The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่อง สุภาษิตพระร่วง โดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ (G.I : Group Investigation) ร่วมกับแผนผังมโนทัศน์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ โรงเรียนปทุมเทพวิทยาคาร อำเภอเมือง จังหวัดหนองคาย

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

๑.วิจัยในชั้นเรียน

การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่อง สุภาษิตพระร่วง โดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ (G.I : Group Investigation) ร่วมกับแผนผังมโนทัศน์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ โรงเรียนปทุมเทพวิทยาคาร อำเภอเมือง จังหวัดหนองคาย

การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่อง สุภาษิตพระร่วง โดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ (G.I : Group Investigation) ร่วมกับแผนผังมโนทัศน์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ โรงเรียนปทุมเทพวิทยาคาร อำเภอเมือง จังหวัดหนองคาย วัฒนา ศรีจันทร์มูล วิจัยในชั้นเรียนนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาหลักสูตรครุศาตรบัณฑิต สาขาวิชาภาษาไทย คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี ๒๕๖๖


การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่อง สุภาษิตพระร่วง โดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ (G.I : Group Investigation) ร่วมกับแผนผังมโนทัศน์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ โรงเรียนปทุมเทพวิทยาคาร อำเภอเมือง จังหวัดหนองคาย นายวัฒนา ศรีจันทร์มูล รหัสนักศึกษา ๖๒๑๐๐๑๐๑๑๑๔ วิจัยในชั้นเรียนนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาหลักสูตรครุศาตรบัณฑิต สาขาวิชาภาษาไทย คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี ๒๕๖๖


ก ชื่อเรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่อง สุภาษิตพระร่วง โดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ (G.I : Group Investigation) ร่วมกับ แผนผังมโนทัศน์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ โรงเรียนปทุมเทพวิทยาคาร อำเภอเมือง จังหวัดหนองคาย ผู้วิจัย นายวัฒนา ศรีจันทร์มูล อาจารย์ที่ปรึกษา อาจารย์มัลลิกา มาภา ปริญญา ครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาภาษาไทย ปีการศึกษา ๒๕๖๖ บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์คือ ๑) เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่อง สุภาษิตพระร่วง ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ ๘๐/๘๐ ๒) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา ภาษาไทย ก่อนเรียนและหลังเรียน เรื่องสุภาษิตพระร่วง โดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ (G.I : Group Investigation) ร่วมกับแผนผังมโนทัศน์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ โรงเรียนปทุมเทพ วิทยาคาร อำเภอเมือง จังหวัดหนองคาย โดยวิธีสุ่มอย่างง่าย เพื่อเลือกนักเรียนกลุ่มตัวอย่างจำนวน ๔๐ คน จากนักเรียนทั้งหมด ๑๖๑ คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ๑) แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง สุภาษิตพระร่วง โดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ (G.I : Group Investigation) ร่วมกับ แผนผังมโนทัศน์ จำนวน ๕ แผน รวม ๕ ชั่วโมง ๒) แบบฝึกหัด จำนวน ๕ ชุด ชุดละ ๑ ชั่วโมง ๓) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ก่อนเรียนและหลังเรียน เรื่อง สุภาษิตพระร่วง จำนวน ๒๐ ข้อ ๒๐ คะแนน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ ได้แก่ ค่าเฉลี่ย (x̅) การหาค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าที (t-test) แบบ Dependent Sample Test ผลการวิจัยพบว่า การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา ภาษาไทย เรื่อง สุภาษิตพระร่วง มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ ๘๐/๘๐ และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑/๑๑ หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .๐๕ โดยมี ค่าเฉลี่ย (x̅) เท่ากับ ๑๗.๒๐ มีค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ ๑.๒๐ และมีค่า t เท่ากับ ๗๖.๕๙


ข กิตติกรรมประกาศ การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่อง สุภาษิตพระร่วง โดยใช้ กระบวน การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ (G.I : Group Investigation) ร่วมกับแผนผังมโนทัศน์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ โรงเรียนปทุมเทพวิทยาคาร อำเภอเมือง จังหวัดหนองคาย ในครั้งนี้ สามารถสำเร็จลุล่วงได้อย่างสมบูรณ์ ด้วยความกรุณาและความช่วยเหลืออย่างดีจาก อาจารย์มัลลิกา มาภา อาจารย์นิเทศ ที่กรุณาให้คำปรึกษา แนะนำ และตรวจสอบแก้ไขข้อบกพร่องต่าง ๆ อย่างละเอียดจนครบถ้วนสมบูรณ์ ตลอดจนให้กำลังใจแก่ผู้วิจัยด้วยความเอาใจใส่อย่างดียิ่งเสมอมา ผู้วิจัยรู้สึกซาบซึ้งในความกรุณาและขอกราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูงมา ณ โอกาสนี้ ขอขอบพระคุณ นางสาวอาภัสร สมบุศย์ครูพี่เลี้ยง ที่กรุณาดูแล ให้คำปรึกษา ตลอดจนให้ คำแนะนำติชมต่าง ๆ อันเป็นประโยชน์ต่อการศึกษาวิจัย และการปฏิบัติหน้าที่การสอน นางชนานุต อุ่นมะดี และนางสาวสุธีธิดา บรรณารักษ์ ตำแหน่ง ครู วิทยฐานะครูชำนาญการพิเศษ สาขาวิชาภาษาไทย ที่กรุณาตรวจสอบเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ตลอดจนคณะครูภายในกลุ่มสาระ การเรียนรู้ภาษาไทยโรงเรียนปทุมเทพวิทยาคาร อำเภอเมือง จังหวัดหนองคาย ทุกท่าน ที่ช่วยให้ ข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์และมีคุณค่าต่อการทำวิจัยครั้งนี้อย่างดียิ่ง ขอขอบพระคุณคณะผู้บริหารและคณะครู โรงเรียนปทุมเทพวิทยาคาร อำเภอเมือง จังหวัดหนองคาย ที่ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีในการเก็บรวบรวมข้อมูล และการทดลองใช้เครื่องมือวิจัย รวมถึงนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑/๑๑ ปีการศึกษา ๒๕๖๖ โรงเรียนปทุมเทพวิทยาคาร ที่ให้ความร่วมมือในการศึกษาวิจัย ขอขอบคุณผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทุกท่าน ที่คอยดูแลและให้การสนับสนุนในการวิจัยครั้งนี้ ทั้งให้ ความช่วยเหลือในด้านทุนทรัพย์ ขอเสนอแนะด้านต่าง ๆ ในการศึกษาวิจัยครั้งนี้และมีส่วนช่วย การศึกษาวิจัยครั้งนี้ลุล่วงไปด้วยดี วัฒนา ศรีจันทร์มูล ผู้จัดทำ


ค สารบัญ หน้า บทคัดย่อ.................................................................................................................................................ก กิตติกรรมประกาศ...................................................................................................................................ข สารบัญ....................................................................................................................................................ค สารบัญภาพ ............................................................................................................................................ช สารบัญตาราง..........................................................................................................................................ซ บทที่ ๑ บทนำ.........................................................................................................................................๑ ๑.๑ ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา.............................................................................๑ ๑.๒ วัตถุประสงค์ของการวิจัย...................................................................................................๖ ๑.๓ สมมติฐานของการวิจัย.......................................................................................................๗ ๑.๔ ขอบเขตของการวิจัย..........................................................................................................๗ ๑.๔.๑ ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง......................................................................................๗ ๑.๔.๒ ตัวแปรที่ใช้ในการวิจัย..............................................................................................๗ ๑.๔.๓ เนื้อหาที่ใช้ในการวิจัย..............................................................................................๗ ๑.๔.๔ ระยะเวลา................................................................................................................๘ ๑.๕ นิยามศัพท์เฉพาะ...............................................................................................................๘ ๑.๖ ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ .................................................................................................๙ บทที่ ๒ เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง............................................................................................... ๑๐ ๒.๑ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ .......................................... ๑๑ ๒.๑.๑ หลักการของหลักสูตร........................................................................................... ๑๑ ๒.๑.๒ จุดมุ่งหมายของหลักสูตร....................................................................................... ๑๒ ๒.๑.๓ สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน ................................................................................... ๑๓ ๒.๑.๔ คุณลักษณะอันพึงประสงค์.................................................................................... ๑๔ ๒.๑.๕ สาระและมาตรฐานการเรียนรู้กลุ่มสาระภาษาไทย................................................ ๑๔ ๒.๑.๖ ตัวชี้วัดชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ ................................................................................. ๑๕


ง สารบัญ (ต่อ) หน้า ๒.๒ ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับวรรณคดี......................................................................................... ๒๐ ๒.๒.๑ ความหมายของวรรณคดี....................................................................................... ๒๐ ๒.๒.๒ ความสำคัญและคุณค่าของวรรณคดี..................................................................... ๒๑ ๒.๒.๓ องค์ประกอบของวรรณคดี.................................................................................... ๒๔ ๒.๒.๔ การสอนวรรณคดีไทย........................................................................................... ๒๖ ๒.๒.๕ วรรณคดีที่ใช้ในการวิจัย........................................................................................ ๒๘ ๒.๓ กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ........................................................................... ๓๔ ๒.๓.๑ ความหมายของกระบวนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ.......................................... ๓๔ ๒.๓.๒ วัตถุประสงค์ของการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ..................................................... ๓๕ ๒.๓.๓ องค์ประกอบของกระบวนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ....................................... ๓๖ ๒.๓.๔ ลักษณะของการเรียนแบบร่วมมือ......................................................................... ๓๗ ๒.๓.๕ บทบาทและหน้าที่ของผู้สอนและผู้เรียนในการเรียนแบบร่วมมือ........................... ๓๘ ๒.๓.๖ ประโยชน์ของการเรียนแบบร่วมมือ....................................................................... ๔๐ ๒.๓.๗ หลักการของกระบวนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ (G.I : Group Investigation) ๔๑ ๒.๓.๘ ขั้นตอนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ (G.I : Group Investigation)..................... ๔๒ ๒.๔ แผนผังมโนทัศน์.............................................................................................................. ๔๙ ๒.๔.๑ ความหมายของแผนผังมโนทัศน์............................................................................ ๔๙ ๒.๔.๒ หลักการในการเขียนผังมโนทัศน์........................................................................... ๕๐ ๒.๔.๓ รูปแบบของผังมโนทัศน์......................................................................................... ๕๐ ๒.๔.๔ ประโยชน์ของแผนผังมโนทัศน์.............................................................................. ๕๑ ๒.๕ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน................................................................................................... ๕๓ ๒.๕.๑ ความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน................................................................ ๕๓ ๒.๕.๒ จุดมุ่งหมายของการวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ..................................................... ๕๓


จ สารบัญ (ต่อ) หน้า ๒.๕.๓ ความหมายและประเภทของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์........................................ ๕๔ ๒.๕.๔ การสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน...................................................๕๕ ๒.๖ งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง.......................................................................................................... ๕๗ ๒.๖.๑ งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ (G.I) ....................... ๕๗ ๒.๖.๒ งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับแผนผังมโนทัศน์................................................................. ๕๘ ๒.๖.๓ งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับสุภาษิตพระร่วง.................................................................. ๕๙ ๒.๗ กรอบแนวคิดวิจัย............................................................................................................ ๖๒ บทที่ ๓ วิธีการดำเนินการวิจัย ............................................................................................................. ๖๓ ๓.๑ ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง.............................................................................................. ๖๓ ๓.๑.๑ ประชากร.............................................................................................................. ๖๓ ๓.๑.๒ กลุ่มตัวอย่าง......................................................................................................... ๖๓ ๓.๒ แบบแผนการวิจัย............................................................................................................ ๖๔ ๓.๓ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย.................................................................................................. ๖๔ ๓.๔ การสร้างและหาประสิทธิภาพของเครื่องมือ.................................................................... ๖๕ ๓.๕ การเก็บรวบรวมข้อมูล..................................................................................................... ๖๘ ๓.๖ การวิเคราะห์ข้อมูล.......................................................................................................... ๗๐ ๓.๗ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล......................................................................................... ๗๐ บทที่ ๔ ผลการวิเคราะห์ข้อมูล............................................................................................................. ๗๕ ๔.๑ ลำดับขั้นตอนการนำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล.............................................................. ๗๕ ๔.๒ ผลการวิเคราะห์ข้อมูล...................................................................................................... ๗๖


ฉ สารบัญ (ต่อ) หน้า บทที่ ๕ สรุปผล อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ.................................................................................... ๘๓ ๕.๑ วัตถุประสงค์ของการวิจัย.................................................................................................. ๘๓ ๕.๒ สมมติฐานการวิจัย............................................................................................................ ๘๓ ๕.๓ สรุปผลการวิจัย................................................................................................................. ๘๔ ๕.๔ อภิปรายผลการวิจัย.......................................................................................................... ๘๔ ๕.๕ ข้อเสนอแนะ..................................................................................................................... ๘๖ บรรณานุกรม........................................................................................................................................ ๘๘ ภาคผนวก............................................................................................................................................. ๙๓ ภาคผนวก ก รายนามผู้เชี่ยวชาญ............................................................................................. ๙๔ ภาคผนวก ข ตัวอย่างแผนการจัดการเรียนรู้ที่ใช้ในการวิจัย...................................................... ๙๖ ภาคผนวก ค เครื่องมือที่ใช้วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน............................................................๑๒๐ ภาคผนวก ง บันทึกข้อความขอความอนุเคราะห์ผู้เชี่ยวชาญ...................................................๑๒๔ ภาคผนวก จ ค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ของแผนการจัดการเรียนรู้..................................๑๓๑ ภาคผนวก ฉ ค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน .......๑๓๔ ภาคผนวก ช ภาพการทำกิจกรรมการจัดการเรียนรู้และตัวอย่างแบบฝึกหัดของนักเรียน........๑๔๐ ภาคผนวก ซ ประวัติผู้วิจัย......................................................................................................๑๖๑


ช สารบัญภาพ หน้า ภาพที่ ๑ ตัวอย่างฉันทลักษณ์ของร่ายสุภาพและโคลงสองสุภาพ..........................................................๓๓ ภาพที่ ๒ ตัวอย่างรูปแบบการเขียนแผนผังมโนทัศน์.............................................................................๕๐


ซ สารบัญตาราง หน้า ตารางที่ ๑ ตารางแสดงตัวชี้วัดรายวิชาภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ สาระการอ่าน......................... ๑๖ ตารางที่ ๒ ตารางแสดงตัวชี้วัดรายวิชาภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ สาระการเขียน ....................... ๑๗ ตารางที่ ๓ ตารางแสดงตัวชี้วัดรายวิชาภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ สาระการฟัง การดูและการพูด๑๘ ตารางที่ ๔ ตารางแสดงตัวชี้วัดรายวิชาภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ สาระหลักการใช้ภาษาไทย..... ๑๙ ตารางที่ ๕ ตารางแสดงตัวชี้วัดรายวิชาภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ สาระวรรณคดีและวรรณกรรม๑๙ ตารางที่ ๖ ตารางแสดงเรื่องสุภาษิตพระร่วง ทั้ง ๖ สำนวน.................................................................. ๒๙ ตารางที่ ๗ รูปแบบการทดลองแบบกลุ่มตัวอย่างเดียว ทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน ........................ ๖๔ ตารางที่ ๘ แบบแผนการวิจัยจำแนกตามตัวแปรตาม ........................................................................... ๖๔ ตารางที่ ๙ ตารางแสดงประสิทธิภาพกระบวนการจัดการเรียนรู้........................................................... ๗๖ ตารางที่ ๑๐ ตารางแสดงประสิทธิภาพของผลการจัดการเรียนรู้ของนักเรียนชั้น ม.๑/๑๑.................... ๗๙ ตารางที่ ๑๑ ตารางแสดงผลรวมคะแนนเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และร้อยละ.............................. ๘๐ ตารางที่ ๑๒ ตารางแสดงผลรวมคะแนนเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าทดสอบที..................... ๘๒


๑ บทที่ ๑ บทนำ ๑.๑ ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา สังคมมนุษย์มีการอยู่ร่วมกันเป็นหมู่คณะจนเกิดกลายเป็นสังคมที่รวมคนหมู่มากไว้ด้วยกัน ทั้งนี้สังคมหนึ่ง ๆ ได้มีบุคคลอยู่หลากหลายประเภทและลักษณะของแต่ละบุคคลก็แตกต่างกันออกไป ไม่ว่าจะเป็นความคิดหรือการกระทำในการลงมือทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ทำให้มนุษย์ต้องหาทางในการสื่อสารกัน อยู่เสมอเพื่อการสร้างความสัมพันธ์ ลดความขัดแย้ง และเพิ่มความเข้าใจในการดำรงชีวิตอยู่ร่วมกัน ของ คนในสังคมได้อย่างสงบสุข ดังนั้นมนุษย์จึงได้มีการคิดค้นเครื่องมือสำคัญ คือ ภาษา เพื่อให้เป็นสื่อกลาง ในการติดต่อสื่อสารระหว่างบุคคลหนึ่งไปสู่บุคคลหนึ่งได้กล่าวได้ว่า ภาษา เป็นเครื่องมือสื่อสารของมนุษย์ ที่สำคัญเป็นอย่างมาก อีกทั้งภาษายังถือเป็นวรรณกรรมอันทรงคุณค่าที่บรรพบุรุษได้คิดค้นขึ้นมาและทิ้งไว้ เป็นมรดกให้แก่คนรุ่นหลังได้มีการใช้ถ้อยคำหรือข้อความของภาษานั้นสืบต่อไปจากรุ่นสู่รุ่น สังคมไทยถือว่าเป็นสังคมหนึ่งที่อยู่มาอย่างยาวนาน อีกทั้งยังมีความหลากหลายทางวัฒนธรรม เนื่องจากอิทธิพลของประเทศบริเวณรอบข้าง ด้วยเหตุนี้สังคมไทยจึงจำเป็นต้องสร้างวัฒนธรรมของชาติ ขึ้นมา นั่นก็คือ ภาษาไทย เพื่อแสดงถึงความเป็นเอกลักษณ์และความเจริญของชาติโดยผู้ มากความสามารถท่านนั้น คือ พ่อขุนรามคำแหงมหาราช ทรงประดิษฐ์อักษรไทยขึ้นเมื่อ พ.ศ.๑๘๒๖ (อิงอร สุพันธุ์วณิช, ๒๕๒๗: ๓๓) โดยให้ชื่อว่า “ลายสือไทย” อีกทั้งภาษาไทยยังเป็นสาระความรู้ อีกแขนงหนึ่งที่คนไทยจำเป็นต้องเรียนรู้เพื่อความเข้าใจในภาษาไทยอย่างถ่องแท้ กระทรวงศึกษาธิการ (๒๕๕๑: ๑) ได้ชี้แจงต่อการเรียนภาษาไทยไว้ว่า ภาษาไทยเป็นเอกลักษณ์ ของชาติ เป็นสมบัติทางวัฒนธรรมอันก่อให้เกิดความเป็นเอกภาพและเสริมสร้างบุคลิกภาพของคนในชาติ ให้มีความเป็นไทย เป็นเครื่องมือในการติดต่อสื่อสารเพื่อสร้างความเข้าใจและความสำคัญอันดีต่อกัน ทำให้สามารถประกอบธุรกิจ การงาน และดำรงชีวิตร่วมกันในสังคมประชาธิปไตยได้อย่างสันติสุข และเป็นเครื่องมือในการแสวงหาความรู้ประสบการณ์จากแหล่งข้อมูลสารสนเทศต่าง ๆ เพื่อพัฒนาความรู้ กระบวนการคิดวิเคราะห์ วิจารณ์ และสร้างสรรค์ให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงทางสังคม แสดงให้เห็นได้ว่า ภาษาไทย มีความสำคัญต่อการดำรงชีวิตของคนในสังคม ซึ่งถือว่าเป็นสมบัติ ล้ำค่าควรแก่การเรียนรู้และสืบทอดต่อไป ประเทศไทยจึงได้มีการระบุภาษาไทยเป็นภาษาราชการ


๒ และนำไปบันทึกในหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานทุกระดับชั้น ซึ่งภาษาไทยเป็นทักษะที่ต้อง ฝึกฝนจนเกิดความชำนาญเพื่อสามารถใช้ภาษาสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพ การใช้ภาษาในการเขียนหนังสือ เป็นสิ่งสร้างสรรค์จากความรู้หรือความคิดของผู้ประพันธ์ โดยหนังสือที่ได้รับการยกย่องว่าแต่งดีสมัยโบราณ มีความงดงามทางการใช้ภาษาในบทประพันธ์ มีคุณค่า และความสำคัญ เหมาะแก่การนำมาศึกษาและอนุรักษ์ไว้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ถ่ายถอดเรื่องราวหรือความคิด ความรู้สึกของผู้ประพันธ์และยังมีการสอดแทรกคติแง่คิดสอนใจต่าง ๆ เรียกว่า วรรณคดี โดยมีการให้ คำนิยามไว้ว่า วรรณคดี หมายถึง วรรณกรรมที่ได้รับยกย่องว่าแต่งดีมีคุณค่าเชิงวรรณศิลป์ (ราชบัณฑิตยสถาน, ๒๕๕๖: ๑,๑๐๐) จะเห็นได้ว่าการเรียนวรรณคดีไทย เป็นการเรียนที่มุ่งเน้นให้ผู้เรียนเกิดความซาบซึ้งและเห็น คุณค่าของความเป็นไทย ไม่ว่าจะเป็นด้านวัฒนธรรม สังคม ความเชื่อ วิถีชีวิตความเป็นอยู่ และนอกเหนือ ไปกว่านั้นวรรณคดีไทยได้สอดแทรกความงามที่เรียกว่า “ววรณศิลป์” ซึ่งเป็นความงามทางภาษาที่ผู้เรียน จะต้องพิเคราะห์และพิจารณาว่าวรรณคดีดังกล่าวให้คุณค่าด้านวรรณศิลป์ด้านใด ไม่ว่าจะเป็น ภาพพจน์ เช่น อุปมา อุปลักษณ์ บุคคลวัต อติพจน์สัทพจน์ หรือการใช้ชั้นเชิงทางภาษาให้เกิด ความไพเราะ เช่น การใช้คำซ้ำ คำซ้อน การเล่นเสียงพยัญชนะ สระ วรรณยุกต์ เพื่อให้ผู้อ่านเกิด ความเพลิดเพลินในการอ่านมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะวรรณคดีประเภทร้อยกรอง ซึ่งนำเสนอความงาม ทางวรรณศิลป์ที่แสดงใบบทประพันธ์เป็นอย่างดี โดยวรรณคดีแต่ละเรื่องก็มีการใช้ชั้นเชิงด้านวรรณศิลป์ ที่ยากง่ายแตกต่างกันออกไป ทำให้ต้องมีการกำหนดวรรณคดีแต่ละเรื่องให้เหมาะสมกับช่วงวัย และสติปัญญาของผู้เรียนเพื่อความเข้าใจความสำคัญและคุณค่าในการเรียนวรรณคดีได้เป็นอย่างดี สิริพัชร์เจษฎาวิโรจน์ (๒๕๕๒: ๑๑๗) กล่าวว่าความสำคัญของวรรณคดีที่กำหนดให้เรียน และเลือกเรียนนั้น เลือกสรรมาจากวรรณคดีต่างสมัย ซึ่งล้วนเป็นสมบัติทางวัฒนธรรมของชาติ มีความเหมาะสมกับวัย ความสนใจ และศักยภาพของนักเรียนในแต่ละช่วงชั้น ทั้งยังเป็นวรรณคดีที่ใช้ รูปแบบและวิธีการเขียนและถ้อยคำสำนวนภาษาอย่างดีมีความไพเราะทั้งเสียง คำ และความหมาย ช่วยให้นักเรียนสนุกสนานเพลิดเพลินจดจำได้เกิดความซาบซึ้งประทับใจและภูมิใจ ในสิ่งที่บรรพบุรุษได้ สร้างขึ้น สั่งสม สืบสานงานต่อเนื่องต่อกันจากอดีตจนปัจจุบัน ส่งผลให้เห็นคุณค่า นำประโยชน์มาใช้ใน การพูด การเขียน การศึกษาค้นคว้า และอนุรักษ์ไว้เป็นพื้นฐานในการสร้างผลงานใหม่ต่อไปได้ กระทรวงศึกษาธิการ (๒๕๕๑: ๖) ได้นำความสำคัญของภาษาไทยมาจัดทำหลักสูตรสาระ การเรียนรู้ภาษาไทยจัดเป็นวิชาบังคับที่นักเรียนทุกในระดับชั้นต้องเรียนโดยมีครูเป็นผู้จัดการเรียน การสอนให้สอดคล้องกับตัวชี้วัดที่กำหนดไว้ในแต่ละระดับชั้นซึ่งในสาระที่ ๕ วรรณคดีและวรรณกรรม


๓ ได้กำหนดมาตรฐานการเรียนรู้ไว้ว่าเข้าใจและแสดงความคิดเห็น วิจารณ์วรรณคดีและวรรณกรรมอย่าง เห็นคุณค่า และนำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตจริงนอกจากนี้ยังมีประกาศของกระทรวงศึกษาธิการเรื่องวรรณคดี สำหรับการจัดการเรียนการสอนภาษาไทยตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ ได้กำหนดวรรณคดีที่ให้เรียนและเลือกมานั้นล้วนแล้วแต่เป็นวรรณคดีที่ทรงคุณค่า เหมาะกับ ช่วงวัย และความสนใจของนักเรียนแต่ละระดับชั้น เช่น วรรณคดี เรื่อง สุภาษิตพระร่วง สำหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ เป็นสุภาษิตเก่าแก่ เชื่อกันมาแต่เดิมว่าแต่งขึ้นในสมัยสุโขทัย แต่ทั้งนี้มีปรากฏเป็น หลักฐานว่าใน พ.ศ.๒๓๗๙ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จารึกเรื่อง สุภาษิตพระร่วงลงบนแผ่นศิลาประดับไว้ฝาผนังด้านในศาลาหลังเหนือหน้าพระมหาเจดีย์ ภายในวัด พระเชตุพนวิมลมังคลาราม และยังพบสุภาษิตพระร่วงในสมุดไทยอีกหลายฉบับ สำหรับสุภาษิตพระร่วง ฉบับกรมวิชาการกำหนดให้เป็นวรรณคดีที่เสนอให้เลือกเรียนในชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ เป็นสุภาษิตพระร่วง สำนวนที่ ๑ มีเนื้อหาเกี่ยวกับคำสอนแนวทางในการปฏิบัติตน และข้อห้ามที่ไม่พึงปฏิบัติจึงเล็งเห็นว่า เหมาะสมกับระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ เพื่อเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตในสังคมได้อย่างมีความสุข แม้ว่าวรรณคดีไทยได้มีการการกำหนดเรื่องที่เรียนให้เหมาะสมกับช่วงวัยเพียงใด แต่อย่างไรแล้ว การสอนวรรณคดีไทยก็ยังประสบปัญหาหลายด้าน ดังที่ ศรีวิไล ดอกจันทร์ (๒๕๒๙: ๓๓-๔๐) ได้กล่าวเกี่ยวกับปัญหาการสอนวรรณคดีสรุปได้ว่า การสอนวรรณคดีนั้นมีปัญหาเกิดทั้งจากหลักสูตรและ แบบเรียน ธรรมชาติของวิชา สื่อการสอน การวัดและประเมินผล ผู้เรียนซึ่งไม่สนใจวรรณคดี เพราะคิดว่า เป็นเรื่องไกลตัว ไม่สนุกสนาน ไม่ท้าทาย และปัญหาเกี่ยวกับผู้สอนที่ขาดวิธีสอนที่หลากหลาย สำหรับการเรียนการสอนวรรณคดีไทยในระดับอุดมศึกษานั้นมีปัญหาเกิดขึ้นหลายด้านเช่นกัน จากปัญหาดังกล่าวผู้วิจัยเล็งเห็นว่า ในการเรียนวิชาวรรณคดีไทยควรมีวิธีที่สามารถดึงดูด ความสนใจของผู้เรียนและการเรียนวรรณคดีไทยเป็นเรื่องที่ยากต่อการเข้าใจ เพราะภาษาในวรรณคดีไทย ส่วนใหญ่เป็นการใช้ภาษาเก่า หรือคำบางคำมีการเปลี่ยนแปลงความหมายไปแล้ว การอ่านออกเสียง ของคำมีความแตกต่างไปจากเดิม เมื่อผู้เรียนอ่านจึงทำให้ไม่สามารถถอดคำประพันธ์ได้ ส่งผลให้ผู้เรียน ไม่เกิดความเข้าใจในเนื้อเรื่องของวรรณคดี อันเป็นสาเหตุทำให้ผู้เรียนมองการเรียนเรื่องเกี่ยวกับวรรณคดี ไม่มีความสำคัญ อีกทั้งนักเรียนแต่ละคนยังมีความรู้ความเข้าใจในการเรียนที่แตกต่างกัน ดังนั้น ผู้วิจัยจึง เล็งเห็นแนวทางในการแก้ปัญหาดังกล่าว โดยจัดการเรียนการสอนรายวิชาวรรณคดีแบบช่วยเหลือกัน คือการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือ (G.I : Group Investigation) ที่จะช่วยให้การจัดการเรียนรู้ วรรณคดี เรื่อง สุภาษิตพระร่วง ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับคำสอนหรือสุภาษิตเก่า ให้มีความเข้าใจได้ง่ายยิ่งขึ้น


๔ สลาวิน, Slavin (๒๕๓๘: ๓) อ้างถึงใน นิตยา ชังคมานนท์ (๒๕๔๔: ๑๘) โดยใหความหมายว่า การเรียนแบบร่วมมือ (G.I : Group Investigation) หมายถึงการเรียนรู้ที่ผู้เรียนต้องเรียนรู้ร่วมกัน รับผิดชอบร่วมกัน โดยกลุ่มจะประสบความสำเร็จได้เมื่อสมาชิกทุกคนได้เรียนรู้บรรลุตามจุดหมาย เช่นเดียวกัน การเรียนรู้แบบรวมมือจึงเป็นการเรียนเป็นกลุ่มหรือเป็นทีมที่ผู้เรียนได้เรียนรู้ร่วมกัน นอกจากนี้วัฒนาพร ระงับทุกข์ (๒๕๔๑: ๓๘) ให้ความหมายของการเรียนแบบร่วมมือ (G.I : Group Investigation) ว่า การร่วมมือเป็นวิธีการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่เน้นการจัดสภาพ สิ่งแวดล้อมการเรียนให้ได้เรียนรู้ร่วมเป็นกลุ่มเล็ก ๆ แต่ละกลุ่มประกอบด้วยสมาชิกที่มีความรู้ ความสามารถแตกต่างกัน โดยแต่ละคนมีส่วนร่วมอย่างแท้จริงในการเรียนรู้และในความสำเร็จของกลุ่มทั้ง โดยการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น การแบ่งปันทรัพยากรเรียน รวมทั้งการเป็นกำลังใจแก่กันและกัน คนที่เก่งจะช่วยเหลือคนทีอ่อนกว่า สมาชิกในกลุ่มไม่เพียงแต่รับผิดชอบต่อการเรียนของตนเองเท่านั้น หากแต่จะต้องร่วมรับผิดชอบต่อการเรียนรู้ของเพื่อนสมาชิกทุกคนในกลุ่ม ความสำเร็จของแต่ละบุคคลคือ ความสำเร็จของกลุม กรมวิชาการกระทรวงศึกษาธิการ (๒๕๔๕: ๔) ยังได้ให้ความหมายของการเรียนแบบร่วมมือ (G.I : Group Investigation) ไวว่าการเรียนแบบร่วมมือ หมายถึงการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่แบ่ง นักเรียนออกเป็นกลุ่มย่อย ๆ ส่งเสริมใหนักเรียนทำงานร่วมกัน โดยในกลุ่มประกอบด้วยสมาชิกที่มี ความสามารถแตกต่างกัน มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น มีการช่วยเหลือพึ่งพาซึ่งกันและกัน และมีความรับผิดชอบร่วมกัน ทั้งในส่วนตนและส่วนรวม เพื่อให้ตนเองและสมาชิกทุกคนในกลุ่ม ประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่กำหนด โดยสรุปแล้วการเรียนแบบร่วมมือ (G.I : Group Investigation) หมายถึง วิธีการเรียนที่ให้ นักเรียนเรียนเป็นกลุ่มซึ่งในแต่ละกลุ่มจะประกอบไปด้วยนักเรียนที่มีความสามารถแตกต่างกันคือ เก่ง ปานกลาง และอ่อน แล้วให้นักเรียนได้เรียนรู้ร่วมกัน ช่วยเหลือกัน และรับผิดชอบร่วมกัน โดยอยู่ภายใต้ การแนะนำและดูแลจากผู้สอน เพื่อให้งานที่ได้รับมอบหมายนั้นประสบความสำเร็จ นอกจากนี้ ผู้วิจัยเล็งเห็นว่า การเรียนวรรณคดีที่จะประสบผลสำเร็จได้นั้น นอกจากการจัด บรรยากาศและกิจกรรมในชั้นเรียนโดยให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมแล้ว ผู้เรียนจำเป็นต้องสามารถสรุปความรู้ ความเข้าใจของตนเองออกมาได้ ดังนั้น ผู้เรียนจึงมีวิธีการที่จะช่วยให้ผู้เรียนสรุปความรู้ออกมาเพื่อเป็น การวัดความรู้ความเข้าใจและเป็นการทบทวนสิ่งที่ได้เรียนไป นั่นก็คือ การสรุปความรู้ออกมาในรูปแบบ แผนผังมโนทัศน์


๕ Novak and Canas (๒๕๔๙) อ้างถึงใน อลงกรณ์ สิมลา (๒๕๖๑) กล่าวว่า แผนผังมโนทัศน์ คือ แผนภาพแทนความคิด ที่แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่มีความหมายระหว่างความคิดรวบยอดต่าง ๆ โดยอยู่ในรูปของ ข้อความ ทั้งนี้ข้อความอาจเป็นกล่องความคิดรวบยอดสองอัน หรือมากกว่านั้น ซึ่งมาเชื่อมโยงกันด้วย ถ้อยคำที่แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ หรือความเกี่ยวข้องระหว่างความคิดรวบยอด นั้น ๆ ในขณะที่ Strurm and Rankin-Ericson (๒๐๐๒) แนวคิดคล้ายกัน คือ แผนผังมโนทัศน์เป็นแผนที่ แนวคิด ซึ่งเป็นเครื่องมือกราฟิกสำหรับจัดการและแสดงแนวความรู้ โดยใช้ในการจำแนกข้อมูลเป็น เส้นกราฟ และสร้างขึ้นเพื่อนำเสนอกรอบแนวคิดและความสัมพันธ์ของเนื้อหาจากเนื้อหา ซึ่ง สุวิทย์ มูลคำ (๒๕๔๗) กล่าวที่มาว่าเป็นความคิดความเข้าใจที่ได้นำมาทำเป็นแผนผังมโนทัศน์มาจาก การสังเกต หรือประสบการณ์เกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง นำมาจัดประเภทของข้อมูลหรือเหตุการณ์ที่เหมือน หรือแตกต่างกันไว้ในกลุ่มหรือประเภทเดียวกันโดยอาศัยคุณลักษณะร่วมกันเป็นเกณฑ์ นอกจากนี้Chang Sung, and Chen (๒๐๐๒), Novak (๒๐๐๒) และ Vekiri (๒๐๐๒) ยังอ้างถึง ในอลงกรณ์ สิมลา (๒๕๖๑: ๒๘) มีแนวคิดตรงกันว่า แผนผังมโนทัศน์ คือ เนื้อหาซึ่งอยู่ในรูปกล่อง ข้อความที่เขียนสรุปเป็นแนวคิด เพื่อให้เป็นเรื่องง่ายสำหรับผู้อ่านโดยเฉพาะคนที่มีภาษาที่ไม่ดีเพื่อให้มี ทักษะในการอ่านและสามารถทำความเข้าใจในเนื้อหาได้ง่ายขึ้น สรุปได้ว่า แผนผังมโนทัศน์ หมายถึง แผนผังหรือแผนที่ทางความคิดที่ผู้เรียนได้เขียนสรุปการอ่าน ในรูปแบบง่าย ๆ ที่สามารถบอกรายละเอียด ต่าง ๆ ที่อยู่ในเนื้อหาการอ่านนั้น ๆ ได้ และแผนผังมโนทัศน์ เป็นกระบวนการเรียนรู้การอ่านโดยอาศัย ประสบการณ์เดิมของผู้อ่านในการเชื่อมโยงแนวความคิดเดิม สู่แนวความคิดใหม่ได้อย่างเป็นระบบ จากปัญหาการเรียนวรรณคดีไทย ผู้วิจัยจึงได้นำกระบวนการสอนแบบร่วมมือ (G.I : Group Investigation) และการสรุปความรู้โดยใช้แผนผังมโนทัศน์ มาจัดกิจกรรมการเรียนการสอนในรายวิชา ภาษาไทย เรื่อง สุภาษิตพระร่วง สำหรับนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ ซึ่งเป็นเนื้อหาสุภาษิตคำสอน ต้องตีความคำศัพท์ เพื่อสามารถถอดคำประพันธ์ได้ และแก้ไขปัญหาความเบื่อหน่ายในการเรียนวรรณคดี และปรับเปลี่ยนนบทบาทให้ผู้เรียนมีการเคลื่อนไหวหรือแสดงหาคำตอบของปัญหา อันนำไปสู่การค้นคว้า เพื่อหาความรู้และเกิดความเข้าใจในเนื้อหาและข้อคิด โดยสามารถสรุปความรู้ออกมาได้ด้วยตนเอง และสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้ อีกทั้งยังเป็นการกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดความกระตือรือร้น ในการเรียน การสอน ทำให้ผู้วิจัยมีความสนใจที่จะศึกษาวิจัยเพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชา


๖ ภาษาไทย เรื่อง สุภาษิตพระร่วง โดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ (G.I : Group Investigation) ร่วมกับแผนผังมโนทัศน์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ โรงเรียนปทุมเทพวิทยาคาร อำเภอเมือง จังหวัดหนองคาย ซึ่งการวิจัยในครั้งนี้ผู้วิจัยได้ใช้รูปแบบโดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้ แบบร่วมมือ (G.I : Group Investigation) ร่วมกับแผนผังมโนทัศน์ มาใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียน การสอน เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนให้มีเกณฑ์ที่ ๘๐/๘๐ โดยมีออกแบบหรือปรับเปลี่ยนกิจกรรม ให้วิธีการจัดการเรียนรู้มีความน่าสนใจและเหมาะสมกับผู้เรียน อีกทั้งต้องคอยสังเกตถึงปัญหาและ อุปสรรคที่เกิดขึ้นของผู้เรียนเพื่อสามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุด การเรียนการสอนที่เกิดประสิทธิภาพ จะส่งผลให้ผู้เรียนนำความรู้ที่ได้ไปพัฒนาทักษะหรือต่อยอดต่อไปได้ จากเหตุผลดังกล่าว ผู้วิจัยจึงมีจุดมุ่งหมายในการศึกษาวิจัยการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา ภาษาไทย เรื่อง สุภาษิตพระร่วง สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ มาเป็นตัวอย่างในการศึกษา เพื่อศึกษาการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนจากการสอนโดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบ ร่วมมือ (G.I : Group Investigation) ร่วมกับแผนผังมโนทัศน์ก่อนเรียนและหลังเรียน และนำผลที่ได้จาก การวิจัยมาเป็นแนวทางในการปรับปรุงการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ภาษาไทยให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งผู้วิจัยหวังเป็นอย่างยิ่งว่าผลจากการวิจัยในครั้งนี้จะส่งผลให้ได้เห็นแนวทางการใช้เทคนิคต่าง ๆ เพิ่มเติม เพื่อส่งเสริมให้มีการพัฒนาทักษะในการทำความเข้าใจวรรณคดีได้มากขึ้น ผู้เรียนสามารถเข้าใจถึงเรื่องราว หรือบทประพันธ์ได้อย่างถ่องแท้และถูกต้อง เพื่อให้การวิจัยนี้บรรลุจุดประสงค์และสามารถนำไป ประยุกต์ใช้เป็นแนวทางในการศึกษาที่เกี่ยวข้องได้ต่อไป ๑.๒ วัตถุประสงค์ของการวิจัย ๑.๒.๑ เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่อง สุภาษิตพระร่วง โดยใช้กระบวน การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ (G.I : Group Investigation) ร่วมกับแผนผังมโนทัศน์ สำหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ โรงเรียนปทุมเทพวิทยาคาร อำเภอเมือง จังหวัดหนองคาย ที่มีประสิทธิภาพตาม เกณฑ์ ๘๐/๘๐ ๑.๒.๒ เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย ก่อนเรียนและหลังเรียน เรื่องสุภาษิตพระร่วง โดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบกลุ่ม (G.I : Group Investigation) ร่วมกับ แผนผังมโนทัศน์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ โรงเรียนปทุมเทพวิทยาคาร อำเภอเมือง จังหวัดหนองคาย


๗ ๑.๓ สมมติฐานของการวิจัย ๑.๓.๑ ผลสัมฤทธิ์ของนักเรียนวิชาภาษาไทย เรื่อง สุภาษิตพรระร่วง หลังจากจัดการเรียนรู้โดยใช้ กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ (G.I : Group Investigation) ร่วมกับแผนผังมโนทัศน์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ โรงเรียนปทุมเทพวิทยาคาร อำเภอเมือง จังหวัดหนองคาย มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ ๘๐/๘๐ ๑.๓.๒ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่อง สุภาษิตพระร่วง โดยใช้กระบวน การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ (G.I : Group Investigation) ร่วมกับแผนผังมโนทัศน์ สำหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ โรงเรียนปทุมเทพวิทยาคาร อำเภอเมือง จังหวัดหนองคาย หลังเรียนสูงกว่า ก่อนเรียน ๑.๔ ขอบเขตของการวิจัย ๑.๔.๑ ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ประชากร ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ โรงเรียนปทุมเทพวิทยาคาร จำนวน ๔ ห้อง คือ ๑/๙ จำนวน ๔๐ คน, ๑/๑๐ จำนวน ๔๑ คน, ๑/๑๑ จำนวน ๔๐ คน และ ๑/๑๒ จำนวน ๔๐ คน รวมทั้งสิ้น ๑๖๑ คน ที่กำลังศึกษาในปีการศึกษา ๒๕๖๖ กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยครั้งนี้ เป็นนักเรียนชั้นมัธยมปีที่ ๑/๑๑ โรงเรียนปทุมเทพ วิทยาคาร อำเภอเมือง จังหวัดหนองคาย จำนวน ๔๐ คน โดยการสุ่มอย่างง่าย (Simple random sampling) ๑.๔.๒ ตัวแปรที่ใช้ในการวิจัย ๑. ตัวแปรต้น คือ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือ (G.I : Group Investigation) ในรายวิชาภาษาไทย เรื่อง สุภาษิตพระร่วง สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ โรงเรียนปทุมเทพ วิทยาคาร อำเภอเมือง จังหวัดหนองคาย ๒. ตัวแปรตาม คือ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่อง สุภาษิตพระร่วง สำหรับ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ โรงเรียนปทุมเทพวิทยาคาร อำเภอเมือง จังหวัดหนองคาย ๑.๔.๓ เนื้อหาที่ใช้ในการวิจัย ตามหลักสูตรแกนกลาง พ.ศ. ๒๕๕๑ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) กลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาไทย วิชาภาษาไทย ภาคเรียนที่ ๒ หน่วยการเรียนรู้ที่ ๒ สุภาษิตพระร่วง ประกอบด้วย


๘ ๑. ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับสุภาษิตพระร่วง ๑ ชั่วโมง ๒. การถอดคำประพันธ์สุภาษิตพระร่วง ๑ ชั่วโมง ๓. การวิเคราะห์คุณค่าด้านวรรณศิลป์ในสุภาษิตพระร่วง ๑ ชั่วโมง ๔. การวิเคราะห์คุณค่าด้านสภาพสังคมในสุภาษิตพระร่วง ๑ ชั่วโมง ๕. การวิเคราะห์คุณค่าด้านข้อคิดในสุภาษิตพระร่วง ๑ ชั่วโมง ๑.๔.๔ ระยะเวลา วิจัยนี้ เริ่มทำการวิจัยในภาคเรียนที่ ๒ ปีการศึกษา ๒๕๖๖ จากเนื้อหาวิชาภาษาไทย เรื่อง สุภาษิตพระร่วง จำนวน ๕ ครั้ง ครั้งละ ๑ ชั่วโมง และรวบรวมเอกสารตั้งแต่เดือนตุลาคม - มกราคม ๒๕๖๗ ๑.๕ นิยามศัพท์เฉพาะ ๑.๕.๑ การเรียนแบบร่วมมือ (G.I : Group Investigation) หมายถึง การจัดกิจกรรมการเรียน การสอนที่แบ่งนักเรียนออกเป็นกลุ่มย่อย ๆ ส่งเสริมให้นักเรียนทำงานร่วมกัน โดยในกลุ่มประกอบด้วย สมาชิกที่มีความสามารถแตกต่างกัน มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น มีการช่วยเหลือพึ่งพาซึ่งกันและกัน และมีความรับผิดชอบร่วมกัน ทั้งส่วนตนและส่วนรวม เพื่อให้ตนเองและสมาชิกทุกคนในกลุ่มประสบ ความสำเร็จตามเป้าหมายที่กำหนด (กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ, ๒๕๔๕: ๔) ๑.๕.๒ แผนผังมโนทัศน์ หมายถึง การสรุปความรู้ความเข้าใจจากเรื่องที่เรียนและนำมาเขียนใน รูปแบบแผนผังมโนทัศน์ ซึ่งมีหลากหลายรูปแบบ เช่น แบบใยแมงมุม แบบช่วงชั้นความคิด แบบการวาง หัวข้องานและแบบเชิงระบบเชื่อมโยง เป็นต้น ๑.๕.๓ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ความสามารถหรือความสำเร็จในคุณลักษณะทางด้าน ความรู้ ความเข้าใจ จนผู้เรียนเกิดทักษะและมีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม เนื่องจากได้รับการเรียน การสอน ๑.๕.๔ นักเรียน/ผู้เรียน หมายถึง นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑/๑๑ โรงเรียนปทุมเทพวิทยาคาร อำเภอเมือง จังหวัดหนองคาย ปีการศึกษา ๒๕๖๖


๙ ๑.๕.๕ ประสิทธิภาพของนวัตกรรม ๘๐/๘๐ หมายถึง ๘๐ ตัวแรก หมายถึง ร้อยละของคะแนนเฉลี่ยของนักเรียนทั้งหมดที่ได้จากการทำกิจกรรม กลุ่ม รวมไปถึงการปฏิบัติด้วยการใช้การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง สุภาษิตพระร่วง สำหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ ซึ่งต้องได้คะแนนเฉลี่ยไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๘๐ ๘๐ ตัวที่สอง หมายถึง ร้อยละของคะแนนเฉลี่ยของนักเรียนทั้งหมดที่ได้จากการทำ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หลังเรียนรู้ตามการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง สุภาษิตพระร่วง สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ ซึ่งต้องได้คะแนนเฉลี่ยไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๘๐ ๑.๖ ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ ๑.๖.๑ นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่อง สุภาษิตพระร่วง โดยใช้กระบวน การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ (G.I : Group Investigation) ร่วมกับแผนผังมโนทัศน์ มีประสิทธิภาพตาม เกณฑ์ ๘๐/๘๐ ๑.๖.๒ ทำให้ทราบถึงผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่อง สุภาษิต พระร่วง โดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ (G.I : Group Investigation) ร่วมกับแผนผังมโน ทัศน์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน ๑.๖.๓ เป็นแนวทางให้ครูได้มีแผนการจัดการเรียนรู้ โดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ (G.I : Group Investigation) ร่วมกับแผนผังมโนทัศน์ เพื่อให้นักเรียนสนใจในการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่อง สุภาษิตพระร่วง มากขึ้น


๑๐ บทที่ ๒ เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การวิจัยเรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่อง สุภาษิตพระร่วง โดยใช้ กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ (G.I : Group Investigation) ร่วมกับแผนผังมโนทัศน์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ โรงเรียนปทุมเทพวิทยาคาร อำเภอเมือง จังหวัดหนองคาย ผู้วิจัยได้ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ดังนี้ ๒.๑ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ ๒.๑.๑ หลักการของหลักสูตร ๒.๑.๒ จุดมุ่งหมายของหลักสูตร ๒.๑.๓ สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน ๒.๑.๔ คุณลักษณะอันพึงประสงค์ ๒.๑.๕ สาระและมาตรฐานการเรียนรู้กลุ่มสาระภาษาไทย ๒.๑.๖ ตัวชี้วัดรายวิชาภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ ๒.๒ ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับวรรณคดี ๒.๒.๑ ความหมายของวรรณคดี ๒.๒.๒ ความสำคัญและคุณค่าของวรรณคดี ๒.๒.๓ องค์ประกอบของวรรณคดี ๒.๒.๔ การสอนวรรณคดี ๒.๒.๕ วรรณคดีที่ใช้ในการวิจัย ๒.๒.๕.๑ วรรณคดี เรื่อง สุภาษิตพระร่วง ๒.๓. กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ ๒.๓.๑ ความหมายของกระบวนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ ๒.๓.๒ วัตถุประสงค์ของการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ ๒.๓.๓ องค์ประกอบของกระบวนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ ๒.๓.๔ ลักษณะของการเรียนรู้แบบร่วมมือ ๒.๓.๕ บทบาทและหน้าที่ของผู้สอนและผู้เรียนในการเรียนแบบร่วมมือ


๑๑ ๒.๓.๖ ประโยชน์ของการเรียนแบบร่วมมือ ๒.๓.๗ หลักการของกระบวนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ (G.I : Group Investigation) ๒.๓.๘ ขั้นตอนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ (G.I : Group Investigation) ๒.๔ แผนผังมโนทัศน์ ๒.๔.๑ ความหมายของแผนผังมโนทัศน์ ๒.๔.๒ หลักการในการเขียนแผนผังมโนทัศน์ ๒.๔.๓ ประเภทของแผนผังมโนทัศน์ ๒.๔.๔ ประโยชน์ของแผนผังมโนทัศน์ ๒.๕ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ๒.๕.๑ ความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ๒.๕.๒ จุดมุ่งหมายของการวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ๒.๕.๓ ความหมายและประเภทของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ๒.๕.๔ การสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ๒.๖ งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ๒.๖.๑ งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ (G.I) ๒.๖.๒ งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับแผนผังมโนทัศน์ ๒.๖.๓ งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับสุภาษิตพระร่วง ๒.๗ กรอบแนวคิดวิจัย ๒.๑ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ ภาษาไทย เป็นภาษาประจำชาติไทย ซึ่งเป็นสมบัติทางวัฒนธรรมอันทรงคุณค่าที่ได้รับสืบทอดต่อ กันมาตั้งแต่บรรพบุรุษสมัยโบราณกาลจนถึงยุคปัจจุบัน ซึ่งประเทศไทยใช้ภาษาไทยในการติดต่อราชการ และใช้ติดต่อสื่อสารในการสร้างความสัมพันธ์และเพิ่มความเข้าใจในการดำรงชีวิตอยู่ร่วมกันในสังค ม ภาษาไทยได้มีการเปลี่ยนแปลงและเกิดคำขึ้นใหม่เพื่อใช้สื่อสารกันอยู่เสมอ ดังนั้นการเรียนวิชาภาษาไทย จึงมีการกำหนดแนวทางการพัฒนาผู้เรียนในด้านความรู้ความสามารถทางภาษาไทยไว้ ดังนี้ ๒.๑.๑ หลักการของหลักสูตร กระทรวงศึกษาธิการ (๒๕๕๑: ๔) กล่าวว่า หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มีหลักการที่สำคัญ ดังนี้


๑๒ ๒.๑.๑.๑ เป็นหลักสูตรการศึกษาเพื่อความเป็นเอกภาพของชาติ มีจุดหมาย และมาตรฐาน การเรียนรู้เป็นเป้าหมายสำหรับพัฒนาเด็กและเยาวชนให้มีความรู้ ทักษะ เจตคติ และคุณธรรมบนพื้นฐาน ของความเป็นไทยควบคู่กับความเป็นสากล ๒.๑.๑.๒ เป็นหลักสูตรการศึกษาเพื่อปวงชนที่ประชาชนทุกคนมีโอกาสได้รับการศึกษาอย่าง เสมอภาคและมีคุณภาพ ๒.๑.๑.๓ เป็นหลักสูตรการศึกษาที่สนองการกระจายอำนาจ ให้สังคมมีส่วนร่วมในการจัด การศึกษาให้สอดคล้องกับสภาพและความต้องการของท้องถิ่น ๒.๑.๑.๔ เป็นหลักสูตรการศึกษาที่มีโครงสร้างยืดหยุ่นทั้งด้านสาระการเรียนรู้ เวลาและ การจัดการเรียนรู้ ๒.๑.๑.๕ เป็นหลักสูตรการศึกษาที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ๒.๑.๑.๖ เป็นหลักสูตรการศึกษาสำหรับการศึกษาในระบบ นอกระบบและตามอัธยาศัย ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย สามารถเทียบโอนผลการเรียนรู้และประสบการณ์ ๒.๑.๒ จุดมุ่งหมายของหลักสูตร กระทรวงศึกษาธิการ (๒๕๕๑: ๕) กล่าวว่า หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานมุ่งพัฒนา ผู้เรียนให้เป็นคนดี มีปัญญา มีความสุข มีศักยภาพในการศึกษาต่อและประกอบอาชีพ จึงกำหนดเป็น จุดหมายเพื่อให้เกิดกับผู้เรียนเมื่อจบการศึกษาขั้นพื้นฐาน ดังนี้ ๒.๑.๒.๑ มีคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมที่พึงประสงค์ เห็นคุณค่าของตนเองมีวินัย และปฏิบัติตนตามหลักธรรมของพระพุทธศาสนาหรือศาสนาที่ตนนับถือ ยึดหลักปรัชญาของเศรษฐกิจ พอเพียง ๒.๑.๒.๒ มีความรู้ ความสามารถในการสื่อสาร การคิด การแก้ปัญหา การใช้เทคโนโลยีและมี ทักษะชีวิต ๒.๑.๒.๓ มีสุขภาพกาย และสุขภาพจิตที่ดี มีสุขนิสัยและรักการออกกำลังกาย ๒.๑.๒.๔ มีความรักชาติ มีจิตสำนึกในความเป็นพลเมืองไทยและพลโลก ยึดมั่นในวิถีชีวิต และการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ๒.๑.๒.๕ มีจิตสำนึกในการอนุรักษ์วัฒนธรรม และภูมิปัญญาไทย การอนุรักษ์และพัฒนา สิ่งแวดล้อม มีจิตสาธารณะที่มุ่งทำประโยชน์ และสร้างสิ่งที่ดีงามในสังคม และอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างมี ความสุข


