The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

การปกครองคณะสงฆ์ไทยในปัจจุบัน

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by werawattano, 2021-06-25 00:00:22

การปกครองคณะสงฆ์ไทยในปัจจุบัน

การปกครองคณะสงฆ์ไทยในปัจจุบัน

133

เพราะฉะนน้ั โครงสรา้ งการปกครองคณะสงฆ์ท่ผี ูว้ จิ ยั ไดเ้ สนอไปน้นั เป็น
การกล่นั กรองจากนกั วชิ าการทใี่ ห้สัมภาษณร์ วมถึงการทผ่ี วู้ ิจัยตระหนักคานึงถึง 5 วิธีคิดและ คานึงถึง
4 เง่อื นไข กล่าวคอื ใน 4 วิธคี ดิ สามารถสรุป ลงในความสาคญั ของโครงสร้างดังกลา่ วน้ี กล่าวคอื

(1) โครงสรา้ งการปกครองของสงฆม์ ีลักษณะเฉพาะของตนเองทีเ่ ออ้ื ต่อ
การเติบโตงอกงามในธรรมของชุมชนของพระสงฆ์ ด้วยการท่ีโครงสร้างน้ีแม้จะมีสายการบังคับบัญชา
ท่ีเป็นไปในลักษณะระบบราชการที่ยังข้ึนต่อการควบคุมและอุปถัมภ์จากรัฐ แต่ด้วยโครงสร้างนี้เป็น
โครงสร้างทางศาสนา ลักษณะจาเพาะอย่างหนึ่งทางศาสนา คือ ความแตกต่างทางความเช่ือท่ีแสดง
ออกมาทางวัตรปฏบิ ัตทิ ่ตี า่ งกนั ในประเทศไทยลกั ษณะความเชื่อและวัตรการปฏิบัติทางพุทธศาสนาที่
แตกต่างอย่างเห็นได้ชัดจนมีสองนิกาย คือ มหานิกายและธรรมยุติกนิกาย โครงสร้างในที่น้ี จึงต้อง
แยกกันปกครองไปตามความแตกต่างตามลักษณะที่ปรากฏชัด คือมีสมเด็จพระสังฆราชประจานิกาย
ของตนเอง และทง้ั น้กี เ็ พือ่ ความสะดวกและความเขา้ ใจทตี่ รงกนั ในฐานะท่ีมีความเช่ือและวัตรปฏิบัติที่
เหมือนกันและยังเป็นการปูองกันป๎ญหาศึกการเมืองของต่างนิกายท่ีมักจะต้องการให้มีสังฆราชท่ีมา
จากนกิ ายของตนเองได้ปกครอง ในท่ีนี้จะเหน็ ไดว้ า่ ท้ังอดตี การปกครองคณะสงฆ์จนถึงในป๎จจุบันยังคง
ประสบป๎ญหาในลักษณะน้ีเพราะ การท่ีมีลักษณะความเช่ือและวัตรปฏิบัติที่แตกต่างกันแต่ดูเหมือน
กลับต้องการท่ีจะมีสังฆราชปกครองอีกกลุ่มจากต่างนิกายท้ังท่ีในข้อเท็จจริงแล้วจะเห็นได้ว่า ภายใต้
การปกครองทางศาสนาของตนท่ีพบว่ามีความเชื่อและวัตรปฏิบัติที่สวนทางกับแนวความคิดของตนท่ี
ปกครอง หากเป็นไปในแนวทางน้ีการพระศาสนาก็จะมีความเสี่ยงท่ีจะมีแต่ความขัดแย้ง แย่งชิง
แข่งขัน กระทบกระท้ังต่อกันไม่มีท่ีสิ้นสุด ป๎ญหาต่างๆ ระหว่างนิกายก็น่ากังวลว่าจะทวีแทรกแซง
ปญ๎ หาเดิมเพมิ่ เติมเข้ามาประดังกันมากข้ึน

(2) โครงสรา้ งการปกครองนตี้ ้องเป็นไปไมใ่ ช่เพื่อเปูาหมายสงู สุดของผมู้ ี
อานาจในการปกครองสงฆ์แต่เป็นกระบวนการเพื่อให้เกิดการศึกษางอกงามตามธรรมของพระ
สมั มาสัมพทุ ธเจา้ จะเห็นว่า ข้อเสนอของผู้วิจัยน้ัน มีความต้องการที่จะแยกสมณศักดิ์กับตาแหน่งการ
ปกครองออกจากกัน ประเด็นสาคัญของการแยกนี้ก็เพ่ือจะเสนอไม่ให้พระสงฆ์ที่ได้สมณศักดิ์และมี
ตาแหน่งทางการปกครองคณะสงฆ์นั้นมีความภูมิใจจนยึดม่ันถือมั่นอยู่ในตาแหน่งทางปกครอง จน
ขาดความเข้าใจไปว่า ตาแหน่งการปกครองคือหน้าที่ตรวจสอบ กวดขันพระวินัยต่อผู้ใต้ปกครอง ให้
อยู่ในลู่ทางที่ถูกต้องท้ังน้ีก็เพ่ือเอื้อเฟื้อให้ธรรมนั้นเจริญงอกงาม แต่ไม่ใช่เพ่ือมุ่งหวัง ตาแหน่งท่ีจะยึด
ครองไว้หรือตอ้ งการมีตาแหนง่ ทางปกครองทสี่ ูงขึ้นไปตามลาดับของสมณศักด์ิทส่ี งู ข้ึน

134

(3) โครงสรา้ งนจี้ ะตอ้ งเปิดโอกาสให้พทุ ธบริษัท คือ ภิกษุ ภิกษุณี อบุ าสก
อุบาสิกา และแม่ชี ท่ีมีความรู้ในพระธรรมวินัยและวิทยาการสมัยใหม่ ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการ
บรหิ ารจัดการกับคณะสงฆ์ด้วย โดยท่ีมาของพุทธบริษัทน้ันมาจากระบบตัวแทน ท่ีเลือกมา ในส่วนนี้
จะเหน็ วา่ บคุ ลากรในสภาพทุ ธบริษทั แหง่ ชาตินั้นประกอบไปดว้ ย ภิกษุ ภกิ ษณุ ี อุบาสก อุบาสิกา และ
แม่ชีที่มาจากตัวแทนสดั สว่ นร้อยละ 25 ท่ัวประเทศจะมาช่วยกันกาหนดทิศทางของคณะสงฆ์ผ่านงาน
คณะสงฆ์ท้ัง 6 ด้านหลัก ควบคู่ไปกับพระเถระที่ได้รับการแต่งตั้งดูแลเป็นประธานทั้ง 6 ท่าน ส่วนใน
อีกหนึ่งด้านที่พระเถระได้รับมอบหมาย คือ ด้านการพัฒนาพุทธมณฑลให้เป็นศูนย์กลาง
พระพุทธศาสนาโลก ทม่ี อบใหส้ มเด็จพระพุทธชินวงศ์ เจา้ อาวาสวดั พิชยญาติการาม เปน็ ประธาน ใน
ส่วนงานน้ีสภาพุทธบริษัท อาจไม่เกี่ยวข้องโดยตรงเป็นแต่เพียงการเฝูาดูติดตามและรอการขอความ
ช่วยเหลือจากท่านพระเถระทั้งนเ้ี พราะมองว่า งานท้งั 6 ด้าน ที่สภาพุทธบริษัทแห่งชาติรับผิดชอบอยู่
นนั้ ก็มากพออยแู่ ล้วและเหลอื วสิ ัยทส่ี ภาพุทธบริษัทแหง่ ชาตจิ ะเปน็ กาลงั หลกั ในงานของด้านนี้

(4) โครงสรา้ งนีจ้ ะตอ้ งถกู ตรวจสอบจากรัฐและสังคมในฐานะคณะสงฆ์
เป็นสถาบันทางศาสนาและกรอบคิดน้ีจะต้องเอ้ือเฟื้อต่อพระธรรมวินัยและสอดรับกับระบอบ
ประชาธิปไตยท่ีเน้นการกระจายอานาจและมีการถ่วงดุลอานาจซึ่งกันและกันท่ามกลางเงื่อนไขของ
บรบิ ทของโลกสมยั ใหม่ด้วย ซึง่ เปน็ ทแ่ี น่ชัดอยแู่ ลว้ เพราะด้วยโครงสร้างการปกครองคณะสงฆ์น้ี มีการ
แบ่งอานาจการถ่วงดุล และมีการกระจายอานาจไปตามระบอบประชาธิปไตยและส่งเสริมการมีส่วน
รว่ มจากสภาพทุ ธบริษัทแห่งชาติ ซ่ึงประกอบไปด้วยพุทธบริษัทท้ัง 4 ท่ีมาร่วมรับผิดชอบในภาระงาน
คณะสงฆ์ ทั้ง 6 ด้านหลัก และเป็นคณะสงฆ์ท่ีพร้อมสาหรับการตรวจสอบจากทุกภาคส่วนของสังคม
ในเร่ืองความโปร่งใส ความคุ้มค่า ความรับผิดชอบ ซึ่งก็เป็นไปตามหลักธรรมาภิบาลตามที่ท้ังฝุาย
ภาครฐั และเอกชนก็ใหค้ วามสาคญั ในสว่ นนี้

และในขณะเดียวกนั ภายใต้หลกั คดิ 4 วิธนี ีก้ ส็ อดรับกับ 4 เงอ่ื นไข ไม่วา่
จะเป็น 1) พระธรรมวินัย 2) ความซับช้อนของสภาพสังคม 3) ระบอบการปกครองในระบอบ
ประชาธิปไตย 4) ความเข้มแข็งของพุทธบริษัท ตามที่ผู้วิจัยได้ผนวกภิกษุณีและแม่ชีเข้ามาใน สภา
พุทธบริษัทแห่งชาติแม้ว่าโดยสถานะทางกฎหมายท้ังภิกษุณีและแม่ชีจะยังไม่ได้การยอมรับก็ตาม
แต่ด้วย การตระหนักและเห็นคุณค่าของบทบาทภิกษุณีและแม่ชีที่มีคุณูปการต่อสังคมไทยมากข้ึนจึง
เห็นความสาคญั อยา่ งยิง่ ทจี่ ะต้องผนวกเข้าเป็นกาลังสาคัญมากกว่าท่ีจะอ้างกล่าวถึงความเข้มแข็งของ
พุทธบริษัทแต่ในทางปฏิบัติในกลุ่มชาวพุทธบางกลุ่ม ความรู้สึกต่อการมีภิกษุณีและแม่ชีกลับยังไม่มี
ความรู้สึกว่ามีตัวตนจริงในพุทธบริษัท 4 อีกท้ังการท่ีจะต้องรวมถึงความจาเป็นในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะ
เป็นไปในส่วนของกระบวนการของการได้มาซ่ึงบุคลากรของสภาพุทธบริษัทแห่งชาติที่มาจากหลาย

135

กลุ่ม ส่ิงเหล่านี้เป็นผลให้ผู้วิจัยต้องเสนอแนวทางการแก้ไขป๎ญหาโครงสร้างการปกครองคณะสงฆ์
ดังที่กล่าวถึงไปแล้วในข้างต้น หากแต่สิ่งสาคัญท่ีควรจะตระหนักอีกมากกว่านั้นคือทาอย่างไรให้การ
นาเสนอของผู้วิจัยเกิดข้อถกเถียงท่ามกลางวงของพุทธบริษัทอย่างจริงจังจนนาไปสู่การยกระดับใน
การแก้ไขในแนวทางปฏิบัติท่ีสามารถเกิดข้ึนจริงได้และสร้างความพยายามใหม่ในหน้าประวัติศาสตร์
ของการที่พระสงฆ์และพลงั ของอุบาสกและ อุบาสิกามาจับมือเพ่ือมามีส่วนในการออกแบบโครงสร้าง
การปกครองคณะสงฆ์หรือการร่วมกาหนดทิศทางคณะสงฆ์รวมถึงการตรวจสอบคณะสงฆ์ในฐานะ
สถาบันทางสังคมแทนท่ีจะมาจากความพยายามจากรัฐแต่เพียงฝุายเดียวตามที่เคยปรากฏใน
ประวัติศาสตร์ของพระพุทธศาสนาท่ีผ่านมาซึ่ งรัฐมักจะมาแทรกแซงบั่นทอดคุณค่าของ
พระพุทธศาสนาลงเพียงเพ่อื ผลประโยชนท์ ่ีตอบสนองต่อรัฐเพียงเทา่ นั้น

4.2 แนวทางในการแก้ไขปญั หาการขาดประสทิ ธภิ าพในการปกครอง

4.2.1 การนาโครงสร้างการปกครองคณะสงฆ์ท่ีนาเสนอใหม่ของผู้วิจัยมาใช้เป็น
แนวทางในการแกไ้ ขปัญหาการขาดประสิทธิภาพในการปกครอง

แนวทางในการแก้ไขป๎ญหาการขาดประสทิ ธิภาพในการปกครอง ตามที่ ในบทท่ี
3 ผูว้ จิ ัยได้สารวจถงึ สาเหตุของปญ๎ หาการขาดประสิทธิภาพในการปกครอง พบว่า ในหัวข้อที่ 3.1.2.1
การรวมศูนย์อานาจการตัดสินใจ คือสาเหตุแรกของป๎ญหาการขาดประสิทธิภาพในการปกครอง
เพราะฉะนั้น ผู้วิจัยคิดว่า หากมีการปรับเปล่ียนโครงสร้างการปกครองคณะสงฆ์ตามท่ีผู้วิจัยได้
นาเสนอไปในข้างต้นของหัวข้อท่ี 4.2.1.4 แนวทางในการแก้ไขป๎ญหาโครงสร้างการปกครองคณะ
สงฆ์โดยใช้พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2484 เป็นตัวแบบโครงสร้างองค์กรและมีสภาพุทธบริษัท
เป็นองค์กรอิสระในการถ่วงดุลการทางานของคณะสงฆ์ก็คิดว่าน่าจะมีส่วนช่วยแก้ไขป๎ญหาขาด
ประสิทธิภาพในการปกครองอย่างแน่นอน เนื่องจากโครงสร้างการปกครองคณะสงฆ์ที่ได้นาเสนอไป
น้ันเป็นการนาเสนอให้ มีการกระจายอานาจปลดล็อคระบบการรวมศูนย์อานาจตามมาด้วยการแก้ไข
โดยให้มีการถ่วงดุลอานาจไปพร้อมกันและในขณะเดียวกันก็ส่งเสริมการตรวจสอบจากองค์กรพุทธ
อสิ ระท่ีเรียกว่า สภาพุทธบรษิ ัทแห่งชาตดิ ว้ ย

สงิ่ เหล่านี้ผวู้ ิจัยไดก้ ลา่ วถงึ ไปในขา้ งต้นบา้ งแลว้ ในลาดับถดั ไปจะกลา่ วไปตาม
ลาดบั ถงึ แนวทางในการแกไ้ ขปญ๎ หาการขาดประสทิ ธภิ าพในการปกครอง ในด้านอ่ืนๆ โดยการกลับไป
พิจารณาทบทวนถึงสาเหตุของป๎ญหาการขาดประสิทธิภาพในการปกครองตามที่ได้สารวมพบสาเหตุ

136

ไว้ใน บทที่ 3 ในประเด็นที่ 2 หัวข้อที่ 3.1.2.2 ท่ีพบว่า สาเหตุการขาดประสิทธิภาพในการปกครอง
น้ันมาจากผู้ปกครองสงฆร์ ะดบั สงู อยู่ในวัยชราภาพ

ในทน่ี ้ีนน้ั คาวา่ “ผปู้ กครองสงฆ์ระดับสงู ในวยั ชราภาพ” นัน้ หมายถงึ พระทีม่ ี
ตาแหน่งทางการปกครองในระดับของมหาเถรสมาคม และรวมถึงเจ้าคณะพระสังฆาธิการในสาย
ปกครอง ซง่ึ มกั จะมอี ายมุ าก สง่ ผลให้พลังในการทางานน้ันน้อยลงจนเกิดการด้อยประสิทธิภาพในการ
ทางานในทีส่ ดุ แนวทางแกไ้ ขคือ ตอ้ งกาหนดคุณสมบัติของผู้ปกครองใหม่ และลดภาระงานลง เพราะ
พระสังฆาธิการหลายทา่ นดารงตาแหน่งเป็นทั้งเจ้าคณะภาค เจ้าอาวาส กรรมการมหาเถรสมาคม แต่
ประกอบไปด้วยอายทุ มี่ าก ทุกอยา่ งจงึ ทาให้แย่ทั้งสุขภาพของท่านและคณุ ภาพของงานก็แย่ลงด้วย ใน
สว่ นน้เี องผู้วจิ ัยก็ได้เสนอไปแลว้

ในส่วนของแนวทางในการแกไ้ ขปญ๎ หาโครงสร้างการปกครองดว้ ยการเสนอ
โครงสร้างการปกครองคณะสงฆ์รูปแบบใหม่ไปแล้วในข้างต้น ไม่ว่าจะเสนอให้แก้ไขในส่วนของการ
กาหนดคุณสมบตั ิใหม่ และปรบั โครงสรา้ งใหม่ เช่นคุณสมบัติของสังฆสภาน้ัน ประกอบไปด้วยสมาชิก
ไมเ่ กนิ 45 รปู โดยมีคณุ สมบัติ คือ (1) เป็นเปรียญธรรม 3 ประโยคข้ึนไป (2) จบการศึกษาปริญญาตรี
ขนึ้ ไปในสาขาใดสาขาหน่ึง (3) มอี ายตุ ้ังแต่ 35 ข้ึนไปแตไ่ มเ่ กิน 60 ปี สาหรับการตั้งเกณฑ์กาหนดอายุ
ตั้งแต่ 35 ขึ้นไปแต่ไม่เกิน 60 และกาหนดคุณสมบัติของ คณะสังฆมนตรี ประกอบด้วยสังฆนายก 1
รูป และสังฆมนตรีไม่เกิน 9 รูป โดยต้องมีคุณสมบัติตามข้อที่ (1) (2) และข้อ (3) ตามหลักการ
ของสังฆสภา ท่ีมาของสังฆมนตรีน้ันมาจากการแต่งตั้งของสมเด็จพระสังฆราช และตามด้วยการ
กาหนดคุณสมบัติของ คณะวินัยธร ประกอบไปด้วยคณะวินัยธร 1 รูป และคณะวินัยธรไม่เกิน 9 รูป
โดยตอ้ งมคี ุณสมบัติตามข้อที่ (1) และขอ้ (3) ตามหลักการของสังฆสภาด้วย สาหรับพระสายปกครอง
ตั้งแต่ระดับภาคหรือหน จนมาถึงจังหวัด อาเภอ ตาบลและรวมถึงเจ้าอาวาสนั้นคุณสมบัติทางอายุที่
จะสามารถดารงตาแหน่งดังกล่าวได้จะต้องมีอายุตั้งแต่ 35 ขึ้นไปแต่ไม่เกิน 60 ปีเท่านั้น ในส่วนนี้
น่าจะพอช่วยแก้ไขสาเหตุของป๎ญหา ผู้ปกครองสงฆ์ระดับสูงท่ีมีอานาจและอิทธิพลต่อการปกครอง
สงฆจ์ านวนมากด้อยประสิทธภิ าพในการทางานเพราะชราภาพ ลงได้

4.2.2 การปฏิรปู การศกึ ษาคณะสงฆเ์ พอ่ื พัฒนาประสทิ ธิภาพของผู้ปกครองคณะสงฆ์
การปกครองคณะสงฆ์ในทกุ ระดบั ควรเป็นการปกครองท่เี อ้ือใหม้ ีการเน้นการ

ศกึ ษาเปน็ หลัก คณะสงฆท์ ุกระดบั จากสงู สดุ ลงมาถึงเจา้ อาวาสจะต้องมาร่วมดูแลรับผิดชอบการศึกษา
ของพระสงฆ์สามเณรอย่างจริงจัง โดยถือว่าเป็นคันถะธุระประการแรกสุดของตนในฐานะท่ีเป็นนัก
ปกครอง

การปฏิรปู การศกึ ษาคณะสงฆเ์ พ่ือพฒั นาประสิทธภิ าพของผ้ปู กครองคณะสงฆ์

137

คอื แนวทางแก้ไขอย่างหน่ึงที่ต้องการ สร้างสรรค์เพ่ือการพัฒนาประสิทธิภาพของผู้ปกครองคณะสงฆ์
อันเนื่องมาจากสาเหตุที่ค้นพบในบทท่ี 3 ในหัวข้อท่ี 3.1.2.3 การด้อยความรู้ความสามารถของ
ผู้ปกครองสงฆ์ซึ่งสืบเน่ืองมาจากระบบและกลไกของคณะสงฆ์ที่ไม่มีการพัฒนาประสิทธิภาพของ
ผู้ปกครองคณะสงฆ์ก่อนอื่นต้องอธิบายว่า แท้จริงคาว่า ด้อยความรู้ของผู้ปกครองนั้น อาจมีข้อ
ถกเถียงตามมา ว่าการด้อยความรู้ด้อยในด้านไหน เพราะในเม่ือพระผู้ปกครองสงฆ์โดยส่วนใหญ่ ก็มี
ความรู้ในระดับเปรียญธรรม 9 ประโยค และนักธรรมเอก ฉะนั้นคาว่า “ด้อยความรู้” ในท่ีน้ีจึงไม่ได้
หมายความถึง ความรู้ในระดับเปรียญหรือนักธรรมอย่างท่ีเข้าใจซึ่งพระผู้ปกครองตั้งแต่มหาเถร
สมาคมลงมาจนถึงเจ้าคณะผู้ปกครองจนถึงเจ้าอาวาสโดยส่วนใหญ่ล้วนมีความรู้ในบาลี นักธรรม แต่
คาวา่ ด้อยความรู้ในที่นี้คือด้อยความรู้ในด้านการปกครอง การบริหาร จนขาดความความสามารถใน
การปกครองบรหิ ารตามมา การปกครองการบริหารนนั้ เป็นไปในเร่ืองของศาสตร์ (science) และศิลป์
(art) ในด้านองค์ความรู้นั้น อย่างน้อยจะต้องมีใบปริญญาตรีสาขาใดสาขาหน่ึงข้ึนไปประกอบเป็น
คุณสมบัติของผู้ปกครองสงฆ์ ความรู้ในด้านนี้เป็นคุณสมบัติเบ้ืองต้นของผู้ปกครองเลยก็ว่าได้ ดังท่ี
ผวู้ ิจัยไดเ้ สนอไปแล้วในส่วนของคุณสมบัติผู้ปกครองสงฆ์ในโครงสร้างการปกครองคณะสงฆ์ใหม่ ส่วน
ความสามารถในการปกครองน้ันเป็นเร่ืองของทักษะ (skill) และรวมทั้งการเป็นนักปกครองในนาม
นักบวชท่ีจะต้องมีเหนือกว่านักปกครองท่ัวไปคือ ความหนักแน่นและความกล้าหาญในทางคุณธรรม
ส่ิงเหล่าน้ี จึงนับเป็นสิ่งสาคัญอย่างมากในฐานะนักปกครองสงฆ์ในนามนักบวชจะต้องตระหนักว่า ใน
ฐานะนักบวชคือต้นแบบของคุณงานความดี ทาให้ส่ิงเหล่านี้นับเป็นความท้าท้ายของการเป็นนัก
ปกครองสงฆย์ คุ ใหม่ทีต่ ้องหาทางแกไ้ ข

ดงั นั้นผ้วู จิ ยั จึงไดแ้ สวงหา แนวทางการแก้ไขป๎ญหาการขาดประสิทธิภาพในการ
ปกครองในท่ีน้ีด้วยการปฏิรูปการศึกษาคณะสงฆ์เพ่ือพัฒนาประสิทธิภาพของผู้ปกครองคณะสงฆ์ จึง
ขอนาเสนอไวใ้ นรายละเอยี ดว่า จะปฏริ ูปส่วนไหน อะไรกอ่ นบ้าง

4.2.2.1 การปฏริ ปู การศกึ ษาพระบาลี
การออกแบบหรอื แสวงหาระบบและกลไกของคณะสงฆ์เพื่อการพฒั นา

