83
ด้วยความกลัวแต่ไม่สามรถแก้ไขป๎ญหาได้อย่างถาวร ไม่นานป๎ญหาเดิมๆ เหล่าน้ีก็ผุดข้ึนมาอีก สิ่ง
เหล่านพ้ี อจะกลา่ วได้ว่า ขาดประสทิ ธภิ าพในการแกไ้ ขป๎ญหา
หรอื หากพิจารณาจากทรรศนะของพระมหาเทวประภาส วชริ ญาณ
เมธี (มากคล้าย) ที่กล่าวถึงการรวมศูนย์อานาจการตัดสินใจของคณะสงฆ์ไทยไว้ว่า “สงฆ์ในป๎จจุบันมี
รปู แบบการจดั องคก์ ารทก่ี ลายเปน็ องคก์ รแบบรวมศูนยท์ ่ตี ้ังอยู่ท่ามกลางวงล้อมกระแสแห่งการปฏิรูป
ประชาธิปไตย และการเมืองภาคประชาชน นี้อาจเป็นส่วนหน่ึงของหลายสาเหตุ ท่ีทาให้องค์กรสงฆ์
เกิดป๎ญหาด้านประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ” (พระมหาเทวประภาส วชิรญาณเมธี, 2556,
บทความประชาไท)
ดังน้ัน การท่ีโครงสรา้ งของคณะสงฆม์ ลี ักษณะรวมศนู ย์อานาจต้ังแตร่ ะดบั
สูงจนถึงระดับล่างเช่นนี้นับเป็นสาเหตุสาคัญที่จะทาให้การแก้ไขป๎ญหาทางการปกครองคณะสงฆ์น้ัน
ขาดประสิทธิภาพและไมเ่ ป็นไปตามพระธรรมวินัยดังทรรศนะของสุรพศ ทวีศักด์ิที่กล่าวไว้ซ่ึงดูจะเป็น
ขอ้ สรปุ ที่ดีประการหน่ึง กล่าวคอื
ระบบปกครองสงฆท์ ่ีรวมศนู ยอ์ านาจโดยตัวมันเองเปน็ ระบบซงึ่ ขัดกับธรรมชาติของ
“สงั ฆะตามธรรมวนิ ยั ” ทเี่ น้นการกระจายอานาจและมีวฒั นธรรมการอย่รู ว่ มกนั แบบ
กัลยาณมิตรอยู่แลว้ และขัดกับวถิ ีของสังคมประชาธปิ ไตยสมยั ใหม่อยู่แล้ว ฉะน้นั ตวั
ระบบแบบรวมศูนย์อานาจนี่เองคือทม่ี าของความไร้ประสิทธิภาพทัง้ ในเรื่องการรกั ษาวิถี
ชีวิตพระทมี่ วี ัฒนธรรมอยูร่ ่วมกนั แบบกัลยาณมิตร เพราะมนั เปน็ ระบบทส่ี ร้าง
วัฒนธรรมการอยรู่ ว่ มกนั แบบอานาจนยิ มขึ้นมาครอบงา และเมอื่ เป็นระบบทีข่ ดั กับวิถี
ของสงั คมประชาธิปไตยสมยั ใหม่ ระบบเชน่ น้จี งึ มักสนบั สนนุ อานาจรฐั แบบเผด็จการ
มากวา่ สง่ เสรมิ ประชาธิปไตย สรุปสั้นๆ คอื ระบบเชน่ ทีเ่ ปน็ อยู่ไรป้ ระสิทธิภาพทง้ั ใน
เรื่องการส่งเสริมคณุ คา่ ชีวิตตามหลักการของธรรมวนิ ยั และคุณคา่ ชวี ติ ในวิถีสังคม
ประชาธปิ ไตย (สรุ พศ ทวีศกั ด์,ิ สัมภาษณ์, 29 กันยายน 2558)
ดงั นนั้ การรวมศูนย์อานาจการตัดสินใจจงึ นับเปน็ จดุ อันตรายต่ออนาคต
ของพุทธศาสนาเป็นอย่างมากเพราะหากสาเหตุหลักของป๎ญหาการรวมศูนย์นี้ไม่ได้รับการแก้ไข
พระภิกษุท่ีประพฤติกระทาผิดก็ยังคงลอยนวล การสนองงานพระพุทธศาสนาโดยทางคณะสงฆ์ก็ไม่
สามารถตอบสนองต่อความศรัทธาต่อพุทธศาสนิกชนได้ ภาพลักษณ์ของสถาบันสงฆ์จะเสื่อมลงเป็น
อย่างมากจนในท่ีสุดอาจถึงการเข้าใจว่าเป็นสถาบันท่ีถ่วงรั้งความเจริญและกลายเป็นสถาบันสงฆ์ท่ี
สร้างป๎ญหาต่อความสั่นคลอนสับสนทางจิตใจของประชาชนในประเทศน้ีได้ ส่วนสาเหตุท่ีพบในข้อ
84
ถดั ไปนั้นคือ ผ้ปู กครองสงฆร์ ะดับสูงอยใู่ นวัยชราภาพ และการด้อยความร้คู วามสามารถของผู้ปกครอง
สงฆซ์ ึ่งสาเหตเุ รอ่ื งดงั กลา่ วนี้อาจมีความเกีย่ วขอ้ งสมั พันธก์ นั ดงั จะกล่าวถงึ ในลาดบั หัวข้อถัดไป
3.1.2.2 ผู้ปกครองสงฆ์ระดบั สูงอยใู่ นวัยชราภาพ
ผปู้ กครองสงฆ์ระดบั สูงในความหมายของหวั ข้อน้ีกลา่ วจาเพาะเจาะจง
เป็นการเฉพาะไปที่กรรมการมหาเถรสมาคม เนื่องจากมีอานาจและอิทธิพลต่อการปกครองสงฆ์
จานวนมาก มหี น้าท่แี ละบทบาทในการปกครองคณะสงฆ์โดยตรง กล่าวคอื
มหาเถรสมาคมเป็นผจู้ ัดระเบียบการปกครองคณะสงฆ์ โดยแบง่ การปกครองเปน็ คณะ
สงฆส์ ่วนกลางและส่วนภมู ภิ าค มหาเถรสมาคมในฐานะส่วนกลางมอี านาจในการ
แต่งตง้ั ถอดถอนพระอปุ ๎ชฌาย์ เจ้าอาวาส รองเจ้าอาวาส ผชู้ ่วยเจ้าอาวาส พระภกิ ษุอนั
เกย่ี วกับตาแหน่งปกครองคณะสงฆ์ตาแหน่งอ่ืนๆ ดว้ ย (http://ilaw.or.th/node)
จากเนือ้ หาทีก่ ล่าวในขา้ งต้นจงึ กลา่ วไดอ้ ยา่ งไมผ่ ดิ นักว่า มหาเถรสมาคม
เปน็ ผู้ปกครองสงฆร์ ะดบั สงู ท่ีมอี านาจและอทิ ธิพลต่อการปกครองสงฆ์จานวนมาก และด้วยหน้าท่ีและ
บทบาทตลอดถึงการเป็นผู้ปกครองสงฆ์ระดับสูงที่มีอานาจและอิทธิพลต่อการปกครองสงฆ์จานวน
มากดังที่ได้กล่าวแล้วในข้างต้นนี้ จึงมักถูกวิจารณ์ว่าด้อยประสิทธิภาพในการทางานเพราะอยู่ในวัยที่
ชราภาพหรือเพราะเป็นวัยที่ชราภาพได้ส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพในการทางาน ซึ่งในที่นี้เองเป็น
ป๎ญหาเร่ืองของระบบและโครงสร้างคณะสงฆ์ท่ีเปิดช่องให้ ดังท่ีผู้วิจัยได้ค้นพบข้อวิจารณ์ของพระ
ไพศาล วิสาโล ที่ปรากฏในหนังสือเร่ือง พุทธศาสนาไทยในอนาคตแนวโน้มและทางออกจากวิกฤต
โดยทา่ นได้วิจารณเ์ กย่ี วกบั ประเด็นหัวข้อนไี้ ว้วา่ “ย่งิ ในระบบแบบน้ี กว่าท่านจะข้ึนไปสูงถึงระดับมหา
เถรสมาคมก็มักมีอายุ 65 ปีขึ้นไปแล้วซึ่งเกินวัยเกษียณของทางราชการแล้ว กาลังวังชาและความฉับ
ไวก็ย่อมลดน้อยลง” (พระไพศาล วิสาโล, 2546, น. 465) นอกจากนี้ยังพบข้อวิจารณ์จากคนึงนิตย์
จันทบุตร ท่ีปรากฏในหนังสือเร่ือง สถานะและบทบาทของพระพุทธศาสนาในประเทศไทย โดยได้
วิจารณไ์ ว้วา่
การปกครองคณะสงฆข์ ึน้ อยู่กับพระเถระผูอ้ าวุโสเพยี งไม่กร่ี ูป พระเถระเหล่าน้ันล้วน
ชราภาพ ดงั นั้นเจ้าคณะส่วนใหญล่ ว้ นมอี ายพุ รรษาประมาน 50 พรรษา ซง่ึ ควรอยใู่ นวยั
พกั ผอ่ นมากกว่าวยั ทางาน บางท่านแมแ้ ต่เขียนหนงั สือก็แทบจะไม่ไหว ซ้าภารกจิ ดา้ น
พิธีกรรม งานรัฐ งานราษฎร์มากมาย จนไม่มีเวลาจะบริหารในมหาเถรสมาคมหรือ
แม้แต่ในวัดตนซ่ึงเป็นเจ้าอาวาส การบริหารคณะสงฆ์จึงมีแต่ทรงกับทรุด (คนึงนิตย์
จนั ทบุตร, 2532, น. 90)
เมอ่ื กล่าวถงึ ความชราภาพหรืออายมุ ากน้ันก็สอดคลอ้ งกบั ข้อวิจารณ์
85
ของพระไพศาล วสิ าโลและขอ้ วจิ ารณ์จากคนึงนิตย์ จันทบุตร ที่กล่าวมาน้ันข้างต้นเพราะความมีอายุ
มากหรือความชราภาพนั้นส่งผลต่อประสิทธิภาพในการทางานอย่างแน่นอนกล่าวคือ ส่งผลให้ไม่มี
ความกระตือรือร้นและขาดความคล่องตัวในการทางานอีกทั้งเม่ือพระราชาคณะซ่ึงเป็นกรรมการมหา
เถรสมาคมน้นั แมอ้ ายุมากแล้วยังต้องแบกรับภาระดูแลพระสงฆ์ท่ีมีไม่ต่าว่าประมาน 3 แสนกว่ารูปซึ่ง
ก็ย่ิงจะเป็นเรื่องที่กรรมการมหาเถรสมาคมต้องเส่ียงต่อการบั่นทอนทางสุขภาพและส่งผลเสียต่อ
ประสิทธิภาพในการทางานอย่างมาก อายุของผู้ปฏิบัติงานจึงมีผลต่อประสิทธิภาพของเน้ืองาน
กรรมการมหาเถรสมาคมโดยส่วนใหญม่ ีอายมุ ากอยใู่ นวยั ชราภาพโดยสว่ นมาก ในหน้าถัดไปจะระบุถึง
กรรมการมหาเถรสมาคมฝุายมหานิกายและฝาุ ยธรรมยุติกนิกาย ตามตารางท่ี 3.1 ในหนา้ ถัดไป
86
ตารางที่ 3.1
กรรมการมหาเถรสมาคมชุดป๎จจบุ นั ( https://th.wikipedia.org/wiki/มหาเถรสมาคม
กรรมการมหาเถรสมาคม ฝ่ายมหานกิ าย
ตาแหน่งคณะสงฆ์ รายนาม วดั เริม่ วันเกิดและอายุ
วาระ
ประธานกรรมการมหา สมเด็จพระมหารชั มัง วดั ปากนา้ ภาษีเจรญิ พ.ศ. 26 สิงหาคม พ.ศ. 2468
2538 (90 ป)ี
เถรสมาคม คลาจารย์
(ชว่ ง วรปุํฺโญ)
ก ร ร ม ก า ร ม ห า เ ถ ร สมเดจ็ พระพุทธชิน-วงศ์ วดั พชิ ยญาติการามวรวหิ าร พ.ศ. 2 กมุ ภาพันธ์ พ.ศ. 2484
สมาคมโดยสมณศกั ด์ื (สมศกั ด์ิ อปุ สโม) 2554 (75 ป)ี
ก ร ร ม ก า ร ม ห า เ ถ ร สมเด็จพระพุฒาจารย์ วัดไตรมิตรวิทยาราช พ.ศ. 17 พฤศจิกายน พ.ศ.
สมาคมโดยสมณศกั ด์ื (สนทิ ชวนปํฺโญ) วรวหิ าร 2557 2485
ก ร ร ม ก า ร ม ห า เ ถ ร พระพรหมวชิรญาณ วัดยานนาวา (73 ป)ี
สมาคมโดยแต่งตัง้ (ประสทิ ธิ์ เขมงฺกโร) พ.ศ. 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2480
2556 (79 ปี)
ก ร ร ม ก า ร ม ห า เ ถ ร พระวิสุทธิวงศาจารย์ วัดปากนา้ ภาษีเจริญ พ.ศ. 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2480
สมาคมโดยแตง่ ตั้ง (วเิ ชียร อโนมคโุ ณ) 2556 (78 ป)ี
ก ร ร ม ก า ร ม ห า เ ถ ร พระพรหมดิลก วัดสามพระยา พ.ศ. 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2488
2555 (71 ปี)
สมาคมโดยแตง่ ตั้ง (เอือ้ น หาสธมฺโม)
ก ร ร ม ก า ร ม ห า เ ถ ร พระพรหมโมลี วัดปากนา้ ภาษเี จริญ พ.ศ. 23 ตุลาคม พ.ศ. 2497
2557 (61 ปี)
สมาคมโดยแตง่ ตง้ั (สุชาติ ธมฺมรตโน)
ก ร ร ม ก า ร ม ห า เ ถ ร พระพรหมสิทธิ วัดสระเกศราช พ.ศ. 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2499
สมาคมโดยแตง่ ต้ัง (ธงชัย สุขญาโณ) วรมหาวหิ าร 2558 (60 ปี)
ก ร ร ม ก า ร ม ห า เ ถ ร พ ร ะ พ ร ห ม บั ณ ฑิ ต วดั ประยุรวงศาวาสวรวิหาร พ.ศ. 17 กนั ยายน พ.ศ. 2498
สมาคมโดยแตง่ ต้งั (ประยรู ธมฺมจติ ฺโต) 2555 (60 ปี)
87
ตารางท่ี 3.1 (ต่อ)
กรรมการมหาเถรสมาคมชุดป๎จจบุ ัน ( https://th.wikipedia.org/wiki/มหาเถรสมาคม
กรรมการมหาเถรสมาคม ฝา่ ยธรรมยุตกิ นกิ าย
ตาแหน่งคณะสงฆ์ รายนาม วัด เรมิ่ วนั เกดิ และอายุ
วาระ
ก ร ร ม ก า ร ม ห า เ ถ ร สมเดจ็ พระมหาวีรวงศ์ วดั สมั พนั ธวงศาราม วรวหิ าร พ . ศ . 29 ธันวาคม พ.ศ.
สมาคมโดยสมณศักด์ื (มานิต ถาวโร) 2544 2460 (98 ป)ี
ก ร ร ม ก า ร ม ห า เ ถ ร สมเด็จพระมหามนุ ีวงศ์ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม พ . ศ . 26 มถิ ุนายน พ.ศ.
สมาคมโดยสมณศักดื์ (อมั พร อมพฺ โร) ราชวรวิหาร 2552 2470 (89 ปี)
ก ร ร ม ก า ร ม ห า เ ถ ร สมเด็จพระวนั รัต วดั บวรนิเวศราชวรวิหาร พ . ศ . 17 กันยายน พ.ศ.
สมาคมโดยสมณศักด์ื (จนุ ท์ พรฺ หมฺ คตุ ฺโต) 2552 2479 (79 ปี)
ก ร ร ม ก า ร ม ห า เ ถ ร สมเดจ็ พระธีรญาณมุนี วัดเทพศิรินทราวาส ราช พ . ศ . 22 ตุลาคม พ.ศ.
สมาคมโดยสมณศักด์ื (สมชาย วรชาโย) วรวิหาร 2553 2490 (68 ป)ี
ก ร ร ม ก า ร ม ห า เ ถ ร พระพรหมเมธาจารย์ วัดบุรณศริ ิมาตยาราม พ . ศ . 22 ตลุ าคม พ.ศ.
2555 2471 (87 ป)ี
สมาคมโดยแต่งตง้ั (คณศิ ร์ เขมวโส)
ก ร ร ม ก า ร ม ห า เ ถ ร พระพรหมเมธี วดั สัมพนั ธวงศารามวรวิหาร พ . ศ . 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ.
สมาคมโดยแต่งตงั้ (จานงค์ ธมฺมจารี) 2555 2484 (75 ป)ี
กรรมการมหาเถร พระพรหมมนุ ี วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม พ . ศ . 22 มกราคม พ.ศ.
สมาคมโดยแต่งต้งั (สชุ ิน อคคฺ ชโิ น)
ราชวรวิหาร 2556 2493 (66 ป)ี
ก ร ร ม ก า ร ม ห า เ ถ ร พระพรหมวสิ ทุ ธาจารย์ วัดเครือวัลย์วรวหิ าร พ . ศ . 1 กมุ ภาพันธ์ พ.ศ.
2555 2484 (75 ปี)
สมาคมโดยแตง่ ตงั้ (มนตรี คณสิ สฺ โร)
กรรมการมหาเถร พระธรรมธัชมุนี วัดปทุมวนารามราชวรวหิ าร พ . ศ . 23 เมษายน พ.ศ.
สมาคมโดยแตง่ ตั้ง (อมร ญาโณทโย) 2555 2483 (76 ปี)
กรรมการมหาเถร พระธรรมบัณฑติ วัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษก พ . ศ . 13 มนี าคม พ.ศ.
สมาคมโดยแตง่ ตง้ั (อภิพล อภิพโล) 2555 2480 (79 ปี)
ฉะน้ัน การท่กี ฎหมายหรอื พระราชบัญญตั คิ ณะสงฆอ์ อกแบบทม่ี าโดยเน้น
วยั วฒุ ิ เปน็ สาคัญสง่ ผลใหพ้ ระสงฆ์ท่านทดี่ ารงตาแหน่งของมหาเถรสมาคมซึ่งจัดเป็นผู้ปกครองสงฆ์ใน
ระดับสูงท่ีมีอานาจและอิทธิพลต่อการปกครองสงฆ์จานวนมากขาดประสิทธิภาพในการทางาน คณะ
สงฆ์จงึ ขาดผู้นาที่มีประสิทธภิ าพในการสนองงานการปกครองคณะสงฆ์
88
3.1.2.3 การด้อยความรู้ความสามารถของผ้ปู กครองสงฆ์
การด้อยความรคู้ วามสามารถของผู้ปกครองสงฆ์นัน้ ในทีน่ ีก้ จ็ ะขอกลา่ ว
จาเพาะเจาะจงไปตัง้ แต่ผชู้ ่วยเจา้ อาวาสเป็นตน้ ไปจนถึงผูป้ กครองในระดับมหาเถรสมาคม ในส่วนของ
ความรู้และความสามารถของผู้ปกครองสงฆ์ในที่น้ีหมายรวมถึงความรู้และความประพฤติที่ถูกต้อง
อย่างท่ีพระสงฆ์ควรจะมีและควรจะเป็นในที่น้ีทั้งความรู้และความประพฤติของพระสงฆ์อาจเรียก
รวมกันได้ว่า คือ คุณภาพของพระสงฆ์ จากการสัมภาษณ์พระไพศาล วิสาโล โดยท่านได้กล่าวถึงว่า
“พระไม่มีความรู้ คุณภาพของพระก็ทาให้ผ่ายแพ้ต่อสักการะ ส่งผลให้การปกครองคณะสงฆ์แย่ลงไป
กว่าเดิม” (พระไพศาล วิสาโล, สัมภาษณ์, 6 มกราคม 2559) และยังพบข้อวิจารณ์ของพระไพศาล
วิสาโล กล่าวถึงที่มาของการด้อยความรู้ความสามารถของผู้ปกครองสงฆ์ไว้ว่ามาจากการระบบ
การศึกษาของคณะสงฆ์และมีสาเหตุเก่ียวเน่ืองกับการปกครองคณะสงฆ์ด้วยที่ขาดระบบและกลไกท่ี
จะชว่ ยพฒั นาประสทิ ธภิ าพของผูป้ กครองสงฆ์ ข้อวิจารณ์ดังกล่าวนี้ปรากฏในหนังสือเร่ือง พระธรรม
ปฎิ กกับอนาคตของพุทธศาสนา โดยท่านวิจารณ์ไว้ว่า
ส่ิงท่ีเกิดขึน้ ก็คือการศึกษาของคณะสงฆต์ กต่าอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน แมเ้ ปรียญเอก
ในป๎จจุบนั จะมีมากมายยิ่งกว่ายุคใดสมัยใด แต่การเป็นผู้นาทางสติป๎ญญาของพระสงฆ์
โดยรวมกลบั ลดน้อยถอยลงอย่างรวดเร็วเช่นเดยี วกับการเป็นแบบอย่างในทางคุณธรรม
ว่าจาเพาะการศึกษาด้านปริยัติธรรม ทุกวันนี้พูดได้ว่าพระเณรส่วนใหญ่ได้รับ
การศึกษาตามยถากรรม กล่าวคือต้องขวนขวายศึกษาเอง หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับเจ้าอาวาส
แต่ละวัดว่าจะมีความสนใจเพียงใด ขณะที่หลักสูตรการศึกษาก็ล้าหลัง ขาดการพัฒนา
ทั้งเนื้อหา วิธีการเขียน การสอน และอุปกรณ์ อุปสรรคเหล่าน้ียากที่จะได้รับการปลด
เปล้ืองจากผู้บรหิ ารคณะสงฆ์ (พระไพศาล วสิ าโล, 2542, น. 111)
จากขอ้ วจิ ารณ์ของพระไพศาล วิสาโล ก็สอดรบั กบั ทรรศนะของคณะ
กรรมการปฏิรปู แนวทางและมาตรการปกปูองพทิ กั ษ์กิจการพระพุทธศาสนาสภาปฏิรูปแห่งชาติ ซ่ึงใน
รายงานของ คณะกรรมการปฏิรูปแนวทางและมาตรการปกป้องพิทักษ์กิจการพระพุทธศาสนาสภา
ปฏิรูปแห่งชาติ ได้แสดงทรรศนะต่อการด้อยความรู้ความสามารถของผู้ปกครองสงฆ์ไว้ว่า
“วิกฤตการณ์ของคณะสงฆ์ไทย คือพระสงฆ์มีคุณภาพต่า ไม่เพียงแต่ความรู้ในทางพุทธธรรมท่ีมีน้อย
แต่ท่ีหนักกว่าน้ันคือเรื่องของอาจาระหรือความประพฤติดีงามตามพระธรรมวินัยก็ย่าแย่ถดถอย ”
89
(รายงานของ คณะกรรมการปฏิรูปแนวทางและมาตรการปกปูองพิทักษ์กิจการพระพุทธศาสนาสภา
ปฏิรปู แหง่ ชาติ, 2558, น. 7)
จากข้อการใหส้ ัมภาษณข์ องพระไพศาล วิสาโล และข้อวจิ ารณท์ ่ปี รากฏ
ในหนังสือ เรื่อง พระธรรมปิฎกกับอนาคตของพุทธศาสนารวมทั้งจากทรรศนะของคณะกรรมการ
ปฏิรูปแนวทางและมาตรการปกปูองพิทักษ์กิจการพระพุทธศาสนาสภาปฏิรูปแห่งชาติ เป็นสิ่งท่ีชาว
พุทธในฐานะพุทธบริษัทเดียวกันต้องช่วยกันตระหนักร่วมกันว่า การด้อยความรู้ความสามารถของ
ผู้ปกครองสงฆ์น้ันเกิดจากระบบการศึกษาของสงฆ์ที่ตกต่าในภาพรว มและเป็นสาเหตุเกี่ยวเน่ือง
สมั พันธ์มาจากป๎ญหาของการปกครองคณะสงฆ์ในแง่ทีว่ ่า โครงสร้างการปกครองคณะสงฆ์ท่ีเป็นอยู่ไม่
สามารถเอื้อหรือพัฒนาให้พระสงฆ์ได้ศึกษาเรียนรู้จนทาให้พระสงฆ์มีคุณภาพได้หรือโครงสร้างคณะ
สงฆ์ท่ีเป็นอยู่เองได้สะท้อนถึงผลผลิตจากโครงสร้างดังกล่าว และผนวกกับวัฒนธรรมการทางานของ
การปกครองคณะสงฆ์ที่ให้คุณค่าแก่ระบบอุปถัมภ์มากกว่าระบบคุณธรรมซึ่งให้คุณค่าต่อความรู้
ความสามารถของบุคลากรเป็นหลักจึงส่งผลให้การแต่งต้ังบุคลากรสงฆ์ไม่ได้พิจารณาจากความรู้
ความสามารถโดยแท้จริง ผลเสยี จากสาเหตุและป๎ญหาท่ีสัมพันธ์กันเหล่าน้ีจึงทาให้พระสงฆ์ที่ก้าวไปสู่
ตาแหน่งการปกครองคณะสงฆ์ด้อยความรู้ความสามารถน่ันเอง ท้ายทสี่ ุดแลว้ เราจึงไม่สามารถหวังพ่ึง
ระบบการศึกษาของสงฆใ์ นป๎จจบุ นั ได้หากระบบการศึกษาของพระสงฆ์ยังปรากฏเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์
ตามที่ปรากฏในรายงานของ คณะกรรมการปฏิรูปแนวทางและมาตรการปกป้องพิทักษ์กิจการ
พระพทุ ธศาสนาสภาปฏิรปู แหง่ ชาติ ท่วี ิจารณ์การศึกษาของคณะสงฆ์ ไวว้ ่า
ขณะนก้ี ารศกึ ษาของคณะสงฆ์ โดยเฉพาะการศกึ ษาปรยิ ัติธรรม แผนกบาลแี ละแผนก
ธรรม มไิ ดม้ ีการแก้ไขปรบั ปรุงทาให้คา่ นิยมในหมู่พระภกิ ษสุ ามเณรและเยาวชนที่มีต่อ
การศึกษาปริยัติธรรมลดลงไปเปน็ จานวนมาก พระภกิ ษุสามเณรไม่มีความเชื่อม่นั ตอ่
ระบบการศกึ ษาสายปริยตั ิธรรมแบบเดิมของพระสงฆ์ (รายงานของ คณะกรรมการ
ปฏิรูปแนวทางและมาตรการปกปูองพิทักษ์กจิ การพระพุทธศาสนาสภาปฏริ ูปแห่งชาติ,
2558, น. 12)
หากวเิ คราะห์จากระบบการศึกษาของคณะสงฆ์จากข้อวิจารณใ์ นขา้ งตน้
ทาให้เราหมดหวังที่จะมีหรือได้พระสงฆ์ท่ีมีคุณภาพไปรับผิดชอบคณะสงฆ์ในนามของผู้ปกปกครอง
สงฆไ์ ด้ ผลที่ตามมาคือขาดผู้ปกครองสงฆ์ที่มีคุณภาพทาให้ขาดประสิทธิภาพในการปกครองคณะสงฆ์
ตามมา นอกจากระบบการศึกษาคณะสงฆ์อย่างที่เป็นอยู่ไม่สามารถเป็นที่พึ่งแก่คณะสงฆ์ได้แล้ว การ
ขึ้นสู่การที่จะเป็นผู้ปกครองสงฆ์เองก็ยังไม่มีกลไกและระบบใดๆ ที่จะไปพัฒนาประสิทธิภาพของ
ผู้ปกครองสงฆ์และในขณะท่ีเป็นผู้ปกครองสงฆ์แล้วก็ไม่มีระบบและกลไกของคณะสงฆ์ที่จะมาพัฒนา
90
ประสิทธิภาพการทางานของผู้ปกครองสงฆ์ให้มีคุณภาพมากข้ึนในการสนองงานคณะสงฆ์ ผลที่ได้คือ
จงึ มีผ้ปู กครองสงฆ์ด้อยความรู้ความสามารถจานวนมาก ส่งผลให้ผู้ปกครองสงฆ์เองขาดประสิทธิภาพ
ในการทางานหรือขาดประสิทธภิ าพในการแก้ไขหรอื พัฒนาคณะสงฆใ์ หด้ ีขน้ึ
3.1.3 สาเหตขุ องปัญหาหลกั เกณฑ์การแต่งตง้ั สมณศักดิ์
ในอดีต พระมหากษตั ริย์ทรงแตง่ ตัง้ สมณศักด์ิแก่พระสงฆด์ ้วยพระองค์เอง โดย
พิจารณาจากคุณสมบัติหรือผลงานของพระสงฆ์ ต่อมาในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ในรัชสมัยของ
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ซ่ึงตรงกับ
ทางฝุายพุทธจักรครั้ง สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงดารงตาแหน่งเป็น
สมเด็จพระสังฆราชเจ้า สกลมหาสังฆปริณายก เม่ือมีเร่ืองที่จะโปรดพระราชทานสมณศักดิ์แก่พระ