๑๓ ๒.๑.๓ สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน กระทรวงศึกษาธิการ (๒๕๕๑: ๖) กล่าวว่า หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณภาพตตามมาตรฐานการเรียนรู้ ซึ่งการพัฒนาผู้เรียนให้ผู้เรียนบรรลุมาตรฐาน การเรียนรู้ที่กำหนดนั้นจะช่วยให้ผู้เรียนเกิดสมรรถนะสำคัญ ๕ ประการ ดังนี้ ๒.๑.๓.๑ ความสามารถในการสื่อสาร เป็นความสามารถในการรับและส่งสาร มีวัฒนธรรม ในการใช้ภาษาถ่ายทอดความคิด ความรู้ความเข้าใจ ความรู้สึก และทัศนะของตนเองเพื่อแลกเปลี่ยน ข้อมูลข่าวสาร และประสบการณ์อันจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาตนเองและสังคม รวมทั้งการเจรจา ต่อรองเพื่อขจัดและลดปัญหาความขัดแย้งต่าง ๆ การเลือกรับหรือไม่รับข้อมูลข่าวสารด้วยหลักเหตุผล และความถูกต้อง ตลอดจนการเลือกใช้วิธีการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ โดยคำนึงถึงผลกระทบที่มีต่อตนเอง และสังคม ๒.๑.๓.๒ ความสามารถในการคิด เป็นความสามารถในการคิดวิเคราะห์ การคิดสังเคราะห์ การคิดอย่างสร้างสรรค์ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ และการคิดเป็นระบบ เพื่อนำไปสู่การสร้างองค์ความรู้ หรือสารสนเทศเพื่อการตัดสินใจเกี่ยวกับตนเอง และสังคมได้อย่างเหมาะสม ๒.๑.๓.๓ ความสามารถในการแก้ปัญหา เป็นความสามารถในการแก้ปัญหาและอุปสรรค ต่าง ๆ ที่เผชิญได้อย่างถูกต้องเหมาะสมบนพื้นฐานของหลักเหตุผล คุณธรรม และข้อมูลสารสนเทศ เข้าใจความสัมพันธ์ และการเปลี่ยนแปลงของเหตุการณ์ต่าง ๆ ในสังคม แสวงหาความรู้ ประยุกต์ความรู้ มาใช้ในการป้องกัน และแก้ไขปัญหา และมีการตัดสินใจที่มีประสิทธิภาพโดยคำนึงถึงผลกระทบที่เกิดขึ้น ต่อตนเอง สังคม และสิ่งแวดล้อม ๒.๑.๓.๔ ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต เป็นความสามารถในการนำกระบวนการต่าง ๆ ไปใช้ในการดำเนินชีวิตประจำวัน การเรียนรู้ด้วยตนเอง การเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง การทำงานและการอยู่ ร่วมกันในสังคมด้วยการสร้างเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างบุคคล การจัดการปัญหา และความขัดแย้ง ต่าง ๆ อย่างเหมาะสม การปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมและสภาพแวดล้อม และการรู้จัก หลีกเลี่ยงพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ที่ส่งผลกระทบต่อตนเองและผู้อื่น ๒.๑.๓.๕ ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี เป็นความสามารถในการเลือก และใช้เทคโนโลยี ด้านต่าง ๆ และมีทักษะกระบวนการทางเทคโนโลยี เพื่อการพัฒนาตนเองและสังคมในด้านการเรียนรู้ การสื่อสาร การทำงาน การแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ ถูกต้อง เหมาะสม และมีคุณธรรม


๑๔ ๒.๑.๔ คุณลักษณะอันพึงประสงค์ กระทรวงศึกษาธิการ (๒๕๕๑: ๗) กล่าวว่า หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณลักษณะอันพึงประสงค์ เพื่อให้สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้อย่างมีความสุข ในฐานะเป็นพลเมืองไทยและพลโลก ดังนี้ ๒.๑.๔.๑ รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ๒.๑.๔.๒ ซื่อสัตย์สุจริต ๒.๑.๔.๓ มีวินัย ๒.๑.๔.๔ ใฝ่เรียนรู้ ๒.๑.๔.๕ อยู่อย่างพอเพียง ๒.๑.๔.๖ มุ่งมั่นในการทำงาน ๒.๑.๔.๗ รักความเป็นไทย ๒.๑.๔.๘ มีจิตสาธารณะ ๒.๑.๕ สาระและมาตรฐานการเรียนรู้กลุ่มสาระภาษาไทย กระทรวงศึกษาธิการ (๒๕๕๑: ๑๒) กล่าวว่า หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน กำหนดมาตรฐานการเรียนรู้ในกลุ่มสาระภาษาไทย ดังนี้ ๒.๑.๕.๑ สาระที่ ๑ การอ่าน มาตรฐาน ท ๑.๑ ใช้กระบวนการอ่านสร้างความรู้และความคิด เพื่อนำไปใช้ตัดสินใจ แก้ปัญหาในการดำเนินชีวิตและมีนิสัยรักการอ่าน ๒.๑.๕.๒ สาระที่ ๒ การเขียน มาตรฐาน ท ๒.๑ ใช้กระบวนการเขียน เขียนสื่อสาร เขียนเรียงความ ย่อความ และเขียน เรื่องราวในรูปแบบต่าง ๆ เขียนรายงานข้อมูลสารสนเทศและรายงานการศึกษาค้นคว้าอย่างมี ประสิทธิภาพ ๒.๑.๕.๓ สาระที่ ๓ การฟัง การดู และการพูด มาตรฐาน ท ๓.๑ สามารถเลือกฟังและดูอย่างมีวิจารณญาณ และพูดแสดงความรู้ ความคิด ความรู้สึกในโอกาสต่าง ๆ อย่างมีวิจารณญาณ และสร้างสรรค์ ๒.๑.๕.๔ สาระที่ ๔ หลักการใช้ภาษาไทย มาตรฐาน ท ๔.๑ เข้าใจธรรมชาติของภาษาและหลักภาษาไทย การเปลี่ยนแปลงของ ภาษาและพลังของภาษา ภูมิปัญญาของภาษา และรักษาภาษาไทยไว้เป็นสมบัติของชาติ


๑๕ ๒.๑.๕.๕ สาระที่ ๕ วรรณคดีและวรรณกรรม มาตรฐาน ท ๕.๑ เข้าใจและแสดงความคิดเห็น วิจารณ์วรรณคดี และวรรณกรรมไทย อย่างเห็นคุณค่าและนำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง ๒.๑.๖ ตัวชี้วัดชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ สาระที่ ๑ การอ่าน มาตรฐาน ท ๑.๑ ใช้กระบวนการอ่านสร้างความรู้และความคิดเพื่อนำไปใช้ตัดสินใจ แก้ปัญหาในการ ดำเนินชีวิต และมีนิสัยรักการอ่าน ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ม.๑ ๑. อ่านออกเสียงบทร้อยแก้ว และ บทร้อยกรองได้ถูกต้องเหมาะสมกับเรื่อง ที่อ่าน การอ่านออกเสียง ประกอบด้วย - บทร้อยแก้วที่เป็นบทบรรยาย - บทร้อยกรอง เช่น กลอนสุภาพ กลอนสักวา กาพย์ยานี ๑๑ กาพย์ฉบัง ๑๖ กาพย์สุรางคนางค์ ๒๘ และโคลงสี่สุภาพ ๒. จับใจความสำคัญจากเรื่องที่อ่าน ๓. ระบุเหตุและผล และข้อเท็จจริงกับ ข้อคิดเห็นจากเรื่องที่อ่าน ๔. ระบุและอธิบายคำเปรียบเทียบ และ คำที่มีหลายความหมายในบริบทต่างๆ จากการอ่าน ๕. ตีความคำยากในเอกสารวิชาการ โดย พิจารณาจากบริบท ๖. ระบุข้อสังเกตและความสมเหตุสมผล ของงานเขียนประเภทชักจูง โน้มน้าวใจ การอ่านจับใจความจากสื่อต่างๆ เช่น - เรื่องเล่าจากประสบการณ์ - เรื่องสั้น - บทสนทนา - นิทานชาดก - วรรณคดีในบทเรียน - งานเขียนเชิงสร้างสรรค์ - บทความ - สารคดี - บันเทิงคดี - เอกสารทางวิชาการที่มีคำ ประโยค และข้อความที่ต้องใช้ บริบทช่วยพิจารณาความหมาย - งานเขียนประเภทชักจูงโน้มน้าวใจ เชิงสร้างสรรค์


๑๖ ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ม.๑ ๗. ปฏิบัติตามคู่มือแนะนำวิธีการใช้งาน ของเครื่องมือหรือเครื่องใช้ในระดับที่ ยากขึ้น การอ่านและปฏิบัติตามเอกสาร คู่มือ ๘. วิเคราะห์คุณค่าที่ได้รับจากการอ่าน งานเขียนอย่างหลากหลายเพื่อนำไปใช้ แก้ปัญหาในชีวิต การอ่านหนังสือตามความสนใจ เช่น - หนังสือที่นักเรียนสนใจและ เหมาะสมกับวัย - หนังสืออ่านที่ครูและนักเรียนกำหนด ร่วมกัน ๙. มีมารยาทในการอ่าน มารยาทในการอ่าน ตารางที่ 1 ตารางแสดงตัวชี้วัดรายวิชาภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ สาระการอ่าน สาระที่ ๒ การเขียน มาตรฐาน ท ๒.๑ ใช้กระบวนการเขียนเขียนสื่อสาร เขียนเรียงความ ย่อความ และเขียนเรื่องราวใน รูปแบบต่าง ๆ เขียนรายงานข้อมูลสารสนเทศและรายงานการศึกษาค้นคว้าอย่างมี ประสิทธิภาพ ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ม.๑ ๑. คัดลายมือตัวบรรจงครึ่งบรรทัด การคัดลายมือตัวบรรจงครึ่งบรรทัด ตามรูปแบบการเขียนตัวอักษรไทย ๒. เขียนสื่อสารโดยใช้ถ้อยคำถูกต้อง ชัดเจน เหมาะสม และสละสลวย การเขียนสื่อสาร เช่น - การเขียนแนะนำตนเอง - การเขียนแนะนำสถานที่สำคัญๆ - การเขียนบนสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ๓. เขียนบรรยายประสบการณ์โดยระบุ สาระสำคัญและรายละเอียดสนับสนุน การบรรยายประสบการณ์ ๔. เขียนเรียงความ การเขียนเรียงความเชิงพรรณนา


๑๗ ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ม.๑ ๕. เขียนย่อความจากเรื่องที่อ่าน การเขียนย่อความจากสื่อต่างๆ เช่น เรื่องสั้น คำสอน โอวาท คำปราศรัย สุนทรพจน์ รายงาน ระเบียบ คำสั่ง บทสนทนาเรื่องเล่า ประสบการณ์ ๖. เขียนแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับสาระ จากสื่อที่ได้รับ การเขียนแสดงความคิดเห็น เกี่ยวกับสาระจากสื่อต่างๆ เช่น - บทความ - หนังสืออ่านนอกเวลา - ข่าวและเหตุการณ์ประจำวัน - เหตุการณ์สำคัญต่างๆ ๗. เขียนจดหมายส่วนตัวและจดหมาย กิจธุระ การเขียนจดหมายส่วนตัว - จดหมายขอความช่วยเหลือ - จดหมายแนะนำ การเขียนจดหมายกิจธุระ - จดหมายสอบถามข้อมูล ๘. เขียนรายงานการศึกษาค้นคว้าและ โครงงาน การเขียนรายงาน ได้แก่ - การเขียนรายงานจากการศึกษา ค้นคว้า - การเขียนรายงานโครงงาน ๙. มีมารยาทในการเขียน มารยาทในการเขียน ตารางที่ 2 ตารางแสดงตัวชี้วัดรายวิชาภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ สาระการเขียน


๑๘ สาระที่ ๓ การฟัง การดู และการพูด มาตรฐาน ท ๓.๑ สามารถเลือกฟังและดูอย่างมีวิจารณญาณ และพูดแสดงความรู้ ความคิด และความรู้สึกใน โอกาสต่างๆ อย่างมีวิจารณญาณและสร้างสรรค์ ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ม.๑ ๑. พูดสรุปใจความสำคัญของเรื่องที่ฟังและ ดู ๒. เล่าเรื่องย่อจากเรื่องที่ฟังและดู ๓. พูดแสดงความคิดเห็นอย่างสร้างสรรค์ เกี่ยวกับเรื่องที่ฟังและดู ๔. ประเมินความน่าเชื่อถือของสื่อ ที่มีเนื้อหาโน้มน้าวใจ การพูดสรุปความ พูดแสดงความรู้ ความคิดอย่างสร้างสรรค์จากเรื่องที่ฟัง และดู การพูดประเมินความน่าเชื่อถือของ สื่อที่มีเนื้อหาโน้มน้าว ๕. พูดรายงานเรื่องหรือประเด็นที่ศึกษา ค้นคว้าจากการฟัง การดู แลtการสนทนา การพูดรายงานการศึกษาค้นคว้าจาก แหล่งเรียนรู้ต่างๆ ในชุมชน และท้องถิ่น ของตน ๖. มีมารยาทในการฟัง การดู และการพูด มารยาทในการฟัง การดู และการพูด ตารางที่ 3 ตารางแสดงตัวชี้วัดรายวิชาภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ สาระการฟัง การดู และการพูด สาระที่ ๔ หลักการใช้ภาษาไทย มาตรฐาน ท ๔.๑ เข้าใจธรรมชาติของภาษาและหลักภาษาไทย การเปลี่ยนแปลงของภาษาและพลัง ของภาษา ภูมิปัญญาทางภาษา และรักษาภาษาไทยไว้เป็นสมบัติของชาติ ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ม.๑ ๑. อธิบายลักษณะของเสียงในภาษาไทย เสียงในภาษาไทย ๒. สร้างคำในภาษาไทย การสร้างคำ - คำประสม คำซ้ำ คำซ้อน - คำพ้อง ๓. วิเคราะห์ชนิดและหน้าที่ของคำใน ประโยค ชนิดและหน้าที่ของคำ ๔. วิเคราะห์ความแตกต่างของภาษาพูด และภาษาเขียน ภาษาพูด ภาษาเขียน


๑๙ ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ม.๑ ๕. แต่งบทร้อยกรอง กาพย์ยานี ๑๑ ๖. จำแนกและใช้สำนวนที่เป็นคำพังเพย และสุภาษิต สำนวนที่เป็นคำพังเพยและสุภาษิต ตารางที่ 4 ตารางแสดงตัวชี้วัดรายวิชาภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ สาระหลักการใช้ภาษาไทย สาระที่ ๕ วรรณคดีและวรรณกรรม มาตรฐาน ท ๕.๑ เข้าใจและแสดงความคิดเห็น วิจารณ์วรรณคดีและวรรณกรรมไทยอย่างเห็นคุณค่า และนำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ม.๑ ๑. สรุปเนื้อหาวรรณคดีและวรรณกรรมที่ อ่าน วรรณคดีและวรรณกรรมเกี่ยวกับ - ศาสนา - ประเพณี - พิธีกรรม - สุภาษิตคำสอน - เหตุการณ์ประวัติศาสตร์ - บันเทิงคดี - บันทึกการเดินทาง - วรรณกรรมท้องถิ่น ๒. วิเคราะห์วรรณคดีและวรรณกรรม ที่อ่านพร้อมยกเหตุผลประกอบ ๓. อธิบายคุณค่าของวรรณคดีและ วรรณกรรมที่อ่าน ๔. สรุปความรู้และข้อคิดจากการอ่านเพื่อ ประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง การวิเคราะห์คุณค่าและข้อคิดจาก วรรณคดีและวรรณกรรม ๕. ท่องจำบทอาขยานตามที่กำหนดและ บทร้อยกรองที่มีคุณค่าตามความสนใจ บทอาขยานและบทร้อยกรองที่มีคุณค่า - บทอาขยานตามที่กำหนด - บทร้อยกรองตามความสนใจ ตารางที่ 5 ตารางแสดงตัวชี้วัดรายวิชาภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ สาระวรรณคดีและวรรณกรรม


