติ ดัดแปรพนั ธุกรรม
ใชข้ ้อมลู ทร่ี วบรวมได้ • ในปัจจุบันมนษุ ยม์ กี ารใช้ประโยชนจ์ ากส่ิงมีชีวิตดดั แปร
๘. ตระหนกั ถึงประโยชน์และผลกระทบ พันธุกรรมเป็นจํานวนมาก เชน่ การผลติ อาหารการผลิต
ของสิง่ มชี วี ิตดดั แปรพันธุกรรมท่อี าจ ยารักษาโรคการเกษตรอย่างไรก็ดีสงั คมยังมีความกงั วล
มตี อ่ มนษุ ย์และสิง่ แวดลอ้ มโดยการ เก่ียวกับผลกระทบของส่ิงมชี ีวิตดดั แปรพันธกุ รรมทีม่ ีต่อ
เผยแพรค่ วามรทู้ ีไ่ ด้จากการโตแ้ ย้ง ส่ิงมชี วี ติ และสิ่งแวดล้อม ซ่งึ ยังทําการตดิ ตามศึกษา
ผลกระทบดงั กล่าว

ทางวทิ ยาศาสตรซ์ ง่ึ มีข้อมูลสนบั สนนุ

๙. เปรยี บเทียบความหลากหลายทาง • ความหลากหลายทางชีวภาพ มี๓ ระดบั ไดแ้ กค่ วาม

ชีวภาพในระดับชนิดส่งิ มีชีวติ ในระบบ หลากหลายของระบบนเิ วศ ความหลากหลายของชนิด

โรงเรียนบา้ นคลองอุดม
สำนักงานเขตพ้ืนท่ีการศกึ ษาประถมศกึ ษาฉะเชงิ เทรา เขต ๒

ช้นั ตวั ชวี้ ดั สาระการเรยี นรู้แกนกลาง/สาระท้องถิน่
ม.๓ นิเวศต่าง ๆ
สิง่ มีชีวติ และความหลากหลายทางพันธุกรรม ความ
๑๐. อธบิ ายความสาํ คญั ของความ หลากหลายทางชวี ภาพนมี้ คี วามสําคัญต่อการรักษาสมดุล
หลากหลายทางชีวภาพทมี่ ีตอ่ การ ของระบบนเิ วศระบบนิเวศที่มีความหลากหลายทาง
รกั ษาสมดลุ ของระบบนิเวศและต่อ ชีวภาพสงู จะรกั ษาสมดลุ ไดด้ ีกวา่ ระบบนเิ วศทมี่ ีความ
มนุษย์ หลากหลายทางชวี ภาพต่ํากว่า นอกจากนีค้ วาม
หลากหลายทางชวี ภาพยงั มีความสําคญั ตอ่ มนษุ ย์ในด้าน
๑๑. แสดงความตระหนกั ในคุณค่าและ ต่าง ๆ เช่น ใช้เปน็ อาหารยารักษาโรค วตั ถดุ บิ ใน
ความสาํ คัญของความหลากหลาย อุตสาหกรรมต่าง ๆ ดังนัน้ จงึ เป็นหนา้ ท่ีของทุกคนใน
ทางชีวภาพ โดยมีสว่ นร่วมในการ การดแู ลรักษาความหลากหลายทางชวี ภาพใหค้ งอยู่
ดูแลรักษาความหลากหลายทาง
ชีวภาพ

สาระท่ี ๒ วิทยาศาสตร์กายภาพ
มาตรฐาน ว ๒.๑ เข้าใจสมบัตขิ องสสาร องคป์ ระกอบของสสาร ความสัมพนั ธร์ ะหว่างสมบตั ิของสสาร

กบั โครงสรา้ งและแรงยึดเหน่ียวระหว่างอนุภาค หลกั และธรรมชาติของการ
เปลยี่ นแปลงสถานะของสสาร การเกดิ สารละลาย และการเกิดปฏิกริ ิยาเคมี

ช้ัน ตวั ชีว้ ัด สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง/สาระท้องถ่ิน

ป.๑ ๑. อธิบายสมบตั ทิ สี่ ังเกตได้ของวสั ดทุ ี่ใช้ • วัสดุที่ใช้ทําวตั ถทุ เี่ ป็นของเลน่ ของใช้มีหลายชนดิ เช่น ผ้า

ทาํ วตั ถซุ ึง่ ทาํ จากวสั ดชุ นดิ เดยี วหรือ แกว้ พลาสตกิ ยาง ไม้อิฐ หิน กระดาษ โลหะ วัสดแุ ต่ละ
หลายชนิดประกอบกันโดยใช้หลักฐาน ชนดิ มีสมบัตทิ สี่ ังเกตได้ต่าง ๆ เชน่ สนี ่มุ แข็ง ขรุขระ
เรยี บ ใส ขนุ่ ยืดหดได้บิดงอได้
เชงิ ประจักษ์ • สมบตั ิที่สังเกตได้ของวสั ดุแตล่ ะชนดิ อาจเหมือนกนั
๒. ระบชุ นดิ ของวสั ดแุ ละจัดกลุม่ วสั ดุ
ซง่ึ สามารถนาํ มาใช้เป็นเกณฑ์ในการจดั กลุ่มวัสดุได้
ตามสมบตั ิที่สังเกตได้
• วสั ดบุ างอยา่ งสามารถนาํ มาประกอบกนั เพื่อทาํ เป็นวตั ถุ

ตา่ ง ๆ เชน่ ผา้ และกระดมุ ใชท้ าํ เสื้อไม้และโลหะ ใชท้ ํา

กระทะ

ป.๒ ๑. เปรียบเทียบสมบตั กิ ารดดู ซบั น้ำของ • วัสดแุ ต่ละชนิดมีสมบัติการดูดซบั นา้ํ แตกตา่ งกัน จึงนําไป

วัสดโุ ดยใช้หลกั ฐานเชิงประจกั ษ์และ ทาํ วตั ถุเพ่ือใชป้ ระโยชน์ได้แตกตา่ งกนั เช่น ใชผ้ า้ ท่ดี ูดซับ
ระบกุ ารนําสมบตั กิ ารดูดซับน้ำของ น้ำได้มากทําผา้ เชด็ ตวั ใช้พลาสติก ซ่ึงไมด่ ูดซบั น้ำทาํ รม่

วสั ดไุ ปประยุกตใ์ ชใ้ นการทําวัตถใุ น

ชวี ติ ประจาํ วัน

๒. อธบิ ายสมบัตทิ ่สี ังเกตไดข้ องวัสดุท่ี • วสั ดุบางอยา่ งสามารถนํามาผสมกนั ซง่ึ ทําให้ได้สมบัติที่

โรงเรียนบ้านคลองอุดม
สำนักงานเขตพ้นื ที่การศึกษาประถมศกึ ษาฉะเชงิ เทรา เขต ๒

ชน้ั ตัวชีว้ ดั สาระการเรยี นรู้แกนกลาง/สาระท้องถิ่น

ป.๒ เกดิ จากการนําวัสดมุ าผสมกันโดยใช้ เหมาะสม เพือ่ นาํ ไปใช้ประโยชนต์ ามตอ้ งการ เช่น แปง้

หลักฐานเชงิ ประจกั ษ์ ผสมน้ำตาลและกะทิใช้ทําขนมไทย ปูนปลาสเตอรผ์ สม

เยื่อกระดาษใช้ทํากระปุกออมสิน ปนู ผสมหนิ ทราย และ

น้าํ ใช้ทาํ คอนกรีต

๓. เปรียบเทียบสมบตั ิทส่ี ังเกตได้ของ • การนําวสั ดุมาทําเปน็ วตั ถุในการใช้งานตามวตั ถปุ ระสงค์

วัสดุ เพอ่ื นาํ มาทําเปน็ วตั ถุในการใช้ ขนึ้ อย่กู บั สมบัติของวัสดุวัสดทุ ่ใี ช้แลว้ อาจนาํ กลับมาใช้ใหม่
ได้เช่น กระดาษใช้แล้วอาจนํามาทาํ เปน็ จรวดกระดาษ
งานตามวตั ถปุ ระสงค์ และอธิบาย ดอกไม้ประดิษฐ์ ถุงใส่ของ
การนําวัสดทุ ่ีใชแ้ ลว้ กลับมาใช้ใหม่

โดยใชห้ ลกั ฐานเชงิ ประจกั ษ์

๔. ตระหนักถึงประโยชน์ของการนําวสั ดุ

ท่ใี ชแ้ ล้วกลบั มาใช้ใหม่ โดยการนาํ

วัสดทุ ี่ใชแ้ ล้วกลับมาใช้ใหม่

ป.๓ ๑. อธิบายว่าวัตถุประกอบขึ้นจากชนิ้ • วตั ถุอาจทําจากช้ินส่วนยอ่ ย ๆ ซงึ่ แต่ละชนิ้ มลี ักษณะ