รูปใด ท้ังสองพระองค์ก็จะทรงปรึกษากบั สมเด็จพระมหาสมณเจา้ ฯ พระองคน์ น้ั กอ่ นทกุ ครัง้
ในป๎จจบุ นั ขั้นตอนการแต่งต้ังสมณศกั ด์ิ เป็นหน้าที่ของเจา้ คณะผปู้ กครอง
พิจารณาไปตามลาดับขั้นต่าสูงในทางตาแหน่งการปกครอง กล่าวคือ มีการพิจารณาต้ังแต่เจ้าอาวาส
ไล่เร่ือยไปตามลาดับสายการบังคับบัญชาจนถึงกรรมการมหาเถรสมาคม จากน้ันจึงเสนอช่ือต่อไปยัง
สานักพุทธศาสนาแห่งชาติเพื่อนาความข้ึนกราบทูลขอพระกรุณาพระราชทานสมณศักดิ์ต่อไป
เพราะฉะนน้ั หากพจิ ารณาจากลาดับข้ันการพิจารณาแต่งตั้งสมณศักด์ิผ่านเจ้าคณะผู้ปกครองในแต่ละ
ลาดับชั้นจึงมีส่วนสัมพันธ์ต่อโครงสร้างการปกครองคณะสงฆ์ท่ีถูกกาหนดข้ึนเพ่ือรองรับความชอบ
ธรรมในการพิจารณาตามลาดับขั้นดังกล่าวโดยมีพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 แก้ไขเพ่ิมเติม
ฉบับที่ 2 พ.ศ. 2535 ไดก้ าหนดขนั้ ตอนการพจิ ารณาการแต่งตั้งสมณศักด์ิสูงสุด ไว้ท่ีกรรมการมหาเถร
สมาคม ก่อนท่ีจะส่งเรื่องต่อไปยังสานักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ โครงสร้า งคณะสงฆ์ที่มี
พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ฉบับนี้ได้รองรับความขอบธรรมให้มีเจ้าคณะผู้ปกครองสงฆ์พิจารณาไป
ตามลาดับข้ันย่อมมีส่วนเกี่ยวข้องที่แสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างสมณศักดิ์กับพระราชบัญญัติคณะ
สงฆแ์ ละตอ่ การกาหนดตอ่ การไดม้ าซึง่ โครงสร้างคณะสงฆใ์ นปจ๎ จบุ ันอย่างเดน่ ชดั
เนือ่ งจากสมณศกั ด์ใิ นทรรศนะของประชาชนส่วนมากในป๎จจบุ ัน มกั เปน็ ทร่ี สู้ กึ
และเปน็ ทเ่ี ข้าใจได้ว่า สมณศักด์ินั้นคือที่มาของผลประโยชน์อันมากมายท้ังก่อนการได้มาซ่ึงสมณศักด์ิ
และหลังจากการได้มาซ่ึงสมณศักดิ์ ทาให้ทราบว่าป๎จจุบันทัศนคติของญาติโยมที่มีต่อสมณศักด์ิของ
พระสงฆ์น้ันไม่ค่อยจะดีนัก จนทาให้คุณค่าของสมณศักดิ์ในความเข้าใจและความรู้สึกของญาติโยม
ทยอยไม่เห็นความสาคัญในส่วนน้ีจนบางครั้งได้มีนักวิชาการบางกลุ่มกระทั่งจากญาติโยมท่ีสะท้อน
ทัศนคตทิ ไี่ ด้มองรวมกนั วา่ ควรจะใหม้ กี ารยกเลิกสมณศักด์ิ แต่หากในทางปฏิบัติยากที่จะเกิดข้ึน การ
แกไ้ ขปญ๎ หาของสมณศักดิ์ในเบื้องต้นท่ีจะพอมีความเป็นไปได้มากกว่าการยกเลิกสมณศักด์ิ ก็คือ การ
91
แยกสมณศักดิ์ออกจากการปกครองคณะสงฆ์ ดัง เช่น สุรพศ ทวีศักด์ิ ที่มักวิพากษ์วิจารณ์ถึงป๎ญหา
คณะสงฆ์อยู่บ่อยครั้ง ได้แสดงทรรศนะต่อประเด็นเรื่องสมณศักดิ์กับตาแหน่งทางการปกครองคณะ
สงฆ์ไว้ว่า “หากจะมีระบบสมณศักด์ิ ก็ไม่ควรไปผูกติดกับตาแหน่ง อานาจทางการปกครอง เพราะ
อานาจทางการปกครองสงฆค์ วรเปน็ ไปตามความรู้ ความสามารถซึ่งเป็นที่ประจักษ์ เป็นที่ยอมรับของ
พระสงฆด์ ว้ ยกันเองและสงั คมมากกวา่ ” (สุรพศ ทวศี ักด์ิ, สัมภาษณ์,29 กันยายน 2559) แต่ถึงอย่างไร
ในท่ีนี้ผู้วิจัยเองก็ยังไม่ต้องการให้มีการยกเลิกสมณศักด์ิเสียเลยเพียงเพราะทัศนคติท่ีไม่ดีต่อประเด็น
สมณศักดิ์ดังกล่าว แต่เพียงต้องการนาเสนอการปรับปรุงป๎ญหาหลักเกณฑ์การแต่งตั้งสมณศักดิ์
โดยเริ่มต้นจากการหาสาเหตุที่เป็นต้นตอให้คุณค่าของสมณศักด์ิน้ันถูกลดหายไปซ่ึงน้ันหมายความว่า
จะถึงอย่างไรสมณศักด์ิก็ไม่ใช่สิ่งท่ีเลวแย่เสียจนไม่มีความดีหลงเหลืออยู่เลย ซ่ึงก็มีความทรรศนะ
เป็นไปในทางเดียวกนั กับ ณฐั นนั ท์ สุดประเสริฐ ที่มีทรรศนะต่อสมณศักดิ์ ว่า “สมณศักด์ิเป็นเร่ืองท่ี
ดี เปน็ เครอ่ื งมืออย่างหนึ่งที่จะมีประสิทธิภาพมากในการบริหารจัดการกิจการของสงฆ์ เสมือนเป็น
อุปกรณ์หรือเคร่ืองมือทาความสะอาดให้กับแม่บ้านได้ทาความสะอาดบ้านอย่างมีประสิทธิภาพ
สง่ เสรมิ ประสทิ ธิผลของความสะอาด”(ณฐั นนั ทร์ สุดประเสริฐ, สัมภาษณ,์ 16 มกราคม 2559)
ทรรศนะดงั กลา่ วนกี้ ส็ อดรับกับการไปปรบั แก้ทห่ี าสาเหตุของปญ๎ หาหลกั เกณฑ์
การแตง่ ตงั้ สมณศกั ด์มิ ากกวา่ การทีจ่ ะเปน็ ทรรศนะท่ีมีสว่ นตอ่ การให้ยกเลิกสมณศักด์ิ
เพราะฉะนนั้ จากของความรสู้ ึกของชาวบา้ นและทรรศนะของนักวชิ าการท้ังสอง
ท่านที่ได้กล่าวถึงในเบื้องต้น ทาให้เป็นการนาทางไปสู่การคิดแก้ไขป๎ญหาสมณศักด์ิด้วยการค้นหา
สาเหตุของป๎ญหาหลักเกณฑ์การแต่งตั้งสมณศักดิ์ ซ่ึงในที่นี้พบว่า สาเหตุของป๎ญหาหลักเกณฑ์การ
แตง่ ตงั้ สมณศักดิ์นัน้ คือการกาหนดหลักเกณฑก์ ารแต่งต้ังสมณศักดไ์ิ ว้ทีต่ าแหนง่ ทางปกครองคณะสงฆ์
ซึง่ จะกล่าวถงึ ในลาดับถัดไป
3.1.3.1 การกาหนดหลักเกณฑ์การแต่งต้ังสมณศักดิ์ไว้ท่ีตาแหน่งทางปกครอง
คณะสงฆ์
พระราชบัญญตั ิคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 แกไ้ ขเพิ่มเตมิ ในฉบบั ท่ี 2 ปี พ.ศ.
2535 ได้ให้อานาจแก่มหาเถรสมาคมในการพิจารณาหลักเกณฑ์การแต่งต้ังสมณศักด์ิ ตามมาตรา 19
แหง่ พระราชบัญญัตคิ ณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 แกไ้ ขเพ่ิมเติมโดยพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.
2535 ได้กล่าวถึงพระสงฆ์ท่ีควรได้รับเลื่อนสมณศักดิ์ไว้ว่า “พระสังฆาธิการที่มีตาแหน่งใดตาแหน่ง
หนึ่งท่ีดารงตาแหน่งทางการปกครองคณะสงฆ์มาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปี โดยพระสังฆาธิ การท่ีมี
คุณสมบัติตามท่ีระบุไว้ต้องจัดทาประวัติตนเองโดยละเอียดตามฟอร์มท่ีทางคณะสงฆ์กาหนดไว้ ”
(แสวง อุดมศร,ี 2534, น. 410) สาเหตุน้ีเองท่ีจะนามาซึ่งปญ๎ หาผกู ขาดพระสงฆ์ที่จะได้เลื่อนสมณศักด์ิ
92
ไว้ทพ่ี ระสงั ฆาธกิ าร คอื ต้งั แต่ผู้ช่วยเจ้าอาวาสเป็นต้นไปจนถึงเจ้าคณะหนใหญ่ตามลาดับ ลักษณะของ
การกาหนดหลักเกณฑ์เช่นน้ีเป็นการนาสมณศักดิ์ไปผูกขาดสาหรับพระท่ีมีตาแหน่งทางการปกครอง
เท่าน้ันทาให้ขาดการใหค้ วามสาคัญแก่พระสงฆร์ ปู อนื่ ๆ ทีเ่ ปน็ พระสงฆ์ท่ีมีความสามารถด้านการเทศน์
การบรรยายธรรม การเขยี นหนังสอื การนาชาวบ้านปฏิบัติธรรมแต่ไม่มีตาแหน่งทางการปกครองคณะ
สงฆ์ สาหรับเหตุผลดังทก่ี ล่าวมานกี้ ็สอดคลอ้ งกบั ทรรศนะของ เสถียรพงษ์ วรรณปก ทว่ี า่
เพราะพระทดี่ ารงสมณศักดเิ์ ท่าน้นั จะมคี ณุ สมบตั ิท่ีได้รบั การแต่งตัง้ เปน็ เจ้าคณะ
ปกครองตามลาดับช้ันพระก. พระ ข. กไ็ มส่ ามารถไดร้ บั การแตง่ ต้ังให้เป็นเจ้าคณะ
ปกครองในตาแหนง่ สูงๆ ได้ (เสถยี รพงษ์ วรรณปก, 2542, น. 230)
และทรรศนะดงั กล่าวนี้เองกย็ งั สอดรบั กบั ทรรศนะของ สุรพศ ทวศี กั ด์ิ ท่ี
กลา่ วไวว้ า่
ระบบสมณศักดเ์ิ ป็นระบบทีผ่ ูกโยงเขา้ กบั อานาจทางการปกครองคณะสงฆ์จริงอยูม่ ี
การตง้ั สมณศกั ด์จิ านวนหน่ึงทีไ่ มเ่ กีย่ วโดยตรงกับอานาจทางการปกครอง แต่พระท่ี
มสี มณศกั ดสิ์ งู ๆ (อาวโุ สทางสมณศักดิ์) เท่านั้นถงึ จะมีสทิ ธไิ์ ตเ่ ต้าไปสตู่ าแหนง่ ปกครอง
ระดับสูง ทาใหส้ มณศักดก์ิ ับอานาจเปน็ ของคกู่ นั ซงึ่ ขดั กับหลักการทวี่ า่ ให้
สมณศกั ด์เิ พอ่ื เปน็ กาลังใจแก่พระทม่ี ีผลงานทาคณุ ประโยชนแ์ ก่พทุ ธศาสนา (สรุ พศ
ทวศี กั ด์ิ, สมั ภาษณ์, 29 กันยายน 2558)
หรอื แมแ้ ตท่ รรศนะของพระเทพวิสทุ ธกิ วี ซง่ึ เปน็ เสียงสะทอ้ นของสังคม
สงฆไ์ ด้เปน็ อย่างดไี ดแ้ สดงความเปน็ ห่วงการที่พระสงั ฆาธกิ ารผูกขาดตาแหน่งสมณศักดิ์ทางปกครองไว้
ว่า “ส่ิงท่ีเป็นป๎ญหาในการแต่งต้ังพระสงฆ์ให้รับสมณศักด์ิคือ การเอาสมณศักด์ิมาเกี่ยวโยงกับการ
บริหารการปกครองมากเกินไป” (พระเทพวิสุทธิกวี, สัมภาษณ์, 23 ธันวาคม 2558) และจากการ
สมั ภาษณพ์ ระไพศาล วิสาโล ท่านกไ็ ด้กลา่ วถงึ ไว้วา่
จาเปน็ ต้องแยกแยะระหว่างสมณศกั ด์ิกบั การปกครองคณะสงฆ์ ทกุ วันนีต้ ้องเปน็ เจ้า
คณะตาบล เจา้ คณะอาเภอ ต้องมีสมณศกั ดิ์ สมณศักดิส์ ูงต้องเปน็ มหาเถรสมาคม อายุ
มาก 70-80 ปี ในแงช่ ราแล้วมนั ไม่ควรมารับภาระการปกครอง สมณศกั ด์ิไปผูกกับการ
ปกครองมนั กล็ งเอยแบบน้ี น้กี ็ไดค้ นชรามารบั ผดิ ชอบการปกครอง (พระไพศาล วสิ าโล
,สมั ภาษณ์, 6 มกราคม 2559)
การกาหนดหลกั เกณฑก์ ารแต่งต้ังสมณศักด์ินั้นว่าตอ้ งมคี ุณสมบตั เิ บื้องตน้
เปน็ พระสังฆธิการน้ัน เป็นการนาสมณศกั ดิ์ไปผูกโยงกับการปกครองอย่างชัดเจนเพราะตามท่ีได้กล่าว
ไว้ในเบ้ืองต้นแล้วว่าพระสังฆาธิการนั้นคือพระสงฆ์ที่มีตาแหน่งทางปกครองคณะสงฆ์กล่าวคือต้ังแต่
93
ผู้ช่วยเจ้าอาวาสข้ึนไปซ่ึงก็ถือว่าเป็นพระสงฆ์สายปกครองแล้ว การที่สมณศักดิ์ถูกให้คุณค่าและ
ความสาคัญต่อพระสงฆ์ที่มีตาแหน่งการปกครองสงฆ์หรือพระสังฆาธิการมากกว่าพระสงฆ์ท่ีมีความ
เชย่ี วชาญหรือทางานเผยแผ่พุทธศาสนาในดา้ นอืน่ ๆ นั้นอาจจะพัฒนามาจากการตีความท่ีวา่
สมณศักด์ินัน้ มีสว่ นสมั พันธ์กับการปกครองคณะสงฆบ์ รหิ ารคณะสงฆ์ เช่น การต้ังพระ
สารีบตุ รเปน็ พระอัครสาวกเบ้ืองขวาและดารงตาแหนง่ พระธรรมเสนาบดีก็เพื่อดูแล
ปกครองพระสงฆ์ดา้ นทศิ ทักษิณ และการต้ังพระโมคคลั ลานะเปน็ อัครสาวกเบื้องซ้ายก็
เพือ่ ดแู ลพระสงฆด์ า้ นทศิ อดุ ร (พระมหาวเิ ชยี ร สายศร,ี 2553, น. 19)
ทรรศนะดงั กล่าวน้กี ็สอดรับกับทรรศนะของวัชระ งามจิตรเจริญ ซง่ึ มอง
วา่ คณุ คา่ ของสมณศกั ดิ์น้นั เก่ยี วข้องกับคณุ ภาพของการปกครองคณะสงฆ์ กลา่ วคอื
ในระบบและโครงสรา้ งของการปกครองคณะสงฆ์ของไทย สมณศกั ดเิ์ ปน็ องค์ประกอบ
หนึ่งทท่ี าใหก้ ารปกครองบริหารคณะสงฆด์ าเนินไปอยา่ งมปี ระสทิ ธิภาพ เพราะสมณ-
ศักดิ์เปน็ ตาแหน่งฐานันดรทส่ี ่งเสรมิ ตาแหน่งบรหิ ารให้ไดร้ บั การยอมรับทาให้การบรหิ าร
การปกครองดาเนนิ ไปด้วยดี (วชั ระ งามจติ รเจรญิ , 2556, น. 24)
สาหรบั ทรรศนะเหลา่ นีอ้ าจมีสว่ นสง่ ผลตอ่ ความชอบธรรมท่เี นน้ สมณศกั ด์ิ
ไปในทางด้านการปกครองมากกว่าด้านอ่ืน ทั้งที่ทรรศนะของนักวิชาการทั้งสองท่านนี้มีเจตนาที่ดี
ไม่ได้เห็นด้วยกับการผูกโยงสมณศักด์ิกับตาแหน่งปกครอง การปกครองกับสมณศักด์ิคุณค่าทั้งสองสิ่ง
ตอ้ งไปดว้ ยกัน หากจะปรับแก้ก็ต้องปรับแก้ไปท่ีพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2535 โดย
เพม่ิ พระสงฆท์ ่ไี มจ่ าเป็นต้องเป็นพระสงั ฆาธกิ ารแต่อาจพจิ ารณาจากผลงาน คุณธรรม จากการยอมรับ
ของญาติโยมมามีส่วนในการขอเล่ือนสมณศักด์ิ ซึ่งต้องเพ่ิมเติมจากข้อความความเดิมที่ว่า “พระ
สังฆาธิการท่มี ีตาแหนง่ ใดตาแหนง่ หนึ่งที่ดารงตาแหน่งทางการปกครองคณะสงฆ์มาแล้วไม่น้อยกว่า 5
ปี โดยพระสังฆาธิการที่มีคุณสมบัติตามที่ระบุไว้ต้องจัดทาประวัติตนเองโดยละเอียดตามฟอร์มที่ทาง
คณะสงฆ์กาหนดไว้” สาหรับในท่ีน้ีจะขอกล่าวเพียงแต่สาเหตุของของป๎ญหาหลักเกณฑ์การแต่งต้ัง
สมณศักดิ์ ซึ่งในที่นี้ ค้นพบแล้วว่าสาเหตุของป๎ญหาดังกล่าวนั้นเกิดจากการกาหนดหลักเกณฑ์การ
แต่งตง้ั สมณศกั ด์ไิ วท้ ตี่ าแหน่งทางปกครอง หากสามารถแกไ้ ขสาเหตดุ งั กลา่ วนี้ได้จริงในทางปฏิบัติก็จะ
ส่งผลดีต่อคุณค่าสมณศักดิ์อย่างแน่นอน ดังท่ีวัชระ งามจิตรเจริญ ได้แสดงความเห็นด้วยต่อผลดีใน
ส่วนนแ้ี ต่กม็ ีข้อห่วงใยโดย ได้กลา่ วไว้ ในงานวจิ ัยเรื่อง สมณศักด์ิ : ขอ้ ดีและปัญหา วา่
อย่างไรก็ตาม การแยกสมณศกั ดิ์ออกจากตาแหนง่ บริหารแม้จะมีสว่ นดีอยู่ไม่น้อย แต่
อาจทาไดย้ ากหากให้แยกออกจากตาแหน่งบริหารโดยสิน้ เชงิ เพราะสมณศกั ดเ์ิ ป็น
องคป์ ระกอบหนงึ่ ของระบบการปกครองคณะสงฆท์ โ่ี ยงใยอยกู่ ับตาแหนง่ บริหาร และ
94
สมณศักด์ิสูงสุดคือสมเด็จพระสังฆราชก็เป็นตาแหน่งบริหารอยู่ด้วยในตัว (วัชระ
งามจติ รเจริญ, 2556, น. 36)
อยา่ งไรก็ตามสาหรบั แนวทางการแก้ไขนัน้ จะขอกล่าวถงึ รายละเอียดไว้ใน
บทท่ี 4 แนวทางในการแกไ้ ขปญ๎ หาหลักเกณฑ์การแต่งตั้งสมณศกั ดิ์ ในลาดบั ถัดไป
3.1.3.2 การกาหนดหลักเกณฑ์การขอสมณศักดิ์ด้วยจานวนเงินในการสร้างศา
สนวตั ถุ
สาเหตุตอ่ มาท่ีมสี ว่ นทาให้พระสงฆ์เกิดป๎ญหายึดติดในสมณศักดิ์ จนทาให้
ไม่มเี วลามากพอในการทาหนา้ ทตี่ ามพทุ ธบัญญัติ ทาให้พระสงฆ์เองต้องให้ความสนใจและเน้นหนักใน
การสร้างถาวรวัตถุแต่คุณภาพของพระสงฆ์ทั้งทางคุณธรรมและป๎ญญากลับต่าลงเม่ือเทียบกับความ
เจรญิ ทางถาวรวัตถุและศาสนสถาน สาเหตุดังกล่าวน้ันมาจากการกาหนดหลักเกณฑ์การแต่งต้ังสมณ
ศักด์ิไว้ที่จานวนเงินมากน้อยตามภาคและเขตการปกครอง จานวนเงินน้ันพิจารณาจากการได้นาไป
สรา้ งถาวรวตั ถุว่าใชจ้ านวนเงินเทา่ ไหร่ในการสรา้ ง เชน่
ในเขตปกครองส่วนกลาง ต้องมจี านวนเงนิ ท่ใี ช้จา่ ยในการกอ่ สรา้ งและปฏสิ ังขรณแ์ ลว้
ต้ังแต่ 1,000,000.00 บาท (หนงึ่ ล้านบาท) ข้ึนไป (สาหรบั พจิ ารณาแตง่ ตั้งใหม่) และ
ตง้ั แต่ 500,000.00 บาท (หา้ แสนบาท) ขึ้นไป (สาหรบั พจิ ารณาเล่อื น)
ในเขตปกครองหนเหนือ หนตะวันออก และหนใต้ ต้องมีจานวนเงินท่ีได้ใช้จ่ายใน
การกอ่ สรา้ งและปฏสิ งั ขรณแ์ ล้วตัง้ แต่ 150,000.00 บาท (หนึ่งแสนห้าหมื่นบาท) ขึ้นไป
ยกเว้นในเขตปกครองภาค 4-5 ต้องมจี านวนเงินตัง้ แต่ 500,000.00 บาท (ห้าแสนบาท)
ข้นึ ไป โดยให้เริม่ นบั ตงั้ แต่เป็นผรู้ กั ษาการหรือดารงตาแหน่งปกครองนนั้ เปน็ ตน้ มา
ทั้งน้ี ไม่นับผลงานท่ีเป็นประธานในการก่อสร้างโรงเรียนของรัฐบาล หรือการ
ก่อสร้างวัดอื่น ถ้าจานวนเงินไม่ครบตามหลักเกณฑ์ ให้พิจารณางานพิเศษเข้า
ประกอบด้วย (แสวง อดุ มศรี, 2534, น. 416-417)
หลักเกณฑน์ ี้เปน็ สาเหตุที่สาคัญทที่ าใหเ้ กดิ ปญ๎ หาสมณศกั ดิ์ ดังท่ี พระ
วรพงษ์ โชติธมฺโม ได้รวบรวม ทรรศนะของ พระนักศึกษาที่มีต่อเร่ืองสมณศักดิ์ว่า “ระบบนี้ทาให้
พระสงฆ์ติดในลาภ ยศ สักการะ และยึดระบบศักดินาเกินไปและทาให้พระสงฆ์มุ่งแต่การก่อสร้าง
แต่ศาสนวตั ถเุ พื่อนามาเป็นผลงานในการพิจารณา” (พระวรพงษ์ โชติธมฺโม, 2547, น. 50) ทรรศนะ
ในส่วนน้ีก็สอดคล้องกับทรรศนะของแสวง อุดมศรี ได้ช้ีให้เห็นสาเหตุของป๎ญหาดังกล่าวไว้อย่าง
ชัดเจนซงึ่ ปรากฏในหนังสือ เรือ่ ง การปกครองคณะสงฆ์ไทย โดยแสวง อุดมศรีไดว้ ิจารณ์ไว้ว่า
หลกั เกณฑ์การพจิ ารณาทีเ่ นน้ จานวนเงนิ ซงึ่ ใชจ้ า่ ยไปในการก่อสร้างและปฏสิ ังขรณ์
95
ถาวรวัตถดุ งั กล่าวน้ี ทาให้ความโดดเดน่ ของพระสังฆาธกิ ารอยู่ในวงแคบ งานสร้างสรรค์
อกี หลายดา้ น เชน่ การศกึ ษา การเผยแผ่ เป็นต้น จงึ ออ่ นตัวลงไปอย่างนา่ เสียดาย ทั้งน้ี
เพราะพระสงั ฆาธิการรูปใดก็ตามทีม่ ีใจรกั งานดา้ นการศึกษาและเผยแผ่ ไม่อาจท่มุ เท
ความรคู้ วามสามารถใหแ้ ก่งานทตี่ นถนัดได้อย่างเตม็ ท่ี เมือ่ เปน็ เชน่ น้งี านของคณะสงฆ์
ในด้านการศึกษา เชน่ การจดั ส่งเสรมิ และการศกึ ษา การสอน การเขียนหรือเรยี บเรียง
หนังสือประกอบการเรียนการสอนใหม่ ๆ จงึ ไม่เกิดขึน้ สาเหตุท่เี ป็นเชน่ นี้เพราะ
หลักเกณฑก์ ารพิจารณาต้งั และเลือ่ นสมณศกั ดิย์ งั อยูใ่ นวงแคบ เนน้ เฉพาะผลงานด้าน
กอ่ สรา้ งและปฏิสงั ขรณถ์ าวรวตั ถดุ งั กล่าวนน่ั เอง (แสวง อดุ มศรี, 2534, น. 418)
สาหรับรายละเอียดของจานวนเงินทีไ่ ด้นามากล่าวถึงในขา้ งต้นนน้ั เป็น
หลกั เกณฑ์ทม่ี ีสว่ นใหพ้ ระสงฆไ์ ดร้ บั การแตง่ ตง้ั และเล่ือนสมณศักดิ์ในแต่ละปี หากพิจารณาดูแล้ว การ
ทคี่ ณะสงฆไ์ ด้กาหนดการก่อสร้างศาสนวัตถแุ ละปฏิสังขรณ์โดยพิจารณาจากจานวนเม็ดเงินโดยใช้เป็น
หลักเกณฑ์ในการแต่งตั้งและเล่ือนสมณศักด์ิ มีข้อดีและข้อเสียตามมา โดยวิทยานิพนธ์ของ พระมหา
วเิ ชียร สายศรี ได้ศึกษาเร่ือง พระพุทธศาสนากับระบบสมณศักดิ์ : ศึกษากรณีทัศนะของนักวิชาการ
พทุ ธศาสนาและพระนักศกึ ษาในสถาบันอดุ มศกึ ษา ไดก้ ลา่ วถึงข้อดี และข้อเสียไว้ดังน้ี สาหรับข้อดีนั้น
กลา่ วคอื
งานด้านน้ี ถือวา่ เปน็ สิง่ ทีบ่ ง่ บอกถึงความสนใจเอาใจใส่ดูแลวัดใหเ้ รยี บรอ้ ยและ
กอ่ สร้างศาสนวัตถุเปน็ ท่อี าศยั เลา่ เรียนของพระภกิ ษุสามเณรและบาเพญ็ ประโยชน์
ท่วั ไปของประชาชน ส่วนมากผทู้ ม่ี องอยา่ งนจ้ี ะเปน็ พระสงฆด์ ้วยกนั เพราะท่านเขา้ ใจดี
ในสิ่งที่ทา่ นได้ก่อสรา้ งไปวา่ จะใช้ประกอบกจิ กรรมอะไรบา้ ง แตส่ าหรบั ฆราวาสอาจจะ
ไมเ่ ขา้ ใจ อาจคิดวา่ ไมจ่ าเปน็ สาหรับวดั ทาใหเ้ สียงบประมานไปโดยไรป้ ระโยชน์
สาหรบั ขอ้ เสียนน้ั ในเมือ่ เอาผลงานการกอ่ สร้างมาเปน็ คณุ สมบตั ิในการพจิ ารณา
สมณศักด์ิ พระสงฆผ์ ูท้ ่มี คี วามตอ้ งการตาแหนง่ สมณศกั ด์ิ กจ็ ะตอ้ งมุง่ มั่นทจี่ ะก่อสร้าง
และปฏสิ ังขรณเ์ พอื่ จะได้เอามาเปน็ สว่ นในการพจิ ารณา โดยไม่ไดค้ านงึ ถึงความจาเป็น
ในการกอ่ สรา้ งว่าจะใช้ประกอบกจิ กรรมอะไรบา้ ง โดยเฉพาะในป๎จจบุ นั มวี ดั มากมายท่ี
กาลังดาเนนิ การสร้างสิ่งก่อสรา้ งใหญ่โต ในขณะเดียวกนั คณะกรรมการผพู้ จิ ารณาก็
ไมไ่ ด้ตรวจสอบดว้ ยว่าไดก้ ่อสรา้ งตามที่รายงานหรือเปล่า เม่ือมีการรายงานขน้ึ มาก็ถอื
วา่ ไดด้ าเนินการจริงและกพ็ ิจารณาสมณศักดิใ์ ห้ สาหรับพระสงฆ์ผ้ไู ด้ดาเนนิ การกอ่ สรา้ ง
จรงิ และได้ใช้ประโยชน์จรงิ ๆ แต่มีงบประมานในการก่อสรา้ งน้อยกว่างบประมานท่ีตง้ั ไว้
ก็จะไมไ่ ดร้ บั การพิจารณา กเ็ ท่ากับว่าเป็นการแบ่งแยกชนช้นั พระสงฆ์เกิดข้นึ พระสงฆ์
96
ผู้ที่มบี ญุ บารมี รูจ้ กั ผดู้ มี ตี ระกลู และมีวาทะในการหาจตุป๎จจยั มากอ่ สร้างสงิ่ ต่างๆ กจ็ ะ
ได้รบั การแต่งตัง้ สมณศักดิ์ ส่วนพระสงฆผ์ ้ปู ฏิบัติตนอยใู่ นศาสนธรรม กอ่ สรา้ งเสนาสนะ
เท่าทีจ่ าเป็นมกั น้อยสนั โดษ กถ็ ูกทอดทงิ้ จากคณะสงฆ์ไม่ไดร้ บั การเชดิ ชู จงึ เปน็ ปญ๎ หา
ทาให้เกิดความเล่ือมล้าภายในคณะสงฆ์เกิดข้ึน (พระมหาวิเชียร สายศรี, 2543, น.
