๔๑ ๓. ช่วยลดปัญหาวิจัยในชั้นเรียน ผู้เรียนจะให้กำลังใจ ยอมรับและร่วมมือและช่วยเหลือ ซึ่งกันและกัน สมาชิกในกลุ่มทุกคนจะรับผิดชอบในความสำเร็จของกลุ่ม จึงจำเป็นต้องร่วมมือกันพัฒนา เสริมสร้างพฤติกรรมที่พึ่งประสงค์ให้เกิดขึ้นในกลุ่ม ๔. ช่วยยกระดับคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเฉลี่ยของทั้งห้องเรียน เมื่อผู้ที่เรียนเก่ง จะช่วยเหลือผู้เรียนอ่อน เขาจะเรียนรู้ความคิดรวบขอดของสิ่งที่กำลังเรียนได้ชัดเจนขึ้น ขณะที่ผู้ที่เรียน อ่อนสามารถเรียนรู้จากเพื่อนที่ใช้ภายาใกล้เคียงกันได้ง่ายกว่าเรียนจากครู ๕. ส่งเสริมให้ผู้เรียนได้พัฒนาความคิดสร้างสรรค์ ได้ศึกษาค้นคว้า ทำงาน และแก้ปัญหา ด้วยตนเอง และมีอิสระที่จะเลือกวิธีการเรียนรู้ของตน ๖. ผู้เรียนที่มีประสบการณ์ในการเรียนแบบร่วมมือ จะมีทักษะในการบริหารจัดการ การเป็นผู้นำ การแก้ปัญหา มนุษยสัมพันธ์และการสื่อความหมาย ๗. การเรียนแบบร่วมมือช่วยเตรียมผู้เรียนให้ออกไปใช้ชีวิตในโลกของความเป็นจริง ซึ่งเป็น โลกที่ต้องอาศัยความร่วมมือมากกว่าการแข่งขัน จากที่กล่าวมา สรุปได้ว่าประ โยชน์ของการเรียนแบบร่วมมือ ได้แก่ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของ นักเรียนสูงขึ้นนักเรียนมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมากขึ้น การทำงานร่วมกันทำให้งานเกิดผลสำเร็จ รู้จักการแก้ปัญหาร่วมกัน นักเรียนรู้จักและเห็นคุณค่าของตัวเองขึ้น ๒.๓.๗ หลักการของกระบวนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ (G.I : GROUP INVESTIGATION) วัฒนาพร ระงับทุกข์(๒๕๔๑) ได้กล่าวถึงหลักการของการสอนโดยใช้กระบวนการจัด การเรียนรู้แบบร่วมมือ (G.I : GROUP INVESTIGATION) ไว้ดังต่อไปนี้ ๑. สมาชิกกลุ่มมีความรับผิดชอบต่อกลุ่มร่วมกันช่วยกันทำงานที่ได้รับ มอบหมายให้ สำเร็จโดยมีจุดมุ่งหมายร่วมกัน แบ่งข้อมูลอุปกรณ์ระหว่างสมาชิกกลุ่ม ๒. สมาชิกกลุ่มมีปฏิสัมพันธ์ (INTERACTION) ต่อกันอภิปรายแลกเปลี่ยนความ คิดเห็น ซึ่งกันและกัน ๓. สมาชิกกลุ่มแต่ละคนมีความรับผิดชอบในตัวเองต่องานที่ได้รับมอบหมาย จุดมุ่งหมายที่สำคัญ คือ การที่แต่ละคนทำงานอย่างเต็มความสามารถ ๔. สมาชิกกลุ่มมีทักษะในการทำงานกลุ่ม (SMAL GROUP SKILL และมีมนุษย์สัมพันธ์ ที่ดี ครูสอนทักษะการทำงานกลุ่มและประเมินผลการทำงานกลุ่มของนักเรียน
๔๒ AM BORS (๒๕๔๖) อ้างถึงใน อาภรณ์ ใจเที่ยง (๒๕๕๘: ๑๒๒) ได้กล่าวถึงหลักการ ของการสอนโดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้ แบบร่วมมือ (G.I : GROUP INVESTIGATION) ดังนี้ ๑. เป็นวิธีสอนที่ให้ความสำคัญกับความสนใจของนักเรียน นักเรียนสามารถ สร้างทีมงาน หรือกลุ่มของตนเอง สร้างแรงจูงใจ เพื่อเพิ่มทักษะในการสืบค้น ทักษะในการนำเสนอผลงาน สร้างองค์ความรู้และความคิดสร้างสรรค์ ๒. นักเรียนนำข้อมูลที่ตนสนใจที่ได้จากการวิเคราะห์ปัญหา บทความที่ตนเองสนใจ หรือสถานการณ์ต่าง ๆ มารวมกลุ่มกัน ๓. แบ่งเป็นกลุ่มย่อยลงไป เพื่อไปสำรวจศึกษาเพิ่มเติมในเรื่องที่กลุ่มสนใจ และ วางแผน เพื่อสืบเสาะหาข้อเท็จจริง โดยนักเรียนจะเป็นผู้จัดการกันเอง ตั้งแต่การตั้งปัญหาที่จะไป สืบค้น การกำหนดบทบาทให้แต่ละคน ตลอดจนขอบเขตเนื้อหาภายในกลุ่มของตนเอง เพื่อนำไป สืบค้นซึ่งใน ท้ายที่สุดนักเรียนแต่ละกลุ่มก็จะได้คำตอบที่ต้องการและความร่วมมือกันในการสร้าง วิธีการใหม่ๆ ที่น่าสนใจในการสืบค้น นำเสนอข้อมูล หรือการสาธิตความรู้ใหม่นั้นที่นักเรียนแต่ละ กลุ่มได้รับให้เพื่อน ภายในชั้นทราบโดยทั่วกัน ๒.๓.๘ ขั้นตอนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ (G.I : GROUP INVESTIGATION) SLAVIN (๒๕๓๘: ๑๑๔-๑๑๘) อ้างถึงใน นิตยา ชังคมานนท์ (๒๕๔๔: ๑๘) ได้อธิบาย ขั้นตอนของการเรียนแบบร่วมมือ (G.I) อย่างละเอียด ดังต่อไปนี้ ขั้นที่ ๑ กำหนดหัวข้อและจัดกลุ่มนักเรียน (IDENTIFYING THE TOPIC AND ORGANIZING PUPILS INTO GROUPS) เริ่มต้นด้วยการวางแผนการเรียนกันในชั้นเรียน โดยอาจจะเลือก แนวทางต่าง ๆ ดังนี้ ๑.๑ ผู้สอนแนะนำหัวข้อแก่นักเรียนในชั้นเรียนและถามว่า "นักเรียน อยากรู้อะไร เกี่ยวกับหัวข้อนี้" จากนั้นนักเรียนเสนอหัวข้อที่สนใจที่จะค้นคว้า ๑.๒ นักเรียนปรึกษากันกับเพื่อนๆ เพื่อเสนอสิ่งที่ตนสนใจจะค้นคว้า จากนั้น นำเสนอกับชั้นเรียนและทั้งชั้นเรียนอภิปรายร่วมกันเกี่ยวกับหัวข้อย่อยที่สนใจ ๑.๓ เริ่มต้นด้วยการที่นักเรียนแต่ละคนเขียนหัวข้อที่ตนสนใจและอยากจะ ศึกษา แล้วให้นักเรียนจับกลุ่มกันเพื่อเปรียบเทียบหัวข้อที่แต่ละคนสนใจ แล้วสรุปให้ได้หัวข้อที่กลุ่ม เห็นว่าน่าสนใจที่สุดเสนอต่อชั้นเรียน ขั้นตอนต่อไปคือ การนำเสนอหัวข้อย่อยที่น่าสนใจที่จะนำไปศึกษา ค้นคว้าตามที่แต่ละกลุ่มหรือแต่ละคนได้มาจากวิธีการใดวิธีการหนึ่งจาก ๓ วิธีข้างต้น โดยอาจจะให้ นักเรียนเขียนหัวข้อบนกระดาน จากนั้นนักเรียนช่วยกันแยกประเภทหัวข้อย่อยต่าง ๆ เช่น ในชั้นเรียนที่
๔๓ ครูสอนในหัวข้อเรื่อง อเมริกาใต้ แต่ละกลุ่มอาจเลือกที่จะ ศึกษาประเทศต่าง ๑ ใน อเมริกาใต้ หรือ บางกลุ่มอาจเลือกที่จะศึกษาภูมิศาสตร์กายภาพของอเมริกาใต้ หรือบางกลุ่มสนใจ เรื่องแหล่ง ทรัพยากรธรรมชาติของอเมริกาใต้ เป็นต้น ขั้นตอนสุดท้ายคือ เมื่อได้นำเสนอหัวข้อย่อย ทั้งหมดแล้วให้ นักเรียนได้จัดกลุ่มอยู่ด้วยกันตามความสนใจของแต่ละคนแล้วเลือกหัวข้อย่อยที่ กลุ่มสนใจ ทุกคนในกลุ่ม ร่วมกันทำความเข้าใจหัวข้อย่อยที่กลุ่มเลือก หากในบางหัวข้อย่อยมี นักเรียนให้ความสนใจมากครูก็ สามารถจัดให้เป็น ๒ กลุ่มในการศึกษาหัวข้อเดียวกันนั้น ซึ่งผลลัพธ์ ที่ออกมาก็ย่อมไม่เหมือนกันเนื่องจาก ความแตกต่างของสมาชิกในกลุ่ม จะทำให้ได้ผลงานที่มี เอกลักษณ์ของกลุ่มตามความสนใจและสภาพ ต่าง ๆ ของสมาชิกในกลุ่มนั้นเอง ขั้นที่ ๒ วางแผนการทำงาน (PLANNING THE LEARNING TASK) เมื่อนักเรียนได้เลือกกลุ่มตามหัวข้อที่สนใจแล้ว ขั้นนี้นักเรียนจะต้อง วางแผนใน การค้นคว้าข้อมูล โดยผู้สอนอาจมีใบงานเป็นแบบฟอร์มให้แต่ละกลุ่มโดยอาจมีหัวข้อ ต่าง ๆ ดังนี้ ชื่อเรื่องที่กลุ่มค้นคว้า : ............................................... สมาชิกในกลุ่ม : ............................................... หัวข้อย่อยที่กลุ่มค้นคว้า : ............................................... แหล่งข้อมูลที่ใช้ค้นคว้า : ............................................... ใบงานดังกล่าวนี้ อาจมีการปรับเปลี่ยนเพิ่มเติมตามแต่ความสนใจของกลุ่มโดย ใบงานดังกล่าวนี้ ผู้สอนสามารถใช้เป็นหลักฐานการเรียนของนักเรียนได้ต่อไป ขั้นที่ ๓ ดำเนินการค้นคว้า (CARRYING OUT THE INVESTIGATION) ขั้นนี้เป็นขั้นตอนที่ใช้เวลานานที่สุดเพื่อให้นักเรียนได้ค้นคว้าข้อมูลอย่างเต็มที่ แต่อย่างไรก็ตามผู้สอนควรกำหนดเวลาอย่างเจาะจง แต่ในความเป็นจริงก็ควรมีความยืดหยุ่น ได้และ ผู้สอนจะต้องดูแลความเรียบร้อยและให้เป็นไปตามกระบวนการ นอกจากนี้ควรมีการ ควบคุมสิ่งที่จะ รบกวนการค้นคว้าของนักเรียนด้วยในขั้นตอนนี้ นักเรียนอาจค้นคว้าเป็นรายบุคคล หรือเป็นคู่กับสมาชิก ในกลุ่ม ในการรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูลและประเมินค่าข้อมูล รวมทั้งสรุปข้อมูลและแบ่งปันความรู้ ให้กับกลุ่มเพื่อแก้ปัญหาของกลุ่มตามที่ได้ตั้งไว้ในขั้นที่ ๒ ที่ผ่านมา กลุ่มควรมีการเลือกเลขานุการเพื่อทำ การจดบันทึกสิ่งที่ได้จากแต่ละคนที่ได้ไปค้นคว้ามา หรือ สมาชิกแต่ละคนนำเสนอข้อสรุปจากที่ตนค้นคว้า มาได้เลยก็ทำได้ ขั้นที่ ๔ เตรียมการนำเสนอ (PREPARING A FINAL REPORT)
๔๔ ในขั้นนี้นับว่ามีการวางแผนอีกครั้งแต่เปลี่ยนจากการวางแผนในการค้นคว้า ข้อมูลเป็นการวางแผนในการนำเสนอข้อมูลที่ได้จากการค้นคว้าของกลุ่ม หรือวางแผนที่จะสอนคน อื่นใน ชั้นเรียนให้เข้าใจ และเกิดความรู้ในสิ่งที่กลุ่มได้ศึกษาค้นคว้ามา ในขั้นนี้ผู้สอนมีบทบาทใน การเป็นผู้ให้ คำปรึกษา โดยสนับสนุนให้สมาชิกในกลุ่มให้ความร่วมมือกับตัวแทนที่จะนำเสนอ ผลงานของกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็น การช่วยกันคิด ช่วยกันตัดสินใจ สรุปข้อความต่าง ๆ รวมถึงการเตรียม อุปกรณ์ที่ช่วยใน การนำเสนอ ต่าง ๆ สิ่งที่ผู้นำเสนอควรคำนึงมีดังนี้ ๔.๑ นำเสนอใจความหลักหรือสาระสำคัญที่กลุ่มได้ค้นคว้ามา ๔.๒ บอกถึงแหล่งข้อมูลที่กลุ่มได้มาซึ่งความรู้ ๔.๓ อนุญาตหรือเปิดโอกาสให้ผู้ฟังได้ซักถามข้อสงสัยและตอบคำถาม ๔.๔ พยายามให้ทุกคน ได้มีส่วนร่วมในการนำเสนอให้มากที่สุดเท่าที่ จะทำได้ โดยอาจจะมีบทบาทต่าง ๆ กำหนดให้ผู้ฟัง อย่าเพียงแต่ให้ผู้ฟังนั่งและฟังอยู่เป็นเวลานาน ๆ ๔.๕ ต้องให้ทุกคนในกลุ่มมีส่วนร่วมในการนำเสนอข้อมูล ๔.๖ ต้องมั่นใจว่าการนำเสนอผลงานกลุ่มได้เตรียมอุปกรณ์ และสื่อ ต่าง ๆ อย่างเพียงพอและเหมาะสม ขั้นที่ ๕ นำเสนอข้อมูล (PRESENTING THE FINAL REPORT) ทุกคนควรมีส่วนร่วมนำเสนอผลงาน ไม่ว่าจะเป็นการเตรียมสิ่งต่าง ๆ การตอบ คำถามที่กลุ่มอื่น ๆ อาจมีข้อสงสัยหลักการนำเสนอของตัวแทนกลุ่ม คำแนะนำในการนำเสนอผลงาน ๕.๑ พูดให้ชัดเจนและไม่เยิ่นเย้อ ๕.๒ ใช้กระดานเขียนข้อความเพื่อให้เกิดความเข้าใจในสาระสำคัญได้ง่าย ๕.๓ ใช้เครื่องมือโสตทัศนวัสดุในการนำเสนอ ๕.๔ นำเสนอในรูปแบบการโต้วาที่หน้าชั้นเรียนตามความเหมาะสม ๕.๕ นำเสนอผลงานนอกสถานที่ตามความเหมาะสม ๕.๖ นำเสนอโดยการแสดงละครเพื่อสื่อถึงเหตุการณ์ต่าง ๆ ๕.๗ นำเสนอโดยให้มีการทดสอบเพื่อเป็นการกระตุ้นความสนใจของผู้ฟัง ๕.๘ นำเสนอโดยใช้ภาพวาด ภาพถ่าย เพื่อให้เกิดความสมจริงสมจัง ขั้นที่ ๖ ประเมินผล (EVALUATION) การเรียนแบบร่วมมือ (G.I : GROUP INVESTIGATION) นั้น ในการประเมินผล ควรคำนึงถึงความ แตกต่างของการได้มาซึ่งข้อมูลของแต่ละกลุ่ม ในการเรียนแบบเก่านั้นนักเรียน
๔๕ จะถูกประเมินผล ด้วยเครื่องมือเดียวกันและอยู่ในรูปแบบเดียวกันเสมอซึ่งไม่เป็นคำตอบมากนักใน การเรียนการสอน ในการเรียนแบบร่วมมือ เทคนิค GI ครูควรประเมินผลจากการพัฒนาหรือให้คะแนน ความก้าวหน้า ในการคิดของผู้เรียนในวิชาที่นักเรียนกำลังศึกษาอยู่ นักเรียนได้ค้นคว้าข้อมูลอย่างไร นักเรียนได้ ประยุกต์ความรู้ที่ได้มาใช้ในการแก้ปัญหาอย่างไร นักเรียนมีหลักการในการวิเคราะห์และ ตัดสิน อย่างไร และนักเรียนได้ข้อสรุปอย่างไร ซึ่งการประเมินผลนี้จะได้มาจากช่วงการค้นคว้าหาข้อมูล ของนักเรียน วรรณทิพา รอดแรงค้า (๒๕๖๐: ๑๕๒-๑๕๔) ได้สรุปการเรียนแบบร่วมมือ (G.I : GROUP INVESTIGATION) ว่ามีขั้นตอนสำคัญ ๖ ประการคือ ๑. การเลือกหัวข้อเรื่องที่จะศึกษา นักเรียนนำเสนอหัวข้อเรื่องที่สนใจ นักเรียน เลือกหัวข้อเดียวกันมารวมกัน ดังนั้น กลุ่มจึงตั้งอยู่บนความสนใจร่วมกัน แล้วกลุ่มจะแบ่งภาระงาน ออกเป็นงานย่อย ๆ ที่มีสมาชิก ๓-๖ คน มาร่วมกันทำงาน มีทั้งนักเรียนหญิงและนักเรียนชายที่มี ความสามารถแตกต่างกัน ฯลฯ ครูทำหน้าที่ช่วยรวบรวมข้อมูล และอำนวยความสะดวกในการจัดการ ๒. การวางแผนร่วมมือกันในการทำงาน ครูและนักเรียนวางแผนร่วมกันใน วิธีดำเนินการภาระงานที่ทำ และเป้าหมายของงานในแต่ละหัวข้อย่อยตามปัญหาที่เลือก แต่ละกลุ่ม จะเขียนรายงานให้ครูทราบถึงหัวข้องานที่ทำรายชื่อสมาชิกกลุ่ม ความรู้ที่ต้องการสืบเสาะแหล่ง ความรู้ ที่ใช้และภาระงานที่สมาชิกแต่ละคนในกลุ่มรับผิดชอบ ๓. การดำเนินงานตามแผนการที่วางไว้นักเรียนดำเนินงานตามแผนการที่วางไว้ ในขั้นที่ ๒ กิจกรรมและทักษะต่าง ๆ ที่นักเรียนจะต้องศึกษา ควรมาจากแหล่งข้อมูลทั้งภายในและ ภายนอกโรงเรียน ครูจะให้คำปรึกษากับกลุ่ม พร้อมติดตามความก้าวหน้าในการทำงานของนักเรียน และช่วยเหลือนักเรียนเมื่อเขาต้องการความช่วยเหลือ ๔. การวิเคราะห์สังเคราะห์งานที่ทำ นักเรียนวิเคราะห์และประเมินข้อมูลที่เขา รวบรวมมาได้ในขั้นที่ ๓ โดยบ่งชี้ประเด็นที่สำคัญของชิ้นงานของตนเอง และวางแผนการรายงาน ว่าจะ รายงานอะไรและอย่างไร หรือลงในข้อสรุปในรูปแบบใดที่น่าสนใจเพื่อนำเสนอต่อชั้นเรียน พร้อมกับตั้ง คณะทำงาน เพื่อวางแผนในการนำเสนอผลงาน ๕. การนำเสนอผลงาน กลุ่มนำเสนอผลงานตามหัวข้อเรื่องที่เลือกครูต้อง พยายามให้นักเรียนทุกคนได้มีส่วนร่วมขณะที่มีการนำเสนอผลงานหน้าชั้นเรียน เพื่อเป็นการขยาย ความคิดของตัวนักเรียนเองให้กว้างไกล โดยเฉพาะในหัวข้อเรื่องที่กลุ่มไม่ได้ศึกษา ครูจะทำหน้าที่เป็นผู้ ประสานงานในระหว่างการนำเสนอผลงาน
๔๖ ๖. การประเมินผล ครูและนักเรียนจะร่วมกันประเมินผลงานที่ถูกนำเสนอ พร้อมทั้งแสดงความคิดเห็นที่มีต่อผลงานทุกชิ้น การประเมินผลอาจรวมทั้งการประเมินเป็น รายบุคคล และเป็นกลุ่ม นักเรียนควรมีส่วนร่วมในการให้ข้อมูลย้อนกลับเกี่ยวกับหัวข้อเรื่องที่ นำเสนอมา เกี่ยวกับ งานที่ทำเกี่ยวกับประสบการณ์ในการทำงานร่วมกัน การประเมินผลการเรียนรู้ ควรประเมินการคิด ในระดับสูงด้วย วัฒนาพร ระงับทุกข์ (๒๕๖๐: ๓๙) ได้กล่าวถึงขั้นตอนการเรียนรู้แบบร่วมมือ (G.I : GROUP INVESTIGATION) ไว้ดังนี้ ๑. ครูและผู้เรียนร่วมกันอภิปราย ทบทวนเนื้อหา หรือประเด็นที่กำหนด ๒. แบ่งผู้เรียนคละความสามารถ กลุ่มละ ๒-๖ คน ๓. แบ่งเรื่องที่ศึกษาเป็นหัวข้อย่อย โดยมีหลายใบงาน ๔. ๑ กลุ่ม เลือกทำ ๑ ใบงาน แต่ละคน เลือกข้อย่อย ๕. แต่ละกลุ่มร่วมอภิปรายจนกลุ่มเข้าใจ ๖. แต่ละกลุ่มรายงานการศึกษาตามลำดับ จันทรา ตันติพงศานุรักษ์ (๒๕๖๑: ๓๗-๕๕) ได้ศึกษาไว้ว่า การเรียนรู้แบบร่วมมือ (G.I : GROUP INVESTIGATION) เป็นการจัดการเรียนการสอนที่เน้นบรรยากาศการทำงานร่วมกัน เพื่อส่งเสริม ความคิดสร้างสรรค์และการเรียนรู้ที่จะดำเนินชีวิตอยู่ในสังคมประชาธิปไตยได้อย่างเหมาะสม ในการสอน แบบสืบค้นเป็นกลุ่ม (GROUP INVESTIGATION) ครูผู้สอนจะแบ่งนักเรียนเป็นกลุ่มย่อย กลุ่มละ ๕ คน หรือน้อยกว่านี้ แต่ละกลุ่มจะวางแผนกันเองว่าจะศึกษาหัวข้อเรื่องอะไร และจะศึกษาอย่างไร สมาชิกแต่ ละคน หรือสมาชิกแต่ละคู่ในกลุ่มจะเลือกหัวข้อย่อย และเลือกวิธีหาคำตอบในเรื่องนั้น ๆ ด้วยตนเอง หลังจากนั้นสมาชิกแต่ละคน หรือแต่ละคู่จะรายงานความก้าวหน้าและผลการทำงานให้กลุ่มของตนเอง ทราบ กลุ่มจะอภิปรายเกี่ยวกับรายงานของสมาชิก และจัดทำรายงานของกลุ่มให้เพื่อนทั้งชั้นฟัง ขั้นตอนสำคัญในการจัดกิจกรรมมี ๖ ขั้นตอน ดังนี้ ๑. ขั้นตอนที่ ๑ IDENTIFYING THE TOPIC AND ORGANIZING PUPILS INTO GROUP ครูผู้สอนเสนอปัญหาแก่นักเรียนทั้งชั้น แล้วให้นักเรียนช่วยกันเสนอสิ่งที่ตนอยากรู้เกี่ยวกับ ปัญหา ดังกล่าว นักเรียนปรึกษาหารือกันเกี่ยวกับเรื่องที่ตนเองสนใจ และเสนอหัวข้อให้แก่สมาชิกในชั้น ทราบนักเรียน ทั้งชั้นช่วยกันกำหนดหัวข้อที่สนใจ นักเรียนจัดกลุ่มเพื่อศึกษาหัวข้อที่สนใจเพียง ๑ หัวข้อ ๒. ขั้นตอนที่ ๒ PLANNING INVESTIGATION IN GROUP ครูผู้สอนและ นักเรียน วางแผนร่วมกันเกี่ยวกับกระบวนการดำเนินงาน ภาระงานที่ต้องทำ และเป้าหมายของงานในแต่