ส่วนย่อย ๆซง่ึ สามารถแยกออกจาก เหมอื นกนั มาประกอบเขา้ ดว้ ยกัน เมื่อแยกชิ้นส่วนยอ่ ย ๆ
แต่ละชิน้ ของวตั ถุออกจากกนั สามารถนําช้นิ สว่ นเหล่านน้ั
กันไดแ้ ละประกอบกันเปน็ วัตถชุ ิน้ มาประกอบเป็นวตั ถุชน้ิ ใหม่ได้เช่น กําแพงบ้านมีก้อนอฐิ
ใหมไ่ ดโ้ ดยใชห้ ลักฐานเชิงประจักษ์ หลาย ๆ ก้อนประกอบเขา้ ด้วยกนั และสามารถนาํ ก้อนอิฐ

จากกําแพงบ้านมาประกอบเป็นพนื้ ทางเดินได้

๒. อธิบายการเปล่ียนแปลงของวสั ดุ เมือ่ • เม่อื ให้ความร้อนหรอื ทาํ ให้วัสดรุ ้อนขึ้น และเม่ือลดความ

ทําใหร้ อ้ นข้ึนหรือทําใหเ้ ย็นลง โดยใช้ ร้อนหรอื ทําให้วัสดเุ ย็นลง วัสดุจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้
เช่น สีเปล่ยี น รปู รา่ งเปลย่ี น
หลักฐานเชงิ ประจักษ์

ป.๔ ๑. เปรยี บเทยี บสมบัตทิ างกายภาพ • วสั ดุแตล่ ะชนดิ มสี มบัตทิ างกายภาพแตกตา่ งกนั วัสดทุ ม่ี ี

ดา้ นความแข็งสภาพยืดหยุ่น การนาํ ความแขง็ จะทนต่อแรงขูดขีด วัสดุท่มี ีสภาพยืดหยุ่นจะ
เปล่ียนแปลงรูปรา่ งเมอื่ มีแรงมากระทาํ และกลบั สภาพ
ความร้อน และการนําไฟฟ้าของวัสดุ เดมิ ได้ วสั ดทุ น่ี ําความรอ้ นจะรอ้ นได้เรว็ เมอ่ื ได้รับความ
โดยใช้หลักฐานเชิงประจกั ษจ์ ากการ รอ้ น และวสั ดทุ นี่ าํ ไฟฟ้าได้จะให้กระแสไฟฟา้ ผา่ นได้
ทดลองและระบุการนาํ สมบตั เิ รอ่ื ง ดงั นัน้ จึงอาจนาํ สมบัตติ ่าง ๆ มาพจิ ารณาเพื่อใชใ้ น
ความแข็ง สภาพยดื หยุ่น การนาํ กระบวนการออกแบบช้นิ งานเพ่ือใช้ประโยชน์ใน

ความร้อน และการนําไฟฟ้าของวัสดุ ชวี ิตประจําวนั

ไปใชใ้ นชวี ิตประจําวนั ผ่าน • วสั ดเุ ปน็ สสารเพราะมมี วลและต้องการที่อย่สู สารมี

กระบวนการออกแบบชิ้นงาน สถานะเปน็ ของแขง็ ของเหลว หรือแก๊ส ของแขง็ มี
๒. แลกเปล่ียนความคดิ กับผู้อื่นโดยการ ปริมาตรและรปู รา่ งคงที่ ของเหลวมีปรมิ าตรคงทแี่ ตม่ ี
รปู ร่างเปล่ยี นไปตามภาชนะ เฉพาะสว่ นท่บี รรจุของเหลว
อภิปรายเกย่ี วกับสมบัติทางกายภาพ

โรงเรยี นบ้านคลองอุดม
สำนักงานเขตพนื้ ที่การศึกษาประถมศกึ ษาฉะเชงิ เทรา เขต ๒

ช้นั ตัวชีว้ ดั สาระการเรียนรแู้ กนกลาง/สาระท้องถิ่น

ป.๔ ของวสั ดุอยา่ งมเี หตผุ ลจาก สว่ นแก๊สมีปริมาตร และรูปรา่ งเปล่ียนไปตามภาชนะท่ี
การทดลอง บรรจุ

๓. เปรยี บเทยี บสมบัติของสสารท้ัง ๓

สถานะ จากข้อมลู ท่ีได้จากการสังเกต

มวล การต้องการท่ีอยู่รปู ร่างและ

ปรมิ าตรของสสาร

๔. ใช้เคร่อื งมอื เพื่อวัดมวล และปริมาตร

ของสสารทงั้ ๓ สถานะ

ป.๕ ๑. อธิบายการเปลยี่ นสถานะของสสาร • การเปลี่ยนสถานะของสสารเปน็ การเปลี่ยนแปลงทาง

เมือ่ ทาํ ให้สสารร้อนขึ้นหรอื เยน็ ลง กายภาพ เมือ่ เพ่มิ ความรอ้ นใหก้ บั สสารถึงระดับหน่งึ จะทํา
โดยใช้หลกั ฐานเชิงประจกั ษ์ ให้สสารทีเ่ ปน็ ของแข็งเปล่ียนสถานะเป็นของเหลว
เรยี กว่า การหลอมเหลว และเมอื่ เพม่ิ ความร้อนต่อไป

จนถงึ อกี ระดับหนงึ่ ของเหลวจะเปลีย่ นเปน็ แก๊ส เรียกว่า

การกลายเปน็ ไอแตเ่ ม่ือลดความร้อนลงถึงระดบั หนึ่ง แก๊ส

จะเปลย่ี นสถานะเป็นของเหลว เรียกว่า การควบแนน่

และถา้ ลดความรอ้ นตอ่ ไปอกี จนถึงระดับหน่ึงของเหลวจะ

เปลี่ยนสถานะเป็นของแข็ง เรียกวา่ การแข็งตัว สสารบาง

ชนิดสามารถเปลี่ยนสถานะจากของแข็งเป็นแกส๊ โดยไม่

ผ่านการเปน็ ของเหลว เรียกวา่ การระเหิด ส่วนแก๊ส

บางชนิดสามารถเปลย่ี นสถานะเป็นของแขง็ โดยไม่ผ่าน

การเป็นของเหลวเรียกวา่ การระเหิดกลบั

๒. อธบิ ายการละลายของสารในนา้ํ โดย • เม่ือใสส่ ารลงในน้ำแลว้ สารนัน้ รวมเป็นเนอื้ เดยี วกันกบั น้ำ

ใชห้ ลกั ฐานเชิงประจกั ษ์ ทัว่ ทุกส่วน แสดงวา่ สารเกิดการละลาย เรยี กสารผสมที่ได้

ว่าสารละลาย

๓. วิเคราะห์การเปล่ียนแปลงของสาร • เม่อื ผสมสาร ๒ ชนิดขน้ึ ไปแลว้ มีสารใหม่เกิดขน้ึ ซง่ึ มี

เมื่อเกิดการเปล่ียนแปลงทางเคมีโดย สมบัติต่างจากสารเดมิ หรือเม่ือสารชนิดเดยี วเกดิ การ
ใชห้ ลกั ฐานเชิงประจกั ษ์ เปลย่ี นแปลงแลว้ มีสารใหม่เกิดขน้ึ การเปลีย่ นแปลงน้ี
เรียกว่า การเปลย่ี นแปลงทางเคมีซึ่งสงั เกตไดจ้ ากมีสหี รือ

กลิ่นต่างจากสารเดมิ หรอื มีฟองแกส๊ หรือมีตะกอนเกดิ ขึน้

หรอื มกี ารเพ่ิมข้นึ หรือลดลงของอณุ หภูมิ

๔. วเิ คราะห์และระบุการเปล่ียนแปลงท่ี • เมื่อสารเกิดการเปล่ียนแปลงแลว้ สารสามารถเปล่ยี นกลับ

ผนั กลบั ไดแ้ ละการเปล่ยี นแปลงท่ผี นั เป็นสารเดิมได้เป็นการเปลี่ยนแปลงทผี่ นั กลับได้เชน่ การ
หลอมเหลว การกลายเป็นไอ การละลาย แต่สารบางอย่าง
กลับไม่ได้ เกิดการเปลย่ี นแปลงแล้วไมส่ ามารถเปล่ียนกลับเป็น

