The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

การปกครองคณะสงฆ์ไทยในปัจจุบัน

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by werawattano, 2021-06-25 00:00:22

การปกครองคณะสงฆ์ไทยในปัจจุบัน

การปกครองคณะสงฆ์ไทยในปัจจุบัน

33

ยงั ระบุใหธ้ รรมยตุ กิ นิกายมีสทิ ธิในการปกครองพระมหานิกายได้ ทาใหว้ ดั ธรรมยุติไมว่ ่า
จะอยู่ในกรงุ หรือหัวเมอื งไมต่ อ้ งข้ึนตรงตอ่ เจ้าคณะท้องถิ่นมหานิกาย แตใ่ หข้ น้ึ ตรงต่อ
เจา้ คณะใหญ่ธรรมยุตนิกายแทนนอกกจากน้ีคณะธรรมยตุ ยิ ังมสี ิทธิชาระอธกิ รณ์กนั เอง
ในคณะโดยไมต่ อ้ งข้นึ ตรงต่อกรมธรรมธิการหรือสงั ฆการเี ช่นคณะสงฆน์ ิกายอน่ื การให้
อภิสิทธิ์แก่ภิกษุธรรมยุตในการปกครองตนเองจะไมเ่ กดิ ป๎ญหาให้ต้องทว้ งติง ถ้าภิกษุ
ฝุายมหานกิ ายซ่งึ เป็นพระสงฆส์ ่วนใหญจ่ ะไดส้ ิทธิในการปกครองตนเองอยา่ งเทา่ เทยี ม
กัน แตภ่ ิกษุของมหานิกายบางคณะต้องขึน้ กับภิกษุฝาุ ยธรรมยุตจงึ กลายเปน็ ปญ๎ หาให้
ภกิ ษมุ หานกิ ายต้องทวงตงิ วา่ เพระเหตุใดภกิ ษธุ รรมยุตจงึ ปกครองภิกษุฝุายมหานิกาย
ได้ ขณะที่ภิกษุฝุายมหานิกายมไิ ด้มีสิทธิในการปกครองภิกษุฝุายธรรมยตุ (พพิ ฒั น์ พสุ
ธารชาติ, 2553, น. 297)

หรอื ขอ้ ท่พี ึงสังเกต ตวั อย่างท่ีใกล้เคียงกนั กล่าวคอื ตามพระราชบัญญัติ
ลักษณะการปกครองคณะสงฆ์ ร.ศ. 121 อานาจต่างๆ ซง่ึ เดมิ เปน็ ของกระทรวงธรรม
การถูกโอนมาทสี่ มเดจ็ พระมหาสมณเจา้ กรมพระยาวชิรญาณวโรรส อาทิ เชน่ เมื่อมกี ิจ
ใด เสนาบดีกระทรวงธรรมการจะเป็นผรู้ บั พระบรมราชโองการนาความกราบทลู เจา้
คณะน้นั ๆ การตัดสนิ วินจิ ฉัยอธิกรณต์ ่างๆ กระทาโดยเสนาบดกี ระทรวงธรรมการ
เสนาบดีกระทรวงธรรมการจะเปน็ ผูน้ าไปปรึกษาเจ้าคณะแตล่ ะคณะเป็นรายๆ ไป แล้ว
นาผลมากราบทูลใหส้ มเด็จพระมหาสมณเจา้ กรมพระยาวชิรญาณวโรรสทราบ ซง่ึ
เท่ากับเปน็ การมอบอานาจการจัดกิจการคณะสงฆ์ทั่วพระราชอาณาจักรให้แกส่ มเด็จ
พระมหาสมณเจา้ กรมพระยาวชิรญาณวโรรส (คนึงนิตย์ จันทร์บตุ ร, 2532, น. 24-25)

สภาพป๎ญหาการปกครองท่ีพระสงฆฝ์ าุ ยมหานกิ ายเผชิญอยหู่ ากมองจากความ
ชอบธรรมของพระสงฆฝ์ ุายธรรมยุติกนกิ ายก็มกั จะมคี าอธบิ ายตามทแี่ สวง อดุ มศรี ได้กล่าวถงึ คอื

พระสงฆฝ์ ุายธรรมยุตมักจะกลา่ วอา้ งเสมอวา่ ไดร้ ับพรพิเศษให้ทาการปกครองกันเอง
เป็นการเฉพาะ ดังคา พระดารัสของสมเด็จพระมหาสมณะกรมพระยาวชิรญาณวโรรส
ได้ตรัสท่ีประชมุ พระมหาเถระคณะธรรมยตุ ิกนิกายเม่อื งวันที่ 17 มิถนุ ายน พ.ศ. 2457
ณ ตาหนักเพชร วัดบวรนเิ วศวิหาร วา่ คณะธรรมยุติกนกิ ายนี้ เคยได้รบั พระราชทานพร
พิเศษ คอื อานาจที่ใหป้ กครองกันเอง ไมต่ อ้ งข้ึนในการปกครองของคณะอ่นื ตง้ั แต่
รชั กาลที่ 4 ตลอดมาจนบัดน้ี แม้ในพระราชบญั ญตั ิลกั ษณะการปกครองคณะสงฆ์
รชั กาลที่ 5 ก็ยงั มีข้อยกเว้น ทรงตัง้ พระหฤทัยจะรกั ษาพรน้ใี หย้ ่ังยืน
(แสวง อดุ มศรี, 2534, น. 109)

34

พรดงั กลา่ วนี้ดูเหมือนจะสามารถสร้างคณุ ค่าและความภมู ิใจให้แกค่ ณะสงฆฝ์ ุาย
ธรรมยุติกนิกายได้ไม่มากก็น้อย การปกครองคณะสงฆ์ในระยะเวลาต่อมาจึงเกิดคณะปฏิสังขรณ์การ
พระศาสนาที่มีบทบาทสาคัญในการผลักดันให้มีการแก้ไข พ.ร.บ. ลักษณะปกครองสงฆ์ ร.ศ. 121 ซ่ึง
สาเหตุของการผลักดันและการเกิดของคณะดังกล่าวมาจากการท่ีเกิดความไม่เสมอภาคแก่การ
ปกครองคณะสงฆฝ์ าุ ยมหานิกาย เพราะพระสงฆฝ์ ุายธรรมยุติกนิกายมีอานาจในการปกครองพระสงฆ์
ฝุายมหานิกายที่มากกว่าและพระสงฆ์ฝุายมหานิกายไม่มีสิทธ์ิอานาจในการตรวจสอบพระสงฆ์ฝุาย
ธรรมยุตินิกายเลย

การปกครองคณะสงฆส์ มยั รตั นโกสนิ ทร์ตอนกลางดารงอยู่ในลกั ษณะนี้โดยมีพระราช-
บัญญัตลิ ักษณะการปกครองคณะสงฆ์ ร.ศ. 121 (พ.ศ. 2445) เปน็ แมบ่ ทในการปกครอง
ซงึ่ ฝาุ ยอาณาจักรได้ตราข้ึนไว้ตงั้ แตว่ นั ท่ี 16 มิถุนายน ร.ศ. 121 จนกระทง่ั ถึง
วนั ที่ 2 สงิ หาคม พ.ศ. 2464 สมเด็จพระมหาสมณเจา้ กรมพระยาวชิรญาณวโรรส
วดั บวรนเิ วศวหิ าร ซึง่ เป็นสมเดจ็ พระสงั ฆราช สกลมหาสังฆปรนิ ายก ไดส้ ิ้นพระชนม์
ส่วนพระมหาเถระที่มคี ุณสมบัตเิ หมาะสม ควรได้รบั พระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาขึน้
เปน็ สมเด็จพระสงั ฆราช รูปที่ 11 แห่งกรงุ รตั นโกสินทร์นัน้ น่าจะมีอยู่เพยี ง 2 รูป คอื
(1) สมเดจ็ พระวนั รตั (ฑติ อุทโย) วดั มหาธาตุ เจ้าคณะใหญห่ นใต้ ซ่ึงเปน็ พระมหา
เถระฝาุ ยมหานกิ าย เป็นเปรยี ญธรรม 4 ประโยค และไดร้ บั การสถาปนาขน้ึ เป็นสมเด็จ
พระราชาคณะ ต้งั แต่ พ.ศ. 2443 มีพระชนมายุนบั ถึง พ.ศ. 2464 ได้ 84 ปี
(2) พระเจา้ บรมวงศ์เธอ กรมหม่นื ชินวรสริ ิวฒั น์ วดั ราชบพธิ เจา้ คณะใหญ่หนกลางซ่งึ
ทรงเปน็ พระเถระฝุายธรรมยุติกนิกาย ทรงเป็นเปรยี ญ 5 ประโยค และไดร้ ับพระกรุณา
โปรดเกลา้ ฯ สถาปนาขนึ้ เป็นพระวรวงศ์เธอ กรมหมน่ื ชินวรสิรวิ ฒั น์ และต่อมาได้รบั
พระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาขน้ึ เป็นสมเด็จพระสงั ฆราช รูปที่ 11 แห่งกรงุ
รัตนโกสินทร์ และพระองคท์ รงเปน็ พระมหาเถระฝาุ ยธรรมยตุ ิกนิกาย รปู ที่ 4 ท่ไี ด้รบั
กรณุ าโปรดเกล้าฯ สถาปนาขึ้นเป็นสมเดจ็ พระสังฆราช ติดตอ่ กนั มาตงั้ แต่ พ.ศ. 2397
เป็นตน้ มา (แสวง อดุ มศรี, 2534, น. 124-125)
2.1.4 การปกครองคณะสงฆ์ในสมัยทีม่ ีการตราพระราชบัญญตั คิ ณะสงฆ์ พ.ศ. 2484

ในทุกๆ คร้งั ของการเปลีย่ นแปลงทางการเมืองมักจะนามาซง่ึ การเปลย่ี นแปลง
ทางฝุายศาสนจักรคือคณะสงฆ์ด้วย สภาพบรรยากาศทางการเมืองระหว่างประเทศในขณะน้ันได้รับ
การกระทบกระเทือนมาจากผลพวงอันเกิดมากจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ระหว่าง พ.ศ. 2457-2465
หลายประเทศไดข้ ยายวงกวา้ งของการเรียกรอ้ ง ตอ่ สู้ เรียกรอ้ ง โคน่ ล้มเพื่อให้ได้มาซ่ึงเอกราชอธิปไตย

35

ของตนเอง บางประเทศระบอบการปกครองที่เคยผูกขาดชะตากรรมของประเทศไว้ที่คนเดียวมาช้า
นาน ไดถ้ กู พลังของมหาชนดาเนินการโค่นลม้ ให้เปล่ียนแปลงไป

สว่ นบรรยากาศ ในฝาุ ยอาณาจกั รของประเทศไทยนน้ั มสี ภาพการณท์ ่ีอยู่ในยุคที่
ครุกรุ่นไปด้วยไอแห่งประชาธิปไตย เนื่องจากเกิดการเปล่ียนแปลงการปกครองจากระบอบการ
ปกครองสมบรู ณาญาสิทธิราชย์ มาเปน็ ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน
พ.ศ. 2475 ซ่ึงถือว่าเป็นการเปลี่ยนฐานอานาจจากสถาบันกษัตริย์ไปสู่กลุ่มทหารพลเรือน ซึ่งเรียก
ตนเองว่า “คณะราษฎร์” และคณะราษฎร์เองได้นาพระราชบัญญัติรัฐธรรมนูญปกครองแผ่นดิน
ชว่ั คราว ข้นึ ทลู เกลา้ ถวายใหพ้ ระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หวั ทรงลงพระปรมาภิไธย

ประชาธิปไตยและการมรี ัฐธรรมนูญดูเหมือนจะตอบสนองต่อความต้องการและ
เป็นท่ีสนใจของข้าราชการและประชาชนในวัยหนุ่มสมัยนั้นพอสมควร จากเดิมท่ีมีความรู้สึกไม่พอใจ
กับระบอบศักดินาอยู่แล้ว ดังความเห็นของ นครินทร์ เมฆไตรรัตน์ ได้ให้ความเห็นว่าไว้ในหนังสือ
การปฏิวตั สิ ยาม 2475 ว่า

…ชนรุน่ หน่มุ สมยั น้ัน [หมายถึงกอ่ นปี พ.ศ. 2475-ผู้อ้าง] ชนดิ ท่ไี ม่เคยไปเห็นระบบ
ประชาธปิ ไตยในตา่ งประเทศ แตก่ ็มคี วามตืน่ ตัวทตี่ ้องการเปลย่ี นระบบสมบรู ณาฯ ท้งั น้ี
ก็แสดงถงึ วา่ ผ้ทู ี่มไิ ดม้ ีความเป็นอยอู่ ย่างระบบศักดนิ าเกิดจติ สานึกท่เี ขาประสบแก่
ตนเองถึงความไมเ่ หมาะสมของระบบน้นั และอทิ ธพิ ลทเ่ี ขาได้รับจากสื่อมวลชนที่มี
ลกั ษณะก้าวหนา้ ในสมัยน้ันทเ่ี รียกร้องใหม้ กี ารเปลี่ยนแปลงระบบศักดนิ า มาเปน็
ระบอบราชาธิปไตยภายใตร้ ฐั ธรรมนญู (ปรีดี, 2517, น. 233, อา้ งในนครินทร์ เมฆไตร
รตั น์, 2553, น. 301)

ด้วยลกั ษณะความคิดทมี่ ตี ้นทนุ ความพอใจในระบอบศักดนิ าและด้วยอิทธิพล
ของสื่อในสมัยน้ันที่มักกล่าวถึงระบอบประชาธิปไตยจนทาให้เกิด “ความต่ืนตัวในระบอบ
ประชาธิปไตยซงึ่ เน้นหลกั การไปที่ สิทธิ เสรีภาพ เสมอภาค” (คนงึ นิตย์ จนั ทบตุ ร, 2532, น. 28) ซึ่ง
ต่อมากระแสความสนใจดังกล่าวจึงได้ถูกสถาปนาลงในความคิดสังคมไทยในหมู่ประชาชนและ
พระสงฆ์เพิ่มมากข้ึน และได้ส่งผลต่อบรรยากาศทางฝุายศาสนจักรในระยะเวลาต่อมา กล่าวคือ “มี
พระภิกษุสามเณรแสดงความสนใจต่อความคิดนี้มาก จนถึงขนาดเดินมาสังเกตการณ์นอกวัด มีการ
อภิปรายป๎ญหาการเมืองในวัดอย่างดาษดื่น มีพระสงฆ์ได้เขียนจดหมายแสดงความยินดีและช่ืนชม
รูปแบบการปกครองใหม่ (ประชาธิปไตย)” (พิพัฒน์ พสุธารชาติ, 2553, น. 278) สาหรับภายในคณะ
สงฆ์เองมีพระสงฆ์ได้เรียกร้องขอความเสมอภาคในการปกครองจากเจ้าอาวาสเนืองๆ เหตุการณ์
ดังกล่าวเกิดข้ึนในวัดต่างๆ ในจังหวัดพระนครและธนบุรี จนเหตุการณ์ดังกล่าวน้ีได้สร้างความกังวล

36

ตอ่ มหาเถรสมาคม ซึ่งในขณะนั้นเป็นการปกครองตามพระราชบัญญัติลักษณะปกครองคณะสงฆ์ รศ.
121 (พ.ศ. 2445) จนทาให้มหาเถรสมาคมต้องประกาศการปกครองคณะสงฆ์ ระบุว่า “ยุคนี้เกิดความ
ระส่าระสายในคณะสงฆ์ มีภิกษุบางวัดบางคณะรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ไม่ถือเอาพระธรรมวินัยในพุทธ
ศาสนามาปฏิบตั ิ ก่อการคุมกนั เปน็ คณะเพอื่ บังคับเจา้ อาวาสใหอ้ ย่ใู นอานาจโดยประสงค์จะเป็นอิสระ
ให้เสมอกัน” (แถลงการณค์ ณะสงฆ,์ 2475, น. 453, อา้ งถึงใน คนงึ นิตย์ จนั ทบตุ ร, 2528, น. 65-66)

สภาพบรรยากาศของทางฝุายศาสนจักรในตอนนน้ั มกี ารเคลอ่ื นไหวของพระภิกษุ
ในหลากหลายรูปแบบ เชน่ บางวัดเกิดความขัดแย้งระหว่างเจ้าอาวาสกับพระลูกวัดข้ึน เช่น กรณีการ
เคลื่อนไหวขอความเปน็ ธรรมในการปกครองของเจ้าอาวาสในวัดดวงแขแต่ก็จบลงด้วยการท่ีพระภิกษุ
เหล่านั้นถูกป๎พพาชนียกรรมและถูกบังคับให้สึกและถึงขั้นให้มีการยุบวัดดวงแข เหตุการณ์ดังกล่าวนี้
พอจะสะท้อนให้เห็นว่าพระสงฆ์ผู้ใหญ่หรือเจ้าคณะสงฆ์ทางปกครองไม่เข้าใจป๎ญหาของพระสงฆ์ชั้น
ผู้น้อยท่ีต้องการเรียกร้องความเสมอภาค และขาดพื้นท่ีซึ่งพระสงฆ์ผู้น้อยจะพูดคุยหรือหาทางออก
ให้กบั วัดและคณะสงฆ์ในตอนนัน้ จงึ จาตอ้ งจายอมอดทนรับฟง๎ คาส่ัง ประกาศของทางมหาเถรสมาคม
ท่ดี จู ะใช้ความเป็นเผดจ็ การมากเกินไป ขาดซึ่งการประนีประนอม ผนวกกับกระแสความเปลี่ยนแปลง
ทางการเมืองที่นาโดยกระแสประชาธิปไตยจึงส่งผลต่ออิทธิพลทางความคิดพระสงฆ์อยู่ไม่น้อย จึงทา
ให้ในระยะเวลาต่อมาเกิดการเปลี่ยนแปลงของฝุายศาสนจักรท่ีนาโดยคณะสงฆ์กลุ่มหน่ึงเรียกตนเอง
วา่ คณะปฏสิ งั ขรณก์ ารพระศาสนา

คณะปฏิสังขรณก์ ารพระศาสนาเคล่อื นไหวเร่มิ ต้นในวนั ท่ี 11 มกราคม พ.ศ.
2477 มภี กิ ษหุ นุ่มมหานกิ ายจากวัดตา่ งๆ ในพระนครและธนบุรี เช่น วัดมหาธาตุ วัดพระเชตุพนฯ วัด
เบญจมบพิตร วัดสุทัศน์ฯ และวัดอรุณฯ นัดประชุมเป็นครั้งแรก ที่บ้านคหบดีเขตอาเภอบางรักช่ือ
บา้ น “ภัทรวิธม” มภี ิกษเุ ขา้ ร่วมประชุม 300 เศษ จึงเรียกชื่อคณะผู้ก่อการคร้ังนี้ว่า “คณะปฏิสังขรณ์
การพระศาสนา” (คนงึ นติ ย์ จันทบุตร, 2528, น. 70) ได้มีการตกลงเลือกประธานและรองประธาน
ข้ึนมาจานวน 3 รูป ภายหลังต่อมาประธานถูกพระราชธรรมนิเทศ อธิบดีกรมธรรมการทาการเกลี้ย
กล่อมให้ลาออกและนายพร มะลิทอง ก็ทาการขู่ขวัญ จนในที่สุดประธานก็ต้องลาออกอย่างเป็น
ทางการตอ่ มาพระภิกษุระดับแกนนาของคณะปฏิสังขรณ์หลายรูปก็ถูกบีบคั่นบั่นทอนในรูปแบบต่างๆ
จนเจา้ อาวาสต้องส่งพระภิกษุเหล่าน้ีไปอยู่จาพรรษาวัดในต่างจังหวัดและต่อมาก็มีการติดตามทาลาย
ขบวนการของคณะปฏิสังขรณ์เช่น การส่งหนังสือไปยังจังหวัดฉะเชิงเทราเพื่อให้ทางจังหวัดห้ามมิให้
พระภกิ ษุคณะปฏิสงั ขรณ์ขอสมณศกั ดิ์ หา้ มไม่ให้ต้ังเป็นครูสอน ส่วนพระสงฆ์ท่ีอาศัยอยู่ในกรุงเทพก็มี
การเรียกตัวมาสอบสวนพร้อมทั้งพิสูจน์ลายเซ็นโดย พระสงฆ์ท่ีเป็นเจ้าหน้าที่ฝุายธรรมยุติกนิกายใน
สมัยนั้น ในขณะเดียวกันนอกเหนือการพยายามสกัดกั้นการเคลื่อนไหวของคณะปฏิสังขรณ์พระ

37

ศาสนาแล้วยงั มีความพยายามในการสรา้ งวาทกรรมโดยฝุายตรงข้ามเพอ่ื ประณามการกระทาของคณะ
ปฏิสังขรณ์การศาสนาโดย ในหนังสือเรื่อง มหานิกาย-ธรรมยุติ ความขัดแย้งภายในของคณะสงฆ์ไทย
ซ่งึ เขยี นโดย กระจ่าง นนั ทโพธิ์ ไดก้ ลา่ วถึง การประณามดังกล่าวไว้ว่า “ยุ่งไม่เข้าเร่ือง กบฏต่อสมเด็จ
พระมหาสมณเจ้า” (กระจ่าง นนั ทโพธ,ิ 2528, น. 98-99)

สว่ นพระภิกษุคณะปฏสิ งั ขรณท์ ี่ยังคงเหลอื อยู่ไดพ้ ยายามอดทนต่อสภาพของ
เพอื่ นพระภิกษดุ ว้ ยกันที่ถูกกระทาจากอานาจความอยุตธิ รรมจากฝาุ ยต่างๆ และได้รว่ มกันผลักดันงาน
ของคณะปฏสิ งั ขรณต์ อ่ โดยการผสานงานกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในจังหวัดของตน จนในที่สุด ก็
เกิดรา่ งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พุทธศักราช 2484 ซึ่งตราข้ึนในสมัยของ จอมพล ป. พิบูลสงคราม
อย่างไรก็ตามเราอาจไม่รีบด่วนสรุปว่าการตราพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พุทธศักราช 2484 น้ันมา
จากความพยายามของคณะปฏิสังขรณ์พระศาสนาเพียงอย่างเดียวเท่านั้นแต่อาจมาจากการท่ีรัฐบาล
ต้องการสร้างความชอบธรรมทางการเมืองของรัฐบาลด้วย ดังความเห็นของ พิพัฒน์ พสุธารชาติ ท่ี
กล่าวไวใ้ นหนงั สือ เรื่อง รัฐกับศาสนา บทความว่าดว้ ย อาณาจักรศาสนจักรและเสรภี าพ ว่า

เนื่องจากอุดมการณ์และวัตถปุ ระสงค์หลักของคณะผ้เู ปล่ียนแปลงการปกครองเมื่อปี
พ.ศ. 2475 คือ การสถาปนาระบอบประชาธิปไตยในสังคมไทย พระสงฆ์เปน็ สถาบนั ท่ี
ประชาชนทั่วไปใหก้ ารเคารพนบั ถอื ดงั น้นั จงึ สมควรจะสร้างประชาธิปไตยเพ่ือให้
ประชาชนเห็นเป็นตวั แบบของความประพฤติที่ควรปฏิบัติ
(พพิ ัฒน์ พสธุ ารชาต,ิ 2553, น. 280)

หากมองจากเหตุผลขา้ งต้นนีก้ อ็ าจมคี วามเป็นไปไดว้ า่ การมพี ระราชบญั ญัติคณะ
สงฆ์ พ.ศ. 2484 ท่ีมีการระบุโครงสร้างการปกครองคณะสงฆ์ที่ใกล้เคียงการจาลองตามรูปแบบการ
ปกครองของฝาุ ยอาณาจักรตามหลักการประชาธิปไตย นัน้ อาจมาจากความตอ้ งการของฝุายรัฐบาลใน
ขณะนั้นดว้ ย

ประเดน็ สาคญั ท่ีควรกล่าวไวใ้ นที่นีเ้ กย่ี วกับผมู้ ีสว่ นผลกั ดันทท่ี าให้เกดิ พ.ร.บ.
สงฆ์ พ.ศ. 2484 และการเกิดขึ้นของกลุ่มพระสงฆ์ท่ีเรียกว่าคณะปฏิสังขรณ์ซ่ึงจะมีบุคคลใดจะทราบ
บ้างว่า กลุ่มพระสงฆ์ที่เรียกว่า “คณะปฏิสังขรณ์” นอกจากประกอบด้วยคณะสงฆ์กลุ่มหนุ่มผู้มี
การศึกษาพัฒนามาดี จนถึงการผลกั ให้มีการเปลยี่ น พ.ร.บ. สงฆ์ ฉบับ ร.ศ. 121 (2445) มาใช้ พ.ร.บ.
สงฆ์ พ.ศ. 2484 บุคคลสาคัญคือได้มีนายปรีดี พนมยงค์เข้าไปเก่ียวข้องอยู่อย่างใกล้ชิด ดังท่ีนายปรีดี
พนมยงคไ์ ด้เลา่ ถวายหลวงพอ่ ปญ๎ ญานันทภิกขุ เมือ่ ปี 2522 วา่

ผมได้วางแผนไว้แลว้ ดว้ ยการออกกฎหมายพระราชบญั ญัติปี 2484 ตวั เลขไมแ่ นน่ อน ดู
มันราวนนั้ กใ็ หม้ สี งั ฆสภาใหม้ สี ังฆมนตรี บอกว่าให้มสี งั ฆสภานี้มใิ ชเ่ พอ่ื อะไร เพอื่ ให้

38

พระหนุ่มได้มีโอกาสทางาน เพราะไดเ้ อามารว่ มชมุ นมุ กนั ไดป้ รึกษาหารือกันในการทจ่ี ะ
จัดการอะไร ๆ ให้มันก้าวหน้า (http://www.pridi-phoonsuk.org/pridi-and-
buddhism/)

ในทีน่ ้ที ่านอาจารยป์ รีดีจงึ เปรยี บเหมือนผปู้ ิดทองหลงั พระอยา่ งแทจ้ รงิ โดย
เฉพาะ กรณีการปรับปรุงเปล่ียนแปลงการบริหารจัดการของสงฆ์ จนเกิดมี พ.ร.บ. สงฆ์ พ.ศ. 2484
ขึ้น เร่ืองน้ีสังคมสงฆ์แทบจะไม่มีใครทราบเลย แม้ก่อนท่านจะถึงแก่อนิจกรรมก็ยังพูดฝากหลวงพ่อ
ป๎ญญานันทภิกขไุ วว้ ่า “ท่านเจ้าคณุ ไปหาวธิ ีทจี่ ะกู้อันน้ี (พ.ร.บ. สงฆ์ 2484) ขึ้นมาใหม่ ไปหาวิธีพูดจา
ให้คนเกิดความรู้ความเข้าใจ ให้พระตื่นตัว เพ่ือจะได้ร่วมแรงร่วมใจกันปฏิบัติงานไปให้เป็นประโยชน์
ข้นึ ” (http://www.pridi-phoonsuk.org/pridi-and-buddhism/)

สาหรับสาระสาคัญของพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ 2484 คอื มกี ารจดั โครงสร้าง
การปกครองและการบริหารกิจการคณะสงฆ์โดยเป็นการจาลองตามรูปแบบการปกครองของฝุาย
อาณาจักรตามหลักการประชาธิปไตย น่ันคือ การมีสมเด็จพระสังฆราชเป็นประมุขของคณะสงฆ์ โดย
มีพระมหากษัตริย์เป็นผู้แต่งตั้ง มีการยุบเลิกมหาเถรสมาคม และแบ่งแยกการปกครองออกเป็น 3
ส่วน

(1) สังฆสภา ประกอบดว้ ยพระสงฆ์ 45 รูป ซงึ่ แต่งต้งั โดยสมเดจ็ พระสงั ฆราชทาหนา้ ท่ี
ร่างสังฆาณตั กิ ติกาสงฆ์หรือกฎหมายสงฆ์
(2) สังฆมนตรี ทาหนา้ ท่ีเหมือนกับคณะรฐั มนตรีมอี านาจในการบรหิ ารคณะสงฆ์ โดย
มสี ังฆนายกทาหน้าทีเ่ หมอื นรองนายกรฐั มนตรี ท้ังหมดแตง่ ตั้งโดยสมเด็จพระสังฆราช
(3) คณะวินัยธร ทาหน้าทเ่ี หมอื นตลุ าการสงฆ์ มหี นา้ ทว่ี นิ จิ ฉยั และระงับอธกิ รณ์ตา่ ง ๆ
(4) การบริหารกิจการสงฆใ์ นสว่ นภมู ภิ าคไมไ่ ดม้ ีการเปลี่ยนแปลงมากนัก
(พพิ ฒั น์ พสุธารชาติ, 2553, น. 281)

39

สมเด็จพระสงั ฆราช

สงั ฆสภา คณะสงั ฆมนตรี คณะวนิ ัยธร

การบริหารส่วนกลาง การบริหารสว่ นภูมิภาค ชน้ั ฎกี า
สว่ นกลาง ภาค ชนั้ อทุ ธรณ์

องค์การปกครอง

องค์การศึกษา จงั หวดั ช้ันต้น
องค์การเผยแผ่ อาเภอ
องค์การสาธารณูปการ ตาบล

วัด

ภาพท่ี 2.5 การปกครองคณะสงฆ์ ตาม พ.ร.บ. 2484 (พระเมธีธรรมาภรณ์ (ประยูร ธมฺมจิตฺโต),
2539, น. 45)

ส่ิงสาคญั ของเนอ้ื หาในพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ 2484 คอื การท่รี ะบุถึงการที่
ต้องการให้มีการรวมนิกายขึ้น ดังความในมาตรา 60 ว่า “พระสงฆท์ ัง้ 2 นิกาย ทาสังคายนาพระธรรม
วินัยร่วมกันจากน้ันให้รวมเป็นนิกายเดียวกัน พร้อมท้ังกาหนดเวลาในการดาเนินการดังกล่าวให้แล้ว

40

เสร็จภายในเวลา 8 ปี นับแต่วันท่ีประกาศใช้พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2484 เป็นต้นต่อไป”
(แสวง อุดมศร,ี 2534, น. 175)

เป็นที่นา่ สังเกตวา่ ถึงแม้ว่ารปู แบบใหมข่ องการปกครองคณะสงฆ์นี้จะมีการ
แบง่ แยกอานาจ แต่

มิได้หมายความวา่ คณะสงฆ์จะมอี ิสระ หรอื มีอานาจทีจ่ ะบริหารกจิ การสงฆอ์ ย่างเป็น
อิสระจาการควบคุมของรฐั เนื่องจากพระมหากษตั ริย์ทรงแต่งตง้ั สมเดจ็ พระสงั ฆราช
ตามคาแนะนาของคณะรัฐมนตรี สมเดจ็ พระสังฆราชทรงเป็นผู้แต่งตัง้ สมาชกิ สังฆสภา
และสังฆมนตรีร่วมกับรฐั มนตรีกระทรวงศึกษาธิการ รัฐมนตรีกระทรวงศกึ ษาธิการใน
ฐานะเป็นผู้รักษาการใหเ้ ปน็ ไปตามพระราชบัญญตั เิ ปน็ ผมู้ ีอานาจในการออก
กฎกระทรวง ระเบียบตา่ งๆ เพ่อื ใหก้ ารปฏิบตั ิเปน็ ไปโดยเรยี บร้อย เปน็ ผ้ลู งนามรับ
สนองพระบญั ชาแต่งตัง้ ประธานและรองประธานสงั ฆสภา เป็นผเู้ สนอญัตติเพื่อการ
อภปิ รายและมสี ทิ ธเิ ข้ารว่ มประชุมแสดงความคิดเห็นในท่ีประชุมดว้ ย นอกจากนย้ี ังมี
อานาจทีจ่ ะกาหนดวันปดิ -เปิดการประชุมสงั ฆสภา ตลอดจนเรียกประชมุ วาระพิเศษ
การดาเนินการบริหารกจิ การคณะสงฆต์ ามพระราชบญั ญตั ฉิ บับนดี้ ูเหมือนจะดาเนินไป
ดว้ ยดี แตจ่ ริงแลว้ หาเปน็ เช่นน้ันไม่ เน่ืองจากความขดั แย้งระหวา่ งมหานิกายกับ
ธรรมยุตกิ นกิ ายทม่ี ีมาก่อนแลว้ ยงั ไม่ไดร้ บั การแก้ไข ยกตัวอยา่ งเชน่ พระเถระผู้ดารง
ตาแหน่งสงั ฆมนตรนี ับต้ังแต่ พ.ศ. 2484 -2492 ทัง้ 3 รปู ล้วนแต่เปน็ พระเถระจาก
ธรรมยุติกนิกาย จนตอ้ งมีการรอ้ งเรียนถงึ นายกรฐั มนตรีจึงได้มกี ารประชุมกันในคณะ
สงฆ์ จนทาใหพ้ ระเถระจากมหานกิ ายได้รับการคดั เลือกเป็นสงั ฆมนตรีองค์ถดั ไป
นอกจากนส้ี ัดสว่ นของตวั แทนพระสงฆจ์ ากมหานิกายและธรรมยุตในสงั ฆสภาและสงั ฆ
มนตรีกม็ คี วามแตกตา่ งกันมากกลา่ วคือ มีตัวแทนพระสงฆ์จากมหานิกายน้อยกวา่
ตัวแทนของธรรมยตุ มาก (พพิ ฒั น์ พสุธารชาติ, 2553, น. 281-282)

ส่วนในเร่ืองของวิธีการในการใช้พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2484 ในทาง
ปฏบิ ัติกป็ ระสบกบั ปญ๎ หาตามท่แี สวง อดุ มศรไี ด้กล่าวในหนังสอื เรื่อง การปกครองคณะสงฆ์ไทย วา่

พระเถระผู้ใหญ่อกี หลายรปู ทัง้ ทเ่ี ป็นสมาชิกสังฆสภาและสังฆมนตรไี ม่สามารถทาใจให้
มาน่งั ฟง๎ อภปิ ราย เสนอแนะหรอื ทกั ทว้ งของสมาชกิ สงั ฆสภา ซ่ึงเปน็ พระผู้นอ้ ยได้ แม้
ประธานสงั ฆสภาจะไดป้ ระคบั ประคองและควบคุมการอภปิ รายใหเ้ ป็นไปในทางที่
เหมาะสมไดเ้ ป็นอย่างดี แตพ่ ระเถระผใู้ หญ่ดังกล่าวก็ยงั ทาใจไม่ได้ กลบั คิดไปวา่ สมาชิก
สงั ฆสภาซึง่ เปน็ พระผนู้ ้อย ไมม่ ีสมั มาคารวะต่อพระเถระผูใ้ หญ่ ไม่สมควรท่จี ะอภปิ ราย

41

เสนอแนะหรือทกั ทว้ งแตอ่ ยา่ งใด เพราะเท่ากบั เปน็ การสอนพระผใู้ หญ่ไม่สมควรแก่
ภาวะ ผนู้ อ้ ยจะมารู้กวา่ ผใู้ หญไ่ ดอ้ ย่างไร การประชุมสงั ฆสภาในระยะเวลาต่อมา
ปรากฏวา่ พระเถระผู้ใหญ่ ทงั้ ทเ่ี ปน็ สมาชิกสงั ฆสภาและสังฆมนตรี จงึ ไม่ค่อยจะเขา้ รว่ ม
ประชุมเทา่ ไหร่นัก ตรงข้ามกบั สมาชกิ สงั ฆสภาซึ่งเป็นพระผู้นอ้ ย กลบั มีความสนใจและ
กระตือรือร้นเขา้ ร่วมประชมุ อยา่ งคับคัง่ และสมา่ เสมอ (แสวง อุดมศรี, 2534, น. 193-
194)

ดว้ ยสภาพป๎ญหาตา่ งๆ เหลา่ น้ี ในหนังสอื เรอื่ ง รัฐกบั ศาสนา บทความว่าดว้ ย
อาณาจักรศาสนจักรและเสรีภาพ ซึ่งเขียนโดย พิพัฒน์ พสุธารชาติ มีทรรศนะว่า “ความขัดแย้ง
เหล่านี้ทาให้เกิดความวุ่นวายในคณะสงฆ์อย่างรุนแรงจนทาให้กลายเป็นข้ออ้างให้ฝุายอาณาจักรใช้
เป็นเหตผุ ลสรา้ งความชอบธรรมแก่รัฐบาลที่จะเข้าไปแทรกแซงและเปล่ียนแปลงการบริหารคณะสงฆ์
เสียใหม่ เมอ่ื พ.ศ. 2505” (พิพัฒน์ พสุธารชาติ, 2553, น. 281-282) แต่ความเปลี่ยนแปลงที่นามา
สู่การยกเลิกพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2484 น้ัน ในหนังสือเร่ือง การปกครองคณะสงฆ์ไทย
แสวง อุดมศรี กลบั มีทรรศนะตา่ งจากทรรศนะของพพิ ัฒน์ พสุธารชาติ โดยแสวง อุดมศรีมีทรรศนะ
ว่า

พันตรี ควง อภยั วงศ์ ได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ดารงตาแหน่ง
นายกรฐั มนตรี เม่อื วันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2487 ได้ก่อใหเ้ กิดภาวะพลิกผนั ทางการเมือง
การปกครองคณะสงฆ์ กลา่ วคือ คณะธรรมยตุ ได้อาศัยชอ่ งว่าง ซ่ึงเกิดจากความ
เปลย่ี นแปลงทางการเมอื งของฝาุ ยอาณาจักรในครงั้ นี้ เรมิ่ เคล่ือนไหวทีจ่ ะใหม้ กี าร
ยกเลิกพระราชบัญญตั ิคณะสงฆ์ พ.ศ. 2484 (แสวง อดุ มศรี, 2534, น. 212)

ในบทความประชาไท เรื่อง “70 ปี พ.ร.บ. คณะสงฆ์ 2484 ฉบบั ประชาธิปไตยฯ
ตอนที่ 2 มรณกรรมใต้ตีนเผดจ็ การ” ซง่ึ เขยี นโดย ภญิ ญพนั ธุ์ พจนะลาวณั ย์ ได้ให้ทรรศนะถึงเหตุผล
ท่ีนามาส่กู ารล้มเลกิ พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2484 ว่า

สังฆสภา ประกอบด้วยสมาชิก ซึ่งมพี ระเถระผ้เู ป็นช้ันอุป๎ชฌายอ์ าจารย์ท้งั พระอนเุ ถระ
ผู้เปน็ ช้นั ศิษย์ เม่ือต้องเขา้ ประชุมโตเ้ ถยี งกันในสภาโดยฐานะเปน็ สมาชกิ เท่ากัน
ก็เป็นเหตุให้ เสอ่ื มความเคารพยาเกรง ผิดหลักพระธรรมวนิ ัย เสยี ผลในทางปกครอง ท้ัง
เป็นเหตใุ หเ้ ส่ือมความเลือ่ มใสของพุทธศาสนกิ ชน จะอ้างว่าอนวุ ตั ร ตามพระพุทธา-
นญุ าตทใี่ หส้ งฆ์เปน็ ใหญ่ในสงั ฆกรรมทัง้ ปวง ทานองเดยี วกบั ระบอบการปกครอง
บา้ นเมอื งท่ใี หป้ ระชาชนมสี ่วนมเี สียงในการปกครองนน้ั ไม่ได้

ขอ้ โตแ้ ยง้ เพื่อลม้ พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ 2484 โดย ในปี 2490 ใน สาเนาหนังสือ

42

รอ้ งเรยี นและบนั ทกึ คาชี้แจงประกอบหนงั สอื ร้องเรียนเก่ยี วกับพระราชบัญญตั ิคณะ
สงฆ์ พทุ ธศักราช 2484 (ภิญญพันธ์ุ พจนะลาวัณย,์ 2554, น. 1)

ไมว่ า่ จะดว้ ยสาเหตุใดทีท่ าใหม้ กี ารยกเลกิ พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2484 ก็
ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2484 ในความเห็นของคนึงนิตย์ จันทบุตร ท่ีได้กล่าวไว้ใน
หนังสอื เร่ือง สถานะและบทบาทของพระพุทธศาสนาในประเทศไทย มีทรรศนะไว้วา่

พระราชบญั ญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2484 รวมระยะเวลาทใี่ ช้พระราชบญั ญัตินี้ทั้งส้ิน 21
ปี นับเปน็ พระราชบัญญัติทมี่ ีอายุน้อยท่สี ดุ ในทัศนะของพระสงฆ์มหานิกายโดยท่ัวๆ ไป
พระราชบัญญตั ิฉบบั น้ีเป็นพระราชบัญญัติท่ดี ีท่ีสุดในท้งั หมดของพระราชบญั ญตั ิทผี่ า่ น
มา เพราะมีการกระจายอานาจเปน็ สังฆสภา สังฆมนตรี และคณะวินัยธร (คนึงนิตย์
จนั ทบตุ ร, 2532, น. 30)

อาจกล่าวได้วา่ พระราชบญั ญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2484 เป็นพระราชบญั ญตั ทิ ี่
กระตุ้นให้พระสงฆ์ต่ืนตัวต่อการเข้ามามีส่วนร่วมในการกล้าเข้ามาแก้ไขและนาเสนอป๎ญหาเพราะมี
ความชอบธรรมของพระราชบัญญัติดังกล่าวซ่ึงรองรับการกระจายอานาจการบริหารและอาจกล่าวได้
ว่าเป็นพระราชบญั ญตั ิที่ชว่ ยยกระดับการพัฒนาของคณะสงฆท์ ผ่ี า่ นมาอีกก้าวหนึ่งโดยให้พ้นวังวนของ
เผด็จการทางคณะสงฆท์ ม่ี ักมีการสืบทอดอานาจมาอย่างต่อเนือ่ ง

2.1.5 การปกครองคณะสงฆ์ในสมยั ท่ีมกี ารตราพระราชบัญญัตคิ ณะสงฆ์ พ.ศ. 2505
ในเบอ้ื งต้นจะขอกลา่ วถึงสาเหตทุ ที่ าให้ต้องมีการตราพระราชบญั ญัติคณะสงฆ์

พ.ศ. 2505 ว่ามีสาเหตุความเป็นมาอย่างไรตามความทรรศนะของนักวิชาการฝุายบรรพชิตและ
คฤหัสถ์

พระเมธธี รรมาภรณ์ (ประยูร ธมจฺ ติ ฺโต) ป๎จจบุ ัน (พ.ศ. 2559) ดารงสมณศักด์ทิ ี่
พระพรหมบัณฑิต อธิการบดมี หาวทิ ยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย ได้ให้ทรรศนะถึงการปกครอง
คณะสงฆพ์ .ศ. 2505 น้นั ไว้ว่า

พระราชบัญญตั คิ ณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 นนั้ เกิดจากความตอ้ งการของรฐั บาลในสมัยนน้ั
ซ่ึงมจี อมพลสฤษดิ์ ทีน่ ิยมการรวบอานาจการตดั สนิ ใจเด็ดขาดไว้กับผู้นาที่เข็มแข็ง
จอมพลสฤษดิ์เหน็ ว่าการปกครองระบอบประชาธปิ ไตยที่กาหนดให้มกี ารถ่วงดุลอานาจ
กันน้ันนามาซ่งึ ความลา่ ชา้ และความขาดประสทิ ธภิ าพในการปฏบิ ตั งิ าน ดงั นนั้ จงึ เหน็
วา่ การแยกอานาจบญั ชาการคณะสงฆอ์ อกเปน็ 3 ทาง คอื สังฆสภา คณะสงั ฆมนตรี
และคณะวนิ ยั ธรตามพระราชบัญญตั ิคณะสงฆ์ พ.ศ. 2484 เปน็ ระบบทบี่ ่ันทอน
ประสิทธภิ าพในการดาเนนิ กิจการคณะสงฆ์ให้ต้องพบอปุ สรรคล่าชา้ ดว้ ยเหตผุ ล

43

ดังกลา่ ว คณะรฐั มนตรจี งึ ลงมตแิ ต่งตัง้ คณะกรรมการยกรา่ งพระราชบญั ญตั คิ ณะสงฆ์
ฉบบั ใหมข่ ึน้ ใน พ.ศ. 2503 (พระเมธีธรรมาภรณ์ (ประยรู ธมฺจิตโฺ ต), 2539, น. 50)

จากสาเหตดุ งั กลา่ วเมอ่ื พจิ ารณาดูแลว้ อาจทาใหม้ ีความรู้สกึ วา่ จอมพลสฤษดม์ิ ี
ความชอบธรรมในการตราพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 ข้ึนเพราะมีเหตุผลอธิบายว่าการ
ปกครองคณะสงฆ์โดยใช้พระราชบัญญัติ 2484 ที่มีการแยกอานาจบัญชาการคณะสงฆ์ออกเป็น 3
ทาง คือ สังฆสภา คณะสังฆมนตรี และคณะวินัยธรเป็นระบบที่บั่นทอนประสิทธิภาพในการดาเนิน
กิจการคณะสงฆ์เพราะต้องพบกับอปุ สรรคลา่ ช้าจึงมคี วามชอบธรรมที่ต้องแก้ไขเพื่อมีความคล่องตัวใน
การบริหารกจิ การคณะสงฆ์หรือเพ่ือเปน็ การสรา้ งเงื่อนไขสาคญั ทจ่ี ะพฒั นาประเทศ

อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาจากทรรศนะของพิพฒั น์ พสุธารชาติ อาจทา
ให้ภาพความชอบธรรมในการตราพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 ของจอมพลสฤษด์ิ ลดลง โดย
พิพัฒน์ พสุธารชาติ ได้กล่าวถึงสาเหตุอีกข้อหน่ึงท่ีทาให้จอมพลสฤษด์ิต้องตราพระราชบัญญัติขึ้น
ใหมก่ เ็ พราะความไม่พอใจพฤติกรรมของพระเถระผู้ใหญร่ ปู หนึ่งคือ

พระพมิ ลธรรม (อาจ อาสโภ) พระรูปนด้ี ารงตาแหนง่ สังฆมนตรวี ่าองคก์ ารปกครอง
ตามพระราชบญั ญตั ิการปกครองคณะสงฆ์ 2484 ในขณะนั้นและเป็นเจา้ อาวาสวัด
มหาธาตุ เปน็ พระสงฆจ์ ากมหานิกายท่ีมผี ลงานโดดเดน่ ในการเผยแผพ่ ระพุทธศาสนา
เหนือพระสงฆ์รปู อื่นในสมยั เดียวกันโดยเฉพาะอย่างยง่ิ งานด้านการเจริญวิป๎สสนาธรุ ะ
จนได้ก้าวสู่ฐานะทางบริหารคณะสงฆ์ในเวลารวดเร็ว แตพ่ ระเถระรปู นี้กลบั มีพระเถระผู้
ไมห่ วังดรี ปู อื่นท้งั ทเี่ ป็นมหานิกายเองและธรรมยตุ ิกนิกายต้องการสกัดวถิ ีทางเพ่ือให้
หลดุ ไปจากอานาจในการปกครองคณะสงฆ์ จึงได้รายงานพฤตกิ รรมต่างๆ ของพระ
พิมลธรรมใหจ้ อมพลสฤษด์ไิ มพ่ อใจ ยกตวั อย่างเชน่ กล่าวหาวา่ พระพิมลธรรมเปน็
คอมมิวนสิ ตบ์ า้ งเป็นบุคคลทีส่ นทิ สนมกบั จอมพล ป. พบิ ูลสงครามซ่ึงเปน็ ศัตรูทาง
การเมืองของจอมพลสฤษด์ิบ้าง แต่สาเหตทุ จี่ อมพลสฤษด์ไิ ม่พอใจพระพิมลธรรมท่ีสุด
นา่ จะเป็นเหตกุ ารณ์ทจี่ อมพลสฤษด์ิเดินทางมาตรวจราชการในเขตภาคอสี าน แล้วมี
ประชาชนและพระสงฆ์มาต้อนรับไมม่ ากเทา่ ที่ควร ผดิ กับพระพิมลธรรมท่ีเดินทางไป
ภาคอีสานแล้วมปี ระชาชนและพระสงฆม์ าต้อนรับและอานวยความสะดวกอยา่ งคบั คง่ั
จึงทาใหจ้ อมพลสฤษดิ์มองพระพิมลธรรมในแงล่ บ เมอื่ มพี ระเถระหลายรปู มาพดู ใหร้ ้าย
พระพมิ ลธรรมมากเข้า ในท่ีสุดจอมพลสฤษดก์ิ ม็ คี วามต้องการใหพ้ ระพิมลธรรมสกึ

ตอ่ มาพระพิมลธรรมไดถ้ ูกถอดสมณศกั ดิ์ ถกู สง่ั ให้สกึ โดยพระบญั ชาของสมเด็จ
พระสงั ฆราชด้วยขอ้ หาเสพเมถนุ ธรรมทางเวจมรรค (การร่วมเพศทางทวารหนัก)

44

และถูกขังคกุ ในเดือนเมษายน ปี พ.ศ. 2505 ด้วยข้อหากระทาการอันเปน็ คอมมิวนสิ ต์
และกระทาผิดตอ่ ความมน่ั คงของชาติ หลงั จากนนั้ ไมน่ านจอมพลสฤษดิก์ ป็ ระกาศ
ยกเลิกพระราชบัญญตั คิ ณะสงฆ์ พ.ศ. 2484 และตราพระราชบัญญัตคิ ณะสงฆฉ์ บบั ใหม่
ในเดอื นธันวาคม พ.ศ. 2505

อีกสาเหตหุ นงึ่ ที่ตอ้ งมกี ารตราพระราชบญั ญตั คิ ณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 ขน้ึ มา คือ
ภาพของการทะเลาะเบาะแว้งกันในหม่พู ระเถระในสังฆสภาซ่งึ ในตอนนน้ั มคี วาม
วุน่ วายมาก ไม่วา่ จะเกิดจากพระเถระระหวา่ งมหานกิ ายกับธรรมยุติกนิกายหรือพระ
เถระระหว่างมหานกิ ายด้วยกันเอง จึงอาจเป็นสาเหตุหน่ึงทตี่ อ้ งมกี ารยบุ สังฆสภาลงจึง
เป็นเหตุใหม้ ีการตราพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 ในระยะเวลาตอ่ มา (พพิ ัฒน์
พสธุ ารชาติ, 2553, น. 283-284)

จากทรรศนะของนกั วิชาการทง้ั 2 ท่านดงั กล่าวทาให้เราไดท้ ราบถึงความ
เป็นมาของพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 วา่ เกดิ จากสาเหตใุ ด ซ่งึ พอจะสรปุ ได้ดังต่อไปน้ี

(1) เห็นว่าการแบง่ อานาจการปกครองแบบสงั ฆสภา คณะสังฆมนตรีและคณะ
วินัยธรเปน็ ระบบที่บ่นั ทอนประสทิ ธิภาพในการดาเนินกจิ การคณะสงฆเ์ พราะตอ้ งพบกับอุปสรรคล่าช้า
จึงมีต้องแกไ้ ขเพ่อื มีความคล่องตัวในการบรหิ ารกิจการคณะสงฆ์หรือเพ่ือเป็นการสร้างเงื่อนไขสาคัญที่
จะพัฒนาประเทศไดร้ วดเรว็ เดด็ ขาด

(2) ความไม่พอใจของจอมพลสฤษด์ิที่มีต่อพระพิมลธรรมเกิดจากการยุแหย่จาก
พระเถระทไ่ี มพ่ อใจในพระพิมลธรรมเปน็ การส่วนตวั ด้วยข้อกล่าวหาต่างๆ จอมพลสฤษดิ์จึงต้องการให้
พระพิมลธรรมสึกแต่ติดขัดท่ีพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2484 ที่ต้องมีมติร่วมกันของสังฆสภา
เสียก่อน เม่ือเป็นเช่นนั้นจอมพลสฤษด์ิจึงมีความไม่พอใจต่อพระราชบัญญัติฉบับปี พ.ศ. 2484
เพ่ิมขึ้นจึงต้องการตราพระราชบัญญัติฉบับใหม่เพ่ือให้สังฆราชและมหาเถรสมาคมมีอานาจเด็ดขาดที่
จะกระทาสิ่งใดกไ็ ดด้ งั่ ใจตนต้องการทุกอย่าง

(3) การทะเลาะเบาะแว้งกันในหมู่พระเถระในสังฆสภา ไม่ว่าจะเกิดจากพระเถระ
ระหว่างมหานิกายกบั ธรรมยุตหรือพระเถระระหว่างมหานิกายด้วยกันเอง รวมท้ังการใส่ร้ายพระพิมล
ธรรม จึงอาจเป็นสาเหตุหน่ึงท่ีต้องมีการยุบสังฆสภาลงจึงเป็นเหตุให้มีการตราพระราชบัญญัติคณะ
สงฆ์ พ.ศ. 2505 ในระยะเวลาต่อมาและต่อมาได้มีการปรุงแก้ไขเพิ่มเติม (คร้ังที่2) พ.ศ. 2535 มีผล
บังคบั ใชจ้ นถึงป๎จจบุ นั

ตามทรรศนะของ พิพฒั น์ พสุธารชาติ น้ันเหน็ ว่า
จอมพลสฤษดิต์ ้องการจัดองค์กรสงฆ์เหมอื นฝาุ ยอาณาจกั รแบบเผด็จการเบด็ เสร็จ

45

ดังนนั้ รปู แบบการปกครองคณะสงฆเ์ ลยเปน็ การรวมอานาจไวท้ สี่ มเด็จพระสังฆราชและ
มหาเถรสมาคม สาหรบั โครงสร้างส่วนอืน่ นัน้ ใหย้ กเลกิ ไป เพราะไม่มกี ารคานอานาจ
จากพระสงฆ์กลุ่มอน่ื อกี ต่อไปดว้ ยเหตผุ ลอันเนอ่ื งมาจากความวุ่นวายภายในคณะสงฆ์
เอง และอิทธิพลของความเปลยี่ นแปลงการเมอื งภายใต้การนาของจอมพลสฤษดิ์ จงึ ไดม้ ี
การเปล่ียนแปลงรปู แบบคณะสงฆ์ใหมน่ จี้ ะมีลกั ษณะคล้ายกบั รูปแบบคณะสงฆ์ใน
พระราชบญั ญัติ ร.ศ. 121 กลา่ วคือ

(1) ยกเลิกสงั ฆสภา คณะสังฆมนตรี และ คณะวินัยธร อานาจท่ีองค์กรท้ังสามเคย

เป็นผู้ใช้แยกจากกัน ให้สมเดจ็ พระสงั ฆราชและมหาเถรสมาคมเป็นผ้ใู ช้
(2) สมเดจ็ พระสังฆราชทรงเปน็ ประมขุ ของคณะสงฆ์ไทย และ เป็นประธานมหาเถร

สมาคม มหาเถรสมาคมประกอบไปดว้ ยพระสมณศกั ดิร์ ะดบั สมเดจ็ พระราชาคณะทุก
รปู และพระราชาคณะจานวน 4-8 รูป และมอี ธิบดีกรมการศาสนาเปน็ เลขานกุ ารโดย
ตาแหนง่ โครงสรา้ งของคณะสงฆ์สองสว่ นนี้ เปน็ องคก์ รบริหารกิจการคณะสงฆ์ทกุ ดา้ น
เชน่ เดยี วกับหัวหนา้ รัฐบาลเผด็จการทีร่ วมอานานไว้กับตน (พิพฒั น์ พสุธารชาติ, 2553,
น. 286-287)

น้คี ือลกั ษณะของโครงสรา้ งการปกครองคณะสงฆ์ตาม พระราชบัญญตั ิคณะสงฆ์
2505 ต่อมาเมื่อมีการปกครองคณะสงฆ์ตาม พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ 2505 อย่างเป็นทางการแล้ว
จงึ เกดิ แรงสะท้อนจากพระสงฆ์เองหรืออาจเรียกว่าแรงปฏิกิริยาจากการตราพระราชบัญญัติคณะสงฆ์
ดังกล่าว ตามทรรศนะของคนึงนิตย์ จันทบุตร แรงปฏิกิริยาที่เกิดจากการตราพระราชบัญญัติคณะ
สงฆ์ 2505 มดี ังตอ่ ไปน้ี

(1) ความขัดแย้งในคณะสงฆ์รุนแรงมากขึ้น ขณะที่ความขัดแย้งระหว่างนกิ ายสงฆ์
ลดลง เน่ืองจากความสามารถในการประสานประโยชนข์ องผู้บรหิ ารทั้งสองฝาุ ย ความ
ขดั แย้งเป็นคลื่นลูกใหมเ่ ปน็ ความขัดแย้งระหวา่ งยวุ สงฆ์กบั ผู้บรหิ ารการคณะสงฆ์ อัน
เกดิ จากความไม่พอใจต่อความอยุติธรรมท่ีพระพิมลธรรม (อาจ) พระอุปช๎ ฌายะของตน
ไดร้ ับ
(2) ความไม่พอใจตอ่ ระบอบการปกครอง ทนี่ ับวันกย็ ิง่ รวบอานาจเขา้ สู่พระเถระเพียง
1-2 องค์ แทนทจี่ ะเป็นการกระจายอานาจ เพื่อใหก้ ารบรหิ ารเปน็ ไปด้วยความเสมอภาค
และมสี มรรถภาพยิง่ ขนึ้ การเคลื่อนไหวของยุวสงฆ์ในระยะหลงั ๆ จึงมุง่ ไปทก่ี าร
เรียกรอ้ งขอความเป็นธรรมแกพ่ ระพิมลธรรม และขอการเปลีย่ นการปกครองคณะสงฆ์

46

ใหก้ ลับไปสูพ่ ระราชบญั ญตั ิการปกครองคณะสงฆ์ พ.ศ. 2484 (คนงึ นติ ย์ จันทบตุ ร,
2528, น. 35)

นอกจากนีค้ นงึ นติ ย์ จนั ทบุตร ยังได้วจิ ารณ์ถึงขอ้ บกพรอ่ งของพระราชบัญญัติ
คณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 วา่ โครงสรา้ งในการปกครองคณะสงฆ์ยึดถือจารีตและประเพณี
เดมิ โดยไม่พจิ ารณาถงึ ยุคสมัยและสภาพสงั คมทเ่ี ปล่ียนแปลงไป ดว้ ยเหตนุ ีก้ ารปกครอง
คณะสงฆจ์ งึ ขน้ึ กบั พระเถระผอู้ าวุโสเพยี งไม่กร่ี ปู พระเถระเหลา่ น้ันล้วนชราภาพ
เพราะพิจารณาจากผู้มีสมณศักดสิ์ งู สดุ มากกว่าผทู้ ีม่ ีความสามารถด้านบรหิ าร ดงั นน้ั เจา้
คณะส่วนใหญ่ล้วนมีอายุพรรษาประมาน 50 พรรษา ซ่ึงควรอยใู่ นวัยพักผ่อนมากกว่าวยั
ทางาน บางท่านแมจ้ ะเขยี นหนงั สอื ก็แทบไม่ไหว ซา้ ภารกจิ ดา้ นพธิ ีกรรม งานรฐั งาน
ราษฎรม์ ากมาย จนไม่มีเวลาจะบรหิ ารงานในมหาเถรสมาคมหรือแม้แต่ในวัดซึ่งตนเป็น
เจ้าอาวาส การบริหารงานของคณะสงฆ์จึงเป็นไปตามยถากรรม มีแตท่ รงกบั ทรดุ ทีจ่ ะ
พิจารณาให้เปน็ ระบบ ระเบียบเพอ่ื ความมั่นคงร่งุ เรอื งต่อไปยอ่ มเปน็ ไปไม่ได้ การ
แต่งตัง้ เลอ่ื นตาแหนง่ พระสังฆาธิการมกั จะเปน็ ไปในวงแคบๆ ของผใู้ กลช้ ิด ไมไ่ ดเ้ ฟนู หา
ผมู้ คี วามสามารถอย่างแทจ้ รงิ ยงั ผลใหพ้ ระสงฆท์ ี่มคี วามสามารถทอ้ ถอยขาดกาลงั ใจใน
การบรหิ ารงานตอ่ ไป ระบบบริหารจึงมลี กั ษณะเผด็จการเปน็ ไปตามระบบเส้นสายหรอื
ระบบอุปถมั ป์ (คนึงนิตย์ จนั ทบตุ ร, 2528, น. 90-91)

แต่ในขณะเดียวกนั สุนทร ณ รังษี ซึง่ เป็นผูค้ ลกุ คลีอยูใ่ นวงการพระพุทธศาสนา
มายาวนาน ไดใ้ ห้ทรรศนะต่อพระราชบัญญัติการปกครองคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 ไปต่างจากคาวิจารณ์
ของคนึงนิตย์ จันทบุตร ท่ีได้วิจารณ์ไว้ในข้างต้นโดยใน บทความ เรื่อง “การปกครองคณะสงฆ์อดีต
ป๎จจบุ ัน อนาคต” ของสนุ ทร ณ รังษี มีทรรศนะว่า

การปกครองคณะสงฆ์ในรปู แบบของมหาเถรสมาคมเปน็ การปกครองคณะสงฆต์ าม
รปู แบบพระธรรมวินัยทพ่ี ระพทุ ธเจ้าทรงกาหนดให้สงฆเ์ ปน็ ใหญ่ในกิจการท้ังปวงของ
พระศาสนาและให้พระภิกษุเคารพเชื่อฟง๎ พระเถระผู้ใหญใ่ นกจิ การท้งั ปวงของพระ
ศาสนาและให้พระภกิ ษุเคารพชื่อฟ๎งพระเถระผ้ใู หญ่ผู้เป็นรตั ตญั ํูบวชมานานเปน็
สังฆบดิ รสังฆปรินายกโดยตรัสถามว่าตราบใดท่ภี ิกษทุ ้งั หลายยงั เคารพเชอ่ื ฟง๎ ถอ้ ยคา
ของทา่ นเหล่าน้นั อยูจ่ ะมีแต่ความเจริญไม่เปน็ ไปเพ่ือความเสอ่ื มแน่นอน และสนุ ทร
ณ รังษีกย็ งั ไดม้ องว่า พระราชบัญญัตคิ ณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 ยังมจี ุดออ่ นทยี่ ังต้อง
แกไ้ ขปรบั ปรุงอยมู่ าก (สุนทร ณ รังสี, 2539, น. 17-18)

อย่างไรกต็ าม พระราชบญั ญัตคิ ณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 แกไ้ ขเพิ่มเติม ฉบับที่ 2 พ.ศ.

47

(2535) กย็ ังคงมีหลายฝาุ ยไม่เหน็ ด้วยและต้องการเปลี่ยนแปลงแกไ้ ขพระราชบัญญัติดังกล่าวเน่ืองจาก
เห็นว่าทั้งที่มาของพระราชบัญญัติดังกล่าวและเนื้อหาของพระราชบัญญัติดังกล่าวยังคงมีการรวบ
อานาจการตัดสินใจไว้ที่มหาเถรสมาคม ซึ่งทาหน้าท่ีเพียงแค่ออกกฎคาส่ัง แต่ไม่มีองค์กรท่ีคอยออก
รูปแบบการทางานและไม่มีองค์คอยติดตามการทางานของประกาศหรือคาสั่งของมหาเถรสมาคม
พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ 2505 แก้ไขเพิ่มเติม ฉบับที่ 2 พ.ศ. (2535) จึงเป็นที่จับตามมองจากหลาย
ภาคสว่ นตอ่ การท่ีสามารถตอบสนองการทางานตามอุดมการณ์ของพระพุทธศาสนาและตอบสนองทัน
ตอ่ การเปล่ียนแปลงของสงั คม

2.2 สาเหตุของการปกครองคณะสงฆ์

สาเหตุของการปกครองคณะสงฆ์จะกล่าวถึงตั้งแต่ในสมัยพุทธกาลจนถึงหลังพุทธกาลที่
มีการใช้อานาจรัฐโดยมีการตราพระราชบัญญัติเพ่ือประกอบการตัดสินในทางพระธรรมวินัย เป็นท่ี
ทราบโดยทั่วกันว่าการปกครองคณะสงฆ์มีมาต้ังแต่ในสมัยพุทธกาลแล้ว โดยสมัยพุทธกาลนั้นมี
พระพุทธเจ้าเปน็ ผูป้ กครองสงฆ์โดยใชพ้ ระธรรมวินยั เปน็ มาตรฐานในการปกครอง ส่วนสาเหตุของการ
ปกครองคณะสงฆ์ในสมัยพุทธกาลนั้นจะขอนาทรรศนะของนักวิชาการฝุายบรรพชิตและคฤหัสถ์มา
กล่าวถึงดงั ต่อไปนี้

พระเทพดลิ ก (ระแบบ ฐิตญาโน) ป๎จจบุ นั คอื พระธรรมเมธาภรณ์ กลา่ วไว้วา่
ตอนตน้ พทุ ธกาลจานวนผเู้ ขา้ มาบวชไม่มากนกั และส่วนมากทา่ นท่เี ขา้ มาบวชบรรลุ
มรรคผลระดับสงู ในทางศาสนา ไม่มีปญ๎ หาเรอื่ งความประพฤติแต่ประการใด แต่เมื่อ
จานวนผูบ้ วชเพม่ิ ขนึ้ และคนทเ่ี ขา้ มาบวชมเี จตนารมณแ์ ตกตา่ งกนั ความจาเปน็ ในด้าน
การบรหิ ารก็เกดิ ขน้ึ ทรงจัดให้มีบุคคล คณะผรู้ บั ผดิ ชอบในความประพฤตกิ ารศึกษาการ
ปฏบิ ัตขิ องผูท้ เี่ ขา้ มาบวช โดยขึน้ ตรงตอ่ พระพทุ ธองค์ในกรณีที่มีป๎ญหาดา้ นพระวนิ ัย
และความสงสยั ไมเ่ ขา้ ใจในธรรม ทา่ นผรู้ บั ผดิ ชอบในการปกครองพระภิกษุสามเณร
เริม่ ต้นจากอปุ ช๎ ฌายอ์ าจารย์ มหี นา้ ท่ใี นการปกครอง อบรม สง่ั สอน สทั ธวิ หิ ารกิ อันเต-
วาสกิ ของตน โดยทรงกาหนดวัตร ใหแ้ ตล่ ะฝุายปฏิบัติต่อกันดว้ ยความเออ้ื เฟ้ือ โดยให้
ฝุายผูป้ กครองสรา้ งความรูส้ กึ ต่อสทั ธวิ หิ าริก อันเตวาสิกของตนเหมอื นบุตร ฝุายสทั ธิ
วหิ ารกิ อันเตวาสิกจะตอ้ งสร้างความรู้สกึ ตอ่ อุป๎ชฌาย์ในฐานะบิดา การอยูร่ ว่ มกนั
ของทา่ นเหล่านนั้ จงึ มีลักษณะทอ่ี บอุ่น ตา่ งฝาุ ยต่างดแู ลความเป็นอยขู่ องกนั และกัน ทรง

48

ใหอ้ านาจแก่อาจารย์อุปช๎ ฌาย์ ในอนั ทจี่ ะลงโทษแกส่ ทั ธวิ ิหารกิ อันเตวาสกิ ของตน ผู้
ประพฤติมชิ อบได้ โดยทรงกาหนดเป็นเงอื่ นไขในการวินิจฉัย ลงโทษ การขอขมา การงด
โทษไว้

เจา้ อาวาสในตอนแรกไมค่ อ่ ยปรากฏเดน่ ชดั นกั นอกจากเรอ่ื งในอรรถกถา
อานาจคงไม่มีมากเหมือนปจ๎ จุบนั งานส่วนมากหนักไปในด้านการดูแลความสงบ
เรียบรอ้ ยภายในวัด พระเถระรูปเดยี วอาจดารงตาแหน่งอปุ ช๎ ฌาย์ อาจารย์ เจ้าอาวาส
ในขณะเดียวกันกไ็ ด้ จะตา่ งกันก็ลกั ษณะงานเทา่ นนั้ พระเถระท่รี ับผดิ ชอบงานพระ
ศาสนาทัง้ หมดจะขน้ึ ตรงต่อพระพุทธเจ้า จงึ มีธรรมเนยี มวา่ หลังจากออกพรรษาแลว้
พระที่จาพรรษาอยใู่ นส่วนตา่ งๆ ของชมพูทวปี จะมาเฝาู พระพุทธเจา้ เพือ่ กราบทลู
รายงานเหตุการณต์ า่ งๆ ในสมัยนนั้ ถงึ แมจ้ ะมปี ๎ญหาตา่ งๆ ทง้ั ทางศีล และทิฎฐิ แต่
สามารถจัดใหส้ งบลงไปได้ โดยองคพ์ ระพทุ ธเจา้ บ้าง และพระมหาเถระทั้งหลายบา้ ง
สังคมสงฆ์จึงกลายเปน็ สังคมทส่ี งบเย็นโดยมาก (คณาจารย์ มหาวทิ ยาลัยมหาจฬุ าลง
กรณราชวทิ ยาลัย, 2553, น. 18)
เสถยี รพงษ์ วรรณปก ได้กลา่ วถงึ สาเหตขุ องการปกครองคณะสงฆไ์ ว้วา่
พระพุทธเจา้ ต้งั สถาบันสงฆ์ขนึ้ มา เพือ่ เป็นชมุ ชนตัวอย่างแหง่ ความประพฤติ ให้เป็นชวี ิต
ตัวอย่าง เปน็ ทางลัดที่จะบรรลธุ รรม หรือไปถงึ เปาู หมายของชีวิตท่ีเป็นพรหมจรรย์
ดาเนินชีวติ อย่างประเสริฐตามหลกั อรยิ มรรค ไมม่ ขี ้อบังคบั อะไรมาก มีหลกั เกณฑ์
คร่าวๆ วา่ ใหป้ ระพฤตพิ รหมจรรย์เพอื่ ทาท่สี ดุ แห่งทุกขน์ น่ั คือตอนแรก เพราะว่าผู้ที่มา
บวชนน้ั เป็นผูท้ ่ีพรอ้ มแล้วเบ่ือโลกแล้วเปน็ สว่ นมาก ก็ไมจ่ าเป็นตอ้ งบอกว่า อยา่ ทา
อยา่ งน้นั อยา่ ทาอย่างนี้ พอตอนหลงั นกี่ ม็ ีผู้ที่ยังไม่มคี วามพร้อมเข้ามาบา้ ง ก็ต้องวาง
กฎระเบยี บด้วยการฟง๎ เสียงประชาชน (ศนู ย์มานษุ ยวทิ ยาสริ นิ ธร, 2542, น. 224-225)
สิรวิ ฒั น์ คาวันสา กลา่ ววา่ “ในระยะแรก พระองคท์ รงทาหน้าที่ 2 อย่าง
ไป พร้อมกนั คอื เปน็ ทัง้ ครสู อนและเปน็ ทง้ั อปุ ๎ชฌาย์บวชให้แกก่ ุลบุตรดว้ ยวธิ ี “เอหิภิกขุ
อุปสปทา เธอจงเปน็ พระภกิ ษเุ ถิด ธรรมอนั เรากล่าวดแี ล้ว เธอจงประพฤติพรหมจรรย์
เพอ่ื ทาท่ีสุดทุกข์เกดิ ” ในระยะทสี่ อง เมอื่ พระสาวกมากขน้ึ ระยะนพ้ี ระองค์จงึ ทรง
มองเหน็ ความลาบากของพระสาวกและกลุ บตุ รผ้จู ะบวช เพราะบางคนต้องเดินทางมา
จากที่ไกล พระองค์จงึ ทรงอนญุ าตให้พระสาวกเหล่านั้นเปน็ อุปช๎ ฌาย์ได้ด้วย โดยให้ผจู้ ะ
บวชมารบั ไตรสรณคมนจ์ ากพระสาวกรปู นน้ั ๆ การบวชดว้ ยวิธนี ้ีเรยี กวา่ “ติสรณ
คมนูปสัมปทา” ใหพ้ ระสาวกทาหนา้ ทีเ่ ป็นพระอปุ ช๎ ฌายเ์ อง ส่วนพระองคก์ ท็ รงให้

49

กลุ บุตรอนื่ ดว้ ยวิธเี อหิภกิ ขุอปุ สมั ปทา อยู่เช่นเคย ในระยะทสี่ าม เมอ่ื มีพระสงฆ์สาวก
มากข้ึน การดูแลควบคมุ หมู่ภิกษุผ้บู วชใหมก่ เ็ พม่ิ มากข้ึน พระองค์ทรงพจิ ารณาเห็น
ภาระความยุง่ ยากในอนาคต จึงทรงมอบหมายหนา้ ท่ีการปกครองดูแล ใหเ้ ป็นของ
พระภิกษุผ้มู ีอาวุโสสูง คอื จะทรงมอบอานาจให้ปกครองกันเองบ้าง เปน็ การแบ่งเบา
ภาระของพระองค์ ดังนัน้ จงึ ทรงมอบการบวชให้แกค่ ณะสงฆ์ คือ เม่อื มีผจู้ ะบวช กใ็ ห้
พระสาวกรปู หนึง่ ทาหนา้ ท่ีเป็นอปุ ช๎ ฌาย์นาเขา้ ส่ทู า่ มกลางสงฆ์อย่างน้อย 10 รูป การ
บวชด้วยวธิ เี รียกวา่ “ญตั ติจตุตถกรรมวาจา” ส่วนการบวชดว้ ยไตรสรณคมนน์ นั้ ทรง
นาไปใชส้ าหรบั สามเณร มใิ ช่สาหรบั ภิกษุเสยี แลว้

นับตั้งแตพ่ ระองค์มอบใหห้ มู่ภกิ ษสุ งฆ์บวชด้วยวิธีญัตติจตุ ตถกรรมวาจา ไม่ปรากฏว่า
พระองค์ได้บวชให้ใครอีกเลย เป็นทานองว่า เมื่อลูกโตแล้วก็มอบภาระหน้าท่ีให้ทาเอง
ดังจะเห็นได้ว่า ในตอนปลายพุทธกาลนั้น เมื่อมีพระภิกษุบางรูปประพฤติไม่เรียบร้อย
ไม่เหมาะ พระองค์ก็ส่งอาจารย์หรืออุป๎ชฌาย์ของรูปน้ันไปว่ากล่าวตักเตือน (สิริวัฒน์
คาวนั สา, 2545, น. 53)
แสวง อุดมศรี กล่าวว่า

เมือ่ สงั คมสงฆ์กลายเป็นสังคมขนาดใหญม่ ีสมาชิกท้ังที่เป็นพระปุถชุ นและอรยิ บคุ คล
ชน้ั ตา่ งๆ อยอู่ าศยั รว่ มกนั เป็นจานวนมาก ยอ่ มเป็นธรรมดาที่จะต้องมปี ๎ญหา
หลากหลายเกิดข้ึน เพราะแต่ละท่านตา่ งกม็ ีพืน้ ฐานเดมิ มาจากสภาพสังคมทีแ่ ตกต่าง
และแมแ้ ต่ละทา่ นจะไดพ้ ยายามปฏบิ ัติสมณธรรมอยา่ งเคร่งครดั เต็มกาลงั ความสามารถ
แตก่ ม็ ิใช่ว่าจะตอ้ งไดบ้ รรลคุ ณุ ธรรมช้ันใดช้ันหนึง่ เสมอเหมือนกนั ภายในกาหนดเวลา
เดียวกันดังนั้น พระปถุ ชุ นเหล่าน้ีเองที่กลายเป็นผสู้ รา้ งปญ๎ หาข้ึนในวงการของคณะสงฆ์
ทุกยุคทกุ สมยั มา (แสวง อดุ มศร,ี 2534, น. 39-40)
จากส่ิงท่ีแสวง อุดมศรี กล่าวถึงสาเหตุที่ต้องมีการปกครองสงฆ์น้ันก็เพราะจะสามารถ
ช่วยแกไ้ ขป๎ญหาพระปถุ ุชนทีก่ ลายเปน็ ผู้สรา้ งปญ๎ หาขึ้นในวงการของคณะสงฆท์ กุ ยุคทุกสมยั
สนุ ทร ณ รังสี กล่าวไว้วา่
ในสมยั เมือ่ ยงั ไม่มพี ระสาวกมากนกั พระพทุ ธองคท์ รงบริหารพระศาสนาด้วยพระองค์
เอง โดยมพี ระสาวกทีส่ าคญั เชน่ พระสารีบุตรและพระมหาโมคคัลลานะ ชว่ ยแบ่งเบา
ภาระบา้ งตามความจาเปน็ ต่อมาเม่อื มพี ระสาวกเพมิ่ ข้ึนและมผี ู้ขอเข้าอปุ สมบทใน
พระพุทธศาสนามากขน้ึ ก็ไดท้ รงอนุญาตให้พระสาวกใหอ้ ปุ สมบทแก่ผู้ท่เี ขา้ มาขอบวช
ได้ โดยใหผ้ ูข้ อบวชเปลง่ วาจาถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะ คร้นั ต่อมาเมอื่ มีภกิ ษุเพมิ่ ขน้ึ อีก

50

กท็ รงมอบความเปน็ ใหญ่ใหแ้ ก่สงฆ์ในการทากิจกรรมทัง้ ปวงของพระพุทธศาสนา เชน่
การให้บรรพชาอปุ สมบท การกรานกฐนิ การกาหนดเขตสมี า การระงับอธกิ รณ์ ซ่ึง
เทา่ กบั ใหส้ งฆ์เป็นผู้บรหิ ารงานพระศาสนาตามระเบียบท่ีได้ทรงกาหนดไวน้ น่ั เอง (สุนทร
ณ รงั ส,ี 2530, น. 41)
การมอบหมายงานต่างๆ เหล่านี้อาจเป็นสาเหตุเบื้องต้นท่ีทาให้ต้องมีการปกครองคณะ
สงฆ์ท่เี ป็นลักษณะทางการมากข้ึนท้ังน้กี เ็ พือ่ ดูแลภาระงานเหลา่ นี้
จากความเห็นของนักวิชาการดังกล่าวทาให้สามารถสรุปสาเหตุท่ีต้องมีการปกครอง
คณะสงฆ์สมัยพทุ ธกาลวา่ เกิดจากสาเหตดุ งั ต่อไปนคี้ ือ
(1) จานวนผู้เข้ามาบวชมมี ากขนึ้ และเจตนาการบวชกต็ ่างกันมากขึ้น
(2) ภาระหน้าทใี่ นทางพระศาสนามมี ากขนึ้
(3) นกั บวชมีการละเมิดพระวินัยเป็นจานวนมากข้นึ
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าสาเหตุหลักท้ัง 3 สาเหตุที่ได้กล่าวไปจะเป็นการปกครองคณะสงฆ์
โดยพระพทุ ธเจ้าเป็นผู้ปกครองแต่พระพุทธเจ้าก็ยังทรงปกครองสงฆ์ด้วยพระธรรมวินัยเป็นมาตรฐาน
เสมอมาจวบจนกระท่ังถึงพระพุทธเจ้าปรินิพพานลงต่อมา เมื่อพระพุทธศาสนาได้เข้าสู่ประเทศไทย
มาถึงในสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาล ท่ี 5 ได้มีการตราพระราชบัญญัติ
ลักษณะปกครองสงฆ์ รศ. 121 ทางฝุายรัฐเข้ามาจัดการมามีบทบาทต่อการปกครองคณะสงฆ์ การมี
พระราชบัญญตั ิคณะสงฆ์หรอื การใช้อานาจรฐั เข้ามามสี ่วนในการปกครองคณะสงฆ์ โดยหลักการท่ัวไป
ของการตราพระราชบญั ญัติคณะสงฆ์นั้นก็เพอื่ ความมน่ั คงของคณะสงฆ์เพราะเมื่อพระพุทธศาสนาเข้า
มาในประเทศต่างๆ แล้วสถานะของนักบวชในพระพุทธศาสนา ได้แก่ พระภิกษุสามเณรก็ได้กลายมา
เป็นบุคคลในองค์กรหรือบุคคลในสถาบันทางศาสนาดังน้ัน จึงมีความจาเป็นท่ีต้องมีกฎหมายเพื่อให้
การคุ้มครองตัวสถาบันหรือตวั องคก์ รทางศาสนา
ส่วนในรายละเอียดความสาคัญของแต่ละพระราชบัญญัติก็มีความแตกต่างกันไปตาม
บริบทและความต้องการท่ีเกิดขึ้น เช่น ในเหตุผลของการตราพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕
ไดก้ ล่าวถึงไว้วา่
การจดั ดาเนนิ กิจการคณะสงฆ์ มิใช่เปน็ กจิ การอันพงึ แบง่ แยกอานาจดาเนนิ การดว้ ย
วตั ถปุ ระสงคเ์ พื่อการถว่ งดุลแหง่ อานาจเช่นท่ีเป็นอย่ตู ามกฎหมายในป๎จจุบนั และโดยที่
ระบบเช่นวา่ นั้นเป็นผลบน่ั ทอนประสิทธภิ าพแหง่ การดาเนินกิจการ จึงสมควรแก้ไข
ปรับปรุงเสยี ใหมใ่ หส้ มเด็จพระสังฆราชองค์สกลมหาสงั ฆปรณิ ายกทรงบัญชาการคณะ
สงฆท์ างมหาเถรสมาคม ตามอานาจกฎหมายและพระธรรมวินยั ทงั้ น้ี เพอ่ื ความ

51

เจรญิ รุ่งเรืองแหง่ พระพทุ ธศาสนา (https://th.wikisource.org/wiki/พระราชบัญญัติ
คณะสงฆ์_พ.ศ._๒๕๐๕/๓๑_ธนั วาคม_๒๕๐๕)
หรือเหตุผลของการตราพระราชบญั ญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕
ที่แสดงไวว้ า่
พระราชบญั ญัตคิ ณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ไดใ้ ช้บังคับมาเป็นเวลานานแล้ว สมควรปรบั ปรงุ
บทบัญญัติวา่ ดว้ ยการสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช และการแต่งตัง้ ผปู้ ฏบิ ตั ิหนา้ ท่ีแทน
สมเด็จพระสงั ฆราช การแต่งตง้ั และถอดถอนสมณศักดข์ิ องพระภิกษุอานาจหนา้ ที่และ
การปฏิบตั ิหนา้ ท่ขี องมหาเถรสมาคม การปกครอง การสละสมณเพศของคณะสงฆแ์ ละ
คณะสงฆ์อ่ืน วดั การดูแลรกั ษาวัด ทรัพย์สนิ ของวดั และศาสนสมบัตกิ ลาง ตลอดจน
ปรบั ปรุงบทกาหนดโทษให้สอดคล้องกบั สภาพการณป์ จ๎ จบุ ัน จงึ จาเป็นตอ้ งตรา
พระราชบญั ญตั นิ ้ี (https://th.wikisource.org/wiki/พระราชบัญญัติคณะสงฆ์_(ฉบบั
ท_่ี ๒)_พ.ศ._๒๕๓๕)
ไม่ว่าแต่ละเหตุผลชองการตราพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ ในแต่ละฉบับจะประกอบไป
ดว้ ยเหตุผลแบบใด แต่ นยั ยะสาคัญ คือ คณะสงฆ์ได้อยู่ภายใต้อานาจของรัฐอย่างชัดเจนมากข้ึน การ
อยู่ภายใต้อานาจรัฐนั้นอาจมาจากฝุายรัฐเองที่ต้องการใช้ศาสนาเป็นหลักกล่อมเกลาจิตใจประชาชน
เพอื่ ใหง้ ่ายตอ่ การปกครองมากขึน้ ส่วนฝาุ ยคณะสงฆ์เองก็หวังประโยชน์ในแง่การคุ้มครอง อุปถัมภ์จาก
รัฐ แต่อย่างไรก็ตามนั้นย่อมหมายความว่าพระสงฆ์ไม่ได้ขึ้นอยู่กับหลักพระธรรมวินัยแต่เพียงอย่าง
เดียวคณะสงฆ์เองก็ขึ้นอยู่กับรัฐไปโดยปริยาย และก็ย่อมเป็นธรรมดาที่จะเกิดป๎ญหาในการปกครอง
คณะสงฆ์ตามมาอันเป็นผลสืบเน่ืองมาจากการใช้พระราชบัญญัติคณะสงฆ์และย่อมที่จะเกิดป๎ญหา
ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งรฐั กับคณะสงฆ์ตามมาด้วยเช่นเดียวกันเพราะรัฐนั้นเป็นผู้กาหนด และออกแบบ
โครงสรา้ งการปกครองคณะสงฆ์โดยผ่านพระราชบัญญตั ิคณะสงฆ์ในแต่ละฉบับท่ีเกิดขึน้
สาหรับในปจ๎ จบุ นั (พ.ศ. 2558- พ.ศ. 2559) สือ่ สารมวลชนไดจ้ ับตาตอ่ คณะสงฆ์มากข้ึน
ไม่ว่าจะเป็นข่าวคราวของป๎ญหาพระสงฆ์ประพฤติผิดพระธรรมวินัยในด้านต่างๆ การเจริญพุทธมนต์
ของพระสงฆ์จานวนหลักพัน ใน วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2559 ณ พุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม ซ่ึงดู
เหมือนจะแฝงในนัยยะทางการเมือง กรณีป๎ญหาวัดพระธรรมกาย และการสถาปนาสมเด็จ
พระสังฆราช องค์ท่ี 20 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ข่าวคราวเหล่าน้ีทาให้สังคมเร่ิมต้ังคาถามถึงต้นต่อของ
ป๎ญหาที่เกดิ ขน้ึ หน่ึงในนนั้ คอื การต้งั คาถามต่อการปกครองคณะสงฆ์ไทยในป๎จจุบัน

52

2.3 ปัญหาการปกครองคณะสงฆไ์ ทยในปัจจุบัน

ทุกปญ๎ หาของสังคมมีลักษณะพลวัต (dynamic) มีการขยายตัว เปล่ียนแปลง ผนวกกับ
ป๎จจุบันโลกของกระแสโลกาภิวัตแม้จะทาให้เรารู้สึกว่าทุกอย่างอยู่ใกล้และเร็ว แต่สภาพป๎ญหาก็ทวี
ความซบั ชอ้ นมากขนึ้ ตามลาดบั ปญ๎ หาการปกครองคณะสงฆไ์ ทยก็เช่นกันต้องมีการพลวัตเปลี่ยนแปลง
ไปตามเหตปุ ๎จจยั ทีเ่ กดิ ข้นึ

การปกครองคณะสงฆ์ตั้งแต่อดีตมาน้ันได้ยึดหลักพระธรรมวินัยเป็นธรรมนูญการ
ปกครองมาโดยตลอด ต่อมาปรากฏเหตุการณ์การใช้อานาจรัฐมาช่วยแก้ไขป๎ญหาของคณะสงฆ์ดัง
ปรากฏในการสังคายนาครั้งท่ี 3 พระเจ้าอโศกมหาราชได้จับพระสงฆ์ท่ีเป็นเดียรถีย์ปลอมบวชเข้ามา
ในพระพุทธศาสนา ด้วยเหตกุ ารณด์ ังกลา่ วนั้นจงึ มกั เปน็ ประเพณีหรือคากล่าวอ้างความชอบธรรมของ
รัฐทจี่ ะเข้ามาจดั การปญ๎ หาภายในคณะสงฆ์หรือแม้แต่พระภิกษุบางรูปก็กล่าวอ้างหลักการดังกล่าวถึง
กรณีความชอบธรรมของพระเจ้าอโศกมหาราชได้ใช้อานาจรัฐในการแก้ไขป๎ญหาพระศาสนา ดังกรณี
ของประเทศไทยท่ีปรากฏการกล่าวถึงถึงความชอบธรรมดังกล่าวอย่างชัดเจนอาจกล่าวได้ว่าสถาบัน
พระมหากษัตริย์กับสถาบันพระพุทธศาสนาได้ร่วมกันสร้างความเจริญและความมั่นคงของชาติไทยมา
อย่างต่อเน่ือง จนสถาบันพระพุทธศาสนามีองค์กรการปกครองอย่างเข้มแข็งชัดเจน แม้องค์กร
ดังกลา่ วจะมรี ปู แบบโครงสร้างเป็นไปอย่างหลวมๆ ดังที่ นิธิ เอียวศรีวงศ์ กล่าวไว้ในบทความเร่ือง
“อนาคตของสงฆ์” (2536, น. 21) ว่า “โดยทางทฤษฎีแล้ว ดูเหมือนว่าไทยจะมีองค์กรสงฆ์มาแต่
โบราณ แตใ่ นทางปฏบิ ัติแล้ว องค์กรคณะสงฆ์มีอยู่แต่ในทาเนียบเทา่ น้ัน การควบคุมดูแลและจัดการ
ภายในไม่ได้เป็นปึกแผ่นเพียงพอท่ีจะเทียบได้กับองค์กรป๎จจุบัน” ซ่ึงสอดคล้องกับทรรศนะของพระ
ไพศาล วิสาโลที่กล่าวไว้ในหนังสือเรื่อง พุทธศาสนาไทยในอนาคตแนวโน้มและทางออกจากวิกฤติ
(2542, น. 247) ท่ีว่า “ต้ังแต่อดีตจวบจนเมื่อร้อยปีที่แล้ว การปกครองคณะสงฆ์ไทยมีลักษณะรวม
ศูนย์แต่ในทางทฤษฏี แม้จะมีพระสังฆราชเป็นผู้ทรงอานาจสูงสุดของ “คณะสงฆ์” โดยมีเจ้าคณะ
ต่างๆ และพระราชาคณะลดหลั่นลงมา แต่ในทางปฏิบัติแล้ว ไม่เคยมีองค์กรสงฆ์ท่ีทาหน้าท่ีปกครอง
หรอื ดแู ลกิจการของพระสงฆ์โดยรวมเลย” (พระไพศาล วิสาโล, 2542, น. 247) ซ่ึงภายใต้โครงสร้าง
หลวมๆ เชน่ นี้ความสมั พันธ์ระหว่างวดั กับชุมชนก็อย่ใู นลกั ษณะสมดุลและถว่ งดุลกนั

ความเปล่ียนแปลงสาคัญขององค์กรสงฆ์เกิดข้ึนในการปฏิรูปการปกครองคณะสงฆ์ใน
สมัยรัชกาลที่ 5 โดยได้ประกาศใช้พระราชบัญญัติลักษณะปกครองคณะสงฆ์ฉบับแรกใน พ.ศ. 2445
โดยทพี่ ระท้งั ประเทศถูกดงึ ใหม้ าขึน้ อยู่กับมหาเถรสมาคม จงึ ทาให้เกิดคณะสงฆ์ในความหมายป๎จจุบัน
ข้ึน ซ่งึ ถือว่าเป็นการปกครองคณะสงฆ์แบบรวมศูนย์ข้ึนเป็นคร้ังแรก (พระไพศาล วิสาโล, 2542, น.

53

248) ถึงแม้จะมีการเปลี่ยนแปลงพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ขึ้นมาใหม่ในปี 2484 ซึ่งเป็นการบริหาร
คณะสงฆ์โดยคณะสังฆมนตรี โดยแยกอานาจนิติบัญญัติ อานาจบริหาร อานาจตุลาการออกจากกัน
ทาให้การปกครองคณะสงฆ์สอดคล้องกับยุคสมัยของระบอบประชาธิปไตย แต่ไม่นานนักการ
ปกครองคณะสงฆ์กม็ ีการเปลี่ยนแปลงอีกครั้งในปี พ.ศ. 2505 โดยนาแนวคิดและรูปแบบการปกครอง
ครัง้ แรกมาใชเ้ ป็นการรวบอานาจไว้ทส่ี ่วนกลางเหมือนเดิม

ในป๎จจุบัน คณะสงฆ์ได้ประสบป๎ญหาในหลายๆ ด้านซึ่งนาไปสู่วิกฤติศรัทธาของ
ประชาชนท่ีมีตอ่ คณะสงฆ์ ไมว่ า่ จะเป็นปญ๎ หาด้านโครงสรา้ งการปกครอง ป๎ญหาการขาดประสิทธิภาพ
ในการปกครอง ป๎ญหาหลักเกณฑ์การแต่งตั้งและความเหมาะสมของพระสงฆ์ที่จะได้รับสมณศักดิ์
ป๎ญหาดา้ นหลกั เกณฑ์ทเ่ี ก่ยี วขอ้ งกับสมณศกั ดิ์ขอ้ นีน้ น้ั มคี วามเก่ียวข้องกับโครงสร้างการปกครองคณะ
สงฆใ์ นปจ๎ จุบันทีก่ าหนดให้

การพจิ ารณาเสนอเลอ่ื นและต้ังสมณศกั ดม์ิ หี ลักเกณฑแ์ ละข้ันตอนท่ีกาหนดไว้เปน็
แนวทางในการปฏบิ ัติวา่ ใหเ้ ป็นหน้าท่ีของคณะสงฆ์ชว่ ยกนั พิจารณาใหค้ วามเหน็ ชอบ
ตามลาดับช้ัน คอื ใหเ้ จา้ อาวาส เจา้ คณะตาบล เจ้าคณะอาเภอ เจ้าคณะจงั หวัด เจ้าคณะ
ภาคและเจา้ คณะใหญ่ แลว้ เสนอมหาเถรสมาคมพิจารณาใหค้ วามเห็นชอบแล้ว จึงเสนอ
เรอ่ื งใหส้ านักพระพทุ ธศาสนาแหง่ ชาตินาความข้ึนกราบทลู พระกรุณาขอพระราชทาน
สมณศกั ดิ์ตามระเบียบของราชการต่อไป (วชั ระ งามจติ รเจรญิ , 2556, น. 22)
โดยภาพรวมป๎ญหา 3 ด้าน เหล่านี้น่าจะแสดงถึงการท่ีคณะสงฆ์น้ันผูกติดกับอานาจรัฐ
มากเกินไป และผลพวงของโครงสร้างคณะสงฆ์ที่ผูกติดกับอานาจรัฐมากเกินดังที่แสดงให้เห็นชัดเจน
เจนคือการที่รัฐในสมัยเผด็จการทางทหารในสมัยของจอมพลสฤษดิ์ได้ตราพระราชบัญญัติคณะสงฆ์
พ.ศ. 2505 ซึ่งส่วนหน่ึงน้ันก็มาจากความเห็นชอบจากบางกลุ่มของพระสงฆ์ด้วย จนความสามารถ
ของเผด็จการนั้นได้ถูกถ่ายทอดส่งต่อมายังโครงสร้างการปกครองคณะสงฆ์ในป๎จจุบันที่เปิดทางให้ใช้
อานาจแบบเผด็จการจนละเลยคุณค่าพระธรรมวินัยและชุดอุดมการณ์ของประชาธิปไตย คือ สิทธิ
เสรีภาพ ความเสมอภาค และภราดรภาพ จนในที่สุดได้ส่งผลกระทบต่อโครงสร้างการปกครองคณะ
สงฆ์โดยตรง ดงั คาวิจารณข์ องนิธิ เอียวศรวี งศ์ท่ีวา่
คณะสงฆ์ทงั้ หมดกาลังเผชญิ กับวิกฤตการณ์ความเปล่ยี นแปลงท่ีมโหฬาร จะตอบสนอง
ความท้าทา้ ยใหมน่ ไ้ี ดก้ ต็ อ้ งปฏิรูปตวั เองกันขนาดใหญ่ กล้าท่ีจะค้นด่งิ ลงไปในตัวเอง
ตอบป๎ญหาด้านอุดมการณ์ของตัวเองให้ชัดจะยืนหยดั ต่อส้กู ับป๎ญหาทีเ่ กิดขนึ้ จริงในชีวติ
ของประชาชนสว่ นใหญห่ รอื ตอบสนองดา้ นอดุ มการณ์ของผู้ได้เปรยี บในสังคมฝุายเดียว
จาเปน็ ตอ้ งรอบรูแ้ ละเข้าใจความเปล่ียนแปลงท่กี าลังเกิดข้ึนรอบตัว ซ่งึ ยอ่ มหมายถงึ การ

54

ปฏิรูปลงมือปฏบิ ตั กิ ารกันอย่างจริงจัง แทนคาพดู (นิธิ อียวศรีวงศ์, 2543, น. 82)
จากคาวิจารณ์ของนิธิเอียว ศรีวงศ์สะท้อนป๎ญหาท่ีท้าท้ายการแก้ไขป๎ญหาปกครอง
คณะสงฆ์ซึ่งมีมหาเถรสมาคมเป็นศูนย์กลางอานาจที่จะต้องมีส่วนอย่างย่ิงต่อการแสดงความ
รับผิดชอบโดยการแกไ้ ขปญ๎ หาการปกครอง
เพราะฉะน้ัน การมองป๎ญหาเชิงโครงสร้างอาจจะช่วยแก้ไขป๎ญหามากกว่าการมอง
ป๎ญหาไปที่ความล้มเหลวของบุคคลและไม่ติดอยู่แค่อุดมการณ์และความเช่ือของแต่ละฝุายซ่ึงมักไม่
นาไปสู่ทางออกอะไร นอกจากประณามกันมากขึ้น และขดั แยง้ กนั มากขึ้น (พระไพศาล วิสาโล, 2546
,น. คานา)

2.3.1 ปัญหาโครงสรา้ งการปกครอง
ปญ๎ หาโครงสร้างการปกครองคณะสงฆ์เปน็ ส่ิงทตี่ ้องให้ความสาคัญเป็นอนั ดับ

แรกเพราะด้วยเหตุผลที่ว่าเป็นการมองในภาพรวมก่อนที่จะลงรายละเอียดของป๎ญหาการปกครองใน
รายละเอียดทีละส่วน สาหรับโครงสร้างการปกครองคณะสงฆ์น้ันรัฐเองมีบทบาทในการออกแบบ
โครงสร้างการปกครองคณะสงฆ์มาแต่โบราณต้ังแต่รัฐในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ (ประมาณ
ระหว่าง พ.ศ.2436-2475) ที่ประสบความสาเร็จในการตรวจตราและควบคุมคณะสงฆ์ได้อย่างมี
ประสิทธิภาพท่ีสุด อีกทั้งเป็นการตรวจตราควบคุมพระสงฆ์ได้ท่ัวพระราชอาณาจักรอย่างแท้จริงด้วย
ด้วยเหตุน้ีต้ังแต่อดีตจนถึงป๎จจุบันจึงมีกระแสการเรียกร้องการเปลี่ยนแปลงปรับปรุงโครงสร้างการ
ปกครองคณะสงฆ์มีมาโดยตลอด “โดยนับต้ังแต่ข้อเรียกร้องของคณะปฏิสังขรณ์การพระศาสนาท่ีมี
บทบาทสาคัญในการผลักดันให้มีการแก้ไข พ.ร.บ. ลักษณะปกครองคณะสงฆ์ ร.ศ. 121 จนถึงกลุ่ม
ยุวสงฆซ์ ่ึงเปน็ แกนนาในการเรยี กรอ้ งความเป็นธรรมให้แก่พระพิมลธรรม เมื่อปี พ.ศ. 2518” (พระศรี
ปรยิ ตั ิโมล,ี 2543, น. 159)

สาหรบั โครงสร้างการปกครองคณะสงฆ์ในป๎จจุบนั นนั้ แบ่งการปกครองออกเป็น
สองระดับคือการปกครองคณะสงฆ์ส่วนกลางและการปกครองคณะสงฆ์ส่วนภูมิภาคโดยมีมหาเถร
สมาคมเป็นองค์กรที่มีอานาจสูงสุดและมีเจ้าคณะใหญ่ซึ่งมี 5 เจ้าคณะเป็นผู้ควบคุมดูแลเขตปกครอง
สงฆ์แต่ละคณะ ส่วนในภูมิภาคนั้นแบ่งเขตปกครองออกเป็น 18 ภาคมีเจ้าคณะภาคแต่ละภาคเป็น
ผู้รับผิดชอบและมีส่วนที่รับผิดชอบอยู่ภายใต้อีก 3 ชั้นคือ จังหวัด อาเภอ และตาบล โครงสร้างการ
ปกครองคณะสงฆ์เช่นน้ี จึงเป็นการจัดโครงสร้างการปกครองคณะสงฆ์ในรูปแบบขององค์กรตาม
ระบบราชการ โดยมีการรวมศูนย์อานาจการปกครองสูงสุดอยู่ท่ีมหาเถรสมาคม มีเจ้าคณะผู้ปกครอง
หรือเรียกว่าพระสังฆาธิการซ่ึงทาหน้าท่ีในการปกครองคณะสงฆ์ตามระดับช้ันตามที่กล่าวมาแล้ว

55

สาหรับการที่คณะสงฆ์มีการจัดโครงสร้างการปกครองคณะสงฆ์ซึ่งเป็นไปตามลักษณะขององค์การ
แบบระบบราชการ กลา่ วคือ

(1) รปู แบบขององคก์ ารจะตอ้ งมกี ารจัดลาดับช้นั การบงั คับบัญชา (hierarchy) ลดหลั่น
กันลงมาตามลาดบั

(2) องคก์ ารแบบน้สี ามารถนาไปใช้ไดใ้ นสงั คมทุกแห่งท้งั ในองค์การรัฐบาลและธรุ กจิ
เอกชน แมแ้ ตด่ ้านการศาสนา

(3) จะตอ้ งมีการแบ่งงานออกเป็นสัดส่วนอย่างมเี หตุผลและสัมพันธ์กัน รวมท้ังมีอานาจ
หน้าทีแ่ ละความรบั ผิดชอบระบุไวโ้ ดยชัดแจ้ง

(4) หลักสาคัญในการดาเนินการจะต้องถือว่าเป็นแบบพิธีการ (Formalization) เช่นมี
กฎหมาย คาสง่ั ระเบียบ หรอื ข้อบังคบั วางไว้

(5) การบริหารงานนน้ั ถอื วา่ เปน็ งานท่ีตอ้ งมีความรู้ความชานาญ จนเป็นอาชีพชนิดหน่ึง
เพราะฉะน้ันในตาแหน่งต่างๆ น้ันจึงจ้างผู้บริหารเข้ามาดาเนินการแยกจากความ
เป็นเจา้ ของ

(6) ผู้ที่เข้าตาแหน่งต่างๆ ต้องมีการฝึกอบรมและมีความรู้ความสามารถ ไม่ใช่ระบบ
พรรคพวก (วัลลภ ชัยพิพฒั น์และคณะ, 2513, น. 6)
สาหรับทม่ี าและลักษณะของโครงสรา้ งการปกครองคณะสงฆ์ในปจ๎ จุบันนัน้ เปน็

โครงสรา้ งการปกครองคณะสงฆ์ตั้งแต่สมัยมีการปฏิรูปพุทธศาสนาสมัยรัชกาลที่ 5 ทาให้โครงสร้างใน
ป๎จจุบันจึงยังคงมีลักษณะ เน้นการรวมศูนย์อานาจการปกครอง กล่าวคือมหาเถรสมาคมซึ่งมีจานวน
ไม่เกนิ 20 รปู ท่ีสามารถออกกฎเกณฑ์ คาส่ัง บงั คบั ผูอ้ ยู่ใต้ปกครอง โดยที่ผู้ปกครองไม่ต้องรับผิดชอบ
ต่อใครท้ังส้ินนอกจากชนช้ันของตน กล่าวให้ชัดก็คือ โครงสร้างภายใต้กฎหมายฉบับนี้กาหนดให้การ
กระทาใดๆ ของมหาเถรสมาคมจะต้องขึ้นต่อพระมหากษัตริย์และสมเด็จพระสังฆราช เพราะท้ังสอง
พระองค์เป็นผู้สถาปนาแต่งต้ังกรรมการมหาเถรสมาคม โครงสร้างองค์กรถูกออกแบบมาให้มหาเถร
สมาคมมีอานาจอย่างมากในการปกครอง อนั เปน็ ลักษณะการรวมศนู ย์อานาจไว้ท่สี ่วนกลาง

56

สมเดจ็ พระสังฆราช

กรรมการมหาเถรสมาคม

เจา้ คณะใหญ่

เจ้าคณะภาค

เจ้าคณะจังหวดั

เจา้ คณะอาเภอ

เจ้าคณะตาบล

เจา้ อาวาส

ภาพที่ 2.6 โครงสรา้ งการปกครองคณะสงฆ์ในสมัยป๎จจุบัน ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505
แกไ้ ข เพิ่มเตมิ ฉบับท่ี 2 พ.ศ. 2535

สาหรบั ปญ๎ หาสาคญั ภายใต้โครงสร้างการปกครองคณะสงฆแ์ บบนี้ คือ
(1) มหาเถรสมาคมมแี นวโนม้ ที่จะใช้อานาจในลกั ษณะ อานาจนยิ ม และมี
การทางานทลี่ า่ ชา้ ไมท่ ันตอ่ สถานการณ์
การรวมศนู ยอ์ านาจการปกครองคณะสงฆ์ไวท้ ่ีมหาเถรสมาคม ถึงแม้ว่าองคก์ ร
การปกครองคณะสงฆ์จะมีสายการบังคับบัญชาท่ีชัดเจนหากพิจารณาจากภาพที่ 2.6 แต่เน่ืองจาก
คณะสงฆเ์ ป็นองค์กรที่ใหญ่และมพี ระภิกษุสามเณรเป็นจานวนมาก แต่อานาจการบริหารก็ยังคงมีการ
รวมศูนยอ์ ย่างเช่นเดิม ด้วยอานาจดังกล่าวที่รวมศูนย์อยู่ที่กรรมการมหาเถรสมาคมเพียงไม่ก่ีรูป ทั้งๆ
ที่หน่วยงานที่มีพื้นที่ทางานจะขับเคล่ือนการทางานในพื้นที่ต่างๆ ให้บรรลุวัตถุประสงค์จริงๆ น้ัน

57

ข้ึนอยทู่ ี่ส่วนภูมิภาคโดยเฉพาะในระดบั จังหวัดลงมา แต่อานาจการบริหารงานในส่วนภูมิภาคก็ข้ึนอยู่
กับเจ้าคณะเพียงรูปเดียว ถึงแม้จะมีรองเจ้าคณะจังหวัดหนึ่งถึงสองรูปช่วยงานก็จริงแต่ก็ไม่มี
คณะทางานหรือองค์กรสนับสนุนการบริหารงาน การรวมศูนย์ที่เข้มข้นเช่นนี้จึงอาจส่งผลให้การใช้
อานาจของมหาเถรสมาคมมีแนวโน้มที่จะใช้อานาจในลักษณะ “อานาจนิยม” กับภิกษุ (หรือใคร) ท่ี
ประพฤติตนขดั หูขดั ตาได้ หรือ ภายใต้โครงสร้างการปกครองคณะสงฆ์เช่นนี้ ความสัมพันธ์ทางอานาจ
ร ะห ว่า งผู้ ปก คร องกั บผู้ ใต้ ปกคร อ งมีลั ก ษณะท่ีมี คว าม เห ลื่ อม ล้ ากัน อย่ างม ากพูด อย่ างง่ าย ก็คื อ
ความสมั พันธร์ ะหว่างมหาเถรสมาคมกับพระสงฆ์ท่ัวไป เปรียบเหมือนความสัมพันธ์ระหว่าง “นายกับ
บ่าว” กลา่ วคอื พระสงฆ์ธรรมดาไม่สามารถเข้าไปมสี ่วนในการนาเสนอป๎ญหาการปกครองได้

นอกจากนก้ี ารรวมอานาจไว้ท่ศี ูนยก์ ลางมากเกินไปจะสง่ ผลกระทบให้การดาเนิน
การตัดสินใจแก้ไขป๎ญหาต่างๆ ท่ีสาคัญเร่งด่วนของคณะสงฆ์เกิดความล่าช้า ไม่ทันต่อสถานการณ์
เพราะมีการทางานของคณะสงฆ์มีลักษณะการทางานเหมือนระบบราชการที่รอคาส่ังจากเบ้ืองบน
ทง้ั น้ี ควรกลา่ วด้วยวา่ ความลา่ ช้าที่เกิดข้ึนน้ันอาจเกดิ จากท้ังตัวระบบเองและจากตัวผู้บริหารเองด้วย
โครงสร้างการปกครองทม่ี ลี ักษณะเช่นนี้ จึงไม่เหมาะสมต่อสภาพสังคมท่ีเปล่ียนแปลงและล้าสมัยเต็ม
ดังข้อเขียนของนิธิ เอียวศรีวงศ์ ได้กล่าวถึงเรื่องนี้ไว้ในหนังสือ พุทธศาสนาในความเปล่ียนแปลงของ
สังคมไทย ท่ีว่า “ความอ่อนแอของการปกครองคณะสงฆ์นั้นเกิดจากโครงสร้างท่ีไม่เหมาะสมกับยุค
สมัยและความเปล่ยี นแปลง” (นธิ ิ เอียวศรวี งศ,์ 2543, น. 104)

(2) ผปู้ กครองคณะสงฆไ์ มไ่ ด้มาจากสถาบนั หรอื หนว่ ยงานทฝ่ี กึ อบรม
ผู้ปกครองคณะสงฆ์เองก็มักจะมาจากการแตง่ ตงั้ จากเจ้าคณะในระดับใดระดับ
หนึ่ง โดยไม่มีกระบวนการเตรียมความพร้อมอย่างเป็นระบบ ดังพระศรีปริยัติโมลี กล่าวไว้ใน
บทความเร่ือง “หลักการสาคัญท่ีควรพิจารณาในการปรับปรุง พ.ร.บ. สงฆ์” ว่า “พระสังฆาธิการ
ระดับเจ้าอาวาส เจา้ คณะตาบล เจ้าคณะอาเภอ เจา้ คณะจังหวดั เจ้าคณะภาคข้นึ ไป...ไม่มีสถาบันหรือ
แมแ้ ต่ไมม่ หี ลกั สตู รฝกึ อบอรมอยา่ งจริงจังอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง” (พระศรีปริยัติโมลี, 2543, น.
161) ดังน้นั จึงยากตอ่ การคาดหวังดา้ นต่างๆ ของคณะสงฆท์ ่ีควรจะเป็น
สว่ นในดา้ นความพยายามในการปรับปรุงโครงสรา้ งการปกครองคณะสงฆ์ใน
ระดับย่อยลงมาจากระดับประเทศ คือในระดับจังหวัดพบว่า ในป๎จจุบันคณะสงฆ์ส่วนภูมิภาคใน
บางส่วนได้มีการปรับปรุงเปล่ียนแปลงภายในองค์กรของตนเองบ้างแล้ว โดยท่ีไม่ได้ทาการเรียกร้อง
หรือรอการเปลี่ยนแปลงจากส่วนกลาง เช่น องค์กรคณะสงฆ์จังหวัดชลบุรี ที่ได้ปรับปรุงโครงสร้าง
และการบริหารในรูปแบบของคณะกรรมการที่ชื่อว่า คณะกรรมการสงฆ์จังหวัดชลบุรี เป็นต้น แต่
อย่างไรก็ตามความพยายามดังกล่าวในส่วนของภูมิภาคอาจจะยังน้อยเกินไปต่อการจัดการป๎ญหา

58

มากมายท่ีเกิดขน้ึ จากผลเสียของโครงสรา้ งการปกครองคณะสงฆท์ ี่รอการแก้ไขและนับวันจะทวีป๎ญหา
มากขึ้นตามลาดับ รอแต่เพียงการร่วมกันขยายพื้นท่ีของการแก้ไขป๎ญหาดังกล่าวที่จะนาไปเป็นตัว
แบบดังกลา่ วทส่ี ามารถนาไปใชใ้ นการปรับปรุงแก้ไขโครงสรา้ งการปกครองคณะสงฆ์ไทย

ดังนน้ั โครงสรา้ งการปกครองคณะสงฆใ์ นปจ๎ จบุ ัน สาหรับสงั คมสมยั ใหม่จึงเปน็
เรือ่ งล้าหลังและอันตรายต่อพุทธศาสนาในระยะยาว (http://ilaw.or.th/node,10/2/58) และทาให้
คณะสงฆ์ก็กลายเป็นส่วนหน่ึงของระบบราชการมากขึ้น ผลท่ีตามมาคือทาให้พระสงฆ์เหินห่างจาก
สังคมมากข้ึน องค์กรคณะสงฆ์ที่มีอยู่ก็ไม่สามารถแก้ไขป๎ญหาเหล่าน้ันได้อย่างมีประสิทธิภาพและไม่
สามารถเปน็ โครงสร้างองคก์ รทเี่ ท่าทันตอ่ การเปล่ยี นแปลงของกระแสโลกาภวิ ตั น์

2.3.2 ปญั หาการขาดประสิทธภิ าพในการปกครอง
เนอื่ งจากคณะสงฆ์ในปจ๎ จุบนั มีการจดั การองคก์ รในลกั ษณะของระบบราชการ

มีการรวมศูนย์อานาจการปกครองอยู่ท่ีมหาเถรสมาคม มีเจ้าคณะผู้ปกครองหรือเรียกว่าพระสังฆาธิ
การทาหน้าที่ในการปกครองคณะสงฆ์ตามระดับชั้น ในด้านสถานะของพระสังฆาธิการก็มีสถานะเป็น
เจ้าพนักงานของรัฐหรือเป็นเจ้าหน้าท่ีของรัฐ ตามที่ระบุไว้ในพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505
แก้ไขเพิม่ เตมิ ฉบับที่ 2 ปี พ.ศ. 2535 ตามความใน “มาตรา 45 ให้ถือว่าพระภิกษุซึ่งได้รับการแต่งตั้ง
ให้ดารงตาแหน่งในการปกครองคณะสงฆ์และไวยาวัจกร เป็นเจ้าพนักงานตามความในประมวล
กฎหมายอาญา” (วิรัช ถิรพันธุ์เมธี, 2546, น. 42) เพราะฉะนั้น หากต้องการกล่าวถึง ประสิทธิภาพ
ในการปกครองคณะสงฆ์ ในฐานะท่ีเป็นระบบราชการท่ีข้ึนต่อรัฐ ก็สามารถกล่าวได้ไม่ผิดนัก แต่
ประสิทธิภาพของการปกครองคณะสงฆ์นั้นมีวัตถุประสงค์เพ่ือให้พระสังฆาธิการทาหน้าท่ีในการเป็น
กลไกเพ่ือให้การบริการในแง่มุมของหลักพระพุทธศาสนา คือ มุ่งหมายความสุขสงบทางจิตใจ และ
ความฉลาดหลักแหลมในทางศาสนา ให้กับเหล่าศาสนิกผู้นับถือหรือทุกคนท่ีมีความสนใจ โดยไม่ได้มี
วัตถุประสงค์เพ่ืออานวยประโยชน์ด้านการเลี้ยงชีพหรือด้านป๎จจัยสี่ให้แก่ศาสนิกเหมือนดังองค์กร
ระบบราชการอ่ืนๆ หากจะเรียกเพ่ือให้ง่ายต่อความเข้าใจ ก็คือ คณะสงฆ์เป็นองค์กรของระบบ
ราชการที่ให้บริการทางด้านศาสนาแก่ผู้คนท่ีอยู่ในรัฐนั้นๆ ในเม่ือคณะสงฆ์คือระบบราชการท่ีมี
ลักษณะจาเพาะทางศาสนา ป๎ญหาที่ต้องการกล่าวถึง ในท่ีนี้ก็คือ คณะสงฆ์มีป๎ญหา การขาด
ประสทิ ธิภาพในการปกครอง

ดว้ ยสภาพปญ๎ หาท่ีคณะสงฆม์ ีโครงสรา้ งการปกครองท่ีเปน็ ระบบราชการที่ใหญ่
โต และมีการรวมศนู ยอ์ านาจการปกครองไวท้ มี่ หาเถรสมาคมทาให้อาจเกิดป๎ญหาในการดูแลสมาชิกท่ี
ไม่ท่ัวถึง การรวมศูนย์อานาจของมหาเถรสมาคม จึงกลายเป็นข้อจากัดที่ไม่สามารถทาให้เกิด
ประสิทธิภาพในการปกครองได้ เพราะเน่ืองจากมหาเถรสมาคม มีลักษณะการรวบอานาจ ทั้ง 3 ไว้

59

กล่าวคือ อานาจในทางนิติบัญญัติ อานาจในทางบริหาร และอานาจในทางตุลาการ ข้อจากัดของการ
รวบอานาจนี้ทาให้การทางานแก้ไขป๎ญหาการปกครองไม่สามารถทาได้อย่างมีประสิทธิ ภาพอย่าง
ทัว่ ถึงและเปน็ ธรรมและมีการสง่ เสริมการร่วมคิด ร่วมแก้ไข สร้างความเข็มแข็งให้กับทุกระดับของผู้ท่ี
มีอานาจในการแกไ้ ขได้ ถงึ แม้วา่ การแก้ไขป๎ญหาการปกครองในลักษณะรวมศูนย์อานาจอาจจะดูว่ามี
ประสทิ ธภิ าพ เพราะมกี ารตดั สนิ ใจท่ีมีความรวดเร็ว ฉับไว เด็ดขาด แต่การแก้ไขเช่นน้ีสุ่มเส่ียงต่อการ
ใชอ้ านาจทเี่ ผด็จการที่ทาให้มีการฉ้อฉน และเลือกปฏิบัติ การใช้อานาจโดยสั่งการจากระดับบนลงมา
ระดับล่างโดยไม่มีกระบวนการรับฟ๎งความคิดเห็นในลักษณะเช่นน้ี จึงกลับกลายเป็นเร่ืองของการใช้
อานาจนิยมมากกว่า อีกท้งั การใช้อานาจแบบนี้ขาดขั้นตอนและการให้ความสาคัญต่อการแก้ไขป๎ญหา
ทส่ี ่งเสริมให้ ผู้ที่มีส่วนเก่ียวข้องในระดับล่างได้มีโอกาสพัฒนาตนเอง ร่วมศึกษาเรียนรู้วิธีการแก้ไขใน
การคิดและแนวทางปฏบิ ตั ิ ลงทา้ ยก็มีแต่ การรอคาสั่งการตัดสินจากส่วนบน ทาให้ผู้น้อยในระดับล่าง
อ่อนแอและไม่สามารถพึ่งพิงตนเองได้ และเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้เกี่ยวข้องระดับล่างเอื้อสัมพันธ์กับ
การอุปถัมภ์จากผู้เก่ียวข้องกับส่วนบนมากกว่าท่ีจะร่วมด้วยช่วยกันแก้ไขป๎ญหาอย่างเที่ยงตรงเป็น
ธรรมตอ่ ทกุ ฝุาย ฉะนน้ั หากต้องการแก้ไขป๎ญหาการปกครองให้มีประสทิ ธิภาพทั่วถึงและเป็นธรรม ก็
มคี วามจาเป็นต้องส่งเสรมิ การมีส่วนร่วมจากทกุ ภาคสว่ นของคณะสงฆ์ ใหม้ ีโอกาสได้แลกเปลี่ยนรับฟ๎ง
มุมจากพระสงฆท์ ่วั ทกุ ภาคทกุ พืน้ ที่ที่เก่ียวข้อง ตามที่พระไพศาล วิสาโล ไดก้ ล่าวไวด้ งั มใี จความว่า

แทนที่การปกครองคณะสงฆ์จะมแี ต่การส่ังการจากบนลงล่าง จากมหาเถรสมาคมสู่วัด
ทัว่ ประเทศอยา่ งเดียวจาเปน็ ต้องเปดิ ช่องให้พระสงฆ์ทั่วประเทศได้มีสว่ นรว่ มแสดงความ
คิดเหน็ และรว่ มกาหนดแผนหรือนโยบาย (พระไพศาล วิสาโล, 2542, น. 104)

ปญ๎ หาการขาดประสทิ ธิภาพในการปกครองจงึ เป็นปญ๎ หาสาคัญอย่างยิง่ ทต่ี ้องได้
รับแก้ไขให้ทันทว่ งทแี ละต้องมีวธิ กี ารเฝูาระวงั โดยอาจจะเป็นหนว่ ยงานหรือสถาบันที่มีหน้าที่ดูแลเร่ือง
น้โี ดยเฉพาะ ในป๎จจุบนั ดเู หมือนวา่ แม้จะมพี ระตารวจที่เรยี กว่าพระวินยาธิการแต่หากพิจารณาดูแล้ว
ก็จะพบว่ายังปฏิบัติหน้าท่ียังไม่สมบูรณ์เพราะการมีพระตารวจเป็นการแก้ไขป๎ญหาที่ปลายเหตุและ
ลาพังพระวนิ ยาธิการก็ยงั มขี อ้ จากดั ด้านเส้นสายท่ีพบว่ามีการเลือกปฏิบัติต่อพระสงฆ์ผู้กระทาผิดและ
ถึงแม้ในป๎จจุบันจะมีฝุายบรรพชิตและคฤหัสถ์ฝากความหวังไว้กับมหาวิทยาลัยสงฆ์เพ่ือทาหน้าท่ีใน
การสร้างบุคลากร โดยเฉพาะในป๎จจุบันมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยก็มีการเปิดสอน
หลักสูตรประกาศนียบัตรการบริหารกิจการคณะสงฆ์เพ่ือตอบสนองให้พระสังฆาธิการต้ังแต่ผู้ช่วยเจ้า
อาวาสข้ึนมาศกึ ษาแลว้ นาความรไู้ ปปรบั ปรงุ พฒั นาการคณะสงฆ์ที่ตนปกครองดูแล ผู้เขียนอาจจะดูว่า
อคติเกินไปแต่ถ้าลองเปิดใจดูความจริงก็พบว่า ท้ังพระวินยาธิการที่เป็นกลไกของคณะสงฆ์เพื่อการ
แก้ไขป๎ญหาการปกครองและหลักสูตรการบริหารกิจการคณะสงฆ์ท่ีดูท่าทีว่าจะมาช่วยแก้ไขให้การ

60

ปกครองคณะสงฆ์มีประสิทธิภาพขึ้นแต่แท้จริงแล้วก็ไม่ปรากฏเช่นนั้นเพราะว่า ข่าวคราวพระสงฆ์ที่มี
พฤติกรรมผิดพระธรรมวินัยตั้งแต่ผิดในเร่ืองเล็กน้อยจนถึงผิดบาปใหญ่ เรื่องเหล่านี้น่าจะเป็นตัวชี้วัด
ความไรป้ ระสิทธิภาพดงั กลา่ ว ดงั คาวจิ ารณข์ องนธิ ิ เอยี วศรวี งศ์ ว่า

ในขณะทว่ี ัตรปฏิบตั ขิ องพระภิกษสุ งฆ์ในสายตาของประชาชนกลบั เสือ่ มทรามลง การ
เวยี นเทียนบณิ ฑบาตเพ่อื เอาอาหารไปขายคืนแม่คา้ การเลน่ ห้วยและใบห้ วย พระภกิ ษุ
ปรากฏกายในทอี่ โคจร ภกิ ษุแจกวัตถมุ งคลลามกเปน็ เครื่องบูชา ฯลฯ องค์กรสงฆก์ ลับ
ไมส่ ามารถจดั การอะไรกบั ความเสอ่ื มศรทั ธาปสาทะของประชาชนไดท้ ั้งๆ ทส่ี ่งิ เหลา่ นี้
เปน็ ภัยพิบัตทิ ่อี ันตรายแกค่ ณะสงฆ์ยงิ่ กวา่ สิ่งใด (นธิ ิ เอียวศรีวงศ,์ 2543, น. 86-87)

หากคาวิจารณ์ของนิธิ เอียวศรวี งศ์ ยงั ไม่มนี า้ หนกั เราอาจพิจารณาดจู าก
พฤติกรรมของพระภิกษทุ เ่ี ดินเวียนบิณฑบาตเพอ่ื เอาอาหารไปขายคืนแม่ค้าที่ทุกวันน้ียังปรากฏให้เห็น
จนชินตาและองค์กรคณะสงฆ์ฝุายปกครองยังไม่มีมาตรการใดๆ ที่ปรากฏการแก้ไขและเป็นผลสาเร็จ
ให้เห็นเป็นรูปธรรมที่ชัดเจนซึ่งก็น่าจะพอประเมินได้ว่าขาดประสิทธิภาพหรืออ่อนด้อยการปกครอง
เพียงใดหรืออาจจะมปี ระเดน็ เกี่ยวเนอื่ งมาจากการท่ีผู้ปกครองคณะสงฆ์มีท่าทีท่ีเมินเฉยต่อป๎ญหาด้วย
หรือมีผลประโยชน์ร่วมกันระหว่างเจา้ คณะผปู้ กครองกับพระท่ีทาผิด แต่หากพิจารณาหลักการมองใน
ฐานะคณะสงฆ์เปน็ ระบบราชการแล้ว ทัศนคติของผู้ปกครองสงฆ์ที่เมินเฉยหรือมีผลประโยชน์ร่วมกับ
พระสงฆท์ กี่ ระทาผดิ จงึ ทาใหข้ าดประสิทธิภาพในการปกครองได้เช่นเดียวกัน เช่นกรณีป๎ญหาหลวงปุู
เณรคา ท่ีต้องรอให้สื่อมวลชนเสนอข่าวตีแผ่ความจริงอาจมีสื่อท่ีต้องการทาร้ายเรื่องน้ีก็ยอมรับว่ามี
อย่จู ริง แต่เราไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าเร่ืองนี้ก็อยู่ในความรับผิดชอบของคณะสงฆ์ตั้งแต่ระดับเจ้าคณะ
ตาบลถงึ เจา้ คณะภาค ปญ๎ หาเหล่านีเ้ จ้าคณะผูป้ กครองน่าจะมีมาตรการแก้ไขก่อนที่ข่าวหลวงปุูเณรคา
จะดงั กระฉ่อนจนทาให้ภาพลกั ษณ์ของคณะสงฆ์ พระสงฆ์เสื่อมเสียศรัทธาหรือแม้แต่ป๎ญหาพระเกษม
อาจิณฺณสีโลและพระศึกฤทธ์ิ โสตฺถิพโล จะเห็นว่าเป็นตัวช้ีวัดว่าคณะสงฆ์ผู้ปกครองขาด
ประสิทธภิ าพการจัดการแก้ไขป๎ญหาปกครองอยา่ งชดั เจน

ปญ๎ หาการขาดประสิทธิภาพในการปกครองหากมองจากภาพใหญเ่ ป็นหลกั กรณี
ธรรมกายนา่ จะสะทอ้ นป๎ญหาการขาดประสิทธิภาพในการปกครองท่ีคณะสงฆ์ไม่สามารถจัดการแก้ไข
ได้ นอกจากน้ันก็อาจจะเป็นเร่ืองท่ีไม่เก่ียวข้องกับป๎ญหาการขาดประสิทธิภาพโดยตรงแต่เป็นเร่ืองที่
เกีย่ วข้องกันในฐานะท่ีวัดพระธรรมกายกับกรรมการมหาเถรสมาคมในบางวัดและพระราชาคณะบาง
รูปมีเส้นสายที่เป็นระบบอุปถัมภ์มีผลประโยชน์ร่วมกันด้วย และอาจผลต่อเน่ืองมาจนทาให้พระสงฆ์
เจ้าคณะผปู้ กครองเลือกละเว้นการปฏิบตั กิ ับวัดพระธรรมกายเป็นการเฉพาะ แต่โดยภาพรวมนี้จึงเป็น
สาเหตุนามาซ่ึงการบั่นทอนความน่าเชือ่ ถือในตัวเจา้ คณะผู้ปกครองสงฆ์และทาให้ขาดประสิทธิภาพใน

61

การปกครองคณะสงฆใ์ นท่ีสุด แตห่ ากพิจารณาประเด็นเหล่านี้ต่อเนื่องมายังพระเล็กพระน้อยที่ไม่ได้มี
ตาแหน่งทางปกครองคณะสงฆ์หรือมีอานาจมากมาย ไม่ได้มีผลประโยชน์ร่วมกับทางพระผู้ปกครอง
หรือหากเป็นศัตรูกับทางเจ้าคณะผู้ปกครองเสียแล้ว ก็อาจจะถูกดาเนินการจากเจ้าคณะผู้ปกครอง
อย่างกรณีของตัวอย่างคดีพระสงฆ์ในหน้าประวัติศาสตร์ คือพระพิมลธรรม (อาจ อาสโภ) ที่เกิดจาก
ทางเจ้าคณะผู้ปกครองมีส่วนไมพ่ อใจตอ่ พระพมิ ลธรรมจนมีส่วนส่งผลให้ท่านต้องเข้าคุกสันติบาลทั้งท่ี
ภายหลังจากการตรวจสอบแล้วท่านไม่มีความผิด ในขณะท่ีหากเปรียบเทียบกับพระกิตติวุฑฺโฑ
เจ้าของฉายาวลีชื่อดัง “ฆ่าคอมมิวนิสต์ไม่บาป” จะพบว่าไม่มีปฏิกิริยาจากเจ้าคณะผู้ปกครองสั่ง
ลงโทษแต่อย่างใดเลย ทั้งท่ีวลีหรือคาพูดดังกล่าว ได้กลายเป็นประเด็นวิพากษ์วิจารณ์ถึงความ
เหมาะสมในเวลาตอ่ มา คือ

เหตกุ ารณ์ 6 ตุลา ท่านเคยกล่าววา่ ฆ่าคอมมิวนิสต์ ไม่บาป ซง่ึ ถกู ฝุายขวา อนั ไดแ้ ก่
นวพล กล่มุ กระทิงแดง ในสมัยนัน้ นาไปใช้เป็นวาทกรรม โจมตีฝุายซ้าย และยยุ งให้คน
ไทยเกลียดชงั นิสิตนักศกึ ษาท่ีชมุ นมุ ตอ่ ต้านการกลับเขา้ ประเทศของจอมพลถนอม กติ ติ
ขจร ในมหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ นาไปสู่การสงั หารหมู่ในเหตกุ ารณ์ 6 ตุลา 2519
(https://th.wikipedia.org/wiki/)
หรือในคดีป๎จจุบันใกล้เข้ามา คือกรณีของเจ้าคุณของพระพรหมสุธี (เสนาะ ป๎ญญาวชิ
โร) อดีตเจ้าอาวาสวัดสระเกศท่ีถูกต้ังข้อสังเกตว่ามีพฤติกรรมส่อไปในทางทุจริต ทั้งท่ีโดยข้อเท็จจริง
แล้วท่านยังไม่ได้รับการสอบสวนว่าผิดตามกฎหมายแต่ทางเจ้าคณะผู้ปกครองสงฆ์ก็มีคาส่ังให้ปลด
และพักตาแหน่งหน้าที่ของพระพรหมสุธีในเวลาตอ่ มา
โดย ในวันท่ี 15 มกราคม พ.ศ. 2558 สมเดจ็ พระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปํุ โฺ ญ) ผู้
ปฏิบัติหนา้ ท่ี สมเดจ็ พระสงั ฆราช มพี ระบญั ชาให้พระพรหมสธุ ีออกจากตาแหนง่
กรรมการมหาเถรสมาคม เพราะสานกั งานการตรวจเงนิ แผ่นดินตรวจสอบพบว่า
พระพรหมสุธี มีพฤตกิ รรมส่อทุจรติ ต่องบประมาณแผ่นดิน จานวน 67 ล้านบาท ท่ี
รฐั บาลอนุมัตเิ ปน็ คา่ ใช้จ่ายในพธิ พี ระราชทานเพลงิ ศพสมเดจ็ พระพุฒาจารย์ (เกีย่ ว อุป
เสโณ) จึงปลด พระพรหมสธุ ี เพอ่ื ไม่ให้เกดิ ผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของมหาเถรสมาคม
และคณะสงฆ์โดยรวมรวมถึงไมใ่ ห้เปน็ ท่ีเคลอื บแคลงสงสัยของสังคมตอ่ ไป และในวนั
เดียวกนั พระพรหมดิลก (เออ้ื น หาสธมโฺ ม) เจ้าคณะกรุงเทพมหานคร ไดล้ งนามสั่ง พระ
พรหมสุธี พกั การปฏิบตั ิหนา้ ทต่ี าแหน่งเจา้ อาวาสสระเกศ และให้พระพรหมสทิ ธิ (ธงชัย
สุขญาโณ) รกั ษาการแทน (http://news.mthai.com/hot-news/general-
news/477397.html)

62

แตห่ ากเปรยี บเทียบถงึ กรณี พระเทพญาณมหามนุ หี รอื พระธัมมชโยแหง่ วดั
พระธรรมกาย ไม่ปรากฏว่าทางมหาเถรสมาคมจะมีมติส่ังปลดและพักการปฏิบัติหน้าท่ีพระธัมมชโย
(ในฐานะท่ียังอยู่ภายใต้การปกครองของมหาเถรสมาคม) จากการเป็นเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายแต่
อย่างใด ท้ังที่มีมูลความผิดก็ปรากฏให้เห็น เช่น ข่าว ในหนังสือพิมพ์ออนไลน์ แนวหน้า ของวัน
อาทิตย์ ท่ี 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2559 มเี นอื้ หาว่า

1) คดพี ิเศษที่ 146/2556 ยักยอกทรพั ย์ มูลคา่ กว่า 12,000 ล้านบาท ดีเอสไอกาลงั
สอบสวนเพ่ิมเติม โดยการเส้นทางเงนิ พบวา่ บางสายไหลเข้าสหกรณ์เครดติ ยูเน่ียน
มงคลเศรษฐี ต้ังอยใู่ นอาณาจกั รวัดพระธรรมกาย นายศุภชัยเป็นผกู้ อ่ ตงั้ เอง เปิด
ให้บริการสนิ เชอ่ื เพือ่ ทาบุญกบั วดั พระธรรมกายดว้ ย นายศภุ ชยั เคยเปน็ ถึงไวยาวจั กร มี
ความใกลช้ ิดซีอีโอวัดพระธรรมกาย เงินบางสาย ถึงขนาดไหลเขา้ บัญชสี ว่ นตวั ของพระ
ราชภาวนาวิสุทธิ์ หรอื ธัมมชโย เจา้ อาวาสวดั พระธรรมกายโดยตรง อา้ งวา่ ทาบญุ
ปรากฏว่า มีการจา่ ยเชค็ เขา้ บญั ชพี ระราชภาวนาวสิ ุทธ์ิ บางคร้ังยอด 100 ล้านบาท บาง
วันหลายฉบบั รวมกวา่ 800 ลา้ นบาท ตลอดจนกลุ่มพระในเครอื ข่ายธรรมกายอกี
มลู ค่ารวมกว่า 2 พันลา้ นบาท ระหว่างเดือนมีนาคม 2552 ถึงกุมภาพันธ์ 2554
2) เม่ือวนั ที่ 29 มนี าคม 2559 คณะพนกั งานสอบสวนคดีพิเศษได้รว่ มประชมุ กบั
พนักงานอยั การ แลว้ เหน็ วา่ ทางคดมี พี ยานหลกั ฐานเพยี งพอจะแจ้งข้อหานายศภุ ชยั
ศรศี ภุ อกั ษร พระเทพญาณมหามุนี หรอื พระธัมมชโย เจา้ อาวาสวัดพระธรรมกาย และ
นางสาวศศธิ ร โชคประสทิ ธิ์ ในความผิดฐานสมคบกันฟอกเงนิ , รว่ มกันฟอกเงนิ และ
รว่ มกนั รบั ของโจร สาหรบั ผตู้ อ้ งหาอีกราย คือ น.ส. ศศิธร โชคประสทิ ธิ์ ระบวุ า่ มชี ่อื
ปรากฏสลกั หลังเชค็ กวา่ 100 ล้านบาท ทโ่ี อนใหเ้ จ้าอาวาสวดั พระธรรมกายเขา้ ข่ายชว่ ย
ปกปดิ ซอ่ นเรน้ อาพราง เพราะฉะน้นั ท่ที างวัดพยายามจะอา้ งวา่ เปน็ การรับบริจาคปกติ
เหมือนวัดอื่นๆ ก็น่าสงสัยว่า วัดอน่ื ๆ เขามกี ารบรจิ าคดว้ ยการจ่ายเช็คทลี ะรอ้ ยลา้ น
บาทหลายครัง้ หลายหน บางวนั เช็คใบละรอ้ ยลา้ นบาท หลายใบ แถมมกี ารสลักหลัง
เชค็ เป็นชื่อสกี าด้วย อยา่ งนนั้ หรอื ? น่ีเป็นประเดน็ ท่ที างพระธมั มชโยและวดั พระธรรม
กาย ยงั ไม่ยอมอธิบาย (http://www.naewna.com/politic/columnist/23697)

กรณนี ้หี ากเปรียบเทยี บกนั แลว้ จะพบวา่ มติของมหาเถรสมาคมทสี่ ่งั ตรงอยา่ ง
รวดเร็ว ฉับไว ดูแล้วมีประสิทธิภาพจะใช้ได้ผลก็ต่อเมื่อคดีหรือเร่ืองเหล่าน้ันกระทบต่อผลประโยชน์
ของตนและมีการเลอื กปฏิบัติเป็นการเฉพาะ และในหลายคร้ังของการดาเนินการทางมหาเถรสมาคม
ตอ่ กรณกี ารแก้ไขป๎ญหาในทางคณะสงฆ์น้ันก็มกั จะมาจากการประโคมขา่ วของสื่อมวลชนมากกกว่าจะ

63

เกิดจากการสานึกต่อหน้าท่ีของผู้ปกครองสงฆ์เองเสียมากกว่า ประสิทธิภาพที่เกิดจาการแก้ไขป๎ญหา
แบบน้ีไม่ช่วยให้เกิดการแก้ไขป๎ญหาได้อย่างแท้จริง และไม่ใช่การแก้ไขป๎ญหาที่มีประสิทธิภาพท่ี
แท้จริง แต่หากเป็นการใช้อานาจท่ีเป็นไปในลักษณะของอานาจนิยมมากกว่า ประสิทธิภาพของการ
แก้ไขจงึ เปน็ เร่อื งของ การเปดิ โอกาสให้พระสงฆแ์ ละฆราวาสในระดับล่างลงมาได้ส่งตัวแทนมาจากทุก
ภาคสว่ นมารว่ มคดิ แกไ้ ขป๎ญหาในการปกครองมากกว่าท่ีจะฝากการแก้ไขป๎ญหาการปกครองไว้ท่ีมหา
เถรสมาคมแต่เพียงฝุายเดียว ซ่ึงเสี่ยงต่อการเลือกปฏิบัติท่ีจะส่งผลต่อการมีประสิทธิภาพในการ
ปกครองดังท่กี ลา่ วไว้แลว้

ดูเหมือนว่า หากปลอ่ ยใหค้ ณะสงฆเ์ ปน็ ระบบราชการทมี่ กี ารรวบอานาจการ
ปกครอง และขาดการสง่ เสรมิ การมสี ่วนรว่ มจากพระภิกษุที่ไม่ได้มีตาแหน่งการปกครองคณะสงฆ์และ
ไม่มีการเปิดโอกาสให้ ฆราวาสได้เข้ามาส่วนกาหนดทิศทางต่อคณะสงฆ์ นับวันการขาดประสิทธิภาพ
ในการปกครองคณะสงฆ์ยอ่ มมปี ๎ญหาหนกั หนามากขึน้

2.3.3 ปัญหาหลกั เกณฑ์การแต่งตัง้ สมณศักด์ิ
สมณศกั ดิ์คือผลดีอย่างหนึง่ ที่สะท้อนออกมาเป็นเคร่ืองตอบแทนแกพ่ ระสงฆ์ท่ี

ประพฤติดีปฏิบัติชอบ และได้ประกอบศาสนกิจเป็นปรหิตานุหิตประโยชน์โดยอเนกประการแก่พระ
ศาสนาและประเทศชาติ

สาหรบั ท่ีมาของสมณศกั ดใ์ิ นประเทศไทยนน้ั ไมข่ อกลา่ วไวใ้ นทน่ี ้ี ขอกล่าวถงึ
เฉพาะการมพี ระราชพธิ ตี งั้ ราชทินนามเป็นสมณศกั ดิ์มขี นึ้ ในสมัยกรุงสุโขทัยตอนปลายในสมัยของพระ
มหาธรรมราชา (ลิไท) โดยได้แบบอย่างมาจากลังกาและได้ปฏิบัติสืบต่อมาจนถึงป๎จจุบันโดย
พระมหากษตั ริยท์ ุกพระองคท์ รงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ใหป้ ระกอบพระราชพิธีแต่งตั้งและเล่ือนสมณ
ศกั ดิ์ถวายแดพ่ ระสงฆท์ มี่ ีคณุ สมบัตดิ งั กลา่ วติดต่อมาโดยลาดับ (แสวง อุดมศรี, 2534, น. 405)

สมณศักดน์ิ นั้ แมว้ า่ โดยหลกั การแลว้ จะมคี ุณค่าในตัวเองดังที่กล่าวในเบื้องตน้ และ
คุณค่าดังกล่าวของสมณศักดิ์ในอดีตดูน่าชื่นชมศรัทธา ทั้งน้ีอาจเน่ืองด้วยขั้นตอนที่ชัดเจน และผู้ท่ี
สมควรได้รับสมณศักด์ิมีความเหมาะสม เพราะเหตุนั้น “สมณศักดิ์แต่เดิมจึงไม่ใช่ยศถาบรรดาศักด์ิ
เหมือนกับบรรดาศักด์ิของขุนนางและข้าราชการฝุายบ้านเมือง” (ธรรมรักษา. ประสก, 2518, น.
105) อย่างทเ่ี ข้าใจกันทุกวันนี้ป๎จจุบันภาพลักษณ์ของสมณศักด์ิมักถูกมองในแง่ลบเป็นอย่างมาก เช่น
พระสงฆ์ไมค่ วรมีสมณศกั ดเิ์ พราะพระสงฆ์ละแล้วซึ่งกิเลส สมณศักด์ิเป็นเรื่องของกิเลสพระสงฆ์ไม่ควร
ยุ่งเก่ียว หรือข่าวในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ปี พ.ศ. 2556 ที่ผ่านมา มีการวิจารณ์กรณี พระพายัพ ได้
สมณศักดิ์ เนื่องจากตามธรรมเนียมปฏิบัติ พระสงฆ์ท่ีจะได้รับการแต่งตั้งเป็นพระฐานานุกรมต้อง

64

อุปสมบทมาแล้วไมน่ อ้ ยกว่า 10 พรรษา ด้วยข่าวคราวท่ีมีผลเสียหายต่อสมณศักดิ์ทาให้สังคมมีท่าทีท่ี
อาจด่วนสรุปวา่ สมณศักด์คิ ือตวั ป๎ญหาและสมควรยกเลิกเสีย

อยา่ งไรกต็ ามหากพจิ ารณาถงึ เปูาหมายของวตั ถุประสงคส์ มณศกั ดิ์ให้ดแี ละชดั
แล้วอาจพบว่ายังไมม่ คี วามจาเปน็ ที่จะต้องยกเลกิ สมณศักดิ์แต่ควรหาทางปรับปรุงข้ันตอนการได้มาซึ่ง
สมณศกั ดิ์ มากกว่าเพราะน่าจะเป็นทางออกที่ดีกว่าการยกเลิกสมณศักดิ์ในป๎จจุบันซ่ึงยากท่ีจะเกิดข้ึน
เป็นจริงได้ในป๎จจุบันหรือหากจะแก้ในระยะยาว ณ ตอนน้ีควรหาหนทางปรับปรุงขั้นตอนและความ
เหมาะสมของพระสงฆ์ผู้ทม่ี ีความเหมาะสมในการรับสมณศักด์ิก่อนต่อจากนั้นค่อยปรับลดขั้นตอนการ
ได้มาซ่ึงสมณศักด์ิจนในท่ีสุดเมื่อมีความพร้อมของระยะเวลา การปรับแก้ไขข้ันตอนด้วยการปรับลด
คุณค่าของสมณศกั ดิ์ลงขัน้ ตอนต่อมาก็ตามด้วยการยกเลิกสมณศักด์ใิ นที่สุด

ป๎ญหาหลักเกณฑ์การแตง่ ตง้ั สมณศักด์ิ ในท่ีน้ีจะขอกลา่ วเฉพาะภาพรวมของ
ป๎ญหาสมณศักดิ์ที่เกี่ยวกับข้องกับผลงาน กล่าวคือ สมณศักดิ์ท่ีถูกแบ่งออกเป็น 2 ระดับ คือ พระ
สัญญาบัตรและพระราชาคณะ จะไม่ขอกล่าวถึงสมณศักดิ์ท่ีเก่ียวข้องกับความรู้ กล่าวคือ สมณศักด์ิ
สาหรับผู้สอบได้เปรียญธรรมตั้งแต่ 3-9 ประโยค สาหรับป๎ญหาหลักเกณฑ์การแต่งต้ังและความ
เหมาะสมของพระสงฆท์ ่ีจะไดร้ บั สมณศักด์ิสามารถกลา่ วถึงดังต่อไปนี้

1) ปญ๎ หาหลกั เกณฑ์การแต่งต้ังการไดม้ าซึ่งสมณศกั ดิ์ในป๎จจุบนั คือ การกาหนด
หลักเกณฑ์การแต่งต้ังและความเหมาะสมของพระสงฆ์ท่ีจะได้รับสมณศักด์ิไว้ที่ตาแหน่งทางปกครอง
คณะสงฆ์ ในประเด็นป๎ญหาน้ี ดนัย ปรีชาเพ่ิมประสิทธ์ิ ได้กล่าวถึง ไว้ในรายงานวิจัย เรื่อง การ
วิเคราะห์ข้อเด่นข้อด้อยขององค์การและกระบวนการบริหารจัดการ องค์การพระพุทธศาสนาของ
ประเทศไทยในเชงิ ประสิทธิภาพด้านคณุ คา่ ต่อพระพุทธศาสนา โดยได้กล่าวไว้ว่า

กล่าวโดยสรุปจะเห็นวา่ ป๎ญหาตา่ งๆในการบริหารจดั การองค์การคณะสงฆ์เกิดจาก
หลกั เกณฑก์ ารพิจารณาเลือ่ นสมณศกั ด์ิที่ ให้ความสาคญั แกพ่ ระภิกษผุ ้ดู ารงตาแหน่ง ใน
สายปกครอง ซึง่ ก็สอดคลอ้ งกบั โครงสร้างของพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 ที่
รวมศูนยอ์ านาจท้ังหมดไว้ทพ่ี ระสงั ฆาธกิ ารระดับเจ้าอาวาส เจ้าคณะตาบล เจ้าคณะ
อาเภอ เจ้าคณะจังหวดั และเจา้ คณะภาค (ดนยั ปรีชาเพมิ่ ประสิทธ,ิ์ 2558, น. 120)

ทรรศนะของดนยั ปรีชาเพม่ิ ประสทิ ธ์ิ ไดแ้ สดงถงึ ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งปญ๎ หา
หลักเกณฑ์การพิจารณาการแต่งต้ังสมณศักด์ิที่ให้ความสาคัญแก่พระภิกษุผู้ดารงตาแหน่ง ในสาย
ปกครองกับป๎ญหาความสัมพันธ์ทางอานาจแบบรวมศูนย์ในสายการบังคับบัญชาในทางการปกครอง
คณะสงฆ์ ฉะนั้นป๎ญหาในหัวข้อน้ีจึงนับมีความสาคัญยิ่งท่ีต้องกล่าวถึง เพราะเนื่องจาก สมณศักดิ์
ภายใตร้ ะบบเช่นนยี้ อ่ มผูกขาดไวท้ ี่พระสงฆท์ ุกระดับไว้ท่ีมีตาแหน่งทางการปกครองคณะสงฆ์เท่าน้ันท่ี

65

ควรจะได้รับเล่ือนสมณศักด์ิส่วนพระสงฆ์ท่ีมีความรู้ความสามารถด้านอ่ืนๆ ท่ีเป็นประโยชน์ต่อ
พระพุทธศาสนา เช่นในด้านการบรรยายธรรม การเขียนหนังสือธรรมะ ความสามารถในการพูด
ภาษาต่างประเทศ ก็ไม่มีโอกาสได้รับเล่ือนสมณศักดิ์ ทาให้คุณค่าของสมณศักด์ิในการเป็นขวัญและ
กาลังในในการทางานหรือส่งเสริมเกียรติคุณความดีด้วยการมอบสมณศักด์ิให้ คุณค่าต่างๆ เหล่านี้
กลับถูกทาให้แคบลง จนทาให้เกิดความเข้าใจผิดต่อคุณค่าสมณศักด์ิเหล่าน้ีมากข้ึน จนในที่สุดญาติ
โยมชาวพุทธก็ไม่เหน็ คุณค่าของสมณศักด์ิในท่สี ดุ

2) ปญ๎ หาหลกั เกณฑ์หรอื วธิ กี ารแตง่ ตัง้ การไดม้ าซึ่งสมณศักดใ์ิ นปจ๎ จบุ ันคือขาด
ซ่ึงขั้นตอนการมีส่วนร่วมจากประชาชนและพระภิกษุสามเณรในวัด โดยเลือกที่จะใช้หลักกฎเกณฑ์
ของมหาเถรสมาคม กล่าวคือ การแต่งตั้งเลื่อนสมณศักด์ิชั้นต่างๆ เบ้ืองต้นเป็นอานาจหน้าท่ีของมหา
เถรสมาคม ซ่ึงเป็นองค์กรท่ีมีอานาจหน้าท่ีสูงสุดในการปกครองคณะสงฆ์ ตามมาตรา 19 แห่ง
พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 แก้ไขเพ่ิมเติมโดยพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับท่ี 2) พ.ศ.
2535 แมก้ ารพจิ ารณาคัดเลอื กพระสงั ฆาธิการว่ารูปใดเหมาะสมท่ีจะเลื่อนสมณศักดิ์ชั้นใด โดยเฉพาะ
อย่างย่ิงในระดับพระครูชั้นสัญญาบัตรน้ันเจ้าคณะภาคเป็นผู้พิจารณาจากน้ันก็จะนารายช่ือเสนอต่อ
เจ้าคณะใหญ่ เมื่อเจ้าคณะใหญ่รับทราบแล้วก็จะนิมนต์เจ้าคณะภาค และรองเจ้าคณะภาคในเขต
ปกครองของตนมาพจิ ารณารว่ มกนั ตดั สินกนั อีกครั้งหน่ึง เมือ่ ผลการพิจารณากลั่นกรองระดับเจ้าคณะ
ใหญ่ได้เสร็จส้ินแล้ว รายช่ือพระสังฆาธิการที่ผ่านการพิจารณาในระดับนี้จะถูกนาเสนอไปที่กรมการ
ศาสนา และกรมการศาสนาก็จะนาเสนอต่อมหาเถรสมาคมเพ่ือการพิจารณา เม่ือถึงขั้นตอนน้ีมหาเถร
สมาคมจะต้งั อนุกรรมการขึน้ มา 2 คณะ คือ คณะอนุกรรมการมหาเถรสมาคมฝุายมหานิกายมีอานาจ
ในการพิจารณาพระสังฆาธิการฝุายมหานิกาย และคณะอนุกรรมการมหาเถรสมาคมฝุาย
ธรรมยุติกนิกาย มีอานาจในการพิจารณาพระสังฆาธิการฝุายธรรมยุติกนิกาย คณะอนุกรรมการท้ัง
สองชุดน้ีมีอานาจตามความรับผิดชอบของตนในอันที่จะพิจารณาพระสังฆาธิการว่ารูปใดเหมาะสมที่
จะได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์

จากหลกั เกณฑ์ดงั กล่าวสะท้อนความเปน็ ระบบราชการทล่ี ้าสมยั มาก ขนั้ ตอน
ดังกล่าวเป็นขั้นตอนการพิจารณาที่เป็นแนวดิ่งมากว่าเป็นข้ันตอนแนวราบ คือขั้นตอนที่ต้องส่งขึ้นไป
ตามลาดับสายการบังคับบัญชา ผลกระทบของการขาดขั้นตอนของการมีส่วนร่วมจากประชาชนและ
พระภิกษสุ ามเณรในวัดคือ ทาให้พระสงฆ์ที่ได้สมณศักด์ิมาไม่ตรงกับความรู้หรือความต้องการของทุก
ฝาุ ยท่ีเกยี่ วข้องและทาให้เกิดขั้นตอนของระบบอปุ ถัมภ์

3) นอกจากนัน้ ยงั มีปญ๎ หาความเหมาะสมของตัวบุคคลท่ีไดร้ บั สมณศักด์ิ กล่าว

66

คือ การได้มาซึ่งสมณศักด์ิสาหรับในป๎จจุบันคือการใช้หลักเกณฑ์การพิจารณาแต่งต้ังและเลื่อนสมณ
ศักด์ิโดยผูกโยงอยู่กับตาแหน่งพระสังฆาธิการคือตั้งแต่ตาแหน่งผู้ช่วยเจ้าอาวาส รองเจ้าอาวาส เจ้า
อาวาส รองเจ้าคณะตาบล เจ้าคณะตาบล รองเจ้าคณะอาเภอ เจ้าคณะอาเภอ รองเจ้าคณะจังหวัด
เจา้ คณะจังหวดั รองเจ้าคณะภาค เจ้าคณะภาค ไปจนถงึ ตาแหน่งเจ้าคณะใหญ่ สรุปจากเกณฑ์ข้างต้น
พระสังฆาธิการคือพระท่ีมีตาแหน่งทางการปกครองต้ังแต่ผู้ช่วยเจ้าอาวาสเป็นต้นไ ปจนถึงเจ้าคณะ
ใหญ่เป็นผู้มีความเหมาะสมสาหรับการได้มาซ่ึงสมณศักดิ์ในส่วนน้ีเองท่ีผู้วิจัยมองว่าเป็นป๎ญหาเพราะ
การไปกาหนดคุณสมบัติเบ้ืองต้นของผู้ที่ควรได้รับการพิจารณาการเล่ือนสมณศักด์ิท่ีผู้ช่วยเจ้าอาวาส
ทั้งท่ีเปูาหมายของสมณศักด์ิคือส่งเสริมกาลังใจในการทางานเพ่ือพระศาสนา ทั้งน้ีการผูกขาดการ
ได้มาซึ่งสมณศักดิ์โดยระบุที่ผู้ช่วยเจ้าอาวาสเป็นต้นไป หรือมีการเน้นจานวนเงินท่ีใช้ในการก่อสร้าง
ถาวรวัตถุให้ใหญ่โต เช่น “เกณฑ์ของจานวนเงิน ในเขตปกครองหนกลางต้องมีจานวนเงินต้ังแต่
1,000,000 บาท ขึ้นไป ในเขตปกครองหนเหนือ หนตะวันออก และหนใต้ต้องมีเงินต้ังแต่ 150,000
บาท ข้ึนไป” (วัชระ งามจิตรเจริญ, 2556, น. 28) การกาหนดกฎเกณฑ์ ส่งผลกระทบอย่างมาก
เพราะ ทาให้หมดเวลาไปกับการก่อสรา้ งมากกวา่ การทาหน้าทเ่ี ผยแผ่พุทธศาสนาให้สามารถทาให้ผู้ฟ๎ง
เข้าใจและสามารถนาไปปฏิบัติได้อย่างถูกต้องหรือ แม้แต่มีส่วนในการลดความสาคัญของการศึกษา
พระธรรมวินยั ลง การเลอื่ นสมณศักดิ์จงึ ยงั คงจากดั อยูใ่ นวงแคบ

2.4 บทสรุป

จากการศึกษาพบวา่ ป๎ญหาการปกครองคณะสงฆ์ไทยในปจ๎ จบุ ัน มปี ญ๎ หาทต่ี อ้ งรบี
ไดร้ บั การแก้ไขโดยเร่งด่วนคือ ป๎ญหาด้านโครงสร้างการปกครอง ป๎ญหาการขาดประสิทธิภาพในการ
ปกครอง ป๎ญหาหลักเกณฑ์การแตง่ ตัง้ สมณศักดิ์ ป๎ญหาเหล่าน้ีในบางป๎ญหา เช่นป๎ญหาโครงสร้างการ
ปกครองคณะสงฆ์อาจเป็นป๎ญหาท่ีในอดีตก็เป็นป๎ญหามาก่อนแต่ท้ังในอดีตและในป๎จจุบันยังไม่ได้รับ
การแก้ไขใสใ่ จท่ดี พี อจึงส่งผลกระทบต่อการปกครองในป๎จจุบัน การเร่ิมต้นด้วยการมองป๎ญหาด้วยวิธี
แยกแยะป๎ญหา เราจึงพบปรากฏการณ์ของป๎ญหา ลักษณะอาการของป๎ญหาที่ส่งผลกระทบต่อการ
ปกครองคณะสงฆ์และสามารถส่งผลกระทบต่อพระพุทธศาสนาดว้ ย

ท่าทีและวิธีการมองป๎ญหาดังกล่าวจะสามารถนามาวิเคราะห์วิธีการแก้ไขป๎ญหาได้ใน
ทส่ี ดุ และสามารถตอบสนองตอ่ ขอ้ เรยี กร้องจากหลายฝาุ ยในป๎จจุบันท้ังจากฝุายรัฐและฝุายเอกชนและ
ฝุายภาคประชาชนท่มี ักมขี อ้ เสนอเรียกร้องในป๎จจุบันให้มีการปฏิรูปคณะสงฆ์ไทยและถือเป็นโอกาสดี
ท่ีผู้วิจัยได้ศึกษาอยู่ในช่วงท่ีคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. (อังกฤษ: National Council

67

for Peace and Order (NCPO) ซึ่งนาโดยพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ท่านได้ชู
ประเด็นเรื่องการปฏิรูปประเทศ ผู้วิจัยจึงเห็นว่าป๎ญหาการปกครองคณะสงฆ์ ก็เป็นป๎ญหาสาคัญ
เช่นเดียวกันกับป๎ญหาในด้านอ่ืนๆ ที่จะต้องมีการศึกษาถึงสภาพป๎ญหา และหลังจากน้ันก็ส่งผล
การศึกษาของสภาพป๎ญหาให้แก่รัฐบาลที่มาจาการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยเพื่อทาการ
ปฏิรูปในทางปฏบิ ัตติ ่อไป และสิ่งท่ีผู้วิจัยได้นาเสนอนั้นอาจเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจของผู้ที่มี
ความห่วงใยต่อพระพุทธศาสนาในประเทศไทยท่ีสามารถนาไปพิจารณาเป็นทางเลือกของนโยบาย
สาธารณะหรือแนวทางในการดาเนินการเพ่ือการปฏิรูปพุทธศาสนาท่ีจะสามารถนามาสู่การแก้ไข
ป๎ญหาทเี่ ปน็ รปู ธรรมมากข้ึน

สาหรับการท่ีจะเข้าใจป๎ญหาที่กล่าวมาและรวมท้ังสามารถหาวิธีแก้ป๎ญหาได้ต้องมีการ
วเิ คราะหส์ าเหตขุ องปญ๎ หาและอุปสรรคในการแก้ป๎ญหาซ่งึ จะนามาอภปิ รายในบทถดั ไป

68

บทที่ 3
วเิ คราะหส์ าเหตขุ องปัญหาการปกครองไทยคณะสงฆไ์ ทยในปัจจบุ นั

3.1 สาเหตขุ องปญั หาการปกครองคณะสงฆไ์ ทยในปัจจุบนั

การกลับไปค้นหาสาเหตุของป๎ญหาว่า สาเหตุของป๎ญหานั้นมีความเป็นมาเป็นไป
อย่างไร อาจช่วยให้เราได้ค้นพบต้นตอสาเหตุของป๎ญหาที่แท้จริงและช่วยกันระงับการลุกลามของ
สภาพป๎ญหาได้และน่ันก็ย่อมถือว่าเราได้เริ่มแก้ไขป๎ญหาที่ตรงจุด การปกครองคณะสงฆ์ไทยใน
ป๎จจุบันนั้นมีการพัฒนาการในด้านสาเหตุของป๎ญหาจากอดีตมาสู่ยุคป๎จจุบันจนหลายป๎ญหายังไม่ได้
รับการแก้ไขท่ีดีพอและสาเหตุของป๎ญหาดังกล่าวได้ส่งผลกระทบในวงกว้างของป๎ญหาและอาจส่งผล
ให้เกิดสภาพป๎ญหามากขึ้นตามลาดับ ผนวกกับทัศนคติของคนในสังคมไทยอาจเคยชินกับการมอง
ป๎ญหาคณะสงฆ์แบบฟูุงเปูาไปที่ความผิดของพระสงฆ์เฉพาะรูปมากกกว่าท่ีจะมีการมองป๎ญหาไปท่ี
ระบบโครงสร้าง หรือการที่สังคมมีทัศนคติต่อพระสงฆ์และคณะสงฆ์ว่าเป็นเร่ืองละเอียดอ่อนไม่ควร
เข้าไปขอ้ งเกย่ี วในการวพิ ากษว์ ิจารณ์เพราะรูส้ กึ เป็นบาป ด้วยลกั ษณะของทศั นคติเช่นน้ีการมีส่วนร่วม
ในการแก้ไขป๎ญหาจากสังคมของชาวพุทธบริษัทจึงอาจมีส่วนที่ทาให้สาเหตุของป๎ญหาไม่ได้รับการ
คน้ หาและถกู นามาถกเถยี งเพอ่ื หาทางออกกันอยา่ งจรงิ จงั

สาหรับในท่ีน้ีได้แบ่งสาเหตุของป๎ญหาการปกครองคณะสงฆ์ไทยในป๎จจุบันไว้เป็น 3
สาเหตุ กลา่ วคือ 1. สาเหตปุ ญ๎ หาโครงสรา้ งการปกครอง 2. สาเหตุป๎ญหาการขาดประสิทธิภาพใน
การปกครอง 3. สาเหตุป๎ญหาหลักเกณฑก์ ารแต่งตัง้ สมณศกั ด์ิ โดยจะขอกล่าวถึงไปตามลาดบั ดังน้ี

3.1.1 สาเหตุปญั หาโครงสร้างการปกครอง
ความสมั พันธ์ระหวา่ งรัฐกับคณะสงฆ์มสี ว่ นสาคัญตอ่ การก่อรปู มาซงึ่ โครงสร้าง

การปกครองคณะสงฆ์ในป๎จจุบัน พัฒนาการและความเป็นมาจึงมีส่วนท่ีทาให้เราได้ทราบถึงสาเหตุ
ของโครงสร้างการปกครองคณะสงฆ์ที่ต้องประสบกับสภาพป๎ญหาดังในภาวะป๎จจุบัน ในงานเขียน
เรื่อง Sangha, State, and Society : Thai Buddhism in History ซึ่งเขียนโดย โยเนโอะ อิชิอิ
(Yoneo Ishii) ซึ่งเป็นนักวิชาการด้านไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษาชาวญี่ปุน ได้กล่าวถึง
พัฒนาการของคณะสงฆ์ไทยไวว้ ่า

ไมม่ ีคร้งั ใดเลยในประวัติศาสตรท์ ีพ่ ระสงฆจ์ ะดารงอยู่ได้ในรูปแบบเดยี วหรือแบบอน่ื ๆ

69

ภายในรัฐ เมือ่ สังคมสงฆเ์ จริญร่งุ เรืองกถ็ กู กระทาโดยการเขา้ ไปมีส่วนสมั พันธ์ในทางท่ีดี
กบั รัฐ หลักฐานหนงึ่ ในประวัติศาสตร์ คือ พทุ ธนิกายลังกาวงศ์ ซึง่ เจรญิ ข้ึนภายใตก้ าร
ดูแลของรฐั และกลบั ตกต่าลงเมือ่ การปกปูองจากรัฐหมดลง เปรียบเทยี บกบั พุทธในไทย
ซึ่งไดร้ ับการปูองปูองจากกษตั รยิ ์ตง้ั แตศ่ ตวรรษท่ี 13 โดยตลอดมาคือมกี ารปกครองโดย
มีกษัตริยเ์ ป็นประมุขมาโดยตลอด ศาสนาพทุ ธไทยได้เชื่อมโยงกับรฐั อย่างใกลช้ ิด
โดยเฉพาะกับสถาบนั กษัตริย์ (Yoneo Ishii, 1593, P. 3).

สิง่ ที่ โยเนโอะ อิชอิ ิ ได้กลา่ วไวน้ นั้ สอดรับกับความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งคณะสงฆ์กับ
รัฐในแง่ของพัฒนาการซึ่ง นภนาท อนุพงศ์พัฒน์ ได้ให้ทรรรศนะไว้ในบทความวิจัย เรื่อง มหาเถร
สมาคมกับการแกไ้ ขปัญหาคณะสงฆย์ ุคปัจจบุ นั ไวว้ ่า

ในคร้ังแรกทรี่ ัฐเข้ามาจดั การการปกครองคณะสงฆ์นัน้ เปน็ ไปเพื่อประโยชนข์ องรัฐ
เองมากกว่าประโยชน์ของคณะสงฆ์ เมือ่ เวลาผา่ นไปประโยชน์อันรัฐจะพึงไดจ้ ากคณะ
สงฆก์ ็เปลีย่ นไปตามกาลเวลา เมอื่ ไหร่ท่รี ัฐเหน็ ว่าคณะสงฆ์จะมปี ระโยชนก์ ับตนเอง ดงั มี
ผู้กล่าวว่า รัฐสมยั ใหมไ่ มใ่ ช่ตวั บุคคลที่จะมาคานงึ ถงึ คณุ ธรรมใดๆ หากแต่เป็นกลไกทไ่ี ร้
ตวั บคุ คลอยู่ในนน้ั และทางานไปตามระบบท่ีถูกวางไว้ ความใกลช้ ดิ กบั รัฐขององคก์ ร
ปกครองคณะสงฆ์ไทยเปน็ ส่วนสาคญั ทท่ี าให้ระบบราชการในคณะสงฆ์เติบโตอยา่ ง
แข็งแรง และระบบราชการน้ไี มต่ อบสนองต่อป๎ญหา การเรียกร้อง และความต้องการ
ของสาธารณชนสักเทา่ ใดเลย นอกจากมีหน้าท่ีในการรักษาสถานะทเี่ ป็นอยูข่ ององค์กร
สงฆ์เท่าน้ัน และการเข้ามาพนั ตวั เองกับรฐั ของคณะสงฆ์ไทยได้ทาให้คณะสงฆ์ไทยมี
แนวโน้มในการมองปญ๎ หาต่างๆ ที่เกดิ ข้นึ กับคณะสงฆ์ไทยด้วยแว่นของความมั่นคงแห่ง
รัฐและชาติไทยโดยในหลายครั้งก็ละเลยหลักการของพระพุทธศาสนาไป (นภนาท
อนพุ งศพ์ ฒั น์, 2550, น. 61)

จากทรรศนะของ นภนาท อนุพงศพ์ ัฒนท์ ี่ไดก้ ล่าวมาขา้ งต้นน้ี ทาใหเ้ ราพอจะ
ทราบว่าสาเหตขุ องปญ๎ หาโครงสรา้ งการปกครองในที่นพี้ อจะสรุปได้คือ คณะสงฆ์นั้นถูกควบคุมโดยรัฐ
โดยการถกู ควบคุมน้ันเริ่มต้นตั้งแต่รัฐในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ต่อมาจนถึงสมัยรัฐชาติและมาถึง
ในปจ๎ จบุ นั ในความเป็นรฐั สมยั ใหม่ คณะสงฆ์นน้ั ถูกควบคมุ มาโดยตลอดเพียงแค่ขึ้นอยู่กับว่าการเข้ามา
ควบคมุ ของรฐั ในแตล่ ะสมยั นัน้ มเี ทคนคิ ในการควบคมุ แตกตา่ งกนั แตล่ ้วนแล้วมวี ัตถปุ ระสงค์ตรงกันคือ
เพ่ือให้พุทธศาสนานนั้ ตอบสนองตอ่ ผลประโยชน์รฐั ในที่นีจ้ ะขอกล่าวเพียงเฉพาะรัฐในป๎จจุบันแต่อาจ
มีผลผลติ ของรฐั ในอดีตตกทอดส่รู ฐั ในป๎จจุบันทีต่ อ้ งกลา่ วถงึ บา้ ง

70

3.1.1.1 การควบคมุ คณะสงฆโ์ ดยรัฐ

สาเหตุสาคัญท่มี ีส่วนให้คณะสงฆ์ในปจ๎ จบุ นั ประสบกบั ป๎ญหาโครงสร้าง
การปกครองคือ การที่คณะสงฆ์ถูกควบคุมโดยรัฐ ผลประโยชน์ที่ได้จากการยินยอมให้ถูกควบคุมน้ัน
คณะสงฆ์ก็มุ่งหวังที่จะได้รับประโยชน์ในแง่ความคุ้มครองและการอุปถัมภ์จากรัฐท้ังในแง่งบประมาน
จากรัฐและความม่ันคงของคณะสงฆ์ที่มีความจาเป็นต้องมีการใช้อานาจรัฐมาจัดการป๎ญหาภายใน
คณะสงฆ์เพื่อมุ่งหวังความเป็นเอกภาพภายในคณะสงฆ์เช่น ในกรณีของสันติโศก อีกท้ังยังสามารถมี
ส่วนท่ีช่วยให้ผู้นารัฐได้ใช้หลักธรรมทางพระพุทธศาสนามาปกครองเพ่ือให้บ้านเมืองสงบสุข นี้จึงเป็น
เหตุผลในด้านที่ดีของการที่รัฐมาควบคุมพระสงฆ์และคณะสงฆ์ ตามที่นักวิชาการทั้งสองท่านได้
มองเห็นแง่ดีของการถูกควบคุมไว้ นักวิชาการท้ังสองท่านนี้คือ พระเทพ วิสุทธิกวี (เกษม สํฺญโต)
และวัชระ งามจิตรเจริญ โดยทรรศนะของพระเทพ วิสุทธิกวี (เกษม สํฺญโต) (สัมภาษณ์, 23
ธนั วาคม 2558) กล่าวไว้ว่า

ตราบเท่าทพี่ ทุ ธจกั รกับอาณาจกั รยังเอ้ือประโยชนต์ ่อกัน อานาจรัฐกย็ งั มีความจาเปน็
ตอ่ การสง่ เสรมิ การปกครองคณะสงฆ์ ท่สี าคญั รัฐมเี ปูาหมายอยทู่ ี่การใชอ้ านาจเพือ่
ประชาชน การปกครองคณะสงฆก์ เ็ พ่ือประโยชน์ของประชาชน ถ้าสงฆแ์ ยกอานาจจาก
รัฐก็เทา่ กับแยกตัวเองออกจากประชาชน กเ็ ปน็ เร่ืองท่ไี รป้ ระโยชน์ พระพุทธศาสนาก็
จะหายไปในที่สุด

ทรรศนะดงั กลา่ วของพระเทพวิสทุ ธกิ วีนน้ั สอดรบั กับทรรศนะของวชั ระ
งามจติ รเจริญ ที่มองเหน็ แงด่ ขี องการควบคมุ คณะสงฆ์โดยรัฐ ว่า

ความม่ันคงของพระสงฆ์และพระพุทธศาสนาท่ีมาจากการเขา้ ไปควบคุมดแู ลและ
สนับสนนุ ของรฐั จึงสง่ ผลดีต่อการปกครองของรัฐเพราะชว่ ยใหเ้ กิดความเป็นระเบียบ
หรือความสงบเรียบรอ้ ยในสังคมทาใหร้ ฐั บาลสามารถปกครองและพัฒนาบา้ นเมืองได้
อย่างมปี ระสิทธภิ าพ (วัชระ งามจติ รเจรญิ , 2556, น. 13)

สาหรบั พฒั นาการของรัฐทเ่ี ข้ามาควบคมุ คณะสงฆน์ นั้ มีมาอย่างต่อเนื่อง
จนกระทั่งถึงรัฐในสมัยป๎จจุบัน โดยในแต่ละยุคสมัยนั้นก็ปรากฏหลักฐานในด้าน ผลกระทบ วิธีการ
ของการควบคมุ เสน้ แบง่ ระหว่างอานาจรัฐกับคณะสงฆ์ ซึ่งก็มีความแตกต่างกันไปตามเง่ือนไขของแต่
ละยคุ ในที่นีจ้ ึงได้นาทรรศนะจากนกั วชิ าการหลายทา่ นท่ีได้ให้ทรรศนะต่อเรื่องน้ีไว้ โดยจะขอเริ่มจาก
สุลักษณ์ ศิวลักษณ์ ซึ่งได้ให้ทรรศนะไว้ในหนังสือ เรื่อง ไตรทัศน์วิจารณ์ ซ่ึงรวบรวบและเขียนโดย
สรุ พศ ทวีศักด์ิ โดยมีทรรศนะทกี่ ลา่ วถงึ พัฒนาการของรฐั ในการควบคุมคณะสงฆ์ไว้ว่า “ความสัมพันธ์
ระหวา่ งคณะสงฆ์กับรัฐก่อนทีจ่ ะมาถึงจุดท่ีคณะสงฆต์ ้องข้ึนต่อรัฐอย่างสมบูรณ์แบบในสมัยรัชกาลที่ 5

71

ย่อมมีพัฒนาการต่อเนื่องกนั มาโดยลาดับจากสมัยอยุธยา ธนบุรี จนถึงรัตนโกสินทร์ ซ่ึงเป็นพัฒนาการ
ทมี่ ีแนวโน้มเปน็ ไปในทางทีค่ ณะสงฆ์ถูกควบคุมโดยรัฐมากข้ึนเรื่อยๆ” (สุรพศ ทวีศักด์ิ, 2557, น. 44-
45) ทรรศนะดังกล่าวนี้เองก็สอดรับพระไพศาล วิสาโล ท่ีได้อธิบายถึงพัฒนาการของรัฐที่เข้ามา
ควบคมุ คณะสงฆ์ ไวว้ า่

มองในแง่พัฒนาการแล้ว เสน้ ทางของคณะสงฆเ์ ป็นเสน้ ทางทถี่ ลาสู่อิทธิพลของอานาจ
รฐั มากข้ึนโดยลาดบั ในอดีตวัฒนธรรมประเพณที างศาสนาและการเมืองไม่เปิดโอกาส
ให้ผปู้ กครองทาอะไรพระได้งา่ ยๆ เมอ่ื พระนารายณ์ทรงประสงค์จะมีพระบรมราช
โองการใหส้ ึกพระทนี่ นิ ทาพระเจ้าแผน่ ดนิ พระองค์ก็ยังไม่ม่นั ใจว่าจะทาได้จึงต้องเผดยี ง
ถามความเห็นของพระสงฆร์ ูปหนึ่งกอ่ น มาถงึ สมัยพระเจ้าบรมโกศ พระองคก์ ็ไมก่ ล้าที่
จะเอาผิดกับพระสงฆ์ทีป่ กปอู งชว่ ยเหลอื คนทาผดิ กฎหมายให้เอาญาตโิ ยมของพระรูป
น้นั มาลงโทษแทน ใชแ้ ต่เท่านนั้ แม้กระท่ังเขตวดั ก็แทบจะอยู่นอกเหนอื อานาจของ
อาณาจักรจะล่วงลา้ ไปถึง (พระไพศาล วิสาโล, 2546, น. 257)

ในสว่ นนม้ี ีหลักฐานยนื ยนั จากสายชล สตั ยานุรกั ษ์ ท่ไี ด้รวบรวมไว้ใน
หนังสือ พทุ ธศาสนากับแนวคิดทางการเมืองในรชั สมยั พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก โดยมี
ข้อความกลา่ วถึงวา่

ในสมยั พระเพทราชา หากว่ามีคดคี วามเกดิ ข้นึ ในบรเิ วณพื้นท่ี 4 วารอบวดั ให้ถือเป็น
อานาจของวดั ทจี่ ะดาเนินการเอง ทรงห้ามมิให้เจ้าเมือง ปลัดเมอื ง และกรมการเมืองไป
ย่งุ เกยี่ วด้วย ในทานองเดยี วกนั ผูท้ ่ีทาผดิ กฎหมายบา้ นเมอื งขั้นอุกฤษฎ์เชน่ เป็นกบฏ ก็
สามารถพน้ พระราชอาชญาไดห้ ากสามารถหลบมาพึ่งวดั นา่ สงั เกตวา่ ฝุายบา้ นเมือง
(โดยกรมธรรมการ) จะมหี นา้ ทสี่ อบสวนดาเนินการกับพระทท่ี าผดิ พระวินัยแตไ่ ม่
สามารถลงโทษพระทที่ าผิดในทางโลกหรอื ละเมิดกฎหมายบ้านเมืองได้อยา่ งเตม็ ที่
(สายชล สตั ยานรุ กั ษ์, 2546, น. 49)

นอกจากน้ยี งั พบข้อสังเกตจากนิธิ เอยี วศรีวงศ์อกี ว่า “ตลอดสมัยกรงุ ศรี
อยุธยาไม่เคยมีพระราชบัญญัติชนิดท่ีเรียกว่ากฎพระสงฆ์ได้เลย ทั้งน้ีอย่างน้อยในทางทฤษฎีก็ถือว่า
พระสงฆ์มิได้อยู่ภายใต้การปกครองโดยตรงของพระมหากษัตริย์” (นิธิ เอียวศรีวงศ์, 2529,น. 120)
นอกจากนนี้ ธิ ิ เอียวศรวี งศ์ ยังไดก้ ลา่ วถึงการปกครองคณะสงฆ์ในสมัยธนบรุ ี อกี ว่า

เมื่อถึงรัชสมยั พระเจ้าธนบรุ ี พระมหากษัตรยิ ์ก็มอี านาจเหนอื คณะสงฆ์อยา่ งชดั เจนดัง
เห็นได้จากการทท่ี รงเป็นแมก่ องในการชาระพระสงฆ์ในหวั เมืองดว้ ยพระองคเ์ อง โดย
ทรงอ้างเอาบารมขี องพระองคเ์ องเป็นเบ้ืองตน้ กอ่ นท่ีจะอ้างอิงอานุภาพของเทวดา

72

(นิธิ เอียวศรวี งศ์, 2529, น. 119)
พระไพศาล วิสาโล ยงั ได้อธบิ าย การทค่ี ณะสงฆ์ถูกควบคมุ โดยรัฐซึ่ง

ปรากฏในหนังสือ พุทธศาสนาไทยในอนาคต : แนวโนม้ และทางออกจากวิกฤต ไวอ้ ีกวา่
อานาจของพระเจ้าแผ่นดินตอ่ คณะสงฆด์ ังกล่าวสบื มาถึงยุครตั นโกสนิ ทร์ ในรชั กาล
สมเด็จพระพทุ ธยอดฟาู จฬุ าโลกได้ทรงตราบทลงโทษพระสงฆ์ทีร่ เู้ หน็ ว่ามีบุคคลท่ี
คดิ รา้ ยตอ่ แผน่ ดิน ในรชั กาลน้ีเองอาณาจกั รกเ็ ข้ามากากบั ดูแลการปฏบิ ตั ติ ัวของ
พระสงฆม์ ากข้นึ ดงั ไดต้ รา กฎพระสงฆ์ ออกมา 10 ฉบับอย่างไมเ่ คยมีในรชั กาลกอ่ นๆ
มบี ทลงโทษกากบั ด้วยนอกเหนือจากการปรับอาบัตติ ามพระวนิ ัยแล้ว บทบาทของ
พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟูาจุฬาโลกในเรอื่ งการคณะสงฆน์ ี้ไมต่ า่ งจากผนู้ าสงู สดุ
ของคณะสงฆเ์ ลยกว็ า่ ได้เพราะทรงกวดขนั กบั พระราชาคณะท้ังหลายให้ตรวจตราเอาใจ
ใสไ่ มใ่ หอ้ ลชั ชหี าไมแ่ ล้วจะทรงเอาโทษพระราชาคณะเหล่านัน้ มีบางคร้ังทรงตาหนิ
พระราชาคณะอย่างแรงวา่ มไิ ดม้ ีความกตญั ํูตอ่ พระศาสนาเพราะปล่อยให้ โจรปลน้
พระศาสนาชุกชุม
แมว้ า่ พระมหากษัตริย์จะมอี านาจเหนือคณะสงฆ์ แต่จวบจนถงึ รัชกาลที่ 3 คณะสงฆ์
ก็ยงั ไมข่ าดสังฆราช (แม้วา่ ในทางปฏบิ ัติจะไมไ่ ด้ทรงมบี ทบาทในการบรหิ ารจดั การคณะ
สงฆม์ าก) แตเ่ ม่ือถึงรัชกาลท่ี 4 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอย่หู ัวทรงเปน็ สงั ฆราช
เองโดยพฤตินัย เน่อื งจากมไิ ด้ทรงแต่งต้งั ผู้ใดขน้ึ เปน็ สมเดจ็ พระสังฆราชสบื ต่อจาก
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส ในทานองเดียวกนั ปลายสมัย
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจา้ อยหู่ ัว พระองค์ก็ทรงปฏบิ ัตหิ น้าทีส่ งั ฆราชนานถึง
11 ปี (พระไพศาล วสิ าโล, 2546, น. 259-260)
นอกจากนยี้ ังพบข้อวิจารณ์ ในหนงั สือเรื่อง วิกฤติศาสนา ยคุ ธนาธปิ ไตย

คือ ข้อวิจารณ์ของทวีวัฒน์ ปุณฑริกวิวัฒน์ ซ่ึงสอดคล้องกับทรรศนะของพระไพศาล วิสาโล โดย
ทววี ฒั น์ ไดใ้ ห้ข้อวิจารณไ์ ว้ว่า

ประวัตศิ าสตร์พุทธศาสนาของไทยในสมยั รัตนโกสินทร์ (พ.ศ. 2325 จนถึงปจ๎ จุบนั ) เปน็
ประวตั ศิ าสตร์ทีร่ ฐั ของไทยได้เขา้ ควบคุมคณะสงฆอ์ ยา่ งใกลช้ ิด รฐั ได้เปน็ ผู้กาหนด
โครงสร้างขององคก์ รการปกครองคณะสงฆ์ รวมท้ังกฎหมายและขนั้ ตอนการบริหารที่
เกยี่ วข้อง ในพระราชบญั ญตั ิการปกครองคณะสงฆ์ไทย ซงึ่ มีรวมทง้ั สิ้น 3 ฉบับ คอื ฉบับ
ปี พ.ศ. 2445 ฉบับปี พ.ศ. 2484 และฉบบั ปี พ.ศ. 2505 (สถาบันวิถที รรศน์ มูลนิธิวิถี
ทรรศน,์ 2545, น. 144)

73

การควบคุมของรัฐที่มีต่อคณะสงฆ์นั้นมีหลายวิธี และไดส้ ่งผลกระทบใน
ลักษณะต่างๆ ดังที่ได้กล่าวมาข้างต้น ในที่น้ีจะขอกล่าวถึงวิธีการควบคุมสงฆ์ท่ีสามารถสังเกตได้
ชัดเจนในป๎จจุบัน คือ การควบคุมคณะสงฆ์ผ่านการใช้กฎหมายได้แก่พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ ซึ่ง
มกั จะไดร้ ับการแกไ้ ขเปลย่ี นแปลงให้สอดรบั กับการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองโดยตลอดมา ข้อพิสูจน์
นี้สามารถสังเกตไดจ้ ากในทุกครัง้ ๆ ของการเปลีย่ นแปลงทางการเมืองจะนามาซ่ึงการเปล่ียนแปลงของ
การปกครองคณะสงฆ์ในแทบทุกครั้งด้วยเช่นกัน ในประวัติศาสตร์การปกครองคณะสงฆ์ กรณีการ
เกิดขึ้นของพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2484 หลังจากเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ในปี
พ.ศ. 2475 ที่นาโดยคณะราษฎร หรือ แม้กระทั่งการเปล่ียนแปลงทางการเมืองซึ่งนาโดยจอม
พลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ที่ใช้วิธีการปกครองแบบเผด็จการทางทหารจนต่อมามีความพยายามของจอม
พลสฤษด์ิ ธนะรัชต์ที่จะเปล่ียนแปลงทางการปกครองคณะสงฆ์จนบรรลุผลสาเร็จ เป็นเหตุให้เกิด
พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 ในเวลาต่อมา จากประวัติศาสตร์ของการเปลี่ยนแปลงทาง
การเมืองจะเป็นผลให้นามาสู่การเปล่ียนแปลงทางการปกครองคณะสงฆ์ในแต่ละคร้ัง แม้จะพบว่ามี
เง่ือนไขที่ต่างกัน แต่ก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าคณะสงฆ์น้ันถูกควบคุมโดยรัฐ ซึ่งตรงกับทรรศนะของ
ดนัย ปรีชาเพม่ิ ประสิทธ์ิ ที่ได้ให้ทรรศนะต่อเรื่องน้ีไว้ในรายงานวิจัยเร่ือง การวิเคราะห์ข้อเด่นข้อด้อย
ขององค์การและกระบวนการบริหารจัดการองค์การพระพุทธศาสนาของประเทศไทยในชิง
ประสิทธภิ าพดา้ นคณุ คา่ ต่อพระพทุ ธศาสนา ไว้วา่

ไมว่ า่ ประเทศไทยจะเปล่ียนแปลงการปกครองเปน็ ระบอบใดก็ตาม องคก์ ารคณะสงฆก์ ับ
รฐั ก็ยังมีความใกลช้ ิดสนทิ สนมกันมาตลอดดว้ ยความสมั พันธ์แบบพ่งึ พาอาศยั กนั อยา่ ง
แนบชิดทาใหท้ ้งั รฐั และองคก์ าร พระพุทธศาสนาตา่ งเกอ้ื กลู ประโยชน์ซง่ึ กนั และกันและ
ทาให้ องค์การพระพุทธศาสนามีความมน่ั คง และได้รบั การสนับสนุนจากรัฐเปน็ อยา่ งดี
ตราบเทา่ ทีย่ ังสามารถตอบสนองต่อนโยบายของรัฐได้ โดยเฉพาะอยา่ งยิ่ง หลังจากทีร่ ัฐ
สามารถควบคมุ การบรหิ ารจดั การขององค์การคณะสงฆ์ผ่านพระราชบัญญัตคิ ณะสงฆ์
พ.ศ. 2505 (ดนยั ปรชี าเพมิ่ ประสิทธ์,ิ 2558, น. 96)

เพราะฉะนน้ั รฐั ในอดีตจนถงึ ป๎จจบุ ันมีความพยายามในการควบคมุ คณะ
สงฆ์โดยตลอดมา ดังทรรศนะของ สมบูรณ์ สุขสาราญ ได้กล่าวไว้ว่า “จากอดีตจนถึงป๎จจุบัน
สถาบันสงฆ์เป็นเพียงส่วนขยายของโครงสร้างทางการเมืองและการบริหารของอาณาจักร และอยู่
ภายใต้การควบคุมของอานาจทางการเมืองอย่างใกล้ชิด” (สมบูรณ์ สุขสาราญ, 2527, น. 41) และ
ข้อสังเกตของ นิลล์ มุลเดอร์ ท่ีได้ต้ังข้อสังเกตไว้ซ่ึงปรากฏในหนังสือ เร่ือง พุทธทาสภิกขุ
พระพุทธศาสนานิกายเถรวาท และการปฏิรูปเชิงนวสมัยนิยมในประเทศไทย ซ่ึงเขียนโดย ปิเตอร์ เอ

74

แจก็ สนั โดยมขี อ้ สงั เกตว่า “ตลอดเวลาในประวัตศิ าสตร์ของไทย ผู้ปกครองประเทศได้ทราบดีถึงการ
ทาหน้าท่ีสาคัญของสถาบันสงฆ์ในการประสานสามัคคีระหว่างคนในชาติ จึงได้พยายามอยู่เรื่อยมาที่
จะควบคุมพระสงฆ์และวัตรปฏิบัติของท่านเพ่ือทาให้คณะสงฆ์อยู่ในความควบคุมดูแลของรัฐ ”
(ปิเตอร์ เอ แจ็กสัน, 2556, น. 42)

ฉะน้นั หากพิจารณาจากทรรศนะของนักวิชาการทกี่ ล่าวมาแล้วเราอาจ
จะพอทราบถึง พัฒนาการของการท่ีคณะสงฆ์ถูกควบคุมโดยรัฐมาจนถึงป๎จจุบันว่ามีเหตุผลในการที่
จะต้องควบคุมคณะสงฆ์เป็นอย่างไร และส่ิงสาคัญนอกเหนือไปจากความพยายามของรัฐท่ีต้องการ
ควบคุมคณะสงฆ์ดังที่นักวิชาการหลายท่านได้แสดงทรรศนะไว้ ส่ิงสาคัญคือทัศนคติของพระสงฆ์
โดยทั่วไปเข้าใจว่าโดยจานวนมากและพระสงฆ์ท่ีมีตาแหน่งทางการปกครองคณะสงฆ์ต้ังแต่ผู้ช่วยเจ้า
อาวาสถึงมหาเถรสมาคมมักมีทัศนคติที่สนับสนุนการท่ีจะให้รัฐมาควบคุมคณะสงฆ์ ดังทรรศนะ
ของนภนาท อนุพงศ์พัฒน์ ที่กล่าวไว้ว่า “ป๎ญหาอาจจะไม่ได้อยู่ที่คณะบุคลหรือกฎระเบียบใดๆ เป็น
ด้านหลัก แตท่ ัศนคตใิ นเร่อื งการผูกความมั่นคงของพระพุทธศาสนากับความมั่นคงของรัฐเป็นป๎จจัยที่
สาคญั อีกประการหนงึ่ ” (นภนาท อนพุ งศ์, 2549, น. 80) ทศั นคตดิ ังกล่าวน้ีสนับสนุนให้คณะสงฆ์ต้อง
ถกู ควบคมุ โดยรัฐเพราะสามารถฝากความมนั่ คงของพระพทุ ธศาสนาไวก้ ับความม่นั คงของรฐั ได้

สาหรบั การควบคมุ คณะสงฆ์ในป๎จจุบันน้นั ใช้วิธกี ารโดยควบคมุ ผา่ นพระ-
ราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 ในที่น้ีสามารถพิจารณาจากทรรศนะของพระมหาวินัย ผลเจริญ ใน
วิทยานิพนธ์เร่ือง การศึกษาแนวคิดและขบวนการประชาสังคมของพุทธศาสนาในสังคมไทย (หลัง
เหตุการณ์ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516-ปัจจุบัน) ท่ีได้ให้ทรรศนะถึงพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ไทย พ.ศ.
2505 ไวว้ ่า “พระราชบัญญัตคิ ณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 ในสมัยของจอมพลสฤษด์ิ ธนะรัชต์ ได้ทาให้คณะ
สงฆ์กลับมาอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐอีกคร้ังหนึ่ง มีการรวมอานาจเข้าสู่ส่วนกลางและมีโครงสร้าง
การบงั คบั บญั ชาตามลาดับมากข้ึน” (พระมหาวนิ ัย ผลเจรญิ , 2544, น. 251)

ต่อมาว่าดว้ ยขอ้ สังเกต และข้อถกเถียงต่อการทีร่ ฐั เช้ามาควบคมุ คณะสงฆ์
ในระบอบประชาธิปไตย เม่อื พิจารณาจากเหตุผลสว่ นนก้ี ็แสดงถงึ การทีค่ ณะสงฆน์ น้ั ถูกควบคุมจาก
รัฐจนเปน็ สาเหตุให้โครงสร้างการปกครองคณะสงฆ์ต้องประสบกับป๎ญหาเชิงโครงสร้าง ในเรื่องน้ีเอง
นักวิชาการด้านปรัชญาศาสนาคอื สรุ พศ ทวีศักดิ์ ก็ได้ให้ทรรศนะว่า การท่ีคณะสงฆ์ถูกควบคุมโดยรัฐ
แท้จริงแล้วรัฐมีสิทธิ์หรือไม่ในการควบคุมอานาจความเชื่อทางศาสนารวมถึงการมีบทลงโทษทาง
กฎหมายเปน็ การเฉพาะในนามพทุ ธศาสนา โดยสรุ พศ ทวีศักด์ไิ ดใ้ ห้ทรรศนะไวว้ ่า

รฐั ไมม่ ีสิทธิใ์ ช้อานาจ “ควบคมุ ” การกระทาตามหลักความเชื่อในทางศาสนา เช่น
ออกกฎหมายเอาผดิ พระประพฤตผิ ิดธรรมวินยั หรือสอนผดิ จากพระไตรปฎิ ก การบวช

75

ภิกษุณีเปน็ ตน้ (ป๎จจุบนั อานาจห้ามพระไทยทาการบวชภกิ ษณุ เี ป็นอานาจของคณะสงฆ์
ซึง่ ถอื เป็น “อานาจรฐั ” นนั่ เอง เพราะเป็นอานาจตามกฎหมายคณะสงฆ์ท่รี ัฐบญั ญัติขนึ้ )
เพราะเรอ่ื งเชน่ น้เี ปน็ “ความเช่ือเฉพาะ” ทางศาสนาทต่ี ้องตดั สินกันตามหลักธรรมวนิ ัย
เทา่ นั้น ยกเว้นการละเมิดธรรมวินัยนน้ั จะเปน็ การกระทาทล่ี ะเมดิ กฎหมายดว้ ย เชน่
พระฆา่ คน ขม่ ขืน โกงเงนิ ฯลฯ รฐั ต้องใชก้ ฎหมายจดั การในมาตรฐานเดยี วกบั
ประชาชนท่ัวไป (สรุ พศ ทวศี กั ดิ์, สัมภาษณ,์ 29 กันยายน 2558)

แม้โดยหลักการตามระบอบประชาธปิ ไตยแลว้ รัฐไมม่ ีสิทธคิ์ วบคุมความเช่อื
ทางศาสนาโดยการออกกฎหมายเอาผดิ พระสงฆ์ทีป่ ระพฤติผิดธรรมวินัยหรือสอนผิดจากพระไตรปิฎก
ดังที่สุรพศ ทวีศักดิ์ ได้กล่าวถึง แต่สาหรับรัฐไทยในป๎จจุบันก็ยังมีความพยายามท่ีจะไม่ยึดหลักการนี้
ท้งั นี้อาจเป็นเพราะว่ายงั มีทรรศนะท่ียังคงอยู่ในระดบั ผู้นาประเทศและชาวพุทธจานวนมากมีแนวคิดที่
โต้แย้งหลกั การขา้ งตน้ อย่โู ดยแนวคดิ และทรรศนะดังกล่าวนั้นสามารถพิจารณาจากทวีวัฒน์ ปุณฑริก
วิวัฒน์ ซึ่งมีเหตุผลที่แตกตา่ งไปจากสุรพศ ทวีศักดิ์ โดยไดแ้ สดงทรรศนะวา่

รฐั น้ันมีหน้าท่ใี นการปกปอู งภัยอนั เกิดขนึ้ แกพ่ ระพุทธศาสนา ภยั ของพระพทุ ธศาสนา
มาทัง้ จากภายในและภายนอก ภยั ภายในกค็ ือเม่อื มผี ปู้ ลอมปนมาบวชเป็นพระภิกษุเพื่อ
แสวงหาลาภสกั การะประพฤติตนเปน็ ท่ีเส่อื มเสีย รฐั มีหนา้ ทีโ่ ดยตรงในการขจดั ภยั
เหล่านนั้ โดยการเขา้ ไปตรวจสอบ วนิ จิ ฉยั และจับสกึ เมอื่ ผิดจริง ดงั เช่นที่พระเจา้ อโศก
มหาราชแห่งอินเดีย และพระมหากษัตรยิ ์แหง่ สยามในคร้ังอดีตได้ทรงปฏบิ ตั เิ ปน็
ตวั อย่างไวแ้ ลว้ ส่วนภยั ภายนอกกค็ อื การคมุ คามจากศาสนาหรอื ลทั ธคิ วามเชอื่ อน่ื ใน
อนั ทีจ่ ะบอ่ นทาลายพระพทุ ธศาสนาทง้ั ทางตรงและทางอ้อม รัฐจะตอ้ งเข้มแขง็ เดด็ ขาด
ในการขจดั ภัยจากศาสนาหรือลทั ธิความเช่อื อนื่ เหล่านัน้ และกาหลาบให้เข็ดหลาบมิให้
มากลา้ กรายพระพทุ ธศาสนาได้อีก (รายงานของ คณะกรรมการปฏริ ูปแนวทางและ
มาตรการปกปอู งพิทกั ษ์กจิ การพระพุทธศาสนาสภาปฏริ ปู แหง่ ชาต,ิ 2558, น. 53)

ในประเดน็ เรือ่ งการควบคมุ คณะสงฆ์โดยรัฐ ซ่งึ ชาวพทุ ธในไทยส่วนใหญ่
ไม่ค่อยจะต้ังข้อสังเกตเช่นนี้สักเท่าไหร่นัก แต่สุรพศ ทวีศักดิ์ยังได้ต้ังข้อสังเกตไว้อีก ซ่ึงในข้อสังเกตน้ี
อาจเป็นข้อโต้แย้งต่อ ทวีวัฒน์ ปุณฑริกวิวัฒน์ จากทรรศนะข้างต้นได้เป็นอย่างดี โดยสุรพศได้
กล่าวถงึ ไว้ในหนังสอื ปาจารยสาร จาก 100 ปี ชาตกาล จากัด พลางกูล สู่ 70 ปี วันสันติภาพไทย ไว้
ว่า “ไม่มีข้อความใดในพระไตรปิฎกเลยท่ีระบุให้ใช้อานาจรัฐมาปกปูองความถูกต้องของพระธรรม
วินัย” (สุรพศ ทวีศักด์ิ, 2558, น. 135) ความถูกต้องตามพระธรรมวินัยในที่น้ีนอกจากหมายถึงการมี
กฎหมายที่มีลักษณะการบังคับใช้ลงโทษหากมีการพบว่าสอนผิดไปจาก พระธรรมวินัยหรือการออก

76

กฎหมายห้ามพระภิกษุบวชให้แก่ภิกษุณี แต่ในที่นี้ก็สามารถหมายถึงการท่ีรัฐออกกฎหมายควบคุม
พระสงฆ์โดยผ่านพระราชบัญญัติการปกครองคณะสงฆ์ได้ด้วยเช่นเดียวกัน เป็นท่ีน่าต้ังข้อสังเกตว่า
เพราะเหตุใดรัฐไทยในประวัติศาสตร์ไม่ว่าจะเป็นรัฐในสมัยสมบูรณา ญาสิทธิราชย์จนถึงรัฐไทยใน
ป๎จจุบันท่ีมีการปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยจึงต้องการควบคุมพระสงฆ์โดยตลอดมาจนเสมือน
หนึ่งเป็นวัฒนธรรมทางการเมืองไทยเป็นการเฉพาะที่จะต้องมีกฎหมายควบคุมพระสงฆ์ไว้ ในที่นี้
สามารถพิจารณาได้จากทรรศนะของ คลิฟฟอร์ด กีต (Clifford Geertz) ซึ่งเป็นอาจารย์ท่ี
มหาวทิ ยาลัยชคิ าโก โดยสรุ พศ ทวีศกั ดไิ์ ด้ หยบิ ยกทรรศะของ คลฟิ ฟอร์ด กีต (Clifford Geertz) มา
กล่าวถงึ ไว้วา่

รัฐสมัยเก่าในอุษาคเนย์มลี กั ษณะเปน็ “รฐั นาฏกรรม” (theatrical-state) คือรฐั
เปรยี บเสมอื นโรงละครท่แี สดงอานาจบารมอี นั เปยี่ มล้นของชนชน้ั ปกครอง เพ่ือให้
ผ้ปู กครองศรัทธา ภักดี เชือ่ ฟ๎ง และเช่อื มัน่ ว่าวิถกี ารดาเนินชวี ิตของพวกตนจะสามารถ
มคี วามสขุ ตามสถานะสงู ต่าทางสังคมได้ ดว้ ยบารมอี ันสูงสง่ ศักดิ์สทิ ธ์ิน้ันของชนช้ัน
ปกครองจะใหก้ ารคมุ้ ครองปูองกนั

ในรัฐเชน่ น้นั ศาสนาจาเป็นต้องถูกใช้เพื่อความเชอ่ื ถือในอานาจบารมีของชนชนั้
ปกครอง และคณะสงฆจ์ าเปน็ ตอ้ งถกู จัดองค์กรและถกู ควบคุมโดยรัฐ ไมเ่ ช่นนนั้ การใช้
คาสอนและพิธีกรรมทางศาสนาสนบั สนนุ อานาจรัฐ หรอื ปลกู ฝง๎ ศีลธรรมแกผ่ ู้ใต้
ปกครองตามทีผ่ ปู้ กครองต้องการก็เปน็ ไปไมไ่ ด้ (สุรพศ ทวศี กั ด์ิ, 2558, น. 137-138)

ในขณะทป่ี รีชา ชา้ งขวญั ยนื ใหท้ รรศนะตอ่ ที่มาของการควบคุมของคณะ
สงฆ์โดยรฐั ไวว้ ่า

ความสัมพันธร์ ะหว่างอาณาจักรกบั ศาสนจกั รอยา่ งทเี่ ปน็ อยู่น้เี ป็นเร่ืองพฒั นาการใน
อดตี ซงึ่ มลี ักษณะเป็นความเกือ้ กูลกนั ระหวา่ งสถาบันศาสนากับสถาบันการเมือง ถา้
การเมืองไมส่ นบั สนุน ศาสนาก็ไม่เจรญิ และศาสนาก็สนับสนุนและมสี ่วนควบคมุ
การเมอื งด้วยความสัมพนั ธ์ดงั กล่าวนนี้ า่ จะพฒั นามาจากวัฒนธรรมอินเดยี คอื กษตั รยิ ์
อปุ ถมั ภศ์ าสนาตา่ งๆ แตก่ ส็ นบั สนุนศาสนาพราหมณเ์ ป็นพิเศษ ศาสนาพราหมณจ์ งึ มี
อิทธพิ ลสูง พราหมณ์กส็ นบั สนุนกษัตรยิ ์ดว้ ย การทาให้ประชาชนเห็นวา่ กษตั ริย์มี
ความชอบธรรมในการปกครองในเวลาเดียวกนั กค็ วบคมุ การปกครองด้วยธรรมะคือ
กษัตริย์จะมีความชอบธรรมไดต้ ้องเปน็ ผปู้ ฏิบัติธรรมะของกษัตรยิ แ์ ละของคนท่ัวไป
(ศนู ย์มานุษยวิทยาสริ นิ ธร, 2542, น. 284)

ผลกระทบจากการท่รี ฐั มาควบคมุ คณะสงฆน์ ้นั ได้สง่ ผลให้พระพุทธศาสนา

77

ในประเทศไทยที่นาโดยคณะสงฆ์ไทยอันมีมหาเถรสมาคมในป๎จจุบันที่เป็นกลไกหลักสาคัญในการ
ขับเคลื่อนงานพระศาสนาก็ถูกสันนิษฐานว่า ในท่ีสุดแล้วกลไกนี้ก็อานวยงานให้รัฐมากกว่าจะอานวย
งานให้แก่พระศาสนาตามเจตนารมณ์ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เหตุท่ีถูกตั้งข้อสันนิษฐานเช่นนี้ก็
เพราะว่าโครงสร้างที่เป็นอยู่ของคณะสงฆ์ถูกควบคุมโดยรัฐเพราะออกแบบโดยรัฐจึงตอบสนองแก่รัฐ
และยากย่ิงที่จะเห็นความหวังว่าคณะสงฆ์จะใช้ความสาคัญแก่พระธรรมวินัยในการตัดสินใจมาก่อน
กฎหมายดงั ทรรศนะของ วุฒินันท์ กันทะเตียน ได้กล่าวไว้ว่า “พระราชบัญญัติการปกครองคณะสงฆ์
น้นั เป็นกฎหมาย จึงใช้ฐานคิดของกฎหมายซ่ึงต่างจากไปการใช้ฐานคิดของพระธรรมวินัย” (วุฒินันท์
กันทะเตียน, สัมภาษณ์, 23 ธันวาคม 2558) เมื่อพระราชบัญญัติคณะสงฆ์มีส่วนต่อการเกิดขึ้นของ
โครงสร้างที่ออกแบบโดยรัฐซึ่งก็เป็นการออกแบบเพื่อควบคุมคณะสงฆ์อีกทีหนึ่งทาให้โครงสร้างคณะ
สงฆ์ตอบสนองประโยชน์ได้เพียงการข้ึนต่อการควบคุมของรัฐและตอบสนองต่อความชอบธรรมแก่
นโยบายของรัฐมากกว่าท่ีจะตอบสนองต่อเจตนารมณ์ของหลักการทางพระพุทธศาสนา ดังทรรศนะ
ของปิเตอร์ เอ.แจ็กสันท่ีกล่าวว่า “พระพุทธศาสนาในฐานะท่ีเป็นสถาบันอย่างหน่ึงของสังคมไทยนั้น
ได้ถูกรัฐบาลชุดแล้วชุดเล่าหล่อหลอมให้เป็นองค์กรทางศาสนาที่สร้างความชอบธรรมให้แก่นโยบาย
ของรัฐบาล” (ปิเตอร์ เอ แจ็กสัน, 2556, น. 85) ซึ่งทรรศนะดังกล่าวนี้ก็สอดคล้องกับทรรศนะของ
จักรภพ เพญ็ แข ท่วี ่า “โดยพทุ ธเจตนาน้นั คณะสงฆ์ไดร้ ับการจัดตั้งขึ้นมาให้มีชีวิตซึ่งผิดแผกแตกต่าง
ไปจากกลไกอื่นของสังคม แต่ว่าโดยประวัติศาสตร์ไม่ได้เป็นอย่างน้ัน มันกร่อนไปเร่ือย จนบางช่วงถึง
ขนาดหนักเลย ไปลอกเลียนกลไกของฆราวาสหมดเลยด้วยซ้าไป” (ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร, 2542,
น. 238) ผลที่ตามมาก็คือโครงสร้างของคณะสงฆ์ดังกล่าว “ขาดความยืนหยุ่นที่จะปรับตัวเข้ากับ
ความหลากหลายของสังคมและความซับซ้อนของสภาพป๎ญหาภายในคณะสงฆ์ จนทาให้โครงสร้าง
คณะสงฆ์ท่ีเป็นอยู่ขาดประสิทธิภาพในการแก้ไขป๎ญหาการปกครองคณะสงฆ์” (พิพัฒน์ พสุธารชาติ,
2553, น. 287) ทรรศนะเหล่าน้ีก็สอดรับกับทรรศนะของสุรพล สุยะพรหม ซึ่งเป็นผู้เคยบวชเรียนมา
แ ล ะ ค ลุ ก ค ลี อ ยู่ กั บ ว ง ก า ร ค ณ ะ ส ง ฆ์ ม า โ ด ย ต ล อ ด จ น ถึ ง ป๎ จ จุ บั น แ ล ะ ไ ด้ เ ป็ น อ า จ า ร ย์ ส อ น อ ยู่ ที่
มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยซ่ึงเป็นมหาวิทยาลัยของสงฆ์ และล่าสุด (พ.ศ. 2558) ได้
เป็นหน่ึงในคณะกรรมการปฏิรูปแนวทางและมาตรการปกปูองพิทักษ์กิจการพระพุทธศาสนา ซึ่งอยู่
ภายใต้การบริหารประเทศของนายกรัฐมนตรี ประยุทธ์ จันทร์โอชา สุรพล สุยะพรหมได้วิจารณ์การ
ปกครองบริหารคณะสงฆ์ในป๎จจุบันไว้ในเอกสาร ของ คณะกรรมการปฏิรูปแนวทางและมาตรการ
ปกป้องพิทักษ์กิจการพระพุทธศาสนา ว่า “ปฏิเสธไม่ได้ว่า มหาเถรสมาคมเป็นกลไกของรัฐในการ
ควบคุมคณะสงฆ์ ทั้งในการควบคุมวัตรปฏิบัติและเน้ือหาหรือคาสอนต่อท้ังพระสงฆ์และประชาชน
อย่างไรก็ตาม การควบคุมท่ีเกิดข้ึนนับวันดูจะไร้ประสิทธิภาพมากข้ึนทุกที” (คณะกรรมการปฏิรูป

78

แนวทางและมาตรการปกปอู งพทิ ักษ์กจิ การพระพทุ ธศาสนาสภาปฏิรูปแห่งชาติ, 2558, น. 52) ในที่น้ี
จึงขอกล่าวถึงสาเหตุป๎ญหาการขาดประสิทธิภาพในการปกครองต่อจากน้ีเนื่องจากเป็นสาเหตุที่
เก่ียวขอ้ งเชอื่ มโยงกัน ในหวั ข้อถัดไป

3.1.2 สาเหตุปัญหาการขาดประสิทธิภาพในการปกครอง
ป๎ญหาการขาดประสิทธิภาพในการปกครองนั้นมีหลายเรื่องตามท่กี ล่าวถงึ ในบท

ที่ 2 ซึ่งเป็นการกล่าวถึงสภาพป๎ญหากว้างๆ แต่ในสภาพป๎ญหาที่กล่าวถึงแม้จะกล่าวถึงอย่างกว้างๆ
โดยไมไ่ ดร้ ะบุปญ๎ หาใดป๎ญหาหนึ่งทีเ่ ป็นการเฉพาะ แต่ก็เป็นไปในทิศทางเดียวกันว่าในระดับการแก้ไข
ป๎ญหา พระสงฆ์ท่ีมีหน้าท่ีในด้านการปกครอง ในการแก้ไขป๎ญหาในแต่ละคร้ังโดยส่วนใหญ่มักไม่
ประสบความสาเร็จหรือมีความล่าช้าในการแก้ไขป๎ญหา แต่บางกรณีของการแก้ไขป๎ญหาก็พบว่ามี
ความเด่นชดั ในการแกไ้ ขปญ๎ หาท่ดี จู ะรวดเร็ว ฉับไว จนเข้าใจได้ว่า มีประสิทธิภาพในการแก้ไขป๎ญหา
เช่น หากพิจารณาป๎ญหาใน กรณีของเจ้าคุณพระพรหมสุธี (เสนาะ ปํฺญาวชิโร) ท่ีถูกท้ังการสั่งปลด
และพักงานในตาแหน่งต่างๆ จากเจ้าคณะผู้ปกครองอย่างรวดเร็ว ตามข่าวของไทยรัฐออนไลน์ ใน
วนั ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2558 ทวี่ ่า

มตมิ หาเถรฯ ใหป้ ลด “เจ้าคณุ เสนาะ” จากตาแหน่งประธานสานกั งานกากับดูแลพระ
ธรรมทตู ไปต่างประเทศเพิม่ อกี 1 ตาแหนง่ ท่กี ่อนหน้านี้ถูกปลดออกจากกรรมการมหา
เถรสมาคมและถกู พกั งานจากตาแหน่งเจา้ อาวาสวัดสระเกศฯ และเจา้ คณะภาค 12
สง่ ผลใหไ้ มเ่ หลือตาแหน่งทางการปกครองสงฆ์แล้ว โฆษก มส.ชี้สาเหตุเพอ่ื ให้เกิดความ
โปรง่ ใสในการตรวจสอบของสตง. (http://www.thairath.co.th/content/476331)

หากเปรยี บเทยี บกรณนี ีก้ บั เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายจะเห็นวา่ กรณเี จ้าอาวาส
วัดพระธรรมกายทีก่ ระทาผดิ ในหลายกรณีกลับไมม่ ีท่าทีและมาตรการใดๆ จากทางเจ้าคณะผู้ปกครอง
สูงสุดคือมหาเถรสมาคม ท่ีจะส่ังลงโทษใดๆ แก่ ทางเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย กรณีนี้พอเป็นตัว
ประกอบในการพิจารณา วา่ แท้ท่ีจริงแล้ว การแก้ไขป๎ญหาภายใต้ระบบเช่นนี้เป็นไปในลักษณะการใช้
อานาจนิยมและมีการเลือกปฏิบัติไปตามผลประโยชน์ที่ตนหรือกลุ่มพึงได้รับ ด้วยเหตุน้ีจึงไม่สามารถ
เรยี กไดว้ ่า การแก้ไขป๎ญหาเชน่ นบี้ ง่ บอกว่ามปี ระสิทธิภาพในการแก้ไขป๎ญหาได้ และส่ิงสาคัญ ในด้าน
ข้อเท็จจริงเร่ืองความล่าช้าหรือการท่ีไม่ค่อยประสบความสาเร็จในการแก้ไขน้ันอาจจะไม่ได้เกิดจาก
ป๎ญหาการขาดประสิทธิภาพแต่เพียงอย่างเดียวแต่อาจเกิดจากป๎ญหาของระบบอุปถัมภ์ ป๎ญหา
ผลประโยชน์ระหว่างผู้ปกครองคณะสงฆ์กับผู้กระทาผิดท่ีเกี่ยวข้อง หรืออาจจะเป็นป๎ญหามาจากการ
ทผ่ี ู้ปกครองคณะสงฆ์มีทา่ ทที ีเ่ มินเฉยต่อปญ๎ หาท่เี กิดขนึ้ ป๎ญหาเหลา่ นี้จึงอาจมีความเก่ียวเนื่องสัมพันธ์
ต่อกันเป็นลูกโซ่ แต่ในที่น้ีต้องการกล่าวถึงสาเหตุป๎ญหาการขาดประสิทธิภาพในการปกครองเป็น

79

ประเด็นหลักประเดน็ สาคัญเท่านนั้ ในที่น้ีจึงก็นาทรรศนะของ ทวีวัฒน์ ปุณฑริกวิวัฒน์ มากล่าวถึง ซ่ึง
อาจชว่ ยใหเ้ ราไดค้ น้ พบสาเหตกุ ารขาดประสิทธิภาพการปกครองได้ เนื่องจากบทบาทและหน้าท่ีของ
ทวีวัฒน์ ปุณฑริกวิวัฒน์ เป็นหน่ึงในคณะกรรมการการปฏิรูปแนวทางและมาตรการปกปูองพิทักษ์
กจิ การพระพทุ ธศาสนา ได้ออกมาวจิ ารณถ์ งึ สภาพป๎ญหาคณะสงฆใ์ นป๎จจุบัน (พ.ศ. 2558) ไวว้ า่

มองในแง่โครงสร้างของคณะสงฆ์ก็วิเคราะห์ ได้ว่า การปกครองแนวด่งิ ตาม
“พระราชบญั ญตั ิการปกครองคณะสงฆ์” นั้นเองเป็นป๎ญหาเชิงโครงสรา้ ง ทกี่ อ่ ให้เกิด
พระนอกรตี อยู่เนอื งๆ เนอ่ื งจากขาดกลไกเชงิ ระบบทีจ่ ะแก้ไขพระนอกรีตเหลา่ นั้นอย่าง
มปี ระสทิ ธภิ าพ เชน่ เม่ือเกิดข่าวอ้ือฉาวเกย่ี วกับพระสงฆ์ทต่ี ้องอธกิ รณ์ แมช้ าวบา้ นใน
ชมุ ชนจะรูห้ นังสอื จะประโคมขา่ วอยา่ งไรก็ตาม แต่ถา้ พระสงฆเ์ ป็นผูบ้ งั คับบญั ชาเบื้อง
บน เชน่ เจา้ อาวาส เจ้าคณะตาบล เจา้ คณะอาเภอ เจา้ คณะภาค หรือแมแ้ ต่มหาเถร
สมาคม ไม่สั่งการลงไป พระสงฆท์ ีต่ ้องอธิกรณน์ ัน้ ก็ยงั คงอยู่ได้ การให้คณุ ใหโ้ ทษแก่
พระสงฆน์ ัน้ ไม่ได้อยู่ที่ “พุทธบริษัทสี่” ดังเช่นในอดีต แต่อยู่ที่ “ระบบราชการ” ในคณะ
สงฆ์ทีม่ าพร้อมกบั พ.ร.บ. คณะสงฆ์ (คณะกรรมการปฏิรปู แนวทางและ มาตรการ
ปกปูองพทิ กั ษก์ ิจการพระพุทธศาสนาสภาปฏริ ปู แหง่ ชาต,ิ 2558, น. 52)

จากขอ้ วิจารณ์ของ ทวีวฒั น์ ปุณฑรกิ ววิ ัฒน์ สามารถนาไปสกู่ ารวเิ คราะห์วา่ อะไร
คือสาเหตขุ องการขาดประสิทธภิ าพของผู้ปกครองสงฆ์ในการแก้ไขป๎ญหาการปกครองคณะสงฆ์ ซ่ึงใน
ท่นี ้ีพบว่ามสี าเหตุมาจากการรวมศูนย์อานาจการตัดสินใจ และสาเหตุประการต่อมาพบว่า ผู้ปกครอง
สงฆ์ระดับสูงอยู่ในวัยชราภาพ และมีสาเหตุท่ีเกี่ยวเนื่องกันถัดมาคือ การด้อยความรู้ความสามารถ
ของผ้ปู กครองสงฆ์ ในที่น้ีจะขอกลา่ วไปตามลาดับดงั น้ี

3.1.2.1 การรวมศนู ย์อานาจการตัดสินใจ
เนอ่ื งจากคณะสงฆใ์ นปจ๎ จุบนั เปน็ ระบบราชการทมี่ ีการรวมศนู ย์อานาจ

และโดยโครงสร้างคณะสงฆ์มีลักษณะที่ใหญ่โต เทอะทะ อุยอ้าย มีสายการบังคับบัญชาตามลาดับ
ตาแหนง่ ทางปกครองในแนวด่ิง สายบังคับบัญชาเช่นน้ีเสี่ยงต่อการเกิดระบบอุปถัมภ์ภายในคณะสงฆ์
และเสีย่ งต่อการเกิดการทางานที่ใช้อานาจนิยมมากกว่าท่ีจะเป็นไปโดยเข้าใจและเห็นใจต่อกัน ส่งผล
ให้การทางานภายใต้ระบบและโครงสร้างที่มีลักษณะเช่นนี้เป็นไปอย่างขาดประสิ ทธิภาพในการ
ปกครอง และด้วยเงื่อนไขของบริบทที่ทวีความซับซ้อนด้วยแล้ว โครงสร้างท่ีมีลักษณะนี้ยากท่ีจะ
ยืดหยนุ่ และปรบั ตวั เขา้ กับความซับซอ้ นของสงั คม หากโครงสรา้ งน้ีจะยังประโยชน์ต่อบริบทของสังคม
ที่ซับซ้อนน้ีล้วนต้องอาศัยโครงสร้างท่ีมีการกระจายอานาจเท่าน้ัน จึงจะช่วยให้เกิดประสิทธิภาพใน
การปกครอง

80

ในท่นี ี้จะขอเรมิ่ ตน้ ด้วยการวเิ คราะห์คาวิจารณ์ของพระไพศาล วิสาโล ซ่งึ
ในบางส่วนได้กล่าวไว้ในบทท่ี 2 ในเรื่องของป๎ญหาโครงสร้างการปกครองไว้บ้างแล้วแต่ในที่น้ีจะไม่
หยิบยกมากล่าวซ้าจะเลือกหยิบยกเฉพาะบางประเด็น ท้ังน้ีก็เพ่ือทาให้ทราบถึงสาเหตุของป๎ญหาการ
ขาดประสิทธิภาพในการปกครองคณะสงฆ์ได้ โดยผู้วิจัยได้ทาการสัมภาษณ์พระไพศาล วิสาโล ซ่ึงถือ
ว่าเปน็ ทรรศนะที่สอดคลอ้ งกบั สภาวการณข์ องคณะสงฆใ์ นปจ๎ จุบัน (พ.ศ. 2558-พ.ศ. 2559) โดยท่าน
ไดต้ อบข้อสัมภาษณไ์ วเ้ กย่ี วกบั การท่คี ณะสงฆ์มีการรวมศูนย์อานาจการตัดสินใจไวว้ า่

การปกครองคณะสงฆม์ กี ารรวมศนู ย์อานาจไป รวมศูนย์มาทีต่ ัวบคุ คลด้วยซ้า จะเห็นได้
ว่าตั้งแตเ่ จา้ คณะตาบล จนถึงเจ้าคณะภาค ผู้ปกครองดา้ นบนก็เปน็ เรือ่ งตวั บุคคล ไมม่ ี
การทางานเชิงกรรมการ เชงิ หมคู่ ณะเลย มหาเถรสมาคมก็เปน็ จุดอ่อนอีกประการหนึ่ง
เป็นมหาเถรสมาคมก็ตอนมาประชมุ เม่ือไม่มาประชุมก็เหมือนมหาเถรสมาคมไมม่ ี
ถามว่าโฆษกมหาเถรสมาคมทาหนา้ ทีอ่ ะไร ก็ทาหนา้ ที่เฉพาะตอนประชุม ก็มาบอกวา่
ประชมุ อะไร มันไมเ่ หมือนรัฐมนตรเี พราะแม้ไมม่ ปี ระชุมแล้วรฐั มนตรกี ็ยงั มตี าแหนง่ ที่
ต้องบรหิ าร สรปุ คอื รวมศูนย์มาก รวมศนู ยท์ ตี่ วั บุคคล ซ่ึงทาให้มนั เป็นภาระมาก มนั
โหลดมาก พอเป็นอย่างนกี้ ็ทาใหด้ แู ลไม่ท่ัวถึง มันกเ็ ลยไมม่ ปี ระสทิ ธภิ าพ (พระไพศาล
วิสาโล, สัมภาษณ,์ 6 มกราคม 2559)

จากการใหส้ มั ภาษณ์ของพระไพศาล วิสาโล กส็ อดรับกับข้อห่วงใยของ
ณัฐนันท์ สุดประเสริฐ ซ่ึงเป็นนักวิชาการด้านกฎหมายภายที่มีความสนใจศึกษาพระไตรปิฎกและ
นับเป็นอุบาสิกาท่ีมีความห่วงใยต่อสถานการณ์ความเป็นไปของพระพุทธศาสนามาโดยตลอด โดย
ผู้วจิ ยั เองไดท้ าการสัมภาษณณ์ ฐั นนั ท์ สดุ ประเสริฐ โดยเธอได้แสดงความเป็นห่วงต่อกรณีการรวมศูนย์
อานาจการตัดสินใจ ของคณะสงฆไ์ ว้วา่

องคก์ รสงฆม์ ลี กั ษณะรวมอานาจไวท้ ีส่ ว่ นกลางคอื มหาเถรสมาคม และกรรมการมหาเถร
สมาคม ทา่ นหนงึ่ มีตาแหน่งหน้าท่ีทตี่ ้องกากับดแู ลมากกว่าสองตาแหน่ง และเปน็
ตาแหนง่ สาคญั ทงั้ ส้ิน ทาใหข้ าดดุลยภาพในด้านการบรหิ าร การรวมอานาจทัง้ นติ ิ
บัญญัติ คือ การออกกฎหมายสงฆ์ต่างๆ อานาจการบริหาร และอานาจตุลาการในการ
วินิจฉัยอธิกรณ์ต่างๆ ไว้ท่ีมหาเถรสมาคมเพียงท่ีเดียว ทาให้เกิดป๎ญหา การพิจารณา
อธิกรณ์สงฆ์เป็นไปด้วยความล่าช้า กว่าจะพิจารณาตามลาดับ ผ่านอานาจของเจ้า
อาวาส เจ้าคณะตาบล เจ้าคณะอาเภอ เจ้าคณะจังหวัด เจ้าคณะภาค และเจ้าคณะหน
และถ้าไม่สามารถยุติท่ีเจ้าคณะหนได้ ก็ต้องนาความไปรบกวนให้สมเด็จพระสังฆราช
ตัดสิน เม่ือสมเด็จพระสังฆราชตัดสินอย่างไรก็จะนามาซึ่งความชอบใจของคนบางกลุ่ม

81

และความไม่ชอบใจของคนบางกลุ่ม ส่งผลกระทบต่อศรัทธาของประชาชนชาวพุทธ
และอาจจะนาความเสื่อมเสียมาถึงพระเกียรติของพระองค์ได้อีกด้วย (ณัฐนันท์ สุด
ประเสรฐิ , สมั ภาษณ์, 16 มกราคม 2559)

การรวมศูนย์อานาจในการตดั สินใจเชน่ นีจ้ ึงไมส่ ามารถจะทาให้
ประสิทธิภาพในการแก้ไขป๎ญหาคณะสงฆ์เกิดขึ้นได้ เพราะในการรวมศูนย์นอกจากจะเป็นสาเหตุ
สาคญั ที่ ส่งผลให้ขาดประสทิ ธิภาพในการแก้ไขป๎ญหาการปกครองแล้ว การรวมศูนย์ยังส่งผลให้ค่อยๆ
มีการบั่นทอนประสิทธิภาพการในการทางานและการแก้ไขป๎ญหาคณะสงฆ์เพ่ิมมากข้ึนด้วย ดังที่พระ
ไพศาล วิสาโล ได้วิจารณ์ไว้ในหนังสือ พุทธศาสนาไทยในอนาคต แนวโน้มและทางออกจากวิกฤต ไว้
ว่า

ระบบรวมศูนย์อานาจยงั บัน่ ทอนความบริสุทธ์ิยุติธรรมของผู้ปกครองสงฆเ์ องด้วยใน
ท่สี ุด เพราะในเม่อื อานาจในการให้คณุ ใหโ้ ทษมารวมไวท้ ี่ส่วนกลางอีกทงั้ ยังไม่มี
กระบวนการที่ชว่ ยให้การตดั สินใจวินจิ ฉัยของมหาเถรสมาคมเปน็ ไปอยา่ งโปร่งใสชนิดที่
บุคคลภายนอกสามารถตรวจสอบได้ ดังนน้ั จึงสง่ เสริมให้มีการวง่ิ เตน้ กับผมู้ ีอานาจคอื
กรรมการมหาเถรสมาคม ไม่ว่าโดยอาศยั เครือขา่ ยความสัมพนั ธส์ ่วนตวั (เช่น อยวู่ ัด
เดยี วกัน มีอปุ ช๎ ฌายเ์ ดียวกนั หรอื เปน็ คนจงั หวัดเดียวกัน) หรอื โดยแลกเปลย่ี นกบั
ผลประโยชน์ (พระไพศาล วิสาโล, 2545, น. 171)

พจิ ารณาจากข้อวจิ ารณ์ในส่วนน้ีพบวา่ สาเหตุของการขาดประสทิ ธภิ าพ
ในการแก้ไขป๎ญหาการปกครองคณะสงฆ์น้ันมาจากการรวมศูนย์อานาจการตัดสินไว้ตั้งแต่ส่วนกลาง
ส่วนภูมิภาคและส่วนท่ีเล็กสุดรองลงมาคือเจ้าอาวาสซึ่งก็ทาให้เป็นสาเหตุท่ีสาคัญที่ทาให้เกิดป๎ญหา
การขาดประสิทธิภาพในการปกครอง อีกเหตุผลสาคัญที่พอจะช่วยสนับสนุนจากคาวิจารณ์ของพระ
ไพศาล วิสาโล ซึ่งทาให้ทราบถึงสาเหตุของการขาดประสิทธิภาพในการปกครองคือการต้ังข้อสังเกต
ของ ณดา จันทรส์ ม อาจารยจ์ ากคณะพัฒนาการเศรษฐกิจ สถาบันบัณฑติ พฒั นบริหารศาสตร์ ที่ได้ทา
วิจัยเรอื่ ง การบริหารเงินของวดั ในประเทศไทย โดยได้กล่าวไวว้ า่

อานาจการบริหารงานของคณะสงฆ์นนั้ รวมศูนย์อย่ทู ี่องค์กรส่วนกลางซ่งึ มีคณะทางาน
ฝาุ ยตา่ งๆ พอสมควร ท้งั ทีค่ วรกากับเชงิ นโยบายและงานบรหิ ารทว่ั ไปเท่านั้น แต่การ
ปกครองในระดบั สว่ นภูมภิ าค ซ่งึ เปน็ องคก์ รซง่ึ มพี ้นื ที่ดาเนินงานจริงโดยเฉพาะระดับ
จังหวัดลงมาแล้วกลบั ไมม่ คี ณะทางานขน้ึ มารองรบั ภารกิจของคณะสงฆ์เลย โดยอานาจ
หนา้ ทีจ่ ะอยกู่ ับเจา้ คณะแต่ละระดบั เพียงรปู เดียวเท่านั้น (ณดา จนั ทร์สม, 2555, น. 27)

ในเหตุผลของ ณดา จนั ทร์สมจึงช่วยสนับสนุนเหตุผลปญ๎ หาการขาด

82

ประสิทธภิ าพในการปกครองว่ามาจากสาเหตหุ ลกั คือการรวมศนู ยอ์ านาจการตัดสินใจของพระสงฆ์ท่ีมี
หน้าท่ีในทางปกครองคณะสงฆ์ หรือแม้แต่ทรรศนะของสุรพล สุยะพรหม ท่ีกล่าวว่า “การปกครอง
คณะสงฆ์ไทยมีการรวมอานาจไว้ที่ศูนย์กลางมากเกินไปได้ส่งผลกระทบให้การดาเนินการตัดสินใจ
แก้ไขป๎ญหาต่างๆท่ีสาคัญเร่งด่วนของคณะสงฆ์เกิดความล่าช้า ไม่ทันต่อสถานการณ์”(รายงานของ
คณะกรรมการปฏริ ูปแนวทางและมาตรการปกปูองพิทักษ์กิจการพระพุทธศาสนาสภาปฏิรูปแห่งชาติ,
2558, น. 65)

สาหรบั การรวมศูนย์การตัดสินใจในระดับทีเ่ ลก็ สดุ จะพบวา่ มีข้อความ
ทเี่ ปิดโอกาสให้เกิดการรวมศูนย์ซงึ่ ปรากฏในพระราชบญั ญตั ิคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 มาตราท่ี 38 (2) ส่ัง
ใหบ้ รรพชิตและคฤหสั ถซ์ ่งึ ไมอ่ ย่ใู นโอวาทของเจา้ อาวาสออกไปเสียจากวดั ในส่วนของมาตราที่ 38 (2)
นี้เองที่ได้ให้อานาจไว้ที่เจ้าอาวาสในการรวมศูนย์การตัดสินไว้ท่ีเจ้าอาวาสเพียงรูปเดียวโดยเฉพาะ
เรอ่ื งดังกล่าวนมี้ ีข้อสงั เกตจากพระศรีปริยตั ิโมลที ี่ไดก้ ลา่ วในหนังสือ วิกฤตพทุ ธศาสนา วา่

ในพระราชบัญญตั ิคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 มาตรา 38 บอกว่าเจ้าอาวาสมีอานาจจะส่งั ให้
ใครอยู่วดั ออกวัดกไ็ ด้ ท้งั ๆ ท่ีในหลกั พระธรรมวนิ ยั น้นั วดั วาอารามจะต้องบอกวา่ ขอ
ถวายวิหารนแ้ี กพ่ ระสงฆท์ ม่ี าจากส่ีทิศ เพราะฉะนน้ั ในหลักพระธรรมวินยั จริงๆ สมบตั ิ
ตรงนีเ้ ปน็ ของคณะสงฆ์ ไมใ่ ชส่ มบตั ขิ องป๎จเจกบคุ คลใดคนหนงึ่ จะมายึดครองแล้ว แล้ว
กจ็ ะไล่คนนัน้ คนนอ้ี อกไป ใครทไี่ ม่ชอบไม่ยินดอี ยู่ในอานาจของเรา เรากไ็ มใ่ หอ้ ยู่ อะไร
อยา่ งนี้ โดยท่คี าส่ังนั้นอาจจะชอบธรรมบ้างไม่ชอบธรรมบ้าง (ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
,2542, น. 242)

หากพิจารณาจากขอ้ ความน้ี จะพบข้อสงั เกตวา่ พระราชบัญญัตคิ ณะสงฆ์
พ.ศ. 2505 มาตรา 38 ท่รี ะบไุ ว้วา่ เจา้ อาวาสมีอานาจจะส่ังให้ใครอยู่วัด ออกจากวัดก็ได้ หากดูเพียง
ผิวเผินกจ็ ะเขา้ ใจไดว้ า่ เปน็ คาส่งั ท่ีรวดเรว็ จนนาไปสู่เข้าใจได้ว่า คาสง่ั ดงั กล่าวมีประสทิ ธภิ าพหรือมีช่วย
ให้การปกครองคณะสงฆ์มีประสิทธิภาพ แต่หากพิจารณาให้ดีโดยละเอียดแล้วจะพบว่า อานาจของ
การสั่งตามพระราชบัญญัตคิ ณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 มาตรา 38 เป็นสาเหตุที่ก่อให้เกิด การใช้อานาจโดย
มิชอบ หรือการบ้าอานาจ มั่วเมาในอานาจ และเป็นการเสริมสร้างวัฒนธรรมอานาจนิยมเน่ืองจาก
ขาด บุคคลจากหลายฝุายทจี่ ะมามสี ว่ นในการตดั สินใจให้สึกหรือไม่ให้สึกเพราะเหตุผลอะไร ก่อนที่จะ
ไปสู่การสึกโดยเจ้าอาวาส หากเห็นว่าสมควรให้สึก แต่หลายคร้ังด้วยความท่ีขาดการมีส่วนร่วมจาก
พทุ ธบริษทั หรอื ฐานคติท่มี สี ่วนทาให้เกิดโครงสร้างคณะสงฆ์ในป๎จจุบันขาดการให้ความสาคัญต่อการ
มสี ่วนร่วมในการตัดสนิ จงึ ทาให้การตดั สินใจของเจ้าคณะผู้ปกครองในหลายกรณีจะถูกวิจาณ์ว่า มีการ
ใช้พระเดชมากกว่าพระคุณ หรือการใช้อานาจแบบเผด็จการ ผลท่ีตามมาป๎ญหาเหล่านั้นก็ถูกระงับ


Click to View FlipBook Version