๔๗ ละหัวข้อ ย่อยตามปัญหาที่เลือก เพื่อให้นักเรียนสามารถเรียนในขั้นตอนที่ ๒ ได้ผล โดยครูผู้สอนอาจใช้ คำถาม ๒.๑ ปัญหาที่กลุ่มเลือกทำคืออะไร ๒.๒ สมาชิกในกลุ่มได้แก่ใคร ๒.๓ กลุ่มต้องการศึกษาค้นคว้าอะไร ๒.๔ แหล่งความรู้ที่จะศึกษาคืออะไร ๒.๕ จะแบ่งงานกันทำอย่างไร ๓. ขั้นตอนที่ ๓ CARVING OUT THE INVESTIGATION ขั้นตอนนี้เป็นขั้นที่ นักเรียนใช้ เวลานานที่สุด นักเรียนดำเนินงานตามแผนการที่วางไว้ในขั้นตอนที่สอง กิจกรรมและทักษะ ต่าง ๆ ที่นักเรียนต้องศึกษาควรมาจากแหล่งข้อมูลทั้งภายใน และภายนอกโรงเรียน ครูผู้สอนให้ ความร่วมมือกับกลุ่มตามความต้องการของกลุ่ม เมื่อแต่ละคน หรือแต่ละคู่ทำเสร็จแล้วจะนำเสนอข้อมูล กับกลุ่มของตนเพื่อให้สมาชิกได้อภิปราย และหาข้อสรุปในแต่ละข้อ ๔. ขั้นตอนที่ ๔ PREPARING FINAL REPORT นักเรียนแต่ละกลุ่มรวบรวม ข้อมูลที่ สมาชิกในกลุ่มตนได้จัดทำช่วยกันแก้ไขแล้วสรุปเป็นรายงานของกลุ่มเพื่อเสนอต่อนักเรียนทั้งชั้น สมาชิกช่วยกันเตรียมการเสนอรายงานให้น่าสนใจ และมีประสิทธิภาพเพื่อให้การเสนอรายงานของ กลุ่มย่อยมีประสิทธิภาพ ครูผู้สอนควรแนะนำนักเรียนให้เตรียมดังนี้ ๔.๑ การเน้นสาระสำคัญของการค้นคว้า ๔.๒ แหล่งความรู้หรือวิธีการสุ่มที่กลุ่มศึกษา ๔.๓ การเปิดโอกาสให้มีการซักถาม ๔.๔ การให้นักเรียนในชั้นมีกิจกรรมร่วมด้วยไม่ควรให้นั่งฟังนาน ๆ ๔.๕ ความร่วมมือของสมาชิกในการนำเสนอผลงาน ๔.๖ อุปกรณ์ และวัสดุที่จำเป็นต้องใช้ในการนำเสนอรายงาน ๕. ขั้นตอนที่ ๕ PRESENTING THE FINAL REPORT นักเรียนแต่ละกลุ่มเสนอ ผลงานในกลุ่มของตนให้สมาชิกในชั้นเรียนทราบตามที่เตรียมไว้ในขั้นตอนที่ ๔ ควรให้นักเรียนในชั้นมี กิจกรรมร่วมด้วย เช่น การถาม การตอบปัญหา การทำกิจกรรมที่ผู้รายงานกำหนดให้ทำ ๖. ขั้นตอนที่ ๖ EVALUATING ACHIEVEMENT ครูผู้สอนและนักเรียน ประเมินผลการรายงานกลุ่มย่อย และประเมินงานรวมของทั้งชั้น การประเมินนี้รวมถึงการประเมินเป็น รายบุคคล ด้วย สิ่งที่ควรประเมินได้แก่
๔๘ ๖.๑ ความสามารถในการคิดระดับสูง ๖.๒ วิธีการที่ใช้ในการศึกษา ๖.๓ การประยุกต์ใช้ความรู้ ๖.๔ การใช้หลักฐานอ้างอิง ๖.๕ วิธีการที่ใช้ในการสรุปข้อมูล วิธีการที่ใช้ในการประเมินควรเป็นการประเมินแบบสะสม โดยดูวิธีการทำงาน ของ นักเรียนแต่ละคน ตั้งแต่เริ่มจนจบโครงการ และควรมีการแจ้งผลการประเมินให้นักเรียนทราบเป็น ระยะ ๆนักเรียนควรได้รับความคิดเห็นจากเพื่อนนักเรียนและครูผู้สอน การประเมินผลที่ใช้ควรช่วย ให้นักเรียนเกิดผลสัมฤทธิ์ด้านเนื้อหา และกระบวนการ หรือช่วยพัฒนาความสามารถในการ วางแผน การศึกษาเรื่องต่าง ๆ ในอนาคตได้ นอกจากนี้ควรมีการประเมินผลทางด้านจิตพิสัยเช่น ความรู้สึกต่อ เรื่องที่เรียน งานที่ทำ แรงจูงใจ และเจตคติที่มีต่อครูผู้สอน และต่อเพื่อน จากการจัดกิจกรรมการเรียนแบบร่วมมือ (G.I : GROUP INVESTIGATION)) ที่กล่าวมา ผู้วิจัย สรุปขั้นตอนดำเนินกิจกรรมการเรียนรู้ เพื่อดำเนินการวิจัย ดังนี้ ๑. การเลือกหัวข้อเรื่องที่จะศึกษา (TOPIC SELECTION) นักเรียนเลือกหัวข้อที่ เฉพาะเจาะจงของปัญหาที่เลือก แล้วกลุ่มจะแบ่งภาระงานออกเป็นงานย่อย ๆ ที่มีสมาชิก ๔-๖ คน ร่วมกันทำงาน ๒. การวางแผนร่วมมือกันในการทำงาน (COOPERATIVE PLANNING) ครูและนักเรียน วางแผนร่วมกันในวิธีดำเนินการ ภาระงานที่ทำ และเป้าหมายของงานในแต่ละหัวข้อย่อยตามปัญหา ที่เลือก ๓. การดำเนินงานตามแผนการที่วางไว้ (IMPLEMENTATION) นักเรียนดำเนินงานตาม แผนการที่วางไว้ในขั้นที่ ๒ กิจกรรมและทักษะต่างๆ ที่นักเรียนจะต้องศึกษาควรมาจากแหล่งข้อมูลทั้ง ภายในและภายนอกโรงเรียน ครูจะให้คำปรึกษากับกลุ่มพร้อมกับติดตามความก้าวหน้าในการ ทำงานของ นักเรียนและช่วยเหลือนักเรียนเมื่อเขาต้องการความช่วยเหลือ ๔. การวิเคราะห์และสังเคราะห์งานที่ทำ (ANALYSIS AND SYNTHESIS) นักเรียน วิเคราะห์ และประเมินข้อมูลที่เขารวบรวมได้ในขั้นที่ ๓ และวางแผนหรือลงข้อสรุปในรูปแบบที่น่าสนใจ เพื่อ นำเสนอต่อชั้นเรียน ๕. การนำเสนอผลงาน (PRESENTATION OF FINAL REPORT) กลุ่มนำเสนอผลงาน ตามหัวข้อ เรื่องที่เลือก ครูต้องพยายามให้นักเรียนทุกคนได้มีส่วนร่วมขณะที่มีการนำเสนอผลงานหน้าชั้น
๔๙ เรียนเพื่อเป็นการขยายความคิดของตัวนักเรียนเองให้กว้างไกล โดยเฉพาะในหัวข้อเรื่องที่กลุ่มไม่ได้ศึกษา ครูจะทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงานในระหว่างการนำเสนอผลงาน ๖. การประเมินผล (EVALUATION) ครูและนักเรียนจะร่วมกันประเมินผลงานที่ ถูกนำเสนอพร้อมทั้งแสดงความคิดเห็นที่มีต่อผลงานทุกชิ้น การประเมินผลอาจรวมทั้งการประเมิน เป็นรายบุคคลและเป็นกลุ่ม ๒.๔ แผนผังมโนทัศน์ แผนผังมโนทัศน์มีลักษณะเป็นแผนภูมิอย่างง่าย ที่มีโครงสร้างแสดงการเชื่อมโยงระหว่างคำมโน ทัศน์ต่างๆ อย่างสัมพันธ์กันซึ่ง โนแวค (NOVAK) ได้ประยุกต์แนวคิดทฤษฎีการเรียนรู้อย่างมีความหมาย ของ ออซูเบล ทำให้แนวคิดของ ออซูเบล มองเห็นเป็นแผนภาพที่เป็นรูปธรรม (วิยะดา ระวังสุข, ๒๕๔๕: ๑๒) ๒.๔.๑ ความหมายของแผนผังมโนทัศน์ จากการศึกษาพบว่ามีนักศึกษาหลายท่าน ได้ให้ความสนใจเกี่ยวกับการสอนโดยใช้ แผนผังมโนทัศน์ และให้ความหมายของแผนผังมโนทัศน์ไว้ ดังนี้ อัญชลี ตนานนท์ (๒๕๔๒: ๕๑) ได้กล่าวถึงแผนผังมโนทัศน์ไว้ว่า การสร้างหรือ การวาด แผนผังมโนทัศน์ คือ การถ่ายทอดความคิด ความเข้าใจของผู้สร้างในเรื่องหนึ่งออกมาในรูปความสัมพันธ์ ของมโนทัศน์อย่างมีลาดับขั้น มนมนัส สุดสิ้น (๒๕๔๓: ๒๓) ได้กล่าวถึงแผนผังมโนทัศน์ไว้ว่า แผนผังมโนทัศน์เป็น แผนผังที่สร้างขึ้นเพื่อแสดงความสัมพันธ์กันอย่างมีความหมายของมโนทัศน์ ตั้งแต่ ๒ มโนทัศน์ขึ้นไปใน ลักษณะ ๒ มิติ ระหว่างมโนทัศน์จะเชื่อมด้วยคำเชื่อม สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (๒๕๔๖: ๔๐) ได้กล่าวถึงแผนผัง มโนทัศน์ว่าโครงสร้างผังมโนทัศน์เป็นการรวบรวมความรู้ต่างๆ มาจัดการอย่างมีระบบโดยนำความรู้มา กำหนดเป็นมโนทัศน์หลักและมโนทัศน์ย่อย แล้วนามโนทัศน์เหล่านั้นมาเชื่อมโยงกันอย่างมีความหมาย จากความหมายของแผนผังมโนทัศน์ที่กล่าวมาข้างต้น สรุปได้ว่า แผนผังมโนทัศน์เป็น แผนผังที่ใช้แสดงความสัมพันธ์ระหว่างมโนทัศน์อย่างมีลำดับขั้น โดยมีคาเชื่อมระหว่างคำมโนทัศน์ทำให้ สามารถอ่านความสัมพันธ์นั้นเป็นประโยคหรือข้อความที่มีความหมายแสดงการถ่ายทอดความคิด ความเข้าใจของผู้สร้างออกมาอย่างเป็นระบบ
๕๐ ๒.๔.๒ หลักการในการเขียนผังมโนทัศน์ การเขียนแผนผังมโนทัศน์ มีหลักการคือ การเชื่อมโยงความคิด ด้วยเส้นเชื่อมโยง (RELATIONSHIP) ที่มีคาอธิบายบนเส้นความสัมพันธ์ (LABEL) โดยเป็นการอธิบายความสัมพันธ์เพื่อแสดง ทิศทางของความสัมพันธ์ด้วยทิศทางของหัวลูกศร (DIRECTION) ซึ่ง ประชาสรรณ์ แสนภักดี(๒๕๕๕) ได้อธิบายออกเป็นข้อ ๆ ได้ดังนี้ ๑) เขียนตัวหนังสือเป็นแบบตัวพิมพ์ใหญ่ กรณีภาษาอังกฤษหรือตัวหนาและเน้นคำ กรณีเป็นภาษาไทยสาหรับประเด็นความคิด (NODE) ๒) ใช้กระดาษแบบไม่มีเส้น (UNLINED PAPER) เพื่อไม่ให้เส้นที่อยู่บนกระดาษมาขีด กรอบความคิด หากเลี่ยงไม่ได้ก็ให้เส้นบรรทัดอยู่ในแนวตั้ง (VERTICAL) ๓) เชื่อมคำที่เกี่ยวข้องหรือสัมพันธ์กันด้วยเส้น (LINK LINE) หากมีความคิดใหม่ๆ เกิดขึ้นก็แตกเส้น เชื่อมออกไปด้านข้างดังในภาพข้างบน ๔) เขียนต่อเนื่องไปอย่างรวดเร็วไม่ต้องหยุดส่งผ่านความคิดให้เกิดความลื่นไหลไป เรื่อย ๆ ไม่ต้องหยุดว่าความคิดควรจะอยู่ตรงไหนเขียนลงไปก่อน (เราสามารถเคลื่อนย้ายหรือลากเส้น ความสัมพันธ์ทีหลังได้ ๕) เขียนทุกอย่างลงไปโดยไม่ต้องตีความหรือพยายามหาคำอธิบายใดๆ เพราะ กระบวนการจะหยุดชะงักในการคิด ๖) หากถึงทางตันของการคิดก็ลองมองไปรวม ทั้งภาพผังมโนทัศน์เพื่อดูว่ายังมีส่วนใด ตกค้างหรือหลงเหลือที่ยังไม่ได้เขียนลงไปหรือไม่ ๗) บางครั้งอาจมีความจาเป็นที่จะต้องใช้สีหรือรูปทรง (SHAPE) เพื่อแยกแยะหรือจัด หมวดหมู่ความคิด ๒.๔.๓ รูปแบบของผังมโนทัศน์ สุวิทย์ มูลคำ และอรทัย มูลคำ (๒๕๕๑: ๑๗๖) กล่าวถึงรูปแบบของผังมโนทัศน์ หรือ ผังมโนภาพ มโนมติ หรือ ผังความคิดสัมพันธ์ทางความหมายมีผู้นำเสนอไว้มากมาย หลากหลายรูปแบบ สำหรับการนำรูปแบบกรอบมโนทัศน์ แต่ละรูปแบบมาใช้นั้น ขึ้นอยู่กับลักษณะของข้อมูลองค์ประกอบ ต่าง ๆ ของข้อมูลที่มีความเหมาะสมกับโครงสร้างของกรอบมโนทัศน์ตลอดจนความต้องการของผู้ใช้ ซึ่งผู้เขียนจะนำเสนอรูปแบบของกรอบมโนทัศน์บางรูปแบบที่เห็นว่าผู้สอนสามา รถนำไปใช้ใน การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ได้อย่างสะดวกและเกิดประโยชน์
๕๑ ผังมโนทัศน์ (CONCEPT MAP) เป็นแผนที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างมโนทัศน์ (CONCEPT) ต่าง ๆ เกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เพื่อให้เกิดการสร้างองค์ความรู้อย่างเป็นระบบ ซึ่งผู้วิจัยใช้ ผังมโนทัศน์ที่มีมโนทัศน์หลัก เชื่อโยงไปหามโนทัศรอง และมโนทัศน์ย่อยตามลำดับเนื่องจากมี ความเหมาะสมกับเนื้อหาที่ใช้ทำการวิจัยมากที่สุด ดังตัวอย่างต่อไปนี้ ภาพที่ ๒ ตัวอย่างรูปแบบการเขียนแผนผังมโนทัศน์ ๒.๔.๔ ประโยชน์ของแผนผังมโนทัศน์ การนำแผนผังมโนทัศน์ไปใช้ในการศึกษามีอย่างกว้างขวาง นักการศึกษาหลายท่านได้ กล่าวถึงการนำแผนผังมโนทัศน์ไปใช้ประโยชน์ดังนี้ AULT (๒๕๒๕: ๔๒) อ้างถึงใน สุนีย์ สอนตระกูล (๒๕๓๕: ๘๓) กล่าวถึง ประโยชน์ของ แผนผังมโนทัศน์ไว้ ดังนี้ ๑) ใช้แผนผังมโนทัศน์ในการเตรียมการสอน ซึ่งจะช่วยบูรณาการเนื้อหาวิชา ต่าง ๆ เข้าด้วยกัน ๒) ใช้แผนผังมโนทัศน์ในการวางแผนประเมินหลักสูตร ๓) ใช้แผนผังมโนทัศน์เป็นแนวทางในการกำหนดประเด็นที่จะอภิปรายจะทำให้ คลอบคลุมประเด็นทั้งหมด ๔) ใช้แผนผังมโนทัศน์เป็นแนวทางในการปฏิบัติการทดลอง จะทำให้นักเรียน เกิดความเข้าใจ และการปฏิบัติการทดลองได้ตามวัตถุประสงค์ ๕) ใช้แผนผังมโนทัศน์ในการจับใจความสำคัญจากตาราเรียนจะทำให้เกิด ความเข้าใจมากขึ้น ๖) ใช้แผนผังมโนทัศน์ในการตอบข้อสอบแทนการเขียนตอบ
๕๒ NOVAK (๒๕๒๗: ๔๑-๕๔) อ้างถึงใน สุนีย์ สอนตระกูล (๒๕๓๕: ๘๓) ได้กล่าวประโยชน์ ของแผนผังมโนทัศน์ไว้ ดังต่อไปนี้ ๑) ใช้แผนผังมโนทัศน์ในการสำรวจความรู้พื้นฐานของนักเรียน โดยใช้สำรวจ ความรู้ที่นักเรียนมีมาก่อนเพื่อนำมาใช้ในการเตรียมการสอนให้เหมาะสมกับนักเรียน ๒) ใช้แผนผังมโนทัศน์แสดงความสัมพันธ์ของมโนทัศน์ต่างๆ ที่อยู่ในความคิด ของนักเรียนซึ่งจะทำให้ทราบว่านักเรียนกำลังคิดอะไรและกำลังจะคิดทำอะไรเพื่อให้บรรลุตามเป้าหมายที่ วางไว้ คล้ายกับการเดินทางโดยใช้แผนที่ ๓) ใช้แผนผังมโนทัศน์ในการสรุปความหมายจากตารา ซึ่งจะทำให้ ประหยัดเวลาในการอ่านครั้งต่อไปและไม่เกิดความเบื่อหน่ายในการอ่าน ๔) ใช้แผนผังมโนทัศน์ในการสรุปความหมายจากการทำปฏิบัติการใน ห้องปฏิบัติการหรือในการปฏิบัติการภาคสนาม แผนผังมโนทัศน์จะเป็นแนวทางให้แก่นักเรียนว่าควรจะทำ อะไรบ้าง สังเกตสิ่งใดบ้างเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่วางไว้ ๕) ใช้แผ่นผังมโนทัศน์เป็นเครื่องมือในการจดบันทึกต่างๆ ในการวงกลม ล้อมรอบมโนทัศน์หลัก หรือข้อความสำคัญแล้วนำมาสร้างเป็นกรอบมโนทัศน์ จะทำให้จดจำได้ง่าย และกรอบมโนทัศน์จะทำให้จับใจความสำคัญได้ทั้ง ๆ ที่เป็นข้อความหรือเรื่องที่ไม่คุ้นเคยมาก่อน ๖) ใช้แผนผังมโนทัศน์ในการวางแผนการเขียนรายงานหรือการบรรยาย จากการศึกษาประโยชน์ของแผนผังมโนทัศน์ที่ใช้ในการเรียนการสอนสามารถสรุปได้ ดังนี้ ๑) ใช้เป็นเครื่องมือในการเตรียมการสอนของครู โดยใช้สำรวจความรู้พื้นฐานของ นักเรียนแล้วนำไปวางแผนการสอนให้เหมาะสมกับนักเรียนและใช้ในการจัดลำดับเนื้อหาสาระที่จะสอน ๒) ใช้เป็นเครื่องมือในการประเมินผลการเรียนรู้ของนักเรียนโดยการให้นักเรียนสรุป บทเรียนหรือสิ่งที่เรียนหรือตอบข้อสอบโดยใช้แผนผังมโนทัศน์ เพื่อแสดงความเข้าใจบทเรียน ๓) ใช้เป็นเครื่องมือในการเรียนรู้สำหรับนักเรียน ในการจดบันทึกเนื้อหาข้อมูลในรูปแบบ ที่เข้าใจได้ง่ายขึ้น มองเห็นภาพรวมของโครงสร้างเนื้อหาทั้งหมด ทำให้จดจำเนื้อหาได้ง่ายยิ่งขึ้น และประหยัดเวลาในการอ่านทบทวน จากการศึกษาเกี่ยวกับแนวคิดของการใช้แผนผังมโนทัศน์ สรุปได้ว่า แผนผังมโนทัศน์เป็น เครื่องมือที่จะช่วยให้ผู้เรียนสามารถสรุปความคิดหรือใจความสำคัญของเรื่องที่เรียนออกมาเป็นส่วน ๆ ได้ อันประกอบไปด้วย ส่วนมโนทัศน์หลัก ส่วนมโนทัศน์รอง และส่วนมโนทัศน์ย่อยหรือตัวอย่าง เพื่อแสดงให้ เห็นเกี่ยวข้องกันของเนื้อหาโดยเชื่อมโยงกันตามเส้นหรือลูกศรไปอย่างสัมพันธ์กัน