โรงเรยี นบ้านคลองอุดม
สำนักงานเขตพนื้ ท่ีการศึกษาประถมศกึ ษาฉะเชงิ เทรา เขต ๒

ช้นั ตัวชวี้ ดั สาระการเรียนร้แู กนกลาง/สาระทอ้ งถิ่น

ป.๕ สารเดิมได้เป็นการเปล่ยี นแปลงท่ีผันกลับไมไ่ ด้เช่น

การเผาไหม้การเกดิ สนิม

ป.๖ ๑. อธบิ ายและเปรยี บเทยี บการแยกสาร • สารผสมประกอบดว้ ยสารต้ังแต่ ๒ ชนิดขึ้นไปผสมกนั

ผสมโดยการหยบิ ออก การรอ่ น การ เช่น น้ำมันผสมน้ำ ขา้ วสารปนกรวดทราย วธิ กี ารที่
เหมาะสมในการแยกสารผสมขน้ึ อยู่กบั ลักษณะ และ
ใช้แม่เหลก็ ดึงดูดการรนิ ออก สมบัติของสารทผ่ี สมกัน ถ้าองคป์ ระกอบของสารผสมเป็น
การกรอง และการตกตะกอนโดยใช้ ของแขง็ กับของแขง็ ท่ีมีขนาดแตกต่างกนั อยา่ งชดั เจน อาจ
หลักฐานเชงิ ประจกั ษร์ วมทงั้ ระบวุ ิธี ใช้วธิ กี ารหยบิ ออก หรอื การร่อนผ่านวัสดทุ ม่ี รี ูถ้ามสี ารใด
แก้ปัญหาในชีวติ ประจําวันเกยี่ วกบั สารหนงึ่ เปน็ สารแมเ่ หล็กอาจใช้วธิ กี ารใชแ้ มเ่ หล็กดงึ ดูด

การแยกสาร ถ้าองคป์ ระกอบเป็นของแขง็ ทไ่ี มล่ ะลายในของเหลว อาจ

ใชว้ ธิ ีการรินออกการกรอง หรือการตกตะกอน ซึง่ วิธกี าร

แยกสารสามารถนาํ ไปใชป้ ระโยชน์ในชวี ติ ประจาํ วันได้

ม.๑ ๑. อธบิ ายสมบตั ทิ างกายภาพบาง • ธาตแุ ต่ละชนิดมสี มบัติเฉพาะตวั และมสี มบัติทางกายภาพ

ประการของธาตุโลหะ อโลหะ และ บางประการเหมือนกนั และบางประการต่างกนั ซึ่ง
สามารถนํามาจัดกลุ่มธาตุเป็นโลหะอโลหะและก่ึงโลหะ
กึง่ โลหะ โดยใช้หลักฐานเชงิ ประจักษ์ ธาตุโลหะมจี ุดเดอื ดจุดหลอมเหลวสูง มผี วิ มันวาว
ที่ไดจ้ ากการสงั เกตและการทดสอบ นําความร้อน นาํ ไฟฟ้า ดงึ เปน็ เสน้ หรอื ตเี ปน็ แผ่นบางๆได้
และใชส้ ารสนเทศทไี่ ดจ้ ากแหลง่ และมคี วามหนาแน่นท้ังสูงและตํ่า ธาตุอโลหะมจี ุดเดอื ด
ข้อมูลตา่ ง ๆ รวมทงั้ จัดกลุ่มธาตุเปน็ จุดหลอมเหลวตํา่ มีผวิ ไม่มันวาว ไม่นาํ ความรอ้ น ไม่นาํ

โลหะ อโลหะ และกึ่งโลหะ ไฟฟา้ เปราะ แตกหักงา่ ย

และมคี วามหนาแนน่ ต่ํา ธาตุก่ึงโลหะมสี มบัติ

บางประการเหมือนโลหะ และสมบัตบิ างประการ

เหมอื นอโลหะ

๒. วิเคราะห์ผลจากการใช้ธาตโุ ลหะ • ธาตโุ ลหะ อโลหะ และกึ่งโลหะ ทส่ี ามารถแผ่รงั สีได้

อโลหะ กึ่งโลหะและธาตุกัมมันตรังสี จดั เป็นธาตุกมั มันตรงั สี
• ธาตมุ ีทงั้ ประโยชนแ์ ละโทษ การใช้ธาตุโลหะ อโลหะ
ท่ีมตี อ่ สงิ่ มีชีวติ ส่ิงแวดลอ้ มเศรษฐกิจ กึ่งโลหะ ธาตกุ มั มันตรงั สคี วรคํานงึ ถึงผลกระทบต่อ
และสงั คม จากข้อมลู ที่รวบรวมได้ ส่งิ มชี ีวิต สิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจและสงั คม
๓. ตระหนักถึงคุณค่าของการใช้ธาตุ

โลหะ อโลหะกงึ่ โลหะ

ธาตุกมั มันตรังสีโดยเสนอแนว

ทางการใชธ้ าตอุ ยา่ งปลอดภยั คุ้มคา่

๔. เปรียบเทยี บจดุ เดือดจดุ หลอมเหลว • สารบริสุทธิ์ประกอบด้วยสารเพยี งชนดิ เดียว สว่ นสารผสม
ของสารบรสิ ุทธ์ิและสารผสม โดยการ ประกอบด้วยสารต้งั แต่ ๒ ชนดิ ขึน้ ไป สารบริสทุ ธิ์แต่ละ
ชนดิ มีสมบตั บิ างประการท่ีเปน็ คา่ เฉพาะตวั เช่น จดุ เดอื ด

โรงเรียนบา้ นคลองอุดม
สำนักงานเขตพน้ื ที่การศกึ ษาประถมศกึ ษาฉะเชงิ เทรา เขต ๒

ชัน้ ตวั ชวี้ ัด สาระการเรยี นร้แู กนกลาง/สาระท้องถน่ิ

ม.๑ วัดอุณหภูมเิ ขียนกราฟแปล และจดุ หลอมเหลวคงท่แี ต่สารผสมมีจดุ เดือด และจดุ
ความหมายข้อมูลจากกราฟ หรือ หลอมเหลวไมค่ งที่ขนึ้ อยู่กับชนดิ และสดั สว่ นของสารท่ี
สารสนเทศ ผสมอยดู่ ้วยกัน

๕. อธบิ ายและเปรยี บเทียบความ • สารบรสิ ุทธิ์แตล่ ะชนิดมีความหนาแน่น หรอื มวลต่อหนึ่ง
หนาแน่นของสารบรสิ ทุ ธ์ิ และ หนว่ ยปริมาตรคงท่ี เปน็ ค่าเฉพาะของสารนั้น ณ สถานะ
สารผสม และอุณหภมู หิ นง่ึ แต่สารผสมมีความหนาแน่นไม่คงท่ี
ขึน้ อยู่กบั ชนิด และสดั ส่วนของสารท่ีผสมอยดู่ ้วยกัน
๖. ใชเ้ ครอื่ งมอื เพ่ือวัดมวลและปริมาตร

ของสารบริสุทธิ์และสารผสม

๗. อธบิ ายเกีย่ วกบั ความสัมพันธ์ระหวา่ ง • สารบริสทุ ธิแ์ บ่งออกเปน็ ธาตุ และสารประกอบธาตุ

อะตอมธาตุและสารประกอบ โดยใช้ ประกอบดว้ ยอนุภาคที่เลก็ ที่สุดที่ยงั แสดงสมบัติของธาตุ
นั้นเรยี กว่า อะตอม ธาตแุ ต่ละชนดิ ประกอบดว้ ยอะตอม
แบบจาํ ลองและสารสนเทศ เพียงชนิดเดยี ว และไม่สามารถแยกสลายเปน็ สารอืน่ ได้

ดว้ ยวธิ ที างเคมี ธาตเุ ขยี นแทนดว้ ยสัญลกั ษณ์ธาตุ

สารประกอบเกิดจากอะตอมของธาตุต้งั แต่ ๒ ชนิดขน้ึ ไป

รวมตวั กนั ทางเคมีในอัตราส่วนคงที่มีสมบัตแิ ตกตา่ งจาก

ธาตุท่ีเป็นองค์ประกอบ สามารถแยกเป็นธาตไุ ด้ดว้ ยวธิ ี

ทางเคมธี าตุและสารประกอบสามารถเขียนแทนไดด้ ว้ ย

สูตรเคมี

๘. อธบิ ายโครงสร้างอะตอมที่ประกอบ • อะตอมประกอบดว้ ยโปรตอน นิวตรอน และอเิ ล็กตรอน