ประสทิ ธิภาพของผู้ปกครองคณะสงฆ์จึงเป็นการหลีกเลี่ยงไปไม่ได้เลยท่ีจะเร่ิมด้วยกระบวนการศึกษา
ในฐานะเป็นกระบวนการหลอ่ หลอมปลูกฝง๎ ความเชือ่ ความคิดทศั นคติ ในท่นี ีผ้ ู้วิจัยเห็นว่าควรเริ่มจาก
การปรับปรุงระบบการศึกษาบาลีก่อนเน่ืองจากเห็นว่า การปฏิรูปครั้งสาคัญของหน้าประวัติศาสตร์
พระพุทธศาสนาในประเทศไทยคือ การปฏิรูปการศึกษาด้านภาษาบาลี โดย สมเด็จพระมหาสมณ
เจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส และในทางคณะสงฆ์เองก็ให้ความสาคัญกับการศึกษาพระบาลีโดย
ตลอดมา และยกย่องนับถือคุณูปการของการปฏิรูปการศึกษาพระบาลี ของ สมเด็จพระมหาสมณ

138

เจา้ กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ไวเ้ หนอื สิง่ อืน่ ใด คาถามสาคัญคอื เพราะเหตุใด สมเด็จพระมหาสมณ
เจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส และคณะสงฆ์จึงให้ความสาคัญกับการศึกษาพระบาลีมากมายขนาด
นั้น คาตอบของคาถามนี้ คือ หนังสือ เรื่อง สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส กับ
การปฏิรูปการศึกษาพระพุทธศาสนา ซ่ึง พระพรหมบัณฑิต (ประยูร ธมฺมจิตฺโต) ได้กล่าวถึงไว้ใน
หนงั สอื เล่มนี้โดยมีใจความสาคญั ว่า

พระอรรถกถาจารยไ์ ดก้ ล่าวถึงขัน้ ตอนแหง่ การอันตรธานของพระพทุ ธ-
ศาสนาว่า มี 3 ประการ

1. ปรยิ ัติอันตรธาน หมายถงึ ไม่มกี ารศกึ ษาพระพทุ ธศาสนา คือ ไมม่ ีการเลา่ เรยี นพระ
ธรรมวนิ ัย ไมม่ กี ารศึกษาพระไตรปฎิ ก
2. ปฏิบตั ิอันตรธาน หมายถึงไม่มีการนาเอาคาสอนในพระพุทธศาสนามาประพฤติ
ปฏบิ ัติ
3. ปฏิเวธอันตรธาน หมายถงึ ไมม่ ีการไดฌ้ านสมาบัติ ไม่มีการบรรลมุ รรคผลนิพพาน

ถามวา่ เมื่อพระศาสนาจะอนั ตรธานไปจากดินแดนใดก็ตามอะไรอันตรธานไปก่อนใน
บรรดา ปริยตั ิ ปฏบิ ตั แิ ละปฏเิ วธ ตอบว่าปฏเิ วธอนั ตรธานไปก่อน เวลาพระศาสนาจะ
สญู หายไปจากดนิ แดนใด ดินแดนนน้ั จะไมม่ ผี บู้ รรลุมรรคผลนพิ พานแมก้ ระทัง้ ผปู้ ฏบิ ัติ
สมถกรรมฐานจนไดฌ้ านสมาบตั ิกห็ าไมไ่ ด้ นีเ่ รียกวา่ ปฏเิ วธอนั ตรธาน

เมื่อปฏิเวธอนั ตรธานแลว้ พระพทุ ธศาสนายังไมเ่ ช่ือวา่ อนั ตรธานไปจากโลกนี้ ตราบ
เทา่ ทีย่ ังมีปริยัติและปฏิบัตเิ หลอื อยู่ ถามว่า ระหว่างปริยัตกิ ับปฏบิ ัติ อะไรจะอนั ตรธาน
ไปกอ่ น ตอบวา่ ปฏบิ ัตอิ นั ตรธานไปกอ่ น คอื ไมม่ กี ารปฏิบตั ติ ามหลกั ไตรสกิ ขาคือ ไม่มี
การรกั ษาศีล ไมม่ ีการเจริญสมาธิ ไม่มีการปฏิบตั ิวปิ ๎สสนา คงเหลอื แตก่ ารศึกษาปริยตั ิ
อยา่ งเดียว ถามต่อไปว่า เมื่อเหลือแต่การศกึ ษาปรยิ ตั อิ ย่างเดยี วพระพทุ ธศาสนาเช่ือว่า
อันตรธานไปแลว้ หรือยัง ตอบวา่ พระพุทธศาสนาจะยงั ไม่อนั ตรธาน ตราบใดยงั มีปรยิ ัติ
คอื การเรียนการสอนพระธรรมวนิ ัยเหลืออยู่ ตราบนัน้ พระพุทธศาสนาจะไมส่ ูญหายไป
จากโลก ดงั นั้น การศึกษาปรยิ ตั จิ งึ เป็นพ้นื ฐานรองรบั การดารงอยู่ของพระพุทธศาสนา
ดังทพี่ ระอรรถกถาจารยไ์ ดร้ จนาเป็นภาษาบาลไี ว้ว่า สาสนฏฺฐิติยา ปน ปรยิ ตตฺ ิ ปมาณ
การศกึ ษาปริยตั เิ ป็นหลกั ในการดารงอยขู่ องพระศาสนา ทา่ นให้เหตุผลว่า ปณฑฺ ิโต หิ
เตปฏิ กสตุ วฺ า เทวฺ ปปิ เู รติ เพราะวา่ บัณฑิตศึกษาพระไตรปิฎกแลว้ ยอ่ มจะทาปฏบิ ัตแิ ละ
ปฏเิ วธทงั้ สองอยา่ งให้บรบิ รู ณ์ได้ นัน่ คอื การศึกษาพระปริยัติและปฏเิ วธที่แทต้ ามมา ถ้า
ไม่มีการเรียนพระไตรปิฎก การปฏบิ ัติอาจจะผิดเพ้ียน แม้ปฏเิ วธที่ไดม้ าก็เป็นของปลอม

139

นอกพระพุทธศาสนา (พระพรหมบณั ฑติ (ประยรู ธมมฺ จติ โฺ ต), 2556, น. 41-42)
เพราะฉะนน้ั นค้ี ือแง่ดีท่ี พระมหาเถระในอดีตล้วนใหค้ วามสาคญั ตอ่ การ

ปรับปรุงการเล่าเรียนบาลี ในท่ีนี้จึงเสนอการปรับปรุงเพิ่มเสริมการเรียนบาลีให้เหมาะสมต่อสภาพ
ของสงั คมไทยในป๎จจบุ นั มากข้ึน

1) ปรบั หลักสตู รการเรยี นบาลี
การปรบั หลกั สตู รการเรียนบาลีจากเดมิ ทีม่ ีเนื้อหาที่เน้นศึกษาจากคัมภีร์
ช้ันรองจากพระไตรปิฎก ได้แก่ การศึกษาในอรรถกถา ฎีกา ปกรณ์วิเศษ ต่างๆ ทาให้ไม่สามารถ
นาไปสู่การแตกฉานในพระไตรปิฏกได้ ผู้วิจัยเองจึงตระหนักถึงความสาคัญในส่วนนี้ได้มีโอกาสขอ
แนวทางการปรับแก้ไขในส่วนของการศึกษาบาลีให้สามารถตอบสนองต่อการสามารถนาไปใช้ได้จริง
ในทางปฏิบัติ โดยการสัมภาษณ์ พระมหาหรรษา ธมฺมหาโส ท่านได้นาเสนอการศึกษาพระบาลีแบบ
ใหมอ่ ย่างที่ควรจะเปน็ ไวว้ ่า
การเรยี น เปรียญประโยค 1- 9 นน้ั เรียนชน้ั อรรกถา ควรจะเรียนไปให้ถึงขนาดแปล
พระไตรปิฎกได้เลย โดยการกาหนดหลักสตู รการเรียนพระบาลีใหมโ่ ดยเริ่มตน้ จาก
เปรียญ 1-5 เรียนพระวินยั ปิฎก
เปรยี ญ 6-7 เรยี นพระสตู ร
เปรียญ 8-9 เรียนพระอภิธรรม (พระมหาหรรษา ธมฺมหาโส, สัมภาษณ์, 13 มกราคม
2559)
ผวู้ จิ ยั เห็นวา่ ข้อเสนอของท่านพระมหาหรรษา ธมมฺ หาโส น่าจะมีบาง
สานักเรียนนาไปทดลองก่อนท่ีจะออกเป็นโนบายของการศึกษาคณะสงฆ์ทางด้านการศึกษาพระบาลี
อย่างจริงจัง ข้อสังเกตเพ่ิมเติมในส่วนน้ี ระบบการศึกษาเปรียญยังคงอยู่ไม่เปล่ียนแปลงแต่เพียงปรับ
เนอ้ื หาในการเรียนตามทท่ี า่ นพระมหาหรรษาได้เมตตากลา่ วถงึ เท่านน้ั เอง
2) ลดระยะเวลาในการศึกษาเปรียญธรรม 9 ประโยค
การศึกษาเปรยี ญธรรมนอกจากต้องใช้สมาธใิ นการท่องจาผนวกกบั ความ
ขยนั พยายามอันมีมากลน้ แล้ว ระยะเวลาที่ต้องใชศ้ ึกษา 9 ปี โดยประมานหากไม่ถือว่าสอบตกก็นับว่า
ยาวนานมากเมื่อเทียบกับมาตรฐานการศึกษาท่ัวไป การลดระยะเวลาการศึกษาให้เหลือเพียง 4 ปี
ของการศกึ ษานับวา่ จะชว่ ยประหยัดเวลาและถือว่าเป็นการสร้างเสรมิ กาลงั ใจแกผ่ ู้เรียนดว้ ย
3) ยกระดับการศกึ ษาพระบาลีใหญเ่ ข้าส่รู ะบบการศกึ ษาของมหาวทิ ยา-
ลัยสงฆ์
การยกระดบั การศกึ ษาพระบาลีใหญเ่ ข้าสรู่ ะบบการศึกษาของมหาวิทยา-

140

ลยั สงฆโ์ ดยใช้มหาวทิ ยาลัยท้ังสองแหง่ โดยใช้มหาวิทยาลัยท้ังสองแห่งเป็นพ้ืนท่ีในการจัดการเรียนการ
สอน ตอ่ จากนั้นผู้วิจัยเห็นว่าเมื่อปรับการศึกษาพระบาลีแล้วต่อไปควรให้มีการยกระดับการศึกษา
บาลีใหญ่เข้าสู่การศึกษาในระบบของการศึกษาคณะสงฆ์ทั้งน้ีเพ่ือความเข้าใจในพุทธธรรมท่ีถ่องแท้
และลึกซงึ่ ขนึ้ กว่าเดิมเพราะลาพงั การศึกษาเพยี งแค่เปรียญธรรมเอก (ปธ. 9) ไม่เพียงพอต่อการเข้าใจ
ในหลักพุทธธรรมที่ถูกต้องชัดเจนลึกซึ้งได้ต่อจากนั้นก็ให้มีการปฏิรูปการศึกษาคณะสงฆ์ให้สมสมัย
เพ่อื ความเทา่ ทันการเปลี่ยนของสังคมโลกดงั ต่อไปน้ี

4.2.2.2 การปฏิรปู การศกึ ษาคณะสงฆ์ให้สมสมยั
การปฏิรูปการศกึ ษาคณะสงฆ์ให้สมสมัยโดยเสนอใหม้ ีการปรับในสว่ นของ

การศึกษาของคณะสงฆ์ที่มีความรู้เท่าทันต่อภาวะความเป็นสมัยใหม่ควรเป็นการศึกษาที่สอดรับกับ

การนาไปปรับใช้ในชีวิตในยุคป๎จจุบันท่ีซับซ้อน และสิ่งท่ีควรเน้นความสาคัญสาหรับการศึกษาพุทธ
ธรรมคือเพ่ือเป็นน้อมนาองค์ความรู้ของพุทธธรรมดังกล่าวไปปรับประยุกต์ใช้แก่สังคม การศึกษา
ดงั กลา่ วนีจ้ ะเกิดขน้ึ ไมไ่ ด้ถา้ หากขาดซ่ึงองคป์ ระกอบของการศกึ ษาคณะสงฆ์ดังจะกลา่ วตอ่ ไปน้ี

1) ให้คงมีการศกึ ษานกั ธรรมตรจี นถึงนักธรรมเอก สาหรบั แนวคดิ ในแง่
ของการศึกษาและการจัดกระบวนการเรยี นการสอนนน้ั ตอ้ งมีผูศ้ กึ ษาได้รับรู้ถึงลักษณะท่ีเน้นไปในทาง
ความเข้าใจทางประวัติศาสตร์ สอดแทรกความรู้ทางสังคมวิทยาทางศาสนา ท่ีมาของข้อคิดธรรมะท่ี
สามารถนามาประยุกต์ใช้ในสังคมป๎จจุบันได้ มีกระบวนการปลูกฝ๎งเรียนรู้ผ่านกิจกรรมที่คิดขึ้นของ
ผ้สู อนใหผ้ ูเ้ รียนรับรูเ้ ขา้ ใจและให้ทักษะของการคิดที่สร้างสรรค์ในด้านธรรมะในสิ่งเหล่านี้มากกว่าการ
เรียนแบบท่องจาท่ีผ่านมา ท้ังน้ีให้ผู้ศึกษาน้ันได้รับรู้ถึงบริบท และพัฒนาการของสังคมชมพูทวีปใน
ขณะน้นั เพื่อใหเ้ หน็ ภาพการเปลี่ยนแปลงของสังคม เช่ือมตอ่ มาจนถงึ กระทั่งยงั ยคุ ป๎จจุบนั

2) สาหรับพระสงฆ์ท่จี ะกา้ วข้นึ มาเปน็ ผู้ดแู ลปกครองคณะสงฆต์ ้องศึกษา
ในดา้ นพระวนิ ยั และในดา้ นนติ ศิ าสตรร์ ฐั ศาสตร์ รัฐประศาสนศาสตร์ ให้มคี วามเขา้ ใจทชี่ ัดเจน

3) การศกึ ษาทีเ่ ปน็ ไปเพ่ือปรบั เปลย่ี นโครงสรา้ งการปกครองคณะสงฆ์โดย
ให้มีมุมมองว่าการปกครองเป็นเคร่ืองมืออย่างหน่ึงในการเป็นกระบว น การให้พระสงฆ์ท่ีอยู่ใน
โครงสร้างดังกลา่ วขยายฐานคิดในการเข้าสู่หลกั ไตรสิกขา คือ ศลี สมาธิ และป๎ญญา

4) การศึกษาของคณะสงฆ์โดยมหาวทิ ยาลัยสงฆต์ อ้ งเปน็ การศกึ ษาทผี่ ลติ
บัณฑิตที่เป็นทางเลือกใหม่ให้กับสังคมไม่ใช่เดินตามกระแสมากไป มิฉะน้ันก็จะประสบป๎ญหาตาม
กระแสหลักของการศึกษา โดยการศึกษาคณะสงฆ์ท่ีเป็นทางเลือกใหม่คือเน้นการศึกษาที่ควบคู่ไป
กบั ความเจรญิ ท้งั สองด้านกลา่ วคอื การศกึ ษาทเ่ี น้นทางวัตถแุ ละมติ ิทางจติ วิญญาณร่วมกันท้ังน้ีเพื่อเอ้ือ
ให้โลกวัตถุและโลกทางจิตวิญญาณเป็นองค์ประกอบท่ีเอ้ือสู่การพัฒนาทางป๎ญญาของพระสงฆ์และ

141

การศึกษาของคณะสงฆ์ต้องไปไกลให้ถึงการเป็นผู้นาทางการศึกษาใหม่โดยไม่ติดอยู่เพียงกาดักทาง
ปญ๎ ญาเพยี งแคป่ ริญญาเอกเทา่ นนั้

5) สิ่งท่กี ารศึกษาน้ันจะขาดไมไ่ ด้เลยหากต้องการเข้าใจโลกและสามารถ
ส่ือสารกับโลกให้เข้าใจได้ในยุคป๎จจุบันคือ การศึกษาทางด้านภาษา โดยพระสงฆ์ต้องศึกษา
ภาษาองั กฤษ ภาษาจนี ภาษาญปี่ ุน ภาษาฝรง่ั เศส โดยสถานที่รองรับพระสงฆ์ท่ีจะเข้ารับการศึกษาใน
เบ้ืองต้นคือ มหาวิทยาลัยสงฆ์ท้ังสองแห่ง คือมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยและ
มหาวิทยาลัยมหามกุฎราชวิทยาลัย แต่หากวัดใดมีกาลังทรัพย์ที่พร้อมก็สามารถส่งพระสงฆ์เข้าสู่
การศึกษาในมหาวิทยาลัยตามสถาบันการศึกษาของฆราวาสเช่น มหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์ราช
วทิ ยาลัย มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลยั มหิดลหรอื สถาบันการศึกษาในตา่ งประเทศ

การปฏิรูปการศึกษาคณะสงฆเ์ พ่อื พฒั นาประสทิ ธิภาพของผู้ปกครองคณะ
สงฆ์มาจากความเชื่อที่ว่า การศึกษาคือกระบวนการกล่อมกลา ขัดเกลาสร้างความเช่ือ ทัศนคติ
การศึกษาคณะสงฆ์เกือบร้อยกว่าปีมาแล้วที่พระสงฆ์ศึกษาอยู่ในป๎จจุบันยังไม่มีการปรับปรุ งหลักสูตร
การศึกษาของคณะสงฆ์ไม่ว่าการศึกษาบาลีนักธรรม ส่งผลให้พระสงฆ์เหล่าน้ันก้าวขึ้นมามีทัศนคติท่ี
รักษาระบบโครงสรา้ งเดมิ ของพระสงฆ์มากกว่าที่จะเสนอคิดให้มีการปรับปรุงระบบการปกครองคณะ
สงฆเ์ สียใหมเ่ พื่อปรบั ใหเ้ ทา่ ทนั ต่อการเปลยี่ นแปลงของสังคมดว้ ยเหตุดังนจ้ี งึ ตอ้ งมกี ารปฏิรูปการศึกษา
คณะสงฆใ์ หมด่ ังท่ปี รากฏในรายละเอียดท่ีไดน้ าเสนอไป

4.3 แนวทางในการแกไ้ ขปญั หาหลกั เกณฑก์ ารแตง่ ตัง้ สมณศักดิ์

ในการแก้ป๎ญหาการปกครองคณะสงฆ์ ต้องมีการแก้ป๎ญหาเร่ืองสมณศักดิ์ด้วยเพราะ
สมณศักดิ์มีความเก่ียวข้องกับการบริหารปกครองคณะสงฆ์เน่ืองจากสมณศักด์ิและตาแหน่งทางการ
ปกครองคณะสงฆ์ท่ีสูงจะเกี่ยวข้องสัมพันธ์ควบคู่ไปกับตาแหน่งทางการปกครองคณะสงฆ์ด้วย ซึ่งก็
เปน็ ไปตามทไ่ี ดร้ ะบไุ วใ้ น

กฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ 24 (พ.ศ. 2551) ว่าด้วยการแตง่ ตง้ั ถอดถอนพระสงั ฆาธกิ าร
อาศัยอานาจตามความในมาตรา 15 ตรี มาตรา 20 ทวิ แกไ้ ขเพิม่ เตมิ โดย
พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบบั ที่ 2) พ.ศ. 2535 และมาตรา 23 แหง่ พระราชบญั ญัติ
คณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 ในหมวดท่ี 2 การแตง่ ตั้งพระสงั ฆาธกิ าร สว่ นที่ 1 เจา้ คณะใหญ่
ขอ้ 7 พระภิกษุผ้จู ะดารงตาแหนง่ เจา้ คณะใหญ่ ต้องมคี ุณสมบตั ิ ดังนี้ (2) มสี มณศักดิไ์ ม่
ตา่ กว่ารองสมเดจ็ พระราชาคณะ สว่ นที่ 2 เจา้ คณะภาค ข้อ 10 พระภิกษุผจู้ ะดารง

142

ตาแหนง่ เจา้ คณะภาคตอ้ งมคี ุณสมบัติ ดังนี้ (4) มสี มณศกั ด์ไิ ม่ต่ากว่าพระราชาคณะชัน้
เทพ ส่วนท่ี 3 เจา้ คณะจงั หวดั ข้อที่ 14 พระภิกษุผู้จะดารงตาแหน่งเจ้าคณะจังหวดั
ตอ้ งมคี ุณสมบัติ ดังน้ี (4) มสี มณศกั ด์ไิ ม่ตา่ กวา่ พระราชาคณะชั้นสามญั หรอื เป็นพระ
คณาจารย์โทขึน้ ไป หรือเปน็ เปรยี ญธรรมไม่ต่ากวา่ 6 ประโยค (วริ ชั ถริ พันธ์เมธแี ละ
คณะ, 2546, น. 213-217)
หรือจะเป็นอีกหน่ึงตัวอย่างเฉพาะ ซึ่งโดยหลักการได้กล่าวไว้ในข้อความข้างต้นแล้วว่า
สมณศกั ดข์ิ องเจ้าคณะจังหวัดสว่ นใหญ่จะเป็นพระราชาคณะชนั้ สามัญไปจนถึงพระราชาคณะช้ันธรรม
หรือ เช่น อดีตเจ้าคณะจังหวัดชุมพร ก็เป็นพระราชาคณะช้ันธรรม คือ พระธรรมโกศาจารย์ (องอาจ
ฐติ ธมฺโม) ป๎จจุบัน (พ.ศ. 2559) เป็นท่ีปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดชุมพรและเจ้าอาวาสวัดขันเงิน ป๎จจุบัน
เจ้าคณะจังหวัดชุมพร (พ.ศ. 2559) คือ พระวิจิตรธรรมนิเทศ (พระมหาดาเนิน อตฺตจารี) ดารง
ตาแหน่งเจ้าอาวาสวัดราษฎร์บรู ณาราม อาเภอหลังสวน จงั หวดั ชุมพร ซ่ึงเป็นพระราชาคณะชั้นสามัญ
สมณศักดช์ิ นั้ ท่สี งู จงึ เปน็ การบง่ บอกถงึ ความสัมพันธ์ทางอานาจทีส่ ูงตามไปดว้ ย
แม้แตห่ ลกั เกณฑ์ในป๎จจบุ นั สาหรับพระเถระตามกฎหมายของพระราชบัญญัติคณะสงฆ์
พ.ศ. 2505 แก้ไขเพ่ิมเติม ปี พ.ศ. 2535 พระเถระที่จะเลื่อนขึ้นไปเป็นสมเด็จพระสังฆราชก็ใช้
หลักเกณฑ์อาวุโสโดยสมณศักด์ิ ซ่ึงหมายถึง การแต่งต้ังสมเด็จพระสังฆราชใช้การได้สมณศักด์ิช้ันสูง
คือเป็นสมเด็จพระราชาคณะและยังใช้หลักการการได้รับเลื่อนสมณศักด์ิก่อนหลังเป็นหลักเกณฑ์
สมณศกั ดจ์ิ ึงเกี่ยวพันธก์ ับตาแหนง่ การปกครองทส่ี งู ต่าไปตามลาดบั ทาให้ในหลายครั้งป๎ญหาของสมณ
ศักดิ์กล็ ้วนเกย่ี วพันธ์กบั ปญ๎ หาของการปกครองคณะสงฆ์ในมติ ติ า่ งๆ ตามไปด้วยอยา่ งหลกี เล่ยี งไม่ได้
ตัวอย่างในประวัติศาสตร์ของป๎ญหาการปกครองคณะสงฆ์ท่ีเก่ียวข้องกับป๎ญหาของ
สมณศักด์ิคือการประท้วงเพื่อเรียกร้องการคืนสมณศักดิ์ “กรณีศึกสมเด็จ พระราชาคณะ การ
เดินขบวนของกล่มุ ยุวสงฆแ์ ละการเรียกร้องของพระราชาคณะภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ไปยังรัฐบาล
มหาเถรสมาคม กรมการศาสนา” (คนงึ นติ ย์ จันทบุตร, 2535, น. 92-93) ท้ังน้ีการเดินขบวนดังกล่าว
ก็เพ่ือจุดประสงค์ในการขอให้คืนสมณศักด์ิ และแต่งต้ังพระพิมลธรรมข้ึนเป็นเจ้าอาวาสวัดมหาธาตุ
และเปน็ สมเด็จพระพฒุ าจารย์ เรื่องราวเหล่านี้ล้วนมีความเช่ือมโยงของป๎ญหาระหว่างสมณศักดิ์กับ
การปกครองคณะสงฆ์
แท้จริงแลว้ “สมณศกั ดิ์ คอื ฐานันดรศักด์ิที่พระมหากษัตริย์ทรงมีพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ต้ังถวายแต่เฉพาะแด่พระสงฆ์ผู้มีความประพฤติดีปฏิบัติชอบ สมณศักดิ์ โดยมีพระราชประสงค์ท่ีจะ
ส่งเสริมให้พระสงฆ์ผู้ทรงสมณศักดิ์ได้มีอุตสาหะวิริยะในการบาเพ็ญสมณธรรม และปฏิบัติศาสนกิจ”
(แสวง อดุ มศรี, 2530, น. 3) ในอดีต