๕๓ ๒.๕ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ๒.๕.๑ ความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สมพร เชื้อพันธ์ (๒๕๔๗) สรุปไว้ว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึงความสามารถ ความสำเร็จและสมรรถภาพด้านต่าง ๆ ของผู้เรียนที่ได้จากการเรียนรู้อันเป็นผลมาจากการเรียนการสอน การฝึกฝนหรือประสบการณ์ของแต่ละบุคคลซึ่งสามารถวัดได้จากการทดสอบด้วยวิธีการต่าง ๆ พิมพันธ์ เดชะคุปต์ และพเยาว์ ยินดีสุข (๒๕๔๘) กล่าวไว้ว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ขนาดของความสำเร็จที่ได้จากกระบวนการเรียนการสอน ปราณี กองจินดา (๒๕๔๙) กล่าวไว้ว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ความสามารถ หรือผลสำเร็จที่ได้รับจากกิจกรรมการเรียนการสอนเป็นการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและประสบการณ์ เรียนรู้ทางด้านพุทธิพิสัย จิตพิสัย และทักษะพิสัย และยังได้จำแนกผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไว้ตามลักษณะ ของวัตถุประสงค์ของการเรียนการสอนที่แตกต่างกัน มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช (๒๕๔๖) ให้ความหมายไว้ว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเป็น การวัดความสำเร็จทางการเรียน หรือวัดประสบการณ์ทางการเรียนที่ผู้เรียนได้รับจากการเรียนการสอน โดยวัดตามจุดมุ่งหมายของการสอนหรือวัดผลสำเร็จจากการศึกษาอบรมในโปรแกรมต่าง ๆ ไพโรจน์ คะเชนทร์ (๒๕๕๖) ให้คำจำกัดความไว้ว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน คือคุณลักษณะ รวมถึงความรู้ ความสามารถของบุคคลอันเป็นผลมาจากการเรียนการสอน หรือ มวลประสบการณ์ทั้งปวง ที่บุคคลได้รับจากการเรียนการสอน ทำให้บุคคลเกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในด้านต่าง ๆ ของสมรรถภาพทางสมอง จากข้อมูลข้างต้นสามารถสรุปได้ว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ผลสำเร็จที่เกิดจาก การเรียนรู้ด้วยวิธีการต่าง ๆ ของผู้เรียน ซึ่งจะมีวิธีในการวัดที่แตกต่างกันตามความเหมาะสมของตัวบุคคล และจุดประสงค์ที่ต้องการวัด ๒.๕.๒ จุดมุ่งหมายของการวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน พวงรัตน์ ทวีรัตน์ (๒๕๓๑: ๒๙) ได้กล่าวถึง จุดมุ่งหมายของการวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ว่า เป็นการตรวจสอบระดับความสามารถของสมรรถภาพทางสมองของบุคคลว่าเรียนแล้วรู้อะไรบ้าง และมีความสามารถด้านใดมากน้อยเท่าใด ภพ เลาหไพบูลย์ (๒๕๓๗: ๒๙๒) กล่าวถึงจุดมุ่งหมายของการวัดผลสัมฤทธิ์ไว้ดังนี้ ๑. ทราบว่านักเรียนได้บรรลุเป้าหมายของการเรียนหรือไม่ นักเรียนมีความรู้ ความสามารถมากน้อยเพียงใด เพื่อเปรียบเทียบหรือบันทึกความเจริญงอกงามของการเรียนรู้
๕๔ ๒. เพื่อแก้ปัญหาและปรับปรุงการเรียนการสอนโดยถือว่าการวัดผลสัมฤทธิ์ เป็นองค์ประกอบหนึ่งของการเรียนการสอน ๓. เพื่อประเมินผล การวัดผลสัมฤทธิ์ทุกครั้งจะต้องมีการประเมินผลทุกครั้งเพื่อจะได้ ทราบว่านักเรียนอยู่ในตำแหน่งใดของกลุ่ม บรรลุเป้าหมายในสิ่งที่สอนเป็นที่พอใจของผู้สอนหรือไม่ การวัดผลสัมฤทธิ์ในการเรียนนั้นหากพิจารณาตามจุดมุ่งหมายและลักษณะของเนื้อหาวิชาจะมีการวัด ๒ ด้าน คือการวัดในด้านการปฏิบัติ และการวัดในด้านเนื้อหาวิชา ซึ่งต้องอาศัยเครื่องมือในการวัดหลาย ชนิดเข้ามาช่วย จึงจะสามารถวัดได้อย่างถูกต้องและครบถ้วน การวัดผลสัมฤทธิ์ในการเรียน โดยเฉพาะ ที่เกี่ยวกับการวัดในด้านเนื้อหาที่ต้องการใช้สมรรถภาพทางสมอง เช่น ความรู้ความเข้าใจ ความสามารถใน การวิเคราะห์ สังเคราะห์ ความสามารถในการตัดสินใจอย่างมีเหตุผล เครื่องมือที่เหมาะสมและที่นิยมใช้ กันมากที่สุด คือ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ๒.๕.๓ ความหมายและประเภทของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ เยาวดี วิบูลย์ศรี (๒๕๔๑: ๑๔) ได้อธิบายถึง แบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ เป็นเครื่องมือสำหรับ ช่วยให้ครูสามารถตัดสินผลสัมฤทธิ์ของนักเรียนได้อย่างมีประสิทธิ์ภาพ เพราะเป็นวิธีการประเมิน พฤติกรรมของนักเรียนที่มีความเป็นอิสระได้มากกว่าวิธีอื่น เมื่อเทียบกับกระบวนการเรียนรู้ที่มีอยู่ แบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ที่ใช้ในโรงเรียน มุ่งวัดความรู้ในแต่ละวิชาและทักษะต่างๆ โดยมีวัตถุประสงค์ พื้นฐานที่สำคัญ ๒ ประการคือ ๑. เพื่อเป็นเครื่องมือในการวัดผลสัมฤทธิ์ของนักเรียนอันเป็นข้อมูลที่ได้รับสำหรับ การประเมินผลการเรียนการสอนเป็นรายบุคคล ๒. เพื่อเป็นการตรวจสอบความสามารถของนักเรียนแต่ละคน ซึ่งแตกต่างกันใน ธรรมชาติ บุญชม ศรีสะอาด (๒๕๔๕: ๕๓) ได้อธิบายเกี่ยวกับ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ หมายถึง แบบทดสอบที่ใช้วัดความรู้ความสามารถของบุคคลในด้านวิชาการ ซึ่งเป็นผลจากการเรียนรู้เนื้อหาสาระ และตามจุดประสงค์ของวิชาหรือเนื้อหาที่สอบนั้น โดยทั่วไปจะวัดผลสัมฤทธิ์ในวิชาต่างๆ ที่เรียนใน โรงเรียน วิทยาลัย มหาวิทยาลัย หรือสถาบันการศึกษาต่าง ๆ อาจจำแนกออกเป็น ๒ ประเภท คือ
๕๕ ๑. แบบทดสอบอิงเกณฑ์ หมายถึง แบบทดสอบที่สร้างขึ้นตามจุดประสงค์เชิงพฤติกรรม มีคะแนนจุดตัดหรือ คะแนนเกณฑ์ สำหรับใช้ตัดสินว่าผู้สอบมีความรู้ตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้หรือไม่ การวัด ตรงตามจุดประสงค์ เป็นหัวใจสำคัญของข้อสอบในแบบทดสอบประเภทนี้ ๒. แบบทดสอบอิงกลุ่ม หมายถึง แบบทดสอบที่มุ่งสร้างเพื่อวัดให้ครอบคลุมหลักสูตรจึง สร้างตามตารางวิเคราะห์หลักสูตร ความสามารถในการจำแนก ผู้สอบตามความเก่งอ่อนได้ดี เป็นหัวใจ สำคัญของข้อสอบ ในแบบทดสอบประเภทนี้ การรายงานผลการสอบอาศัยคะแนนมาตรฐาน ซึ่งเป็น คะแนนที่สามารถให้ความหมายแสดงถึง สถานภาพ ความสามารถของบุคคลนั้นเมื่อเปรียบเทียบกับบุคคล อื่น ๆ ที่ใช้เป็นกลุ่มเปรียบเทียบ สมนึก ภัททิยธนี (๒๕๕๑: ๗๓) ได้ให้ความหมายเกี่ยวกับแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทาง การเรียนไว้ว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง แบบทดสอบที่วัดสมรรถภาพสมองด้าน ต่าง ๆ ที่นักเรียนได้รับการเรียนรู้ผ่านมาแล้ว มี ๒ ประเภท คือ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ประเภท ที่ครูสร้าง และแบบทดสอบมาตรฐาน ข้อความดังกล่าวข้างต้น สรุปได้ว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง แบบทดสอบที่ใช้วัดความรู้ความสามารถของนักเรียนเพื่อตัดสินผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนได้อย่างมี ประสิทธิภาพ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์แบ่งออกเป็น ๒ ประเภท คือ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ที่เป็น มาตรฐานและที่ครูสร้างขึ้นเอง การทดสอบในโรงเรียนโดยทั่วไปครูจะเป็นผู้สร้างแบบทดสอบขึ้นเอง ซึ่งแบบทดสอบที่นิยมใช้คือ แบบทดสอบอิงเกณฑ์และแบบทดสอบอิงกลุ่ม ๒.๕.๔ การสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน การสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เป็นสิ่งสำคัญมากที่จะทำให้การทดลองนั้น เป็นจริงได้มากที่สุด ซึ่งได้มีผู้กล่าวถึงวิธีการสร้างได้ดังนี้ บุญชม ศรีสะอาด (๒๕๔๕: ๕๙-๖๖) ได้อธิบายถึงการสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน โดยดำเนินการตามขั้นตอนดังต่อไปนี้ ๑. วิเคราะห์จุดประสงค์ เนื้อหาวิชา และทำตารางกำหนดลักษณะข้อสอบ ขั้นตอนแรก สุดจะต้องทำการวิเคราะห์ว่าเนื้อหาหรือหัวข้อที่จะสร้างข้อสอบวัดนั้น มีจุดประสงค์ของการสอน หรือ จุดประสงค์การเรียนรู้อะไรบ้าง ทำการวิเคราะห์เนื้อหาวิชาว่ามีโครงสร้างอย่างไร จัดเขียนหัวข้อใหญ่ หัวข้อย่อย ทุกหัวข้อ พิจารณาความเกี่ยวโยง ความสัมพันธ์ระหว่างเนื้อหาเหล่านั้น จากนั้นก็จัดทำตาราง กำหนดลักษณะข้อสอบ หรือที่เรียกว่าตารางวิเคราะห์หลักสูตร ตารางนี้มี ๒ มิติ คือ ด้านเนื้อหากับด้าน สมรรถภาพที่ต้องการวัด และพิจารณาว่าจะออกข้อสอบทั้งหมดกี่ข้อเขียนจำนวนข้อลงในช่องรวมช่อง
๕๖ สุดท้าย จากนั้นพิจารณาว่า หัวข้อเรื่องใดสำคัญมากน้อยเขียนลำดับความสำคัญลงไปแล้วกำหนดจำนวน ข้อที่จะวัดในแต่ละช่องขึ้นอยู่กับเรื่องนั้น ต้องการให้เกิดสมรรถภาพด้านใดมากน้อยกว่ากัน ๒. กำหนดรูปแบบของข้อคำถามและศึกษาวิธีเขียนข้อสอบ ทำการพิจารณาและ ตัดสินใจว่าจะใช้ข้อคำถามรูปแบบใด ศึกษาวิธีเขียนข้อสอบ หลักการเขียนข้อคำถาม ศึกษาวิธีเขียน ข้อสอบสมรรถภาพต่าง ๆ ศึกษาเทคโนโลยีในการเขียนข้อสอบเพื่อนำมาใช้เป็นหลักในการเขียนข้อสอบ ๓. เขียนข้อสอบ ลงมือเขียนข้อสอบ ใช้ตารางกำหนดลักษณะของข้อสอบที่จัดทำไว้ใน ขั้นที่ ๑ เป็นกรอบซึ่งทำให้สามารถออกข้อสอบวัดได้ครอบคลุมทุกหัวข้อเนื้อหา และทุกสมรรถภาพ ส่วนรูปแบบและเทคนิคในการเรียนข้อสอบยึดตามที่ได้ศึกษาในขั้นที่ ๒ ๔. ตรวจทานข้อสอบ นำข้อสอบที่ได้เขียนไว้ในขั้นที่ ๓ มาพิจารณาทบทวนอีกครั้งหนึ่ง โดยพิจารณาถึงความถูกต้องตามหลักวิชา พิจารณาว่าแต่ละข้อวัดในเนื้อหาและสมรรถภาพ ตามตาราง กำหนดลักษณะข้อสอบหรือไม่ ภาษาที่ใช้เขียนมีความเข้าใจง่ายเหมาะสมดีแล้วหรือไม่ตัวถูก ตัวลวงเหมาะสมเข้าหลักเกณฑ์หรือไม่ หลังการพิจารณาทบทวนเองแล้ว นำไปให้ผู้เชี่ยวชาญวัดผล และด้านเนื้อหาสาระ พิจารณาข้อบกพร่อง และนำเอาข้อวิจารณ์เหล่านั้นมาพิจารณาปรับปรุงแก้ไขให้ เหมาะสมยิ่งขึ้น ๕. พิมพ์แบบทดสอบฉบับบททดลอง นำข้อสอบทั้งหมดมาพิมพ์เป็นแบบทดสอบโดย จัดพิมพ์คำชี้แจงหรือคำอธิบายวิธีทำแบบทดสอบไว้ที่ปกของแบบทดสอบอย่างละเอียดและชัดเจน การจัดพิมพ์วางรูปแบบให้เหมาะสม ๖. ทดลองใช้ วิเคราะห์คุณภาพ และปรับปรุง นำแบบทดสอบไปทดลองกับกลุ่มที่คล้าย กับกลุ่มตัวอย่างที่จะสอบจริง ซึ่งได้เรียนในวิชาหรือเนื้อหาที่จะสอบแล้ว นำผลการสอบมาตรวจให้คะแนน ทำการวิเคราะห์หาค่าอำนาจจำแนก ค่าความยากของข้อสอบแต่ละข้อ โดยใช้วิธีการวิเคราะห์คุณภาพ คัดเลือกเอาข้อที่มีคุณภาพเข้าเกณฑ์ตามจำนวนที่ต้องการถ้าข้อที่เข้าเกณฑ์จำนวนมากกว่าที่ต้องการก็ตัด ข้อที่มีเนื้อหามากกว่าที่ต้องการ ซึ่งเป็นข้อที่มีอำนาจจำแนกต่ำสุดออกตามลำดับ นำเอาผลการสอบที่คิด เฉพาะข้อสอบที่เข้าเกณฑ์เหล่านั้นมาคำนวณหาค่าความเชื่อมั่น ๗. พิมพ์แบบทดสอบฉบับจริง นำข้อสอบที่มีอำนาจจำแนก และระดับความยาก เข้าเกณฑ์ตามจำนวนที่ต้องการในขั้นที่ ๖ มาพิมพ์เป็นแบบทดสอบฉบับที่จะใช้จริงซึ่งจะต้องมีคำชี้แจงวิธี ทำด้วย และในการพิมพ์นอกจากใช้รูปแบบที่เหมาะสมแล้วควรคำนึงถึงความประณีตถูกต้อง ซึ่งจะต้อง ตรวจทานให้ดี
๕๗ จากข้อความข้างต้นสามารถสรุปได้ว่า การสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนนั้น ควรจะสร้างตามลำดับขั้นตอน เริ่มจากการวิเคราะห์จุดประสงค์ เนื้อหาวิชาและทำตารางวิเคราะห์ข้อสอบ ที่กำหนดรูปแบบของข้อคำถามและศึกษาวิธีการเขียนข้อสอบ เขียนข้อสอบ ตรวจทานข้อสอบพิมพ์ แบบทดสอบฉบับทดลอง ทดลองใช้ วิเคราะห์คุณภาพและปรับปรุง และพิมพ์แบบทดสอบฉบับจริง ข้อควรคำนึงถึง อีกประการหนึ่ง คือ หลักในการเขียนข้อสอบแบบเลือกตอบ ซึ่งมีหลักการหรือกฎใน การเขียนข้อสอบแบบเลือกตอบ เช่น คำตอบที่ถูกต้อง จะต้องเป็นคำตอบที่ถูกต้องตามหลักวิชาจริง ๆ ใช้ตัวเลือกปลายเปิดให้เหมาะสม แต่ละข้อจะต้องมีคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคำตอบเดียว ๒.๖ งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การวิจัยเรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่อง สุภาษิตพระร่วง โดยใช้ กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ (G.I : GROUP INVESTIGATION) ร่วมกับแผนผังมโนทัศน์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ โรงเรียนปทุมเทพวิทยาคาร อำเภอเมือง จังหวัดหนองคาย ผู้วิจัยได้ ซึ่งษางานวิจัยที่เกี่ยวข้องซึ่งจะเป็นแนวทางในการทำวิจัยได้ ดังนี้ ๒.๖.๑ งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ (G.I) นิตยา ชังคมานนท์ (๒๕๕๙: ๕๔-๕๕) ได้ทำการศึกษาผลของการเรียนแบบร่วมมือโดย ใช้เทคนิคจีไอ ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และทักษะการทำงานร่วมกัน ในรายวิชา ส.๕๐๓ สังคม ศึกษา ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๕ โรงเรียนสิรินธรราชวิทยาลัย จังหวัดนครปฐม พบว่าผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนสูงขึ้น และนักเรียนเกิดทักษะในการทำงานร่วมกัน กระแส มิมะเนตร (๒๕๖๐: ๙๘) ได้ทำการศึกษาผลการสอนโดยวิธีสืบค้นที่มีต่อ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และความสามารถในการคิดวิเคราะห์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ โรงเรียนลำดวน จังหวัดสุรินทร์ ผลการศึกษาพบว่านักเรียนที่เรียนโดยวิธีสืบค้นเป็นกลุ่ม มีผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนสูงขึ้นก่อน และหลังเรียนแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .๐๑ นิคม สิงห์ทอง (๒๕๖๑) ได้ศึกษาการพัฒนาการเรียนรู้โดยใช้ชุดการจัดการ เรียนรู้เรื่อง วัฒนธรรมภูมิปัญญาของไทยและนานาประเทศประกอบกิจกรรมการเรียนร่วมมือ เทคนิคกลุ่มสืบค้น (G.I) กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ชั้นมัธยมปีที่ ๖ โรงเรียนท่าคันโท วิทยาคาร ผลการศึกษาค้นคว้าพบว่า ๑) แผนการจัดการเรียนรู้เรื่องวัฒนธรรมภูมิ ปัญญาของไทยและ นานาประเทศประกอบกิจกรรมการเรียนร่วมมือเทคนิคกลุ่มสืบค้น (GI) กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๖ มีประสิทธิภาพเท่ากับ ๘๑.๕๗๑๘๓.๒๔ ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์