ด้วยโปรตอน นิวตรอน และ โปรตอนมีประจไุ ฟฟา้ บวก ธาตชุ นดิ เดยี วกันมีจาํ นวน
อิเล็กตรอน โดยใชแ้ บบจําลอง โปรตอนเท่ากนั และเปน็ ค่าเฉพาะของธาตนุ ัน้ นิวตรอน
เป็นกลางทางไฟฟ้า ส่วนอิเลก็ ตรอนมีประจุไฟฟ้าลบ เมื่อ

อะตอมมีจาํ นวนโปรตอนเทา่ กับจาํ นวนอิเล็กตรอนจะเป็น

กลางทางไฟฟา้ โปรตอนและนิวตรอนรวมกันตรงกลาง

อะตอมเรียกว่า นิวเคลยี ส สว่ นอเิ ล็กตรอนเคลื่อนท่ีอยู่ใน

ท่ีวา่ งรอบนวิ เคลียส

๙. อธิบายและเปรียบเทยี บการจัดเรยี ง • สสารทุกชนดิ ประกอบดว้ ยอนุภาค โดยสารชนิดเดียวกันท่ี

อนุภาคแรงยึดเหนยี่ วระหว่างอนภุ าค มสี ถานะของแข็ง ของเหลว แกส๊ จะมกี ารจัดเรียงอนุภาค
แรงยดึ เหน่ยี วระหว่างอนุภาคการเคลอื่ นที่ของอนุภาค
และการเคล่ือนท่ีของอนุภาคของ
แตกต่างกัน ซึง่ มีผลต่อรปู รา่ งและปริมาตรของสสาร
สสารชนดิ เดยี วกันในสถานะของแข็ง • อนภุ าคของของแขง็ เรียงชดิ กัน มแี รงยึดเหนี่ยวระหวา่ ง
ของเหลว และแกส๊ โดยใช้ อนภุ าคมากทีส่ ุด อนุภาคสั่นอยกู่ บั ท่ีทําให้มรี ปู รา่ งและ

แบบจาํ ลอง ปริมาตรคงที่

โรงเรียนบ้านคลองอุดม
สำนักงานเขตพน้ื ที่การศกึ ษาประถมศกึ ษาฉะเชงิ เทรา เขต ๒

ชน้ั ตวั ชี้วดั สาระการเรียนรู้แกนกลาง/สาระทอ้ งถิ่น

ม.๑ • อนุภาคของของเหลวอยูใ่ กล้กนั มแี รงยึดเหนย่ี วระหว่าง

อนุภาคน้อยกวา่ ของแข็งแตม่ ากกว่าแกส๊ อนุภาคเคลื่อนท่ี
ไดแ้ ต่ไมเ่ ปน็ อสิ ระเท่าแกส๊ ทาํ ให้มรี ูปรา่ งไม่คงทีแ่ ต่
ปริมาตรคงท่ี

• อนภุ าคของแกส๊ อยู่ห่างกนั มาก มีแรงยึดเหนี่ยวระหว่าง
อนภุ าคน้อยที่สดุ อนภุ าคเคล่อื นที่ได้อย่างอสิ ระทุก
ทิศทาง ทาํ ให้มีรปู ร่างและปริมาตรไม่คงที่

๑๐. อธบิ ายความสัมพนั ธ์ระหวา่ ง • ความรอ้ นมีผลตอ่ การเปล่ียนสถานะของสสาร เมื่อให้

พลงั งานความร้อนกบั การเปล่ียน ความร้อนแก่ของแขง็ อนุภาคของของแข็งจะมีพลังงาน

สถานะของสสาร โดยใช้หลกั ฐานเชิง และอณุ หภมู ิเพิ่มข้ึนจนถึงระดบั หนงึ่ ซึง่ ของแข็งจะใช้
ประจกั ษ์และแบบจาํ ลอง ความร้อนในการเปลย่ี นสถานะเป็นของเหลว เรยี กความ
รอ้ นทีใ่ ช้ในการเปลี่ยนสถานะจากของแข็งเป็นของเหลว

วา่ ความรอ้ นแฝงของการหลอมเหลว และอุณหภมู ขิ ณะ
เปล่ยี นสถานะจะคงท่ี เรยี กอณุ หภูมนิ ้ีวา่ จุดหลอมเหลว
• เมอ่ื ให้ความร้อนแก่ของเหลวอนภุ าคของของเหลวจะมี

พลังงานและอุณหภูมเิ พ่ิมขน้ึ จนถงึ ระดบั หน่งึ ซง่ึ ของเหลว
จะใชค้ วามรอ้ นในการเปลี่ยนสถานะเปน็ แกส๊ เรยี กความ
ร้อนท่ใี ช้ในการเปล่ยี นสถานะจากของเหลวเปน็ แกส๊ วา่

ความรอ้ นแฝงของการกลายเปน็ ไอ และอุณหภูมิขณะ
เปล่ยี นสถานะจะคงที่ เรยี กอณุ หภมู ิน้ีว่า จุดเดือด
• เม่อื ทําให้อุณหภูมขิ องแก๊สลดลงจนถึงระดบั หนึ่ง แก๊สจะ

เปล่ยี นสถานะเป็นของเหลว เรยี กอณุ หภูมิน้ีวา่
จุดควบแน่น ซง่ึ มอี ุณหภูมเิ ดยี วกบั จดุ เดือดของของเหลว
นนั้

• เมอ่ื ทาํ ใหอ้ ุณหภมู ิของของเหลวลดลงจนถงึ ระดบั หน่ึง
ของเหลวจะเปล่ียนสถานะเปน็ ของแขง็ เรยี กอุณหภมู ินีว้ า่
จุดเยอื กแข็ง ซ่งึ มอี ุณหภูมิเดียวกับจุดหลอมเหลวของ

ของแข็งนั้น

ม.๒ ๑. อธิบายการแยกสารผสมโดยการ • การแยกสารผสมให้เป็นสารบรสิ ทุ ธ์ทิ าํ ไดห้ ลายวิธีขน้ึ อยู่

ระเหยแห้งการตกผลึก การกล่ันอยา่ ง กบั สมบตั ขิ องสารนั้น ๆ การระเหยแหง้ ใช้แยกสารละลาย
ซึง่ ประกอบด้วยตัวละลายทีเ่ ปน็ ของแข็งในตัวทําละลายที่
ง่ายโครมาโทกราฟแี บบกระดาษ เปน็ ของเหลว โดยใชค้ วามร้อนระเหยตัวทําละลายออกไป
การสกดั ดว้ ยตัวทําละลาย โดยใช้ จนหมดเหลอื แต่ตัวละลาย การตกผลึกใช้แยกสารละลาย
หลักฐานเชงิ ประจักษ์ ท่ปี ระกอบดว้ ยตัวละลายที่เป็นของแขง็ ในตวั ทาํ ละลายท่ี

๒. แยกสารโดยการระเหยแห้ง เป็นของเหลวโดยทาํ ให้สารละลายอ่มิ ตัวแล้วปล่อยใหต้ ัว

โรงเรียนบ้านคลองอดุ ม
สำนักงานเขตพ้นื ที่การศกึ ษาประถมศกึ ษาฉะเชงิ เทรา เขต ๒

ช้ัน ตวั ช้วี ัด สาระการเรยี นรู้แกนกลาง/สาระทอ้ งถน่ิ
ม.๒ การตกผลึกการกลั่นอยา่ งงา่ ย
ทําละลายระเหยออกไปบางส่วนตวั ละลายจะตกผลึกแยก
โครมาโทกราฟีแบบกระดาษ ออกมา การกลน่ั อยา่ งงา่ ยใชแ้ ยกสารละลายที่
การสกดั ด้วยตวั ทําละลาย ประกอบดว้ ย ตวั ละลายและตวั ทําละลายทีเ่ ป็นของเหลว
ทมี่ ีจดุ เดือดต่างกันมาก วธิ ีนจ้ี ะแยกของเหลวบริสุทธิ์
๓. นําวธิ ีการแยกสารไปใชแ้ ก้ปัญหาใน ออกจากสารละลายโดยให้ความรอ้ นกบั สารละลาย
ชวี ติ ประจาํ วนั โดยบรู ณาการ ของเหลวจะเดอื ดและกลายเป็นไอแยกจากสารละลาย
วทิ ยาศาสตรค์ ณติ ศาสตร์เทคโนโลยี แล้วควบแน่นกลับเป็นของเหลวอีกครง้ั ขณะท่ขี องเหลว
และวศิ วกรรมศาสตร์ เดอื ด อณุ หภมู ิของไอจะคงท่ี โครมาโทกราฟีแบบ
กระดาษเป็นวธิ ีการแยกสารผสมทีม่ ีปรมิ าณน้อยโดยใช้
แยกสารทีม่ สี มบตั ิ การละลายในตวั ทาํ ละลายและการถูก
ดดู ซบั ด้วยตัวดูดซบั แตกต่างกนั ทาํ ให้สารแต่ละชนิด
เคล่ือนทไ่ี ปบนตวั ดดู ซับได้ต่างกนั สารจึงแยกออกจากกัน
ไดอ้ ตั ราสว่ นระหวา่ งระยะทางท่สี ารองคป์ ระกอบแตล่ ะ
ชนดิ เคล่อื นทไ่ี ดบ้ นตัวดดู ซับกบั ระยะทางท่ีตวั ทาํ ละลาย
เคลอื่ นทไ่ี ดเ้ ปน็ ค่าเฉพาะตัวของสารแต่ละชนิดในตวั ทํา
ละลาย และตัวดดู ซับหน่งึ ๆ การสกดั ดว้ ยตัวทาํ ละลาย
เปน็ วิธีการแยกสารผสมท่ีมสี มบัติการละลายในตัวทาํ
ละลายทตี่ า่ งกนั โดยชนิดของตัวทําละลายมีผลต่อชนดิ
และปรมิ าณของสารทีส่ กัดได้ การสกัดโดยการกล่ันดว้ ย
ไอน้ำใช้แยกสารทร่ี ะเหยง่าย ไม่ละลายนา้ํ และไม่ทํา
ปฏกิ ริ ยิ ากับน้ำออกจากสารทร่ี ะเหยยาก โดยใช้ไอน้ำ
เป็นตวั พา

• ความรู้ดา้ นวทิ ยาศาสตรเ์ กี่ยวกบั การแยกสารบูรณาการ
กับคณติ ศาสตรเ์ ทคโนโลยีโดยใชก้ ระบวนการทาง
วิศวกรรม สามารถนําไปใช้แกป้ ัญหาในชีวติ ประจําวนั หรอื
ปัญหาท่พี บในชมุ ชนหรอื สรา้ งนวตั กรรม โดยมีข้นั ตอน
ดังนี้
- ระบปุ ัญหาในชวี ิตประจําวันทเี่ กีย่ วกบั การแยกสารโดย
ใชส้ มบตั ิทางกายภาพ หรอื นวตั กรรมทต่ี ้องการพฒั นา
โดยใช้หลกั การดงั กล่าว
- รวบรวมขอ้ มูลและแนวคดิ เกย่ี วกับการแยกสารโดยใช้
สมบัติทางกายภาพทสี่ อดคลอ้ งกบั ปญั หาท่รี ะบุ หรอื
นําไปสู่การพัฒนานวตั กรรมนั้น
- ออกแบบวิธกี ารแก้ปัญหา หรอื พฒั นานวตั กรรมที่
เก่ียวกบั การแยกสารในสารผสม โดยใช้สมบัติ

โรงเรยี นบ้านคลองอุดม
สำนักงานเขตพน้ื ท่ีการศึกษาประถมศกึ ษาฉะเชงิ เทรา เขต ๒

ชน้ั ตวั ช้ีวดั สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง/สาระท้องถ่ิน

ม.๒ ทางกายภาพ โดยเชื่อมโยงความร้ดู ้านวทิ ยาศาสตร์

คณติ ศาสตร์เทคโนโลยีและกระบวนการทางวศิ วกรรม
รวมทัง้ กาํ หนดและควบคุมตวั แปรอย่างเหมาะสม
ครอบคลุม

- วางแผนและดําเนนิ การแกป้ ัญหา หรอื พฒั นา
นวัตกรรม รวบรวมข้อมูล จัดกระทาํ ข้อมูลและเลือก
วิธกี ารสอ่ื ความหมายท่เี หมาะสมในการนําเสนอผล

- ทดสอบ ประเมนิ ผล ปรบั ปรงุ วธิ กี ารแก้ปญั หาหรือ
นวัตกรรมทพ่ี ัฒนาขนึ้ โดยใช้หลักฐานเชงิ ประจักษท์ ่ี
รวบรวมได้

- นาํ เสนอวิธีการแกป้ ัญหา หรอื ผลของนวัตกรรมท่ี
พัฒนาข้ึน และผลทไี่ ดโ้ ดยใชว้ ธิ กี ารสอ่ื สารที่เหมาะสม
และนา่ สนใจ

๔. ออกแบบการทดลองและทดลองใน • สารละลายอาจมีสถานะเป็นของแข็ง ของเหลว และแก๊ส
การอธบิ ายผลของชนดิ ตวั ละลาย สารละลายประกอบดว้ ยตัวทําละลาย และตัวละลาย
ชนิดตัวทาํ ละลายอณุ หภมู ิท่มี ตี ่อ กรณสี ารละลายเกิดจากสารทมี่ สี ถานะเดยี วกัน สารทมี่ ี
สภาพละลายไดข้ องสาร รวมท้งั ปรมิ าณมากท่ีสุดจดั เป็นตัวทําละลาย กรณีสารละลายเกดิ
อธิบายผลของความดันท่มี ีต่อสภาพ จากสารท่มี สี ถานะต่างกัน สารทมี่ ีสถานะเดยี วกันกบั
ละลายไดข้ องสาร โดยใช้สารสนเทศ สารละลายจดั เป็นตวั ทาํ ละลาย

• สารละลายที่ตวั ละลายไม่สามารถละลายในตัวทาํ ละลาย
ได้อกี ที่อุณหภูมหิ นงึ่ ๆ เรียกว่าสารละลายอิ่มตัว

• สภาพละลายได้ของสารในตวั ทําละลาย เป็นค่าที่บอก
ปรมิ าณของสารท่ีละลายได้ในตัวทําละลาย ๑๐๐ กรัม
จนไดส้ ารละลายอ่มิ ตัว ณ อุณหภมู ิ และความดันหน่ึง ๆ

สภาพละลายได้ของสารบ่งบอกความสามารถในการ
ละลายไดข้ องตัวละลายในตัวทาํ ละลาย ซ่งึ ความสามารถ
ในการละลายของสารขึน้ อยู่กับชนิดของตัวทาํ ละลายและ

ตัวละลาย อณุ หภูมแิ ละความดัน
• สารชนิดหน่ึงๆมีสภาพละลายได้แตกต่างกนั ในตัวทาํ

ละลายทีแ่ ตกต่างกัน และสารตา่ งชนิดกนั มีสภาพละลาย

ไดใ้ นตวั ทําละลายหนึ่งๆไม่เทา่ กนั
• เมอื่ อณุ หภูมิสงู ขน้ึ สารส่วนมาก สภาพละลายไดข้ องสาร

จะเพ่มิ ขึ้น ยกเว้นแก๊สเม่ืออณุ หภูมิสูงขน้ึ สภาพการละลาย

ได้จะลดลง สว่ นความดันมผี ลตอ่ แก๊ส โดยเม่ือความดนั
เพิ่มข้นึ สภาพละลายได้จะสงู ข้ึน

โรงเรยี นบา้ นคลองอดุ ม
สำนักงานเขตพืน้ ท่ีการศึกษาประถมศกึ ษาฉะเชงิ เทรา เขต ๒

ชน้ั ตัวชี้วัด สาระการเรียนรูแ้ กนกลาง/สาระท้องถิ่น

ม.๒ • ความรู้เกยี่ วกบั สภาพละลายได้ของสาร เมื่อเปลีย่ นแปลง

ชนิดตวั ละลาย ตัวทําละลาย และอุณหภูมสิ ามารถ
นําไปใชป้ ระโยชนใ์ นชวี ิตประจําวันเชน่ การทํานาํ้ เชื่อม
เข้มขน้ การสกดั สารออกจากสมนุ ไพรให้ได้ปรมิ าณมาก

ท่ีสุด
๕. ระบปุ ริมาณตวั ละลายในสารละลาย • ความเขม้ ข้นของสารละลาย เป็นการระบปุ รมิ าณตัว

ในหนว่ ยความเข้มขน้ เปน็ รอ้ ยละ ละลายในสารละลาย หน่วยความเขม้ ขน้ มหี ลายหนว่ ย ท่ี

ปรมิ าตรตอ่ ปริมาตรมวลต่อมวล และ นิยมระบุเปน็ หน่วยเปน็ ร้อยละปรมิ าตรต่อปริมาตร
มวลตอ่ มวล และมวลต่อปรมิ าตร
มวลต่อปริมาตร๖. ตระหนกั ถงึ • รอ้ ยละโดยปรมิ าตรตอ่ ปริมาตร เป็นการระบุปริมาตรตัว
ความสําคญั ของการนําความรเู้ รอ่ื ง
ละลายในสารละลาย ๑๐๐ หน่วย ปริมาตรเดียวกนั นิยม
ความเขม้ ข้นของสารไปใช้โดย
ใชก้ ับสารละลายที่เปน็ ของเหลวหรอื แกส๊
ยกตวั อยา่ งการใชส้ ารละลายใน • รอ้ ยละโดยมวลตอ่ มวล เปน็ การระบุมวลตวั ละลายใน