๒๐ ๒.๒ ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับวรรณคดี ๒.๒.๑ ความหมายของวรรณคดี วรรณคดี เป็นศิลปะที่ใช้ภาษาเป็นสื่อในการสร้างสรรค์ คำว่าวรรณคดี ได้มีผู้ให้นิยามไว้ หลายท่าน ดังนี้ วิทย์ ศิวะศริยานนท์ (๒๕๑๘: ๑-๔) ได้อธิบายความหมายของวรรณคดีไว้ว่า วรรณคดีอันเป็น คำที่เราบัญญัติขึ้นใช้เทียบคำ Literature ในภาษาอังกฤษ หมายถึง บทประพันธ์ที่รัดรึงตรึงใจผู้อ่านปลุก มโนคติ (Imagination) ทำให้เพลิดเพลินและเกิดอารมณ์ต่าง ๆ ละม้ายคล้ายคลึงผู้ประพันธ์ นอกจากนั้น บทประพันธ์ที่เป็นวรรณคดีจะต้องมีรูปศิลปะ (Form) รูปศิลปะนี่เองทำให้เกิดความงาม ศรีวิไล ดอกจันทร์ (๒๕๒๙: ๓) ได้ให้ความหมายของวรรณคดีว่า หมายถึง หนังสือที่เรียบเรียง ด้วยคำเกลี้ยงเกลาไพเราะ กระตุ้นให้เกิดอารมณ์สะเทือนใจ ทั้งยังเป็นหนังสือที่สอดแทรกคุณค่าต่างๆ และสารัตถประโยชน์ไว้อีกด้วย ดวงมน จิตร์จำนง และคณะ (๒๕๕๕) กล่าวโดยสรุปว่า วรรณคดีและวรรณกรรมเป็นไวพจน์ มีความหมายเหมือนกัน คือ งานศิลปะที่มีภาษาเป็นวัสดุ (ทั้งมุขปาฐะและลายลักษณ์) แต่เนื่องจาก ความเข้าใจผิดของคนกลุ่มหนึ่ง ที่ยึดคำนิยามว่า วรรณคดีคือหนังสือที่ได้รับการยกย่องว่าแต่งดี และได้รับ การยกย่องจากวรรณคดีสโมสร แต่ไม่มีการฉุกคิดว่าหนังสือที่ได้รับยกย่องส่วนใหญ่นั้นแต่งขึ้นก่อนจะมี วรรณคดีสโมสร และมีคุณค่าอยู่แล้ว วิภา กงกะนันทน์ (๒๕๕๖: ๓) กล่าวโดยสรุปว่า คำว่า “วรรณคดี” และคำว่า “วรรณกรรม” มีความหมายเดียวกันคือ ผลงานประเภทหนึ่งของมนุษย์ที่ใช้ภาษาเป็นเครื่องมือสื่อสาร ไม่ว่าจะเป็นภาษา พูดหรือภาษาเขียนก็ตาม แต่วรรณคดีหรือวรรณกรรมต่างจากคำพูดหรือข้อเขียนที่ใช้ในการสนทนา สื่อสารกันในชีวิตประจำวัน ด้วยภาษาในวรรณคดีหรือในวรรณกรรมเป็นภาษาที่ผู้แต่งใช้อารมณ์ และสติปัญญา คิด คัดสรร กลั่นกรอง วรรณคดีหรือวรรณกรรมเป็นผลงานที่มนุษย์สร้างสรรค์ขึ้นโดยมี วัตถุประสงค์สำคัญเพื่อบันทึกหรือบรรยายความรู้สึก อารมณ์ ความคิด ความใฝ่ฝัน จินตนาการ และประสบการณ์ของคนให้ปรากฏออกมาในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งตามใจปรารถนา สามารถสรุปได้ว่า วรรณคดี หมายถึง ผลงานการประพันธ์ประเภทหนึ่งของมนุษย์ ที่มุ่งสร้าง ความเพลิดเพลิน กระตุ้นอารมณ์ ให้คุณค่าในการใช้ชีวิตและคุณค่าทางด้านจิตใจ โดยเกิดจากการใช้ภาษา ทั้งวัจนและอวัจนภาษาเพื่อเล่าเรื่องในจินตนาการและประสบการณ์ของผู้เขียน ซึ่งผ่านการขัดเกลาและ เรียบเรียงมาอย่างงดงาม


๒๑ ๒.๒.๒ ความสำคัญและคุณค่าของวรรณคดี วรรณคดีเป็นผลงานที่มนุษย์สร้างขึ้น ด้วยความงามทางภาษาที่มีความสำคัญในการใช้แสดง ความคิด ความรู้สึก และคติแง่คิดสอนใจต่าง ๆ อีกทั้งมีคุณค่าเหมาะแก่การศึกษา ซึ่งมีผู้รู้ได้กล่าวถึง ความสำคัญและคุณค่าของวรรณคดีไว้ดังนี้ ศรีวิไล ดอกจันทร์ (๒๕๒๙: ๙) กล่าวถึงความสำคัญของวรรณคดีไว้ ๑๐ ด้าน คือ ๑. วรรณคดีเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของชาติ ๒. วรรณคดีเป็นงานสร้างสรรค์ของมนุษย์ ๓. วรรณคดีเป็นศิลปะแขนงหนึ่ง ๔. วรรณคดีเป็นผลรวมของประสบการณ์มนุษย์ ๕. วรรณคดีเป็นการสื่อสารและถ่ายทอดวัฒนธรรม ๖. วรรณคดีเป็นเครื่องสำเริงอารมณ์ และสิ่งบันเทิงอย่างหนึ่ง ๗. วรรณคดีเป็นกระจกสะท้อนชีวิตและสังคม ๘. วรรณคดีเป็นบ่อเกิดของศิลปะและวรรณกรรม ๙. วรรณคดีมีอิทธิพลต่อชีวิต จิตใจ ค่านิยม อารมณ์และสติปัญญาของผู้คนในสังคม ๑๐. วรรณคดีเป็นวิชาหนึ่งที่นักเรียนต้องเรียนในระบบโรงเรียน รื่นฤทัย สัจจพันธุ์ (๒๕๔๐: ๒-๓) กล่าวว่า วรรณคดีมีคุณค่าต่อผู้อ่าน และผู้ศึกษา ๒ ประการ ได้แก่ ๑. คุณค่าทางอารมณ์ วรรณคดีเป็นงานศิลปะที่สร้างความเพลิดเพลินด้วยสุนทรียภาพทางภาษาจากถ้อยคำ และโวหารการบรรยายและพรรณนา วรรณคดีจึงมีพลังจูงใจผู้อ่านให้มีอารมณ์รัก เศร้า ขบขัน สมเพช สงสาร โกรธ ชื่นชมปีติ ฯลฯ คุณสมบัติของวรรณคดีข้อนี้จึงเรียกได้ว่าเป็นอาหารใจ ๒. คุณค่าทางปัญญา วรรณคดีให้ความรู้ในสาขาวิชาต่าง ๆ ที่กวีถ่ายทอดไว้ทั้งอย่างตั้งใจและไม่ตั้งใจ นอกจากนี้ ยังให้ข้อคิดที่เป็นประโยชน์ ให้หยั่งเห็นแก่นแท้ของชีวิต เข้าใจธรรมชาติของมนุษย์ผู้ศึกษาจึง อาจจดจำสิ่งที่ได้จากการอ่านวรรณคดี มาเป็นประสบการณ์รอง และนำเหตุการณ์ ข้อคิด และความรู้ใน เรื่องมาเป็นอุทาหรณ์ เพื่อแก้ปัญหาชีวิตของตนเอง


๒๒ อุดม หนูทอง (๒๕๒๓: ๕๒-๕๗) ได้กล่าวถึงคุณค่าของวรรณคดีไว้ว่า คุณค่าที่สำคัญยิ่งของ วรรณคดีมี ๒ ประการ คือ ๑. คุณค่าด้านปัญญาความคิด ๑.๑ ช่วยให้เข้าใจชีวิต ตัวละครทุกตัวในวรรณคดีกำหนดขึ้นโดยเลียนแบบชีวิตจริงผู้ ศึกษาวรรณคดีจึงจะได้พบเรื่องราวของชีวิตในแง่มุมต่าง ๆ ๑.๒ ช่วยให้เข้าใจอดีต วรรณคดีเป็นกระจกเงาของยุคสมัย ผู้อ่านวรรณคดีจะได้ รับทราบค่านิยม สังคม วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม ประเพณีในยุคสมัยของวรรณคดีนั้น ๆ ๑.๓ เป็นรั้วภายในของชาติ วรรณคดีในฐานะที่เป็นวัฒนธรรมส่วนหนึ่งของชาติ ที่มีส่วนกล่อมเกลาจิตใจของคนในชาติให้ตระหนักถึงความเป็นชาติ ๑.๔ เป็นเครื่องมือทางการเมือง วรรณคดีบางเรื่องเป็นอาวุธที่สำคัญของการปกครอง เช่น ลิลิตโองการแช่งน้ำ เป็นแรงสำคัญที่ทำให้อยุธยาอยู่เป็นปึกแผ่นด้วยแรงสามัคคีของประชาชน และทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์คงอยู่ถึงทุกวัน ๑.๕ ให้ความรู้ด้านภาษา ถ้อยคำภาษาในวรรณคดี เป็นภาษาที่ประณีตในแง่ของ ศัพท์ ผู้อ่านจะได้รู้คำพ้นสมัย การสร้างคำศัพท์ใหม่ การแผลงคำตามใจชอบของกวี การใช้ศัพท์ท้องถิ่น ฯลฯ ซึ่งนับว่าเป็นการเพิ่มพูนความรู้ทางภาษาให้แก่คนอ่าน ๒. คุณค่าทางอารมณ์ วรรณคดีให้ความเพลิดเพลินแก่ผู้อ่านด้วยภาษาที่สร้างอารมณ์สะเทือนใจไปกับ ความรู้สึก โกรธ เกลียด ดีใจ ชื่นชม หัวเราะ หรือแม้แต่ต้องหลั่งน้ำตาให้กับเรื่องที่อ่าน ถือเป็น ความเพลิดเพลินใจทั้งหมด ดนยา วงศ์ธนะชัย (๒๕๒๙: ๑๑๙) ได้กล่าวถึงคุณค่าของวรรณคดี สรุปได้ดังนี้ ๑. คุณค่าทางอารมณ์ ก่อให้เกิดความสนุกสนานบันเทิงใจ ทำให้ผู้อ่านสะเทือนอารมณ์ ในทางใดทางหนึ่ง ๒. คุณค่าทางสติปัญญาให้ความรู้ในด้านต่างๆ เช่น สังคม วัฒนธรรมเกิดการหยั่งเห็น ชีวิตและโลก ๓. คุณค่าทางศีลธรรม ช่วยผดุงศีลธรรมในสังคมของตน ไม่บ่อนทำลายความสงบสุขใน สังคมหรือฉุดให้สังคมเสื่อมทรามลง


๒๓ ชัตสุณี สินธุสิงห์ (๒๕๓๒: ๕๗-๗๗) ได้กล่าวถึงคุณค่าของวรรณคดีในด้านต่าง ๆ ดังนี้ ๑. คุณค่าทางด้านจิตใจ วรรณคดีในฐานะศิลปะมีคุณค่าสำคัญต่อจิตใจ เป็นเครื่องประเทืองอารมณ์ ก่อให้เกิด ความเพลิดเพลิน ความเพลิดเพลินที่ได้รับจากวรรณคดีนั้นเกิดจากรส และลีลาของการประพันธ์ที่กวีสร้าง ขึ้นด้วยอารมณ์และจินตนาการที่แตกต่างกันไปตามแรงบันดาลใจที่เกิดขึ้น นอกจากความเพลิดเพลินที่เรา ได้รับจากวรรณคดี ซึ่งทำให้จิตใจมีความสนุกสนานรื่นรมย์แล้วรสแห่งความงามของวรรณคดีก็ให้คุณค่าแก่ จิตใจเช่นกัน กล่าวคือ ก่อให้เกิดสุนทรียภาพในจิตใจ บำรุงจิตใจเราให้ประณีต ให้รักและเข้าถึงความ ไพเราะ และซาบซึ้งในความงาม ๒. คุณค่าทางปัญญา วรรณคดีมิใช่แต่จะทาให้ผู้อ่านเพลิดเพลินไปกับเนื้อหา และการใช้ภาษาอันงดงาม เท่านั้นหากแต่ยังนำความรอบรู้มาสู่ผู้อ่าน ทั้งในเรื่องของสรรพวิทยาการด้านต่างๆ และในเรื่องของโลก และชีวิต วรรณคดียังเพิ่มพูนความรู้ด้านอื่น เช่น ประวัติศาสตร์ การเมือง การปกครอง เป็นต้น แต่ผู้อ่าน ต้องไม่ลืมว่า วรรณคดีไม่ใช่ตำรา แม้ว่าวรรณคดีบางเรื่องอาจใช้เนื้อหาหรือเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ เป็นส่วนดำเนินเรื่อง แต่กวีจะแต่งเติมเสริมต่อหรือนึกฝันสร้างมโนภาพของตนขึ้นเพื่อให้วรรณคดีน่าอ่าน ในด้านประวัติศาสตร์ วรรณคดีมีคุณค่าในแง่ที่ให้ข้อมูลทางประวัติศาสตร์ นอกเหนือไปจากสิ่ง ที่ประวัติศาสตร์บันทึกไว้ ประวัติศาสตร์จะบันทึกเนื้อหาที่เพ่งเล็งข้อเท็จจริง มีหลักฐาน มีเหตุผล แต่วรรณคดีสามารถให้ข้อมูลด้านอารมณ์ ความรู้สึกของผู้คนที่ร่วมเหตุการณ์ ทัศนคติและแนวทางใน การดำเนินชีวิตของบุคคลในสังคมในสมัยหนึ่ง นอกจากเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ เราอาจเรียนรู้ ประวัติศาสตร์และตำนานของสถานที่ต่าง ๆ จากวรรณคดีได้เช่นกัน เช่น รู้เรื่องประวัติตำบลสามเสน จากนิราศพระบาทและเรื่องสามโคกหรือปทุมธานีจากนิราศภูเขาทอง ความรู้ด้านอื่น เช่น การเมืองการปกครอง และกฎหมาย เป็นสิ่งที่พบได้ในวรรณคดีเช่นกันจาก ศิลาจารึกของพ่อขุนรามคำแหง เราได้ความรู้เกี่ยวกับกฎหมายต่างๆ เช่น กฎหมายเชิงภาษีอากรกฎหมาย มรดก ตลอดจนวิธีการพิจารณาคดี เป็นต้น ความรู้ที่ได้รับจากวรรณคดีอีกอย่างก็คือ ความรู้ทางด้านวัฒนธรรม ประเพณีและชีวิต ความเป็นอยู่ในสังคมยุคหนึ่งสมัยหนึ่ง ซึ่งมักเป็นยุคที่วรรณคดีนั้นถือกำเนิดขึ้นมา ตัวอย่างวรรณคดีที่ สะท้อนวัฒนธรรมและชีวิตความเป็นอยู่ที่เห็นได้ชัดเจนที่สุด คือ เสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน ที่แสดงชีวิต


๒๔ สามัญชนในสมัยรัตนโกสินทร์ มีประเพณีต่าง ๆ ที่ปรากฏในวรรณคดีเรื่องนี้อยู่มากมาย และมีความสัมพันธ์กับชีวิตคนไทย นับตั้งแต่ประเพณีการเกิด การรับขวัญ การโกนจุก การทำขวัญ การบวช การแต่งงาน การเผาศพ เป็นต้น ๓. คุณค่าทางด้านภาษา ความรู้ที่ได้จากวรรณคดีที่เป็นหลักจริง ๆ คือ ความรู้ทางภาษา กล่าวคือวรรณคดี ทำให้เรารู้จักศัพท์ต่างๆ ที่กวีเลือกสรรมาใช้โดยเฉพาะศัพท์ที่ใช้กันในวงนักปราชญ์และกวี เช่น ศัพท์ภาษา บาลีสันสกฤต หรือภาษาโบราณ นอกจากศัพท์แล้วยังสามารถเรียนรู้สำนวนต่าง ๆ ที่สามารถนำมาใช้ใน ชีวิตประจำวัน เช่น เมื่อต้องการสื่อความว่าการเรียกชื่อนั้นไม่สำคัญเท่ากับคุณสมบัติของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง จะใช้สำนวนจากเรื่องโรเมโอและจูเลียตว่า “อันว่าชื่อนั้นสำคัญไฉน” เป็นต้น จากความสำคัญและคุณค่าของวรรณคดีที่กล่าวมาในข้างต้น สามารถสรุปได้ว่า วรรณคดีมี ความสำคัญในการสื่อสารและถ่ายทอดวัฒนธรรม เป็นกระจกสะท้อนชีวิตและสังคม มีคุณค่าทั้งทางด้าน เนื้อหาและด้านวรรณศิลป์ เนื่องจากสามารถให้ความรู้ต่าง ๆ พร้อมกับสร้างความจรรโลงใจ ก่อให้เกิด ความเพลิดเพลิน รวมถึงช่วยผดุงศีลธรรม สร้างกฎระเบียบและปลูกฝังค่านิยมที่ดีงามให้กับสังคมไทย ๒.๒.๓ องค์ประกอบของวรรณคดี วรรณคดีมีลักษณะเฉพาะที่แสดงให้เห็นเป็นองค์ประกอบต่าง ๆ ซึ่งมีผู้รู้ได้ให้คำอธิบาย องค์ประกอบของวรรณคดีไว้ดังนี้ สุธิวงศ์ พงศ์ไพบูลย์ (๒๕๒๕: ๓๕) ได้กล่าวถึงองค์ประกอบวรรณคดี สรุปได้ว่าวรรณคดี มีองค์ประกอบหลักคือ ๑. ภาษา แบ่งเป็น ๑.๑ การใช้ถ้อยคำ การเลือกสรรถ้อยคำ ต้องเลือกใช้ให้สอดคล้องกับรูปแบบของงาน ประพันธ์ สอดคล้องกับเนื้อเรื่อง และสอดคล้องกับบรรยากาศในเรื่องจึงจะเป็นภาษากวีที่สมบูรณ์ ๑.๒ ระดับภาษาของวรรณคดี วรรณคดีเรื่องเดียวกันอาจใช้ภาษาต่างกันในบางตอน ระดับภาษาของในวรรณคดีมี ๔ ระดับ ดังนี้ ๑.๒.๑ ระดับภาษาที่เอาความตามรูปศัพท์ คือภาษาที่อ่านแล้วเข้าใจได้ทันทีแต่ มีอรรถและมีการอลังการในตัว แม้บางทีจะมีการเปรียบเทียบอยู่ก็รู้ทันทีว่าเปรียบอะไรกับอะไร เป็นการเปรียบเทียบเพื่อให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น ๑.๒.๒ ภาษาระดับอุปมาอุปไมย เป็นการใช้ภาษาโดยมีอรรถต่างไปจากการเอา ความหมายตามรูปแบบ เช่น การใช้สัญลักษณ์ อุปลักษณ์ หรือบุคลาธิษฐาน