๕๘ ๘๐/๘๐ ที่ตั้งไว้ ๒) ค่าดัชนีประสิทธิผลของแผนการเรียนรู้ เท่ากับ ๐.๖๕๐๐ ซึ่งแสดงว่า นักเรียนมี ความก้าวหน้าในการเรียนคิดเป็นร้อยละ ๖๕.๐๐ ๓ นักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ ๖ มีความพึงพอใจต่อ แผนการจัดการเรียนรู้เรื่องวัฒนธรรมภูมิปัญญาของไทยและนานาประเทศประกอบกิจกรรมการเรียน ร่วมมือเทคนิคกลุ่มสืบค้น (GI) กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคม ศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรมโดยรวมอยู่ใน ระดับมาก ศิวพร ตาใจ (๒๕๖๑: ๗๒) ได้ทำการศึกษาผลของการจัดการเรียนรู้แบบสืบค้นที่มีต่อ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความสามารถในการแก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์ของ นักเรียนชั้นประถมศึกษา ปีที่ ๔ พบว่านักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ ที่ได้รับการสอนโดยการ จัดการเรียนรู้แบบสืบค้นมีผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนและความสามารถในการแก้ปัญหาทาง วิทยาศาสตร์สูงกว่านักเรียนที่ได้รับการสอนแบบปกติ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .๐๑ สมจิต ขันธุปัทม์ (๒๕๖๒: ๘๙) ได้ทำการศึกษาผลการจัดการเรียนรู้สาระภูมิศาสตร์ เรื่องแผนที่ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม โดยใช้กิจกรรม กลุ่มร่วมมือเทคนิค G.I พบว่าแผน ๑) การจัดการเรียนรู้สาระภูมิศาสตร์ เรื่องแผนที่ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ โดยใช้กิจกรรมกลุ่มร่วมมือเทคนิค G.I มีประสิทธิภาพเท่ากับ ๘๕.๗๙.๘๑.๖๑ ซึ่ง เป็นไปตามเกณฑ์๘๐/ ๘๐ ที่กำหนดไว้ ๒) ดัชนีประสิทธิผลของแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้สาระ ภูมิศาสตร์ เรื่องแผนที่ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ โดยใช้กิจกรรมกลุ่มร่วมมือเทคนิค G.I มีค่าเท่ากับ ๐.๖๐๗๔ แสดงว่านักเรียนมี ความก้าวหน้าในการเรียนร้อยละ ๖๐.๗๔ ๓) นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ มีความพึงพอใจต่อการเรียนรู้ ด้วยกิจกรรมการเรียนรู้เรื่องแผนที่ โดยใช้กิจกรรมกลุ่มร่วมมือเทคนิค G.I โดยรวมอยู่ในระดับมาก จะเห็นได้ว่า การจัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการเรียนแบบร่วมมือ (G.I) สามารถ พัฒนาการเรียนในหลายวิชาเป็นไปในทางที่ดีขึ้นได้ในหลาย ๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็นด้านผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ของผู้เรียนซึ่งแสดงให้เห็นพัฒนาการทางด้านการเรียนรู้ที่เพิ่มขึ้นของผู้เรียนหลังจากที่ได้จัดกิจกรรมการ เรียนรู้โดยใช้กระบวนการเรียนแบบร่วมมือไปแล้ว และนอกจากนี้ยังช่วยแสดงให้เห็นถึงด้านความพึงพอใจ ของนักเรียนที่เป็นไปในทางที่ดีเพิ่มขึ้นอีกด้วย แสดงให้เห็นว่ากระบวนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ (G.I) มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลที่ดีต่อการนำมาเป็นแนวทางในการจัดการเรียนรู้ในแขนงวิชาอื่น ๆ ได้ ๒.๖.๒ งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับแผนผังมโนทัศน์ กัญญา ทิพย์ลาย (๒๕๔๕) ได้สร้างแบบฝึกการเขียนสรุปความจากบทร้อยแก้วสำหรับ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๕ โดยใช้ผังมโนทัศน์ เพื่อศึกษาประสิทธิภาพของแบบฝึกและผลสัมฤทธิ์ การเขียนสรุปความระหว่างก่อนใช้แบบฝึกและหลังใช้แบบฝึกโดยมีกลุ่มตัวอย่าง ๒๕ คน พบว่า
๕๙ แบบฝึกดังกล่าวมีประสิทธิภาพ ๘๑.๐๔/๘๐.๕๖ และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังใช้แบบฝึกสูงกว่าก่อนใช้ แบบฝึกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติระดับ ๐.๐๑ สมพร ขวาไทย (๒๕๔๗) ได้ทำการศึกษาประสิทธิภาพและประสิทธิผลของแผน การจัดการเรียนรู้เรื่อง ทักษะการเขียนจดหมายโดยใช้วิธีแผนผังความคิด วิชาภา ษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ พบว่าแผนการจัดกิจกรรมนี้มีประสิทธิภาพ ๙๐.๑๖/๘๙.๒๐ และนักเรียนมี ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเพิ่มขึ้นจากก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .๐๐๑ อาอีต๊ะ ยีเจ๊ะนิ (๒๕๔๘) ได้ทำการศึกษาผลการใช้แบบแผนผังมโนทัศน์ที่มีต่อการปรับ โครงสร้างความรู้และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๒ ที่ใช้ สองภาษา ผลการวิจัยพบว่า นักเรียนที่ใช้สองภาษาที่ได้รับการสอนแบบแผนผังมโนทัศน์ที่มีการปรับ โครงสร้างความรู้และมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญ ทางสถิติที่ระดับ .๐๐๑ กันญารัตน์ หนูชุม (๒๕๔๙) ได้ทำการศึกษาการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และความคงทนในการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ เรื่องตรีโกณมิติของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๔ ระหว่าง การจัดการเรียนรู้แบบจัดกรอบมโนทัศน์กับการจัดการเรียนรู้ปกติ ผลการวิจัยพบว่า นักเรียนที่ได้รับ การสอนโดยการจัดการเรียนรู้แบบจัดกรอบมโนทัศน์มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงกว่านักเรียนที่ได้รับ การสอนโดยการจัดการเรียนรู้ปกติ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .๐๕ จาการศึกษางานวิจัยเกี่ยวกับ การใช้แผนผังมโนทัศน์เห็นได้ว่า แผนผังมโนทัศน์มีส่วนใน การช่วยให้ผู้เรียนเกิดความเข้าใจในเนื้อหาและสามารถแยกองค์ประกอบของเนื้อหาออกเป็นส่วน ๆ ได้ ทำให้การจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้แผนผังมโนทัศน์ช่วยให้ผู้เรียนเกิดการพัฒนาโดยเฉพาะด้าน ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนซึ่งเห็นได้ชัด แสดงให้เห็นถึงคุณภาพของเครื่องมือที่ก่อให้เกิดผลในทางที่ดี ๒.๖.๓ งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับสุภาษิตพระร่วง โชษิตา มณีไส (๒๕๕๔) ได้ทำการศึกษา สุภาษิตพระร่วง : การศึกษาแง่ประวัติวรรณคดี ผลวิจัยพบว่า ว่าวรรณคดีเรื่อง สุภาษิตพระร่วง มีประวัติความเป็นมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย แต่ตัวบทได้รับ การพัฒนาเรื่อยมาจนถึงสมัยรัดนโกสินทร์เมื่อมีการนำไปจารึก หากพิจารณาด้วยแนวทางดังกล่าว วรรณคดีเรื่อง สุภาษิตพระร่วง ยังคงนับได้ว่าเป็นวรรณคดีสุโขทัยโดยไม่ต้องเปลี่ยนแปลงข้อมูลทางประวัติ วรรณคดีไทยเกี่ยวกับยุคสมัยที่แต่ง ส่วนตัวบทซึ่งเอื้อต่อการตีความและอาจนำไปใช้เป็นประโยชน์ได้ ทุกยุคทุกสมัยเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้วรรณคดีเรื่องนี้ดำรงคุณค่าเป็นที่ประจักษ์ตลอดมาอย่าง ไม่เปลี่ยนแปลง
๖๐ ชิดธิณัฐ คอมแพงจันทร์ (๒๕๖๐) ได้ทำการศึกษาวิเคราะห์คุณลักษณะความเป็นผู้นำที่ ปรากฏในสุภาษิตพระร่วง ผลการวิจัยพบว่า คุณลักษณะความเป็นผู้นำจากเรื่องสุภาษิตพระร่วงที่ปรากฏ เด่นชัด เช่น ๑. คุณลักษณะผู้นำด้านบุคลิกภาพ ซึ่งจะเป็นคน มีพลังสูง ที่ทนทานต่อความเครียดสูง มีความมั่นใจในตนเอง เชื่ออำนาจภายในตนเอง มีวุฒิภาวะทางด้านอารมณ์ มีความสัตย์ซื่อถือคุณธรรม ยึดมั่นในหลักการ ๒. คุณลักษณะผู้นำด้านแรงจูงใจของอำนาจทางสังคม ๓. คุณลักษณะด้าน ความสามารถ ได้แก่ มีทักษะด้านความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล มีทักษะด้านมโนทัศน์ มีทักษะด้านเทคนิค เฉพาะด้าน และมีทักษะในการเกลี้ยกล่อม ชักชวน ประพันธ์ กุลวินิจฉัย (๒๕๖๑) ได้ทำการศึกษาคุณค่าของสุภาษิตพระร่วงที่มีต่อ สังคมไทย ผลการวิจัยพบว่า สุภาษิตพระร่วงเป็นคำสอนที่มีลักษณะสอดคล้องกับหลักธรรมใน พระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นพระราชกุศโลบายของพระมหากษัตริย์ในการประยุกต์เป็นหลักการปกครอง บ้านเมือง และคุณค่าของสุภาษิตพระร่วงที่มีต่อการดำเนินชีวิตของสังคมไทย จะพบสุภาษิตที่เกี่ยวกับวิถี ชีวิตคนไทย เช่น ๑) เมื่อน้อยเรียนวิชา ๒) ให้หาสินมาเมื่อใหญ่ ๓) อย่าใฝ่เอาทรัพย์ท่าน ๔) อย่าริร่าน แก่ความ นอกจากนี้ยังพบหลักคำสอนที่ปรากฏในสุภาษิต ซึ่งสอดคล้องกับหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา เช่น ๑) สันโดษ ๒) วาจาสัตย์ ๓) เมตตา ๔) ริษยา ๕) โลภะ โดยที่สันโดษ วาจาสัตย์ และเมตตา จัดเป็น กุศลธรรมที่ควรเจริญให้เกิดปัญญา ส่วนริษยาและโลภะจัดเป็นอกุศลธรรมที่ควรละเพื่อมิให้เกิดทุกข์ จากการศึกษางานวิจัยเกี่ยวกับสุภาษิพระร่วงพบว่า สุภาษิตพระร่วงเป็นวรรณคดีที่สันนิษฐานว่า เกิดขึ้นในสมัยสุโขทัยซึ่งสังเกตจากหลักฐานจารึกที่ปรากฏให้เห็น ส่วนตัวบทของสุภาษิตพระร่วงนั้นมี ด้วยกันหลายฉบับ ซึ่งแต่ละฉบับก็จะปรับเปลี่ยนไปเพื่อให้เข้ากับแต่ละยุค แต่ยังคงสำนวนคำสอนเพื่อเป็น เครื่องมือใช้สั่งสอนประชาชนในการปฏิบัติตนเช่นเดิม ผลการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการวิจัยเรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาภาษาไทย เรื่อง สุภาษิตพระร่วง โดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ (G.I : GROUP INVESTIGATION) ร่วมกับแผนผังมโนทัศน์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ โรงเรียนปทุมเทพ วิทยาคาร อำเภอเมือง จังหวัดหนองคาย สรุปได้ว่า การจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการเรียน แบบร่วมมือ (G.I : GROUP INVESTIGATION) มีกระบวนการในการจัดกิจกรรมโดยแบ่งผู้เรียนออกเป็น กลุ่มเพื่อให้สมาชิกภายในกลุ่มชาวยเหลือกันเพื่อแสวงหาความรู้ ซึ่งในกิจกรรมแบบกลุ่มมีขั้นตอนใน การปฏิบัติทั้งหมด๖ ขั้นตอน คือ ๑. การเลือกหัวข้อเรื่องที่จะศึกษา ๒. การวางแผนร่วมมือกันใน การทำงาน ๓. การดำเนินงานตามแผนการที่วางไว้ ๔. การวิเคราะห์และสังเคราะห์งานที่ทำ ๕. การนำเสนอผลงาน และ ๖. การประเมินผล (EVALUATION) ซึ่งผู้วิจัยเล็งเห็นว่า การที่จะให้ผู้เรียน
๖๑ สามารถเข้าใจบทเรียนและจดจำได้ดีต้องมาจากการสรุปความคิดหรือใจความสำคัญของเรื่องออกมาได้ จึงได้มีการใช้แผนผังมโนทัศน์เข้ามาร่วมในการจัดกิจกรรม การเรียนรู้ ซึ่งรูปแบบของแผนผังมโนทัศน์มี ลักษณะดังนี้ ๑. มโนทัศน์หลัก ๒. มโนทัศน์รอง และ ๓.มโนทัศน์เฉพาะเจาะจงหรือตัวอย่าง เพื่อให้ การเรียนวรรณคดีเรื่อง สุภาษิตพระร่วง เป็นไปได้อย่างราบรื่นและเกิดการพัฒนาด้านผลสัมฤทธิ์ทาง การเรียนเป็นไปในด้านที่ดีขึ้น ผู้วิจัยจึงเล็งเห็นความสำคัญในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ และทำการวิจัย เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่อง สุภาษิตพระร่วง โดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้ แบบร่วมมือ (G.I : GROUP INVESTIGATION) ร่วมกับแผนผังมโนทัศน์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ ๑ โรงเรียนปทุมเทพวิทยาคาร อำเภอเมือง จังหวัดหนองคาย นี้ขึ้นมา
๖๒ ๒.๗ กรอบแนวคิดวิจัย จากการศึกษาแนวคิดทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการเรียนรู้แบบร่วมมือ (G.I : GROUP INVESTIGATION) ร่วมกับ แผนผังมโนทัศน์ในการจัดการเรียนรู้ ผู้วิจัยพบว่า ในการจัด การเรียนการสอนโดยใช้กระบวนการเรียนรู้แบบร่วมมือ (G.I : GROUP INVESTIGATION) นั้น มีหลักการ และขั้นตอนที่สำคัญ ๖ ขั้นตอน คือ ๑. การเลือกหัวข้อเรื่องที่จะศึกษา ๒. การวางแผนร่วมมือกันใน การทำงาน ๓. การดำเนินงานตามแผนการที่วางไว้ ๔. การวิเคราะห์และสังเคราะห์งานที่ทำ ๕. การนำเสนอผลงาน และ ๖. การประเมินผล นอกจากนั้น เพื่อให้การสอนสัมฤทธิ์ผล ผู้วิจัยจึงได้นำ การเขียนแผนผังมโนทัศน์เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการจัดการเรียนรู้ตามขั้นตอนดังกล่าว จึงสามารถเขียน กรอบแนวคิดของการวิจัยเรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่อง สุภาษิตพระร่วง โดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ (G.I : GROUP INVESTIGATION) ร่วมกับแผนผังมโนทัศน์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ โรงเรียนปทุมเทพวิทยาคาร อำเภอเมือง จังหวัดหนองคาย ได้ดังนี้ ตัวแปรต้น/ตัวแปรอิสระ - การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนวิชาภาษาไทย เรื่อง สุภาษิต พระร่วง โดยใช้กระบวนการจัด การเรียนรู้แบบร่วมมือ (G.I : Group investigation) - แผนผังมโนทัศน์ ตัวแปรตาม - ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่อง สุภาษิตพระร่วง ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ ๑ โรงเรียนปทุมเทพวิทยาคาร อำเภอเมือง จังหวัดหนองคาย ขั้นที่ ๑ การเลือกหัวข้อเรื่องที่จะศึกษา ขั้นที่ ๒ การวางแผนร่วมมือกันในการ ทำงาน ขั้นที่ ๓ การดำเนินงานตามแผนการที่วางไว้ ขั้นที่ ๔ การวิเคราะห์และสังเคราะห์งานที่ทำ แผนผังมโนทัศน์ ขั้นที่ ๕ การนำเสนอผลงาน ขั้นที่ ๖ การประเมินผล
๖๓ บทที่ ๓ วิธีดำเนินการวิจัย การศึกษาวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่อง สุภาษิตพระร่วง โดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ (G.I : GROUP INVESTIGATION) ร่วมกับ แผนผังมโนทัศน์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ โรงเรียนปทุมเทพวิทยาคาร อำเภอเมือง จังหวัดหนองคาย ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ ๘๐/๘๐ และเพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาภาษาไทย สุภาษิตพระร่วง โดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ (G.I : GROUP INVESTIGATION) ร่วมกับแผนผังมโนทัศน์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ ก่อนเรียนและหลังเรียน ผู้วิจัยจึงได้นำเสนอวิธีดำเนินการศึกษาตามหัวข้อ ดังนี้ ๓.๑ ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ๓.๒ แบบแผนการวิจัย ๓.๓ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ๓.๔ การสร้างและหาประสิทธิภาพของเครื่องมือ ๓.๕ การเก็บรวบรวมข้อมูล ๓.๖ การวิเคราะห์ข้อมูล ๓.๗ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ๓.๑ ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ๓.๑.๑ ประชากร ประชากรในการวิจัยครั้งนี้ เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑/๙ ๑/๑๐ ๑/๑๑ และ ๑/๑๒ โรงเรียนปทุมเทพวิทยาคาร อำเภอเมือง จังหวัดหนองคาย จำนวน ๑๖๑ คน ๓.๑.๒ กลุ่มตัวอย่าง กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยครั้งนี้ เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑/๑๑ โรงเรียนปทุมเทพ วิทยาคาร อำเภอเมือง จังหวัดหนองคาย จำนวน ๔๐ คน โดยใช้การสุ่มแบบกลุ่ม (CLUSTER RANDOM SAMPLING)
