สรรค์สร้างอย่างไทย : บทวิเคราะห์
พระอุโบสถและพระเจดีย์ วัดวังพุไทร
ผูช้ ว่ ยศาสตราจารย์ วีระ อนิ พันทงั
ความเปน็ มาของโครงการ งานกอ่ สรา้ งพระอโุ บสถและพระเจดยี แ์ ลว้ เสรจ็ ในปลายปี พ.ศ. ๒๕๓๖ ทง้ั นี้
วัดวังพุไทรต้ังอยู่บนเนินเขาขนาดย่อมที่อําเภอหนองหญ้าปล้อง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระบรม
โอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จพระราชดําเนินแทนพระองค์ไปทรง
จังหวัดเพชรบุรี แวดล้อมด้วยป่าไม้เบญจพรรณและเทือกเขาเป็นบริเวณ บรรจุพระบรมสารีริกธาตุในพระเจดีย์และตัดลูกนิมิตร พระอุโบสถ เม่ือ
กวา้ ง การกอ่ สรา้ งวดั ไดเ้ รม่ิ ขน้ึ เมอ่ื พ.ศ. ๒๕๑๖ ในนาม ”สาํ นกั สงฆว์ งั พไุ ทร„ วันที่ ๘ มถิ ุนายน ๒๕๓๗
โดยสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก
ทรงรับไวใ้ นพระสังฆราชปู ถัมภ์ แนวความคดิ ในการออกแบบ
วัดวังพุไทรเป็นวัดในพระสังฆราชูปถัมภ์ของสมเด็จพระญาณสังวร
การก่อสร้างวัดวังพุไทรดําเนินไปตามแนวพระราชดําริของสมเด็จ
พระสังฆราช ซ่งึ ทรงประทานวัตถุประสงค์ในการสร้างวดั ไว้ ๔ ประการคือ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก ซ่ึงครองวัดบวรนิเวศวิหาร
สําหรับอาคารสําคัญในวัดบวรนิเวศวิหารอย่างพระอุโบสถและพระเจดีย์
๑. เพื่อการเผยแพร่พระพุทธศาสนาให้เกิดความร่มเย็นเป็นสุขแก่ มีแบบอย่างศิลปะสถาปัตยกรรมสมัยรัชกาลที่ ๔ แนวความคิดหลักในการ
ราษฎรทอี่ าศยั อยู่ในถน่ิ น้ัน ออกแบบพระอโุ บสถและพระเจดยี ว์ ดั วงั พไุ ทรจงึ ไดถ้ อื เอาศลิ ปะสถาปัตยกรรม
สมัยรัชกาลท่ี ๔ เป็นแม่แบบด้วย ท้ังน้ีการออกแบบพระอุโบสถและ
๒. เพื่ออบรมพระสงฆ์และเผยแพร่พระธรรมในถิ่นทุรกันดาร พระเจดยี ว์ ดั วงั พไุ ทรมไิ ดย้ ดึ เอารปู แบบศลิ ปะสถาปตั ยกรรมสมยั รชั กาลท่ี ๔
๓. เพ่ืออนุรักษ์ป่าไม้และรักษาสภาพต้นน�้ำลําธารและทําป่าไม้ให้เป็น เปน็ แมแ่ บบโดยตรง แตไ่ ดป้ ระยกุ ตใ์ หม้ ขี นาดเลก็ ลงสอดคลอ้ งกบั สถานภาพ
วนอทุ ยานเพอ่ื ความร่มเย็นของประชาชนท่ัวไป ของวัดวังพุไทร ซ่ึงเป็นวัดขนาดเล็กตั้งอยู่ท่ามกลางป่าเขา และรวมทั้งการ
๔. เพ่ือการส่งเสริมการเกษตรแผนใหม่แก่เยาวชน และพัฒนาอาชีพ ประยุกต์ให้สอดคล้องกับวัสดุและเทคโนโลยีการก่อสร้างสมัยใหม่ ส่วนการ
ให้แกค่ นในท้องถิน่ ประดับตกแต่งพระอุโบสถและพระเจดีย์ได้ออกแบบลวดลายใหม่ที่เน้นการ
เม่ือแรกสร้างน้ันเสนาสนะสงฆ์ได้ทําข้ึนแบบง่าย ๆ พอเป็นท่ีอยู่จํา สื่อความหมายทางสัญลักษณ์แทนองค์สมเด็จพระสังฆราช เช่น การใช้สีฟ้า