๒๕ ๑.๒.๓ ภาษาระดับธรรม คือภาษาที่กล่าวถึงเรื่องมโนธรรมอาจใช้บุคลาธิษฐาน หรือใช้คำที่มีอรรถในทางธรรมะ ๑.๒.๔ ภาษาระดับอธิธรรม หมายถึง ภาษาที่ใช้มโนธรรมแทนเรื่องที่เป็นธรรมะ ชั้นสูงว่าด้วยเรื่องจิตวิญญาณ เป็นธรรมะชั้นโลกุตรธรรม หรือเป็นภาษาอภิปรัชญา ๒. รูปแบบ ซึ่งหมายถึงวิธีการเขียนของแต่ละบุคคล ซึ่งแบ่งได้ ๒ ลักษณะ คือ รูปแบบ ของลักษณะการประพันธ์ และรูปแบบซึ่งเป็นขนบนิยมในการดำเนินเรื่อง ๒.๑ รูปแบบของลักษณะคำประพันธ์ เช่น วรรณกรรมประเภทร้อยกรอง เช่น บทละครอาจจะใช้กลอน ฉันท์ และร้อยกรองหลายชนิด วรรณกรรมร้อยแก้วอาจเป็นนิยาย นิทาน เรื่องสั้น บทละคร และบทความ ฯลฯ ๒.๒ รูปแบบซึ่งเป็นขนบนิยมในการดำเนินเรื่อง เช่น การเริ่มต้นด้วยบทไหว้ครู วรรณคดีนิราศคำกลอนขึ้นต้นด้วยกลอนวรรครับ นำเอาสถานที่เป็นจุดเริ่มต้นของการพรรณนา การก่อให้เกิดความคิดและอารมณ์ และลำดับเนื้อหาจากการเริ่มออกเดินทางไปเป็นลำดับเหล่านี้ เป็นต้น ๓. สารัตถะหรือแนวคิดของเรื่อง ก็คือลักษณะอันเป็นวิสัยธรรมดาธรรมชาติของโลก และมนุษย์ที่ผู้แต่งมองเห็น และมุ่งหมายจะแสดงลักษณะนั้นออกมาให้ปรากฏแก่ผู้อ่าน สารัตถะของเรื่อง จึงเป็นสารที่ผู้แต่งสื่อมายังผู้อ่าน แสดงให้เข้าใจว่าวิถีทางแห่งโลกเป็นเช่นนี้ ๔. กลวิธีทางศิลปะจะทำให้วรรณคดีมีชีวิตชีวา มีความถูกต้องและสมจริง และมี ความเป็นตัวของตัวเอง วิภา กงกะนันทน์ (๒๕๓๓: ๘) กล่าวถึงองค์ประกอบของวรรณคดี สรุปได้ว่าวรรณคดี ประกอบด้วยส่วนต่าง ๆ ที่สำคัญและสัมพันธ์กัน ๓ ส่วน จะขาดส่วนหนึ่งส่วนใดมิได้ คือ ๑. ภาษา คือ ภาษาที่ใช้ในการดำเนินเรื่อง ๒. เนื้อหา หมายถึง เรื่องราวหรือข้อคิด และอาจจะมีคนหรือตัวละคร เวลา สถานที่ และทัศนะ ๓. รูปแบบ คือ รูปแบบการแต่ง สายทิพย์ นุกูลกิจ (๒๕๓๓: ๑๙) ได้กล่าวถึงองค์ประกอบของวรรณคดี สรุปได้ว่า องค์ประกอบของวรรณคดีมีอยู่ ๓ ส่วน ดังนี้ ๑. ภาษา เป็นเครื่องมือในการถ่ายทอดความนึกคิด อารมณ์และจินตนาการ ทำให้ผู้อ่าน วรรณคดีเข้าใจและเกิดความซาบซึ้ง ๒. เนื้อหา หมายถึง เรื่องราวตัวละคร ฉากและทัศนะของผู้แต่ง


๒๖ ๓. รูปแบบ แบ่งตามรูปแบบการประพันธ์ออกเป็น ๓ ประเภท คือ ร้อยแก้ว ร้อยกรอง และ รูปแบบอื่น ซึ่งจัดเข้าประเภทร้อยแก้วหรือร้อยกรองไม่ได้ จากข้อมูลที่กล่าวมาในข้างต้น สามารถสรุปได้ว่า วรรณคดี มีองค์ประกอบหลัก ๓ ประการ คือ ภาษา เนื้อหา และรูปแบบ โดยมีภาษาประเภทต่าง ๆ ในการถ่ายทอดความรู้สึก มีเนื้อหาจะถ่ายทอด ข้อคิดและดำเนินเรื่องราว และมีรูปแบบการแต่งที่แบ่งออกเป็น ๒ ชนิด ได้แก่ ร้อยแก้ว และร้อยกรอง ๒.๒.๔ การสอนวรรณคดีไทย ๒.๒.๔.๑ จุดมุ่งหมายของการสอนวรรณคดีไทย ในการเรียนสอนวรรณคดีให้ได้ผลและเกิดประสิทธิภาพสูงสุดนั้น ครุทุกท่านล้วนจำเป็นต้อง ทราบจุดมุ่งหมายของการสอนเพื่อให้การสอนบรรลุตามวัตถุประสงค์และเกิดประสิทธิภาพ ซึ่งผู้รู้ และนักการศึกษาได้กล่าวถึงจุดมุ่งหมายของการสอนวรรณคดีไว้ ดังนี้ สุจริต เพียรชอบ และสายใจ อินทรัมพรรย์ (๒๕๒๓: ๑๕๙-๑๖๐) ได้กล่าวถึงจุดมุ่งหมาย การสอนวรรณคดีว่า เพื่อให้นักเรียนได้รู้จักความหมายของวรรณคดีรู้จักลักษณะข้อบังคับต่าง ๆ ของคำ ประพันธ์ที่ใช้ มีทักษะในการอ่านให้เห็นคุณค่าของวรรณคดี เข้าถึงอรรถรส สามารถวิจารณ์นิสัย และการกระทำของตัวละครได้ ประภาศรี สีหอำไพ (๒๕๒๔: ๓๕๑-๓๖๐) ได้กล่าวถึงจุดมุ่งหมายในการสอนวรรณคดี ไว้ว่าควรเน้นให้ผู้เรียนเกิดมโนทัศน์ มีความรู้เนื้อเรื่องที่กระจ่างชัด มีความรู้ และเข้าใจเกี่ยวกับ ฉันทลักษณ์ สามารถถอดคำประพันธ์ได้ เกิดความคิด จินตนาการ และสุนทรียภาพจากเรื่องที่เรียน มีวิจารณญาณ รู้จักวิจารณ์ เปรียบเทียบ และสามารถเรียนรู้วัฒนธรรม ความเชื่อ ประเพณีจากวรรณคดี สมถวิล วิเศษสมบัติ (๒๕๓๖: ๑๐๖-๑๐๗) ได้กล่าวถึงการสอนวรรณคดี สรุปได้ว่า ควรมุ่งให้ นักเรียนตระหนักถึงคุณค่าของวรรณคดี และภาคภูมิใจในผลงานวรรณคดีของบรรพบุรุษให้เห็นสภาพชีวิต สังคมและวัฒนธรรมที่ปรากฏในวรรณคดีให้จินตนาการ เกิดความคิดริเริ่มสร้างสรรค์และสามารถนำ ความรู้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ได้ พวงเล็ก อุตระ (๒๕๓๙: ๖) ได้กล่าวถึงความมุ่งหมายของการสอนวรรณคดี สรุปได้ว่า เพื่อให้เห็นคุณค่าของวรรณคดีและงานประพันธ์ที่ใช้ภาษาอย่างมีรสนิยมในฐานะเป็นวัฒนธรรมของชาติ คือให้เกิดความซาบซึ้งในรสแห่งความไพเราะของวรรณคดี อันประกอบด้วย เสียง รสของคำ รสของ ความเข้าใจภาษาที่ใช้ในวรรณคดีซึ่งเป็นภาษาที่กวีเลือกสรรคำ ที่ไพเราะและมีอำนาจ


๒๗ จากจุดมุ่งหมายดังกล่าว สามารถสรุปได้ว่า ในการสอนวรรณคดีนั้น ครูควรให้ผู้เรียนได้ตระหนัก ถึงคุณค่าของวรรณคดี เห็นความสำคัญในฐานะที่วรรณคดีเป็นสมบัติและเป็นวัฒนธรรมประจำชาติ รวมถึงรู้จักรูปแบบ รส ท่วงทำนองและลีลาของวรรณคดีรวมไปถึงนิสัยของตัวละคร เพื่อนำไปสู่ความคิด ริเริ่มสร้างสรรค์ ๒.๒.๔.๒ วิธีการสอนวรรณคดีไทย และแนวทางการจัดการเรียนรู้วิชาภาษาไทย กรมวิชาการ (๒๕๔๖: ๓๓๔) ได้เสนอวิธีสอนวรรณคดีสรุปได้ดังนี้ ๑. อ่านเข้าใจ การอ่านเข้าใจนับเป็นขั้นตอนแรกในการสอนวรรณคดีและวรรณกรรม ซึ่งครูต้องเตรียมการสอนโดยอ่านวรรณคดีหรือวรรณกรรมที่จะสอนนั้นให้เข้าใจ และการจัดการเรียน การสอนให้นักเรียนเข้าใจด้วย ดังนี้ ๑.๑ เข้าใจเรื่อง สามารถจับใจความสำคัญและรายละเอียดของเรื่องได้สามารถตอบ คำถามได้ว่า เรื่องนั้นคือเรื่องอะไร กล่าวถึงใคร ทำอะไร ที่ไหน เมื่อไร ทำอย่างไร และผลของการกระทำ นั้นเป็นอย่างไร ๑.๒ เข้าใจศัพท์ คือ สามารถเข้าใจความหมายของศัพท์ยากหรือศัพท์ต่างยุคสมัย ๒. ได้เสียงเสนาะ การสอนวรรณคดีและวรรณกรรม ไม่ว่าจะเป็นร้อยแก้วหรือร้อยกรอง ล้วนมีเสียงเสนาะของบทประพันธ์ หากจะยกตัวอย่างให้นักเรียนเข้าใจถึงความสำคัญของเสียงก็ทำได้โดย ยกตัวอย่างข้อความมาสักประโยค แล้วครูอ่านออกเสียงแตกต่างกันเป็นอ่านออกเสียงธรรมดากับอ่านออก เสียงตามอารมณ์ของข้อความ นักเรียนจะพบว่า เสียงเสนาะของข้อความนั้นอยู่ที่ลีลาการอ่านออกเสียงให้ เหมาะสมกับข้อความ ๓. เจาะแนวคิดสำคัญ การสอนให้นักเรียนสามารถจับแนวคิดสำคัญของเรื่อง (Theme) ได้จะต้องให้นักเรียนอ่านเข้าใจเสียก่อน แล้วจากนั้นสามารถที่จะประมวลเรื่องที่อ่านทั้งหมดเพื่อวิเคราะห์ ดูว่าสาระต่าง ๆ ทั้งหลายของเรื่องที่อ่านต่างมุ่งสู่ประเด็นเดียวกันอย่างไร หากสามารถวิเคราะห์ และจับสาระที่หลากหลายของเรื่องได้ว่า ท้ายที่สุดแล้วสาระเหล่านั้นมุ่งสู่ผลอย่างเดียวกัน ก็แสดงว่าผู้อ่าน มีศักยภาพในการอ่านสูงในระดับที่สามารถวิเคราะห์วินิจฉัยสารได้ สามารถที่จะเชื่อมโยงสาระ หรือเหตุการณ์ต่าง ๆ ในเรื่อง และสามารถอธิบายสาระหรือเหตุการณ์ต่าง ๆ เหล่านั้น ได้อย่างมีเหตุผล การสอนจับแนวคิดสำคัญอาจทำได้โดยครูคอยช่วยกระตุ้นหรือแนะวิธีคิด พิจารณาสาระสำคัญให้นักเรียน ค้นพบด้วยตนเองได้โดยง่าย ก็จะทำให้นักเรียนภูมิใจ จากนั้นก็กระตุ้นให้คิดต่อว่าสาระสำคัญเหล่านี้มุ่งสู่ ผลอย่างเดียวกันคืออะไร ทั้งนี้อย่าลืมชี้ให้นักเรียนเข้าใจว่าสาระสำคัญอาจมีลายประเด็น แต่แนวคิดสำคัญ จะต้องมีเพียงประเด็นเดียวเท่านั้น


๒๘ ๔. หมั่นวิเคราะห์วินิจฉัย การสอนให้นักเรียนรู้จักวิเคราะห์วินิจฉัย คือ การสอนให้ นักเรียนสามารถแยกแยะและพิจารณาเรื่องที่อ่านได้ทั้งรูปแบบ เนื้อหา กลวิธีและการใช้ภาษาว่า แต่ละองค์ประกอบมีรายละเอียดอย่างไร ๕. ใส่ใจวิพากษ์วิจารณ์ การสอนให้นักเรียนกล้าแสดงความคิดเห็นต่อเรื่องที่อ่านมี ความสำคัญ เมื่อสามารถวิเคราะห์วินิจฉัยรายละเอียดต่างๆ และสามารถแสดงให้เห็นความประสาน สัมพันธ์ขององค์ประกอบต่างๆ เหล่านั้นได้อย่างมีเหตุผลเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน เพื่อแสดงความคิดเห็นของ ตนประกอบได้อย่างกลมกลืนแล้ว ก็เรียกได้ว่า รู้วิพากษ์วิจารณ์ การสอนในขั้นนี้หากมุ่งที่จะให้นักเรียน เขียนบทวิจารณ์อาจจะเป็นเรื่องยากเกินไป แต่ครูผู้สอนสามารถเลือกใช้กลวิธีการสนทนา ซักถาม หรือใช้ บทบาทสมมุติว่า ถ้านักเรียนเป็นตัวละครนั้น ๆ นักเรียนจะหาทางออกของปัญหาอย่างไร เหตุใดจึงเลือก ทางออกเช่นนั้น แล้วร่วมกันแสดงความคิดเห็นต่อเรื่องที่อ่าน ก็นับได้ว่าเป็นการสอนวิจารณ์ในระดับหนึ่ง ๖. ประสานกิจกรรม หากครูผู้สอนรู้จักเลือกกิจกรรมต่าง ๆ ใช้ประกอบการเรียน การสอนวรรณคดีและวรรณกรรม จะทำให้การเรียนการสอนสนุกและน่าสนใจยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยให้ นักเรียนเข้าใจและจำเนื้อหาได้ดียิ่งขึ้นด้วย กิจกรรมในการสอนวรรณคดี เช่น กิจกรรมบทบาทสมมุติ กิจกรรม การแสดงละคร กิจกรรมขับร้องฟ้อนรำ กิจกรรมวาดภาพ กิจกรรมค้นคว้า กิจกรรมทายปัญหา ๗. สัมพันธ์เนื้อหา การเรียนการสอนวรรณคดีและวรรณกรรมให้สัมพันธ์เนื้อหาอื่น ๆ ทั้งในวิชาเดียวกันและต่างวิชา เช่น สอนให้สัมพันธ์กับราชาศัพท์ สอนให้สัมพันธ์กับหลักภาษาสอนให้ สัมพันธ์กับเนื้อหาวิชาประวัติศาสตร์ และภูมิศาสตร์ จากแนวทางในการจัดการเรียนรู้ด้วยวิชาวรรณคดีนั้น สามารถสรุปได้ว่า วิธีการสอน วรรณคดีนั้นมี ๗ แนวทาง คือ อ่านให้เข้าใจ อ่านให้ได้เสียงเสนาะ เจาะแนวคิดสำคัญ หมั่นวิเคราะห์ วินิจฉัย ใส่ใจวิพากษ์วิจารณ์ ประสานกิจกรรม สัมพันธ์กับเนื้อหา และครูผู้สอนต้องมีความเข้าใจในเนื้อหา ของวรรณคดีให้ถ่องแท้ก่อน จึงจะสามารถถ่ายทอดวรรณคดีให้ผู้เรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมไปถึง ผู้สอนต้องมีเทคนิคในการสอนที่หลากหลาย เพื่อกระตุ้นให้ผู้เรียนมีความรู้สึกอยากที่จะเรียนรู้วรรณคดี ครูผู้สอนต้องเปิดโอกาสให้ผู้เรียนแสดงความคิดเห็นและเปิดโอกาสให้ผู้เรียนเลือกท่องจำบทประพันธ์ตาม ความสนใจและชี้แนะ ให้ผู้เรียนเห็นความสำคัญและความไพเราะรวมไปถึงความงามในด้านวรรณศิลป์ ๒.๒.๕ วรรณคดีที่ใช้ในการวิจัย วรรณคดีที่ผู้วิจัยใช้ในการศึกษาวิจัย คือ วรรณคดี เรื่อง สุภาษิตพระร่วง สามารถอธิบาย เกี่ยวกับประวัติและความเป็นมา ผู้แต่ง จุดมุ่งหมายในการแต่ง ลักษณะคำประพันธ์ พร้อมกับแนวคิดของ เรื่อง สุภาษิตพระร่วง ดังนี้


๒๙ ๒.๒.๕.๑ วรรณคดี เรื่อง สุภาษิตพระร่วง ๑. ประวัติและความเป็นมา กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธการ (๒๕๔๒) กล่าวว่า สุภาษิตพระร่วง หรือ เรียกอีกอย่างว่า บัญญัติพระร่วง เป็นสุภาษิตเก่าแก่ เชื่อกันวมาแต่เดิมว่าแต่งขึ้นในสมัยสุโขทัย แต่ทั้งนี้ มีปรากฏในหลักฐานว่าใน พ.ศ.๒๓๗๙ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จารึกเรื่องสุภาษิตพระร่วงลงบนแผ่นศิลาประดับไว้บนฝาผนังด้านในศาลาหลังเหนือหน้าพระเจดีย์ ภายในวัดพระเชตุพนวิมังคลาราม นอกจากนี้ยังพบสุภาษิตพระร่วงในสมุดไทยอีกหลายฉบับ รวมถึงสมุด ไทยดำเรื่อง บัณฑิตพระร่วง พระนิพนธ์สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส รวมอยู่กับ เรื่อง กฤษณาสอนน้องคำฉันท์ และแม่สอนลูก เรื่อง บัณฑิตพระร่วงซึ่งมีข้อความคล้ายคลึงกับสุภาษิตพระ ร่วงและมีเนื้อหาครบถ้วน กรมศิลปากรจึงใช้เป็นเอกสารในการตรวจสอบชำระสุภาษิตพระร่วงจนเป็น ฉบับสมบูรณ์ สำหรับสุภาษิตพระร่วงฉบับที่กรมวิชาการกำหนดให้เป็นวรรณคดีที่เสนอให้ เลือกเรียนในชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ นี้ พิมพ์รวมอยู่ในหนังสือประชุมสุภาษิตพระร่วงของสถาบันภาษาไทย กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งมีทั้งหมด ๖ สำนวน สำหรับฉบับที่นำมาเป็นแบบเรียนนี้เป็นสุภาษิต พระรวงสำนวนที่ ๑ ฉบับจารึกวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม พระนิพนธ์ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส ดังตารางดังต่อไปนี้ สุภาษิตพระร่วง ๖ สำนวน ๑. ร่ายสุภาษิตพระร่วง ฉบับจารึกวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม พระนิพนธ์ สมเด็จพระมหา สมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส ๒. โคลงประดิษฐ์พระร่วง ฉบับพระราชนิพนธ์ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ๓. ร่ายสุภาษิตพระร่วง ฉบับวัดเกาะ สำนวนร่าย ๔. สุภาษิตพระร่วงคำโคลง ฉบับพระราชนิพรธ์ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ๕. ร่ายสุภาสิทตัง ฉบับวัดลาด อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบุรี ๖. กาพย์สุภาษิตพระร่วง ฉบับวัดเกาะ สำนวนกาพย์ ตารางที่ 6 ตารางแสดงเรื่องสุภาษิตพระร่วง ทั้ง ๖ สำนวน