๖๔ ๓.๒ แบบแผนการวิจัย การศึกษาครั้งนี้มีแบบแผนการทดลอง (EXPERIMENTAL DESIGN) กลุ่มเดียวทดสอบก่อนและ หลังการทดลอง (ONE GROUP PRETEST – POSTTEST DESIGN) การวิจัยครั้งนี้เป็นการจัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ (G.I : GROUP INVESTIGATION) ร่วมกับแผนผังมโนทัศน์ โดยใช้แบบแผนการวิจัยแบบ ONE GROUP PRETEST - POSTTEST DESIGN (ล้วน สายยศ และอังคณา สายยศ, ๒๕๓๘: ๒๔๙) ซึ่งมีลักษณะแบบแผนการวิจัย ดังตารางต่อไปนี้ กลุ่ม สอบก่อน ทดลอง สอบหลัง E T๑ X T๒ ตารางที่ 7 รูปแบบการทดลองแบบกลุ่มตัวอย่างเดียว ทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน E แทน กลุ่มทดลอง (EXPERIMENTAL GROUP) T๑ แทน การทดสอบก่อนเรียน (PRETEST) X แทน วิธีการหรือสื่อนวัตกรรมที่เลือกใช้ T๒ แทน การทดสอบหลังเรียน (POSTTEST) ตัวแปรตาม แบบแผนการวิจัย หมายเหตุ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ONE GROUP PRETEST - POSTTEST DESIGNใช้แบบทดสอบฉบับเดิม ตารางที่ 8 แบบแผนการวิจัยจำแนกตามตัวแปรตาม ๓.๓ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ประกอบด้วย ๓.๓.๑ แผนการจัดการเรียนรู้วิชาภาษาไทย เรื่อง สุภาษิตพระร่วง โดยใช้กระบวนการจัด การเรียนรู้แบบร่วมมือ (G.I : GROUP INVESTIGATION) ร่วมกับแผนผังมโนทัศน์สำหรับนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ ๑ จำนวน ๕ แผน รวมเวลา ๕ ชั่วโมง
๖๕ ๓.๓.๒ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่อง สุภาษิตพระร่วง สำหรับ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ ชนิดตัวเลือก ๔ ตัวเลือก จำนวน ๒๐ ข้อ ๓.๓.๒.๑ แบบฝึกหัดท้ายแผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง สุภาษิตพระร่วง จำนวน ๕ แผน ๓.๓.๒.๒ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทยก่อนเรียนและหลังเรียน แบบตัวเลือก ๒๐ ข้อ ๓.๔ การสร้างและหาประสิทธิภาพของเครื่องมือ วิจัยกำหนดรายละเอียดของการสร้างและหาประสิทธิภาพของเครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา ดังนี้ ๓.๔.๑ แผนการจัดการเรียนรู้วิชาภาษาไทย เรื่อง สุภาษิตพระร่วง ผู้ศึกษาได้ดำเนิน การสร้าง ดังนี้ ๓.๔.๑.๑ ศึกษาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ ของสำนักงาน คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ เกี่ยวกับคุณภาพผู้เรียน ตัวชี้วัด มาตรฐานการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้แกนกลาง การวัดและการประเมินผลการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาไทย สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ ๓.๔.๑.๒ วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างเนื้อหา จุดประสงค์การเรียนรู้ เวลาที่ใช้และ มาตรฐาน การเรียนรู้ที่เกี่ยวข้องกับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ๓.๔.๑.๓ ศึกษาและวิเคราะห์แนวคิด ทฤษฎี และการจัดการเรียนเรียนรู้โดยใช้ กระบวนการแบบร่วมมือ (G.I : GROUP INVESTIGATION) และการใช้แผนผังมโนทัศน์ ๓.๔.๑.๔ ศึกษาหลักสูตรและโครงสร้างสถานศึกษาของโรงเรียนปทุมเทพวิทยาคาร กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ ๓.๔.๑.๕ กำหนดกิจกรรมการจัดการเรียนรู้ สื่อการจัดการเรียนรู้รวมทั้งการวัดผล และประเมินผลวการจัดการเรียนรู้แต่ละครั้ง โดยพิจารณาให้สอดคล้องกับเนื้อหา จุดประสงค์ และการเรียนรู้ตามรูปแบบของกระบวนการแบบร่วมมือ (G.I : GROUP INVESTIGATION) ร่วมกับแผนผัง มโนทัศน์ ๓.๔.๑.๖ ศึกษาเนื้อหาสาระ เรื่อง สุภาษิตพระร่วง ในหนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐาน ภาษาไทย วรรณคดีและวรรณกรรม ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ตามหลักสูตร แกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑
๖๖ ๓.๔.๑.๗ สร้างแผนการจัดการเรียนรู้ โดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ (G.I : GROUP INVESTIGATION) ร่วมกับแผนผังมโนทัศน์ จำนวน ๕ แผน รวม ๕ ชั่วโมง ดังนี้ ๑. ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับสุภาษิตพระร่วง ๑ ชั่วใมง ๒. การถอดคำประพันธ์สุภาษิตพระร่วง ๑ ชั่วโมง ๓. การวิเคราะห์คุณค่าด้านวรรณศิลป์ในสุภาษิตพระร่วง ๑ ชั่วโมง ๔. การวิเคราะห์คุณค่าด้านสังคมในสุภาษิตพระร่วง ๑ ชั่วโมง ๕. การวิเคราะห์คุณค่าด้านข้อคิดในสุภาษิตพระร่วง ๑ ชั่วโมง โดยแต่ละแผนประกอบด้วยสาระสำคัญ มาตรฐานการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้ จุดประสงค์การเรียนรู้ เนื้อหาในหน่วยการเรียนรู้ กิจกรรมการจัดการเรียนรู้ สื่อการจัดการเรียนรู้ และ การวัดการประเมินผลการเรียนรู้ โดยกิจกรรมการจัดการเรียนรู้เป็นไปตามรูปแบบการจัดการเรียนรู้ กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ (G.I : GROUP INVESTIGATION) ร่วมกับแผนผังมโนทัศน์ ซึ่งมีรายละเอียดเกี่ยวกับขั้นตอนการดำเนินกิจกรรมการเรียนรู้ ๖ ขั้นตอน ดังนี้ ขั้นที่ ๑ ผู้เรียนแต่ละกลุ่มเลือกหัวข้อเรื่องที่จะศึกษา ขั้นที่ ๒ ผู้เรียนแต่ละกลุ่มร่วมกันวางแผนสำหรับการทำงานตามประเด็นของ เรื่องที่ได้เลือก ขั้นที่ ๓ ผู้เรียนแต่ละกลุ่มดำเนินงานตามที่วางแผนกับภายในกลุ่มเพื่อแสวงหา ข้อมูลตามประเด็นต่าง ๆ เป็นลำดับขั้นตอน ขั้นที่ ๔ ผู้เรียนวิเคราะห์ข้อมูลที่รวบรวมมาได้และสังเคราะห์เป็นผลงานกลุ่ม ตามหัวข้อที่ได้เลือกออกมาในรูปแบบแผนผังมโนทัศน์ ขั้นที่ ๕ ผู้เรียนแต่ละกลุ่มออกมานำเสนอผลงานที่ได้สังเคราะห์ออกมาใน รูปแบบแผนผังมโนทัศน์ ขั้นที่ ๖ ผู้สอนประเมินผลการค้นคว้า การนำเสนอผลงาน ของผู้เรียนแต่ละกลุ่ม ๓.๔.๑.๘ ปรับปรุง และแก้ไขแผนการจัดการเรียนรู้ตามข้อเสนอแนะของผู้เชี่ยวชาญ ๓.๔.๑.๙ นำแผนการจัดการเรียนรู้ที่ปรับปรุงแก้ไขแล้วไปทดลองใช้กับนักเรียนที่กำลัง ศึกษา ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ โรงเรียนปทุมเทพวิทยาคาร ปีการศึกษา ๒/๒๕๖๖ ที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่าง ของการวิจัย และได้มาโดยการสุ่มอย่างง่าย จำนวน ๔ คน (ทดลองเดี่ยว) ซึ่งประกอบด้วยนักเรียนที่มี
๖๗ ความสามารถ อยู่ในระดับสูง ๑ คน ปานกลาง ๒ คน และอ่อน ๑ คน เพื่อตรวจสอบข้อบกพร่องและ ปรับปรุงแก้ไข เกี่ยวกับการใช้สำนวนภาษา ๓.๔.๑.๑๐ นำแผนการจัดการเรียนรู้ที่ปรับปรุงแก้ไขแล้วไปทดลองใช้กับนักเรียนที่กำลัง ศึกษา ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ โรงเรียนปทุมเทพวิทยาคาร ปีการศึกษา ๒/๒๕๖๖ ที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่าง ของการวิจัย และได้มาโดยการสุ่มอย่างง่าย จำนวน ๑๒ คน (ทดลองกลุ่มเล็ก) ประกอบด้วยนักเรียนที่มี ความสามารถอยู่ในระดับสูง ๓ คน ปานกลาง ๖ คน และต่ำ ๓ คน เพื่อหาข้อบกพร่องเกี่ยวกับเวลา สื่อการสอน ปริมาณเนื้อหา และชุดกิจกรรมในแต่ละแผนการจัดการเรียนรู้ จากนั้นปรับปรุงแก้ไข ให้สมบูรณ์ ๓.๔.๑.๑๑ นำแผนการจัดการเรียนรู้ที่ปรับปรุงแก้ไขแล้วเสนอผู้เชี่ยวชาญอีกครั้ง เพื่อตรวจสอบและปรับปรุงแก้ไขเป็นฉบับสมบูรณ์พร้อมนำใช้ในการทดลองกับกลุ่มตัวอย่างที่เป็นนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑/๑๑ จำนวน ๔๐ คน ๓.๔.๒ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่อง สุภาษิตพระร่วง แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่อง สุภาษิตพระร่วง ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ ๑ ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นเป็นแบบทดสอบปรนัยชนิดเลือกตอบมี ๔ ตัวเลือก มีขั้นตอนในการสร้างและหา ประสิทธิภาพ ดังนี้ ๓.๔.๒.๑ ศึกษาทฤษฎี วิธีสร้างเทคนิคการเขียนข้อสอบแบบเลือกตอบ คู่มือการจัด การเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ เรื่อง สุภาษิตพระร่วง ตามหลักสูตร การศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ ๓.๔.๒.๒ สร้างตารางวิเคราะห์จุดประสงค์การเรียนรู้และเนื้อหา ๓.๔.๒.๓ สร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่อง สุภาษิตพระ ร่วง แบบปรนัยชนิดเลือกตอบมี ๔ ตัวเลือก จำนวน ๒๐ ข้อ ให้ครอบคลุมเนื้อหาสาระและผลการเรียนรู้ ที่คาดหวัง ๓.๔.๒.๔ นำแบบทดสอบที่สร้างขึ้นเสนอต่อผู้เชี่ยวชาญจำนวน ๓ ท่าน ซึ่งเป็น ผู้เชี่ยวชาญด้านการสอนวิชาภาษาไทย การวิจัยและด้านการวัดผลและประเมินผล เพื่อตรวจสอบความ เที่ยงตรงเชิงเนื้อหาของแผนการจัดการเรียนรู้ โดยพิจารณาจากค่าดัชนีความสอดคล้อง (INDEX OF ITEM OBJECTIVE CONGRUENCE : IOC) ระหว่างจุดประสงค์การเรียนรู้ เนื้อหา กระบวน การจัดการเรียนรู้ และการวัดประเมินผล โดยให้ผู้เชี่ยวชาญแต่ละท่านพิจารณาตรวจสอบให้คะแนน ดังนี้
๖๘ - ให้คะแนนเป็น +๑ เมื่อแน่ใจว่าข้อสอบวัดได้สอดคล้องกับผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง - ให้คะแนนเป็น ๐ เมื่อไม่แน่ใจว่าข้อสอบวัดได้สอดคล้องกับผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง - ให้คะแนนเป็น -๑ เมื่อแน่ใจว่าข้อสอบวัดได้ไม่สอดคล้องกับผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง ๓.๔.๒.๕ นำผลการประเมินของผู้เชี่ยวชาญ วิเคราะห์หาค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่าง ข้อคำถามของแบบทดสอบกับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โดยหาค่า IOC ซึ่งที่ใช้ได้มีค่าได้ระหว่าง ๐.๖๗- ๑.๐๐ ทุกข้อ ๓.๔.๒.๖ นำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไปทดลอง (TRY OUT) กับนักเรียน ที่กำลังเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ โรงเรียนปทุมเทพวิทยาคาร ปีการศึกษา ๒๕๖๖ ที่เรียนวิชาภาษาไทย เรื่อง สุภาษิตพระร่วง ผ่านมาแล้วและไม่ใช่กลุ่มตัวอย่างของการวิจัย จำนวน ๓๐ คน แล้วนำคะแนนที่ ได้มาวิเคราะห์ หาค่าความยากง่าย (P) และค่าอำนาจจำแนก (R) เป็นรายข้อ ๓.๔.๒.๗ นำข้อสอบที่คัดเลือกแล้วจำนวน ๒๐ ข้อ ไปทดสอบเพื่อหาค่าความเชื่อมั่นของ แบบทดสอบทั้งฉบับ โดยใช้สูตรของคูเดอร์ - ริชาร์ดสัน KR-๒๐ ๓.๔.๒.๘ นำแบบทดสอบที่ได้ไปวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ ๑ ปีการศึกษา ๒/๒๕๖๖ โรงเรียนปทุมเทพวิทยาคาร ที่เป็นกลุ่มตัวอย่างในการทดลองภาคสนาม ต่อไป ๓.๕ การเก็บรวบรวมข้อมูล การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่อง สุภาษิตพระร่วง โดยใช้ กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ (G.I : GROUP INVESTIGATION) ร่วมกับแผนผังมโนทัศน์ โรงเรียนปทุมเทพวิทยาคาร อำเภอเมือง จังหวัดหนองคาย ผู้วิจัยมีขั้นตอนการเก็บรวบรวมข้อมูล ดังนี้ ๓.๕.๑ ศึกษาหลักสูตร วิเคราะห์หลักสูตร กำหนดจุดประสงค์การเรียนรู้และสาระ การเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ ตามหลักสูตรแกนการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. ๒๕๕๑ เกี่ยวกับเรื่อง สุภาษิตพระร่วง ๓.๕.๒ ศึกษาวิธีสร้างและเขียนแบบทดสอบประเภทเลือกตอบจากหนังสือการวัดผล การศึกษาของ (สมนึก ภัททิยธนี, ๒๕๔๙: ๒๐๒-๒๓๒) ๓.๕.๓ ติดต่อประสานงานกับครูในโรงเรียนเพื่อขอความร่วมมือในการศึกษาและทดลอง จัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ (G.I : GROUP INVESTIGATION) ร่วมกับ แผนผังมโนทัศน์ เรื่อง สุภาษิตพระร่วง
๖๙ ๓.๕.๔ เลือกนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ ที่กำลังศึกษาในภาคเรียนที่ ๒ ปีการศึกษา ๒๕๖๖ ๓.๕.๕ จัดทำแผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง สุภาษิตพระร่วง และประเมินความสอดคล้องเชิง เนื้อหา (IOC) ๓.๕.๖ สร้างแบบทดสอบ เรื่อง สุภาษิตพระร่วง และเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เพื่อตรวจสอบความถูกต้องและประเมินความเหมาะสมโดยผู้เชี่ยวชาญ ๓.๕.๗ สร้างและหาคุณภาพของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนผ่านเกณฑ์ คัดเลือกคุณภาพ มีค่า IOC ค่าความยาก ค่าอำนาจจำแนก และค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับ ๓.๕.๘ ก่อนการทดลองให้นักเรียนทำแบบทดสอบ (PRE-TEST) วัดผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนวิชาภาษาไทย เรื่อง สุภาษิตพระร่วง ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ เพื่อนำคะแนนมาวิเคราะห์เป็นคะแนน ก่อนเรียน ๓.๕.๙ ดำเนินการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ (G.I : GROUP INVESTIGATION) ร่วมกับแผนผังมโนทัศน์ เรื่อง สุภาษิตพระร่วง ที่เป็นกลุ่มตัวอย่าง โดยผู้วิจัย และผู้ช่วยนักวิจัยเป็นผู้ออกแบบ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้เอง ใช้เวลา ๕ ชั่วโมง โดยผู้วิจัยดำเนินการจัด กิจกรรมการเรียนรู้กับนักเรียนกลุ่มตัวอย่าง โดยใช้การจัดการเรียนรู้ด้วยกระบวนการจัดการเรียนรู้แบบ ร่วมมือ (G.I : GROUP INVESTIGATION) ร่วมกับแผนผังมโนทัศน์ และแผนการจัดการเรียนรู้เรื่อง สุภาษิตพระร่วง จำนวน ๕ แผน รวม ๕ ชั่วโมง โดยระหว่างการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ครูผู้สอนและผู้ช่วย ผู้วิจัยจะทำการสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนไปด้วย ๓.๕.๑๐ เมื่อสิ้นสุดการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ทำการทดสอบหลังเรียน (POST-TEST) กับนักเรียนกลุ่มเดิมในโรงเรียน ด้วยแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ซึ่งแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนภาษาไทย เป็นเอกสารทั้งสองฉบับเป็นชุดเดียวกันกับที่ใช้ทดสอบก่อน ๓.๕.๑๑ เมื่อสิ้นสุดการทดลองสอนแล้ว นำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา ภาษาไทย เรื่อง สุภาษิตพระร่วง ชุดเดิมไปทดสอบนักเรียนอีกครั้ง จากนั้นนำผลที่ได้ไปวิเคราะห์ข้อมูล ทางสถิติต่อไป ๓.๕.๑๒ หาประสิทธิภาพการจัดการเรียนรู้ ๓.๕.๑๓ นำคะแนนจากการตรวจแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและแบบประเมิน ทักษะการอ่านจับใจความ มาวิเคราะห์ข้อมูลโดยวิธีทางสถิติ เพื่อตรวจสอบสมมติฐาน
