The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

รายงานการวิจัยเชิงปฏิบัติการในชั้นเรียนภาษาอังกฤษ เรื่อง การใช้ Quizizz ในการพัฒนาเจตคติด้านการเรียนภาษาอังกฤษ
สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนมัธยมสาธิตวัดพระศรีมหาธาตุ
มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Pattanee Jongsukkaijai, 2023-04-21 22:20:30

วิจัย เรื่อง การใช้ Quizizz ในการพัฒนาเจตคติด้านการเรียนภาษาอังกฤษ

รายงานการวิจัยเชิงปฏิบัติการในชั้นเรียนภาษาอังกฤษ เรื่อง การใช้ Quizizz ในการพัฒนาเจตคติด้านการเรียนภาษาอังกฤษ
สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนมัธยมสาธิตวัดพระศรีมหาธาตุ
มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร

รายงานการวิจัยเชิงปฏิบัติการในชั้นเรียนภาษาอังกฤษ เรื่อง การใช้ Quizizz ในการพัฒนาเจตคติด้านการเรียนภาษาอังกฤษ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนมัธยมสาธิตวัดพระศรีมหาธาตุ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร THE EFFECT OF QUIZIZZ ON ATTITUDE TOWARDS LEARNING ENGLISH OF GRADE 7 STUDENTS, WAT PHRASRIMAHADHAT SECONDARY DEMONSTRATIONSCHOOL, PHRANAKHON RAJABHAT UNIVERSITY โดย นางสาวพัฒนีย์ จงสุขกายใจ รหัสประจำตัว 6010111224027 สาขาวิชาภาษาอังกฤษ โรงเรียนมัธยมสาธิตวัดพระศรีมหาธาตุ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร รายงานการวิจัยเชิงปฏิบัติการในชั้นเรียนภาษาอังกฤษนี้เป็นส่วนหนึ่งของ การปฏิบัติการสอนในสาขาวิชาเฉพาะ ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 วิทยาลัยการฝึกหัดครู มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร


รายงานการวิจัยเชิงปฏิบัติการในชั้นเรียนภาษาอังกฤษ เรื่อง การใช้ Quizizz ในการพัฒนาเจตคติด้านการเรียนภาษาอังกฤษ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนมัธยมสาธิตวัดพระศรีมหาธาตุ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร THE EFFECT OF QUIZIZZ ON ATTITUDE TOWARDS LEARNING ENGLISH OF GRADE 7 STUDENTS, WAT PHRASRIMAHADHAT SECONDARY DEMONSTRATIONSCHOOL, PHRANAKHON RAJABHAT UNIVERSITY โดย นางสาวพัฒนีย์ จงสุขกายใจ รหัสประจำตัว 6010111224027 สาขาวิชาภาษาอังกฤษ โรงเรียนมัธยมสาธิตวัดพระศรีมหาธาตุ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร รายงานการวิจัยเชิงปฏิบัติการในชั้นเรียนภาษาอังกฤษนี้เป็นส่วนหนึ่งของ การปฏิบัติการสอนในสาขาวิชาเฉพาะ ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 วิทยาลัยการฝึกหัดครู มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนค


บทคัดย่อ พัฒนีย์ จงสุขกายใจ. 2564: การใช้ Quizizz ในการพัฒนาเจตคติด้านการเรียนภาษาอังกฤษ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนมัธยมสาธิตวัดพระศรีมหาธาตุ มหาวิทยาลัย ราชภัฏพระนคร ปริญญาครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาภาษาอังกฤษ อาจารย์ที่ปรึกษา งานวิจัย: อาจารย์สุมิตรา พรรณกุลบดี, 107 หน้า การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลการใช้โปรแกรม Quizizz ที่ มีผลต่อการเรียนเรียนรู้วิชาภาษาอังกฤษ กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/1 โรงเรียน มัธยมสาธิตวัดพระศรีมหาธาตุ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร ปีการศึกษา 2564 ได้มาจากคัดเลือกมา แบบเจาะจง (Purposive Sampling) จำนวน 40 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม เพื่อวัดเจตคติที่มีต่อการเรียนภาษาอังกฤษ โดยการประยุกต์ใช้โปรแกรม Quizizz เป็นแบบสอบถาม ลักษณะเรียงอันดับ จำนวน 12 ข้อ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพื้นฐาน ได้แก่ ร้อยละ (Percentage) ค่าเฉลี่ย (Mean) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) โดยใช้โปรแกรม Microsoft Excel ในการหาค่าคำนวณ ผลการวิจัยพบว่า 1. หลังจากประยุต์ใช้โปรแกรม Quizizz ในการจัดการเรียนรู้ภาษาอังกฤษให้แก่นักเรียน มัธยมศึกษาปีที่ 1/1 แล้ว พบว่านักเรียนมีเจตคติที่ดีต่อการเรียนภาษาอังกฤษเพิ่มมากขึ้น คำสำคัญ: การพัฒนาเจตคติด้านการเรียนภาษาอังกฤษ โปรแกรม Quizizz


Abstract Pattanee Jongsukkaijai. 2021: The Effect of Quizizz on Attitude Towards Learning English of Grade 7 Students, Wat Phrasrimahadhat Secondary Demonstration School,Phranakhon Rajabhat University. Bachelor of Education (English)Research Advisor: Sumitra Pankulbadee, 107 pages. The purpose of this research was to study the effect of using Quizizz program on students’ attitude towards learning English. The sample used was Mathayomsuksa 1/1 students at Wat Phrasrimahadhat Secondary Demonstration School of Phranakhon Rajabhat University in the 2nd semester of academic year 2021 chosen by purposive sampling. The instrument was a questionnaire assessing students’ attitude towards learning English. The statistics used to analyze data were mean, standard deviation, and percentage. The finding of study was as follows: The findings of study were as follows: 1. After applying Quizizz to learning English of Mathayomsuksa 1/1 students, It was found that their attitudes towards learning English were improved in a better way. Keywords: The development of attitudes towards learning English, Quizizz Program


กิตติกรรมประกาศ รายงานการวิจัยเชิงปฏิบัติการในชั้นเรียนภาษาอังกฤษเล่มนี้สำเร็จได้ด้วยดี ผู้วิจัย ขอขอบพระคุณคณาจารย์ทุกท่านที่ได้ประสิทธิ์ประสาทวิชาความรู้ให้แก่ผู้วิจัย ตลอดจนชี้แนะและให้ คำแนะนำแก่ผู้วิจัยตลอดช่วงระยะเวลาที่ทำการวิจัย และขอขอบคุณเจ้าของเอกสาร แนวคิด ทฤษฎี ตำรา และผลงานทางวิชาการต่าง ๆ ที่ผู้วิจัยได้นำมาอ้างอิงในงานวิจัยฉบับนี้ ขอขอบพระคุณ อาจารย์ สุมิตรา พรรณกุลบดี ที่ได้ให้ความรู้ แนะนำ ปรับปรุงแก้ไข และให้ ความอนุเคราะห์ในการเป็นอาจารย์ที่ปรึกษางานวิจัยเชิงปฏิบัติการในชั้นเรียนภาษาอังกฤษในครั้งนี้ ขอขอบพระคุณ อาจารย์ ชัยเดช นาคสะอาด อาจารย์ ทุติยพร บุญลีและอาจารย์ ไอฟ้า ตรุษสาท ที่ได้กรุณาเป็นผู้เชี่ยวชาญในการตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือวิจัยทุกรายการของ งานวิจัยนี้ ขอขอบพระคุณ ผู้อำนวยการและคณะครู โรงเรียนมัธยมสาธิตวัดพระศรีมหาธาตุ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร กรุงเทพมหานคร ที่ให้ความอนุเคราะห์ในการทดลองและเก็บรวบรวม ข้อมูลในการวิจัย และขอขอบคุณนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 ปีการศึกษา 2564 ทุกคนที่ให้ความ ร่วมมือในการทำวิจัยนี้จนเสร็จสมบูรณ์ ขอขอบพระคุณนายธีรศักดิ์ แม่นปืน นายธนันดร อุ้ยเส้ง และนายปัฏฐกาญจน์ จิตรีวรรณที่ คอยให้คำปรึกษาในงานวิจัยโดยเสมอมา อีกทั้งขอขอบพระคุณนักแสดง พัคโบกอม นักร้อง ฮวังมินฮ ยอน (NU’EST) จองแจ- ฮยอน (NCT) อีมิน-ฮย็อก (Monsta X) และท่านอื่น ๆ อีกมากมาย ที่คอย เป็นรอยยิ้ม และกำลังใจในการทำวิจัยในครั้งนี้ด้วยเช่นกัน อนึ่ง ผู้วิจัยหวังว่างานวิจัยเชิงปฏิบัติการในชั้นเรียนภาษาอังกฤษนี้จะเป็นประโยชน์ต่อการ พัฒนาการจัดการศึกษา การจัดการเรียนรู้ การพัฒนานักเรียน และการพัฒนาวิชาชีพของครูผู้สอน ภาษาอังกฤษในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานของประเทศไทย สำหรับข้อบกพร่องต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ นั้น ผู้วิจัยยินดีน้อมรับข้อคิดเห็น ข้อเสนอแนะ และยินดีรับฟังคำแนะนำจากทุกท่านที่ได้ศึกษา งานวิจัยนี้เพื่อที่จะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาวิชาชีพครูและงานวิจัยด้านการจัดการศึกษา ภาษาอังกฤษต่อไป นางสาวพัฒนีย์ จงสุขกายใจ วิทยาลัยการฝึกหัดครู สาขาภาษาอังกฤษ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร


สารบัญ หน้า บทคัดย่อ กิตติกรรมประกาศ สารบัญ สารบัญตาราง สารบัญภาพ ค จ ฉ ซ ฌ บทที่ 1 บทนำ ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา คำถามวิจัย สมมติฐาน 1 2 2 วัตถุประสงค์ของการวิจัย 2 ขอบเขตของการวิจัย 3 นิยามศัพท์เฉพาะ 4 ประโยชน์ที่ได้รับจากการวิจัย 4 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง เอกสารที่เกี่ยวข้องกับการประยุกต์ใช้โปรแกรม Quizizz 5 เจตคติของนักเรียนที่มีต่อการเรียนภาษาอังกฤษ 8 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 13 กรอบแนวคิดในการวิจัย 23 3 วิธีดำเนินการวิจัย แบบแผนการวิจัย 24 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 25 ระยะเวลาในการวิจัย 25 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 25 การสร้างและหาคุณภาพของเครื่องมือวิจัย 25 การดำเนินการวิจัยและการเก็บรวบรวมข้อมูล 27


สารบัญ (ต่อ) หน้า การวิเคราะห์ข้อมูลและสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล 4. ผลวิเคราะห์ข้อมูล ตอนที่ 1 ศึกษาผลการใช้โปรแกรม Quizizz ที่มีผลต่อการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ 5. สรุป อภิปราย ข้อเสนอแนะ สรุปผลวิจัย อภิปรายผลการวิจัย ข้อเสนอแนะ บรรณานุกรม ภาคผนวก 27 29 31 31 33 ภาคผนวก ก รายชื่อผู้เชี่ยวชาญตรวจและแก้ไขเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ภาคผนวก ข แบบสอบถามเพื่อวัดเจตคติที่มีต่อการเรียนภาษาอังกฤษ ภาคผนวก ค ดัชนีความสอดคล้องระหว่างเครื่องมือที่ใช้กับวัตถุประสงค์ (IOC) ภาคผนวก ง แผนการจัดการเรียนรู้โดยการประยุกต์ใช้โปรแกรม Quizizz ภาคผนวก จ ผลการวิเคราะห์ข้อมูล ประวัติผู้วิจัย 38 40 44 47 104 107


สารบัญตาราง ตารางที่ หน้า 3.1 รูปแบบของการวิจัย 3.2 ตารางความเชื่อมั่น 4.1 ผลการวิเคราะห์ข้อมูลการตอบแบบสอบถามเพื่อวัดเจตคติ 4.2 ผลวิเคราะห์ความต่างของเจตคติก่อน และหลังการใช้โปรแกรม Quizizz 24 26 29 30


สารบัญรูปภาพ ภาพที่ หน้า 2.1 กรอบแนวคิดในการวิจัย 23


บทที่ 1 บทนำ ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา ในปัจจุบันภาษาอังกฤษเป็นภาษาต่างประเทศที่มีความสำคัญและมีบทบาทอย่างมาก เพราะ ภาษาอังกฤษเป็นหนึ่งในภาษาสากลที่คนทั่วโลกมักนิยมใช้อย่างแพร่หลายมากที่สุด อีกทั้งยังเป็น เครื่องมือสำคัญที่ใช้ในการสื่อสารกับประชาคมโลกได้อย่างไร้ขีดจำกัดในด้านต่าง ๆ อย่างเช่น การ ติดต่อสื่อสารระหว่างกัน การเผยแพร่แลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารและวัฒนธรรม การติดต่อทางธุรกิจ หรือประโยชน์อื่น ๆ ที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นสื่อกลาง ภาษาอังกฤษเป็นภาษากลางของผู้คนในกลุ่ม ประเทศอาเซียน และในกฎบัตรอาเซียนข้อที่ 34 ยังกำหนดภาษาอังกฤษให้เป็นภาษาที่ใช้ในการ ทำงาน ภาษาอังกฤษจึงเปรียบเสมือนเครื่องมืออันดับหนึ่งในการติดต่อสื่อสารระหว่างกัน สำหรับ ประชากรอาเซียนและประชากรทั่วโลก ประเทศไทยซึ่งเป็นหนึ่งในสมาชิกของกลุ่มประเทศอาเซียน และของโลก จึงมีความสำคัญที่ผู้คนจะต้องเรียนรู้และมีความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษ ด้วย ความสำคัญดังกล่าวนี้ กระทรวงศึกษาธิการ จึงได้มีการพัฒนาหลักสูตรภาษาอังกฤษแกนกลางปี พุทธศักราช 2551 และจัดให้มีการเรียนการสอนภาษาอังกฤษในฐานะภาษาต่างประเทศในทุก ระดับชั้น เน้นการพัฒนาทักษะการเรียนรู้ทั้ง 4 ด้าน ได้แก่ การฟัง การพูด การอ่าน และ การเขียน โดยจัดการเรียนการสอนให้มีความสอดคล้องและเหมาะสมกับสภาพสังคมปัจจุบันมากขึ้นเพื่อมุ่งหวัง ให้ผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 สามารถนำทักษะความรู้ไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างมี ประสิทธิภาพ ทั้งในด้านการประกอบอาชีพ การศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้น ทั้งสามารถใช้ภาษาในการ ถ่ายทอดความรู้ความคิดและวัฒนธรรมไทยไปสู่สังคมโลก และเพื่อสนองนโยบายการพัฒนาประเทศ ให้ทัดเทียมกับนานาประเทศ แต่ในรอบปีที่ผ่านมาการแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลกระทบวงกว้างในหลายมิติทั่วโลก รวมทั้งผลกระทบต่อแวดวงการศึกษาในหลายแง่มุม ตั้งแต่การปิดเรียน ปรับมาใช้การสอนผ่านกลไก ต่าง ๆ แต่อีกด้านโควิด-19 กลายเป็นแรงผลักดันบังคับให้เกิดการปรับตัวและนำมาซึ่งเทคโนโลยีและ นวัตกรรมรูปแบบการศึกษาใหม่ๆ ที่ช่วยให้เด็กได้เรียนรู้ด้วยตนเองด้วยรูปแบบที่แตกต่างกลายเป็น โมเดลใหม่ๆ ที่สอดรับกับบริบทของแต่ละพื้นที่ทั่วโลก ซึ่งในปัจจุบันได้เริ่มมีการนำเอาเทคโนโลยีและ การสอนแบบใหม่มาประยุกต์ใช้ในห้องเรียนภาษาอังกฤษ เพื่อตอบสนองนักเรียนในศตวรรษที่ 21 และในสถานการ์ปัจจุบัน อาทิโทรศัพท์มือถือ โน้ตบุ๊กคอมพิวเตอร์ หรือ อุปกรณ์สื่อสารที่สามารถ


2 เชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตได้ เป็นต้น สามารถนำมาใช้ในการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ และนำ เทคโนโลยีใหม่ ๆ เหล่านี้มาประยุกต์ใช้ในการเรียนการสอนในยุคปัจจุบันจึงเป็นสิ่งที่สำคัญและมีความ จำเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งโปรแกรมหรือเทคโนโลยีต่าง ๆ จะสามารถนำมาใช้เพื่อช่วยส่งเสริมให้เกิดการเรียน การสอนที่มีความน่าสนใจและน่าเรียนรู้มากยิ่งขึ้น และน่าจะเหมาะสมสำหรับนักเรียนในยุคปัจจุบัน มากกว่าการบรรยายธรรมดาดังเช่นเดิม เป็นการสนับสนุนให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้จากการมีส่วนร่วม ในกิจกรรมที่เกิดขึ้นในการเรียนการสอน ทำให้พวกเขาได้เรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ จากสภาพ ปัญหาจากความเป็นมาดังกล่าว ทำให้ผู้วิจัยได้ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโปรแกรมต่าง ๆ ที่จะนำมา พัฒนาการเรียนการสอน ร่วมถึงเจตคติต่อโปรแกรมนั้น ๆ จาการสังเกตการสอนในเทอมที่ผ่านมา (ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564) การสอนออนไลน์ ในรูปแบบที่ครูพูดอย่างเดียว เป็นเรื่องยากที่จะทำให้นักเรียนสนใจในการเรียน และไม่รู้สึกอยากเรียน และค้นคว้าหาความรู้ใหม่ๆ จึงทำให้ครูผู้สอนได้นำเทคโนโลยีต่างๆ เช่น Quizezz Blooket Liveworksheet WordWall หรือ Menti เข้ามาปรับใช้ในการเรียนการสอน ผลการสังเกต เด็ก นักเรียนมีความกระตือรืนร้นในการเรียน และการตอบคำถามมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะโปรแกรม Quizizz เด็กนักเรียนจะรู้สึกกระตือรือร้นมากเป็นพิเศษ เนื่องจากเป็นโปรแกรมให้เด็กได้มาแข่งขันกันตอบ คำถาม และมีการจัดอันดับ รวมถึงมีตัวช่วยมากมายในโปรแกรมขณะเล่นเกม ทำให้เด็กนักเรียนรู้สึก สนุกมากยิ่งขึ้น ผู้วิจัยจึงคิดว่า Quizizz จะช่วยส่งเสริมด้านเจตคติโดยเฉพาะเด็กอ่อนภาษาอังกฤษ จะยิ่งช่วยทำให้สนใจภาษาอังกฤษมากยิ่งขึ้น คำถามการวิจัย การวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้กำหนดคำถามการวิจัยดังต่อไปนี้ 1. เจตคติของนักเรียนดีขึ้นหรือไม่หลังจากการใช้โปรแกรม Quizziz ในการเรียนภาษาอังกฤษ สมมติฐาน การวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ตั้งสมมติฐานการวิจัยดังต่อไปนี้ 1. เมื่อใช้โปรแกรม Quizizz ในการเรียนแล้ว นักเรียนจะมีเจตคติในการเรียนภาษาอังกฤษดีขึ้น วัตถุประสงค์ของการวิจัย การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. เพื่อศึกษาผลการใช้โปรแกรม Quizizz ที่มีผลต่อเจตคติในการเรียนรู้วิชาภาษาอังกฤษ


3 ขอบเขตของการศึกษา การวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้กำหนดขอบเขตการวิจัยไว้ดังต่อไปนี้ 1.ขอบเขตด้านประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 1.1.ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้ง เป็นนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียน มัธยมสาธิตวัดพระศรีมหาธาตุ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร ปีการศึกษา 2564 จำนวน 4 ห้องเรียน จำนวน 164 คน 1.2.กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/1 โรงเรียนมัธยม สาธิตวัดพระศรีมหาธาตุ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร ปีการศึกษา 2564 ได้มาจากคัดเลือกมาแบบ เจาะจง (Purposive Sampling) จำนวน 40 คน 2. ขอบเขตด้านเนื้อหา ทำการวิจัยในเนื้อหาวิชาภาษาอังกฤษ Reading and Writing ตามหลักสูตรกลุ่ม สาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยการประยุกต์ใช้โปรแกรม Quizizz 3. ขอบเขตด้านระยะเวลา การวิจัยครั้งนี้ดำเนินการในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 ระยะเวลาทำการ ทดลอง ระหว่างเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2564 - เดือนมกราคม พ.ศ. 2565 4. ขอบเขตด้านพื้นที่ทำการวิจัย โรงเรียนมัธยมสาธิตวัดพระศรีมหาธาตุ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร เลขที่ 7 หมู่ – ถนน แจ้งวัฒนะ แขวง อนุสาวรีย์ เขต บางเขน กรุงเทพมหานคร 10220 5. ตัวแปรที่ศึกษา ได้แก่ ในการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้กำหนดตัวแปรการวิจัยไว้ ดังนี้ 5.1 ตัวแปรต้น (ตัวแปรอิสระ) (Independent variable) ที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ การประยุกต์ใช้โปรแกรม Quizizz ในการเรียนรู้วิชาภาษาอังกฤษอ่าน-เขียน 5.2 ตัวแปรตาม (Dependent variable(s) ที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ 5.2.1 เเจตคติที่มีต่อการเรียนภาษาอังกฤษด้วยการประยุกต์ใช้โปรแกรม Quizizz


4 นิยามศัพท์เฉพาะ ในการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ศึกษาค้นคว้านิยามศัพท์เฉพาะดังต่อไปนี้ 1. โปรแกรม Quizizz หมายถึง โปรแกรมที่ใช้ในการเรียนการสอนวิชาภาษาอังกฤษอ่านเขียน ซึ่งมีลักษะเป็นโปรแกรมตอบคำถาม มีตัวเลือกทั้งหมด 4 ตัวเลือก และมีตัวช่วยพิเศษขณะเล่น ซึ่งจะช่วยให้นักเรียนได้คะแนนเพิ่ม รวมถึงมีการจัดอันดับ เมื่อตอบคำถามครบทุกคน 2. เจตคติหมายถึง ความรู้สึกที่มีต่อการจัดการเรียนรู้หลังจากการจัดการเรียนรู้โดยการ ประยุกต์ใช้โปรแกรม Quizizz โดยใช้แบบวัดผลคะแนนความพึงพอใจที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นเพื่อวัดนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนมัธยมสาธิตวัดพระศรีมหาธาตุ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร 30. นักเรียน หมายถึง นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/1 ปีการศึกษา 2564 โรงเรียนมัธยม สาธิตวัดพระศรีมหาธาตุ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร จำนวน 40 คน ประโยชน์ที่ได้รับจากการวิจัย 1. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนมัธยมสาธิตวัดพระศรีมหาธาตุ มหาวิทยาลัยราชภัฏ พระนคร มีเจตคติที่ดีขึ้น และสามารถพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษได้ด้วยตนเอง 2. ครูผู้สอนภาษาอังกฤษ สามารถนำผลการศึกษา ในเรื่องการปรับใช้โปรแกรม Quizizz ใน การปรับการเรียนการสอนภาษาอังกฤษต่อไป


บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การศึกษาครั้งนี้ได้ศึกษาค้นคว้าและรวบรวมแนวคิดทฤษฎี ตำรา เอกสาร บทความ และ งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการจัดการเรียนรู้ กำหนดขอบเขตการจัดการเรียนการสอนสู่การออกแบบการ จัดการเรียนรู้ เพื่อใช้กับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/1 โรงเรียนมัธยมสาธิตวัดพระศรีมหาธาตุ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร เขต บางเขน จังหวัด กรุงเทพมหานคร สังกัด สำนักงานคณะกรรมการ การอุดมศึกษา ผู้วิจัยได้ศึกษาค้นคว้า แล้วสรุปสาระสำคัญได้ดังนี้ 1. เอกสารที่เกี่ยวข้องกับการประยุกต์ใช้โปรแกรม Quizizz 2. เจตคติของนักเรียนที่มีต่อการเรียนภาษาอังกฤษ 3. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 4. กรอบแนวคิดในการวิจัย 1. เอกสารที่เกี่ยวข้องกับการประยุกต์ใช้โปรแกรม Quizizz 1.1 โปรแกรม Quizizz คืออะไร โปรแกรม Quizizz คือ เว็บไซต์หนึ่งที่ช่วยสร้าง Presentation และแบบทดสอบออนไลน์ได้ ฟรีผู้เรียนทำแบบทดสอบผ่าน อุปกรณ์คอมพิวเตอร์Notebook, Tablet และ Smartphone ที่ เชื่อมต่อระบบ Internet ผู้เรียนสามารถทราบผลการทำแบบฝึกหัดทันทีและผู้สอนได้รับรายงาน (Report) ผลการทำแบบฝึกหัดและบันทึกลงเครื่องคอมพิวเตอร์ได้Quizizz เหมาะกับการนำมา ประยุกต์ใช้กับการทำ Presentation แทนการใช้PowerPoint หรือ Keynotes หรือจัดกิจกรรมการ ทำแบบฝึกหัดแบบเกมส์เพื่อเพิ่มความสนุกสนานในการเรียนได้และเป็นการใช้เทคโนโลยีได้อย่างเกิด ประโยชน์อีกทั้งจะทราบจุดบกพร่องการเรียนของนักเรียนแต่ละคนในแต่ละเนื้อหา ว่านักเรียนไม่ เข้าใจในเนื้อหาการเรียนเรื่องใด เพื่อนำมาปรับปรุง แก้ไขกระบวนการจัดการเรียนการสอนได้ดียิ่งขึ้น ในด้านของผู้เรียนเอง ก็จะได้ทราบข้อมูลและประเมินตนเองได้ว่าไม่เข้าใจเนื้อหา ตรงส่วนใดเพื่อจะได้ กลับไปทบทวน และทำความเข้าใจในเนื้อหานั้น อีกครั้งหนึ่ง เสมือนการสร้างแรงจูงใจในการเรียน และให้ผู้เรียนต้องเตรียมพร้อมในการเรียนอยู่ตลอดเวลา


6 1.2 ขั้นตอนการใช้โปรแกรม Quizizz Quizizz เป็นเว็ปไซต์ที่ช่วยในการเรียนการสอนทางอินเทอร์เน็ตที่ช่วยให้เด็กมีความสนใจใน การเรียนและตอบคำถาม Quizizz มีระบบที่ช่วยครูไม่ให้เด็กลอกกันได้โดยจะแสดงทำถามที่ไม่ เหมือนกันของแต่ละเครื่อง 1. สำหรับคนที่มีคนสร้างห้องแล้ว ให้ใส่หมายเลขห้องที่ต้องการเข้า 2. ขั้นตอนการลงทะเบียนใช้งาน (การสร้างห้อง) 2.1 การสร้าง e-Presentation และ e-Quiz เริ่มจากการสมัครสมาชิก โดยเข้าไปที่เว็บไซต์https://quizizz.com แล้วคลิกปุ่ม Login 2.2 เลือก Click Here เพื่อสมัครเข้าสู่ระบบ หรือ Login โดยใช้Google Account หรือ Facebook Account กรอกข้อมูลต่าง ๆ ให้เรียบร้อย และคลิกปุ่ม Next หลังจากนั้น เลือกสถานภาพ และกรอกรายละเอียดเพิ่มเติม หลังจากนั้นกดปุ่ม Next 2.3 เมื่อเข้าสู่ระบบเรียบร้อยแล้วให้คลิกปุ่ม + Create your own presentation หรือ quiz จะเข้าสู่หน้าต่างการสร้าง Presentation info หรือ ชุดแบบทดสอบ Quiz Info โดยเราสามารถตั้งชื่อแบบทดสอบว่าวิชาใด เพิ่มรูปภาพตัวอย่างของแบบทดสอบหรือรายวิชา ตั้งค่าภาษา ตั้งค่าการแชร์แบบทดสอบอีกทั้งยังสามารถ Import ไฟล์CSV ได้ด้วย หลังจากตั้งค่า เรียบร้อยแล้ว คลิกปุ่ม Done 2.4 หน้าต่างการสร้าง Presentation หรือ Quiz ทางด้านซ้ายมือจะเป็น การกำหนด slides หรือ แบบฝึกหัด โดยสามารถเพิ่ม/ลด จำนวน slides หรือ ข้อได้ตามการแก้ไข Presentation หรือ Quiz แต่ละ slide หรือ ข้อ ตามแถบกลางจะเป็นแถบที่ใช้กำหนดคำถาม คำตอบของข้อสอบในข้อนั้น ๆ ส่วน แถบด้านขวามือจะเป็นหน้าต่าง QUESTION PREVIEW สำหรับ ดูภาพรวมของคำถาม เพิ่มข้อคำถาม พิมพ์คำถาม เพิ่มรูปประกอบ ตัวเลือก ดูภาพรวม เครื่องมือ จัดการรูปแบบตัวอักษร กำหนดเวลา เลือกคำตอบที่ถูกต้อง 2.5 เมื่อสร้างคำถามครบทุกข้อแล้วให้คลิกปุ่ม Finish 2.6 จะปรากฎหน้าต่าง ให้กำหนดระดับชั้นของผู้เรียน (Grade Range) กำหนดหมวดรายวิชา (Subjects) กำหนดหัวข้อ (Topics) ระบุTag ที่เกี่ยวข้องเพื่อช่วยในการสืบค้น หลังจากนั้นคลิกปุ่ม Finish and Create Presentation or Quiz 2.7 จะแสดงข้อสอบที่สร้างไว้ทั้งหมดดังภาพ ซึ่งสามารถคัดลอก (Duplicate) แก้ไข(Edit) ลบ (Delete) ชุดข้อสอบได้ 2.8 กรณีต้องการตรวจทานเฉลยคำตอบได้โดยคลิกปุ่ม Answers ซึ่งเรา สามารถกำหนดได้เพิ่มเติมว่าจะให้ผู้เข้าสอบดูเฉลยได้หรือไม่ได้


7 2.9 กรณีถ้าไม่ต้องการให้ผู้สอบดูคำตอบต้องตั้งค่าเพิ่มเติม โดยคลิกที่ปุ่ม Play live แล้วเปลี่ยนแถบ Show Answer เป็น OFF จากนั้นคลิกปุ่ม Process 2.10 เมื่อกด Process โปรแกรมจะแสดงหน้าจอที่ มีรหัสข้อสอบ (หมายเลข 6 หลัก) และ URL ที่ส่งให้ผู้สอบเข้ามา join.quizizz.com 1.3 ลักษณะของโปรแกรม Quizizz ที่มีผลต่อการเรียนรู้ ลิม และ ยูนัส (Lim, T, M. and Yunus, M, M. 2020 : 5312-5314) กล่าวว่า โปรแกรม Quzizz เป็นโปรแกรมที่ดึงดูดให้ผู้เรียนสนใจในการเรียน และจำเนื้อหาการเรียนได้ดีขึ้น เนื่องจาก ผู้เรียนต้องจดจ่อกับการตอบคำถามให้ถูกต้อง และเป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่จะทำให้ตัวเองชนะ ซึ่ง ความรู้สึกที่ได้แข่งขันกันเช่นนี้ จะทำให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ได้ดีขึ้น นอกจากที่ผู้เรียนต้องการที่จะชนะแล้ว ก่อนที่ผู้เรียนจะเข้ามาแข่งขันได้ จะต้องทำความเข้าใจกับเนื้อหาที่ได้เรียนเสียก่อน ซูริยา และ พราโตโล (Zuhriyah and S. Pratolo, B. 2021 : 3, 8-10) กล่าวว่า โปรแกรม Quzizz สามารถเล่นได้ตั้งแต่ระดับผู้เล่นเริ่มต้น ไปจนถึงระดับมหาวิทยาลัย หรือสามารถเล่นได้ทุกวัย ซึ่งการเล่นโปรแกรมนี้ จะช่วยกระตุ้นให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมกับชั้นเรียน และยังสามารถใช้โทรศัพท์มือถือ ของนักเรียนเองได้อีกด้วย ซึ่งในโปรแกรม Quizizz ยังมีโปรแกรมที่สิ่งที่น่าสนใจหลายอย่าง เช่น มีม ธีม อวาตาร และเสียงเพลงที่ช่วยให้การเล่นเกมสนุกยิ่งขึ้น ซึ่งลักษณะของการเล่น จะเป็นตัวเลือก ตัวเลือกให้เลือกตอบ ซึ่งสีสันจะแตกต่างกันไปในแต่ละข้อ เมื่อการแข่งขันสิ้นสุดลง นักเรียนจะเห็น คะแนนของตนเองว่าได้เท่าใดผ่านหน้าจอโทรศัพท์มือถือ และในกระดานผู้นำ (Leaderboard) ซึ่ง การที่ได้เห็นคะแนนผ่านกระดานผู้นำ จะยิ่งทำให้ผู้เรียนมีแรงกระตุ้นในการเรียนมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ระหว่างที่เล่นเกม ในแต่ละข้อจะเฉลยคำตอบที่ถูกไปในตัวด้วย ทำให้ผู้เรียนสามารถทราบ คำตอบของคำถามนั้น ๆ ได้ทันที สรุปโปรแกรม Quizizz เป็นโปรแกรมที่ใช้ง่าย และลดการใช้กรพ ดาษ ช่วยส่งเสริมการเรียนรู้ของผู้เรียน ได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมที่ทำ และได้เรียนรู้บทเรียนไปในตัว ด้วย จากเอกสารที่เกี่ยวข้องกับโปรแกรมประยุกต์Quizizz ที่กล่าวมาข้างต้น สรุปได้ว่า โปรแกรม ประยุกต์Quizizz เป็นเทคโนโลยีทางการศึกษาอย่างหนึ่งที่เริ่มเป็นที่รู้จักนิยมใช้กันในปัจจุบัน เล่นได้ ผ่านอุปกรณ์หลากหลาย เช่น คอมพิวเตอร์แท็บเล็ต รวมไปถึงโทรศัพท์มือถือ ผ่านทางเว็บเบราว์เซอร์ ซึ่งทุกเพศ ทุกวัยสามารถเล่นได้ไม่เสียค่าใช้จ่าย เมื่อนำมาใช้ในห้องเรียนจะทำให้ผู้เรียนเกิดความ สนใจมากยิ่งขึ้น และเป็นการเพิ่มปฏิกิริยาทางสังคมกับทั้งครูและเพื่อนร่วมชั้น ซึ่งการเล่นในลักษณะ นี้ จะยิ่งทำให้ผู้เรียนจดจำเนื้อหาได้นานขึ้น เพราะผู้เรียนจะรู้สึกเหมือนได้แข่งขันกันจริงๆ กับเพื่อน ร่วมชั้นเรียน รวมทั้งยังได้ทบทวนเนื้อหาผ่านการเล่นเกมด้วยเช่นกัน


8 2. แนวคิดเกี่ยวกับเจตคติ 2.1 ความหมายของเจตคติ พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตสถาน (ราชบัณฑิตยสถาน. 2542 : 221) ให้ความหมายของเจต คติว่า หมายถึง ท่าทีหรือความรู้สึกของบุคคลต่อสิ่งหนึ่งสิ่งใด พวงรัตน์ ทวีรัตน์ (2540 : 108) กล่าวว่า เจตคติ หมายถึง การเตรียมพร้อมแห่งสภาพจิตใจ ของบุคคลในการกระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เจตคติเป็นอารมณ์ที่มีอยู่ในทุกผู้ทุกคน แต่อยู่ในระดับที่แตกต่าง กัน เจตคติเป็นสิ่งที่ผลักดันบุคคลให้แสดงปฏิกิริยาตอบสนองต่อสิ่งเร้าต่าง ๆ อันอยู่ในลักษณะที่พึง พอใจก็ได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับกระบวนการเรียนและประสบการณ์ของแต่ละบุคคล แอลพอร์ต (Allport. 1985 : 798) ให้ความหมายว่าเจตคติหมายถึง สภาพความพร้อมทาง จิตใจ ซึ่งเกิดขึ้นจากประสบการณ์ สภาวะความพร้อมนี้จะเป็นแรงที่จะกำหนดทิศทางของปฏิกิริยา ของบุคคล สิ่งของ หรือสถานการณ์ที่เกี่ยวข้อง กู๊ด (Good. 1973 : 49) ให้ความหมายของเจตคติว่า เจตคติหมายถึง ความเอนเอียงหรือ ความชอบของบุคคลที่แสดงผลเฉพาะไปสู่วัตถุสิ่งของ สถานการณ์หรือคุณค่า ตามปกติจะประกอบไป ด้วยความรู้สึกและอารมณ์ เจตคติ หมายถึง สภาวะของความพร้อมทางจิตใจซึ่งเกิดจากประสบการณ์ สภาวะความ พร้อมนี้เป็นแรงที่กำหนดทิศทางของปฏิกิริยาระหว่างบุคคลที่มีต่อบุคคล สิ่งของและ สถานการณ์ที่ เกี่ยวข้อง (Allport อ้ำงถึงในนวลศิริ เปำโรหิต, 2545 : 125) เจตคติ หมายถึง ความรู้สึกที่แสดงออกมาในทางบวก หรือทางลบ เช่น พอใจ ไม่พอใจ เห็น ด้วยไม่เห็นด้วย ชอบหรือไม่ชอบต่อบุคคลหรือสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เจตคติ หมายถึง ความรู้สึกโน้มเอียงของจิตใจที่มีต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง หรือ เรื่องใด เรื่องหนึ่ง หรือ แบ่งเป็น 2 ลักษณะ คือ เชิงนิมาน และเชิงนิเสธ เจตคติ หมายถึง ความรู้สึกที่คนเรามีต่อสิ่งหนึ่งสิ่งใดหรือหลายสิ่ง ในลักษณะที่เป็นอัตวิสัย (Subjective) อันเป็นพื้นฐานเบื้องต้น หรือการแสดงออกที่เรียกว่า พฤติกรรม เจตคติ หมายถึง ความรู้สึก หรือท่าทีของบุคคลที่มีต่อบุคคล วัตถุสิ่งของ หรือสถานการณ์ ต่าง ๆ ความรู้สึก หรือท่าทีจะเป็นไปในทำนองที่พึงพอใจ หรือไม่พอใจ เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยก็ได้ เจตคติ หมายถึง สภาพความคิด ความเข้าใจและความรู้สึกเชิงประเมินที่มีต่อสิ่งต่างๆ เช่น วัตถุ สถานการณ์ ความคิด ผู้คน เป็นต้น ซึ่งเจตคติทำให้บุคคลมีแนวโน้มที่จะแสดงพฤติกรรมต่อสิ่ง นั้น ในลักษณะเฉพาะตัวตามทิศทางของทัศนคติที่มีอยู่


9 จากนิยามต่าง ๆ ที่กล่าวมาทำให้พอสรุปได้ว่าเจตคติ คือ ความรู้สึกทางด้านจิตใจที่เกิดจาก ประสบการณ์และการเรียนรู้ของบุคคล ซึ่งทำให้เกิดมีท่าทีหรือมีความคิด เห็นรู้สึกต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งใน ลักษณะที่ชอบหรือไม่ชอบ เห็นหรือไม่เห็นด้วย 2.2 องค์ประกอบของเจตคติ โดยทั่วไป เจตคติประกอบด้วยองค์ประกอบ 3 ประการ คือ 1. องค์ประกอบด้านความรู้ความเข้าใจ (Cognitive Component) เป็นองค์ประกอบด้าน ความรู้ความเข้าใจของบุคคลที่มีต่อสิ่งเร้านั้น ๆ เพื่อเป็นเหตุผลที่จะสรุปความ และรวมเป็นความเชื่อ หรือช่วยในการประเมินค่าสิ่งเร้านั้น ๆ 2. องค์ประกอบด้านความรู้สึกและอารมณ์ (Affective Component) เป็นองค์ประกอบด้าน ความรู้สึก หรืออารมณ์ของบุคคล ที่มีความสัมพันธ์กับสิ่งเร้า ต่างเป็นผลต่อเนื่องมาจากที่บุคคล ประเมินค่าสิ่งเร้านั้น แล้วพบว่าพอใจหรือไม่พอใจ ต้องการหรือไม่ต้องการ ดีหรือเลวองค์ประกอบทั้ง สองอย่างมีความสัมพันธ์กัน เจคติบางอย่างจะประกอบด้วยความรู้ความเข้าใจมา แต่ประกอบด้วย องค์ประกอบด้านความรู้สึกและอารมณ์น้อย เช่น เจตคติที่มีต่องานที่ทำ ส่วนเจตคติที่มีต่อแฟชั่น เสื้อผ้าจะมีองค์ประกอบด้านความรู้สึกและอารมณ์สูง แต่มีองค์ประกอบด้านความรู้ความเข้าใจต่ำ 3. องค์ประกอบด้านพฤติกรรม (Behavioural Component) เป็นองค์ประกอบทางด้าน ความพร้อม หรือความโน้มเอียงที่บุคคลประพฤติปฏิบัติ หรือตอบสนองต่อสิ่งเร้าในทิศทำงที่จะ สนับสนุนหรือคัดค้าน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความเชื่อ หรือความรู้สึกของบุคคลที่ได้รับจำกกำรประเมินค่าให้ สอดคล้องกับความรู้สึกที่มีอยู่ เจตคติที่บุคคลมีต่อสิ่งหนึ่งสิ่งใด หรือบุคคลหนึ่งบุคคลใด ต้องประกอบด้วยทั้งสาม องค์ประกอบเสมอ แต่จะมีปริมาณมากน้อยแตกต่างกันไป โดยปกติบุคคลมักแสดงพฤติกรรมใน ทิศทางที่สอดคล้องกับเจตคติที่มีอยู่แต่ก็ไม่เสมอไปทุกกรณี ในบางครั้งเรามีเจตคติอย่างหนึ่ง แต่ก็ ไม่ได้แสดงพฤติกรรมตามเจตคติที่มีอยู่ก็มี 2.3 คุณลักษณะของเจตคติ เจตคติมีคุณลักษณะที่สำคัญดังนี้ 1. เจตคติเกิดจากประสบการณ์ สิ่งเร้าต่าง ๆ รอบตัวบุคคล การอบรมเลี้ยงดู การเรียนรู้ ขนบธรรมเนียมประเพณี และวัฒนธรรม เป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดเจตคติ แม้ว่าจะมีประสบการณ์ที่ เหมือนกันก็เป็นเจตคติที่แตกต่างกันได้ ด้วยสาเหตุหลายประการ เช่น สติปัญญา อายุ เป็นต้น 2. เจตคติเป็นการเตรียม หรือความพร้อมในการตอบสนองต่อสิ่งเร้า เป็นการเตรียมความ พร้อมภายในของจิตใจมากกว่าภายนอกที่สังเกตได้ สภาวะความพร้อมที่จะตอบสนอง มีลักษณะที่ ซับซ้อนของบุคคลว่า ชอบหรือ ไม่ชอบ ยอมรับหรือไม่ยอมรับ เกี่ยวข้องกับอารมณ์ด้วย


10 3. เจตคติมีทิศทางของการประเมิน ทิศทางของการประเมินคือลักษณะความรู้สึกหรือ อารมณ์ที่เกิดขึ้น ถ้าเป็นความรู้สึกหรือประเมินว่าชอบ พอใจ เห็นด้วย ก็คือเป็นทิศทางในทางที่ดี เรียกว่าเป็นทิศทางในทางบวก และถ้าประเมินออกมาในทางไม่ดี เช่น ไม่ชอบ ไม่พอใจ ก็มีทิศทาง ในทางลบ เจตคติทางลบไม่ได้หมายความว่าไม่ควรมีเจตคตินั้นเป็นเพียงความรู้สึกที่ไม่ดีต่อสิ่งนั้น 4. เจตคติมีความเข้ม คือมีปริมาณมากน้อยของความรู้สึก ถ้าชอบมากหรือไม่เห็นด้วยอย่าง มากก็แสดงว่ามี ความเข้มสูง ถ้าไม่ชอบเลยหรือเกลียดที่สุดก็แสดงว่ามีความเข้มสูงไปอีกทางหนึ่ง 5. เจตคติมีความคงทน เจตคติเป็นสิ่งที่บุคคลยึดมั่นถือมั่น และมีส่วนในการกำหนด พฤติกรรมของคนนั้น การยึดมั่นในเจตคติต่อสิ่งใด ทำให้การเปลี่ยนแปลงเจตคติเกิดขึ้นได้ยาก 6. เจตคติมีทั้งพฤติกรรมภายในและพฤติกรรมภายนอก พฤติกรรมภายในเป็นสภาวะทาง จิตใจ ซึ่งหากไม่ได้แสดงออก ก็ไม่สามารถรู้ได้ว่าบุคคลนั้นมีเจตคติอย่างไรในเรื่องนั้น เจตคติเป็น พฤติกรรมภายนอกแสดงออกเนื่องจากถูกกระตุ้น และการกระตุ้นยังมีสาเหตุอื่น ๆ ร่วมอยู่ด้วย 7. เจตคติต้องมีสิ่งเร้าจึงมีการตอบสนองขึ้น ไม่จำเป็นว่าเจตคติที่แสดงออกจากพฤติกรรม ภายในและพฤติกรรมภายนอกจะต้องตรงกัน เพราะก่อนแสดงออกนั้นก็จะปรับปรุงให้เหมาะกับ สภาพของสังคม แล้วจึงแสดงออกเป็นพฤติกรรมภายนอก 8. เจตคติ เป็นสภาวะก่อนที่พฤติกรรมโต้ตอบ (Predisposition to respond) ต่อเหตุการณ์ หรือสิ่งใดสิ่งหนึ่งโดยเฉพาะหรือจะเรียกว่าสภาวะพร้อมที่จะมีพฤติกรรมจริง 9. เจตคติ จะมีความคงตัวอยู่ในช่วงระยะเวลา (Persistence overtime) แต่มิได้หมายความ ว่าจะไม่มีกำรเปลี่ยนแปลง 10. เจตคติ เป็นตัวแปรหนึ่ง นำไปสู่ความสอดคล้องระหว่าง พฤติกรรม ความรู้สึกนึกคิดไม่ว่า จะเป็นการแสดงออกโดยวาจา หรือการแสดงความรู้สึก ตลอดจนการที่จะต้องเผชิญหรือหลีกเลี่ยงต่อ สิ่งใดสิ่งหนึ่ง 11. เจตคติ มีคุณสมบัติของแรงจูงใจ ในอันที่จะทำให้บุคคลประเมินผล หรือเลือกสิ่งใดสิ่ง หนึ่ง ซึ่งหมายความต่อไปถึงการกำหนดทิศทางของพฤติกรรมจริงด้วย 2.4 ปัจจัยที่ทาให้เกิดเจตคติ เจตคติเกิดจากการมีประสบการณ์ทั้งทางตรงและทางอ้อม หากประสบการณ์ที่เราได้รับ เพิ่มเติมแตกต่างจากประสบการณ์เดิม เราก็จ้ะเปลี่ยนแปลงเจตคติได้ การเปลี่ยนแปลงเจตคติมี 2 ทาง 1. การเปลี่ยนแปลงในทางเดียวกัน (Congruent Change) หมายถึง เจตคติเดิมของบุคคลที่ เป็นไปในทางบวกจะเพิ่มมากขึ้นในทางบวก แต่ถ้าเจตคติเป็นไปทางลบก็เพิ่มมากขึ้นในทางลบด้วย 2. กำรเปลี่ยนแปลงไปคนละทาง (Incongruent Change) หมายถึง การเปลี่ยนแปลงเจตคติ เดิมของบุคคลที่เป็นไปในทางบวกจะลดลงและไปเพิ่มทางลบ


11 หลักการของการเปลี่ยนแปลงเจตคติ รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงไปในทางเดียวกัน หรือการ เปลี่ยนแปลงไป คนละทางนั้น มีหลักการว่า เจตคติที่เปลี่ยนแปลงไปในทางเดียวกันเปลี่ยนได้ง่ายกว่า เจตคติที่เปลี่ยนแปลงไปคนละทาง เพราะการเปลี่ยนแปลงไปในทำงเดียวกันมีความมั่นคง ความคงที่ มากกว่าการเปลี่ยนแปลงไปคนละทางการเปลี่ยนแปลงเจตคติเกี่ยวข้องกับปัจจัยต่อไปนี้ 1. ความสุดขีด (Extremeness) เจตคติที่อยู่ปลายสุดเปลี่ยนแปลงได้ยากกว่าเจตคติ ที่ไม่รุนแรงนัก เช่น ความรักที่สุดและความเกลียดที่สุดเปลี่ยนแปลงยากกว่าความรักและความเกลียด ที่ไม่มากนัก 2. ความซับซ้อน (Multicomplexity) เจตคติที่เกิดจากสาเหตุเดียวกันเปลี่ยนได้ง่าย กว่าเกิดจำกหลาย ๆ สาเหตุ 3. ความคงที่ (Consistency) เจตคติที่มีลักษณะคงที่มาก หมายถึงเจตคติที่เป็น ความเชื่อฝังใจ เปลี่ยนแปลงยากกว่าเจตคติทั่วไป 4. ความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่อง (Interconnectedness) เจตคติที่มีความสัมพันธ์ซึ่งกัน และกัน โดยเฉพาะที่เป็นไปในทางเดียวกันเปลี่ยนแปลงได้ยากกว่าเจตคติที่มีความสัมพันธ์ไปในทาง ตรงกันข้าม 5 ความแข็งแกร่งและจำนวนความต้องการ (Strong and Number of Wants Served) หมายถึง เจตคติที่มีความจำเป็นและความต้องการในระดับสูง เปลี่ยนแปลงได้ยากกว่าเจต คติที่ไม่แข็งแกร่งและไม่อยู่ในความต้องการ 6. ความเกี่ยวเนื่องกับค่านิยม (Centrality of Related Values) เจตคติหลายเรื่อง เกี่ยวเนื่องจำกค่านิยมความเชื่อว่าค่านิยมนั้นดีน่าปรารถนา และเจตคติสืบเนื่องจากค่านิยม ขนบธรรมเนียม ประเพณี และวัฒนธรรมนั้นเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงได้ยาก 2.5 การเปลี่ยนแปลงเจตคติ เจตคติของบุคคลสามารถเปลี่ยนแปลงได้เนื่องมาจาก 1. การชักชวน (Persuasion) ทัศนคติจะเปลี่ยนแปลงหรือปรับปรุงใหม่ได้หลังจากที่ได้รับ คำแนะนำ บอกเล่า หรือได้รับความรู้เพิ่มพูนขึ้น 2. การเปลี่ยนแปลงกลุ่ม (Group change) ช่วยเปลี่ยนทัศนคติของบุคคลได้ 3. การโฆษณาชวนเชื่อ (Propaganda) เป็นการชักชวนให้บุคคลหันมาสนใจหรือรับรู้โดยการ สร้างสิ่งแปลกๆใหม่ๆขึ้น สิ่งที่มีอิทธิพลต่อเจตคติอย่างมาก คือ 1. บิดา มารดา ของเด็ก 2. ระเบียบแบบแผน วัฒนธรรมของสังคม 3. การศึกษาเล่าเรียน


12 4. สิ่งแวดล้อมในสังคม 5. การพักผ่อนหย่อนใจที่แต่ละคนใช้ประจำตัว 2.6 การวัดเจตคติ การวัดเจตคติเป็นเรื่องที่ค่อยเป็นค่อยไปเพราะเจตคติเป็นความรู้สึกนึกคิด เป็นสภาพทาง จิตใจ ซึ่งไม่สามารถวัดได้โดยตรง การวัดเจตคตินิยมวัดออกมาทางบวกและทางลบ ทางบวกหมายถึง เจตคติในทางดี ส่วนทางลบหมายถึงเจตคติไปในทางตรงข้าม วิธีวัดเจตคติโดยตรงจึงทำไม่ได้นอกจาก ทำการศึกษา ซึ่งมีนักกำรศึกษาได้สรุปไว้ดังนี้ 1. การสังเกต (Observation) ซึ่งเป็นวิธีการหนึ่งที่ใช้ศึกษาเจตคติโดยใช้ประสาทหูและตา เป็นสำคัญ การสังเกตเป็นวิธีการศึกษาพฤติกรรมที่แสดงออกของบุคคลที่มีต่อสิ่งหนึ่งสิ่งใด แล้วนำ ข้อมูลที่สังเกตนั้นไปอนุมานว่าบุคคลนั้นมีเจตคติต่อสิ่งนั้นอย่างไรปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้การสังเกต ได้ผลดี ผู้สังเกตต้องมีคุณสมบัติ 4 ประการ คือ มีความใส่ใจต่อสิ่งที่สังเกต (Attention) มีประสาท สัมผัสที่ดี(Sensation) มีสัญญานที่ดี (Perception) มีมโนคติที่ดี (Conception) โดยสามารถสรุป เรื่องรำวได้ถูกต้องและเชื่อถือได้กระบวนการเพื่อให้ผลการสังเกตสามารถรวบรวมข้อมูลที่เที่ยงตรง และเชื่อถือได้ ควรมีวิธีการดาเนินการสังเกต คือ 1. มีการเตรียมงานล่วงหน้า เช่น เตรียมการบันทึก เครื่องมือต่าง ๆ ต้องพร้อม 2.ไม่มีอคติ 3. ต้องสังเกตหลาย ๆ ด้าน 4. ใช้ระยะเวลาสังเกตอย่างต่อเนื่องและนานพอสมควร 5. อาจใช้เครื่องมืออื่น ๆ ช่วยอย่างระมัดระวัง เช่น แบบสำรวจ การบันทึกระเบียน สะสม และอื่น ๆ หลักเกณฑ์ของการสังเกตที่ดี ประกอบด้วย 1. ผู้สังเกตจะต้องมีความรู้ในเรื่องที่สังเกตนั้นให้มาก 2. หาความสอดคล้องระหว่างประเด็นและพฤติกรรมที่จะทำการสังเกต 3.กำหนดจุดมุ่งหมายที่ต้องการสังเกตให้ชัดเจน 4. ในการสังเกตผู้สังเกตจะต้องทำอย่างระมัดระวังและใช้ความละเอียดถี่ถ้วน 5. ผู้สังเกตจะต้องมีทักษะในการใช้เครื่องมือตามที่กำหนดขึ้น 6. ผู้สังเกตจะต้องพร้อมที่จะทำการสังเกตและกำจัดอคติส่วนตัวออกไปให้หมด 2. การให้รายงานตนเอง (Self - report) เป็นวิธีการศึกษาเจตคติของบุคคลโดยให้บุคคลนั้น เล่าความรู้สึกที่มีต่อสิ่งนั้น และจากการฟังสิ่งที่เล่านี้สามารถกำหนดค่าคะแนนของเจตคติได้ วิธีกำร ศึกษาเจตคติแบบนี้เป็นวิธีการของเทอร์สโตน (Thurstone) ลิเคอร์ท(Likert) กัทท์แมน (Guttman) และอ๊อสกูด (Osgood) ที่ได้พยายามสร้างสเกลการวัดเจตคติขึ้น คะแนนที่ได้จากการวัดเจตคติแบบ


13 สเกลนี้จัดแบ่งออกเป็นช่วง ๆ โดยแต่ละช่วงจะมีขนดเท่กัน สามารถที่จะนามาเปรียบเทียบ ความมาก น้อยของเจตคติได้ วิธีนี้เป็นที่นิยมใช้วัดเจตคติมาก 3. เทคนิคการฉายออก (Projective techniques) เป็นการวัดเจตคติโดยการให้สร้าง จินตนาการจากภาพ โดยใช้ภาพเป็นตัวกระตุ้นให้บุคคลนั้นแสดงความคิดเห็นออกมา จะได้สังเกตและ วัดได้ว่าบุคคลนั้นมีความรู้สึกอย่างไร ซึ่งบุคคลย่อมแสดงออกตามประสบการณ์ที่เคยได้รับมาแต่ละ คนจะมีการแสดงออกไม่เหมือนกัน (ล้วน สายยศ และอังคณา สายยศ. 2539: 55-56) เจตคตินับว่า เป็นส่วนประกอบที่สำคัญในการทำงานอย่างหนึ่ง นอกจากความพร้อมและการจูงใจ บุคคลที่มีเจตคติ ที่ดีต่อการทำงานจะช่วยให้ทำงานได้ผลทั้งนี้เพราะเจตคติเป็นต้นกำเนิดของความคิดและการแสดง การกระทำออกมานั่นเอง กล่าวโดยสรุป เจตคติ เป็นลักษณะทางจิตของบุคคลที่เป็นแรงขับแรงจูงใจของบุคคล แสดง พฤติกรรมที่จะแสดงออกไปในทางต่อต้านหรือสนับสนุน ต่อสิ่งนั้นหรือสถานการณ์นั้น ถ้าทราบเจต คติของบุคคลใดที่สำมารถทำนายพฤติกรรมของบุคคลนั้นได้ โดยปกติคนเรามักแสดงพฤติกรรมใน ทิศทางที่สอดคล้องกับเจตคติที่มีอยู่ เจตคติเป็นองค์ประกอบที่สำคัญต่อกำรเรียนรู้เพราะเจตคติเป็น สิ่งที่สนับสนุนให้บุคคล แสดงออกซึ่งพฤติกรรมต่าง ๆ หากผู้เรียนมีเจตคติที่ดีต่อกิจกรรมการเรียน ต่อ ครูและกระบวนการวิชาที่เรียน ฯลฯ ย่อมส่งผลให้ผู้เรียนมาขยันตั้งใจเรียน และประสบผลสำเร็จ ทางการเรียนดังนั้น จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นที่ครูจะต้องมีความเข้าใจผู้เรียนและพัฒนาเจตคติที่ดีให้กับ ผู้เรียน เพื่อให้การเรียนการสอนดำเนินไปสู่ความสำเร็จ 3. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 7.1 งานวิจัยภายในประเทศ งานวิจัยภายในประเทศที่เกี่ยวข้องที่ผู้วิจัยได้ศึกษาเพื่อเป็นแนวทางในการเจคติด้านการ เรียนภาษาอังกฤษ โดยใช้ Quizizz ดังนี้ กณิการ์ ปัญญาอิ่นแก้ว (2561) ศึกษา การใช้สื่อการสอน Quizizz เพื่อเพิ่ม ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาคอมพิวเตอร์กราฟิก ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนในรายวิชาการคอมพิวเตอร์กราฟิก ของนักเรียน ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หลังการใช้สื่อ Quizizz และ 2. เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ของนักเรียนในรายวิชาคอมพิวเตอร์กราฟิก ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ก่อน-หลังใช้สื่อ Quizizz พบว่า นักเรียนที่เรียนวิชาคอมพิวเตอร์กราฟิกคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยการใช้สื่อ การสอน Quizizz ได้คะแนนเฉลี่ยโดยรวมจากผลการวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียน มีเฉลี่ย เท่ากับ 86.05 ของคะแนนเต็ม 20 คะแนน มีผลคะแนนที่เพิ่มขึ้น 6.01 มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนอยู่ ในระดับ มาก และนการใช้สื่อการสอน Quizizz เพื่อเพิ่มผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 3 วิชา คอมพิวเตอร์กราฟิกภาพรวมมีค่าเฉลี่ยในระดับมาก (X= 4.50) และค่า SD


14 เท่ากับ 0.53 เมื่อพิจารณารายด้านพบว่าด้านที่มากที่สุด คือ นักเรียนมีความพึงพอใจในกิจกรรมการ เรียนการสอนโดยใช้Quizizz , ฉันคิดว่าควรนำบทเรียนโดยใช้ Quizizz ไปใช้สอนในเนื้อหาอื่นด้วย, ฉันคิดว่าควรนำบทเรียนโดยใช้Quizizz ไปใช้สอนในเนื้อหาอื่นด้วย และ ฉันอยากให้ครูจัดกิจกรรม แบบนี้บ่อยๆ ( X= 4.75) และค่า SD เท่ากับ 0.56 กันตภณ พาหุมันโต, ชุติมา จันทรจิตร, และจุไรศิริชูรักษ์ (2560) ได้ศึกษาการ พัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและทักษะปฏิบัติเรื่อง การใช้โปรแกรมนาเสนอ กลุ่มสาระการเรียนรู้ การงานอาชีพและเทคโนโลยีของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โดยใช้วิธีสอนแบบชี้แนะร่วมกับสื่อ สังคมออนไลน์ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังการใช้วิธีสอน แบบชี้แนะร่วมกับสื่อสังคมออนไลน์ 2) เปรียบเทียบทักษะปฏิบัติหลังการใช้วิธีสอนแบบชี้แนะร่วมกับ สื่อสังคมออนไลน์ ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนก่อนเรียนโดยใช้วิธีสอน แบบชี้แนะร่วมกับสื่อสังคมออนไลน์มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 21.27 ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.94 หลัง เรียนมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 25.53 ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.82 เมื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ พบว่า คะแนนสอบหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 2) ทักษะการปฏิบัติของ นักเรียนหลังจากใช้วิธีสอนแบบชี้แนะร่วมกับสื่อสังคมออนไลน์สูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ .75 อย่างมี นัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 คมสิทธิ์ สิทธิประการ, วิกรม ฉันทรางกูร, และภัชญาภา ทองใส (2561) ศึกษา เกี่ยวกับผลสัมฤทธิ์การเรียนการอ่านขั้นสูงโดยการเรียนด้วยบทเรียนออนไลน์ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อ เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ก่อนและหลังเรียนการอ่านภาษาอังกฤษและเพื่อศึกษาความพึงพอใจของ ผู้เรียนที่มีต่อการเรียนการอ่านภาษาอังกฤษด้วยบทเรียนออนไลน์กลุ่มตัวอย่างเป็นนักศึกษาที่ ลงทะเบียนเรียนรายวิชาการอ่านขั้นสูง จานวน 29 คน ซึ่งกาลังเรียนอยู่ในภาคการศึกษาที่ 1 ปี การศึกษา 2561คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย เครื่องมือ ที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ประกอบด้วยบทเรียนออนไลน์จานวน 45เว็บไซต์รวมเวลาในการเรียน 15 ชั่วโมงแบบทดสอบวัดความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษและแบบสอบถามความพึงพอใจในการ เรียนด้วยบทเรียนออนไลน์สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าเฉลี่ย ( x ) ค่าร้อยละ (%) ค่า เบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และการทดสอบค่าที(t)ผลการวิจัยพบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อน เรียนและหลังเรียนการอ่านภาษาอังกฤษของผู้เรียนแตกต่างอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติอยู่ที่ระดับ 0.05 และผลจากแบบสอบถามพบว่านักศึกษามีความพึงพอใจต่อการเรียนด้วยบทเรียนออนไลน์อยู่ในระดับ มาก โดยค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน(x=4.14; S.D.=0.71) ชนาภา ศิริเขตร (2562) ศึกษาการวัดเจตคติที่มีต่อวิชาภาษาอังกฤษของนักเรียนใน ระดับชั้นประถมปีที่ 6 ของนักเรียนโรงเรียนวัดลาดกระบัง (ศีลาภิรัตอุปถัมภ์) มีวัตถุประสงค์ เพื่อวัด เจตคติของนักเรียนที่มีต่อวิชาภาษาอังกฤษ ของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนวัด


15 ลาดกระบัง (ศีลาภิรัตอุปถัมภ์) ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2562 ปรากฏว่า คะแนนเฉลี่ยของ แบบสอบถามมีค่าเท่ากับ 3.56 ซึ่งแปลความได้ว่านักเรียนมีเจตคติที่ดีต่อวิชาภาษาอังกฤษ ชาลิสา จิตบุญญาพินิจ, และประสงค์ประณีตพลกรัง (2559) ได้ศึกษาผลการเรียนรู้ และผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาในการพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนโดยใช้บทเรียนอีเลิร์นนิ่งใน รายวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศ สาหรับนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 1 มีวัตถุประสงค์1) เพื่อศึกษาผลการ เรียนรู้ของนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้บทเรียน อีเลิร์นนิ่ง ในรายวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศ 2) เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ผลของบทเรียน อีเลิร์นนิ่ง ในรายวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาใช้ในการเรียน การสอนนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 1 และ 3) พัฒนาโปรแกรมบทเรียนอีเลิร์นนิ่งในรายวิชาเทคโนโลยี สารสนเทศของโรงเรียนมัธยมศึกษาแห่งหนึ่ง ซึ่งผลจากการวิจัยพบว่าประสิทธิภาพ (E1/E2) ในการ ใช้อีเลิร์นนิ่งในรายวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศ ได้ค่า (83.53/88.4) และผลการผลการวิเคราะห์จาก คะแนนที่นักเรียนได้ทาแบบทดสอบในรายวิชา รายวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศ พบว่าก่อนเรียนมี ค่าเฉลี่ย ( ̅) เท่ากับ 14.05 และหลังเรียน มีค่าเฉลี่ย ( ̅) เท่ากับ 28.09 แสดงถึงนักเรียนมี ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่ดีกว่าการเรียนแบบปกติอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 งานวิจัยนี้ ได้ค้นพบว่าการที่มีบทเรียนพร้อมมีตัวอย่างแสดง มีเนื้อหาสนุกนั้น สามารถทาให้นักเรียนสนุกและมี ความสุขกับการเรียนรู้ด้วยตนเอง เข้าใจเนื้อหาที่เรียนได้ดังนั้น ครูอาจารย์ที่รับผิดชอบควรมีการ พัฒนาระบบการเรียนการสอนเพื่อให้เข้ากับยุคสมัยที่เจริญก้าวหน้า การใช้รูปแบบบทเรียนผ่านระบบ อีเลิร์นนิงนั้นสามารถตอบโจทย์ความต้องการได้เป็นอย่างดีอีกทั้งยังเป็นการพัฒนาประสิทธิภาพใน การเรียนการสอนในปัจจุบันที่มีการใช้เทคโนโลยีก้าวหน้าอีกด้วย ณัฐพล บัวอุไร (2555) ได้ศึกษาผลการจัดการเรียนการสอนโดยใช้สื่อสังคมออนไลน์ ตามทฤษฎีการสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง วิชาการสร้างงานสื่อผสม เรื่องคอมพิวเตอร์และ อินเทอร์เน็ต ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ ลำลูกกา มีจุดประสงค์ คือ 1) เพื่อศึกษาผลการจัดการเรียนการสอนโดยใช้สื่อสังคมออนไลน์ตามทฤษฎีการสร้างองค์ความรู้ ด้วยตนเอง ในประเด็นของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ความสามารถในการสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง ของนักเรียน และความสามารถในการใช้สื่อสังคมออนไลน์ในการเรียนรู้และ 2) เพื่อศึกษาความพึง พอใจของนักเรียนต่อการเรียนโดยใช้สื่อสังคมออนไลน์ตามทฤษฎีการสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง พบว่า 1) นักเรียนมีผลสัมฤทธ์ิหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสา คัญทางสถิติที่ระดับ .01 ความสามารถในการสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเองของนักเรียน และความสามารถในการใช้สื่อสังคม ออนไลน์ในการเรียนรู้ทั้ง 4 ครั้งของการวัดแตกต่างกันอย่างมีนัยสา คัญทางสถิติที่ระดับ .01 โดยมี แนวโน้มว่าความสามารถในการสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเองของนักเรียน และความสามารถในการใช้ สื่อสังคมออนไลน์ในการเรียนรู้ของนักเรียนมีพัฒนาการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง 2) นักเรียนมีความพึง


16 พอใจต่อการจัดการเรียนการสอนโดยใช้สื่อสังคมออนไลน์ตามทฤษฎีการสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง ในระดับมาก บุญธรรม อุดจอม (2555) ศึกษาเกี่ยวกับเจตคติที่มีต่อวินัยในตนเองด้านวินัยใน ห้องเรียนความขยันอดทนทางการเรียนและแรงจูงใจใฝุ่สัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาความปลอดภัย ทางการท่องเที่ยว โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาการศึกษาวินัยในห้องเรียน ความขยันอดทนและ แรงจูงใจใฝุ่สัมฤทธิ์ในชั้นเรียนวิชา ความปลอดภัยทางการท่องเที่ยว ของนักศึกษา ห้อง TI203 พบว่า 1. เจตคติที่มีต่อวินัยในตนเองด้านวินัยในห้องเรียน พบว่าส่วนใหญ่มีเจตคติที่ดีถึงดีมาก ส่วนกลุ่ม นักศึกษาที่ยังมีเจตคติและพฤติกรรมที่ไม่ดี สมควรที่จะค้นหาสาเหตุของแต่ละบุคคลและในแต่ละ กรณี เพื่อทาการพัฒนาศักยภาพของนักศึกษาต่อไป 2. เจตคติที่มีต่อวินัยในตนเองด้านความขยัน อดทนทางการเรียน พบว่าส่วนใหญ่มีแนวโน้มทางเจตคติที่ดี ส่วนนักศึกษาในกลุ่มที่ยังมีเจตคติที่ไม่ดี นั้น ครูควรต้องอบรมชี้แจงให้นักเรียนเห็นคุณค่า คุณประโยชน์ของความอดทนในการทางาน ความ รับผิดชอบต่อตนเองในการทางานในหน้าที่และต้องกระทาอย่างเต็มที่ ไม่ย่อท้อต่อความยากลาบาก มี ความอดทน อดกลั้นต่อปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ รวมทั้งชี้ให้เป็นถึงผลที่เกิดจากความสำเร็จในการ ทางาน ยกตัวอย่างบุคคลที่ประสบความสำเร็จในการทางานและความสำเร็จในชีวิตที่ได้รับความชื่น ชม ยกย่องจากคนรอบข้างและสังคม เพื่อให้นักศึกษาในกลุ่มนี้มีแนวโน้มเจตคติที่มีต่อวินัยในตนเอง ด้านความขยันอดทนทางการเรียนดีขึ้น และ 3. เจตคติที่มีต่อวินัยในตนเองด้านแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ ทางการเรียน พบว่านักศึกษามีแนวโน้มที่จะมีความพยายามทางการเรียนอย่างเต็มที่ ทำสิ่งที่ดี เหมาะสมอย่างที่ตั้งใจไว้ พยายามที่จะพัฒนาตนเอง ใฝุ่หาความรู้ด้วยตนเอง ทั้งจากตารางเรียน ค้นคว้าในห้องสมุด รวมทั้งการฝึกทักษะจากบทเรียนที่ยาก การวางแผนการเรียนที่ดีตั้งแต่ต้นปี การศึกษา ส่วนนักเรียนที่ไม่เคยทำมีจำนวนน้อย ซึ่งในนักเรียนกลุ่มนี้จำเป็นต้องได้รับการพัฒนาเจต คติที่ให้นักเรียนเห็นเป้าหมาย คุณประโยชน์ คุณค่า ของความพยายาม รวมทั้งการยอมรับของสังคมที่ มีต่อผู้ที่มีความพยายาม รวมทั้งกระตุ้นนักเรียนที่มีผลการเรียนไม่ดี ให้มีความพยายาม ขยันหมั่นเพียร ในด้านการเรียน ให้นักศึกษาตระหนักในการวางแผนทางด้านการเรียน มีความมุ่งมั่น มีแรงจูงใจใฝุ่ สัมฤทธิ์ทางการเรียน และหากได้ปฏิบัติตนจนเป็นนิสัย ก็จะเป็นผู้ที่มีความสำเร็จในชีวิตตามที่ตนได้ มุ่งหวังไว้อย่างแน่นอน ม.วัฒนา เอี่ยวเส็ง (2557) ศึกษาเกี่ยวกับการศึกษาการใช้สื่อสังคมออนไลน์ (Social media) ในการเรียนรู้ของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนอัสสัมชัญแผนกประถม ปี การศึกษา 2557 โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาการใช้สื่อสังคมออนไลน์ มีผลต่อพฤติกรรมการทำ การบ้านของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 พบว่านักเรียนระดับปานกลางใช้สื่อสังคมออนไลน์ โดยพบว่ามีนักเรียนใช้โปรแกรม Line อยู่ในระดับมาก ส่วนในเรื่องของประโยชน์ของสื่อสังคม ออนไลน์นักเรียนในระดับมากใช้เพื่อการติดต่อสื่อสาร ซึ่งสอดคล้องกับข้อมลูที่ได้จากการสัมภาษณ์


17 ส่วนความพึงพอใจต่อการใช้สื่อสังคมออนไลน์ของนักเรียนพบว่ามีความพึงพอใจในระดับมาก นักเรียนส่วนใหญ่ใช้เวลาในการใช้สื่อสังคมออนไลน์วนัละ 1 ชั่วโมง วิชาส่วนมากที่นักเรียนใช้สื่อ สังคมออนไลน์เพื่อการทำงานมากที่สุดคือวิชาประวัติศาสตร์สาเหตุที่เลือกใช้สื่อสังคมออนไลน์ในการ เรียนและการทำงาน ส่วนใหญ่พบว่าเกิดจากทำงานไม่ทัน ส่วนนประโยชน์จากการใช้สื่อสังคม ออนไลน์ส่วนใหญ่พบว่า เพื่อการติดต่อสื่อสารกันได้สะดวกง่ายขึ้น โทษที่เกิดจากการใช้สื่อสังคม ออนไลน์ส่วนใหญ่พบว่าทำให้เสียสายตา ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลจากการสัมภาษณ์ เมธาวีจำเนียร, และกรกฎ จำเนียร (2561) ศึกษาเกี่ยวกับประโยชน์ปัญหา และ แนวทางแก้ไขการใช้สื่อออนไลน์ในการเรียนอย่างมีประสิทธิภาพของโรงเรียนในจังหวัด นครศรีธรรมราช มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาประโยชน์ ปัญหา และแนวทางแก้ไขการใช้สื่อออนไลน์ใน การเรียนอย่างมีประสิทธิภาพของโรงเรียนในจังหวัดนครศรีธรรมราช โดยใช้การสนทนาตัวอย่างแบบ เจาะจง ได้แก่ กลุ่มนักเรียนและคุณครูจาก 7 โรงเรียนในเขตอำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช ผลการวิจัยพบว่า ประโยชน์ของสื่อออนไลน์ในการเรียนมีหลายประการ ประเด็นที่ผู้ให้ข้อมูลเห็น ตรงกันมากคือ สื่อออนไลน์มีประโยชน์ตรงที่เป็นเครื่องมือช่วยค้นคว้าหาข้อมูลเพิ่มเติมในรายวิชาต่าง ๆ โดยเฉพาะการใช้ยูทูบ (YouTube) นอกจากนี้สื่อออนไลน์ยังช่วยให้เกิดการปฏิสัมพันธ์ระหว่าง เพื่อนกับเพื่อน ครูกับนักเรียน สื่อออนไลน์ยังสามารถช่วยแปลภาษาได้หลายภาษาอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะวิชาภาษาอังกฤษสำหรับคุณครูสื่อออนไลน์มีประโยชน์คือ การใช้ในการเรียนการสอน การจัดทำเอกสารการสอนออนไลน์และยังใช้ประโยชน์ในแง่ของการบริหารจัดการ อย่างไรก็ตาม ปัญหาใหญ่ของการใช้สื่อออนไลน์ในการเรียนคือ นักเรียนจะแอบเล่นโทรศัพท์เวลาคุณครูสอน โดยเฉพาะเล่นเกม รวมไปถึง การนำข้อมูลจากสื่อออนไลน์ที่ไม่น่าเชื่อถือมาใช้โดยคัดลอกมาทั้งหมด โดยไม่ได้วิเคราะห์และอ้างอิง ปัญหาการใช้สื่อออนไลน์ที่มากเกินไป และปัญหาการใช้ภาษาในสื่อ ออนไลน์ดังนั้นแนวทางการจัดกิจกรรมเพื่อแก้ไขปัญหาการใช้สื่อออนไลน์ในการเรียนอย่างมี ประสิทธิภาพ คือ การจัดทำสื่อที่สามารถดึงดูดความสนใจของนักเรียนและนักเรียนสามารถเข้ามามี ส่วนร่วมในการผลิตได้โดยส่วนใหญ่เห็นว่าควรจัดทำคลิปวีดิโอขนาดสั้นให้ความรู้เรื่องการใช้สื่อ ออนไลน์ในการเรียนที่ถูกต้อง การจัดทำเป็นหนังสั้นอัปโหลดในสื่อสังคมออนไลน์การจัดอบรม นิทรรศการการใช้สื่ออย่างเหมาะสมเล่นเกม เสียงตามสาย จัดรายการวิทยุกระจายเสียง และจัดทำสื่อ การสอนออนไลน์ รุ่งนภา อนันตศิร (2562) ได้ศึกษา การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน รายวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเรื่อง การค้นหาข้อมูลและติดต่อสื่อสารผ่านเครือข่าย คอมพิวเตอร์อย่างมีคุณธรรมโรงเรียนตากสินราชานุสรณ์ โดยการใช้ Quizizz มีวัตถุประสงค์ เพื่อ 1. เพื่อเพิ่มผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน รายวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/4 โดยการใช้Quizizz กับเกณฑ์ร้อยละ 70 2. เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา


18 เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/4 เรื่อง การค้นหาข้อมูลและ ติดต่อสื่อสารผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์อย่างมีคุณธรรม ก่อนและหลังการเรียนโดยการใช้Quizizz และ 3. เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/4 ที่มีต่อQuizizz พบว่า ชุด กิจกรรมการเรียนรู้รายวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศ ง 22102 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 เรื่อง การค้นหาข้อมูลและติดต่อสื่อสารผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์อย่างมีคุณธรรม ที่สร้างขึ้นนั้นมี ประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน 70 / 70 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติระดับ 0.05 และความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อQuizizz พบว่า นักเรียนมีความพึงพอใจในรายข้อส่วนใหญ่อยู่ในระดับพึงพอใจมาก คือ นักเรียนอยากให้ครูจัด กิจกรรมแบบนี้บ่อยๆ เฉลี่ย 4.90 วรรณวิมล ฉัตรวรกิจพาณิช (2556) ศึกษาการวัดเจตคติของนักเรียนระดับชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่มีต่อการเรียนหวิชาภาษาอังกฤษ โดยมีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อวัดเจตคติของ นักเรียนที่มีต่อวิชาภาษาอังกฤษ และ 2. เพื่อรวบรวมข้อมูลสำหรับการแก้ปัญหาในการจัดการเรียน การสอนวิชาภาษาอังกฤษ พบว่าค่าเฉลี่ยของคะแนนที่ได้จากแบบสอบถามวัดเจตคติของนักเรียน แสดงให้เห็น ว่า คะแนนเฉลี่ยของแบบสอบถามทั้งหมด 10 ข้อ เกี่ยวกับวิชาภาษาอังกฤษ ทั้งข้อคำถามประเภท ทางบวก และประเภททางลบ มีค่าเท่ากับ 3.56 ซึ่งแปลความได้ว่านักเรียนมีเจตคติที่ดีต่อวิชา ภาษาอังกฤษ สุชาดา ทิพโรจน์(2563) ได้ศึกษาการจัดการเรียนรู้ด้วยระบบออนไลน์ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6/3 โรงเรียนสิงห์บุรี มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในวิชาการ สร้างสื่อภาพเคลื่อนไหว และเพื่อหาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ด้วยบทเรียน ออนไลน์ พบว่า ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนหลังเรียนด้วยวิธีการจัดการ เรียนด้วยบทเรียนออนไลน์สูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ .05 และนักเรียนมีความพึง พอใจต่อการเรียนรู้ด้วยบทเรียนออนไลน์ในระดับมาก ส.อ.ปิยะณัฐ ทันหาบุรุษ (2562) ศึกษาเกี่ยวกับการวัดเจตคติของนักเรียน มัธยมศึกษาชั้นปีที่ 2 ที่มีต่อรายวิชาภาษาอังกฤษ ทั้ง 4 ทักษะ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. เพื่อวัดเจต คติของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 2 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2562 ที่มีต่อวิชาภาษาอังกฤษทั้ง 4 ทักษะ คือ การฟัง การพูด การอ่าน และการเขียน และ 2. เพื่อรวบรวมข้อมูลสำหรับการแก้ปัญหา ในการจัดการเรียนการสอนรายวิชาภาษาอังกฤษชั้นมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 2 ปีการศึกษา 2562 ได้สรุปว่า นักเรียนมีเจตคติที่ดีต่อวิชาภาษาอังกฤษในทักษะด้านการฟังได้คะแนนเฉลี่ย 4.63 รองลงมาคือทักษะ ด้านการเขียนได้คะแนนเฉลี่ย 4.57 ซึ่งเป็นระดับคะแนนที่อยู่ในเกณฑ์มากที่สุดและค่าเฉลี่ยของทักษะ อื่น ๆ ก็อยู่ในเกณฑ์ดีถึงแม้ว่าทักษะการพูดคะแนนเฉลี่ยจะอยู่ที่ 4.16 ซึ่งจากการวิเคราะห์ค่าเฉลี่ย


19 ของแต่ละทักษะและแต่ละข้อคำถามทั้งประเภททางบวกและประเภททางลบพบว่าอาจมีผลมาจาก การที่นักเรียนส่วนใหญ่เกิดความสับสนกับข้อคำถามที่เป็นข้อคำถามประเภททางลบ อนุชา สะเล็ม (2560) ศึกษาเกี่ยวกับการประยุกต์ใช้E-Learning ในกระบวนการ เรียนการสอน วิทยาลัยเทคโนโลยีบริหารธุรกิจมีนบุรีกรุงเทพ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1.เพิ่มโอกาสใน การเข้าถึงเนื้อหาการเรียน ได้จากอุปกรณ์ต่างๆ เช่นเครื่องคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ ผ่านทาง ระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต 2. ปรับกระบวนการเรียนการสอนจากรูปแบบเดิม ซึ่งเป็นการเรียนแบบ พบหน้ากันในชั้นเรียนเพียงอย่างเดียว ให้เป็นกระบวนการเรียนการสอนแบบผสมผสาน ที่มีการนา Elearning เข้ามาประยุกต์ใช้พบว่า เมื่อพิจารณาเฉพาะการใช้E-Learning เป็นเครื่องมือช่วยในการ เรียนการสอนนั้น สามารถสรุปผลได้ดังนี้1. ระบบE-Learning สามารถเพิ่มโอกาสในการเข้าถึง เนื้อหาการเรียนได้จากอุปกรณ์ต่างๆ เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์โทรศัพท์มือถือผ่านทางระบบเครือข่าย อินเทอร์เน็ตได้2. ระบบE-Learning ช่วยปรับกระบวนการเรียนการสอนจากรูปแบบเดิม ซึ่งเป็นการ เรียนแบบพบหน้ากันในชั้นเรียนเพียงอย่างเดียว ให้เป็นกระบวนการเรียนการสอนแบบผสมผสาน ทา ให้เกิดความน่าสนใจและเพิ่มประสิทธิภาพในการเรียนการสอน 3. มีระบบบันทึกข้อมูลส่วนตัว 4. เป็นแหล่งดาวน์โหลดข้อมูลหรือเนื้อหารายวิชาได้5. ระบบ E-Learning สามารถบันทึกการเข้าเรียน (Attendance)ของนักเรียนได้6. มีระบบแบบทดสอบ สามารถทาแบบทดสอบแบบออนไลน์ได้7. สามารถสร้างเนื้อหาในรูปแบบมัลติมีเดียได้ อมรนารี ปินปันคง (2564) ได้จัดทำรายงานการวิจัยในชั้นเรียน ประจำภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2563 โรงเรียนราชประชานุเคราะห์15 (เวียงเก่าแสนภูวิทยาประสาท) อ.เชียงแสน จ.เชียงราย โดยมีวัตถุประสงค์1) เพื่อศึกษาการแก้ปัญหาเวลาเรียนไม่ต่อเนื่อง เนื่องจากสถานการณ์ โรคระบาดไวรัสโควิด-19 และครูผู้สอนติดภาระงานต้อนรับคณะศึกษาดูงาน 2) เพื่อศึกษาพฤติกรรม การเรียนของนักเรียน เมื่อเรียนด้วยการเรียนแบบเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญการศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง การลงมือปฏิบัติจริง 3) เพื่อศึกษาความ พึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนด้วยกิจกรรมการเรียน แบบเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญการศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/5 แผนการเรียนทวิศึกษา แผนกคหกรรมศาสตร์สาขาอาหารและ โภชนาการ จำนวน 11 คน ด้วยกิจกรรมการเรียนแบบเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญการศึกษาค้นคว้าด้วย ตนเอง การลงมือปฏิบัติจริง ทุกคนมีผลการเรียนระดับ 4.00 (ดีเยี่ยม) คิดเป็น 100 % มีค่าเบี่ยงเบน มาตรฐาน (S.D) = 4.44 , ค่าความแปรปรวน 19.76 และค่าสัมประสิทธิ์ของการกระจาย (CV.) = 5.30 หมายถึงประสิทธิภาพอยู่ในระดับดีมาก 2) การจัดการเรียนด้วยกิจกรรมการเรียนแบบเน้น ผู้เรียนเป็นสำคัญการศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง การลงมือปฏิบัติจริง สามารถแก้ไขปัญหาเวลาเรียนที่ไม่ ต่อเนื่อง เนื่องจากเนื่องจากสถานการณ์โรคระบาดไวรัสโควิด-19 และครูผู้สอนติดภาระงานต้อนรับ


20 คณะศึกษาดูงาน 3) นักเรียนมีความพึงพอใจ ต่อการเรียนด้วยกิจกรรมการเรียนแบบเน้นผู้เรียนเป็น สำคัญการศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง การลงมือปฏิบัติจริง ระดับมาก (x ̅= 4.15, S.D.= 0.74) อรรถพล ทองวิทยาพรม, จำานง วงษ์ชาชม, และสุทิศา ซองเหล็กนอก (2561) ได้ ศึกษาการใช้สื่อสังคมออนไลน์เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ของนักศึกษา วิทยาลัยเทคโนโลยีอุตสาหกรรมศรี สงคราม มหาวิทยาลัยนครพนม มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาการใช้สื่อสังคมออนไลน์2) ศึกษาปัจจัย เอื้อต่อการใช้สื่อสังคมออนไลน์และ 3) เสนอแนวทางการใช้สื่อสังคมออนไลน์ในการส่งเสริมการ เรียนรู้ของนักศึกษา วิทยาลัยเทคโนโลยีอุตสาหกรรมศรีสงคราม มหาวิทยาลัยนครพนม ผลการวิจัย พบว่า 1) ผลการใช้สื่อสังคมออนไลน์ด้านสภาพทั่วไปผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง คิด เป็นร้อยละ 63.90 ด้านสาขาที่กำาลังศึกษาอยู่ส่วนใหญ่เป็นสาขาวิชา ช่างยนต์คิดเป็นร้อยละ 25.50 ด้านระดับการศึกษา ส่วนใหญ่เป็นระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ คิดเป็นร้อยละ 71.30 และด้านส่วน ใหญ่เป็นชั้นปีการศึกษาชั้นปีที่ 1 คิดเป็นร้อยละ 43.70 และด้านความคิดเห็นเกี่ยวกับการใช้สื่อสังคม ออนไลน์เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ของนักศึกษา มีการใช้เฟสบุ๊คมากที่สุด ( =2.61, =0.64) สถานที่ใช้ งานคือ ห้องเรียน ( =2.60, =0.94) ช่วงเวลาที่ใช้มากที่สุดคือ 10.00-12.59 น. และรองลงมาเป็น เวลา คือ 13.00-15.59 น. และวัตถุประสงค์การใช้คือ การติดต่อสื่อสารมากที่สุด ( =2.38, =0.78) 2) ปัจจัยเอื้อต่อการใช้สื่อสังคมออนไลน์เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ของนักศึกษา โดยมีคอมพิวเตอร์สืบค้น ให้บริการ ( =2.59, =0.58) จุดเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ( =2.56, =0.59) 3) แนวทางการใช้สื่อสังคม ออนไลน์ด้านนโยบายมีข้อเสนอทางกายภาพ คือ การเพิ่มหรือปรับปรุงจุดเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตแบบมี สาย เพิ่มจำานวนเครื่องคอมพิวเตอร์สำหรับสืบค้นและระบบห้องบริการที่มีเครื่องปรับอากาศมีระบบ ช่วยให้นักศึกษาเข้าถึงสื่อสังคมออนไลน์ 7.2 งานวิจัยต่างประเทศ งานวิจัยต่างประเทศที่เกี่ยวข้องที่ผู้วิจัยได้ศึกษาเพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาการอ่านจับ ใจความภาษาอังกฤษ เรื่อง การอ่านจับใจความภาษาอังกฤษ ดังนี้ ออลฮูเมด (ALHUMAID, KH. 2020) ได้ศึกษาการประเมินคุณภาพ: ประสิทธิผลของ การใช้สื่อดิจิทัลและโซเชียลมีเดียในการศึกษา มีวัตถุประสงค์เพื่อตรวจสอบประโยชน์ของสื่อดิจิทัล และเครือข่ายสังคมในการศึกษาและตระหนักถึงความเป็นไปได้ของการใช้เครือข่ายในการสร้างความรู้ ผลสรุปวิธีการทางเทคโนโลยีภายในกระบวนการสอน / การเรียนรู้ช่วยให้ครูและนักเรียนสามารถ ปรับตัวและสื่อสารในรูปแบบต่างๆ ได้ดีขึ้น ซึ่งกลายเป็นชีวิตปัจจุบันของทุกกลุ่มผ่านกระบวนการ สอนที่ยืดหยุ่นและละเอียดอ่อนมากขึ้น อันซาริ และน คาน (Ansari, J. and Khan, N. 2020) ศึกษาบทบาทของโซเชียล มีเดียในการเรียนรู้ร่วมกันในโดเมนใหม่ของการเรียนรู้ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อตรวจสอบการใช้งาน


21 และประโยชน์ของโซเชียลมีเดียและอุปกรณ์มือถือในการถ่ายโอนทรัพยากรและการมีปฏิสัมพันธ์กับ นักวิชาการในสถาบันอุดมศึกษาข้ามพรมแดนซึ่งเป็นพื้นที่วิจัยที่อธิบายไม่ได้มาจนบัดนี้ โดยผลสรุปสื่อ สังคมออนไลน์ที่ใช้สำหรับการเรียนรู้ร่วมกันมีผลกระทบอย่างมากต่อการโต้ตอบกับเพื่อน ครูและ พฤติกรรมการแบ่งปันความรู้ออนไลน์นอกจากนี้การโต้ตอบกับครูเพื่อนร่วมงาน และพฤติกรรมการ แบ่งปันความรู้ออนไลน์ได้เห็นผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อการมีส่วนร่วมของนักเรียน ซึ่งส่งผลอย่าง มากต่อผลการเรียนของนักเรียน ลอนคอร์ช และคณะ (Licorishet al, 2018) ศึกษา การรับรู้ของนักเรียนเกี่ยวกับ อิทธิพลของ Kahoot! ด้านการสอนและการเรียนรู้ พบว่าKahoot! ยกระดับคุณภาพการเรียนรู้ของ นักเรียนในห้องเรียน โดยรายงานอิทธิพลสูงสุดเกี่ยวกับพลวัตของชั้นเรียน การมีส่วนร่วม แรงจูงใจ และประสบการณ์การเรียนรู้ที่ได้รับการปรับปรุง ผลการวิจัยของเรายังชี้ให้เห็นว่าการใช้เกมการศึกษา ในห้องเรียนมีแนวโน้มที่จะลดความฟุ้งซ่าน ดังนั้นจึงช่วยปรับปรุงคุณภาพการสอนและการเรียนรู้ให้ เหนือกว่าสิ่งที่มีให้ในห้องเรียนทั่วไป อับดุล์การีม (Alabdulkareem, S. 2014) ได้สำรวจการใช้และผลกระทบของ โซเชียลมีเดียต่อการสอนและการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ในซาอุดิอาระเบีย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ ตรวจสอบตำแหน่งและมุมมองของครูเทียบกับนักเรียนในด้านที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ การใช้และการเข้าถึง อุปกรณ์อัจฉริยะ การใช้เว็บไซต์โซเชียลในปัจจุบัน การใช้เว็บ มุมมองผลกระทบของโซเชียลมีเดียต่อ การศึกษา และมุมมองของผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้งานอย่างเป็นทางการของโซเชียลมีเดีย ด้านการเรียนการสอน โดยได้ข้อสรุปว่าทั้งครูและนักเรียนเต็มใจที่จะใช้โซเชียลมีเดียในการศึกษา และพวกเขาเชื่อว่าสิ่งนี้จะช่วยยกระดับประสบการณ์การศึกษาของพวกเขา แต่การปฏิบัตินั้นต่ำมาก ในขณะเดียวกันก็มีข้อตกลงว่าการใช้โซเชียลมีเดียมีไว้เพื่อการขัดเกลาทางสังคมเท่านั้น โครงสร้าง พื้นฐานพร้อมใช้งาน แต่ไม่มีมุมมองด้านการศึกษาเพื่อความเข้าใจ นักวิจัยแนะนำว่าจำเป็นต้องมีการ ฝึกอบรมเพื่อประเมินการใช้โซเชียลมีเดียของตนเอง และเพิ่มความสามารถในการใช้คุณสมบัติที่มีอยู่ เหม่ย และคณะ (Meiet al, 2018) ศึกษาการใช้Quizizz เป็นการเรียนรู้จากเกมใน ห้องเรียนภาษาอาหรับ นักวิจัยมีวัตถุประสงค์เพื่อการประเมินความสนใจของนักเรียนในชั้นเรียน ภาษาอาหรับโดยใช้Quizizz เป็นการเรียนรู้ผ่านสื่อเกมเรียนรู้ในห้องเรียนภาษาอาหรับของ Sultan Idris Education University Malaysia ได้ผลสรุปว่านักเรียนกระตือรือร้นที่จะตอบคำถามที่ได้จาก การวิจัยและให้ความสนใจกับหัวข้อมากขึ้น ลิม และ ยูนัส (Lim, T. and Yunus, M., 2021) ได้ศึกษาการรับรู้ของครูต่อการใช้ Quizizz ในการสอนและการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) มุมมองของครูเกี่ยวกับ การใช้Quizizz ในการสอนและการเรียนรู้ภาษาอังกฤษเป็นอย่างไร และ 2) ระดับความพึงพอใจของ ครูที่จะใช้Quizizz ในการสอนและการเรียนรู้ภาษาอังกฤษต่อไปในอนาคตเป็นอย่างไร ซึ่งผลปรากฎ


22 ว่า Quizizz ได้รับการยอมรับในเชิงบวกในหมู่ครูเนื่องจากประสิทธิภาพ ความเป็นไปได้ความสะดวก ในการใช้งาน และธรรมชาติที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้เรียน บาซูกิ และฮิยาดิ(Basuki, Y. and Hidayati, Y. 2019) ได้ศึกษา มุมมองของ นักเรียนต่อโปรแกรม Kahoot หรือ Quizizz มีวตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อรู้จักความเข้าใจของนักเรียน เกี่ยวกับประสิทธิภาพของ Kahoot และ Quizizz ในแบบทดสอบออนไลน์รายวัน 2) การเลือกของ นักเรียน และ 3) ค้นหาเหตุผลของนักเรียน โดยผลสรุป จากแบบสอบถามแรกต่อประสิทธิภาพของ Kahoot และ Quizizz ได้คะแนนรวม 15.484 และคำถามที่ 2 และ 3 ในเรื่องการเลือกของนักเรียน และเหตุผลในการเลือก ได้คะแนนรวม 15.002 ( Quizizz) และ 12.248 ( Kahoot ) กล่าวได้ว่า Quizizz มีประสิทธิภาพในการเรียนรู้มากกว่า Kahoot ซูริยา และพราโตโล (Zuhriyah, S. and Pratolo, B. 2020) ได้ศึกษาการสำรวจ ความคิดเห็นของนักเรียนในการใช้Quizizz เป็นเครื่องมือประเมินผลภาษาอังกฤษในชั้นเรียน ภาษาอังกฤษ (EFL) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาทัศนะของนักเรียนสำรวจในการใช้Quizizz เป็น เครื่องมือในการประเมินในชั้นเรียนภาษาอังกฤษ โดยได้ผลสรุปว่า 1) เครื่องมือที่น่าสนใจ 2) ส่งเสริม ความมั่นใจของนักเรียน 3) เพิ่มแรงจูงใจของนักเรียน และ 4) ปรับปรุงความสามารถในการอ่าน นอกจากนี้นักเรียนยังให้ผลตอบรับเชิงบวกต่อการใช้Quizizz ในห้องเรียน อาคิโนลา และคณะ (Akinola et al, 2016) ได้ศึกษาอิทธิพลของโซเชียลมีเดียต่อ การสอนและการวิจัยในสถาบันอุดมศึกษาของไนจีเรีย โดยมีจุดประสงค์เพื่อ 1) เพื่อตรวจสอบระดับ ของเจ้าหน้าที่วิชาการของสถาบันอุดมศึกษาไนจีเรียเกี่ยวกับการใช้โซเชียลมีเดีย 2) เพื่อระบุไซต์ โซเชียลมีเดียส่วนใหญ่ที่ใช้ในสถาบันอุดมศึกษาของไนจีเรีย 3) เพื่อประเมินระดับการใช้โซเชียลมีเดีย ในหมู่เจ้าหน้าที่วิชาการของสถาบันอุดมศึกษาของไนจีเรีย และ 4) เพื่อกำหนดขอบเขตที่สื่อสังคมใช้ สำหรับการเรียนการสอนและการวิจัย สรุปได้ว่าโซเชียลมีเดียกลายเป็นรากฐานของการสื่อสารและ แลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างประชาชน มันส่งผลกระทบในเชิงบวกต่อความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน ระหว่างผู้ใช้และได้เปลี่ยนโลกทั้งใบให้กลายเป็นหมู่บ้านระดับโลก อย่างไรก็ตาม การใช้โซเชียลมีเดีย ในการสอนและการวิจัยยังต่ำมาก เนื่องจากผู้ใช้ส่วนใหญ่ไม่ได้ตระหนักว่าโซเชียลมีเดียสามารถเป็น คลังข้อมูลสำหรับการสอนและการวิจัยได้ เชียง (Chiang, H. 2020) ศึกษาการใช้ Kahoot ในวิชาการอ่านภาษาอังกฤษเป็น ภาษาต่างชาติ (EFL) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อทำความเข้าใจทัศนคติของนักเรียนชาวจีนที่มีต่อแอป พลิเคชัน Kahoot! ซึ่งเป็นแอปการเรียนรู้เกมบนมือถือในชั้นเรียน EFL ของวิทยาลัยในไต้หวัน โดย สรุป เป้าหมายของบทความนี้คือเพื่อประเมินการรับรู้ของนักศึกษาเกี่ยวกับการใช้Kahoot! ในชั้น เรียนการอ่าน EFL มีการหารือเกี่ยวกับความแตกต่างทางเพศในการรับรู้เหล่านี้เช่นเดียวกับข้อดีและ ข้อเสียของ Kahoot! เป็นเครื่องมือทดสอบ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์การสอนและการเรียนรู้ที่ดีที่สุด ควร


23 พิจารณาสมมติฐานตัวกรองอารมณ์เมื่อใช้แอปพลิเคชันกับผู้เรียน EFL ผลการศึกษานี้นำไปสู่ความ เข้าใจที่ดีขึ้นว่านักศึกษาวิทยาลัย EFL คิดอย่างไรเกี่ยวกับการใช้Kahoot! ในชั้นเรียนการอ่านเพื่อ นำเสนอกิจกรรมอุ่นเครื่องและการบริหารการประเมิน 4. กรอบแนวคิดในการวิจัย ในการวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเพื่อศึกษาการใช้Quizizz ในการพัฒนาเจตคติด้านการเรียน ภาษาอังกฤษ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนมัธยมสาธิตวัดพระศรีมหาธาตุ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนค ผู้วิจัยได้ศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลที่เกี่ยวข้องจากเอกสารและงานวิจัย ต่าง ๆ จากนั้นสังเคราะห์ข้อมูลเหล่านั้นออกมาเพื่อแสดงให้เห็นถึงการเชื่อมโยงของตัวแปรที่ผู้วิจัย ต้องการศึกษาเป็นกรอบแนวคิดในการวิจัย ดังภาพที่ 2.1 ภาพที่ 2.1 กรอบแนวคิดในการวิจัย การประยุกต์ใช้โปรแกรม Quizizz ในการเรียนรู้วิชาการอ่าน-เขียน ภาษาอังกฤษ เจตคติที่มีต่อการเรียนรู้วิชาการ อ่าน-เขียนภาษาอังกฤษด้วย โปรแกรม Quizizz


บทที่ 3 วิธีดำเนินการวิจัย ในการวิจัย การใช้ Quizizz ในการพัฒนาเจตคติด้านการเรียนภาษาอังกฤษ สำหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนมัธยมสาธิตวัดพระศรีมหาธาตุ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร ผู้วิจัยได้ ดำเนินการวิจัยตามลำดับขั้นตอน ดังนี้ 1. แบบแผนการวิจัย 2. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 3. ระยะเวลาในวิจัย 4. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 5. การสร้างและหาคุณภาพของเครื่องมือวิจัย 6. การดำเนินการวิจัยและการเก็บรวบรวมข้อมูล 7. การวิเคราะห์ข้อมูลและสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล แบบแผนการวิจัย การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบแบบศึกษากลุ่มเดียว วัดผลหลังการทดลอง (One-group pre-test and post-test only design) มีแบบแผนดำเนินการวิจัย ดังนี้ ตารางที่ 3.1 รูปแบบของการวิจัย ความหมายสัญลักษณ์ E หมายถึง กลุ่มตัวอย่าง X หมายถึง การทดลองโดยใช้แผนการจัดการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ โดยการ ประยุกต์ใช้โปรแกรม Quizizz O1 หมายถึง การวัดผลก่อนการทดลอง O2 หมายถึง การวัดผลหลังการทดลอง กลุ่ม การวัดผลก่อนการทดลอง ให้สิ่งทดลอง การวัดผลหลังการทดลอง E O1 X O2


25 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ประชากรในการวิจัยครั้งนี้เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนมัธยมสาธิตวัดพระศรี มหาธาตุ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร เขต บางเขน สังกัด สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 จำนวนทั้งสิ้น 164 คน กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยครั้งนี้เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/1 โรงเรียนมัธยมสาธิตวัดพระ ศรีมหาธาตุ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร เขต บางเขน สังกัด สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 จำนวน 40 คน คัดเลือกมาแบบเจาะจง (Purposive Sampling) ระยะเวลาที่ใช้ในการวิจัย การวิจัยครั้งนี้ดำเนินการในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 ระยะเวลาทำการวิจัย ระหว่างเดือน พฤศจิกายน พ.ศ. 2564 - เดือนมกราคม พ.ศ. 2565 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ มีดังต่อไปนี้ 1. แบบสอบถามเพื่อวัดเจตคติที่มีต่อการเรียนภาษาอังกฤษ โดยการประยุกต์ใช้โปรแกรม Quizizz เป็นแบบสอบถามลักษณะเรียงอันดับ จำนวน 12 ข้อ 2. แผนการจัดการเรียนรู้โดยการประยุกต์โปรแกรม Quizizz จำนวน 6 แผน แผนละ 6 ชั่วโมง 3. ความคิดเห็นของนักเรียนเมื่อได้เรียนกับโปรแกรม Quizizz การสร้างและหาคุณภาพของเครื่องมือวิจัย 1. แบบสอบถามเพื่อวัดเจตคติที่มีต่อการเรียนภาษาอังกฤษ โดยการประยุกต์ใช้ โปรแกรม Quizizz ผู้วิจัยได้ดำเนินการสร้างแบบสอบถามฯ โดยดัดแปลงรูปแบบมาจากนภาพรรณ เอี่ยมสำอางค์ (2551) มีขั้นตอนการสร้างดังนี้ 1.1 ศึกษาเอกสาร ตำรา และองค์ประกอบที่เกี่ยวข้องกับการสร้างแบบสอบถาม ความพึงพอใจที่เหมาะสมกับนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 2.2 วิเคราะห์สาระการเรียนรู้ภาษาอังกฤษที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ และศึกษารูปแบบ


26 การจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้แนวการสอนภาษาเพื่อการสื่อสาร 2.3 ผู้วิจัยดาเนินการวิเคราะห์ข้อมูลโดยวิธีการทางสถิติ โดยเลือกเฉพาะวิธีวิเคราะห์ ข้อมูลที่สอดคล้องกับความมุ่งหมายของประเด็นปัญหาเพื่อหาค่าเจตคติของนักเรียนต่อวิชา ภาษาอังกฤษ การแปลความหมายคะแนน ได้กาหนดเกณฑ์ความหมายของคะแนนเฉลี่ยของคำตอบโดย แปลความหมาย ของคะแนนตามเกณฑ์ ที่กาหนดไว้ดังนี้ 4.51 – 5.00 หมายถึง มีเจตคติต่อวิชาภาษาอังกฤษในระดับสูงมาก 3.51 – 4.50 หมายถึง มีเจตคติต่อวิชาภาษาอังกฤษในระดับสูง 2.51 – 3.50 หมายถึง มีเจตคติต่อวิชาภาษาอังกฤษในระดับปานกลาง 1.51 – 2.50 หมายถึง มีเจตคติต่อวิชาภาษาอังกฤษในระดับต่ำ 1.00 – 1.50 หมายถึง มีเจตคติต่อวิชาภาษาอังกฤษในระดับต่ำมาก 2.4 นำแบบสอบถามฯ เสนอผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่าน และนำมาตรวจสอบความถูกต้อง ความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา และประเมินความเหมาะสมของแบบสอบถามโดยประเมินดัชนีความ สอดคล้อง (IOC) กำหนดคะแนนความคิดเห็นสำหรับการประเมินดัชนีความสอดคล้อง ดังนี้ คะแนน +1 สำหรับ ข้อที่มีความสอดคล้อง คะแนน 0 สำหรับ ข้อที่ไม่แน่ใจว่ามีความสอดคล้อง คะแนน -1 สำหรับ ข้อที่ไม่มีความสอดคล้อง ทั้งนี้ผู้วิจัยได้วิเคราะห์ดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ได้เท่ากับ 0.95 และเลือกข้อ คำถามที่มีค่า IOC มากกว่า 0.5 มาใช้เป็นข้อคำถาม 2.5 ปรับปรุงแก้ไขแบบสอบถามฯที่ผ่านการประเมินจากผู้เชี่ยวชาญให้ถูกต้องตาม ข้อเสนอแนะ 2.6 จัดทำแบบสอบถามฯ ฉบับสมบูรณ์เพื่อนำไปใช้จริงกับนักเรียนกลุ่มตัวอย่าง ต่อไป 2.7 นำแบบสอบถามฯ มาประเมินค่าสัมประสิทธิ์ความเชื่อมั่นของครอนบาค (Cronbach's reliability coefficient alpha) กำหนดคะแนนความคิดเห็นสำหรับการประเมินดัชนี ความสอดคล้อง ดังนี้ ความเชื่อมั่น การแปลค่า 0.90 ขึ้นไป ดีมาก 0.80 – 0.89 ดี 0.70 – 0.79 ยอมรับได้


27 ความเชื่อมั่น การแปลค่า 0.60 – 0.69 ยังน่าสงสัย 0.50 – 0.59 ค่อนข้างรับไม่ได้ น้อยกว่า 0.50 รับไม่ได้ ตารางที่ 3.2 ตารางค่าความเชื่อมั่น ทั้งนี้ผู้วิจัยได้วิเคราะห์ค่าสัมประสิทธิ์ความเชื่อมั่นของครอนบาค (Cronbach's reliability coefficient alpha) ได้เท่ากับ 0.72 แปลค่าได้ว่า แบบสอบถามฯ ชุดนี้ ยอมรับได้ การดำเนินการวิจัยและการเก็บรวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยดำเนินการวิจัยและเก็บรวบรวมข้อมูล ดังนี้ 1. ปฐมนิเทศนักเรียนกลุ่มตัวอย่างให้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับขั้นตอนดำเนินการวิจัย โดย การประยุกต์ใช้โปรแกรม Quizizz 2. ให้นักเรียนทำแบบสอบถามเพื่อวัดเจตคติฯ ก่อนการเรียนการสอน 3. ดำเนินการวิจัยโดยจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแผนการจัดการเรียนรู้โดยการประยุกต์ใช้ โปรแกรม Quizizz ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นกับนักเรียนกลุ่มตัวอย่าง เมื่อสิ้นสุดการสอนด้วยแผนการจัดการ เรียนรู้ฯ ทั้งหมดแล้ว ให้นักเรียนทำแบบสอบถามเพื่อวัดเจตคติที่มีต่อการเรียนภาษาอังกฤษ โดยการ ประยุกต์ใช้โปรแกรม Quizizz 4. ให้นักเรียนทำแบบสอบถามเพื่อวัดเจตคติฯ หลังการเรียนการสอน 5. รวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลจากแบบสอบถามเพื่อวัดเจตคติฯ ก่อนและหลังการการเรียน 6. สรุปผลการวิจัย และรายงานผล การวิเคราะห์ข้อมูลและสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล 1. การวิเคราะห์ข้อมูล การวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยดำเนินการวิเคราะห์ข้อมูลโดย 1.1 การวิเคราะห์แบบสอบถามเพื่อวัดเจตคติที่มีต่อการเรียนภาษาอังกฤษ โดยการ ประยุกต์ใช้โปรแกรม Quizizz 2. สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล การวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยใช้สถิติในการวิเคราะห์ข้อมูล ดังนี้


28 2.1 สถิติพื้นฐาน ได้แก่ ร้อยละ (Percentage) ค่าเฉลี่ย (Mean) และส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน (Standard Deviation) โดยใช้โปรแกรม Microsoft Excel ในการหาค่าคำนวณ


บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล การวิจัย การใช้ Quizizz ในการพัฒนาเจตคติด้านการเรียนภาษาอังกฤษ สำหรับนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนมัธยมสาธิตวัดพระศรีมหาธาตุ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครปรากฏ ผลการวิจัย มีวัตถุประสงค์เพื่อเพื่อศึกษาผลการใช้โปรแกรม Quizizz ที่มีผลต่อการเรียนเรียนรู้วิชา ภาษาอังกฤษ ดังนี้ ตอนที่ 1 ศึกษาผลการใช้โปรแกรม Quizizz ที่มีผลต่อการเรียนเรียนรู้วิชาภาษาอังกฤษ การวิเคราะห์ข้อมูลการตอบแบบสอบถามเพื่อวัดเจตคติที่มีต่อการเรียนภาษาอังกฤษ วิเคราะห์ข้อมูลโดยนำข้อมูลการตอบแบบสอบถามเพื่อวัดเจตคติที่มีต่อการเรียน ภาษาอังกฤษ มาวิเคราะห์รายข้อโดยหา T-test dependent (ผลการวิเคราะห์ข้อมูลการตอบ แบบสอบถามเพื่อวัดเจตคติ ดังรายละเอียดตามภาคผนวก จ) สรุปผลการวิเคราะห์ดังแสดงใน ตาราง ที่ 4.1 ผลการวิเคราะห์ข้อมูลการตอบแบบสอบถามเพื่อวัดเจตคติ เจตคติของนักเรียน ก่อนการใช้ Quizizz (̅) หลังการใช้ Quizizz (̅) รวม 3.94 4.16 จากตารางที่ 4.1 สามารถสรุปได้ว่า หลังจากประยุต์ใช้โปรแกรม Quizizz ในการจัดการ เรียนรู้ภาษาอังกฤษให้แก่นักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 1/1 แล้ว พบว่านักเรียนมีเจตคติที่ดีต่อการเรียน ภาษาอังกฤษเพิ่มมากขึ้น การวิเคราะห์ความต่างของเจตคติก่อน และหลังการใช้โปรแกรม Quizizz ของกลุ่มนัก นักเรียน เมื่อนำกลุ่มนักเรียนบางส่วนมาเปรียบเทียบ สามารถวิเคราะห์ดังที่แสดงใน ตาราง 4.2 ผล วิเคราะห์ความต่างของเจตคติก่อน และหลังการใช้โปรแกรม Quizizz


จากตารางที่ 4.2 สามารถสรุปได้ว่า เจตคติก่อน และหลังการใช้โปรแกรม Quizizz ใน การเรียนการสอนของนักเรียนกลุ่มตัวอย่างที่ยกมานั้น มีเจคติในการเรียนภาษาอังกฤษดีขึ้น ความคิดเห็นของนักเรียนเมื่อได้เรียนกับโปรแกรม Quizizz หลังจากที่ได้สัมภาษณ์นักเรียนสรุปได้ดังนี้ 1. โปรแกรม Quizizz เป็นโปรแกรมที่สนุก และไม่น่าเบื่อ (100%) 2. โปรแกรม Quizizz มีประโยชน์ในเรื่องของการทบทวนบทเรียน (60%) 3. โปรแกรม Quizizz สามารถดึงดูดความสนใจของผู้เรียน (40%) 4. โปรแกรม Quizizz สามารถเข้าใช้งานได้ง่าย และสะดวก (20%) นักเรียน เจตคติก่อนการใช้ Quizizz (%) เจตคติหลังการใช้ Quizizz (%) สรุปผล คนที่ 1 3.33 4.58 ดีขึ้น คนที่ 2 3.00 3.92 ดีขึ้น คนที่ 3 3.67 4.67 ดีขึ้น คนที่ 4 2.25 3.75 ดีขึ้น คนที่ 5 2.5 3.25 ดีขึ้น


บทที่ 5 สรุป อภิปรายและข้อเสนอแนะ การวิจัย การใช้ Quizizz ในการพัฒนาเจตคติด้านการเรียนภาษาอังกฤษ สำหรับนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนมัธยมสาธิตวัดพระศรีมหาธาตุ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร ในครั้งนี้มี วัตถุประสงค์เพื่อ ศึกษาผลการใช้โปรแกรม Quizizz ที่มีผลต่อการเรียนเรียนรู้วิชาภาษาอังกฤษ โดยมี กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนมัธยมสาธิตวัดพระศรีมหาธาตุ มหาวิทยาลัย ราชภัฏพระนคร ปีการศึกษา 2564 ได้มาจากคัดเลือกมาแบบเจาะจง (Purposive Sampling) 1 ห้องเรียน จำนวน 40 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่แบบสอบถามเพื่อวัดเจตคติที่มีต่อการเรียน ภาษาอังกฤษ โดยการประยุกต์ใช้โปรแกรม Quizizz เป็นแบบสอบถามลักษณะเรียงอันดับ จำนวน 12 ข้อ เก็บรวบรวมข้อมูลโดยการ 1. ปฐมนิเทศนักเรียนกลุ่มตัวอย่างให้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ ขั้นตอนดำเนินการวิจัย โดยการประยุกต์ใช้โปรแกรม Quizizz 2. ดำเนินการวิจัยโดยจัดกิจกรรมการ เรียนรู้ตามแผนการจัดการเรียนรู้โดยการประยุกต์ใช้โปรแกรม Quizizz ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นกับนักเรียน กลุ่มตัวอย่าง เมื่อสิ้นสุดการสอนด้วยแผนการจัดการเรียนรู้ ทั้งหมดแล้ว ให้นักเรียนทำแบบสอบถาม เพื่อวัดเจตคติที่มีต่อการเรียนภาษาอังกฤษ โดยการประยุกต์ใช้โปรแกรม Quizizz แล้วนำข้อมูลที่ รวบรวมได้มาวิเคราะห์หาค่าสถิติพื้นฐาน ได้แก่ ร้อยละ (Percentage) ค่าเฉลี่ย (Mean) และส่วน เบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) โดยใช้โปรแกรม Microsoft Excel ในการหาค่าคำนวณ สรุปผลการวิจัย การศึกษาผลการประยุกต์ใช้โปรแกรม Quizizz ที่มีผลต่อการเรียนเรียนรู้วิชาภาษาอังกฤษ โดยให้ทำแบบสอบถามเพื่อวัดเจตคติที่มีต่อการเรียนภาษาอังกฤษ โดยใช้โปรแกรม Quizizz นักเรียน ชายร้อยละ 52.5 และนักเรียนหญิงร้อยละ 47.5 สามารถสรุปได้ว่า หลังจากการประยุกต์ใช้โปรแกรม Quizizz กับนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 1/1 แล้ว มีเจตคติที่ดีต่อการเรียนภาษาอังกฤษดีมากขึ้น อภิปรายผลการวิจัย จากผลการวิจัยในครั้งนี้ มีข้อสังเกตสำคัญที่ควรนำมาอภิปราย ดังนี้


32 จากวัตถุประสงค์วิจัย เพื่อศึกษาผลการใช้โปรแกรม Quizizz ที่มีผลต่อเจตคติในการ เรียนรู้วิชาภาษาอังกฤษ สามารถสรุปผลวิจัยได้ว่า หลังจากประยุต์ใช้โปรแกรม Quizizz ในการ จัดการเรียนรู้ภาษาอังกฤษให้แก่นักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 1/1 แล้ว พบว่านักเรียนมีเจตคติที่ดีต่อการ เรียนภาษาอังกฤษเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากโปรแกรม Quizizz เป็นลักษณะเกมของการแข่งขัน มีเสียงเพลง และมีการ จัดอันดับแบบ real time ส่งผลให้โปรแกรม Quizizz กระตุ้นความสนใจของนักเรียนในการทำ แบบฝึกหัดระหว่างเรียน หรือท้ายบทเรียน เกิดการแข่งขันในระหว่างหมู่นักเรียน ทำให้นักเรียนสนใจ ในตัวบทเรียนมากยิ่งขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับ เหม่ย และคณะ (Mei et al, 2018) ได้ศึกษาการใช้ โปรแกรม Quizizz เป็นการเรียนรู้จากเกมในห้องเรียนภาษาอาหรับ นักวิจัย และคณะมีวัตถุประสงค์ เพื่อการประเมินความสนใจของนักเรียนในชั้นเรียนภาษาอาหรับโดยใช้ Quizizz เป็นการเรียนรู้ผ่าน สื่อเกมเรียนรู้ในห้องเรียนภาษาอาหรับของ Sultan Idris Education University Malaysia ได้ผล สรุปว่านักเรียนกระตือรือร้นที่จะตอบคำถาม และให้ความสนใจกับหัวข้อในการเรียนมากขึ้น ซึ่งเกม ในลักษณะของการแข่งขัน จะยิ่งกระตุ้นความสนใจของนักเรียน เป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่ชอบในการ แข่งขัน อีกทั้งตัวโปรแกรม Quizizz ยังมีลูกเล่นมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ตัวโปรแกรม Quizizz มีการ เฉลยข้อถูก - ผิด หลังจากตอบเสร็จ หลังจากทำครบหมดทุกข้อ ทางโปรแกรม Quizizz จะซุ่มข้อที่ผิด มาให้ทำอีกครั้ง ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีต่อนักเรียนเป็นอย่างมาก เนื่องจากนักเรียนสามารถเรียนรู้ข้อผิดพลาด ของตนเองที่ทำไป และสามารถแก้ไขได้ อีกทั้งมีมีม (Meme) เป็นภาพประกอบระหว่างการตอบ คำถาม ส่งผลให้นักเรียนได้รับความสนุกสนานระหว่างการเล่น Quizizz และสุดท้าย ทางโปรแกรม Quizizz ยังมีลูกเล่นในการเพิ่มคะแนนในแต่ละข้อ หยุดเวลาการตอบคำถาม ลดคะแนนฝ่ายตรงข้าม หรือตัดตัวเลือกให้เหลือเพียง 2 ตัวเลือก ซึ่งสอดคล้องกับ ซูริยา และพราโตโล (Zuhriyah, S. and Pratolo, B. 2020) ได้ศึกษาการสำรวจความคิดเห็นของนักเรียนในการใช้ Quizizz เป็นเครื่องมือ ประเมินผลภาษาอังกฤษในชั้นเรียนภาษาอังกฤษ (EFL) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาทัศนะของ นักเรียนสำรวจในการใช้ Quizizz เป็นเครื่องมือในการประเมินในชั้นเรียนภาษาอังกฤษ โดยได้ผล สรุปว่า 1. เป็นเครื่องมือที่น่าสนใจ 2. ส่งเสริมความมั่นใจของนักเรียน 3. เพิ่มแรงจูงใจของนักเรียน และ 4. ปรับปรุงความสามารถในการอ่าน นอกจากนี้ นักเรียนยังให้ผลตอบรับเชิงบวกต่อการใช้ Quizizz ในห้องเรียน และดูคะแนนก่อน และหลังการใช้โปรแกรม Quizizz พบว่าเจตคติของนักเรียน กลุ่มตัวอย่างมีเจตคติที่ดีขึ้นต่อวิชาภาษาอังกฤษ ซึ่งสอดคล้องกับบทสัมภาษณ์ของนักเรียน โดยรวม แล้ว นักเรียนจะชอบการเล่นโปรแกรม Quizizz เพราะเป็นการแข่งขัน ทำให้รู้สึกสนุกสนาน มีความ บันเทิง และเป็นสิ่งที่จูงใจนักเรียนอยากตอบคำถาม และอยากเรียนรู้มากยิ่งขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับ ซึ่ง สอดคล้องกับ เหม่ย และคณะ (Mei et al, 2018) ได้ทำการศึกษาไว้เช่นกัน


33 ข้อเสนอแนะ จากการวิจัยในครั้งนี้ผู้วิจัยมีข้อเสนอแนะสำหรับการวิจัยในครั้งนี้และการวิจัยครั้งต่อไป ตามลำดับ ดังนี้ ข้อเสนอแนะสำหรับการวิจัยครั้งนี้ 1. ครูควรคํานึงถึงความพร้อมของอุปกรณ์ของนักเรียน เช่น โทรศัพท์เคลื่อนที่ คอมพิวเตอร์ แท็บเล็ต หรืออุปกรณ์ต่าง ๆ ที่สามารถเชื่อต่ออินเตอร์เน็ตได้ 2. ก่อนการเล่นโปรแกรม Quizizz ในแต่ละครั้ง ครูควรตรวจสอบให้ดีก่อนว่าตั้งค่าสำหรับ การเล่นเกมไว้หรือไหม 3. ในบางครั้งนักเรียนไม่สามารถเข้าเล่นโปรแกรม Quizizz ได้ ครูควรมีแบบฝึกหัดแยกให้ นักเรียนได้ทำ หรือทบทวนด้วยเช่นกัน ข้อเสนอแนะสำหรับการวิจัยครั้งต่อไป 1. ผู้วิจัยควรวางแผนให้ดีว่าจะใช้โปรแกรม Quizizz เพื่ออะไร (ทบทวนความรู้หรือสอบเก็บ คะแนน) 2. การเรียงอันดับด้วยโปรแกรม Quizizz อาจไม่เพียงพอในการกระตุ้นตอบคำถาม อาจมี รางวัลให้นักเรียนร่วมด้วย 3. ควรศึกษาด้านความสามารถในการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ กับกลุ่มตัวอย่างสองกลุ่ม คือ กลุ่มควบคุมและกลุ่มทดลอง และเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ระหว่างกลุ่ม


บรรณานุกรม กระทรวงศึกษาธิการ. (2547). แนวทางการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาแบบอิงมาตรฐาน. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์องค์การรับส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์. กันตภณ พาหุมันโต, ชุติมา จันทรจิตร, และจุไรศิริ ชูรักษ์. (2560). การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนและทักษะปฏิบัติ เรื่อง การใช้โปรแกรมนาเสนอ กลุ่มสาระ การเรียนรู้การงานอาชีพ และเทคโนโลยีของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โดยใช้วิธีสอนแบบชี้แนะร่วมกับสื่อสังคม ออนไลน์. สงขลา มหาวิทยาลัยราชภัฎสงขลา. คมสิทธิ์ สิทธิประการ, วิกรม ฉันทรางกูร, และภัชญาภา ทองใส. (2561). ผลสัมฤทธิ์การเรียนการ อ่านขั้นสูงโดยการเรียนด้วยบทเรียนออนไลน์(รายงานการวิจัย). สงขลา: มหาวิทยาลัย เทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย. ชาลิสา จิตบุญญาพินิจ, และประสงค์ ประณีตพลกรัง. (2559). ผลการเรียนรู้และผลสัมฤทธิ์ทางการ ศึกษาในการพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนโดยใช้บทเรียนอีเลิร์นนิ่งในรายวิชาเทคโนโลยี สารสนเทศ สาหรับนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 1 (รายงานผลการวิจัย). กรุงเทพ: มหาวิทยาลัย ศรีปทุม. ณัฐพล บัวอุไร. (2555). ผลการจัดการเรียนการสอนโดยใช้สื่อสังคมออนไลน์ตามทฤษฎีการสร้าง องค์ความรู้ด้วยตนเอง วิชาการสร้างงานสื่อผสม เรื่องคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ต ระดับชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 4 (รายงานผลการวิจัย). ปทุมทานี: โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ ลำ ลูกกา . ดร. ภูมิศรันย์ ทองเลี่ยมนาค. (2564). สำรวจผลกระทบ COVID-19 จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของ การศึกษาโลก. ค้นเมื่อ 5 กันยายน 2564, จาก: https://www.eef.or.th/article1-02-01- 211/. ม.วัฒนา เอี่ยวเส็ง. (2557). การศึกษาการใช้สื่อสังคมออนไลน์ (Social media) ในการเรียนรู้ของ นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 (รายงานผลวิจัย). กรุงเทพ: โรงเรียนอัสสัมชัญแผนก ประถม. บุญธรรม อุดจอม. (2555). เจตคติที่มีต่อวินัยในตนเองด้านวินัยในห้องเรียน ความขยันอดทนทางการ เรียนและแรงจูงใจใฝุ่สัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา ความปลอดภัยทางการท่องเที่ยว(รายานผล วิจัย). เชียงใหม่: วิทยาลัยเทคโนโลยีพายัพและบริหารธุรกิจ


35 เมธาวี จำเนียร, และกรกฎ จำเนียร. (2561). ประโยชน์ ปัญหา และแนวทางแก้ไขการใช้สื่อออนไลน์ ในการเรียนอย่างมีประสิทธิภาพของโรงเรียนในจังหวัดนครศรีธรรมราช. วารสารราชพฤกษ์, 1 6 ( 1 1 3 - 1 2 1 ) . ส ื บ ค ้ น จ า ก https://so05. tcithaijo.org/index.php/Ratchaphruekjournal/article/view/153350/111751. สุชาดา ทิพโรจน์. (2563). การจัดการเรียนรู้ด้วยระบบออนไลน์(รายงานผลการวิจัย). สิงห์บุรี: โรงเรียนสิงห์บุรี. อนพันธ์ เขียวฤทธิ์. (2563). การศึกษาเจตคติต่อการเรียนวิชาภาษาไทยของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 2 โรงเรียนสุรศักดิ์มนตรี ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2563(รายงานผลการวิจัย). กรุงเทพ: โรงเรียนสุรศักดิ์มนตรี อนุชา สะเล็ม. (2560). การประยุกต์ใช้ E-Learning ในกระบวนการเรียนการสอน วิทยาลัย เทคโนโลยีบริหารธุรกิจมีนบุรี กรุงเทพ. กรุงเทพ: มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานคร. อมรนารี ปินปันคง. (2564). รายงานการวิจัยในชั้นเรียน. เชียงราย: โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 15 (เวียงเก่าแสนภูวิทยาประสาท). อรรถพล ทองวิทยาพรม, จำานง วงษ์ชาชม, และสุทิศา ซองเหล็กนอก. (2561). การใช้สื่อสังคม ออนไลน์เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ของนักศึกษา วิทยาลัยเทคโนโลยีอุตสาหกรรมศรีสงคราม มหาวิทยาลัยนครพนม. วารสารมหาวิทยาลัยนครพนม, 8(3), 81-89. Akinola et al. (2016). THE INFLUENCE OF SOCIAL MEDIA ON TEACHING AND RESEARCH IN NIGERIAN HIGHER INSTITUITIONS. Journal of Advanced in Linguistic, 7(2), 1192-1197. doi: 10.24297/jal.v7i2.5154 Alabdulkareem, S. (2014). Exploring the Use and the Impacts of Social Media on Teaching and Learning Science in Saudi. Procedia - Social and Behavioral Sciences, 213-224. doi: 10.1016/j.sbspro.2015.04.758 ALHUMAID, KH. (2020). Qualitative Evaluation: Effectiveness of Utilizing Digital and Social Media in Education. Utopía y Praxis Latinoamericana, 25(6), 466-476. doi: 10.5281/zenodo.3987663 Ansari, J. and Khan, N. (2020). Exploring the role of social media in collaborative learning the new domain of learning. Ansari and Khan Smart Learning Environments, 7(9), 1-16. doi: 10.1186/s40561-020-00118-7 Basuki, Y. and Hidayati, Y. (2019). Kahoot! or Quizizz: the Students’ Perspective. N.P.: European Alliance for Innovation. Retrieve from https://books.google.co.th/books?id=tMg7EAAAQBAJ&pg=PA316&dq=kahoot+i


36 n+teaching+research&hl=th&sa=X&ved=2ahUKEwi8l8vazovzAhUBCt4KHXk_BR0 Q6AF6BAgIEAI#v=onepage&q=kahoot%20in%20teaching%20research&f=false Chiang< H. (2020). Kahoot! In an EFL Reading Class. Journal of Language Teaching and Research, 11(1), 33-44. doi: 10.17501/jltr.1101.05 Mei et al. (2018). Implementing Quizizz as Game Based Learning in the Arabic Classroom. European Journal of Social Science Education and Research, 5(1), 194-198. doi: 10.2478/ejser-2018-0022 Licorish et al. (2018). Students’ perception of Kahoot!’s influence on teaching and learning. Licorish et al. Research and Practice in Technology Enhanced Learning, 13(9), 1-23. doi: 10.1186/s41039-018-0078-8 Lim, T. and Yunus, M. (2021). Teachers’ Perception towards the Use of Quizizz in the Teaching and Learning of English: A Systematic Review. Sustainability, 1-15. doi: 10.3390/su13116436 Nanthapak Meekham. (2020). T – TEST DEPENDENT กับ T – TEST INDEPENDENT นั้น แตกต่างกันอย่างไร?. สืบค้น 14 มกราคม 2564. จาก http://www.xn-- 1 2 co8 bkb4 ccba6 b3 geffwj6 3 b.com/t-test- %E0%B9%81%E0%B8%95%E0%B8%81%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%B2 % E0 % B8 % 8 7 - %E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%8 4%E0%B8%A3/ Research Thailand. (2020). คว า ม ห ม า ย ข อ ง T – Test Dependent แ ละ T – Test Independent. ส ื บ ค ้ น 1 4 ม ก ร า ค ม 2 5 6 5 , จ า ก https://www.researcherthailand.co.th/%e0%b8%84%e0%b8%a7%e0%b8%b2 %e0%b8%a1%e0%b8%ab%e0%b8%a1%e0%b8%b2%e0%b8%a2%e0%b8%8 2 % e0 % b8 % ad%e0 % b8 % 8 7 - t-test-dependent- %e0%b9%81%e0%b8%a5%e0%b8%b0-t-test-independent/ Zuhriyah, S. and Pratolo, B. (2020). Exploring Students' Views in the Use of Quizizz as an Assessment Tool in English as a Foreign Language (EFL) Class. Universal Journal of Educational Research, 8(11), 5312-5317. doi: 10.13189/ujer.2020.081132


ภาคผนวก


ภาคผนวก ก รายชื่อผู้เชี่ยวชาญตรวจและแก้ไขเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย


39 รายชื่อผู้เชี่ยวชาญตรวจและแก้ไขเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 1. อาจารย์ชัยเดช นาคสะอาด - อาจารย์ประจำกลุ่มสาระถาษาต่างประเทศ โรงเรียนมัธยมสาธิตวัดพระศรีมหาธาตุ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร 2. อาจารย์ไอฟ้า ตรุษสารท - อาจารย์ประจำกลุ่มสาระถาษาต่างประเทศ โรงเรียนมัธยมสาธิตวัดพระศรีมหาธาตุ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร 3. อาจารย์ทุติยพร บุญลี - อาจารย์ประจำกลุ่มสาระถาษาต่างประเทศ โรงเรียนมัธยมสาธิตวัดพระศรีมหาธาตุ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร


ภาคผนวก ข แบบสอบถามเพื่อวัดเจตคติที่มีต่อการเรียนภาษาอังกฤษ


41 แบบสอบถามเพื่อวัดเจตคติที่มีต่อการเรียนภาษาอังกฤษ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนมัธยมสาธิตวัดพระศรีมหาธาตุ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร คำชี้แจง: 1. แบบสอบถามฉบับนี้สร้างขึ้นเพื่อวัดเจตคติของผู้เรียนที่มีต่อการเรียนวิชา ภาษาอังกฤษ 2. แบบสอบถามฯฉบับนี้ มี 2 ตอน ตอนที่ 1 ข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับผู้ตอบ ตอนที่ 2 ข้อมูลเกี่ยวกับเจตคติของผู้ตอบที่มีต่อการเรียนวิชาภาษาอังกฤษ ตอนที่ 1 ข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับผู้ตอบ คำชี้แจง: แบบสอบถามนี้ออกแบบขึ้นเพื่อสอบถามข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับผู้ตอบ โปรดใส่เครื่องหมาย ✓ ลงในช่องว่าง ที่เหมาะสมกับคำตอบของท่าน 1. เพศ ชาย หญิง 2. อายุ 10 – 11 12 – 13 ................................................................................................................................................................ ตอนที่ 2 ความคิดเห็นของผู้ตอบที่มีต่อการเรียนวิชาภาษาอังกฤษ คำชี้แจง: แบบสอบถามนี้ จัดทำขึ้นเพื่อสอบถามความคิดเห็นเกี่ยวกับการเรียนวิชา ภาษาอังกฤษ โปรดอ่านข้อความด้วยความรอบคอบ และใส่เครื่องหมาย ✓ ในช่องว่างที่ตรงกับความคิดเห็นของ ท่าน ต่อการเรียนวิชาภาษาอังกฤษ 5 = เห็นด้วยอย่างยิ่ง 4 = เห็นด้วย 3 = ไม่แน่ใจ 2 = ไม่เห็นด้วย 1= ไม่เห็น ด้วยอย่างยิ่ง ตัวอย่าง: เจตคติของนักเรียน การเรียนวิชาภาษาอังกฤษเป็นวิชาที่เรียนรู้ได้ ง่าย ✓เห็นด้วยอย่างยิ่ง เห็นด้วย ไม่แน่ใจ ไม่เห็นด้วย ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง


Click to View FlipBook Version