๓๐ ๒. ผู้แต่ง กรมศิลปากร (๒๕๒๙) กล่าวไว้ว่า สุภาษิตพระร่วงไม่ปรากฏนามผู้แต่ง แน่นอนและพบจำนวนหลายฉบับ สำหรับฉบับที่เสนอใช้เรียนในชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ สุภาษิตพระรวง สำนวนที่ ๑ ฉบับจารึกวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม พระนิพนธ์ สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระปรมานุชิตชิโนรส ซึ่งจะกล่าวถึงประวัติของ สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระปรมานุชิตชิโนรส ดังต่อไปนี้ สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระปรมานุชิตชิโนรส พระนามเดิม คือ พระองค์เจ้าวาสุกรีเป็นพระราชโอรสพระองค์ที่ ๒๘ ในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาจุ้ย (ท้าวทรงกันดาล) ทรงบรรพชาเป็นสามเณรตอนพระชนมายุ ๑๒ ปีประทับ ณ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามและทรงศึกษาในสำนักสมเด็จพระพนรัตน เมื่อ พ.ศ.๒๓๕๔ ทรงผนวชเป็นพระภิกษุ มีพระสมณฉายาว่า สุวัณณรังสี พ.ศ.๒๓๕๗ สมเด็จพระพนรัตนซึ่งเป็นอธิบดีสงฆ์วัดพระเชตุพนฯ ถึงแก่มรณภาพกลางพรรษายังไม่มีผู้ใด เป็นอธิบดีสงฆ์แทน พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยเสด็จพระราชดำเนินถวายผ้า พระกฐิน ทรงพระกรุณาโปรดให้พระภิกษุพระองค์เจ้าวาสุกรีเป็นอธิบดีสงฆ์และเป็นผู้ครองกฐิน ในปีนั้น พระภิกษุพระองค์เจ้าวาสุกรีถวายพระพรว่าไม่ได้เตรียมท่องอปโลกน์ไว้ มีพระราชดำรัสว่า ให้ผู้อื่นว่าแทนได้จึงเป็นธรรมเนียมของวัดพระเชตุพนฯ ตั้งแต่นั้นมาว่าพระราชาคณะผู้ครองกฐินไม่ต้อง ว่าอปโลกน์เองจนกระทั่งทุกวันนี้ พระภิกษุพระองค์เจ้าวาสุกรีทรงกรมครั้งแรกเป็นพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นนุชิตชิโนรส สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงสันนิษฐานว่า ในพ.ศ.๒๓๕๙ กรมหมื่นนุชิตชิโนรสเป็นพระอาจารย์ของเจ้านายหลายพระองค์ เช่น พระบาทสมเด็จ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว สมเด็จเจ้าฟ้ามหามาลา กรมพระยาบำราบ ปรปักษ์กรมหลวงวงศาธิราชสนิท กรมหมื่นไกรสรวิชิต กรมหมื่นภูบาลบริรักษ์เป็นต้น พระบาทสมเด็จ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเคารพนับถือกรมหมื่นนุชิตชิโนรสมาก เมื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ปฏิสังขรณ์วัดพระเชตุพนฯ นั้นได้โปรดเกล้าฯ ให้สร้างตำหนักถวายกรมหมื่นนุชิตชิโนรสด้วย ปัจจุบัน เรียกว่าตำหนักวาสุกรีและทรงตั้งให้เป็นเจ้าคณะกลาง ทรงปกครองวัดในเขตกรุงเทพฯและธนบุรี ๖๑ วัด พ.ศ.๒๓๙๔ รัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว กรมหมื่นนุชิต ชิโนรสได้ทรงรับมหาสมณุตมาภิเษกเป็นกรมสมเด็จพระปรมานุชิตชิโนรส ทรงสมณศักดิ์เป็นมหา สังฆปริณายก เลื่อนพระเกียรติยศทั้งในราชตระกูลวงศ์และในสมณศักดิ์ที่สมเด็จพระสังฆราช


๓๑ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรสฯ ทรงมีพระชนมายุอยู่ ในรัชกาลที่ ๔ เพียง ๒ พรรษา ก็ประชวรด้วยพระโรคชรา และสิ้นพระชนม์เมื่อวันศุกร์ เดือนอ้าย ขึ้น ๙ ค่ำ ปีฉลู เบญจศก จุลศักราช ๑๒๑๕ เวลาบ่าย ๓ โมง ตรงกับวันที่ ๙ ธันวาคม พ.ศ. ๒๓๙๖ สิริ รวมพระชนมายุได้ ๖๔ พรรษา เมื่อพระราชทานเพลิงพระศพ ณ พระเมรุท้องสนามหลวงแล้ว รัชกาลที่ ๔ โปรดให้มีตำแหน่งพระครูฐานานุกรม ประจำสำหรับรักษาพระอัฐิ ถึงเวลาเข้าพรรษาก็เสด็จพระราช ดำเนินไปถวายพุ่มบูชาพระอัฐิทุกปี และถึงวันเสด็จพระราชดำเนินถวายผ้าพระกฐิน วัดพระเชตุพนฯ ก็โปรดให้อัญเชิญพระอัฐิไปประดิษฐานในอุโบสถ ทรงสักการบูชาแล้วทอดผ้าไตร ให้พระฐานานุกรม สดับปกรณ์พระอัฐิเป็นประเพณีตลอดมาตั้งแต่รัชกาลที่ ๔ จนถึงรัชกาลปัจจุบัน ในรัชกาลที่ ๖ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงประกาศสถาปนากรมสมเด็จพระปรมานุชิตชิโนรสขึ้น เป็น “สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส” เมื่อวันที่ ๑๒ เมษายน พ.ศ. ๒๔๖๔ ผลงานด้านวรรณกรรม สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ (๒๕๓๓) สมเด็จพระมหาสมณ เจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส ได้ทรงพระนิพนธ์หนังสือต่างๆ ไว้เป็นจำนวนมากทั้งบทร้อยกรองและร้อย แก้ว สมพระเกียรติที่เป็น “รัตนกวี” ของชาติ วรรณกรรมของพระองค์ นับว่าเป็นสมบัติที่ประมาณค่ามิได้ พระนิพนธ์ต่าง ๆ มีดังนี้ โคลง (๑) โคลงดั้นเรื่องปฏิสังขรณ์วัดพระเชตุพนฯ (๒) ลิลิตกระบวนแห่พระกฐินพยุหยาตราทางสถลมารคและชลมารค (๓) ลิลิตตะเลงพ่าย (๔) โคลงภาพฤาษีดัดตน (๕) โคลงภาพคนต่างภาษา (๖) โคลงกลบท (๗) โคลงบาทกุญชร และวิวิธมาลี (๘) โคลงจารึกศาลาหน้าพระมหาเจดีย์ ๒ หลัง (๙) โคลงจารึกศาลาราย ๑๖ หลัง (๑๐) ร่ายและโคลงบานแพนก


๓๒ ฉันท์ (๑) กฤษณาสอนน้องคำฉันท์ (๒) สมุทรโฆษคำฉันท์ ตอนปลาย (๓) ตำราฉันท์มาตรพฤติและวรรณพฤติ (๔) สรรพสิทธิคำฉันท์ (๕) ฉันท์สังเวยกล่อมวินิจฉัยเภรี (๖) จักรทีปนีตำราโหราศาสตร์ (๗) ฉันท์ดุษฎีสังเวยกล่อมช้างพัง ร่าย (๑) มหาเวสสันดรชาดก (เว้นกัณฑ์ชูชกและมหาพน) (๒) ปฐมสมโพธิกถา (๓) ทำขวัญนาคหลวง (๔) ประกาศบรมราชาภิเศก รัชกาลที่ ๔ (๕) ร่ายสุภาษิตพระร่วง กลอน (๑) เพลงยาวเจ้าพระความเรียง (๒) พระธรรมเทศนาพระราชพงศาวดารสังเขป (๓) พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับความสมเด็จฯ กรมพระปรมานุชิตชิโนรส เล่ม ๑–๒ ๓. จุดมุ่งหมายในการแต่ง โชษิตา มณีไส (๒๕๕๔) กล่าวว่า เนื้อหาสุภาษิตพระร่วง กล่าวถึงพระร่วง ผู้ทรงบัญญัติคำสอนแก่ประชาชนให้นำไปประพฤติปฏิบัติ เป็นประโยชน์ในการดำเนินชีวิต ดังนั้น จุดประสงค์ในการแต่งวรรณคดีสุภาษิตพระร่วง คือ เพื่อสั่งสอนประชาชนในการปฏิบัติตน ๔. ลักษณะคำประพันธ์ กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธการ (๒๕๔๒) สุภาษิตพระร่วงแต่งด้วยคำ ประพันธ์ประเภทร่ายสุภาพ วรรคละ ๕-๘ คำ ร่ายแต่ละวรรคมีการรับส่งสัมผัสอย่างสม่ำเสมอ โดยคำ สุดท้ายของวรรคหน้าจะสัมผัสสระกับคำในวรรคต่lอไป แต่ไม่มีกำหนดตำแหน่งคำรับสัมผัสที่ตายตัวและ จบด้วยโคลงสองสุภาพ ดังตัวอย่างต่อไปนี้


๓๓ ร่ายสุภาพ โคลงสองสุภาพ ภาพที่ ๑ ตัวอย่างฉันทลักษณ์ของร่ายสุภาพและโคลงสองสุภาพ ตัวอย่างร่ายสุภาพ ปางสมเด็จพระร่วงเจ้า เผ้าแผ่นภพสุโขทัย มลักเห็นในอนาคต จึงผ่ายพจนประภาษ เป็นอนุสาสนกถา สอนคณานรชน... ตัวอย่างโคลงสองสุภาพ โดยอรรถอันถ่องถ้วน แถลงเลศเหตุเลือกล้วน เลิศอ้างทางธรรม แลนา ฯ ๕. เนื้อหา โชษิตา มณีไส (๒๕๕๔) กล่าวว่า เนื้อหาสุภาษิตพระร่วง กล่าวถึงพระร่วง ผู้ทรงบัญญัติคำสอนแก่ประชาชนให้นำไปประพฤติปฏิบัติ เป็นประโยชน์ในการดำเนินชีวิต และเนื้อหา ส่วนหนึ่งมาจากสุภาษิตไทยทั่วไป มีเนื้อหาดังนี้ ๕.๑ การปฏิบัติตนต่อบุคคลระดับต่าง ๆ ๑. บุคคลที่อยู่ในฐานะต่ำกว่า ได้แก่ ข้าทาสบริวาร คนในปกครอง ๒. บุคคลที่อยู่ในฐาน้เสมอกัน ได้แก่ ลูกเมีย ญาติ มิตร ศัตรู บุคคลทั่วไป ๓. บุคคลที่อยู่ในฐานะสูงกว่า ได้แก่ ผู้สูงอายุ ครู ขุนนาง พระมหากษัตริย์ ๕.๒ การรักษาตัวรอด การระมัดวังตัว มีความรอบคอบ ไม่ประมาท ๕.๓ การประกอบกิจการงาน ๕.๔ การรักษาทรัพย์และใช้จ่ายทรัพย์ ๕.๕ การฝึกนิสัย อบรมจิตใจตนเอง


๓๔ จากการศึกษาวรรณคดีเรื่อง สุภาษิตพระร่วง ผู้วิจัยได้เล็งเห็นถึงประเด็นต่าง ๆ ที่จะนำมาใช้ใน การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ซึ่งประกอบไปด้วย ๕ เรื่อง ดังนี้ ๑. ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับสุภาษิตพระร่วง ได้แก่ ประวัติและความเป็นมาของสุภาษิตพระร่วง ผู้แต่ง และลักษณะคำประพันธ์ ๒. การถอดความ เรื่อง สุภาษิตพระร่วง ซึ่งผู้เรียนจะต้องถอดความเพื่อนำไปสู้การวิเคราะห์ในประเด็นถัดไป ๓. คุณค่า ด้านสังคม ๔. คุณค่าด้านข้อคิด และ ๕. คุณค่าด้านวรรณศิลป์ ซึ่งในประเด็นด้านคุณค่าผู้เรียนจะต้อง วิเคราะห์เนื้อเรื่องและสามารถแยกประเภทของคุณค่าด้านต่าง ๆ ได้ถูดต้องผ่านกระบวนการจัดการเรียนรู้ แบบร่วมมือ (G.I) ร่วมกับการใช้แผนผังมโนทัศน์ ๒.๓ กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ ๒.๓.๑ ความหมายของกระบวนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ สลาวิน, Slavin (๒๕๓๘: ๓) อ้างถึงใน นิตยา ชังคมานนท์ (๒๕๔๔: ๑๘) โดยให ความหมายว่า การเรียนแบบร่วมมือ (G.I : Group Investigation) หมายถึงการเรียนรู้ที่ผู้เรียนต้องเรียนรู้ ร่วมกัน รับผิดชอบร่วมกัน โดยกลุ่มจะประสบความสำเร็จได้ เมื่อสมาชิกทุกคนได้เรียนรู้บรรลุตาม จุดหมายเช่นเดียวกัน การเรียนรู้แบบรวมมือจึงเป็นการเรียนเป็นกลุ่มหรือเป็นทีม จอห์นสันและจอห์นสัน, Johnson and Johnson (๒๕๓๗: ๕) อ้างถึงใน นิตยา ชังคมานนท์ (๒๕๔๔: ๑๘) กล่าวว่าการเรียนแบบร่วมมือเปนการสอนที่จัดประสบการณ์การเรียนรู้ให้ ผู้เรียนนี้เป็นกลุ่มเล็ก กลุ่มละประมาณ ๓-๕ คน โดยที่สมาชิกในกลุ่มมีความแตกต่างกันทางด้านเพศ เชื้อ ชาติ ความสามารถทางการเรียน โดยผู้เรียนแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน ช่วยเหลือกันและกัน รับผิดชอบ การทำงานของสมาชิกในกลุ่มร่วมกัน วัฒนาพร ระงับทุกข์ (๒๕๔๑: ๓๘) ให้ความหมายของการเรียนแบบร่วมมือ (G.I : Group Investigation) ว่า การร่วมมือเป็นวิธีการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่เน้นการจัดสภาพ สิ่งแวดล้อมการเรียนให้ได้เรียนรู้ร่วมเป็นกลุ่มเล็ก ๆ แต่ละกลุ่มประกอบด้วยสมาชิกที่มีความรู้ ความสามารถแตกต่างกัน โดยแต่ละคนมีส่วนร่วมอย่างแท้จริงในการเรียนรู้และในความสำเร็จของกลุ่ม ทั้งโดยการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น การแบ่งปันทรัพยากรเรียน รวมทั้งการเป็นกำลังใจแก่กันและกัน คนที่เก่งจะช่วยเหลือคนทีอ่อนกว่า สมาชิกในกลุ่มไม่เพียงแต่รับผิดชอบต่อการเรียนของตนเองเท่านั้น หากแต่จะต้องร่วมรับผิดชอบต่อการเรียนรู้ของเพื่อนสมาชิกทุกคนในกลุ่ม ความสำเร็จของแต่ละบุคคลคือ ความสำเร็จของกลุม


๓๕ ปทีป เมธาคุณ (๒๕๔๔: ๑๓) กล่าวว่า การเรียนแบบร่วมมือ หมายถึง การจัด ประสบการณ์เรียนรู้ให้ผู้เรียนเป็นกลุ่มเล็กกลุ่มละประมาณ ๓-๕ คน โดยที่สมาชิกอาจมีความสามารถ ทางการเรียนแตกต่างกัน ผู้เรียนแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน รับผิดชอบการทำงานของสมาชิกแต่ละคนใน กลุ่มร่วมกันเพื่อให้งานกลุ่มประสบผลสำเร็จ โดยสมาชิกภายในกลุ่มต้องกระตุ้นสมาชิกคนอื่นและ ช่วยเหลือกัน ผู้เรียนทำงานร่วมกันเพื่อให้เกิดการเรียนรู้ในตนเองและกลุ่มให้มากที่สุด ผู้เรียนจะต้อง ทำงานร่วมกันเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย โดยมีหลักการว่า ผลสำเร็จของกลุ่มคือผลสำเร็จของตนเอง กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ (๒๕๔๕: ๔) ได้ให้ความหมายของการเรียน แบบร่วมมือ (G.I : Group Investigation) ไวว่าการเรียนแบบร่วมมือ หมายถึงการจัดกิจกรรมการเรียน การสอนที่แบ่งนักเรียนออกเป็นกลุ่มย่อย ๆ ส่งเสริมใหนักเรียนทำงานร่วมกัน โดยในกลุ่มประกอบด้วย สมาชิกที่มีความสามารถแตกต่างกัน มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น มีการช่วยเหลือพึ่งพาซึ่งกันและกัน และมีความรับผิดชอบร่วมกัน ทั้งในส่วนตนและส่วนรวม เพื่อให้ตนเองและสมาชิกทุกคนในกลุ่ม ประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่กำหนด สรุปได้ว่า การเรียนแบบร่วมมือ (G.I : Group Investigation) หมายถึง วิธีการเรียนที่ ให้นักเรียนเรียนเป็นกลุ่มย่อย ซึ่งในแต่ละกลุ่มจะประกอบไปด้วยนักเรียนที่มีความสามารถแตกต่างกังนคือ เก่ง ปานกลาง และอ่อน แล้วให้นักเรียนได้เรียนรู้ร่วมกัน ช่วยเหลือกัน รับผิดชอบร่วมกัน และยึดถือ ความสำเร็จของกลุ่มเหมือนกับความสำเร็จของตน โดยอยู่ภายใต้การแนะนำและดูแลจากผู้สอน เพื่อให้งานที่ได้รับมอบหมายนั้นประสบความสำเร็จ ๒.๓.๒ วัตถุประสงค์ของการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ สำหรับวัตถุประสงค์ของการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ อาภรณ์ ใจเที่ยง (๒๕๕๙: ๑๒๑) ได้กล่าวไว้ดังนี้ ๑. เพื่อให้ผู้เรียนได้เรียนรู้และฝึกทักษะกระบวนการกลุ่มได้ฝึกบทบาทหน้าที่ และความรับผิดชอบในการทำงานกลุ่ม ๒. เพื่อให้ผู้เรียนได้พัฒนาทักษะการคิดค้นคว้า ทักษะการแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง ทักษะการคิดสร้างสรรค์ การแก้ปัญหา การตัดสินใจ การตั้งคำถาม ตอบคำถาม การใช้ภาษา การพูด ฯลฯ ๓. เพื่อให้ผู้เรียนได้ฝึกทักษะทางสังคม การอยู่ร่วมกับผู้อื่น การมีน้ำใจช่วยเหลือผู้อื่น การเสียสละ การยอมรับกันและกัน การไว้วางใจ การเป็นผู้นำ ผู้ตาม ฯลฯ