๗๐ ๓.๖ การวิเคราะห์ข้อมูล การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่อง สุภาษิตพระร่วง โดยใช้ กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ (G.I : Group Investigation) ร่วมกับแผนผังมโนทัศน์สำหรับ นักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ โรงเรียนปทุมเทพวิทยาคาร อำเภอเมือง จังหวัดหนองคาย ได้ดำเนินการ การวิเคราะห์ข้อมูล ดังนี้ ๓.๖.๑ วิเคราะห์หาประสิทธิภาพของการจัดการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่อง สุภาษิตพระร่วง โดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ (G.I : Group Investigation) ร่วมกับแผนผังมโนทัศน์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ เรื่อง ตามเกณฑ์ ๘๐/๘๐ ด้วยค่าประสิทธิภาพของกระบวนการ และประสิทธิภาพของผลลัพธ์ (E๑/E๒) ๓.๖.๒ ศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่อง สุภาษิตพระร่วง ชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ ๑ โดยการหาคะแนนเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและร้อยละ ๓.๖.๓ วิเคราะห์เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาไทยของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ ๑ เรื่อง สุภาษิตพระร่วง โดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ (G.I : Group Investigation) ร่วมกับแผนผังมโนทัศน์ก่อนเรียนและหลังเรียนมาคิดคะแนนเป็นร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน (S.D.) แล้วนำคะแนนมาทดสอบสมมติฐานโดยใช้สถิติ t-test Dependent Sample (พวงรัตน์ ทวีรัตน์, ๒๕๔๓: ๑๖๕-๑๖๗) ๓.๗ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ในการวิเคราะห์ข้อมูลผู้วิจัยเลือกใช้สถิติ ดังนี้ ๓.๗.๑ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์หาคุณภาพเครื่องมือ ๓.๗.๑.๑ การหาค่าความเที่ยงตรง (Validity) ของแผนการจัดการเรียนรู้วิชาภาษาไทย เรื่อง สุภาษิตพระร่วง โดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ (G.I : Group Investigation) ร่วมกับ แผนผังมโนทัศน์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบบประเมิน ทักษะ โดยใช้สูตรดัชนีความสอดคล้อง IOC ดังนี้ (สมนึก ภัททิยธนี, ๒๕๕๘: ๒๒๐-๒๒๑) IOC = N R เมื่อ IOC แทน ดัชนีความสอดคล้องระหว่างจุดประสงค์กับเนื้อหา หรือระหว่างข้อสอบกับจุดประสงค์
๗๑ Σ แทน ผลรวมของคะแนนผู้เชี่ยวชาญ N แทน จำนวนของผู้เชี่ยวชาญ ๓.๗.๑.๒ การหาค่าความยากและค่าอำนาจจำแนกแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน ซึ่งเป็นแบบทดสอบแบบอิงกลุ่ม โดยใช้สูตร ดังนี้ (สมนึก ภัททิยธนี, ๒๕๕๘: ๑๙๕) P = R N r = Ru−Rl f เมื่อ P แทน ค่าความยาก R แทน ค่าอำนาจจำแนก R แทน จำนวนผู้ตอบถูกทั้งหมด (Ru+Rl) N แทน จำนวนคนในกลุ่มสูงและกลุ่มต่ำ (ซึ่งเท่ากับ ๒f) f แทน จำนวนคนในกลุ่มสูงหรือกลุ่มต่ำ Ru แทน จำนวนคนในกลุ่มสูงที่ตอบข้อนั้นถูก Rl แทน จำนวนคนในกลุ่มต่ำที่ตอบข้อนั้นถูก ๓.๗.๑.๓ การหาค่าความเชื่อมั่นแบบทดสอบวัดวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิเคราะห์ค่า ความเชื่อมั่นด้วยสูตร KR-๒๐ ดังนี้ (สมนึก ภัททิยธนี, ๒๕๕๘: ๒๒๓) KR – ๒๐ : rtt = −๑ [๑ − ∑ ๒ ] เมื่อ rtt แทนค่า ความเชื่อมั่นของแบบทดสอบทั้งฉบับ n แทนค่า จำนวนข้อของแบบทดสอบทั้งฉบับ P แทนค่า อัตราส่วนของผู้ตอบถูกในข้อนั้น q แทนค่า อัตราส่วนของผู้ตอบผิดในข้อนั้น ๒ แทนค่า ความแปรปรวนของคะแนนทั้งฉบับ
๗๒ ๓.๗.๒ สถิติพื้นฐาน ๓.๗.๒.๑ ร้อยละ (Percentage) มีสูตรคำนวณ ดังนี้(สมบัติ ท้ายเรือคำ, ๒๕๕๓: ๒๙) 100 N f p = เมื่อ p แทน ร้อยละ f แทน ความถี่ที่ต้องการแปลงให้เป็นร้อยละ N แทน จำนวนความถี่ทั้งหมด ๓.๗.๒.๒ ค่าเฉลี่ย (Mean) มีสูตรคำนวณ ดังนี้(สมบัติ ท้ายเรือคำ, ๒๕๕๓: ๒๙) N x X = เมื่อ X แทน ค่าเฉลี่ย x แทน ผลรวมของคะแนนทั้งหมดในกลุ่ม N แทน จำนวนคะแนนในกลุ่ม ๓.๗.๒.๓ ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) มีสูตรคำนวณ ดังนี้ (สมบัติ ท้ายเรือคำ, ๒๕๕๓: ๑๒๓) ( ) N(N 1) N X X S.D. 2 2 − − = เมื่อ S.D. แทน ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน x แทน ผลรวมของคะแนนทั้งหมด X แทน คะแนนแต่ละตัว N แทน จำนวนคะแนนในกลุ่ม
๗๓ ๓.๗.๓ การวิเคราะห์หาประสิทธิภาพและดัชนีประสิทธิผล ของการจัดการเรียนรู้วิชาภาษาไทย เรื่อง สุภาษิตพระร่วง โดยใช้กระบวนการเรียนรู้แบบร่วมมือ (G.I : Group Investigation) ร่วมกับแผนผัง มโนทัศน์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ โรงเรียนปทุมเทพวิทยาคาร ๓.๗.๓.๑ หาค่าประสิทธิภาพของการจัดการเรียนรู้(E๑/E๒) ตามเกณฑ์ ๘๐/๘๐ การหาค่า E๑ และ E๒ ใช้สูตร ดังนี้(เผชิญ กิจระการ, ๒๕๔๔: ๔๙) 100 A N X E1 = เมื่อ E1 แทน ประสิทธิภาพของกระบวนการ x แทน คะแนนรวมของแบบฝึกหัดหรือ แบบทดสอบย่อยทุกชุดรวมกัน A แทน คะแนนเต็มของแบบฝึกหัดทุกชุดรวมกัน N แทน จำนวนนักเรียนทั้งหมด 100 B N x E2 = เมื่อ E2 แทน ประสิทธิภาพของผลลัพธ์ x แทน คะแนนรวมของแบบแบบทดสอบหลังเรียน B แทน คะแนนเต็มของแบบทดสอบหลังเรียน N แทน จำนวนนักเรียนทั้งหมด ๘๐ ตัวแรก หมายถึง ร้อยละของคะแนนเฉลี่ยของนักเรียนทั้งหมดที่ได้จาก กิจกรรมกลุ่ม การปฏิบัติการทดลองและการทดสอบย่อยด้วยการจัดการเรียนรู้วิชาภาษาไทย เรื่อง สุภาษิตพระร่วง ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ ซึ่งต้องได้คะแนนเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า ร้อยละ ๘๐ ๘๐ ตัวหลัง หมายถึง ร้อยละของคะแนนเฉลี่ยของนักเรียนทั้งหมดที่ได้จาก แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หลังเรียนรู้ตามการจัดการเรียนรู้วิชาภาษาไทย เรื่อง สุภาษิตพระร่วง ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ ซึ่งต้องได้คะแนนเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า ร้อยละ ๘๐
๗๔ ๓.๗.๓.๒ การหาค่าดัชนีประสิทธิผลของแผนการจัดการเรียนรู้(E.I) ใช้สูตร ดังนี้ (เผชิญ กิจระการ, ๒๕๔๔ : ๔๙) ดัชนีประสิทธิผล = คะแนนรวมจากแบบทดสอบหลังเรียน – คะแนนรวมจากแบบทดสอบก่อนเรียน ผลคูณของคะแนนเต็มกับจำนวนคน – คะแนนรวมจากแบบทดสอบก่อนเรียน ๓.๗.๔ สถิติที่ใช้ทดสอบสมมติฐาน ๓.๗.๔.๑ การเปรียบเทียบทักษะหลังเรียนกับเกณฑ์ ใช้สูตรคำนวณหาค่า t-test แบบ One Samples (พวงรัตน์ ทวีรัตน์, ๒๕๔๓: ๑๖๕-๑๖๗) n S X μ t − = เมื่อ t แทน ค่าสถิติที่จะใช้เปรียบเทียบกับค่าวิกฤต เพื่อทราบนัยสำคัญ X แทน ค่าเฉลี่ยของกลุ่มตัวอย่าง n แทน จำนวนคะแนนในแต่ละกลุ่ม S แทน ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน μ แทน ค่าเฉลี่ยของประชากร ๓.๗.๔.๒ การเปรียบเทียบคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาไทยก่อนเรียนและ หลังเรียน โดยใช้สูตรคำนวณหาค่า t-test แบบ Dependent Samples (บุญชม ศรีสะอาด, ๒๕๕๖: ๖๘) (N 1) N D ( D) D t 2 2 − − = เมื่อ t แทน ค่าสถิติที่จะใช้เปรียบเทียบกับค่าวิกฤต เพื่อทราบนัยสำคัญ D แทน ความแตกต่างระหว่างคะแนนแต่ละคู่ N แทน จำนวนกลุ่มตัวอย่างหรือจำนวนคู่ แทน ผลรวม df แทน ความเป็นอิสระมีค่าเท่ากับ N – ๑
๗๕ บทที่ ๔ ผลการวิเคราะห์ข้อมูล การวิจัย เรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่อง สุภาษิตพระร่วง โดยใช้ กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ (G.I : Group Investigation) ร่วมกับแผนผังมโนทัศน์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ โรงเรียนปทุมเทพวิทยาคาร อำเภอเมือง จังหวัดหนองคาย ผู้วิจัย นำเสนอผลการวิเคราะห์ตามวัตถุประสงค์ของการวิจัยดังต่อไปนี้ ๑.) เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่อง สุภาษิตพระร่วง โดยใช้กระบวน การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ (G.I : Group Investigation) ร่วมกับแผนผังมโนทัศน์ สำหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ โรงเรียนปทุมเทพวิทยาคาร อำเภอเมือง จังหวัดหนองคาย ที่มีประสิทธิภาพตาม เกณฑ์ ๘๐/๘๐ ๒.) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย ก่อนเรียนและหลังเรียน เรื่อง สุภาษิตพระร่วง โดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบกลุ่ม (G.I : Group Investigation) ร่วมกับ แผนผังมโนทัศน์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ โรงเรียนปทุมเทพวิทยาคาร อำเภอเมือง จังหวัดหนองคาย การวิจัย เรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่อง สุภาษิตพระร่วง โดยใช้ กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ (G.I : Group Investigation) ร่วมกับแผนผังมโนทัศน์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ โรงเรียนปทุมเทพวิทยาคาร อำเภอเมือง จังหวัดหนองคาย ผู้วิจัยได้ เสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลตามลำดับ ดังนี้ ๔.๑ ลำดับขั้นตอนการนำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล ๔.๒ ผลการวิเคราะห์ข้อมูล ๔.๑ ลำดับขั้นตอนการนำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยได้ดำเนินการตามลำดับ ดังนี้ ตอนที่ ๑ ผลการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่อง สุภาษิต พระร่วง โดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ (G.I : Group Investigation) ร่วมกับแผนผังมโน ทัศน์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ โรงเรียนปทุมเทพวิทยาคาร อำเภอเมือง จังหวัดหนองคาย ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ ๘๐/๘๐
๗๖ ตอนที่ ๒ ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน รายวิชาภาษาไทย เรื่อง สุภาษิตพระร่วง โดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบกลุ่ม (G.I : Group Investigation) ร่วมกับแผนผังมโนทัศน์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ โรงเรียนปทุมเทพวิทยาคาร อำเภอเมือง จังหวัดหนองคาย ๔.๒ ผลการวิเคราะห์ข้อมูล ตอนที่ ๑ ผลการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่อง สุภาษิต พระร่วง โดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ (G.I : Group Investigation) ร่วมกับแผนผังมโน ทัศน์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ โดยการหาร้อยละ (Percentage) ค่าเฉลี่ย (̅) และส่วน เบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) แล้วเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่อง สุภาษิตพระร่วง ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ กับเกณฑ์ที่กำหนดไว้ ร้อยละ ๘๐/๘๐ ตารางที่ ๙ การแสดงประสิทธิภาพกระบวนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ โดยใช้แผนการจัด การเรียนรู้วิชาภาษาไทย เรื่อง สุภาษิตพระร่วง ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ ที่จัดการเรียนรู้ โดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ (G.I : Group Investigation) ร่วมกับแผนผังมโนทัศน์ จำนวน ๔๐ คน ดังนี้ เลขที่ ก่อนเรียน (๒๐) คะแนนระหว่างเรียน รวม ระหว่าง เรียน (๕๐) หลังเรียน (๒๐) แผนที่ ๑ (๑๐) แผนที่ ๒ (๑๐) แผนที่ ๓ (๑๐) แผนที่ ๔ (๑๐) แผนที่ ๕ (๑๐) ๑. ๗ ๘ ๘ ๙ ๙ ๙ ๔๓ ๑๖ ๒. ๗ ๗ ๗ ๙ ๘ ๙ ๔๐ ๑๖ ๓. ๘ ๗ ๗ ๙ ๙ ๑๐ ๔๒ ๑๗ ๔. ๖ ๗ ๘ ๘ ๙ ๙ ๔๑ ๑๖ ๕. ๘ ๖ ๘ ๙ ๙ ๑๐ ๔๒ ๑๘ ๖. ๑๐ ๘ ๘ ๘ ๙ ๑๐ ๔๓ ๑๙ ๗. ๗ ๖ ๗ ๙ ๙ ๙ ๔๐ ๑๖ ๘. ๘ ๗ ๘ ๘ ๘ ๑๐ ๔๑ ๑๘ ๙. ๙ ๗ ๘ ๙ ๙ ๑๐ ๔๓ ๑๘
๗๗ เลขที่ ก่อนเรียน (๒๐) คะแนนระหว่างเรียน รวม ระหว่าง เรียน (๕๐) หลังเรียน (๒๐) แผนที่ ๑ (๑๐) แผนที่ ๒ (๑๐) แผนที่ ๓ (๑๐) แผนที่ ๔ (๑๐) แผนที่ ๕ (๑๐) ๑๐. ๙ ๗ ๘ ๘ ๙ ๑๐ ๔๒ ๑๗ ๑๑. ๑๑ ๙ ๙ ๙ ๘ ๙ ๔๔ ๑๙ ๑๒. ๗ ๗ ๗ ๙ ๙ ๙ ๔๑ ๑๖ ๑๓. ๙ ๗ ๘ ๘ ๙ ๑๐ ๔๒ ๑๗ ๑๔. ๗ ๖ ๘ ๙ ๙ ๙ ๔๑ ๑๗ ๑๕. ๖ ๖ ๗ ๘ ๙ ๙ ๓๙ ๑๖ ๑๖. ๗ ๖ ๗ ๙ ๙ ๑๐ ๔๑ ๑๗ ๑๗. ๗ ๖ ๗ ๘ ๘ ๑๐ ๓๙ ๑๗ ๑๘. ๘ ๗ ๘ ๙ ๘ ๑๐ ๔๒ ๑๘ ๑๙. ๘ ๗ ๘ ๘ ๙ ๑๐ ๔๒ ๑๘ ๒๐. ๗ ๖ ๗ ๙ ๙ ๙ ๔๐ ๑๖ ๒๑. ๘ ๘ ๙ ๑๐ ๑๐ ๔๔ ๑๗ ๒๒. ๗ ๖ ๗ ๘ ๑๐ ๑๐ ๔๑ ๑๖ ๒๓. ๑๐ ๙ ๗ ๙ ๑๐ ๑๐ ๔๕ ๑๘ ๒๔. ๑๐ ๘ ๗ ๘ ๙ ๑๐ ๔๒ ๑๙ ๒๕. ๗ ๗ ๖ ๙ ๙ ๙ ๔๐ ๑๘ ๒๖. ๗ ๗ ๘ ๘ ๑๐ ๑๐ ๔๓ ๑๗ ๒๗. ๖ ๗ ๑๐ ๙ ๘ ๙ ๔๓ ๑๖ ๒๘. ๘ ๘ ๘ ๘ ๘ ๑๐ ๔๒ ๑๘ ๒๙. ๘ ๑๐ ๘ ๙ ๙ ๙ ๔๕ ๑๗ ๓๐. ๗ ๗ ๗ ๑๐ ๑๐ ๑๐ ๔๔ ๑๗ ๓๑. ๘ ๘ ๘ ๙ ๙ ๑๐ ๔๔ ๑๘ ๓๒. ๙ ๘ ๗ ๘ ๑๐ ๙ ๔๒ ๑๙ ๓๓. ๖ ๗ ๗ ๗ ๑๐ ๑๐ ๔๑ ๑๖
๗๘ เลขที่ ก่อนเรียน (๒๐) คะแนนระหว่างเรียน รวม ระหว่าง เรียน (๕๐) หลังเรียน (๒๐) แผนที่ ๑ (๑๐) แผนที่ ๒ (๑๐) แผนที่ ๓ (๑๐) แผนที่ ๔ (๑๐) แผนที่ ๕ (๑๐) ๓๔. ๘ ๗ ๗ ๗ ๙ ๑๐ ๔๐ ๑๗ ๓๕. ๗ ๗ ๗ ๘ ๑๐ ๙ ๔๑ ๑๗ ๓๖. ๙ ๗ ๘ ๗ ๙ ๑๐ ๔๑ ๑๗ ๓๗. ๘ ๗ ๘ ๘ ๑๐ ๑๐ ๔๓ ๑๘ ๓๘. ๗ ๗ ๘ ๘ ๑๐ ๙ ๔๒ ๑๖ ๓๙. ๘ ๘ ๗ ๘ ๙ ๑๐ ๔๒ ๑๘ ๔๐ ๙ ๙ ๗ ๑๐ ๑๐ ๑๐ ๔๖ ๑๗ รวม ๓๑๓ ๒๘๘ ๓๐๓ ๓๓๙ ๓๖๔ ๓๘๕ ๑๖๗๙ ๖๘๘ ̅๗.๘๓ ๗.๒๐ ๗.๕๘ ๘.๔๘ ๙.๑๐ ๙.๖๓ ๔๑.๙๘ ๑๗.๒๐ S.D. ๑.๒๐ ๐.๘๕ ๐.๕๕ ๐.๖๐ ๐.๖๗ ๐.๔๘ ๑.๖๒ ๐.๙๗ ร้อยละ ๓๙.๑๓ ๗๒.๐๐ ๗๕.๗๕ ๘๔.๗๕ ๙๑.๐๐ ๙๖.๒๕ ๘๓.๙๕ ๘๖.๐๐ จากตารางที่ ๙ แสดงให้เห็นว่านักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑/๑๑ ที่เรียนวิชาภาษาไทย เรื่อง สุภาษิตพระร่วง สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ ที่จัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการจัด การเรียนรู้แบบร่วมมือ (G.I : Group Investigation) ร่วมกับแผนผังมโนทัศน์ได้คะแนนเฉลี่ยก่อนเรียน จากการทำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเท่ากับ ๗.๘๓ คิดเป็นร้อยละ ๓๙.๑๓ โดยมีส่วน เบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ ๑.๒๐ ส่วนคะแนนเฉลี่ยระหว่างเรียนได้จากการทำแบบฝึกทักษะเท่ากับ ๔๑.๙๘ คิดเป็นร้อยละ ๘๓.๙๕ โดยมีส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ ๑.๖๒ และได้คะแนนเฉลี่ยหลังเรียน จากการทำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเท่ากับ ๑๗.๒๐ คิดเป็นร้อยละ ๘๖.๐๐ โดยมีส่วน เบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ ๐.๙๗