143

การขอรบั พระราชทานต้ังและเล่ือนสมณศักด์ิในสมยั ก่อน พระมหากษัตริยจ์ ะทรง
พิจารณาวนิ ิจฉยั ด้วยพระองค์เองว่า พระสงฆร์ ปู ใดมีความประพฤติดปี ฏบิ ตั ชิ อบ และได้
ประกอบศาสนกิจเปน็ ปรหิตานุหติ ประโยชนโ์ ดยอเนกประการแก่ศาสนาและ
ประเทศชาติจากนัน้ จงึ ทรงตั้งและเลอ่ื นสมณศักดชิ์ ัน้ ตา่ งๆ ตามสมควรแก่ฐานานุรูป
ของพระสงฆแ์ ต่ละองค์ แตใ่ นป๎จจุบนั การพจิ ารณาคัดเลือกเบื้องต้นว่า พระสงฆร์ ูปใดมี
คณุ สมบัตเิ หมาะสมทจี่ ะได้รับการเสนอรายชื่อเพื่อให้ทรงพระกรุณาโปรดเกลา้ ฯ ต้งั และ
เลอื่ นสมณศกั ด์ชิ ั้นต่างๆ เป็นอานาจและหนา้ ท่โี ดยตรงของมหาเถรสมาคม ตามความ
ในมาตรา 18 แห่งพระราชบัญญัตคิ ณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 (แสวง อุดมศรี, 2530, น. 3)
แต่ด้วยหลักเกณฑ์ที่ทางมหาเถรสมาคมได้วางไว้เพื่อการตั้งและเลื่อนสมณศัก ดิ์ชั้น
ตา่ งๆ ของพระสงฆ์ในปจ๎ จุบนั ถกู ตงั้ คาถามถึงปญ๎ หาของหลกั เกณฑ์การแต่งต้ังสมณศักดิ์ในที่น้ีกล่าวถึง
สมณศักด์ิในส่วนของผลงาน ไม่ใช่สมณศักดิ์ที่เกี่ยวกับความรู้ท่ีพระภิกษุสามเณรสอบได้เปรียญธรรม
ต้ังแต่ 3 - 9 ประโยค ในบทท่ี 3 ท่ีได้กล่าวถึงไว้น้ัน มีการค้นพบว่าสาเหตุของป๎ญหาหลักเกณฑ์การ
แต่งตั้งสมณศักดิ์มีอยู่ 2 สาเหตุหลักๆ กล่าวคือ 1. การกาหนดหลักเกณฑ์การแต่งตั้งสมณศักดิ์ไว้ท่ี
ตาแหน่งทางปกครองคณะสงฆ์ 2. หลักเกณฑ์ของจานวนเงินเพื่อการสร้างศาสนวัตถุ 2 สาเหตุหลักน้ี
คือ ข้อค้นพบของป๎ญหาสมณศักด์ิที่มีส่วนสาคัญทาให้พระมหากษัตริย์แม้จะทรงมีพระกรุณาโปรด
เกลา้ ฯ ต้ังพระทัยท่จี ะถวายแตเ่ ฉพาะแดพ่ ระสงฆ์ผู้มีความประพฤติดีปฏิบัติชอบ แต่ในทางปฏิบัติแล้ว
กลับพบกับป๎ญหาจนทาให้ไม่บรรลุตรงตามพระทัยของพระมหากษัตริย์ท่ีทรงต้ังพระทัยถวายสมณ
ศกั ดิแ์ ดพ่ ระสงฆ์ท่มี คี วามประพฤติดีปฏิบัตชิ อบ ผู้วิจยั เห็นปญ๎ หาในส่วนนี้จงึ ได้หาแนวทางแก้ไขป๎ญหา
หลักเกณฑ์การแต่งตั้งสมณศักดิ์ ที่ค้นพบในบทท่ี 3 ไว้ ใน 2 สาเหตุดังท่ีกล่าวไว้ข้างต้น คือ 1. การ
กาหนดหลักเกณฑ์การแต่งต้ังสมณศักดิ์ไว้ที่ตาแหน่งทางปกครองคณะสงฆ์ 2. หลักเกณฑ์ของจานวน
เงนิ เพอ่ื การสร้างศาสนวตั ถุ

4.3.1 กาหนดหลักเกณฑ์การแต่งตั้งสมณศักดิ์โดยแยกสมณศักด์ิออกจากตาแหน่ง
การปกครอง

การแยกสมณศักดิ์ออกจากตาแหน่งการปกครองสงฆ์หรือสมณศกั ด์ิกบั ตาแหนง่
ปกครองควรแยกจากกัน ได้พบข้อเสนอน้ีจากพระไพศาล วิสาโล และรวมทั้งการต้ังข้อสังเกตแนว
ทางการแก้ไขป๎ญหาสมณศักดิ์โดย วัชระ งามจิตรเจริญ ดังที่ปรากฏในงานวิจัย “ เรื่อง สมณศักด์ิ :
ข้อดแี ละปัญหา” (วชั ระ งามจิตรเจริญ, 2556, น. 11)

การแยกสมณศกั ดิ์ออกจากตาแหนง่ การปกครองสงฆ์เป็นอยา่ งไร กล่าวคอื การ

144

ตั้งและเล่ือนสมณศักด์ิไม่มีผลให้ได้รับอานาจหน้าท่ีในทางการปกครอง และตาแหน่งการปกครองท่ี
ได้มาก็ไม่มีผลให้มีการเลื่อนสมณศักด์ิ วิธีการน้ีจะช่วยให้ตัดช่องทางการตักตวงหาผลประโยชน์ที่จะ
ช่วยให้มีแรงจูงใจไปสู่การว่ิงเต้นเพื่อให้ได้สมณศักดิ์ ประโยชน์ที่ได้จากการแยกสมณศักด์ิออกจาก
ตาแหน่งทางการปกครองสงฆ์จะช่วยให้ได้พระสงฆ์ท่ีมีความสามารถหลากหลายเข้าไปร่วมสนองงาน
ให้กับคณะสงฆ์มากขึ้น และยังเป็นการช่วยให้เป็นการส่งเสริมยกย่องพระดีที่มีความสามารถ
หลากหลายให้มีสมณศักด์ไิ ปดว้ ย

แมว้ ่าสมณศกั ด์ิในปจ๎ จบุ ันจะยังคงผูกโยงกับการได้มาซึ่งสมณศักดว์ิ า่ ต้องเปน็
พระท่ีมีอานาจการปกครอง กล่าวคือ พระสังฆาธิการเท่าน้ันท่ีจะมีคุณสมบัติเบื้องต้นในการขอรับ
พระราชทานตง้ั และเล่ือนสมณศักด์ิ ส่ิงเหลา่ น้เี ปน็ ตวั บ่งชีท้ ่ีชัดเจนว่า สมณศักด์ิถูกผูกโยงกับโครงสร้าง
อานาจการปกครองคณะสงฆ์ แต่ก็มีความจาเป็นที่จะต้องแยกการได้มาซึ่งสมณศักดิ์ออกจากการ
ตาแหนง่ ในทางการปกครองสงฆ์เพราะเห็นว่าไม่ควรผูกโยงไว้ท่ีพระสงฆ์ท่ีมีตาแหน่งพระสายปกครอง
เทา่ นั้นดังที่ไดก้ ล่าวไว้ในเบ้ืองต้นแล้ว หากไม่มีการแยกออกจากกันระหว่างสมณศักดิ์กับตาแหน่งการ
ปกครองคณะสงฆ์ก็เท่ากับเป็นการสร้างความผูกขาดการได้มาซ่ึงสมณศักด์ิมากเกินไป จนทาให้
พระสงฆท์ ่มี คี วามสามารถด้านอ่ืนๆ ไม่ถูกยกให้ความสาคัญและขาดการสร้างขวัญและกาลังใจในการ
ทางานด้วยสง่ ผลให้สมณศกั ดิจ์ งึ ตอบสนองเป็นการเฉพาะประโยชน์ของพระสายปกครองเทา่ น้นั

ผวู้ จิ ัยเหน็ วา่ นา่ จะกาหนดหลกั เกณฑ์การขอรบั พระราชทานตัง้ และเลือ่ นสมณ
ศักดิ์ในพระราชบัญญัติการปกครองคณะสงฆ์ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับท่ี 2) ปี พ.ศ. 2505 ใหม่ว่า
พระสงฆ์ท่ีมีอายุพรรษา 10 พรรษา ข้ึนไปและได้สนองงานให้แก่คณะสงฆ์มาไม่ต่ากว่า 5 ปี พระสงฆ์
ดังกล่าวสามารถจัดทาประวัติของตนเองเพื่อขอสมณศักดิ์ได้ ซึ่งเปล่ียนแปลงไปจากข้อกาหนดเดิมท่ี
ทางมหาเถรสมาคมเปน็ ผ้วู างหลักเกณฑ์การพิจารณาไว้ว่าพระสังฆาธิการท่ีมีตาแหน่งใดตาแหน่งหนึ่ง
ท่ีดารงตาแหน่งทางการปกครองคณะสงฆ์มาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปี โดยพระสังฆาธิการท่ีมีคุณสมบัติ
ตามที่ระบุไว้ต้องจัดทาประวัติตนเองโดยละเอียดตามฟอร์มที่ทางคณะสงฆ์กาหนดไว้ และมี
รายละเอยี ดเพมิ่ เตมิ ทจ่ี ะขอกล่าวถึง ในท่นี ้จี ะขอกล่าวถงึ เฉพาะในส่วนทส่ี าคัญดงั นี้

1. เป็นพระสงั ฆาธิการ
2. ถ้าเป็นเจ้าอาวาส จะต้องดารงตาแหน่งมาแล้วไม่ต่ากว่า 5 ปีบริบูรณ์โดยไม่นับแต่

วันท่ีเป็นผู้รักษาการมารวมด้วย เว้นแต่กรณีที่ควรจะยกย่องเป็นพิเศษและเว้นแต่
เจ้าอาวาสพระอารามหลวง
3. ถ้าเปน็ เจา้ คณะตาบล จะต้องดารงตาแหน่งมาแล้วไม่ต่ากว่า 5 ปีบริบูรณ์โดยไม่นับ
แตว่ นั ท่เี ปน็ เจา้ อาวาสมารวมด้วยแตอ่ ย่างมากต้องไม่เกนิ 4 ปี

145

4. ถา้ เปน็ รองหรือเป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาสและหรือรองเจ้าคณะตาบล ให้นาความในข้อท่ี
2 และข้อ 3 มาใช้โดยอนุโลมตามสมควรแก่กรณี แต่ต้องได้รับการแต่งต้ังใน
ตาแหนง่ นนั้ ๆ ถูกตอ้ งแลว้

5. ถ้าเป็นเจ้าคณะอาเภอ หรือเจ้าคณะจังหวัด หรือเป็นที่ปรึกษา ให้พิจารณาตาม
ความเหมาะสมในการปกครอง

6. ถ้าเป็นรองเจ้าคณะอาเภอ หรือรองเจ้าคณะจังหวัด หรือเป็นที่ปรึกษาให้พิจารณา
ตามความเหมาะสมในการปกครอง

7. ในอาเภอหน่ึง ให้พจิ ารณาแตง่ ตั้งหรอื เลอ่ื นได้อยา่ งละ 1 รูป เว้นแต่กรณีพิเศษ (คือ
เจ้าอาวาสวัดหลวง, รองเจ้าอาวาสวัดหลวงและเขตบางกอกน้อยกรุงเทพฯ ซ่ึงมี
จานวนวดั มาก พิจารณาต้งั ได้ 2 รูป เป็นกรณพี ิเศษ)

8. ผู้ท่ีจะได้รับการพิจารณาให้เล่ือนสมณศักดิ์ตามที่ขอมาได้ ก็ต่อเมื่อได้ดารงสมณ
ศักด์ิมาแล้วไม่ต่ากว่า 5 ปีบริบูรณ์ เว้นแต่กรณีที่ควรจะยกย่องเป็นพิเศษ) (แสวง
อุดมศรี, 2530, น. 10)
จะเห็นวา่ หลักเกณฑก์ ารพจิ ารณาข้างต้นท่ีกลา่ วถึงซึ่งทางมหาเถรสมาคมเป็นผู้

วางหลักเกณฑ์การพิจารณาไว้นั้นเป็นการสร้างความผูกขาดสมณศักดิ์กับโครงสร้างการปกครองมาก
เกินไปและยังสร้างพันธะผูกพันธ์ไว้ว่า สมณศักดิ์กับการมีตาแหน่งทางการปกครองเป็นสิ่งท่ีควรไป
ด้วยกัน แต่ในทางปฏิบตั แิ ล้วเกดิ ป๎ญหามากมายตามมา ดงั น้นั ผู้วิจัยจึงเสนอให้แยกสมณศักด์ิออกจาก
การปกครอง ซ่งึ ทางดนัย ปรชี าเพ่ิมประสิทธิ์ ได้แสดงความเห็นส่วนน้ไี วว้ า่

หากสามารถแยกระบบสมณศักดิ์ออกจากตาแหน่งปกครองบริหารสงฆ์ได้แล้วน่าจะทา
ใหป้ ระสทิ ธิภาพในการบริหารจดั การองค์การพระพุทธศาสนามีประสิทธภิ าพย่ิงขึ้นไมว่ ่า
จะเป็นป๎ญหาเรื่องอายุของพระภกิ ษผุ ปู้ กครองต่างๆ ทมี่ อี าวโุ สมากเกนิ ไปจนทางาน
ล่าชา้ การแทรกแซงตาแหน่งสมณศกั ดิ์ดว้ ยผลประโยชน์ การใชต้ าแหนง่ สมณศกั ดมิ์ าหา
ผลประโยชน์ในทางมชิ อบ ฯลฯ (ดนัย ปรชี าเพิม่ ประสิทธ,ิ์ 2558, น. 138)

การแยกสมณศกั ดอ์ิ อกจาการปกครองจึงมีแงด่ ีตามมาอย่างมากมาย ส่ิงสาคัญคอื
สามารถช่วยให้พระทัยของพระมหากษตั ริยท์ ี่ทรงพระกรุณาตั้งถวายสมณศักด์ินั้นสาเร็จประโยชน์ตรง
ตามพระทัยและช่วยส่งเสริมพระดีให้ปรากฏเป็นตัวอย่างแก่สังคม สมดังที่สังคมสงฆ์คือสังคมของ
อดุ มคตแิ ละเปน็ สังคมท่ีเป็นแบบอย่างทด่ี ีของสังคมฆราวาส

146

4.3.2 การปรับปรุงหน่วยงานในการพิจารณาคัดเลือกสมณศักด์ิใหม่โดยให้พุทธ
บริษัทเขา้ มามีส่วนคัดเลอื กและวางกฎเกณฑ์

การปรบั ปรงุ หน่วยงานทคี่ ัดเลอื กพระสงฆท์ จี่ ะมสี ว่ นไดเ้ ลื่อนและต้งั สมณศักดิน์ ัน้
ก็สืบเน่ืองมาจากการที่ผู้วิจัยพยายามเสนอให้พุทธบริษัททุกภาคส่วนได้เข้ามามีบทบาทในการร่วม
กาหนดธุระสาคัญในทางคณะสงฆ์ดังที่ปรากฏในงานของผู้วิจัยที่ได้เสนอโครงสร้างการปกครองคณะ
สงฆ์แบบใหม่ ในสว่ นของการพิจารณาคดั เลอื กสมณศักด์ิเพ่ือเลื่อนและตั้งสมณศักด์ิแก่พระสงฆ์ตามท่ี
มีคุณสมบัติน้ันก็นับว่าเป็นธุระสาคัญเช่นเดียวกันที่พุทธบริษัทควรเข้ามามีส่วนร่วม ผู้วิจัยจึงเสนอให้
สภาพุทธบริษัทแห่งชาติ ดังท่ีระบุไว้ในโครงสร้างการปกครองสงฆ์แบบใหม่ได้กาหนดไว้ เข้ามามีส่วน
ในการพิจารณาคัดเลือกสมณศักดิ์ด้วยเพิ่มข้ึน จากเดิมท่ี การพิจารณาคัดเลือกเป็นงานหลักของมหา
เถรสมาคม โดย

มหาเถรสมาคมตั้งอนกุ รรมการขนึ้ มา 2 คณะ คืออนุกรรมการมหาเถรสมาคมฝุาย
มหานิกายมอี านาจในการพจิ ารณาคดั เลือกว่า พระสังฆาธิการฝุายมหานิกายรปู ใดมี
ความเหมาะสมจะไดร้ บั พระราชทานเลอื่ นและตง้ั ให้ดารงสมณศักดชิ์ น้ั ใด และ
อนกุ รรมการมหาเถรสมาคมฝาุ ยธรรมยตุ มอี านาจและหนา้ ท่ีพิจารณาคดั เลือกวา่ พระ
สังฆาธิการธรรมยตุ รปู ใดมีความเหมาะสมจะได้รับพระราชทานเล่อื นและตั้งสมณศักดิ์
ชั้นใด เม่อื การพิจารณาเป็นทยี่ ตุ ิของอนุกรรมการมหาเถรสมาคมทั้ง 2 คณะแลว้ ก็จะ
นาเสนอมหาเถรสมาคมเพอ่ื พิจารณาและอนุมัติตอ่ ไป (แสวง อดุ มศรี, 2530, น. 9)

เพราะฉะนัน้ ในเมื่อมกี ารเปลีย่ นแปลงโครงสรา้ งการปกครองคณะสงฆใ์ หม่ โดย
มีสังฆสภา สังฆมนตรี คณะวินัยธรตามที่ผู้วิจัยเสนอแล้ว หน้าที่ของมหาเถรสมาคมและ
คณะอนุกรรมการเป็นอันส้ินสุดลง ผู้วิจัยจึงเสนอให้ คณะสังฆมนตรี รับหน้าท่ีในสรรหาและแต่งตั้ง
อนุกรรมการโดยคัดเลือกตวั แทนจากพระสงฆฝ์ ุายธรรมยุติกนิกายและมหานิกายในการเป็น 2 ฝุายใน
การเป็นตัวแทนของอนุกรรมการต่อจากน้ันให้อนุกรรมการจากสภาพุทธบริษัทแห่งชาติเข้ามามีส่วน
ในการพิจารณาคัดเลือกสมณศักด์ิเพื่อเล่ือนและตั้งสมณศักดิ์แก่พระสงฆ์ด้วยท้ัง 3 ส่วนนี้จะมีอานาจ
หน้าท่ีในการพิจารณาคัดเลือกที่เท่ากันทุกประการ โดยสาเหตุของการให้มีหน่วยงานท่ีเกี่ยวข้องท้ัง 3
ฝุายเข้ามาเกี่ยวข้องนั้นก็เพราะเหตุว่า เคยมีประวัติศาสตร์ที่มหาเถรสมาคมในขณะนั้น (พ.ศ. 2530)
ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเล่นพรรคเล่นพวก โดย “หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน ซึ่งตีข่าวหน้า 1 ติดต่อกัน
ต้ังแต่ฉบับวันท่ี 8-10 พฤศจิกายน 2530 ต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์การเล่นพวกของอนุกรรมการฯ
ด้วย ทั้งนี้ เพราะอนุกรรมการฯ ดังกล่าวคือกรรมการมหาเถรสมาคมเกือบท้ังหมด” (แสวง อุดมศรี,
2530, น.117)

147

โดยสรุปกค็ อื การมอี นุกรรมการโดยการคัดเลือกตวั แทนจากพระสงฆฝ์ ุายธรรม
ยุติกนิกายและมหานิกายและจากอนุกรรมการจากสภาพุทธบริษัทแห่งชาติเข้ามามีส่วนในการ
พิจารณาคัดเลือกพระสงฆ์ท่ีเห็นสมควรต่อการเลื่อนและตั้งสมณศักด์ิ โดยมีอานาจในการพิจารณา
คัดค้านและสนบั สนนุ ตามเสียงของความเห็นนั้นๆ และเม่ือผ่านการกลั้นกรองจาก 3 หน่วยงานนี้แล้ว
สังฆมนตรีมีหน้าท่ีเพียงลงนามตกลงตามความเห็นของทั้ง 3 หน่วยงานเท่านั้นไม่มีอานาจในการ
พิจารณามีหนา้ ทเ่ี พยี งลงความเห็นสมควรเท่านั้นกาหนดหลักเกณฑ์การแต่งตั้งสมณศักด์ิใหม่โดยแยก
สมณศกั ด์ิออกจากอานาจการปกครอง

4.3.3 การกาหนดหลักเกณฑ์การแต่งต้ังสมณศักด์ิโดยคานึงถึงการสร้างศาสนวัตถุที่
แสดงถึงความจาเป็นในประโยชน์ใช้สอยและตามฐานะของวัดในพระพุทธศาสนาและกาหนด
หลกั เกณฑก์ ารแตง่ ต้งั สมณศักด์ิในด้านการสรา้ งศาสนวัตถใุ หเ้ ปน็ ส่วนหน่งึ ของชุมชน

นอกเหนือจากองค์ประกอบของศาสนาที่ประกอบไปด้วย 1. ศาสดา 2. ศาสน
ธรรม 3. ศาสนบคุ คล และ 4. ศาสนวตั ถุ 5. ศาสนพธิ ี ในองค์ประกอบของศาสนาเหลา่ นี้

ศาสนวัตถุมคี วามสาคญั ในฐานะเครือ่ งมอื ทจ่ี ะชว่ ยใหพ้ ระศาสนาดารงอยูไ่ ด้
กล่าวคอื วัตถุทชี่ ว่ ยเสริมให้ศาสนธรรมและศาสนบุคคลดารงอยู่และปฏิบัติ
หนา้ ทข่ี องตนอยา่ งมปี ระสทิ ธิภาพ

ในทางพระพทุ ธศาสนาน้นั ศาสนวัตถหุ มายถงึ วตั ถุส่งิ ของใดๆ กต็ ามทไ่ี ดร้ บั
การสร้างขนึ้ เพื่อประกอบศาสนกิจ หรือเพ่อื เป็นการอุปถัมภบ์ ารงุ ให้
พระพทุ ธศาสนาและพุทธธรรมเจรญิ รงุ่ เรอื งสืบไปอนั ไดแ้ ก่ วดั วาอาราม สถูป
เจดยี ์ กฎุ ีวิหาร พระพทุ ธปฏิมาและรูปเคารพอนื่ ๆ ตามคติทางพระพุทธศาสนา
รวมไปถึงข้าวของเครื่องใชต้ า่ งๆ สาหรบั สมณบริโภคและการประกอบ
พธิ กี รรมตามคติธรรมในพระพทุ ธศาสนา ตลอดจนวตั ถุใดๆ อันเป็นส่ือสาหรับ
การเผยแผพ่ ทุ ธธรรมด้วย (ดนิ าร์ บุญธรรม, 2555, น. 179)
อาจด้วยความสาคญั ดงั กลา่ ว ศาสนวัตถุ จึงเปน็ หลักเกณฑ์เดิมของมหาเถร
สมาคมที่ใช้ในการพิจารณาเพื่อเล่ือนและตั้งสมณศักดิ์ “ที่เน้นจานวนเงิน ซ่ึงใช้จ่ายไปในการ
ก่อสร้างศาสนวัตถุ” (แสวง อุดมศรี, 2534, น. 418) แต่ในป๎จจุบันได้เป็นสาเหตุของป๎ญหา
หลกั เกณฑ์การแตง่ ตงั้ สมณศกั ดิ์ ดงั ทไ่ี ดก้ ลา่ วไวแ้ ลว้ ใน บทที่ 3 หลกั เกณฑ์เดิมของมหาเถรสมาคมนี้ได้
กลายเป็นข้ออ้างให้หลกั เกณฑ์น้ยี ังคงดารงอยู่ในแง่ของข้อกฎหมาย ในพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.
2505 แก้ไขเพิ่มเติม ปี พ.ศ. 2505
การทีม่ หาเถรสมาคม ไดก้ าหนดหลกั เกณฑก์ ารพจิ ารณาของพระสงฆ์จากจานวน

148

เงนิ เพื่อสร้างศาสนวตั ถุไปเพือ่ การพจิ ารณาเลือ่ นและต้งั สมณศกั ดิอ์ าจมาจากเหตุผลทางประวัติศาสตร์
ท่ีตกทอดมาสปู่ จ๎ จบุ นั ทร่ี อการแกไ้ ข เพราะในประวัติศาสตร์พระมหากษัตริย์ทรงเป็นผู้ต้ังสมณศักด์ิให้
พระสงฆ์เองซึ่งโดยส่วนใหญ่ และยุคสมัยเหล่านั้นพระมหากษัตริย์จะทรงสร้างวัดขึ้นใหม่และ
ทรงบรณู ะปฏสิ ังขรณ์วัดทเ่ี กดิ จากความเส่อื มทรุดอนั เปน็ ผลมาจากป๎ญหาศึกสงคราม ดงั เชน่

การทานุบารงุ ถาวรวตั ถุทางพระพุทธศาสนาที่สาคญั ย่ิงของพระบาทสมเด็จพระพุทธ
ยอดฟูาจุฬาโลกมหาราชคอื การทที่ รงพระราชดาริวา่ พระพทุ ธปฏิมาทัง้ ใหญน่ อ้ ยจาก
หัวเมอื งต่างๆ ในพระราชอาณาเขต ซ่งึ สว่ นใหญ่เป็นหวั เมอื งฝุายเหนือ โดยเฉพาะ
บา้ นเมอื งที่กลายสภาพเป็นเมืองรา้ งไปแล้ว แต่ยังปรากฏซากวัดร้างอยเู่ ปน็ จานวนมาก
แต่ละวัดยงั มพี ระพุทธรูปปฏิมาจานวนมหาศาลตั้งทงิ้ ไวก้ ราแดดฝนมาชั่วนาตาปี ยังอยู่
ในสภาพดีบา้ ง ชารดุ หกั พักไปบ้าง เป็นทสี่ ลดสงั เวชใจแกร่ าษฎรท์ ไ่ี ดพ้ บเห็น จงึ มีพระ
ราชศรทั ธาให้รวบรวมพระพทุ ธรูปใหญน่ อ้ ยเหล่านัน้ ไดถ้ ึงกว่าพนั องค์ อญั เชญิ ลงมายัง
กรงุ เทพมหานคร โปรดเกลา้ ฯ ใหซ้ อ่ มแซมตกแต่งพระพุทธปฏมิ าเหลา่ น้ันให้บรบิ รู ณ์
งดงามดังเดมิ แล้วอญั เชญิ เขา้ ประดษิ ฐานไว้ตามพระอารามที่ได้บูรณปฏิสงั ขรณข์ ึน้ ใหม่
เปน็ ถาวรวตั ถสุ บื อายพุ ระพทุ ธศาสนาต่อไป (ดินาร์ บุญธรรม, 2555, น. 180)

นี้อาจเปน็ ทม่ี าและในระยะเวลาตอ่ มาจงึ เกิดข้อกาหนดหลกั เกณฑ์การพจิ ารณา
การเลื่อนและต้ังสมณศักด์ิของพระสงฆ์นั้นอาจมาจากเหตุผลที่ว่าพระสงฆ์ท่ีต้องสร้างวัดดูแลวัดด้วย
การบูรณะวัดทท่ี รุดโทรมจากศกึ สงคราม ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการดูแลปกครอง
วดั ของพระสงฆ์รูปน้ันก็ได้ ซึ่งจะมีส่วนทาให้พระมหากษัตริย์ท่านทรงสบายพระทัยมากข้ึนก็ได้เพราะ
ในฐานะพระมหากษัตริย์ทรงเป็นศาสนูปถัมภกพระพุทธศาสนาแล้วพระสงฆ์ก็มีหน้าท่ีดูแลวัดต่อจาก
พระราชกรณีกจิ ทางพระศาสนาต่อจากพระมหากษัตรยิ ์

ล่วงถึงยคุ ปจ๎ จบุ นั ทส่ี ังคมถูกโหมด้วยปญ๎ หาเศรษฐกจิ สภาพสังคมทต่ี ้องแข่งขนั
เหตุผลทางประวัติศาสตร์ที่เคยใช้ได้ในยุคนั้นกลับใช้ไม่ได้ในยุคน้ีแล้ว การตั้งและเล่ือนสมณศักดิ์จน
นาไปสู่การสรา้ งศาสนวตั ถุที่ใหญ่โตจึงไม่สามารถตอบสนองต่อการใช้สอยในป๎จจุบันได้ ปรากฏการณ์
และสภาพปญ๎ หาของการสร้างศาสนวัตถทุ ใี่ หญ่โตมีการวดั ดว้ ยจานวนเงินมากมาย และนับไปสู่ตัวชี้วัด
อันสมควรว่าควรได้เล่ือนและต้ังสมณศักด์ิ น่าสังเกตว่า ส่ิงเหล่าน้ีอาจเป็นการก้าวเดินออกจาก
เส้นทางของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนไปทุกทีและส่งผลให้ ศาสนวัตถุในนามศาสนาไม่สามารถ
ตอบสนองตอ่ ความดบั ทุกขข์ องผคู้ นได้อย่างแทจ้ ริง และหนักกวา่ นน้ั อาจเป็นการเพม่ิ ทุกข์อีกดว้ ย

ผู้วจิ ยั จงึ เห็นวา่ นา่ จะใหม้ กี ารเปล่ียนแปลงข้อกาหนดวา่ ด้วย การกาหนดหลกั

149

เกณฑ์เลื่อนและต้ังสมณศักด์ิใหม่โดย มีหลักเกณฑ์ใหม่ดังนี้ (1) การกาหนดหลักเกณฑ์การแต่งต้ัง
สมณศักด์ิใหมโ่ ดยคานึงถงึ การสร้างศาสนวัตถุท่ีแสดงถึงความจาเป็นในด้านประโยชน์ใช้สอยและตาม
ฐานะของวัดในพระพุทธศาสนาและข้อที่ (2) การกาหนดหลักเกณฑ์การแต่งต้ังสมณศักดิ์ในด้านการ
สร้างศาสนวัตถุใหเ้ ป็นสว่ นหนึ่งของชมุ ชน ถา้ เป็นไปได้ ทัง้ 2 หลกั เกณฑ์น้ีจะต้องอยู่ในวาระของการ
พิจารณาสมณศักด์ิโดยการมีส่วนร่วมจากการพิจารณาจากท้ัง 3 ฝุาย ดังท่ีได้กล่าวถึงใน หัวข้อที่
4.3.2 ปรับปรุงหน่วยงานในการพจิ ารณาคดั เลอื กสมณศักดใิ์ หม่โดยใหพ้ ุทธบริษทั เข้ามามีส่วนคัดเลือก
และวางกฎเกณฑ์ สาหรับหลักเกณฑ์ที่ปรับเปลี่ยนใหม่ตามข้อท่ี (1) การกาหนดหลักเกณฑ์การ
แต่งตั้งสมณศักด์ิใหม่โดยคานึงถึงการสร้างศาสนวัตถุที่แสดงถึงความจาเป็นในด้านประโยชน์ใช้สอย
และตามฐานะของวดั ในพระพุทธศาสนาและข้อท่ี (2) การกาหนดหลักเกณฑ์การแต่งตั้งสมณศักดิ์ใน
ดา้ นการสร้างศาสนวัตถุให้เปน็ สว่ นหนึ่งของชมุ ชนเป็นอย่างไร พัฒนามากจากแนวคิดไหน และสาคัญ
อย่างไรจะขอกล่าวถึงดังต่อไปนี้

4.3.3.1 การกาหนดหลักเกณฑ์การแต่งตั้งสมณศักด์ิใหม่โดยคานึงถึงการ
สร้างศาสนวัตถุที่แสดงถึงความจาเป็นในด้านประโยชน์ใช้สอยและตามฐานะของวัดใน
พระพุทธศาสนา

การสร้างศาสนวัตถตุ ามความจาเปน็ ในดา้ นประโยชนใ์ ช้สอยหมายถงึ การ
สร้างศาสนวัตถุเท่าที่มีความจาเป็นเพราะมีประโยชน์ในการใช้สอยในด้านใดด้านหน่ึง ไม่ใช่สร้างโดย
ไม่จาเป็น สร้างเพียงเพ่ือต้องการตาแหน่งหรือเพียงเพื่อความสวยงาม และสร้างตามกาลังทรัพย์ท่ีวัด
สามารถหาได้ ไม่จาเป็นต้องหรูหราใหญ่โตเกินฐานะของวัดและหลักเกณฑ์ดังกล่าวนี้พัฒนามาจาก
แนวความคดิ ทีว่ ่า

ศาสนาต่างๆ ต้องปรับตวั ใหไ้ ดใ้ นสงั คมสมยั ใหม่ คอื ความยืดหยุน่ และความไม่สดุ โตง่
จนเกินไป ในยคุ หลงั การพัฒนาอตุ สาหกรรมท่ีผู้คนไดร้ บั การบบี คัน้ ทางเศรษฐกจิ มาก
ข้ึนและไม่ค่อยมีเวลาให้ความสาคญั กบั จติ วญิ ญาณมากนัก ทาใหค้ นเดนิ เขา้ ศาสนสถาน
นอ้ ยลง ผู้นาทางศาสนาตา่ งๆ จงึ มแี นวคิดทจี่ ะทาให้ศาสนิกชนของตนใกลช้ ิดกับหลกั คา
สอนได้ง่ายขน้ึ เชน่ ศาสนาคริสต์ไดป้ รับตวั จากการเปน็ ส่ิงปลูกสร้างที่ติดอยู่บนดนิ ให้
เปน็ พนื้ ที่ทางสงั คมที่ยืดหยุ่นเพอ่ื ตอบสนองต่อการบรรลุวัตถปุ ระสงคใ์ นการจัดกิจกรรม
ทางศาสนาให้เข้าถงึ คนเมอื งทีม่ ีความหลากหลายทางรสนิยมและมีขอ้ จากัดทาง
เศรษฐกจิ และสังคมทแ่ี ตกต่างกนั (อรศรี งามวทิ ยาพงศ์ และคณะ, 2558, น. 41)

จากขอ้ ความข้างต้นทไี่ ดก้ ลา่ วถึง แนวคิดท่วี า่ ศาสนาต่างๆ ต้องปรับตัว

150

ให้ได้ในสังคมสมัยใหม่ คือ ความยืดหยุ่นและความไม่สุดโต่งจนเกินไป หรือเรียก ในภาษาของ
พระพุทธศาสนา คือ ความพอเพยี งหรอื ทางสายกลาง ในทางปฏบิ ตั แิ นวคดิ เหลา่ นี้ต้องนาไปสู่หลักการ
พิจารณาการตั้งและเลื่อนสมณศักดิ์ที่ต้องปรากฏในพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ในฉบับให ม่หรือหาก
ในทางปฏิบัติในระดับนโยบายไม่สามารถผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทางเทคนิคหมายถึงมีการ
ปรับเปล่ียนแปลงโครงสร้างการปกครองคณะสงฆ์ใหม่ไม่สามารถทาได้ ก็ต้องมีความจาเป็นที่จะต้อง
แก้ไขพระราชบัญญัติบางมาตราท่ีเกี่ยวข้องกับหลักการพิจารณาเล่ือนสมณศักด์ิโดยอา ศัยแนวคิด
เหลา่ น้ีไปใชแ้ ก้ไข เพ่ือการสร้างและปฏิสังขรณ์ถาวรวัตถุท่ีสอดรับกับความเปล่ียนแปลงของบริบทใน
ยุคสมัยใหม่ เช่น ให้มีการสร้างถาวรวัตถุไปในลักษณะของการตอบสนองผลประโยชน์กับการใช้สอย
ในลกั ษณะอารยสถาปต๎ ย์ เช่น มีเส้นทางของทางเดิน การข้นึ ลง ที่สะดวกต่อคนพิการทางเท้า หรือแม้
อักษรเบรลล์ ท่ีเอ้ือต่อผู้พิการทางสายตา เป็นต้น ส่ิงเหล่าน้ี ไม่จาเป็นต้องใช้จานวนเงินท่ีมากเลยซ่ึง
ช่วยให้เกิดการประหยัดและเปน็ ประโยชนส์ ุดอีกดว้ ย สิง่ เหล่าน้จี ึงเป็นความสาคัญและจาเป็นต้องระบุ
ไว้ในหลกั เกณฑก์ ารแต่งตง้ั สมณศกั ดิ์

สาหรบั ทา่ ทขี องพระเถระผใู้ หญใ่ นทางคณะสงฆ์ไทยที่เป็นถงึ ระดับสมเดจ็
พระราชาคณะก็ออกมาให้ความเห็นเร่ืองการสร้างถาวรวัตถุดังกล่าว โดยแสดงความห่วงใยต่อการ
สรา้ งถาวรวัตถุที่เกนิ ความจาเปน็ โดยขา่ วเดลินิวส์ ออนไลน์ ลงวันที่ 8 พฤษภาคม 2559 ได้ลงข่าวไว้
วา่

เมอื่ วันที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2559 ทศี่ าลาอบรมสงฆ์ วัดสามพระยา มีการประชุมพระ
สังฆาธิการระดับเจ้าอาวาส รองเจ้าอาวาส วัดในเขตปกครองคณะสงฆ์กรุงเทพมหานคร
โดยมสี มเด็จพระพทุ ธชนิ วงศ์ (สมศกั ด์ิ อุปสโม) เจ้าอาวาสวดั พิชยญาตกิ าราม กรรมการ
มหาเถรสมาคม (มส.) ในฐานะเจา้ คณะใหญ่หนกลาง เปน็ ประธาน โดยสมเด็จพระพทุ ธ
ชนิ วงศ์ กลา่ วตอนหนึง่ ว่า มีการสั่งหา้ ม และใหม้ องความจาเปน็ ในการสร้างถาวรวตั ถุ
ด้วย ท้งั นีก้ ารสรา้ งถาวรวตั ถุที่มคี วามจาเปน็ เชน่ อาคารเรียน ทีพ่ ักพระเณร ห้องสมดุ
ยงั อนุญาตให้สร้างไดอ้ ยู่

ทางดา้ นพระพรหมดิลก (เออื้ น หาสธมโฺ ม) เจา้ อาวาสวดั สามพระยา กรรมการ มส.
ฐานะเจา้ คณะ กรุงเทพมหานคร กลา่ วว่า ในส่วนของคณะสงฆ์กรงุ เทพฯ จะไมอ่ นญุ าต
ให้สรา้ งถาวรวัตถทุ ีไ่ ม่มีความจาเป็น โดยมอบอานาจใหพ้ ระเทพวิรยิ าภรณ์ (นรินทร์
นรินโท) เจ้าอาวาสวดั หัวลาโพง รองเจ้าอาวาสคณะกรงุ เทพฯ เปน็ ผูพ้ จิ ารณา พบว่าวัด
ใดขออนุญาตสรา้ งถาวรวตั ถุที่ไมม่ ีความจาเปน็ ก็จะไม่อนญุ าตให้สรา้ ง
(http://www.dailynews.co.th/education/394249)

151

ขา่ วท่ยี กมานน้ั แสดงให้เห็นถึงท่าทีของพระเถระผู้ใหญ่ในทางคณะสงฆ์ท่ีออกมา
กาชับจนมีการประชุมระดับพระสังฆาธิการในคณะสงฆ์กรุงเทพมหานคร โดยแสดงความไม่เห็นด้วย
ตอ่ การสร้างถาวรวัตถุท่ีเกินความจาเป็นและหากคิดจะสร้างก็ต้องคาถึงความจาเป็นและประโยชน์ใช้
สอย

อย่างไรก็ตามผู้วิจัยเห็นว่าลาพังการท่ีพระเถระผู้ใหญ่ออกมาแสดงความเห็น
จนกระทง่ั นาไปสกู่ ารไมอ่ นุญาตในการขอสร้างถาวรวัตถุท่ีไม่จาเป็น แม้พิจารณาแล้วนับว่าเป็นเรื่องท่ี
ดีท่ีแสดงถึงความตื่นตัวของพระสงฆ์และในขณะเดียวกันก็เป็นการกาชับพระผู้ปกครองสงฆ์ให้
ระมัดระวังในการสร้างถาวรวัตถุท่ีเกินความจาเป็นไปในตัวด้วย แต่ ผู้วิจัยเห็นว่าควรเพ่ิมเติมโดยควร
ให้มีการกาหนดหลักเกณฑ์การแต่งตั้งสมณศักดิ์ใหม่โดยคานึงถึงการสร้างศาสนวัตถุท่ีแสดงถึงความ
จาเป็นในด้านประโยชน์ใช้สอยและตามฐานะของวัดในพระพุทธศาสนาด้วย เพราะจะได้สร้าง
แรงจูงใจและสร้างบรรยากาศของวัดที่เหมาะสมกับหลักการของพระธรรมวินัยมากข้ึน โดยใช้สมณ
ศักดิ์มาเป็นเครอ่ื งมือจงู ใจให้พระสงฆ์ไดค้ านึงถึงประโยชน์ของสมณศักดิ์ที่ได้มาจากการท่ีจะต้องคาถึง
ถึงการสร้างถาวรวัตถุที่แสดงถึงความจาเป็นในด้านประโยชน์ใช้สอยและตามฐานะของวัดใน
พระพุทธศาสนาจากเดิมที่เคยใช้หลักเกณฑ์การพิจารณาการเลื่อนสมณศักดิ์จากจานวนเงินที่มาจาก
ยอดรวมของการสรา้ งถาวรวัตถุที่ระบุไวใ้ นมหาเถรสมาคม ซึ่งในหลายครั้งในหลายวัดมักจะมีการแข่ง
สร้างถาวรวัตถุเพื่อขอเล่ือนสมณศักด์ิ การปรับเปล่ียนหลักเกณฑ์ดังกล่าวจะมีส่วนช่วยให้พระสงฆ์
เปลี่ยนทัศนคติใหม่เพราะมีการเปลี่ยนแรงจูงใจใหม่โดยใช้สมณศักดิ์เป็นแรงจูงใจท่ีจะมีส่วนใ นการ
พจิ ารณาสมณศกั ดิโ์ ดยมาจาการคานงึ ถึงการสรา้ งศาสนวัตถุทแี่ สดงถงึ ความจาเป็นในประโยชน์ใช้สอย
และตามฐานะของวัดในพระพุทธศาสนามากย่ิงขึ้นด้วย ท้ังน้ีเพื่อเพิ่มความสาคัญให้มากข้ึนจากการที่
พระเถระช้ันผใู้ หญ่ส่ังหา้ มไม่ใหม้ กี ารสร้างถาวรวัตถุท่ีเกนิ ความจาเป็น อีกทั้งเกณฑ์เหล่านี้เม่ือได้มีการ
ปรบั แก้ในขนั้ ตอนของการพิจารณาเลือกและต้ังสมณศักดิ์แล้วก็จะสามารถเป็นหลักเกณฑ์ใช้ได้ท่ัวทุก
ภาคของการปกครองสงฆ์ท่ัวทั้งประเทศไม่ใช่เพียงเพราะการส่ังห้ามไม่อนุญาตการสร้างถาวรวัตถุท่ี
เกินความจาเป็นของพระเถระชั้นผู้ใหญ่ซึ่งมีขอบเขตข องการไม่อนุญาตเพียงแค่เขตปกครองสงฆ์
กรงุ เทพมหานครเท่านัน้

นอกจากน้ีแล้วช่องทางหน่ึงของการกาหนดหลักเกณฑ์การแต่งต้ังสมณศักด์ิเพื่อ
การสร้างและปฏิสังขรณ์ถาวรวตั ถุให้เป็นส่วนหน่ึงของชุมชนก็เป็นความจาเป็นเช่นเดียวกันดังท่ีจะขอ
กล่าวถึงตอ่ ไป

152

4.3.3.2 การกาหนดหลักเกณฑ์การแต่งตั้งสมณศักด์ิในด้านการสร้างศาสนวัตถุ
ให้เป็นส่วนหนึ่งของชมุ ชน

การกาหนดหลักเกณฑ์การแต่งตัง้ สมณศักดิ์ในด้านการสรา้ งและ
ปฏสิ งั ขรณถ์ าวรวตั ถใุ หเ้ ปน็ สว่ นหนง่ึ ของชุมชนมาจากแนวความคิดที่ว่า ศาสนวัตถุของศาสนสถานน้ัน
ต้องเป็นส่วนหน่ึงของชุมชน ไม่ใช่เป็นส่วนสาคัญของระบบราชการในส่วนงานของคณะสงฆ์ท่ีเป็นอยู่
ยิ่งในภาวะของสังคมในยุคป๎จจุบัน สังคม ชุมชนทวีความซับซ้อน ศาสนสถาน จึงเป็นพื้นท่ีท่ีเข้าไปอยู่
ในกลไกอนั ซบั ซ้อนของสังคมนดี้ ้วย สภาพของสงั คม ชมุ ชนเมืองท่ีรอบลอ้ มวัด

มีชุมชนเมอื งทตี่ ่างคนตา่ งอยู่ หรอื มปี ๎ญหาอาชญากรรม ป๎ญหาความยากจน
เป็นตน้ ในศาสนาคริสต์นาแนวคดิ น้ีมาใชโ้ ดยวางตัวใหโ้ บสถ์เป็น “เพ่อื นบ้าน” ด้วยการ
ผูกมิตรกับคนในชมุ ชนแทนท่จี ะเป็นผ้ใู ห้บรกิ าร โบสถเ์ ข้ามามีบทบาทในการพัฒนา
ชมุ ชน โดยร่วมคิดวเิ คราะหก์ ับชุมชน มองหาจุดแขง็ ในชมุ ชนเพ่อื นาพัฒนาชุมชนอย่าง
ยั่งยนื แทนท่ี ซึง่ จะทาใหช้ มุ ชนตกเปน็ ฝุายรบั และฝาุ ยขอตลอดไป ไม่สามารถชว่ ยเหลือ
ตวั เองได้ ผูท้ ีท่ างานในโบสถ์ไมใ่ ช่มองเหน็ แตป่ ๎ญหาและความต้องการของคนในชมุ ชน
เทา่ น้นั แต่ตอ้ งมองให้เหน็ ถงึ ศักยภาพของชมุ ชนด้วยใหพ้ วกเขาจัดการตนเองได้ด้วย
ทรัพยากรท่ีมใี นชมุ ชน (John McKnight, 2015, P. 13)

ภายใต้หลกั คดิ ดังกลา่ ว ถามวา่ อะไรคือตวั ชวี้ ัดหรอื เปน็ ตัวบง่ บอกว่า มี
การสร้างและปฏิสงั ขรณถ์ าวรวัตถุให้เปน็ สว่ นหน่งึ ของชมุ ชนมดี ังตอ่ ไปนี้

(1) การใช้สถานท่ี ไดแ้ กศ่ าสนวัตถขุ องวัด เปน็ พนื้ ทีใ่ นการจดั กจิ กรรม
การแก้ไขป๎ญหาของชุมชน เช่น ป๎ญหายาเสพติดลดลง มลภาวะเป็นพิษลดลง ป๎ญหาโสเภณี ป๎ญหา
อาชญากรรม และการมีส่วนร่วมของชุมชนต่อการเข้าร่วมจัดกิจกรรมท่ีสาคัญของวัด ป๎ญหาเหล่านี้
สามารถดึงผคู้ นทอี่ ย่ใู นชมุ ชนรอบวัดมาใช้สถานท่ีของศาสนวัตถขุ องวดั เป็นสถานที่เปิดโอกาสให้คนใน
ชุมชนมามีส่วนร่วมในการคิดในการร่วมแก้ไขในป๎ญหาเหล่าน้ีซึ่งเป็นป๎ญหาของชุมชนดังตัวอย่าง ใน
หนังสือ เรื่องสังฆะเพ่ือสังคม บทเรียนบทบาทพระสงฆ์กับการพัฒนาสุขภาวะชุมชนและสังคม ที่ได้
นาเสนอเร่ืองราวของลานโพธิ์ นับเป็นสิ่งปลูกสร้างของศาสนวัตถุเล็กๆ แต่พื้นท่ีเล็กๆ ในส่วนนี้
สามารถช่วยแกไ้ ขหรือเป็นที่พึ่งของชุมชนได้อยา่ งดเี นื่องจาก

ลานโพธ์ิ ซึ่งเปน็ ทง้ั ลานคิด ลานธรรม และลานกิจกรรมของวัดศรรี ัตนาราม ตาบลชอน
สมบูรณ์ อาเภอหนองม่วง จงั หวัดลพบรุ ี กลายเปน็ เวทีถอดบทเรียน คลีค่ วามสมั พนั ธ์
ของเครือขา่ ยชมุ ชนท่ีต้ังต้นจากประเด็นปญ๎ หาท้องก่อนวัย จนเกดิ กลไกในการจดั

153

ระเบียบสังคม ขยายวงไปสู่การลดป๎ญหาคดีแพ่งและอาญาในชุมชน โดยมีคนต้นเรื่อง
คือ “พระครูใบฎีกาทรงพล ชยนันโท” หรือ “หลวงพ่ีแต๋ม” ท่ีชาวบ้านเรียกกันติดปาก
ลานโพธิ์เป็นพ้ืนท่ีของพระ และชาวบ้านใช้ต้ังวงกันทุกเร่ืองจนกลายเป็น “มหาลัยต้น
โพธ์ิ” (นภิ าภรณ์ แสงสว่างและคณะ, 2557, น. 71-72)

นคี้ ือตวั อย่างของถาวรวตั ถุ ไม่ใหญ่โต ไม่ใชก้ ารสรา้ งท่ีเน้นจานวนเงนิ แตเ่ กดิ
ประโยชน์มหาศาลต่อการเป็นที่พึ่งของชุมชนได้ พระครูใบฏีกาทรงพล ท่านก็เป็นพระสงฆ์ที่มีสมณ
ศกั ด์ิแตท่ า่ นก็ไมห่ ลงในสมณศกั ดิ์จนลืมหนา้ ทีข่ องชมุ ชน ทา่ นจงึ เปน็ พระของคนในชุมชน ตัวอย่างน้ีจึง
เปน็ ตัวอย่างที่นาเสนอให้มีการเน้นการช้ีวัดของพระสงฆ์ที่ควรจะเลื่อนและตั้งสมณศักดิ์โดยใช้ เกณฑ์
เหล่านเี้ ปน็ หลกั ในการพจิ ารณา

(2) เปดิ พื้นทข่ี องวดั ใหเ้ ป็นพน้ื ทข่ี องชุมชน เช่น การมลี านวัดเพ่อื ปฏบิ ตั ิ
ธรรมหรือสร้างเป็นพื้นท่ีสาธารณะในการออกกาลังกาย มีชุดเครื่องออกกาลังกายต่างๆ ในวัด ซึ่งชุด
เครื่องออกกาลังกายดังกล่าวมีทั้งในส่วนของผู้ใหญ่และเด็ก และตอบสนองต่อประโยชน์ของผู้พิการ
ทพุ พลภาพในดา้ นต่างๆ ตามสมควรที่จะมไี ด้ดว้ ย

4.4 สรปุ

แนวทางในการแก้ไขป๎ญหาการปกครองคณะสงฆ์ไทยในป๎จจุบัน เร่ิมต้นด้วยแนวคิดท่ีว่า
ใช้ชีวิตร่วมกันตามลักษณะของนักบวชท่ีเป็นกัลยาณมิตรคอยตักเตือนต่อกันให้เป็นไปท่ีใกล้เคียงมาก
ที่สุดในแง่ของ “การปกครองพ้ืนฐานแต่เดิมท่ีมีอุป๎ชฌาย์อาจารย์ อาจารย์กับลูกศิษย์ แยกเป็น
อปุ ๎ชฌายก์ บั สัทธวิ ิหาริกอาจารย์กบั อนั เตวาสิก น้เี ป็นระบบความสัมพันธ์พื้นฐานท่ีเป็นการปกครองใน
พระศาสนา ในการปกครองนี้หน้าท่ีหลักของผู้ท่ีทาหน้าท่ีปกครองคือ การให้การศึกษา ถือนิสัย 5
พรรษา เปน็ นวกะ อยู่กับอปุ ๎ชฌาย์” (พระเทพเวที (ประยุทธ์ ปยตุ โฺ ต), 2531, น. 42) แต่ในทางปฏิบัติ
บนความสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์กับศิษย์ดังท่ีกล่าวข้างต้นก็มีป๎ญหาในทางปฏิบัติซ่ึงแปรเปล่ียนไป
ตามสภาพสังคมทซ่ี บั ซอ้ น และคณะสงฆ์เองกอ็ ย่ภู ายใตก้ รอบของกฎหมายดว้ ยไม่ใช่แต่เพียงพระธรรม
วินัยแต่เพียงอย่างเดียว ดังปรากฏในทางปฏิบัติที่พบป๎ญหา 3 เรื่อง ท่ีต้องหาแนวทางแก้ไขซ่ึงล้วน
แล้วมีความเกีย่ วขอ้ งกับการปกครองคณะสงฆ์ทง้ั สน้ิ แนวทางแก้ไข 3 เร่ือง กล่าวคือ 4.1 แนวทางใน
การแก้ไขป๎ญหาโครงสร้างการปกครอง 4.2 แนวทางในการแก้ไขป๎ญหาการขาดประสิทธิภาพในการ
ปกครอง และ 4.3 แนวทางในการแก้ไขปญ๎ หาหลกั เกณฑ์การแตง่ ตง้ั สมณศักด์ิ

154

สาหรับ 4.1 แนวทางแก้ไขป๎ญหาโครงสร้างการปกครอง มี 2 แนวทาง แนวทางที่
(1) แนวทางของการแยกรฐั ออกจากศาสนาได้แก่ การนาพาคณะสงฆก์ ลับไปสู่การไม่มีพระราชบัญญัติ
คณะสงฆ์ อาจจะอยู่ในรูปขององค์กรเอกชน ท้ังในส่วนของวัดและสานักสงฆ์ แล้วทางานเชื่อมโยงกัน
เปน็ เครอื ข่ายตามสายปฏบิ ัติท่ีเหน็ เชือ่ ศรัทธา ปฏิบัติร่วมกนั ในสว่ นแนวทางท่ี (2) นัน้ คือมีการแก้ไข
ปรบั ปรงุ โครงสรา้ งการปกครองคณะสงฆใ์ หมโ่ ดยเน้นการกระจายอานาจและถ่วงดุลอานาจซึ่งกันและ
กันการเปิดโอกาสให้พทุ ธบรษิ ัทเข้ามามสี ่วนในการกาหนดทิศทางอนาคตของคณะสงฆ์

ส่วน 4.2 แนวทางในการแก้ไขป๎ญหาการขาดประสิทธภิ าพในการปกครอง หลายส่วนก็มี
คาตอบในส่วนของแนวทางการแก้ไขด้วยการปรับปรุงโครงสร้างการปกครองคณะสงฆ์ใหม่ดังปรากฏ
ในหัวข้อท่ี 4.1 แนวทางในการแก้ไขป๎ญหาโครงสร้างการปกครองแล้ว แต่ก็มีส่วนท่ีนาเสนอแนวทาง
ในการแก้ไขโครงสร้างการปกครองคณะสงฆ์ไปที่การปรับปรุงในส่วนของระบบการศึกษาที่จะช่วยให้
ได้พระสงฆ์ที่มีคุณภาพซ่ึงจะเกิดประโยชน์ต่อท้ังผู้ท่ีอยู่ภายใต้การปกครองและผู้ปกครองและเอื้อสู่
การขบั เคล่ือนกลไกทางการปกครองท่ีมปี ระสทิ ธภิ าพ

นอกจากนั้น ในส่วนของ 4.3 แนวทางในการแก้ไขป๎ญหาหลักเกณฑ์การแต่งต้ังสมณ
ศักด์ิ ได้เสนอแนวทางให้มีการปรับแก้หลักเกณฑ์การแต่งตั้งสมณศักด์ิใหม่ เร่ิมต้ังแต่การแยกสมณ
ศักด์ิออกจากตาแหน่งการปกครองคณะสงฆ์ตามมาด้วยการปรับปรุงหน่วยงานในการพิจารณา
คัดเลอื กสมณศกั ด์ิใหมโ่ ดยใหพ้ ุทธบริษัทเข้ามามีส่วนร่วมในการคัดเลือกและวางกฎเกณฑ์การปรับแก้
หลักเกณฑ์ในการต้ังสมมณศักด์ิใหม่จากเดิมท่ี ใช้จานวนเงินเป็นหลักเกณฑ์ในการตั้งสมมณศักดิ์แก่
พระสงฆ์เปลี่ยนมาเปน็ การใชห้ ลักเกณฑ์ที่มองว่า การสร้างศาสนวัตถุต้องสร้างทางเลือกใหม่ให้ชุมชน
ให้สมาชิกในชุมชนได้เข้ามาร่วมใช้ประโยชน์อย่างทั่วถึงไม่เว้นแม้กระทั้งเด็กและคนพิการเสนอให้มี
การออกแบบการสร้างศาสนวัตถุที่ตอบสนองต่อสมาชิกของชุมชนอย่างท่ัวถึง การสร้างศาสนวัตถุท่ี
คานึงถึงหลกั อารยสถาป๎ตย์

ทัง้ นก้ี ารปรบั เปลย่ี นหลักเกณฑ์เหล่านี้ก็เพื่อให้สมณศักดิ์เป็นเครื่องชักจูงให้พระสงฆ์น้ัน
ได้ตระหนักถึงความรับผิดชอบ การคานึงถึงประโยชน์ของอุบาสก อุบาสิกาเป็นสาคัญแทนท่ีจากเดิม
ไม่มีการปรับเปลี่ยนหลักเกณฑ์สมณศักดิ์ยังคงไว้เช่นเดิมซึ่งเสี่ยงต่อการที่สมณศักดิ์ไ ม่บรรลุเปูาหมาย
ของการมสี มณศกั ดิ์ และเปดิ โอกาสให้พระสงฆ์มุ่งสมณศักดิ์เป็นเส้นทางการเติบโตของพระสงฆ์จนลืม
ฐานะของพระสงฆ์ว่าต้องเก่ียวข้องกับชุมชน โดยสรุปทั้งหลักเกณฑ์การพิจารณาการตั้งสมณศักดิ์ท่ี
เน้นว่าพระสงฆ์ต้องเป็นพระสังฆาธิการหรือต้องเป็นพระสงฆ์สายปกครองเ ท่านั้นและเน้นการใช้
จานวนเงินเป็นตัวช้ีวัดถึงการตั้งสมณศักด์ิหากเกณฑ์ในการพิจารณานี้ไม่ได้รับการแก้ไขสมณศักด์ิจะ
ถกู ทา้ ทา้ ยถึงการมอี ยู่จนส่งผลใหเ้ กดิ ปฏิกิริยาคัดค้านโจมตีการมีอยู่ของสมณศักดิ์จนนามาสู่การทาให้

155

สมณศักด์ถิ ูกยกเลิกในทส่ี ุดหรอื หากไมถ่ กู ยกเลกิ พระสงฆ์ที่มีสมณศักดิ์ก็จะถูกตีตราถึงความแปดเป้ือน
ถึงการได้มาซ่ึงสมณศักดิ์ โดยภาพรวมก็ไม่มีผลดีต่อการมีอยู่ของสมณศักด์ิเลยหากยังไม่ได้รับการ
แกไ้ ขจากสว่ นนี้

คุณค่าของการเสนอแนวทางแก้ไขดังที่กล่าวไว้ทั้งหมดนี้ ยังคงมีประโยชน์ต่อการนาไป
ปรบั แก้ไขในคณะสงฆ์ตามทผี่ วู้ ิจัยคาดหวังมาโดยตลอดและจะบรรลุผลจริงได้ก็ต่อเมื่อชาวพุทธบริษัท
ไดต้ ระหนกั จนเปน็ สว่ นหนง่ึ ของทศั นคติวา่ ต้องร่วมดว้ ยชว่ ยกันแก้ไขด้วยการเป็นสังคมพุทธที่ถกเถียง
จนมีจิตกรุณาฉันทะพอใจที่จะแก้ไขก่อนที่ป๎ญหาคณะสงฆ์จะทวีความซับซ้อนทางป๎ญหาจนงอกเงย
ข้ึนมาจนหลายคร้งั นาไปสกู่ ารยากตอ่ การแกไ้ ข

156

บทที่ 5
บทสรปุ และขอ้ เสนอแนะ

5.1 บทสรุป
งานวิจัยเรื่อง “การปกครองคณะสงฆ์ไทยในป๎จจุบัน : ป๎ญหาและแนวทางแก้ไข” คือ

ความพยายามในการสารวจเรื่องราวในบริบทของการปกครองคณะสงฆ์ไทยในป๎จจุบันท่ีมีความ
เก่ยี วขอ้ งกบั สภาพป๎ญหา สาเหตุของป๎ญหา และเสนอแนวทางการแก้ไขป๎ญหาการปกครองคณะสงฆ์
ไทยปจ๎ จุบนั โดยเรม่ิ ตงั้ แตก่ ารทาความเขา้ ใจพฒั นาการของการปกครองคณะสงฆ์ต้ังแต่สมัยพุทธกาล
มาสู่ดินแดนสุวรรณภูมิจนกลายมารู้จักในประเทศไทยในสมัยป๎จจุบัน บนเส้นทางของเรื่องราวที่
เก่ียวข้องนี้คือ พัฒนาการการปกครองคณะสงฆ์จากการปกครองโดยพระธรรมวินัยสู่การปกครองท่ี
ผสมผสานระหว่างพระธรรมวินัยและกฎหมายซึ่งสามารถเห็นได้ชัดเจนต้ังแต่การมีพระราชบัญญัติ
คณะสงฆ์ฉบับแรกเกิดขึ้น คือ พระราชบัญญัติลักษณะปกครองคณะสงฆ์ ร.ศ. 121 พ.ศ. 2445 มาสู่
พระราชบญั ญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 แกไ้ ข เพ่มิ เติม ฉบบั ที่ 2 พ.ศ. 2535 ในป๎จจุบัน

อย่างไรก็ตามการมีพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 แก้ไข เพ่ิมเติม ฉบับ ท่ี 2
พ.ศ. 2535 ในปจ๎ จบุ ัน ไดถ้ กู ตัง้ ขอ้ สังเกตจากนักวิชาการบางท่านว่า พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ ฉบับน้ี
ไดร้ องรับความชอบธรรมของคณะสงฆ์ซ่ึงมีการบริหารจัดการแบบระบบราชการรวมศูนย์ไว้ที่มหาเถร
สมาคม คณะสงฆ์จึงได้กลับกลายเป็นคณะสงฆ์แห่งรัฐตามกลไกของระบบราชการท่ีต้องข้ึนตรงต่อรัฐ
มากกว่าจะเปน็ คณะสงฆ์แห่งพระธรรมวินัยท่ีข้ึนตรงต่อคาสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สมาชิกของ
คณะสงฆไ์ ด้แก่พระสงฆแ์ ละสามเณรทไ่ี ดร้ ับการดูแล ปกครองจากพระสงฆ์ท่ีรู้จักกันว่าพระสังฆาธิการ
หรือพระสงฆน์ ักปกครอง ทง้ั หมดน้ีได้กลายเปน็ คณะสงฆ์ทเ่ี ป็นระบอบราชการ ด้วยเหตุน้ีคณะสงฆ์ จึง
ตอ้ งเดินตามกลไกรัฐไปโดยปริยายมากกว่าท่ีคณะสงฆ์จะต้องเดินตามพระธรรมวินัย ดังมี ตัวอย่างใน
หน้าประวตั ิศาสตร์การปกครองคณะสงฆท์ ่ีบ่งบอกได้ว่าพระสงฆ์ นักปกครองได้ใช้กลไกรัฐผ่านอานาจ
ทรี่ องรบั โดยพระราชบัญญัติลักษณะปกครองคณะสงฆ์ รศ. 121 มาเป็นตัวกาหนดในการจัดการเร่ือง
การเป็นอุป๎ชฌาย์ของครบู าศรีวิชยั มากกว่าที่พระสงฆ์นักปกครองจะคานึงถึงการใช้หลักการตามพระ
ธรรมวินยั มาเปน็ ตวั กาหนดในการเปน็ อุปช๎ ฌายข์ องครบู าศรีวิชัย เร่ืองราวดังกล่าวนี้สามารถพิจารณา
จากขอ้ ความดงั ต่อไปน้ี

เมื่อการจดั องค์กรสงฆแ์ บบใหมไ่ ด้ครอบคลุมมาถงึ เขตที่อยู่ของครบู าศรีวชิ ยั คือแขวง
เมืองล้ี ลาพนู ในระยะแรกอานาจรัฐกรุงเทพฯ ได้เขา้ ไปมีสว่ นกระทบกบั ครบู าศรีวิชยั

157

ในเรอื่ งการเป็นอุปช๎ ฌาย์ของครบู าศรวี ชิ ยั เพราะจากแถลงการณค์ ณะสงฆ์ได้กล่าวถึง
ระเบยี บการประกาศตง้ั อุป๎ชฌาย์ วา่ เป็นหน้าที่ของเจา้ คณะเปน็ ผเู้ ลอื ก เมือ่ เลอื กได้แลว้
จะนาชอ่ื เสนอเจ้าคณะใหญ่ในกรงุ เทพฯ (โสภา ชานะมลู , 2534, น. 78)
เมื่อมองจากข้อความข้างต้นน้ีจะพบว่า เจ้าคณะเป็นผู้เลือกในการประกาศตั้งอุป๎ชฌาย์
เจา้ คณะทว่ี ่านี้หมายถงึ เจ้าคณะจงั หวดั เปน็ ตาแหน่งการปกครองคณะสงฆ์สูงสุดในระดับเจ้าคณะ โดย
การเลอื กนน้ั มาจากอานาจตามสายการบังคับบัญชาท่ีสูงกว่าซ่ึงเป็นไปตามระบบราชการของรัฐสยาม
ณ ขณะนั้น กลไกดังกล่าวน้ีก็ช้ี ชัดว่าไม่ใช่กลไกการตั้งอุป๎ชฌาย์ตามแนวทางพระธรรมวินัย แต่กลไก
ดงั กล่าวเปน็ กลไกแบบรัฐ เม่อื เปน็ เช่นนี้ สาระสาคญั พระธรรมวินยั ทพี่ ระสงฆจ์ ะเน้นย้าปฏิบัติเป็นชีวิต
จติ ใจจงึ เป็นไปไดว้ ่าเสีย่ งต่อการถูกวางเฉยมองข้าม จากพระสงฆ์ที่ใช้ชีวิตเก่ียวข้องกับพระราชบัญญัติ
การปกครองคณะสงฆ์ ท่ีมักมีบทบาทกับการใช้อานาจและการไขว่คว้าในสมณศักด์ิ ข้อสังเกตนี้
สามารถพิสูจน์ได้ในทางประจักษ์ว่า พระภิกษุอันสมควรแก่การกราบไหว้และเดินตามพระธรรมวินัย
อย่างยิ่งยวด กลับกลายเป็นพระภิกษุท่ีใช้ชีวิตไกลห่างจากวงจรของอานาจในทางการปกครองคณะ
สงฆ์ อย่างเช่น ในสายปฏิบัติหรือสายพระปุาอย่างพระอาจารย์ม่ัน พระอาจารย์ชา หรือแม้แต่ครูบา
อาจารย์อนั ควรสกั การะอย่างทา่ นครูบาศรีวิชัยพระภิกษุจากดินแดนทิศเหนือประเทศไทย แม้แต่ท่าน
พทุ ธทาส พระสงฆน์ กั ปราชญ์แหง่ ยคุ สมัยท่ีหนักแน่นด้วยอุดมการณ์ด่ังขุนเขา การใช้ชีวิตของท่านนั้น
มีวิถีชีวิตดังพระสงฆ์ในสมัยพุทธกาล พระพรหมคุณาภรณ์ พระภิกษุท่ีทรงศีลจารวัตร หนักแน่น
ในทางหลักการพระธรรมวินัยเถรวาท พระพรหมมังคลาจารย์ (หลวงพ่อป๎ญญานัททภิขุ) พระไพศาล
วิสาโล ในขณะเดียวกันพระสงฆ์ท่ีอยู่ในวงจรของกลไกการปกครองคณะสงฆ์ อันเรียกว่ารวมกันว่า
คณะสงฆ์ไทยซ่ึงมีมหาเถรสมาคม ดูแลพระภิกษุสามเณร น่าคิดว่าภายใต้การปกครองในระบบคณะ
สงฆเ์ ชน่ นจ้ี ะเหลอื พระภิกษสุ ามเณรอนั ควรกราบไหว้ ถือเป็นสรณะ ยังเหลือความหนักแน่นท้ังกายใจ
และสติป๎ญญาทางวิชาการนามนกิ ายเถรวาทไดส้ ักปานใด

แต่ท่ีหน้าเป็นห่วงกว่าน้ันคือความเป็นพระภิกษุหรือโอกาสท่ีจะเดินไปตามเส้นทาง
อริยมรรคอนั พระโสดาบนั เปน็ ท่ีหวงั จะมีเหลือ สักก่ีรูปก่ีท่านกันหากนับตามท้ังจานวนและเปอร์เช็นต์
ที่เหลือ ด้วยปรากฏการณ์ของคณะสงฆ์ และข้อสังเกตเหล่าน้ีทาให้ผู้วิจัยค้นพบสภาพป๎ญหา 3 ด้าน
คือ 1. ป๎ญหาโครงสร้างการปกครองคณะสงฆ์ ท่ีพบว่ามีการรวมอานาจไม่มีการการกระจายอานาจ
ต้ังแต่การปกครองส่วนกลางส่วนภูมิภาคและส่วนท้องถิ่น 2. ป๎ญหาการขาดประสิทธิภาพในการ
ปกครอง พบวา่ คณะสงฆน์ าโดยพระสังฆาธิการโดยส่วนใหญ่ไม่มีประสิทธิภาพในการแก้ไขพระสงฆ์ท่ี
ทาผดิ พระธรรมวินัย ดงั ตัวอย่างหลวงปุเู ณร คา หรอื แม้แตว่ ัดพระธรรมกาย หรือแม้แต่วัดที่มีการปลุก
เสกเคร่ืองรางของขลังวัตถุนิยมต่างๆ ก็ยังคงลอยนวลจนสามารถกระทาผิดได้ซ้าแล้วซ้าอีกต่อไป 3.

158

ป๎ญหาหลักเกณฑ์การแต่งต้ังสมณศักด์ิ อาทิเช่น การกาหนดหลักเกณฑ์การแต่งต้ังสมณศักด์ิไว้ที่
ตาแหน่งทางปกครองคณะสงฆ์เท่าน้ัน การขาดข้ันตอนการมีส่วนร่วมจากประชาชนและพระภิกษุ
สามเณรในวัด โดยเลือกที่จะใช้กฎเกณฑ์ของมหาเถรสมาคมกล่าวคือ การแต่งตั้งสมณศักดิ์ชั้นต่างๆ
เบื้องต้นเป็นอานาจหน้าที่ของมหาเถรสมาคมข้ันตอนดังกล่าวเป็นการพิจารณาที่เป็นแนวดิ่ง คือการ
ส่งเรื่องขึ้นไปตามลาดับสายการบังคับบัญชา ผลกระทบของการขาดขั้นตอนของการมีส่วนร่วมจาก
ประชาชนและพระภิกษุสามเณรในวัดคือ ทาให้พระสงฆ์ท่ีได้สมณศักดิ์มาไม่ตรงกับความรู้หรือความ
ต้องการของทุกฝุายท่ีเก่ียวข้องและทาให้เกิดขั้นตอนของระบบอุปถัมภ์และป๎ญหาต่อมาคือการใช้
หลักเกณฑ์แตง่ ตัง้ สมณศกั ดิโ์ ดยผกู โยงอยู่ท่กี ารเน้นจานวนเงินท่ีใชใ้ นการก่อสร้าง ถาวรวัตถุให้ใหญ่โต

ภายใตส้ ภาพป๎ญหาเหลา่ นี้ทัง้ 3 เรอื่ ง คือ ปญ๎ หาด้านโครงสร้างการปกครอง ป๎ญหาการ
ขาดประสทิ ธภิ าพในการปกครอง ป๎ญหาหลักเกณฑ์การแต่งต้ังสมณศักด์ิ ล้วนมีสาเหตุท่ีค้นพบได้ดังน้ี
1. ป๎ญหาด้านโครงสร้างการปกครองมีสาเหตุมาจากการควบคุมคณะสงฆ์โดยรัฐ โดยนับแต่มี
พระราชบัญญัติลกั ษณะปกครองคณะสงฆ์ พ.ศ. 2445 หรอื รศ. 121 จนมากระท่ังถึง พระราชบัญญัติ
คณะสงฆ์ในป๎จจุบัน คือ พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 แก้ไขเพ่ิมเติมปี พ.ศ. 2535 ล้วนเป็น
การตราพระราชบัญญตั โิ ดยฝุายรฐั ในการกาหนดทศิ ทางคณะสงฆ์โดยตลอดมา ความคิด สภาพป๎ญหา
การมีโครงสร้างเป็นแบบเฉพาะที่เกื้อกูลต่อพระพุทธศาสนาตลอดระยะเวลาที่ผ่านมารัฐไม่มีขั้นตอน
การขอความเห็นจากการมีส่วนร่วมของพระสงฆ์สามเณรเลย จึงทาให้โครงสร้างที่ออกแบบมาผ่า น
ข้อกาหนด สภาพบังคับในตัวพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ล้วนมาจากวิธีคิดแบบรัฐเป็นฝุายชี้นา แม้กระ
ทั้งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2484 ท่ีมาจากเสียงสะท้อนของพระหนุ่มหัวก้าวหน้านามว่าคณะ
ปูรณปฏิสังขรณ์ มีส่วนช่วยผลักกันให้เกิดขึ้นและแม้ว่าจะดูเป็นพระราชบัญญัติที่ดูจะคงความเป็น
ประชาธิปไตยในหมู่สงฆ์ก็ตามแต่น้ันก็เป็นโครงสร้างที่สะท้อนถึง รูปแบบทางการเมืองมากเกินไปจน
อาจขาดรูปแบบที่มีลักษณะเฉพาะตามพระธรรมวินัย โครงสร้างการปกครองที่ได้จึงมีลักษณะที่
ตอบสนองประโยชน์แก่รัฐเท่าที่ผลประโยชน์ของคณะสงฆ์ควรได้เท่านั้น และภายใต้พุทธศาสนาอันมี
คณะสงฆ์ไทยที่ประกอบไปด้วยสมาชิกคือพระสงฆ์และสามเณรเกือบ 3 แสน ชีวิตจึงเสมือนมีหน้าที่
สร้างความชอบธรรมใหก้ ับรฐั บาลมากกว่าแสดงความกล้าหาญในการหาทางออกให้กับวิกฤติของชาติ
บ้านเมือง หรือแม้กระท้ังที่จะมีสติป๎ญญาและความกล้าหาญในการเสนอทางออกให้แก่
พระพุทธศาสนาในยามเกิดวกิ ฤติกย็ ังคงเกดิ คาถามถึงเรื่องดังกลา่ วมากมายมายงั คณะสงฆ์

สาเหตุของป๎ญหาประการต่อมาคือ สาเหตุของป๎ญหาการขาดประสิทธิภาพในการ
ปกครอง พบว่า 1. มีสาเหตุมาจากการรวมศูนย์อานาจการตัดสินใจของมหาเถรสมาคม ที่ต้อง
รับผิดชอบต่อชะตาชีวิตของพระสงฆ์สามเณรประมานเกือบ 3 แสนรูป ด้วยการมีท้ังหน้าที่ บริหาร

159

นิตบิ ัญญัติ ตลุ าการ 2. สาเหตขุ องป๎ญหาการขาดประสิทธิภาพในการปกครองต่อมาพบว่า ผู้ปกครอง
สงฆ์ระดบั สูงดอ้ ยประสทิ ธภิ าพในการทางานเพราะอยใู่ นวยั ชราภาพ อันความชราภาพของบุคลากรใน
มหาเถรสมาคมก็ย่อมส่งผลต่อป๎ญหาการขาดประสิทธิภาพการปกครองมากพอสมควรเพราะด้วย
ภาระงานและหน้าท่ีของกรรมการมหาเถรสมาคมก็นับว่ามีมากมาย ทั้งลาพังสุขภาพของพระราชา
คณะในกรรมการมหาเถรสมาคมยังไม่ค่อยจะสู้ดีแข็งแรกมากนักแล้วยังต้องมารับผิดชอบศาสนกิจท่ี
มากมาย หากคาดหวังงานให้ประสบผลสาเร็จลุล่วงได้ดีก็จาต้องอาศัยกาลังกายที่แข็งแรงซึ่งมีผล
เช่ือมโยงต่อกาลังสติป๎ญญาเฉกเช่นเดียวกัน การที่พระราชาคณะในกรรมการมหาเถรสมาคมมีอายุ
มากท่ีเรียกว่า ชราภาพย่อมทาให้ความกระตือรือร้น ไฟของการลุกโพลงในงานทางานย่อมมืดดับไป
ตามสภาพของอายุท่ีมากจนวัยชราภาพ และสาเหตุของป๎ญหาการขาดประสิทธิภาพในการปกครอง
ประการต่อมาคือ การดอ้ ยความรคู้ วามสามารถของผู้ปกครองสงฆ์ การด้อยความรู้ของพระผู้ปกครอง
สงฆ์น้ันมีส่วนสัมพันธ์กับคุณภาพของการปกครองสงฆ์ด้วยอย่างแน่นอน ซึ่งเป็นผลมาจากการที่คณะ
สงฆ์เองไม่มีระบบและกลไกของคณะสงฆ์ท่ีจะมาพัฒนาประสิทธิภาพของผู้ปกครอ งคณะสงฆ์ให้มี
คุณภาพ และประการสุดท้ายต่อมาคือ สาเหตุของป๎ญหาหลักเกณฑ์การแต่งตั้งสมณศักด์ิ ซ่ึงพบว่า มี
สาเหตุมาจาก การกาหนดหลักเกณฑก์ ารแต่งตั้งสมณศักด์ิไว้ท่ีตาแหน่งทางปกครองคณะสงฆ์และการ
ต้งั หลักเกณฑข์ องจานวนเงนิ เพ่อื การสรา้ งศาสนวัตถุ

ภายใต้สภาพป๎ญหาและสาเหตุของป๎ญหาท่ีค้นพบน้ี ผู้วิจัยได้นาเสนอแนวทางแก้ไขใน
โดยแยกเป็น 2 แนวทาง ในส่วนของแนวทางแรกนั้นเป็นการแก้ไขภายนอกโครงสร้าง กล่าวคือ การ
แยกรฐั ออกจากศาสนา เพือ่ จัดขอบเขตของอานาจรฐั และศาสนาให้มีขอบเขตที่ชัดเจนและรวมถึงการ
พยายามลดอานาจรัฐท่ีเข้ามาควบคุมคณะสงฆ์ดังที่เคยกล่าวถึงในบทท่ี 3 ถึงสาเหตุของป๎ญหา
โครงสร้างการปกครองคณะสงฆ์ ว่าสาเหตุที่สาคัญของป๎ญหาโครงสร้างการปกครองคณะสงฆ์นั้นมี
สาเหตุมาจากการควบคุมคณะสงฆ์โดยรัฐ ส่วนในแนวทางที่สองนั้นเป็นแนวทางท่ีแก้ไขป๎ญหา
โครงสร้างภายในการปกครองคณะสงฆ์เองด้วยการปรับแก้ระบบและออกแบบการปกครองคณะสงฆ์
ใหม่เพ่ือให้สามารถตอบสนองต่อบริบทของโลกสมัยใหม่และอยู่บนการเคารพในกรอบของกติกาใน
ระบอบประชาธิปไตย (Democracy) แต่แนวทางนี้คณะสงฆ์ยังคงถูกควบคุมโดยรัฐเฉกเช่นเดิมแต่สิ่ง
ที่เปล่ียนไปคือการมีโครงสร้างการปกครองที่มีลักษณะความเป็นประชาธิป ไตยมากขึ้นและเน้นให้มี
การกระจายอานาจในการปกครองคณะสงฆ์

ต่อมาเป็นแนวทางในการแก้ไขป๎ญหาการขาดประสิทธิภาพในการปกครองโดยการนา
โครงสร้างการปกครองคณะสงฆ์ที่ผู้วิจัยนาเสนอมาใช้เป็นแนวทางในการแก้ไขป๎ญหาการขาด
ประสิทธิภาพในการปกครอง แนวทางตอ่ มาก็มีการปฏิรูปการศึกษาคณะสงฆ์เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ

160

ของผู้ปกครองคณะสงฆ์เพื่อแก้ไขป๎ญหาการขาดประสิทธิภาพในการปกครอง ซึ่งมีรายละเอียด
เรม่ิ ตน้ ตง้ั แต่มกี ารปฏิรูปการศึกษาพระบาลแี ละต่อมากป็ ฏริ ปู การศึกษาคณะสงฆใ์ ห้สมสมยั

ประการต่อมาคือแนวทางในการแก้ไขป๎ญหาหลักเกณฑ์การแต่งตั้งสมณศักดิ์โดย การ
กาหนดหลกั เกณฑ์การแต่งต้งั สมณศักดิ์โดยให้มีการแยกสมณศักดิ์ออกจากตาแหน่งการปกครองคณะ
สงฆ์และมีการปรับปรุงหน่วยงานในการพิจารณาคัดเลือกสมณศักด์ิโดยให้อุบาสกอุบาสิกาเข้ามามี
ส่วนคัดเลือกและวางกฎเกณฑ์การแต่งต้ังสมณศักดิ์ ในด้านการพิจารณาสมณศักดิ์จากเดิมท่ีเคย
พิจารณาจากจานวนเงินในการสร้างและบูรณะศาสนวัตถุที่มากต่อมาก็เปลี่ยนให้มีการพิจารณา
หลกั เกณฑด์ ังกลา่ วโดยมีการคานึงถงึ ความจาเป็นในดา้ นประโยชน์ใชส้ อยและการสรา้ งศาสนวัตถุน้ันก็
มุ่งหมายให้เป็นส่วนหนึ่งของชุมชนท่ีจะเข้ามามีส่วนร่วมคิดร่วมสร้างด้วยกัน ผู้วิจัยหวังว่าแนว
ทางแกไ้ ขเหล่านีห้ ากมกี ารนาไปใชใ้ นทางปฏิบัติก็คงช่วยแก้ไขป๎ญหาการปกครองคณะสงฆ์ได้ไม่มากก็
นอ้ ย และการเห็นความสาคัญของการนาไปแก้ไขในทางปฏิบัติก็แสดงถึงความเป็นผู้รักและเคารพใน
พระพุทธศาสนาอีกแนวทางหน่ึงซึ่งสามารถมีส่วนช่วยให้พระพุทธศาสนาได้คงไว้ซึ่งพระสัจธรรม
ไพบูลยข์ องพระศาสนาใหม้ ่นั คงยง่ั ยืนยาวตลอดไป

5.2 ข้อเสนอแนะ

ทัง้ สภาพป๎ญหาและสาเหตขุ องป๎ญหาลว้ นมกี ารเปล่ยี นแปลงพลวัตอย่างต่อเน่ืองไม่หยุด
น่งิ แนวทางในการแก้ไขป๎ญหาจึงต้องก้าวไปแก้ไขให้ทันท่วงทีและในขณะเดียวกันแนวทางแก้ไขก็ต้อง
สามารถปูองกันแนวโน้มของสภาพป๎ญหาที่จะเกิดข้ึนในอนาคตด้วย ผลงานวิจัยท่ีผู้วิจัยได้ศึกษา
ค้นคว้ามาน้ันอาจจะไม่สามารถตอบโจทย์การแก้ไขสภาพป๎ญหาของคณะสงฆ์ได้อย่างครบถ้วนรอบ
ดา้ นนัก หากต้องการผลงานวจิ ัยที่สามารถตอบโจทย์ป๎ญหาได้หลากหลายแง่มุมจาต้องอาศัยกรอบใน
การมองป๎ญหาและแนวทางแก้ไขใหม่ๆ อยู่เสมอ เช่น การมองเร่ืองของคณะสงฆ์ที่เช่ือมโยงกับ
ความสมั พันธ์ทางเศรษฐกิจ สังคม การเมืองน้ัน เป็นสิ่งที่ผู้วิจัยคิดว่าควรจะมีการวิจัยในส่วนนี้เพื่อทา
ความเข้าใจพุทธศาสนากับบทบาทต่อสังคมป๎จจุบันและมีส่วนที่ช่วยขยายมุมมองความเช่ือมโยงของ
สภาพป๎ญหาสาเหตุและแนวทางแก้ไขป๎ญหาในลักษณะที่เช่ือมโยงเข้าหากันด้วยกันมากกว่าที่จะมอง
เฉพาะหลักธรรมทีเ่ ปน็ ตัวตัง้ ท่ีมกั ใช้ในการอธิบายปญ๎ หาสังคมดว้ ยหลักศลี ธรรมแต่เพียงอย่างเดียวแต่
ขาดการเข้าไปรับรู้ถึงเงื่อนไขของสภาพเศรษฐกิจสังคมและการเมืองท่ีกาลังแปรเปล่ียนไปอย่าง
รวดเร็ว อันจะช่วยให้มีคุณูปการว่าแท้จริงแล้วอิทธิพลความเชื่อของพระพุทธศาสนาที่ผ่านการกล่อม

161

เกลาส่ังสอนจากพระสงฆ์ในสถาบันสงฆ์นั้นมีข้อจากัดและโอกาสอย่างไรต่อการที่สังคมจะรับไปใช้ใน
การปฏบิ ตั ิเพื่อแก้ไขป๎ญหาต่างๆ

ในขณะเดียวกันการศึกษาค้นคว้าวิจัยในมิติของการปกครองคณะสงฆ์ก็น่าจะเพ่ิมมิติ
ของสภาพบรบิ ทในสงั คมทนุ นยิ มและกระแสของโลกาภิวัตนท์ ีเ่ ป็นกระแสหลักท่ีสาคัญซ่ึงส่งผลกระทบ
ต่อคณะสงฆ์มากกว่าที่จะไปศึกษาวิจัยจาเพาะเจาะจงแต่เพียงป๎ญหาของการปกครองคณะสงฆ์ว่ามา
จากสาเหตุของพระราชบญั ญัตคิ ณะสงฆ์ การรวมอานาจการปกครอง วัฒนธรรมของระบบอาวุโสของ
การสนองงานคณะสงฆ์แต่เพยี งอย่างเดียว ซ่ึงส่ิงเหล่าน้ีมีผู้วิจัยท่านอื่นๆ ได้ค้นคว้าวิจัยมาเป็นจานวน
มากแล้ว งานวิจัยท่ีมีข้อสมมุติฐานบนข้อเสนอแนะเหล่าน้ีอาจช่วยให้เกิดองค์ความรู้ทางศาสตร์หรือ
แขนงวิชาการใหมๆ่ ทม่ี กี ารอธิบายร่วมกันของสหวิทยาการร่วมกันมากขึ้นหรืออย่างน้อยก็ช่วยให้เปิด
โลกทัศน์ใหม่ของโลกของการศึกษาท่ีมีส่วนช่วยกระตุ้นจิตสานึกตามฐานะและบทบาทของการเป็น
พุ ท ธ ศ า ส นิ ก ช น ท่ี ดี ท่ี แ ส ด ง ถึ ง ถึ ง ก า ร เ ข้ า ม า มี ส่ ว น ร่ ว ม คิ ด ร่ ว ม ส ร้ า ง ร่ ว ม ก า ห น ด อ น า ค ต ข อ ง
พระพุทธศาสนาในสยามประเทศดว้ ยกนั อยา่ งมีสตแิ ละป๎ญญาคุณธรรมกากับ

162

รายการอ้างองิ

พระไตรปิฎก
กรมการศาสนา กระทรวงศึกษาธิการ. (2551). พระไตรปิฎกภาษาไทยฉบับหลวง. พระสตุ ตนั ตปิฎก.

เลม่ ท1ี่ 4. พิมพค์ รัง้ ท่ี 3.กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์การศาสนา
มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั . (2539). พระไตรปิฎกฉบบั ภาษาไทย ฉบบั มหาวิทยาลยั มหาจฬุ าลง

กรณราชวทิ ยาลัย. กรุงเทพฯ:มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั

หนงั สอื

กระจ่าง นันทโพธิ. (2544). มหานกิ าย-ธรรมยุต ความขดั แยง้ ภายในของคณะสงฆ์ไทย กับ การสอ้ ง
เสพอานาจการปกครองระหว่างฝ่ายอาณาจักรและศาสนจักร. สานกั พมิ พส์ ันตธิ รรม :
นนทบุรี.

กาญจนา แก้วเทพ. (2552-2555). เสน้ ทางงานศึกษา “การสื่อสารกับศาสนา” ในสังคมไทย.
กรงุ เทพ : ฝาุ ยวชิ าการ สานกั งานกองทุนสนับสนนุ การวจิ ัย (สกว).

คนึงนิตย์ จันทรบุตร. (2528). การเคล่อื นไหวของยุวสงฆไ์ ทยรุ่นแรก พ.ศ. 2477-2484. กรุงเทพฯ :
สานกั พิมพม์ หาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์.

คนงึ นติ ย์ จนั ทรบุตร. (2532). สถานะและบทบาทของพระพุทธศาสนาในประเทศไทย.โครงการศึกษา
ศาสนาและสันตวิ ธิ ี : กล่มุ ประสานงานศาสนาเพื่อสังคม.

คณาจารย์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั . (2553). การปกครองคณะสงฆไ์ ทย. กรุงเทพฯ
: พมิ พโ์ ดยมหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย.

ฉัตรสมุ าลย์ กบิลสงิ ห์. (2518). กาเนิดมหายาน. จุลสารโครงการตาราสังคมศาสตร์และ
มนษุ ยศาสตร์.

ชาเลือง วฒุ ิจันทร์. (2525). การพัฒนากจิ การคณะสงฆแ์ ละการพระศาสนาเพื่อความมน่ั คงของชาติ.
เอกสารวจิ ัยส่วนบุคคล. กรงุ เทพมหานคร : วทิ ยาลัยปูองกันราชอาณาจกั ร.

ธรรมรกั ษา ประสก. (2518). ขนุ นางพระ. กรุงเทพฯ : สมชายการพมิ พ์.
นภิ าภรณ์ แสงสว่างและคณะ. (2557.) เรอื่ ง สงั ฆะเพือ่ สงั คม บทเรยี นบทบาทพระสงฆก์ ับการพัฒนา

สุขภาวะชมุ ชนและสังคม. นนทบรุ ี : บริษัท พี.ซี.เค ดีไซน์ จากดั .
นิธิ เอียวศรวี งศ์. (2529). การเมืองสมัยพระเจา้ กรุงธนบุรี. กรุงเทพฯ : ศลิ ปวัฒนธรรม.

163

นิธิ เอยี วศรีวงศ์. (2543). พทุ ธศาสนาในความเปล่ยี นแปลงของสงั คมไทย. กรุงเทพฯ :
สานักพมิ พม์ ูลนธิ โิ กมลคีมทอง.

นธิ ิ เอียวศรวี งศ์. (2545). กอ่ นยคุ พระศรอี ารยิ ์ ว่าดว้ ย ศาสนา ความเช่อื และศีลธรรม. กรุงเทพฯ :
สานกั พมิ พม์ ติชน.

ปิเตอร์ เอ แจก็ สัน. (2556). พระพุทธศาสนานกิ ายเถรวาท และการปฏิรปู เชงิ นวสมยั นยิ มในประเทศ
ไทย. กรงุ เทพฯ : บรษิ ัท ว.ี พร้นิ ท์.

พระพรหมบณั ฑิต (ประยูร ธมมฺ จิตฺโต). (2556). สมเด็จพระมหาสมณเจา้ กรมพระยาวชริ ญาณวโรรส
กับการปฏิรปู การศกึ ษาพระพุทธศาสนา. กรงุ เทพฯ : จัดพมิ พโ์ ดย โครงการพระสอนศีลธรรม
ในโรงเรยี น มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย.

พระพทุ ธโฆษาจารย์. (2554). ปฐมสมนั ตปาสาทกิ าแปล เล่มท่ี 1. สมเดจ็ พระวันรัตน (จุนท์ พรฺ หฺม
คุตโฺ ต) และคณะ. กรุงเทพฯ: โรงพมิ พ์มหามกฏุ ราชวทิ ยาลัย.

พระไพศาล วิสาโล. (2546). พทุ ธศาสนาไทยในอนาคตแนวโนม้ และทางออกจากวกิ ฤต. จดั พมิ พ์โดย
มลู นิธิสดศรี-สฤษดวิ์ งศ์ : กรุงเทพฯ.

พระไพศาล วสิ าโล. (2542). พระธรรมปฎิ กกับอนาคตของพุทธศาสนา. จดั พิมพโ์ ดย กองทนุ วฒุ ิธรรม
เพ่ือการศึกษาและปฏิบัติธรรม : กรงุ เทพฯ.

พระมหาไพรวลั ย์ วรวณโฺ ณ. (2558). ทัศนะวพิ ากษ์ อนาธิปไตย. กรุงเทพฯ : บรษิ ทั พิมพส์ วย จากัด.
พระมหาจรรยา สุทธญิ าโณ, ดร. (2554). ความคาดหวังการปฏิรูปคณะสงฆไ์ ทยดา้ นการปกครอง).

เอกสารประกอบการสมั มนา : คณะนิตศิ าสตร์ มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์.
พระเมธธี รรมาภรณ์ (ประยูร ธมฺมจติ โต). ( 2539). การปกครองคณะสงฆ์ไทย. กรุงเทพ ฯ :

สานักพมิ พ์ มลู นธิ ิพุทธธรรม.
พระวรพงษ์ โชติธมโฺ ม. (2547). กวู้ กิ ฤติคณะสงฆไ์ ทย. กรุงเทพมหานคร.
พระวรวงศเ์ ธอ กรมหมืน่ พทิ ยลาภพพฤฒยิ ากร. (2517). ประวตั พิ ทุ ธศาสนาในสยาม. มหามกฏุ ราช

วิทยาลัย.
พทิ รู มลวิ ัลยแ์ ละคณะ. (2527). ประวัตกิ ารปกครองคณะสงฆไ์ ทย. กรมการศาสนา

กระทรวงศกึ ษาธิการ จัดพมิ พ์.
พิพัฒน์ พสธุ ารชาต.ิ (2553). รฐั กบั ศาสนา บทความวา่ ดว้ ย อาณาจักร ศาสนจักรและเสรภี าพ.

กรงุ เทพฯ : สานกั พิมพ์สยาม.
มหามกฏุ ราชวทิ ยาลัย. (2521). ประวัตกิ ารปกครองคณะสงฆไ์ ทยและลกั ษณะการปกครองคณะสงฆ์.

มหามกุฏราชวิทยาลัย : จดั พมิ พเ์ ผยแพรใ่ นอภิลักขิตกาลฉลอง 84 : มหามกุฎราชวิทยาลยั ใน
พระบรมราชปู ถัมภ.์

164

รายงานของ คณะกรรมการปฏิรปู แนวทางและมาตรการปกปูองพิทักษ์กิจการพระพทุ ธศาสนาสภา
ปฏริ ูปแห่งชาต.ิ (2558). เร่ือง รายงานผลกรพจิ ารณาศกึ ษาการปฏริ ปู แนวทางและมาตรการ
ปกป้องพิทกั ษก์ จิ การพระพทุ ธศาสนา. ถนนอู่ทองใน กรุงเทพฯ : ฝาุ ยเลขานกุ าร
คณะกรรมาธกิ ารปฏริ ูปค่านิยม ศิลปะ วัฒนธรรม จรยิ ธรรมและการศาสนาสานัก
กรรมาธกิ าร 3 สานักงานเลขาธกิ ารสภาผู้แทนราษฏรปฏบิ ตั หิ นา้ ทสี่ านกั งานเลขาธกิ ารสภา
ปฏิรปู แห่งชาต.ิ

วัลลภ ชัยพพิ ฒั นแ์ ละคณะ. (2513). เทคนิคการจัดระบบและการควบคมุ . กรงุ เทพมหานคร : โรง
พมิ พ์อกั ษรการพิมพ.์

วิจักขณ์ พานิช. (2556). ธรรมนัว : พุทธธรรมทา่ มกลางความขัดแย้งทางสังคมและการเมอื ง.
กรุงเทพฯ : สานักพิมพป์ ลากระโดด.

วจิ ักขณ์ พานิช. (2558). รฐั -ธรรม-นัว. กรงุ เทพมหานคร : สานกั พิมพม์ ตชิ น.
วิเชยี ร อากาศฤกษแ์ ละสนุ ทร สภุ ูตะโยธนิ . (2528). ประวตั สิ มณศกั ด์แิ ละพดั ยศ. กรงุ เทพฯ :ศรี

อนนั ต์.
วิรัช ถิรพันธ์เมธแี ละคณะ. (2546). คมู่ ือพระสงั ฆาธิการ. กรงุ เทพฯ : สานักพิมพ์ดวงแก้ว.
ศวิ ะ รณชติ . (2537). พระครูบาศรวี ิชัย พระของประชาชน. พิราบ สานักพมิ พ์ : กรุงเทพฯ.
ศูนยม์ านุษยวทิ ยาสริ นิ ธร. (2542). วิกฤตพทุ ธศาสนา. โรงพิมพเ์ รอื นแก้วการพมิ พ์ : กรุงเทพฯ.
ส. ศวิ ลักษณ.์ (2559). บทกวกี บั การเมืองและเรือ่ งของพระ. กรงุ เทพฯ : สานกั พิมพไ์ ม่ขานรบั ?
ส. ศิวลักษณ์. (2530). ลอกคราบสังคมสงฆ.์ สานักพิมพ์ ยุววิทยา : กรงุ เทพฯ.
สถาบนั วิถีทรรศน์ มลู นิธิวถิ ที รรศน์. (2545). วิกฤตศิ าสนายุคธนาธิปไตย : พุทธวิบัติ?. บริษทั

อมรนิ ทร์พร้ินต้ิงแอนดพ์ บั ลิชชงิ่ จากัด : กรุงเทพฯ.
สริ วิ ฒั น์ คาวันสา. (2545). พุทธศาสนาในอินเดีย. โรงพิมพพ์ ทิ ักษอ์ ักษร : กรงุ เทพฯ.
สัมพนั ธ์ เสริมชีพ. (2543). เจ้าอาวาสเป็นเจ้าพนกั งานหรอื ไม่. จดั พิมพ์โดย ชมรมศษิ ย์เกา่ สถาบนั

วชิ าชพี กฎหมายช้ันสูงสภาทนายความ.
สรุ พศ ทวีศกั ดิ์. (2557). ไตรทัศนว์ จิ ารณ์ ความคิดว่าด้วยพุทธศาสนา สถาบนั กษตั ริย์ และ

ประชาธิปไตยของ ส. ศิวลกั ษณ.์ สานักพิมพ์ สยามปริทศั น์ : กรุงเทพฯ.
สุชีพ ปญุ ญานุภาพ. (2506). คณุ ลักษณะพิเศษแห่งพระพุทธศาสนา. คุรสุ ภา : ศกึ ษาภัณฑพ์ านิช.
สายชล สัตยานรุ ักษ์. (2546). พุทธศาสนากบั แนวคดิ ทางการเมอื งในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธ

ยอดฟา้ จุฬาโลก (พ.ศ. 2325-2352). สานกั พิมพ์ มติชน : กรุงเทพฯ.
สมบูรณ์ สขุ สาราญ. (2527). พทุ ธศาสนากบั การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและสงั คม. สานกั พมิ พ์

จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั : กรงุ เทพฯ.

165

สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิ ิรญาณวโรรส. (2514). “เร่ืองนกิ าย” ในพระราชนพิ นธ์ตา่ ง
เร่ืองประมวลพระนิพนธ์สมเดจ็ พระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวิชิรญาณ วโรรส. มหามกุฎ
ราชวทิ ยาลยั ในพระบรมราชูปถมั ภ์ : พมิ พใ์ นงานมหาสมณานสุ รณค์ รบ 50 ปี แต่วนั
ส้นิ พระชนม์แห่งสมเด็จพระมหาสมณเจา้ ฯ.

สมเดจ็ พระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชริ ญาณวโรรส. (2530). วินัยมุขเล่ม 2 “เร่ืองกาลิก”.
กรุงเทพมหานคร : มหามกุฎราชวิทยาลัย.

สมเดจ็ พระวนั รตั น. (2511). สงั คตี ยิ วงศ์ พงศาวดารเรอื่ งสังคายนาพระธรรมวนิ ัย. กรุงเทพฯ:ห้าง
หนุ้ สว่ นจากดั ศิวพร.

สมเดจ็ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดารงราชานภุ าพ. (2513). ประชมุ นพิ นธ์เก่ยี วกับตานานทาง
พระพทุ ธศาสนา. คณะสงฆว์ ดั พระพิเรทรพ์ ิมพเ์ ปน็ อนสุ รณ์ในงานพระราชทานเพลงิ ศพ
พระเทพคณุ าธาร : กรงุ เทพฯ.

สมเดจ็ พระเจ้าบรมวงศเ์ ธอ กรมพระยาดารงราชานภุ าพ. (2457). ประดิษฐานพระสงฆส์ ยามวงศใ์ น
ลงั กาทวปี . พระนคร : โสภณพพิ รรฒธนากร.

สมบูรณ์ สุขสาราญ. (2527). พทุ ธศาสนากบั การเปลี่ยนแปลงทางการเมอื งและสงั คม. กรงุ เทพฯ :
จฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลัย.

สุชีพ ปญ๎ ญานภุ าพ. (2537). พระไตรปิฏกสาหรับประชาชน ย่อความจากพระไตรปิฏก ฉบับภาษา
บาลี 45 เลม่ . กรุงเทพมหานคร : มหามกุฎราชวทิ ยาลยั ในพระบรมราชูปถัมป์.

เสถยี ร พนั ธรงั ส.ี (2534). ศาสนาเปรยี บเทียบ. กรงุ เทพมหานคร : มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั .
แสวงอดุ มศรี. (2534). การปกครองคณะสงฆ์ไทย. กรุงเทพฯ : โรงพมิ พ์มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั .
แสวงอุดมศร.ี (2530). สมณศักด์,ิ 30. กรงุ เทพ ฯ : บริษทั ประยรู วงศ์ จากดั .
อรศรี งามวทิ ยาพงศ์, รศ. ดร. และคณะ. (2558). ปจั จัยท่เี อือ้ ตอ่ การฟนื้ ฟูบทบาทหน้าทก่ี ารพัฒนา

จิตวญิ ญาณของวัดในเมอื ง. กรุงเทพฯ : สถาบันอาศรมศิลป์ สานกั งานกองทนุ สนบั สนนุ การ
เสรมิ สรา้ งสุขภาพ (สสส.).
อรณุ รกั ธรรม. (2526). พฤตกิ รรมองคก์ าร. กรงุ เทพมหานคร : สานกั พมิ พ์ โอเดยี นสโตร.์

บทความวารสาร

ชาญณรงค์ บุญหนนุ . (พฤษภาคม-ธันวาคม 2541). แนวคดิ และรปู แบบการปกครองคณะสงฆ์ไทย.
วารสารพุทธศาสนศกึ ษา, ปที ่ี 5 (ฉบบั ที่ 2-3), 82.

166

ชาญณรงค์ บญุ หนุน. (พฤษภาคม-สงิ หาคม 2543). การสังคายนาในมุมมองใหม่ : หนทางสู่การ
แกป้ ญ๎ หาคณะสงฆ์ไทยปจ๎ จบุ ัน. วารสารพทุ ธศาสนศกึ ษา, ปที ี่ 7 (ฉบับท่ี 2),1-26.

ดนยั ปรีชาเพิ่มประสิทธ์ิ. (กนั ยายน – ธนั วาคม 2558). การวเิ คราะหข์ อ้ เดน่ ข้อดอ้ ยขององค์การและ
กระบวนการบรหิ ารจัดการองค์การพระพุทธศาสนาของประเทศไทยในเชิงประสทิ ธภิ าพด้าน
คุณคา่ ต่อพระพทุ ธศาสนา. วารสารพุทธศาสนศึกษา, ปที ี่ 22 (ฉบับท่ี 3), 96.

นภนา อนุพงศพ์ ัฒน.์ (มกราคม-เมษายน 2550). มหาเถรสมาคมกบั การแกไ้ ขปญ๎ หาคณะสงฆย์ ุค
ป๎จจุบนั . วารสารพุทธศาสนศึกษา, ปที ี่ 14 (ฉบับที่ 1), 61.

นภนาท อนุพงศ์พฒั น.์ (มกราคม – เมษายน 2549). บทบาทและผลงานของมหาเถรสมาคม.
ผลงานวจิ ัยยอ้ นหลัง, ปี 2549, บทคดั ยอ่ .

มูลนธิ ิเสถยี รโกเศศ-นาคะประทปี . (พฤษภาคม-สงิ หาคม 2558). จาก 100 ปี ชาตกาล จากัด
พลางกลู สู่ 70 ปี วนั สนั ติภาพไทย. วารสารปาจารยสาร, ปีท่ี 39 ฉบบั ที่ 2.
วชั ระ งามจิตรเจรญิ . (พฤษภาคม – สงิ หาคม 2557). สมณศักด์ิ : ข้อดแี ละป๎ญหา. วารสารพทุ ธศาสน

ศกึ ษา, ปที ่ี 21 (ฉบับที่ 2), 28.
สภาปฏิรปู แห่งชาติ. (3 กันยายน 2558). รา่ งพระราชบญั ญัตเิ พอื่ ประกอบรายงานผลการศึกษาการ

ปฏิรูปแนวทางและมาตรการปกปูองพิทกั ษ์กิจการพระพทุ ธศาสนา. ท(่ี สปช) 4225/2558.
สุนทร ณ รงั ษ.ี (กันยายน-ธันวาคม 2539). การปกครองคณะสงฆ์อดีต ป๎จจุบนั อนาคต. วารสารพุทธ

ศาสนศกึ ษา, ปที ่ี 3 (ฉบบั ที่ 3), 6-14.

วทิ ยานิพนธ์

เชดิ ชัย หมนื่ ภกั ดี. (2546). ปจั จัยที่มีผลต่อการปรบั ปรุงองคก์ รคณะสงฆ์ ศกึ ษากรณี : องค์กร
ปกครองคณะสงฆอ์ าเภอนา้ พอง จังหวดั ขอนแก่น. (วิทยานิพนธ์ปรญิ ญามหาบณั ฑติ ).
มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ คณะสังคมสงเคราะหศ์ าสตร์.

ไผท นาควัชระ. (2547). บทบาทและหน้าทีข่ องพระอุปัชฌาย์ในคณะสงฆ์ไทย. (วิทยานพิ นธศ์ ิลป
ศาสตร์มหาบัณฑติ ). มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ สาขาวชิ าพทุ ธศาสนศกึ ษาคณะศลิ ปศาสตร์.

พระมหาไพทูรยว์ รรณบตุ ร. (2550). ประวัติการบรหิ ารคณะสงฆไ์ ทย. (วิทยานิพนธ์มหาบัณฑติ ).
มหาวทิ ยาลัยศรปี ทมุ สาขารัฐประศาสนศาสตร์.

พระมหาวรชยั กลงึ โพธ.์ (2539). การปกครองคณะสงฆไ์ ทยตามพระราชบญั ญัติคณะสงฆ์
พุทธศักราช 2484. (วิทยานิพนธอ์ ักษรศาสตร์มหาบณั ฑิต). มหาวิทยาลยั จฬุ าลงกรณ์ราช
วิทยาลยั .

167

พระมหาวิเชียร สายศรี. (2543). พระพทุ ธศาสนากับระบบสมณศกั ด์ิ : ศกึ ษากรณที ศั นะของ
นักวิชาการพุทธศาสนาและพระนักศกึ ษาในสถาบันอุดมศึกษา. (วิทยานพิ นธ์ปรญิ ญา
มหาบัณฑติ ). มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สาขาวิชาพทุ ธศาสนศึกษา คณะศลิ ปศาสตร.์

พระมหาวนิ ัย ผลเจริญ. (2544). การศึกษาแนวคดิ และขบวนการประชาสงั คมของพทุ ธศาสนาใน
สงั คมไทย (หลงั เหตกุ ารณ์ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516-ป๎จจุบนั ). (วิทยานิพนธ์ปริญญา
มหาบัณฑติ ). มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร.์ สาขาวิชาพุทธศาสนศกึ ษา คณะศลิ ปศาสตร์.

โสภา ชานะมลู . (2534). ครูบาศรีวชิ ยั “ตนบญุ ” แหง่ ลา้ นนา. (วิทยานิพนธ์ปรญิ ญามหาบณั ฑิต).
มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร.์ สาขาวชิ าประวตั ิศาสตร์ คณะศิลปศาสตร.์

สายธาร อนิ ทวดี. (2533). บทบาทของมหาเถรสมาคมในการแก้ไขปัญหาคณะสงฆ์ไทย (พ.ศ. 2445 –
2530). (สารนพิ นธ์ปริญญาการศึกษามหาบัณฑติ ). มหาวิทยาลยั ศรีนครนิ ทรวโิ รฒ วชิ าเอก
ประวตั ิศาสตร์.

สอ่ื อิเลก็ ทรอนิกส์

คมกฤช อยุ่ เต็กเค่ง. (21 กุมภาพนั ธ์ 2559). ‘เชฟหมี’ถอดบทเรียน secular state อินเดีย..แล้ว
‘พุทธไทย’อยตู่ รงไหนดี ?.สบื คน้ จาก http://www.prachatai.com/journal

เชตวัน เตือประโคน. (15 กมุ ภาพันธ์ 2559). จาก"เณรคา"ถงึ "มิตซูโอะ" สุรพศ ทวศี ักดิ์ เทศนน์ อก
ธรรมาสน.์ สืบค้นจาก http://www.prachatai.com/journal

พระไพศาล วสิ าโล. (21 กุมภาพันธ์ 2559). จแ้ี ยกศาสนาออกจากรฐั พระไพศาลย้าการถกู ครอบงา
ทาใหอ้ งคก์ รสงฆอ์ ่อนแอ. สืบคน้ จาก http://www.northpublicnews.com

พระมหาเทวประภาส วชิรญาณเมธี (มากคลา้ ย). (3 สงิ หาคม 2556). การปฏริ ปู โครงสร้างคณะสงฆ์
ไทย อย่าใหเ้ ทยี นดบั ท่ปี ลายอุโมงค์. สืบค้นจาก
http://www.prachatai.com/journal/2011/12/38242

พระศรีปรยิ ตั โิ มลี (สมชยั กสุ ลจิตโต) . (15 กมุ ภาพันธ์ 2558). ปรีดี พนมยงค์ กับพระพุทธศาสนา.
สบื ค้นจาก http://www.pridi-phoonsuk.org/pridi-and-Buddhism

ภิญญพนั ธ์ุ พจนะลาวัณย์. (8 ธันวาคม 2556). 70 ปี พ.ร.บ.คณะสงฆ์ 2484 ฉบับประชาธิปไตยฯ
ตอนที่ 2 มรณกรรมใต้ตีนเผด็จการ. สืบคน้ จาก
http://www.prachatai.com/journal/2011/12/38242

168

พระไพศาล วิสาโล. (3 มนี าคม 2558). คาเตือนจากพระไพศาล ถา้ ไม่ปฏริ ูปวงการสงฆร์ ะวงั ถงึ จดุ
เสื่อม. สืบคน้ จาก http://www.visalo.org

วรรณโชค ไชยสะอาด. (27 กุมภาพนั ธ์ 2559). แยกศาสนาจากรฐั -เลกิ ระบอบรวมศูนย์ ปฏิรปู วงการ
สงฆ์แก้วกิ ฤตศรทั ธา. สืบค้นจาก http://www.posttoday.com

ศลิ ป์ชัย เชาว์เจริญรัตน์. (16 กมุ ภาพันธ์ 2559). รณรงค์ให้มกี ารแยกศาสนาออกจากรฐั และทาใหเ้ ป็น
รัฐโลกวิสัย. สืบค้นจาก https://www.change.org/

iLaw. (31 มกราคม 2559). ความล้าหลงั ของพ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ. 2505. สืบค้นจาก
http://ilaw.or.th/node

ขา่ วเดลินิวส์ ออนไลน์. (8 พฤษภาคม 2559 ). ห้ามคณะสงฆห์ นกลางสร้างถาวรวัตถุ
http://www.dailynews.co.th/education/394249

วกิ ซิ อรซ์ . (19 มถิ ุนาย 2559). (https://th.wikisource.org/wiki/พระราชบญั ญัตคิ ณะสงฆ์_พ.ศ._
วกิ ิซอร์ซ. (19 มิถุนาย 2559). (https://th.wikisource.org/wiki/พระราชบญั ญตั คิ ณะสงฆ์_(ฉบับ

ท_่ี ๒)_พ.ศ._๒๕๓๕)
วกิ พิ เี ดยี สารานกุ รมเสรี. (28 มิ.ย. 2559). (https://th.wikipedia.org/wiki/มหาเถรสมาคม)
วกิ ิพีเดีย สารานกุ รมเสรี. (17 ก.ค. 2559). (https://th.wikipedia.org/wiki/)
ขา่ วออนไลน์ Mthainews. (2ก.ค.2559). (http://news.mthai.com/hot-news/general-

news/477397.html)
คม ชดั ลึก. (16 ก.ค. 2559). (http://www.komchadluek.net/news/amulets/223351) (ฉบับ

ของวันท่ี 29 ก.พ. 2559)
ข่าวไทยรัฐออนไลน์. (17 ก.ค. 2559) (http://www.thairath.co.th/content/476331) ฉบบั ของ

วันที่ 22 ม.ค. 2558 )
ขา่ วแนวหน้าออนไลน.์ ( 17 ก.ค. 2559) (http://www.naewna.com/politic/columnist/23697).

ฉบับของวนั ท่ี 17 ก.ค. 2559)

Book and Book Articles

John McKnight. (2015). Low-income communities are not needy – they have
assets.Faith&leadership.RetrieveFromhttps://www.faithandleadership.com/joh

nmcknight-low-income-communities-are-notneedy-they-have-assets.Yoneo Ishii.
(1593). Sangha, State, and Society : Thai Buddhism in History, Uiviversity

169

Kyoto : Japan.

สมั ภาษณ์

อาจารยส์ รุ พศ ทวีศักดิ์. อาจารยม์ หาวทิ ยาลัยราชภฏั สวนดสุ ติ ศูนยก์ ารศึกษาหวั หนิ , (29 กันยายน
2558). สัมภาษณ์

พระเทพวสิ ทุ ธิกวี (เกษม สํฺญโต). เลขาธิการศูนย์พิทกั ษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย,
ผูช้ ว่ ยเจา้ อาวาสวดั ราชาธวิ าสวหิ าร, (22 ธันวาคม 2558). สมั ภาษณ์

ผศ.ดร.วฒุ ินันท์ กันทะเตยี น. ผูอ้ านวยหลกั สตู รโครงการปริญญาโท ศาสนากบั การพฒั นา
มหาวทิ ยาลยั มหดิ ล, (23 ธนั วาคม 2558). สัมภาษณ์

พระไพศาล วสิ าโล. เจา้ อาวาสวัดปุาสคุ ะโต จังหวดั ชัยภูมิ, (6 มกราคม 2559). สมั ภาษณ์
พระมหาหรรษา ธมฺมหาโส, รศ.ดร. ผู้ชว่ ยอธิการบดีฝุายวชิ าการ มหาวิทยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราช

วทิ ยาลัย, ผู้อานวยหลกั สตู รพุทธศาสตรมหาบณั ฑติ สาขาสันติศกึ ษามหาวทิ ยาลัยมหาจุฬา
ลงกรณราชวทิ ยาลัย, (13 มกราคม 2559). สัมภาษณ์
อาจารย์ ณฐั นนั ท์ สดุ ประเสรฐิ . อาจารย์ประจาวิชากฏหมายทั่วไป คณะพุทธศาสตร์ มหาวิทยาลยั
มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, (16 มกราคม 2559). สมั ภาษณ์

ภาคผนวก

171

ภาคผนวก ก

172

ภาคผนวก ข
เอกสารชแี้ จงข้อมลู แก่ผเู้ ข้าร่วมโครงการวิจยั (Information Sheet)

ชอ่ื โครงการ การปกครองคณะสงฆ์ไทยปจ๎ จุบัน : ปญ๎ หาและแนวทางแกไ้ ข

ชอื่ ผู้รบั ผิดชอบโครงการ

ชื่อ พระณรงค์ สังขวิจิตร

ท่อี ยู่ วัดลครทา ถ.อิสรภาพ 41 แขวงบา้ นช่างหล่อ เขตบางกอกน้อย จงั หวัด กทม. 10700

เบอรโ์ ทรศัพท์ 080-457-4108

ไปรษณียอ์ เิ ล็กโทรนกิ ส์ e- mail [email protected]

เรียน ผู้เขา้ ร่วมโครงการวจิ ัยทกุ ท่าน

ท่านได้รับเชิญให้เข้าร่วมในโครงการวิจัยน้ีเนื่องจากท่านคือนักวิชาการด้านปรัชญา-ศาสนา
ก่อนท่ีท่านจะตัดสินใจเข้าร่วมในการศึกษาวิจัยดังกล่าว ขอให้ท่านอ่านเอกสารฉบับนี้อย่างถ่ีถ้วน
เพ่ือให้ทา่ นได้ทราบถงึ เหตผุ ลและรายละเอียดของการศึกษาวจิ ัยในครัง้ น้ี

ท่านสามารถขอคาแนะนาในการเข้าร่วมโครงการวิจัยน้ีจากบุคคลอื่นๆท่ีท่านรู้จักได้ ท่านมี
เวลาอยา่ งเพยี งพอในการตัดสินใจโดยอสิ ระ ถ้าท่านตดั สินใจแล้ววา่ จะเข้าร่วมในโครงการวิจัยนี้ ขอให้
ท่านลงนามในเอกสารแสดงความยินยอมของโครงการวิจัยนี้ ท้ังนี้งานการวิจัยในครั้งน้ีผู้วิจัยจักขอใช้
ระยะเวลาการสมั ภาษณ์ท่านเป็นเวลาประมาณ 40 นาที โดยประมาณ พร้อมทาการสัมภาษณ์เพียง 1
คร้ัง ณ ที่บ้านส่วนตัวของนักวิชาการด้านปรัชญา-ศาสนาหรือทาการสัมภาษณ์ ณ มหาวิทยาลัยท่ี
นกั วิชาการด้านปรชั ญา-ศาสนาทาการบรรยายอยเู่ ปน็ ประจา
เหตุทต่ี ้องทาวิจัยและเหตุผลที่ตอ้ งการศกึ ษาในคน

เพราะสภาพป๎ญหาการปกครองคณะสงฆ์ในด้านต่างๆในระยะเวลาท่ีผ่านมา คือ ต้ังแต่ ปี
พ.ศ. 2548-จนถึงปีพ.ศ. 2558 ในปจ๎ จบุ ัน ได้ส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจของผู้นับถือพระพุทธศาสนา
โดยมีความรู้สึกเหนื่อยหน่ายและหมดหวังความศรัทธาต่อคณะสงฆ์ไทยในป๎จจุบัน จนอาจทาให้รู้สึก

173

ว่าท่ีพึงทางจิตใจของประชาชนที่ในอดีตมีพระสงฆ์เป็นที่พึ่งทางใจกาลังทยอยหมดความรู้สึก
ความสาคัญเช่นน้ีไปเรื่อยๆ ยิ่งภายในคณะสงฆ์เองก็น่าเป็นห่วงว่าจะมีความสามารถอย่างไรต่อการ
ปรับตัวขนาดใหญ่ต่อการเปล่ียนแปลงของสังคมไทยในป๎จจุบัน ทางออกของป๎ญหาดังกล่าวจึงหันมา
มองกลไกในทางปกครองสงฆ์ ท่ีคิดว่าจะเป็นกลไกสาคัญท่ีจะช่วยธารงไว้ซึ่งความม่ันคงและความ
เจริญงอกงามของพระพุทธศาสนาในประเทศไทยได้ จึงเริ่มต้นด้วยการมองป๎ญหาการปกครองคณะ
สงฆไ์ ทยท่จี ากเดิม (พ.ศ. 2548จนถึงปจ๎ จุบัน (พ.ศ.2558) ที่คณะสงฆ์ต้องประสบกับป๎ญหาหนักหน่วง
เช่น สภาพป๎ญหาโครงสร้างการปกครองท่ีรวมศูนย์อานาจการตัดสินใจสูงสุดไว้ท่ีมหาเถรสมาคมซึ่งมี
พระสงฆ์เพียง 20 รูป มีอานาจในการตัดสินใจแทนพระภิกษุสามเณรทั่วประเทศราว 300,000 รูป
ด้วยลักษณะโครงสร้างนี้ยังส่งผลให้เกิดสภาพป๎ญหาการขาดประสิทธิภาพในการปกครองคณะสงฆ์
ตามมาเพราะไม่มีหน่วยงานในระดับนโยบาย หรือหน่วยงานในระดับปฏิบัติการที่คอยขับเคลื่อนงาน
ของคณะสงฆ์ให้มีประสิทธิภาพมากข้ึนตามอานาจการตัดสินใจของมหาเถรสมาคม และย่ิงทวีความ
หนักหน่วงขึ้นเม่ือสภาพป๎ญหาการได้มาซึ่งสมณศักด์ิและจุดประสงค์ของสมณศักด์ิถูกเปล่ียน
ความหมายใหก้ ลายเปน็ เรื่องของระบบราชการผลประโยชน์ตา่ งตอบแทนมากกว่าท่ีสมณศักดิ์จะถูกให้
ความสาคัญตามแบบแผนของการปกครองคณะสงฆไ์ ทยแตเ่ ดิมว่าสมศักด์ิน้ันเป็นเรื่องของพระสงฆ์ที่ดี
มีคุณภาพควรได้รับสมณศักด์ิเปรียบเสมือนดั่งขวัญและกาลังใจในการสนองงานพระพุทธศาสนาหรือ
มากกวา่ ท่สี มณศักดจ์ิ ะกลายเปน็ เรื่องของประโยชน์ตอ่ การบงั คบั บัญชา

วัตถปุ ระสงคข์ องโครงการ

ศึกษาป๎ญหาการปกครองคณะสงฆ์ไทยในป๎จจุบัน และวิเคราะห์สาเหตุของป๎ญหาและ
อุปสรรคในการแก้ไขป๎ญหาการปกครองคณะสงฆ์ไทยในป๎จจุบันตลอดถึงเสนอแนวทางในการแก้ไข
ปญ๎ หาการปกครองคณะสงฆ์ไทยในป๎จจุบัน

ประโยชนท์ อ่ี าจไดร้ บั

ท่านจะไม่ไดร้ ับประโยชน์โดยตรงจากการเข้ารว่ มในการวิจัยครั้งน้ี แต่ผลการศึกษาท่ีได้จะทา
ให้ทราบถึงป๎ญหาการปกครองคณะสงฆ์ไทยในป๎จจุบันและทราบสาเหตุและอุปสรรคในการแก้ไข
ป๎ญหาการปกครองคณะสงฆ์ไทยในป๎จจุบันตลอดถึงได้ทราบแนวทางในการแก้ไขป๎ญหาการป กครอง
คณะสงฆไ์ ทยในป๎จจุบนั

174

ข้อปฏิบตั ิของทา่ นขณะท่ีรว่ มในโครงการวิจยั

เพ่ือให้งานวิจัยนปี้ ระสบความสาเรจ็ ผู้ทาวิจยั ใคร่ขอความรว่ มมือจากท่าน โดยจะขอให้ท่าน
ให้ข้อมูลในส่วนการสัมภาษณ์ท่ีเป็นไปอย่างละเอียดและตรงต่อประสบการณ์การมองป๎ญหาการ
ปกครองคณะสงฆ์ไทยในปจ๎ จุบนั ของท่านมากท่ีสดุ ตามความเหมาะสมของท่าน

ความเสีย่ งหรอื ความไม่สะดวกสบายของอาสาสมคั รท่ีอาจได้รับ

ผู้ทาการวิจัยขอชี้แจงถงึ ความเส่ยี งและความไม่สะดวกสบายทีอ่ าจเกิดขน้ึ ต่อท่าน ดังนี้ ท่าน
อาจเสียเวลาในการปฏิบัติหน้าทหี่ รือภารกจิ ของท่าน ณ วันและเวลาที่ผู้ทาวิจัยได้เข้าขอเก็บข้อมูลทา
การสัมภาษณ์จากท่าน

ความเสย่ี งหรอื ความไม่สะดวกสบายท่ีไม่ทราบแน่นอน

ท่านอาจเกิดอาการข้างเคียงหรือความไม่สะดวกสบายนอกเหนือจากท่ีได้แสดงในเอกสาร
ฉบับน้ี เพื่อความปลอดภัยของท่าน ควรแจง้ ผทู้ าวิจยั ให้ทราบทนั ที

หากทา่ นมขี ้อสงสัยใดๆ เกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความไม่สะดวกสบายที่อาจได้รับจากการเข้า
รว่ มในโครงการวจิ ยั ทา่ นสามารถสอบถามจากผู้ทาวจิ ัยไดต้ ลอดเวลา

หากมีการค้นพบข้อมูลใหม่ๆ ที่อาจมีผลต่อความปลอดภัยหรือความไม่สะดวกอ่ืนๆของท่าน
ในระหวา่ งท่ีท่านเข้ารว่ มในโครงการวิจยั ผทู้ าวิจัยจะแจ้งให้ท่านทราบทันที เพ่ือให้ท่านตัดสินใจว่าจะ
อยใู่ นโครงการวิจัยต่อไปหรอื จะขอถอนตวั ออกจากการวจิ ัย

การป้องกัน

จากความเส่ียงท่ีกล่าวมาข้างต้น ผู้วิจัยมีมาตรการในการปูองกันคือ การติดต่อเพื่อสอบถาม
และขอนัดสัมภาษณ์ในช่วงระยะเวลาท่ีท่านเกิดความสะดวกและสบายท้ังต่อทางร่างกา ยและทาง
จติ ใจให้มากท่สี ุด

ความรบั ผดิ ชอบของผ้ทู าวิจยั

หากมีความเสี่ยงหรือความไม่สะดวกสบายใดๆเกิดข้ึนจากการวิจัยเม่ือใดก็ตาม ขอให้ท่าน
แจ้งผู้วิจัยทราบทันที เพ่ือยุติการสัมภาษณ์หรือเว้นระยะเวลาการสัมภาษณ์ออกไปโดยให้ขึ้นอยู่กับ
ความเหมาะสมของท่าน

175

ท้ังนขี้ อยนื ยันวา่ โครงการวจิ ัยนไ้ี มม่ ผี ลกระทบต่อการนามาซง่ึ ความเสอื่ มเสยี ศรทั ธาต่อชุมชน
ของพระสงฆแ์ ต่อย่างใดเพราะมีเจตนาทชี่ ัดเจนทจ่ี ะหาทางออกอยา่ งสนั ตใิ ห้กบั ชุมชนของพระสงฆท์ ี่
ประสบปญ๎ หาในทางการปกครองคณะสงฆ์โดยจะเป็นการขอความเห็นจากผู้ทรงคุณวฒุ ทิ ่ีมี
ประสบการณ์และเข้าใจปญ๎ หาคณะสงฆ์เป็นอยา่ งดแี ละเนน้ การเขยี นงานทม่ี ขี ้อมลู ทีท่ ราบถงึ สาเหตุ
ของป๎ญหาไม่เน้นการวิพากษ์วจิ ารณ์แต่อยา่ งใดและผู้วิจยั เองอยู่ในฐานะความเป็นพระสงฆท์ ราบดวี า่
ต้องเขียนงานอย่างระมดั ระวังมสี ตมิ ใี จเป็นกลางมเี มตตาตอ่ ทกุ สภาพป๎ญหาจึงไม่มีความจาเป็นท่ี
จะต้องขอคายนิ ยอมจากมหาเถรสมาคมแตอ่ ย่างใดเพราะไม่ว่าอยา่ งไรเจตนาทตี่ ้งั ไวซ้ ึง่ กุศลเช่นน้ีมหา
เถรสมาคมท่านคงตอ้ งอนโุ มทนาในกุศลเจตนาในการเขยี นงานท่ีนาพาคณะสงฆ์ไปส่คู วามถกู ต้องตาม
พระธรรมวนิ ัยตามท่พี ระสัมมาสัมพทุ ธเจ้าทรงตรัสสอนไว้อยา่ งแนน่ อน

การเข้าร่วมและการส้นิ สุดการเข้าร่วมโครงการวจิ ัย
การเข้าร่วมในโครงการวิจยั ครั้งน้ีเป็นไปโดยความสมคั รใจ หากทา่ นไมส่ มัครใจจะเข้าร่วมการ

วิจัยแล้วท่านสามารถถอนตวั ไดต้ ลอดเวลา ซง่ึ จะไมม่ ผี ลต่อการดาเนินชีวิตของท่านแต่อย่างใด
หากทา่ นมีความประสงค์ต้องการออกจากการเข้าร่วมการวิจัย อาจเนื่องด้วยจากสาเหตุด้าน

ความไม่สะดวกสบายของท่าน เช่นในกรณีท่ีท่านมีความเห็นว่าการวิจัยน้ี ทาให้ท่านได้รับความ
เสียหายตอ่ ภาพลักษณ์ของทา่ น

หลังจากถอนตัวออกจากโครงการวิจัยข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับตัวท่านจะไม่ได้รับการเปิดเผยต่อ
แหล่งใดทั้งส้ิน และไม่มีการสัมภาษณ์ต่อ พร้อมท้ังผู้วิจัยจะทาการทาลายข้อมูลทุกชนิดของท่านตาม
วิธมี าตรฐานทันที เพื่อเปน็ การปกปอู งตัวทา่ นใหม้ ากทส่ี ุด

การปกปอ้ งรักษาข้อมูลของผเู้ ข้ารว่ มโครงการวจิ ัย

ข้อมูลที่อาจนาไปสู่การเปิดเผยตัวท่านจะถูกเก็บเป็นความลับระหว่างท่ีทาการวิจัย และจะ
เปิดเผยแก่สาธารณชนในรูปแบบการตีพิมพ์ผลงานทางวิชาการเท่านั้น โดยไม่มีการบิดเบือนหรือนา
ข้อมลู เหล่านั้นไปใช้ในทางทไี่ มด่ ี อนั กอ่ ให้เกดิ ความเสื่อมเสยี ต่อตวั ท่านและองค์กรของท่าน
อย่างไรกด็ ีจะมีบคุ คลบางกลมุ่ เชน่ ผู้กากบั ดูแลการวิจัย ผู้ตรวจสอบ คณะกรรมการจริยธรรมการวิจัย
ในคนจะได้รับอนุญาตให้เข้าถึงข้อมูลโดยตรงจากเวชระเบียนหรือเอกสารอ่ืนๆท่ีเก่ียวข้องเพื่อการ
ตรวจสอบขั้นตอนการวจิ ัยและ/หรือข้อมลู ในการวจิ ยั โดยไม่ละเมดิ การรักษาความลับของท่าน ภายใต้
ขอบเขตท่กี ฎหมายบัญญัติและกฎระเบียบ ตามท่ีท่านหรือตัวแทน (ท่ีได้รับการยอมรับตามกฎหมาย)
ได้ลงนามในใบยินยอมที่เป็นลายลักษณ์อักษร หากท่านต้องการยกเลิกการให้สิทธ์ิดังกล่าว ท่าน

176

สามารถแจ้ง หรือเขียนบันทึกขอยกเลิกการให้คายินยอม โดยส่งไปท่ี พระณรงค์ สังขวิจิตร วัดลคร
ทา ถ.อสิ รภาพ 41 แขวงบา้ นช่างหล่อ เขตบางกอกนอ้ ย จงั หวดั กทม. 10700

หากทา่ นขอยกเลกิ การให้คายินยอมหลังจากท่ีท่านได้เข้าร่วมโครงการวิจัยแล้ว ผู้วิจัยจะไม่มี
การสัมภาษณ์ต่อข้อมูลของท่านจะไม่ถูกบันทึกเพิ่มเติม ไม่นามาใช้เพ่ือประเมินผลการวิจัยอีกต่อไป
และจะทาลายหรอื ลบทงิ้ ข้อมลู เหลา่ นนั้ ทงั้ หมดตามวิธมี าตรฐานทันที

การจัดการกับวสั ดบุ ันทึกเสียงของผู้เข้าร่วมโครงการวิจัย

การวิจัยครั้งน้ีผู้วิจัยได้ทาการเก็บข้อมูลของท่านโดยการบันทึกเสียงด้วยวัสดุบันทึกเสียง
เฉพาะเวลาการสัมภาษณ์เพียงเท่านั้น และจะจัดการกับข้อมูลเสียงท่ีบันทึกลงในวัสดุบันทึกเสียงด้วย
การทาลาย/ลบท้ิงตามวิธีมาตรฐานทันทีที่เสร็จส้ินการวิจัยโดยแล้วเสร็จสมบูรณ์เป็นรูปเล่ม
วิทยานพิ นธ์หรอื การตพี ิมพ์เปน็ ผลงานทางวชิ าการภายหลังจากนนั้ 1 อาทติ ย์

สทิ ธขิ์ องผู้เขา้ ร่วมในโครงการวิจัย

ในฐานะที่ทา่ นเป็นผเู้ ข้าร่วมในโครงการวจิ ยั ทา่ นจะมสี ทิ ธ์ิดังต่อไปนี้
1. ทา่ นจะได้รับทราบถึงลกั ษณะและวตั ถุประสงค์ของการวิจยั ในครั้งน้ี
2. ท่านจะได้รบั การอธิบายถงึ ความเสยี่ งและความไม่สบายใจทีจ่ ะได้รบั จากการวจิ ยั
3. ท่านจะไดร้ บั การอธิบายถึงประโยชนท์ ่ที า่ นอาจจะไดร้ บั จากการวิจัย
4. ท่านจะมีโอกาสได้ซกั ถามเกีย่ วกบั งานวจิ ัยหรอื ข้ันตอนท่เี กย่ี วข้องกับงานวิจัย
5. ท่านจะได้รับทราบว่าการยินยอมเข้าร่วมในโครงการวิจัยน้ี ท่านสามารถขอถอนตัวจาก

โครงการเม่ือไรกไ็ ด้ โดยผู้เขา้ รว่ มในโครงการวิจัยสามารถขอถอนตัวจากโครงการโดยไม่ได้รับ
ผลกระทบใดๆ ท้ังสิน้
6. ท่านจะได้รับสาเนาเอกสารข้อมูลคาอธิบายสาหรับผู้เข้าร่วมในโครงการวิจัยและเอกสารใบ
ยนิ ยอมทม่ี ที งั้ ลายเซน็ และวนั ท่ี

7. ท่านมีสิทธิ์ในการตัดสินใจว่าจะเข้าร่วมในโครงการวิจัยหรือไม่ก็ได้อย่างเป็นอิสระ โดย
ปราศจากการใช้อทิ ธพิ ลบังคับขม่ ขู่ หรือการหลอกลวง
โครงการวิจัยนไ้ี ด้รับความเห็นชอบจากคณะอนกุ รรมการจรยิ ธรรมการวิจยั ในคน

มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ชุดท่ี 2 หากท่านไม่ได้รับการปฏิบัติตามท่ีปรากฏในเอกสารข้อมูล
คาอธิบายสาหรับผู้เข้าร่วมในการวิจัย ท่านสามารถร้องเรียนได้ที่ สานักงานคณะอนุกรรมการ

177

จริยธรรมการวิจัยในคน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ชุดท่ี 2 งานวางแผนและบริหารงานวิจัย กอง
บริหารการวิจัย อาคารสานักงานอธิการบดี ชั้น 3 โทรศัพท์ 0-2564-4440-79 ต่อ 1804 โทรสาร
0-2564-3151

178

ภาคผนวก ค
หนงั สอื แสดงเจตนายนิ ยอมเข้าร่วมการวจิ ัย ( Consent Form )

โครงการวิจยั เรื่อง การปกครองคณะสงฆ์ไทยปจ๎ จุบัน : ป๎ญหาและแนวทางแก้ไข
วันทใ่ี หค้ ายินยอม วนั ที่ ………………เดือน ……………………
พ.ศ…………………………………………………………………
ขา้ พเจ้า (นาย/นาง/นางสาว)...................................................................................ขอทาหนังสือนี้ไว้
ต่อหน้าหัวหนา้ โครงการเพอ่ื เปน็ หลกั ฐานแสดงวา่

ข้อ 1. ก่อนลงนามในหนังสือแสดงเจตนายินยอมเข้าร่วมการวิจัยน้ี ข้าพเจ้าได้รับการ
อธิบายจากผ้วู จิ ัยให้ทราบถึงวัตถุประสงค์ของการวิจัย กิจกรรมการวิจัย ความเส่ียง รวมทั้งประโยชน์
ทอี่ าจเกดิ ขึ้นจากการวจิ ัยอยา่ งละเอยี ด และมคี วามเข้าใจดีแลว้

ข้อ 2 ผวู้ ิจัยรบั รองว่าจะตอบคาถามตา่ ง ๆ ทขี่ ้าพเจา้ สงสัยดว้ ยความเตม็ ใจ ไม่ปิดบัง
ซ่อนเร้น จนข้าพเจา้ พอใจ

ขอ้ 3 ขา้ พเจ้าเขา้ ร่วมโครงการวิจัยนี้โดยสมคั รใจ และขา้ พเจา้ มสี ิทธิท่ีจะบอกเลิกการเข้า
ร่วมในโครงการวิจัยน้ีเมื่อใดก็ได้ และการบอกเลิกการเข้าร่วมวิจัยนี้จะไม่มีผลกระทบต่อการทางาน
ชีวติ ประจาวัน ชอ่ื เสียง ยศตาแหน่ง หรอื อ่ืนใดท้งั ส้ิน ท้งั ต่ออดีต ป๎จจบุ ันและอนาคตของข้าพเจ้า

ข้อ 4 ผู้วิจัยรับรองว่า จะเก็บข้อมูลเฉพาะเก่ียวกับตัวข้าพเจ้าและจะเปิดเผยข้อมูล
เกยี่ วกบั ตัวขา้ พเจา้ ในงานทางวชิ าการเทา่ น้นั

ข้าพเจ้าได้อ่านข้อความข้างต้นแล้วมีความเข้าใจดีทุกประการ และได้ลงนามในใบ
ยนิ ยอมนี้ดว้ ยความเตม็ ใจ

ลงนาม………………………………………….ผูใ้ ห้ความยนิ ยอม
(.....................................................)
…………./……………../…………..

ลงนาม………………………………………….หวั หน้าโครงการวจิ ัย
(.....................................................)
…………./……………../…………..

179

ลงนาม………………………………………….พยาน ลงนาม………………………………………….พยาน
(.....................................................) (.....................................................)
…………./……………../………….. …………./……………../…………..

180

ภาคผนวก ง
คาถามทใี่ ชใ้ นการสมั ภาษณ์

1. สภาพปญั หาและผลกระทบของปญั หา
(1) ท่านคิดว่าป๎ญหาการปกครองคณะสงฆ์ไทยตั้งแต่สมัยสุโขทัยจนถึงป๎จจุบันมีความแตกต่างกัน
อย่างไร
(2) ท่านคิดว่า พระราชบัญญัติการปกครองคณะสงฆ์ไทย พ.ศ. 2505 แก้ไขเพิ่มเติม ฉบับท่ี 2 พ.ศ.
2535 กับโครงสร้างการปกครองคณะสงฆ์ไทยป๎จจุบันมีความเก่ียวข้องกับความเจริญหรือความเสื่อม
ของพระพุทธศาสนาอยา่ งไร
(3) ท่านคดิ ว่าป๎ญหาการปกครองคณะสงฆ์ไทยป๎จจุบันสิ่งใดท่ีต้องรีบแก้ไขอย่างเร่งด่วน เพราะเหตุใด
และหากไม่ได้รบั แก้ไขจะส่งผลกระทบต่อคณะสงฆ์ไทยและพระพทุ ธศาสนาอยา่ งไรบ้าง
(4) ท่านคิดว่าอะไรคือข้อดีของการปกครองคณะสงฆ์ไทยในป๎จจุบันท่ีควรรักษาไว้และส่งเสริมให้เกิด
การปฏบิ ัตเิ พ่มิ มากขึ้น
(5) ท่านคิดว่าอะไรคือป๎ญหาการขาดประสิทธิภาพในการปกครองคณะสงฆ์และได้ส่งผลกระทบต่อ
การปกครองคณะสงฆแ์ ละพระพุทธศาสนาอย่างไร
(6) ท่านคิดว่าอะไรคือป๎ญหาของหลักเกณฑ์การแต่งต้ังและความเหมาะสมของพระสงฆ์ที่จะได้รับ
สมณศักด์ิ
(7) ท่านคิดว่า อานาจรัฐมีความสาคัญต่อการส่งเสริมการปกครองคณะสงฆ์หรือไม่ อย่างไร หากมี
ความสาคญั อานาจรฐั ควรมีขอบเขตอย่างไร
(8) ท่านคิดวา่ การแยกรฐั ออกจากศาสนา (Secular state) จะส่งผลดีหรือผลเสียต่อการปกครองคณะ
สงฆแ์ ละพระพุทธศาสนาในภาพรวมอยา่ งไรบ้าง
2. แนวทางแก้ไขปัญหาการปกครองคณะสงฆไ์ ทยสาหรับในปจั จุบนั และอนาคต
(1) โครงสร้างการปกครองคณะสงฆส์ าหรบั ในปจ๎ จบุ ันและอนาคตทีเ่ หมาะสมกบั สภาพสังคมหรือทุน
นยิ มบริโภคท่ีเป็นอยูใ่ นประเทศไทย ควรเป็นอยา่ งไร
(2) ทา่ นคดิ วา่ สมณศกั ดิ์มีสว่ นสาคัญอย่างไรต่อการปกครองคณะสงฆส์ าหรับในปจ๎ จบุ นั และอนาคต
หากไม่มีสมณศกั ด์ิ ท่านคิดวา่ การปกครองคณะสงฆต์ ามพระธรรมวนิ ัยเพยี งพอต่อการดารงอยู่ของ
คณะสงฆ์หรอื ไม่อย่างไร
(3) ขอใหท้ า่ นนาเสนอแนวคิด (concept) นโยบาย (policy) รวมทั้งรูปแบบ (model) ในการปฏิรปู
การปกครองคณะสงฆ์ไทยและเพราะเหตุใดทา่ นจงึ เลือกท่จี ะนาเสนอการปฏิรูปการปกครองในเรื่อง
ดังกล่าวก่อนเรื่องอ่ืนและทา่ นคดิ ว่ามีความสาคญั อย่างไรทจ่ี าเป็นต้องเลือกเรื่องดังกลา่ ว

181

(4) แนวทางการแก้ไขป๎ญหาการปกครองคณะสงฆไ์ ทยปจ๎ จบุ ันควรเป็นอย่างไร
ข้อเสนอแนะ
............................................................................................................................. .....................

182

ประวตั ผิ ูเ้ ขยี น

ชื่อ พระณรงค วุฑฒฺ เิ มธี (สงั ขวิจิตร)
วันเดอื นปีเกิด
ทุนการศึกษา วันที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2532
วุฒิการศกึ ษา
ปี พ.ศ. 2555: ทนุ ปลูกรากแกว้ ศาสนทายาท วัด
ผลงานทางวิชาการ พระราม 9 กาญจนาภเิ ษก
ปี พ.ศ. 2556 : ทนุ สาหรับนักศกึ ษาขาดแคลนทนุ
ประสบการณ์ทางาน ทรัพย์ มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์

ปีการศึกษา 2556: พุทธศาสตรบัณฑิต สาขาวิชา การ
บริหารรัฐกิจ ปการศึกษา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลง
กรณราชวทิ ยาลยั
ปีการศึกษา 2558: รัฐศาสตร์บัณฑิต สาขาวิชา การ
บริหารรฐั กิจ มหาวทิ ยาลัยรามคาแหง
ปีการศึกษา 2557: พุทธศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชา
รฐั ประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราช
วทิ ยาลยั
ปี พ.ศ. 2559 ตีพิมพ์ บทความวิชาการ ใน วารสาร
ศาสนาและวัฒนธรรม ปีที่ 9 ฉบับท่ี 2 ณ วิทยาลัยศา
สนศกึ ษา มหาวิทยาลยั มหิดล
ปี พ.ศ. 2560 พิมพ์ บทความวิชาการ ใน วารสาร
มนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏ
พระนครศรอี ยุธยา
ปีการศึกษา 2554: ออกราย สถานีประชาชน คุณอรอุ
มา เกษตรพชื ผล ทางชอง ไทยพบี ี เอส (Thai PBS)
ปีการศึกษา 2558: ออกรายการ Voice TV เร่ือง การ
ปฏริ ูปคณะสงฆไ์ ทย อารยะหรอื หายนะ
ปีการศึกษา 2559: ออกรายการช่อง 13 สยามไทย
เรอื่ ง แสงจันทร์ สอ่ งใจ


Click to View FlipBook Version