๓๖ ๒.๓.๓ องค์ประกอบของกระบวนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ จะมีประสิทธิภาพ ถ้าสมาชิกภายในกลุ่มมองเห็นคุณค่า ของการทำงานร่วมกันและช่วยเหลือซึ่งกันและกัน โดยมีแนวทางสำคัญ ๕ ประการ คือ (กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ, ๒๕๔๕: ๕-๘) ๑. มีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันในทางบวก (Positive Interdependence) หมายถึง การที่สมาชิกในกลุ่มทำงานอย่างมีเป้าหมายร่วมกัน มีการทำงานร่วมกัน โดยที่สมาชิกทุกคนมีส่วนร่วม ในการทำงานนั้น มีการแบ่งปันวัสดุ อุปกรณ์ ข้อมูลต่างๆ ในการทำงานทุกคนมีบทบาทหน้าที่และประสบ ความสำเร็จร่วมกัน ครูผู้สอนสามารถจัดกิจกรรมให้นักเรียนมีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันในทางบวก มีหลายวิธี เช่น ๑.๑ การกำหนดเป้าหมายของกลุ่ม (แต่ละคนลงมือเรียนและต้องแน่ใจว่า สมาชิกคนอื่นเรียนรู้ไปพร้อม ๆ กัน) ๑.๒ การกำหนดรางวัลร่วมกัน (ถ้าทุกคนทำได้ตามเกณฑ์ที่ครูผู้สอนกำหนดไว้ แต่ละคนจะได้รับคะแนน bonus เท่าเทียมกันทุกคน) ๑.๓ การกำหนดให้ใช้วัสดุ อุปกรณ์ หรือสื่อการเรียนดื่นๆร่วมกัน (แต่ละคนจะ ได้วัสดุเพียง ๑ ส่วนของทั้งหมดที่จำเป็นต้องใช้ในการทำงานกลุ่ม) ๑.๔ การกำหนดบทบาทสมาชิกในกลุ่ม แต่ละคนจะมีบทบาทในกลุ่ม เช่น ผู้อ่าน ผู้ตรวจสอบผู้บันทึก ผู้ให้กำลังใจ ผู้จัดหาวัสดุ ๒. การมีปฏิสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิดในระหว่างการทำงานกลุ่ม (Face to Face Promotion Interaction) เปิดโอกาสให้นักเรียนได้ช่วยเหลือสมาชิกในกลุ่มให้ประสบความสำเร็จ โดยทำกิจกรรมต่อไปนี้ ๒.๑ แลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกัน ๒.๒ อธิบายความรู้ให้เพื่อนในกลุ่มฟัง ๒.๓ กิจกรรมดังกล่าวจะทำให้นักเรียนได้ติดต่อกันโดยตรง เป็นการแลกเปลี่ยน ความรู้ความคิด และการให้ข้อมูลย้อนกลับ ๓. การตรวจสอบความรับผิดชอบของสมาชิกแต่ละคน (IndividualAccountability) เป็นการจัดกิจกรรมเพื่อให้แน่ใจว่าสมาชิกทุกคนมีความรับผิดชอบต่องานกลุ่ม ซึ่งทำได้หลายวิธี เช่น ๓.๑ กำหนดหน้าที่ของสมาชิกทุกคนในกลุ่มตามความเหมาะสม ๓.๒ สุ่มถามปากเปล่าสมาชิกในกลุ่ม หรือสุ่มตรวจงานของสมาชิกในกลุ่ม


๓๗ ๓.๓ สังเกตและบันทึกการทำงานกลุ่มของสมาชิก ๓.๔ กำหนดให้สมาชิก ๑ คนในกลุ่มเป็นผู้ตรวจสอบความเข้าใจของสมาชิก เกี่ยวกับงานกลุ่ม ๓.๕ ให้นักเรียนอธิบายสิ่งที่ตนเรียนรู้ให้เพื่อนฟัง ๓.๖ ทดสอบรายบุคคล ๔. การใช้ทักษะระหว่างบุคคลและทักษะการทำงานกลุ่มย่อย (Interdependence and Small Group Skill) นักเรียนควรได้รับฝึกทักษะที่จะช่วยให้งานกลุ่มประสบความสำเร็จได้แก่ ๔.๑ การทำความรู้จักและไว้วางใจผู้อื่น ๔.๒ การสื่อสาร ๔.๓ การยอมรับและช่วยเหลือกัน ๔.๔ การวิจารณ์ความคิดเห็น โดยไม่วิจารณ์เจ้าของความคิด ๔.๕ การแก้ปัญหาขัดแย้ง ๔.๖ การให้ความสำคัญและการเอาใจใส่ต่อทุกคนเท่าเทียมกัน ๕. กระบวนการกลุ่ม (Group Process) สมาชิกจะต้องร่วมกันรับผิดชอบต่อการเรียนรู้ ของสมาชิกในกลุ่ม ดังนั้นผลงานของกลุ่มจะได้รับอิทธิพลมาจากการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับ กระบวนการทำงานของสมาชิกในกลุ่มซึ่งสามารถกระทำได้ โดย ๕.๑ ให้อธิบายการกระทำของสมาชิกที่มีประโยชน์และไม่มีประโยชน์ ๕.๒ ให้ตัดสินใจว่าการกระทำใดของกลุ่มที่ควรรักษาไว้และการกระทำใด ควรเลิกปฏิบัติ ๕.๒ ให้เล่าเหตุการณ์ในกลุ่ม ปัญหาของกลุ่ม หรือวิพากษ์วิจารณ์การทำงาน ๕.๓ องค์ประกอบพื้นฐานของการเรียนแบบร่วมมือ สมาชิกต้องมีความสัมพันธ์ และต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันในการที่จะช่วยให้การดำเนินกิจกรรมการจัดการเรียนการสอน ดำเนินงานกลุ่ม ๒.๓.๔ ลักษณะของการเรียนแบบร่วมมือ จอนห์สัน และจอห์นสัน, JOHNSON AND JOHNSON (๒๕๓๐: ๘๔) อ้างถึงใน อรพรรณ พรสีมา (๒๕๔๐: ๕๗) เสนอว่าการเรียนแบบร่วมมือควรมีลักษณะ ดังนี้ ๑. แบ่งนักเรียนในห้องออกเป็นกลุ่มย่อย ๆ แต่ละกลุ่มย่อยประกอบด้วยสมาชิกที่มี ความรู้ความสามารถคละกันภายในกลุ่มประมาณ ๒ ถึง ๖ คน


๓๘ ๒. สมาชิกทุกคนภายในกลุ่มต่างมีเป้าหมายที่จะทำให้คะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โดยเฉลี่ยของกลุ่มสูงขึ้น ๓. สมาชิกแบ่งงานหรือหน้าที่รับผิดชอบ ความสำเร็จของกลุ่มสมาชิกของกลุ่มต่าง ยอมรับในบทบาทและผลงานของของสมาชิกในกลุ่มเสมือนหนึ่งเป็นผลงานของตนเอง และพร้อมที่จะ ยอมรับในความสามารถ และจุดเด่นจุดค้อยของเพื่อนสมาชิก ให้กำลังใจนักเรียนอ่อน และกระตุ้นให้เพื่อน ขยันมากขึ้น เพื่อจะได้ประสบความสำเร็จทางการเรียน และเมื่อได้พยายามมาก แล้วแต่ผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนไม่เพิ่มสูงขึ้น เขาก็ย่อมได้รับการขอมรับจากเพื่อนในกลุ่มนักเรียนแต่ละคนต้องรับผิดชอบต่อ การเรียนรู้ของตนเองและการเรียนของเพื่อนในกลุ่ม อเรนดส์, ARENDS (๒๕๓๒: ๔๐๗) อ้างถึงใน พรรณรัศมิ์ เง่าธรรมสาร (๒๕๓๓ : ๕๐) ได้กล่าวถึงลักษณะการเรียนแบบร่วมมือไว้ ดังนี้ ๑. นักเรียนจะทำงานเป็นกลุ่มในการค้นคว้าหาความรู้ ๒. กลุ่มประกอบไปด้วยนักเรียนที่มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูง ปานกลาง และต่ำ ๓. ในกลุ่มหนึ่ง ๆ มีเชื้อชาติ และเพศที่ต่างกัน ๔. มีการให้รางวัลเป็นกลุ่มมากกว่าเป็นรายบุคคล จากที่กล่าวมาสรุปได้ว่าลักษณะการเรียนแบบร่วมมือจะประกอบไปด้วยการแบ่งนักเรียนที่มี ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนต่างกันเป็นกลุ่มย่อย การทำงานร่วมกันเป็นกลุ่มเพื่อความสำเร็จร่วมกันการแบ่ง หน้าที่กันรับผิดชอบ ๒.๓.๕ บทบาทและหน้าที่ของผู้สอนและผู้เรียนในการเรียนแบบร่วมมือ วัฒนาพร ระงับทุกข์ (๒๕๔๑: ๓๙-๔๐) ได้กล่าวถึงบทบาทของครูและผู้เรียนไว้ ดังนี้ ๑. บทบาทของครู ๑.๑ กำหนดขนาดของกลุ่ม (โดยปกติประมาณ ๒-๖ คนต่อกลุ่ม) และลักษณะ ของกลุ่มซึ่งควรเป็นการสุ่มซึ่งคละความสามารถ (มีทั้งผู้เรียนเก่ง เรียนปานกลาง และเรียนอ่อน) ๑.๒ ดูแลการจัดลักษณะของการนั่งของสมาชิกกลุ่มให้สะดวกที่ทำงานร่วมกัน และง่ายต่อการสังเกตและติดตามความก้าวหน้าของกลุ่ม ๑.๓ ชี้แจงกรอบกิจกรรมให้นักเรียนแต่ละคนเข้าใจวิธีการและกฎเกณฑ์ การทำงาน ๑.๔ สร้างบรรยากาศที่เสริมสร้างการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น และแบ่งหน้าที่ รับผิดชอบของสมาชิกในกลุ่ม


๓๙ ๑.๕ เป็นที่ปรึกษาของทุกคนในกลุ่มย่อยและคอยติดตามความก้าวหน้าใน การเรียนรู้ของกลุ่มและสมาชิกกลุ่ม ๑.๖ ยกย่องหรือให้รางวัลชมเชยเมื่อนักเรียนทำงานร่วมกันเป็นกลุ่ม ๑.๗ กำหนดว่าผู้เรียนควรทำงานร่วมกันในกลุ่มนานเพียงใด ๒. บทบาทผู้เรียน ๒.๑ ไว้วางใจซึ่งกันและกันและพัฒนาทักษะการสื่อความหมาย ๒.๒ ในการทำกิจกรรมการเรียนแต่ละครั้ง สมาชิกคนหนึ่งจะทำหน้าที่ ผู้ประสานงานคนหนึ่งทำหน้าที่เลขานุการกลุ่ม ส่วนสมาชิกที่เหลือทำหน้าที่เป็นผู้ร่วมทีม สมาชิกทุกคน ต้องได้รับมอบหมายหน้าที่รับผิดชอบ ๒..๓ ให้เกียรติและรับฟังความคิดเห็นของเพื่อนสมาชิกทุกคนในกลุ่ม ๒.๔ รับผิดชอบการเรียนรู้ของตนและเพื่อน ๆ ในกลุ่มจะร่วมกันทำกิจกรรม กำหนดเป้าหมายของกลุ่ม แลกเปลี่ยนความรู้และวัสดุอุปกรณ์ ให้กำลังใจซึ่งกันและกันดูแลกันให้ ปฏิบัติงานตามหน้าที่และช่วยกันคุมเวลาในการทำงาน ๓. บทบาทและการมอบหมายหน้าที่ของสมาชิกในกลุ่ม ๓.๑ บทบาทหัวหน้ากลุ่ม มีหน้าที่ดูแลให้สมาชิกกลุ่มทำงาน ๓.๒ บทบาทผู้จัดอุปกรณ์มีหน้าที่รับแจกวัสดุอุปกรณ์ ๓.๓ บทบาทผู้จดบันทึก มีหน้าที่บันทึกงานที่ได้รับมอบหมายเพื่อจัดส่งครู ๓.๔ บทบาทผู้รักษาเวลา มีหน้าที่คอยรักษาเวลาให้สมาชิกในกลุ่มทำงาน ตามกำหนด ๓.๕ บทบาทผู้ส่งงาน มีหน้าที่ตรวจสอบว่าสมาชิกทุกคนได้ลงชื่อบนงานที่จะ นำส่งและนำส่งครู วัฒนาพร ระงับทุกข์ (๒๕๔๑: ๔๘) ได้กล่าวว่าบทบาทของสมาชิกในกลุ่ม (ROLE ASSIGNMENT) เป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะทุกคนจะต้องรับรู้และเรียนรู้เพื่อเป็นจุดมุ่งหมายของการเรียน แบบร่วมกัน สมาชิกในกลุ่มต้องมีหน้าที่ และบทบาท โดยเสมอภาคกันบทบาทที่กำหนดให้อาจเป็นดังนี้ ๑. ผู้นำกลุ่ม ทำงานให้ลุล่วง ๒. ผู้สรุปสรุปผลการเรียนรู้ ๓. ผู้ตรวจสอบ ตรวจสอบทุกคนในกลุ่มให้ร่วมรู้กันหมด ๔. ผู้ช่วย คอยช่วยให้ความคิดว่าถูกต้องหรือไม่


๔๐ ๕. ผู้ชี้แนะ คอยเพิ่มเติมความคิดขยายความรู้ ๖. ผู้หาข้อมูล หาเอกสารข้อมูลให้กลุ่ม ๗. ผู้กระตุ้นเตือน คอยให้กำลังใจและกระตุ้นให้ทำงาน ๘. ผู้สังเกต ดูแลให้ทุกคนทำหน้าที่ของตน การกำหนดบทบาทนี้นอกจากเป็นการให้ความรู้แลกเปลี่ยนความคิดเห็น หรือทำงานร่วมกัน เพื่อให้ผลงานตามจุดมุ่งหมายร่วมกันแล้ว ยังเพื่อให้ทุก ๆ คนได้รู้จักหน้าที่ของตน และแต่ละคนร่วม ทำงานกลุ่มไปได้ด้วยดี ซึ่งนับว่าเป็นเทคนิคอย่างหนึ่งที่ครูควรใช้ในการทำงานกลุ่มถ้ากลุ่มแบ่ง ๔ คน ควรมีหน้าที่ดังนี้ ๑. ผู้นำกลุ่ม (LEADER) ๒. ผู้อธิบาย (EXPLAINER) ๓. ผู้ตรวจสอบ (CHECKER) ๔. ผู้กระตุ้นเตือนหรือให้กำลังใจ (ENCOURAGER) จากที่กล่าวมาสรุปได้ว่าบทบาทของครูและนักเรียนในการจัดการเรียนการสอนแบบร่วมมือนั้นจะ มีส่วนสำคัญในการที่จะช่วยให้การเรียนแบบร่วมมือประสบสำเร็จ โดยที่ครูจะเป็นผู้คอยให้ความร่วมมือ ประสบผลสำเร็จโดยที่ครูจะเป็นผู้ที่คอยให้ความช่วยเหลือในการกำหนดกลุ่ม เป็นผู้คอยให้คำปรึกษาและ ชี้แจงเกี่ยวกับกรอบกิจกรรมต่าง ๆ ในส่วนของผู้เรียนก็จะมีบทบาทของแต่ละคนในการทำงานร่วมกัน ๒.๓.๖ ประโยชน์ของการเรียนแบบร่วมมือ วัฒนาพร ระงับทุกข์ (๒๕๔๑: ๔๔ -๔๕) ได้กล่าวไว้ว่า การเรียนแบบร่วมมือจะช่วยให้ ผู้เรียนได้ฝึกฝนและพิจารณาทักษะในการทำงานร่วมกับผู้อื่น การแก้ปัญหา การตัดสินใจ การแสวงหา ความรู้ใหม่ การยอมรับซึ่งกันและกัน สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้อย่างมีความสุขพร้อม ๆ กับ พัฒนาความดีงาม และความรู้ความสามารถ การเรียนแบบร่วมมือจึงมีประโยชน์ ดังนี้ ๑. ช่วยเสริมสร้างบรรยากาศการเรียนรู้ที่ดี ผู้เรียนในกลุ่มทุกคนจะช่วยเหลือ หรือแลกเปลี่ยนและให้ความร่วมมือซึ่งกันและกัน ในบรรยากาศที่เป็นกันเองและเปิดเผย สมาชิกกลุ่ม ทุกคนกล้าถามคำถามที่ตนไม่เข้าใจ บรรยากาศเช่นนี้นำไปสู่การอภิปรายซักถามทั้งในและนอกชั้นเรียนอัน จะนำไปสู่การเรียนรู้แบบไร้พรมแดน ๒. ก่อให้เกิดการเรียนรู้ในกลุ่มย่อย การแบ่งผู้เรียนเป็นกลุ่มจะเป็นการเปิดโอกาสให้ ผู้เรียนได้พูดคุย อภิปราย ซักถาม จนเกิดความเข้าใจอย่างชัดเจน คนที่เรียนเก่งสามารถช่วยเหลือคนที่ เรียนอ่อนกว่าให้ตามเพื่อนให้ทัน


Click to View FlipBook Version