การประเมินพทุ ธปิ ัญญา
Cognitive Assessment
ธรรมนาถ เจริญบุญ
การประเมนิ พทุ ธปิ ัญญา (Cognitive Assessment)
จัดทำ� โดย: ธรรมนาถ เจริญบญุ
ภาควชิ าระบาดวิทยาคลินกิ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ศนู ยค์ วามเป็นเลศิ ทางวิชาการด้านระบาดวิทยาประยุกต์ มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์
หนว่ ยวจิ ยั โรคหลอดเลือดสมองและความเสอื่ มของสมอง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
Cognitive Assessment
Copyright by: Thammanard Charernboon, MD, MSc, PhD
Department of Clinical Epidemiology, Faculty of Medicine,
Thammasat University
Center of Excellence in Applied Epidemiology,
Thammasat University
Stroke and Neurodegenerative Diseases Research Unit,
Thammasat University
พิมพ์ครงั้ ที่ 1
มถิ นุ ายน พ.ศ. 2563
ISBN 978-616-568-550-4
พมิ พท์ ่ี โรงพมิ พม์ หาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร,์ พ.ศ. 2563
โทรศพั ท ์ 0-2564-3104 ถงึ 6
โทรสาร 0-2564-3119
http://www.thammasatprintinghouse.com
ปกและภาพประกอบ ธรรมนาถ เจรญิ บญุ
สงวนลขิ สทิ ธติ์ ามพระราชบญั ญัติลขิ สทิ ธิ์ (ฉบบั เพมิ่ เตมิ ) พ.ศ. 2558
ราคา 300 บาท
กติ ติกรรมประกาศ
หนงั สอื เลม่ นเ้ี ขยี นมาจากประสบการณก์ ารท�ำงานทางคลนิ กิ และงานวจิ ยั นบั สบิ ปขี องผเู้ ขยี น
จงึ มีผูม้ ีสว่ นเกี่ยวขอ้ งและให้ความชว่ ยเหลือจ�ำนวนมาก จึงขอกล่าวขอบคุณไวใ้ นท่นี ี้
อนั ดบั แรกผเู้ ขยี นขอขอบคณุ รองศาสตราจารยน์ ายแพทยส์ ขุ เจรญิ ตงั้ วงษไ์ ชย รองศาสตราจารย์
แพทยห์ ญงิ โสฬพทั ธ์ เหมรญั ชโ์ รจน์ และศาสตราจารยพ์ เิ ชฐ อดุ มรตั น์ ผเู้ ปน็ อาจารยแ์ ละมสี ว่ นอยา่ งมาก
ในการชักน�ำให้ผู้เขียนสนใจในเรื่องภาวะสมองเสื่อมและ cognitive function รวมถึงอาจารย์แพทย์
ภาควิชาจติ เวชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยทกุ ท่าน และขอขอบคณุ Professor Robert Howard
ผเู้ ปน็ ทปี่ รกึ ษาระหวา่ งทผ่ี เู้ ขยี นเรยี นอยทู่ มี่ หาวทิ ยาลยั King’s College London ผทู้ ำ� ใหเ้ หน็ วา่ ความเปน็
นักวิชาการระดบั โลกน้นั เป็นอย่างไร
ขอขอบคณุ ศาสตราจารยน์ ายแพทย์ ชยนั ตรธ์ ร ปทมุ านนท์ ผเู้ รยี กไดว้ า่ เปน็ อาจารยท์ างดา้ น
งานวจิ ยั และสถติ ิศาสตร์ส�ำหรบั ผเู้ ขยี น และช่วยให้ผลงานวิจยั ในระยะหลังของผู้เขียนมคี ณุ ภาพสงู ขึ้น
ขอขอบคณุ Professor Hodges JR และ Nasreddine Z ที่อนุญาตใหต้ พี มิ พภ์ าพประกอบ
ของแบบทดสอบ Addenbrooke’s Cognitive Examination และ Montreal Cognitive Assessment
ในหนังสือเล่มน้ี ซ่ึงนอกจากความใจกว้างในการให้ใช้ในหนังสือเล่มนี้แล้ว แบบประเมินท้ังสองน้ี
ยงั อนญุ าตใหใ้ ชใ้ นกรณี non-commercial ไดโ้ ดยไมม่ คี า่ ใชจ้ า่ ยทวั่ โลก ซงึ่ นบั วา่ เปน็ ประโยชนแ์ กผ่ ปู้ ว่ ย
อย่างแท้จริง
ในข้ันตอนการจัดท�ำหนังสือเล่มนี้ต้องขอขอบคุณแพทย์หญิงติรยา เลิศหัตถศิลป์ และ
แพทย์หญิงวีร์วะรินทร์ เจริญพร ท่ีช่วยในการอ่านต้นฉบับ แก้ไขและให้ความเห็นที่มีประโยชน์หลาย
อยา่ ง และขอขอบคณุ รองศาสตราจารยแ์ พทยห์ ญงิ วนิ ทิ รา นวลละออง ทผ่ี เู้ ขยี นปรกึ ษาทกุ ครงั้ ทม่ี ปี ญั หา
ในการจัดทำ� หนงั สอื อกี ทัง้ ยังมีเพอื่ นๆ อกี จำ� นวนมากทม่ี สี ว่ นสนับสนนุ ทง้ั ทางตรงและทางออ้ มทค่ี งไม่
อาจระบุชอ่ื ได้ท้งั หมด
ขอขอบคณุ ผปู้ ว่ ยทกุ คนทเ่ี ปน็ เสมอื นครแู ละหลายทา่ นยงั เขา้ รว่ มในงานวจิ ยั ทน่ี ำ� มาสผู่ ลการ
ศกึ ษาท่ีรวบรวมไวใ้ นหนงั สอื เล่มน้ี
และสดุ ทา้ ยแลว้ สง่ิ ทขี่ าดไมไ่ ดค้ อื ตอ้ งขอขอบคณุ ตวั เองทอี่ ดทนพยายามและสมำ่� เสมอในการ
เขยี นหนังสือเล่มนจ้ี นเสร็จ รวมถึงทำ� งานวจิ ัยอกี หลายสิบชนิ้ ทัง้ ทีม่ ีภาระงานจำ� นวนมาก
ธรรมนาถ เจริญบญุ
ทุนสนับสนนุ
หนังสือเล่มนี้ได้รับทุนสนับสนุนการจัดท�ำผลงานวิชาการ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัย
ธรรมศาสตร์ ประจ�ำปี พ.ศ. 2560
ค�ำนำ� และข้อแนะนำ� การใชห้ นงั สือเล่มน้ี
จุดประสงค์หลักของการเขียนหนังสือเล่มน้ีคือเป็นการรวบรวมและแนะน�ำวิธีการตรวจ
cognitive function สำ� หรบั แพทยห์ รอื บคุ ลากรทสี่ นใจ เพอื่ ใชต้ รวจผปู้ ว่ ยขา้ งเตยี งหรอื ในแผนกผปู้ ว่ ย
นอก ดังน้ันการตรวจในหนังสือเล่มน้ีส่วนใหญ่จึงเป็นการตรวจประเมินแบบสั้นและใช้ได้ง่าย โดยจะ
ไม่ได้ลงรายละเอียดหรือสอนวิธีตรวจแบบประเมินมาตรฐานทางประสาทจิตวิทยา (standard
neuropsychological tests) ทม่ี ักตอ้ งใช้เวลาตรวจหลายช่วั โมงและสว่ นใหญ่ตอ้ งทำ� โดยนกั จิตวิทยา
คลินิกที่ผ่านการอบรมมาโดยเฉพาะ ซ่ึงโดยท่ัวไปแพทย์มักไม่ได้เป็นคนท�ำแบบทดสอบเหล่านี้เองและ
คงไมม่ ีใครใชแ้ บบประเมนิ เหล่านี้ในการตรวจคนไขข้ า้ งเตยี งหรือตอนตรวจผูป้ ว่ ยนอก
หนงั สอื เล่มนไ้ี ดพ้ ยายามเตมิ เต็มจดุ อ่อนในการสอนการตรวจ cognitive function ในอดตี
ทผ่ี า่ นมา น่นั คอื จะพยายามบอกคา่ ปกตทิ ่ีคนทั่วไปท�ำไดแ้ ละแนะน�ำจุดตดั ท่คี วรสงสยั ว่าอาจจะมีความ
ผดิ ปกติ (ซงึ่ จะเขยี นไวใ้ นหวั ขอ้ ‘การแปลผล’ ในแตล่ ะบท) เนอ่ื งจากการเรยี นการสอนในอดตี มกั ประสบ
ปัญหาคอื สอนว่าให้ตรวจอนั น้ี แตต่ รวจแล้วไม่รู้ว่าตรวจไปทำ� ไมและแปลผลไมไ่ ด้ เพราะไม่รู้เหมือนกัน
ว่าคนท่ัวไปควรท�ำไดป้ ระมาณเทา่ ไหร่ เชน่ ในการตรวจ attention มกั แนะน�ำให้ท�ำ digit forward
แต่จากประสบการณ์ในการสอนที่ผ่านมา ผู้ตรวจหลายคนก็ไม่ทราบว่าแล้วผู้สูงอายุทั่วไปควรท�ำได้
ประมาณเทา่ ไหร่ พอผู้ป่วยท�ำได้ 4 หลกั ก็ไมร่ ูว้ ่าจะแปลผลว่าอยา่ งไร แตท่ งั้ นต้ี ้องย้ำ� เตอื นว่า ‘คา่ ปกต’ิ
ทเี่ ขยี นไวใ้ นแตล่ ะการทดสอบเปน็ เพยี งขอ้ มลู เบอ้ื งตน้ เทา่ นนั้ วา่ เมอื่ ไหรท่ ค่ี วรสงสยั วา่ ผปู้ ว่ ยท�ำไดน้ อ้ ยกวา่
ทค่ี วรจะเปน็ เพอ่ื ทจ่ี ะน�ำไปส่กู ารตรวจประเมนิ เพม่ิ เติมต่อไป ไม่ไดแ้ ปลวา่ ถา้ ได้นอ้ ยกวา่ คา่ ท่แี นะนำ� ไว้
แปลวา่ ผรู้ ับการทดสอบตอ้ งมคี วามผดิ ปกติแน่ๆ
โดยในเรอื่ งของค่าปกติ นอกจากจะอา้ งอิงจากการศกึ ษาในตา่ งประเทศแล้ว ยังได้พยายาม
รวบรวมข้อมูลค่าปกติของการทดสอบต่างๆ ในประเทศไทยเท่าที่มีเสริมไปอีกด้วย เพราะการทดสอบ
หลายอย่างไม่สามารถเอาค่าปกติในต่างประเทศมาใช้โดยตรงได้ เพราะมีข้อแตกต่างด้านภาษาและ
วฒั นธรรม ยกตัวอย่างทเี่ หน็ ไดช้ ัดเจน คือ verbal fluency ทใี่ ห้ผปู้ ่วยบอกคำ� ท่ีขน้ึ ต้นดว้ ยตัว “A” ให้
ไดม้ ากท่สี ุดในหนึง่ นาทนี น้ั แทบเปน็ ไปไม่ไดเ้ ลยวา่ เมอ่ื นำ� มาใชใ้ นภาษาไทย แล้วใหบ้ อกค�ำทีข่ ึ้นต้นดว้ ย
ตวั อกั ษร “ก” แทน จะมีจำ� นวนค�ำเฉลีย่ เทา่ กับตวั A ในภาษาองั กฤษพอดี การมคี า่ ปกตสิ �ำหรบั ภาษา
ไทยจงึ เป็นส่งิ ทจ่ี ำ� เปน็ และเปน็ ประโยชนใ์ นการดูแลรักษาผ้ปู ว่ ยตอ่ ไป
นอกจากนี้หนังสือเล่มน้ียังน่าจะเป็นหนังสือภาษาไทยเล่มแรกที่กล่าวถึงเร่ือง social
cognition ซึ่งนบั ได้ว่าเปน็ cognitive function ดา้ นใหม่ลา่ สุดทมี่ ีการเพม่ิ เติมเข้ามาใน DSM-5 และ
กำ� ลงั เปน็ ทสี่ นใจอยา่ งมากในชว่ งทศวรรษหลงั อกี ทง้ั ยงั มบี ททที่ ำ� การรวบรวมและสรปุ สงิ่ ทค่ี วรรใู้ นการ
เลือกใช้ short cognitive tests ซ่ึงในปจั จุบนั ประเทศไทยมีแบบทดสอบลักษณะนจี้ �ำนวนมาก แต่ยัง
ขาดการรวบรวมและสงั เคราะห์องคค์ วามรูใ้ นดา้ นน้ี
สุดท้ายผู้เขียนหวังว่าหนังสือเล่มนี้จะมีประโยชน์ต่อแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ท่ี
เกี่ยวข้องกับการดูแลรักษาผู้ป่วยท่ีมีปัญหา cognitive function ต่อไป หากมีข้อผิดพลาดหรือ
ข้อเสนอแนะประการใด ผู้เขียนขอน้อมรับเพื่อน�ำไปปรับปรุงในฉบับต่อไป ทั้งนี้ผู้อ่านสามารถแจ้งให้
ผเู้ ขียนได้ทางอเี มลดังนี้ [email protected]
รองศาสตราจารย์ ดร.นายแพทย์ ธรรมนาถ เจรญิ บุญ
มนี าคม พ.ศ. 2563
ผ้นู ิพนธ์
รองศาสตราจารย์ ดร.นายแพทย์ ธรรมนาถ เจริญบญุ
Thammanard Charernboon, MD, MSc, PhD
ปัจจุบันเป็นรองศาสตราจารย์สาขาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัย
ธรรมศาสตร์ จบการศกึ ษาแพทยศาสตรบณั ฑติ จากจฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั ไดร้ บั วฒุ บิ ตั รแสดงความรู้
ความชำ� นาญในการประกอบวชิ าชพี เวชกรรมสาขาจติ เวชศาสตร์ ไดร้ บั ปรญิ ญาโท Master of Science
in Advanced Care in Dementia จากมหาวิทยาลัย King’s College สหราชอาณาจักร ต่อมา
ไดร้ ับปริญญาเอก สาขาระบาดวทิ ยาคลินกิ (Clinical Epidemiology) จากมหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์
และได้รับอนุมัติบัตรแสดงความรู้ความช�ำนาญในการประกอบวิชาชีพเวชกรรมอนุสาขาจิตเวชศาสตร์
ผสู้ งู อายุ ปจั จบุ นั ดำ� รงตำ� แหนง่ ประธานหลกั สตู รวทิ ยศาสตรมหาบณั ฑติ และปรชั ญาดษุ ฎบี ณั ฑติ สาขา
วชิ าระบาดวทิ ยาคลนิ กิ คณะแพทยศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ โดยมคี วามสนใจเปน็ พเิ ศษในงาน
วิจยั เกยี่ วกบั cognitive neuroscience โรคสมองเสอื่ ม และโรคจิตเภท
Cognitive Assessment หนา้
สารบญั 1
11
23
บทที่ 1 Cognition: ภาพรวมและเหตผุ ล 43
บทที่ 2 การตรวจสภาพจติ (Mental state examination) 57
บทที่ 3 ภาษา (Language) 71
บทที่ 4 สมาธิ (Attention) 91
บทท่ี 5 ความจำ� (Memory)
บทที่ 6 Executive function และ frontal lobe function 103
บทท่ี 7 Constructional ability 115
บทท่ี 8 Social cognition 133
บทที่ 9 Short cognitive tests
บทที่ 10 Standard neuropsychological assessment
บทท่ี 1
Cognition: ภาพรวมและเหตผุ ล
(Cognition: Overview and Rationale)
บทที่ 1
Cognition: ภาพรวมและเหตผุ ล
(Cognition: overview and rationale)
_____________________________________________________________
Cognition มาจากภาษาลาตนิ แปลวา่ “การไดม้ าซ่งึ ความร้”ู ในทางวิทยาศาสตรก์ ารแพทย์
หมายถึง ระบบการท�ำงานของสมองท่ีช่วยให้มนุษย์และสัตว์รับรู้สิ่งกระตุ้นภายนอก เก็บข้อมูลเอาไว้
ดงึ ขอ้ มูลที่สำ� คัญออกมา และสร้างเปน็ ความคิดหรือการกระท�ำเพ่อื ตอบสนองออกไป (Purves, 2013)
1. Cognition ในภาษาไทย
ค�ำว่า cognition ในภาษาไทยมีค�ำแปลท่ีหลากหลายมาก เช่น การรู้คิด (ศัพท์จิตเวช
ราชวทิ ยาลัยจิตแพทย์แหง่ ประเทศไทย) พุทธปิ ัญญา (ศัพทแ์ พทยศาสตร์) และประชาน (ศพั ทบ์ ญั ญตั ิ
ราชบณั ฑติ ยสถาน) จงึ ทำ� ใหค้ อ่ นขา้ งสบั สนและไมไ่ ดช้ ว่ ยใหเ้ ขา้ ใจมากขน้ึ อกี ทง้ั ในการทำ� งานจรงิ แพทย์
หรอื นกั จติ วทิ ยาสว่ นใหญก่ แ็ ทบไมเ่ คยใชค้ ำ� เหลา่ นเี้ ทา่ ไหร่ ในหนงั สอื เลม่ นจี้ งึ จะใชท้ บั ศพั ทว์ า่ cognition
หรือ cognitive function เพอ่ื ใหเ้ ขา้ ใจไดโ้ ดยง่าย
2. ความสำ� คัญของการตรวจ cognitive function
ปัจจุบันเป็นท่ีรู้กันว่าสมองไม่ได้ท�ำหน้าท่ีควบคุมแค่เร่ืองของการเคล่ือนไหวหรือประสาท
สัมผัสเท่าน้ัน แต่ยงั เป็นอวยั วะทคี่ วบคุมเรือ่ งภาษา ความคดิ ความจำ� อารมณ์ และรวมไปถงึ พฤติกรรม
ตา่ งๆ ของมนษุ ย์ ดงั นั้นความผดิ ปกตขิ องสมองจงึ อาจนำ� ไปส่กู ารเสื่อมถอยของ cognitive function
ปัญหาทางด้านอารมณ์ และพฤติกรรมทผ่ี ดิ ปกติได้
โรคทางด้านสมองจ�ำนวนมาก แสดงออกด้วยอาการทางด้าน cognition อย่างเดียวเป็น
หลัก โดยไม่มีอาการทางกายอ่ืนเลย เชน่ โรคอัลไซเมอร์ (Alzheimer’s disease) หรอื Wernicke’s
aphasia เป็นต้น ย่ิงกว่าน้ันการที่ประเทศไทยได้เข้าสู่การเป็นสังคมผู้สูงอายุ ภาวะสมองเส่ือมซึ่งเป็น
โรคท่ีพบได้บ่อย โดยการศึกษาในต่างประเทศพบความชุกมากถึงประมาณร้อยละ 5 ในผู้สูงอายุ การ
ศกึ ษาในประเทศไทยโดย ธรรมนาถ เจรญิ บญุ กพ็ บความชกุ ใกลเ้ คยี งกนั (Charernboon et al., 2010;
Prince and Jackson, 2009) ผปู้ ว่ ยจำ� นวนมากเหลา่ นจ้ี ำ� เปน็ ต้องได้รบั การตรวจรักษา ซึ่งแพทย์ท่ัวไป
ยอ่ มเปน็ ดา่ นหนา้ ทต่ี อ้ งประเมนิ ผปู้ ว่ ยเบอ้ื งตน้ และแพทยเ์ ฉพาะทางตา่ งๆ ไมว่ า่ จะเปน็ จติ แพทย์ แพทย์
อายรุ กรรมประสาท หรอื แพทย์อายุรกรรมผสู้ ูงอายุ ต้องเปน็ ผ้ทู ีต่ รวจวินจิ ฉัยตอ่ ไป ซง่ึ ความบกพรอ่ งใน
cognitive function เป็นเกณฑก์ ารวนิ ิจฉยั หลักของกลมุ่ ภาวะสมองเสื่อม ดังนัน้ หากแพทยไ์ ม่สามารถ
ตรวจ cognitive function ได้ จึงแทบเป็นไปไม่ได้ท่ีจะให้การวินิจฉัยหรือวินิจฉัยแยกโรคได้อย่าง
4 | การประเมนิ พุทธปิ ญั ญา Cognitive Assessment
ถูกต้อง ดังนั้นความรู้ความเข้าใจในเรื่องของ cognitive function และทักษะในการตรวจประเมิน
จึงเปน็ สิ่งที่จ�ำเปน็ อยา่ งยิง่ ในปัจจุบนั
3. ประเภทของ cognitive function
Cognitive function มีการแบง่ การท�ำงานเปน็ ประเภทย่อยๆ ได้หลากหลายแบบ ซ่ึงอาจ
แตกตา่ งกนั ไปในหนงั สอื แตล่ ะเลม่ อยา่ งไรกต็ ามในหนงั สอื เลม่ นจ้ี ะยดึ การแบง่ ใหใ้ กลเ้ คยี งกบั Diagnostic
and Statistical Manual of Mental Disorders, Fifth Edition (DSM-5; American Psychiatric
Association, 2013) ซึง่ แบง่ cognitive function ออกเปน็ 6 ประเภท ดงั นี้
1) สมาธิ (attention)
2) Executive function
3) ความจ�ำ (memory)
4) ภาษา (Language)
5) Constructional ability
6) Social cognition
โดยเนื้อหารายละเอียดของแตล่ ะระบบจะกลา่ วถงึ อย่างละเอยี ดในบทตอ่ ๆ ไป
4. Cognitive function ในผสู้ งู อายุ
ค�ำถามทพี่ บได้บอ่ ยคอื “จริงหรอื ไม่ ที่เมอื่ อายุมากขึ้นแล้ว cognitive function จะแย่ลง”
เม่ือพิจารณาถึงน�้ำหนักของสมอง จะพบว่าสมองของมนุษย์จะมีน้�ำหนักมากท่ีสุดเมื่ออายุประมาณ
20 ปี และหลงั จากนนั้ นำ้� หนกั จะคอ่ ยๆ ลดลง และลดลงอยา่ งชดั เจนหลงั อายุ 60 ปี หากเปรยี บเทยี บสมอง
ตอนอายุ 20 ปีกับ 85 ปีจะพบวา่ น�ำ้ หนักจะลดลงประมาณรอ้ ยละ 10-12 (Purves et al., 2012) ซึง่
ในแง่ของ cognitive function ในผู้สูงอายุก็มีการเปลี่ยนแปลงใกล้เคียงกับนำ�้ หนักที่ลดลง น่ันคือใน
ภาพรวมจะมกี ารทำ� งานลดลงเลก็ นอ้ ยประมาณรอ้ ยละ 10-20 เมอื่ เทยี บกบั ในวยั ผใู้ หญ่ รปู ที่ 1.1 แสดง
ค่าเฉล่ียคะแนน Mini–Mental State Examination (MMSE) ของคนท่ัวไปในแตล่ ะชว่ งอายุ จะพบวา่
ในช่วงอายุ 18-39 ปีมีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 29 คะแนน จากน้ันคะแนนจะลดลงเร่ือยๆ ในคนอายุ
75-79 ปีจะมีคะแนนเฉล่ียเท่ากับ 23 คะแนน และลดลงเหลือ 21 คะแนนเม่ืออายุมากกว่า 80 ปี
(Crum et al., 1993)
คะแนน Mini–Mental State Examination (MMSE) ของคนทั่วไปในแตละชวงอายุ จะ
พบวาในชว งอายุ 18-39 ปมีคะแนนเฉล่ียเทากับ 29 คะแนน จากนั้นคะแนนจะลดลงเรื่อย
ๆ ในคนอายุ 75-79 ปจะมีคะแนนเฉลย่ี เทากบั 23 คะแนน และลดลงเหลอื 21 คะแนนเมื่อ
อายุมากกวา 80 ป (Crum et al., 1993) บทท่ี 1 Cognition: ภาพรวมและเหตุผล | 5
30 29 คะแนน MMSE ในแตละชวงอายุ 23 21
28 29
26 25-39 28 28 28 27 75-79 >80
24
22 40-49 50-59 60-69 70-74
20
18 Normal controls
16
14
18 - 24
รปู ท่ี ร1ูป.1ท ่ี 1ค.1่าปคกาตปิคกะตแิคนะนแนMนinMi-inMi-eMnetanltaSltaStaeteExEaxmaminiantaiotinon(M(MMMSSEE)) ในแต่ละชว่ งอายุ
อายุ (ร(รูปปู สสรราา้งโงดโดยยใชใชข้ขอ ้อมมูลลู จจาากกกกาารรศศกึ ึกษษาาขขอองงCCrurummeettaal.l,.,11999933))
อย่างไรก็ตามหากแยกเปน็ cognitive domain ยอ่ ยๆ แล้วจะพบวา่ การท�ำงานไมไ่ ด้แย่ลง
ลใตนกัาทรษาุกณง(แดคทะย้วา่ีขลาน1องม.ขอ1งใจอนคยาํสงวาททรงาุกปุเ่ีcไมปรดoครกนาว)gู้ ต็ลนnาหากัมขiรtมษเออืiปvหณคงeลาำ� ะ่ยีกcศขfoนแพัuอgยแnทnงกปcค์iเ(tลtปวviivงาooน ขeมcnอcรaงo)ูbโfดgหcuunoยlรnaigอืใtcrนniคyvtiบi)าํetoiศใาvnนdงัพeดผoโทfดสู้้mาu นงูย(nvaอใociนาnเtชcยบioa่นยนุ าbnอนั้ งuยsดดใelนเีaาๆทmผrนyา่แู้สa)กเลูงnชบัใอวนtนหาจicผยะรsสู ุอืพemงู อบmอาeวาจamายจnุนกoะtั้นiาดrcyรดกี ทีเวท(ําา่คmงาควากeนานับmทมไหมจอี่oร�ำาไrือดยyทนุ่ีเปอ้ ็นย
ตาราองทาจ่ี 1จ.ะ1ด ีกcวoาgคnนitทivี่อeายfuุนnอcยtioตnารใานงผทสู้ ่ี ูง1อ.1ายสเุ รมุปอ่ื คเทวยีาบมกเปบั ลวี่ยยั นผแูใ้ หปญลง่ ของ cognitive function
ในผูสูงอายุ
Cognitive function เมื่อเปรยี บเทยี บกับวัยผูใ้ หญ่
แย่ลง เท่าเดิมหรอื ดีข้ึน
- ความเรว็ ในการคิด (mental speed) - Semanticบทmทeี่ 1mCogrnyit(ioknn:oภwาพleรวdมgแeล)ะเหตผุ ล
- การเรยี นรูส้ ่ิงใหม่ (new learning) และ - Language และ คำ� ศพั ท์ (vocabulary)
episodic memory - Basic attention and concentration
- Executive function
- Constructional ability (เสยี เฉพาะการทำ� งาน
ท่ซี ับซอ้ นเท่านน้ั )
(อ้างอิงขอ้ มูลจาก Murman, 2015)
6 | การประเมินพทุ ธปิ ญั ญา Cognitive Assessment
ส่วนเสริม
Crystallized vs fluid abilities
สองค�ำนี้เป็นค�ำศัพท์ที่มีการใช้กันอยู่บ้างกรณีที่พูดถึงเร่ือง cognitive function ท่ี
เปลี่ยนแปลงในผสู้ ูงอายุ โดยแตล่ ะค�ำมคี วามหมายดังน้ี
- Crystallized ability หมายถงึ ความสามารถหรอื ทกั ษะทม่ี กี ารสะสมมาเรอ่ื ยๆ ตงั้ แต่
ในอดีต ซ่ึงมักจะเป็นในเชิงของความรู้ เช่น ความรู้ในเรื่องท่ัวไป ความรู้เฉพาะด้าน (เช่น การ
แพทย์) ค�ำศัพท์ ทักษะในการจัดการสิ่งต่างๆ ที่เคยประสบมา เช่น การสัมภาษณ์ผู้ป่วย ซ่ึง
crystallized ability จะเปน็ ความสามารถทไี่ มล่ ดลงในผสู้ งู อายุ และอาจจะสงู กวา่ ในวยั ผใู้ หญด่ ว้ ยซำ้�
เชน่ จติ แพทยอ์ าวโุ สอาจจะมคี วามรอบรมู้ ากกวา่ จติ แพทยจ์ บใหม่ อกี ทงั้ รจู้ กั วธิ จี ดั การเวลาผปู้ ว่ ย
ไมร่ ่วมมือในการรกั ษาที่หลากหลายกวา่ จากประสบการณท์ ี่มากกวา่ เปน็ ตน้
- Fluid ability หมายถงึ ความสามารถในการรบั รู้ จดั การกบั ขอ้ มลู และแกป้ ญั หาทเี่ กดิ
ขนึ้ ใหม่ หรอื ในการทดสอบ ตวั อยา่ งของ fluid ability เชน่ การทดสอบจำ� สงิ่ ใหม่ (new learning
and recall memory) และ การทดสอบ executive function เปน็ ตน้ ซ่งึ fluid ability น้ีจะ
ลดลงเม่อื เข้าสูว่ ัยสูงอายุ
5. ควรตรวจ cognitive function เม่อื ไหร่
การตรวจ cognitive function ไมไ่ ดจ้ ดั อยใู่ นการตรวจรา่ งกายตามปกตทิ างการแพทย์ และ
ในชีวิตจริงแพทย์มักมีคนไข้เป็นจ�ำนวนมาก จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะตรวจ cognitive function ในคนไข้
ทกุ คน ดังน้นั ส่ิงส�ำคัญก็คือการท่ีแพทย์สามารถเลือกได้วา่ คนไข้รายใดท่ไี มจ่ �ำเปน็ ต้องตรวจ cognitive
function และรายใดจำ� เป็นต้องตรวจ และถ้าตรวจควรตรวจละเอยี ดแค่ไหน โดยขอ้ บง่ ชใ้ี นการตรวจ
cognitive function มีดงั ต่อไปนี้
1) ผปู้ ว่ ยมาดว้ ยอาการสำ� คัญทเี่ ป็น cognitive function
ข้อนี้เป็นข้อบ่งช้ีที่ตรงไปตรงมาท่ีสุด คือถ้าผู้ป่วยมาด้วยอาการส�ำคัญท่ีเป็น cognitive
function ชัดเจน เชน่ มาดว้ ยอาการหลงลืม คดิ ช้า หรือพูดไดแ้ ยล่ ง ผ้ปู ่วยกลุ่มน้จี ำ� เป็นต้องไดร้ บั การ
ตรวจ cognitive function อยา่ งครบถ้วน
2) มีหรือสงสัยว่ามโี รคเก่ยี วกบั สมอง
ผู้ป่วยท่ีเป็นโรคเก่ียวกับสมองหรือสงสัยว่าจะเป็น เช่น บาดเจ็บที่ศีรษะรุนแรง เนื้องอกใน
สมอง ติดเช้ือในสมอง หรือโรคหลอดเลือดสมอง ควรได้รับการตรวจประเมิน cognitive function
เบอื้ งต้นเสมอ เพราะโรคเหลา่ นี้อาจทำ� ใหเ้ กดิ ความบกพร่องของ cognitive function ได้ หากคนไข้
ไม่ได้รับการประเมิน คนไข้อาจจะออกจากโรงพยาบาลพร้อมกับอาการหลงลืม ปัญหาการใช้ภาษา
(aphasia) ปัญหาเรอ่ื งสมาธิ หรือการควบคุมอารมณ์ ทแ่ี พทยไ์ มเ่ คยรับรู้ ท�ำใหไ้ ม่ได้รบั การดแู ลรักษา
ใดๆ ซึง่ สง่ ผลต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย
บทท่ี 1 Cognition: ภาพรวมและเหตุผล | 7
3) โรคทางดา้ นจิตเวช
ผ้ปู ่วยท่ีสงสยั โรคทางดา้ นจติ เวชควรได้รับการตรวจประเมิน cognitive function เบ้อื งตน้
ทุกราย และควรตรวจเพ่ิมเติมเป็นพิเศษในผู้ท่ีลักษณะไม่ตรงไปตรงมากับโรคทางด้านจิตเวช เช่น
อาการเกิดขึ้นเรว็ (acute onset) อาการเปน็ มาไม่นาน อาการหลงผดิ (delusion) หรอื ประสาทหลอน
(hallucination) ท่ีเกิดในวัยเด็กหรือผู้สูงอายุ หรือมีอาการเห็นภาพหลอน (visual hallucination)
เป็นต้น ท้ังนี้เพราะโรคทางด้านสมองจ�ำนวนมากมีอาการเริ่มแรกเป็นปัญหาพฤติกรรมหรืออาการ
ทางจิตได้ คนไข้กลุ่มน้ีมักมาพบแพทย์ทั่วไปและถูกส่งต่อไปพบจิตแพทย์มากกว่าจะถูกส่งไปแผนก
อายุรกรรมประสาท
6. ประวัตทิ ส่ี �ำคญั ต่อการประเมิน cognitive function
ข้อมลู พนื้ ฐานส�ำคัญทค่ี วรได้กอ่ นการตรวจ cognitive function คอื อายุ ระดบั การศกึ ษา
และอาชพี (รวมถงึ อาชพี กอ่ นทจ่ี ะเกษยี ณ) ประวตั เิ รอื่ งอายมุ กั ไมม่ ปี ญั หาเพราะเปน็ สง่ิ ทผ่ี ตู้ รวจสว่ นใหญ่
จะถามหรอื ไมก่ ม็ รี ะบใุ นบตั รผปู้ ว่ ยอยแู่ ลว้ แตส่ ง่ิ ทห่ี ลายคนมกั จะไมไ่ ดถ้ ามคอื ระดบั การศกึ ษาและอาชพี
ทงั้ น้ี cognitive function เกือบทงั้ หมดจะมคี วามสมั พนั ธก์ บั ระดบั การศึกษาและอายุ โดยท่วั ไปผู้ที่มี
ระดับการศกึ ษานอ้ ยจะท�ำคะแนน cognition test ได้นอ้ ยกวา่ ระดับการศกึ ษาท่สี งู และผู้สงู อายุจะท�ำ
คะแนน cognitive test ไดน้ อ้ ยกวา่ วยั รนุ่ และวยั ผใู้ หญ่ ดงั นน้ั การแปลผลการตรวจตอ้ งค�ำนงึ ถงึ อายแุ ละ
การศึกษาร่วมด้วยเสมอ ประวัติในเรื่องของอาชีพก็มคี วามส�ำคญั เช่นกัน ยกตวั อย่างเช่น ครูสอนภาษา
ไทยท่อี ่านคำ� ว่า “เพชร” “ฤกษ”์ “พรหม” ไม่ถูก น้ันย่อมนา่ สงสยั ว่ามคี วามผดิ ปกติ มากกว่าชาวนาท่ี
ไมไ่ ดเ้ รียนหนงั สือ เปน็ ตน้
7. ล�ำดบั ในการตรวจ cognitive function
การตรวจ cognitive function ท่ีดีนนั้ ต้องตรวจไปตามล�ำดับ เรยี งจากการทำ� งานพืน้ ฐาน
ทส่ี ดุ ไปจนถงึ การท�ำงานทซ่ี บั ซอ้ น การตรวจ cognitive function จำ� เปน็ ตอ้ งทำ� ควบคไู่ ปกบั การสงั เกต
พฤติกรรมและอาการทางจิตเสมอ (ซ่ึงจะกล่าวถึงต่อไปในบทท่ี 2) โดยท่ัวไปแนะน�ำให้ท�ำการสังเกต
พฤติกรรมก่อน ในส่วนของ cognitive function ควรเริ่มจากการทำ� งานที่เป็นพ้ืนฐาน ได้แก่ ภาษา
(language) และ สมาธิ (attention) กอ่ น แลว้ จึงค่อยตรวจการท�ำงานอื่นที่ซับซ้อนกว่าตอ่ ไป (รปู ที่
1.2)
เหตผุ ลทค่ี วรตรวจเรียงไปตามล�ำดับเพราะหากผ้ปู ว่ ยมกี ารเสีย cognitive function ท่ีเปน็
พ้ืนฐาน เช่น ภาษา จะส่งผลให้การตรวจเกือบท้ังหมดที่ต้องใช้การพูดคุยนั้นเช่ือถือไม่ได้และยากที่จะ
แปลผล เชน่ เดยี วกนั ผปู้ ว่ ยทเ่ี สยี ในเรอื่ งของสมาธอิ ยา่ งมาก มกั จะทำ� การทดสอบอนื่ ๆ ไดค้ ะแนนนอ้ ยลง
ไปดว้ ยอันเป็นผลจากการไม่สามารถจดจอ่ กับการทดสอบได้
8 | การประเมนิ พทุ ธปิ ัญญา Cognitive Assessment 19
ซักประวตั ิ และตรวจรางกาย
• * รวมถึงการตรวจระบบประสาทดว ย
การสังเกตพฤติกรรมและอาการทางจติ
• ** ตรวจระดบั การรูส ึกตวั กอน
Cognitive function
• ตรวจ ภาษา กอน ตามดว ย สมาธิ
Cognitive function (ตอ )
• ตรวจ ความจาํ DPOTUSVDUJPOBMǰBCJMJUZ
และ executive function
• ตรวจ social cognition (กรณีท่สี งสัย)
รูปรูปทท่ี 1่ี .12.2ล าํ ดลับ�ำดขับั้นขตนั้ อตนอในนใกนากราตรรตวรจวจcocgongnitiitviveefufunnccttiioonn
การตรกวจารcตoรวgnจitciovgenfiutivnectfiuoncกtio็ไมnตกาไ็งมจต่ าา่กงกจารกตกราวรจตราวงจกรา่ งยกทาี่มยือทใมี่ หอื มใอหามจอ่ จาะจตจอะตงใอ้ ชงใชเ้ วลานาน
เวใลนากนาารนตใรนวกจาแรต่ใรนวกจาแรเตรใม่ิ นเรกยี านรเรรู้แิ่มนเระียนนำ� วร่าูแในหะ้ทนำ� ํากวาารใตหรทวําจกเบารอ้ื ตงตรว้นจทเุกบก้ือางรตทน�ำทงาุกนกไาปรกทอ่ํานงาเนหมือนตอนที่
ไปเรกาอฝนึกตเหรวมจือรน่างตกอานยทคี่เนรไาขฝ้ทกี่เตริ่มรวตจ้นรเราางตก้อายงตครนวไจขททุกี่เริ่มะบตนบเใรนารต่าองกงตายรวจนทเุกมร่ือะเบราบตใรนวรจาคงลก่อางยและแปลผล
จนไดเมอ้ ือ่ยเา่ รงาถตูกรตว้อจงคแลลอว้ งแเรลาะอแาปจลจผะลเลไดอื อกยตารงวถจูกตตามอแงแตล่ลวกั ษเรณาะออาจากจาะรเลขือองกผตูป้ ร่ววยจตสาำ�มหแรตบั ลผักู้ทษ่ชี ณำ� นะาญแลว้ การ
ส1อาว ตต0ามกนิรร-2วาวาิจ0รจจรฉถขดยั นcพอว้เoบายงจิ gทผือ้อาnกูปรีงะiกณตาtไวรiร็ไน้ยvาตดeแตรสขลอวfําอว้uไจหปมnแรcูไลcับลดotทะวผigoี่มายnูทnคีคงัi่ีชtสวุiณมําvรานักeคสมาใงาาfชญตuรแ้เถวรnแลลวพcละจาtิจวเiเปoพากพรรnาียียะณรงงใเตมานพ1รตินหอว0อ่ พนทจ-ไ2เิงัป่ีจศ0สcไะษือดoนใเเ้วหgพลา่าnกท่มมิ่ คiานีtเวตiกรvีใ้รมิ็ไนวeสดหินแง่ ้ขรตติfจ้อuือล่รฉมnไวะัยมลูcจบเแทtปบทiลoม่ีร้ืออะnะคี างตเุณจตมรมจินนควักะจา่พแใดแดิเลชูคศลวเวอ่ษยวะลนเอเแพพาะขลยีเิ่มไ้าะพรงงเตพยียลิมังงอะหเทอร่ีจียอืะดไใมแหล่แ้กะลามะรี
วธิ ตี กรวาจรหตรลวาจยวcธิ oี ทgnำ� ใitหivผ้ eเู้ รfม่ิ uตnรcวtจioใหnมใๆ่นหมนกั ังสสบั ือสเนลม ทนงั้ ้ีในนแี้ แนตะลนะำ� บวาท่ เอบาอ้ื จงจตะน้ ดใหูคอเ้ ลนอื ขกาวงธิ ลกี ะาเรอตียรดวจทส่ี นใจมา
แวิธลเกพีกาะยีารมรงไีวลติธ1ว่รีต-ันว2รยจวว้อทจิธนี่สหีสหนล�ำลใหาจังยร)มับวจาิธแเนีพตทเล่มียําะอ่ืงใหท1cำ�ผo-ไ2ูเgดรnว่ิมค้ iิธtลตiีสv่อรําeวงหดจdรแีใoัหบลmมแว้ ต aจๆลiึงnะลมอ(ักเงชcสฝo่นับึกgสใanชนtitว้tieธิทvnีกe้ังtานiรo้ีแdตnนoรmะวอนจาaแจําinบเวลาบือเ(อบกเื่นชื้อกนตาง่อตรaตไนtปรtใวeหจnเลtdiือoigกnit span กบั
อาจเลอื กการตรวจ digit span กับ การไลวันยอนหลัง) จนเม่ือทําไดคลองดีแลว จึงลองฝก
ใชว ิธกี ารตรวจแบบอ่ืนตอไป
บทท่ี 1 Cognition: ภาพรวมและเหตุผล
บทที่ 1 Cognition: ภาพรวมและเหตผุ ล | 9
เอกสารอ้างองิ
American Psychiatric Association (2013). Diagnostic and Statistical Manual of Mental
Disorders, Fifth Edition (DSM-5®). Washington, D.C.: American Psychiatric
Publishing.
Charernboon, T., Phanasathit, M., Tangwongchai, S., Hemrungrojn, S. and Worakul,
P. (2010). Depression and dementia among members of 15 elderly clubs in
Bangkok. Thammasat Medical Journal; 10(4):428-36.
Crum, R.M., Anthony, J.C., Bassett, S.S. and Folstein, M.F. (1993). Population-based norms
for the Mini-Mental State Examination by age and educational level. JAMA,
269(18), pp. 2386-2391.
Murman, D. (2015). The impact of age on cognition. Seminars in Hearing, 36(03),
pp. 111-121.
Prince, M. and Jackson, J. (2009). Alzheimer’s disease international: world Alzheimer
report 2009. London: Alzheimer’s Disease International.
Purves, D. (2013). Principles of Cognitive Neuroscience. Sunderland: Sinauer Associates
Inc.
Purves, D., Augustine, G., Fitzpatrick, D., Hall, W., LaMantia, A. and White, L. (2012).
Neuroscience. Sunderland: Sinauer Associates Inc.
บทที่ 2
การตรวจสภาพจิต
(Mental State Examination)
บทท่ี 2 21
การตบรทวทจี่ ส2ภาพจติ
(Menกtาaรlตsรtวaจteสภeาxพamจิตination)
_______________(_M__e_n__t_a_l_S_t_a__te__E__x_a_m__i_n_a_t_io__n_)__________________
การตกราวรจตสรภวาจพสจภิตาเพปจนิตกเประ็นบกวรนะกบาวรนตกราวรจตทร่ีสวํจาคทัญ่ีสำ�สคําัญหรสับ�ำหผรูปับวผยู้ปท่วีมยาทดี่มวยาดป้วญยหปาัญพหฤาตพฤติกรรม
อการกรมารอทากงจารติ ทหารงอืจปิตญั หหราือcปoญgหnาitivceogfnuinticvteiofnunโดcยtiทoว่ัnไปโดแยลทว้ กั่วาไปรตแรลววจกสาภราตพรจวจติ สจะภสาาพมจาิตรจถะแยกไดเ้ ปน็
2สาสมว่ านรถดแังยนกี้ ไดเปน 2 สว น ดงั นี้
ทแfตรcu oะลารnงวหะgcจnจญวtติ ใiาitานoโiงตvดnกกeิยกาาโกสรเารดสสังราพยมเfรงัสขuใูดเอสังนปกnคังเตบแcกซเุยกtพลทต่ึงกiตoะขฤนพับพบn้อตี้จฤผรมฤกิ ะตูปรูตลรกิกยวรเใิกลสานรมยร่ายมรแสแรวถมอล่วมลถงึ แนะแะึงเซลอฉนกลญ่ึงาพะ้ีมระขากออาอักอตาะบาาไมิรดอกกแโทูล้จาดาานาใการรยวนงกาททใจคสรกนาาิติดหวางบงโแนรรจดจทลอืสิตนิยตนะอัมเี้มสเปสาี้จภปงัักกิ่ง็นะเานไทขาษกสดสรป่ีค่ิงลณจแิ่งแทวาาทส์แรล่ีตวกดี่ลตตะถ้อกงะอรบึงงทากวงกรทรส่ีจาทรรส�ำ�ำรใยํอารันมคสาร่บวัญภักงยวมเแาาถกเมไทนรษึงปตไส่าวเปณรกฉังนคะกับเพแัน้ิดกหับกลาแตวะากะ่าลพรอากงะทฤารกาสตกดทราิ่งิกาสสรดทรรพอังสหร่ีคเบูดอกมรวคบตือแรcุยลoกะgับอnผาiู้ปtกiv่วาeยร
อาการแสดงที่สาํ คญั เทานน้ั
1. ความส�ำคัญ
1 ความกสาราํ สคงั ัญเกตพฤตกิ รรมและอาการทางจิตนน้ั เปน็ การตรวจทส่ี �ำคัญมาก เนอ่ื งจาก
พ ฤตกิ กรารรมสแ1ังล)เ กะอตโราพคกฤทาตารกิงทดราา้รงนมจจแติ ติลโดเะวยอชตาแกรลงาะรเโชทรน่คาทงรจาะติงดสนบั มัน้ กอเาปงรจน รำ� กตู้นาวัวรทนตเี่มรปาวลกจยี่ ทเนกสี่ แณําปคฑลญัก์ งามใรนาวภกนิ าจิเวนฉะื่อยั dงนจeนั้ าlไiกrดiuม้ mาจากกากราเหรสน็ งัภเกาพต
หลอน1)(vโiรsuคaทlาhงดaาllนuจciิตnเaวtชioแnล)ะใโนรคLทeาwงสyมbอoงdจyํานdวeนmมeาnกtiเaกณหรฑือกาpรsวyินcิhจฉoัยmนoั้นtoไดrมrาeจtaาrกdation ใน
ผกปู้ารว่ สยังโรเกคตซพมึ เฤศตริก้ารเรปม็นแตล้นะอาการทางจิตโดยตรง เชน ระดับการรูตัวที่เปล่ียนแปลงในภาวะ
บทที่ 2 การตรวจสภาพจติ
14 | การประเมนิ พุทธปิ ญั ญา Cognitive Assessment
2) ความผิดปกติของพฤติกรรมและอาการทางจิตอาจมีผลต่อการแปลผล cognitive
function โดยความผดิ ปกติท่รี ุนแรงของพฤตกิ รรมและอาการทางจติ อาจมีผลให้ cognitive function
ดูแย่กว่าท่ีควรจะเป็น เช่น ผู้ป่วยท่ีระดับการรู้ตัวผิดปกติ จะท�ำ cognitive test ได้น้อยลงในเกือบ
ทุกด้าน ผู้ป่วยท่ีหวาดระแวงหรือมีหูแว่วอย่างมากก็อาจท�ำคะแนนได้น้อยกว่าท่ีควรจะเป็นเน่ืองจาก
ระแวงจนไม่มีสมาธิหรอื ได้ยนิ เสยี งหูแว่วรบกวนระหวา่ งการตรวจ เป็นตน้
2. การสังเกตพฤติกรรมและอาการทางจิต
การสังเกตพฤติกรรมและอาการทางจติ มหี วั ขอ้ ทตี่ รวจดังตอ่ ไปนี้
1. ระดบั การรู้ตัว (level of consciousness)
2. ลกั ษณะทวั่ ไป (general appearance)
3. การเคลื่อนไหว (motor activity)
4. อารมณ์ (mood and affect)
5. ความคิด (thought)
6. การรบั รู้ (perception)
(การตรวจสภาพจิตในหนังสอื บางเล่ม อาจจะรวมเรอ่ื งของภาษาอยใู่ นการสงั เกตพฤตกิ รรม
และอาการทางจิต แต่ในหนังสือเล่มน้ี การทดสอบด้านภาษาจะกล่าวถึงอยู่ในส่วนของการทดสอบ
cognitive function สามารถอา่ นเพ่มิ เติมได้ในบทท่ี 3)
2.1 ระดับการรตู้ วั (level of consciousness)
ระดับการรู้ตัวเป็นส่ิงแรกที่ควรตรวจในการตรวจสภาพจิต การท�ำงานนี้ของสมองเป็นสิ่งท่ี
บ่งบอกความสามารถในการตระหนักรู้ถึงสิ่งท่ีเกิดข้ึนกับตนเองและเช่ือมโยงกับสิ่งแวดล้อม ระดับการ
ร้ตู วั ทผ่ี ิดปกตมิ กั น�ำไปสู่การเสีย cognitive function อืน่ ๆ ตามมา ดังนั้นจงึ จำ� เป็นตอ้ งประเมินระดับ
การรตู้ ัวก่อนและเป็นขอ้ มลู ส�ำคญั ในการวนิ จิ ฉยั แยกโรคทางกายออกจากโรคทางจิตเวช
ความผดิ ปกตขิ องการรตู้ วั เกดิ จากโรคทางกาย (organic cause) เทา่ นนั้ โรคทางจิตเวช
ทง้ั หมดจะไมม่ คี วามผดิ ปกตขิ องระดบั การรตู้ วั ดงั นนั้ หากตรวจพบความผดิ ปกตขิ องการรตู้ วั ตอ้ ง
นกึ ถงึ โรคทางกายเสมอ
2.1.1 ศัพทท์ ใ่ี ชใ้ นการประเมินระดบั การรตู้ วั (terminology)
ระดบั การรตู้ วั มศี พั ทท์ ใี่ ชบ้ รรยายจำ� นวนมาก และในหนงั สอื แตล่ ะเลม่ อาจจะใชไ้ มเ่ หมอื น
กนั ในหนงั สือเลม่ นจี้ ะเสนอวธิ แี บ่งระดบั การรตู้ ัวเปน็ 5 ระดบั โดยไล่จากรตู้ ัวดไี ปจนถึงไม่รสู้ ึกตัว ดังน้ี
(Strub and Black, 2000)
1) รู้สึกตัวดี (alertness) หมายถึงผู้ป่วยรู้สึกตัวดี สามารถรับรู้ส่ิงกระตุ้น
ภายนอกไดอ้ ย่างปกตไิ มต่ า่ งจากผู้ตรวจ
บทที่ 2 การตรวจสภาพจิต (Mental state examination) | 15
2) Lethargy (ศัพท์อ่ืนๆ ท่ีใกล้เคียงได้แก่ drowsy) หมายถึงภาวะที่ผู้ป่วย
ไม่ไดร้ ูส้ กึ ตวั เตม็ ท่ี และจะหลับเมื่อไมม่ กี ารกระตนุ้ จากภายนอก ลักษณะท่พี บในการตรวจคนไข้กลุ่มนี้
คอื ผูป้ ่วยจะนอนหลับหรือสะลมึ สะลือ แต่สามารถตนื่ ขน้ึ มาได้เมือ่ ปลุก เม่ือตืน่ ผปู้ ่วยมกั มองและสบตา
ผตู้ รวจได้ แตจ่ ะทำ� ไดไ้ มน่ านกม็ กั จะตาลอย หรอื มองไปทางอน่ื ในการพดู คยุ ผปู้ ว่ ยจะตอบเปน็ ประโยค
สั้นๆ ได้ เช่น หากถามว่า “วันน้ีปวดไหม” “กินข้าวได้รึเปล่า” “บ้านอยู่ที่ไหน” ผู้ป่วยจะตอบได้
แตผ่ ปู้ ว่ ยมักจะไม่สามารถพูดคยุ เรอ่ื งราวตอ่ เนอ่ื งได้นานๆ โดยมักจะเปลี่ยนหวั ขอ้ หรอื หยดุ พูดไป และ
เม่ือไม่มีสิ่งกระตุ้น เช่น ผู้ตรวจหยุดถามไปสักพักผู้ป่วยก็จะผล็อยหลับไปอีก (* ซ่ึงสิ่งน้ีไม่พบในคนที่
รู้สึกตัวดี เพราะคนปกติเม่ือถูกปลุกขึ้นมาพูดคุยได้สักระยะแล้ว จะไม่กลับไปหลับได้ภายในไม่ก่ีนาที)
ในภาวะนผ้ี ู้ปว่ ยมักทำ� cognitive function ได้น้อยกว่าที่ควรจะเปน็
3) Obtundation เป็นภาวะที่อยู่ระหว่าง lethargy และ stupor ผู้ป่วย
ยงั พอปลกุ ตน่ื ไดอ้ ยู่ แตผ่ ปู้ ว่ ยจะดสู บั สน การถามตอบโดยทว่ั ไปมกั จะทำ� ไดส้ น้ั ๆ เปน็ คำ� ๆ เชน่ “ใช/่ ไมใ่ ช”่
“ปวด/ไมป่ วด” คำ� ตอบอาจจะถูกบ้างผิดบ้าง ผูป้ ว่ ยต้องการการกระต้นุ ซ้ำ� ๆ เพือ่ ใหส้ ามารถพดู คุยหรอื
ทำ� ตามคำ� สงั่ งา่ ยๆ การตรวจ cognitive function ในภาวะนี้ ผปู้ ว่ ยมกั จะทำ� การทดสอบแทบจะไมไ่ ดเ้ ลย
4) Stupor (หรือ semicoma) ในภาวะน้ตี ้องกระตนุ้ อยา่ งมากผูป้ ่วยถึงจะมี
การตอบสนอง เช่น ท�ำให้เจ็บ หรือเขย่าตัวพร้อมพูดเสียงดัง ผู้ป่วยท�ำได้เพียงส่งเสียงร้องโดยไม่มี
ความหมาย หรือขยับแขนขาไปมาเทา่ นนั้
5) Coma ผปู้ ว่ ยไม่มกี ารตอบสนองตอ่ ส่งิ กระตุน้ ภายนอก
* หนังสือหลายเล่มอาจแบง่ ระดับการร้ตู วั ออกเปน็ 4 ระดบั ไดแ้ ก่ 1) alertness 2) drowsiness
หรือ clouding of consciousness (ซ่งึ คือการรวม lethargy และ obtundation เขา้ ด้วยกัน)
3) stupor และ 4) coma
ในการประเมินระดับการรู้สึกตัวศัพท์ที่ใช้เหล่าน้ีเป็นตัวช่วยบรรยายลักษณะการรู้ตัวของ
ผปู้ ว่ ย เพอ่ื ใหบ้ คุ ลากรทางการแพทยส์ ามารถบอกอาการผปู้ ว่ ยไดอ้ ยา่ งรวดเรว็ อยา่ งไรกต็ ามความเขา้ ใจ
ท่ีตรงกันว่าศัพท์แต่ละค�ำที่ใช้หมายถึงอะไรเป็นส่ิงท่ีจ�ำเป็น หากผู้ตรวจไม่แน่ใจว่าควรใช้ศัพท์ว่าอะไร
การบรรยายลกั ษณะอาการของผ้ปู ว่ ยเป็นภาษาธรรมดา เช่น “เมอ่ื ไปตรวจ ผู้ป่วยหลับอยู่ แตส่ ามารถ
ปลุกดว้ ยการเรยี กพรอ้ มเขย่าแขน สามารถพดู คยุ สน้ั ๆ ได้ แต่ไมค่ อ่ ยสบตา มักมองไปมารอบๆ และเมือ่
หยุดสมั ภาษณ์ก็หลับ” อาจดีกว่าการใช้ศัพท์เทคนคิ แต่ใชผ้ ดิ ความหมาย
ระดับการรู้ตัว ฟังแล้วเหมือนเป็นสิ่งท่ีประเมินง่าย ใครๆ ก็ท�ำได้ แต่จากประสบการณ์
ในการสอนนกั ศกึ ษาแพทยแ์ ละแพทยป์ ระจ�ำบา้ นมาหลายปี พบวา่ ไมใ่ ชเ่ รอ่ื งงา่ ยทจ่ี ะประเมนิ ใหถ้ กู ตอ้ ง
ระดบั การรตู้ วั ทผี่ ดิ ปกตไิ มม่ าก เชน่ lethargy หรอื obtundation มกั ถกู ประเมนิ ผดิ วา่ ผปู้ ว่ ยรสู้ กึ ตวั ปกติ
โดยเฉพาะเม่ือผตู้ รวจไมไ่ ด้ระมัดระวงั หรือขาดประสบการณ์ในการตรวจ
16 | การประเมินพุทธปิ ัญญา Cognitive Assessment
ระดับการรสู้ กึ ตัวทก่ี ลา่ วไปข้างตน้ เปน็ การบรรยายเชิงคุณภาพ (qualitative) อย่างไรกต็ าม
ในกรณที กี่ ารตดิ ตามระดบั การรตู้ วั เปน็ สง่ิ ทสี่ �ำคญั เชน่ ในการตดิ ตามอาการผปู้ ว่ ยทบ่ี าดเจบ็ ทสี่ มอง การ
บรรยายเชงิ คณุ ภาพนนั้ อาจจะหยาบเกนิ ไป และไมไ่ วพอกบั การเปลยี่ นแปลงอาการของผปู้ ว่ ย ในกรณนี ี้
ควรใชก้ ารวัดการรู้ตวั ทีเ่ ป็นเชิงปริมาณจะเป็นสิง่ ทเี่ หมาะสมกวา่ ในตารางท่ี 2.1 แสดงการประเมินการ
รตู้ ัวด้วย Glasgow Coma Scale (Jennett and Teasdale, 1984) ซึ่งเป็นแบบประเมนิ ทีไ่ ดร้ บั ความ
นิยมมากท่สี ดุ อนั หนึ่ง วิธีการประเมนิ ใกล้เคยี งกบั สิ่งทีบ่ รรยายไว้ขา้ งตน้ แตจ่ ุดเด่นคอื มีการให้คะแนน
ในแตล่ ะชนดิ ของการประเมนิ ทำ� ใหส้ ามารถรายงานเปน็ คะแนนได้ โดยการรายงานผลอาจจะเขยี นยอ่ ๆ
เปน็ EiViMi เชน่ E4V5M5 หมายถึง การลืมตาได้ 4 คะแนน การพูดได้ 5 คะแนน และการเคล่อื นไหว
ได้ 5 คะแนน เปน็ ตน้
ตารางท่ี 2.1 Glasgow Coma Scale
ชนิดการประเมนิ การตอบสนอง คะแนน
การลืมตา ลืมตาไดเ้ องกอ่ นกระตนุ้ 4
(Eye opening: E) ลมื ตาดว้ ยการพดู 3
ลืมตาเม่อื กระตุ้นความเจบ็ (กดที่ปลายน้วิ ) 2
การพดู ไมม่ ีการตอบสนองใดๆ 1
(Verbal response: V) พดู รเู้ ร่อื ง orientation ปกติ 5
พดู ส่อื สารพอได้ แตส่ ับสน 4
การเคลือ่ นไหว พดู ไดเ้ ป็นคำ� ๆ 3
(Motor response: M) ส่งเสยี งครวญครางไม่เป็นภาษา 2
ไมม่ กี ารตอบสนองใดๆ 1
ท�ำตามคำ� สัง่ ได้ 6
ตอบสนองตอ่ การทำ� ให้เจ็บถูกตามต�ำแหน่ง เช่น 5
เอามอื ปดั ต�ำแหน่งท่ีเจ็บได้
ตอบสนองตอ่ การท�ำให้เจบ็ ด้วยการขยบั หนี เชน่ 4
ขยับแขนหนี
แขนขางอเข้าผิดปกติ (abnormal flexion, 3
decorticate)
แขนเหยยี ดผดิ ปกติ (extends, decerebrate) 2
ไม่มกี ารตอบสนอง 1
บทท่ี 2 การตรวจสภาพจติ (Mental state examination) | 17
2.2 ลกั ษณะท่ัวไป (general appearance)
การบรรยายลกั ษณะทัว่ ไปมกั ประกอบไปดว้ ยหวั ข้อดงั น้ี
1) ขอ้ มูลพน้ื ฐาน ได้แก่ เพศ เชอ้ื ชาติ อายุ และรูปรา่ งหน้าตา ตัวอยา่ งการเขียน เชน่
“เป็นผปู้ ่วยชายไทย วยั ผ้ใู หญ่ ไว้หนวด ตัวใหญ่ คอ่ นขา้ งทว้ ม” เป็นตน้
2) ความสะอาดและการแตง่ กาย ไดแ้ ก่ ความสะอาดของรา่ งกาย กลน่ิ ความเหมาะสม
ของเคร่ืองแต่งกาย ตัวอย่างการบรรยายเช่น “ผู้ป่วยผมมัน มีกล่ินตัวแรง เส้ือผ้าสกปรก มีรอยเปื้อน
จำ� นวนมาก” เป็นตน้
* ในผ้ปู ว่ ยท่ีมภี าวะ neglect อาจจะพบความผดิ ปกตไิ ด้ เชน่ ผปู้ ่วยอาจจะโกนหนวด
หรอื ท�ำความสะอาดร่างกายเพยี งข้างเดยี ว หรอื สนใจความเรยี บร้อยของการแต่งตัวแคด่ ้านเดยี ว
3) ทา่ ทางและปฏสิ มั พนั ธ์ ไดแ้ ก่ การสบตา และทา่ ทางทใ่ี ช้ ตวั อยา่ งการบรรยาย เชน่
“ผู้ปว่ ยทา่ ทางเรียบรอ้ ย สบตาดี ถามตอบสภุ าพ ให้ความรว่ มมือด”ี เป็นต้น
การบรรยายลักษณะทั่วไป ควรเขยี นไปตามทเ่ี หน็ และอธิบายโดยละเอียดโดยเฉพาะถา้ เห็น
สงิ่ ทน่ี า่ จะผดิ ปกติ การเขยี นไมจ่ �ำเปน็ ตอ้ งใชศ้ พั ทเ์ ทคนคิ มาก โดยเฉพาะถา้ ไมแ่ มน่ ย�ำในการใชศ้ พั ท์ ควร
เขยี นบรรยายเป็นคำ� พูดจะมีประโยชน์มากกว่า
ลักษณะท่ัวไปที่บรรยายได้ดีจะให้ข้อมูลท่ีมีประโยชน์ทางคลินิกอย่างมาก เช่น หากผู้ป่วย
แตง่ กายดว้ ยเส้อื ผา้ สีฉูดฉาด ใสส่ ร้อยคอหลายเสน้ แหวนหลายวง ต้มุ หูขนาดใหญ่ อาจท�ำให้นกึ ถงึ ว่า
ผู้ป่วยมีอาการแมเนีย (mania) หรือผู้ป่วยเข้ามาด้วยท่าทางระแวงผู้ตรวจ ไม่ค่อยสบตา ชอบเหลือบ
ตามองรอบๆ บางครั้งท�ำท่าเหมือนหยุดฟังเสียงอะไรสักอย่างขณะสมั ภาษณ์ ลักษณะแบบน้คี วรสงสยั
ว่าผูป้ ่วยมีอาการหวาดระแวงและหูแวว่ เปน็ ตน้
2.3 การเคลือ่ นไหว (motor activity)
Motor activity หรอื ในหนงั สอื บางเลม่ อาจใชค้ ำ� วา่ psychomotor หมายถงึ การเคลอ่ื นไหว
รา่ งกาย โดยส่งิ ทีป่ ระเมินหลักๆ มี 2 อยา่ งไดแ้ ก่
1) ระดับของการเคลอื่ นไหวโดยรวม (level of general activity) ซึ่งมีไดต้ ั้งแต่
มีการขยบั ตัวนอ้ ยกว่าปกติ (psychomotor retardation) การเคลื่อนไหวช้ากว่าปกติ (bradykinesia)
ไปจนถึงมีการเคล่ือนไหวมากกว่าปกติ เช่น กระสับกระส่าย (agitation) หรือพฤติกรรมก้าวร้าว
(aggression) เป็นตน้
2) การเคลอื่ นไหวหรอื ทา่ ทางทผ่ี ดิ ปกติ (abnormal movement or posturing)
เชน่ tics, มอื สน่ั (tremor), chorea หรอื การคา้ งผดิ ปกตใิ นทา่ ใดทา่ หนง่ึ นานๆ (catatonic posturing)
เป็นต้น
18 | การประเมินพทุ ธปิ ญั ญา Cognitive Assessment
2.4 อารมณ์ (mood and affect)
ในเร่อื งของอารมณ์ประเดน็ ส�ำคัญที่ต้องประเมินมีดังตอ่ ไปนี้
1) Mood (อารมณ์) เป็นความรู้สึกท่ีผู้ป่วยเป็นคนบอกออกมา ในภาษาอังกฤษ
mood จะหมายถงึ อารมณ์ทเ่ี กดิ ขึน้ ต่อเนื่องยาวนาน หรือเปน็ ความรูส้ ึกทีเ่ ป็นพ้ืนฐาน (baseline) ใน
แตล่ ะวนั ของผปู้ ่วย ตัวอย่างของคำ� ศัพท์ท่ใี ช้บ่อยในเรอื่ งอารมณ์ ไดแ้ ก่ อารมณป์ กติ (euthymia) เศรา้
(depressed) อารมณเ์ บิกบานมีความสขุ กว่าปกติ (elevated) อารมณ์ดีครื้นเครงผดิ ปกติ (euphoria)
และ กงั วล (anxious) เป็นต้น
* ทงั้ นส้ี ิ่งที่ต้องระวังคอื mood นัน้ หมายถงึ ความรูส้ กึ ทเี่ กิดขึ้นยาวนานเปน็ สว่ นใหญ่
ของวัน ผู้ตรวจหลายคนระบุความรู้สึก (feeling) ท่ีเกิดขึ้นช่ัวคราวขณะสัมภาษณ์ว่าเป็น mood ซ่ึง
อาจจะไมถ่ กู ตอ้ ง เชน่ ผปู้ ว่ ยมอี ารมณท์ เี่ ปน็ ปกตมิ าตลอดสองอาทติ ยท์ ผ่ี า่ นมา ไมไ่ ดเ้ ศรา้ อะไร แตใ่ นการ
สมั ภาษณผ์ ู้ตรวจเกิดไปถามเกย่ี วกบั บิดาท่เี สยี ชวี ิต ผู้ป่วยเลา่ ไปสกั พักแล้วรอ้ งไห้ แลว้ ผตู้ รวจไประบุวา่
mood เปน็ เศรา้ (depressed) ซงึ่ ไม่ถกู ต้อง ทถ่ี กู ต้อง mood คือ euthymia ในกรณีนี้หากต้องการ
บรรยายอารมณข์ ณะสมั ภาษณ์ ควรเขยี นว่า “ขณะสมั ภาษณ์เรือ่ งบดิ า ผ้ปู ่วยร้องไห้” จะเหมาะสมกวา่
2) Affect (การแสดงออกทางอารมณ)์ ในหนังสอื บางเลม่ อาจใช้ค�ำวา่ emotional
status หมายถงึ อารมณ์ทผี่ ูป้ ว่ ยแสดงออกมา ไม่วา่ จะทางสีหนา้ น้ำ� เสียง หรือภาษากาย และผตู้ รวจ
เป็นผู้สังเกต สิ่งทคี่ วรบรรยายแบง่ ยอ่ ยเป็นดงั น้ี
● ลักษณะของอารมณ์ (quality) เช่น อารมณ์ปกติ (euthymia) เศร้า
(depressed) อารมณ์ดีครน้ื เครงผิดปกติ (euphoria) โกรธ (anger) หรือ กังวล (anxious) เป็นต้น
● ระดบั ของการแสดงออกของอารมณ์ (quantity) หมายถงึ ระดับของอารมณ์
ที่แสดงออกมาว่ามากน้อยแค่ไหน ตัวอย่างของความผิดปกติท่ีพบบ่อย ได้แก่ การแสดงออกน้อยกว่า
ปกตหิ รือสหี นา้ เรยี บเฉย-ไรอ้ ารมณ์ (blunted affect) ซงึ่ พบได้ในหลายโรคทางประสาทจิตเวชศาสตร์
เช่น โรคจติ เภท (schizophrenia) หรือ โรคพาร์กนิ สนั (Parkinson’s disease)
● ความเหมาะสม (appropriateness) หมายถึงความเหมาะสมของอารมณ์
ที่แสดงออกเม่ือพิจารณาจากบริบทท่ีก�ำลังพูดถึง เช่น ผู้ป่วยหัวเราะแปลกๆ ในขณะท่ีก�ำลังเล่าเร่ือง
มารดาที่เสียชีวิต (การแสดงออกท่ีไม่เหมาะสมเรียกว่า inappropriate affect) หรือผู้ป่วยเล่าเรื่อง
ทั่วๆ ไปแล้วหัวเราะอย่างมากแบบหยุดไมไ่ ด้ เปน็ ต้น ซง่ึ การแสดงอารมณท์ ไี่ ม่เข้ากับสถานการณ์พบได้
ในโรคจติ เวช เชน่ โรคจติ เภท และพบได้ในโรคทเ่ี กิดจากความผดิ ปกตขิ องสมอง เชน่ pseudobulbar
palsy เป็นต้น
* ท้ังนี้การแสดงอารมณ์น้อยกว่าบริบทท่ีเกิดจาก blunted affect ไม่จัดว่าเป็น
inappropriate affect แตจ่ ดั อยใู่ นเรอื่ งของระดบั ของการแสดงออกของอารมณ์ (Andreason, 1984a)
บทที่ 2 การตรวจสภาพจิต (Mental state examination) | 19
2.5 ความคิด (thought)
หมายถงึ รูปแบบและเนื้อหาความคิดของผปู้ ่วย โดยมปี ระเดน็ ส�ำคัญๆ ทตี่ อ้ งประเมนิ ดงั นี้
1) กระแสและรปู แบบความคิด (stream and form of thought) โดยสง่ิ ท่สี นใจ
ได้แก่ ความเร็วและปริมาณของการคิด ตัวอย่างของความผิดปกติท่ีพบ ได้แก่ ตอบช้า (increased
latency of response) ตอบนอ้ ยแบบถามค�ำตอบคำ� (poverty of speech) หรอื ความคิดแลน่ เรว็
มาก (flight of idea) เปน็ ต้น
2) ความต่อเนื่องของความคิด (continuity of thought) ตัวอย่างของความ
ผิดปกติที่พบได้บ่อย เช่น ตอบไม่ตรงค�ำถาม (irrelevant) พูดอ้อมค้อมไปมากว่าจะเข้าประเด็น
(circumstantiality) หรอื พดู เปลยี่ นเรอื่ งไปเรอ่ื ยๆ (loosening of association or derailment) เปน็ ตน้
3) เนอ้ื หาความคดิ (thought content) ความผดิ ปกตทิ ส่ี ำ� คญั ไดแ้ ก่ อาการหลงผดิ
(delusion) หมายถึงความเชื่อท่ีผิดที่ไม่เปล่ียนแปลงแม้จะไม่มีหลักฐานสนับสนุนความเชื่อน้ัน หรือมี
หลกั ฐานแยง้ กต็ าม โดยประเภทของอาการหลงผิดที่พบได้บอ่ ย ได้แก่
● Persecutory delusion คอื ความคดิ หลงผดิ ทเ่ี ชอื่ วา่ มคี นประสงคร์ า้ ยตอ่ ตนเอง
ในทางใดทางหนง่ึ เช่น คนข้างบ้านจอ้ งจะทำ� ร้าย หรือมคี นคอยสะกดรอยตาม
● Grandiose delusion คอื เชอ่ื วา่ ตนเปน็ คนพเิ ศษหรอื มคี วามสามารถพเิ ศษ เชน่
เปน็ พระมหากษตั รยิ ์ในอดตี
● Delusion of infidelity (or delusion of jealousy) คอื เชอ่ื วา่ คขู่ องตนนอกใจ
หรอื มีความสัมพนั ธก์ ับคนอน่ื
● Delusion of reference คือเช่ือว่าเหตุการณ์ภายนอกหรือพฤติกรรมของคน
รอบตวั กำ� ลังส่อื ถึงตวั เอง เชน่ ผู้ปว่ ยบอกว่าผ้ปู ระกาศข่าวในโทรทศั นก์ ำ� ลงั พดู เร่อื งของตนเองอยู่ หรือ
ผ้ปู ว่ ยเห็นเพ่ือนในท่ที �ำงานนั่งคยุ กันก็เชอื่ วา่ เพ่ือนกำ� ลังพูดเรือ่ งของตนเองอยู่
● Bizarre delusion คือความเช่ือแปลกประหลาดที่เห็นได้ชัดเจนว่าไม่เป็นจริง
เช่น มมี นษุ ยต์ า่ งดาวมาแอบฝังชิปตดิ ตามไว้ในสมอง
ส่วนเน้ือหาความคิดที่ผิดปกติอ่ืนๆ ได้แก่ อาการย้�ำคิด (obsession) ความคิดหมกมุ่นกับ
บางเรอ่ื ง (preoccupation) และความคดิ ฆา่ ตัวตาย (suicidal idea) เปน็ ต้น
* ในเร่ืองของความคิด หนังสือบางเล่มอาจจัดเรื่องกระแสและความต่อเนื่องของความคิด
อยู่ในการตรวจสภาพจิตส่วนของภาษาได้ เพราะความคิดของคนเรานั้นส่วนใหญ่ก็แสดงออกด้วยการ
พดู จงึ ไมแ่ ปลกทบ่ี างแนวคดิ อาจเขยี นอาการ irrelevant, poverty of speech หรอื loosening of
association อยใู่ นการตรวจด้านภาษา
20 | การประเมนิ พทุ ธิปัญญา Cognitive Assessment
ข้อควรรู้
ส่งิ จำ� เป็นทีต่ อ้ งแยกให้ไดค้ ือ loosening of association กับ incoherence
ในประสบการณ์ของผู้เขียน เคยได้รับผู้ป่วยท่ีส่งมาจากห้องฉุกเฉินด้วยอาการส�ำคัญคือ
“พดู ไมร่ เู้ รอื่ ง สงสยั โรคจติ เภท” หลายครงั้ แตเ่ มอื่ ตรวจแลว้ กลบั พบวา่ เปน็ Wernicke’s aphasia
จากโรคหลอดเลือดสมอง (stroke)
ลกั ษณะของ loosening of association คอื การพดู ทเี่ ปลยี่ นจากเรอ่ื งหนง่ึ ไปอกี เรอื่ งหนงึ่
ไปเรอ่ื ยๆ ทำ� ใหเ้ มอื่ ฟงั ตอ่ เนอื่ งกนั แลว้ จบั ใจความไมค่ อ่ ยได้ เหมอื นไมม่ คี วามหมาย แตเ่ มอ่ื แยกฟงั
ทีละประโยคจะพบวา่ ในระดบั ประโยคไม่มีความผิดปกติ เชน่
แพทย์ถามผูป้ ว่ ยว่า “เม่อื วานไปไหนมา?”
ผ้ปู ่วยตอบวา่ “เมื่อวานผมไปกินขา้ วกบั เพอ่ื น เพ่อื นผมมาจากหาดใหญ่ ตอนนั้นผมอยู่ที่
เชยี งใหม่ พ่อแมผ่ มเป็นคนกรุงเทพฯ และผมก็อยากเขา้ ชมรมดนตรี”
สว่ น incoherence (word salad หรอื schizophasia) เปน็ ศพั ทท์ น่ี ยิ มเขยี นอยใู่ นหนงั สอื
จติ เวชศาตรแ์ ตใ่ นความเปน็ จรงิ พบไดน้ อ้ ยมากในโรคทางดา้ นจติ เวช โดย incoherence หมายถงึ
การพดู ที่ไม่สามารถเขา้ ใจได้ (Sadock and Sadock, 2007) ซงึ่ โดยผวิ เผินเหมอื นจะคลา้ ยกบั
loosening of association แตส่ ิง่ ที่ตา่ งกนั คอื incoherence เป็นความผิดปกติในระดบั ภายใน
ประโยค (Andreasen, 1984b) ซงึ่ สาเหตสุ ว่ นใหญเ่ กดิ จากความผดิ ปกตขิ องสมองทค่ี วบคมุ ดา้ น
ภาษา ดงั นนั้ หากพบความผิดปกตชิ นิดนี้ ตอ้ งนกึ ถึงภาวะ aphasia กอ่ นเสมอ ทัง้ นีร้ ายละเอยี ด
เกี่ยวกบั ความผิดปกติด้านภาษาสามารถอา่ นเพ่ิมเติมได้ในบทท่ี 3
2.6 การรบั รู้ (perception)
ความผดิ ปกตขิ องการรบั รทู้ ส่ี ำ� คญั ไดแ้ ก่ อาการประสาทหลอน (hallucination) ซงึ่ หมายถงึ
การรบั รู้ทางประสาทสัมผสั ทไี่ ม่มสี ง่ิ เร้าภายนอก เชน่ หแู วว่ ก็หมายถึงการท่ผี ปู้ ่วยได้ยินเสยี ง ทั้งๆ ท่ี
เสยี งนน้ั ไมม่ ีอยู่จรงิ โดยชนดิ ของอาการประสาทหลอนมไี ดต้ ามประสาทสัมผสั ท้ัง 5 ดังน้ี
● หแู วว่ (auditory hallucination) คือได้ยนิ เสยี งทไี่ ม่มอี ยจู่ ริง
● ภาพหลอน (visual hallucination) คือเหน็ ภาพที่ไม่มอี ยจู่ รงิ
● Tactile hallucination คอื มกี ารรบั สมั ผสั ทไ่ี มม่ จี รงิ เชน่ รสู้ กึ วา่ มแี มลงไตอ่ ยใู่ ตผ้ วิ หนงั
เปน็ ต้น
บทที่ 2 การตรวจสภาพจติ (Mental state examination) | 21
● Olfactory hallucination คือไดก้ ลน่ิ ทไ่ี ม่มอี ย่จู ริง
● Gustatory hallucination คอื รสู้ ึกรับรสทไ่ี ม่มอี ยจู่ ริง
อาการหูแว่วเป็นอาการประสาทหลอนทพี่ บได้บ่อยท่สี ดุ ในโรคทางด้านจติ เวช ในขณะท่ีการ
เหน็ ภาพหลอนนัน้ พบได้น้อยมาก ดงั นั้นหากผูป้ ว่ ยมอี าการเหน็ ภาพหลอนตอ้ งวินจิ ฉัยแยกโรคทางกาย
กอ่ นเสมอ
โดยท่ัวไปอาการประสาทหลอนไม่ควรพบในคนปกติ มีเพียงบางรูปแบบเท่านั้นท่ีอาจพบได้
ในคนทว่ั ไป ได้แก่ อาการประสาทหลอนในชว่ งทเ่ี คล้ิมๆ กำ� ลงั จะหลบั (hypnagogic hallucination)
และประสาทหลอนช่วงท่ีเคลิ้มๆ ก�ำลงั จะตนื่ (hypnopompic hallucination)
ในเรอื่ งของการรบั รจู้ ะมอี กี ศพั ทห์ นง่ึ ทถี่ กู พดู ถงึ บอ่ ย คอื การแปลการรบั รผู้ ดิ (illusion) คอื
การแปลสงิ่ เรา้ ผดิ ไปจากทเ่ี ปน็ จรงิ ตวั อยา่ งทม่ี กั จะยกกนั เชน่ คนไขเ้ หน็ สายนำ�้ เกลอื เปน็ งู หรอื ไดย้ นิ เสยี ง
ใบไม้ไหวเปน็ เสียงคนพดู เปน็ ตน้ ซึง่ illusion ตา่ งจากประสาทหลอนตรงที่ illusion จะมีสิง่ กระตนุ้ อยู่
จรงิ แตร่ บั รผู้ ดิ ไปจากทเี่ ปน็ จรงิ ในขณะทอ่ี าการประสาทหลอนจะไมม่ สี ง่ิ กระตนุ้ เลย ทงั้ น้ี illusion แทบ
ไม่ได้อยู่ในเกณฑ์การวินิจฉัยโรคทางจิตเวชเลย และ illusion สามารถพบไดใ้ นคนท่วั ไป เชน่ บางครัง้
คนที่กลวั ผีมากๆ เดนิ ตอนกลางคนื อาจมองเห็นตน้ ไมเ้ ปน็ เหมือนผีได้ เป็นต้น
3. ขอ้ จ�ำกดั
เนอ่ื งจากหนงั สอื เลม่ นห้ี วั ขอ้ หลกั คอื การตรวจ cognitive function จงึ ไมไ่ ดเ้ ขยี นถงึ แนวทาง
และเทคนิคการสัมภาษณ์ผู้ป่วย ดังน้ันหากผู้อ่านสนใจเร่ืองเทคนิคการสัมภาษณ์ผู้ป่วย แนะน�ำให้อ่าน
เพมิ่ เตมิ ไดใ้ นหนงั สอื การตรวจสมั ภาษณท์ างจติ เวช โดย มาโนช หลอ่ ตระกลู (2558) คณะแพทยศาสตร์
มหาวทิ ยาลัยมหิดล
เช่นเดียวกนั ในบทนไี้ ม่ได้บรรยายค�ำศพั ทอ์ าการทางจิตเวช (symptomatology) ไว้ทั้งหมด
โดยเขียนบรรยายเฉพาะอาการส�ำคัญๆ ที่พบได้บ่อยเท่านั้น หากผู้อ่านสนใจเพ่ิมเติมโดยเฉพาะศัพท์
ทใ่ี ชใ้ นโรคจติ เภท แนะนำ� ใหอ้ ่านคู่มือการใชแ้ บบประเมนิ Scale for the Assessment of Positive
Symptoms (SAPS) และ Scale for the Assessment of Negative Symptoms (SANS) ฉบบั ภาษา
ไทย (Charernboon, 2019a, 2019b) ซง่ึ ไดร้ บั อนญุ าตแปล และดดั แปลงเปน็ ภาษาไทยโดย ธรรมนาถ
เจรญิ บญุ ซงึ่ จะอธบิ ายค�ำศพั ทต์ า่ งๆ ทไ่ี มไ่ ดก้ ลา่ วถงึ ในหนงั สอื เลม่ นี้ เชน่ voices conversing, thought
withdrawal, thought broadcasting, alogia, หรอื tangential พรอ้ มตวั อยา่ งของอาการ โดยสามารถ
ติดต่อได้ที่ผู้นิพนธ์
22 | การประเมินพุทธิปญั ญา Cognitive Assessment
เอกสารอ้างอิง
Andreasen, N.C. (1984a). Scale for the Assessment of Negative Symptoms (SANS). Iowa
City: University of Iowa.
Andreasen, N.C. (1984b). Scale for the Assessment of Positive Symptoms (SAPS). Iowa
City: University of Iowa.
Charernboon, T. (2019a). Preliminary study of the Thai-version of the Scale for the
Assessment of Positive Symptoms (SAPS-Thai): content validity, known-group
validity, and internal consistency reliability. Archives of Clinical Psychiatry,
46(1), pp. 5-8.
Charernboon, T. (2019b). Preliminary study of the Thai version of the Scale for the
Assessment of Negative Symptoms (SANS-Thai). Global Journal of Health
Science, 11, pp. 19-24.
Jennett, B. and Teasdale, G. (1984). Management of Head Injuries. Philadelphia: FA Davis
Company.
Sadock, B.J. and Sadock, V.A. (2007). Kaplan & Sadock’s Synopsis of Psychiatry: Behavioral
Sciences/Clinical Psychiatry, 10th ed. Philadelphia: Lippincott Williams & Wilkins.
Strub, R. and Black, F. (2000). The Mental Status Examination in Neurology. Philadelphia:
FA Davis Company.
บทท่ี 3
ภาษา (Language)
บทท่ี 3
ภาษา (Language)
_____________________________________________________________
ภาษาเปน็ เคร่อื งมอื พื้นฐานทมี่ นุษยใ์ ชต้ ดิ ตอ่ สอื่ สารกัน การประเมนิ ความสามารถดา้ นภาษา
จงึ ควรทำ� เปน็ อนั ดบั แรกในการตรวจ cognitive function เพราะการเสยี การทำ� งานดา้ นภาษาทร่ี นุ แรง
จะส่งผลใหไ้ ม่สามารถท�ำการทดสอบ cognitive function อืน่ ได้ และผลการตรวจไม่นา่ เช่ือถือ
1. คำ� ศัพท์ (terminology)
ในเร่ืองของภาษามีศพั ท์ที่ใช้บ่อยๆ ดงั ตอ่ ไปน้ี
Dysarthria หมายถงึ ความผดิ ปกตขิ องการออกเสยี ง โดยทพ่ี น้ื ฐานของภาษา คอื ความเขา้ ใจ
ไวยากรณ์ และค�ำศพั ท์ ท่ใี ช้ยงั ปกติ โดยผูป้ ว่ ยอาจจะพูดแบบลิ้นแขง็ ตะกุกตะกกั หรอื พดู ไม่ชัด เปน็ ตน้
Aphasia หมายถึง ความผิดปกติของการใช้ภาษาท่ีเกิดข้ึนจากความผิดปกติของสมอง
ไมว่ า่ จะเปน็ เรือ่ งของความเขา้ ใจภาษาพูด หรอื การพดู ออกไป
Alexia หมายถงึ การเสยี ความสามารถในการอา่ น โดยคำ� วา่ alexia ไมเ่ ทา่ กบั คำ� วา่ dyslexia
ซงึ่ คำ� หลงั จะหมายถงึ ความผดิ ปกตชิ นดิ หนงึ่ ของ specific learning disorder ในเดก็ (หรอื พดู งา่ ยๆ คอื
ค�ำว่า dyslexia ใชเ้ ฉพาะในผู้ปว่ ยท่ีมีความบกพร่องในพฒั นาการการเรียนรดู้ า้ นการอา่ นเทา่ น้ัน)
Agraphia หมายถึง การเสยี ความสามารถในการเขยี น
2. สมองกบั การท�ำงาน
ในเรอ่ื งสมองกบั การทำ� งานนนั้ ตำ� แหนง่ ของสมองทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั ภาษาถอื ไดว้ า่ มคี วามชดั เจน
มากทสี่ ดุ และเนอื่ งจากภาษาเปน็ สงิ่ พน้ื ฐานทมี่ นษุ ยใ์ ชต้ ดิ ตอ่ สอื่ สาร จงึ ทำ� ใหค้ วามผดิ ปกตใิ นการใชภ้ าษา
นัน้ สามารถสงั เกตเห็นไดโ้ ดยง่าย
ภาษากับต�ำแหนง่ บนสมองถูกค้นพบคร้ังแรกโดย Pual Broca ในปี ค.ศ. 1865 โดย Broca
ไดบ้ รรยายถงึ ผู้ป่วยคนหน่งึ เรยี กว่า Mr. Tan (ท็อง) ซึ่งสูญเสยี ความสามารถในการพดู ไมส่ ามารถพูด
ออกมาไดห้ รอื พดู ดว้ ยความยากลำ� บาก แตย่ งั สามารถฟงั เขา้ ใจ ซงึ่ พบวา่ เกดิ จากรอยโรคทส่ี มองสว่ นหนา้
ขา้ งซา้ ย (left inferior frontal lobe) ตอ่ มาจงึ ไดเ้ รยี กสมองสว่ นนวี้ า่ Broca’s area และในปี ค.ศ. 1874
Carl Wenicke กไ็ ดค้ น้ พบวา่ สมองสว่ นทเี่ กย่ี วขอ้ งกบั ความเขา้ ใจในภาษา (language comprehension)
ไดแ้ ก่ สมองส่วน superior temporal lobe ข้างซ้าย ซงึ่ ต่อมาก็ได้เรยี กสมองส่วนนี้วา่ Wernicke’s
area (Purves et al., 2012) รูปท่ี 3.1 แสดงตำ� แหน่งของ Broca’s area และ Wernicke’s area
26 | การประเมนิ พุทธปิ ัญญา Cognitive Assessment
รปู ท่ี 3.1 แสดงสมองสว่ น Broca’s area และ Wernicke’s area
นอกจากนี้ยังพบว่าการท�ำงานของสมองท่ีเก่ียวกับภาษานี้ยังมีการแบ่งข้างอย่างชัดเจน
(lateralization) ระหว่างสมองซีกซ้ายกับสมองซีกขวา โดยพบว่าในคนส่วนใหญ่สมองส่วนที่เด่นด้าน
ภาษา (dominant hemisphere) คอื สมองซกี ซา้ ยซง่ึ จะสมั พนั ธก์ บั มอื ขา้ งทถี่ นดั โดยพบวา่ ในป3ร7ะชากร
ทัว่ ไปร้อยละ 90 จะถนดั มือขวา (รอ้ ยละ 10 ถนดั ซ้าย) ซึง่ รอ้ ยละ 99 ของคนทถี่ นัดมือขวาสมองส่วนท่ี
เด่นคจนะเทปี่ถ็นนซัดีกมซอื า้ ซยา (ยอรกี อรย้อลยะละ671สเปมน็องซสกี วขนวทา)เ่ี ดในนจขะณยะังทค่ีใงนเปคนนสทม่ถี อนงัดซมีกือซซา ้ายยรสอ้วยนลอะีกร6อ7ยสลมะอ3ง3สว่ ทน่ี ท่ีเดน่
eจะt ยaเังlห.ค,ลง2อื เ0ปจ1็นะ2เสด)ม น อสงมซอีกงซซ้าีกยขวสา่วหนรออื ีกเรด้อน ยทล้ังะสอ3ง3ซีกท(ี่เPหuลrือvจeะsเดet่นสalม.,อ2งซ01ีก2ข)วาหรือเด่นทั้งสองซีก (Purves
3. 3การปกราะรเมปินระดเา้มนนิ ภดาาษนาภาษา
กการาปรประรเะมเมนิ นิดดาน้านภภาษาษามามีหีหัวขัวขอ้อททตี่ ีต่อ้องปงประรเะมเมินินแแลละเะรเียรียงไงปไปตตามามลลาํ ด�ำดบั บั ดดังตังตออ่ไปไปนน้ี ้ี
1. การพูดเอง (spontaneous speech)
2. ความเขา ใจ (comprehension)
3. การพูดทวน (repetition)
4. การเรยี กช่อื (naming)
5re.aกdาiรnเgข)ีย*นและการอาน (writing and
* ทง้ั นก้ี *าทรเั้งขนยี กี้ นาแรเลขะียกนาแรลอะา กนาอรอาจา่ ไนมอจาําจเปไมน จ่ต�ำอเงปต็นรตวอ้จงในตรผวูปจวใยนทผกุ ้ปู ร่วายยทเุกนรื่อางยจเานก่ือเกงจอื าบกทเงั้กหือมบดทัง้ หมด
ของขผอ้ปู งว่ ผยูปทวีม่ ยีภทาี่มวะีภาaวpะhaaspiahอaยsiา่aงชอัดยเาจงนชมัดกัเจจนะเมสักยี จคะวเาสมียสคาวมาามรสถาใมนากราถรใเขนียกนาแรเลขะียอน่าแนลไปะอดา้วนยไป
ดวย
บทที่ 3 ภาษา (Language) | 27
3.1 การพดู เอง (spontaneous speech)
ข้ันตอนแรกสุดของการประเมินด้านภาษา คือ การตั้งใจฟังสิ่งท่ีผู้ป่วยพูด ซึ่งโดยท่ัวไปแล้ว
ขอ้ มลู มักไดจ้ ากการพูดคุยดว้ ยคำ� ถามปลายเปิดท่ัวๆ ไป เช่น “เปน็ ยังไงบ้าง?” “ท่มี าหาหมอวันน้เี ปน็
อะไรมา?” “เล่าให้ฟังหน่อย ปกติอยู่บ้านท�ำอะไรบ้าง?” เป็นต้น ในรายที่สงสัยว่ามีการพูดที่ผิดปกติ
การบนั ทกึ เสยี งอาจชว่ ยใหผ้ ตู้ รวจยอ้ นกลบั มาฟงั ซำ�้ ภายหลงั ได้ เพราะบางครง้ั ผตู้ รวจอาจจะฟงั ไมท่ นั ได้
โดยสิ่งท่ตี อ้ งประเมนิ ในเรือ่ งของการพดู เอง ไดแ้ ก่
1) ความคลอ่ ง (fluency)
2) การพูดทผ่ี ิดปกติ (specific aphasic errors)
3.1.1 ความคลอ่ งในการพูด (verbal fluency)
เป็นส่ิงแรกท่ีควรสังเกตในการฟังผู้ป่วยพูด และโดยทั่วไปมักจะตรวจพบได้ไม่ยาก
โดย fluency หมายถึงความสามารถในการพูดออกมาได้คล่อง ไม่มีการติดขัด โดยความผิดปกติของ
ความคลอ่ งในการพูดเรียกวา่ non-fluent aphasia เกิดจากความผิดปกติของสมองในส่วน anterior
hemisphere ของสมองข้างที่เด่น ผู้ป่วยจะมีลักษณะพูดด้วยความยากล�ำบาก เหมือนต้องใช้ความ
พยายามในการพดู ออกมาอยา่ งมาก (effortful speech) แตก่ ารพดู กจ็ ะยงั ดตู ดิ ขดั พดู ขาดหว้ งเปน็ คำ� ๆ
เชน่ ผปู้ ว่ ยคนหน่ึงพยายามเลา่ สภาพอากาศในช่วงนว้ี า่
“ ยะ.... เย็น .... เย็น ..... ฝน ...... ฝนตก ....... ทกุ ..... ทุกวันเลย.... ” เป็นตน้
การพูดแบบ non-fluent ตอ้ งแยกจากการนึกคำ� ไมอ่ อก (word-finding difficulty)
โดยอนั หลงั การชะงกั ของการพดู เกดิ จากการนกึ ค�ำไมอ่ อก ซง่ึ มกั ตามมาดว้ ยความพยายามในการอธบิ าย
คำ� ทน่ี กึ ไมอ่ อก เชน่ คนไขเ้ ลา่ วา่ “เมอื่ วาน ไปซอื้ .... เออ่ .... ผกั สเี ขยี วๆ กลมๆ ใหญๆ่ นะ่ ” หรอื บางครงั้
ก็อาจจะเรยี กวา่ “ไอน้ นั่ ” “อันนี้” แทน การชะงกั ในกรณนี ึกค�ำไมอ่ อกจึงเกดิ เป็นบางคร้งั เทา่ นน้ั ท�ำให้
การพดู ชว่ งทไ่ี มม่ ปี ญั หานกึ คำ� ผปู้ ว่ ยจะพดู ไดเ้ รว็ เปน็ ปกติ ซง่ึ จะตา่ งจาก non-fluent speech ทจ่ี งั หวะ
การพดู โดยรวมจะช้า และตดิ ขัดอย่างต่อเนื่อง
อกี วธิ หี นงึ่ ในการทดสอบความคลอ่ งในการพดู ทมี่ กั ใชใ้ นแบบทดสอบมาตรฐานตา่ งๆ เชน่
Boston Diagnostic Aphasia Examination คอื การใหผ้ ปู้ ว่ ยดภู าพ และใหบ้ รรยายภาพทเี่ หน็ ใหเ้ ยอะ
ทสี่ ุดในเวลาทก่ี �ำหนด ตัวอย่างเช่น ภาพ Boston cookie theft picture เป็นภาพวาดของเด็กผูช้ าย
ยืนบนเก้าอก้ี ำ� ลงั หยิบขวดใส่คุกกี้บนชนั้ วางของ ขณะที่แมก่ �ำลังล้างจาน เปน็ ต้น
3.1.2 การพูดทผ่ี ิดปกติ (specific aphasic errors)
อันดับต่อมาท่ีต้องประเมินคือความผิดปกติในการใช้ภาษา ความผิดปกติที่เรียกกันว่า
aphasia นั้นโดยแท้จริงเป็นความบกพร่องในองค์ประกอบของการใช้ภาษา ซ่ึงแบ่งได้เป็น 3
องคป์ ระกอบดงั น้ี
28 | การประเมนิ พทุ ธปิ ัญญา Cognitive Assessment
1) Phonology หมายถงึ หนว่ ยทเ่ี ลก็ ทส่ี ดุ ของการออกเสยี ง เชน่ การออกเสยี ง
“ส” ในค�ำว่า เส้ือ ความผิดปกติขององค์ประกอบนี้เกิดจากการใช้เสียงท่ีผิด (เรียกว่า phonemic
paraphasia หรือ literal paraphasia) เช่น ผู้ป่วยพูดว่า “ปากคา” แทนค�ำว่า “ปากกา” “เก้ือ”
แทนค�ำวา่ “เส้ือ” เปน็ ต้น มผี ลให้คำ� ทพ่ี ดู ออกมามลี กั ษณะใกล้เคียงกับค�ำทีถ่ กู ตอ้ ง ทำ� ใหบ้ างครั้งอาจ
เรียกว่า word approximation หากความผิดปกติรุนแรงมาก ค�ำที่พูดออกมาอาจจะเหมือนเป็น
ค�ำใหม่ท่ีไม่มีใครเข้าใจ (เรียกว่า neologism) ความผิดปกติของ phonology มักเกิดจากรอยโรคที่
บรเิ วณ superior temporal region ของสมองข้างท่ีเด่น (Hodges, 2007)
ในแง่ของการแปลภาษาทไ่ี ดร้ บั เรยี กว่า phonemic decoding ความผดิ ปกติ
จะท�ำให้ผปู้ ว่ ยไมส่ ามารถแยกเสยี งที่คล้ายกันได้ เชน่ “เสอ้ื ” กับ “เพ่อื ” เปน็ ต้น ซึ่งเป็นองคป์ ระกอบที่
สำ� คญั ในการทจี่ ะฟังเขา้ ใจ
2) Semantic หมายถึงความหมายของค�ำ ดังเช่นท่ีเราเข้าใจว่า “แมว” คือ
สัตว์เล้ียงมี 4 ขา “กาแฟ” คือเคร่ืองดื่มสีด�ำรสขม เป็นต้น ความผิดปกติในเร่ืองของ semantic
เรียกว่า semantic paraphasia สามารถแบ่งได้เป็น 2 แบบ ได้แก่ (1) ปัญหาในการจับคู่ค�ำกับ
ความหมาย (mapping process) เชน่ ทพ่ี บใน Wernicke’s aphasia ผปู้ ว่ ยจะมกี ารจบั คคู่ ำ� กบั ความหมาย
ที่ผิดไป เช่น ใชค้ ำ� ว่า “สม้ ” แทน “กลว้ ย” หรอื ใชค้ �ำวา่ “สตั ว์” แทน “หมา” เป็นต้น (2) เสียความ
สามารถในการเขา้ ใจความหมายของค�ำ (loss of representation) ผปู้ ว่ ยอาจมาดว้ ยอาการนกึ คำ� ไมอ่ อก
(word-finding difficulty) แลว้ ใช้วิธีบรรยายแทน เชน่ “ผลไม้ที่มหี นามแหลมๆ มีกลนิ่ แรงๆ” (ทุเรยี น)
หรือผูป้ ว่ ยอาจไมเ่ ข้าใจความหมายของค�ำนั้นเลย เชน่ ที่พบใน semantic dementia
ความผดิ ปกตขิ อง semantic paraphasia เกดิ จากรอยโรคทบี่ รเิ วณ basal และ
superior temporal region ของสมองข้างท่เี ดน่ (Hodges, 2007)
3) Syntax หมายถงึ ไวยากรณข์ องภาษา (grammar) ในการพดู แตล่ ะประโยค
นน้ั เกดิ จากการใช้คำ� หลายๆ คำ� ไดแ้ ก่ ประธาน กรยิ า กรรม หรอื คำ� เช่ือมต่างๆ มาผสมกันตามหลัก
ไวยากรณ์ ความผิดปกติในองค์ประกอบนี้ ผู้ป่วยจะมีการใช้ไวยากรณ์ผิด (เรียกว่า agrammatism)
ลักษณะท่ีพบได้แก่ รูปประโยคขาดประธาน กริยา กรรม หรือค�ำเชื่อม เช่น “... เม่ือวาน ... ผม ...
ตลาด....” (เมื่อวานผมไปตลาด) หรือเรยี งประธาน กริยา กรรม สลับตำ� แหน่งกัน เชน่ “เมอ่ื วาน ....
ตลาด .... ผม .... ผม .... ไป .....” (เมื่อวานผมไปตลาด)
ความผิดปกติในลักษณะ agrammatism ที่รุนแรงมกั พบในพยาธสิ ภาพท่ีสมอง
บริเวณ inferior frontal lobe ของสมองขา้ งทเ่ี ด่น
3.2 ความเขา้ ใจ (comprehension)
ความสามารถดา้ นภาษาทต่ี อ้ งประเมนิ ตอ่ จากการพดู เองคอื เรอ่ื งของการฟงั เขา้ ใจ ทงั้ นผี้ ตู้ รวจ
อาจจะสงั เกตเรอื่ งของความเขา้ ใจไดต้ ง้ั แตก่ ารพดู คยุ ถามตอบทว่ั ไป ทหี่ ากผปู้ ว่ ยสามารถตอบตรงคำ� ถาม
พดู คยุ ไดร้ เู้ รอื่ งตอ่ เนอ่ื ง นน่ั อาจอนมุ านไดว้ า่ ผปู้ ว่ ยไมน่ า่ จะมคี วามผดิ ปกตใิ นเรอื่ งของความเขา้ ใจทรี่ นุ แรง
แตอ่ ย่างไรก็ตาม การประเมินเร่ืองความเขา้ ใจท่ีแม่นย�ำต้องมีการทดสอบโดยเฉพาะ โดยวธิ ีการทดสอบ
ว่าผปู้ ่วยมคี วามเขา้ ใจเปน็ ปกติหรือไม่ มวี ิธีการทดสอบดังต่อไปน้ี
บทท่ี 3 ภาษา (Language) | 29
ก. ทำ� ตามประโยคทสี่ งั่ การทดสอบวิธีน้ีมกั จะใหผ้ ปู้ ่วยทำ� ตามประโยคท่ีผู้ตรวจบอก
ซึง่ ท�ำด้วยการชน้ี วิ้ หรือท�ำทา่ ทางตามค�ำส่ัง ตัวอยา่ งเช่น “ช้ีไปทปี่ ระต”ู “ชไี้ ปทเ่ี พดาน” “ชีไ้ ปทโ่ี ตะ๊ ”
หรอื “ยกมอื ขนึ้ ” เปน็ ตน้ โดยทว่ั ไปมกั จะเรมิ่ จากคำ� สงั่ ประโยคเดยี วกอ่ น เมอื่ ผปู้ ว่ ยทำ� ได้ จงึ คอ่ ยๆ เพม่ิ
ความซับซอ้ นของค�ำสง่ั ขึน้ ไป
โดยค�ำสั่งท่ีซับซอ้ นข้ึน มกั จะเปน็ ประโยคที่มีหลายคำ� สง่ั หรือมรี ูปประโยคท่ีซับซอ้ นมาก
ขนึ้ เชน่ “ชไ้ี ปทเ่ี กา้ อจ้ี ากนนั้ ชไี้ ปทเี่ พดาน” ในแบบทดสอบ Addenbrooke’s Cognitive Examination
ฉบับภาษาไทยโดย ธรรมนาถ เจริญบุญ (Charernboon, Jaisin and Lerthattasilp, 2016) ทำ� การ
ทดสอบโดยการยน่ื กระดาษกบั ปากกาไวต้ รงหนา้ ผปู้ ว่ ย แลว้ ออกคำ� สงั่ วา่ “ใหว้ างกระดาษไวบ้ นปากกา”
และ “ส่งปากกาใหห้ มอ หลังจากเอามือแตะท่ีกระดาษ” เปน็ ต้น
ขอ้ ควรระวงั การทดสอบดว้ ยคำ� สงั่ ทซี่ บั ซอ้ นบางคำ� สงั่ ทมี่ กี ารใชด้ า้ น ซา้ ยขวา เชน่ “เอามอื ขวา
ไปจับไหล่ซ้าย” หรือ “เอานิ้วช้ีมือซ้ายไปแตะหูขวา” ผู้ป่วยที่มีอาการสับสนด้านซ้ายขวา (right-left
disorientation) อาจจะท�ำไม่ถูก ซึ่งเกิดจากรอยโรคท่ี parietal lobe โดยท่ีผู้ป่วยอาจไม่ได้มีความ
ผดิ ปกติทีร่ ุนแรงของความเข้าใจภาษา
อีกวิธีหนึ่งในการทดสอบความเข้าใจในประโยคซับซ้อนคือ the pen-watch-keys test
ทำ� โดยการนำ� ปากกา นาฬกิ า และกญุ แจ ไว้ตรงหน้าผ้ปู ่วย (ในการทดสอบข้างเตียง อาจประยกุ ตใ์ ช้
ส่งิ ของอนื่ ๆ ทมี่ แี ทนก็ได้) แลว้ ใหผ้ ปู้ ่วยท�ำตามค�ำสงั่ ตา่ งๆ ทีละคำ� สัง่ ดังต่อไปนี้
● วางปากกาไวบ้ นนาฬกิ า
● แตะนาฬิกาดว้ ยปากกา
● แตะกุญแจ จากน้นั แตะปากกา
● แตะปากกา ก่อนท่ีจะแตะกุญแจ
● แตะปากกา แต่ไม่ต้องแตะกญุ แจ
● วางปากกาไวร้ ะหว่างกญุ แจและนาฬิกา
● คณุ ถอื นาฬกิ าไว้ แลว้ สง่ ปากกาให้ผม
การแปลผล โดยท่ัวไปค�ำสั่งซับซ้อนในลักษณะนี้ ผู้สูงอายุท่ีไม่มีความผิดปกติด้านภาษา
ควรจะท�ำได้ถูกต้อง หรืออาจมีผิดพลาดเพียงเล็กน้อยในบางค�ำสั่งเท่านั้น ตารางท่ี 3.1 แสดงร้อยละ
ท่ผี ูส้ งู อายุปกติและผูป้ ่วยภาวะสมองเสื่อมทำ� ตามค�ำสง่ั ทซ่ี ับซ้อนได้ถกู ตอ้ ง
30 | การประเมินพทุ ธิปัญญา Cognitive Assessment
ตารางที่ 3.1 ความสามารถในการทำ� ตามค�ำส่ังซบั ซ้อนในผู้สูงอายุปกติและผู้สูงอายุภาวะสมองเสอ่ื ม
ร้อยละที่ท�ำได้ถกู ตอ้ ง
คำ� สั่ง ผู้สูงอายุปกติ ผู้ปว่ ยภาวะ
- หยิบปากกาก่อนแลว้ ค่อยหยิบกระดาษ (n = 63) สมองเสอ่ื ม*
- วางกระดาษไวบ้ นปากกา (n = 51)
- ส่งปากกาใหห้ มอ หลังจากเอามอื แตะที่กระดาษ
100 92.2
98.4 78.4
93.7 37.3
[ขอ้ มลู วเิ คราะหเ์ พม่ิ เตมิ จากฐานขอ้ มลู การศกึ ษาของ ธรรมนาถ เจรญิ บญุ (Charernboon, Jaisin and Lerthattasilp,
2016)]; * ผ้ปู ว่ ยภาวะสมองเส่ือมเปน็ ผู้ป่วยระยะแรก (mild dementia)
ข้อควรระวัง การออกค�ำส่ังที่ยาวมากๆ เช่น “ยกมือขวาขึ้น แล้วเอานิ้วช้ีมือขวาไปแตะหูซ้าย
จากนนั้ ใหม้ าแตะมอื ผม” หรอื “รบั กระดาษดว้ ยมอื ขวา เสรจ็ แลว้ พบั ครงึ่ หลงั จากนน้ั สง่ กระดาษ
คนื ใหผ้ ม” นอกจากความเข้าใจเรอื่ งภาษาแลว้ ยังต้องใชค้ วามจำ� อีกดว้ ย ผู้ปว่ ยหลายคนอาจจะ
ท�ำไม่ได้เพราะลมื คำ� สั่ง แตไ่ ม่ได้เสยี ความสามารถในการเขา้ ใจภาษา
ข. การถามคำ� ถามโดยให้ตอบว่า “ใช”่ หรอื “ไม่ใช่” เปน็ วธิ ีการทดสอบอีกวิธหี นึ่ง
โดยคำ� ถามทใี่ ชถ้ ามกนั บ่อยๆ ได้แก่
● “หมาบินไดใ้ ชไ่ หม”
● “วนั นฝี้ นตกใชไ่ หม”
● “ท่นี เ่ี ป็นโรงเรยี นใช่ไหม”
● “วันพธุ อยูก่ อ่ นวนั องั คารใชไ่ หม”
ส่ิงที่ต้องระวังคือ การทดสอบวิธีน้ีต้องถามหลายๆ ค�ำถาม เพราะการตอบ ใช่/ไม่ใช่
มีโอกาสตอบถูกโดยบังเอิญร้อยละ 50 จึงควรถามอย่างน้อย 3 ค�ำถามขึ้นไป และค�ำตอบไม่ควรเป็น
ค�ำตอบเดยี วเหมือนกันหมด เช่น ตอบ “ไมใ่ ช่” ท้ังหมด หรือ “ใช”่ ทงั้ หมด แต่ควรให้มคี �ำตอบทง้ั “ใช่”
และ “ไมใ่ ช”่ สลบั กนั ไป ในความเหน็ ผนู้ พิ นธแ์ นะนำ� วธิ ตี รวจดว้ ยการทำ� ตามประโยคทส่ี ง่ั มากกวา่ เพราะ
ทำ� ได้ง่ายและมีข้อจ�ำกดั ท่นี ้อยกวา่
บทท่ี 3 ภาษา (Language) | 31
3.3 การพดู ทวน (repetition)
การพดู ทวนคำ� หรอื ประโยคทไ่ี ดย้ นิ มรี ะบบการท�ำงานและตำ� แหนง่ กายวภิ าคทเ่ี ฉพาะเจาะจง
ความผดิ ปกตขิ องภาษาบางชนดิ ผปู้ ว่ ยอาจจะเสยี เฉพาะการพดู ทวนโดยทก่ี ารท�ำงานของภาษาดา้ นอนื่
ยังคอ่ นขา้ งปกติได้ ดงั นนั้ จงึ จ�ำเป็นต้องมกี ารตรวจในเรอ่ื งของการพูดทวน
การพดู ทวนสงิ่ ท่ีได้ยนิ เกดิ จากข้นั ตอนดังนี้
การรบั ภาษา (ได้ยนิ และเข้าใจ) → (การเช่ือมโยงขอ้ มลู ) → การพดู ออกไป
ดังนั้นการเสียท่ีส่วนใดส่วนหน่ึงของข้ันตอนนี้จะสามารถทำ� ให้เกิดความผิดปกติของการพูด
ทวนได้
การตรวจการพดู ทวน ทำ� ไดโ้ ดยพดู คำ� ศพั ทห์ รอื ประโยคแลว้ ใหผ้ ปู้ ว่ ยพดู ตาม โดยทวั่ ไปมกั เรมิ่
จากค�ำง่ายๆ ก่อนและค่อยๆ เพ่ิมความยากเป็นประโยคซับซ้อน ตัวอย่างค�ำและประโยคที่ใช้ทดสอบ
การพดู ตาม มีดงั ต่อไปนี้ (เรียงลำ� ดบั ตามความยาว)
● เครือ่ งบิน
● ขยับเขยื้อน1
● กายภาพบ�ำบดั 1
● กัมมนั ตภาพรงั ส1ี
● กว่าถว่ั จะสกุ งากไ็ หม1้
● ยายพาหลานไปซอื้ ขนมที่ตลาด2
● ฉันร้วู า่ จอมเปน็ คนเดยี วทีม่ าชว่ ยงานวนั น3ี้
● แมวมักซอ่ นตวั อยู่หลังเก้าอ้ีเมอ่ื มหี มาอย่ใู นหอ้ ง3
1: คำ� ถามจากแบบประเมนิ Addenbrooke’s Cognitive Examination III ฉบบั ภาษาไทย (Charernboon,
Jaisin and Lerthattasilp, 2016); 2: ค�ำถามจากแบบประเมิน Thai Mental State Examination
(Train the Brain Forum, 1993); 3: คำ� ถามจากแบบประเมิน Montreal Cognitive Assessment
ฉบบั ภาษาไทย (Tangwongchai et al., 2009)
การแปลผล ในผสู้ งู อายทุ ไ่ี มไ่ ดม้ ปี ญั หาในเรอ่ื งภาษา ควรพดู ทวนคำ� หรอื ประโยค 3-4 พยางค์
ได้โดยไม่ผิด หรืออาจมีผิดพลาดได้เล็กน้อยหากเป็นค�ำที่ยากและไม่คุ้นเคย (Glosser et al., 1997)
ตารางท่ี 3.2 แสดงค่าปกติในผู้สูงอายุไทยท่ีอ่านออกเขียนได้ในการพูดทวนคำ� และประโยค จะเห็นได้
วา่ ในคำ� และประโยคสนั้ ๆ ผสู้ งู อายุปกตจิ ะพูดทวนได้ถูกตอ้ ง
32 | การประเมนิ พทุ ธิปญั ญา Cognitive Assessment
ตารางท่ี 3.2 ความสามารถในการพดู ทวนในผสู้ งู อายุปกติและผู้สูงอายภุ าวะสมองเส่ือม
การพดู ทวน รอ้ ยละทที่ ำ� ไดถ้ กู ตอ้ ง
(จ�ำนวนพยางค)์
ขยบั เขย้อื น (4) ผ้สู ูงอายปุ กติ ผูป้ ่วยภาวะ
กิจจะลักษณะ (5) (n = 63) สมองเส่อื ม
กายภาพบำ� บัด (5) (n = 51)
กมั มนั ตภาพรังสี (6)
แพ้เปน็ พระชนะเปน็ มาร (7) 100 98
กว่าถั่วจะสุกงากไ็ หม้ (7) 100 98
100 99.4
100 92.2
100 96.1
100 86.3
[ขอ้ มลู วเิ คราะหเ์ พม่ิ เตมิ จากฐานขอ้ มลู การศกึ ษาของ ธรรมนาถ เจรญิ บญุ (Charernboon, Jaisin and Lerthattasilp,
2016)]
3.4 การเรยี กชื่อ (naming)
ความสามารถในการเรยี กชอื่ วตั ถสุ งิ่ ของตา่ งๆ เปน็ ความสามารถพนื้ ฐานอยา่ งหนง่ึ ของการใช้
ภาษา การเสียความสามารถในการเรียกชอ่ื เรียกว่า “anomia” ซึง่ พบได้ในภาวะ aphasia หลายชนดิ
ความผดิ ปกตใิ นเรอื่ งของ naming อาจจะสงสยั ไดต้ งั้ แตก่ ารซกั ประวตั ิ ญาตอิ าจบอกวา่ ผปู้ ว่ ย
มปี ญั หาในการนกึ คำ� ผปู้ ว่ ยหลายคนมกั จะเรยี กสง่ิ ของตา่ งๆ วา่ “ไอน้ นั่ ” “ไอน้ ”ี่ เชน่ “ลกู ชว่ ยหยบิ ไอน้ น่ั
ใหแ้ มห่ นอ่ ย” เพราะนกึ คำ� ไมอ่ อก หรอื บางคนตอ้ งใชว้ ธิ บี รรยายแทนคำ� ทน่ี กึ ไมอ่ อก เชน่ “ลกู ชว่ ยหยบิ ....
ไอน้ ่นั น่ะ ... ไอท้ ี่ไวใ้ ส่เวลาอ่านหนงั สือ ใหพ้ ่อหนอ่ ย” (แว่นตา) เป็นต้น
ในการทดสอบการเรยี กชอ่ื มกั ทำ� โดยการใหผ้ ปู้ ว่ ยบอกชอ่ื สงิ่ ของหรอื รปู ภาพ (ในภาษาองั กฤษ
เรียกวา่ confrontation naming test) การให้ผปู้ ว่ ยบอกช่อื สิ่งของจรงิ ท�ำไดโ้ ดยช้ีไปทส่ี ิ่งของต่างๆ
ท่ีมีในห้องตรวจ เช่น โต๊ะ เก้าอ้ี นาฬิกา เสื้อ กางเกง หรือเพดานห้อง แล้วให้ผู้ป่วยบอกว่าคืออะไร
การทดสอบอีกวธิ คี ือการให้บอกช่ือจากรปู ภาพ ซ่งึ นยิ มใชร้ ูปภาพจากแบบทดสอบต่างๆ เชน่ Boston
Naming Test หรอื รปู ในแบบทดสอบ Addenbrooke’s Cognitive Examination เป็นต้น
การแปลผล การศกึ ษาในตา่ งประเทศพบวา่ ผสู้ งู อายอุ ายุ 60-74 ปมี คี ะแนนเฉลยี่ แบบทดสอบ
Boston Naming Test ฉบับ 60 รปู (60 คะแนน) อยรู่ ะหวา่ ง 50.1 – 53.4 คะแนน (Welch et al.,
1996) ตารางท่ี 3.3 แสดงรอ้ ยละการตอบรปู ภาพถกู ตอ้ งในผสู้ งู อายไุ ทยทอี่ า่ นออกเขยี นได้ โดยเลอื กมา
บางรปู จากแบบทดสอบ Addenbrooke’s Cognitive Examination ในภาพรวมจะเหน็ ได้วา่ สำ� หรบั
การทดสอบ confrontation naming test ในผู้สูงอายุปกติที่อ่านออกเขียนได้ ส่วนใหญ่จะตอบได้
บทที่ 3 ภาษา (Language) | 33
ถูกต้อง อาจมีตอบผิดไดบ้ ้างเล็กนอ้ ยแคเ่ พียงบางรูป ดังน้นั ถา้ ผปู้ ว่ ยตอบผดิ ในหลายรปู ให้สงสัยว่าอาจ
มคี วามผดิ ปกติในเรื่องของ naming
ตารางท่ี 3.3 ความสามารถในการบอกชอ่ื ภาพในผู้สูงอายุปกติและผสู้ งู อายภุ าวะสมองเส่ือม
รอ้ ยละท่ตี อบถูก
ภาพ ผู้สูงอายุปกติ ผูป้ ่วยภาวะ
(n = 63) สมองเสอื่ ม
(n = 51)
ช้อน 100 98
หนังสอื 90.5 39.2
แรด 96.8 52.9
จระเข้ 100 88.2
ระนาด 95.2 78.4
สมอเรอื 98.4 64.7
จงิ โจ้ 96.8 60.8
เพนกวิน 95.2 33.3
[ขอ้ มลู วเิ คราะหเ์ พม่ิ เตมิ จากฐานขอ้ มลู การศกึ ษาของ ธรรมนาถ เจรญิ บญุ (Charernboon, Jaisin and Lerthattasilp,
2016) ทัง้ นเี้ ลือกมาแสดงผลเพยี งบางรปู ]
3.5 การอา่ นและการเขียน
การอ่านและการเขียนเป็นสิ่งที่สัมพันธ์กับระดับการศึกษาอย่างมาก ดังนั้นก่อนตรวจการ
อา่ นและการเขียนต้องซักประวัตเิ รื่องของระดับการศกึ ษาเสยี ก่อน ถา้ ผู้ป่วยไมไ่ ดเ้ รยี นหนงั สอื หรืออ่าน
ไมอ่ อกเขียนไมไ่ ดอ้ ยูแ่ ล้ว การทดสอบการอา่ นและเขยี นกแ็ ทบจะไมม่ ีประโยชนอ์ ะไร
3.5.1 การอ่าน (reading)
การทดสอบการอา่ นท�ำไดโ้ ดยให้ผูป้ ่วย 1) อ่านออกเสียง และ 2) ทดสอบความเข้าใจ
จากการอ่าน โดยการทดสอบให้เรมิ่ จากคำ� ง่ายๆ กอ่ น เมอื่ ผูป้ ว่ ยท�ำได้ จึงคอ่ ยเพ่มิ ระดับความยากเป็น
ประโยค และเป็นย่อหนา้ ตวั อยา่ งการทดสอบ เช่น ยนื่ ประโยคเหล่านีใ้ หผ้ ู้ป่วย
● หลับตา (ให้อา่ นและทำ� ตาม)
● ยกมือขวาขึ้นหากคุณอายุมากกว่า 60 (ใหอ้ ่านและท�ำตาม)
● สมชายไปซ้อื ของท่ีตลาด (ใหอ้ ่าน จากนั้นผู้ตรวจถามวา่ สมชายไปไหน)
● เด็กผู้ชายเดินไปโรงเรียนกับเด็กผู้หญิง (ให้อ่าน จากน้ันผู้ตรวจถามว่าเด็กผู้ชาย
เดินไปโรงเรียนคนเดยี วใช่ไหม)
34 | การประเมนิ พุทธิปญั ญา Cognitive Assessment
• ส่วนการอ่านที่เป็นย่อหน้า อาจท�ำโดยเตรียมข่าวหนังสือพิมพ์ หรือบทความหนึ่ง
ยอ่ หนา้ ส้นั ๆ ให้ผู้ปว่ ยอา่ น เมื่ออ่านเสร็จให้ผปู้ ว่ ยสรปุ ความเข้าใจในสิง่ ทอ่ี า่ น
3.5.2 การเขยี น (writing)
ทดสอบด้วยการใหผ้ ู้ป่วยเขยี นค�ำต่างๆ ตามที่ผูต้ รวจบอก ตัวอย่างค�ำเชน่
● ปกครอง
● อนั ตราย
● อุบตั เิ หตุ
● บรรพบุรษุ
[คำ� ทใ่ี ชข้ า้ งตน้ ผทู้ จี่ บการศกึ ษานอ้ ยกวา่ ประถม 4 อาจจะเขยี นไมไ่ ด้ การแปลผลจงึ ควรเทยี บ
กบั ระดบั การศึกษาเดิมของผปู้ ่วยด้วย]
เมื่อผู้ป่วยเขียนเป็นค�ำได้ จากนั้นจึงให้ลองเขียนเป็นประโยค ท�ำได้โดยให้ผู้ป่วย “เขียน
เลา่ เรอ่ื งราวเกยี่ วกบั วนั หยุดท่ผี ่านมา” (เชน่ ไปไหน ทำ� อะไรมาบ้าง) หรอื “บรรยายเกย่ี วกับบ้านของ
ตวั เอง”
ทงั้ นกี้ ารทดสอบการเขยี นไมค่ วรท�ำโดยใหผ้ ปู้ ว่ ยเขยี นชอ่ื ตวั เอง เนอื่ งจากการเขยี นชอ่ื เปน็ สงิ่
ที่เสยี ยากท่ีสุด ผปู้ ่วยหลายคนทมี่ ีอาการ agraphia ชัดเจนอาจยงั พอสามารถเขียนชอ่ื ตวั เองได้
4. Aphasia syndrome
ภาวะ aphasia ที่พบไดบ้ ่อยหรอื ควรรู้ มีดงั ต่อไปน้ี
4.1 Broca’s aphasia
Broca’s aphasia มีชื่อเรียกอน่ื ๆ ไดแ้ ก่ expressive aphasia หรือ motor aphasia
เป็นความผิดปกติทเ่ี กดิ จากรอยโรคบรเิ วณ Broca’s area หรือ left inferior frontal lobe (ตรงกบั
Brodmann’s area 44) ลักษณะเด่นของ Broca’s aphasia คอื
● การพูดไม่คล่อง (non-fluent)
● agrammatism
● แตผ่ ปู้ ว่ ยยังสามารถฟังรูเ้ รือ่ ง (comprehension ปกติ หรือหากเสยี กม็ ักเสียเพยี ง
เล็กน้อยในประโยคซบั ซ้อน)
นอกจากนี้การพดู ทวนและการอ่านออกเสียงกจ็ ะเสยี ไปดว้ ยอย่างชดั เจน
ผู้ป่วยที่เป็น Broca’s aphasia มักจะมีอาการอ่อนแรงของแขนขาด้านขวาร่วมไปด้วย
การพยากรณโ์ รคใน Broca’s aphasia ดกี วา่ ใน global aphasia และ Wernicke’s aphasia เนอ่ื งจาก
ผูป้ ่วยยังคงความสามารถในการฟัง ท�ำใหส้ ามารถปรับตัวไดด้ กี ว่า
บทท่ี 3 ภาษา (Language) | 35
4.2 Wernicke’s aphasia
ชอื่ อน่ื ๆ ของ Wernicke’s aphasia ไดแ้ ก่ sensory aphasia หรอื receptive aphasia เปน็
ความผิดปกติที่เกดิ จากรอยโรคท่ี Wernicke’s area หรือ superior temporal lobe (Brodmann’
area 22) อาการเดน่ ได้แก่
● พดู คลอ่ ง ดว้ ยความเรว็ ใกล้เคียงปกติ (fluent)
● แต่เสียความสามารถในการเขา้ ใจการพูด (comprehension)
● มี phonemic และ semantic paraphasia ในขณะท่ี syntax มักจะยังปกติหรือ
ผิดเพยี งเล็กน้อย
ผปู้ ว่ ยจะมลี กั ษณะตรงขา้ มกบั Broca’s aphasia คอื จะพดู คลอ่ ง พดู ดว้ ยความเรว็ ปกติ แตจ่ ะ
มกี ารพดู ผดิ แบบ paraphasia ซงึ่ ความผดิ ปกตนิ เี้ ปน็ ไดต้ งั้ แต่ พดู ผดิ เปน็ บางครงั้ แตย่ งั พอเดาประโยคที่
พดู ได้ ไปจนถงึ ผดิ อยา่ งรนุ แรง จนกลายเปน็ ประโยคทจี่ บั ใจความอะไรไมไ่ ดเ้ ลย เรยี กวา่ jargon aphasia
อาการส�ำคัญอีกอยา่ งหน่ึงของ Wernicke’s aphasia คือผู้ปว่ ยจะเสียความสามารถในการเข้าใจภาษา
ทำ� ใหผ้ ปู้ ว่ ยตอบไมต่ รงคำ� ถาม โดยทต่ี วั ผปู้ ว่ ยเองกไ็ มร่ วู้ า่ คำ� ตอบทตี่ วั เองตอบไมเ่ หมาะสม และเนอื่ งจาก
ศนู ยก์ ารทำ� งานเรอ่ื งการเขา้ ใจภาษาเสยี Wernicke’s aphasia จงึ เสยี ความสามารถในการพดู ทวน อา่ น
และเขียนไปด้วย
เนื่องจากรอยโรคของ Wernicke’s aphasia มักจะจ�ำกัดอยู่แค่บริเวณ temporal และ
parietal lobe ผปู้ ว่ ย Wernicke’s aphasia จงึ มกั ไมม่ ภี าวะแขนขาออ่ นแรง ทำ� ใหห้ ลายครงั้ ผปู้ ว่ ยมกั ถกู
มองวา่ เปน็ โรคจติ (psychotic disorders) เนอื่ งจากพดู ไมร่ เู้ รอ่ื ง และตอบไมต่ รงคำ� ถาม ในประสบการณ์
ผู้นิพนธ์พบผู้ป่วยท่ีเป็น Wernicke’s aphasia ถูกส่งมาตรวจแผนกจิตเวชประมาณปีละ 1-2 ราย
ซงึ่ ถอื วา่ เปน็ ความผดิ พลาดทรี่ า้ ยแรงในการวนิ จิ ฉยั ดงั นน้ั แพทยโ์ ดยเฉพาะทหี่ อ้ งฉกุ เฉนิ และจติ แพทยจ์ งึ
จำ� เป็นตอ้ งมคี วามร้ใู นการตรวจประเมินดา้ นภาษา และสามารถให้การวินิจฉยั ภาวะนไ้ี ด้
36 | การประเมนิ พุทธปิ ัญญา Cognitive Assessment
Wernicke’s aphasia และ Broca’s aphasia กับความเขา้ ใจผดิ ทีพ่ บบ่อย
ความเขา้ ใจผิดท่พี บบอ่ ยที่สดุ คอื มักมีการกลา่ วกันวา่
Wernicke’s aphasia อาการคือ “ฟงั ไมร่ ูเ้ รือ่ ง แตพ่ ูดร้เู รื่อง”
ในขณะท่ี Broca’s aphasia คือ “พูดไม่รูเ้ รอื่ ง แตฟ่ งั รเู้ รื่อง”
คำ� กลา่ วนถ้ี กู แคบ่ างส่วนแต่ไมท่ ั้งหมด เพราะในความเปน็ จรงิ แลว้ aphasia ท้งั สองแบบ
จะพูดไม่รู้เรื่องทั้งคู่ แต่เกิดจากองค์ประกอบท่ีต่างกัน Broca’s aphasia ถึงแม้จะตัดเรื่องพูด
ตะกกุ ตะกกั เปน็ คำ� ๆ ออกไป ประโยคทพ่ี ดู ออกมากม็ กั จะเขา้ ใจยาก อนั เกดิ จาก agrammatism
เปน็ หลัก สว่ น Wernicke’s aphasia การพูดไมร่ ูเ้ รอ่ื งจะเกิดจาก phonemic และ semantic
paraphasia เปน็ หลกั
ตวั อยา่ งการพูดของ Broca’s aphasia
“เออ่ .... เอ่อ .... ผม .... ผม .... ข้าว ..... เมอื่ วาน ..... กินขา้ ว ...... นอก .... เออ่ .... ขา้ งนอก”
[วิเคราะห์: คนไข้มีลกั ษณะพดู ไม่คล่อง และมีความผิดปกติแบบ agrammatism ไม่มี กรยิ า (ไป)
และวางคำ� สลับตำ� แหนง่ ประโยคทถ่ี ูกตอ้ งคอื “เมือ่ วานผมไปกินขา้ วขา้ งนอก”]
ตวั อยา่ งการพดู ของ Wernicke’s aphasia
“เมื่อวานผมไปถนน ไปซ้ือของ ซ้ือผักท่ี เอ่อ ...สีเขียวๆ เป็นแท่งยาวๆ ต้ังใจเอามาดัดกิน”
[วิเคราะห์: คนไขพ้ ูดดว้ ยความเร็วใกล้เคยี งปกติ แตม่ พี ูดผดิ หลายครง้ั ประโยคแรกทต่ี ัง้ ใจพูดคอื
“เมือ่ วานผมไปตลาด” เป็น semantic paraphasia ทีใ่ ช้ค�ำว่า ถนน แทน ตลาด สว่ นประโยค
ผักสเี ขียวแทง่ ยาวๆ คือ หน่อไม้ฝรั่ง เป็น semantic paraphasia แบบนึกค�ำไมอ่ อก และสดุ ทา้ ย
ทต่ี ัง้ ใจพดู คือ “เอามาผดั กนิ ” แต่มกี ารออกเสยี งผดิ เป็น phonemic paraphasia]
บทที่ 3 ภาษา (Language) | 37
4.3 Global aphasia
Global aphasia เป็น aphasia อกี ชนดิ หน่งึ ท่ีพบไดบ้ ่อย หากสรปุ ง่ายๆ global aphasia
คือผปู้ ่วยมีอาการทง้ั แบบ Wernicke’s และ Broca’s aphasia ผ้ปู ว่ ยมกั พูดได้แค่เป็นคำ� ๆ ติดๆ ขัดๆ
ท่ีฟังไมร่ ้เู รอื่ ง เชน่ “... กะ .... กะ .... กิน ..... นะ ... นะ.....” และเสียความสามารถในการเข้าใจภาษา
รวมไปถึงการทวนคำ� การเขียน และการอ่าน
พยาธิสภาพของสมองที่ท�ำให้เกิด global aphasia คือรอยโรคที่กินบริเวณท้ัง inferior
frontal lobe และ superior temporal lobe สาเหตทุ พี่ บบ่อยทสี่ ดุ เกดิ จากโรคเสน้ เลอื ดสมองอดุ ตนั
ท่ี internal carotid artery หรือต�ำแหน่งตน้ ๆ ของ middle cerebral artery ซง่ึ ผปู้ ว่ ยจะมอี าการ
แขนขาออ่ นแรงร่วมด้วย
การพยากรณ์โรคใน global aphasia นั้นไมด่ ี ผู้ป่วยมักมอี าการรนุ แรง ทั้งฟังไมเ่ ขา้ ใจและ
พดู ไมไ่ ด้ จงึ เสียความสามารถในการสอ่ื สารทง้ั หมด ทำ� ใหป้ รบั ตัวได้ยาก และอาการมักจะไมค่ อ่ ยฟื้นตัว
แม้เวลาจะผ่านไปนานกต็ าม
4.4 Conduction aphasia
อาการเด่นของ conduction aphasia คือผู้ป่วยเสียความสามารถในการทวนค�ำ
อย่างมาก ในขณะทคี่ วามคล่องและความเขา้ ใจในภาษายงั คอ่ นขา้ งดีอยู่ ผูป้ ่วยอาจจะมกี ารลงั เล นกึ คำ�
ไมอ่ อก และมี phonemic paraphasia บา้ งเลก็ นอ้ ย การอา่ นใน conduction aphasia ยงั คอ่ นขา้ งดอี ยู่
สว่ นการเขยี นอาจจะมสี ะกดคำ� ผิด เลือกค�ำไม่เหมาะ หรือผดิ ไวยากรณไ์ ด้บ้าง
พยาธสิ ภาพที่ท�ำใหเ้ กิดอาการ conduction aphasia ได้แก่ รอยโรคที่ 1) supramarginal
gyrus + arcuate fasciculus หรือ 2) insula, auditory cortex + white matter บริเวณ
ดังกล่าว รูปที่ 3.2 แสดงตำ� แหนง่ ของ arcuate fasciculus