ชวี ิตประจําวันอย่างถูกต้องและ สารละลาย ๑๐๐ หนว่ ยมวลเดียวกันนิยมใชก้ บั

ปลอดภยั สารละลายท่มี ีสถานะเปน็ ของแขง็
• รอ้ ยละโดยมวลต่อปริมาตร เป็นการระบมุ วลตวั ละลายใน

สารละลาย ๑๐๐ หนว่ ยปรมิ าตรนยิ มใช้กับสารละลายที่มี

ตัวละลายเป็นของแข็งในตัวทาํ ละลายทีเ่ ป็นของเหลว

• การใชส้ ารละลาย ในชีวติ ประจําวนั ควรพจิ ารณาจาก
ความเขม้ ขน้ ของสารละลาย ขึน้ อยกู่ บั จดุ ประสงค์ของการ
ใช้งาน และผลกระทบต่อสิ่งชวี ติ และส่งิ แวดล้อม

ม.๓ ๑. ระบุสมบัตทิ างกายภาพและการใช้ • พอลเิ มอรเ์ ซรามกิ สแ์ ละวสั ดผุ สม เปน็ วสั ดทุ ี่ใช้มากใน

ประโยชนว์ ัสดุประเภทพอลิเมอร์ ชีวิตประจาํ วนั

เซรามิกสแ์ ละวสั ดผุ สมโดยใช้ • พอลิเมอร์เป็นสารประกอบโมเลกุลใหญ่ทเี่ กิดจากโมเลกลุ

หลักฐานเชงิ ประจักษแ์ ละสารสนเทศ จาํ นวนมากรวมตัวกันทางเคมี เชน่ พลาสติกยาง เส้นใย
๒. ตระหนักถึงคุณคา่ ของการใช้วัสดุ ซง่ึ เปน็ พอลเิ มอร์ทมี่ สี มบัติแตกตา่ งกนั โดยพลาสติกเป็น
พอลิเมอร์ท่ีขึน้ รปู เปน็ รูปทรงตา่ ง ๆ ได้ยางยืดหยนุ่ ไดส้ ว่ น
ประเภทพอลเิ มอรเ์ ซรามิกสแ์ ละวสั ดุ เสน้ ใยเปน็ พอลิเมอร์ทีส่ ามารถดึงเป็นเส้นยาวได้พอลเิ มอร์
ผสม โดยเสนอแนะแนวทางการใช้ จงึ ใชป้ ระโยชนไ์ ด้แตกตา่ งกัน

วัสดุอยา่ งประหยัดและคมุ้ คา่ • เซรามิกส์เปน็ วสั ดทุ ่ผี ลติ จาก ดนิ หนิ ทราย และแร่ธาตุ

ตา่ ง ๆ จากธรรมชาตแิ ละส่วนมากจะผา่ นการเผาที่

อุณหภูมิสูง เพือ่ ใหไ้ ดเ้ นื้อสารท่ีแขง็ แรง เซรามิกส์สามารถ
ทําเป็นรูปทรงตา่ ง ๆ ไดส้ มบตั ิทัว่ ไปของเซรามิกสจ์ ะแข็ง
ทนต่อการสกึ กรอ่ น และเปราะ สามารถนําไปใช้

ประโยชน์ไดเ้ ชน่ ภาชนะทเี่ ป็นเครอื่ งป้นั ดินเผาช้นิ สว่ น

โรงเรยี นบา้ นคลองอุดม
สำนักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาประถมศกึ ษาฉะเชงิ เทรา เขต ๒

ชนั้ ตัวช้วี ดั สาระการเรยี นรู้แกนกลาง/สาระท้องถิ่น

ม.๓ อเิ ล็กทรอนกิ ส์

• วัสดุผสมเปน็ วสั ดุทีเ่ กิดจากวัสดตุ ้ังแต่ ๒ ประเภทท่ีมี
สมบัตแิ ตกตา่ งกนั มารวมตัวกนั เพอ่ื นําไปใชป้ ระโยชนไ์ ด้
มากขน้ึ เชน่ เสอื้ กันฝนบางชนดิ เปน็ วัสดผุ สมระหวา่ งผา้

กับยางคอนกรตี เสริมเหล็กเปน็ วัสดุผสมระหว่างคอนกรตี
กบั เหลก็
• วสั ดุบางชนดิ สลายตัวยาก เช่น พลาสตกิ การใชว้ สั ดอุ ยา่ ง

ฟุม่ เฟอื ยและไม่ระมดั ระวังอาจก่อปญั หาต่อสิ่งแวดลอ้ ม
๓. อธบิ ายการเกิดปฏกิ ิริยาเคมีรวมถงึ • การเกดิ ปฏกิ ริ ยิ าเคมีหรือการเปลยี่ นแปลงทางเคมีของ

การจัดเรยี งตัวใหมข่ องอะตอมเมื่อ สาร เป็นการเปล่ยี นแปลงที่ทําให้เกิดสารใหม่ โดยสารท่ี
เกดิ ปฏิกิริยาเคมโี ดยใช้แบบจาํ ลอง เข้าทาํ ปฏกิ ริ ิยา เรยี กว่าสารตัง้ ต้นสารใหม่ท่เี กิดข้ึนจาก
และสมการข้อความ ปฏิกริ ิยา เรียกวา่ ผลิตภณั ฑ์การเกดิ ปฏกิ ริ ิยาเคมีสามารถ
เขยี นแทนไดด้ ว้ ยสมการข้อความ
• การเกิดปฏิกิริยาเคมีอะตอมของสารต้งั ตน้ จะมกี าร
จัดเรยี งตวั ใหม่ ไดเ้ ปน็ ผลติ ภัณฑ์ซ่ึงมสี มบัติแตกตา่ งจาก

๔. อธิบายกฎทรงมวล โดยใชห้ ลักฐาน สารตั้งต้น โดยอะตอมแตล่ ะชนดิ กอ่ นและหลัง
เชงิ ประจกั ษ์ เกดิ ปฏิกริ ิยาเคมมี จี ํานวนเท่ากนั

• เมอ่ื เกิดปฏกิ ิริยาเคมีมวลรวมของสารตัง้ ต้นเท่ากับมวล
รวมของผลิตภณั ฑ์ซ่ึงเป็นไปตามกฎทรงมวล

๕. วิเคราะห์ปฏกิ ิรยิ าดดู ความร้อน และ • เมื่อเกิดปฏิกริ ิยาเคมมี ีการถ่ายโอนความร้อนควบคู่ไปกับ
ปฏิกิริยาคายความรอ้ น จากการ การจัดเรยี งตัวใหมข่ องอะตอมของสารปฏิกิริยาท่ีมีการ
เปลี่ยนแปลงพลังงานความร้อนของ ถา่ ยโอนความร้อนจากสง่ิ แวดล้อมเข้าสรู่ ะบบเป็น
ปฏิกิริยา ปฏิกริ ิยาดดู ความรอ้ น ปฏิกริ ิยาที่มีการถา่ ยโอนความร้อน
จากระบบออกสู่สง่ิ แวดล้อมเป็นปฏกิ ริ ิยาคายความร้อน
โดยใช้เคร่ืองมือทเี่ หมาะสมในการวัดอุณหภมู เิ ช่น เทอร์

๖. อธิบายปฏิกิริยาการเกดิ สนิมของ มอมเิ ตอร์หัววดั ทสี่ ามารถตรวจสอบการเปลย่ี นแปลงของ
เหลก็ ปฏกิ ริ ยิ าของกรดกับโลหะ อุณหภูมิไดอ้ ย่างต่อเนือ่ ง
ปฏิกิรยิ าของกรดกบั เบส และ
ปฏิกิริยาของเบสกับโลหะ โดยใช้ • ปฏิกิรยิ าเคมีทพี่ บในชีวติ ประจําวันมหี ลายชนดิ เชน่
หลกั ฐานเชงิ ประจักษ์และอธิบาย ปฏิกริ ิยาการเผาไหมก้ ารเกิดสนมิ ของเหล็ก ปฏิกริ ิยาของ
ปฏกิ ิริยาการเผาไหม้การเกดิ ฝนกรด กรดกบั โลหะ ปฏกิ ริ ิยาของกรดกบั เบส ปฏิกิริยาของเบส
การสงั เคราะห์ดว้ ยแสง โดยใช้ กบั โลหะ การเกิดฝนกรดการสังเคราะห์ด้วยแสง ปฏิกิรยิ า
เคมีสามารถเขยี นแทนไดด้ ้วยสมการข้อความ ซ่ึงแสดงช่อื
ของสารตง้ั ต้นและผลิตภณั ฑ์เช่น
เช้อื เพลิง + ออกซเิ จน → คารบ์ อนไดออกไซด์+ น้ำ
ปฏกิ ิริยาการเผาไหมเ้ ป็นปฏิกริ ิยาระหวา่ งสารกบั