พรรษาของพระภิกษุสามเณรได้ คือเป็นเรือนไม้หลังคามุงหญ้าคา คร้ัน อันเป็นสีประจําวันประสูติ การบรรจุรูปช้างที่ส่ือความหมายถึงนามสกุลเดิม
พ.ศ. ๒๕๑๙ จงึ ไดม้ กี ารกอ่ สรา้ งอาคารถาวรขน้ึ ประกอบดว้ ยศาลาการเปรยี ญ ”คชลักษณ์„ เป็นองค์ประกอบในการผูกลาย กล่าวได้ว่าการออกแบบ
ซ่งึ เปน็ อาคาร ๒ ชัน้ ขนาดกวา้ ง ๑๘.๐๐ เมตร ยาว ๒๑.๐๐ เมตร ๑ หลงั และ พระอุโบสถและพระเจดีย์มุ่งที่จะให้รูปแบบที่สะท้อนถึงการเป็นวัดประจํา
กุฏิไมท้ รงไทยอีก ๕ หลงั พระองคข์ องสมเดจ็ พระญาณสงั วร สมเดจ็ พระสงั ฆราชสกลมหาสงั ฆปรนิ ายก
เสนาสนะสงฆต์ า่ ง ๆ ไดร้ บั การกอ่ สรา้ งตอ่ เนอ่ื งมาโดยลาํ ดบั จนกระทัง่
พ.ศ. ๒๕๓๖ กระทรวงศึกษาธิการได้มีหนังสือประกาศอนุญาตให้ต้ังวัดใน การวางผัง
พระพุทธศาสนานามว่า ”วัดวังพุไทร„ ข้ึนบนเนื้อที่ ๑๒๓ ไร่ ๒ งาน สภาพภูมิประเทศอันเป็นท่ีตั้งวัดวังพุไทรมีลักษณะเป็นเนินเขา
๘๘ ตารางวา วัดวังพุไทรได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาขนาดกว้าง
๒๒.๒๐ เมตร ยาว ๓๓.๐๐ เมตร รวมเนอ้ื ท่ี ๗๓๒.๖ ตารางเมตร เมอื่ วนั ท่ี ขนาดย่อม ท่ัวบริเวณเป็นป่าไม้เบญจพรรณ ส่วนพ้ืนที่ด้านตะวันตกของวัด
๑๓ มกราคม ๒๕๓๗ เปน็ ลาดเนนิ ตำ่� ลงสอู่ า่ งเกบ็ นำ�้ ขนาดเลก็ ซงึ่ สามารถกกั เกบ็ นำ้� ไดร้ าว ๔๓๐,๐๐๐
สําหรับการก่อสร้างพระอุโบสถวัดวังพุไทรได้เริ่มข้ึนโดยสมเด็จ ลูกบาศก์เมตร ตามลาดเนินเป็นที่ตั้งของกุฏิขนาดเล็ก วางแทรกอยู่ในหมู่ไม้
พระสังฆราชทรงประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์ ณ บริเวณพระอุโบสถรังสี เป็นระยะ มีเส้นทางตัดลดเล้ียวเชื่อมต่อถึงกัน ที่ยอดเนินเป็นท่ีตั้งของ
วัดบวรนิเวศวิหาร เมื่อวันท่ี ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๓๔ แล้วเชิญไปยัง
วัดวังพุไทรในวันเดียวกัน ส่วนพระเจดีย์น้ันสมเด็จพระสังฆราช ได้ทรง 151
ประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์ ณ วัดวังพุไทร เม่ือวันท่ี ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๖
สรรค์สร้างอย่างไทย
พระอุโบสถและพระเจดีย์ พระอุโบสถนั้นวางหันหน้าสู่ทิศตะวันออก โดยมี
องค์พระเจดีย์วางอยู่ด้านหลังหรือด้านตะวันตกของพระอุโบสถ ล้อมรอบ
พระอุโบสถและพระเจดีย์ด้วยลาน ระเบียงกําแพงแก้ว ด้านตะวันตกของ
พระอโุ บสถและพระเจดยี ์มีบันไดนาควางอย่ใู นแนวแกนเดียวกนั บนั ไดนาค
ดงั กลา่ วทอดตวั ลงสอู่ า่ งเกบ็ นำ้� ดา้ นลา่ ง อกี นยั หนงึ่ พระอโุ บสถ พระเจดยี แ์ ละ
บนั ไดนาควางเรยี งอยใู่ นแนวแกนเดยี วกนั ซง่ึ ทอดวางตามแนวทศิ ตะวนั ออก-
ตะวันตก โดยพระอุโบสถและพระเจดีย์ตั้งอยู่บนยอดเนินและเชิงบันไดนาค