127-128)
นอกจากน้พี ระมหาวิเชียร สายศรไี ดว้ ิจารณ์เก่ยี วกบั การแต่งตง้ั และเล่ือน
สมณศกั ด์ิโดยพจิ ารณาจากจานวนเงนิ ในการสรา้ งศาสนวัตถุไว้อยา่ งน่าสนใจวา่
ไมค่ วรเอาจานวนเงินมาเปน็ คณุ สมบตั ิประกอบควรพจิ ารณาจากการพัฒนาวัด
เน้นการบาเพญ็ ประโยชนใ์ หแ้ กป่ ระชาชนมากกวา่ ไม่ควรสง่ เสริมใหพ้ ระสงฆ์สรา้ ง
เสนาสนะวตั ถโุ ดยไม่จาเปน็ จะเหน็ ว่าในป๎จจบุ นั นี้ มีวัดหลายแหง่ ทว่ั ประเทศไทยได้
สร้างสง่ิ กอ่ สร้างหมดหลายร้อยลา้ นแตก่ ไ็ ม่ไดใ้ ช้ประกอบประโยชนเ์ ทา่ ที่ควรทง้ั ผู้ดูแล
รักษาก็ไม่มี ส้นิ เปลอ้ื งงบประมานโดยไร้ประโยชน์ บางวัดก็มีแต่ส่ิงกอ่ สร้าง มพี ระสงฆ์
สามเณรอยูก่ นั สองสามรปู นานๆ จึงจะไดใ้ ชป้ ระโยชนค์ รั้งหนง่ึ ดงั นัน้ คณะสงฆ์จึงไม่
ควรเอาคณุ สมบัติดา้ นการกอ่ สรา้ งเป็นข้อกาหนดในการพจิ ารณาสมณศักด์ิ (พระมหา
วเิ ชียร สายศรี, 2543, น. 129)
หรือแม้แตข่ ้อห่วงใยของพระมหาหรรษา ธมฺมหาโส รศ.ดร. ทแ่ี สดง
ออกมาในตอนให้สัมภาษณ์แก่ผู้วิจัย ซ่ึงป๎จจุบัน (พ.ศ. 2559) ท่านดารงตาแหน่งเป็นผู้อานวยสถาบัน
ภาษาและผู้อานวยการหลักสูตรสันติศึกษา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ซึ่งถือเป็น
บุคคลากรภายในของมหาวิทยาลัยสงฆ์และเป็นสมาชิกของคณะสงฆ์ไทยท่ีสามารถสะท้อนข้อห่วงใย
ต่อสถานการณ์พระพุทธศาสนาในป๎จจุบันได้เป็นอย่างดี ซ่ึงท่านได้แสดงความเป็นห่วงใยโดย โดยได้
กล่าวถึงการสรา้ งศาสนวัตถุของจานวนวัดหลายวัดในนามคณะสงฆไ์ ทยไว้วา่
การสร้างโบสถ์ ราคา 15 ล้านแตม่ ีพระสงฆ์อาศัยอยใู่ นวดั เพียงสองรูป ภาพทีเ่ หน็ คือ
เปน็ การสรา้ งให้นกพิราบอยู่ การสรา้ งโบสถ์หรอื ศาสนวัตถไุ ม่ไดค้ ดิ ถงึ ประโยชน์ใช้สอย
แตอ่ าจจะเป็นขอ้ เทจ็ จรงิ หากจะบอกว่าสรา้ งเพือ่ บชู าพุทธเจ้าตามความศรทั ธา แตแ่ ลว้
พระสงฆ์ อาศยั อยูใ่ นวดั เพยี ง 2 รูป จงึ ไม่มีความจาเป็นใดๆที่ตอ้ งสร้างด้วยราคาถึง 15
ลา้ น มอี ุโบสถใหญโ่ ตมากมายขนาดนัน้ อกี อย่างเงินจานวน 15 ล้านบาท สามารถนาไป
สร้างอะไรที่เป็นประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนาได้อีกมากมาย (พระมหาหรรษา ธมฺมหา
โส, สัมภาษณ์, 13 มกราคม 2559)
จากขอ้ วจิ ารณ์ของพระมหาวิเชียร สายศรี และพระมหาหรรษา ธมฺม-
97
หาโส รศ.ดร. ซง่ึ ถือเปน็ บุคลากรภายในองค์กรสงฆ์สามารถเป็นเสียงสะท้อนถึงสภาพต้นตอของป๎ญหา
ภายในได้เป็นอยา่ งดี เพราะฉะน้ันการกลับมาทบทวนถึงสาเหตุของป๎ญหาหลักเกณฑ์การแต่งตั้งสมณ
ศักด์ิ ซง่ึ ในที่นไี้ ดค้ ้นพบสาเหตุท่ีสาคัญคือ การมีหลักเกณฑ์ของจานวนเงินเพ่ือการสร้างศาสนวัตถุ ทา
ให้นามาซึ่งป๎ญหาของสมณศักด์ิมากมายดังท่ีได้กล่าวไปแล้ว ส่วนในลาดับบทที่ 4 ถัดไป ก็จะสรรหา
หาแนวทางแก้ไขป๎ญหาหลกั เกณฑ์การแต่งตงั้ สมณศกั ด์ิ
3.2 บทสรปุ
จากการศึกษาวิเคราะห์สาเหตุของป๎ญหาการปกครองคณะสงฆ์ไทยในป๎จจุบัน ในหัวข้อ
สาเหตุปญ๎ หาโครงสรา้ งการปกครอง พบว่า สาเหตุดังกล่าวนั้นเกิดจากการควบคุมคณะสงฆ์โดยรัฐมา
โดยตลอด การควบคุมนนั้ รัฐเปน็ ผอู้ อกแบบโครงสรา้ งการปกครองตามรูปแบบการปกครองของรัฐใน
แต่ละยุคสมยั และแต่ละระบอบการปกครอง การออกแบบโครงสร้างคณะสงฆ์นั้นเลียนแบบโครงสร้าง
การปกครองของรัฐ ทาให้คณะสงฆ์อาจได้ผลประโยชน์ที่อาจทาให้คณะสงฆ์มีความม่ันคงท่ีจะอยู่
ร่วมกับรัฐแต่ก็เป็นผลประโยชน์ที่ทาให้คณะสงฆ์ต้องแลกกับการไม่มีอิสระท่ีจะมีโครงสร้างที่เอื้อต่อ
พระธรรมวินัยได้อย่างเต็มท่ีแม้กระทั่งจะคิดถึงการออกแบบโครงสร้างการปกครองจากพระสงฆ์ด้วย
กันเองท่ีสามารถเป็นโครงสร้างท่ีตอบสนองต่อความเป็นพระสงฆ์ หากพิเคราะห์ให้ดีแล้วจะพบว่า
บนผลประโยชน์เช่นน้ีมีแต่ทาให้วิถีชีวิตของพระสงฆ์ที่ต้องประพฤติตนตามพระธรรมวินัยนั้นต้อง
ทยอยหมดความม่นั คงต่อพระธรรมวินยั ไปในทส่ี ุด
สาเหตุประการต่อมา คือสาเหตุป๎ญหาการขาดประสิทธิภาพในการปกครอง พบว่ามา
จากการท่คี ณะสงฆม์ กี ารรวมศนู ย์อานาจการตดั สินใจ ซ่ึงเป็นป๎ญหาจากระบบเช่นเดียวกัน โครงสร้าง
ดังกล่าวของคณะสงฆ์นั้นเป็นผลผลิตมาจากความพยายามในการสร้างรัฐชาติเป็นฐานคิดเพ่ือปูองกัน
การล่าอาณานิคมจากจักรวรรดินิยม จึงต้องมีการรวมศูนย์อานาจการตัดสินไว้ท่ีส่วนกลาง และมักมี
โครงสร้างท่ีรวบอานาจการตัดสินชนิดกระจุกตัว การรวมศูนย์อานาจเกิดจากความพยายามสถาปนา
ระบบคิดหนึ่งเดียวท่ีครอบคลุมความแตกต่างในทุกๆ ด้านให้เป็นหน่ึงเดียวของคุณค่า ส่งผลให้คณะ
สงฆ์เองเกิดพระราชบัญญัติลักษณะปกครองคณะสงฆ์ ร.ศ. 121 ( พ.ศ. 2445) ท่ีได้รับอิทธิพลจาก
ฐานคิดรัฐชาติมากล่าวคือพระราชบัญญัติดังกล่าวคือพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 แก้ไข
เพม่ิ เติมฉบบั ท่ี 2 พ.ศ. 2535 มวี ธิ คี ิดท่สี ืบตอ่ จากพระราชบัญญัติลักษณะปกครองคณะสงฆ์ รศ. 121
(พ.ศ. 2455) ซ่งึ มฐี านคดิ มาจากรฐั ชาติในขณะน้นั น่ันเอง แต่ในสภาวะป๎จจุบันไม่ใช่รัฐชาติอีกต่อไป
แล้วแต่เป็นรัฐสมัยใหม่ท่ีมีความหลากหลายทางคุณค่าและทวีความซับช้อนมากขึ้น โครงสร้างคณะ
98
สงฆ์โดยเกิดจากพระราชบัญญตั คิ ณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 แก้ไขเพิ่มเติมฉบับท่ี 2 พ.ศ. 2535 จึงแฝงด้วย
เงาของพระราชบัญญัติลักษณะปกครองคณะสงฆ์ รศ. 121 (พ.ศ. 2455) จึงไม่สามารถตอบสนองต่อ
การแก้ไขป๎ญหาคณะสงฆ์ท่ีมีเงื่อนไขของความเป็นรัฐสมัยใหม่ ผลกระทบต่อคณะสงฆ์จึงทาให้คณะ
สงฆ์ขาดประสิทธิภาพในการปกครอง
ประเด็นของสาเหตุของป๎ญหาต่อมาคือเรื่อง สาเหตุของป๎ญหาหลักเกณฑ์การแต่งต้ัง
สมณศักดิ์ สาเหตุของเร่ืองนี้คือ การไปให้ข้อกาหนดว่าพระสังฆาธิการสามารถขอสมณศักดิ์ได้น้ัน
เท่ากับว่าเป็นกฎเกณฑ์ที่ตายตัว เพราะเป็นการนาสมณศักดิ์ไปผูกกับตาแหน่งทางปกครองคณะสงฆ์
ทาใหห้ ลกั เกณฑก์ ารแตง่ ตั้งสมณศักดิ์น้ันไม่เปิดโอกาสเท่าที่ควรที่จะให้พระสงฆ์ที่มีความสามารถด้าน
การเทศน์ การบรรยายธรรม การเขียนหนังสือ การนาประชาชนปฏิบัติธรรม ได้รับสมณศักด์ิ ผลที่
ตามมาคือสมณศักดิโ์ ดยสว่ นใหญ่กระจุกตัวอยู่เฉพาะพระสายการปกครอง คุณค่าของสมณศักด์ิที่มีไว้
เพื่อถวายเป็นขวัญและกาลังใจในการทางานจึงทยอยหมดความสาคัญต่อพระสงฆ์ท่ีมีความสามารถ
ด้านอ่ืนๆ ท่ีเป็นประโยชน์ต่อพระศาสนาและส่งผลให้พระสงฆ์เหล่านี้หมดกาลังใจในการทางานหรือ
รับใชพ้ ระพุทธศาสนา จงึ อาจทาใหพ้ ระสงฆ์เบนความสนใจหันไปขวนขวายด้านไสยศาสตร์ เคร่ืองราง
ของขลัง เพราะสามารถทาให้พระเหล่านี้มพี ้นื ทก่ี ารยอมรบั จากญาตโิ ยมท่ีสนใจมากกว่าซ้าร้ายกว่าน้ัน
เมอ่ื พระสายปกครองจานวนหนง่ึ กม็ ีส่วนเห็นด้วยและไม่ทาหน้าที่ในการตรวจตราหรือลงโทษพระสงฆ์
กลุ่มนี้แต่ประการใดแต่กลับสมรู้ร่วมคิดเพื่อคอยรับผลประโยชน์ทางการเงิน นับว่าเป็นวงจรร้ายต่อ
พระพุทธศาสนาเป็นอย่างมาก
ประการตอ่ มา สาเหตุของป๎ญหาหลักเกณฑก์ ารแต่งตั้งสมณศักด์ิ คือ การพิจารณาสมณ
ศักด์โิ ดยมหี ลกั เกณฑพ์ ิจารณาจากจานวนเงนิ เพื่อนามาสรา้ งศาสนวตั ถุ โดยมีการกาหนดจานวนเงินไว้
ในส่วนจานวนเงินน้ันพิจารณาจากวงเงินของกฎเกณฑ์ของวัดในส่วนกลางและจานวนเงินตาม
กฎเกณฑ์ของวดั ในส่วนหนใต้หนเหนือและหนตะวันออก หลักเกณฑ์ดังกล่าวน้ันทาพระสงฆ์ต้องให้ใช้
เงนิ เกนิ ความจาเป็นของประโยชน์ใช้สอยที่จะได้รับและยังเป็นการลดทอนของคุณค่าพุทธศิลป์ที่สอด
รับกับวัฒนธรรมท้องถิ่นอีกด้วย เน่ืองจากหากสร้างวัดและศาสนวัตถุต่างๆ ตามจานวนวงเงินที่ตั้ง
ตามหลักเกณฑ์ก็จะง่ายต่อการขอสมณศักดิ์ทาให้ต้องลงทุนตามจานวนของเม็ดเงินท่ีต้ังไว้มากทาให้
คุณค่าของพทุ ธศิลปส์ อดรับกับวฒั นธรรมทอ้ งถน่ิ และมีประโยชน์ต่อการคานึงถึงการใช้สอยไม่ได้ถูกให้
ความสาคัญ และส่วนของการปกครองสงฆ์ยังเปิดโอกาสให้พระสงฆ์ท่ีสามารถหาเงินและก่อสร้าง
ถาวรวัตถุได้สมณศักดิ์ซ่ึงจะมีส่วนทาให้ได้เล่ือนตาแหน่งทางการปกครองด้วย จะเป็นการเปิดโอกาส
ให้พระสงฆท์ ่ีไมด่ ีมีโอกาสเข้ามาปกครองคณะ-สงฆ์เพราะไม่ได้พิจารณาผลงานด้านอ่ืนโดยเฉพาะศีลา
99
จารวัตรตามพระธรรมวินัยและพระสงฆ์ท่ีพยายามทาตามเกณฑ์นี้เพ่ือให้ได้สมณศักดิ์มีแนวโน้มท่ีจะ
เป็นพระสงฆท์ ่ีไม่ดีเนอ่ื งจากมุ่งหาผลประโยชนจ์ นอาจทาให้ละเลยต่อพระธรรมวนิ ัย
สาหรับแนวทางในการแก้ไขป๎ญหาเหล่าน้ีจะนาไปกล่าวถึงในบทท่ี 4 เป็นไปตามลาดับ
ต่อไป
100
บทที่ 4
แนวทางในการแกไ้ ขปัญหาการปกครองคณะสงฆ์ไทยในปจั จุบนั
การนาเสนอแนวทางในการแก้ไขป๎ญหาการปกครองคณะสงฆ์ไทยในป๎จจุบันมีอย่าง
มากมายในหลายฝุายด้วยกนั ไม่ว่าจะเป็นจากฝุายพระสงฆเ์ องหรือฝุายนักวิชาการในมหาวิทยาลัยและ
จากฝุายรัฐบาลซ่ึงล่าสุดในชุดของคณะกรรมการปฏิรูปแนวทางและมาตรการปกปูองพิทักษ์กิจการ
พระพทุ ธศาสนาสภาปฏริ ปู แห่งชาติ ภายใตก้ ารนาของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีใน
ป๎จจุบัน (พ.ศ. 2557-2559) แต่อย่างไรก็ตามความพยายามและข้อเสนอเหล่านั้นก็ถูกตั้งคาถามจาก
สังคมหรือจากฝุายผู้ถูกกระทบในการเป็นผู้ถูกแก้ไขคือฝุายของสถาบันสงฆ์ ว่า การนาเสนอแนวทาง
เหล่าน้ันมีวาระซ่อนเร้นในการช่วงชิงชัยชนะทางการเมืองท่ีใช้อ้างความชอบธรรมผ่านการนาเสนอ
แนวทางในการแก้ไขป๎ญหาการปกครองคณะสงฆ์ไทยในป๎จจุบันเท่านั้นหรือไม่ ส่งผลให้ข้อเสนอ
เหล่านั้นแม้กระทาด้วยเจตนาที่ดีแต่ก็ถูกต้ังคาถามถึงความบริสุทธิ์ใจอย่างมิอาจหลีกเล่ียงได้ ทาให้
ขอ้ เสนอท่ีมีเจตนาดแี ละมากด้วยเทคนิควิธีการเหลา่ นน้ั จึงไมไ่ ด้ถกู นามาใช้แก้ไขหรือถูกให้ความสาคัญ
ซงึ่ เปน็ สงิ่ ท่ีนา่ เสยี ดายอย่างย่ิงหากข้อเสนอเหล่านั้นมีเจตนาท่ีดีและเป็นประโยชน์ต่อการแก้ไขป๎ญหา
การปกครองคณะสงฆ์จริง ผู้วิจัยได้ตระหนักและเห็นความสาคัญถึงข้อเสนอจากทุกฝุายอย่างย่ิง ใน
ที่นี้ผู้วิจัยจึงขอเสนอทางเลือกอีกทางหนึ่งให้ช่วยกันพิจารณาไตร่ตรองหาใช่คาตอบสุดท้ายท่ีจะต้อง
นาไปปฏบิ ตั ิโดยสว่ นเดียวไม่
แต่สาหรับแนวคิดสาคัญของการนาเสนอแนวทางในการแก้ไขป๎ญหาการปกครองคณะ
สงฆ์ไทยในป๎จจุบันของผู้วิจัยจะต้ังอยู่บนแนวคิดที่สาคัญที่ว่า ภายในการปกครองคณะสงฆ์นั้นอยู่
ภายใต้ความเป็นกัลยาณมิตรท่ีร่วมเรียนรู้แก้ไขพัฒนาเพื่อการศึกษาเพ่ือความงอกงามในธรรมของ
พระสัมมาสัมพุทธเจา้ ซึ่งสอดรับตรงกันกับส่ิงท่ีผู้วิจัยได้สัมภาษณ์พระไพศาล วิสาโลโดยท่านได้กล่าว
ไวใ้ นบทสัมภาษณ์วา่
การใช้อานาจในการควบคุมในระเบยี บแบบแผนเป็นการใช้แนวคิดเชิงอานาจแตห่ ากวิธี
คิดแนวพุทธนัน้ กเ็ พ่อื เออ้ื ให้เกดิ การศกึ ษา หน้าที่ผูป้ กครองจรงิ ๆ ไม่ใชเ่ พือ่ ควบคมุ แต่
เพือ่ การสง่ เสรมิ การศึกษาเพ่อื ให้งอกงามในธรรมะ น้เี ปน็ ป๎ญหาตง้ั แตว่ ิธีคดิ แลว้ เพราะ
หากเริม่ ตน้ ดว้ ยการใช้อานาจมันกเ็ ร่ิมกลบั เข้าไปส่กู ารใช้อานาจนิยม แทนทจี่ ะเปน็ การ
ปกครองเพื่อการศึกษาอยา่ งท่ีพระพรหมคุณาภรณก์ ลา่ วไว้ (พระไพศาล วิสาโล,
สมั ภาษณ์, 6 มกราคม 2559)
101
หรือแม้แต่ทรรศนะของ วิจักขณ์ พานิช นักวิชาการอิสระด้านศาสนาปรัชญา ที่ได้ให้
ทรรศนะไว้ในหนังสือ ธรรมนัว : พุทธธรรมท่ามกลางความขัดแย้งทางสังคมและการเมือง ท่ีมีส่วน
เกี่ยวข้องกับแนวคิดของการปกครองในคณะสงฆ์ไว้ว่า “วิถีพุทธนั้น หัวใจของมันคือศักยภาพ
บางอย่างท่ีปรากฏข้ึนมาจากภาวะไร้อานาจ ไม่มีนัยของการควบคุม จากัด หรือบังคับแต่มันคือการ
ศิโรราบ ยอมรับความจริง และอยู่อย่างสอดคล้องกับส่ิงท่ีเป็น พระพุทธเจ้าเป็นแบบอย่างของคนที่
เสียสละอานาจ ไม่มีอานาจใดๆ ทั้งส้นิ ” (วจิ ักขณ์ พานิช, 2556, น. 122)
เพราะฉะน้ัน จากแนวคดิ สาคัญจากคากล่าวของ พระไพศาล วิสาโลและวิจักขณ์ พานิช
จะเป็นสิ่งสาคัญของผู้วิจัยในการกาหนดแนวทางในการแก้ไขป๎ญหาการปกครองคณะสงฆ์ไทยใน
ป๎จจบุ นั ซึง่ มรี ายละเอยี ดแต่ละหวั ข้อดงั จะกลา่ วถึงต่อไปนี้
4.1 แนวทางในการแกไ้ ขปญั หาโครงสรา้ งการปกครอง
แนวทางในการแกไ้ ขปญ๎ หาโครงสรา้ งการปกครองอาจเร่ิมต้นด้วยวิธีคดิ ดังต่อไปนี้
(1) โครงสร้างการปกครองของสงฆ์มีลักษณะเฉพาะของตนเองท่ีเอื้อต่อการเติบโตงอก
งามในธรรมของชมุ ชนของพระสงฆ์ นัน้ คอื หมายถงึ โครงสรา้ งท่เี ป็นแบบแผนเฉพาะ
(2) โครงสรา้ งการปกครองน้ีต้องเปน็ ไปเพอ่ื เป็นกระบวนการไมใ่ ชเ่ ปูาหมายสูงสุดของผู้มี
อานาจในการปกครองสงฆ์แต่เป็นกระบวนการเพื่อให้เกิดการศึกษางอกงามตามธรรมของพระ
สมั มาสมั พทุ ธเจา้
(3) โครงสร้างน้ีจะต้องเปดิ โอกาสให้พทุ ธบริษทั คอื ภกิ ษุ ภกิ ษณุ ี อุบาสก อุบาสิกา และ
แม่ชี ที่มีความรู้ในพระธรรมวินัยและวิทยาการสมัยใหม่ ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารจัดการกับ
คณะสงฆด์ ้วย โดยทีม่ าของพทุ ธบรษิ ัทนั้นมาจากระบบตัวแทน ท่ีเลอื กมา
(4) โครงสร้างนี้จะต้องถูกตรวจสอบจากรัฐและสังคมในฐานะคณะสงฆ์เป็นสถาบันทาง
ศาสนาและกรอบคดิ นจ้ี ะต้องเอ้อื เฟ้อื ต่อพระธรรมวินัยและสอดรับกับระบอบประชาธิปไตยที่เน้นการ
กระจายอานาจและมีการถ่วงดุลอานาจซึ่งกันและกันท่ามกลางเง่ือนไขของบริบทของโลกสมัยใหม่
ดว้ ย
สาหรับแนวทางในการแก้ไขป๎ญหาการปกครองในที่นี้จะขอกล่าวถึงโดยแยกเป็น 2
แนวทางหลักๆ ในสว่ นของแนวทางแรกน้นั เป็นการแก้ไขภายนอกโครงสร้าง กล่าวคือ การแยกรัฐออก
จากศาสนา เพอ่ื จดั วางขอบเขตของอานาจรัฐกับศาสนาให้มีขอบเขตท่ีชัดเจนและรวมถึงการพยายาม
102
ลดอานาจรัฐท่ีเข้ามาควบคุมคณะสงฆ์ดังท่ีเคยกล่าวถึงในบทที่ 3 ถึงสาเหตุของป๎ญหาโครงสร้างการ
ปกครองคณะสงฆ์ ว่าสาเหตทุ ี่สาคญั ของป๎ญหาโครงสร้างการปกครองคณะสงฆ์นั้นมีสาเหตุมาจากการ
ควบคุมคณะสงฆ์โดยรัฐ ส่วนในแนวทางท่ีสองน้ันเป็นแนวทางที่แก้ไขป๎ญหาโครงสร้างภายในการ
ปกครองคณะสงฆ์เอง โดยมีการปรับแก้ระบบจากเดิมและออกแบบการปกครองคณะสงฆ์ใหม่เพื่อให้
สามารถตอบสนองต่อบริบทของโลกสมัยใหม่และอยู่บนการเคารพในกรอบของกติกาในระบอบ
ประชาธิปไตย (Democracy)
4.1.1 แนวทางในการแกไ้ ขปญั หาโครงสร้างการปกครอง โดยการแยกรฐั ออกจาก
ศาสนา
แนวทางดงั กลา่ วน้ีนบั เป็นแนวทางหรือข้อเสนอทมี่ คี วามแตกตา่ งไปจากทุกครั้ง
ของการพยายามทีจ่ ะมกี ารแก้ไขปญ๎ หาของคณะสงฆ์อย่างที่ผ่านมา เพราะในทุกคร้ังที่ผ่านมาข้อเสนอ
ทีน่ ยิ มกลา่ วถึงมากที่สุดคงจะเป็นข้อเสนอให้แก้ไข พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ ปี พ.ศ. 2505 ใหม่ และ
มีการเสนอให้มีการกระจายอานาจการปกครองคณะสงฆ์ โดยเราอาจพบข้อเสนอดังกล่าวในเกือบ
ทุกๆ คร้ังของการให้สัมภาษณ์ต่อป๎ญหาคณะสงฆ์ของพระไพศาลท่ีท่านมักจะกล่าวถึง ในแง่
ความสาคัญต่อการแก้ไขพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ ปี พ.ศ. 2505 หรือ เสนอให้มีการกระจายอานาจ
การปกครองคณะสงฆ์ โดยผ่านแม่แบบจากพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2484 และข้อเสนอ
ดังกล่าวเองเราก็สามารถพบได้ในหนังสือ เร่ือง พุทธศาสนาไทยในอนาคตแนวโน้มและทางออกจาก
วิกฤต เขยี นโดย พระไพศาล วิสาโล หรือแม้แต่ข้อเสนอของนิธิ เอียวศรีวงศ์ ก็กล่าวว่าคณะสงฆ์ต้อง
ถูกถ่วงดลุ และตรวจสอบโดยสังคมเพราะมีความเหินห่างจากสังคมเนื่องจากกลไกของคณะสงฆ์นั้นมุ่ง
ข้ึนตรงต่อรัฐมากไปจนขาดการมีส่วนร่วมของชาวพุทธบริษัท ข้อเสนอของนิธิ เอียวศรีวงศ์ จึงมักจะ
เสนอให้มีการปรับปรุงกลไกภายในคณะสงฆ์ เพื่อลดกลไกการขึ้นตรงต่อรัฐและหันมาสร้างกลไกให้
คณะสงฆ์มีสว่ นร่วมกบั ชุมชนและสงั คมในการกากับดแู ลกิจการของคณะสงฆ์ ซึ่งจะพบข้อเสนอเหล่านี้