โรงเรยี นบา้ นคลองอดุ ม
สำนักงานเขตพ้นื ท่ีการศกึ ษาประถมศกึ ษาฉะเชงิ เทรา เขต ๒

ชั้น ตวั ชวี้ ัด สาระการเรียนรแู้ กนกลาง/สาระท้องถ่ิน

ม.๓ สารสนเทศ รวมทง้ั เขียนสมการ ออกซเิ จน สารท่เี กิดปฏิกิริยาการเผาไหม้ สว่ นใหญ่เป็น

ข้อความแสดงปฏิกิริยาดังกลา่ ว สารประกอบท่ีมีคาร์บอน และไฮโดรเจนเปน็ องค์ประกอบ
ซึ่งถ้าเกดิ การเผาไหม้อย่างสมบรู ณ์จะไดผ้ ลิตภัณฑ์เปน็
คาร์บอนไดออกไซด์และน้ำ

• การเกิดสนมิ ของเหลก็ เกิดจากปฏิกริ ยิ าเคมรี ะหว่างเหล็ก
นำ้ และออกซเิ จน ไดผ้ ลิตภณั ฑเ์ ปน็ สนมิ ของเหลก็

• ปฏกิ ริ ิยาการเผาไหมแ้ ละการเกิดสนิมของเหล็กเป็น

ปฏกิ ริ ยิ าระหว่างสารต่าง ๆ กับออกซเิ จน
• ปฏกิ ริ ิยาของกรดกับโลหะกรดทําปฏกิ ิรยิ ากบั โลหะได้

หลายชนิด ไดผ้ ลติ ภัณฑ์เปน็ เกลือของโลหะและแก๊ส

ไฮโดรเจน
• ปฏิกริ ิยาของกรดกับสารประกอบคารบ์ อเนตไดผ้ ลิตภัณฑ์

เปน็ แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์เกลือของโลหะ และน้ำ

• ปฏิกริ ยิ าของกรดกับเบส ไดผ้ ลติ ภัณฑเ์ ป็นเกลือของโลหะ
และนำ้ หรืออาจได้เพยี งเกลือของโลหะ

• ปฏิกิริยาของเบสกับโลหะบางชนิด ไดผ้ ลิตภัณฑเ์ ป็นเกลอื

ของเบสและแก๊สไฮโดรเจน
• การเกดิ ฝนกรด เปน็ ผลจากปฏิกริ ิยาระหว่างน้ำฝนกบั

ออกไซดข์ องไนโตรเจน หรือออกไซด์ของซัลเฟอร์ทําให้

น้ำฝนมีสมบตั ิเป็นกรด
• การสังเคราะหด์ ว้ ยแสงของพชื เป็นปฏกิ ริ ิยาระหวา่ งแก๊ส

คาร์บอนไดออกไซด์กับน้ำ โดยมแี สงช่วยในการ

เกดิ ปฏิกิริยา ไดผ้ ลติ ภัณฑ์เปน็ น้ำตาลกลโู คสและ

ออกซิเจน

๗. ระบุประโยชน์และโทษของปฏกิ ริ ยิ า • ปฏกิ ริ ิยาเคมที ีพ่ บในชวี ติ ประจาํ วันมที ัง้ ประโยชนแ์ ละโทษ

เคมที ่ีมีต่อส่ิงมีชีวติ และส่ิงแวดล้อม ตอ่ สิ่งมชี วี ิตและสิง่ แวดลอ้ ม จงึ ตอ้ งระมดั ระวงั ผลจาก
ปฏิกิรยิ าเคมีตลอดจนรูจ้ กั วธิ ีป้องกนั และแก้ปัญหาที่เกิด
และยกตวั อย่างวธิ ีการป้องกนั และ
จากปฏกิ ริ ิยาเคมที ี่พบในชีวิตประจาํ วนั
แก้ปญั หาทเ่ี กดิ จากปฏิกิริยาเคมีท่ีพบ • ความรู้เก่ียวกบั ปฏกิ ิริยาเคมีสามารถนําไปใช้ประโยชน์ใน
ในชวี ิตประจําวนั จากการสืบค้น ชวี ติ ประจําวัน และสามารถบูรณาการกบั คณิตศาสตร์

ขอ้ มลู เทคโนโลยแี ละวศิ วกรรมศาสตร์เพอื่ ใชป้ รับปรุงผลิตภณั ฑ์
๘. ออกแบบวิธแี ก้ปัญหาในชีวิต
ใหม้ ีคณุ ภาพตามต้องการหรอื อาจสรา้ งนวตั กรรมเพื่อ

ประจาํ วัน โดยใช้ความรเู้ ก่ยี วกับ ป้องกันและแก้ปัญหาท่ีเกิดขึ้นจากปฏกิ ริ ยิ าเคมีโดยใช้

ปฏิกริ ิยาเคมีโดยบรู ณาการ ความรูเ้ กย่ี วกับปฏิกริ ิยาเคมเี ช่น การเปลี่ยนแปลง
วิทยาศาสตรค์ ณิตศาสตรเ์ ทคโนโลยี พลังงานความรอ้ นอันเนื่องมาจากปฏิกิริยาเคมี

โรงเรยี นบา้ นคลองอุดม
สำนักงานเขตพืน้ ท่ีการศึกษาประถมศกึ ษาฉะเชงิ เทรา เขต ๒

ชนั้ ตัวช้วี ัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง/สาระทอ้ งถ่นิ
ม.๓ และวศิ วกรรมศาสตร์ การเพมิ่ ปรมิ าณผลผลิต

สาระที่ ๒ วิทยาศาสตร์กายภาพ
มาตรฐาน ว ๒.๒ เข้าใจธรรมชาติของแรงในชีวติ ประจําวนั ผลของแรงท่ีกระทาํ ต่อวตั ถุ ลักษณะการ

เคล่ือนทแี่ บบต่าง ๆ ของวตั ถุ รวมทั้งนาํ ความรไู้ ปใช้ประโยชน์

ชน้ั ตัวช้วี ัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง/สาระท้องถน่ิ

ป.๑ - -

ป.๒ - -

ป.๓ ๑. ระบผุ ลของแรงท่ีมตี ่อการ • การดึงหรือการผลักเป็นการออกแรงกระทาํ ต่อวัตถุแรงมี

เปลยี่ นแปลงการเคลือ่ นที่ของวัตถุ ผลตอ่ การเคล่ือนที่ของวตั ถุแรงอาจทาํ ให้วตั ถุเกิดการ
จากหลักฐานเชิงประจักษ์ เคลื่อนท่ีโดยเปล่ยี นตําแหน่งจากทห่ี น่งึ ไปยังอกี ท่หี น่ึง
• การเปล่ียนแปลงการเคลอื่ นที่ของวตั ถไุ ด้แก่ วตั ถุที่อยนู่ งิ่

เปลยี่ นเป็นเคลอื่ นท่ี วตั ถุท่ีกาํ ลังเคล่ือนท่เี ปล่ียนเป็น

เคล่ือนทีเ่ รว็ ขน้ึ หรือช้าลงหรอื หยุดน่งิ หรอื เปลี่ยนทิศ

ทางการเคล่ือนท่ี

๒. เปรยี บเทยี บและยกตวั อย่างแรง • การดงึ หรอื การผลกั เป็นการออกแรงที่เกดิ จากวัตถหุ นง่ึ

สัมผัสและแรงไมส่ มั ผสั ท่มี ีผลต่อการ กระทาํ กบั อีกวตั ถุหน่งึ โดยวตั ถุทั้งสองอาจสมั ผสั หรือไม่
เคลอ่ื นทีข่ องวตั ถโุ ดยใช้หลกั ฐานเชิง ตอ้ งสัมผัสกัน เชน่ การออกแรงโดยใชม้ ือดงึ หรือการผลัก
ประจกั ษ์ โตะ๊ ใหเ้ คลอ่ื นที่เปน็ การออกแรงท่วี ัตถุตอ้ งสัมผัสกนั แรงน้ี
จงึ เปน็ แรงสมั ผัสส่วนการที่แม่เหลก็ ดึงดูดหรอื ผลกั

