ก รายงานการวิจัยในชั้นเรียน การพัฒนาการอ่านคิดวิเคราะห์วรรณคดีไทย โดยใช้การจัดการรู้แบบ สืบเสาะหาความรู้5 ขั้น (๕E) ร่วมกับเทคนิค 5W1H ในรายวิชาภาษาไทย บูรณาการกับจรรยาบรรณวิชาชีพครู สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนอนุบาลสงขลา นายเกษมศักดิ์ สิทธิฤกษ์ วิชาเอกภาษาไทย รหัสนิสิต 631031273 รายงานการวิจัยนี้เป็นส่วนหนึ่งของการฝึกปฏิบัติการสอนในสถานศึกษา หลักสูตรการศึกษาบัณฑิต (หลักสูตร ๔ ปี) คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ ปีการศึกษา 256๖
2 การพัฒนาการอ่านคิดวิเคราะห์วรรณคดีไทย โดยใช้การจัดการรู้แบบสืบ เสาะหาความรู้5 ขั้น (๕E) ร่วมกับเทคนิค 5W1H ในรายวิชาภาษาไทยบูรณา การกับจรรยาบรรณวิชาชีพครู สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนอนุบาลสงขลา นายเกษมศักดิ์ สิทธิฤกษ์ วิชาเอกภาษาไทย รหัสนิสิต 631031273 รายงานการวิจัยนี้เป็นส่วนหนึ่งของการฝึกปฏิบัติการสอนในสถานศึกษา หลักสูตรการศึกษาบัณฑิต (หลักสูตร ๔ ปี) คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ ปีการศึกษา 256๖
ก บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาไทยก่อน เรียนและหลังเรียนโดยใช้การจัดการรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น ร่วมกับเทคนิค 5W1H ใน รายวิชาภาษาไทยบูรณาการกับจรรยาบรรณวิชาชีพครู๒) เพื่อเปรียบเทียบทักษะการอ่านคิด วิเคราะห์วรรณคดีไทยก่อนเรียนและหลังเรียนโดยใช้การจัดการรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น ร่วมกับเทคนิค 5W1H ในรายวิชาภาษาไทยบูรณาการกับจรรยาบรรณวิชาชีพครู๓) เพื่อศึกษาความ พึงพอใจที่มีต่อการจัดการรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น ร่วมกับเทคนิค 5W1H ในรายวิชาภาษาไทย บูรณาการกับจรรยาบรรณวิชาชีพครูกลุ่มตัวอย่างในการวิจัยในครั้งนี้เป็นนักเรียนชั้นประถม ประถมศึกษาปีที่ ๖ โรงเรียนอนุบาลสงขลา อำเภอเมืองสงขลา จังหวัดสงขลา ที่กำลังศึกษาอยู่ในภาค เรียนที่ 2 ปีการศึกษา 256๖ ห้องเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6/๑ จำนวน 33 คน ได้มาด้วยการสุ่ม อย่างง่าย (SimpleRandom Sampling) ด้วยวิธีการจับสลากโดยใช้ห้องเรียนเป็นหน่วยสุ่ม เครื่องมือ ที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย แผนการเรียนรู้ จำนวน ๔ แผน ๘ ชั่วโมง ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่องรามเกียรติ์ ตอน ศึกไมยราพ แผนการจัดการเรียนรู้เรื่องขุนช้างขุนแผน ตอน กำเนิดพลายงาม แผนการจัดการเรียนรู้เรื่องนิทานทองอิน ตอน นากพระโขนงที่สอง และแผนการจัดการเรียนรู้เรื่อง สุภาษิตสอนหญิง แบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาไทย และแบบทักษะการคิดวิเคราะห์ การ วิเคราะห์ข้อมูลใช้ค่าเฉลี่ย (̅) ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และการทดสอบค่าทีแบบไม่อิสระ (t – test for dependent) ผลวิจัยพบว่า ๑) นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖/๑ ที่ได้รับการพัฒนาการอ่านคิดวิเคราะห์ วรรณคดีไทย โดยใช้การจัดการรู้แบบสืบเสาะหาความรู้5 ขั้น (๕E) ร่วมกับเทคนิค 5W1H ใน รายวิชาภาษาไทยบูรณาการกับจรรยาบรรณวิชาชีพครูมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาไทยหลังเรียน สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .๐๕ ๒) นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖/๑ ที่ได้รับ การพัฒนาการอ่านคิดวิเคราะห์วรรณคดีไทย โดยใช้การจัดการรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น (๕E) ร่วมกับเทคนิค 5W1H ในรายวิชาภาษาไทยบูรณาการกับจรรยาบรรณวิชาชีพครู มีผลสัมฤทธิ์ ทางด้านทักษะการอ่านคิดวิเคราะห์วรรณคดีไทยหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ ระดับ .๐๕ ๓) นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖/๑ มีความพึงพอใจอยู่ในระดับดีมากต่อการจัดการรู้ แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น ร่วมกับเทคนิค 5W1H ในรายวิชาภาษาไทยบูรณาการกับจรรยาบรรณ วิชาชีพครู คำสำคัญ : การจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้, เทคนิค ๕W1H, การอ่านคิดวิเคราะห์, วรรณคดีไทย
ข คำนำ การจัดทำรายงานการวิจัยนี้เป็นการวิจัยในชั้นเรียน พื่อแสดงถึงการส่งเสริมให้นักเรียนมีองค์ ความรู้อย่างเต็มศักยภาพในการจัดการเรียนการสอนวิชาภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ เรื่องการ พัฒนาการอ่านคิดวิเคราะห์วรรณคดีไทย โดยใช้การจัดการรู้แบบสืบเสาะหาความรู้5 ขั้น (๕E) ร่วมกับเทคนิค 5W1H ในรายวิชาภาษาไทยบูรณาการกับจรรยาบรรณวิชาชีพครู สำหรับนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนอนุบาลสงขลา จากการศึกษาเอกสารต่าง ๆ พบว่าการจัดการรู้แบบสืบ เสาะหาความรู้5 ขั้น (๕E) ร่วมกับเทคนิค 5W1H ในรายวิชาภาษาไทยบูรณาการกับจรรยาบรรณ วิชาชีพครู จะส่งเสริมการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนวิชาภาษาไทย เรื่องวรรณคดีต่าง ๆ ทำให้ นักเรียนสามารถบรรลุมาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัดที่กำหนดในหลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียน อนุบาลสงขลาตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 และทำให้นักเรียน สามารถสร้างองค์ความรู้ได้ด้วยตนเอง มีความสามารถด้านการสื่อสาร มีการเรียนรู้ร่วมกันทำให้เกิด คุณธรรมและจริยธรรม ซึ่งเป็นสมรรถนะและคุณลักษณะอันพึงประสงค์ตามหลักสูตร การวิจัยดังกล่าวผู้จัดทำมีความคาดหวังว่าจะเป็นแนวทางสำหรับการนำไปใช้กับเรื่องอื่น ๆ ต่อไป ทั้งนี้ขอขอบคุณคณะผู้บริหารของโรงเรียน คณะครูกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย และนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ ภาคเรียนที่ ๒ ปีการศึกษา ๒๕๖๖ การจัดทำรายงานวิจัยฉบับนี้สำเร็จตามวัตถุประสงค์ไปด้วยดี ผู้ศึกษาต้องขอขอบพระคุณ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วิภาพรรณ พินลา ที่ให้คำแนะนำในการเขียนรายงานการวิจัยจนทำให้รายงาน การวิจัยฉบับนี้สมบูรณ์ ข้าพเจ้าหวังว่าเนื้อหาในรายงานเล่มนี้ที่ได้เรียบเรียงมา จะเป็นประโยชน์ต่อ ผู้สนใจเป็นอย่างดี เกษมศักดิ์ สิทธิฤกษ์
ค สารบัญ เรื่อง หน้า บทคัดย่อ ก คำนำ ข สารบัญ ค สารบัญตาราง ง สารบัญภาพ จ บทที่ 1 บทนำ ๑ ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา ๑ วัตถุประสงค์ของการวิจัย ๓ สมมติฐานการวิจัย ๓ ขอบเขตของการวิจัย ๓ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ๔ ประโยชน์ที่ได้รับจากการวิจัย ๔ นิยามศัพท์เฉพาะ ๕ กรอบแนวคิดการวิจัย ๖ บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ๗ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ๗ แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับอ่านคิดวิเคราะห์ระดับประถมศึกษา ๑๑ แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับการจัดการรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น (๕E) ๑๗ แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับเทคนิคการจัดการเรียนรู้แบบ 5W1H ๑๙ แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับจรรยาบรรณวิชาชีพครู ๒๑ บทที่ 3 วิธีการดำเนินวิจัย ๒๔ ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ๒๔ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ๒๔ การสร้างและการหาคุณภาพของเครื่องมือในการวิจัย ๒๕ การเก็บรวบรวมข้อมูล ๒๕ การวิเคราะห์ข้อมูล ๒๗ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ๒๗ บทที่ ๔ ผลการวิเคราะห์ข้อมูล ๓๐ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาไทยก่อนเรียนและหลังเรียนโดยใช้การจัดการรู้แบบสืบ เสาะหาความรู้ 5 ขั้น ร่วมกับเทคนิค 5W1H ในรายวิชาภาษาไทยบูรณาการกับ จรรยาบรรณวิชาชีพครู 30
ค สารบัญ(ต่อ) เรื่อง หน้า ผลการเปรียบเทียบทักษะการอ่านคิดวิเคราะห์วรรณคดีไทยก่อนเรียนและหลังเรียนโดย ใช้การจัดการรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น ร่วมกับเทคนิค 5W1H ในรายวิชา ภาษาไทยบูรณาการกับจรรยาบรรณวิชาชีพครู 31 ผลการวิเคราะห์ความพึงพอใจที่มีต่อการจัดการรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น ร่วมกับ เทคนิค 5W1H ในรายวิชาภาษาไทยบูรณาการกับจรรยาบรรณวิชาชีพ 31 การบูรณาการจรรยาบรรณวิชาชีพครูเข้ากับการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ ร่วมกับร่วมกับเทคนิค 5W1H ในรายวิชาภาษาไทยบูรณาการกับจรรยาบรรณ วิชาชีพครู 33 บทที่ ๕ สรุปผล อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ 35 วัตถุประสงค์การวิจัย 35 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 35 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 35 การวิเคราะห์ข้อมูล 3๖ สรุปผลการวิจัย 3๖ ผลการวิจัย 3๗ ข้อเสนอแนะ ๔๐ บรรณานุกรม ๔๑ ภาคผนวก ๔๓ ภาคผนวก ก รายนามผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบเครื่องมือวิจัย ๔๔ ภาคผนวก ข แผนการจัดการเรียนรู้ 46 ภาคผนวก ค แบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 75 ภาคผนวก ง แบบสอบถามความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ 93 ภาคผนวก จ ประวัติย่อผู้วิจัย 97
ค สารบัญตาราง ตารางที่ หน้า ตารางที่ ๑ 30 ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการอ่านคิดวิเคราะห์วรรณคดีไทย ก่อนเรียนและ หลังเรียน โดยใช้การจัดการรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น (๕E) ร่วมกับเทคนิค 5W1H ในรายวิชาภาษาไทยบูรณาการกับจรรยาบรรณวิชาชีพครู สำหรับนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนอนุบาลสงขลา ตารางที่ ๒ 31 ผลการเปรียบเทียบทักษะการคิดวิเคราะห์วรรณคดีไทย ก่อนเรียนและหลังเรียน โดยใช้ การจัดการรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น (๕E) ร่วมกับเทคนิค 5W1H ในรายวิชา ภาษาไทยบูรณาการกับจรรยาบรรณวิชาชีพครู สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนอนุบาลสงขลา ตารางที่ 3 31 ผลการประเมินความพึงพอใจที่มีต่อการจัดการรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น ร่วมกับ เทคนิค 5W1H ในรายวิชาภาษาไทยบูรณาการกับจรรยาบรรณวิชาชีพครู กลุ่มตัวอย่าง ในการวิจัยในครั้งนี้เป็นนักเรียนชั้นประถมประถมศึกษาปีที่ ๖ โรงเรียนอนุบาลสงขลา ตารางที่ ๔ 33 แสดงการบูรณาการจรรยาบรรณวิชาชีพครูเข้ากับการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหา ความรู้ร่วมกับร่วมกับเทคนิค 5W1H ในรายวิชาภาษาไทยบูรณาการกับจรรยาบรรณ วิชาชีพครู กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยในครั้งนี้เป็นนักเรียนชั้นประถมประถมศึกษาปีที่ ๖ โรงเรียนอนุบาลสงขลา ง
ค สารบัญภาพ ภาพที่ หน้า ภาพที่ 1 ความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรต้นกับตัวแปรตาม ๑๗ ภาพที่ 2 แผนภาพวัฏจักรการเรียนรู้แบบ 5 ขั้น ๒๒ ภาพที่ ๓ ขั้นตอนการวางแผน ๒๓ ภาพที่ ๔ ขั้นตอนที่ 2 การปฏิบัติตามแผน (action) เก็บข้อมูลนักเรียน ๒๓ ภาพที่ ๕ ขั้นตอนที่ 3 การสังเกตตรวจสอบผลจากการปฏิบัติตามแผน (observe) วิเคราะห์ผลจากการเก็บข้อมูล ๒๓ ภาพที่ ๖ ขั้นตอนที่ 4 การสะท้อนผล (reflection) สรุปทักษะที่เลือกพัฒนา ๒๓ ภาพที่ ๗ ขั้นตอนการวางแผน ๒๔ ภาพที่ ๘ ขั้นตอนที่ 2 การปฏิบัติตามแผน (action) เก็บข้อมูลนักเรียน ๒๔ ภาพที่ ๙ ขั้นตอนที่ 3 การสังเกตตรวจสอบ ผลจากการปฏิบัติตามแผน (observe) ๒๔ ภาพที่ ๑๐ ขั้นตอนที่ 4 การสะท้อนผล (reflection) สรุปทักษะที่เลือกพัฒนา ๒๔ จ
1 บทที่ ๑ บทนำ 1. ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา สภาวะการศึกษาของโลกปัจจุบัน การศึกษาไทยยังคงมีปัญหาในหลายด้าน ทั้งปัญหาความเหลื่อม ล้ำ คุณภาพการศึกษาต่ำ รวมถึงปัญหาของการเรียนรู้ โดยเฉพาะการอ่านหนังสือเพื่อคิดวิเคราะห์ จะเห็น ได้ว่าเด็กไทยในปัจจุบันมีการอ่านหนังสือต่อวันน้อยมาก จากสถิติการอ่านหนังสือของคนไทยปี พ.ศ.2561 พบว่าในภาพรวม คนไทยอายุ 6 ปีขึ้นไป มีการอ่านร้อยละ 78.8 หรือคิดเป็นจำนวนประชากร 49.7 ล้าน คน และเมื่อเทียบกับปี 2556 โดยเฉลี่ยแล้วคนไทยใช้เวลาอ่านเพิ่มมากขึ้นเป็น 80 นาทีต่อวัน โดยวัยรุ่น (อายุ 15-24 ปี) ใช้เวลาอ่านมากที่สุด เฉลี่ย 109 นาทีต่อวัน และเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 6 ปี ใช้เวลาอ่าน 42 นาที ต่อวัน เด็กอายุ 6-14 ปี ใช้เวลา อ่าน 83 นาทีต่อวัน สถิติข้างต้นแสดงให้เห็นว่ามีคนไทยกว่า ร้อยละ 21.2 ที่ไม่อ่านหนังสือ และแม้ว่าอัตราการรู้หนังสือของคนไทยจะสูง ถึงร้อยละ 94.1 และอยู่ อันดับที่ 4 ในอาเซียน โดยเฉพาะเด็กที่มาจากครอบครัวที่ยากจน และเป็นชนกลุ่มน้อย มักขาดโอกาสที่จะ ได้รับการพัฒนาทักษะการอ่านเมื่อเปรียบเทียบกับเด็กกลุ่มอื่น ๆ ซึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้ปัจจุบันเยาวชน ไทยอ่านหนังสือน้อยลง ผนวกกับสื่อสังคมออนไลน์เข้ามามีบทบาทในการเรียนการสอนมากยิ่งขึ้น กระทรวงศึกษาธิการ (2551, น.145) ได้กล่าวไว้ว่า การเรียนรู้วิชาภาษาไทย จำเป็นต้องจัดการ เรียนการสอนที่ส่งเสริมผู้เรียนให้รู้จักคิดค้น แยกแยะ เข้าใจการคิดวิเคราะห์เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่สามารถ นำมาใช้ให้เป็นประโยชน์ในการดำเนินชีวิตและวางแผนการดำเนินงานได้อย่างเหมาะสม ดังนั้นในการ จัดการเรียนการสอนจึงไม่ควรเน้นเพียงเนื้อหาความรู้ทางวิชาการที่ใช้เพียงการจำแต่ต้องฝึกให้ผู้เรียนเป็น นักคิด นักวิเคราะห์ ผู้เรียนจึงต้องรู้จักพัฒนากระบวนการเรียนรู้โดยรู้จักการคิดวิเคราะห์ คิดสังเคราะห์ มี วิจารณญาณ และมีความคิดสร้างสรรค์รู้จักการเชื่อมโยงข้อมูลผ่านการวิเคราะห์เป็นความคิดรวบยอด การ คิดจึงเป็นกระบวนการที่จะให้การศึกษาเชื่อมโยงกับสิ่งต่าง ๆ การสอนคิดหรือสอนให้เกิดทักษะ กระบวนการคิดให้ตัวผู้เรียนเป็นปัจจัยสำคัญ ซึ่งตัวครูผู้สอนต้องตระหนักและร่วมมือกันหาแนวทาง พัฒนาการเรียนการสอนเพื่อสร้างให้นักเรียนคิดเป็น ซึ่งทักษะดังกล่าวเป็นสิ่งที่จำเป็นในศตวรรษที่ 21 ดังนั้นครูยุคใหม่จึงจำเป็นต้องจัดการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับยุคสมัยที่ เข้าใจความเป็นมาของ เหตุการณ์ เพื่อนำมาตัดสินใจแก้ปัญหาหรือตัดสินใจในเรื่องต่าง ๆ ได้ถูกต้อง การอ่านวิเคราะห์เป็นทักษะการอ่านในระดับที่สูงกว่าการอ่านทั่วไป ไม่ใช่เป็นการอ่านเพื่อความ เพลิดเพลินเพียงอย่างเดียวแต่เป็นการอ่านเพื่อพินิจพิเคราะห์สิ่งต่าง ๆ ให้สามารถนำไปประยุกต์ใช้กับการ แก้ปัญหาในอนาคตได้ (กระทรวงศึกษาธิการ, 2551 : 2) ทักษะการคิดวิเคราะห์จึงเป็นจุดเริ่มต้นในการ ต่อยอดองค์ความรู้ด้านต่าง ๆ ของเด็ก ทั้งการแก้ปัญหา การตัดสินใจ รวมถึงการมีความคิดสร้างสรรค์ ซึ่ง ปัจจุบันพบว่าเด็กไทยขาดทักษะดังกล่าวมากขึ้น อาจมีสาเหตุมาจากวิธีการเลี้ยงดูจากพ่อแม่ หรือแนวการ สอนของครู สอดคล้องกับที่ ณฐกร ดวงพระเกษ (2561: 130) ได้กล่าวถึงการจัดการเรียนรู้โดยใช้คำถาม ไว้ว่าการจัดการเรียนรู้โดยใช้คำถามเป็นการมุ่งพัฒนากระบวนการความคิดของนักเรียนคำถามนอกจากจะ ช่วยทำให้ผู้เรียนเข้าใจสาระสำคัญของเรื่องราวที่เรียนได้ถูกต้องแล้ว ยังเป็นการกระตุ้นให้ผู้เรียนได้ค้นคว้า หาคำตอบด้วยตนเอง และเป็นการกระตุ้นให้นักเรียนเกิดความสนใจในการร่วมกิจกรรมการเรียนรู้และ นำไปสู่การจัดระบบความคิดให้สามารถบรรลุวัตถุประสงค์ที่ต้องการได้และสอดคล้องกับที่ มนตรี วงษ์ สะพาน (2556, น.125) ได้ให้แนวคิดไว้ว่า การเรียนรู้ของผู้เรียนถูกผูกขาดโดยการบอกของครู ทำให้ ผู้เรียนไม่เกิดการฝึกทักษะการคิดและไม่สามารถต่อยอดความรู้ต่าง ๆ ได้ ซึ่งทักษะดังกล่าวเป็นสิ่งที่จำเป็น
2 ในศตวรรษที่ 21 ดังนั้นครูยุคใหม่จึงจำเป็นต้องจัดการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับยุคสมัยที่เปลี่ยนไป การอ่านคิดวิเคราะห์จึงเป็นทักษะพื้นฐานสำคัญที่จะส่งผลให้ผู้เรียนพัฒนาทักษะการคิดด้านอื่น ๆ ที่สูงขึ้น ซึ่งจะช่วยให้รู้ข้อเท็จจริง รู้เหตุผลเบื้องต้นของสิ่งที่เกิด เข้าใจความเป็นมาของเหตุการณ์ เพื่อนำมาตัดสินใจ แก้ปัญหาหรือตัดสินใจในเรื่องต่าง ๆ ได้ถูกต้อง ด้วยความสำคัญดังกล่าวจึงจำเป็นต้องพัฒนาทักษะการคิด วิเคราะห์ให้แก่ผู้เรียนอย่างต่อเนื่อง โดยผู้ที่มีบทบาทสำคัญก็คือ ครู จึงควรทำความเข้าใจ และนำ กระบวนการคิดวิเคราะห์มาบูรณาการเข้ากับกิจกรรมการเรียนรู้ให้กับผู้เรียน การสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น เป็นวิธีการสอนที่ช่วยให้ผู้เรียนรู้จักการคิดวิเคราะห์ไม่ใช่ การท่องจำเนื้อหา แต่ต้องคิดไตร่ตรองให้รอบคอบ ผู้เรียนสามารถที่จะค้นหาความรู้ได้ด้วยตนเอง ฝึกให้ ผู้เรียนคิดแก้ปัญหาอย่างมีเหตุผล ส่งเสริมให้ผู้เรียนใช้ความคิดอย่างมีอิสระทางความคิด โดยมีครูผู้สอนเป็น ผู้สนับสนุน ชี้แนะช่วยเหลือ ตลอดจนแก้ปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นระหว่างการเรียนการสอนและการใช้เทคนิค 5W1H เป็นรูปแบบการใช้เทคนิคในการวิเคราะห์แก้ไขปัญหานั้น ส่วนใหญ่จะใช้ในขั้นตอนของการ วิเคราะห์ข้อมูล ด้วยการตั้งคำถาม ดังที่ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (2561 : 1) กล่าวไว้ว่าหลักสูตรและศตวรรษที่ 21 ผ่านการลงมือปฏิบัติสืบเสาะหาความรู้เพื่อทำความเข้าใจแนวคิด ทางวิทยาศาสตร์ ฝึกฝนทักษะกระบวนการต่าง ๆ สามารถเชื่อมโยงและนำมาใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวัน ได้ และรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้เพียงอย่างเดียว ยังไม่เพียงพอให้เป็นไปตาม จุดมุ่งหมายของการจัดการศึกษาได้ เนื่องจากการจัดการศึกษาในยุคไทยแลนด์ 4.0 ต้องมีการนำเทคโนโลยี ใหม่ ๆ เข้ามาประยุกต์ใช้ในการปฏิบัติงาน เพื่อปรับเปลี่ยนเป็นการศึกษา 4.0 ให้สอดคล้องกับการจัดการ เรียนการสอนใน 3 ศตวรรษที่ 21 ที่มีการนำเทคโนโลยีทางการศึกษาเข้ามาใช้ในห้องเรียนรวมถึงการ จัดการเรียนการสอน (ดนัยศักดิ์ กาโร, 2562, หน้า 1) การบูรณาการจรรยาบรรณวิชาชีพ คือ การประมวลมาตรฐานความประพฤติที่ผู้ประกอบวิชาชีพ จะต้องประพฤติปฏิบัติ เป็นแนวทางให้ผู้ประกอบวิชาชีพปฏิบัติอย่างถูกต้องเพื่อผดุงเกียรติและสถานะ ของ วิชาชีพนั้นก็ได้ผู้กระทำผิดจรรยาบรรณ จะต้องได้รับโทษโดยว่ากล่าว ตักเตือน ถูกพักงาน หรือถูกยกเลิกใบ ประกอบวิชาชีพได้ ซึ่งจรรยาบรรณวิชาชีพครู มีความสำคัญต่อวิชาชีพครูเช่นเดียวกับที่จรรยาบรรณวิชาชีพ มีความสำคัญต่อวิชาชีพอื่น ๆ ซึ่งสรุปได้ 3 ประการ คือ ปกป้องการปฏิบัติงานของสมาชิกในวิชาชีพ รักษา มาตรฐานวิชาชีพและพัฒนาวิชาชีพ จากข้อความดังกล่าวผู้วิจัยจึงเล็งเห็นว่าการพัฒนาการอ่านคิดวิเคราะห์สามารถช่วยให้นักเรียน เรียนรู้ได้อย่างดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะการอ่านคิดวิเคราะห์วรรณคดีไทย ปัจจุบันเด็กอ่านวรรณกรรมวรรณคดี ต่าง ๆ น้อยลง เนื่องจากมีสื่อเทคโนโลยีที่หลากหลายเข้ามาเป้นสิ่งเร้า ทำให้การอ่านหนังสือน้อยลงและ การคิดวิเคราะห์จากเรื่องที่อ่าน ซึ่งจากการสังเกตการณ์สอนในรายวิชาภาษาไทยของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ ๖ โรงเรียนอนุบาลสงขลาพบว่านักเรียนส่วนใหญ่มีข้อบกพร่องทางการอ่านหนังสือเพื่อ การคิดวิเคราะห์ นอกจากนี้การอ่านเพื่อการคิดวิเคราะห์เป็นสิ่งที่สำคัญต่อการเรียนรู้อีกด้วย ผู้วิจัยจึงได้สนใจที่จะศึกษาในเรื่อง การพัฒนาการอ่านคิดวิเคราะห์วรรณคดีไทย โดยใช้การจัดการ รู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น ร่วมกับเทคนิค 5W1H ในรายวิชาภาษาไทยบูรณาการกับจรรยาบรรณ วิชาชีพครู และประยุกต์ใช้ในการจัดการเรียนรู้ให้นักเรียนเกิดทักษะที่จำเป็นสำหรับการนำไปประยุกต์ใช้ใน อนาคตต่อไป
3 2.วัตถุประสงค์ของการวิจัย 2.1 เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาไทยก่อนเรียนและหลังเรียนโดยใช้การจัดการรู้ แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น ร่วมกับเทคนิค 5W1H ในรายวิชาภาษาไทยบูรณาการกับจรรยาบรรณ วิชาชีพครู ๒.๒ เพื่อเปรียบเทียบทักษะการอ่านคิดวิเคราะห์วรรณคดีไทยก่อนเรียนและหลังเรียนโดยใช้การ จัดการรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น ร่วมกับเทคนิค 5W1H ในรายวิชาภาษาไทยบูรณาการกับ จรรยาบรรณวิชาชีพครู ๒.๓ เพื่อศึกษาความพึงพอใจที่มีต่อการจัดการรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น ร่วมกับเทคนิค 5W1H ในรายวิชาภาษาไทยบูรณาการกับจรรยาบรรณวิชาชีพครู 3. สมมติฐานการวิจัย ๓.๑ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาไทยหลังเรียนโดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น ร่วมกับเทคนิค 5W1H ในรายวิชาภาษาไทยบูรณาการกับจรรยาบรรณวิชาชีพครูสูงกว่าก่อนเรียน ๓.๒ ทักษะการอ่านคิดวิเคราะห์วรรณคดีไทยก่อนเรียนและหลังเรียนโดยใช้การจัดการรู้แบบสืบ เสาะหาความรู้ 5 ขั้น ร่วมกับเทคนิค 5W1H ในรายวิชาภาษาไทยบูรณาการกับจรรยาบรรณวิชาชีพครู หลังเรียนโดยใช้กสรตัดการเรียนรู้ผ่านเกณฑ์ร้อยละ 70 3.๓ ความพึงพอใจที่มีต่อการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น ร่วมกับเทคนิค 5W1H ในรายวิชาภาษาไทยบูรณาการกับจรรยาบรรณวิชาชีพครูอยู่ในระดับมากที่สุด 4. ขอบเขตของการวิจัย 4.1 ประชากรและกลุ่มตัวอย่างของการวิจัย 4.1.1 ประชากรของการวิจัยครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นประถมประถมศึกษาปีที่ ๖ โรงเรียน อนุบาลสงขลา อำเภอเมืองสงขลา จังหวัดสงขลา ที่กำลังศึกษาอยู่ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 256๖ จำนวน ๗ ห้องเรียน จำนวน 265 คน 4.1.2 กลุ่มตัวอย่างของการวิจัยครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นประถมประถมศึกษาปีที่ ๖ โรงเรียนอนุบาลสงขลา อำเภอเมืองสงขลา จังหวัดสงขลา ที่กำลังศึกษาอยู่ในภาคเรียนที่ 2 ปี การศึกษา 256๖ ห้องเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6/๑ จำนวน 33 คน ได้มาด้วยการสุ่มอย่างง่าย (SimpleRandom Sampling) ด้วยวิธีการจับสลากโดยใช้ห้องเรียนเป็นหน่วยสุ่ม 4.2 ตัวแปรที่ศึกษา ตัวแปรต้น คือ การจัดการรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น ร่วมกับเทคนิค 5W1H ใน รายวิชาภาษาไทยบูรณาการกับจรรยาบรรณวิชาชีพครู ตัวแปรตาม คือ ผลสัมฤทธิ์ทางการอ่านคิดวิเคราะห์วรรณคดีไทยและทักษะการคิด วิเคราะห์ ๕. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย สำหรับเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ประกอบด้วย ๔ ส่วน คือ ๕.1 แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น ร่วมกับ เทคนิค 5W1H ในรายวิชาภาษาไทยบูรณาการกับจรรยาบรรณวิชาชีพ จำนวน ๔ แผนการเรียนรู้ จำนวน ๘ ชั่วโมง ได้แก่ ๕.5.1 แผนการจัดการเรียนรู้เรื่องรามเกียรติ์ ตอน ศึกไมยราพ
4 ๕.5.2 แผนการจัดการเรียนรู้เรื่องขุนช้างขุนแผน ตอน กำเนิดพลายงาม ๕.5.3 แผนการจัดการเรียนรู้เรื่องนิทานทองอิน ตอน นากพระโขนงที่สอง ๕.5.4 แผนการจัดการเรียนรู้เรื่องสุภาษิตสอนหญิง ๕.2 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาไทย แบบปรนัย ทดสอบก่อนเรียนและ หลังเรียน จำนวน 30 ข้อ 5.3 แบบทดสอบวัดทักษะการคิดวิเคราะห์ แบบอัตนัย จำนวน ๕ ข้อ วัดทักษะการคิด วิเคราะห์ทั้ง 3 ด้าน ได้แก่ 1) การวิเคราะห์เนื้อหา 2) การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ และ3) การ วิเคราะห์หลักการ ๕.๔ แบบประเมินความพึงพอใจที่มีต่อการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น ร่วมกับเทคนิค 5W1H ในรายวิชาภาษาไทยบูรณาการกับจรรยาบรรณวิชาชีพครู ๖. ประโยชน์ที่ได้รับจากการวิจัย ๖.1 นักเรียนชั้นประถมประถมศึกษาปีที่ ๖ โรงเรียนอนุบาลสงขลา ได้ฝึกทักษะการอ่านเพื่อการ คิดวิเคราะห์ ซึ่งสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการเรียนรายวิชาอื่น ๆ ได้ ๖.2 นักเรียนได้เรียนรู้วรรณคดีของไทยที่เป็นวรรณคดีและวรรณกรรมต่าง ๆ ที่เป็นมรดกและ วัฒนธรรมทางภาษา ทั้งวิธีการประพันธ์ รูปแบบในการเขียนต่าง ๆ รวมไปถึงคุณค่าและข้อคิดที่สามารถ นำไปประยุกต์ใช้กับชีวิตประจำวันได้ ๗. นิยามศัพท์เฉพาะ การวิจัยในครั้งนี้ผู้วิจัยได้นิยามศัพท์เฉพาะไว้ ดังนี้ 6.1 การอ่านคิดวิเคราะห์วรรณคดีไทย หมายถึง วรรณกรรมหรืองานเขียนที่ยกย่องกัน ว่าดี มีสาระ และมีคุณค่าทางวรรณศิลป์ การใช้คำว่าวรรณคดีเพื่อประเมินค่าของวรรณกรรมเกิดขึ้นในพระ ราชกฤษฎีกาตั้งวรรณคดีสโมสรในสมัยรัชกาลที่ วรรณคดีเป็นวรรณกรรมที่ถูกยกย่องว่าเขียนดี มีคุณค่า สามารถทำให้ผู้อ่านเกิดอารมณ์สะเทือนใจ มีความคิดเป็นแบบแผน ใช้ภาษาที่ไพเราะ เหมาะแก่การให้ ประชาชนได้รับรู้ เพราะสามารถยกระดับจิตใจให้สูงขึ้น รู้ว่าสิ่งใดควรหรือไม่ควร และทรงคุณค่าการ พิจารณาวรรณกรรมโดยแบ่งเป็นแต่ละหัวข้อ ตั้งแต่รูปแบบการประพันธ์ การดำเนินเรื่อง เค้าโครงเรื่อง การผูกเรื่อง และการคลายปม การใช้สำนวนโวหาร การสื่ออารมณ์ ลีลา และสำนวนการประพันธ์ คุณค่า ด้านเนื้อหาสาระความรู้ที่สอดแทรกอยู่ในเรื่อง คติ ข้อคิดที่แฝงไว้ เป็นต้น แล้วประเมินคุณค่าของ วรรณกรรมนั้นๆ ว่ามีข้อเด่นในด้านใดบ้างหรือมีข้อด้อยด้านใดบ้าง 6.2 จัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น (5E) หมายถึง การเรียนแบบสืบ เสาะหาความรู้ 5 ขั้นตอน (The 5Es of Inquiry-Based Learning) สนับสนุนให้ผู้เรียนสามารถค้นพบ ความรู้หรือเชื่อมโยงความรู้ที่มีอยู่เดิม หาแนวทางแก้ปัญหาได้ตัวเอง แล้วนํามาใช้ในชีวิตประจําวัน กระบวนการเรียนรู้ที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้แสวงหาและศึกษาค้นคว้า ลงมือปฎิบัติเพื่อสร้างองค์ความรู้ของ ตนเอง การเรียนการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ใน 5 ขั้นตอนนี้ เป็นรูปแบบหนึ่งของการเรียนรู้ที่เน้น ผู้เรียนเป็นสำคัญ ครูมีบทบาทสำคัญในการเป็นผู้อำนวยความสะดวกในการสนับสนุนให้ผู้เรียนแสดงบท ของตนเองให้เต็มที่เพื่อสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง 6.3 เทคนิค 5W1H หมายถึง การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้นักเรียนได้คิดวิเคราะห์โดยมี 5 ขั้นตอน ได้แก่ ขั้นที่ 1 กําหนดสิ่งที่ต้องการวิเคราะห์ คือเป็นการกําหนดวัตถุสิ่งของเรื่องราวหรือ เหตุการณ์ต่าง ๆ ขึ้นมาเพื่อเป็นต้นเรื่องที่จะใช้วิเคราะห์ เช่น รูปภาพ บทความ หรือสถานการณ์จากสื่อต่าง
5 ๆ เป็นต้น ขั้นที่ 2 กําหนดปัญหาหรือวัตถุประสงค์ เป็นการกําหนดประเด็นข้อสงสัยจะปัญหาของสิ่งที่ ต้องการวิเคราะห์ ซึ่งอาจกําหนดเป็นคําถามหรือวัตถุประสงค์ของการวิเคราะห์ เพื่อค้นหาความจริงสาเหตุ หรือความสําคัญ เช่น เรื่องราว เหตุการณ์ที่ต้องการสื่อหรือบอกอะไรที่สําคัญที่สุด ขั้นที่ 3 กําหนดหลักการ หรือกฎเกณฑ์ เป็นการกําหนดข้อกําหนดสําหรับใช้แยกส่วนประกอบของสิ่งที่กําหนดให้ เช่น เกณฑ์ในการ จําแนกสิ่งที่มีความเหมือนกันหรือต่างกัน ขั้นที่ 4 การพิจารณาแยกแยะคือกระจายสิ่งที่กําหนดให้ออกเป็น ส่วนย่อย ๆ โดยใช้คําถาม 5W1H ซึ่งซึ่งประกอบด้วย อะไร ที่ไหน เมื่อไหร่ ทําไม ใคร และอย่างไร ขั้นที่ 5 สรุปคําตอบเป็นการรวบรวมประเด็นที่สําคัญที่สุดเพื่อหาข้อมูลข้อสรุปเป็นคําตอบหรือตอบปัญหาของสิ่งที่ กําหนดไว้ 6.4 จรรยาบรรณวิชาชีพครูหมายถึง จรรยาบรรณในวิชาชีพ หมายถึงประมวล มาตรฐานความประพฤติที่ผู้ประกอบวิชาชีพจะต้องประพฤติปฏิบัติ เป็นแนวทางให้ผู้ประกอบวิชาชีพปฏิบัติ อย่างถูกต้องเพื่อผดุงเกียรติและสถานะ ของวิชาชีพนั้นก็ได้ผู้กระทำผิดจรรยาบรรณ จะต้องได้รับโทษโดยว่า กล่าว ตักเตือน ถูกพักงาน หรือถูกยกเลิกใบประกอบวิชาชีพได้ซึ่งจรรยาบรรณวิชาชีพครู มีความสำคัญต่อ วิชาชีพครูเช่นเดียวกับที่จรรยาบรรณวิชาชีพ มีความสำคัญต่อวิชาชีพอื่น ๆ ซึ่งสรุปได้ 3 ประการ คือ ปกป้องการปฏิบัติงานของสมาชิกในวิชาชีพ รักษามาตรฐานวิชาชีพและพัฒนาวิชาชีพ 8. กรอบแนวคิดการวิจัย ภาพที่ 1 ความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรต้นกับตัวแปรตาม การพัฒนาการอ่านคิดวิเคราะห์วรรณคดีไทย โดยใช้การจัดการรู้แบบสืบเสาะหาความรู้5 ขั้น (๕E) ร่วมกับเทคนิค 5W1H ในรายวิชาภาษาไทยบูรณาการกับจรรยาบรรณวิชาชีพครู สำหรับนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนอนุบาลสงขลา ตัวแปรต้น การจัดการรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น (๕E) ร่วมกับเทคนิค 5W1H ในรายวิชาภาษาไทยบูรณาการกับ จรรยาบรรณวิชาชีพครู ตัวแปรต้น 1. ผลสัมฤทธิ์ทางการอ่านคิด วิเคราะห์วรรณคดีไทย การจัดการเรียนรู้แบบสืบ เสาะหาความรู้ 1. สร้างความสนใจ (engagement) 2. สำรวจและค้นหา (exploration) 3. อธิบายและลงข้อสรุป (explanation) 4. การขยายความ (elaboration) 5. การประเมินผล (evaluation) เทคนิค 5W1H 1. Who ใคร ๒. What ทำอะไร ๓. Where ที่ไหน ๔. When เมื่อไหร่ ๕. Why ทำไม ๖. How อย่างไร ๒. ทักษะการคิดวิเคราะห์ วรรณคดีไทย - การตีความ ความเข้าใจ และ ให้เหตุผลแก่สิ่งที่ต้องการวิเคราะห์ - การมีความรู้ความเข้าใจในเรื่อง ที่จะวิเคราะห์ - การหาความสัมพันธ์เชิงเหตุผล
6 บทที่ ๒ เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ศึกษาทบทวนเอกสารแนวคิดทฤษฎี และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องเพื่อเป็น แนวทางในการวิจัย เรื่องการพัฒนาทักษะการอ่านคิดวิเคราะห์วรรณคดีไทย โดยใช้การจัดการรู้แบบสืบ เสาะหาความรู้ 5 ขั้น (๕E) ร่วมกับเทคนิค 5W1H ในรายวิชาภาษาไทยบูรณาการกับจรรยาบรรณ วิชาชีพครู สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนอนุบาลสงขลา มีรายละเอียด ต่อไปนี้ 1. หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุงพุทธศักราช 2560) กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย 2. แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับอ่านคิดวิเคราะห์ระดับประถมศึกษา 3. แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับการจัดการรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น (๕E) 4. แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับเทคนิคการจัดการเรียนรู้แบบ 5W1H 5. แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับจรรยาบรรณวิชาชีพครู 6. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 1. หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุงพุทธศักราช 2560) กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย 1.1 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ฉบับปรับปรุง พุทธศักราช 2560 (กระทรวงศึกษาธิการ, 2560) เป็นหลักสูตรที่มีกรอบและแนวทางในการจัดการศึกษาเพื่อ พัฒนาการเรียนรู้ มีความเหมาะสมชัดเจนทั้งเป้าหมายของหลักสูตรและกระบวนการนำหลักสูตรไปสู่การ ปฏิบัติในระดับเขตพื้นที่การศึกษาและสถานศึกษา โดยได้มีการกำหนดวิสัยทัศน์ จุดมุ่งหมายสมรรถนะ สำคัญของผู้เรียน คุณลักษณะอันพึงประสงค์ มาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัดที่ชัดเจนเพื่อใช้เป็นทิศทางใน การจัดทำหลักสูตรการเรียนการสอนในแต่ละระดับชั้น 1.2 วิสัยทัศน์ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งพัฒนาผู้เรียนทุกคนซึ่งเป็นกำลังของชาติให้ เป็นมนุษย์ที่มีความสมดุลทั้งด้านร่างกาย ความรู้ คุณธรรม มีจิตสำนึกในความเป็นพลเมืองไทย และเป็นพล โลก ยึดมั่นในการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขมีความรู้และ ทักษะพื้นฐาน รวมทั้งเจตคติที่จำเป็นต่อการศึกษาต่อ การประกอบอาชีพและการศึกษาตลอดชีวิต โดย มุ่งเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญบนพื้นฐานความเชื่อว่า ทุกคนสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้เต็มตามศักยภาพ 1.3 หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มีหลักการที่สำคัญ ดังนี้ 1.3.1 เป็นหลักสูตรการศึกษาเพื่อความเป็นเอกภาพของชาติ มีจุดหมายและมาตรฐาน การเรียนรู้ เป็นเป้าหมายสำหรับพัฒนาเด็กและเยาวชนให้มีความรู้ ทักษะ เจตคติ และคุณธรรมบนพื้นฐาน ของความเป็นไทยควบคู่กับความเป็นสากล 1.3.2 เป็นหลักสูตรการศึกษาเพื่อปวงชน ที่ประชาชนทุกคนมีโอกาสได้รับการศึกษา อย่างเสมอภาคและมีคุณภาพ 1..3.3 เป็นหลักสูตรการศึกษาที่สนองการกระจายอำนาจ ให้สังคมมีส่วนร่วมในการจัด การศึกษา ให้สอดคล้องกับสภาพและความต้องการของท้องถิ่น
7 1.3.4 เป็นหลักสูตรการศึกษาที่มีโครงสร้างยืดหยุ่นทั้งด้านสาระการเรียนรู้ เวลา และการ จัดการเรียนรู้ 1.3.5 เป็นหลักสูตรการศึกษาที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ 1.3.6 เป็นหลักสูตรการศึกษาสำหรับการศึกษาในระบบ นอกระบบ และตามอัธยาศัย ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย สามารถเทียบโอนผลการเรียนรู้ และประสบการณ์ 1.4 สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พุทธศักราช 2561) มุ่งเน้นพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณภาพตามมาตรฐานที่กำหนด ซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียนเกิดสมรรถนะสำคัญ และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ซึ่งหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งให้ผู้เรียนเกิดสมรรถนะสำคัญ 5 ประการ ดังนี้ 1. ความสามารถในการสื่อสาร เป็นความสามารถในการรับและส่งสาร มีวัฒนธรรมใน การใช้ภาษาถ่ายทอดความคิด ความรู้ความเข้าใจ ความรู้สึก และทัศนะของตนเองเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูล ข่าวสารและประสบการณ์อันจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาตนเองและสังคม รวมทั้งการเจรจาต่อรองเพื่อ ขจัดและลดปัญหาความขัดแย้งต่าง ๆ การเลือกรับหรือไม่รับข้อมูลข่าวสารด้วยหลักเหตุผลและความ ถูกต้อง ตลอดจนการเลือกใช้วิธีการสื่อสาร ที่มีประสิทธิภาพโดยคำนึงถึงผลกระทบที่มีต่อตนเองและสังคม 2. ความสามารถในการคิด เป็นความสามารถในการคิดวิเคราะห์ การคิดสังเคราะห์การ คิด อย่างสร้างสรรค์ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ และการคิดเป็นระบบ เพื่อนำไปสู่การสร้างองค์ความรู้หรือ สารสนเทศเพื่อการตัดสินใจเกี่ยวกับตนเองและสังคมได้อย่างเหมาะสม 3. ความสามารถในการแก้ปัญหา เป็นความสามารถในการแก้ปัญหา และอุปสรรคต่าง ๆ ที่เผชิญได้อย่างถูกต้องเหมาะสมบนพื้นฐานของหลักเหตุผล คุณธรรมและข้อมูลสารสนเทศ เข้าใจ ความสัมพันธ์และการเปลี่ยนแปลงของเหตุการณ์ต่าง ๆ ในสังคม แสวงหาความรู้ ประยุกต์ความรู้มาใช้ใน การป้องกันและแก้ไขปัญหา และมีการตัดสินใจที่มีประสิทธิภาพโดยคำนึงถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อตนเอง สังคมและสิ่งแวดล้อม 4. ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต เป็นความสามารถในการนำกระบวนการต่าง ๆ ไป ใช้ในการดำเนินชีวิตประจำวัน การเรียนรู้ด้วยตนเอง การเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง การทำงาน และการอยู่ ร่วมกันในสังคมด้วยการสร้างเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างบุคคล การจัดการปัญหา และความขัดแย้งต่าง ๆ อย่างเหมาะสม การปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมและสภาพแวดล้อม และการรู้จัก หลีกเลี่ยงพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ที่ส่งผลกระทบต่อตนเองและผู้อื่น 5. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยีเ ป็นความสามารถในการเลือก และใช้เทคโนโลยี ด้านต่าง ๆ และมีทักษะกระบวนการทางเทคโนโลยี เพื่อการพัฒนาตนเองและสังคม ในด้านการเรียนรู้การ สื่อสาร การทำงาน การแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ ถูกต้อง เหมาะสม และมีคุณธรรม 1.5 การเรียนภาษาไทย การเรียนภาษาไทยเป็นการเรียนรู้ภาษาประจำชาติของประเทศไทย เป็นเครื่องมือที่ใช้ใน การสื่อสารให้เกิดความเข้าใจตรงกัน ดังนี้ ภาษาไทยเป็นเอกลักษณ์ของชาติเป็นสมบัติทางวัฒนธรรมอันก่อให้เกิดความเป็นเอกภาพ และเสริมสร้างบุคลิกภาพของคนในชาติให้มีความเป็นไทยเป็นเครื่องมือในการติดต่อสื่อสารเพื่อสร้างความ เข้าใจและความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันทำให้สามารถประกอบกิจธุระ การงาน และดำรงชีวิตร่วมกันในสังคม
8 ประชาธิปไตยได้อย่างสันติสุข และเป็นเครื่องมือในการแสวงหาความรู้ ประสบการณ์จากแหล่งข้อมูล สารสนเทศต่างๆ เพื่อพัฒนาความรู้ พัฒนากระบวนการคิดวิเคราะห์ วิจารณ์ และสร้างสรรค์ให้ทันต่อการ เปลี่ยนแปลงทางสังคม และความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีตลอดจนนำไปใช้ในการพัฒนาอาชีพ ให้มีความมั่นคงทางเศรษฐกิจ นอกจากนี้ยังเป็นสื่อแสดงภูมิปัญญาของบรรพบุรุษด้านวัฒนธรรม ประเพณี และสุนทรียภาพ เป็นสมบัติล้ำค่าควรแก่การเรียนรู้ อนุรักษ์และสืบสานให้คงอยู่คู่ชาติไทยตลอดไป ภาษาไทยเป็นทักษะที่ต้องฝึกฝนจนเกิดความชำนาญในการใช้ภาษาเพื่อการสื่อสารการเรียนรู้อย่างมี ประสิทธิภาพ และเพื่อนำไปใช้ในชีวิตจริง 1. การอ่าน การอ่านออกเสียงคำ ประโยค การอ่านบทร้อยแก้ว คำประพันธ์ชนิดต่าง ๆ การอ่านในใจเพื่อสร้างความเข้าใจ และการคิดวิเคราะห์สังเคราะห์ความรู้จากสิ่งที่อ่านเพื่อนำไปปรับใช้ใน ชีวิตประจำวัน 2. การเขียน การเขียนสะกดตามอักขรวิธี การเขียนสื่อสาร โดยใช้ถ้อยคำและรูปแบบต่าง ๆ ของการเขียน ซึ่งรวมถึงการเขียนเรียงความ ย่อความ รายงานชนิดต่าง ๆ การเขียนตามจินตนาการ วิเคราะห์วิจารณ์ และเขียนเชิงสร้างสรรค์ 3. การฟัง การดู และการพูด การฟังและดูอย่างมีวิจารณญาณ การพูดแสดงความคิดเห็น ความรู้สึก พูดลำดับเรื่องราวต่าง ๆ อย่างเป็นเหตุเป็นผล การพูดในโอกาสต่าง ๆ ทั้งเป็นทางการและ ไม่ เป็นทางการ และการพูดเพื่อโน้มน้าวใจ 4. หลักการใช้ภาษาไทย ธรรมชาติและกฎเกณฑ์ของภาษาไทย การใช้ภาษาให้ถูกต้อง เหมาะสมกับโอกาสและบุคคล การแต่งบทประพันธ์ประเภทต่าง ๆ และอิทธิพลของภาษาต่างประเทศใน ภาษาไทย 5. วรรณคดี และวรรณกรรม วิเคราะห์วรรณคดีและวรรณกรรมเพื่อศึกษาข้อมูล แนวความคิด คุณค่าของงานประพันธ์ และความเพลิดเพลิน การเรียนรู้และทำความเข้าใจบทเห่ บทร้อง เล่น ของเด็ก เพลงพื้นบ้านที่เป็นภูมิปัญญาที่มีคุณค่าของไทย ซึ่งได้ถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดค่านิยม ขนบธรรมเนียมประเพณี เรื่องราวของสังคมในอดีต และความงดงามของภาษา เพื่อให้เกิดความซาบซึ้งและ ภูมิใจ ในบรรพบุรุษที่ได้สั่งสมสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน การจัดการเรียนรู้ในรายวิชาภาษาไทยของผู้เรียนในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 เมื่อผู้เรียนจบ การศึกษาระดับนี้แล้วผู้เรียนสามารถพัฒนาตนเองได้ดังนี้ 1. อ่านออกเสียงบทร้อยแก้วและบทร้อยกรองเป็นทำนองเสนาะได้ถูกต้อง อธิบาย ความหมายโดยตรง และความหมายโดยนัยของคำ ประโยค ข้อความ สำนวนโวหาร จากเรื่องที่อ่านเข้าใจ คำแนะนำ คำอธิบายในคู่มือต่าง ๆ แยกแยะข้อคิดเห็นและข้อเท็จจริง รวมทั้งจับใจความสำคัญของเรื่องที่ อ่านและนำความรู้ความคิดจากเรื่องที่อ่านไปตัดสินใจแก้ปัญหาในการดำเนินชีวิตได้มีมารยาทและมีนิสัยรัก การอ่านและเห็นคุณค่าสิ่งที่อ่าน 2. มีทักษะในการคัดลายมือตัวบรรจงเต็มบรรทัดและครึ่งบรรทัด เขียนสะกดคำ แต่ง ประโยคและเขียนข้อความ ตลอดจนเขียนสื่อสารโดยใช้ถ้อยคำชัดเจนเหมาะสม ใช้แผนภาพโครงเรื่องและ แผนภาพความคิด เพื่อพัฒนางานเขียน เขียนเรียงความ ย่อความ จดหมายส่วนตัว กรอกแบบรายการต่าง ๆ เขียนแสดงความรู้สึกและความคิดเห็น เขียนเรื่องตามจินตนาการอย่างสร้างสรรค์และมีมารยาทในการ เขียน
9 3. พูดแสดงความรู้ ความคิดเกี่ยวกับเรื่องที่ฟังและดูเล่าเรื่องย่อหรือสรุปจากเรื่องที่ฟัง และดู ตั้งคำถาม ตอบคำถามจากเรื่องที่ฟังและดู รวมทั้งประเมินความน่าเชื่อถือจากการฟังและดูโฆษณา อย่างมีเหตุผล พูดตามลำดับขั้นตอนเรื่องต่าง ๆ อย่างชัดเจน พูดรายงานหรือประเด็นค้นคว้าจากการฟัง การดู การสนทนา และพูดโน้มน้าวได้อย่างมีเหตุผล รวมทั้งมีมารยาทในการดูและพูด 4. สะกดคำและเข้าใจความหมายของคำ สำนวน คำพังเพยและสุภาษิต รู้และเข้าใจ ชนิด และหน้าที่ของคำในประโยค ชนิดของประโยค และคำภาษาต่างประเทศในภาษาไทย ใช้คำราชาศัพท์และ คำสุภาพได้อย่างเหมาะสม แต่งประโยค แต่งบทร้อยกรองประเภทกลอนสี่กลอนสุภาพและกาพย์ยานี 11 5. เข้าใจ และเห็นคุณค่าวรรณคดี และวรรณกรรมที่อ่าน เล่านิทานพื้นบ้าน ร้องเพลง พื้นบ้านของท้องถิ่น นำข้อคิดเห็นจากเรื่องที่อ่านไปประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง และท่องจำบทอาขยานตามที่ กำหนดได้ 1.6 มาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัดรายวิชาภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ 1.1.6 มาตรฐานการเรียนรู้ มาตรฐานการเรียนรู้ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ ประกอบด้วยกัน ๕ สาระการเรียนรู้ ดังนี้ สาระที่ ๑ การอ่าน มาตรฐาน ท ๑.๑ ใช้กระบวนการอ่านสร้างความรู้และความคิดเพื่อนำไปใช้ ตัดสินใจ แก้ปัญหาในการดำเนินชีวิตและมีนิสัยรักการอ่าน สาระที่ ๒ การเขียน มาตรฐาน ท ๒.๑ ใช้กระบวนการเขียนเขียนสื่อสาร เขียนเรียงความ ย่อความ และเขียนเรื่องราวในรูปแบบต่างๆ เขียนรายงานข้อมูลสารสนเทศและรายงานการศึกษาค้นคว้า อย่าง มีประสิทธิภาพ สาระที่ ๓ การฟัง การดู และการพูด มาตรฐาน ท ๓.๑ สามารถเลือกฟังและดูอย่างมีวิจารณญาณ และพูดแสดง ความรู้ ความคิดและความรู้สึกในโอกาสต่างๆ อย่างมีวิจารณญาณและสร้างสรรค์ สาระที่ ๔ หลักการใช้ภาษาไทย มาตรฐาน ท ๔.๑ เข้าใจธรรมชาติของภาษาและหลักภาษาไทย การ เปลี่ยนแปลงของภาษาและพลังของภาษา ภูมิปัญญาทางภาษา และรักษาภาษาไทยไว้เป็นสมบัติ ของชาติ สาระที่ ๕ วรรณคดีและวรรณกรรม มาตรฐาน ท ๕.๑ เข้าใจและแสดงความคิดเห็น วิจารณ์วรรณคดีและ วรรณกรรมไทยอย่างเห็นคุณค่าและนำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง จากมาตรฐานการเรียนรู้ทั้ง 5 มาตรฐานข้างต้น จะเห็นได้ว่าการเรียนการสอนสาระ ภาษาไทยในระดับประถมศึกษาจะมุ่งเน้นให้ผู้เรียนมีทักษะทั้ง 4 ด้าน คือ การฟัง พูด อ่านและ เขียน เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการเรียนรู้ เครื่องมือสื่อสารให้เข้าใจกันและมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน 1.1.7 ตัวชี้วัด ตัวชี้วัดรายวิชาภาษาไทยที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาพัฒนาการอ่านคิดวิเคราะห์ วรรณคดีไทย โดยใช้การจัดการรู้แบบสืบเสาะหาความรู้5 ขั้น (๕E) ร่วมกับเทคนิค 5W1H ใน
10 รายวิชาภาษาไทยบูรณาการกับจรรยาบรรณวิชาชีพครู สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนอนุบาลสงขลา มีดังนี้ ท ๑.๑ ป.๖/4 แยกข้อคิดเห็นและข้อเท็จจริงจากเรื่องที่อ่าน ท ๑.๑ ป.๖/๕ อธิบายการนำความรู้และความคิด จากการอ่านไปตัดสินใจ แก้ปัญหาการดำเนินชีวิต ท ๕.๑ ป.๖/๑ แสดงความคิดเห็นจากวรรณคดี หรือวรรณกรรมที่อ่าน ท ๕.๑ ป.๖/๓ อธิบายคุณค่าของวรรณคดี และวรรณกรรมที่อ่านและนำไป ประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง 2. แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับอ่านคิดวิเคราะห์ระดับประถมศึกษา 2.1 การอ่าน การอ่านเป็นการแปลอักษรที่อ่านออกมาเป็นความคิด เกิดความเข้าใจเรื่องราวที่อ่าน สามารถนำความรู้ความคิด สาระเรื่องที่อ่านไปใช้ให้เกิดประโยชน์ โดยผู้วิจัยขอเสนอประเด็น เกี่ยวกับการอ่าน ดังนี้ 2.1.1 ความหมายของการอ่าน การอ่านเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการแสวงหาความรู้ การอ่านที่ถูกต้อง ต้องได้รับ การฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้เกิดความชำนาญ และเกิดความรู้ซึ่งมีนักการศึกษาหลายท่านได้ให้ ความหมายของการอ่านไว้ดังนี้ พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 (2556 : 1405) ให้คำ จำกัดความว่า “อ่าน ก. ว่าตามตัวหนังสือ ; ถ้าออกเสียงด้วย เรียกว่า อ่านออกเสียง ถ้าไม่ ต้องออกเสียง เรียกว่า อ่านในใจ ; สังเกต หรือพิจารณาดูเพื่อให้เข้าใจ” เช่น อ่านสีหน้า อ่านริม ฝีปาก อ่านในใจ ; ตีความ เช่น อ่านรหัส อ่านลายแทง ; คิด, นับ (ไทยเดิม) สำนักอุทยานการเรียนรู้ (2556: 114) ให้ความหมายว่า การอ่านเป็น กระบวนการรับรู้สองอย่างที่สัมพันธ์กัน คือ จำ และทำความเข้าใจใน คำ ประโยค ข้อความที่ ต่อเนื่องกัน ให้เข้าใจในสิ่งที่อ่าน นอกจากนี้ การอ่านยังเป็นการรับรู้การสื่อความหมายจาก ตัวอักษร และสัญลักษณ์จากความคิดประสบการณ์ ความเชื่อของผู้ส่งสารมายังผู้อ่าน จิรวัฒน์ เพชรรัตน์และ อัมพร ทองใบ (2556: 158) กล่าวถึงการอ่านว่า เป็น การลำดับเนื้อหาประเด็นสำคัญจากงานวิชาการ จากนวนิยาย เรื่องสั้น และเล่ารายละเอียดจาก ความรู้ที่ได้จากการอ่านอย่างตรงประเด็น และลำดับความรู้ได้อย่างแม่นยำ สรุปความหมายของการอ่าน หมายถึง การเข้าใจความหมายของคำ ประโยค ข้อความ และเรื่องที่อ่าน และเรื่องที่อ่านมีความสำคัญต่อประเทศชาติและพัฒนาตนเองให้ ก้าวหน้าผู้ที่อ่านมากนอกจากได้รับความรู้อย่างกวางขว้างแล้ว ยังทำให้ผ่อนคลายความเครียด ซึ่ง เป็นประโยชน์ที่ได้รับจากการอ่านนั่นเอง จากที่กล่าวมาข้างต้น กล่าวสรุปได้ว่าการอ่านเป็นกระบวนการทางสมองที่ต้องใช้ สายตาสัมผัสตัวหนังสือหรือสิ่งพิมพ์อื่น ๆ รับรู้และเข้าใจความหมายของคำ ที่ใช้สื่อความคิด ความรู้ ความเข้าใจ ระหว่างผู้เขียนกับผู้อ่าน ให้เข้าใจตรงกันและผู้อ่านสามารถนำเอาความหมาย นั้น ๆ ไปใช้ประโยชน์ได้
11 2.1.2 จุดมุ่งหมายการอ่าน การอ่านที่ดีผู้อ่านควรมีจุดมุ่งหมายในการอ่านที่ชัดเจนว่าต้องการรับรู้สิ่งใดจาก การอ่านเพื่อจะช่วยให้การอ่านมีประสิทธิภาพ โดยได้มีผู้กล่าวถึงจุดมุ่งหมายการอ่าน ไว้ดังนี้ จิตรดา ไมตรีจตต์(2549, น.13) ได้กล่าวถึงจุดมุ่งหมายของการอ่านไว้ว่า เพื่อ เพิ่มพูนความรู้ ความคิด ความบันเทิง และเพื่อให้รู้เท่าทันเหตุการณ์ต่าง ๆ ซึ่งจุดมุ่งหมายของการ อ่านขึ้นอยู่กับแต่ละคน รวมถึงความรู้ที่ได้จากการอ่านนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ กอบกาญจน์ วงศ์สิทธิ์(2551, น.89-90) ได้กล่าวถึงจุดมุ่งหมายของการอ่านไว้ ว่าเพื่อค้นหาคำตอบหรือความรู้ ผู้อ่านรับรู้ข้อมูลต่าง ๆ ได้ด้วยการอ่าน เพื่อนำประโยชน์ที่ได้มา พัฒนาศักยภาพทั้งทางการรับรู้ กระบวนการคิด การกระทำและทำให้ผู้อ่านมีพัฒนาการทาง อารมณ์เพื่อความบันเทิงหรือตอบสนองความต้องการทางอารมณ์ การอ่านนอกจาก จะได้สาระ แล้ว ยังก่อให้เกิดความสุขจากการอ่านและจรรโลงใจแก่ผู้อ่านด้วย เพื่อประโยชน์ในการฝึกทักษะ ออกเสียงให้ถูกต้องเป็นการอ่านที่ผู้อ่านต้องเปล่งเสียงออกมาตามตัวอักษรที่ปรากฏเป็นถ้อยคำต่าง ๆ โดยต้องสื่อความหมายให้ชัดเจนสอดคล้องกับเรื่องราวที่จะนำเสนอ จากที่กล่าวมาข้างต้น กล่าวสรุปได้ว่าจุดมุ่งหมายของการอ่าน คือ การเพื่อ เพิ่มพูนความรู้ รับรู้ข้อมูลต่าง ๆ เพิ่มความบันเทิงทางอารมณ์ และยังช่วยสื่อความหมายการ สื่อสารให้มีความชัดเจนและสอดคล้องกับเรื่องราวต่าง ๆ 2.2 การคิดวิเคราะห์ การคิดวิเคราะห์เป็นพื้นฐานของการคิดขั้นสูงทุกประเภท ทักษะการคิดวิเคราะห์มี ความสำคัญ หากขาดทักษะการคิดวิเคราะห์แล้ว การพัฒนาทักษะการประเมินค่า ทักษะการคิด อย่างมีวิจารณญาณก็เป็นไปได้ยาก การคิดวิเคราะห์ต้องอาศัยความรู้ในการไตร่ตรองและความคิด อย่างมีเหตุผล ผู้วิจัยขอเสนอประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการคิดวิเคราะห์ดังนี้ 2.2.1 ความหมายของการคิดวิเคราะห์ การคิดวิเคราะห์ เป็นกระบวนการที่ช่วยพัฒนาทักษะให้มีการคิดที่แยกแยะ ลำดับเรื่องราวเหตุการณ์ต่าง ๆ ได้เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์(2549, น.2) และลักขณา สริวัฒน์ (2549, น.12) ได้ให้ความหมายของการคิดวิเคราะห์ หมายถึงการแยกแยะ ส่วนย่อยของ เหตุการณ์ เรื่องราว หรือเนื้อเรื่องต่าง ๆ ว่าประกอบด้วยอะไร มีจุดมุ่งหมายหรือความประสงค์สิ่ง ใด และส่วนย่อย ๆ ที่สำคัญนั้นแต่ละเหตุการณ์เกี่ยวพันกันอย่างไรบ้าง และเกี่ยวพันกันโดยอาศัย หลักการใด เพื่อให้เกิดความชัดเจน และความเข้าใจจนสามารถนำไปสู่การตัดสินใจได้อย่างถูกต้อง เหมาะสม วัฒนา ก้อนเชื้อรัตน์(2550, น.35) ให้ความหมายการคิดวิเคราะห์ว่า หมายถึง ความสามารถในการจำแนกแยกแยะองค์ประกอบต่าง ๆ ของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ซึ่งอาจเป็นวัตถุ สิ่งของ เรื่องราว หรือเหตุการณ์ หรือความสัมพันธ์เชิงเหตุผลระหว่างองค์ประกอบเหล่านั้น เพื่อค้นหา สภาพความเป็นจริงหรือสิ่งสำคัญที่กำหนดให้ สุวิทย์ มูลคำและอรทัย มูลคำ (2550, น.9) ได้ให้ความหมายการคิดวิเคราะห์ หมายถึง ความสามารถในการจำแนก แจกแจง แยกแยะองค์ประกอบต่าง ๆ ของสิ่งหนึ่งสิ่งใด อาจ เป็นสิ่งของเรื่องราว หรือเหตุการณ์ เพื่อหาความสัมพันธ์เชิงเหตุผลระหว่างองค์ประกอบของ
12 เนื้อหานั้น ๆ เพื่อค้นหาสภาพความเป็นจริง สิ่งสำคัญของเรื่องราวต่าง ๆ โดยอาศัยการใคร่ครวญ ไตร่ตรอง หาเหตุผลประกอบอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจ วัชรา เล่าเรียนดี(2552, น.10) ให้ความหมายของการวิเคราะห์ว่า หมายถึง การแสดงออกด้วยคำพูดหรือพฤติกรรมการปฏิบัติที่บ่งบอกถึงความรู้ความเข้าใจในเรื่องต่าง ๆ อย่างละเอียดทุกแง่มุม โดยบอก อธิบายเหตุผลประกอบเรื่องที่รู้ ระบุความคิดรวบยอด ระบุปัญหา ระบุความเชื่อมโยงของความคิดรวบยอดต่าง ๆ และรายละเอียดของเรื่องที่อ่านได้ สามารถที่จะ แจกแจง(Categorize) จำแนกแยกองค์ประกอบ ส่วนประกอบต่าง ๆ รวบรวมข้อมูลที่เป็น หลักฐานสำคัญเพื่อนำมาเป็นเกณฑ์ในการตัดสินใจ และประเมินผลหรือเพื่อสรุปอย่างเหมาะสม (Critical Thinking) จากที่กล่าวมาข้างต้น กล่าวสรุปได้ว่าความหมายของการคิดวิเคราะห์ หมายถึง การแยกแยะส่วนต่าง ๆ ของเหตุการณ์ เรื่องราวเพื่อหาความสัมพันธ์เชิงเหตุผล ตามสภาพความ เป็นจริง เพื่อนำมาในการตัดสินใจและประเมินผลให้มีความเหมาะสม องค์ประกอบของทักษะการคิดวิเคราะห์ 2.2.2 องค์ประกอบของทักษะการคิดวิเคราะห์ องค์ประกอบของทักษะการคิดวิเคราะห์ที่สามารถใช้ในการพัฒนาการอ่านวรรณ ไทยได้มีหลายองค์ประกอบซึ่งมีผู้กล่าวไว้อย่างหลากหลายดังนี้ รุจิร์ ภู่สาระ (2546, น.30-31) ได้กล่าวถึงองค์ประกอบของทักษะการคิด วิเคราะห์ว่าประกอบด้วย วิเคราะห์ความสำคัญ เป็นการแยกแยะองค์ประกอบย่อยที่รวมอยู่ใน เรื่องราวที่ใช้สื่อความหมาย เช่น นักเรียนมีทักษะในการมองเห็นข้อแตกต่างระหว่างข้อเท็จจริง และสมมุติฐาน วิเคราะห์ความสัมพันธ์ เป็นการแยกแยะองค์ประกอบย่อยที่รวมอยู่ในเรื่องราวที่ใช้ สื่อความหมาย เช่น นักเรียนมีความสามารถเข้าใจความหมาย และมองเห็นความสัมพันธ์ระหว่าง ข้อคิดเห็นในบทความที่กำหนดให้วิเคราะห์หลักการ เป็นการจัดเค้าเงื่อนของระเบียบวิธีในการ เรียบเรียงและเค้าโครงสร้างของเรื่องราวที่ใช้การสื่อสารความหมายให้เป็นเนื้อเดียวกัน โดยรวม เอาทั้งเค้าโครงที่มองเห็นได้ และไม่อาจมองเห็นได้ไว้ด้วยกัน เช่น นักเรียนตระหนักถึงสิ่งจูงใจใน การโฆษณา วนิช สุธารัตน์(2547, น.125-127) ได้กล่าวถึง องค์ประกอบของการคิด วิเคราะห์ว่าประกอบด้วย องค์ประกอบที่สำคัญ 2 เรื่อง คือความสามารถในการใช้เหตุผลอย่าง ถูกต้อง และเทคนิคในการตั้งคำถามเพื่อใช้ในการคิดวิเคราะห์ 1. ความสามารถในการใช้เหตุผลอย่างถูกต้อง ประกอบด้วย รายละเอียดดังนี้ 1.1 วัตถุประสงค์และเป้าหมายของการให้เหตุผลต้องชัดเจนสอดคล้อง กับเป้าหมายและวัตถุประสงค์ 1.2 ความคิดเห็นหรือกรอบความจริงที่นำมาอ้างต้องมีลักษณะกว้าง มี ความยืดหยุ่นมีความชัดเจน เที่ยงตรงและมีเสถียรภาพ 1.3 ความถูกต้องของสิ่งที่อ้างอิงต้องมีความชัดเจน มีความสอดคล้อง และมีความถูกต้องแน่นอน ถ้าสิ่งที่นำมาอ้างอิงผิดพลาด การสรุปผลหรือการสร้างกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ย่อมมีผิดพลาดไปด้วย
13 1.4 การสร้างความคิดหรือความคิดรวบยอด การให้เหตุผลต้องอาศัย ความคิดรวบยอดซึ่งประกอบด้วยทฤษฎี กฎ หลักการ ซึ่งเป็นตัวประกอบที่สำคัญของการคิดรวบ ยอด 1.5 ความสัมพันธ์ระหว่างเหตุผลกับสมมุติฐาน การให้เหตุผลขึ้นอยู่กับ สมมติฐานโดยสมมติฐานต้องกำหนดขึ้นจากสิ่งที่เป็นความจริงและจากหลักฐานที่ปรากฏมีความ ชัดเจนสามารถตัดสินได้และมีเสถียรภาพ 1.6 การลงความเห็น โดยการสรุปและให้ความหมายของข้อมูลการสรุป นั้นต้องสอดคล้องกับสมมติฐาน 1.7 การนำไปใช้ เมื่อสรุปแล้วจะต้องมีการนำไปใช้หรือมีผลสืบเนื่อง จะต้องมีความคิดเห็นประกอบข้อสรุปที่เกิดขึ้นนั้น สามารถนำไปใช้ได้มากน้อยเพียงใด ควร นำไปใช้ในลักษณะใดจึงจะถูกต้อง 2. เทคนิคในการตั้งคำถามเพื่อใช้ในการวิเคราะห์ การตั้งคำถามที่ดีจะทำให้สิ่งที่ คลุมเครืออยู่มีความชัดเจนยิ่งขึ้น การตั้งคำถามที่ดีจะช่วยส่งเสริมให้การใช้เหตุผลเป็นไปด้วยความสะดวกมี ความยุ่งยากน้อย มีความเป็นระบบ และช่วยในการแก้ปัญหาได้ ลักษณะของคำถามที่ดีต้องมีคุณสมบัติ 8 ประการ ดังนี้ 2.1 ความชัดเจน ความชัดเจนของปัญหาต้องสามารถยกตัวอย่างอ้างอิง ได้ อธิบายได้ขยายได้ 2.2 ความเที่ยงตรง เป็นคำถามที่ทุกคนสามารถตรวจสอบได้ถูกต้อง ตรงกัน 2.3 ความกระชับ ความพอดี มีความกะทัดรัด ความเหมาะสม ความ สมบูรณ์ของข้อมูล 2.4 ความสัมพันธ์เกี่ยวข้อง เป็นการตั้งคำถามเพื่อคิดเชื่อมโยงหา ความสัมพันธ์ 2.5 ความลึก หมายถึง ความหมายในระดับลึก ความลึกซึ้ง การตั้ง คำถาม ที่สามารถเชื่อมโยง ไปยังการคิดหาคำตอบที่ลึกซึ้ง ถือว่าคำถามนั้นมีคุณค่า 2.6 ความกว้างของการมอง เป็นการทดลองเปลี่ยนมุม โดยให้ผู้อื่นช่วย และให้ความสำคัญต่อความคิดเห็นของคนอื่น 2.7 หลักตรรกวิทยา มองในด้านความคิดเห็นและการให้เหตุผลว่าทุก เรื่องที่เรารู้เข้าใจตรงกันหรือไม่ 2.8 ความสำคัญ เป็นการตั้งคำถามเพื่อตรวจสอบว่าสิ่งเร้านั้น มี ความสำคัญอย่างแท้จริงหรือไม่ เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์(2549, น.26-30) ได้กล่าวถึง องค์ประกอบของการ วิเคราะห์ว่ามี 4 ประการ คือ 1. ความสามารถในการตีความ การวิเคราะห์สิ่งต่าง ๆ ได้ต้องเริ่มต้น จากการทำความเข้าใจข้อมูลที่ปรากฏ เริ่มแรกต้องพิจารณาข้อมูลที่ได้รับว่าอะไรเป็นอะไรด้วยการ ตีความ
14 2. ความรู้ความเข้าใจในเรื่องที่จะวิเคราะห์ การที่จะวิเคราะห์ได้ดีนั้น จำเป็นต้องมีความรู้ความเข้าใจพื้นฐานในเรื่องนั้น เพราะความรู้จะช่วยในการกำหนดขอบเขตของ การวิเคราะห์แจกแจงและจำแนกได้ว่าเรื่องนั้นเกี่ยวข้องกับอะไร มีองค์ประกอบย่อย ๆ อะไรบ้าง มีกี่หมวดหมู่ จัดลำดับความสำคัญอย่างไร 3. ความช่างสังเกต ช่างสงสัย และช่างซักถาม นักคิดวิเคราะห์จะต้องมี องค์ประกอบทั้งสามนี้ ร่วมด้วย คือ ต้องเป็นคนที่ชอบสังเกต สามารถค้นพบความผิดปกติ ท่ามกลางสิ่งที่ดูอย่างผิวเผินแล้วเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ต้องเป็นคนที่ช่างสงสัย เมื่อเห็นความ ผิดปกติแล้วไม่ละเลยไปแต่หยุดพิจารณาของการคิดไตร่ตรองและต้องเป็นคนช่างถาม ชอบตั้ง คำถามกับตัวเองและคนรอบข้างเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้น เพื่อนำไปสู่การคิดต่อเกี่ยวกับเรื่องนั้น การตั้ง คำถามจะนำไปสู่การสืบค้นความริงและเกิดความชัดเจน ในประเด็นที่ต้องการวิเคราะห์คำถามที่ เกี่ยวข้องกับการคิดวิเคราะห์จะยึดหลัก 5W1H ประกอบด้วย Who (ใคร) What (อะไร) Where (ที่ไหน) When (เมื่อไหร่) Why (เพราะ เหตุใด) และ How (อย่างไร) 4. ความสามารถในการหาความสัมพันธ์เชิงเหตุผล นักคิดวิเคราะห์ต้อง มีความสามารถในการหาความสัมพันธ์เชิงเหตุผล สามารถค้นหาคำตอบได้ว่าสาเหตุที่ทำให้เกิดสิ่ง นี้ เรื่องนั้นเชื่อมโยงกับเรื่องนี้ได้อย่างไร เรื่องนี้มีใครเกี่ยวข้องบ้าง เกี่ยวข้องกันอย่างไร เมื่อเกิด เรื่องนี้ส่งผลกระทบอย่างไรบ้าง สาเหตุที่ก่อให้เกิดเหตุการณ์นี้ องค์ประกอบใดบ้างที่นำไปสู่สิ่งนั้น วิธีการขั้นตอนการทำให้เกิดสิ่งนี้ สิ่งนี้ประกอบด้วยอะไรบ้าง แนวทางการแก้ไขปัญหามีอะไรบ้าง ถ้าทำเช่นนี้จะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต และคำถามอื่น ๆ ที่มุ่งการออกแรงทางสมองให้ต้องขบคิด อย่างมีเหตุผลเชื่อมโยงกับเรื่องที่เกิดขึ้น สุวิทย์ มูลคำ และ อรทัย มูลคำ (2550, น.23-24) กล่าวถึง องค์ประกอบของ ทักษะการคิดวิเคราะห์ว่าประกอบด้วย 3 ด้านดังนี้ 1. การวิเคราะห์ส่วนประกอบ เป็นความสามารถในการหาส่วนประกอบ ที่สำคัญของสิ่งของหรือเรื่องราวต่าง ๆ เช่น การวิเคราะห์ส่วนประกอบของ พืช สัตว์ ข่าว ข้อความ หรือเหตุการณ์เป็นต้น 2. การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ เป็นความสามารถในการหาความสัมพันธ์ ของส่วนต่าง ๆ โดยการระบุความสำคัญระหว่างแนวคิด ความสัมพันธ์ในเชิงเหตุผลหรือความ แตกต่างระหว่างข้อโต้แย้งที่เกี่ยวข้องและไม่เกี่ยวข้อง 3. การวิเคราะห์หลักการ เป็นความสามารถในการหาหลักความสัมพันธ์ ส่วนสำคัญในเรื่องนั้น ๆ ว่าสัมพันธ์กันอยู่โดยอาศัยหลักการใด จากที่กล่าวมาข้างต้น กล่าวสรุปได้ว่าองค์ประกอบการคิดวิเคราะห์ ประกอบด้วย 3 ลักษณะคือ องค์ประกอบการคิดวิเคราะห์ลักษณะที่หนึ่งคือ การตั้งคำถามเพื่อ ตีความวิเคราะห์ องค์ประกอบการคิดวิเคราะห์ลักษณะที่สองคือ การใช้เหตุผลเพื่อตีความ วิเคราะห์ และสุดท้ายการคิดวิเคราะห์ที่อาศัยความเข้าใจเพื่อตีความวิเคราะห์ 2.2.3 ประโยชน์ของการคิดวิเคราะห์ การคิดวิเคราะห์มีประโยชน์ต่อบุคคลทุกคนในการนำไปใช้ เพื่อการดำรงชีวิต ร่วมกับผู้อื่นในสังคมอย่างมีความสุข ความสมหวังดังที่ตนปรารถนา โดยมีนักการศึกษาได้กล่าวถึง ประโยชน์ของการคิดวิเคราะห์ไว้ ดังนี้
15 สุวิทย์ มูลคำ และ อรทัย มูลคำ (2550, น.39) ได้กล่าวถึงประโยชน์ของการคิด วิเคราะห์ไว้ดังนี้ 1. ช่วยให้รู้ข้อเท็จจริง ข้อเท็จจริงเป็นฐานความรู้ในการนำไปใช้ในการตัดสินใจ แก้ไขปัญหา การประเมินและการตัดสินใจในเรื่องต่าง ๆ ได้อย่างถูกต้อง 2. ช่วยในการสำรวจความสมเหตุสมผลของข้อมูลที่ปรากฏและไม่ด่วนสรุปตาม อารมณ์ความรู้สึกหรืออคติ แต่สืบค้นตามหลักเหตุผลและข้อมูลที่เป็นจริง 3. ช่วยให้ไม่ด่วนสรุปสิ่งใดได้ง่าย ๆ แต่สื่อสารตามความเป็นจริงขณะเดียวกันจะ ช่วยให้เราไม่หลงเชื่อข้ออ้างที่เกิดจากตัวอย่างเพียงอย่างเดียว แต่พิจารณาเหตุผล และปัจจัย เฉพาะในแต่ละกรณีได้ 4. ช่วยในการพิจารณาสาระสำคัญอื่น ๆ ที่ถูกบิดเบือนไปจากความประทับใจ ครั้งแรกทำให้เรามองอย่างครบถ้วนในแง่มุมอื่น ๆ ที่มีอยู่ 5. ช่วยพัฒนาความเป็นคนช่างสังเกต การหาความแตกต่างของสิ่งปรากฏ พิจารณาตามความสมเหตุสมผล ของสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนที่จะตัดสินสรุปสิ่งใดลงไป 6. ช่วยให้หาเหตุผลที่สมเหตุสมผลให้กับสิ่งที่เกิดขึ้นจริง ณ เวลานั้นโดยไม่มีอคติ 7. ช่วยประมาณการความน่าจะเป็น โดยสามารถใช้ข้อมูลพื้นฐานที่มี วิเคราะห์ ร่วมกับปัจจัยอื่น ๆ ของสถานการณ์ ณ เวลานั้น อันจะช่วยคาดการณ์ความน่าจะเป็นได้ สมเหตุสมผลมากกว่า จากที่กล่าวมาข้างต้น กล่าวสรุปได้ว่าประโยชน์ของการคิดวิเคราะห์ คือเป็นการ หาความรู้ที่ใช้หลักในการหาข้อเท็จจริง ช่วยให้การติดต่อสื่อสารตามความเป็นจริง และที่สำคัญยัง ช่วยพิจารณา สังเกต ความสมเหตุสมผลของเนื้อหาได้ 3. แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับการจัดการรู้แบบสืบเสาะหาความรู้5 ขั้น (๕E) การจัดการรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น (๕E) เป็นรูปแบบของการเรียนรู้รูปแบบหนึ่ง ที่เน้นให้ นักเรียนมีประสบการณ์ตรงในการเรียนรู้ โดยการแสวงหาและศึกษาค้นคว้า เพื่อสร้างองค์ความรู้ของตนเอง โดยใช้กระบวนการทางวิทยศาสตร์ ซึ่งมีครูผู้สอนคอยอำนวยการและสนับสนุน ทำให้ผู้เรียนสามารถค้นพบ ความรู้หรือแนวทางแก้ปัญหาได้ตัวเอง และสามารถนํามาใช้ในชีวิตประจําวัน ซึ่งถือว่าเป็นกิจกรรมที่เปิด โอกาสให้ผู้เรียนได้นําความรู้ หลักการ แนวคิดหรือทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ไปเชื่อมโยงกับประเด็นปัญหาที่ ผู้เรียนสนใจศึกษา ค้นคว้า และลงมือปฏิบัติ ด้วยตนเอง ตามความสามารถและความถนัดของตนเองอย่าง เป็นอิสระ ทำให้ การเรียนแบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้นตอนนี้เป็นรูปแบบหนึ่งของการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียน เป็นสำคัญ ซึ่งมีผู้ได้ให้นิยามความหมายไว้ดังนี้ 3.1 ความหมายของการจัดการรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น (๕E) สุวัฒก์ นิยมค้า (2531, หน้า 53) ได้ให้ความหมายของ การจัดการเรียนรู้แบบสืบ เสาะหาความรู้ หมายถึง การสอนที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง โดยใช้วิธีการและ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เป็นเครื่องมือในการค้นหาความรู้ที่ผู้เรียนยังไม่เคยมีความรู้นั้นมา ก่อน ภพ เลาหไพบูลย์ (2542, หน้า 123) ได้ให้ความหมายของ การจัดการเรียนรู้แบบสืบ เสาะหาความรู้ หมายถึง วิธีการสอนที่เน้นกระบวนการแสวงหาความรู้ที่จะช่วยให้นักเรียนได้ ค้นพบความจริงต่าง ๆ ด้วยตนเอง เพื่อให้นักเรียนได้มีประสบการณ์ตรงในการเรียนรู้เนื้อหาวิชา
16 ทิศนา แขมมณี (2553, หน้า 141) ได้ให้ความหมายของ การจัดการเรียนรู้แบบสืบ เสาะหาความรู้ หมายถึง การดำเนินการเรียนการสอน โดยผู้สอนกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดคำถาม เกิด ความคิด และลงมือเสาะแสวงหาความรู้ เพื่อนำมาประมวลหาคำตอบหรือข้อสรุปด้วยตนเอง โดย ที่ผู้สอนช่วยอำนวยความสะดวกในการเรียนรู้ในด้านต่าง ๆ ให้แก่ผู้เรียน จากที่กล่าวมาข้างต้น กล่าวสรุปได้ว่าการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ หมายถึง การจัดการเรียนการสอนที่เน้นให้ผู้เรียนเกิดข้อสงสัยหรือคำถามแล้วแสวงหาความรู้หรือคำตอบ อย่างเป็นกระบวนการด้วยตนเอง โดยมีผู้สอนช่วยอำนวยความสะดวกในการเรียนรู้ให้แก่ผู้เรียน 3.2 ขั้นตอนการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น (๕E) มีผู้นิยามความหมายในแต่ละขั้นตอนการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้5 ขั้น ไว้ หลากหลายความหมาย ดังตัวอย่างเช่น บายบีและคณะ (Bybee et al., 2006, p. 2) ได้นิยามความหมายในแต่ละขั้นตอนการ เรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้นไว้ดังนี้ ขั้นที่ 1 ขั้นสร้างความสนใจ (Engagement) ครูเข้าถึงความรู้เก่าของนักเรียนและช่วยให้ นักเรียนสนใจในมโนมติใหม่ด้วยกิจกรรมสั้น ๆ ที่กระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นและตรวจสอบ ความรู้เดิม กิจกรรมควรเชื่อมระหว่างความรู้เดิมกับความรู้ใหม่ แสดงมโนมติก่อนหน้าออกมา และ จัดระเบียบความคิดที่มีต่อผลการเรียนรู้ของกิจกรรม ขั้นที่ 2 ขั้นสำรวจและค้นหา (Exploration) ครูเตรียมกิจกรรมให้นักเรียนสำรวจและ ค้นหาอาจจะเป็นการทดลองที่ช่วยนักเรียนได้ใช้ความรู้เก่าในการสร้างความคิดใหม่ สำรวจและ ค้นหาข้อสงสัย และออกแบบวิธีการหาคำตอบ ขั้นที่ 3 ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป (Explanation) ขั้นอธิบายและลงข้อสรุปจะมุ่งไปที่ มุมมองของนักเรียนหลังจากผ่านการสร้างความสนใจและการสำรวจค้นหาโดยเปิดโอกาสให้ นักเรียนแสดงความเข้าใจ ทักษะกระบวนการ หรือพฤติกรรม ในขั้นนี้ครูคอยช่วยแนะนำให้ นักเรียน รวมไปถึงครูอธิบายให้นักเรียนมีความเข้าใจที่ลึกมากขึ้นซึ่งเป็นส่วนที่สำคัญของขั้นนี้ ขั้นที่ 4 ขั้นขยายความรู้ (Elaboration) ครูเปิดโอกาสให้นักเรียนนำความเข้าใจและ ทักษะไปใช้กับสถานการณ์ใหม่ด้วยกิจกรรมเพิ่มเติมเพื่อนักเรียนจะได้มีความเข้าใจข้อมูลและ ทักษะที่มากขึ้น ขั้นที่ 5 ขั้นประเมิน (Evaluation) ขั้นการประเมินเป็นขั้นที่นักเรียนจะถูกประเมินความ เข้าใจและความสามารถเพื่อครูจะได้ทราบถึงความก้าวหน้าและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนว่าเป็นไป ตามของวัตถุประสงค์ในการเรียนหรือไม่ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (2561 ก, หน้า 66-67) ได้นิยาน ความหมายในแต่ละขั้นตอนการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้นไว้ดังนี้ ขั้นที่ 1 ขั้นสร้างความสนใจ (Engagement) คือ ขั้นการนำเข้าสู่บทเรียนหรือเรื่องที่สนใจ ซึ่งอาจเกิดขึ้นเองจากความสงสัยหรืออาจเริ่มจากความสนใจของตัวเองหรือเกิดจากการอภิปราย ภายในกลุ่ม ขั้นที่ 2 ขั้นสำรวจและค้นหา (Exploration) คือ ขั้นการวางแผนกำหนดแนวทางการ สำรวจตรวจสอบ ตั้งสมมติฐานกำหนดทางเลือกที่เป็นไปได้ ลงมือปฏิบัติเพื่อเก็บรวบรวมข้อมูล ข้อสนเทศหรือปรากฎการณ์ต่าง ๆ
17 ขั้นที่ 3 ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป (Explanation) คือ ขั้นการนำข้อมูล ข้อสนเทศที่ได้มา วิเคราะห์ แปลผล สรุปผล และนำเสนอผลที่ได้ในรูปแบบต่าง ๆ ขั้นที่ 4 ขั้นขยายความรู้(Elaboration) คือ ขั้นการนำความรู้ที่สร้างขึ้นไปเชื่อมโยงกับ ความรู้เดิมหรือแนวคิดที่ได้ค้นคว้าเพิ่มเติม หรือนำแบบจำลอง หรือข้อสรุปที่ได้ไปใช้อธิบาย สถานการณ์หรือเหตุการณ์อื่น ๆ ขั้นที่ 5 ขั้นประเมินความรู้(Evaluation) คือ ขั้นการประเมินการเรียนรู้ด้วยกระบวนการ ต่าง ๆ ว่านักเรียนมีความรู้อะไรบ้าง อย่างไร มากน้อยเพียงใด จากที่กล่าวมาข้างต้น กล่าวสรุปได้ว่าขั้นตอนการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น มีทั้งหมด 5 ขั้นตอน คือ ขั้นที่ 1 ขั้นสร้างความสนใจ (Engagement) ขั้นที่ 2 ขั้นสำรวจและ ค้นหา(Exploration) ขั้นที่ 3 ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป (Explanation) ขั้นที่ 4 ขั้นขยายความรู้ (Elaboration) และขั้นที่ 5 ขั้นประเมินความรู้ (Evaluation) สามารถแสดงแผนภาพวัฏจักรการ เรียนรู้แบบ 5 ขั้น (5E Learning Cycle Model) ได้ดังนี้เรียนรู้แบบ 5 ขั้น (5E Learning Cycle Model) ได้ดังนี้ ภาพที่ 2 แผนภาพวัฏจักรการเรียนรู้แบบ 5 ขั้น (ที่มา : https://www.krupatom.com/education) 4. แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับเทคนิคการจัดการเรียนรู้แบบ 5W1H การจัดการเรียนรู้แบบ 5W1H เป็นการตั้งประเด็นถามตอบ เพื่อให้นักเรียนได้บรรลุตามเป้าหมาย ที่กำหนดไว้โดยใช้คำถาม 5W1H ซึ่งเป็นทฤษฎีความคิดของบลูม (Bloom) 4.1 ความหมายของเทคนิคการจัดการเรียนรู้แบบ 5W1H วิทวัฒน์ ขัตติยะมาน, และอมลวรรณ วีระธรรมโม (2549) ได้ให้ความหมายของการจัด กิจกรรมการเรียนรู้แบบ 5W1H ไว้ว่า เป็นทฤษฎีความคิดของบลูม (Bloom) ในการใช้คำถาม 5W1H ว่าประกอบด้วยคำถาม 6 ประเภท ดังนี้ 1. Who (ใคร) คือ สิ่งที่เราต้องรู้ว่า ใครรับผิดชอบ ใครเกี่ยวข้อง ใครได้รับผลกระทบใน เรื่องนั้นบ้าง 2. What (ทำอะไร) คือ สิ่งที่เราต้องรู้ว่า เราจะทำอะไร แต่ละคนทำอะไรบ้าง 3. Where (ที่ไหน) คือ สิ่งที่เราต้องรู้ว่า สถานที่ที่เราจะทำว่าจะทำที่ไหน เหตุการณ์นั้น อยู่ที่ไหน 4. When (เมื่อไหร่) คือ สิ่งที่เราต้องรู้ว่า ระยะเวลาที่จะทำจนถึงสิ้นสุด เหตุการณ์หรือสิ่ง ที่ทำนั้น ทำเมื่อวัน เดือน ปี ใด 5. Why (ทำไม) คือ สิ่งที่เราต้องรู้ว่าสิ่งที่เราจะทำนั้นทำด้วยเหตุผลใดเหตุใดจึงได้ทำสิ่ง นั้นหรือเกิดเหตุการณ์นั้น ๆ
18 6. How (อย่างไร) คือ สิ่งที่เราต้องรู้ว่า เราจะสามารถทำทุกอย่างให้บรรลุผลได้อย่างไร เหตุการณ์ หรือสิ่งที่ทำนั้นทำอย่างไรบ้าง เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์ (2553: 95) อธิบายว่า เทคนิคการสอน 5W1H เป็นการฝึก ตั้งคำถามเชิงวิเคราะห์เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงใหม่ (ความเข้าใจใหม่ ๆ อันเป็นประโยชน์ต่อการ อธิบาย การประเมิน การแก้ปัญหา และการตัดสินใจที่รอบคอบมากขึ้น ดังนั้น ขอบเขตของคำถาม ที่เกี่ยวข้องกับกรคิดเชิงวิเคราะห์ จึงเกี่ยวข้องกับการจำแนกแจกแจงองค์ประกอบและการหา ความสัมพันธ์เชิงเหตุผลของเรื่องที่วิเคราะห์ โดยคำถามจะอยู่ในขอบข่าย 5W1H) ใคร (Who) ทำ อะไร (What) ที่ไหน (Where) เมื่อไร (When) ทำไม (Why) อย่างไร (How) เพื่อนำไปสู่การค้นหา ความจริงเกี่ยวกับเรื่องนั้นในแง่มุมต่าง ๆ นอกเหนือจากสิ่งที่ปรากฏ 4.2 ประโยชน์ของการคิดวิเคราะห์ 5W1H 1. ทำให้เรารู้ข้อเท็จจริง รู้เหตุผลเบื้องหลังของสิ่งที่เกิดขึ้น เข้าใจความเป็นมาเป็นไปของ เหตุการณ์นั้น 2. ใช้เป็นฐานความรู้ในการนำไปใช้ในการตัดสินใจแก้ปัญหา 3. ทำให้เราหาเหตุผลที่สมเหตุสมผลให้กับสิ่งที่เกิดขึ้นจริง 4. ทำให้เราสามารถประมาณความน่าจะเป็นได้ 4.3 การสอนเพื่อพัฒนาการคิดวิเคราะห์ การคิดวิเคราะห์เป็นกระบวนการทางปัญญา ซึ่งผู้สอนต้องฝึกฝนให้เกิดขึ้นในตัวผู้เรียน โดย มีนักการศึกษาได้ให้แนวทางในการพัฒนาการคิดวิเคราะห์ ดังนี้คือ สุวิทย์ มูลคำ (อ้างถึงใน วิมล ทองผิว, 2556, น.54) กล่าวว่าการสอนให้นักเรียนคิด วิเคราะห์ โดยใช้เทคนิค 5W1H ดังนี้ 1. What (อะไร) เกิดอะไรขึ้นบ้าง เหตุการณ์นี้เกี่ยวข้องกับอะไร หลักฐานและสาเหตุที่ สำคัญทำให้เกิดเหตุการณ์นี้คืออะไร 2. Where (ที่ไหน) เรื่องนี้เกิดขึ้นที่ไหน เหตุการณ์นั้นน่าจะเกิดขึ้นที่ใด 3. When (เมื่อใด) เวลาที่เหตุการณ์นั้นเกิด เหตุการณ์นั้นน่าจะเกิดขึ้นเมื่อใดและที่ใด 4. Why (ทำไม) สาเหตุหรือมูลเหตุที่เกิดขึ้น เหตุใดต้องเป็นคนนี้ เหตุการณ์นี้เกิดขึ้น เพราะเหตุใด ทำไมจึงเกิดเรื่องนี้ 5. Who (ใคร) บุคคลสำคัญที่เกี่ยวข้องที่จะได้รับผลกระทบทั้งด้านบวกและด้านลบ เหตุการณ์นี้ใครอยู่บ้าง ใครน่าจะเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้บ้าง เหตุการณ์นี้ใครได้ประโยชน์ ใครเสีย ประโยชน์ 6. How (อย่างไร) เขาทำสิ่งนี้ได้อย่างไร ลำดับเหตุการณ์นี้ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไรบ้างมีหลัก ในการพิจารณาคนดีอย่างไรบ้าง การสอนคิดวิเคราะห์โดยใช้เทคนิค 5W1H จะสามารถช่วยไล่เรียงความชัดเจนในแต่ละ เรื่องได้เป็นอย่างดี ทำให้เกิดความครบถ้วนสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับทิศนา แขมมณีและ คณะ (อ้างถึงใน วิมล ทองผิว, 2556, น.53) ได้กล่าวสรุปไว้ว่าการสอนเพื่อพัฒนาการคิด ประกอบด้วย 1. การตั้งคำถาม ทั้งคำถามเดียวและคำถามแบบชุด
19 2. การใช้แผนที่ความคิด (Mind Mapping) ฝึกการวิเคราะห์และสังเคราะห์ 3. การเรียนรู้แบบปรึกษาหารือ 4. บันทึกการเรียนรู้ บันทึกข้อสงสัย ความรู้สึกส่วนตัว ความคิดที่เปลี่ยนไป 5. การถามตนเอง เรื่องการวางแผน จัดระเบียบ คิดไตร่ตรองในเรื่องการเรียนรู้ของ ตนเอง 6. การประเมินตนเอง เพื่อประเมินความคิดและความรู้สึกของตนเอง จากที่กล่าวมาข้างต้น กล่าวสรุปได้ว่าการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้เทคนิค 5W1H เป็นเทคนิคอย่างหนึ่งที่ช่วยพัฒนาในด้านการคิดการตอบคำถาม โดย 5W หมายถึง Who (ใคร), What (ทำอะไร), Where (ที่ไหน), When (เมื่อไหร่),Why (ทำไม) และ 1H หมายถึง How (ผล เป็นอย่างไร) ที่จะมาเป็นตัวช่วยในการสร้างกระบวนการคิดและได้ผลและถูกถ่ายทอดออกมาเพื่อ เกิดภาพลักษณ์ และองค์ความรู้ที่สมบูรณ์ 5. แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับจรรยาบรรณวิชาชีพครู จรรยาบรรณ เป็นความประพฤติของผู้ที่ประกอบอาชีพหนึ่งอาชีพใดกำหนดขึ้นมา เพื่อเป็น กฎใน การรักษาชื่อเสียง และส่งเสริมเกียรติคุณ และฐานะของผู้มีอาชีพนั้น ๆ ในวิชาชีพทุกวิชาชีพ จะต้องมี จรรยาบรรณในการท างานหรือปฏิบัติงาน เพราะจรรยาบรรณเป็นสิ่งที่สำคัญที่สังคมทุกหมู่ เหล่าจะต้องมี ไว้เพื่อคอยควบคุมความประพฤติและการกระทำซึ่งได้มีผู้ให้ความหมาย ไว้ดังนี้ 5.1 ความหมายของจรรยาบรรณวิชาชีพของครู สำนักงานเลขาธิการคุรุสภา (๒๕๕๐) กล่าวไว้ว่าจรรยาบรรณวิชาชีพ หมายถึง การ ประพฤติปฏิบัติของบุคคลที่มีการควบคุมดูแลเมื่อประกอบอาชีพ ซึ่งจรรยาบรรณวิชาชีพ จะถูก สร้างขึ้นมาเป็นแนวบรรทัดฐานจากประสบการณ์ และเพื่อให้เป็นที่ยอมรับกันในหมู่ผู้ประกอบ วิชาชีพนั้นๆ เป็นเบื้องต้น เพื่อต่อไปจะได้ถือเป็นแนวปฏิบัติอย่างเข้มงวดของแต่ละวิชาชีพ เช่น การควบคุมวิชาชีพทางการแพทย์ ทนายความ หรือวิศวกรรม เป็นต้น ซึ่งแต่ละวิชาชีพจะมีลักษณะ พิเศษหรือมีเอกลักษณ์ของวิชาชีพของตน ดังนั้นจรรยาบรรณของแต่และวิชาชีพสามารถมี รายละเอียดของจรรยาบรรณวิชาชีพต่างกัน แต่ที่มักมีลักษณะคล้ายคลึงกันก็คือมักมีข้อกำหนดที่ เป็นข้อปฏิบัติที่ต้องควบคุมอย่างเคร่งครัดกับข้อปฏิบัติที่ถือเป็นวินัยของวิชาชีพ ซึ่งทั้งสองประการ นี้จะต้องพิจารณาให้เป็นไปตามหลักสากลที่มีอยู่และถือปฏิบัติกันอยู่ด้วย อย่างไรก็ตามในบาง วัฒนธรรมและบางประเทศอาจไม่เห็นด้วยกับจรรยาบรรณหรือวินัยของการอาชีพเดียวกันของ ประเทศอื่นก็ได้ ดังตัวอย่างเช่น การฉวยโอกาสใช้ไปรแกรมคอมพิวเตอร์ซอฟต์แวร์นั้น ในบาง สังคมอาจเห็นเป็นโอกาสที่ใช้ความฉลาดเหนือกว่า ที่ไม่ถือเป็นการผิดจรรยาบรรณ ขณะที่ในอีก สังคมหรือวัฒนธรรมอื่นเห็นว่า มีความผิดที่ยอมรับไม่ได้ เช่นนี้เป็นต้น ดังนั้น มาตรฐานวิชาชีพก็ดี เจตคติต่อวิชาชีพก็ดี และการประพฤติปฏิบัติก็ตาม ย่อมขึ้นกับการมองไปข้างหน้าตาม แนวความคิดความเชื่อของแต่ละวัฒนธรรมด้วย สำหรับจรรยาบรรณวิชาชีพทางการศึกษานั้น เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่า วิชาชีพ ทางการศึกษาเป็นวิชาชีพที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นวิชาชีพชั้นสูงไม่ยิ่งหย่อนกว่าอาชีพอื่น ทั้งนี้ ผู้ ประกอบวิชาชีพจะต้องมีความรับผิดชอบสูง เพราะมีผลกระทบต่อผู้รับบริการและสาธารณชนมาก จึงต้องมีการควบคุมการประกอบวิชาชีพเป็นพิเศษ เพื่อให้เกิดความมั่นใจต่อผู้รับบริการและ สาธารณชน โดยผู้ประกอบวิชาชีพต้องประกอบวิชาชีพด้วยวิธีการแห่งปัญญา ได้รับการศึกษา
20 อบรมมาอย่างเพียงพอ มีอิสระในการใช้วิชาชีพตามมาตรฐานวิชาชีพและมีจรรยาบรรณของ วิชาชีพ รวมทั้งต้องมีสถาบันวิชาชีพหรือองค์กรวิชาชีพ เป็นแหล่งกลางในการสร้างสรรค์จรรโลง วิชาชีพ ณรงค์ สิทธิประเสริฐ (2537) ให้ของจรรยาบรรณไว้ว่า จรรยาบรรณ คือสิ่งที่ช่วยควบคุม มาตรฐานในการประกอบวิชาชีพ รวมทั้ง จริยธรรมของผู้ประกอบวิชาชีพ โดยเน้นในภาพลักษณ์ที่ ดีในด้านผู้มีคุณธรรม และทำหน้าที่พิทักษ์ สิทธิตามกฎหมายสำหรับผู้ประกอบอาชีพ ให้เป็นไป ในทางที่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม ดังนั้นทุก วิชาชีพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิชาชีพทางการศึกษา จะต้องมีการกำหนดจรรยาบรรณไว้อย่างชัดเจนเป็น ลายลักษณ์อักษร เพื่อรักษาหรือส่งเสริม เกียรติคุณชื่อเสียง และฐานะของวิชาชีพต่อไป ปัทมา สิงหนุต (2540: 77) ได้กล่าวไว้ว่า จรรยาบรรณวิชาชีพ เป็นประมวลความ ประพฤติหรือกริยาอาการที่ผู้ประกอบวิชาชีพครูควรประพฤติปฏิบัติ เพื่อรักษาส่งเสริมเกียรติคุณ ชื่อเสียงและฐานะของความเป็นครู พิชัย ไชยสงคราม (2542: 126) ได้กล่าวไว้ว่า จรรยาบรรณครูเป็นข้อกำหนดหรือ ข้อ ปฏิบัติที่ผู้มีอาชีพครูควรประพฤติปฏิบัติ เพื่อรักษาส่งเสริมผู้ประกอบวิชาชีพครู ให้มีพฤติกรรม ที่ เหมาะสมกับความเป็นครูส่วนผกา สัตยธรรม (2544: 43) ได้กล่าวไว้ว่า จรรยาบรรณครู เป็น การกำหนดข้อปฏิบัติหรือคุณธรรมเพื่อใช้เป็นหลักปฏิบัติในวิชาชีพครูของผู้ที่เป็นครู เพื่อให้เกิด ความพอใจทั้งผู้ที่กำหนดเองคือครู และผู้ที่เกี่ยวข้องด้วยคือศิษย์ โดยมีหลักการที่ถูกต้องเหมาะสม นอกจากนี้ ยนต์ ชุ่มจิต (2550: 200) ได้กล่าวไว้ว่า จรรยาบรรณวิชาชีพ เป็นประมวลความ ประพฤติหรือกริยาอาการที่ผู้ประกอบวิชาชีพครูควรปฏิบัติ เพื่อรักษาส่งเสริมเกียรติคุณชื่อเสียง และฐานะของความเป็นครูและสถาบันวิชาชีพครู สำหรับจรรยาบรรณวิชาชีพทางการศึกษาในประเทศไทยนั้น ได้มีการกำหนดไว้ใน พระราชบัญญัติสภาครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๖ มาตรา ๕๐ ชัดเจน คือ มาตรฐาน การปฏิบัติตน ให้กำหนดเป็นข้อบังคับว่าด้วยจรรยาบรรณของวิชาชีพ ประกอบด้วย (สำนักงาน เลขาธิการคุรุสภา, พระราชบัญญัติสภาครูและบุคลากรทางการศึกษา ๒๕๔๖ : ๒๗) 1) จรรยาบรรณต่อตนเอง 2) จรรยาบรรณต่อวิชาชีพ 3) จรรยาบรรณต่อผู้รับบริการ 4) จรรยาบรรณต่อผู้ร่วมประกอบวิชาชีพ 5) จรรยาบรรณต่อสังคม จรรยาบรรณทั้ง ๕ ประการนี้ คุรุสภาได้มีแผนพฤติกรรมของจรรยาบรรณแต่ละข้อไว้ ชัดเจนแล้วในมาตรฐานวิชาชีพทางการศึกษา ในเรื่อง มาตรฐานการปฏิบัติตนของผู้ประกอบ วิชาชีพทางการศึกษา ซึ่งหมายถึง ครู ผู้บริหารสถานศึกษา ผู้บริหารการศึกษา และศึกษานิเทศก์ ดังต่อไปนี้ (สำนักงานเลขาธิการคุรุสภา, มาตรฐานวิชาชีพทางการศึกษา ๒๕๔๘ : ๑๕) ๑. จรรยาบรรณต่อตนเอง ผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา ต้องมีวินัยในตนเอง พัฒนาตนเองตามแนวทางวิชาชีพ บุคลิกภาพ และวิสัยทัศน์ที่ทันต่อการพัฒนาทาง วิทยาการ เศรษฐกิจ สังคม และการเมืองอยู่เสมอ
21 ๒. จรรยาบรรณต่อวิชาชีพ ผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา ต้องรัก ศรัทธา ซื่อสัตย์สุจริต รับผิดชอบต่อวิชาชีพ และเป็นสมาชิกที่ดีขององค์กรวิชาชีพ ๓. จรรยาบรรณต่อผู้รับบริการ ผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา ต้องรัก เมตตา เอาใจใส่ ช่วยเหลือ ส่งเสริมให้กำลังใจแก่ศิษย์ และผู้รับบริการ ตามบทบาทหน้าที่โดย เสมอหน้า และต้องส่งเสริมให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้มีทักษะ และมีอุปนิสัยที่ถูกต้องดี งามในฐานะผู้รับบริการ ตามบทบาทหน้าที่อย่างเต็มความสามารถ ด้วยความบริสุทธิ์ใจ อีกทั้งจะต้องประพฤติปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างที่ดี ทั้งทางกาย วาจา และจิตใจ ต้องไม่ กระทำตนเป็นปฏิปักษ์ต่อความเจริญทางกาย สติปัญญา จิตใจ อารมณ์ และสังคมของ ศิษย์ และผู้รับบริการ สุดท้ายผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา ต้องให้บริการด้วยความ จริงใจและเสมอภาค โดยไม่เรียกรับหรือยอมรับผลประโยชน์จากการใช้ตำแหน่งหน้าที่ โดยมิชอบ ๔. จรรยาบรรณต่อผู้ร่วมประกอบวิชาชีพ ผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา จึง ช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกันอย่างสร้างสรรค์ โดยยึดมั่นในระบบคุณธรรม สร้างความ สามัคคีในหมู่คณะ ๕. จรรยาบรรณต่อสังคม ผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา พึงประพฤติปฏิบัติตน เป็นผู้นำในการอนุรักษ์และพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม ศาสนา ศิลปวัฒนธรรม วุฒิปัญญา สิ่งแวดล้อม รักษาผลประโยชน์ของส่วนรวม และยึดมั่นในการปกครองระบอบ ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข จากที่กล่าวมาข้างต้นสรุปได้ว่า จรรยาบรรณวิชาชีพ ประกอบด้วยกัน ๕ ข้อ คือ จรรยาบรรณต่อตนเอง จรรยาบรรณต่อวิชาชีพ จรรยาบรรณต่อผู้รับบริการ จรรยาบรรณต่อผู้ร่วม ประกอบวิชาชีพและจรรยาบรรณต่อสังคม ซึ่งเป็นข้อกำหนดที่มีไว้เพื่อให้ผู้ที่ประกอบวิชา ชีพครู ได้ยึดถือปฏิบัติตนได้ถูกต้องและเหมาะสม
22 บทที่ 3 วิธีการดำเนินงานวิจัย การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อการพัฒนาการอ่านคิดวิเคราะห์วรรณคดีไทย โดยใช้การจัดการรู้ แบบสืบเสาะหาความรู้5 ขั้น (๕E) ร่วมกับเทคนิค 5W1H ในรายวิชาภาษาไทยบูรณาการกับจรรยาบรรณ วิชาชีพครู สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนอนุบาลสงขลา โดยผู้วิจัยมีวิธีการดำเนินงานวิจัย ดังนี้ 1. รูปแบบการวิจัย 2. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 3. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 4. การสร้างและการหาคุณภาพของเครื่องมือในการวิจัย 5. การเก็บรวบรวมข้อมูล 6. การวิเคราะห์ข้อมูล 7. สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล 1. รูปแบบการวิจัย วิจัยการพัฒนาการอ่านคิดวิเคราะห์วรรณคดีไทย โดยใช้การจัดการรู้แบบสืบเสาะหาความรู้๕ ขั้น (๕E) ร่วมกับเทคนิค 5W1H ในรายวิชาภาษาไทยบูรณาการกับจรรยาบรรณวิชาชีพครู สำหรับนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนอนุบาลสงขลาซึ่งผู้วิจัยได้นำรูปแบบการวิจัย Action Research มาใช้การ ดำเนินงานในการทำวิจัยดังนี้ วงจรการวิจัยเชิงปฏิบัติการ วงรอบที่ 1 ขั้นตอนที่ 1 การวางแผน (Plan) ผู้วิจัยทำการวางแผนเพื่อหาวิธีการ แนวทาง ในการสืบค้นว่า นักเรียนในปีการศึกษา 256๖ ที่ผู้วิจัยรับผิดชอบสอนว่าขาดทักษะใดหรือควรพัฒนาทักษะใด จากนั้น ผู้วิจัยคิดค้นว่าเลือกใช้วิธีใดเพื่อให้ทราบว่านักเรียนขาดทักษะใดบ้าง ได้ผลสรุปว่า ใช้วิธีการสังเกต แบบทดสอบ และการสุ่มถามคำถามและผู้วิจัยทำการบันทึกข้อมูล และมีการทำ PLC (Professional กำหนดเป้าหมาย การวางแผน ดำเนินการเก็บ ข้อมูลปัญหา การสังเกตเลือกทักษะที่ ต้องการพัฒนานักเรียน สรุปผล การวางแผน เลือก นวัตกรรมและเขียน โครงการวิจัย นำแผนไปปฏิบัติ ดำเนินการสอนโดยใช้ เครื่องมือ การสังเกตเก็บ รวบรวมข้อมูล สะท้อนผล จนบรรลุเป้าหมาย วงจรที่ 1 วงจรที่ 2
23 Learning Community) ของครูผู้สอนรายวิชาภาษาไทย ระดับชั้นประถมศึกษา ปีที่ ๖ พูดคุยถึงปัญหาที่ เจอในระดับชั้นเดียวกันและพูดคุยปัญหาร่วมกับอาอาจารย์นิเทศวิชาชีพครู ผู้วิจัยบันทึกข้อมูล ขั้นตอนที่ 2 การปฏิบัติตามแผน (Action) ผู้วิจัยดำเนินการเก็บข้อมูลตามวิธีการที่เลือกใช้ ขั้นตอนที่ 3 การสังเกตตรวจสอบผลจากการปฏิบัติตามแผน (Observe) ผู้วิจัยนำผลที่ได้จาก การบันทึกและเก็บข้อมูล มาวิเคราะห์และสรุปผล ถึงทักษะที่ต้องการพัฒนานักเรียน จากการเก็บข้อมูล และวิเคราะห์ผล ปรากฏว่า นักเรียนขาดทักษะการอ่านคิดวิเคราะห์ ผลสัมฤทธิ์การเรียนตกต่ำ ขั้นตอนที่ 4 การสะท้อนผล (Reflection) ผู้วิจัยสรุปผลว่าจะเลือกพัฒนาทักษะใด มีการพูดคุย ปรึกษากับเพื่อนนิสิตฝึกประสบการณ์วิชาชีพครู โดยทักษะที่เลือกพัฒนาพิจารณาจากความสำคัญและ ความจำเป็นของนักเรียนนั้น โดยได้ผลสรุปว่า ผู้วิจัยเลือกพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ทักษะการคิด วิเคราะห์ และความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ วงรอบที่ 2 ขั้นตอนที่ 1 การวางแผน (plan) ผู้วิจัยทำการศึกษานวัตกรรมและเทคนิคต่าง ๆ จากหนังสือ เอกสาร และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องร่วมกับครูพี่เลี้ยง เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและทักษะการคิด วิเคราะห์ให้แก่นักเรียน จากการศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้องได้ผลสรุปว่า เลือกใช้วิธีสอนแบบสืบเสาะหา ความรู้ร่วมกับเทคนิค5W1H บูรณาการจรรยาบรรณวิชาชีพครู ในรายวิชาภาษาไทย สำหรับนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนอนุบาลสงขลา เพื่อพัฒนาทักษะการอ่านคิดวิเคราะห์วรรณคดีไทย จากนั้น จัดเตรียมโครงการวิจัย โดยการศึกษาเอกสาร ตาราง ข้อมูล สถิติ ปัญหา วรรณกรรม รวมถึงงานวิจัยที่ เกี่ยวข้อง และสร้างเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนวิชาภาษาไทย แบบทดสอบวัดทักษะการคิดวิเคราะห์ การตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือ และ ปรับปรุงคุณภาพเครื่องมือ และเขียนโครงการวิจัย ระบุรายละเอียดการดำเนินการ ได้แก่ 1) ชื่อเรื่องวิจัย 2) ความเป็นมา และความสำคัญของปัญหา 3) วัตถุประสงค์ของการวิจัย 4) ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ และ 5) วิธีดำเนินการวิจัย ประกอบด้วยประชากรหรือกลุ่มเป้าหมาย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย การเก็บ รวบรวมข้อมูล และการวิเคราะห์ข้อมูล ขั้นตอนที่ 2 การปฏิบัติตามแผน (action) ดำเนินการตามแผนการสอนที่กำหนดใน โครงการวิจัย มีรายละเอียดของแต่ละขั้นตอนและกรอบเวลาดำเนินการอย่างชัดเจน เพื่อให้สามารถปฏิบัติ ได้ครบถ้วนสมบูรณ์ ภาพประกอบที่ ๓ ขั้นตอนการวางแผน ภาพประกอบที่ ๔ ขั้นตอนที่ 2 การปฏิบัติตามแผน (action) เก็บข้อมูลนักเรียน ภาพประกอบที่ ๕ ขั้นตอนที่ 3 การสังเกต ตรวจสอบ ผลจากการปฏิบัติ ตามแผน (observe) วิเคราะห์ผลจากการเก็บข้อมูล ภาพประกอบที่ ๖ ขั้นตอนที่ 4 การสะท้อน ผล (reflection) สรุป ทักษะที่เลือกพัฒนา
24 ขั้นตอนที่ 3 การสังเกตตรวจสอบผลจากการปฏิบัติตามแผน (observe) เมื่อดำเนินการสอน ตามแผนการจัดการเรียนรู้สมบูรณ์ ผู้วิจัยทำการวัดและประเมินผลนักเรียนโดยการให้ทำแบบทดสอบวัดผล สัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาไทยและแบบทดสอบวัดทักษะการคิดวิเคราะห์ ขั้นตอนที่ 4 การสะท้อนผล (reflection) ผู้วิจัยทำการการสะท้อนความคิดเห็นต่อผลการวิจัยที่ ได้จากการทำกิจกรรมแบบสืบเสาะแสวงหากับเทคนิค ๕W1H จะเห็นว่าการให้นักเรียนได้เรียนรู้ด้วย ตนเอง สามารถช่วยให้นักเรียนเรียนรู้ได้ดียิ่งขึ้น เห็นได้จากกิจกรรมที่ใช้เกมเข้ามาร่วมในการเรียนการสอน ทำให้นักเรียนสนใจและให้ความร่วมมือกับการเรียนมากยิ่งขึ้น สนุกและได้ความรู้ นักเรียนมีความ กระตือรือร้นในการเรียน และขอทำกิจกรรมดังกล่าวมากยิ่งขึ้นในหน่วยการเรียนรู้อื่น ๆ และการนำ ผลการวิจัยที่ได้ไปแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับครูในกลุ่มสาระซึ่งจากผลการวิจัยครั้งนี้ครูในกลุ่มสาระท่านอื่น สามารถนำไปประยุกต์ใช้และขยายผลต่อไป ๒. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ๒.1 ประชากรของการวิจัยครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นประถมประถมศึกษาปีที่ ๖ โรงเรียนอนุบาล สงขลา อำเภอเมืองสงขลา จังหวัดสงขลา ที่กำลังศึกษาอยู่ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 256๖ จำนวน ๗ ห้องเรียน จำนวน 265 คน ๒.2 กลุ่มตัวอย่างของการวิจัยครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นประถมประถมศึกษาปีที่ ๖ โรงเรียนอนุบาล สงขลา อำเภอเมืองสงขลา จังหวัดสงขลา ที่กำลังศึกษาอยู่ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 256๖ ห้องเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6/๑ จำนวน 33 คน ได้มาด้วยการสุ่มอย่างง่าย (SimpleRandom Sampling) ด้วย วิธีการจับสลากโดยใช้ห้องเรียนเป็นหน่วยสุ่ม ๓. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย สำหรับเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ประกอบด้วย ๔ ส่วน คือ ๓.1 แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น ร่วมกับ เทคนิค 5W1H ในรายวิชาภาษาไทยบูรณาการกับจรรยาบรรณวิชาชีพ จำนวน ๔ การเรียนรู้ จำนวน ๘ ชั่วโมง ได้แก่ ๓.1.1 แผนการจัดการเรียนรู้เรื่องรามเกียรติ์ ตอน ศึกไมยราพ ๓.1.2 แผนการจัดการเรียนรู้เรื่องขุนช้างขุนแผน ตอน กำเนิดพลายงาม ๓.1.3 แผนการจัดการเรียนรู้เรื่องนิทานทองอิน ตอน นากพระโขนงที่สอง ๓.1.4 แผนการจัดการเรียนรู้เรื่องสุภาษิตสอนหญิง ภาพประกอบที่ ๗ ขั้นตอนการวางแผน ภาพประกอบที่ ๘ ขั้นตอนที่ 2 การปฏิบัติ ตามแผน (action) เก็บ ข้อมูลนักเรียน ภาพประกอบที่ ๙ ขั้นตอนที่ 3 การสังเกต ตรวจสอบ ผลจากการ ปฏิบัติตามแผน (observe) วิเคราะห์ผลจาก การ เก็บข้อมูล ภาพประกอบที่ ๑๐ ขั้นตอนที่ 4 การสะท้อน ผล (reflection) สรุป ทักษะที่เลือกพัฒนา
25 ๓.2 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาไทย แบบปรนัย ทดสอบก่อนเรียนและ หลังเรียน จำนวน 30 ข้อ ๓.3 แบบทดสอบวัดทักษะการคิดวิเคราะห์ แบบอัตนัย จำนวน ๕ ข้อ วัดทักษะการคิด วิเคราะห์ทั้ง 3 ด้าน ได้แก่ 1) การวิเคราะห์เนื้อหา 2) การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ และ 3) การ วิเคราะห์หลักการ ๓.๔ แบบประเมินความพึงพอใจที่มีต่อการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น ร่วมกับเทคนิค 5W1H ในรายวิชาภาษาไทยบูรณาการกับจรรยาบรรณวิชาชีพครู ๔. การสร้างและการหาคุณภาพของเครื่องมือในการวิจัย วิจัยการพัฒนาการอ่านคิดวิเคราะห์วรรณคดีไทย โดยใช้การจัดการรู้แบบสืบเสาะหาความรู้5 ขั้น (๕E) ร่วมกับเทคนิค 5W1H ในรายวิชาภาษาไทยบูรณาการกับจรรยาบรรณวิชาชีพครู สำหรับนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนอนุบาลสงขลา มีขั้นตอนการสร้างและการหาคุณภาพของเครื่องมือในการวิจัย ดังนี้ 1. แผนการจัดการเรียนรู้การอ่านคิดวิเคราะห์วรรณคดีไทย โดยใช้การจัดการรู้แบบสืบ เสาะหาความรู้5 ขั้น (๕E) ร่วมกับเทคนิค 5W1H ในรายวิชาภาษาไทยบูรณาการกับจรรยาบรรณวิชาชีพ ครู จำนวน 4 แผน แผนละ 2 ชั่วโมง จำนวน 8 ชั่วโมง 1.1 ศึกษาหลักการวิธีการสอนการจัดการรู้แบบสืบเสาะหาความรู้5 ขั้น (๕E) ร่วมกับเทคนิค 5W1H ในรายวิชาภาษาไทยบูรณาการกับจรรยาบรรณวิชาชีพครู จากเอกสารและ งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 1.2 ศึกษาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 และ หลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนอนุบาลสงขลาในรายวิชาภาษาไทย เรื่องการอ่านคิดวิเคราะห์ ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ 1.3 สร้างแผนการจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษา ปีที่ ๖ เรื่องการอ่านคิดวิเคราะห์ โดยใช้การจัดการรู้แบบสืบเสาะหาความรู้5 ขั้น (๕E) ร่วมกับ เทคนิค 5W1H ในรายวิชาภาษาไทยบูรณาการกับจรรยาบรรณวิชาชีพครู จำนวน 4 แผน แผนละ 2 ชั่วโมง จำนวน 8 ชั่วโมง 1.4 นำแผนการจัดการเรียนรู้การอ่านคิดวิเคราะห์ โดยใช้การจัดการรู้แบบสืบ เสาะหาความรู้5 ขั้น (๕E) ร่วมกับเทคนิค 5W1H ในรายวิชาภาษาไทยบูรณาการกับจรรยาบรรณ วิชาชีพครู จำนวน 4 แผน แผนละ 2 ชั่วโมง จำนวน 8 ชั่วโมงที่ผู้วิจัยสร้างให้อาจารย์ที่ปรึกษา พิจารณาความเหมาะสม ตรวจสอบความถูกต้องของเนื้อหา ให้ข้อเสนอแนะและปรับปรุงแก้ไข ตามข้อเสนอแนะของอาจารย์ที่ปรึกษา 1.5 นำแผนการจัดการเรียนรู้การอ่านคิดวิเคราะห์ โดยใช้การจัดการรู้แบบสืบ เสาะหาความรู้5 ขั้น (๕E) ร่วมกับเทคนิค 5W1H ในรายวิชาภาษาไทยบูรณาการกับจรรยาบรรณ วิชาชีพครู จำนวน 4 แผน แผนละ 2 ชั่วโมง จำนวน 8 ชั่วโมง เสนอผู้เชี่ยวชาญ จำนวน ๓ ท่าน เพื่อให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบความเหมาะสมขององค์ประกอบต่าง ๆ ในแผนการจัดการเรียนรู้และ หาความเที่ยงตรงของเนื้อหา และนำข้อมูลที่รวบรวมจากความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญมาคำนวณ ประมาณค่า 5 ระดับ ซึ่งเป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) มี 5 ระดับ ดัง รายละเอียดต่อไปนี้ (บุญชม ศรีสะอาด, 2560, น. 160-163)
26 5 หมายถึง คุณภาพอยู่ในระดับดีเยี่ยม 4 หมายถึง คุณภาพอยู่ในระดับดีมาก 3 หมายถึง คุณภาพอยู่ในระดับดี 2 หมายถึง คุณภาพอยู่ในระดับพอใช้ 1 หมายถึง คุณภาพอยู่ในระดับปรับปรุง ผู้วิจัยกำหนดเกณฑ์ที่ใช้ในการแปลความหมายของค่าที่วัดได้ดังรายละเอียด ต่อไปนี้(บุญชม ศรีสะอาด, 2560,น. 160-163) 4.51 - 5.00 คะแนน หมายถึง มีคุณภาพและความเหมาะสมอยู่ใน ระดับดีเยี่ยม 3.51 – 4.50 คะแนน หมายถึง มีคุณภาพและความเหมาะสมอยู่ใน ระดับดีมาก 2.51 – 3.50 คะแนน หมายถึง มีคุณภาพและความเหมาะสมอยู่ใน ระดับดี 1.51 – 2.50 คะแนน หมายถึง มีคุณภาพและความเหมาะสมอยู่ใน ระดับพอใช้ 1.00 – 1.50 คะแนน หมายถึง มีคุณภาพและความเหมาะสมอยู่ใน ระดับปรับปรุง โดยจากการวิเคราะห์พบวาผลการประเมินแผนการจัดการเรียนรู้อยู่ในระดับดี เยี่ยม สามารถนำไปใช้ได้ 2. แบบทดสอบวัดความสามารถในการอ่านคิดวิเคราะห์ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ เป็นแบบอัตนัย 5 ข้อ และแบบปรนัย ๓0 ข้อ ได้ทำการสร้างตามลำดับดังนี้ 2.1 ศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับวิธีการสร้างแบบทดสอบวัดความสามารถ ในการอ่านคิดวิเคราะห์ 2.2 วิเคราะห์สาระการเรียนรู้ ตัวชี้วัด จุดประสงค์การเรียนรู้ เพื่อวิเคราะห์และ วัดความสามารถด้านต่าง ๆ เช่น ความรู้ ความจำ ความเข้าใจ การนำไปใช้ 2.3 สร้างแบบทดสอบวัดความสามารถในการอ่านคิดวิเคราะห์ กลุ่มสาระการ เรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ เป็นแบบอัตนัย ๕ ข้อ และแบบปรนัย ๓0 ข้อ 2.4 นำแบบทดสอบวัดความสามารถการอ่านคิดวิเคราะห์ ที่ผู้วิจัยสร้างให้ อาจารย์ที่ปรึกษาพิจารณาความเหมาะสม ตรวจสอบความถูกต้องของเนื้อหา ให้ข้อเสนอแนะและ ปรับปรุงแก้ไข ตามข้อเสนอแนะของอาจารย์ที่ปรึกษา 2.5 นำแบบทดสอบวัดความสามารถการอ่านคิดวิเคราะห์ เสนอผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 3 ท่าน เพื่อตรวจสอบความสอดคล้องขององค์ประกอบต่าง ๆ ในแผนการจัดการเรียนรู้ และหาความเที่ยงตรงของเนื้อหา และนำข้อมูลที่รวบรวมจากความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญมา คำนวณค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ดังนี้ คะแนน +1 สำหรับข้อสอบที่มีความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาและสอดคล้อง กับตัวชี้วัด
27 คะแนน 0 สำหรับข้อสอบที่ไม่แน่ใจว่ามีความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาและ สอดคล้องกับตัวชี้วัด คะแนน -1 สำหรับข้อสอบที่ไม่มีความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาและ สอดคล้องกับตัวชี้วัด นำค่าที่ได้มาเปรียบเทียบกับเกณฑ์ในการพิจารณาตามความคิดเห็นของ ผู้เชี่ยวชาญ ถ้าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ที่คำนวณได้มีค่าตั้งแต่ 0.5 ขึ้นไป แสดงว่าแบบทดสอบมีความ เที่ยงตรงเชิงเนื้อหา (บุญชม ศรีสะอาด, 2560,น. 165-166) จากการหาค่าดัชนีความสอดคล้องของ แบบทดสอบ พบว่าค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) มีค่ารายข้ออยู่ระหว่าง 0.50 - 1.00 แสดงว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนมีความสอดคล้องสามารถนำไปใช้ได้ 2.6 นำแบบทดสอบวัดความสามารถการอ่านคิดวิเคราะห์ (Try Out) เพื่อหา คุณภาพความยากง่าย (P) อำนาจจำแนกความเชื่อมั่น/ความเที่ยง (Rtt) โดยมีเกณฑ์การแปลผลดังนี้ ค่าความเชื่อมั่นของเครื่องมืออยู่ระหว่าง 0.00–1.00 ยิ่งใกล้ 1.00 ยิ่ง มีความเชื่อมั่นสูง เกณฑ์การแปลผลความเชื่อมั่นมีดังนี้ 0.00–0.20 ความเชื่อมั่นต่ำมาก 0.21–0.40 ความเชื่อมั่นต่ำ 0.41-0.70 ความเชื่อมั่นปานกลาง 0.71–1.00 ความเชื่อมั่นสูง ๕. การเก็บรวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยได้ดำเนินการทดลองสอนกับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ โรงเรียนอนุบาลสงขลา โดยได้ ดำเนินการทดลองและเก็บรวบรวมข้อมูลตามขั้นตอนดังนี้ ๕.1 อธิบายและชี้แจงจัดกิจกรรมการเรียนการสอน โดยใช้ชุดกิจกรรมการอ่านคิดวิเคราะห์ วรรณคดีไทยกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยให้นักเรียนเข้าใจ ๕.2 ดำเนินการสอนโดยใช้แผนการจัดการเรียนรู้การอ่านคิดวิเคราะห์วรรณคดีไทย โดยใช้การ จัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้5 ขั้น (๕E) ร่วมกับเทคนิค 5W1H ในรายวิชาภาษาไทยบูรณาการกับ จรรยาบรรณวิชาชีพครู จำนวน 4 แผน แผนละ 2 ชั่วโมง จำนวน 8 ชั่วโมง ๕.3 เมื่อเสร็จสิ้นการสอนในแต่ละแผนการจัดการเรียนรู้ นักเรียนทำแบบทดสอบหลังเรียน หลังจากดำเนินการสอนครบทั้ง 4 แผนการเรียนรู้ ซึ่งข้อสอบเป็นแบบอัตนัย ๕ ข้อ และแบบปรนัย ๓0 ข้อ 4.4 นักเรียนทำแบบสอบถามความพึงพอใจที่มีต่อการจัดการเรียนรู้การอ่านคิดวิเคราะห์วรรณคด ไทยโดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้5 ขั้น (๕E) ร่วมกับเทคนิค 5W1H ในรายวิชาภาษาไทย บูรณาการกับจรรยาบรรณวิชาชีพครู 4.5 เก็บรวบรวมข้อมูลทั้งหมดนำไปประมวลผลและวิเคราะห์ ๖. การวิเคราะห์ข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากการดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยได้ทำการวิเคราะห์ข้อมูล ดังนี้ ๖.1 วิเคราะห์ความสามารถในการอ่านคิดวิเคราะห์วรรณคดีไทย โดยใช้การจัดการเรียนรู้ แบบสืบเสาะหาความรู้5 ขั้น (๕E) ร่วมกับเทคนิค 5W1H ในรายวิชาภาษาไทยบูรณาการกับ จรรยาบรรณวิชาชีพครู โดยใช้ค่าร้อยละ (Percentage)
28 ๖.2 คุณภาพประสิทธิผลการอ่านคิดวิเคราะห์วรรณคดีไทย โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบ สืบเสาะหาความรู้5 ขั้น (๕E) ร่วมกับเทคนิค 5W1H ในรายวิชาภาษาไทยบูรณาการกับ จรรยาบรรณวิชาชีพครู โดยใช้ค่าร้อยละ (Percentage) ๖.3 วิเคราะห์แบบสอบถามความพึงพอใจที่มีต่อการจัดการเรียนรู้การอ่านคิดวิเคราะห์ วรรณคดีไทย โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้5 ขั้น (๕E) ร่วมกับเทคนิค 5W1H ในรายวิชาภาษาไทยบูรณาการกับจรรยาบรรณวิชาชีพครู โดยใช้ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน ๖.4 สรุปผลและอภิปรายผลโดยใช้ตาราง และพรรณนา ๗. สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล หลังจากดำเนินการเก็บข้อมูลเรียบร้อยแล้ว ผู้วิจัยได้นำแบบทดสอบก่อนและหลังการอ่านคิด วิเคราะห์วรรณคดีไทยโดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้5 ขั้น (๕E) ร่วมกับเทคนิค 5W1H ในรายวิชาภาษาไทยบูรณาการกับจรรยาบรรณวิชาชีพครู มาตรวจให้คะแนนและวิเคราะห์เปรียบเทียบผล คะแนนก่อนและหลัง และนำผลแบบสอบถามความพึงพอใจที่มีต่อการจัดการเรียนรู้การอ่านคิดวิเคราะห์ วรรณคดีไทย โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้5 ขั้น (๕E) ร่วมกับเทคนิค 5W1H ในรายวิชา ภาษาไทยบูรณาการกับจรรยาบรรณวิชาชีพครูมาคำนวณหาค่า เฉลี่ย (̅) และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) โดยกำหนดเกณฑ์ในการแปลความหมายดังนี้ 4.50 – 5.00 มากที่สุด 3.50 - 4.49 มาก 2.50 - 3.49 ปานกลาง 1.50 - 2.49 น้อย 1.00 - 1.49 น้อยที่สุด สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลครั้งนี้ ได้แก่ ๗.1 คำนวณหาค่าเฉลี่ย (̅) ของความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้การ อ่านคิดวิเคราะห์วรรณคดีไทย โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้5 ขั้น (๕E) ร่วมกับ เทคนิค 5W1H ในรายวิชาภาษาไทยบูรณาการกับจรรยาบรรณวิชาชีพครูดังสูตรต่อไปนี้ (̅) = ∑ เมื่อ ̅ คือ คะแนนเฉลี่ย ∑ คือ ผลรวมของคะแนนนักเรียนทั้งหมด ๗.๒ คำนวณค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) ของคะแนน ดังสูตรต่อไปนี้ เมื่อ S.D. คือ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน () คือ คะแนนของนักเรียนแต่ละคน
29 () คือ ความถี่ของคะแนน () คือ จำนวนนักเรียนทั้งหมด ๗.3 สถิติที่ใช้ในการศึกษาเปรียบเทียบคะแนน ใช้สูตร t-test ดังสูตรต่อไปนี้ เมื่อ () คือ ผลต่างระหว่างข้อมูลแต่ละคู่ () คือ จำนวนคู่ของข้อมูล df คือ ความเป็นอิสระมีค่าเท่ากับ = N - 1
30 บทที่ ๔ ผลการวิเคราะห์ข้อมูล การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาการอ่านคิดวิเคราะห์วรรณคดีไทย โดยใช้การจัดการรู้แบบ สืบเสาะหาความรู้5 ขั้น (๕E) ร่วมกับเทคนิค 5W1H ในรายวิชาภาษาไทยบูรณาการกับจรรยาบรรณ วิชาชีพครู สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนอนุบาลสงขลา ผู้วิจัยได้นำเสนอผลการวิเคราะห์ ข้อมูลตามลำดับดังนี้ ส่วนที่ ๑ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาไทยก่อนเรียนและหลังเรียนโดยใช้การจัดการรู้แบบสืบ เสาะหาความรู้ 5 ขั้น ร่วมกับเทคนิค 5W1H ในรายวิชาภาษาไทยบูรณาการกับจรรยาบรรณวิชาชีพครู ส่วนที่ ๒ ผลการเปรียบเทียบทักษะการอ่านคิดวิเคราะห์วรรณคดีไทยก่อนเรียนและหลังเรียนโดย ใช้การจัดการรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น ร่วมกับเทคนิค 5W1H ในรายวิชาภาษาไทยบูรณาการกับ จรรยาบรรณวิชาชีพครู ส่วนที่ ๓ ผลการวิเคราะห์ความพึงพอใจที่มีต่อการจัดการรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น ร่วมกับ เทคนิค 5W1H ในรายวิชาภาษาไทยบูรณาการกับจรรยาบรรณวิชาชีพครู ส่วนที่ ๔ การบูรณาการจรรยาบรรณวิชาชีพครูเข้ากับการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ ร่วมกับร่วมกับเทคนิค 5W1H ในรายวิชาภาษาไทยบูรณาการกับจรรยาบรรณวิชาชีพครู กลุ่มตัวอย่างใน การวิจัยในครั้งนี้เป็นนักเรียนชั้นประถมประถมศึกษาปีที่ ๖ โรงเรียนอนุบาลสงขลา ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาไทยก่อนเรียนและหลังเรียนโดยใช้การจัดการรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น ร่วมกับเทคนิค 5W1H ในรายวิชาภาษาไทยบูรณาการกับจรรยาบรรณวิชาชีพครู ตารางที่ ๑ ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการอ่านคิดวิเคราะห์วรรณคดีไทย ก่อนเรียนและ หลังเรียน โดยใช้การจัดการรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น (๕E) ร่วมกับเทคนิค 5W1H ในรายวิชา ภาษาไทยบูรณาการกับจรรยาบรรณวิชาชีพครู สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนอนุบาล สงขลา การทดสอบ ผลสัมฤทธิ์ n คะแนนเต็ม (̅) S.D. t df Sig ก่อนเรียน 33 30 8.95 3.92 3.59 38 .001 หลังเรียน 33 30 21.46 3.59 *มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .๐๕ จากตารางที่ ๑ ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการอ่านคิดวิเคราะห์วรรณคดีไทย โดยใช้การ จัดการรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น (๕E) ร่วมกับเทคนิค 5W1H ในรายวิชาภาษาไทยบูรณาการกับ จรรยาบรรณวิชาชีพครู สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนอนุบาลสงขลา พบว่า ผลการ ทดสอบผลสัมฤทธิ์ก่อนเรียน มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 8.95 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 3.92 และผลการ การทดสอบผลสัมฤทธิ์หลังเรียน มีเฉลี่ยเท่ากับ 21.46 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 3.59 เมื่อ เปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างคะแนนก่อนเรียนและหลังเรียน ด้วยการทดสอบค่า t - test แบบ dependent samples มีค่าที เท่ากับ 16.99 พบว่า คะแนนการทดสอบผลสัมฤทธิ์ของนักเรียนสูงกว่า ก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ซึ่งเป็นไปตามสมติฐานการวิจัยข้อที่ 1
31 ผลการเปรียบเทียบทักษะการอ่านคิดวิเคราะห์วรรณคดีไทยก่อนเรียนและหลังเรียนโดยใช้การจัดการรู้ แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น ร่วมกับเทคนิค 5W1H ในรายวิชาภาษาไทยบูรณาการกับจรรยาบรรณ วิชาชีพครู ตารางที่ ๒ ผลการเปรียบเทียบทักษะการคิดวิเคราะห์วรรณคดีไทย ก่อนเรียนและหลังเรียน โดย ใช้การจัดการรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น (๕E) ร่วมกับเทคนิค 5W1H ในรายวิชาภาษาไทยบูรณาการ กับจรรยาบรรณวิชาชีพครู สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนอนุบาลสงขลา การทดสอบ ผลสัมฤทธิ์ n คะแนนเต็ม (̅) S.D. t df Sig ก่อนเรียน 33 10 3.51 1.65 17.66 38 .001 หลังเรียน 33 10 9.05 0.94 *มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .๐๕ จากตารางที่ ๒ ผลการเปรียบเทียบทักษะการคิดวิเคราะห์วรรณคดีไทย ก่อนเรียนและหลังเรียน โดยใช้การจัดการรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น (๕E) ร่วมกับเทคนิค 5W1H ในรายวิชาภาษาไทยบูรณา การกับจรรยาบรรณวิชาชีพครู สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนอนุบาลสงขลา พบว่า ผล การทดสอบทักษะการคิดวิเคราะห์ก่อนเรียน มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.51 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 1.65 และผลการการทดสอบทักษะการคิดวิเคราะห์หลังเรียนมีเฉลี่ยเท่ากับ 9.05 และส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐานเท่ากับ 0.94 เมื่อเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างคะแนนก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยการ ทดสอบค่า t - test แบบ dependent samples มีค่าที เท่ากับ 17.66 พบว่าคะแนนการทดสอบทักษะ การคิดวิเคราะห์หลังเรียนของนักเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ซึ่งเป็นไปตาม สมติฐานการวิจัยข้อที่ 2 ผลการวิเคราะห์ความพึงพอใจที่มีต่อการจัดการรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น ร่วมกับเทคนิค 5W1H ในรายวิชาภาษาไทยบูรณาการกับจรรยาบรรณวิชาชีพครู ตารางที่ 3 ผลการประเมินความพึงพอใจที่มีต่อการจัดการรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น ร่วมกับ เทคนิค 5W1H ในรายวิชาภาษาไทยบูรณาการกับจรรยาบรรณวิชาชีพครู กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยในครั้งนี้ เป็นนักเรียนชั้นประถมประถมศึกษาปีที่ ๖ โรงเรียนอนุบาลสงขลา ข้อที่ รายการ N = 33 แปลผลความพึงพอใจ ลำดับ (̅) S.D ๑ ครูมีการเตรียมการสอนอย่างดี 4.12 0.78 ดีเยี่ยม 10 ๒ การจัดบรรยากาศห้องเรียนเอื้อต่อ การเรียนการสอน 4.45 0.71 ดีเยี่ยม 9 ๓ เนื้อหาที่สอนทันสมัยนำไปใช้ได้จริง เหมาะสมกับผู้เรียน 4.48 0.61 ดีเยี่ยม 8 ๔ ครูแจ้งจุดประสงค์การเรียนรู้ชัดเจน 4.60 0.60 ดีเยี่ยม 7 ๕ กิจกรรมการเรียนการสอนสอดคล้อง กับจุดประสงค์การเรียนการสอน 4.60 0.60 ดีเยี่ยม 7 ๖ ครูส่งเสริมให้นักเรียนทำงานร่วมกัน เป็นกลุ่ม และรายบุคคล 4.72 0.51 ดีเยี่ยม 3
32 ข้อที่ รายการ N = 33 แปลผลความพึงพอใจ ลำดับ (̅) S.D ๗ ครูส่งเสริมให้นักเรียนมีความคิดริเริ่ม สร้างสรรค์และร่วมกันอภิปราย 4.63 0.65 ดีเยี่ยม 6 ๘ กิจกรรมการเรียนสนุกและน่าสนใจ 4.81 0.52 ดีเยี่ยม 1 ๙ ครูให้โอกาสนักเรียนซักถามปัญหา 4.81 0.46 ดีเยี่ยม 1 ๑๐ ครูใช้วิธีการสอนและใช้สื่ออย่าง หลากหลาย 4.72 0.45 ดีเยี่ยม 3 ๑๑ ครูยอมรับความคิดเห็นของนักเรียน 4.75 0.43 ดีเยี่ยม 2 ๑๒ ครูให้ความสนใจแก่นักเรียนอย่าง ทั่วถึงขณะสอน 4.60 0.70 ดีเยี่ยม 7 ๑๓ ครูส่งเสริมให้นักเรียนค้นคว้าหา ความรู้จากห้องสมุด อินเทอร์เน็ต หรือแหล่งเรียนรู้อื่น ๆ 4.66 0.64 ดีเยี่ยม 5 ๑๔ ครูตั้งใจสอน ให้คำแนะนำ ช่วยเหลือ อำนวยความสะดวกแก่นักเรียนใน การทำกิจกรรม 4.81 0.39 ดีเยี่ยม 1 ๑๕ ครูมีบุคลิกภาพ การแต่งกายและการ พูดจาเหมาะสม 4.66 0.54 ดีเยี่ยม 5 ๑๖ ครูเข้าสอนและออกตรงเวลา 4.66 0.64 ดีเยี่ยม 5 ๑๗ นักเรียนทราบเกณฑ์การประเมินผล ล่วงหน้า 4.72 0.45 ดีเยี่ยม 3 ๑๘ นักเรียนมีส่วนร่วมในการประเมินผล การเรียน 4.69 0.52 ดีเยี่ยม 4 ๑๙ ครูประเมินผลอย่างยุติธรรม 4.66 0.59 ดีเยี่ยม 5 ๒๐ นักเรียนเรียนอย่างมีความสุข 4.81 0.39 ดีเยี่ยม 1 รวมภาพรวม 4.65 0.58 ดีเยี่ยม จากตารางที่ 3 ผลการประเมินความพึงพอใจที่มีต่อการจัดการรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น ร่วมกับเทคนิค 5W1H ในรายวิชาภาษาไทยบูรณาการกับจรรยาบรรณวิชาชีพครู กลุ่มตัวอย่างในการวิจัย ในครั้งนี้เป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ โรงเรียนอนุบาลสงขลา พบว่า ผลการประเมินความพึงพอใจที่ มีต่อการจัดการรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น ร่วมกับเทคนิค 5W1H ในรายวิชาภาษาไทยบูรณาการกับ จรรยาบรรณวิชาชีพครูมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.๖5 ซึ่งอยู่ระดับความพึ่งพอใจดีเยี่ยม เป็นไปตามสมติฐานการ วิจัยข้อที่ ๓
33 การบูรณาการจรรยาบรรณวิชาชีพครูเข้ากับการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับร่วมกับ เทคนิค 5W1H ในรายวิชาภาษาไทยบูรณาการกับจรรยาบรรณวิชาชีพครู กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยใน ครั้งนี้เป็นนักเรียนชั้นประถมประถมศึกษาปีที่ ๖ โรงเรียนอนุบาลสงขลา ตารางที่ ๔ แสดงการบูรณาการจรรยาบรรณวิชาชีพครูเข้ากับการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหา ความรู้ร่วมกับร่วมกับเทคนิค 5W1H ในรายวิชาภาษาไทยบูรณาการกับจรรยาบรรณวิชาชีพครู กลุ่ม ตัวอย่างในการวิจัยในครั้งนี้เป็นนักเรียนชั้นประถมประถมศึกษาปีที่ ๖ โรงเรียนอนุบาลสงขลา หัวข้อการ เรียนรู้ พฤติกรรมของ นักเรียน การบูรณาการจรรยาบรรณวิชาชีพครู จรรยาบรรณ วิชาชีพครู เรื่อง รามเกียรติ์ ตอน ศึก ไมยราพ นักเรียนบางคน ยังไม่ให้ความ สนใจต่อการ จัดการเรียนรู้ ของครูมา เท่าที่ควร เนื่องจากวรรณคดีเรื่องรามเกียรติ์ ตอน ศึกไมยราพ เป็นเนื้อหาที่น่าเบื่อหน่ายในชั่วโมงแรก ดังนั้นใน ชั่วโมงที่สองครูได้จัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยให้นักเรียน เล่นเกม ตอบคำถาม ๓ วิ เกี่ยวกับตัวละครจากเรื่อง รามเกียรติ์ ตอน ศึกไมยราพ และในการเรียนรู้เรื่องอื่น ๆ ด้านที่ 3 ข้อที่ 4 เรื่องขุนช้าง ขุนแผน ตอน กำเนิดพลาย งาม นักเรียนขาด ทักษะการ ทำงานร่วมกับ ผู้อื่น นักเรียนบางคนเมื่อครูจัดกิจกรรมการทำงาน กระบวนการกลุ่ม มักจะจับกลุ่มเดิม ไม่ยอมแยกกลุ่ม เนื่องจากไม่กล้าที่จะทำงานกลุ่มร่วมกับเพื่อนที่ไม่สนิท ดังนั้นครูแก้ปัญหาโดยการจัดกลุ่มตามฉลากที่เลือก เช่น หยิบฉลากได้รูปผลส้ม ได้อยู่กลุ่มเดียวกัน นอกจากนี้ครูจัดกิจกรรมการสอนที่ส่งเสริมให้นักเรียน ได้มีปฏิสัมพันธ์ระหว่างกัน เพิ่มกิจกรรมกลุ่มเน้นใน เรื่องการสื่อสาร การทำงานกันทั้งภายในกลุ่มและ ระหว่างกลุ่ม ด้านที่ 3 ข้อที่ 4 เรื่องนิทาน ทองอิน ตอน นากพระโขนง ที่สอง นักเรียนบางคน ไม่เข้าใจเนื้อหา และไม่กล้าที่จะ ถามครูโดยตรง ครูเปิดโอกาสให้นักเรียนถามคำถามโดยใช้วิธีการต่าง ๆ แทนการถามครูโดยตรง เช่น นักเรียนคนไหนมีข้อ สงสัยครูให้เขียนใส่กระดาษโพสอิท แล้วนำมาให้ครู ตอนท้ายชั่วโมง โดยไม่ต้องระบุตัวตน และครูอธิบาย ให้เกิดความเข้าใจ ด้านที่ 3 ข้อที่ 3 เรื่องสุภาษิต สอนหญิง นักเรียนขาด ทักษะการกล้า แสดงออกหน้า ชั้นเรียน และไม่ กล้าแสดงความ คิดเห็นในชั้น เรียน นักเรียนไม่กล้าพูดแสดงออกหน้าชั้นเรียน เนื่องจากมี ข้อถกเถียงเกี่ยวกับเนื้อหาที่เรียน ว่าวรรณคดีเรื่อง สุภาษิตสอนหญิง เหมาะสมแก่นักเรียนผู้หญิงมากกว่า ผู้ชาย ดังนั้นครูจึงอธิบายว่า การเรียนรู้และการนำไป ปรับใช้สามารถนำข้อคิดที่ได้จากเรียนรู้ไปปรับใช้ได้ โดยไม่เกี่ยวข้องกับเพศ นักเรียนสามารถแสดงความ คิดเห็น และนำเสนอผลงานหน้าชั้นเรียนได้ทุกเพศ และทุกวัย ด้านที่ 3 ข้อที่ 3, ข้อที่ 4 ข้อที่ 6, และ ข้อที่ 7
34 จากตารางที่ ๔ แสดงการบูรณาการจรรยาบรรณวิชาชีพครูเข้ากับการจัดการเรียนรู้แบบสืบ เสาะหาความรู้ร่วมกับร่วมกับเทคนิค 5W1H ในรายวิชาภาษาไทยบูรณาการกับจรรยาบรรณวิชาชีพครู กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยในครั้งนี้เป็นนักเรียนชั้นประถมประถมศึกษาปีที่ ๖ โรงเรียนอนุบาลสงขลา พบว่า การบูรณาการมีการใช้จรรยาบรรณวิชาชีพครูข้อที่ ๓,๔,6,7 ในการแก้ไขปัญหา เช่น นักเรียนขาดทักษะ การทำงานร่วมกับผู้อื่น ครูแก้ไขปัญหาการจัดกลุ่มตามฉลากที่เลือก เช่น หยิบฉลากได้รูปผลส้ม ได้อยู่กลุ่ม เดียวกัน นอกจากนี้ครูจัดกิจกรรมการสอนที่ส่งเสริมให้นักเรียนได้มีปฏิสัมพันธ์ระหว่างกัน เพิ่มกิจกรรม กลุ่มเน้นในเรื่องการสื่อสาร การทำงานกันทั้งภายในกลุ่มและระหว่างกลุ่มโดยบูรณาการกับจรรยาบรรณ วิชาชีพครู คือ จรรยาบรรณต่อผู้รับบริการ ข้อที่ ๔ ครูต้องต้องส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้ ทักษะ และนิสัยที่ ถูกต้องดีงามแก่ศิษย์ และผู้รับริการ ตามบทบาทหน้าที่อย่างเต็มความสามารถ ด้วยความบริสุทธิ์ใจ เป็นต้น
35 บทที่ ๕ สรุปผล อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ การวิจัยเรื่องการพัฒนาการอ่านคิดวิเคราะห์วรรณคดีไทย โดยใช้การจัดการรู้แบบสืบเสาะหา ความรู้5 ขั้น (๕E) ร่วมกับเทคนิค 5W1H ในรายวิชาภาษาไทยบูรณาการกับจรรยาบรรณวิชาชีพครู สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนอนุบาลสงขลา เป็นวิจัยเชิงปฏิบัติการ ซึ่งประกอบด้วย วัตถุประสงค์การวิจัย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย การวิเคราะห์ข้อมูล สรุปผล อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ สามารถสรุปได้ดังต่อไปนี้ วัตถุประสงค์ของการวิจัย 1. เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาไทยก่อนเรียนและหลังเรียนโดยใช้การ จัดการรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น ร่วมกับเทคนิค 5W1H ในรายวิชาภาษาไทยบูรณาการกับ จรรยาบรรณวิชาชีพครู ๒. เพื่อเปรียบเทียบทักษะการอ่านคิดวิเคราะห์วรรณคดีไทยก่อนเรียนและหลังเรียนโดย ใช้การจัดการรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น ร่วมกับเทคนิค 5W1H ในรายวิชาภาษาไทยบูรณาการกับ จรรยาบรรณวิชาชีพครู ๓. เพื่อศึกษาความพึงพอใจที่มีต่อการจัดการรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น ร่วมกับ เทคนิค 5W1H ในรายวิชาภาษาไทยบูรณาการกับจรรยาบรรณวิชาชีพครู ประชากรและกลุ่มตัวอย่างของการวิจัย ประชากรของการวิจัยครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นประถมประถมศึกษาปีที่ ๖ โรงเรียนอนุบาล สงขลา อำเภอเมืองสงขลา จังหวัดสงขลา ที่กำลังศึกษาอยู่ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 256๖ จำนวน ๗ ห้องเรียน จำนวน 265 คน กลุ่มตัวอย่างของการวิจัยครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นประถมประถมศึกษาปีที่ ๖ โรงเรียน อนุบาลสงขลา อำเภอเมืองสงขลา จังหวัดสงขลา ที่กำลังศึกษาอยู่ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 256๖ ห้องเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6/๑ จำนวน 33 คน ได้มาด้วยการสุ่มอย่างง่าย (SimpleRandom Sampling) ด้วยวิธีการจับสลากโดยใช้ห้องเรียนเป็นหน่วยสุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย สำหรับเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ประกอบด้วย ๔ ส่วน คือ 1. แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น ร่วมกับเทคนิค 5W1H ในรายวิชาภาษาไทยบูรณาการกับจรรยาบรรณวิชาชีพ จำนวน ๔ แผนการเรียนรู้ จำนวน ๘ ชั่วโมง 2. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาไทย แบบปรนัย ทดสอบก่อน เรียนและหลังเรียน จำนวน 30 ข้อ 3. แบบทดสอบวัดทักษะการคิดวิเคราะห์ แบบอัตนัย จำนวน ๕ ข้อ วัดทักษะ การคิดวิเคราะห์ทั้ง 3 ด้าน ได้แก่ 1) การวิเคราะห์เนื้อหา 2) การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ และ3) การ วิเคราะห์หลักการ ๔. แบบประเมินความพึงพอใจที่มีต่อการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น ร่วมกับเทคนิค 5W1H ในรายวิชาภาษาไทยบูรณาการกับจรรยาบรรณวิชาชีพครู
36 การวิเคราะห์ข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากการดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยได้ทำการวิเคราะห์ ข้อมูล ดังนี้ 1. วิเคราะห์ความสามารถในการอ่านคิดวิเคราะห์วรรณคดีไทย โดยใช้การจัดการเรียนรู้ แบบสืบเสาะหาความรู้5 ขั้น (๕E) ร่วมกับเทคนิค 5W1H ในรายวิชาภาษาไทยบูรณาการกับจรรยาบรรณ วิชาชีพครู โดยใช้ค่าร้อยละ (Percentage) 2. คุณภาพประสิทธิผลการอ่านคิดวิเคราะห์วรรณคดีไทย โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบ สืบเสาะหาความรู้5 ขั้น (๕E) ร่วมกับเทคนิค 5W1H ในรายวิชาภาษาไทยบูรณาการกับจรรยาบรรณ วิชาชีพครู โดยใช้ค่าร้อยละ (Percentage) 3. วิเคราะห์แบบสอบถามความพึงพอใจที่มีต่อการจัดการเรียนรู้การอ่านคิดวิเคราะห์ วรรณคดีไทย โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้5 ขั้น (๕E) ร่วมกับเทคนิค 5W1H ในรายวิชา ภาษาไทยบูรณาการกับจรรยาบรรณวิชาชีพครู โดยใช้ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 4. สรุปผลและอภิปรายผลโดยใช้ตาราง และพรรณนา สรุปผลการวิจัย การวิจัยเรื่องการพัฒนาการอ่านคิดวิเคราะห์วรรณคดีไทย โดยใช้การจัดการรู้แบบสืบเสาะหา ความรู้ 5 ขั้น (๕E) ร่วมกับเทคนิค 5W1H ในรายวิชาภาษาไทยบูรณาการกับจรรยาบรรณวิชาชีพครู สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนอนุบาลสงขลา สามารถสรุปผลการวิจัยได้ดังต่อไปนี้ ๑. ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการอ่านคิดวิเคราะห์วรรณคดีไทย ก่อนเรียนและ หลังเรียน โดยใช้การจัดการรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น (๕E) ร่วมกับเทคนิค 5W1H ในรายวิชา ภาษาไทยบูรณาการกับจรรยาบรรณวิชาชีพครู สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนอนุบาล สงขลา พบว่า ผลการทดสอบผลสัมฤทธิ์ก่อนเรียน มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 8.95 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เท่ากับ 3.92 และผลการการทดสอบผลสัมฤทธิ์หลังเรียน มีเฉลี่ยเท่ากับ 21.46 และส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐานเท่ากับ 3.59 เมื่อเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างคะแนนก่อนเรียนและหลังเรียน ด้วยการ ทดสอบค่า t - test แบบ dependent samples มีค่าที เท่ากับ 16.99 พบว่า คะแนนการทดสอบ ผลสัมฤทธิ์ของนักเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ซึ่งเป็นไปตามสมติฐานการ วิจัยข้อที่ 1 ๒. ผลการเปรียบเทียบทักษะการคิดวิเคราะห์วรรณคดีไทย ก่อนเรียนและหลังเรียน โดย ใช้การจัดการรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น (๕E) ร่วมกับเทคนิค 5W1H ในรายวิชาภาษาไทยบูรณาการ กับจรรยาบรรณวิชาชีพครู สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนอนุบาลสงขลา พบว่า ผลการ ทดสอบทักษะการคิดวิเคราะห์ก่อนเรียน มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.51 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 1.65 และผลการการทดสอบทักษะการคิดวิเคราะห์หลังเรียนมีเฉลี่ยเท่ากับ 9.05 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เท่ากับ 0.94 เมื่อเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างคะแนนก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยการทดสอบค่า t - test แบบ dependent samples มีค่าที เท่ากับ 17.66 พบว่าคะแนนการทดสอบทักษะการคิดวิเคราะห์ หลังเรียนของนักเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ซึ่งเป็นไปตามสมติฐานการ วิจัยข้อที่ 2
37 3. ผลการประเมินความพึงพอใจที่มีต่อการจัดการรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น ร่วมกับ เทคนิค 5W1H ในรายวิชาภาษาไทยบูรณาการกับจรรยาบรรณวิชาชีพครู กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยในครั้งนี้ เป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ โรงเรียนอนุบาลสงขลา พบว่า ผลการประเมินความพึงพอใจที่มีต่อการ จัดการรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น ร่วมกับเทคนิค 5W1H ในรายวิชาภาษาไทยบูรณาการกับ จรรยาบรรณวิชาชีพครูมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.๖5 ซึ่งอยู่ระดับความพึ่งพอใจดีเยี่ยม เป็นไปตามสมติฐานการ วิจัยข้อที่ ๓ ๔. การบูรณาการจรรยาบรรณวิชาชีพครูเข้ากับการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ ร่วมกับร่วมกับเทคนิค 5W1H ในรายวิชาภาษาไทยบูรณาการกับจรรยาบรรณวิชาชีพครู กลุ่มตัวอย่างใน การวิจัยในครั้งนี้เป็นนักเรียนชั้นประถมประถมศึกษาปีที่ ๖ โรงเรียนอนุบาลสงขลา พบว่า การบูรณาการมี การใช้จรรยาบรรณวิชาชีพครูข้อที่ ๓,๔,6,7 ในการแก้ไขปัญหา เช่น นักเรียนขาดทักษะการทำงานร่วมกับ ผู้อื่น ครูแก้ไขปัญหาการจัดกลุ่มตามฉลากที่เลือก เช่น หยิบฉลากได้รูปผลส้ม ได้อยู่กลุ่มเดียวกัน นอกจากนี้ ครูจัดกิจกรรมการสอนที่ส่งเสริมให้นักเรียนได้มีปฏิสัมพันธ์ระหว่างกัน เพิ่มกิจกรรมกลุ่มเน้นในเรื่องการ สื่อสาร การทำงานกันทั้งภายในกลุ่มและระหว่างกลุ่มโดยบูรณาการกับจรรยาบรรณวิชาชีพครู คือ จรรยาบรรณต่อผู้รับบริการ ข้อที่ ๔ ครูต้องต้องส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้ ทักษะ และนิสัยที่ถูกต้องดีงามแก่ ศิษย์ และผู้รับริการ ตามบทบาทหน้าที่อย่างเต็มความสามารถ ด้วยความบริสุทธิ์ใจ เป็นต้นอภิปราย ผลการวิจัย การวิจัยเรื่องการพัฒนาการอ่านคิดวิเคราะห์วรรณคดีไทย โดยใช้การจัดการรู้แบบสืบเสาะหา ความรู้ 5 ขั้น (๕E) ร่วมกับเทคนิค 5W1H ในรายวิชาภาษาไทยบูรณาการกับจรรยาบรรณวิชาชีพครู สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนอนุบาลสงขลา สามารถการอภิปรายผลได้ดังต่อไปนี้ ๑. ผลการทดสอบผลสัมฤทธิ์ก่อนเรียน มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 8.95 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 3.92 และผลการการทดสอบผลสัมฤทธิ์หลังเรียน มีเฉลี่ยเท่ากับ 21.46 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เท่ากับ 3.59 เมื่อเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างคะแนนก่อนเรียนและหลังเรียน ด้วยการทดสอบค่า t - test แบบ dependent samples มีค่าที เท่ากับ 16.99 พบว่า คะแนนการทดสอบผลสัมฤทธิ์ของ นักเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ซึ่งเป็นไปตามสมติฐานการวิจัยข้อที่ 1 เนื่องมาจากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ในขั้นที่ 2 สำรวจและค้นหา (Exploration) เป็นขั้นที่ช่วยส่งเสริมและเปิดโอกาสให้นักเรียนได้ศึกษาค้นคว้าหาความรู้ด้วยตนเอง ทั้งวิธีการสังเกตการตั้ง คำถาม การตรวจสอบหนังสือและเอกสารต่าง ๆ ช่วยให้นักเรียนได้ค้นพบความรู้และความจริงได้ด้วย ตนเอง มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างกัน โดยครูผู้สอนจะทำหน้าที่ในการเป็นผู้อำนวยความสะดวกและ จัดการเตรียมสภาพแวดล้อมให้เอื้อต่อการเรียนรู้ และในขั้นที่ 3 อธิบายและลงข้อสรุป (Explanation) จะ เป็นขั้นที่ช่วยให้นักเรียนเกิดการแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างกันและสรุปความรู้ ขั้นที่ 4 ขั้นขยายความรู้ (Elaboration) ครูเปิดโอกาสให้นักเรียนนำความเข้าใจและทักษะไปใช้กับสถานการณ์ใหม่ด้วยกิจกรรม เพิ่มเติมเพื่อนักเรียนจะได้มีความเข้าใจข้อมูลและทักษะที่มากขึ้นและสุดท้ายขั้นที่ 5 ขั้นประเมิน (Evaluation) ขั้นการประเมินเป็นขั้นที่นักเรียนจะถูกประเมินความเข้าใจและความสามารถเพื่อครูจะได้ ทราบถึงความก้าวหน้าและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนว่าเป็นไปตามของวัตถุประสงค์ในการเรียน ร่วมกับ เทคนิค 5W1H ในรายวิชาภาษาไทยบูรณาการกับจรรยาบรรณวิชาชีพครูเข้ากับการสอนช่วยส่งเสริมให้ นักเรียนได้มีประสิทธิภาพ การแลกเปลี่ยน พูดคุยข้อมูลความรู้ระหว่างกัน ส่งผลให้นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนที่เพิ่มมากขึ้น และในระหว่างการจัดการเรียนรู้บรรยากาศในชั้นเรียนผู้เรียนให้ความสนใจเป็น
38 อย่างดี มีการพูดคุยแลกเปลี่ยนระหว่างกัน และวัดได้จากคะแนนที่ได้จากการทำแบบวัดความสามารถใน การคิดวิเคราะห์ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นซึ่งครอบคลุมความสามารถของนักเรียน 3 ด้าน ได้แก่ 1) ด้านการ วิเคราะห์ความสำคัญ 2) ด้านการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ และ 3) ด้านการวิเคราะห์หลักการ สอดคล้องกับ แนวคิดของ เจนจิรา เครือทิวา (2561, น. 36) ที่ได้กล่าวไว้ว่า ความสามารถในการคิดวิเคราะห์ เป็น ความสามารถของนักเรียนในการจำแนก แยกแยะองค์ประกอบต่างๆ ออกเป็นส่วนย่อยตามหลักการ รวมทั้งหาความสัมพันธ์และความเชื่อมโยงของสิ่งต่างๆ เพื่อค้นหาสภาพความเป็นจริงหรือความสำคัญของ สิ่งที่กำหนด และสอดคล้องกับงานวิจัยของ ณัฐศิษฏ์ถาวร (2564) ได้ศึกษาการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนวรรณคดีไทยเรื่องมหาเวสสันดรชาดก กัณฑ์มัทรีของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ด้วยการ จัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5E) ร่วมกับสื่อประสม ผลวิจัยพบว่า เมื่อนำผลสัมฤทธิ์เทียบกับ เกณฑ์พบว่าสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และสอดคล้องกับงานวิจัยของ ปิยนุช แหวนเพชร (2560) ได้ศึกษาการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดีของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยใช้วิธีสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับเทคนิคการใช้แผนที่ความคิด ผลการวิจัย พบว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดีของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หลังเรียนด้วยวิธีสอนแบบสืบ เสาะหาความรู้ร่วมกับเทคนิคการใช้แผนที่ความคิดสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ๒. ผลการทดสอบทักษะการอ่านคิดวิเคราะห์ก่อนเรียน มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.51 และส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐานเท่ากับ 1.65 และผลการการทดสอบทักษะการคิดวิเคราะห์หลังเรียนมีเฉลี่ยเท่ากับ 9.05 และ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.94 เมื่อเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างคะแนนก่อนเรียนและหลัง เรียนด้วยการทดสอบค่า t - test แบบ dependent samples มีค่าที เท่ากับ 17.66 พบว่าคะแนนการ ทดสอบทักษะการคิดวิเคราะห์หลังเรียนของนักเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ซึ่งเป็นไปตามสมติฐานการวิจัยข้อที่ 2 เนื่องจากการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น (๕E) ร่วมกับเทคนิค 5W1H ช่วยพัฒนาให้นักเรียนรู้จักการอ่านเพื่อจับประเด้นต่าง ๆ ได้ คือ การจัดกิจกรรม การเรียนรู้ให้นักเรียนได้คิดวิเคราะห์โดยมี 5 ขั้นตอน ได้แก่ ขั้นที่ 1 กำหนดสิ่งที่ต้องการวิเคราะห์ คือเป็น การกำหนดวัตถุสิ่งของเรื่องราวหรือเหตุการณ์ต่าง ๆ ขึ้นมาเพื่อเป็นต้นเรื่องที่จะใช้วิเคราะห์ เช่น รูปภาพ บทความ หรือสถานการณ์จากสื่อต่าง ๆ เป็นต้น ขั้นที่ 2 กำหนดปัญหาหรือวัตถุประสงค์ เป็นการกำหนด ประเด็นข้อสงสัยจะปัญหาของสิ่งที่ต้องการวิเคราะห์ ซึ่งอาจกำหนดเป็นคําถามหรือวัตถุประสงค์ของการ วิเคราะห์ เพื่อค้นหาความจริงสาเหตุหรือความสำคัญ เช่น เรื่องราว เหตุการณ์ที่ต้องการสื่อหรือบอกอะไรที่ สำคัญที่สุด ขั้นที่ 3 กำหนดหลักการหรือกฎเกณฑ์ เป็นการกำหนดข้อกําหนดสำหรับใช้แยกส่วนประกอบ ของสิ่งที่กําหนดให้ เช่น เกณฑ์ในการจําแนกสิ่งที่มีความเหมือนกันหรือต่างกัน ขั้นที่ 4 การพิจารณา แยกแยะคือกระจายสิ่งที่กําหนดให้ออกเป็นส่วนย่อย ๆ โดยใช้คําถาม 5W1H ซึ่งซึ่งประกอบด้วย อะไร ที่ ไหน เมื่อไหร่ ทําไม ใคร และอย่างไร ขั้นที่ 5 สรุปคําตอบเป็นการรวบรวมประเด็นที่สำคัญที่สุดเพื่อหา ข้อมูลข้อสรุปเป็นคําตอบหรือตอบปัญหาของสิ่งที่กำหนดไว้ซึ่งเมื่อนักเรียนเรียนแล้วสามารถทำให้ ผลสัมฤทธิ์ทางการอ่านคิดวิเคราะห์ดีขึ้น เกิดประสิทธิภาพในการเรียนรู้สอดคล้องกับบผลการวิจัยของ ดวงพร เฟื่องฟู(2560, น.59) ศึกษาความสามารถในการอ่านจับใจความ โดยใช้เทคนิค 5W1H โดยมี คะแนนไม่ต่ำกว่าร้อยละ 80 จำนวน 26 คิดเป็นร้อยละ 81.25 จากผลการวิจัยนี้แสดงให้เห็นว่าการสอน โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบ 5W1H ร่วมกับ แผนผังความคิด ช่วยพัฒนาการอ่านคิดวิเคราะห์ของนักเรียน ให้ดีขึ้น และงานวิจัยของ ชนกพร สุริโย (2562, น.80) ได้พัฒนาความสามารถด้านการอ่านคิดวิเคราะห์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โดยใช้เทคนิค 5W1H ประกอบแบบฝึก กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย
39 จากผลการวิจัยพบว่า ความสามารถด้านการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษา 6 กลุ่มสาระการ เรียนรู้ภาษาไทย หลังเรียนด้วยกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้เทคนิค 5W1H ประกอบแบบฝึกกับเกณฑ์ร้อยละ 70 พบว่า นักเรียนที่เรียนด้วยกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้เทคนิค 5W1H ประกอบแบบฝึก มีความสามารถ ด้านการอ่านคิดวิเคราะห์หลังเรียนคิดเป็นร้อยละ 82.02 สูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 80 ๓. ผลการประเมินความพึงพอใจที่มีต่อการจัดการรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น ร่วมกับเทคนิค 5W1H ในรายวิชาภาษาไทยบูรณาการกับจรรยาบรรณวิชาชีพครู กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยในครั้งนี้เป็น นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ โรงเรียนอนุบาลสงขลา พบว่า ผลการประเมินความพึงพอใจที่มีต่อการ จัดการรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น ร่วมกับเทคนิค 5W1H ในรายวิชาภาษาไทยบูรณาการกับ จรรยาบรรณวิชาชีพครู มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.๖5 และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ระดับ 0.58 ซึ่งอยู่ระดับความ พึ่งพอใจดีเยี่ยม โดยมีด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ นักเรียนเรียนอย่างมีความสุข และครูตั้งใจสอน ให้ คำแนะนำ ช่วยเหลือ อำนวยความสะดวกแก่นักเรียนในการทำกิจกรรม มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ ๔.81 รองลงมา คือด้านครูยอมรับความคิดเห็นของนักเรียน เพราะการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะแสวงหาความส่งเสริมให้ นักเรียนรู้จักการคิด ดังนั้นการที่ครูยอมรับความคิดเห็นของนักเรียน ถือเป็นสิ่งสำคัญ เป็นไปตามสมติฐาน การวิจัยข้อที่ ๓ เนื่องจากการการจัดการรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น ร่วมกับเทคนิค 5W1H ในรายวิชา ภาษาไทยบูรณาการกับจรรยาบรรณวิชาชีพครู เป็นการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นหลัก นักเรียน สามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง และมีอิสระในการเรียนรู้ทั้งนี้ ดวงพร เฟื่องฟู (2560, น.59) การพัฒนาชุด กิจกรรมการอ่านจับใจความ โดยใช้เทคนิค 5W1H เพื่อส่งเสริมการอ่าน กลุ่มสาระการเรียนรู้วิชาภาษาไทย ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 พบว่านักเรียนมีความพึงพอใจต่อชุดกิจกรรมการอ่านจับใจความ โดยใช้ เทคนิค5W1H โดยรวมมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก ดังนั้นจากผลการศึกษาเห็นว่าสอดคล้องกับแนวคิด ทฤษฎี และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง จึงสรุปได้ว่า การจัดการรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น ร่วมกับเทคนิค 5W1H ในรายวิชาภาษาไทยบูรณาการกับจรรยาบรรณวิชาชีพครูทำให้นักเรียนมีทักษะในการคิดวิเคราะห์ ที่ถูกต้องตามหลักการ เกิดการเรียนรู้ที่ได้รับสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการเรียนวิชาอื่นต่อไปได้ ๔. ผลการประเมินการนำจรรยาบรรณวิชาชีพครูมาบูรณาการกับการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหา ความรู้ 5 ขั้น ร่วมกับเทคนิค 5W1H ในรายวิชาภาษาไทยบูรณาการกับจรรยาบรรณวิชาชีพครู พบว่ามี การบูรณาการมีการใช้จรรยาบรรณวิชาชีพครูข้อที่ ๓,๔,6,7 ในการแก้ไขปัญหา เช่น นักเรียนขาดทักษะ การทำงานร่วมกับผู้อื่น ครูแก้ไขปัญหาการจัดกลุ่มตามฉลากที่เลือก เช่น หยิบฉลากได้รูปผลส้ม ได้อยู่กลุ่ม เดียวกัน และครูให้นักเรียนทำกิจกรรมกลุ่มที่ส่งเสริมการอ่านคิดวิเคราะห์ คือ ให้นักเรียนทำกิจกรรมกลุ่ม นิทานทองอินกับนักล่าปริศนา โดยครูจะให้นักเรียนตามล่าหาคำตอบที่ครูนำไปซ่อนในสถานที่ต่าง ๆ ใน โรงเรียน ซึ่งนักเรียนจะต้องทำงานร่วมกันเป็นกลุ่ม ไขปริศนาเพื่อหาคำตอบมาให้ได้ จะต้องมีความฟังความ คิดเห็นร่วมกัน มั่นใจในคำตอบของทุกคนในกลุ่ม ร่วมกันคิดร่วมกันแก้ปัญหา เป็นการส่งเสริมการทำงาน แบบกลุ่มและการอ่านเรื่องแล้วคิดวิเคราะห์ นอกจากนี้ครูจัดกิจกรรมการสอนที่ส่งเสริมให้นักเรียนได้มี ปฏิสัมพันธ์ระหว่างกัน เพิ่มกิจกรรมกลุ่มเน้นในเรื่องการสื่อสาร การทำงานกันทั้งภายในกลุ่มและระหว่าง กลุ่มโดยบูรณาการกับจรรยาบรรณวิชาชีพครู คือ จรรยาบรรณต่อผู้รับบริการ ข้อที่ ๔ ครูต้องต้องส่งเสริม ให้เกิดการเรียนรู้ ทักษะ และนิสัยที่ถูกต้องดีงามแก่ศิษย์ และผู้รับริการ ตามบทบาทหน้าที่อย่างเต็ม ความสามารถ ด้วยความบริสุทธิ์ใจ
40 ข้อเสนอแนะ 1. ควรมีจัดการอบรมให้ความรู้แก่ครูเรื่องการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับ เทคนิค 5W1 เพื่อนำไปบูรณาการให้นักเรียนเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น 2. การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ครั้งถัดไป ครูผู้สอนควรส่งเสริมกระบวนการคิดเพื่อให้เกิดทักษะการ คิดวิเคราะห์แก่นักเรียนมากยิ่งขึ้น โดยการสนับสนุนให้นักเรียนมีส่วนร่วมในการปฏิบัติกิจกรรมการตอบ คำถามในชั้นเรียน การแสดงความคิดเห็น เพื่อให้นักเรียนได้ฝึกเพื่อให้เกิดความชำนาญมากยิ่งขึ้น 3. ในการจัดกิจกรรมกลุ่มครั้งถัดไป ครูควรให้ความสำคัญและวางแผนในการคัดเลือกสมาชิกของ แต่ละกลุ่มเพื่อให้การจัดเรียนเรียนรู้ไปไปอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ข้อเสนอแนะเพื่อทำการวิจัยครั้งต่อไป 1. ควรมีการศึกษาวิจัยที่บูรณาการเทคนิคต่าง ๆ เช่น การใช้เกม การใช้สถานการณ์ ร่วมกับการ จัดกิจกรรม 2. ควรมีการศึกษาการจัดกิจกรรมดังกล่าวที่ใช้พัฒนาทักษะการคิดขั้นสูงอื่น ๆ เช่น การคิดอย่างมี วิจารณญาณ การคิดสร้างสรรค์การคิดแก้ปัญหา ที่เหมาะสมกับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖
41 บรรณานุกรม กระทรวงศึกษาธิการ. (2551). หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551. กรุงเทพฯ: กอบกาญจน์ วงศ์สิทธิ์. (2551). ทักษะภาษาเพื่อการสื่อสาร. กรุงเทพฯ: โอเดียนสโตร์. เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์. (2549). การคิดเชิงวิเคราะห์. (พิมพ์ครั้งที่ 5). กรุงเทพฯ: ซัคเซสมีเดีย จิตรดา ไมตรีจตต์. . (2549). การศึกษานิสัยรักการอ่านของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6. วิทยานิพนธ์ดุษฎีบัณฑิต, มหาวิทยาลัยศรีนทรวิโรฒ จิรวัฒน์ เพชรรัตน์และอัมพร ทองใบ. (2556). ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการอ่าน. กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์โอเดียนสโตร เจนจิรา เครือทิวา. (2561). การศึกษาความสามารถในการคิดวิเคราะห์และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องแสงของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ด้วยการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5E) ร่วมกับเทคนิคKWDL. (วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต). กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยสุโขทัย ธรรมมาธิราช. ชนกพร สุริโย. (2562). การพัฒนาความสามารถด้านการอ่านคิดวิเคราะห์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษา ปีที่ 6 โดยใช้เทคนิค 5W1H ประกอบแบบฝึก กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย. วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต,มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม. ณฐกร ดวงพระเกษ. (2561). การจัดการเรียนรู้โดยการใช้คำถามตามแนวทางความคิดในระดับสูงของ บลูม. วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยเพชรบุรี. ณรงค์ สิทธิประเสริฐ. (2537). จรรยาบรรณของครูผู้สอนในทรรศนะของข้าราชการครู: ศึกษา เฉพาะกรณีข้าราชการครูสังกัดสานักงานการประถมศึกษาจังหวัดเชียงราย (วิทยานิพนธ์ ปริญญามหาบัณฑิต). พิษณุโลก: มหาวิทยาลัยนเรศวร ณัฐศิษฏ์ ถาวร. (2564). การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดีไทยเรื่องมหาเวสสันดรชาดก กัณฑ์มัทรีของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ด้วยการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5E) ร่วมกับสื่อประสม. (การค้นคว้าอิสระ ปริญญาการศึกษามหาบัณฑิต). พิษณุโลก : มหาวิทยาลัย นเรศวร. ดวงพร เฟื่องฟู. (2560). การพัฒนาชุดกิจกรรมการอ่านจับใจความ โดยใช้เทคนิค 5W1H เพื่อส่งเสริม การอ่าน กลุ่มสาระการเรียนรู้วิชาภาษาไทย ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6. วิทยานิพนธ์ ปริญญามหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์. ดนัยศักดิ์ กาโร. (2562). ปฏิวัติการสอนสู่ห้องเรียน 4.0 ด้วย Google for Education. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. ทิศนา แขมมณี. (2553). ศาสตร์การสอน องค์ความรู้เพื่อการจัดกระบวนการเรียนรู้ที่มี ประสิทธิภาพ. (พิมพ์ครั้งที่ 13). กรุงเทพฯ: สุทธาการพิมพ์. บุญชม ศรีสะอาด. (2560). การวิจัยเบื้องต้น. กรุงเทพฯ: สุวีริยาสาส์น ปิยนุช แหวนเพชร. (2560). การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดีของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 3 โดยใช้วิธีสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับเทคนิคการใช้แผนที่ความคิด. (วิทยานิพนธ์ ปริญญาศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต). นครปฐม : มหาวิทยาลัยศิลปากร. ปัทมา สิงหนุต. (2540). เอกสารประกอบการสอนความเป็นครู. เลย: มหาวิทยาลัยราชภัฎเลย. พิชัย ไชยสงคราม. (2542). ความเป็นครู. กรุงเทพฯ: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
42 บรรณานุกรม (ต่อ) ภพ เลาหไพบูลย์. (2542). แนวการสอนวิทยาศาสตร์ ฉบับปรับปรุง. (พิมพ์ครั้งที่ 3). กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ไทยวัฒนาพานิช. มนตรี วงษ์สะพาน. (2556). การยกระดับการเรียนรู้ของนักเรียนด้วยกระบวนการคิดวิเคราะห์. วารสารศึกษาศาสตร์มหาวิทยาลัยทักษิณ, (12), 25-139. ราชบัณฑิตยสถาน. (2546). พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2542. กรุงเทพมหานครฯ : นานมีบุคส์พับลิเคชั่นส์. รุจิร์ ภู่สาระ. (2546). การเขียนแผนการจัดการเรียนรู้. กรุงเทพฯ: บุ๊คพอยท์ ลักขณา สริวัฒน์. (2549). การคิด. กรุงเทพฯ: โอเดียนสโตร์. วนิช สุธารัตน์. (2547). ความคิดและความคิดสร้างสรรค์. กรุงเทพฯ: สุวีรินาสาสน วัชรา เล่าเรียนดี. (2552). รูปแบบการสอนกลยุทธ์การจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะการคิด. นครปฐม:โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยศิลปากร. วัฒนา ก้อนเชื้อรัตน์. (2550). การบริหารงานวิชาการในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา นครราชสีมา เขต 1. นครราชสีมา: สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษานครราชสีมาเขต 1. วิทวัฒน์ ขัตติยะมาน, และอมลวรรณ วีระธรรมโม. (2549). การสอนเพื่อพัฒนาการคิด. (พิมพ์ครั้งที่2). สงขลา: เทมการพิมพ์. วิมล ทองผิว. (2556). การพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์โดยใช้รูปแบบผังการสอนกราฟฟิก ส ำ ห รั บ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3. วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราช มงคลธัญบุรี. สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี. (2561 ก). คู่มือการใช้หลักสูตรรายวิชาเพิ่มเติม วิทยาศาสตร์ วิชาเคมี ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบับ ปรับปรุง พ.ศ. 2560) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. สำนักงานเลขาธิการคุรุสภา. (๒๕๔๘). มาตรฐานวิชาชีพทางการศึกษา. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์คุรุสภา ลาดพร้าว. สำนักงานเลขาธิการคุรุสภา. (๒๕๔๙). พระราชบัญญัติสภาครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ.๒ ๕ ๔ ๖ . พิมพ์ครั้งที่ ๑๑. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว. สุวัฒก์ นิยมค้า. (2531). ทฤษฎีและทางปฏิบัติในการสอนวิทยาศาสตร์แบบสืบเสาะหาความรู้ เล่ม 2. กรุงเทพฯ: เจเนอรัลบุ๊คส์ เซ็นเตอร์. สุวิทย์ มูลคำและอรทัย มูลคำ. (2550). การพัฒนาผลงานทางวิชาการสู่การเลื่อนขั้นวิทยฐานะ. กรุงเทพฯ: ภาพพิมพ์.