๗๙ ตารางที่ ๑๐ แสดงประสิทธิภาพของผลการจัดการเรียนรู้วิชาภาษาไทย เรื่อง สุภาษิตพระร่วง สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑/๑๑ จำนวน ๔๐ คน จำนวน นักเรียน (N) คะแนนแบบฝึกทักษะ (E๑) คะแนนทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หลังเรียน (E๒) คะแนนเต็ม คะแนน เฉลี่ย ร้อยละ คะแนนเต็ม คะแนนเฉลี่ย ร้อยละ ๔๐ ๕๐ ๔๑.๙๘ ๘๓.๙๕ ๒๐ ๑๗.๒๐ ๘๖.๐๐ จากตารางที่ ๑๐ แสดงให้เห็นว่าผลการจัดการเรียนรู้นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑/๑๑ ที่เรียนวิชาภาษาไทย เรื่อง สุภาษิตพระร่วง สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ ที่จัดการเรียนรู้ โดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ (G.I : Group Investigation) ร่วมกับแผนผังมโนทัศน์ มีประสิทธิภาพเท่ากับ ๘๓.๙๕/๘๖.๐๐ แสดงว่าการจัดการเรียนรู้รายวิชาภาษาไทย เรื่อง สุภาษิต พระร่วง สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ ที่จัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้ แบบร่วมมือ (G.I : Group Investigation) ร่วมกับแผนผังมโนทัศน์ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น มีประสิทธิภาพผ่าน เกณฑ์มาตรฐานที่ตั้งไว้ E๑/E๒ = ๘๐/๘๐ และสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐาน ตอนที่ ๒ ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน เรื่อง สุภาษิตพระร่วง สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ ที่จัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการจัด การเรียนรู้แบบร่วมมือ (G.I : Group Investigation) ร่วมกับแผนผังมโนทัศน์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ ๑/๑๑ จำนวน ๔๐ คน โดยได้คะแนนจากการทำแบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน สำหรับการเก็บ รวบรวมข้อมูลครั้งนี้ ผู้วิจัยให้นักเรียนกลุ่มตัวอย่างทำแบบทดสอบก่อนเข้าสู่บทเรียนเพื่อตรวจสอบความรู้ พื้นฐานเกี่ยวกับรายวิชาภาษาไทย เรื่อง สุภาษิตพระร่วง และทำแบบทดสอบหลังเรียนหลังจากการใช้ แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง สุภาษิตพระร่วง สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ ที่จัดการเรียนรู้ โดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ (G.I : Group Investigation) ร่วมกับแผนผังมโนทัศน์ โดยใช้แบบทดสอบเป็นฉบับเดียวกันทั้งก่อนเรียนและหลังเรียน จากนั้นได้นำคะแนนของผู้เรียน มาวิเคราะห์ซึ่งปรากฏผลดังตารางต่อไปนี้
๘๐ ตารางที่ ๑๑ แสดงผลรวมคะแนนเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และร้อยละของคะแนน ก่อนเรียน และหลังเรียนรายวิชาภาษาไทย เรื่อง สุภาษิตพระร่วง ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ ที่จัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ (G.I : Group Investigation) ร่วมกับแผนผัง มโนทัศน์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑/๑๑ จำนวน ๔๐ คน เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทาง การเรียนระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน เลขที่ คะแนนก่อนเรียน (๒๐) คะแนนหลังเรียน (๒๐) ผลต่างคะแนน (D) ๑ ๗ ๑๖ ๙ ๒ ๗ ๑๖ ๙ ๓ ๘ ๑๗ ๙ ๔ ๖ ๑๖ ๑๐ ๕ ๘ ๑๘ ๑๐ ๖ ๑๐ ๑๙ ๙ ๗ ๗ ๑๖ ๙ ๘ ๘ ๑๘ ๑๐ ๙ ๙ ๑๘ ๘ ๑๐ ๙ ๑๗ ๗ ๑๑ ๑๑ ๑๙ ๘ ๑๒ ๗ ๑๖ ๙ ๑๓ ๙ ๑๗ ๘ ๑๔ ๗ ๑๗ ๑๐ ๑๕ ๖ ๑๖ ๑๐ ๑๖ ๗ ๑๗ ๑๐ ๑๗ ๗ ๑๗ ๑๐ ๑๘ ๘ ๑๘ ๑๐ ๑๙ ๘ ๑๘ ๑๐ ๒๐ ๗ ๑๖ ๙ ๒๑ ๘ ๑๗ ๙ ๒๒ ๗ ๑๖ ๙
๘๑ เลขที่ คะแนนก่อนเรียน (๒๐) คะแนนหลังเรียน (๒๐) ผลต่างคะแนน (D) ๒๓ ๑๐ ๑๘ ๘ ๒๔ ๑๐ ๑๙ ๙ ๒๕ ๗ ๑๘ ๑๑ ๒๖ ๗ ๑๗ ๑๐ ๒๗ ๖ ๑๖ ๑๐ ๒๘ ๘ ๑๘ ๑๐ ๒๙ ๘ ๑๗ ๙ ๓๐ ๗ ๑๗ ๑๐ ๓๑ ๘ ๑๘ ๑๐ ๓๒ ๙ ๑๙ ๑๐ ๓๓ ๖ ๑๖ ๑๐ ๓๔ ๘ ๑๗ ๙ ๓๕ ๗ ๑๗ ๑๐ ๓๖ ๙ ๑๗ ๘ ๓๗ ๘ ๑๘ ๑๐ ๓๘ ๗ ๑๖ ๙ ๓๙ ๘ ๑๘ ๑๐ ๔๐ ๙ ๑๗ ๘ รวม ๓๑๓ ๖๘๘ ๓๔๑ ̅๗.๘๓ ๑๗.๒๐ - S.D. ๑.๒๐ ๐.๙๗ - ร้อยละ ๓๙.๑๓ ๘๖.๐๐ - จากตารางที่ ๑๑ แสดงให้เห็นว่าผลการจัดการเรียนรู้รายวิชาภาษาไทย เรื่อง สุภาษิตพระร่วง สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ ที่จัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ (G.I : Group Investigation) ร่วมกับแผนผังมโนทัศน์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑/๑๑ ได้คะแนนทดสอบ ก่อนเรียนเฉลี่ยเท่ากับ ๗.๘๓ คิดเป็นร้อยละ ๓๙.๑๓ โดยมีส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ ๑.๒๐ และได้ คะแนนทดสอบหลังเรียนเฉลี่ยเท่ากับ ๑๗.๒๐ คิดเป็นร้อยละ ๘๖.๐๐ โดยมีส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
๘๒ เท่ากับ ๐.๙๗ แสดงว่านักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนและคะแนนหลังเรียน ไม่น้อยกว่าร้อยละ ๘๐ ตามเกณฑ์ที่ตั้งไว้จากนั้นผู้วิจัยนำคะแนนของการทดสอบก่อนเรียนและ การทดสอบหลังเรียนไปวิเคราะห์หาดัชนีประสิทธิผล ปรากฏผลดังตารางต่อไปนี้ ตารางที่ ๑๒ แสดงคะแนนเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบทีแบบไม่อิสระและระดับ นัยสำคัญทางสถิติของการทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาภาษาไทย เรื่อง สุภาษิตพระร่วง สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ ที่จัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ (G.I : Group Investigation) ร่วมกับแผนผังมโนทัศน์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ โดยเปรียบเทียบ คะแนนก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑/๑๑ (N = ๔๐) ผลการทดสอบ ̅ S.D. t-test Sig. ก่อนเรียน ๗.๘๓ ๑.๒๐ ๗๖.๕๙ ๐.๐๐ หลังเรียน ๑๗.๒๐ ๐.๙๗ * มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .๐๕ จากตารางที่ ๑๒ พบว่า การทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ ๑/๑๑ มีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ ๗.๘๓ คะแนน และ ๑๗.๒๐ คะแนน ตามลำดับ เมื่อเปรียบเทียบ ระหว่างคะแนนก่อนและหลังเรียน พบว่า คะแนนสอบหลังเรียนของนักเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมี นัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .๐๕ ดังนั้น การวิจัยเรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่อง สุภาษิตพระร่วง โดย ใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ (G.I : Group Investigation) ร่วมกับแผนผังมโนทัศน์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑/๑๑ โรงเรียนปทุมเทพวิทยาคาร อำเภอเมือง จังหวัดหนองคาย มีประสิทธิภาพสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ ๘๐ ซึ่งทำให้นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อน เรียน โดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ (G.I : Group Investigation) ร่วมกับแผนผังมโนทัศน์ เป็นวิธีสอนที่ช่วยส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดการคิดวิเคราะห์และช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจในเนื้อหาอย่างละเอียดถี่ ถ้วน อีกทั้งยังเป็นวิธีการที่ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติร่วมกัน ซึ่งจะทำให้ประสิทธิภาพในการเรียนและเข้าใจใน เนื้อหาวิชาภาษาไทยเพิ่มมากขึ้น
๘๓ บทที่ ๕ สรุปผล อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ ในการวิจัยเรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่อง สุภาษิตพระร่วง โดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ (G.I : Group Investigation) ร่วมกับแผนผังมโนทัศน์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ โรงเรียนปทุมเทพวิทยาคาร อำเภอเมือง จังหวัดหนองคาย ผู้วิจัย นำเสนอการสรุปผลการวิจัย อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ โดยมีลำดับดังนี้ ๕.๑ วัตถุประสงค์ของการวิจัย ๕.๒ สมมติฐานของการวิจัย ๕.๓ สรุปผลการวิจัย ๕.๔ อภิปรายผลการวิจัย ๕.๕ ข้อเสนอแนะ ๕.๑ วัตถุประสงค์ของการวิจัย ๕.๑.๑ เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่อง สุภาษิตพระร่วง โดยใช้ กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ (G.I : Group Investigation) ร่วมกับแผนผังมโนทัศน์ สำหรับ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ โรงเรียนปทุมเทพวิทยาคาร อำเภอเมือง จังหวัดหนองคาย ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ ๘๐/๘๐ ๕.๑.๒ เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย ก่อนเรียนและหลังเรียน เรื่องสุภาษิตพระร่วง โดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบกลุ่ม (G.I : Group Investigation) ร่วมกับ แผนผังมโนทัศน์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ โรงเรียนปทุมเทพวิทยาคาร อำเภอเมือง จังหวัดหนองคาย ๕.๒ สมมติฐานการวิจัย ๕.๒.๑ ผลสัมฤทธิ์ของนักเรียนวิชาภาษาไทย เรื่อง สุภาษิตพรระร่วง หลังจากจัดการเรียนรู้โดยใช้ กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ (G.I : Group Investigation) ร่วมกับแผนผังมโนทัศน์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ โรงเรียนปทุมเทพวิทยาคาร อำเภอเมือง จังหวัดหนองคาย มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ ๘๐/๘๐
๘๔ ๕.๒.๒ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่อง สุภาษิตพระร่วง โดยใช้กระบ สวน การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ (G.I : Group Investigation) ร่วมกับแผนผังมโนทัศน์ สำหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ โรงเรียนปทุมเทพวิทยาคาร อำเภอเมือง จังหวัดหนองคาย หลังเรียนสูงกว่า ก่อนเรียน ๕.๓ สรุปผลการวิจัย ๕.๓.๑ ผลสัมฤทธิ์ของนักเรียนหลังจากการจัดการเรียนรูhวิชาภาษาไทย เรื่อง สุภาษิตพระร่วง โดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ (G.I : Group Investigation) ร่วมกับแผนผังมโนทัศน์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ มีประสิทธิภาพเท่ากับ ๘๓.๙๕/๘๖.๐๐ แสดงว่าการจัดการเรียนรู้ ดังกล่าว มีประสิทธิภาพผ่านเกณฑ์มาตรฐานที่ตั้งไว้ E๑/E๒ = ๘๐/๘๐ และสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐาน ๕.๓.๒ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่อง สุภาษิตพระร่วง โดยใช้กระบวนการจัด การเรียนรู้แบบร่วมมือ (G.I : Group Investigation) ร่วมกับแผนผังมโนทัศน์สำหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน โดยมีนัยสำคัญที่ .๐๕ ซึ่งนักเรียนได้คะแนนทดสอบก่อน เรียนเฉลี่ยเท่ากับ ๗.๘๓ คิดเป็นร้อยละ ๓๙.๑๓ โดยมีส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ ๑.๒๐ และได้ คะแนนทดสอบหลังเรียนเฉลี่ยเท่ากับ ๑๗.๒๐ คิดเป็นร้อยละ ๘๖.๐๐ โดยมีส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เท่ากับ ๐.๙๗ แสดงว่านักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน ๕.๔ อภิปรายผลการวิจัย ในการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยมีประเด็นที่จะอภิปรายผลการวิจัยดังนี้ จากผลการวิจัยเรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่อง สุภาษิตพระร่วง โดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ (G.I : Group Investigation) ร่วมกับแผนผังมโนทัศน์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ โรงเรียนปทุมเทพวิทยาคาร อำเภอเมือง จังหวัดหนองคาย สามารถ นำไปสู่การอภิปรายผลได้ดังต่อไปนี้ จากผลการวิจัยที่พบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่อง สุภาษิตพระร่วง โดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ (G.I : Group Investigation) ร่วมกับแผนผังมโนทัศน์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .๐๕ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑/๑๑ ได้คะแนนทดสอบก่อนเรียนเฉลี่ยเท่ากับ ๗.๘๓ คิดเป็นร้อยละ ๓๙.๑๓ โดยมีส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ ๑.๒๐ และได้คะแนนทดสอบหลังเรียนเฉลี่ยเท่ากับ ๑๗.๒๐ คิดเป็น
๘๕ ร้อยละ ๘๖.๐๐ โดยมีส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ ๐.๙๗ แสดงว่านักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน และคะแนนหลังเรียนไม่น้อยกว่าร้อยละ ๘๐ ตามเกณฑ์ที่ตั้งไว้ทั้งนี้อาจ เนื่องมาจากการใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ (G.I : Group Investigation) ร่วมกับแผนผัง มโนทัศน์เป็นรูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่เน้นพัฒนาทักษะกระบวนการทำงานเป็นกลุ่มและเรียนรู้ ไปพร้อมกัน ดังที่ วัฒนาพร ระงับทุกข์ (๒๕๔๑) กล่าวว่า การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ (G.I : Group Investigation) จะช่วยให้ผู้เรียนได้ฝึกฝนและพิจารณาทักษะในการทำงานร่วมกับผู้อื่น การแก้ปัญหา การตัดสินใจ การแสวงหาความรู้ใหม่ การยอมรับซึ่งกันและกัน สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้อย่างมี คามสุข พร้อม ๆ กับพัฒนาความดีงามและความรู้ความสามารถ นอกจากนั้น กระบวนการจัดการเรียนรู้ แบบร่วมมือ (G.I : Group Investigation) ช่วยทำให้ผู้เรียนรู้จักการวางแผนการทำงานภายในกลุ่ม ซึ่งตรงกับแนวคิดของ นิตยา ชังคมานนท์ (๒๕๔๔) ที่ได้อธิบายขั้นตอนของกระบวนการเรียนรู้แบบร่วมมือ (G.I : Group Investigation) โดยเริ่มต้นตั้งแต่การจัดกลุ่ม การกำหนดหัวข้อ การปรึกษาภายในกลุ่ม การแบ่งหน้าที่ภายในกลุ่ม ซึ่งทำส2ให้ผู้เรียนเกิดการพัฒนาทั้งทักษะด้านความรู้และทักษะด้าน การวิเคราะห์สอดคล้องกับงานวิจัยของ กระแส มิมะเนตร (๒๕๖๐) ที่ได้ศึกษาผลการสอนโดยวิธี การเรียนรู้แบบร่วมมือ กลุ่มสืบค้นที่มีผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความสามารถในการวิเคราะห์ของ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ ผลการวิจัยพบว่า ผู้เรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่สูงขึ้นกว่าการเรียน แบบปกติ โดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ (G.I : Group Investigation) ร่วมกับแผนผัง มโนทัศน์ช่วยทำให้ผู้เรียนเกิดกระบวนการคิดรวบยอด สามารถอธิบายลำดับหรือองค์ประกอบของเรื่อง ที่เรียนได้เป็นอย่างดี ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของ สุนีย์ สอนตระกูล(๒๕๓๕) ที่กล่าวว่า การใช้แผนผัง มโนทัศน์เป็นการปฏิบัติที่จะช่วยให้ผู้เรียนเกิดความเข้าใจมากขึ้นและสามารถจับใจความสำคัญจากเรื่อง ที่เรียนได้ โดยแสดงความสัมพันธ์ของมโนทัศน์ต่าง ๆ ที่อยู่ในความคิดของผู้เรียนออกมาเป็นส่วน ๆ โดยเชื่อมโยงอย่างเป็นลำดับขั้นตอนแบบมโนทัศน์ ทำให้ผู้เรียนสามารถเข้าใจเรื่องที่เรียนได้เป็นอย่างดี ซึ่งแนวคิดนี้ตรงกับงานวิจัยของ กัญญา ทิพย์ลาย (๒๕๔๕) ได้สร้างแบบฝึก การเขียนสรุปความรู้ จากบทร้อยแก้วสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๕ โดยใช้แผนผังมโนทัศน์ ซึ่งหลังจากทดลองแล้ว พบว่า ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้และมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้สูงกว่าก่อนการใช้แบบฝึกโดยใช้แผนผัง มโนทัศน์ หรืองานวิจัยของ กัญญารัตน์ หนูชุม (๒๕๔๙) ที่ได้ศึกษาเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง ตรีโกณมิติ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๔ ระหว่างการจัด