ที่ปรากฏในหนงั สอื เร่อื ง การปฏริ ูปพระพุทธศาสนาในประเทศไทย ซึ่งเขียน โดยนิธิ เอียวศรีวงศ์และ
ประมวล เพง็ จนั ทร์
เพราะฉะนน้ั การเสนอแนวทางในการแก้ไขป๎ญหาโครงสร้างการปกครองคณะ
สงฆ์โดยการแยกรัฐออกจากศาสนาจึงเป็นข้อเสนอที่ใหม่สาหรับผู้วิจัยและอาจใหม่สาหรับสังคมด้วย
เช่นเดียวกันแต่แม้ว่าจะเป็นข้อเสนอท่ีใหม่สาหรับสังคมแต่เนื่องด้วยปรากฏก ารณ์ของความเส่ือม
โทรมของคณะสงฆ์ไทยดังท่ีปรากฏเป็นข่าวคราวแทบทุกวัน ย่ิงโดยเฉพาะเหตุการณ์การชุมนุมของ
พระสงฆ์ท่ีพุทธมณฑล ในวันท่ี 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 ท่ีผ่านมาจนนามาสู่การปะทะกันระหว่าง
103
พระสงฆ์กับเจ้าหน้าท่ีทหาร ภาพของการปะทะระหว่างพระสงฆ์กับเจ้าหน้าท่ีทหารท่ีปรากฏต่อส่ือ
สงิ่ พิมพท์ กุ ฉบบั และการนาเสนอของสอ่ื โทรทัศนใ์ นครัง้ น้นี าไปสูก่ ารตง้ั คาถามจากสังคมจานวนมากว่า
การที่พระสงฆอ์ อกมาชมุ นมุ จนมีการปะทะกับเจ้าหน้าท่ที หารดังกล่าวอะไรเป็นสาเหตุให้พระสงฆ์ต้อง
ออกมาชุมนุม หรือแม้แต่ข่าวคราวสะเทือนใจวงการสงฆ์ของพระฝุายมหานิกายและฝุายธรรมยุติคือ
การทร่ี ัฐบาลนาโดยพลเอกประยทุ ธ์ จนั ทรโ์ อชา นายกรัฐมนตรีได้ชะลอการนาเรื่องทูลเกล้าขอแต่งตั้ง
สมเด็จพระสังฆราชโดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทั้งนี้เพราะรัฐบาลอ้างว่าหากชาวพุทธยังไม่มี
ความสงบสามัคคีมากพอซง่ึ มีสาเหตมุ าจากความขัดแย้งระหว่างพระพุทธอิสระที่ไม่พอใจความบริสุทธิ์
ของสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุํฺโญ) เจ้าอาวาสวัดปากน้าภาษีเจริญ (ว่าที่สมเด็จ
พระสงั ฆราช) ท่ีมีความสัมพันธ์กับเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย จึงเป็นเหตุผลให้รัฐบาลชะลอเร่ืองน้ีไว้
ผนวกกับยุคป๎จจุบันกระแสของความตื่นตัวของประชาชนที่มีสานึกต่อการปกครองในระบอบ
ประชาธปิ ไตยมมี ากขนึ้ อย่างต่อเนอ่ื ง จึงอาจเป็นเหตุผลหน่ึงท่ีทาให้นิสิตนักศึกษาและนักวิชาการฝุาย
เสรีนิยมประชาธิปไตยมักกล่าวถึงและให้ความสาคัญต่อประเด็นการแยกรัฐออกจากศาสนามากขึ้น
ทั้งน้ีการแยกรัฐออกจากศาสนาซ่ึงดูเหมือนจะเป็นคาตอบเดียวและควรจะเป็นควรจะเกิดข้ึนเพื่อลด
อานาจในการท่ีรัฐเข้าควบคุมคณะสงฆ์ดังท่ีเคยกล่าวไว้ในบทท่ี 3 หัวข้อที่ 3.1.1.1 การควบคุมคณะ
สงฆ์โดยรฐั ซ่งึ ผู้วจิ ัยเองได้วิเคราะหไ์ ว้ว่าเปน็ สาเหตสุ าคัญที่ทาให้คณะสงฆ์ประสบกับป๎ญหาโครงสร้าง
การปกครองการแยกรัฐออกจากศาสนาจึงเสมือนเป็นทางออกเพ่ือปราศจาการการควบคุมคณะสงฆ์
โดยรัฐ
ดงั น้ัน การควบคุมคณะสงฆโ์ ดยรัฐ นา่ จะเป็นสาเหตสุ าคญั ที่ทาให้คณะสงฆ์
ประสบกับป๎ญหาโครงสร้างการปกครอง ผนวกกับปรากฏการณ์ความสนใจท่ีมีต่อกระแสการแยกรัฐ
ออกจากศาสนาจึงไม่สามารถเพิกเฉยโดยไม่สามารถนามากล่าวถึงข้อเสนอเหล่านี้ได้เพราะในอนาคต
อาจเป็นข้อเสนอที่มีความเป็นไปได้ในทางปฏิบัติและอาจนามาสู่ความงอกงามของพระพุทธศาสนา
และทางอออกสาหรบั คณะสงฆใ์ นท่ามกลางโลกสมัยใหม่ได้มากกวา่ กวา่ ขอ้ เสนอทีผ่ า่ นๆ มาก็เป็นไปได้
แตท่ ัง้ นก้ี ็เป็นท่แี น่นอนว่าขนึ้ อยกู่ ับท่าทีของการรบั รแู้ ละระดบั ความเข้าใจของผอู้ ่านหรือผู้รับสารว่าจะ
มีความเป็นไปไดใ้ นทางข้อเสนอจนเกดิ การเปล่ียนแปลงในทางปฏิบตั มิ ากน้อยเพียงใด
กอ่ นท่ีจะลงลกึ ถึงรายละเอียดของข้อเสนอการแยกรฐั ออกจากศาสนาน้ันในทีน่ ้ี
ขอกลา่ วถึง หลักการของการแยกรัฐออกจากศาสนาและตามมาด้วยการกล่าวถึงนักวิชาการที่ออกมา
ใหค้ วามเหน็ เรือ่ งนวี้ า่ เปน็ ใครบา้ งและมีพื้นเพหรือภูมิหลงั ทางการศึกษาเป็นมาอย่างไร เพราะสามารถ
ทาให้เราเข้าใจได้ว่าเพราะเหตุใดนักวิชาการเหล่าน้ีจึงมีข้อเสนอที่มีความแตกต่างแปลกใหม่ไปจาก
ขอ้ เสนอตา่ งๆ ที่ผ่านมา
104
4.1.1.1 ทรรศนะการแยกรัฐออกจากศาสนาของนกั วชิ าการในปจั จุบัน
การแยกรฐั ออกจากศาสนาไดร้ บั ความนิยมและทวคี วามสนใจมากขน้ึ
ในปจ๎ จุบนั ไม่เว้นแต่ในระดับโลกหรือแม้แต่ในประเทศไทยเอง สาหรับในเมืองไทยเองการแยกรัฐออก
จากศาสนาได้มีนักวิชาการด้าน ศาสนวิทยาอย่างศิลป์ชัย เชาว์เจริญรัตน์ก็ได้กล่าวไว้อย่างน่าสนใจ
ในเวป็ ไซต์ https://www.change.org/p/วา่
หลักการเร่ืองเสรีภาพทางศาสนา มี 2 หลักการที่เกี่ยวขอ้ ง หลักการแรกคอื เสรีภาพใน
การนับถอื ศาสนา (Freedom of Religion) หลกั การท่สี อง คือ การแยกศาสนาออก
จากรัฐ (The Separation of Religion and State) ซ่งึ เกย่ี วข้องกันแต่ไมเ่ หมอื นกนั
การแยกศาสนาออกจากรัฐ ทาให้ประเทศมคี วามเป็นกลางทางศาสนา โดยไม่มี
ศาสนาประจาชาติ ประชาชนทุกคนมีความเท่าเทยี มทางศาสนา ในขณะท่ปี ระเทศที่
แยกศาสนาออกจากรฐั ก็ย่อมจะมีศาสนาประจาชาติและมแี นวโน้มท่จี ะไม่เปน็ กลาง
ทางศาสนากัน โดยประเทศไทยใหเ้ สรภี าพในการนับถอื ศาสนาแต่ไม่แยกศาสนาอออก
จากรฐั ซึง่ ท่ีจริงแลว้ เสรีภาพในการนับถือศาสนากต็ อ้ งตงั้ อยบู่ นหลักพื้นฐานเรื่องความ
เสมอภาคดว้ ย รัฐจงึ ควรปฏบิ ตั ติ ่อทุกศาสนาอย่างเสมอภาคกนั และหลีกเลย่ี งการให้
ความสาคญั กับศาสนาใดศาสนาหนงึ่ เกนิ ความจาเป็น (https://www.change.org/p/)
น้ีคอื หลักการเบอ้ื งต้นของการแยกรฐั ออกจากศาสนาของ ดร.ศลิ ป์ชยั
เชาว์เจริญรัตน์ ต่อไปจะกล่าวถึงท่าทีและมุมมองของนักวิชาการที่สนับสนุนหรือมีข้อเสนอให้แยกรัฐ
ออกจากศาสนาสาหรับนักวิชาการที่พบว่ามีข้อเสนอแยกรัฐออกจากศาสนาน้ัน พบว่า มี 2 ท่าน คือ
(1) วิจักขณ์ พานิช และ (2) สรุ พศ ทวีศกั ดิ์
ขอ้ เสนอแนวทางการแยกรฐั ออกจากศาสนาและรวมทงั้ ข้อเสนออื่นๆ ทม่ี ี
ความเก่ียวข้องกบั การแก้ไขปญ๎ หาเชงิ โครงสร้าง ตามที่วิจกั ขณไ์ ดก้ ล่าวถงึ ไว้ในหนังสือ เรื่อง รัฐ-ธรรม-
นวั ปรากฏในหวั ขอ้ เร่ือง วกิ ฤตพุทธศาสนาในอุษาคเนย์ปมขัดแยง้ กับมุสลมิ ซง่ึ วิจกั ขณ์ไดก้ ลา่ วไว้วา่
แยกรัฐออกจากศาสนากอ่ นเลยเป็นอยา่ งแรก ไมม่ อี งค์กรศาสนาของรฐั รัฐไม่เขา้ มาก้าว
ก่ายกิจการดา้ นศาสนา
(1) รัฐส่งเสริมความเท่าเทียมกันของทุกศาสนาทุกความเช่ือทุกองค์กรศาสนามีสถานะ
เหมือนเป็นมูลนิธิ/องค์กรเอกชนที่มีข้อบังคับและได้รับการตรวจสอบทางกฎหมาย
เหมือนกันเป็นมาตรฐานเดยี ว
105
(2) แปรอานาจรวมศูนย์ เป็น “อานาจเครือข่าย”วัดหรือสานักพุทธเถรวาทที่เชื่อว่ายัง
ปฏิบัติ “ธรรมวินัยแบบเดียวกัน” หรือมีการทาประโยชน์เพ่ือสาธารณะในทิศทาง
เดียวกัน สามารถจดั ตัง้ เปน็ เครือข่ายของวดั ได้ (วิจักขณ์ พานชิ , 2558, น. 273-275)
จากข้อเสนอของวจิ ักขณพ์ าณชิ ก็มคี วามสอดคลอ้ งกบั ข้อเสนอการ
แยกรัฐออกจากศาสนาเช่นเดียวกับที่สุรพศ ทวีศักด์ิได้เคยเสนอไว้เช่นเดียวกัน ในส่วนข้อเสนอการ
แยกรฐั ออกจากศาสนาของสุรพศ ทวีศักด์ิ โดยจากการสัมภาษณ์ของผู้วิจัย สุรพศ ทวีศักดิ์ได้กล่าวถึง
ว่า
การแยกศาสนาออกจากรัฐ (secularization) คอื การแยกอานาจและบทบาทของรฐั กับ
ศาสนาออกจากกันอยา่ งชัดเจน โดยถอื วา่ อานาจและบทบาทของรฐั เปน็ เร่ืองทางโลก ที่
ต้องใช้หลกั การอดุ มการณท์ างโลก รัฐจะใชค้ วามจรงิ สูงสุด หรือความเชอ่ื ของศาสนา
ใดๆ ทีศ่ กั ดิส์ ทิ ธ์ิ มาเปน็ หลักปกครองไมไ่ ด้ ศาสนาถือเปน็ เรือ่ งส่วนบุคคลท่มี เี สรภี าพจะ
นับถือไมน่ ับถือศาสนาใดๆ กไ็ ด้ ใครจะเชื่อหรือไม่เช่อื ความจริงสงู สดุ ทางศาสนาหรอื ไม่
กไ็ ด้ แต่คณุ ไม่มีสทิ ธิอ้างความเชือ่ น้ันๆ มาออกเป็นกฎหมายบงั คับให้คนทัง้ หมดใน
สงั คมต้องปฏบิ ตั ิตาม ฉะนัน้ บทบาทของศาสนาจึงเปน็ บทบาทส่งเสริมคุณคา่ ทางจติ
วิญญาณของปจ๎ เจกบุคคล ส่งเสริมวัฒนธรรมประเพณีและการทากจิ กรรมทางศาสนา
ร่วมกนั ของขุมชนทางศาสนาต่างๆ ซึง่ ศาสนาจะมีบทบาทเช่นนไ้ี ดอ้ ยา่ งมอี ิสระ และ
ประสทิ ธภิ าพ ศาสนาจะต้องอยกู่ ับชุมชน ทาให้ชุมชุมไดป้ ระโยชน์และรสู้ กึ มสี ว่ นร่วม
เป็นเจ้าของและผกู พันกับศาสนานน้ั ๆ โดยเปน็ วถิ ชี วี ติ ทางวัฒนธรรมของชุมชนหรอื
สังคมทางศาสนานนั้ ๆ เอง โดยจะเป็นเช่นนี้ได้ก็ตอ่ เม่ือองคก์ รศาสนาแยกตัวจากอานาจ
รัฐ ไมเ่ ปน็ องคก์ รของรฐั แตเ่ ป็นองค์กรเอกชนท่ีปฏิบตั ิตามกฎหมายและถูกตรวจสอบ
ความโปร่งใสในมาตรฐานเดียวกบั องค์กรเอกชนทั่วไป (สุรพศ ทวศี กั ด,ิ์ สัมภาษณ์, 29
กันยายน 2558)
จากข้อความที่กลา่ วถึงทีผ่ ่านมาทัง้ โดยวิจักขณ์ พานิชและสรุ พศ
ทวศี กั ดิ์ กเ็ ป็นขอ้ เสนอกวา้ งๆ ท่มี ีความนา่ สนใจมากขน้ึ ในเชิงอดุ มการณ์การแยกรัฐออกจากศาสนายิ่ง
ไม่กี่วันที่ผ่านมา (25 กุมภาพันธ์ 2559 ) ก็สามารถสะท้อนความน่าสนใจของข้อเสนอของวิจักขณ์
พานิช และสุรพศ ทวีศักด์ิได้มากย่ิงขึ้น โดย โพสต์ทูเดย์ ได้พาดหัวข่าว "แยกศาสนาจากรัฐ-เลิก
ระบอบรวมศูนย์" ปฏิรูปวงการสงฆ์แก้วิกฤตศรัทธา” ในฉบับของวันท่ี 25 กุมภาพันธ์ 2559 โดยใน
เน้ือข่าวได้กลา่ วถงึ ว่า
นาทนี ีว้ งการสงฆร์ อ้ นระอ.ุ .หลากหลายป๎ญหาคาราคาซงั ท้ัง ประเด็นเร่อื งการสถาปนา
106
สมเดจ็ พระมหารชั มังคลาจารย์ (ช่วง วรปํุ ฺโญ) เจ้าอาวาสวัดปากนา้ ภาษีเจรญิ ขน้ึ เป็น
พระสังฆราช กรณี พระธัมมชโยแหง่ วดั ธรรมกาย จนถึงการเรียกร้องจากเครอื ข่ายคณะ
สงฆใ์ ห้บญั ญตั ิพทุ ธศาสนาเป็นศาสนาประจาชาติในรฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักรไทย
ป๎ญหาทง้ั หมดทั้งมวล นาไปสกู่ ระแสวพิ ากษว์ จิ ารณ์ครง้ั ใหญ่ เกดิ คาถามรอ้ นแรงว่า
ป๎ญหาเหลา่ น่มี ีท่มี าจากอะไร เเละ การปฏิรูปตอ้ งเริ่มจากตรงไหนเพือ่ ไมใ่ ห้ สถาบัน
ศาสนาถึงกาลเสอ่ื ม (http://www.posttoday.com)
และในรายงานขา่ วของโพสตท์ ูเดย์ของวนั ดังกล่าว (25 กุมภาพันธ์ 2559)
ยังได้นาบทสัมภาษณ์ของสุรพศ ทวีศักดิ์รวมท้ังวิจักขณ์ พานิช และชาญณรงค์ บุญหนุนมากล่าวถึง
ด้วย ในท่ีน้ีจงึ จะนามากล่าวถงึ ไว้ โดยสรุ พศ ทวีศกั ด์ิ ได้ให้ทรรศนะไว้วา่
ประเทศไทยต้องปฎริ ูป โดยแยกศาสนาออกจากรฐั เป็น Secular state หรือ รัฐ
ฆราวาส หรือ รฐั โลกวิสยั เหมือนในหลายประเทศ หากแยกไม่ได้ โครงสรา้ งสงฆ์ยังถือ
เปน็ โครงสรา้ งทางการเมอื งโดยตัวเอง และทาใหป้ ๎ญหาต่าง ๆ ยังคงอยู่
ในยคุ กลางของโลกตะวนั ตก รัฐและศาสนจักร มีอานาจมากเกนิ ไป มีอานาจควบคุม
ศรทั ธา ถูกนาไปใชป้ ระโยชน์ทางการเมือง การกดขี่ ตลอดจนกระบวนการลา่ แม่มด
ดงั นนั้ จงึ มีแนวคิดการแยกศาสนาจากรฐั เกิดขึ้นในทสี่ ดุ ประเทศไทยเราเมอ่ื ยงั แยก
ไมไ่ ด้ ก็เท่ากบั วงการสงฆ์โกหกตัวเองทกุ คร้งั ทบ่ี อกวา่ ฆราวาสอย่ามายุ่งเรอื่ งพระ
เพราะว่า พระถกู ปกครองโดยฆราวาส ตอนน้จี ะต้ังประมุขสงฆ์ยงั ไม่ไดเ้ ลย ตอ้ งขึน้ ต่อผู้
มีอานาจรัฐ ขณะท่ฆี ราวาส จะไปวิจารณ์พระสงฆว์ า่ บา้ ยศ บ้าตาแหนง่ ก็ไมไ่ ดเ้ ช่นกนั
เมื่อรฐั เป็นผตู้ ้ังยศใหพ้ ระเดินตามลาดับ ไตเ่ ต้าไปจนถึงสังฆราช ตามระเบียบกฎหมายที่
ตวั เองกาหนด (http://www.posttoday.com)
นเี้ ป็นการยืนยนั ความสาคัญและความจาเป็นถงึ การแยกรฐั ออกจาก
ศาสนาของ สุรพศ ทวีศักดิ์ เพราะท้ังพระสงฆ์และคณะสงฆ์กาลังอยู่ในวงล้อมของสภาพป๎ญหาต่างๆ
ดังที่ปรากฏเป็นข่าว สาหรับ ในเนื้อข่าวนี้ วิจักขณ์ พานิช นักวิชาการด้านศาสนา ก็ได้วิเคราะห์
เช่นเดียวกนั ว่า
โครงสรา้ งศาสนาจาเปน็ ต้องถูกปฏริ ูป โดยแยกศาสนาออกจากรัฐอยา่ งเด็ดขาด เปน็
ลักษณะของมลู นธิ หิ รอื เอกชน มีการตรวจสอบเป็นมาตรฐานเดียว ไม่มีการนาศาสนา
ไปอยใู่ นโรงเรยี นหรอื ราชพธิ ตี า่ งๆ โดยโมเดลทเ่ี ขามกั นาเสนอมาตลอดคือการปรับตัว
ของศาสนายุคสมัยใหม่ ในประเทศอินเดีย ทเี่ ป็น "รฐั โลกวสิ ยั (Secular state)" คือรฐั
หรือประเทศทเี่ ปน็ กลางทางด้านศาสนา ไมส่ นบั สนนุ หรือตอ่ ตา้ นความเชื่อหรือการ
107
ปฏบิ ตั ิทางศาสนาใดๆ ปฏิบัตติ อ่ ประชาชนอยา่ งเท่าเทยี มไมว่ ่าจะนบั ถอื ศาสนาใด
(http://www.posttoday.com)
นอกจากน้ี วิจกั ขณ์ พานิชยังไดม้ องปรากฏการณ์ขา่ วคราวของพระสงฆ์
ท่เี กดิ ขนึ้ ดว้ ยวา่
ความขัดเเยง้ ทเ่ี กิดขึน้ เปน็ โอกาสให้เรามองเหน็ ว่า การมตี าแหน่งสมณศกั ดิ์
ทงั้ หลาย คอื สิ่งทีผ่ ิดเพ้ยี นไปจากพระธรรมวนิ ัยและคาสอนของพระพุทธเจา้ เราควร
จะต้งั หลักให้ดๆี แล้วบอกวา่ ทะเลาะกนั ดนี ัก ยกเลิกไปทัง้ หมดเลยระบบปกครอง
ลักษณะนี้ และต้ังหลกั กับการปกครองใหม่ ศาสนาพทุ ธจะอยูอ่ ย่างสง่างามในโลก
สมัยใหม่ ต้องแยกตวั เองออกมาจากรฐั ให้ได้ อะไรท่ีเปน็ ท่ียอมรับในสงั คมได้กจ็ ะอยู่รอด
ไป อะไรท่ีไมม่ ใี ครสนบั สนนุ กจ็ ะหายไป เหมือนคุณทาหนังสอื พมิ พ์ ถา้ หนังสือดี มีคน
อ่าน เขาก็สนบั สนนุ แตถ่ ้าทาแลว้ ไม่มใี ครซ้ือก็จบไป มันเป็นเรอ่ื งของการใช้
วิจารณญาณของตวั เอง (http://www.posttoday.com)
จากทรรศนะของของสุรพศ ทวีศกั ดิ์ และ วจิ ักขณ์ พานิช จงึ เป็นการ
ยืนยันการแก้ไขป๎ญหาโครงสร้างการปกครองคณะสงฆ์ในป๎จจุบัน ด้วยวิธีการแยกรัฐออกจากศาสนา
ได้เป็นอย่างดี อย่างไรก็ตาม ในหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ของฉบับของวันดังกล่าว (25 กุมภาพันธ์
2559) ยังได้นาทรรศนะของ ชาญณรงค์ บญุ หนนุ อดตี พระมหาเปรียญธรรม 6 ประโยค ป๎จจุบันเป็น
อาจารย์สอนท่ีภาควิชาปรัชญา คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร โดยในเนื้อหาของ
หนังสือพิมพ์ได้กล่าวถึงโอกาสของความเป็นไปได้ของอุดมการณ์การแยกรัฐออกจากศาสนาจาก
ทรรศนะของชาญณรงค์ บุญหนุนไว้ว่า “ข้อเสนอให้นาศาสนาออกจากรัฐน้ันพูดง่าย แต่ในเมืองไทย
เป็นไปได้ยาก เน่ืองจากศาสนาพุทธ ผูกติดกับสังคมไทยเป็นเวลานาน ในทุกช นช้ัน
(http://www.posttoday.com)
ฉะนัน้ นอกจากอุดมการณ์และทรรศนะของนักวิชาการท่ีกลา่ วถงึ การ
แยกรัฐออกจากศาสนาว่ามีความจาเป็นต่อแก้ไขการปกครองคณะสงฆ์ในท่ามกลางป๎ญหาที่ทับถมกัน
มากมาย สง่ิ ท่จี าเป็นในขน้ั อีกต่อไปคือ การพยายามแสวงหาช่องทางความเป็นไปได้ในทางปฏิบัติของ
การแยกรัฐออกจากศาสนาจึงจาเป็นที่จะต้องพิจารณา กรณีศึกษาการแยกศาสนาออกจากรัฐจาก
ประเทศอนิ เดยี มาเปน็ ตัวแบบในการช่วยอธบิ ายดว้ ย ดังจะขอกล่าวถงึ ในหน้าถดั ไป
108
4.1.1.2 กรณีศึกษาและแนวทางปฏิบัตกิ ับความเป็นไปไดใ้ นการแยกรฐั ออก
จากศาสนา
การนากรณศี กึ ษาการแยกศาสนาออกจากรฐั จากประเทศอินเดยี ประกอบ
เป็นตัวแบบในการช่วยอธิบายนั้นก็เพราะเน่ืองจากว่าลักษณะของประชาชนในอินเดีย และไทยเองมี
ความคลา้ ยคลงึ กนั อย่างมากกล่าวคือ การท่ีศาสนามีพลังในการขับเคล่ือนทางสังคมและแง่ประชาชน
ท้ังไทยและอินเดียก็น้อยมากท่ีจะมีประชาชนไม่นับถือศาสนา ความพยายามแยกรัฐออกจากศาสนา
ของไทยเองเหมือนดังมุมมองจากตะวันตกที่พบว่ามีสัดส่วนของประชาชนผู้ไม่นับถือศาสน ามากจึงดู
เหมือนจะมีความเป็นไปได้ที่ยาก ฉะนั้นจึงขอยกกรณีศึกษาการแยกศาสนาออกจากรัฐจากประเทศ
อินเดียโดยคมกฤช อุย่ เต็กเคง่ ซง่ึ ได้กล่าวไวว้ า่
คาวา่ ฆราวาสวิสยั หรอื secularism แบบอนิ เดยี ไมเ่ หมอื นกบั ตะวนั ตก ตะวันตกจะใช้
คาวา่ secularism ในความหมายของการแยกศาสนาออกจากรัฐ แต่ในอนิ เดียเป็น
แนวคิดทไ่ี ม่พยายามแยกรฐั กบั ศาสนาออกจากกัน เน่ืองจากผปู้ กครองอินเดียตั้งแตอ่ ดีต
เหน็ แล้ววา่ ศาสนาเป็นพลังขับเคลือ่ นสาคญั ทางสังคม ประชากรอนิ เดียมนี อ้ ยมากทีไ่ ม่
นับถือศาสนา แล้วประชากรอินเดียมตี ง้ั พนั ล้านคน ดังน้นั การทรี่ ฐั จะแยกออกจาก
ศาสนานั้นทายากมาก หรอื พดู ง่ายๆ วา่ ศาสนาสาคัญมากในอนิ เดยี ท่าทีของ
Secularism ในอินเดียคือพยายามใหร้ ฐั ปฏบิ ตั ติ อ่ ทกุ ศาสนาอยา่ งเทา่ เทียมกนั คอื
ไม่ใหเ้ งนิ ค่าบารงุ กบั ศาสนาหน่งึ มากกวา่ อีกศาสนาหนึง่ ไม่ไดใ้ หอ้ ภิสทิ ธ์ิกบั นักบวชของ
ศาสนาหนึง่ มากกว่าอีกศาสนาหนงึ่ คุณไมม่ ขี ้อกดี กนั ศาสนาอน่ื
(http://prachatai.org/journal)
นค้ี ือลกั ษณะเฉพาะของการแยกรัฐออกจากศาสนาทีเ่ กิดขนึ้ ในประเทศ
อินเดีย นอกจากนี้คมกฤช อุ่ยเต็กเค่ง ยังได้กล่าวทิ้งท้ายไว้อีกว่า “การเป็น secular ของรัฐไทย จึง
เป็นความจาเป็น ไม่ใช่แค่ควรเป็น แต่ความจาเป็นน้ีสงสัยจะยาก เพราะมันจะเกิดในประเทศที่มี
ประชาธิปไตยที่เข้มแข็ง”(http://prachatai.org/journal) จากข้อความนี้ท่ีคมกฤชกล่าวมีข้อสรุปท่ี
เขา้ ใจไดว้ ่า การท่ีจะเกิดการเป็น secular ในไทย ก็มคี วามจาเป็นที่ต้องสร้างประชาธิปไตยท่ีเข้มแข็ง
ดว้ ย
สว่ นทางดา้ นพระสงฆ์เอง คอื พระไพศาล วิสาโลก็มีทรรศนะตอ่ การแยก
รฐั ออกจากศาสนา ดังปรากฏในเวปไซต์ http://www.northpublicnews.com/ เร่ือง จ้ีแยกศาสนา
ออกจากรฐั พระไพศาลยา้ การถกู ครอบงาทาใหอ้ งค์กรสงฆอ์ ่อนแอ โดยทา่ นกล่าวไว้วา่
กรณขี องไทย จึงเหน็ วา่ ควรแยกรัฐออกจากคณะสงฆ์ แต่ในระดับไหน เปน็ เรอ่ื งท่ตี อ้ งมา
109
พิจารณากนั อกี ที แตเ่ ท่าทส่ี งั เกตเหน็ การทร่ี ฐั เข้ามาเกยี่ วข้องกบั ศาสนาน้นั มกั ใชข้ ้ออา้ ง
ว่าเป็นการคมุ้ ครองดูแล แตท่ ่ีจรงิ การคมุ้ ครองกับการควบคมุ นัน้ แยกกันไม่ออก รัฐมกั
จะคุ้มครองกต็ ่อเมอื่ อยู่ในแบบแผนของรฐั ท่ีรัฐรบั รองเท่านัน้ สว่ นการสนับสนนุ องค์กร
ทางศาสนากย็ ังมไี ด้ แตต่ อ้ งในลกั ษณะท่ไี ม่ครอบงา และตรวจสอบได้ขณะเดยี วกันเรื่อง
การใช้สัญลักษณ์และพิธกี รรม กไ็ มม่ คี วามจาเป็น เพราะไมไ่ ด้ช่วยให้คนศรทั ธาใน
ศาสนามากขน้ึ นอกจากนีย้ ังต้องมาพูดคุยกนั ถงึ เรื่องการสอนวิชาทางพุทธศาสนา
ให้ลึกซึง้ กวา่ เดมิ (http://www.northpublicnews.com/)
ฉะนัน้ หากต้องการแยกรฐั ออกจากศาสนาโดยคานึงถงึ ความเปน็ ไปได้
ในทางปฏิบตั ิควรทจี่ ะตอ้ งพิจารณาถงึ สองประการหลกั ๆ กล่าวคอื ในประการแรกจะต้องศึกษา โดย
นาประเทศอินเดียมาเป็นแม่แบบในการเป็นกรณีศึกษาเพราะมีความใกล้เคียงกันในแง่ศาสนาที่มีพลัง
ในการขับเคล่ือนสังคมที่ใกล้เคียงกับประเทศไทย ประการที่สอง อาจจะต้องศึกษาว่า ขอบเขต
ระหวา่ งรัฐกับศาสนาควรมีระยะห่างที่เหมาะสมขนาดไหนจึงจะสามารถมีการแยกรัฐออกจากศาสนา
ท่ีมีความเป็นไปได้ในทางปฏิบัติและส่ิงท่ีสาคัญที่สุดการแยกรัฐออกจากศาสนาจะมีความเป็นไปได้ก็
ต่อเม่ือมีระบอบประชาธิปไตยท่ีเข็มแข็ง ในทางปฏิบัติความเป็นไปได้นั้นนอกจากต้องมีระบอบ
ประชาธปิ ไตยเป็นองค์ประกอบหลักที่สาคัญที่จะเกิดได้แล้วองค์ประกอบสาคัญคือ จะต้องไม่เป็นการ
ยกเลิกโดยหักโค่นจากของเดิมไปเสียหมดเช่นยกตัวอย่าง การแยกรัฐออกจากศาสนาที่มีข้อเสนอ
ในทางปฏบิ ตั วิ า่ ต้องยกเลกิ การเรยี นการสอนพระพุทธศาสนาในโรงเรียนของรัฐในระดับประถมศึกษา
จนกระทั่งถึงมัธยมศึกษาและรวมท้ังยกเลิกการไหว้พระสวดมนต์หน้าเสาธงก่อนเข้าเรียน ข้อเสนอ
เหล่านเ้ี ป็นส่งิ ท่คี วรพจิ ารณาไตร่ตรองให้ดีเพราะไม่เช่นนั้น หากข้อเสนอเหล่าน้ีเกิดขึ้นในทางปฏิบัติน้ี
อาจเป็นเง่ือนไขให้เกิดความรุนแรงโดยกลุ่มอนุรักษ์นิยมเป็นฝุายผลักดันให้เกิดข้ึนก็เป็นได้แทนที่
ขอ้ เสนอเหลา่ นี้จะเกิดประโยชน์แตอ่ าจเป็นโทษเพราะเปน็ เงอ่ื นไขท่ีทาใหเ้ กิดความรนุ แรงตามมา
4.1.2 แนวทางในการแก้ไขปัญหาโครงสร้างการปกครอง โดยการปรับปรุง
โครงสรา้ งคณะสงฆ์ ตามทรรศนะของนกั วชิ าการและข้อเสนอของผ้วู ิจัย
ทรรศนะของนกั วิชาการตามทผี่ ้วู จิ ยั ขอทาการสมั ภาษณน์ ัน้ มีทง้ั พระสงฆ์และ
ฆราวาส โดยทรรศนะจากนักวิชาการเหล่านี้มีความต้องการปรับปรุงโครงสร้างคณะสงฆ์เท่านั้นไม่มี
ทรรศนะที่ต้องการแยกรัฐออกจากศาสนาแต่อย่างใดและข้อความของการให้สัมภาษณ์เก่ียวกับ
แนวทางในการแก้ไขป๎ญหาโครงสร้างการปกครอง จากทรรศนะของนักวิชาการโดยส่วนใหญ่ท่ีจะ
กลา่ วถึงนี้เป็นไปในลกั ษณะของความพยายามในการจัดความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับคณะสงฆ์ที่ยังเปิด
110
โอกาสให้คณะสงฆ์ยังถูกควบคุมโดยรัฐตามความเหมาะสมแก่ผลประโยชน์ท่ีเก้ือหนุนถ่วงดุลไปในทั้ง
สองฝุาย
4.1.1.1 แนวทางในการแกไ้ ขปัญหาโครงสร้างการปกครองคณะสงฆ์โดยการ
ปรบั ปรุงโครงสร้างเดมิ และเพ่ิมเติมหน่วยงานใหม่
ทรรศนะของพระสงฆ์นักวิชาการที่อยู่ในระบบมานาน กลา่ วคือเริ่มชีวิต
ต้ังแตค่ ร้งั เป็นสามเณรนอ้ ยจนถงึ การใช้ชีวิตในป๎จจุบันท่ียังคงดารงสถานะเป็นพระภิกษุอยู่ต่อเนื่องมา
กลุ่มพระสงฆ์เหล่านี้มักมีบทบาทในทางคณะสงฆ์และเป็นท่ีน่าสังเกตว่า หากพระสงฆ์เหล่าน้ีจะ
นาเสนอแนวทางแกไ้ ขป๎ญหาโครงสร้างการปกครองโดยส่วนมากก็จะนาเสนอเพียงปรับปรุงโครงสร้าง
เดิมทม่ี อี ยใู่ ห้ดีข้ึนมกั ไม่ค่อยเห็นวิธีการท่ีจะเสนอให้ล้มเลกิ โครงสร้างเดิมและเสนอโครงสรา้ งใหม่
ทรรศนะของพระเทพวิสทุ ธกิ วี (เกษม สํญฺ โต) ก็เชน่ กนั ซง่ึ ท่านไดใ้ ช้
ชีวิตในระบบคณะสงฆ์น้ีอย่างยาวนานตั้งแต่ครั้งเป็นสามเณรน้อยจนกระท่ังถึงเป็นพระภิกษุ เป็นพระ
นักวชิ าการในป๎จจุบนั จน ไดน้ าเสนอแนวทางในการแกไ้ ขป๎ญหาโครงสร้างการปกครองคณะสงฆ์ โดย
การปรับปรุงโครงสร้างเดิมและเพิ่มเติมหน่วยงานใหม่ ซ่ึงก็มีหลายส่วนที่น่าสนใจและน่าพิจารณา
ไตร่ตรองถึงความเปน็ ไปได้ในทางปฏบิ ตั ิ
จากการสมั ภาษณ์ พระเทพวสิ ุทธกิ วี (เกษม สํฺญโต) ไดน้ าเสนอ
แนวทางในการแกไ้ ขปญ๎ หาโครงสรา้ งการปกครอง ไวว้ ่า
ตอ้ งใหม้ หาเถรสมาคมเปน็ มหาเถรสภา ทาหน้าทเ่ี ปน็ ผู้ทรงคุณวุฒใิ ห้คาปรึกษา จดั ต้ัง
สภาบริหารแห่งคณะสงฆ์ขึ้นมาทาหน้าที่บริหารและการปกครอง โดยกาหนดคณุ สมบัติ
บคุ คลข้ึนมาทาหนา้ ทีอ่ กี สภาหนง่ึ พรอ้ มทั้งปรบั ปรุงระบบเจา้ คณะภาคและจัดต้ังสภา
สงฆภ์ าคนั้นๆ ขนึ้ มา โดยมีอานาจหน้าทตี่ ามท่กี าหนด (พระเทพวสิ ุทธกิ วี (เกษม
สํญฺ โต, สัมภาษณ์, 22 ธันวาคม 2558)
ส่วนข้นั ตอนในทางปฏบิ ตั สิ าหรบั การแก้ไขปญ๎ หาโครงสรา้ งการปกครอง
คณะสงฆ์นน้ั พระเทพวิสุทธิกวี (เกษม สํฺญโต) ได้นาเสนอไว้ว่า
ควรจะเปน็ ไปในรูปของการกระจายอานาจมากขึน้ เช่น
ก. มหาเถรสมาคม มีอานาจหนา้ ท่เี ปน็ ที่ปรึกษาและอนมุ ัติสมณศักดิ์
ข. สภาบริหารกิจการคณะสงฆ์ มอี านาจหน้าทีท่ างการบริหารระดับสงู หรอื ระดบั
นโยบาย
ค. สภาบรหิ ารกิจการคณะสงฆภ์ าค มอี านาจหนา้ ที่บริหารคณะสงฆ์ระดับภาค โดย
จดั แบ่งภาคการปกครองใหม่ เช่น แบง่ เป็น ๕ ภาค ๑. ภาคเหนอื ๒. ภาคอสี าน
111
ตอนบน
๓. ภาคอีสานตอนลา่ ง ๔. ภาคกลาง ๕. ภาคใต้ แต่ละภาคมสี ภาเปน็ ของตนเอง
โดยมกี ารเชือ่ มโยงกบั สภาในข้อ ข. โดยกฎหมาย ระเบยี บวินยั นโยบายรวม เปน็ ต้น
(พระเทพวสิ ทุ ธกิ วี (เกษม สํฺญโต), สัมภาษณ์, 22 ธันวาคม 2558)
อนง่ึ ทา่ นได้นาเสนอแนวทางการแก้ไขป๎ญหาโครงสรา้ งการปกครอง
คณะสงฆ์ในลกั ษณะของโมเดลไว้ ดังหนา้ ถดั ไป
สมเดจ็ พระสังฆราช
มหาเถรสมาคม ๒๑ รปู
(มสี มณศกั ดิ์)
กรรมการบรหิ าร/ปกครองคณะสงฆ์ ๒๕ รปู กรรมการบรหิ าร/ปกครองคณะสงฆภ์ าค ๑๕ กรรมการบรหิ าร/ปกครอง คณะสงฆจ์ ังหวัด
(๕ ภาค ไม่มีสมณศักด์ิ) X๕ รปู (จานวนมาก/นอ้ ย ตามประชากร
(ไมม่ สี มณศกั ดิ์) (ไม่มสี มณศกั ดิ์)
ภาพท่ี 4.7 โครงสร้างการกระจายอานาจและการแบ่งธุระงานการปกครองคณะสงฆ์ตามทรรศนะ
ของพระเทพวิสทุ ธกิ วี (พระเทพวิสทุ ธกิ วี (เกษม สํญฺ โต), สมั ภาษณ์, 22 ธนั วาคม 2558)
กรรมการสงฆส์ งู สดุ
กรรมการสงฆภ์ าค
กรรมการสงฆจ์ ังหวัด
ภาพที่ 4.8 โครงสร้างการกระจายอานาจการปกครองคณะสงฆ์ตามทรรศนะของพระเทพวิสุทธิกวี
(พระเทพวสิ ุทธกิ วี (เกษม สํญฺ โต), สมั ภาษณ์, 22 ธันวาคม 2558)
112
มส
บส
กรรมการภาค ๕ ภาค
กรรมการจงั หวดั ทกุ จังหวัด จจ.เป็น ปธ.
เจ้าคณะอาเภอ/เจา้ คณะตาบล/เจ้าอาวาส
ภาพที่ 4.9 โครงสร้างการปกครองคณะสงฆ์ตามทรรศนะของพระเทพวิสุทธิกวี (พระเทพวิสุทธิกวี
(เกษม สํฺญโต), สัมภาษณ์, 22 ธันวาคม 2558)
นอกจากนพ้ี ระเทพวสิ ุทธกิ วี (เกษม สํฺญโต) ยงั ไดเ้ สนอเพมิ่ เตมิ ไว้อกี ว่า
ก. จดั การศกึ ษาใหส้ อดคล้องกับความต้องการด้านปกครอง ด้านการบรหิ าร ด้าน
การศกึ ษา ด้านการเผยแผ่ เปน็ ต้นให้เข้มขน้ และทัว่ ถึงสาหรบั พระภกิ ษุสามเณร
ข. วางระบบบรหิ ารให้เปน็ ไปตามท่ีเสนอไว้ขา้ งตน้ แล้ว
ค. กาหนดยทุ ธศาสตร์ นโยบาย วตั ถปุ ระสงค์ เปาู หมาย (เชงิ ปริมาณ เชงิ คณุ ภาพ
ระยะสั้น ระยะยาว) ให้ครอบคลุม แผนปฏิบัติการ รวมทั้งการจัดต้ังศูนย์ IT และ
จัดตั้งสานักพุทธบัณฑิตเพื่อตัดสินชี้ขาดป๎ญหาต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการตีความ
หลกั ธรรมวินยั คล้ายสานักราชบัณฑิต (พระเทพวิสุทธิกวี (เกษม สํฺญโต), สัมภาษณ์,
22 ธันวาคม 2558)
ทรรศนะของพระเทพวิสุทธิกวี (เกษม สํฺญโต) นัน้ ไม่ได้เปน็ ข้อเสนอให้
113
แก้พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 แก้ไขเพิ่มเติม ปี พ.ศ. 2535 ทั้งฉบับแต่เน้นไปที่การปรับ
โครงสร้างภายในโดยเน้นการกระจายอานาจ โดยเร่ิมตั้งแต่การปรับอานาจและลดภาระงานของมหา
เถรสมาคมให้เหลือเพียงหน้าท่ีในการให้คาปรึกษาแต่ยังคงอานาจเพียงเล็กน้อยโดยเหลือไว้สาหรับ
การมีหน้าทเ่ี พียงอนุมัติสมณศักดเ์ิ ท่าน้นั มหาเถรสมาคมในขอ้ เสนอนี้จึงไม่ได้มีหน้าท่ีในการคัดกรองใน
การคัดเลือกพระสงฆ์ท่ีจะได้สมณศักดิแ์ ตอ่ ย่างใด และมกี ารกระจายอานาจโดยให้มีสภาบริหารกิจการ
คณะสงฆห์ รอื สภาส่วนกลาง ซึง่ มอี านาจหน้าที่ทางการบรหิ ารระดับสูงหรอื ระดับนโยบาย และมีการ
กระจายอานาจไปในส่วนของภาค คือ สภาบริหารกิจการคณะสงฆ์ระดับภาค มีอานาจหน้าที่บริหาร
คณะสงฆร์ ะดับภาค มีการจัดแบ่งภาคการปกครองใหม่ เช่น แบ่งเป็น 5 ภาค 1. ภาคเหนือ 2. ภาค
อีสานตอนบน 3. ภาคอีสานตอนล่าง 4. ภาคกลาง 5. ภาคใต้ แต่ละภาคมีสภาเป็นของตนเอง
โดยมีการเชื่อมโยงกับสภาบริหารกิจการคณะสงฆ์หรือสภาส่วนกลาง โดยกฎหมาย ระเบียบวินัย
นโยบายรวม แม้ว่าเม่ือพิจารณาดูแล้วพบว่า พระเทพวิสุทธิกวี (เกษม สํฺญโต) เสนอไว้จะเป็นลด
ภาระงานและปรับอานาจของมหาเถรสมาคมลง จนต่อมาได้เสนอให้มีต้ังองค์กรเพิ่ม คือ สภาบริหาร
กิจการคณะสงฆ์มอี านาจหนา้ ทีท่ างการบริหารระดับสูงหรือระดับนโยบาย และมีการกระจายอานาจ
ไปในส่วนของภาค คือ สภาบริหารกิจการคณะสงฆ์ระดับภาคและสภาบริหารกิจการคณะสงฆ์ระดับ
จังหวดั แต่องคก์ รของสภาบริหารกิจการคณะสงฆ์นั้นผู้วิจัยมองว่า ยังเป็นองค์กรที่รวมอานาจต่ออีกท้ัง
เป็นการรวบอานาจของในส่วนกลางและส่วนภูมิภาคตามด้วยระดับจังหวัดอีกน้ันเพราะสภาบริหาร
กิจการคณะสงฆ์นอกจากรับหน้าที่ทางฝุายนโยบายแล้วในที่นี้ยังไม่เห็นความชัดเจนว่า จะทาหน้าท่ี
ฝุายตัดสินวินัยหรือไม่ ข้อเสนอดังกล่าวในรายละเอียดผู้วิจัยมองว่ายังไม่มีความชัดเจนเท่าท่ีควร แต่
โดยภาพรวมแล้วข้อเสนอแนวทางในการแก้ไขป๎ญหาโครงสร้างการปกครองคณะสงฆ์ของพระเทพ
วิสุทธิกวี (เกษม สํฺญโต) ก็สามารถนาไปต่อยอดได้เพราะมีบางส่วนท่ีน่าสนใจอยู่บ้างเน่ืองจากเป็น
แนวทางท่จี ะพยายามกระจายอานาจภายในคณะสงฆ์เองโดยมีรูปธรรมตามภาพที่ 7-9 แต่หากถามว่า
เป็นข้อเสนอท่ีสมบูรณ์รอบด้านหรือยังก็คงตอบได้ว่ายังเพราะข้อเสนอแนวทางในส่วนนี้อาจ
ตอบสนองประโยชน์เฉพาะภายในของสงฆ์เองท่ีสามารถช่วยให้ทางานได้คล่องตัวและเป็นการจัด
ความสัมพันธ์ทางอานาจในแนวราบมากข้ึนแต่ยังขาดมิติความสัมพันธ์กับชุมชนท้ังชุมชนเมืองและ
ชมุ ชนชนบทตามบรบิ ทของวัดและยังขาดการเปิดโอกาสให้อุบาสกอุบาสิกาเข้ามากาหนดทิศทางของ
คณะสงฆอ์ กี ทั้งท่านยังไม่ได้กล่าวถึงบทบาทของพระสังฆราชว่าควรจะเป็นว่าควรจะมีบทบาทแค่ไหน
อยา่ งไรเป็นแตเ่ พียงมุ่งเปาู ไปทก่ี ารปรบั อานาจและลดภาระงานของมหาเถรสมาคมเพยี งเท่าน้ัน
114
4.1.1.2 แนวทางในการแก้ไขปัญหาโครงสร้างการปกครองคณะสงฆ์โดยการ
ปรับเปล่ียนโครงสรา้ งใหมโ่ ดยใช้ พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2484 เปน็ แมแ่ บบในการอธิบาย
ทรรศนะท่มี ักเสนอใหใ้ ช้ พระราชบญั ญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2484 เปน็
แม่แบบในการอธิบายเพ่ือเสนอแนวทางในการแก้ไขป๎ญหาโครงสร้างการปกครองนั้นมักจะมาจาก
นักวิชาการท่ีมักมีประสบการณ์ทางวิชาการที่เกี่ยวข้องกับการเรียกร้องสิทธิและมีส่วนเกี่ยวข้องกับ
กิจกรรมทางการเมืองโดยเรียกร้องหรือต่อสู้เพื่อให้ได้มาซ่ึงประชาธิปไตยและสันติวิธี พระไพศาล
วิสาโล คือบุคคลท่ีมีประวัติเก่ียวข้องกับกิจกรรมทางการเมืองดังกล่าวมาก่อนที่จะเข้ามาอุปสมบทใน
พระพุทธศาสนา เม่ือเข้ามาอุปสมบทแล้ว พระไพศาล วิสาโล ท่านก็มักออกมาให้ความเห็นเกี่ยวกับ
สภาพป๎ญหาและแนวทางแก้ไขป๎ญหาคณะสงฆ์โดยตลอดมา ผู้วิจัยเห็นว่าพระไพศาล วิสาโล คือ
บุคคลผู้มีประสบการณ์ท่ีเก่ียวข้องกับการต่อสู้เพ่ือการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงสังคมโดยตลอดมา
ทรรศนะของบุคคลเหล่านี้ควรจะเป็นอย่างไร ในฐานะของนักเปล่ียนแปลง ผู้วิจัยจึงได้สัมภาษณ์พระ
ไพศาล วิสาโล จากการสัมภาษณ์พระไพศาล วิสาโล ถึงแนวทางในการแก้ไขป๎ญหาโครงสร้างการ
ปกครองคณะสงฆ์ ท่านได้กล่าวไวว้ ่า
อาตมาพดู ไปหลายครัง้ แลว้ ในสว่ นของแนวทางแกไ้ ขป๎ญหาโครงสร้างภายในคณะสงฆ์
ว่าควรจะมีโครงสรา้ งท่คี ลา้ ยกบั พระราชบญั ญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2484 ซง่ึ จะช่วยให้มี
การถว่ งดุลอานาจต่อกนั และมีการกระจายอานาจไปในตวั ดว้ ย”
(พระไพศาล วิสาโล, สมั ภาษณ์, 6 มกราคม 2559)
นอกจากน้ันในเวปไซต์ http://visalo.org/columnInterview. พระ
ไพศาล วิสาโล ทา่ นไดก้ ลา่ วถงึ ไว้อกี ว่า
การกระจายอานาจออกจากมหาเถรสมาคม เป็นเรอ่ื งเร่งดว่ นควรมกี ารกระจายอานาจ
จากส่วนกลางสทู่ อ้ งถิ่น รวมท้ังมกี ารจัดต้ังสภาสงฆร์ ะดับประเทศ ระดบั จงั หวดั ระดบั
อาเภอ และระดบั ตาบล ทางานรว่ มกบั เจา้ คณะจงั หวดั เจา้ คณะอาเภอ เจา้ คณะตาบล
ซ่ึงกค็ วรมกี ารทางานในรูปกรรมการมากกว่าที่ทาแบบรวมศนู ย์ทต่ี วั บุคคลขณะเดยี วกนั
ควรให้ฆราวาสเข้ามามสี ่วนร่วมดแู ลความเปน็ ไปของคณะสงฆ์ในทุกระดบั เชน่ มสี ภา
ชาวพุทธในระดับประเทศ ระดบั จงั หวดั และระดับอาเภอ ไปจนถึงระดับตาบล เพ่อื
ดแู ลเอาใจใสเ่ ร่ืองตา่ งๆ ของพระ เชน่ การประพฤติปฏบิ ัตขิ องพระ การศึกษา ความ
เป็นอยู่ วิธนี ้จี ะช่วยใหท้ อ้ งถ่ินต่ืนตวั เรื่องความเป็นไปของคณะสงฆ์ ไมใ่ ชป่ ล่อยให้
เป็นเร่ืองของรฐั หรอื สานกั พทุ ธศาสนาแหง่ ชาติเทา่ นน้ั ขณะเดียวกันกต็ ้องพยายามทา
ใหค้ ณะสงฆ์อิงรฐั นอ้ ยลง ทุกวนั น้โี ครงสรา้ งแบบนไ้ี ม่สามารถทาให้เกิดเอกภาพได้แลว้
115
การรวมศนู ยน์ นั้ ละเลยการมสี ่วนร่วมของทอ้ งถนิ่ ทัง้ พระและชาวบา้ น อีกท้ังทาให้คณะ
สงฆ์เหนิ ห่างหรือตดั ขาดจากชุมชน เพราะไปองิ กับรัฐมาก กเ็ ลยไม่คิดทจ่ี ะพึง่ ตนเอง
เม่ือมีปญ๎ หาอะไรเกิดข้นึ กร็ อแตว่ า่ เมื่อไหร่รฐั จะยืน่ มือมาแก้ไข นอกจากน้ันคณะสงฆ์ก็
ยงั พึ่งพางบประมาณจากรัฐ และพง่ึ พาอานาจรัฐในการจัดการกบั พระทีผ่ ดิ วนิ ัย ทง้ั ท่ีๆ
เป็นเร่ืองท่ีพระควรจัดการกนั เอง แตค่ ณะสงฆ์กลับเรยี กหาอานาจจากรฐั เขา้ มาจัดการ
เร่อื งภายในของคณะสงฆ์ สมยั กอ่ นมอี ะไรเกิดขน้ึ กบั พระ คนก็นกึ ถึงอธบิ ดีกรมศาสนา
ตอนนก้ี ็เรยี กรอ้ งให้สานักพทุ ธศาสนามาจดั การกับเณรคา ทงั้ ทีเ่ รือ่ งแบบนพี้ ระต้องเป็น
ผรู้ เิ รมิ่ จัดการแก้ไข ไม่ใชป่ ล่อยให้ ตารวจหรือฝุายบา้ นเมอื งเข้ามาจัดการ
(http://visalo.org/columnInterview.)
ทรรศนะของ พระไพศาล วิสาโล ทา่ นใช้พระราชบัญญตั คิ ณะสงฆ์ ปี พ.ศ.
2484 มาเป็นแม่แบบในการอธิบายถึงลักษณะของพระราชบัญญัติตลอดถึงโครงสร้างการปกครอง
คณะสงฆ์ที่ควรจะเป็น ผู้วิจัยได้จึงขอสรุปส่ิงท่ี พระไพศาล วิสาโล ท่านได้กล่าวถึงไว้ว่า มีอะไรและ
อยา่ งไรบ้าง
ก. สิง่ ที่พระไพศาลกล่าวถงึ นน้ั เป็นหลกั ในการกระจายอานาจและมี
การถ่วงดุลอานาจไปพร้อมกันตามพระราชบัญญัติการปกครองคณะสงฆ์ ปี พ.ศ. 2484 กล่าวคือมี
สงั ฆสภา สังฆนายก และสังฆมนตรี
ข. พระไพศาลกล่าวถงึ การกระจายอานาจจากส่วนกลางสู่ส่วนภมู ภิ าค
และในส่วนท้องถิ่น รวมท้ังมีการจัดตั้งสภาสงฆ์ระดับประเทศ ระดับจังหวัด ระดับอาเภอ และระดับ
ตาบล ทางานร่วมกบั เจา้ คณะจงั หวัด เจา้ คณะอาเภอ เจา้ คณะตาบล
ค. ใหฆ้ ราวาสเข้ามามสี ว่ นร่วมดแู ลความเป็นไปของคณะสงฆ์ในทุกระดบั
เชน่ มสี ภาทอ้ งถิ่น วิธนี ้จี ะช่วยใหท้ ้องถิ่นต่ืนตัวเร่ืองความเป็นไปของคณะสงฆ์ ไม่ใช่ปล่อยให้เป็นเรื่อง
ของรฐั หรอื สานักพทุ ธศาสนาแห่งชาตเิ ท่าน้นั
ง. ทาให้คณะสงฆ์อิงรัฐนอ้ ยลง ทุกวันน้โี ครงสรา้ งแบบป๎จจุบนั นไ้ี ม่
สามารถทาให้เกดิ เอกภาพไดแ้ ลว้ การรวมศนู ยน์ ้นั ละเลยการมีส่วนร่วมของท้องถิน่ ทั้งพระและชาวบ้าน
อกี ทง้ั ทาใหค้ ณะสงฆ์เหนิ หา่ งหรอื ตดั ขาดจากชุมชน เพราะไปอิงกบั รฐั มาก กเ็ ลยไม่คดิ ทจี่ ะพึง่ ตนเอง
จ. ให้คณะสงฆจ์ ดั การพระสงฆท์ ป่ี ระพฤตผิ ิดพระวินัยด้วยกระบวนการ
ของสงฆ์ตามพระธรรมวินัยเองโดยไม่มีความจาเป็นที่จะต้องให้อานาจรัฐมาช่วยจัดการหากความผิด
น้ันไมม่ คี วามเก่ยี วขอ้ งกับกฎหมายบา้ นเมือง
วเิ คราะห์จากข้อสรุปในข้างต้นนี้ พบวา่ เป็นแนวทางการแก้ไขโครงสรา้ ง
116
ที่ค่อนข้างครอบคลุมและอุดช่องว่างของป๎ญหาที่จะเกิดขึ้นหรือเส่ียงท่ีจะตามจากทุกทิศทางได้เป็น
อย่างดี แต่ผู้วิจัยคิดว่าจากแนวทางท่ีครบคลุมน้ีจะต้องกาหนดรายละเอียดของโครงสร้างที่จะเกิดข้ึน
ให้เป็นรูปธรรมและมีความเป็นไปได้ในทางปฏิบัติอีกทีเพราะยังมีข้อถกเถียงเก่ียวกับพระร าชบัญญัติ
คณะสงฆ์ พ.ศ. 2484 ว่า เปิดโอกาสให้พระผู้น้อยวิจารณ์โต้ตอบพระผู้ใหญ่ซึ่งดูเหมือนจะไม่ให้ความ
เคารพพระผู้ใหญ่ตามหลักอาวุโสและมีลักษณะโต้ตอบในลักษณะของนักการเมืองมากกว่าภาพท่ีสงบ
อาการสารวมของพระภกิ ษุจะควรปรากฏให้เห็น
4.1.1.3 แนวทางในการแก้ไขปัญหาโครงสร้างการปกครองคณะสงฆ์โดยการ
หาทางออกรว่ มกัน
แนวทางในการแก้ไขป๎ญหาโครงสรา้ งการปกครองคณะสงฆ์ในการหาทาง
ออกร่วมกันเป็นแนวทางที่พยายามนาเสนอด้วยการเชิญหรือการหารือกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับผู้ท่ีมี
ส่วนได้เสียและผู้ต้องการจะเปล่ียนแปลงโครงสร้างการปกครองคณะสงฆ์โดยในการหาทางออก
ร่วมกันยงั ไมไ่ ดน้ าเสนอรายละเอยี ดหาทางออกท่ีจะแก้ไขเปลย่ี นแปลงพัฒนาอะไรมากนัก หากแต่เป็น
เร่ืองของการมาหาทางออกหาแนวทางที่เห็นพ้องต้องกันก่อนท่ีจะไปสู่การแก้ไขเปล่ียนแปลงอย่าง
จริงจงั ในทางปฏบิ ตั ซิ งึ่ มักจะพบกบั กล่มุ บคุ คลหรือกลุ่มนกั วิชาการที่ค่อนข้างจะประนีประนอมมีความ
ยืดหยุ่นในการเข้ามาแก้ไขป๎ญหา แต่หากมองจากฝ่๎งฝุายท่ีต้องการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วจริงจัง
แลว้ กลมุ่ นักวชิ าการหรือบคุ คลเหล่านี้กจ็ ะถูกมองว่าไม่มจี ดุ ยนื ทแ่ี น่นอน
พระมหาหรรษา ธมมฺ หาโส เปน็ พระภิกษุทใ่ี ช้ชีวิตในวงการคณะสงฆต์ ้ังแต่
ครั้งเป็นสามเณรมาจนกระท่ังถึงพระภิกษุในป๎จจุบันท่านเป็นพระนักเผยแผ่ นักการศึกษา และสนใจ
ในงานของสันติวิธีดังท่ีท่านเป็นผู้อานวยการโครงการสันติวิธีของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราช
วิทยาลัย หากมองในแง่ดีทรรศนะเหล่านี้ท่ีดูแล้วค่อนข้างประนีประนอม ยืดหยุ่น ผู้วิจัยจึงได้สนใจ
สมั ภาษณ์พระมหาหรรษา ธมฺมหาโส
จากการสัมภาษณ์พระมหาหรรษา ธมฺมหาโส ถงึ แนวทางในการแก้ไข
ปญ๎ หาโครงสร้างการปกครองคณะสงฆท์ ่านพระมหาหรรษาไม่ได้เสนอแนวทางการแก้ไขโครงสร้างท่ีมี
ลักษณะชัดเจนมากนักแต่ท่านได้ให้ความสาคัญกับแก่การหาทางออกร่วมกันระหว่างรัฐกับคณะสงฆ์
มากอ่ นทจ่ี ะไปถึงการแก้ไขปญ๎ หาในระดบั เชิงโครงสรา้ ง โดยท่านกลา่ วถงึ วา่
ทางออกของเรอ่ื งน้คี ือตอ้ งมีการหาทางออกระหวา่ งศาสนจักรและอาณาจกั รซ่งึ ก็ข้ึนอยู่
กับคณะสงฆ์ว่าจะทาอย่างไรแต่เนื่องจากว่าพระสงฆข์ าดเอกภาพ พอไม่เปน็ เอกภาพรัฐ
เองก็งงว่าจะเอาอยา่ งไรแทนทร่ี ฐั จะฟ๎งมหาเถรสมาคมแต่รัฐไม่ได้ฟ๎งคนคนเดียวแลว้ รัฐ
ฟ๎งพระสงฆห์ ลายกล่มุ จะรวมศนู ย์ก็ไม่จริงเพราะถา้ รวมศนู ย์ต้องฟ๎งมหาเถรสมาคม แต่
117
วนั น้ีรฐั ต้องฟง๎ คนอ่ืนด้วย (พระมหาหรรษา ธมฺมหาโส, สมั ภาษณ์, 13 มกราคม 2559)
จากขอ้ ความเบื้องต้นนแ้ี มว้ ่าพระมหาหรรษาจะไม่ไดเ้ สนอทางออกอะไรท่ี
เป็นระบบเป็นโครงสร้างท่ีมีรูปแบบชัดเจนเหมือนกับพระสองท่านในข้างต้นแต่ส่ิงที่พระมหาหรรษา
กลา่ วมาในขา้ งต้นก็เป็นการนาเสนอกระบวนการในการพูดคุยและต่อด้วยรายละเอียดต่อความเข้าใจ
ในบริบทของคณะสงฆ์ นับว่าสิ่งท่ีพระมหาหรรษากล่าวถึงนั้นนับเป็นก้าวแรกท่ีสาคัญของการนาไปสู่
การแก้ไขป๎ญหาเชิงโครงสร้างได้
ทรรศนะ ของพระมหาหรรษา ธมฺมหาโส ท่านเนน้ มองเร่อื งกระบวนการ
แก้ไขเบื้องต้นในการหาทางออกร่วมกันระหว่างรัฐกับคณะสงฆ์มาก่อนที่จะไปถึงการแก้ไขป๎ญหาใน
ระดับเชิงโครงสร้าง ด้วยการให้คณะสงฆ์เองไปจัดการกับป๎ญหาการขาดเอกภาพของคณะสงฆ์ก่อน
เพราะถ้าไม่เช่นนั้นการขาดเอกภาพของคณะสงฆ์จะทาให้ฝุายรัฐเองก็งุนงงว่าจะเอาอย่างไรแทน
เพราะแทนที่รัฐจะฟ๎งมหาเถรสมาคมซ่ึงเป็นเสาหลักในการดูแลเร่ืองเอกภาพของคณะสงฆ์ แต่พอ
ในทางปฏิบัติคณะสงฆใ์ นปจ๎ จุบนั มีความหลากหลายมากขน้ึ ทาให้รฐั ไมไ่ ดฟ้ ๎งเฉพาะมหาเถรสมาคมแต่
รัฐต้องฟ๎งพระสงฆ์จากหลายกลุ่ม ฉะนั้นหากมองจากทรรศนะพระมหาหรรษา ธมฺมหาโสแล้วท่าน
น่าจะหมายถงึ ใหค้ ณะสงฆม์ ีความชดั เจนว่าพอจะมีแนวทางแก้ไขปญ๎ หาโครงสร้างการปกครองอย่างไร
ที่เสนอมาจากคณะสงฆ์แม้ในคณะสงฆ์เองอาจจะขาดเอกภาพตามท่ีท่านมองก็ตามแต่สิ่งสาคัญคณะ
สงฆ์ตอ้ งหาวิธจี ัดการกับการขาดเอกภาพน้นั วา่ จะมีวธิ จี ดั การทาความเข้าใจในความหลากหลายน้ันได้
อย่างไร
แม้ว่าส่งิ ทพี่ ระมหาหรรษากล่าวถงึ นนั้ ไมไ่ ดเ้ สนอโครงสร้างหรือรูปแบบ
แก้ไขโครงสร้างการปกครองคณะสงฆ์ท่ีเป็นรูปธรรมชัดเจนนัก แต่สิ่งท่ีท่านนาเสนอนั้นนับเป็นก้าว
แรกทส่ี าคญั ของการนาไปสู่การแก้ไขป๎ญหาเชิงโครงสร้างเพราะคณะสงฆ์ต้องมีความชัดเจนในการทา
ความเข้าใจกบั องค์กรของตนเองก่อนท่จี ะมานาเสนอแนวทางการแก้ไขป๎ญหาเชิงโครงสร้างแต่ในส่วน
ของผู้วิจัยมองวา่ การทคี่ ณะสงฆ์ขาดเอกภาพน้ันไมใ่ ชส่ ่ิงผดิ ปกติของคณะสงฆ์แต่อย่างใดเพราะในทาง
ศาสนาน้ันย่อมจะมคี วามหลากหลายเปน็ เรื่องธรรมชาตอิ ยแู่ ลว้ แตค่ วามพยายามในการทาให้คณะสงฆ์
เป็นเอกภาพจนมองว่าคณะสงฆ์เป็นเนื้อเดียวกันโดยสอนเหมือนกันปฏิบัติธรรมเหมือนกันนั้นเพิ่งจะ
เกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 โดยการมีความพยายามในการสถาปนาศาสนาโดยใช้วิธีระบบราชการรวม
ศนู ยอ์ านาจเข้าสสู่ ว่ นกลางแต่ปฏิกิริยาหรือผลสะท้อนของป๎ญหาการรวมศูนย์อานาจก็สะท้อนมาจาก
กรณขี องครูบาศรีวชิ ยั ท่ีปฏิเสธการรวมศูนยอ์ านาจของคณะสงฆ์ดงั ที่ไดก้ ล่าวถงึ ในบทท่ี 2 ไปแล้ว
ในสว่ นความสามารถของคณะสงฆ์เองในการเสนอแนวทางการแกไ้ ขหรือ
118
กระท่งั มคี วามพยายามมาจากคณะสงฆท์ ป่ี รากฏในทางประวัติศาสตร์ก็สะท้อนให้เห็นว่าคณะสงฆ์โดย
พระสงฆ์ที่มีหน้าท่ีในทางการปกครองคณะสงฆ์ก็ไม่มีความสามารถมากพอในการหาทางออกให้กับ
ตนเอง โดยส่วนใหญ่ความพยายามในการเสนอทางแก้ไขป๎ญหาคณะสงฆ์มักมาจากกลุ่มพระสงฆ์รุ่น
ใหม่ ดังที่เคยปรากฏในประวัติศาสตร์ว่ามีกลุ่มของพระภิกษุหนุ่มรุ่นใหม่ ชื่อกลุ่ม คณะ
บรู ณปฏิสังขรณ์รว่ มมอื กับทางอาจารย์ปรีดี พนมยงค์ในการนามาสู่การเปล่ยี นแปลงคณะสงฆ์จนมีการ
ประกาศใชพ้ ระราชบญั ญัตคิ ณะสงฆ์ พ.ศ. 2484 ในระยะเวลาต่อมา หรือแม้แต่เกิดจากความพยายาม
ของกลุ่มนักวิชาการอย่างสุลักษณ์ ศิวรักษ์ และอย่างนิธิ เอียวศรีวงค์ หรือเกิดจากความพยายามจาก
ฝุายของรัฐ ดังตัวอย่างในป๎จจุบัน (พ.ศ. 2558-2559) คือการปฏิรูปกิจการพระพุทธศาสนานาโดย
ไพบลู ย์ นิตติ ะวนั เพราะฉะน้ันการทีจ่ ะให้คณะสงฆ์ซ่ึงนาโดยมหาเถรสมาคมหรือแม้กระทั่งพระสงฆ์ที่
มหี น้าที่ในการปกครองคณะสงฆจ์ ะมานาเสนอแนวทางในการแก้ไขป๎ญหาโครงสร้างการปกครองคณะ
สงฆย์ ่อมจะไมม่ ที างเปน็ ไปได้แต่อยา่ งใดในทางปฏิบัติ
ตอ่ มากเ็ ปน็ แนวทางในการแกไ้ ขปญ๎ หาโครงสร้างการปกครองคณะสงฆ์
โดยการหาทางออกร่วมกัน โดยนักวิชาการด้านพระพุทธศาสนาจากอุบาสิกา ซึ่งโดยปกติแล้ว การ
นาเสนอแนวทางการแก้ไขป๎ญหาของสงฆ์ มักจะเป็นเพศชาย เช่น อดีตมหาเปรียญท่ีลาสิกขามาเป็น
อาจารยจ์ นเป็นนักปราชญร์ าชบัณฑติ ในเวลาตอ่ มา ในข้อเสนอครั้งนี้นับว่ามีความน่าสนใจอย่างย่ิงที่มี
อุบาสิกาอย่างณัฐนันท์ สุดประเสริฐซึ่งเป็นอาจารย์พิเศษร่วมถวายความรู้ทางด้านกฎหมายให้แก่
พระสงฆ์ในมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ผู้วิจัยจึงได้สัมภาษณ์ ณัฐนันท์ ซ่ึงมีข้อเสนอที่
เป็นไปในลักษณะค่อนข้างยืดหยุ่น ลดแรงเสียดทานจากผู้ต้องการปฏิรูป และเป็นข้อเสนอที่ค่อยๆ มี
การปรบั แกไ้ ขยังไม่ไปถงึ ข้นึ ของการรือ้ ถอดเพื่อเปลี่ยนเปน็ โครงสร้างใหม่เสยี ทเี ดยี ว
จากการใหส้ มั ภาษณ์ณฐั นันท์ สดุ ประเสริฐได้ใหข้ ้อเสนอทมี่ ปี ระโยชน์
อย่างมากเพราะเป็นข้อเสนอท่ีพยายามดึงผู้มีส่วนเกี่ยวข้องจากสัดส่วนที่เท่ากันของทุกภาคส่วนมา
รว่ มกันคิดหาทางออกก่อนท่จี ะนามาส่กู ารแกไ้ ขป๎ญหาเชิงโครงสรา้ ง โดย ณฐั นันท์ ไดเ้ สนอไวว้ ่า
ควรจดั ใหม้ กี ารตงั้ “พทุ ธบรษิ ัทสภาปฏิรปู ” เขา้ รว่ มศึกษาปญ๎ หาและหาแนวทางการ
แกป้ ญ๎ หา โดยจัดใหม้ คี ณะกรรมการที่มีความหลากหลาย ดังน้ี
1. คณะกรรมการฝาุ ยสงฆท์ มี่ าจากการเชิญเขา้ รว่ มของรฐั บาล โดยพระสงฆท์ ่ีทาง
รัฐบาลจะเชิญมาเข้ารว่ มควรมาจากองคก์ รสงฆท์ ีเ่ ปน็ เสาหลักของสถาบันศาสนา ได้แก่
มหาเถรสมาคม, มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , มหาวทิ ยาลัยมหามกุฏ
ราชวทิ ยาลัย, แมก่ องธรรม, แมก่ องบาลี โดยกาหนดให้มสี ดั ส่วนรอ้ ยละ 25 ของ
คณะกรรมการฝุายสงฆท์ ้งั หมด
119
2. คณะกรรมการฝาุ ยสงฆ์ท่มี าจากการสรรหาโดยอบุ าสก อบุ าสกิ า โดยจัดต้ัง
คณะกรรมการสรรหาขน้ึ มา ซึ่งประกอบด้วยอุบาสก อบุ าสกิ า ท่ีมคี วามรูใ้ นธรรมวนิ ยั
เป็นอยา่ งดี ใหอ้ บุ าสก อบุ าสิกา ซ่งึ เป็นคณะกรรมการสรรหาดาเนนิ การสรรหา
พระภิกษุเขา้ รว่ มเปน็ คณะกรรมการ โดยกาหนดให้มสี ดั สว่ นร้อยละ 25 ของ
คณะกรรมการฝาุ ยสงฆ์ท้ังหมด
3. คณะกรรมการฝุายสงฆ์ท่มี าจากการประกาศรับสมัคร โดยกาหนดคุณสมบตั ใิ ห้
พระภกิ ษทุ ัว่ ประเทศท่ีมคี วามรู้ทางภาษาบาลีไมต่ ่ากว่าเปรียญธรรม 7 ประโยค มี
ความรู้ ความชานาญในพระไตรปฎิ ก อรรถกถา ฎีกา เป็นอย่างดี โดยกาหนดใหม้ ี
สัดส่วนรอ้ ยละ 25 ของคณะกรรมการฝาุ ยสงฆท์ ้ังหมด
4. คณะกรรมการฝุายอบุ าสก อบุ าสิกา โดยใหม้ ีการเชิญอนศุ าสนาจารยจ์ ากกองทพั
ตา่ งๆ เข้าร่วมดว้ ย และให้คณะกรรมการสรรหาซง่ึ มคี วามรู้ในพระธรรมวนิ ยั ดังกล่าว
ขา้ งต้น เข้าเป็นคณะกรรมการฝาุ ยอุบาสก อบุ าสกิ าโดยกาหนดให้มสี ดั สว่ นร้อยละ 25
ของคณะกรรมการฝุายสงฆท์ ัง้ หมด
ใหค้ ณะกรรมการ “พทุ ธบรษิ ัทสภาปฏริ ูป” นาปญ๎ หาและแนวทางการแกไ้ ขปญ๎ หา
ซงึ่ ทาง สปช. ได้ทาการศกึ ษาวิเคราะหม์ าแล้วเบอ้ื งตน้ เขา้ สกู่ ารพจิ ารณา โดยใหน้ า
พระธรรมวนิ ยั จากพระไตรปฎิ ก ทัง้ ภาษาบาลีและฉบบั ภาษาไทย อรรถกถา ฎีกา ซงึ่
ชาวพทุ ธศาสนาเถรวาททัว่ โลกยอมรบั ร่วมกันมาพจิ ารณาแกไ้ ขป๎ญหา โดยกาหนด
ระยะเวลาในการพิจารณาและสรุปผลการพิจารณาในระยะเวลาพอสมควร แล้ว
นาเสนอรัฐบาล ให้รฐั บาลนาขอ้ สรปุ ซ่งึ ได้จากคณะกรรมการพทุ ธบริษทั สภาปฏิรูปไป
กาหนดมาตรการทางกฎหมายแลว้ นาเสนอเข้าสพู่ ุทธบริษัทสภาปฏริ ปู อีกครัง้ หนึ่งเพื่อ
ลงมตเิ หน็ ชอบ แล้วนาขอ้ สรปุ ทัง้ หมดจัดการเผยแพร่ให้ประชาชนทาความเข้าใจ เพ่อื
นาไปสูก่ ารออกกฎหมายในขั้นตอนต่อไป จัดใหม้ ีการทาประชามติเป็นขนั้ ตอนสุดท้าย
(ณัฐนนั ท์ สุดประเสรฐิ , สมั ภาษณ์, 16 มกราคม 2559)
นอกจากนใ้ี นช่วงถดั มาของการสมั ภาษณ์ ณฐั นนั ท์ สดุ ประเสริฐ ยังได้
กล่าวถึง ผลดีที่จะเกดิ ขึน้ กบั การจดั ตง้ั คณะกรรมการพทุ ธบรษิ ัทสภาปฏริ ูป ไว้อีกวา่
1. ลดแรงเสยี ดทานท่ีเกิดขึน้ ในสงั คมในขณะน้ี
2. พระภกิ ษทุ ่วั ประเทศจะไดม้ สี ว่ นร่วมในการปฏริ ปู ยอมรบั การบัญญตั กิ ฎหมายทีจ่ ะ
เกดิ ขน้ึ ในภายภาคหนา้ เพราะเปน็ การบญั ญตั กิ ฎหมายทพี่ ระภิกษเุ องมีส่วนร่วม
3. ทางรฐั บาลจะสามารถบริหารจดั การใหเ้ กดิ ตลุ าการสงฆ์ ไดแ้ ก่ พระวนิ ัยธร
120
พระธรรมธร เพ่ืออนวุ ัตติ ามแนวทางการแก้ปญ๎ หาได้โดยไมย่ าก เนื่องจากคณะกรรม
การชุดดังกล่าว เป็นพระสงฆท์ ่ีได้รบั การยอมรับจากพทุ ธบริษทั จึงสามารถเชญิ มาทา
หนา้ ท่เี ป็นพระวนิ ัยธร พระธรรมธร โดยไมต่ อ้ งจัดใหม้ ีกระบวนการสรรหาหรอื สอบ
คดั เลือกอกี ทาใหเ้ กิดความสะดวก รวดเรว็ และได้รบั การยอมรับจากพทุ ธบรษิ ทั
(ประชาชน) (ณัฐนันท์ สุดประเสรฐิ , สมั ภาษณ์, 16 มกราคม 2559)
ส่วนแนวทางการแก้ไขปญ๎ หาโครงสร้างการปกครองคณะสงฆ์ไทย
ปจ๎ จุบันควรเป็นอยา่ งไรนน้ั ณัฐนันท์ สุดประเสริฐ ได้นาเสนอไว้ในการใหส้ ัมภาษณว์ า่
ควรปรบั โครงสร้างการปกครองคณะสงฆ์โดยใชห้ ลักการถ่วงดุลอานาจและการกระจาย
อานาจ โดยใช้ทฤษฎอี านาจอธปิ ไตยจดั การแบ่งแยกอานาจนิติบญั ญัติในทางสงฆ์
บริหารคณะสงฆ์ และตุลาการสงฆ์ ออกจากกนั โดยให้มสี มเด็จพระสงั ฆราชเปน็
ประธานท่ีปรึกษาทัง้ สามอานาจ ทาหนา้ ทีใ่ ช้อานาจทง้ั สามอานาจผา่ นองคก์ รตา่ งๆ ใน
ด้านนติ ิบัญญตั ใิ หม้ กี ารต้ังสภาสงฆโ์ ดยแบ่งเปน็ สองสภาเชน่ เดยี วกบั การบริหาร
อาณาจกั ร ในด้านการบริหารใหอ้ านาจอยู่กบั คณะกรรมการมหาเถรสมาคม ในดา้ น
การตัดสนิ ข้ออธกิ รณแ์ ละข้อร้องเรียนพระสงฆใ์ ห้ตั้งองค์กรตัดสินโดยตง้ั พระวินัยธร ข้นึ
ชข้ี าดพระวินยั และให้พระวนิ ยั ธรเป็นส่วนหน่ึงของศาลสงฆอ์ นั ประกอบด้วยพระวินยั ธร
ทาหนา้ ที่เปน็ ผพู้ ิพากษาชขี้ าดตัดสนิ และอุบาสก อบุ าสกิ าทมี่ ีความรู้ในพระธรรมวินัย
เป็นเสมือนผพู้ พิ ากษาสมทบทาหน้าทถ่ี วายความคดิ เหน็ เพ่ือให้พระวินัยธรนาไป
พจิ ารณาและมีคาส่งั วนิ จิ ฉยั อกี คร้ังหน่งึ ในการนอี้ บุ าสก อบุ าสิกาจะทาหน้าทีเ่ พยี ง
ถวายความคดิ เหน็ เพือ่ ให้พระวินยั ธรนาไปพจิ ารณาเทา่ น้ัน มใิ ชท่ าหน้าทีล่ งชอื่ พิพากษา
ตดั สนิ ภิกษุสงฆ์ซึง่ ต้องอธิกรณ์แตอ่ ย่างใด ดา้ นการบรหิ ารคณะสงฆ์ควรใชห้ ลกั การ
กระจายอานาจ แบ่งอานาจการปกครองไปยงั หวั เมอื งต่างๆ พระเถระแตล่ ะรปู ไมค่ วร
มีตาแหน่งตา่ งๆ มากเกนิ กาลังทจี่ ะปฏบิ ตั หิ นา้ ทใี่ ห้สมบูรณ์ได้ ควรจะสรรหาพระเถระ
ท่ีเหมาะสมในการปฏบิ ตั ิแตล่ ะภารกจิ อยา่ งแทจ้ รงิ เพือ่ ใหเ้ กิดเสถยี รภาพในการ
ปฏบิ ัตงิ านและทางความคดิ การตดั สินใจอยา่ งแทจ้ รงิ หากมีการแบง่ แยกอานาจ
อย่างเบ็ดเสร็จเดด็ ขาด กระจายอานาจลงไปยงั ท้องถิน่ ต่างๆ แลว้ พระมหาเถระ
กรรมการมหาเถรสมาคมกจ็ ะสามารถใช้ศักยภาพในการบริหารได้อยา่ งเต็มท่ี (ณฐั นันท์
สุดประเสริฐ, สมั ภาษณ์, 16 มกราคม 2559)
ทรรศนะของ ณัฐนันท์ สุดประเสริฐ ให้ความสาคัญกับกระบวนการมสี ว่ น
121
ร่วมของพุทธบริษัท โดย ณัฐนันท์ ได้เสนอ ให้มีการต้ัง “พุทธบริษัทสภาปฏิรูป” เข้าร่วมศึกษา
ป๎ญหาและหาแนวทางการแก้ป๎ญหา โดยจัดให้มีคณะกรรมการท่ีมีความหลากหลายที่มีสัดส่วนที่
เท่ากันตามสัดส่วนละร้อยละ 25 ของคณะกรรมการฝุายสงฆ์ทั้งหมด ตามท่ีได้กล่าวถึงไว้แล้วซ่ึง
ปรากฏตามรายละเอียดในหัวข้อ 4.1.2.4 แนวทางในการแก้ไขป๎ญหาโครงสร้างการปกครอง ตาม
ทรรศนะของ ณัฐนันท์ สุดประเสริฐ โดยณัฐนันท์มองว่า เหตุผลของการจัดตั้ง“พุทธบริษัทสภา
ปฏริ ปู ” จะสง่ ผลดี ใน 3 เหตผุ ลดีที่สาคญั กลา่ วคือ
(1) สามารถลดแรงเสยี ดทานท่ีเกดิ ขน้ึ ในสงั คมในขณะน้ี
(2) พระภกิ ษทุ ่ัวประเทศจะไดม้ ีสว่ นรว่ มในการปฏริ ูป ยอมรบั การบญั ญัตกิ ฎหมายทจ่ี ะ
เกดิ ขน้ึ ในภายภาคหน้า เพราะเปน็ การบญั ญตั กิ ฎหมายทพ่ี ระภกิ ษุเองมีส่วนร่วม
(3) ทางรฐั บาลจะสามารถบรหิ ารจัดการใหเ้ กิดตลุ าการสงฆ์ ไดแ้ ก่ พระวนิ ยั ธร พระ
ธรรมธร เพ่อื อนุวัติตามแนวทางการแก้ป๎ญหาได้โดยไมย่ าก เน่อื งจากคณะกรรม
การชุดดงั กล่าว เปน็ พระสงฆท์ ไี่ ดร้ บั การยอมรับจากพทุ ธบริษทั จึงสามารถเชิญมาทา
หน้าท่เี ปน็ พระวนิ ยั ธร พระธรรมธร โดยไม่ตอ้ งจัดใหม้ ีกระบวนการสรรหาหรือสอบ
คัดเลือกอกี ทาใหเ้ กิดความสะดวก รวดเร็ว และไดร้ บั การยอมรบั จากพทุ ธบรษิ ทั
(ประชาชน) (ณฐั นันท์ สดุ ประเสริฐ, สัมภาษณ์, 16 มกราคม 2559)
ตอ่ จากน้นั ณฐั นันท์ สุดประเสรฐิ ได้นาเสนอแนวทางการแกไ้ ขปญ๎ หา
โครงสร้างการปกครองคณะสงฆไ์ ทยในปจ๎ จุบนั ว่า
ควรปรบั โครงสรา้ งการปกครองคณะสงฆ์โดยใช้หลกั การถ่วงดุลอานาจและการกระจาย
อานาจ โดยใช้ทฤษฎอี านาจอธิปไตยจดั การแบ่งแยกอานาจนิตบิ ัญญัติในทางสงฆ์
บริหารคณะสงฆ์ และตลุ าการสงฆ์ ออกจากกนั โดยใหม้ สี มเด็จพระสงั ฆราชเปน็
ประธานทป่ี รึกษาทัง้ สามอานาจ ทาหน้าทใี่ ช้อานาจทั้งสามอานาจผ่านองค์กรต่างๆ ใน
ด้านการนติ ิบัญญัตใิ หม้ กี ารต้งั สภาสงฆ์โดยแบง่ เป็นสองสภาเชน่ เดียวกบั การบรหิ าร
อาณาจกั ร ในดา้ นการบริหารใหอ้ านาจอยกู่ บั คณะกรรมการมหาเถรสมาคม ในดา้ น
การตัดสินข้ออธิกรณ์และขอ้ รอ้ งเรียนพระสงฆ์ให้ตงั้ องค์กรตดั สินโดยตัง้ พระวนิ ยั ธร ข้ึน
ชี้ขาดพระวนิ ัย และให้พระวินัยธรเป็นส่วนหน่ึงของศาลสงฆ์อนั ประกอบดว้ ยพระวินัยธร
ทาหน้าท่ีเป็นผูพ้ ิพากษาช้ขี าดตัดสนิ และอุบาสก อุบาสกิ าท่ีมคี วามรใู้ นพระธรรมวินยั
เปน็ เสมือนผู้พพิ ากษาสมทบทาหนา้ ท่ีถวายความคดิ เห็นเพ่ือให้พระวนิ ัยธรนาไป
พิจารณาและมีคาส่ังวนิ ิจฉยั อีกครัง้ หนึ่ง ในการนอ้ี บุ าสก อุบาสกิ าจะทาหนา้ ท่ีเพียง
ถวายความคิดเหน็ เพื่อให้พระวินัยธรนาไปพจิ ารณาเท่าน้นั มิใชท่ าหนา้ ที่ลงช่อื พิพากษา
122
ตัดสนิ ภิกษสุ งฆซ์ ึง่ ต้องอธิกรณ์แต่อย่างใด ดา้ นการบรหิ ารคณะสงฆ์ควรใช้หลักการ
กระจายอานาจ แบง่ อานาจการปกครองไปยงั หวั เมืองตา่ งๆ พระเถระแต่ละรูปไม่ควร
มีตาแหนง่ ต่างๆ มากเกนิ กาลังท่ีจะปฏบิ ัติหนา้ ท่ใี ห้สมบรู ณไ์ ด้ ควรจะสรรหาพระเถระท่ี
เหมาะสมในการปฏิบัติแต่ละภารกจิ อยา่ งแท้จรงิ เพ่ือให้เกดิ เสถยี รภาพในการ
ปฏิบัติงานและทางความคิด การตดั สนิ ใจอยา่ งแท้จรงิ หากมีการแบ่งแยกอานาจ
อยา่ งเบด็ เสรจ็ เด็ดขาด กระจายอานาจลงไปยังท้องถนิ่ ตา่ งๆ แลว้ พระมหาเถระ
กรรมการมหาเถรสมาคมก็จะสามารถใช้ศักยภาพในการบริหารได้อยา่ งเต็มที่ (ณัฐนนั ท์
สุดประเสริฐ, สมั ภาษณ์, 16 มกราคม 2559)
ขอ้ เสนอแนวทางการแก้ไขปญ๎ หาเชงิ โครงสร้างของณัฐนนั ท์ สุดประเสริฐ
เป็นข้อเสนอท่ีเป็นการจัดองค์กรให้มีการกระจายอานาจและมีการถ่วงดุลอานาจต่อกันใน
ขณะเดียวกันก็ยังไม่พบว่ามีการเสนอให้ล้มเลิกโครงสร้างเจ้าคณะหน เจ้าคณะภาค เจ้าคณะจังหวัด
เจ้าคณะอาเภอหรือแม้แต่ล้มเลิกอานาจของมหาเถรสมาคมแต่อย่างใดและยังคงตาแหน่งสังฆราชไว้
แต่มีหน้าที่เพียงเป็นที่ปรึกษาเท่าน้ันข้อเสนอนี้มองแล้วเป็นแต่เพียงลดภาระงานของโครงสร้างต่างๆ
ลงและกระจายอานาจขึ้นเท่าน้ัน นอกจากนั้นยังเป็นข้อเสนอที่พยายามดึงอุบาสกอุบาสิกาเข้ามามี
ส่วนรว่ มในการกาหนดทศิ ทางของคณะสงฆด์ ้วย ซึ่งนบั เป็นเร่ืองทสี่ าคัญอยา่ งยงิ่
สาหรับข้อเสนอถัดมาเป็น ข้อเสนอของ วฒุ นิ นั ท์ กันทะเตยี นซ่งึ เป็นอดตี
พระมหาเปรียญธรรม 9 ประโยคนับเปน็ มุมมองจากคนที่เคยอยู่ภายในคณะสงฆ์มาก่อน และนับเป็น
ข้อเสนอที่ไม่ได้ต้องการจะเปลี่ยนแปลงโครงสร้างใหม่ทั้งระบบหรือโดยการปรับรื้อล้างระบบแต่เพียง
เป็นข้อเสนอที่เพ่ิมเติมหน่วยงานเข้ามาในโครงสร้างเดิม และแก้ไขพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ในบาง
มาตรา พิเคราะห์แล้วพบว่า เป็นข้อเสนอท่ีพยายามท่ีจะหาทางออกร่วมกันและค่อนข้างจะเป็น
ขอ้ เสนอท่ยี ืดหยุ่น ผู้วิจยั จงึ ไดท้ าการสมั ภาษณว์ ฒุ นิ ันท์ กนั ทะเตยี น
จากการใหส้ ัมภาษณ์ของ วฒุ นิ นั ท์ กนั ทะเตียนได้ตง้ั คาถามกับพ.ร.บ.
สงฆใ์ นด้านท่ีมีความเกี่ยวข้องกับการทางานที่สนองต่องานพระศาสนา และได้ต้ังข้อสังเกตถึงช่องว่าง
ของพระสงฆ์ว่ามีอะไรเป็นช่องว่างและตามมาด้วยส่ิงที่อาจารย์ วุฒินันท์ได้เสนอ สภาวินิจฉัยอธิกรณ์
ซ่ึงทง้ั หมดนี้ผ้วู จิ ยั ไดท้ าการสัมภาษณ์ ดงั จะขอกลา่ วถึงตอ่ ไปนี้
พ.ร.บ. สงฆ์ ทาให้การทางานของพระเปน็ ไปในทิศทางเดยี วกันหรือไม่ หรือตา่ งคนต่าง
ทา และเรามชี อ่ งวา่ งอะไรตรงไหนเป็นช่องว่างตงั้ แต่มส.กบั พระในระดับลา่ งลงมาหรอื
พระนกั ปกครองกับพระท่ีไม่ใช่พระนักปกครองมชี อ่ งวา่ งมากมายหากพิจารณาดูแลว้
ชอ่ งวา่ งที่หนึง่ ในความเห็นของผมก็คือวา่ เรอื่ งดุลยภาพของอานาจ หรือการถ่วงดลุ
123
อานาจของพระสงฆใ์ นแตล่ ะระดับมากกว่า ควรจะบรหิ ารดลุ ยภาพของอานาจตาม
พ.ร.บ. สงฆใ์ นปจ๎ จุบนั ให้ขยายหรือเพ่มิ อานาจของคณะสงฆใ์ หม้ ากกว่าเดิมคือต้องไป
แกไ้ ข พ.ร.บ.กอ่ น ในความเห็นของผมอยากเห็นการบริหารอานาจสมยั ใหม่โดยมีการ
กระจายอานาจทีม่ หี นว่ ยงานตวั แทนกอ่ นทจี่ ะส่งเร่อื งเข้าสู่สว่ นกลาง ตวั อยา่ งท่พี ม่า เขา
มีตวั แทนส่วนหน่ึงตา่ งหากที่เขาเรยี กว่าสภาตรวจสอบวินจิ ฉัย เมอ่ื เกิดอธิกรณเ์ ชน่ วา่ มี
ปญ๎ หาพระกับพระเขา้ มคี ณะหนงึ่ จดั การตา่ งหาก หากมปี ญ๎ หาพระกับฆราวาสคณะน้ี
จดั การนี้คือสภาของพม่ามองเห็นว่าควรมีสภาวินจิ ฉัยอธิกรณ์ข้ึนมา สภาวนิ ิจฉยั
อธิกรณ์จะประกอบไปดว้ ย ประธานซง่ึ มาจากมหาเถรสมาคมสกั รปู หน่ึงทงั้ นเ้ี พือ่ ใหเ้ กิด
การเชื่อมโยงอานาจแลว้ ก็มสี ภารองๆ เข้ามาเปน็ กรรมการไมว่ ่าจะเป็นสภาจงั หวดั
สภาอาเภอ สภาตาบล สภาเจา้ อาวาส 4 สภานใี้ ห้ต้งั ขน้ึ มาแลว้ คดั เลอื กตัวแทนท่ีเปน็ ท่ี
ยอมรับ ของแต่ละสภามาอย่างละ 2 รปู กร็ วมแลว้ 8 รปู ก็เลือกฆราวาสมาอกี ให้มา
เปน็ กรรมการในสภาวนิ จิ ฉยั อธกิ รณ์
โดยแตล่ ะสภาต้องมีผเู้ ช่ยี วชาญในดา้ นพระธรรมวนิ ยั กฎหมายและ พ.ร.บ. สงฆแ์ ล้ว
ค่อยชงเรื่องแตล่ ะกรณีน่ังให้ มส.เป็นคนวนิ จิ ฉัยแลว้ เสยี งของสภาเกนิ กึ่งหน่งึ ตอ้ งมสี ทิ ธ์ิ
ทต่ี ้องไดร้ บั การคัดสรรตามนั้นยกเวน้ แต่สงสัยหรือตอ้ งการหลกั ฐานข้อมลู รอ้ งหรือให้
สอบใหม่ เพราะฉะน้ันระดับหรือ Step ก็จะเดินไปตามดุลยภาพของอานาจ
เพราะฉะน้นั หากเราจัดการภายในกนั ได้กฎหมายบ้านเมืองก็จะเพลาลงไปเอง โดยสรุป
คอื อยากเหน็ สภาวินิจฉัยอธกิ รณ์ (วุฒนิ นั ท์ กนั ทะเตียน, สมั ภาษณ,์ 23 ธันวาคม 2558)
วฒุ ินันท์ กนั ทะเตยี นมองวา่ พระราชบญั ญัติคณะสงฆ์ ดงั กล่าว สง่ ผลให้
การทางานของพระสงฆ์ในระดับต่างๆ เกิดป๎ญหาช่องว่างระหว่างกัน ป๎ญหาของช่องว่างที่ว่าน้ีคือ
ช่องว่างระหว่างมหาเถรสมาคมกับพระระดับการปกครองรองลงมาและช่องว่างระหว่างพระนัก
ปกครองกับพระท่ีไม่มีตาแหน่งทางการปกครอง ช่องว่างดังกล่าวน้ีมีสาเหตุมาจาก การขาดดุลยภาพ
ของอานาจในความเห็นของวุฒินันท์ กันทะเตียน จึงอยากเห็นการบริหารอานาจสมัยใหม่โดยมีการ
กระจายอานาจท่ีมีหน่วยงานตัวแทนก่อนท่ีจะส่งเร่ืองเข้าสู่ส่วนกลาง ดังตัวอย่างที่วุฒินันท์
กันทะเตียน ยกมาคือตัวอย่างของประเทศพม่า โดยมีตัวแทนส่วนหนึ่งต่างหากท่ีเขาเรียกว่าสภา
ตรวจสอบวินิจฉัย เมื่อเกิดอธิกรณ์เช่นว่า มีป๎ญหาพระกับพระเข้ามีคณะหนึ่งจัดการต่างหาก หากมี
ป๎ญหาพระกับฆราวาสคณะน้ีจัดการนี้คือสภาของพม่า วุฒินันท์ กันทะเตียน จึงเห็นว่าอยากให้มีสภา
วนิ ิจฉัยอธกิ รณ์ขน้ึ มาซึง่ มีความใกล้เคียงกบั สภาตรวจสอบวนิ ิจฉยั ของพม่า
สาหรับที่มาของสภาวินจิ ฉยั อธิกรณ์จะประกอบไปด้วย ประธานซึ่งมาจาก
124
มหาเถรสมาคมสกั รูปหนึง่ ทง้ั นเ้ี พือ่ ใหเ้ กิดการเชอื่ มโยงอานาจแลว้ ก็มีสภารองๆ เข้ามาเป็นกรรมการไม่
วา่ จะเปน็ สภาจงั หวัด สภาอาเภอ สภาตาบล สภาเจ้าอาวาส 4 สภานี้ให้ตั้งขึ้นมาแล้วคัดเลือกตัวแทน
ท่ีเป็นที่ยอมรับ ของแต่ละสภามาอย่างละ 2 รูป รวมแล้ว 8 รูป ก็เลือกฆราวาสมาอีกให้มาเป็น
กรรมการในสภาวินิจฉัยอธิกรณ์ โดยแต่ละสภาต้องมีผู้เชี่ยวชาญในด้านพระธรรมวินัย กฎหมายและ
พ.ร.บ. สงฆ์ค่อยชงเร่ืองแต่ละกรณีน่ังให้ มส.เป็นคนวินิจฉัยแล้วเสียงของสภาเกินก่ึงหน่ึงต้องมีสิทธ์ิที่
ต้อ ง ไ ด้ รับ ก า ร คัด ส ร ร ตา ม น้ั น ย กเ ว้ น แ ต่ส ง สั ย หรื อ ต้ อ งก า ร ห ลั กฐ า น ข้ อมู ล ร้ อ งห รื อ ใ ห้ส อ บ ใ ห ม่
เพราะฉะนัน้ ระดบั หรอื Step ก็จะเดนิ ไปตามดุลยภาพของอานาจ
เมื่อวิเคราะหจ์ ากส่ิงท่วี ฒุ ินนั ท์ กันทะเตยี นไดไ้ ลเ่ รยี งจากป๎ญหาชอ่ งว่าง
มาจนถึงเสนอให้มีสภาวินิจฉัยอธิกรณ์ เป็นสิ่งท่ีมองมายังสภาพป๎ญหาภายในองค์กร โดยพยายาม
เสนอให้องค์กรคอื คณะสงฆ์นั้นมคี วามเขม้ แขง็ จากภายในโดยการทาตามรายละเอียดของการคัดเลือก
บุคลากรจากทุกระดับของทุกภาคส่วน กล่าวคือต้ังแต่มหาเถรสมาคมลงมายังล่างสุดคือเจ้าอาวาส
บคุ ลากรทคี่ ัดเลือกมานั้นจะต้องมีความรู้ท้ัง สามด้านไปพร้อมกัน คือ ความรู้ความเช่ียวชาญทางด้าน
พระธรรมวินัย กฎหมายและ พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ เพื่อให้มาสู่การเป็นตัวแทนของสภาวินิจฉัย
อธิกรณ์ท่ีคุณภาพจนสามารถทาให้เกิดความเช่ือมโยงของอานาจท้ังน้ีก็เพื่อช่วยลดป๎ญหาช่องว่าง
ระหวา่ งกนั อนั จะสง่ ผลใหเ้ กิดการขับเคลื่อนของดุลยภาพของอานาจทีล่ งตัว
ข้อเสนอของวฒุ นิ ันท์ กนั ทะเตยี นนับเปน็ ข้อเสนอเพอ่ื สรา้ งความพร้อม
จากภายในองคก์ รทีด่ ี แต่ขอ้ เสนอดังกล่าวนี้เปน็ ดูเหมือนจะเปน็ ข้อเสนอเพื่อการคัดเลือกบุคลากรผ่าน
การมสี ว่ นรว่ มจากทกุ ภาคส่วนในองคก์ รคณะสงฆ์เพื่อมาตัดสินวินิจฉัยอธิกรณ์ซึ่งเป็นลักษณะของสภา
ทที่ าหน้าท่ีในการตัดสนิ บทลงโทษในลักษณะของอานาจทางตุลาการมากกว่าที่จะเป็นสภาท่ีเกี่ยวข้อง
กับออกข้อกฎหมายหรือสภาท่ีทาหน้าที่ในส่วนของการบริหาร ซ่ึงท้ังสภาในด้านการออกกฎหมาย
พระราชบัญญัตคิ ณะสงฆ์ทีท่ ันสมัยและมีความเสมอภาคและในส่วนของสภาในด้านการบริหารเพ่ือทา
หน้าท่ีวางแผนและการกาหนดยุทธศาสตร์ของคณะสงฆ์ก็มีความสาคัญไม่แพ้กัน 2 สภาดังกล่าวดู
เหมือนวุฒินนท์ กันทะเตียนไม่ได้กล่าวถึง แต่อย่างไรก็ตามกระบวนในการคัดสรรบุคลากรเพื่อให้
ได้มาเปน็ ตวั แทนในการขบั เคลื่อนสภาวินิจฉัยอธิกรณ์ก็เป็นกระบวนการที่มีคุณภาพจึงสมควรท่ีจะนา
กระบวนการคัดสรรของสภาวินิจฉัยอธิกรณ์ดังกล่าวมาเป็นตัวแบบในการคัดสรรเพ่ือนาเสนอ
ทางเลือกของสภาอ่ืนๆ ได้เช่นเดียวกนั ทั้งน้ีเพ่อื ความสมบูรณ์ของคณะสงฆ์จะได้มีความพร้อมและเพ่ิม
ขีดความสามารถขององค์กรมากข้ึนนัน้ เอง
125
4.1.1.4 แนวทางในการแก้ไขปัญหาโครงสร้างการปกครองคณะสงฆ์ของผู้วิจัย
โดยใช้พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ 2484 เป็นตัวแบบโครงสร้างองค์กรและมีสภาพุทธบริษัทเป็น
องค์กรอิสระในการถว่ งดุลการทางานของโครงสร้างคณะสงฆ์
เมื่อวเิ คราะห์โดยสรุปจากแนวทางการแก้ไขปญ๎ หาโครงสร้างการปกครอง
ดังท่ีกล่าไว้ในหัวข้อ ที่ 4.1.1 แนวทางในการแก้ไขป๎ญหาโครงสร้างการปกครอง ซ่ึงเป็นการแยกรัฐ
ออกจากศาสนา และ 4.1.2 แนวทางในการแก้ไขป๎ญหาโครงสร้างการปกครอง โดยการปรับปรุง
โครงสร้างคณะสงฆ์ ตามทรรศนะของนักวิชาการที่ได้เสนอแนวทางต่างๆ ไว้ ซ่ึงแนวทางที่ 4.1.2
สามารถจาแนกออกเป็นแนวทางย่อยๆ อีก 3 แนวทาง คือ ประกอบไปด้วย 4.2.1.1 แนวทางในการ
แก้ไขป๎ญหาโครงสร้างการปกครองคณะสงฆ์โดยการ ปรับปรุงโครงสร้างเดิมและเพิ่มเติมหน่วยงาน
ใหม่ 4.2.1.2 แนวทางในการแก้ไขป๎ญหาโครงสร้างการปกครองคณะสงฆ์โดยการปรับเปล่ียน
โครงสร้างใหม่โดยใช้ พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2484 เป็นแม่แบบในการอธิบาย และ 4.2.1.3
แนวทางในการแก้ไขปญ๎ หาโครงสร้างการปกครองคณะสงฆโ์ ดยการหาทางออกร่วมกัน
อยา่ งไรกต็ าม หากจะสรปุ แนวทางในการแก้ไขปญ๎ หาโครงสร้างการ
ปกครอง โดยย่ออย่างถึงท่ีสุด พบว่า โดยสรุปมี 2 แนวทาง คือ 4.1.1 แนวทางในการแก้ไขป๎ญหา
โครงสร้างการปกครอง โดยการแยกรัฐออกจากศาสนาและ 4.1.2 แนวทางในการแก้ไขป๎ญหา
โครงสร้างการปกครอง โดยการปรับปรุงโครงสร้างคณะสงฆ์ ตามทรรศนะของนักวิชาการ แต่ทั้งสอง
แนวทางโดยการสรุปย่อน้ีมีความแตกต่างที่เด่นชัด คือ 4.1.1 แนวทางในการแก้ไขป๎ญหาโครงสร้าง
การปกครอง โดยการแยกรฐั ออกจากศาสนา จะเป็นแนวทางท่ีไม่ได้รับการควบคุมและอุปถัมภ์จากรัฐ
ไม่มีพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ ไม่มีระบบสมณศักดิ์ หรือหากมีก็เป็นเพียงสัญลักษณ์ไม่ได้ให้คุณค่า
ความสาคัญต่อการมีตาแหน่งการปกครองคณะสงฆ์ ส่วน 4.1.2 แนวทางในการแก้ไขป๎ญหา
โครงสร้างการปกครอง โดยการปรับปรุงโครงสร้างคณะสงฆ์ ตามทรรศนะของนักวิชาการ แม้ว่า
แนวทางน้ีจะมีรายละเอียดแต่สิ่งท่ีเช่นชัดคือ แนวทางดังกล่าวยังคงข้ึนอยู่กับการควบคุมและอุปถัมภ์
จากรฐั และมีพระราชบญั ญตั คิ ณะสงฆ์
สาหรบั กรอบท่ีผู้วิจยั จะนาเสนอแนวทางในการแก้ไขป๎ญหาโครงสรา้ งการ
ปกครองคณะสงฆ์ นนั้ จะมีกรอบท่ีจะต้องคานึงถึงเง่ือนไขอยู่ 4 ประการทั้งน้ีเพ่ือให้โครงสร้างดังกล่าว
ตอบสนองต่อเงื่อนไข 4 ประการน้ี เงื่อนไข 4 ประการดังกล่าวที่ต้องคานึงมีดังต่อไปนี้ 1) พระธรรม
วนิ ัย 2) ความซับช้อนของสภาพสังคม 3) การปกครองในระบอบประชาธิปไตย 4) ความเข้มแข็งของ
พทุ ธบรษิ ทั
ขอ้ เสนอของผู้วจิ ยั จึงไม่สามารถนาพระธรรมวนิ ัยมาเปน็ เพยี งตวั ตัง้ ใน
126
การนาเสนอแนวทางได้แต่เพียงอย่างเดียวแต่จาเป็นต้องอาศัยองค์ประกอบอีก 4 ประการข้างต้นที่
ต้องคานึงไปพร้อมกันและในขณะเดียวกันผู้วิจัยขอทาความเข้าใจไว้ในส่วนน้ีด้วยว่า ส่ิงที่ผู้วิจัยเสนอ
นน้ั ไม่ไดก้ าลังนาเสนอโครงสร้างให้คณะสงฆ์เป็นประชาธิปไตยเสียทีเดียวโดยขาดความคานึงถึงความ
เป็นองคก์ รทางศาสนาทม่ี ลี ักษณะเฉพาะ เพียงแต่การนาเสนอนั้นมีความจาเป็นที่จะต้องให้โครงสร้าง
ดังกล่าวสอดรบั กบั ระบอบประชาธปิ ไตยโดยไม่เสยี หลกั การและแนวปฏบิ ตั ทิ างพระธรรมวินัยและเป็น
ข้อเสนอที่จะพยายามให้มีความเกื้อหนุนกันระหว่างระบอบประชาธิปไตยกับพระธรรมวินัยให้มาก
ทส่ี ุดท้งั น้เี พ่ือคานงึ ถงึ ความกา้ วหน้าอยา่ งยงั่ ยนื ขององคก์ รสงฆห์ รือคณะสงฆ์นัน้ เอง
ข้อเสนอของผูว้ จิ ัยอาจมีบางส่วนทเี่ หมอื นกับผูใ้ ห้สมั ภาษณ์ท่ีได้ใหข้ ้อมลู
ไวแ้ ละบางส่วนไดป้ รับปรุงและประยุกต์เพ่ิมเติมต่อยอดจากข้อเสนอของผู้ให้สัมภาษณ์ ผู้วิจัยจึงได้ตก
ผลึกโครงสร้างที่ประกอบไปด้วยโครงสร้างคู่ขนานท่ีจะต้องทางานไปพร้อมกัน กล่าวคือ ข้อเสนอว่า
ด้วย (1) สภาพุทธบริษัทแห่งชาติ (2) โครงสร้างการปกครองคณะสงฆ์ท่ีใช้พระราชบัญญัติคณะสงฆ์
2484 เปน็ ตัวตง้ั ในการออกแบบโครงสร้างองคก์ ร ดงั มีรายละเอียดจะอธิบายดังตอ่ ไปนี้
(1) สภาพทุ ธบรษิ ทั แห่งชาติ
(1.1) ทีม่ าของสภาพทุ ธบรษิ ัทแห่งชาติ
ที่มาของสภาพทุ ธบรษิ ทั แหง่ ชาติมีความเหมอื นกับข้อสมั ภาษณ์ของ
ณัฐนันท์ สุดประเสริฐ ในทางด้านเน้ือหาโดยส่วนใหญ่อาจมีเพิ่มเติมบ้าง แต่มีความต่างกันก็ตรงท่ี
ณัฐนันท์ สุดประเสริฐใช้คาว่า “พุทธบริษัทสภาปฏิรูป” แต่ในท่ีน้ีผู้วิจัยจะขอใช้คาว่า “สภาพุทธ
บรษิ ทั แห่งชาติ” และในทน่ี ีจ้ ึงขอกล่าวซ้าถึงข้อสัมภาษณ์ของณัฐนันท์ สุดประเสริฐตามที่ได้กล่าวไว้
ใน หัวข้อท่ี 4.2.1.3 แนวทางในการแก้ไขป๎ญหาโครงสร้างการปกครองคณะสงฆ์โดยการหาทางออก
รว่ มกัน การกล่าวซา้ นก้ี ็เพ่อื ใหเ้ ห็นภาพท่ีชัดเจนและต่อเนอ่ื งเชอื่ มโยงกับข้อเสนอของผู้วิจัย โดยจะขอ
กล่าวถึงเฉพาะประเด็นท่ีมาของสภาพุทธบริษัทแห่งชาติ ซึ่งมีความเหมือนกับข้อสัมภาษณ์ของ
ณฐั นนั ท์ สดุ ประเสรฐิ และมีการนาข้อเสนอบางสว่ นของ ร่างพระราชบัญญัติเพื่อประกอบรายงานผล
การศึกษาการปฏิรูปแนวทางและมาตรการปกป้องพิทักษ์กิจการพระพุทธศาสนา ของสภาปฏิรูป
แห่งชาติซ่ึงผู้วิจัยได้รับถวายภายหลังที่ได้มีการพบปะแลกเปล่ียนความเห็นกับนายไพบูลย์ นิติตะวัน
ในท่นี ้ี จึงขอนาเนอื้ หาจากรา่ งในบางส่วนมากลา่ วถงึ ไว้ในทนี่ ด้ี ว้ ย ดังน้ี
1. มาจากองคก์ รสงฆท์ ี่เป็นเสาหลักของสถาบันศาสนา ไดแ้ ก่ มหาเถรสมาคม,
มหาวิทยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั , มหาวทิ ยาลัยมหามกุฏราชวทิ ยาลัย, แม่กอง
ธรรม, แมก่ องบาลี โดยกาหนดให้มีสดั สว่ นรอ้ ยละ 25 ของคณะกรรมการฝาุ ยสงฆ์
ทัง้ หมด
127
2. มาจากการสรรหาโดยอบุ าสก อุบาสิกา โดยจดั ตั้งคณะกรรมการสรรหาขนึ้ มา ซง่ึ
ประกอบด้วยอบุ าสก อบุ าสิกา ทม่ี คี วามรู้ในธรรมวนิ ัยเปน็ อยา่ งดี ให้อุบาสก
อบุ าสิกา ซ่ึงเปน็ คณะกรรมการสรรหาดาเนินการสรรหาพระภกิ ษเุ ขา้ รว่ มเปน็ คณะ
กรรมการ โดยกาหนดให้มีสดั ส่วนรอ้ ยละ 25 ของคณะกรรมการฝุายสงฆท์ ั้งหมด
3. มาจากฝาุ ยสงฆท์ ่มี าจากการประกาศรับสมคั ร โดยกาหนดคุณสมบตั ิใหพ้ ระภิกษุทวั่
ประเทศที่มีความรทู้ างภาษาบาลไี มต่ ่ากวา่ เปรียญธรรม 3 ประโยคขึ้นไป (ลดคณุ สมบตั ิ
ลงจากเดิมท่ีณฐั นนั ท์ สดุ ประเสรฐิ ได้เสนอไว้วา่ วา่ ต้องมีคณุ สมบตั ิที่เปรียญธรรม 7
ประโยคขึ้นไป) มีความรู้ ความชานาญในพระไตรปฎิ ก อรรถกถา ฎกี า เป็นอย่างดี โดย
กาหนดให้มีสดั ส่วนร้อยละ 25 ของคณะกรรมการฝาุ ยสงฆท์ ั้งหมด (ณฐั นนั ท์ สุด
ประเสรฐิ , สัมภาษณ์, 16 มกราคม 2559)
4. มาจากฝุายอุบาสก อบุ าสิกา ได้แก่ อาจารยผ์ ้สู อนวชิ าพระพทุ ธศาสนาใน
สถาบนั อดุ มศึกษาของรฐั และเอกชนทไ่ี ม่ใช่พระภิกษุ (สภาปฏิรูปแหง่ ชาติ, 2558, ไม่
ปรากฏหนา้ ) รวมทงั้ ใหม้ ีการเชญิ อนศุ าสนาจารยจ์ ากกองทัพต่างๆ เขา้ ร่วมด้วย และ
ให้คณะกรรมการสรรหาซ่งึ มีความร้ใู นพระธรรมวินยั ดงั กลา่ วข้างต้น เขา้ เป็น
คณะกรรมการฝาุ ยอบุ าสก อบุ าสิกาโดยกาหนดให้มีสัดสว่ นรอ้ ยละ 25 ของ
คณะกรรมการฝาุ ยสงฆท์ ัง้ หมด (ณฐั นนั ท์ สุดประเสรฐิ , สัมภาษณ์, 16 มกราคม 2559)
5. ข้อเสนอเพ่ิมเติมของผู้วิจัยต่อจากข้อเสนอของณัฐนันท์ สุดประเสริฐและร่าง
พระราชบัญญัติเพื่อประกอบรายงานผลการศึกษาการปฏิรูปแนวทางและมาตรการปกป้องพิทักษ์
กจิ การพระพุทธศาสนาของสภาปฏิรูปแห่งชาติ คือ การเพ่ิมพุทธบริษัท 4 ให้ครบจานวน ในที่น้ีจึงได้
เสนอให้เพิ่มภิกษุณีและแม่ชี เข้าไปอยู่ในส่วนของสภาพุทธบริษัท แห่งชาติ (Independent
Regulatory Agency) แม้ว่าโดยสถานะของภิกษุณีและแม่ชีในทางนิตินัย ยังไม่มีการรองรับใดๆ ว่า
เป็นนกั บวช แตด่ ้วยบทบาทที่มีต่อสังคมทาให้มีสถานะของภิกษุณีและแม่ชีกาลังเป็นท่ียอมรับมากข้ึน
และในทางหลักการของพุทธบริษัทภิกษุณีและแม่ชีก็มีสถานะยอมรับได้ว่าเป็นหนึ่งในพุทธบริษัท 4
ด้วยความสาคัญดังกล่าวนี้ จึงเห็นควรให้ภิกษุณีและแม่ชีเข้าไปเป็นบุคลากรในสภาพุทธบริษัท
แห่งชาติ โดยผ่านการสรรหาและมีคุณสมบัติคือต้องจบปริญญาตรีข้ึนไปโดยไม่จากัดว่าต้องจบ
การศึกษาในสาขาใดสาขาหนึ่งเป็นการเฉพาะและต้องเป็นผู้ที่มีความรู้ในด้านพระธรรมวินัยและ
วทิ ยาการสมัยใหม่ โดยอยูใ่ นสัดส่วนรอ้ ยละ 25 ของคณะกรรมการฝาุ ยสงฆ์ทง้ั หมด
(1.2) หนา้ ทแ่ี ละบทบาทของการทางานสภาพุทธบริษัทแหง่ ชาติ
(Independent Regulatory Agency)
128
หนา้ ท่หี รอื พนั ธกจิ สาคัญของสภาพทุ ธบริษทั แหง่ ชาติ คือ การมสี ่วน
ร่วมในการกาหนดและรับผดิ ชอบงานคณะสงฆ์ ทง้ั 6 ดา้ น ซึ่งประกอบไปด้วย (1) การปกครอง (2)
การศาสนศึกษา (3) การศึกษาสงเคราะห์ (4) การเผยแผ่ (5) การสาธารณูปการ (6) การสาธารณ
สงเคราะห์ โดยงานคณะสงฆ์ทั้ง 6 ด้านน้ัน ท่ีผ่านมามีการประชุมมหาเถรสมาคมวันที่ 29 กุมภาพันธ์
พ.ศ. 2559
ไดเ้ ห็นชอบให้มีการแตง่ ตง้ั กรรมการมหาเถรสมาคมเปน็ ประธานรับผิดชอบการปฏริ ปู
แต่ละด้าน และให้ประธานแต่ละด้านไปตั้งกรรมการ 5-15 รปู /คน 1. ดา้ นการปกครอง
มอบให้สมเด็จพระพุฒาจารย์ เจ้าอาวาสวดั ไตรมิตร เป็นประธาน 2. ด้านศาสนศกึ ษา
มอบใหพ้ ระพรหมโมลี ผูช้ ว่ ยเจา้ อาวาสวัดปากนา้ ฯ เป็นประธาน 3. ด้านการเผยแผ่
มอบใหส้ มเดจ็ พระพุทธชนิ วงศ์ เจา้ อาวาสวัดพชิ ยญาติการาม เปน็ ประธาน 4. ดา้ น
สาธารณปู การ มอบให้พระพรหมมุนี ผ้ชู ่วยเจา้ อาวาสวัดราชบพิธ เปน็ ประธาน 5. ดา้ น
ศึกษาสงเคราะห์ มอบให้พระพรหมบัณฑติ เจา้ อาวาสวดั ประยุรวงศาวาส เป็นประธาน
6. ดา้ นสาธารณสงเคราะห์ มอบให้พระพรหมวชริ ญาณ เจา้ อาวาสวดั วดั ยานนาวา เป็น
ประธาน และ 7. ด้านการพัฒนาพทุ ธมณฑลให้เป็นศนู ยก์ ลางพระพุทธศาสนาโลก มอบ
ให้สมเด็จพระพทุ ธชนิ วงศ์ เจา้ อาวาสวดั พชิ ยญาติการาม เป็นประธาน
(http://www.komchadluek.net/news/amulets/223351)
ในการทางานของสภาพทุ ธบรษิ ัทแหง่ ชาติ ทปี่ ระกอบไปด้วยตัวแทนจาก
ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา และแม่ชี ท่ีผ่านการสรรหามาจากสัดส่วนร้อยละ 25 จะต้องร่วมการ
ทางานผสานกับงานคณะสงฆ์ท้ัง 6 ด้าน กับพระเถระท่ีได้รับการแต่งต้ังเป็นประธานในแต่ละ 6 ด้าน
ดว้ ย
ในส่วนของการทางานของสภาพุทธบรษิ ทั แห่งชาติ น้นั เป็นลักษณะ
การทางานแบบองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญเพื่อทาหน้าท่ีในการถ่วงดุลโดยปราศจากการแทรกแซง
จากรัฐ ส่งผลให้การทางานของสภาพุทธบริษัทแห่งชาติอาจมีความคล่องตัวมากกว่าการทางานของ
สานกั งานพระพุทธศาสนาแห่งชาตทิ ขี่ น้ึ ต่อสานักนายกรัฐมนตรี
(2) โครงสร้างการปกครองคณะสงฆท์ ใ่ี ช้พระราชบัญญัตคิ ณะสงฆ์ พ.ศ.
2484 เปน็ ตัวต้ังในการออกแบบโครงสรา้ งองค์กร
เพ่อื การออกแบบโครงสรา้ งคณะสงฆใ์ หม่โดยใช้พระราชบญั ญตั ิคณะ
สงฆ์ 2484 เป็นแม่แบบในการออกแบบโครงสร้าง ในที่นี้ ส. ศิวรักษ์ ก็ได้กล่าวยืนยันถึง การนา
พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ 2484 เป็นแม่แบบในออกแบบโครงสร้างใหม่ไว้ว่า “แม้กฎหมายเดิมปี
129
2484 จะไมไ่ ดด้ วี เิ ศษ แตก่ น็ บั ว่าดกี ว่าฉบับที่ใชอ้ ยู่ตอนน้ี เพราะมีหลายฝุายมาเก่ียวข้องแทบทุกระดับ
หากเอากฎหมายฉบับไหนไม่ได้ก็เอาฉบับของเดิมปี 2484 มาประกาศใช้ แล้วทาให้มันทันสมัย ก็ใช้
ได้ผลแล้ว” (ส. ศิวลักษณ์, 2559, น. 42) ส่วนลายละเอียดของโครงสร้างคณะสงฆ์ใหม่น้ันจะมีท่ีมา
และหน้าตาเปน็ อยา่ งไรนนั้ จะขอกลา่ วถึงไปตามลาดบั ดังน้ี
(2.1) มสี ังฆราชเปน็ ของนิกายตนเอง
มกี ารแตง่ ตั้งสังฆราชไปตามนกิ ายของตนเอง เชน่ ธรรมยุตกิ นิกายกใ็ ห้
มีสังฆราชของธรรมยุติกนิกาย ส่วนมหานิกายก็ให้มีสังฆราชของมหานิกายเองท้ังน้ีเพื่อปูองกันความ
วุ่นวายทางการเมืองและการขัดแย้งกันภายในคณะสงฆ์ระหว่างธรรมยุติกนิกายกับมหานิกายเองซ่ึง
มักจะเกิดขึ้นอยูบ่ ่อยคร้ังหากอยู่ในช่วงขณะทจี่ ะมกี ารแต่งต้ังสมเด็จพระสังฆราช สาหรับบทบาทของ
พระสังฆราชน้ัน “ทรงอยู่เหนอื การเมือง ไม่ทรงใชอ้ านาจทางการเมืองโดยตรงที่เรียกว่า Real Power
แต่ควรใช้อานาจเพียงในนามที่เรียกว่า Normal Power ผ่านสังฆสภา คณะสังฆมนตรี และคณะ
วินัยธรสูงสุด เน่ืองจากสมเด็จพระสังฆราชดารงอยู่ในฐานะมิ่งขวัญ เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของคณะสงฆ์
และพุทธบริษัท” (พระมหาจรรยา สทุ ธฺ ญิ าโณ, 2544, ไม่ปรากฏหนา้ )
(2.2) ยกเลกิ มหาเถรสมาคม
ยกเลกิ มหาเถรสมาคมเปลยี่ นมาใชร้ ูปแบบพระราชบญั ญตั ิคณะ
สงฆ์ พ.ศ. 2484 แทน กล่าวคือ มีสังฆสภา สังฆมนตรี คณะวินัยธรกล่าวเพ่ิมเติมสาหรับในป๎จจุบัน
(พ.ศ. 2559) ข้อวิจารณท์ ีส่ นบั สนุนใหพ้ ลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ยุบมหาเถรสมาคมเด่นชัดท่ีสุด คือ
ข้อวิจารณ์ของ ส. ศิวรักษ์ ป๎ญญาชนสยาม โดยท่านได้กล่าวไว้ใน หนังสือ เร่ือง บทกวีกับการเมือง
และเรื่องของพระ ซ่ึงได้วิจารณไ์ วว้ ่า
ไม่มีความจาเป็นอยู่เลย โดยตัวสถาบนั เองมนั กล็ า้ สมยั จะทาแบบในอดตี สมัยรัชกาลที่
5 ก็ไมไ่ ด้ เพราะตอนนนั้ รชั กาลที่ 5 ท่านดแู ลเองโดยตรง แต่ตอนนี้มีการทาผดิ กช็ ่วยกนั
ปกปอู ง มนั ไมไ่ หว เอาไว้ไมไ่ ด้มหาเถรสมาคม กย็ ุบเสยี ทเี ดยี ว ต้องกลา้ ยุบเลยมหาเถร
สมาคม ไม่ต้องใชก้ ฎหมายสงฆใ์ นขณะน้ี (ส. ศิวลักษณ์, 2559, น. 42-43)
(2.3) ทมี่ าและคณุ สมบัติของสังฆสภา คณะสังฆมนตรีและคณะ
วนิ ยั ธร
(2.3.1) คุณสมบตั ิของสงั ฆสภา
คุณสมบตั ขิ องสังฆสภานั้น ประกอบไปดว้ ยสมาชิกไม่เกิน 45
รูป โดยมีคุณสมบัติ คือ (1) เป็นเปรียญธรรมเอก (2) จบการศึกษาปริญญาตรีขึ้นไปโดยต้องจบทาง
สายรัฐศาสตร์หรือรัฐประศาสนศาสตร์เป็นหลักและสายอื่นๆ เป็นรองด้วย (3) มีอายุตั้งแต่ 35 ข้ึนไป
130
แตไ่ ม่เกิน 60 ปี สาหรับการตงั้ เกณฑก์ าหนดอายุตั้งแต่ 35 ปีข้ึนไปแต่ไม่เกิน 60 ปี ของพระเถระที่มา
ดารงตาแหน่งในสังฆสภานั้นผู้วิจัยไม่ได้ทึกทักเอาเองโดยไม่ศึกษาประเทศท่ีมีพุทธศาสนาเป็ นการ
เปรยี บเทยี บ เพราะหากจะศกึ ษาเปรยี บเทยี บแล้ว “ที่ประเทศภูฐาน พระเขาปกครองประเทศร่วมกับ
ฆราวาส ในสภาฯ พระเป็นประธานสภาฯ แต่พออายุ 70 ปี พระลาออกกันหมด ไปบาเพ็ญเพียร
ภาวนาอย่างเดยี ว” (ส. ศวิ ลักษณ์, 2559, น. 32)
(2.3.1) คณุ สมบตั ิของคณะสงั ฆมนตรี
คุณสมบัติของคณะสงั ฆมนตรี ประกอบด้วยสังฆนายก 1 รปู
และสังฆมนตรีไม่เกิน 9 รูป โดยต้องมีคุณสมบัติตามข้อท่ี (1) (2) และข้อ (3) ตามหลักการของสังฆ
สภา ท่มี าของสังฆมนตรนี ้นั มาจากการแตง่ ตง้ั ของสมเดจ็ พระสังฆราช
(2.3.3) คุณสมบตั ิของ คณะวนิ ัยธร
คณุ สมบัติของ คณะวินัยธร ประกอบไปด้วยคณะวินัยธร
1 รูป และคณะวินัยธรไม่เกิน 9 รูป โดยต้องมีคุณสมบัติตามข้อที่ (1) และข้อ (3) ตามหลักการ
ของสังฆสภา ที่มาของคณะวินัยธรน้ันมาจากการแต่งตั้งของสมเด็จพระสังฆราช สาหรับคุณสมบัติใน
ข้อที่ (2) น้ันต้องจบปริญญาตรีข้ึนไปในสาขานิติศาสตร์หรือสาขาใดสาขาหน่ึงและมีเปรียญธรรม 3
ประโยคข้ึนไป และประกอบกับมีความแม่นยาในพระวินัย โดยหน้าท่ีของคณะวินัยธรน้ันนอกจากมี
หน้าท่ีในการตัดสินอธิกรณ์แล้วยังต้องมีหน้าที่ในการพัฒนาระบบอธิกรณ์ให้เท่าทันต่อบริบทของ
ความผิดที่ซับซ้อนขึ้นในยุคป๎จจุบันด้วย สาหรับโครงสร้างการปกครองดังกล่าวต้องประกอบไปด้วย
สังฆสภา สังฆมนตรี คณะวินัยธรซ่ึงจะมีในท่ัวทุกจังหวัดทั้งประเทศไทยไม่เฉพาะแต่ในส่วนกลาง
เท่านน้ั
(3) ภาระงานของคณะสงฆ์ 6 ด้าน
ภาระงานของคณะสงฆ์ 6 ด้านสว่ นภาระงานของคณะสังฆมนตรตี อ้ งรบั
หนา้ ทด่ี ังกลา่ วเพ่มิ กลา่ วคอื ต้องมหี น้าท่ดี ังตอ่ ไปนี้
(1) การปกครอง
(2) การศาสนศึกษา
(3) การศึกษาสงเคราะห์
(4) การเผยแผ่
(5) การสาธารณปู การ
(6) การสาธารณสงเคราะห์ (คณาจารย์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราช
วิทยาลัย, 2553, น. 44)
131
สาหรับรายละเอยี ดท่มี าของผู้ท่รี ับผดิ ชอบหน้าที่ทัง้ 6 ดา้ นนนั้ เป็นหนา้ ท่ี
ของคณะสังฆมนตรที ้ังในส่วนกลางและส่วนภูมิภาคเป็นผู้แต่งตั้งโดยพระสังฆราชทรงลงนามเห็นชอบ
ทั้งนง้ี านทัง้ 6 ด้านนี้ให้ยกระดับเป็นสานกั งานคณะกรรมการตาม 6 ด้าน
(7) การกระจายอานาจการปกครองคณะสงฆ์
สาหรับโครงสรา้ งการปกครองคณะสงฆ์ในปจ๎ จบุ ันทม่ี ีการแบง่ การ
ปกครองออกเป็น 2 ระดับ คือ การปกครองส่วนกลางและส่วนภูมิภาครวมท้ังเจ้าคณะภาคใหญ่ทั้ง 5
ภาค สาหรับในส่วนภูมิภาคน้ันได้มีการแบ่งเขตปกครองออกเป็น 18 ภาคโดยมีเจ้าคณะภาคเป็น
ผู้รับผิดชอบอยู่ภายใต้การดูแลอีก 3 ระดับคือ จังหวัด อาเภอ ตาบล โครงสร้างเหล่านี้ ให้คงไว้
เพียงแต่ให้เพ่ิมเป็นการปกครองส่วนท้องถ่ินด้วย สาหรับพระสายปกครองตั้งแต่ระดับภาคหรือหน
จังหวัด อาเภอ ตาบลและรวมถึงเจ้าอาวาสน้ันคุณสมบัติทางอายุจะต้องมีอายุต้ังแต่ 35 ข้ึนไปแต่ไม่
เกิน 60 ปีเช่นเดียวกัน ในส่วนการปรับปรุงแก้ไขโครงสร้างการปกครองคณะสงฆ์นั้นให้กาหนดไว้ใน
พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ไว้เป็นกฎเกณฑ์สาคัญว่าในทุกๆ 10 ปีจะต้องมีการปรับปรุงแก้ไขโครงสร้าง
การปกครองคณะสงฆ์
132
พระมหากษัตรยิ ์
สมเด็จพระสังฆราชฝาุ ยมหานิกาย สมเดจ็ พระสังฆราชฝาุ ยธรรมยตุ ิกนกิ าย
อานาจบญั ญตั สิ งั ฆาณตั ิ อานาจการบรหิ าร อานาจวนิ ิจฉัย
สงั ฆสภา คณะสังฆมนตรี
คณะวนิ ยั ธร
(ตดั สินอธกิ รณ์)
ช้ันฎกี า
ชน้ั อทุ ธรณ์
ชั้นตน้
การปกครองสว่ นกลาง สภาพุทธบริษัทแห่งชาติ
การปกครองส่วนภาค - ถว่ งดลุ สว่ นกลาง
การปกครองสว่ นจงั หวัด - ถ่วงดุลส่วนจังหวัด
การปกครองส่วนอาเภอ
การปกครองสว่ นตาบล
1) การปกครอง
2) การศาสนศึกษา
3) การศกึ ษาสงเคราะห์
4) การเผยแผ่
5) การสาธารณูปการ
6) การสาธารณสงเคราะห์
ภาพที่ 4.10 แผนภมู ิโครงสร้างการปกครองคณะสงฆร์ ปู แบบใหม่