รปู ที่ 3.2 Arcuate fasciculus, anterior and posterior language areas
38 | การประเมินพุทธปิ ญั ญา Cognitive Assessment
4.5 Anomic aphasia
ในผปู้ ว่ ยทม่ี ปี ญั หาเรอื่ งภาษา บางรายมคี วามผดิ ปกตเิ ดน่ เฉพาะในเรอ่ื งของการนกึ ค�ำไมอ่ อก
(word-finding difficulty) และไม่สามารถบอกช่ือวัตถุสิ่งของได้เม่ือท�ำการทดสอบ confrontation
naming test ซึ่งอาการลกั ษณะนีเ้ รยี กว่า anomic aphasia หรอื ชือ่ เรียกอ่นื ๆ ไดแ้ ก่ nominal หรือ
amnestic aphasia ผปู้ ว่ ยจะพดู ไดค้ ลอ่ งดี อาจจะมตี ดิ ขดั บา้ งทเี่ กดิ จากการนกึ คำ� ไมอ่ อก สว่ นการเขา้ ใจ
ภาษาและการพดู ทวนอยู่ในเกณฑ์ปกติ
ความผิดปกติแบบ anomic aphasia ไม่มีต�ำแหน่งรอยโรคท่ีเฉพาะเจาะจง สามารถเกิด
ได้จากรอยโรคหลายต�ำแหน่ง ดังนั้นความผิดปกติแบบน้ีจึงไม่ช่วยในการหาต�ำแหน่งพยาธิสภาพ
ในสมองสักเท่าไหร่ จากการศึกษาพบว่ารอยโรคท่ีท�ำให้เกิดอาการแบบ anomic aphasia ได้แก่
posteroinferior frontal cortex, temporal lobe (โดยเฉพาะที่ second and third temporal
gyri) และ parietotemporal area โดยในต�ำแหน่งหลังสุดน้ีมักจะเกิดคู่กับอาการ agraphia และ
alexia ตารางที่ 3.4 สรุปลักษณะอาการเด่นของ aphasia ท่ีส�ำคัญและต�ำแหน่งของสมองท่ีสัมพันธ์
กบั ความผิดปกติ
53
ตาราตงาทร่ี า3ง.4ท ี่ 3ส.ร3ปุ สลรักุปษลณกั ะษขณอะงขaอpงhaaspiahaชsนiaดิ ตช่านงๆิดตแา ลงะๆตำ� แแลหะนต่งําขแอหงสนมงอขงอทง่ีสสัมมพอันงทธ์สี่ ัมพันธ
Aphasia Fluency Comprehension Repetition ตาํ แหนง ท่ีผิดปกติใน
สมอง
Wernicke’s Posterior superior
9X X temporal
(Wernicke’s area)
Broca’s X 9 X Inferior frontal
(Broca’s area)
Global X X X ทัง้ Wernicke’s และ
Broca’s areas
Conduction 9 9 X Arcuate fasciculus
Anomic Temoral,
99 9 parietotemporal
area
9 = ปกติ, X = ผิดปกติ
(อ้างอ(ิงอแา ลงะอดงิ ัดแแลปะลดงัดจแาปกลCงuจmากmCinugms amndingMseagna,d2M00e3g;aH,o2d0g0e3s;, H20o0d7g)es, 2007)
4.6 Alexia
ความผิดปกติเฉพาะของ alexia ที่มักเปนที่พูดถึงคือภาวะ alexia without
agraphia ผปู ว ยจะสามารถเขียนไดอยา งปกติ แตไ มส ามารถอานไดก ระทั่งสิ่งท่ีตัวเองเขียน
ในขณะที่ความเขา ใจในภาษาพูดยงั เปน ปกติ สาเหตุของโรคเกดิ จากการอุดตันของเสนเลือด
บทท่ี 3 ภาษา (Language) | 39
4.6 Alexia
ความผดิ ปกตเิ ฉพาะของ alexia ทมี่ กั เปน็ ทพี่ ดู ถงึ คอื ภาวะ alexia without agraphia ผปู้ ว่ ย
จะสามารถเขยี นไดอ้ ยา่ งปกติ แตไ่ มส่ ามารถอา่ นไดก้ ระทง่ั สงิ่ ทตี่ วั เองเขยี น ในขณะทค่ี วามเขา้ ใจในภาษา
พดู ยงั เปน็ ปกติ สาเหตขุ องโรคเกดิ จากการอดุ ตนั ของเสน้ เลอื ดที่ left posterior cerebral artery ทำ� ให้
เกิดรอยโรคบรเิ วณ occipital lobe และ corpus callosum ดา้ นซ้าย (รูปที่ 3.3) เนือ่ งจาก visual
cortex ดา้ นซา้ ยเสียหาย ทำ� ใหข้ ้อมูลจากการมองเหน็ จะผ่านมาจากสมองซกี ขวาเท่าน้ัน แต่เนื่องจาก
รอยโรคกินบริเวณไปถงึ corpus callosum ด้วย ทำ� ให้ข้อมลู จาก visual cortex ขา้ งขวาไมส่ ามารถ
ผา่ นไป inferior parietal lobe ข้างซ้าย (area 39, 40) ซ่ึงเป็นสมองสว่ นทเ่ี ชื่อมโยงข้อมลู การมองเหน็
กับเร่ืองการอ่านและเขียน ท�ำให้ผู้ป่วยไม่สามารถอ่านได้ แต่ยังสามารถเขียนได้เน่ืองจากสมองบริเวณ
ดงั กล่าวยงั ปกตอิ ยู่
รปู ที่ 3.3 รอยโรคใน alexia without agraphia รอยโรคเกดิ บริเวณ occipital lobe และ corpus
callosum ด้านซ้ายท�ำให้ข้อมูลการมองเห็นที่มาจาก visual cortex ของสมองซีกขวา
ไม่สามารถส่งผ่านไปยัง inferior parietal cortex ข้างซ้ายได้ ท�ำให้ผู้ป่วยอ่านไม่ออก
แตย่ ังคงเขียนไดอ้ ยู่
ความผดิ ปกตอิ ีกชนดิ หนง่ึ ของ alexia ทพ่ี บไดค้ ือ alexia with agraphia ภาวะน้ผี ปู้ ่วย
จะเสียความสามารถทงั้ การอ่านและการเขยี น โดยไมไ่ ด้มอี าการ aphasia ที่ชัดเจน ซ่งึ เกดิ จากรอยโรค
บริเวณ inferior parietal lobe (angular gyrus และบรเิ วณรอบๆ)
40 | การประเมนิ พทุ ธปิ ญั ญา Cognitive Assessment
4.7 Agraphia
การเขียนเป็นกระบวนการท่ีซับซ้อนประกอบด้วยหลายขั้นตอนโดยคร่าวๆ ดังน้ี ข้อความ
ทจี่ ะเขยี นเรมิ่ จากการทำ� งานของสมองบรเิ วณ posterior language area (Wernicke’s area) และแปลง
เปน็ สญั ลกั ษณ์ (ตวั หนงั สอื ) ทส่ี มองสว่ น inferior parietal area จากนน้ั สง่ ตอ่ ไปยงั frontal language
area ผ่าน arcuate fasciculus และสง่ ข้อมูลตอ่ ไปยัง motor strip เพอ่ื ไปสู่ motor process ของ
การเขยี นตอ่ ไป ดังนั้นรอยโรคที่บรเิ วณใดบรเิ วณหนงึ่ ในข้นั ตอนนีจ้ ะสามารถทำ� ให้เกิด agraphia ได้
รปู ท่ี 3.4 บรเิ วณของสมองทเ่ี กีย่ วข้องกับการเขียน
โดยทว่ั ไปผปู้ ว่ ยทม่ี ปี ญั หา aphasia สว่ นใหญจ่ ะมปี ญั หา agraphia รว่ มดว้ ย ยกเวน้ บางภาวะ
ต่อไปนท้ี พี่ บอาการ agraphia เปน็ อาการเฉพาะ
1) Agraphia with alexia ซ่ึงกลา่ วถงึ ไปแล้วในสว่ นของ alexia
2) Agraphia with other parietal lobe signs ได้แก่ dyscalculia, right-left
disorientation และ finger agnosia (แยกน้วิ มือไม่ได)้ ซง่ึ รวมเรียกวา่ Gerstmann’s syndrome
รอยโรคเกิดท่ี parietal lobe ของสมองข้างเด่นหรอื ทัง้ สองขา้ ง
4.8 ความผดิ ปกติดา้ นภาษาในผูป้ ่วยจิตเภท vs aphasia
ความผิดปกติในเรื่องของการพูดสามารถพบได้ในโรคจิตเภทและเป็นเกณฑ์การวินิจฉัย
ข้อหนึ่งนั่นคือ disorganized speech สิ่งท่ีส�ำคัญคือการแยกได้ว่าอาการแบบใดน่าจะเป็นอาการที่
พบในโรคจติ เภท และอาการแบบใดท่ีเป็นลกั ษณะของ aphasia เพราะทัง้ 2 ภาวะนแี้ ตกต่างกันอยา่ ง
สิน้ เชงิ ในแงข่ องสาเหตแุ ละการรักษา
ประวตั กิ ารเจบ็ ปว่ ยมกั มสี ว่ นชว่ ยในการวนิ จิ ฉยั แยกโรค การใชภ้ าษาทผี่ ดิ ปกตทิ เ่ี กดิ ขนึ้ อยา่ ง
รวดเร็ว (acute onset) หรือเกดิ ในผ้สู ูงอายุ ควรนึกถงึ โรคทางกายก่อนโรคทางดา้ นจติ เวช
บทที่ 3 ภาษา (Language) | 41
ในส่วนของการตรวจประเมินด้านภาษามีข้อแตกต่างดังน้ี โรคจิตเภทความผิดปกติท่ีพบได้
บอ่ ยคอื loosening of association ซง่ึ เป็นลักษณะของประโยคหลายประโยคทเ่ี นื้อหาไม่สมั พันธ์
กันมาเรียงต่อกันท�ำให้จับใจความไม่ได้ แต่หากแยกออกมาในหน่ึงประโยคจะยังฟังรู้เรื่อง ซ่ึงต่างจาก
paraphasia ใน aphasia ทคี่ วามผิดปกตเิ กิดขึน้ ในระดบั ประโยค
ตวั อย่างของ loosening of association
แพทย์ “เรียนหนงั สอื เป็นยังไงมั่งครบั ”
ผปู้ ว่ ย “อมื ... กโ็ อเคนะ .... ผมชอบหลายวชิ าเลย ... ผมไปเรยี นเกอื บทกุ วนั วนั หนง่ึ ผมกำ� ลงั
ออกไปขา้ งนอก เออ ... ตอนนนั้ ผมอยทู่ หี่ อ รมู เมทผมเปน็ คนเชยี งใหม่ มนั ชอบดบู อล และ ... เราไปเทยี่ ว
ดว้ ยกนั อากาศรอ้ นมาก ฝนไม่ตกเลย เมื่อคนื ก็นอนไม่คอ่ ยหลบั ผมไม่รูว้ า่ จะเกิดอะไรขนึ้ ”
จะเห็นได้ว่าหากแยกออกเป็นแต่ละประโยคจะเป็นประโยคท่ีฟังรู้เรื่องและไม่ผิดปกติอะไร
แต่เม่อื นำ� มารวมกันจะจบั ใจความไม่ไดเ้ นื่องจากเน้ือหาของแตล่ ะประโยคไม่ตอ่ เนือ่ งสมั พันธ์กัน
การใช้ศพั ท์ใหม่ (neologism) สามารถพบได้ในโรคจิตเภท แต่มกั จะมีความหมายเฉพาะ
สำ� หรบั ผปู้ ว่ ย จงึ มกี ารใชซ้ ำ้� ๆ ไมก่ ค่ี ำ� และสว่ นใหญจ่ ะเกยี่ วกบั อาการหลงผดิ เชน่ ผปู้ ว่ ยโรคจติ เภทบอก
ว่า “บนผนงั มีบาดกุ๊ ฝงั อยู่ มันคอยมองและสอดแนมผม” ในขณะท่ี neologism ทเ่ี กดิ ใน Wernicke’s
aphasia มักจะเกดิ ข้นึ แบบสมุ่ ไม่มีความหมายเฉพาะ และเปลย่ี นไปเรือ่ ยๆ
แม้ผู้ป่วยโรคจิตเภทอาจมีอาการด้านการพูดได้ แต่หากทดสอบด้านภาษาอย่างละเอียดจะ
พบวา่ ผูป้ ่วยจิตเภทมคี วามเข้าใจ การเรียกช่ือ และการพูดทวนท่ีใกลเ้ คียงกับคนท่ัวไป (Charernboon
and Chompookard, 2019) แตท่ ้ังนต้ี ้องระมัดระวงั ในเรอ่ื งของความร่วมมือ เน่อื งจากบางครั้งผู้ปว่ ย
ทอี่ าการรนุ แรง อาจไมค่ ่อยรว่ มมอื ในการตรวจ ทำ� ใหค้ ะแนนออกมาดนู ้อยกว่าทค่ี วรจะเปน็
5. สรปุ
ในการตรวจเรอื่ งภาษาแมจ้ ะมหี ลายหวั ขอ้ และมรี ายละเอยี ดคอ่ นขา้ งมาก ผทู้ ฝ่ี กึ ตรวจใหมๆ่
อาจจะใชเ้ วลานาน แตท่ จี่ รงิ แลว้ ไมใ่ ชเ่ รอื่ งยากหากมคี วามเขา้ ใจ ผทู้ ชี่ ำ� นาญแลว้ การพดู คยุ กบั ผปู้ ว่ ยเพยี ง
ไม่กีน่ าทมี ักสามารถสังเกตเห็นความผดิ ปกตขิ องผู้ปว่ ยไดแ้ ล้ว เพราะผปู้ ่วยที่มปี ญั หาความคล่องในการ
พดู กม็ กั จะเหน็ ไดช้ ดั เจนเปน็ อาการแรกๆ สว่ นผปู้ ว่ ยทม่ี ปี ญั หาความเขา้ ใจ ผตู้ รวจกม็ กั จะสงั เกตไดต้ งั้ แต่
เวลาถามตอบท่วั ไป ทผี่ ูป้ ่วยดจู ะตอบไมต่ รงค�ำถาม หรอื พดู เรอื่ งอะไรไม่รูอ้ อกมา ร่วมกับพบว่ามีปญั หา
paraphasia ส่ิงทต่ี อ้ งท�ำการตรวจเพมิ่ เตมิ คือ เร่อื งของความเข้าใจ การพดู ทวน และการเรยี กชอื่ ซ่งึ
การทดสอบ 4-5 ค�ำถามต่อการท�ำงานก็มักจะให้ข้อมูลได้พอสมควร ท�ำให้การประเมินด้านภาษา
เบื้องต้นสามารถท�ำได้ในเวลา 5-10 นาทีเท่าน้ัน นอกจากผู้ป่วยที่อาการไม่ชัดเจนหรือสงสัยความ
ผดิ ปกตเิ ฉพาะบางอยา่ งจงึ คอ่ ยสง่ ตรวจเพ่มิ เตมิ ดว้ ยแบบประเมินมาตรฐานต่อไป
42 | การประเมนิ พทุ ธิปญั ญา Cognitive Assessment
เอกสารอา้ งอิง
Charernboon, T. and Chompookard P. (2019). Detecting cognitive impairment in patients
with schizophrenia with the Addenbrooke’s Cognitive Examination. Asian
Journal of Psychiatry, 40, pp. 19-22.
Charernboon, T., Jaisin, K. and Lerthattasilp, T. (2016). The Thai Version of the
Addenbrooke’s Cognitive Examination III. Psychiatry Investigation, 13(5),
pp. 571-573.
Cummings, J.L. and Mega, M.S. (2003). Neuropsychiatry and Behavioral Neuroscience.
Oxford: Oxford University Press.
Glosser, G., Kohn, S.E., Friedman, R.B., Sands, L. and Grugan, P., (1997). Repetition of
single words and nonwords in Alzheimer’s disease. Cortex, 33(4), pp. 653-666.
Hodges, J.R. (2007). Cognitive Assessment for Clinicians, 2nd edition. Oxford: Oxford
University Press.
Purves, D., Augustine, G.J., Fitzpatrick, D., Hall, W.C., LaMantia, A.S. and White, L.E. (2012).
Neuroscience, 5th edition. Sunderland: Sinauer Associates Inc.
Tangwongchai, S., Phanasathit, M., Charernboon, T., Akkayagorn, L., Hemrungrojn, S.,
Phanthumchinda, K. and Nasreddine, Z.A. (2009). The Validity of Thai version
of The Montreal Cognitive Assessment (MoCA-T), Dementia & Neuropsycho-
logia, 3(2), p. 173.
Welch, L.W., Doineau, D., Johnson, S. and King, D. (1996). Educational and gender
normative data for the Boston Naming Test in a group of older adults. Brain
and language, 53(2), pp. 260-266.