๘๖ การเรียนรู้แบบมโนทัศน์และการเรียนรู้แบบปกติ ผลวิจัยพบว่า ผู้เรียนที่เรียนรู้โดยใช้กระบวนการแบบ มโนทัศน์มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงกว่าผู้เรียนที่จัดการเรียนรู้แบบปกติ นอกจากนี้ การจัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ (G.I : Group Investigation) ร่วมกับแผนผังมโนทัศน์ ได้พัฒนาเจตคติต่อการเรียนภาษาไทย ส่งเสริมการพัฒนา คุณลักษณะอันพึงประสงค์ด้านความกระตือรือร้น ความมีวินัย ความมุ่งมั่นในการทำงาน และความพึงพอใจ ซึ่งแสดงให้เห็นจากงานวิจัยของ สมจิต ขันทุปัทม์ (๒๕๖๒) ที่ได้ศึกษาเรื่อง การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องแผนที่ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ ที่ได้เปรียบเทียบ การใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ (G.I : Group Investigation) กับการสอนแบบปกติ พบว่า ผู้เรียนมีความความพึงพอใจในการเรียนวิชาภาษาไทย โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ (G.I : Group Investigation) โดยรวมอยู่ในระดับมาก จากผลการวิจัยและการอภิปรายผลดังกล่าว เป็นเหตุผลสำคัญที่สนับสนุนว่าผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่อง สุภาษิตพระร่วง โดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ (G.I : Group Investigation) ร่วมกับแผนผังมโนทัศน์สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ โรงเรียน ปทุมเทพวิทยาคาร อำเภอเมือง จังหวัดหนองคาย มีผลสัมฤทธิ์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน ๕.๕ ข้อเสนอแนะ จากการวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยได้ค้นพบข้อสังเกตจากประสบการณ์ตรงที่อาจก่อให้เกิดประโยชน์ ต่อการศึกษาต่อไปนี้ ข้อเสนอแนะเพื่อการนำผลการวิจัยไปใช้ ๑. การจัดกิจกรรมโดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ (G.I : Group Investigation) ร่วมกับแผนผังมโนทัศน์ นั้นสามารถช่วยทำให้ผู้เรียนเกิดมีความกระตือรือร้นในการทำกิจกรรมจริง แต่ทั้งนี้ผู้สอนจำเป็นต้องอธิบายเกี่ยวกับห้อข้อที่จะศึกษาและรูปแบบของการเขียนผังมโนทัศน์อย่าง ชัดเจน โดยเฉพาะในแผนการจัดการเรียนรู้ที่ ๑ และหากผู้เรียนเกิดการเรียนรู้และเข้าใจกระบวนการแล้ว จะทำให้การจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ (G.I : Group Investigation) ร่วมกับแผนผังมโนทัศน์นั้น เป็นไปได้อย่างราบรื่นในแผนการจัดการเรียนรู้แผนถัดไป ๒. กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ (G.I : Group Investigation) เป็นกระบวนการที่ช่วย ให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้เป็นกลุ่ม ซึ่งจะต้องอาศัยทักษะการปฏิสัมพันธ์ควบคู่ไปด้วย ทั้งนี้ด้วยลักษณะ โดยทั่วไปของมนุษย์ซึ่งมีความแตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นด้านลักษณะนิสัย ความคิด หรือการแสดงออก ทำให้การทำงานเป็นกลุ่มเกิดความขัดแย้ง หรือผู้เรียนบางคนอาจไม่มีส่วนร่วมมากเท่าที่ควร ซึ่งผู้สอน
๘๗ อาจจะกำหนดบทบาทให้ผู้เรียนแต่ละกลุ่มอย่างชัดเจน โดยจะต้องมีผู้ศึกษาข้อมูล รวบรวมข้อมูล สังเคราะห์ผลงานเป็นแผนผังมโนทัศน์ และผู้นำเสนอ เพื่อให้ผู้เรียนเกิดการพัฒนาในทุก ๆ ด้าน และช่วย แก้ไขปัญหาดังที่กล่าวมาได้อย่างตรงจุด ๓. กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ (G.I : Group Investigation) ร่วมกับแผนผังมโนทัศน์ เป็นกระบวนการที่มี ๖ ขั้นตอน ซึ่งจำเป็นต้องใช้เวลาในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ค่อนข้างมาก ทำให้อาจจะมีบางครั้งที่เกิดปัญหาการจัดกิจกรรมไม่อยู่ภายใต้ตามเวลาที่กำหนด ดังนั้นผู้สอนจึง จำเป็นต้องควบคุมและกระตุ้นผู้เรียนให้ปฏิบัติตามกระบวนการให้ทันตรงตามเวลา ๔. การจัดกิจกรรมโดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ (G.I : Group Investigation) ร่วมกับแผนผังมโนทัศน์ เหมาะสมกับการบูรณาการเข้ากับทุกรายวิชา โดยกระบวนการนั้น ไม่ยากจนเกินไปและช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้ดีโดยอาศัยการสังเคราะห์ผลงานออกมาเป็นแผนผัง มโนทัศน์ แต่ทั้งนี้เนื่องจากในการจัดการเรียนรู้ในทุก ๆ ชั่วโมง ผู้เรียนจะได้หัวข้อในการศึกษา ที่เปลี่ยนแปลงไปตามลำดับของเนื้อหาที่วางไว้ ดังนั้นผู้สอนจึงจำเป็นต้องอธิบายหัวข้ออย่างละเอียด เพื่อที่ผู้เรียนจะสามารถเขียนแผนผังมโนทัศน์โดยเชื่อมความสัมพันธ์ของมโนทัศน์หลัก มโนทัศน์รอง และมโนทัศน์เจาะจงหรือตัวอย่างได้ถูกต้อง ๕. การใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้ซ้ำ สามารถก่อให้เกิดทั้งผลดีและผลเสีย ผลดีคือผู้เรียน สามารถทำความเข้าใจวิธีการทำกิจกรรมได้ไวมากขึ้นตามลำดับ จึงช่วยให้ประหยัดเวลาในการทำกิจกรรม แต่ข้อเสียคือ นักเรียนเกิดความเบื่อหน่าย และต้องการปรับเปลี่ยนหรือเพิ่มกิจกรรมที่เร้าความสนใจได้ มากขึ้น ข้อเสนอแนะในการวิจัยครั้งต่อไป ๑. ควรมีการปรับวิธีการใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ (G.I : Group Investigation) ร่วมกับแผนผังมโนทัศน์ให้เพียงพอต่อเวลาที่กำหนด โดยผู้สอนอาจจะกำหนดหัวข้อหรือกลุ่มตัวอย่าง เฉพาะเจาะจงให้ผู้เรียนได้ร่วมกันศึกษาเลย เพื่อเป็นการประหยัดเวลาและเป็นการแก้ปัญหาการจัด กิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือ (G.I : Group Investigation) ร่วมกับแผนผังมโนทัศน์ไม่ที่ไม่อยู่ภายใต้ เวลาที่กำหนดไว้ ๒. ควรมีการประยุกต์ใช้ความรู้จากสาระการเรียนรู้อื่น ๆ เข้ากับการจัดการเรียนการสอนโดยใช้ กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ (G.I : Group Investigation) ร่วมกับแผนผังมโนทัศน์ เพื่อให้นักเรียนเกิดความสนใจ สามารถประยุกต์ใช้ความรู้ตามความถนัดของตนเอง อีกทั้งยังช่วยให้ผู้เรียน พัฒนาด้านการปฏิสัมพันธ์ในรูปแบบของการทำงานเป็นกลุ่ม
๘๘ บรรณานุกรม กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ. (๒๕๔๔). การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ. กรุงเทพฯ: คุรุสภาลาดพร้าว. กรมวิชาการ. (๒๕๔๖). พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๖ และพระราชบัญญัติการศึกษาภาคบังคับ พ.ศ. ๒๕๔๕. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์อักษรไทย. . (๒๕๔๓). เทคนิคการจัดกระบวนการเรียนรู้ที่ผู้เรียนสำคัญที่สุด การสร้างองค์ความรู้ ด้วยตนเอง. กรุงเทพฯ: ศูนย์พัฒนาหลักสูตร. กระทรวงศึกษาธิการ. (๒๕๕๑). ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน ๒๕๕๑. กรุงเทพฯ: ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่ง ประเทศไทย จำกัด. . (๒๕๕๑). หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑. กรุงเทพฯ: ชุมนุม สหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จำกัด. กระแส มิฆะเนตร. (๒๕๔๖). ผลการสอนโดยวิธีสืบเสาะหาความรู้เป็นกลุ่มที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทาง การเรียนและความสามารถในการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ โรงเรียนลำดวน จังหวัดสุรินทร์. วิทยานิพนธ์ปริญญาการศึกษามหาบัณฑิต มหาวิทยาลัย สุโขทัยธรรมาธิราช. กัญญา ทิพย์ลาย. (๒๕๔๕). การสร้างแบบฝึกการเขียนสรุปความจากบทร้อยแก้วสำหรับนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ ๕ โดยใช้ผังมโนทัศน์. วิทยานิพนธ์ กศ.ม. มหาวิทยาลัยทักษิณ. กัญญารัตน์ หนูชุม. (๒๕๔๙). การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความคงทนในการเรียนรู้ วิชาคณิตศาสตร์ เรื่องตรีโกณมิติของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๔ ระหว่างการจัดการเรียนรู้ แบบจัดกรอบมโนทัศน์กับการจัดการเรียนรู้ปกติ. วิทยนิพนธ์ กศ.ม. มหาวิทยาลัยทักษิณ. ชิดธิณัฐ คอมแพงจันทร์. (๒๕๖๐). วิเคราะห์คุณลักษณะความเป็นผู้นำที่ปรากฏในสุภาษิตพระร่วง. ศาสตร์พระราชาเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน: รวมบทความวิจัย บทความวิชาการ มหาวิทยาลัย ราชภัฏเชียงใหม่, ๒๕๖๐, ๑๘๙-๑๙๙.
๘๙ บรรณานุกรม (ต่อ) โชษิตา มณีใส. (๒๕๕๔). สุภาษิตพระร่วง: การศึกษาแง่ประวัติวรรณคดี. วารสารมนุษยศาสตร์และ สังคมศวาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี, ๓(๒), ๑๒๙-๑๔๖. ดวงมน จิตร์จำนงค์ และคณะ. (๒๕๕๕). การวิจารณ์บนเส้นทางวรรณคดีศึกษา. กรุงเทพฯ: ทีคิวพี. นิคม สิงห์ทอง. (๒๕๖๑). รายงานการพัฒนาการเรียนรู้โดยใช้ชุดการจัดการเรียนรู้เรื่องวัฒนธรรม ภูมิปัญญาของไทยและนานาประเทศ ประกอบกิจกรรมการเรียนร่วมมือเทคนิคกลุ่มสืบค้น (G.I) กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ชั้นมัธยมศึกษาปีที่๖. โรงเรียนท่าคันโทวิทยาคาร.วิชาการ. นิตยา ชังคมานนท์. (๒๕๔๔). การเรียนแบบร่วมมือโดยใช้เทคนิคจีไอที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและ ทักษะการทำงานร่วมกันในรายวิชา ส.๕๐๓ สังคมศึกษาของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๕ โรงเรียนสิรินธรราชวิทยาลัย จังหวัดนครปฐม. วิทยานิพนธ์การศึกษามหาบัณฑิต. มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. บุญชม ศรีสะอาด. (๒๕๓๘). การพัฒนาการสอน. กรุงเทพฯ: สุวีริยาสาสน. . (๒๕๔๓). การวิจัยเบื้องตน. กรุงเทพฯ: สุวีริยาสาสน. ปทีป เมธาคุณวุฒิ. (๒๕๔๔). เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการบริหารสถาบันอุดมศึกษา. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพแหงจุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย. ประพันธ์ กุลวินิจฉัย. (๒๕๖๑). คุณค่าของสุภาษิตพระร่วงที่มีต่อสังคมไทย. วารสารบัณฑิตแสงโคมคำ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๓(๒), ๑๖๗-๑๗๗. ประภาศรี สีหอำไพ. (๒๕๒๔). วิธีสอนภาษาไทยระดับมัธยม. กรุงเทพฯ: ไทยวัฒนาพานิช. สมถวิล วิเศษสมบัติ. (๒๕๒๕). วิธีสอนภาษาไทยในระดับมัธยมศึกษา. กรุงเทพฯ: อักษรบัณฑิต. เผชิญ กิจระการ. (๒๕๔๔). ดัชนีประสิทธิผล. มหาสารคาม: ภาควิชาเทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์มหาวิทยาลัยมหาสารคาม. พรรณรัศมิ์ เงาธรรมสาร. (๒๕๓๓). การเรียนแบบทำงานรับผิดชอบร่วมกัน. สารพัฒนาหลักสูตร, กุมภาพันธ ๒๕๓๓, ๓๕-๓๗. พวงรัตน์ ทวีรัตน์. (๒๕๔๓). การสร้างและพัฒนาแบบทดสอบผลสัมฤทธิ์. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ.
๙๐ บรรณานุกรม (ต่อ) พวงเล็ก อุตระ. (๒๕๓๙). วิธีสอนภาษาไทยระดับชั้นมัธยมศึกษา. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย. มนมนัส สุดสิ้น. (๒๕๔๓). การศึกษาผลสัมฤทธิ์วิทยาศาสตร์และความสามารถด้านการคิดวิเคราะห์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ ๒ ที่ได้รับการสอนแบบสืบเสาะหาความรูประกอบการเขียน แผนผังโนมติ. วิทยานิพนธ ศษ.ม. มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. ราชบัณฑิตยสถาน. (๒๕๕๖). พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๖. กรุงเทพฯ : นานมีบุ๊คส์ พับลิเคชั่นส์. รื่นฤทัย สัจจพันธุ์. (๒๕๔๙). ความรู้ทั่วไปทางภาษาและวรรณกรรมไทย. กรุงเทพฯ: ภาควิชาภาษาไทย และภาษาตะวันออก คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง. วรรณทิพา รอดแรงค้า. (๒๕๓๔). กิจกรรมทักษะกระบวนการสำหรับครู. กรุงเทพฯ: ถาบันพัฒนา คุณภาพ วิชาการ. วัฒนาพร ระงับทุกข์. (๒๕๔๑). การจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง. กรุงเทพฯ: เลิฟแอนด์เลิฟเพรส. . (๒๕๔๒). แผนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง. กรุงเทพฯ: แอล ที เพรส. . (๒๕๔๕). เทคนิคและกิจกรรมการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญตามหลักสูตรการศึกษา ขั้นพื้นฐาน พ.ศ. ๒๕๔๔. กรุงเทพฯ: พริกหวานกราฟฟิค. วิทย์ ศิวะศริยานนท์. (๒๕๑๘). วรรณคดีและวรรณคดีวิจารณ์. กรุงเทพฯ: ไทยวัฒนาพาณิชย์ วิภา กงกะนันทน์. (๒๕๕๖). วรรณคดีศึกษา. กรุงเทพฯ: สกสค. ลาดพร้าว. วิยะดา ระวังสุข. (๒๕๔๕). การประเมินความคิดรวบยอดวิชาวิทยาศาสตร์โดยใช้แผนผังมโนทัศน์. กรุงเทพฯ :จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. ศรีวิไล ดอกจันทร์. (๒๕๒๙). การสอนวรรณกรรมวรรณคดีไทย. เชียงใหม่: คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. ศิลปากร, กรม. (๒๕๒๙). สุภาษิตพระร่วงและสุภาษิตอิศรญาณ. กรุงเทพฯ: ไทยร่มเกล้า. ศิวพร ตาใจ. (๒๕๖๑). ผลของการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และความสามารถในการแก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔. วิทยานิพนธ์ปริญญาครุศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรี.