…เราจะครองแผน่ ดนิ โดยธรรม
เพื่อประโยชน์สขุ แหง่ มหาชน
ชาวสยาม…
พระปฐมบรมราชโองการ ณ พระทน่ี ง่ั ไพศาลทกั ษณิ
วันศกุ ร์ท่ี ๕ พฤษภาคม ๒๔๙๓
ร่มโพธทิ์ องของแผ่นดนิ
พิมพ์ครงั้ ท่ี ๑ : พ.ศ. ๒๕๖๐
จำ� นวนพมิ พ์ : ๑๓,๐๐๐ เลม่
เรยี บเรยี งโดย : พลตรี หลักแกว้ อัมโรสถ
ออกแบบปก : ปรเมศร์ ธรรมรักษา
พสิ ูจนอ์ ักษร : ชลธชิ า มากมูล
ขอ้ มลู ทางบรรณานกุ รมของสำ�นักหอสมดุ แห่งชาติ
National Library of Thailand Cataloging in Publication Data
หลักแกว้ อมั โรสถ (ศ.ศลิ าแลง), พล.ต.
ร่มโพธิ์ทองของแผ่นดิน.-- กรงุ เทพฯ : อรณุ การพิมพ,์ ๒๕๖๐.
๑๕๒ หนา้ .
๑. ภมู ิพลอดุลยเดช, พระบาทสมเด็จพระปรมนิ ทรมหา, ๒๔๗๐-๒๕๕๙.
I. ชอ่ื เรื่อง.
๙๒๓.๑๕๙๓
ISBN 978-616-445-107-0
พมิ พ์ท่ี หจก. อรุณการพิมพ์
๔๕๗/๖-๗ ถนนพระสเุ มรุ แขวงบวรนเิ วศ เขตพระนคร กรงุ เทพฯ ๑๐๒๐๐
โทร. ๐-๒๒๘๒-๖๐๓๓-๔ โทรสาร ๐-๒๒๘๐-๒๑๘๗-๘
E-mail: info@aroonkarnpim.co.th
www.aroonkarnpim.co.th
wพกริมwะพwดบ์ า.gนษrถeeนnอrมeสaาdย.cตoาm
ค�ำน�ำ
ตลอดระยะเวลาท่ีพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพล
อดลุ ยเดช ทรงครองสริ ิราชสมบตั ิ ทรงอุทิศพระวรกายและพละกำ� ลงั
ท้ังปวงในการพัฒนาประเทศในทุก ๆ ด้าน น�ำความผาสุกและความ
เจรญิ ร่งุ เรืองมาสู่ประเทศชาติอยา่ งอเนกอนนั ต์
ทรงบำ� เพญ็ พระราชกรณยี กจิ นานปั การ โดยเฉพาะการเสดจ็
พระราชด�ำเนินไปทรงเย่ียมพสกนิกรในถิ่นทุรกันดารทั่วทุกหนแห่ง
อย่างไม่ว่างเว้น ทั้งนี้ เพ่ือแสวงหาแนวทางในการแก้ไขปัญหาความ
ยากจนของประชาชนทั่วประเทศ จนก่อให้เกิดโครงการอันเนื่อง
มาจากพระราชดำ� ริหลายพนั โครงการ
พระมหากรุณาธคิ ุณดงั กลา่ ว เปน็ ทปี่ ลาบปลมื้ และซาบซง้ึ ใจ
ของเหล่าพสกนิกรโดยท่ัวไปและด้วยส�ำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ
ของล้นเกลา้ ล้นกระหม่อมจนหาทสี่ ุดมไิ ด้
กองทุน ศ.ศิลาแลง หวังเปน็ อย่างยง่ิ วา่ หนังสอื “ร่มโพธิท์ อง
ของแผ่นดิน” จะเป็นประโยชน์แก่ผู้สนใจทั่วไป ตลอดจนพสกนิกร
ทุกหมู่เหล่า ซ่ึงจะได้ร่วมกันน้อมร�ำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ
และถวายความจงรักภกั ดี แดพ่ ระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภมู ิพล
อดลุ ยเดช พระผูส้ ถิตอยใู่ นใจของคนไทย ตลอดกาลนิรนั ดร์
ศ.ศิลาแลง
สารบญั
๑. หลักการทรงงานในพระบาทสมเด็จพระปรมนิ ทร ๗
มหาภูมิพลอดุลยเดช
๒. แนวพระราชด�ำริปรัญชาของเศรษญกิจพอเพยี ง ๒๖
๓. พระราชนพิ นธ์ พระมหาชนก ๓๙
๔. จากพระอรยิ ะถงึ ในหลวง ๔๕
๕. คำ� สอนของพ่อ ๕๐
๖. เร่ืองราวอนั ประทบั ใจ ๘๗
๗. แผนที่ชวี ิต ขอ้ คดิ พระบาทสมเด็จพระปรมนิ ทร ๑๓๑
มหาภมู พิ ลอดุลยเดช
ในวันเสด็จพระราชดำ�เนนิ กลบั สวิส ฯ
ทรงประทับรถพระท่นี ง่ั ทส่ี สู่ นามบินดอนเมือง
ทรงไดย้ ินเสยี งตะโกนว่า
“ในหลวงอยา่ ทง้ิ ประชาชนนะ”
ทำ�ใหท้ รงนกึ ตอบบคุ คลผ้นู ั้นในพระราชหฤทยั ว่า
“ถา้ ประชาชนไม่ท้ิงขา้ พเจ้า
ขา้ พเจ้าจะท้ิงประชาชนได้อย่างไร”
๑
หลักการทรงงาน
ในพระบาทสมเดจ็ พระปรมนิ ทร
มหาภมู ิพลอดลุ ยเดช
การทรงงานของพระบาทสมเดจ็ พระปรมนิ ทรมหาภมู พิ ลอดลุ ยเดช
เปน็ การดำ� เนนิ งานในลกั ษณะทางสายกลางทสี่ อดคลอ้ งกบั วถิ ชี วี ติ
ของสงั คมไทย และสามารถปฏบิ ตั ไิ ดจ้ รงิ โดยทรงเนน้ “การพฒั นา
คน” เป็นตัวตั้ง และยึดหลักผลประโยชน์ของปวงชน ตลอดจน
ภูมิสังคม ท่ีค�ำนึงถึงความแตกต่างกันในแต่ละพ้ืนท่ีและการพ่ึง
ตนเอง โดยรู้จักประมาณตนและด�ำเนินการด้วยความรอบคอบ
ระมัดระวัง และ “ท�ำตามล�ำดับขั้น” อย่างบูรณาการ ซ่ึงอาศัย
ความ “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” และการ “รู้ รัก สามัคคี” ของ
ทุกฝ่าย ส่งผลให้ประชาชนและชุมชนในชนบทที่ได้ด�ำเนินการ
ตามแนวพระราชด�ำริมีความเป็นอยู่ที่ดีข้ึน สามารถพ่ึงตนเองได้
ทั้งเรื่องเศรษฐกิจ สังคม มีเทคโนโลยีที่เหมาะสม ด�ำเนินการ
ได้อย่างประหยัด และใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน อันน�ำ
ไปสชู่ มุ ชนและสังคมท่ีเข้มแข็ง และอย่รู ่วมกนั อย่างสนั ตสิ ุข
7
รม่ โพธทิ์ องของแผ่นดิน
“หลักการทรงงาน ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” ท่ี
ส�ำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่อง
มาจากพระราชดำ� ริ (สำ� นกั งาน กปร.) รวบรวมไวม้ คี วามหลากหลาย
ถึง ๒๓ หลักการ ซึ่งปวงชนชาวไทยสามารถน้อมน�ำมาปฏิบัติใน
วาระและโอกาสตา่ ง ๆ ตามความเหมาะสม ดงั นี้
๑. ศึกษาข้อมูลอยา่ งเป็นระบบ
การที่จะพระราชทานโครงการใดโครงการหน่ึง จะทรง
ศึกษาข้อมูลรายละเอียดอย่างเป็นระบบท้ังจากข้อมูลเบื้องต้น
จากเอกสาร แผนที่ สอบถามจากเจา้ หนา้ ที่ นกั วชิ าการ และราษฎร
ในพื้นที่ให้ได้รายละเอียดท่ีถูกต้อง เพ่ือจะพระราชทานความ
ช่วยเหลือได้อย่างถูกต้อง รวดเร็วตรงตามความต้องการของ
ประชาชน
๒. ระเบดิ จากข้างใน
พระองค์ทรงมุ่งเนน้ เรือ่ งการพฒั นาคน โดยตรสั วา่ “ตอ้ ง
ระเบิดจากข้างใน” หมายความว่า ต้องสร้างความเข้มแข็งให้คน
ในชุมชนที่เราเข้าไปพัฒนาให้มีสภาพพร้อมท่ีจะรับการพัฒนา
เสยี กอ่ น แล้วจงึ คอ่ ยออกมาสูส่ งั คมภายนอก มใิ ช่การน�ำเอาความ
เจริญหรือบุคคลจากสังคมภายนอกเข้าไปหาชุมชนหรือหมู่บ้าน
ทย่ี งั ไม่ทนั ได้มีโอกาสเตรียมตวั หรอื ตงั้ ตัว
8
รม่ โพธท์ิ องของแผน่ ดนิ
๓. แก้ปญั หาที่จดุ เลก็
พระบาทสมเดจ็ พระปรมนิ ทรมหาภมู พิ ลอดลุ ยเดช ทรงเปย่ี ม
ไปด้วยพระอัจฉริยภาพในการแก้ไขปัญหา ทรงมองปัญหาใน
ภาพรวม (Macro) ก่อนเสมอ แต่การแก้ปัญหาของพระองค์จะ
เริม่ จากจดุ เล็ก ๆ (Micro) คือการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า ที่คนมัก
จะมองขา้ มดงั พระราชดำ� รสั ความตอนหนึง่ วา่
“ถ้าปวดหัวก็คิดอะไรไม่ออก เป็นอย่างนั้นต้องแก้ไขการ
ปวดหวั น้ีกอ่ น... มนั ไมไ่ ด้เป็นการแกอ้ าการจริง แตต่ ้องแก้ปวดหวั
กอ่ น เพอื่ ทจี่ ะใหอ้ ยสู่ ภาพทคี่ ดิ ได.้ . แบบ (Macro) น้ี เขาจะทำ� แบบ
รอื้ ทัง้ หมด ฉันไม่เหน็ ด้วย ...อย่างบา้ นคนอยู่ เราบอกบ้านนี้ มันผุ
ตรงนั้น ผุตรงนี้ ไม่คุ้มทจ่ี ะไปซอ่ ม...เอาตกลงร้ือบา้ นนี้ ระเบดิ เลย
เราจะไปอยู่ท่ีไหน ไม่มีที่อยู่ ...วิธีท�ำต้องค่อย ๆ ท�ำจะไประเบิด
หมดไม่ได.้ ..”
๔. ท�ำตามล�ำดับข้ัน
ในการทรงงานพระองค์จะทรงเริ่มต้นจากสิ่งท่ีจ�ำเป็นของ
ประชาชนท่ีสุดก่อน ได้แก่ สาธารณสุข เม่ือมีร่างกายสมบูรณ์
แขง็ แรงแล้ว ก็จะสามารถทำ� ประโยชนด์ ้านอ่นื ๆ ตอ่ ไปได้ จากนัน้
จะเป็นเร่ืองสาธารณูปโภค ขั้นพื้นฐานและสิ่งจ�ำเป็นในการ
ประกอบอาชีพ อาทิ ถนน แหลง่ น้�ำ เพอ่ื การเกษตร การอุปโภค
บริโภค ท่ีเอื้อประโยชน์ต่อประชาชนโดยไม่ท�ำลายทรัพยากร
9
รม่ โพธิ์ทองของแผ่นดนิ
ธรรมชาติ รวมถงึ การใหค้ วามรู้ ทางวชิ าการและเทคโนโลยที เี่ รยี บงา่ ย
เน้นการปรับใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่นท่ีราษฎรสามารถน�ำไปปฏิบัติได้
และเกิดประโยชน์สูงสุด ดังพระบรมราโชวาท เม่ือวันที่ ๑๘
กรกฎาคม ๒๕๑๗ ความตอนหนึ่งวา่
“...การพัฒนาประเทศจ�ำเป็นต้องท�ำตามล�ำดับข้ัน ต้อง
สร้างพื้นฐาน คอื ความพอมี พอกิน พอใช้ ของประชาชน ส่วนใหญ่
เป็นเบ้ืองต้นก่อน ใช้วิธีการและอุปกรณ์ที่ประหยัดแต่ถูกต้องตาม
หลักวิชาการ เมื่อได้พ้ืนฐานท่ีม่ันคงพร้อมพอสมควรและปฏิบัติ
ได้แล้ว จึงค่อยสร้างค่อยเสริมความเจริญและฐานะเศรษฐกิจ
ช้ันท่ีสูงขึ้นโดยล�ำดับต่อไป หากมุ่งแต่จะทุ่มเทสร้างความเจริญ
ยกเศรษฐกิจให้รวดเร็วแต่ประการเดียว โดยไม่ให้แผนปฏิบัติการ
สัมพันธ์กับสภาวะของประเทศและของประชาชนโดยสอดคล้อง
ด้วย ก็จะเกิดความไม่สมดุลในเร่ืองต่าง ๆ ขึ้น ซ่ึงอาจกลายเป็น
ความยุ่งยากล้มเหลวได้ในท่ีสุดดังเห็นได้ที่อารยประเทศก�ำลัง
ประสบปัญหาทางเศรษฐกจิ อยา่ งรุนแรงในเวลานี้
การช่วยเหลือสนับสนุนประชาชนในการประกอบอาชีพ
และตั้งตัวให้มีความพอกิน พอใช้ ก่อนอื่นเป็นพื้นฐานน้ัน เป็น
สง่ิ สำ� คัญอย่างยิ่งยวด เพราะผู้ที่มอี าชพี และฐานะเพยี งพอที่จะพง่ึ
ตนเอง ย่อมสามารถสร้างความเจริญก้าวหน้าระดับท่ีสูงได้ต่อไป
โดยแน่นอน ส่วนการถือหลักท่ีจะส่งเสริมความเจริญให้ค่อยเป็น
ไปตามลำ� ดบั ดว้ ยความรอบคอบระมดั ระวงั และประหยดั นน้ั กเ็ พอื่
ป้องกันความผิดพลาดล้มเหลว และเพ่ือให้บรรลุผลส�ำเร็จได้
แนน่ อนบริบูรณ.์ ..”
10
ร่มโพธิท์ องของแผ่นดิน
๕. ภมู สิ งั คม
การพฒั นาใด ๆ ตอ้ งคำ� นงึ ถงึ สภาพภมู ปิ ระเทศของบรเิ วณ
น้ันว่าเป็นอย่างไร และสังคมวิทยา เกี่ยวกับลักษณะนิสัยใจคอ
ของคน ตลอดจนวัฒนธรรมประเพณีในแต่ละท้องถ่ิน ที่มีความ
แตกต่างกัน ดังพระราชดำ� รสั ความตอนหนง่ึ วา่
“...การพัฒนาจะต้องเป็นไปตามภูมิประเทศทาง
ภูมิศาสตร์ และภูมิประเทศทางสังคมศาสตร์ในสังคมวิทยา คือ
นสิ ยั ใจคอของคนเราจะไปบงั คบั ใหค้ นอนื่ คดิ อยา่ งอนื่ ไมไ่ ด้ เราตอ้ ง
แนะน�ำ เราเข้าไปช่วยโดยที่จะคิดให้เขาเข้ากับเราไม่ได้ แต่ถ้าเรา
เข้าไปแล้ว เราเข้าไปดูว่าเขาต้องการอะไรจริง ๆ แล้วก็อธิบายให้
เขาเขา้ ใจหลักการของการพัฒนานก้ี ็จะเกดิ ประโยชน์อยา่ งยง่ิ ...”
๖. องคร์ วม
ทรงมีวิธีคิดอย่างองค์รวม (Holistic) หรือมองอย่างครบ
วงจร ในการทจ่ี ะพระราชทานพระราชดำ� ริ เกยี่ วกบั โครงการหน่ึง
น้ัน จะทรงมองเหตุการณ์ท่ีจะเกิดขึ้นและแนวทางแก้ไขอย่าง
เชื่อมโยง ดังเช่นกรณีของ “ทฤษฎีใหม่” ที่พระราชทานให้แก่
ปวงชนชาวไทย เป็นแนวทางในการประกอบอาชีพแนวทางหน่ึง
ทพี่ ระองคท์ รงมองอย่างองค์รวม ต้ังแตก่ ารถือครองทดี่ นิ โดยเฉลยี่
ของประชาชนคนไทย ประมาณ ๑๐ – ๑๕ ไร่ การบริหารจัดการ
11
ร่มโพธิ์ทองของแผน่ ดนิ
ท่ีดินและแหล่งน้�ำ อันเป็นปัจจัยพ้ืนฐานที่ส�ำคัญในการประกอบ
อาชีพ เม่ือมีน้�ำในการท�ำเกษตรแล้วจะส่งผลให้ผลผลิตดีขึ้น และ
หากมีผลผลิตเพ่ิมมากข้ึน เกษตรจะต้องรู้จักวิธีการจัดการ และ
การตลาด รวมถึงการรวมกลุ่มรวมพลังชุมชนให้มีความเข้มแข็ง
เพื่อพร้อมท่ีจะออกสู่การเปลี่ยนแปลงของสังคมภายนอกได้อย่าง
ครบวงจรนน้ั คือ ทฤษฎใี หม่ ขั้นที่ ๑, ๒ และ ๓
๗. ไม่ตดิ ตำ� รา
การพัฒนาตามแนวทางพระราชด�ำริ ในพระบาทสมเด็จ
พระปรมนิ ทรมหาภมู พิ ลอดลุ ยเดช มลี กั ษณะของการพฒั นาทอ่ี นโุ ลม
และรอมชอมกับสภาพธรรมชาติ สิง่ แวดลอ้ ม และสภาพของสงั คม
จติ วทิ ยาแหง่ ชมุ ชน คอื “ไมต่ ดิ ตำ� รา” ไมผ่ กู มดั ตดิ กบั วชิ าการและ
เทคโนโลยีที่ไม่เหมาะสมกับสภาพชีวิตความเป็นอยู่ที่แท้จริงของ
คนไทย
๘. ประหยัด เรยี บงา่ ย ไดป้ ระโยชนส์ งู สุด
ในเร่ืองของความประหยัดน้ีประชาชนชาวไทยทราบกันดี
วา่ เรอ่ื งสว่ นพระองคก์ ท็ รงประหยดั มากดงั ทเ่ี ราเคยเหน็ วา่ หลอดยา
สพี ระทนต์ นัน้ ทรงใช้อยา่ งคุ้มคา่ อย่างไร หรือฉลองพระองคแ์ ต่ละ
องคท์ รงใช้อยเู่ ป็นเวลานาน ดังทีน่ ายสเุ มธ ตนั ติเวชกลุ เลขาธิการ
มลู นธิ ชิ ัยพฒั นา เคยเลา่ ว่า
12
ร่มโพธท์ิ องของแผ่นดนิ
“...กองงานในพระองค์โดยท่านผู้หญิงบุตรี วีระไวทยะ
บอกว่าปีหน่ึงพระองค์เบิกดินสอ ๑๒ แท่ง เดือนละแท่ง ใช้จน
กระทั่งกดุ ใครอยา่ ไปทงิ้ ของท่านนะ จะกร้ิวเลย ประหยัดทกุ อย่าง
เป็นต้นแบบทกุ อยา่ ง ทุกอยา่ งนี้มคี า่ ส�ำหรับพระองค์หมด ทกุ บาท
ทุกสตางค์จะใช้อย่างระมัดระวัง จะส่ังให้เราปฏิบัติงานด้วยความ
รอบคอบ...”
ขณะเดยี วกนั การพฒั นาและชว่ ยเหลอื ราษฎร ทรงใชห้ ลกั
ในการแกไ้ ขปญั หาดว้ ยความเรยี บงา่ ยและประหยดั ราษฎรสามารถ
ท�ำไดเ้ อง หาได้ในทอ้ งถ่ินและประยุกตใ์ ช้ส่งิ ทม่ี ีอยู่ในภูมภิ าคนนั้ ๆ
มาแก้ไขปัญหาโดยไม่ต้องลงทุนหรือใช้เทคโนโลยีที่ไม่ยุ่งยากนัก
ดงั พระราชดำ� รัสความตอนหนึง่ วา่
“...ให้ปลูกป่า โดยไม่ต้องปลูก โดยปล่อยให้ขึ้นเองตาม
ธรรมชาติ จะไดป้ ระหยัดงบประมาณ...”
๙. ทำ� ใหง้ า่ ย
ดว้ ยพระอจั ฉรยิ ภาพและพระปรชี าสามารถในพระบาทสมเดจ็
พระปรมนิ ทรมหาภมู พิ ลอดลุ ยเดชทำ� ใหก้ ารคดิ คน้ ดดั แปลง ปรบั ปรงุ
และแก้ไขงานการพัฒนาประเทศตามแนวพระราชด�ำริ ด�ำเนินไป
ได้โดยงา่ ย ไม่ยุง่ ยาก ซับซ้อน และทีส่ �ำคัญอย่างยง่ิ คือ สอดคล้อง
กับสภาพความเป็นอยู่และระบบนิเวศโดยส่วนรวม ตลอดจน
13
ร่มโพธิ์ทองของแผ่นดิน
สภาพทางสังคมของชุมชนนั้น ๆ ทรงโปรดท่ีจะท�ำสิ่งที่ยากให้
กลายเป็นง่าย ท�ำสิ่งที่สลับซับซ้อนให้เข้าใจง่าย อันเป็นการ
แกป้ ญั หาดว้ ยการใชก้ ฎแหง่ ธรรมชาตเิ ปน็ แนวทางนน่ั เอง แตก่ ารทำ�
สง่ิ ยากใหก้ ลายเปน็ งา่ ยนนั้ เปน็ ของยาก ฉะนนั้ คำ� วา่ “ทำ� ใหง้ า่ ย”
หรอื Simplicity จงึ เปน็ หลกั คดิ สำ� คญั ทสี่ ดุ ของการพฒั นาประเทศ
ในรปู แบบของโครงการอนั เนอื่ งมาจากพระราชดำ� ริ
๑๐. การมีส่วนรว่ ม
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงเป็น
นักประชาธปิ ไตย จงึ ทรงน�ำ “ประชาพจิ ารณ์” มาใชใ้ นการบรหิ าร
เพ่ือเปิดโอกาสให้สาธารณชน ประชาชน หรือเจ้าหน้าที่ทุกระดับ
ได้มาร่วมกันแสดงความคิดเห็นเก่ียวกับเร่ืองท่ีจะต้องค�ำนึงถึง
ความคิดเห็นของประชาชนหรือความต้องการของสาธารณชน
ดงั พระราชด�ำรัสความตอนหนึง่ วา่
“...ส�ำคัญที่สุดจะต้องหัดท�ำใจให้กว้างขวางหนักแน่น
รู้จักรับฟังความคิดเห็น แม้กระท่ังความวิพากษ์วิจารณ์จากผู้อ่ืน
อย่างฉลาด เพราะการรู้จักรับฟังอย่างฉลาดน้ันแท้จริง คือ การ
ระดมสติ ปัญญา และประสบการณ์อันหลากหลายมาอ�ำนวยการ
ปฏบิ ัตบิ ริหารงานให้ประสบความส�ำเรจ็ ทสี่ มบรู ณน์ ่นั เอง...”
14
รม่ โพธ์ทิ องของแผน่ ดิน
๑๑. ประโยชน์สว่ นรวม
การปฏิบัติพระราชกรณียกิจ และการพระราชทาน
พระราชด�ำริในการพัฒนาและช่วยเหลือพสกนิกร พระบาทสมเด็จ
พระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงระลึกถึงประโยชน์ของ
สว่ นรวมเปน็ ส�ำคัญ ดังพระราชด�ำรสั ความตอนหน่งึ ว่า
“...ใครต่อใครบอกว่าขอให้เสียสละส่วนตัว เพ่ือส่วนรวม
อันน้ี ฟังจนเบื่ออาจจะร�ำคาญด้วยซ�้ำว่า ใครต่อใครมาก็บอกว่า
ขอใหค้ ดิ ถงึ ประโยชนส์ ว่ นรวม อาจมานกึ ในใจวา่ ให้ ๆ อยเู่ รอื่ ยแลว้
ส่วนตัวจะได้อะไร ขอให้คิดว่าคนที่ให้เพ่ือส่วนรวมนั้นมิได้ให้
สว่ นรวมแตอ่ ยา่ งเดยี ว เปน็ การใหเ้ พอื่ ตวั เอง สามารถทจี่ ะมสี ว่ นรวม
ทจี่ ะอาศัยได.้ ..”
๑๒. บริการรวมทีจ่ ุดเดียว
การบริการรวมท่ีจุดเดียวเป็นรูปแบบการบริการแบบ
เบ็ดเสร็จ หรือ One Stop Services ที่เกิดข้ึนเป็นครั้งแรก
ในระบบบริหารราชการแผ่นดินของประเทศไทย โดยทรงให้ศูนย์
ศึกษาการพัฒนาอันเน่ืองมาจากพระราชด�ำริเป็นต้นแบบในการ
บริการรวมทจ่ี ดุ เดยี ว เพ่ือประโยชนต์ อ่ ประชาชนท่ีมาขอใช้บรกิ าร
จะประหยดั เวลาและคา่ ใชจ้ า่ ย โดยมหี นว่ ยงานราชการตา่ ง ๆ มารว่ ม
ดำ� เนนิ การและใหบ้ รกิ ารประชาชน ณ ทแ่ี หง่ เดยี ว ดงั พระราชดำ� รสั
ความตอนหนง่ึ ว่า
15
รม่ โพธิท์ องของแผน่ ดนิ
“...กรม กองตา่ ง ๆ ท่ีเกี่ยวขอ้ งกบั ชวี ติ ประชาชนทกุ ด้าน
ได้สามารถแลกเปล่ียนความคิดเห็น ปรองดองกัน ประสานกัน
ตามธรรมดาแต่ละฝ่ายต้องมีศูนยข์ องตน แตว่ ่าอาจจะมีงานถือวา่
เป็นศูนย์ของตัวเองคนอ่ืนไม่เกี่ยวข้อง และศูนย์ศึกษาการพัฒนา
เป็นศูนย์ที่รวบรวมก�ำลังท้ังหมดของเจ้าหน้าท่ีทุกกรม กอง ท้ังใน
ดา้ นเกษตรหรอื ในดา้ นสงั คม ทงั้ ในดา้ นหางาน การสง่ เสรมิ การศกึ ษา
มาอยู่ด้วยกัน ก็หมายความว่าประชาชน ซ่ึงจะต้องใช้วิชาการ
ท้ังหลายก็สามารถท่ีจะมาดู ส่วนเจ้าหน้าที่จะให้ความอนุเคราะห์
แก่ประชาชนก็มาอยู่พร้อมกันในท่ีเดียวกันเหมือนกัน ซ่ึงเป็น
สองด้าน ก็หมายถึงว่า ที่ส�ำคัญปลายทางคือประชาชนจะได้รับ
ประโยชน์ และต้นทางของผู้เป็นเจ้าหนา้ ท่ีจะให้ประโยชน.์ ..”
๑๓. ทรงใช้ธรรมชาตชิ ่วยธรรมชาติ
ทรงเข้าใจถึงธรรมชาติและต้องการให้ประชาชนใกล้ชิด
กับธรรมชาติ ทรงมองอย่างละเอียดถึงปัญหาธรรมชาติ หากเรา
ต้องการแก้ไขธรรมชาติจะต้องใช้ธรรมชาติเข้าช่วยเหลือ อาทิ
การแก้ไขปัญหาป่าเส่ือมโทรม ได้พระราชทานพระราชด�ำริการ
ปลกู ปา่ โดยไมต่ อ้ งปลกู ปลอ่ ยใหธ้ รรมชาตชิ ว่ ยในการฟน้ื ฟธู รรมชาติ
หรือแม้กระท่ัง การปลูกป่า ๓ อย่าง ประโยชน์ ๔ อย่าง ได้แก่
ปลูกไม้เศรษฐกิจ ไม้ผล และไม้ฟืน นอกจากได้ประโยชน์ตามช่ือ
16
ร่มโพธ์ิทองของแผน่ ดิน
ของไม้แล้ว ยังช่วยรักษาความชุ่มชื้นให้แก่พื้นดินด้วย เห็นได้ว่า
ทรงเขา้ ใจธรรมชาติ และมนษุ ยอ์ ยา่ งเกอ้ื กลู กนั ทำ� ใหค้ นอยรู่ ว่ มกบั
ปา่ ไดอ้ ย่างยง่ั ยนื
๑๔. ใชอ้ ธรรมปราบอธรรม
ทรงน�ำความเจริญในเร่ืองความเป็นไปแห่งธรรมชาติ
และกฎเกณฑ์ของธรรมชาติมาเป็นหลักการ แนวปฏิบัติที่ส�ำคัญ
ในการแก้ปัญหาและปรับปรุงเปลี่ยนแปลงสภาวะท่ีไม่ปกติเข้าสู่
ระบบทเี่ ปน็ ปกติ เชน่ การนำ� นำ้� ดี ขบั ไลน่ ำ�้ เสยี หรอื เจอื จางนำ้� เสยี ให้
กลบั เปน็ นำ�้ ดี ตามจงั หวะการขนึ้ ลง ตามธรรมชาตขิ องนำ้� การบำ� บดั
น้�ำเน่าเสียโดยใช้ผักตบชวา ซ่ึงมีตามธรรมชาติให้ดูดซึมส่ิงสกปรก
ปนเปอ้ื นในนำ้� ดงั พระราชดำ� รสั ความวา่ “ใชอ้ ธรรมปราบอธรรม”
๑๕. ปลูกป่าในใจคน
เป็นการปลูกป่าลงบนแผ่นดินด้วยความต้องการอยู่รอด
ของมนุษย์ ท�ำให้ต้องมีการบริโภคและใช้ทรัพยากรธรรมชาติ
อย่างสิ้นเปลือง เพื่อประโยชน์ของตนเองและสร้างความเสียหาย
ใหแ้ กส่ งิ่ แวดลอ้ ม ปญั หาความไมส่ มดลุ จงึ บงั เกดิ ขนึ้ ดงั นน้ั ในการท่ี
จะฟ้ืนฟูทรพั ยากรธรรมชาตใิ หก้ ลบั คนื มา จะต้องปลกู จติ สำ� นกึ ใน
การรกั ผืนปา่ ให้แกค่ นเสยี กอ่ น ดงั พระราชด�ำรสั ความตอนหนง่ึ ว่า
17
รม่ โพธิ์ทองของแผ่นดิน
“... เจา้ หนา้ ทปี่ ่าไม้ ควรจะปลกู ต้นไม้ ลงในใจคนเสียกอ่ น
แลว้ คนเหลา่ นนั้ กจ็ ะพากนั ปลกู ตน้ ไมล้ งบนแผน่ ดนิ และรกั ษาตน้ ไม้
ดว้ ยตนเอง...”
๑๖. ขาดทนุ คือก�ำไร
“...ขาดทุน คือก�ำไร Our loss is our gain... การเสีย
คือการได้ ประเทศชาติก็จะก้าวหน้า และการที่คนอยู่ดีมีสุขน้ัน
เปน็ การนบั ท่ีเปน็ มลู คา่ เงินไมไ่ ด.้ ..”
จากพระราชด�ำริดังกล่าว คือ หลักการในพระบาทสมเด็จ
พระปรมนิ ทรมหาภมู พิ ลอดลุ ยเดช ทมี่ ตี อ่ พสกนกิ รไทย “การให”้ และ
“การเสียสละ” เป็นการกระท�ำอันมีผลเป็นก�ำไร คือความอยู่ดี
มีสุขของราษฎร ซ่ึงสามารถสะท้อนให้เห็นเป็นรูปธรรมชัดเจนได้
ดังพระราชด�ำริที่ได้พระราชทานแก่ตัวแทนของปวงชนชาวไทย
ท่ีได้เข้าเฝ้าฯ ถวายพระพรเน่ืองในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษา
เมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๓๔ ณ ศาลาดุสิดาลัย พระต�ำหนัก
จิตรลดารโหฐาน ความตอนหนง่ึ ว่า
“...ประเทศต่าง ๆ ในโลก ในระยะ ๓ ปี มานี้ คนท่ีกอ่ ต้งั
ประเทศที่มีหลักทฤษฎีในอุดมคติท่ีใช้ในการปกครองประเทศ
ล้วนแต่ล่มสลายลงไปแล้ว เมืองไทยของเราจะสลายลงไปหรือ
เมืองไทยนับว่าอยู่ได้มาอย่างดีเม่ือประมาณ ๑๐ วันก่อน มีชาว
18
รม่ โพธิ์ทองของแผ่นดิน
ต่างประเทศมาขอพบ เพ่อื ขอโอวาทเกย่ี วกับการปกครองประเทศ
ว่าจะท�ำอย่างไร จึงได้แนะน�ำว่าให้ปกครองแบบคนจน แบบท่ี
ไม่ติดต�ำรามากเกินไป ท�ำอย่างมีสามัคคี มีเมตตากัน ก็จะอยู่
ได้ตลอด ไม่เหมือนกับคนที่ท�ำตามวิชาการ ท่ีเวลาปิดต�ำราแล้ว
ไม่รู้จะท�ำอย่างไร ลงท้ายก็ต้องเปิดหน้าแรกเร่ิมใหม่ถอยหลัง
เข้าคลอง ถ้าเราใช้ต�ำราแบบอะลุ้มอล่วยกันในที่สุดได้ก็เป็นการดี
ใหโ้ อวาทเขาไปวา่ ขาดทนุ เปน็ การไดก้ ำ� ไรของเรา นกั เศรษฐศาสตร์
คงคา้ นวา่ ไมใ่ ช่ แตเ่ ราอธบิ ายไดว้ า่ ถา้ เราทำ� อะไรทเ่ี ราเสยี แตใ่ นทสี่ ดุ
เราเสียน้ัน เป็นการได้ทางอ้อม ตรงกับงานของรัฐบาลโดยตรง
เงินของรัฐบาลหรืออีกนัยหน่ึง คือเงินของประชาชน ถ้าอยากให้
ประชาชนอยู่ดีกินดี ก็ต้องลงทุน ต้องสร้างโครงสรา้ ง ซ่งึ ต้องใช้เงนิ
เปน็ รอ้ ยพนั หมนื่ ลา้ น ถา้ ทำ� ไปเปน็ การจา่ ยเงนิ ของรฐั บาล แตใ่ นไมช่ า้
ประชาชนจะไดร้ บั ผล ราษฎรอยดู่ ี กนิ ดี ราษฎรไดก้ ำ� ไรไป ถา้ ราษฎร
มรี ายได้ รฐั บาลก็เกบ็ ภาษีไดส้ ะดวก เพอ่ื ใหร้ ัฐบาลไดท้ �ำโครงการ
ตอ่ ไป เพอ่ื ความกา้ วหนา้ ของประเทศชาติ ถา้ รรู้ กั สามคั คี รเู้ สยี สละ
คือการได้ ประเทศชาติก็จะก้าวหน้า และการที่คนอยู่ดีมีสุขนั้น
เป็นการนบั ท่ีเป็นมูลค่าเงินไม่ได้...”
๑๗. การพง่ึ ตนเอง
การพัฒนาตามแนวพระราชด�ำรัส เพ่ือแก้ไขปัญหาใน
เบ้ืองต้นด้วยการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า เพื่อให้มีความแข็งแรง
19
ร่มโพธิ์ทองของแผ่นดนิ
พอทจ่ี ะดำ� รงชวี ติ ไดต้ อ่ ไป แลว้ ขนั้ ตอ่ ไปกค็ อื การพฒั นาใหป้ ระชาชน
สามารถอยใู่ นสงั คมไดต้ ามสภาพแวดลอ้ มและสามารถ “พง่ึ ตนเอง
ได้” ในท่ีสดุ ดงั พระราชด�ำรัสความตอนหน่ึงวา่
“...การชว่ ยเหลอื สนบั สนนุ ประชาชนในการประกอบอาชพี
และตง้ั ตวั ใหม้ คี วามพอกนิ พอใช้ กอ่ นอน่ื เปน็ สงิ่ สำ� คญั ยงิ่ ยวดเพราะ
ผู้มีอาชีพ และฐานะเพียงพอท่ีจะพ่ึงพาตนเองได้ ย่อมสามารถ
สรา้ งความเจรญิ ในระดบั สงู ข้ันตอ่ ไป...”
๑๘. พออย่พู อกิน
การพัฒนาเพื่อให้พสกนิกรท้ังหลายประสบความสุข
สมบรู ณใ์ นชวี ติ ไดเ้ รม่ิ จากการเสดจ็ ฯ ไปเยย่ี มประชาชนทกุ หมเู่ หลา่
ในทุกภูมิภาคของประเทศไทย ได้ทอดพระเนตรความเป็นอยู่
ของราษฎรด้วยพระองค์เอง จึงทรงสามารถเข้าพระราชหฤทัย
ในสภาพปัญหาได้อย่างลึกซึ้งว่า มีเหตุผลมากมายท่ีท�ำให้ราษฎร
ตกอยใู่ นวงจรแหง่ ทกุ ขเ์ ขญ็ จากนน้ั ไดพ้ ระราชทานความชว่ ยเหลอื
ใหพ้ สกนกิ รมคี วามกนิ ดอี ยดู่ ี มชี วี ติ อยใู่ นขนั้ “พออยพู่ อกนิ ” กอ่ น
แลว้ จึงขยบั ขยายให้มีขีดสมรรถนะทกี่ า้ วหนา้ ต่อไป
ในการพัฒนาน้ัน หากมองในภาพรวมของประเทศ
มิใช่งานเล็กน้อย แต่ต้องใช้ความคิดและก�ำลังของคนท้ังชาติ
จึงจะบรรลุผลส�ำเร็จด้วยพระปรีชาญาณในพระบาทสมเด็จ
20
รม่ โพธทิ์ องของแผน่ ดิน
พระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช จึงท�ำให้คนทั้งหลายได้ประจักษ์
ว่าแนวพระราชด�ำริในพระองคน์ น้ั “เรียบง่าย ปฏิบัติไดผ้ ล” เป็น
ทย่ี อมรับโดยทั่วกนั ดงั พระราชด�ำรัสความตอนหนึ่งว่า
“...ถ้าโครงการดี ในไม่ช้า ประชาชนก็ได้ก�ำไร จะได้ผล
ราษฎรจะอยูด่ ีกนิ ดีขึ้น จะไดป้ ระโยชนไ์ ป...”
๑๙. เศรษฐกิจพอเพียง
เศรษฐกจิ พอเพยี งเปน็ ปรชั ญาทพ่ี ระบาทสมเดจ็ พระปรมนิ ทร
มหาภูมพิ ลอดุลยเดช ทรงมีพระราชด�ำรสั ชแ้ี นะแนวทางการดำ� เนนิ
ชีวิตแก่พสกนกิ รชาวไทยมาโดยตลอดนานกวา่ ๓๐ ปี ตงั้ แตก่ อ่ น
เกิดวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจและเมื่อภายหลังได้ทรงยำ้� แนวทาง
การแกไ้ ข เพอ่ื รอดพน้ และสามารถดำ� รงอยไู่ ดอ้ ยา่ งมน่ั คงและยงั่ ยนื
ภายใต้กระแสโลกาภวิ ตั นแ์ ละความเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ดงั ปรชั ญา
ของเศรษฐกจิ พอเพยี งท่ีไดพ้ ระราชทานไวด้ ังนี้
“เศรษฐกจิ พอเพยี ง เปน็ ปรชั ญานถ้ี งึ แนวการดำ� รงอยแู่ ละ
ปฏิบัติตนของประชาชนในทุกระดับตั้งแต่ระดับครอบครัว ระดับ
ชมุ ชนจนถงึ ระดบั รฐั ทง้ั ในการพฒั นาและบรหิ ารประเทศใหด้ ำ� เนนิ
ไปในทางสายกลาง โดยเฉพาะการพัฒนาเศรษฐกจิ เพอื่ ใหก้ า้ วทัน
ต่อโลกยคุ โลกาภิวตั น์ ความพอเพียง หมายถึง ความพอประมาณ
ความมเี หตผุ ล รวมถงึ ความจำ� เปน็ ท่จี ะต้องมรี ะบบภูมคิ ุ้มกนั ในตวั
21
ร่มโพธ์ิทองของแผ่นดิน
ทดี่ พี อสมควร ตอ่ การมผี ลกระทบใด ๆ อนั เกดิ จากการเปลย่ี นแปลง
ทง้ั ภายนอกและภายใน ทงั้ น้ี จะตอ้ งอาศยั ความรอบรู้ ความรอบคอบ
และความระมัดระวัง อย่างย่ิง ในการน�ำวิชาการต่าง ๆ มาใช้ใน
การวางแผนและการด�ำเนินการทุกข้ันตอน และขณะเดียวกัน
จะต้องเสรมิ สรา้ งพ้ืนฐานจิตใจของคนในชาติ โดยเฉพาะเจ้าหนา้ ท่ี
ของรัฐ นกั ทฤษฎี และนักธรุ กจิ ในทุกระดับใหม้ ีสำ� นึกในคณุ ธรรม
ความซ่อื สัตย์ สุจรติ และใหม้ ีความรอบรู้ ทีเ่ หมาะสม ดำ� เนินชวี ติ
ด้วยความอดทน ความเพียร มีสติ ปัญญา และความรอบคอบ
เพอื่ ใหส้ มดลุ และพรอ้ มตอ่ การรองรบั การเปลย่ี นแปลงอยา่ งรวดเรว็
และกว้างขวางทั้งด้านวัตถุ สังคม สิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรม
จากโลกภายนอกไดเ้ ปน็ อยา่ งด”ี
๒๐. ความซือ่ สตั ย์ สจุ รติ จรงิ ใจตอ่ กัน
พ ร ะ บ า ท ส ม เ ด็ จ พ ร ะ ป ร มิ น ท ร ม ห า ภู มิ พ ล อ ดุ ล ย เ ด ช
พระราชทานพระราชด�ำรสั เรอ่ื งความซื่อสตั ย์ สุจรติ จรงิ ใจตอ่ กนั
อย่างตอ่ เนอ่ื งตลอดมา เพราะเห็นว่า หากคนไทยทกุ คนได้ร่วมมือ
กนั ช่วยชาติ พัฒนาชาตดิ ว้ ยความซอื่ สตั ย์ สุจริต จรงิ ใจตอ่ กนั แล้ว
ประเทศไทยจะเจริญกา้ วหนา้ อย่างมาก ดังพระราชด�ำรัสดงั นี้
22
รม่ โพธทิ์ องของแผ่นดิน
“...คนท่ีไม่มีความสุจริต คนท่ีไม่มีความม่ันคง ชอบแต่
มักง่ายไม่มีวันจะสร้างสรรค์ประโยชน์ ส่วนรวมท่ีส�ำคัญอันใดได้
ผู้ท่ีมีความสุจริตและความมุ่งม่ันเท่านั้น จึงจะท�ำงานส�ำคัญอย่าง
ยง่ิ ใหญ่ ท่เี ปน็ คุณ เปน็ ประโยชน์ แทจ้ ริงไดส้ �ำเร็จ...”
พระราชด�ำรัส เมอื่ วันที่ ๑๒ กรกฎาคม ๒๕๒๒
“...ผู้ที่มีความสุจริตและบริสุทธ์ิใจ แม้จะมีความรู้น้อยก็
ย่อมท�ำประโยชน์ให้แก่ส่วนรวมได้มากกว่าผู้มีความรู้มาก แต่ไม่มี
ความสุจริต ไมม่ ีความบริสทุ ธใิ์ จ...”
พระราชดำ� รัส เม่อื วันท่ี ๑๘ มนี าคม ๒๕๓๓
“...ข้าราชการหรือประชาชนมีการทุจริต ถ้ามีทุจริตแล้ว
บ้านเมอื งพงั ทีเ่ มอื งไทยพังมาเพราะมที จุ รติ ...”
พระราชดำ� รัส เมอ่ื วนั ท่ี ๓ ตลุ าคม ๒๕๔๖
23
ร่มโพธิ์ทองของแผ่นดนิ
๒๑. ทำ� งานอยา่ งมีความสุข
พ ร ะ บ า ท ส ม เ ด็ จ พ ร ะ ป ร มิ น ท ร ม ห า ภู มิ พ ล อ ดุ ล ย เ ด ช
ทรงพระเกษมส�ำราญและทรงมีความสุขทุกคราท่ีจะช่วยเหลือ
ประชาชน ซง่ึ เคยมพี ระราชดำ� รสั ครง้ั หน่ึงความว่า
“...ทำ� งานกบั ฉนั ฉนั ไมม่ อี ะไรจะให้ นอกจากการมคี วามสขุ
รว่ มกนั ในการท�ำประโยชน์ใหก้ ับผ้อู ่ืน...”
๒๒. ความเพยี ร พระมหาชนก
จากพระราชนพิ นธ์ “พระมหาชนก” เป็นพระราชนิพนธ์
ที่พระองค์ทรงใช้เวลาค่อนข้างนานในการคิดประดิษฐ์ ท�ำให้
เข้าใจง่ายและปรับเปลี่ยนให้เข้ากับสภาพสังคมปัจจุบัน อีกท้ัง
ภาพประกอบและคติธรรมต่าง ๆ ได้ส่งเสริมให้หนังสือเล่มน้ี
มคี วามศกั ดสิ์ ทิ ธท์ิ ห่ี ากคนไทยนอ้ มรบั มาศกึ ษาวเิ คราะห์ และปฏบิ ตั ิ
ตามรอยพระมหาชนก กษัตริย์ผู้เพียรพยายามแม้จะไม่เห็นฝั่ง
กย็ ังว่ายน�้ำตอ่ ไป เพราะถ้าไม่เพียรว่ายกจ็ ะตกเป็นอาหาร ปู ปลา
และไม่ไดพ้ บกับเทวดาท่มี าชว่ ยเหลอื มใิ หจ้ มน้ำ� ไป
เชน่ เดยี วกบั พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภมู ิพลอดลุ ยเดช
ทท่ี รงรเิ รม่ิ ทำ� โครงการตา่ ง ๆ ในระยะแรก ทไ่ี มม่ คี วามพรอ้ มในการ
ท�ำงานมากนัก และทรงใช้พระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ท้ังส้ิน แต่
พระองค์ก็มิได้ท้อพระราชหฤทัย มุ่งม่ันพัฒนาบ้านเมืองให้บังเกิด
ความรม่ เย็นเปน็ สขุ
24
ร่มโพธทิ์ องของแผน่ ดนิ
๒๓. รู้ รกั สามัคคี
พ ร ะ บ า ท ส ม เ ด็ จ พ ร ะ ป ร มิ น ท ร ม ห า ภู มิ พ ล อ ดุ ล ย เ ด ช
มีพระราชด�ำรัสในเร่อื ง “รู้ รัก สามัคค”ี มาอย่างต่อเนอื่ ง ซ่ึงเป็น
คำ� สามคำ� ทม่ี คี า่ และมคี วามหมายลกึ ซงึ้ พรอ้ มทง้ั สามารถปรบั ใชไ้ ด้
กบั ทกุ ยคุ ทกุ สมยั
รู้ – การทีเ่ ราจะลงมือทำ� สิ่งใดนนั้ จะต้องรูเ้ สยี กอ่ น รถู้ งึ
ปจั จยั ทัง้ หมด ร้ถู ึงปัญหาและรู้ถึงวิธีการแกป้ ัญหา
รัก – คือความรัก เม่ือเรารู้ครบถ้วนกระบวนความแล้ว
จะต้องมีความรักการพิจารณาท่ีจะเข้าไปลงมือปฏิบัติแก้ไขปัญหา
นน้ั ๆ
สามัคคี – การท่ีจะลงมือปฏิบัตินั้น ควรค�ำนึงเสมอว่า
เราจะท�ำงานคนเดียวไม่ได้ ต้องท�ำงานร่วมมือร่วมใจเป็นองค์กร
เป็นหมู่คณะ จงึ จะมีพลังเขา้ ไปแก้ปัญหาให้ลลุ ่วงไปไดด้ ้วยดี
25
๒
แนวพระราชด�ำริ
ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
“การพฒั นาประเทศจำ� เปน็ ตอ้ งทำ� ตามลำ� ดบั ขนั้ ตอ้ งสรา้ ง
พื้นฐานคือ ความพอมีพอกินพอใช้ของประชาชนส่วนใหญ่เป็น
เบ้ืองต้นก่อน โดยใช้วิธีการและใช้อุปกรณ์ท่ีประหยัดแต่ถูกต้อง
ตามหลักวชิ า เมือ่ ไดพ้ นื้ ฐานมนั่ คงพรอ้ มพอควรและปฏบิ ัตไิ ดแ้ ล้ว
จึงค่อยสร้างค่อยเสริมความเจริญและฐานะเศรษฐกิจข้ันที่สูงข้ึน
โดยลำ� ดับตอ่ ไป หากมงุ่ แตจ่ ะทมุ่ เทสรา้ งความเจริญ ยกเศรษฐกิจ
ข้ึนให้รวดเร็วแต่ประการเดียว โดยไม่ให้แผนปฏิบัติการสัมพันธ์
กบั สภาวะของประเทศและของประชาชนโดยสอดคล้องดว้ ย ก็จะ
เกิดความไมส่ มดุลในเร่อื งต่าง ๆ ขนึ้ ซึง่ อาจกลายเป็นความยุ่งยาก
ลม้ เหลวได้ในทีส่ ุด”
พระบรมราโชวาทเนอ่ื งในพธิ พี ระราชทานปรญิ ญาบตั ร
ของมหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์
วนั ที่ ๑๘ กรกฎาคม ๒๕๑๗
ร่มโพธิท์ องของแผน่ ดิน
“ความพอเพยี งน้ี ไมไ่ ดห้ มายความวา่ ทกุ ครอบครวั จะตอ้ ง
ผลิตอาหารของตัว จะต้องทอผ้าใส่เอง อย่างนั้นมันเกินไป แต่ว่า
ในหมู่บ้านหรือในอ�ำเภอจะต้องมีความพอเพียงพอสมควร บางสิ่ง
บางอย่างท่ีผลิตได้มากกว่าความต้องการก็ขายได้ แต่ขายที่ไม่ห่าง
ไกลเท่าไหร่ ไม่ต้องเสียค่าขนส่งมากนัก อย่างน้ีท่านนักเศรษฐกิจ
ต่าง ๆ ก็มาบอกว่าล้าสมัยจริง อาจจะล้าสมัย คนอื่นเขาต้องมี
การเศรษฐกจิ ทตี่ อ้ งมกี ารแลกเปลย่ี น เรยี กวา่ เปน็ เศรษฐกจิ การคา้
ไม่ใช่เศรษฐกิจความพอเพียง เลยรู้สึกว่า ไม่หรูหรา แต่เมืองไทย
เปน็ ประเทศท่ีมีบญุ อย่วู า่ ผลติ ให้พอเพยี งได้
ถ้าสามารถที่จะเปลี่ยนไปท�ำให้กลับเป็นเศรษฐกิจแบบ
พอเพียง ไม่ต้องท้ังหมด แม้แค่คร่ึงก็ไม่ต้อง อาจจะสักเศษหน่ึง
สว่ นสี่ ก็จะสามารถอย่ไู ด้ การแก้ไข อาจจะตอ้ งใช้เวลา ไม่ใชง่ ่าย ๆ
โดยมากคนก็ใจร้อน เพราะเดือดร้อน แต่ว่าถ้าท�ำตั้งแต่เดี๋ยวนี้
ก็สามารถทีจ่ ะแกไ้ ขได”้
พระราชด�ำรสั เนอื่ งในโอกาสวนั เฉลิมพระชนมพรรษา
วันท่ี ๔ ธันวาคม ๒๕๔๐
27
รม่ โพธิท์ องของแผน่ ดิน
“เศรษฐกิจพอเพียง เป็นปรัชญาช้ีถึงแนวการด�ำรงอยู่
และปฏิบัติตนของประชาชนในทุกระดับ ตั้งแต่ระดับครอบครัว
ระดับชุมชน จนถึงระดับรัฐ ทั้งในการพัฒนาและบริหารประเทศ
ให้ด�ำเนินไปในทางสายกลาง โดยเฉพาะการพัฒนาเศรษฐกิจเพ่ือ
ให้ก้าวทันต่อโลกยุคโลกาภิวัตน์ ความพอเพียง หมายถึงความ
พอประมาณ ความมีเหตุผล รวมถึงความจ�ำเป็นที่จะต้องมีระบบ
ภมู ิคมุ้ กนั ในตวั ท่ดี พี อสมควร ตอ่ การมผี ลกระทบใด ๆ อนั เกิดจาก
การเปลี่ยนแปลงท้ังภายนอกและภายใน ทั้งน้ีจะต้องอาศัยความ
รอบรู้ ความรอบคอบ และความระมัดระวังอย่างยิ่ง ในการน�ำ
วิชาการตา่ ง ๆ มาใชใ้ นการวางแผนและการดำ� เนินการทุกขน้ั ตอน
และขณะเดียวกันจะต้องเสริมสร้างพื้นฐานจิตใจของคนในชาติ
โดยเฉพาะเจ้าหน้าท่ีของรัฐ นักทฤษฎีและนักธุรกิจในทุกระดับ
ให้มีส�ำนึกในคุณธรรม ความซ่ือสัตย์สุจริต และให้มีความรอบรู้
ทเี่ หมาะสม ด�ำเนินชีวติ ดว้ ยความอดทน ความเพียร มีสติ ปัญญา
และความรอบคอบ เพ่ือให้สมดุลและพร้อมต่อการรองรับ
การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและกว้างขวางท้ังด้านวัตถุ สังคม
สงิ่ แวดลอ้ ม และวัฒนธรรมจากโลกภายนอกได้เป็นอย่างดี”
พระราชดำ� รสั พระราชทานพระบรมราชานญุ าตให้น�ำไปเผยแพร่
เพ่ือเปน็ แนวทางปฏิบัติของทกุ ฝ่าย
วนั ที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๔๒
28
ร่มโพธ์ิทองของแผน่ ดิน
ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง เปน็ แนวทางการดำ� เนนิ ชวี ติ
และวิธีปฏิบัติ ที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
พระราชทานพระราชดำ� รสั ชแี้ นะแกพ่ สกนกิ รชาวไทยมาโดยตลอด
เกือบ ๔๐ ปี และไดท้ รงเน้นยำ�้ แนวทางการพฒั นาทีต่ ้งั อย่บู นพ้นื
ฐานของทางสายกลางและความไม่ประมาทโดยค�ำนึงถึงความพอ
ประมาณ ความมีเหตผุ ล การสรา้ งภมู คิ ุ้มกนั ในตวั ท่ีดี ตลอดจนใช้
ความรู้ และคุณธรรมเป็นพื้นฐานในการด�ำรงชีวิตการป้องกันให้
รอดพน้ จากวกิ ฤต และใหส้ ามารถดำ� รงอยไู่ ดอ้ ยา่ งมน่ั คงและยงั่ ยนื
ภายใต้กระแสโลกาภวิ ัตน์และความเปลีย่ นแปลงต่าง ๆ
ส�ำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคม
แหง่ ชาติ (สศช.) ในฐานะหนว่ ยงานหลกั ในการวางแผนของประเทศ
ตระหนกั ถงึ ความสำ� คญั ของแนวคดิ ดงั กลา่ ว จงึ ไดเ้ ชญิ ผทู้ รงคณุ วฒุ ิ
จากสาขาต่าง ๆ มารว่ มกันพจิ ารณากลัน่ กรองพระบรมราโชวาทและ
พระราชดำ� รสั ของพระบาทสมเดจ็ พระปรมนิ ทรมหาภมู พิ ลอดลุ ยเดช
ในโอกาสต่าง ๆ ท่เี ก่ยี วขอ้ งกับเศรษฐกจิ พอเพียง สรปุ ออกมาเป็น
นยิ ามความหมาย “ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง” และนำ� ความ
กราบบงั คมทลู ฯ ขอพระราชทานพระบรมราชวนิ จิ ฉัย ซ่งึ พระองค์
ได้ทรงพระกรุณาปรับปรุงแก้ไขพระราชทาน และทรงพระกรุณา
โปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้
สศช. น�ำไปเผยแพร่ เพ่ือเป็นแนวทางปฏิบัติของทุกฝ่ายและ
ประชาชนทวั่ ไป เมอื่ วนั ที่ ๒๙ พฤศจกิ ายน ๒๕๔๒
29
รม่ โพธทิ์ องของแผน่ ดนิ
องค์ประกอบของ “ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพียง”
พ ร ะ บ า ท ส ม เ ด็ จ พ ร ะ ป ร มิ น ท ร ม ห า ภู มิ พ ล อ ดุ ล ย เ ด ช
ทอดพระเนตร เหน็ ความเสี่ยงของเศรษฐกจิ และสังคมไทยท่พี ง่ึ พิง
ปัจจัยภายนอกสูงภายใต้กระแสโลกาภิวัตน์ และการเปล่ยี นแปลง
ต่าง ๆ อย่างรวดเร็ว จึงทรงเตือนให้พสกนิกรตระหนักถึงความ
สำ� คญั ของปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง ซง่ึ นำ� สกู่ ารพฒั นาทยี่ ง่ั ยนื
และทรงเน้นย�ำ้ ว่า การพัฒนาต้องเร่ิมจากการ “พงึ่ ตนเอง” สรา้ ง
พื้นฐานใหพ้ อมี พอกิน พอใช้ ด้วยวธิ ีการประหยดั และถูกต้องตาม
หลักวิชาการให้ได้ก่อน โดยต้องรู้จักประมาณตนและด�ำเนินการ
ดว้ ยความรอบรู้ รอบคอบ ระมดั ระวงั และ “ทำ� ตามลำ� ดบั ขน้ั ตอน”
สกู่ าร “รว่ มมอื ชว่ ยเหลอื ซงึ่ กนั และกนั ” เมอื่ พฒั นาตนเอง
และชุมชนให้เข้มแข็งแล้ว จะได้ “พัฒนาเครือข่ายเชื่อมสู่สังคม
ภายนอกอย่างเขม้ แข็ง มนั่ คง และยัง่ ยนื ” ตอ่ ไป
พ ร ะ บ า ท ส ม เ ด็ จ พ ร ะ ป ร มิ น ท ร ม ห า ภู มิ พ ล อ ดุ ล ย เ ด ช
พระราชทานปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ให้เป็นแนวทางการ
ดำ� เนนิ ชวี ติ และวถิ ปี ฏบิ ตั นิ ำ� สคู่ วามสมดลุ อนั จะสง่ ผลใหม้ คี วามสขุ
อยา่ งย่งั ยืน โดยมอี งค์ประกอบสำ� คัญดังนี้
ความพอประมาณ หมายถึง ความพอดี ต่อความ
จำ� เปน็ และเหมาะสมกบั ฐานะของตนเอง สงั คม สง่ิ แวดลอ้ มรวมทงั้
วัฒนธรรม ในแตล่ ะทอ้ งถ่นิ ไมม่ ากเกินไป ไมน่ ้อยเกินไป และต้อง
ไมเ่ บยี ดเบยี นตนเองและผ้อู นื่
30
รม่ โพธิ์ทองของแผน่ ดนิ
ความมีเหตุผล หมายถึง การตัดสินใจ ด�ำเนินการ
อย่างมีเหตุผลตามหลักวิชาการ หลักกฎหมาย หลักคุณธรรม
และวัฒนธรรมท่ีดีงาม โดยค�ำนึงถึงปัจจัยท่ีเกี่ยวข้องอย่างถ้วนถี่
“รจู้ ดุ ออ่ น จดุ แขง็ โอกาส อปุ สรรค” และคาดการณ์ ผลทจ่ี ะเกดิ ขน้ึ
อย่างรอบคอบ “รู้เขา รู้เรา รู้จักเลือกน�ำสิ่งท่ีดีและเหมาะสม
มาประยกุ ตใ์ ช”้
การมีภูมิคุ้มกันในตัวที่ดี หมายถึง การเตรียมตัว
ใหพ้ รอ้ มรับผลกระทบและการเปล่ยี นแปลง ด้านเศรษฐกจิ สังคม
สิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรมจากท้ังในและต่างประเทศ เพ่ือให้
สามารถบริหารความเส่ียงปรับตัวและรับมอื ไดอ้ ยา่ งทนั ท่วงที
การปฏิบตั เิ พ่ือใหเ้ กิดความพอเพียงนน้ั จะต้องเสริมสรา้ ง
ให้คนในชาตมิ พี ืน้ ฐานจติ ใจในการปฏบิ ตั ติ นดังน้ี
มีคณุ ธรรม ทั้งน้ี บคุ คล ครอบครวั องค์กร และชุมชน
ทีจ่ ะน�ำปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพียงไปใช้ ตอ้ งน�ำระบบคุณธรรม
และความซื่อสัตย์สุจริตมาประพฤติปฏิบัติก่อน โดยเริ่มจากการ
อบรมเล้ยี งดูในครอบครัว การศกึ ษาอบรมในโรงเรยี น การส่ังสอน
ศีลธรรม จากศาสนา ตลอดจนการฝกึ จติ ข่มใจรอบคอบ
ใช้หลักวิชา – ความรู้ โดยน�ำหลักวิชาและความรู้
เทคโนโลยีที่เหมาะสมมาใช้ ทงั้ ในขั้นการวางแผนและปฏิบัติ ดว้ ย
ความรอบรู้ รอบคอบ และระมัดระวงั อยา่ งยิง่
31
ร่มโพธ์ิทองของแผน่ ดนิ
ด�ำเนนิ ชีวติ ดว้ ยความเพียร ความอดทน มีสติ ปัญญา
และความรอบคอบ
การประยกุ ตใ์ ชเ้ ศรษฐกจิ พอเพยี งสำ� หรบั สงั คมแตล่ ะระดบั
เศรษฐกิจพอเพียงสามารถน�ำมาประยุกต์ใช้ได้กับสังคม
ทกุ ระดบั ได้แก่
ระดับบุคคลและครอบครวั
เศรษฐกิจพอเพียงระดับบุคคลและครอบครัวน้ัน คือ
ความสามารถในการด�ำรงชีวิตได้อย่างไม่เดือดร้อน ก�ำหนดความ
เป็นอยู่อย่างประมาณตนตามฐานะ ตามอัตภาพ และที่ส�ำคัญ
ไม่หลงใหลไปตามกระแสวัตถุนิยม มีอิสรภาพ เสรีภาพ ไม่มี
พันธนาการอยู่กับส่ิงใดสามารถให้ตนเป็นท่ีพ่ึงแห่งตนใน ๕ ด้าน
คอื พงึ่ ตนเองไดท้ างจติ ใจ สงั คม ทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสง่ิ แวดลอ้ ม
เทคโนโลยี และทางเศรษฐกิจ รู้จกั ค�ำว่า “พอ” และไม่เบียดเบียน
ผู้อ่ืน พยายามพัฒนาตนเอง เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งและ
ความช�ำนาญ และมีความสุขและความพอใจกับชีวิตท่ีพอเพียง
ยึดเส้นทางสายกลางในการด�ำรงชีวิต เช่น ไม่ซ้ือของมากมาย
เกินความจ�ำเป็น หากพิจารณาให้ดีจะเห็นว่าของหลายอย่างที่
ซือ้ มาแล้วไมไ่ ด้ใช้ กลายเปน็ ขยะรกบ้าน ความสขุ อยู่ท่คี วามพอใจ
ในชวี ติ ท่พี อเพียง
32
รม่ โพธ์ทิ องของแผน่ ดนิ
ระดับชุมชน ประกอบด้วย บุคคลและครอบครัวที่มี
ความพอเพียงแล้ว
คนในชุมชนรวมกลุ่มท�ำประโยชน์เพ่ือส่วนรวม โดย
อาศัยภูมิปัญญาและความสามารถของบุคคลและชุมชน ซ่ึงใน
การด�ำเนินงานของชุมชนให้ประสบผลส�ำเร็จได้ จะต้องมีส�ำนึก
ในคุณธรรม ความซ่ือสัตย์สุจริต ด�ำเนินงานด้วยความโปร่งใส
ตรงไปตรงมา ตรวจสอบได้ ด�ำเนินงานด้วยความพอประมาณ
อย่างมีเหตุผล ไม่สนับสนุนการลงทุนจนเกินตัว ด�ำเนินงาน
อย่างรอบคอบ มีสติ ปัญญา อีกท้ังต้องมีความรอบรู้ท่ีเหมาะสม
เพอื่ นำ� มาปรบั ปรงุ การดำ� เนนิ งานของชมุ ชนใหพ้ ฒั นาอยา่ งตอ่ เนอื่ ง
และน�ำมาสร้างภูมิคุ้มกันเพ่ือรองรับการเปล่ียนแปลงต่าง ๆ ท่ี
อาจเกดิ ข้ึนจากทัง้ ภายในภายนอก และมีการพัฒนาไปส่เู ครอื ขา่ ย
ระหวา่ งชมุ ชนตา่ ง ๆ
นอกจากนี้ การอยู่ร่วมกันในครอบครัวและชุมชนต้อง
ถนอมน้�ำใจและอยู่ร่วมกันให้ได้ อาศัยภูมิปัญญาความสามารถ
ของตนและชุมชน มีความเอื้ออาทรต่อกันระหว่างสมาชิกชุมชน
จะชว่ ยใหม้ ีเครอื ข่ายเกดิ พลังขึน้ ช่วยเหลอื ซึง่ กนั และกนั ปัจจบุ ัน
คนในเมืองมักจะไม่รู้จักคนข้างบ้าน เพราะตื่นเช้าก็ต้องรีบออก
จากบ้านไปท�ำงาน ไม่เหมือนสังคมสมัยก่อนท่ีมักจะรู้จักกันหมด
จึงเห็นได้ว่า สงั คมของเราก�ำลังอ่อนแอลงไปทกุ ที
33
รม่ โพธิ์ทองของแผ่นดิน
ระดบั รัฐหรอื ระดบั ประเทศ
เปน็ การบรหิ ารจดั การประเทศ โดยเรมิ่ จากการวางรากฐาน
ใหป้ ระชาชนสว่ นใหญอ่ ยอู่ ยา่ งพอมพี อกนิ และพงึ่ ตนเองได้ มคี วามรู้
คุณธรรมในการดำ� เนินชีวิต มีการรวมกลุ่มของชมุ ชนหลาย ๆ แหง่
เพอ่ื แลกเปลีย่ นความรู้ สืบทอดภูมิปัญญา และรว่ มกันพฒั นาตาม
แนวทางเศรษฐกิจพอเพยี งอยา่ งรู้ รัก สามคั คี เสรมิ สรา้ งเครือขา่ ย
เชอื่ มโยงระหวา่ งชุมชนใหเ้ กิดเป็นสังคมแห่งความพอเพยี ง
การพฒั นาระดบั ประเทศ เปน็ การวางรากฐานของประเทศ
วา่ ควรเดนิ ไปขา้ งหนา้ อยา่ งไร แคไ่ หน ตอ้ งดสู มรรถนะหรอื จดุ แขง็
ของเราเสียก่อน พอประมาณของเราอยู่แค่ไหน ศักยภาพของเรา
อยู่ที่ไหน ก็ควรไปทางนั้น เช่น เร่ืองอาหารมีนโยบาย “ครัวไทย
สคู่ รวั โลก” เรานา่ จะทำ� ได้ เพราะอาหารของเราอรอ่ ย และมคี ณุ ภาพ
มากกวา่ ของหลาย ๆ ประเทศและเราเปน็ ประเทศเกษตรมวี ตั ถดุ บิ
ที่มีคุณภาพมากมาย ถ้าได้รับการส่งเสริมจะได้ประโยชน์ตั้งแต่
คนผลติ วตั ถดุ บิ จนถงึ นกั ธรุ กจิ เพยี งแคผ่ ลติ ฮาลาล สง่ บรไู น มาเลเซยี
และตะวันออกกลาง ก็น่าจะมีรายได้มากเพียงพอแล้ว ถ้าเลือก
ใหเ้ หมาะสม เราจะสามารถไปสทู่ ี่ ๑ ของโลกได้ เปน็ ต้น
ระดับนักธรุ กจิ
เรมิ่ จากความมงุ่ มนั่ ในการดำ� เนนิ ธรุ กจิ ทหี่ วงั ผลประโยชน์
หรอื กำ� ไรในระยะยาวมากกวา่ ระยะสน้ั ยอมรบั การมกี ำ� ไรในระดบั
พอประมาณ (Normal Profit)
34
ร่มโพธิท์ องของแผน่ ดิน
และมีเหตุมีผลท่ีพอเพียงต่อนักธุรกิจท่ีลงทุนหรือผู้ถือหุ้น
และตอ้ งไมเ่ ปน็ การแสวงหากำ� ไรโดยการเอาเปรยี บผบู้ รโิ ภค หรอื ผดิ
กฎหมาย หลกั ของเศรษฐกจิ พอเพยี ง ไมป่ ฏเิ สธการสง่ ออก แตต่ อ้ ง
มกี ารสรา้ งภมู คิ มุ้ กนั ในตวั ทดี่ ี เพอ่ื ใหพ้ รอ้ มรบั ตอ่ ความเปลย่ี นแปลง
ต่าง ๆ โดยระลึกเสมอว่าการจะก้าวให้ทันต่อกระแสโลกาภิวัตน์
ต้องอาศัยความรอบรู้ รอบคอบ และระมัดระวงั อย่างย่ิง
ทง้ั น้ี นกั ธุรกิจสามารถกู้เงนิ มาลงทนุ เพอื่ สรา้ งรายได้ และ
ต้องสามารถใช้หน้ีได้ ไม่ท�ำอะไรเกินตัว ต้องมีคุณธรรม ซื่อสัตย์
สุจริต มีความเพียร อดทน และรับผิดชอบต่อสังคม โดยมีการ
พัฒนาประสิทธิภาพการผลิต ปรับปรุงสินค้า และคุณภาพให้ทัน
กับความต้องการของตลาดและการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี
มีจรยิ ธรรมคุณธรรม รักษาความสมดลุ ในการแบง่ ปันผลประโยชน์
ของธุรกิจ ในระหว่างผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต่าง ๆ ได้แก่ พนักงาน
บริษทั ผูบ้ รโิ ภค และสงั คมโดยรวม จะอยไู่ ด้อยา่ งย่ังยนื
ระดับนักการเมือง
การก�ำหนดนโยบายการออกกฎหมายและข้อบัญญัติ
ต่าง ๆ หรือด�ำเนินวิถีทางการเมือง ให้ยึดมั่นอยู่บนพ้ืนฐานของ
ความพอเพยี งและผลประโยชนข์ องสว่ นรวม ตอ้ งใชค้ วามเสมอภาค
มีทัศนคติและความคิดท่ีดี บนพ้ืนฐานของความพอเพียง ซ่ือสัตย์
สจุ ริต มคี วามเพียร และมีสติ ในการทำ� กจิ การต่าง ๆ
35
รม่ โพธ์ทิ องของแผน่ ดนิ
ระดับเจ้าหน้าทข่ี องรฐั
ระดับองค์กรหรือผู้บริหาร ต้องบริหารความเส่ียง ไม่ท�ำ
โครงการท่ีเกินตัวหรือเส่ียงเกินไป ปรับขนาดองค์กรให้เหมาะสม
จัดก�ำลังคนตามความรู้ ความสามารถ บริหารงานตามหลัก
ธรรมาภิบาล ด้วยความโปร่งใสและมีคุณธรรม บริหารจัดการ
ทรัพยากรด้วยความประหยัดและคุ้มค่า และถ่ายทอดความรู้
ในการปฏบิ ตั งิ าน การจดั เตรยี มนโยบาย แผนงานหรอื โครงการตา่ ง ๆ
ตอ้ งสอดคลอ้ งกบั เศรษฐกจิ พอเพยี ง โดยเนน้ พฒั นาและแกไ้ ขปญั หา
ด้านสงั คมเศรษฐกิจและจติ ใจควบคกู่ นั ไป
ระดับเจ้าหน้าที่ ควรปรับวถิ แี ละใช้ชวี ติ แบบพอเพยี ง รจู้ ัก
พอประมาณและพึ่งตนเองเป็นหลัก ซ่ือสัตย์สุจริต ปฏิบัติหน้าท่ี
ดว้ ยความรับผดิ ชอบ รอบคอบ ระมัดระวงั ใช้จา่ ยอย่างเหมาะสม
กับรายได้ พัฒนาตนเองและความรู้อยู่เสมอ หลีกเล่ียงอบายมุข
รกั ษาวฒั นธรรมไทย ยดึ ประโยชนส์ ว่ นรวม มากกวา่ สว่ นตน สามคั คี
แบ่งปัน ให้บริการและช่วยเหลือประชาชนด้วยน้�ำใจไมตรี อย่าง
รวดเรว็ และเสมอภาค
ในการประกาศนโยบายด้านตา่ ง ๆ ต้องมเี หตผุ ล คล่องตวั
ทำ� อยา่ งคอ่ ยเปน็ คอ่ ยไป ปอ้ งกนั การเกดิ ปญั หาในภายภาคหนา้ โดย
การสรา้ งภมู คิ มุ้ กนั ซงึ่ ภาษาสมยั ใหมเ่ รยี กวา่ การบรหิ ารความเสย่ี ง
(Risk Management)
36
รม่ โพธ์ิทองของแผน่ ดิน
ระดบั คร-ู อาจารยแ์ ละผู้บรหิ ารสถานศกึ ษา
เล็งเห็นความส�ำคัญและน้อมน�ำปรัชญาฯ มาปฏิบัติให้
เปน็ ตวั อยา่ ง เปน็ แมพ่ มิ พแ์ ละพอ่ พมิ พท์ ดี่ ี ทงั้ ในดา้ นการดำ� เนนิ ชวี ติ
อาทิ ขยนั อดทน ไมย่ งุ่ เกยี่ วกบั การพนนั และอบายมขุ ไมฟ่ งุ้ เฟอ้ ฯลฯ
และพัฒนาระบบการเรียนการสอน ตามหลักปรัชญาฯ อาทิ
ต้ังใจสอน หม่นั หาความร้เู พม่ิ เติม
เปดิ โอกาสใหเ้ ดก็ แสดงความคดิ เหน็ เพอ่ื แลกเปลย่ี นเรยี นรู้
ระหว่างครกู ับนักเรียน กระตุน้ ใหเ้ ดก็ รกั การเรยี น คิดเปน็ ท�ำเป็น
และปลกู ฝงั คุณธรรม เพือ่ เป็นการสรา้ งคนดี คนเกง่ ใหแ้ กส่ ังคม
ระดับนักเรยี น นสิ ิต นกั ศกึ ษา
ตอ้ งรจู้ กั แบง่ เวลาเรยี น เลน่ และดำ� เนนิ ชวี ติ อยา่ งเหมาะสม
และพอประมาณกับตนเอง ใฝ่หาความรู้ ขยันหม่ันเพียร ซ่ือสัตย์
แบ่งปนั กตัญญู รู้จักใช้จา่ ยเงินอย่างมเี หตผุ ลและรอบคอบ รวมทั้ง
สรา้ งภมู คิ มุ้ กนั ทางศลี ธรรมใหแ้ กต่ นเอง อาทิ ไมล่ กั ขโมย ไมพ่ ดู ปด
ไม่สบู บุหรี่ และไม่ด่ืมสุรา
37
ร่มโพธิ์ทองของแผน่ ดิน
ประชาชนทุกคน
ดำ� รงชวี ติ บนพน้ื ฐานของการรจู้ กั ตนเอง การคดิ พง่ึ พาตนเอง
และพ่ึงพาอาศัยซ่ึงกันและกัน อย่างเอื้อเฟื้อเผ่ือแผ่ ใช้ชีวิตอย่าง
พอเพียง สอดคล้องกับหลักค�ำสอนของทุกศาสนาที่ให้ด�ำเนินชีวิต
ตามกรอบคุณธรรม ไม่ท�ำการใด ๆ ท่ีเบียดเบียนตนเองหรือผู้อ่ืน
ไม่ฟุ้งเฟ้อ หรือท�ำอะไรท่ีเกินตน รู้จักแบ่งปันและช่วยเหลือผู้อื่น
ตามความเหมาะสม และกำ� ลงั ความสามารถของตน ดำ� เนนิ ชวี ติ บน
ทางสายกลาง คอื คำ� นงึ ถงึ ความพอดไี มม่ ากเกนิ ไป หรอื นอ้ ยเกนิ ไป
38
๓
พระราชนพิ นธ์ พระมหาชนก
ศูนยก์ ลางของหนงั สือ เล่มนี้ คือ ความเพียร
โดยไมน่ กึ ถึงว่าจะไดป้ ระโยชนอ์ ะไรหรือได้ผลอะไร
พระบาทสมเดจ็ พระปรมนิ ทรมหาภมู พิ ลอดลุ ยเดช ทรงมพี ระราช
ปรารภว่า เมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๐ ทรงสดับพระธรรมเทศนาของ
สมเดจ็ พระมหาวรี วงศ์ (วิน ธมมฺ สาโร มหาเถร) วัดราชผาติการาม
เรอ่ื งพระมหาชนก เสดจ็ ทอดพระเนตรพระราชอทุ ยาน ในกรงุ มถิ ลิ า
เรอ่ื งมใี จความว่า ทท่ี างเข้าสวนหลวง มีตน้ มะมว่ งสองต้น
ต้นหน่ึงมีผล อีต้นหนึ่งไม่มีผล ทรงล้ิมรสมะม่วงอันโอชา
แลว้ เสดจ็ เยีย่ มอทุ ยาน
เม่ือเสด็จกลับออกจากสวนหลวง ทอดพระเนตรเห็น
ต้นมะม่วง ทม่ี ผี ลรสดี ถกู ขา้ ราชบริพาร ดงึ ท้งึ จนโคน่ ลง ส่วนต้น
ทไี่ มม่ ลี กู ก็ยงั คงตัง้ อยตู่ ระหง่าน
รม่ โพธ์ิทองของแผ่นดนิ
แสดงวา่ สง่ิ ใดดมี คี ณุ ภาพจะเปน็ เปา้ หมาย ของการยอ้ื แยง่
และจะเปน็ อันตรายในทา่ มกลางผู้ขาดปัญญา
พระบาทสมเดจ็ พระปรมนิ ทรมหาภมู พิ ลอดลุ ยเดช มพี ระราชดำ� รสั
ตอนหนึง่ ว่า
ความคิดหลักของชาดกนี้ ชใ้ี หเ้ ห็นว่า ความเพยี รตอ้ งมี
และสำ� คญั ทสี่ ดุ วา่ คนเราทำ� อะไร ตอ้ งมคี วามเพยี ร แมจ้ ะไมเ่ หน็ ฝง่ั
กต็ อ้ งวา่ ยนำ�้ ตอ่ ไป และมคี ำ� ตอบอยวู่ า่ ทำ� ไมตอ้ งวา่ ยนำ้� ไมเ่ หน็ ฝง่ั
มปี ระโยชนอ์ ยา่ งไร ? มปี ระโยชนเ์ พราะวา่ ถา้ หากไมเ่ พยี ร ไมว่ า่ ยนำ�้
เจด็ วัน เจ็ดคืน ก็จะไมไ่ ดพ้ บกบั เทวดา คนอ่ืนท่ีไม่มคี วามเพยี ร
ท่ีจะว่ายน�ำ้ ก็จมเปน็ อาหารของปลา ของเต่า ไปหมดแลว้
ฉะนน้ั ความเพยี รแมจ้ ะไมท่ ราบวา่ จะถงึ เมอื่ ไหร่ ไมเ่ หน็
ฝั่งก็ต้องเพียรว่ายน้�ำ ส�ำหรับอ่ืน ๆ ก็เป็นเช่นเดียวกัน ฉะนั้น
ศูนย์กลางของหนังสือ เล่มน้ี คือ ความเพียร โดยไม่นึกถึงว่า
จะไดป้ ระโยชนอ์ ะไรหรือได้ผลอะไร”
ชาดกเรอ่ื งมหาชนก นบั เปน็ หนง่ึ ในสบิ เรอ่ื งของการบำ� เพญ็
บารมีของพระพุทธเจ้า จากอดีตที่ผ่านมา เรามักจะคุ้นเคยกับ
เร่ืองพระเวสสันดร ซึ่งเป็นเร่ืองสุดท้ายของทศชาติ จะให้ข้อคิด
เกยี่ วกบั เรอ่ื งการบรจิ าคทานเปน็ สว่ นใหญ่ สำ� หรบั เรอื่ งมหาชนกนน้ั
ก็เป็นชาดกที่เน้นในเร่ืองของความเพียรพยายามของมหาชนก
ในขณะทเ่ี รือแตกอบั ปางกลางทะเลและไม่คิดยอ่ ทอ้ ต้งั สติ อย่างดี
ในกรณีนม้ี ีข้อคดิ หลายประเด็นดว้ ยกนั
40
ร่มโพธทิ์ องของแผ่นดิน
ประการแรก การตั้งสติ มหาชนกนับวา่ มสี ติ ดีกว่าลูกเรือ
ทงั้ หลาย ทพี่ อมเี หตกุ ารณ์ กพ็ ากนั ตน่ื เตน้ ตกใจ ไมค่ ดิ จะชว่ ยตวั เอง
จึงพากันวิงวอนเทวดาต่าง ๆ ให้ช่วย ตรงนี้ตรงกับภาษิตจีนท่ีว่า
“ไฟดับอย่าลุกขึ้นว่ิง” รอให้สายตาปรับเข้ากับความมืดก่อนแล้ว
คอ่ ยคดิ แก้ไขตอ่ ไป
ประการท่ีสอง การพ่ึงตนเอง มหาชนกเริ่มเตรียมการ
พึ่งตนเองต้ังแต่แรกเลย คือเตรียมการกินน�้ำตาลกรวดให้อิ่มท้อง
หาผา้ มาพนั ตวั เอานำ�้ มนั ทาตวั เพอ่ื ใหพ้ น้ อนั ตรายจากพวกปลายกั ษ์
ท้ังหลายแล้วปีนข้ึนไปบนเสากระโดงเรือเพ่ือก�ำหนดทิศทางเมือง
มิถิลาแล้วดีดตัวเองไปได้ไกลพอท่ีจะหนีพวกปลากินคนได้นั่นเอง
ส่วนพวกลกู เรือท่ีขอพ่ึงเทวดาก็เป็นอันจมลงทะเลทง้ั หมด
ประการท่ีสาม ความเพียร มหาชนกหลังจากพ้นภัย
จากพวกปลายกั ษม์ าแลว้ กใ็ ชค้ วามเพยี รพยายาม วา่ ยนำ�้ มาถงึ ๗ วนั
จงึ มาพบกบั นางเมขลาแลว้ เกดิ โต้ตอบกนั ขึ้น
บทสนทนาโต้ตอบระหว่างนางเมขลากับพระมหาชนก
นางเมขลา .- นี้ใคร เม่ือแลไม่เห็นฝั่งก็อุตสาหพยายาม
วา่ ยอยทู่ า่ มกลางมหาสมทุ ร ทา่ นรอู้ ำ� นาจประโยชนอ์ ะไร จงึ พยายาม
ว่ายอยอู่ ย่างน้หี นักหนา
มหาชนก .- “ดูก่อนเทวดา เราไตร่ตรองเห็นปฏิปทา
แหง่ โลกและอานสิ งสแ์ หง่ ความเพยี ร เพราะฉะนน้ั ถงึ จะมองไมเ่ หน็
ฝง่ั เราก็ตอ้ งพยายามว่ายอยทู่ า่ มกลางมหาสมุทร”
41
ร่มโพธิท์ องของแผ่นดนิ
นางเมขลา .- “ฝั่งมหาสมุทรลึกจนประมาณมิได้ย่อมไม่
ปรากฏแกท่ า่ น ความพยายามอยา่ งลกู ผชู้ ายของทา่ นกเ็ ปลา่ ประโยชน์
ทา่ นไมท่ นั ถงึ ฝั่งก็จักตาย”
มหาชนก .- “บรุ ษุ เมอ่ื กระทำ� ความเพยี ร แมจ้ ะตายกช็ อ่ื
วา่ ไมเ่ ปน็ หนใี้ นระหว่างหมู่ญาติ เทวดาและบดิ ามารดา อนึง่ บุรษุ
เมอื่ ทำ� กิจอย่างลูกผู้ชาย ยอ่ มไม่เดือดร้อนในภายหลงั ”
นางเมขลา .- “การงานอันใด ยังไม่ถึงที่สุดด้วย
ความพยายาม การงานน้ันก็ไร้ผลมีความล�ำบากเกิดข้ึน การท�ำ
ความพยายาม ในฐานะอันไม่สมควร ใดจนความตายปรากฏข้ึน
ความพยายามในฐานะอนั ไม่สมควรนนั้ จะมีประโยชน์อะไร
พระมหาชนก .- “ดกู อ่ นเทวดา ผใู้ ดรแู้ จง้ วา่ การงานท่ที �ำ
จะไม่ลุลวงไปได้จริง ๆ ชื่อว่า ไม่รักษาชีวิตของตน ถ้าผู้นั้นละ
ความเพียร ในฐานะเช่นนั้นเสีย ก็จะถึงรู้ผลแห่งความเกียจคร้าน
ดกู อ่ นเทวดาคนบางพวกในโลกนเ้ี หน็ ผลแหง่ ความประสงคข์ องตน
จึงประกอบการงานท้ังหลาย การงานเหล่าน้ันจักส�ำเร็จหรือไม่
ก็ตาม ดูก่อนเทวดาท่านก็เห็นผลแห่งกรรมประจักษ์แก่ตนแล้ว
มิใช่หรือคนอ่ืน ๆ จมในมหาสมุทรหมดเราคนเดียวยังว่ายข้ามอยู่
และไดเ้ หน็ ทา่ นมาสถติ อยใู่ กล้ ๆ เรา เรานน้ั จกั พยายามเตม็ สตกิ ำ� ลงั
จักทำ� ความเพยี รท่ีบุรุษควรท�ำ ไปใหถ้ ึงฝง่ั มหาสมุทร
42
รม่ โพธทิ์ องของแผน่ ดนิ
นางเมขลา .- “ท่านใด ถึงพร้อมด้วยความพยายาม
โดยธรรม ไม่จมลงในห้วงมหรรณพ ซ่ึงประมาณมิได้ เห็นปานนี้
ด้วยกิจคือ ความเพียรของบุรุษ ท่านนั้น จงไปสถานที่ ที่ใจท่าน
ยนิ ดนี น้ั เถดิ ”
นางเมขลา เรยี กมหาชนกว่า “บณั ฑติ ”
และกลา่ วแก่มหาชนกว่า
“ข้าแต่บัณฑิต วาจาอันมีปาฏิหาริย์ มิบังควรหายไป
ในอากาศ ท่านต้องให้สาธุชนได้รับพรแห่งโพธิญาณ จากโอษฐ์
ของท่าน ถึงกาลอันสมควร ท่านจงต้ังสถาบันการศึกษา ให้ช่ือว่า
“โพธิยาลัย มหาวชิ ชาลัย ในกาลนน้ั ทา่ นจึงจะส�ำเร็จกิจท่แี ท้”
โพธยิ าลยั - ทีอ่ าศยั แห่งแสงสวา่ ง
มหาวชิ ชาลัย - ทีอ่ าศัยแห่งความรอู้ ันยง่ิ ใหญ่
ยังมีอีกตอนหน่ึงท่ีน่าคิดมากคือตอนที่มหาชนกเสด็จ
ประพาสชมสวนแลว้ ไปพบต้นมะมว่ ง ๒ ต้น ต้นหนึ่งใบดกไม่มผี ล
อีกต้นหน่ึงมีผลรสชาติอร่อย เม่ือมหาชนกเสวยผลมะม่วงแล้ว
คนทวั่ ๆ ไปเชน่ พวกอมาตย์ กเ็ กบ็ เอาผลมากินกันบ้าง ฝ่ายคนที่
ยงั ไม่ได้กนิ ก็ท�ำลายกง่ิ ไม้ หกั ต้นโคน่ ลงมา แตม่ ะมว่ งอีกตน้ ยงั ยนื
เปน็ สง่าสวยงามเพราะไมม่ ีผลให้ใครรมุ ทง้ึ กนั
43
ร่มโพธิ์ทองของแผน่ ดนิ
ต้นมะม่วงที่มีผลหรือผลประโยชน์นั้นเองเป็นธรรมดา
ที่คนจะต้องว่ิงเข้าหาเพื่อหวังผลประโยชน์ คิดให้ดีผลมะม่วง
ถา้ เปน็ ทรพั ยากรธรรมชาตกิ ค็ งจะหมดเชน่ ทกุ วนั นี้ ตน้ มะมว่ งลม้ ลง
เพราะทกุ คนเหน็ แกไ่ ดโ้ ลภมากคดิ สน้ั ๆ เอาผลประโยชนเ์ ฉพาะหนา้
มหาชนกจงึ ตรัสวา่
“เราแน่ใจว่าถึงกาลที่จะต้ังสถาบันแล้ว เป็นสัจจะว่า
ควรจะตั้งมานานแล้ว เหตุการณ์ในวันน้ี แสดงความจ�ำเป็น
นบั แตอ่ ปุ ราชจนถงึ คนรกั ษาชา้ ง คนรกั ษามา้ และนบั แตค่ นรกั ษา
มา้ จนถงึ อปุ ราช และโดยเฉพาะเหลา่ อมาตย์ ลว้ นจารกิ ในโมหภมู ิ
ทง้ั นนั้ พวกนขี้ าดทง้ั ความรวู้ ชิ าการ ทง้ั ความรทู้ ว่ั ไป คอื ความรสู้ กึ
นึกธรรมดา พวกน้ี ไม่รู้แม้แต่ประโยชน์ส่วนตน พวกน้ีชอบ
ผลมะมว่ งแตก่ ท็ ำ� ลายตน้ มะม่วง”
44
๔
จากพระอรยิ ะถึงในหลวง
“พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
ทรงปฏิบัติพระราชกิจทางพระพุทธศาสนาอย่างสมบูรณ์ มาตั้งแต่
พระชนมพรรษายงั นอ้ ย ทรงพอพระราชหฤทยั ในการฟงั เทศนท์ มี่ อี ยู่
เปน็ ประจำ� เมื่อได้ทรงพบปะกับพระมหาเถระผู้ใหญ่ ก็มีพระราช
ปุจฉาและทรงสดบั ขอ้ ธรรมนัน้ ๆ อยเู่ นอื ง ๆ”
“...พระภิกษุพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
ทรงพระผนวชด้วยพระราชศรัทธาที่ตั้งม่ันในพระพุทธศาสนา
อย่างแท้จริง ประกอบด้วยพระปัญญาและไดท้ รงปฏบิ ตั พิ ระธรรม
วนิ ยั อยา่ งเคร่งครดั ...”
“...ด้านท่ีเป็นการส่วนพระองค์นั้น ก็ทรงปฏิบัติพระองค์
ยึดม่ันอยู่ในคุณธรรมของพระพุทธศาสนา มีราชธรรม เป็นต้น
ทรงศึกษาพระพุทธศาสนาและทรงน�ำไปปฏิบัติอย่างจริงจัง ทรง
บ�ำเพ็ญพระราชกุศลเป็นการส่วนพระองค์ในโอกาสต่าง ๆ และ
บ�ำรงุ พระสงฆ์ ผู้ปฏบิ ัตดิ ปี ฏบิ ัตชิ อบเป็นจ�ำนวนมาก มไิ ด้ขาด...”
สมเดจ็ พระญาณสงั วร สมเด็จพระสงั ฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
ร่มโพธท์ิ องของแผ่นดิน
“...ในหลวงพระองค์นี้ ท่านเปน็ พระโพธสิ ตั ว์น๊ะ...”
ทา่ นเจ้าคณุ นรรัตนราชมานิต
“...พระองค์มัวแต่เป็นห่วงคนอื่น แต่ไม่ทรงห่วงพระองค์
เองบ้างเลย...”
หลวงปู่แหวน สุจณิ โณ
“ไม่รู้ว่าพ่อหลวงแม่หลวงของไทยท�ำงานปรารถนาความ
เปน็ อะไร ทำ� งานกนั จนไม่มเี วลาพักผ่อน”
“...พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
สมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินี นี้คือหัวใจของชาติไทยเรา
ให้พากันเทดิ ทูน อยา่ พากนั ดูถูกเหยียดหยามท�ำลาย...”
หลวงตาพระมหาบวั ญาณสมั ปนั โน วดั ป่าบา้ นตาด
ในสมยั ทหี่ ลวงปู่มชี วี ติ ทา่ นจะกำ� ชบั ใหล้ กู ศิษย์ ให้เอาบญุ
จากการภาวนา รวมเข้ากบั บุญของพระพุทธเจา้ และพระอรหันต
สาวกท้ังหลาย ถวายให้ในหลวง รวมทั้งแผ่เมตตาให้เทพเทวา
ผปู้ กปกั รกั ษาพระองคท์ า่ น ใหม้ คี วามสขุ แลว้ กก็ รวดนำ้� ใหเ้ จา้ กรรม
นายเวรของพระองค์ท่านใหไ้ ปเกิดในสุคตภิ ูมิ หลวงปู่กล่าววา่ ...
46
รม่ โพธิท์ องของแผน่ ดิน
“หากไมม่ ีในหลวง พระพทุ ธศาสนากต็ ง้ั อยู่ไม่ได”้
หลายคร้ังท่ีลูกศิษย์จะรับทราบได้ว่า หลวงปู่จะเข้าที่เพ่ือ
อธิษฐานชว่ ยในหลวงในยามทพ่ี ระองค์ทรงพระประชวร
หลวงปูด่ ู่ พรหมปญั โญ
“วันหนึ่งข้างหน้า ในหลวงจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า
พระองคห์ นึง่ ของโลก”
“ในหลวงเป็นพระโพธสิ ัตว์ ปรารถนาพทุ ธภูม”ิ
หลวงพอ่ พธุ ฐานโิ ย (พระราชสงั วรญาณ)
หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร ได้กล่าวรับรองไว้ด้วยองค์เอง
ทเี ดียววา่
“...ครบู าขาวปี วดั พระพทุ ธบาทผาหนามเคยเปน็ ชา้ งนาฬาคริ งิ
สว่ นในหลวงองค์ปจั จบุ ันเป็นช้างป่าเลไลยน์ ะ...”
ช้างปา่ เลไลย์ คอื พระโพธิสัตว์
“พระองค์ทรงมีกระแสจิตแรงมาก ฉนั เองยงั สู้ท่านไม่ได้”
47
ร่มโพธิท์ องของแผน่ ดิน
เรื่องปรารถนาพุทธภูมิน่ี พระองค์ (ในหลวง) ปรารถนา
มานาน แต่เวลานี้บารมีเป็น “ปรมัตถบารมี” เหลืออีก ๕ ชาติ
และที่พระองค์ปฏิบัติมามันเลยแล้ว ไม่ใช่ไม่ส�ำเร็จ พุทธภูมิน่ี
ตอ้ งบ�ำเพ็ญกนั มาก โดยเฉพาะอย่างยง่ิ พระองคเ์ ปน็ “วิรยิ าธิกะ”
ต้องบ�ำเพญ็ ถงึ ๑๖ อสงไขยก�ำไรแสนกปั นเี่ กนิ ๑๖ อสงไขยแล้ว
“แสนกัป” อาจยงั ไม่ครบ จงึ ต้องเกดิ อกี ๕ ชาติ
พระราชพรหมยาน (พระมหาวรี ะ-หลวงพอ่ ฤาษี)
วดั ทา่ ซงุ จ.อุทัยธานี
มีผู้พูดถึงผู้ยิ่งใหญ่ระดับประเทศให้หลวงพ่ออุตตมะฟัง
สังเกตวา่ ทา่ นเฉยมาก ก่อนทีจ่ ะปรารภออกมาวา่
“...เขาไม่ได้ท�ำประโยชน์อะไรมากเหมือนกับในหลวง
หรอก...”
หลวงพ่ออุตตมะ (พระครูอุดมสิทธาจารย)์
วดั วงั ก์วเิ วการาม
48
รม่ โพธิ์ทองของแผน่ ดิน
“...มแี ตค่ นไมฉ่ ลาดเทา่ นั้นทจ่ี ะไมร่ ู้วา่ ในหลวงพระองค์น้ี
มีดีอย่างไร...”
พระอาจารยว์ นั อุตตฺ โม (พระอดุ มสังวรวิสุทธเิ ถร)
“กระแสจิตของพระองค์ท่านมีพลัง พลังที่เกิดจากการ
ปฏบิ ัติทีด่ ี”
ครูบาพรหมจกั ร วัดพระพทุ ธบาทตากผา้
ลกู ศษิ ยท์ า่ นหนงึ่ ยนื ยนั วา่ หลวงปทู่ า่ นกลา่ วดว้ ยตนเองวา่
“ในหลวงเป็นพระโพธสิ ตั ว์”
หลวงปู่บุญฤทธิ์ ปณฑฺ ิโต
ทีพ่ ักสงฆ์สวนทิพย์ จ.นนทบรุ ี
49
๕
คำสอนของพอ่
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
เสด็จขึ้นเถลิงถวัลย์สิริราชสมบัติตั้งแต่วันท่ี ๙ มิ.ย. ๒๔๘๙ และ
โปรดเกล้าฯ ใหม้ ีพธิ ีบรมราชาภิเษกตามโบราณราชประเพณี เมือ่
วันที่ ๕ พ.ค. ๒๔๙๓ ตลอดระยะเวลา ๗๐ ปีแห่งการครองสิริราช
สมบัติของพระองค์ท่าน นอกจากจะทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจ
ในฐานะองคพ์ ระประมขุ ดว้ ยพระเมตตาธคิ ณุ ทที่ รงมตี อ่ ทวยราษฎร์
เป็นล้นพ้นแล้ว พระองค์ยังทรงริเร่ิมด�ำเนินงานโครงการต่าง ๆ
เพื่อความอยู่ดีกินดีของพสกนิกรอยู่ตลอดเวลา สมดังพระปฐม
บรมราชโองการท่วี ่า
“เราจะครองแผ่นดนิ โดยธรรม เพื่อประโยชนส์ ขุ
แห่งมหาชนชาวสยาม”