ระหวา่ งแม่เหลก็ เปน็ แรงที่เกดิ ขึ้นโดยแม่เหล็กไมจ่ าํ เปน็

ตอ้ งสมั ผสั กัน แรงแมเ่ หลก็ น้จี งึ เป็นแรงไม่สัมผัส

๓. จําแนกวตั ถุโดยใช้การดงึ ดูดกบั • แมเ่ หล็กสามารถดงึ ดดู สารแมเ่ หล็กได้

แมเ่ หล็กเป็นเกณฑ์จากหลักฐานเชิง • แรงแมเ่ หลก็ เป็นแรงทเี่ กิดข้ึนระหว่างแม่เหล็กกับสาร
แมเ่ หล็ก หรอื แม่เหลก็ กับแม่เหลก็ แม่เหล็ก ม๒ี ขว้ั คอื
ประจกั ษ์ ข้วั เหนอื และขั้วใต้ ข้วั แม่เหลก็ ชนิดเดียวกนั จะผลักกนั
๔. ระบขุ ้วั แมเ่ หล็กและพยากรณ์ผลท่ี ตา่ งชนิดกนั จะดึงดดู กัน

เกิดขึน้ ระหวา่ งขว้ั แม่เหลก็ เมอื่ นาํ มา

เข้าใกล้กันจากหลักฐานเชงิ ประจักษ์

ป.๔ ๑. ระบผุ ลของแรงโนม้ ถ่วงที่มีต่อวตั ถุ • แรงโน้มถ่วงของโลกเปน็ แรงดึงดดู ที่โลกกระทาํ ต่อวตั ถุมี
จากหลักฐานเชิงประจักษ์ ทศิ ทางเข้าส่ศู นู ย์กลางโลก และเป็นแรงไม่สัมผสั แรง
ดงึ ดดู ทโี่ ลกกระทํากับวัตถุหนงึ่ ๆทาํ ใหว้ ตั ถตุ กลงสพู่ ้นื โลก
๒. ใชเ้ คร่ืองชัง่ สปริงในการวดั น้าํ หนัก และทําใหว้ ัตถมุ ีน้าํ หนักวัดนาํ้ หนักของวัตถไุ ดจ้ ากเคร่อื ง

โรงเรยี นบา้ นคลองอุดม
สำนักงานเขตพ้นื ท่ีการศกึ ษาประถมศกึ ษาฉะเชงิ เทรา เขต ๒

ชน้ั ตัวชี้วัด สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง/สาระทอ้ งถน่ิ

ป.๔ ของวตั ถุ ชั่งสปริง นำ้ หนักของวัตถุขนึ้ กบั มวลของวตั ถโุ ดยวัตถทุ ี่มี

มวลมากจะมนี ้ำหนกั มากวัตถุท่ีมีมวลนอ้ ยจะมนี ้ำหนกั

น้อย

๓. บรรยายมวลของวัตถุท่ีมีผลต่อการ • มวล คอื ปริมาณเนอื้ ของสสารท้งั หมดทป่ี ระกอบกันเป็น

เปล่ียนแปลงการเคล่อื นท่ีของวตั ถุ วัตถซุ ึ่งมผี ลตอ่ ความยากง่ายในการเปลีย่ นแปลงการ
จากหลักฐานเชิงประจกั ษ์ เคลื่อนท่ขี องวัตถวุ ตั ถุที่มมี วลมากจะเปลยี่ นแปลงการ
เคลื่อนท่ีไดย้ ากกวา่ วัตถุท่ีมมี วลน้อย ดงั นนั้ มวลของวัตถุ

นอกจากจะหมายถงึ เน้ือทั้งหมดของวัตถนุ ัน้ แล้วยงั

หมายถงึ การต้านการเปลี่ยนแปลงการเคล่ือนที่ของวัตถุ

น้นั ด้วย

ป.๕ ๑. อธิบายวธิ ีการหาแรงลพั ธข์ องแรง • แรงลัพธ์เปน็ ผลรวมของแรงทกี่ ระทาํ ต่อวตั ถุโดยแรงลัพธ์

หลายแรงในแนวเดยี วกันทกี่ ระทําต่อ ของแรง ๒ แรงท่ีกระทําต่อวัตถเุ ดยี วกนั จะมขี นาดเท่ากับ
วตั ถใุ นกรณที ว่ี ตั ถุอย่นู ง่ิ จากหลกั ฐาน ผลรวมของแรงท้งั สองเม่ือแรงทง้ั สองอยู่ในแนวเดยี วกนั
เชงิ ประจักษ์ และมีทศิ ทางเดียวกนั แต่จะมีขนาดเท่ากบั ผลต่างของแรง
๒. เขียนแผนภาพแสดงแรงท่ีกระทาํ ต่อ ทั้งสอง เมอ่ื แรงทงั้ สองอยู่ในแนวเดียวกันแต่มที ิศทางตรง
วตั ถทุ ีอ่ ย่ใู นแนวเดียวกันและแรงลพั ธ์ ข้ามกัน สาํ หรับวัตถุท่ีอยู่น่ิงแรงลัพธท์ ก่ี ระทําตอ่ วัตถุมคี ่า
เป็นศูนย์
ท่ีกระทําต่อวัตถุ
• การเขียนแผนภาพของแรงทกี่ ระทําต่อวตั ถสุ ามารถเขียน

๓. ใช้เครือ่ งชัง่ สปริงในการวดั แรงท่ี ได้โดยใช้ลูกศร โดยหวั ลูกศรแสดงทิศทางของแรง และ

กระทาํ ต่อวัตถุ ความยาวของลกู ศรแสดงขนาดของแรงท่ีกระทําต่อวตั ถุ

๔. ระบผุ ลของแรงเสียดทานทม่ี ตี ่อการ • แรงเสยี ดทานเปน็ แรงที่เกิดขน้ึ ระหวา่ งผวิ สัมผสั ของวัตถุ

เปลีย่ นแปลงการเคล่อื นท่ีของวตั ถุ เพ่อื ต้านการเคลื่อนที่ของวัตถุน้นั โดยถา้ ออกแรงกระทํา

จากหลักฐานเชงิ ประจักษ์ ตอ่ วัตถทุ ่อี ยนู่ ิ่งบนพน้ื ผวิ หนง่ึ ให้เคล่อื นที่แรงเสยี ดทาน
๕. เขียนแผนภาพแสดงแรงเสียดทาน จากพน้ื ผิวนน้ั กจ็ ะตา้ นการเคลื่อนท่ีของวตั ถแุ ต่ถ้าวตั ถุ
กําลังเคลื่อนทแ่ี รงเสียดทานก็จะทําใหว้ ตั ถุนั้นเคล่ือนทชี่ ้า
และแรงทีอ่ ยู่ในแนวเดยี วกันที่กระทํา ลงหรือหยุดนง่ิ
ตอ่ วตั ถุ

ป.๖ ๑. อธิบายการเกดิ และผลของแรงไฟฟา้ • วตั ถ๒ุ ชนิดทผ่ี า่ นการขัดถูแล้ว เมอ่ื นําเข้าใกล้กันอาจ

ซึง่ เกดิ จากวัตถุท่ีผ่านการขัดถูโดยใช้ ดงึ ดดู หรอื ผลักกัน แรงท่ีเกิดขึน้ นเ้ี ป็นแรงไฟฟ้า ซงึ่ เป็น
แรงไมส่ ัมผสั เกิดขึน้ ระหว่างวัตถุทมี่ ีประจุไฟฟ้า ซง่ึ ประจุ
หลักฐานเชงิ ประจกั ษ์ ไฟฟา้ ม๒ี ชนิด คือ ประจุไฟฟา้ บวก และประจุไฟฟา้ ลบ

วตั ถุท่ีมีประจุไฟฟ้าชนิดเดียวกันผลักกนั ชนิดตรงขา้ มกัน

ดงึ ดูดกนั

ม.๑ ๑. สร้างแบบจาํ ลองทีอ่ ธบิ ายความ • เมอ่ื วตั ถุอยู่ในอากาศจะมีแรงทอี่ ากาศกระทําต่อวัตถใุ น

สมั พนั ธร์ ะหว่างความดนั อากาศกบั ทกุ ทิศทาง แรงท่ีอากาศกระทําต่อวัตถขุ ้ึนอยู่กับขนาด

โรงเรียนบ้านคลองอดุ ม
สำนักงานเขตพนื้ ท่ีการศึกษาประถมศกึ ษาฉะเชงิ เทรา เขต ๒


Click to View FlipBook Version