หรอื หัวพญานาคอยทู่ ี่เชิงเนนิ ด้านตะวนั ตกหรือด้านอ่างเก็บน�ำ้
รูปแบบพระอุโบสถ
ลกั ษณะท่ัวไป งานประดับตกแต่ง
พระอุโบสถวัดวังพุไทรเป็นอาคารทรงโรงมีพาไลรอบ ขนาดกว้าง โดยท่ัวไปลวดลายประดับตกแต่งพระอุโบสถ ได้แก่ ปั้นลม หน้าบัน
๗.๐๐ เมตร ยาว ๒๐.๕๐ เมตร หลงั คาทรงจว่ั ลด ๓ ชน้ั มมี ขุ ยน่ื ทงั้ ดา้ นหนา้ ซุ้มประตู หน้าต่าง เป็นลวดลายปูนปั้นลงรักปิดทองลักษณะเป็นลวดลาย
และด้านหลัง หลังคามุงด้วยกระเบื้องเคลือบสีน้�ำตาลแดง ปั้นลมประดับ ดอกไม้และใบไม้ดูอ่อนช้อยและเป็นธรรมชาติ ปั้นลมเป็นปั้นลมคอนกรีต
ยอดด้วยลายปูนปั้นซ่ึงประดิษฐ์เป็นลวดลายโปร่ง ปลายด้านล่างประดิษฐ์ เสริมเหล็ก ยอดปั้นลมประดับด้วยลวดลายปูนปั้นดอกไม้และใบไม้ โดยทํา
เป็นรูปหัวสิงโต ส่วนหน้าบันประดับลายนูนบนพื้นกระจกสี สําหรับหน้าบัน เป็นลายโปร่งซ่ึงทําให้มีลักษณะเบา ส่วนที่ปลายด้านล่างของปั้นลมปั้นเป็น
มุขประดิษฐานพระนามย่อของสมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปรินายก รูปหวั สงิ ห์ ป้ันลมประดับดว้ ยกระจกสฟี ้า สีประจาํ วันศุกรซ์ ่งึ เป็นสปี ระจําวนั
”ญสส„ ฐานพระอุโบสถเป็นฐานบัว ประกอบด้วยช้ันบัวคว�่ำบัวหงาย ประตู ประสูติของสมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปรินายก หน้าบันประดับด้วย
หน้าต่างเจาะเป็นจังหวะตามช่องเสาเช่นเดียวกับการเจาะช่องเปิดในงาน ลวดลายปูนปั้นลงรักปิดทองบนพื้นประดับกระจกสีฟ้า ส่วนหน้าบันมุข
สถาปัตยกรรมไทยประเพณี ประดับซุ้มประตูหน้าต่างด้วยลวดลายปูนปั้น ประดิษฐานพระนามยอ่ ”ญสส„ เพ่อื เป็นสิริมงคลแกว่ ัดและพุทธศาสนกิ ชน
ลงรกั ปดิ ทอง บานประตู หนา้ ต่างทําด้วยไมจ้ ําหลกั ลายลงรักปิดทอง
ซุ้มประตูหน้าต่างประดับด้วยลวดลายปูนปั้นลงรักปิดทอง ส่วนบาน
โครงสรา้ งภายในพระอโุ บสถใชโ้ ครงสรา้ งเปน็ แบบฝรง่ั (Rigid Frame) ประตหู นา้ ตา่ งเปน็ ไมส้ ลกั ลาย บานประตสู ลกั ลายเปน็ รปู เสย้ี วกาง บานหน้าต่าง
เพ่ือตัดเสาร่วมในออก ให้ห้องกว้างและเพดานสูงตามแนวของโครง Rigid สลักเป็นรูปพระอินทร์ทรงช้างรองรับช้างด้วยตั่งขาสิงห์ การใช้รูปช้างเป็น
Frame ห้องพระอุโบสถยกฝ้าเพดานสูงระดับคอสองหลังคาประดับด้วย องค์ประกอบในการผูกลายเป็นสัญลักษณ์ส่ือถึงองค์สมเด็จพระสังฆราช
ดาวเพดานหล่อจากไฟเบอร์กลาสลงรักปิดทอง ด้านหลังห้องพระอุโบสถ ซ่ึงมีที่มาจากนามสกุลเดิมของพระองค์ว่า ”คชลักษณ์„ ในทํานองเดียวกัน
ประดิษฐานพระประธานพระพุทธสวัสดีศรีสุวัฒนมงคล ขนาดหน้าพระเพลา กไ็ ดป้ ระดบั สองฟากบนั ไดทางขน้ึ สพู่ ระอโุ บสถดว้ ยรปู ชา้ งหมอบ ซงึ่ สลกั จาก
๑.๙๐ เมตร ซงึ่ จาํ ลองมาจากพระพทุ ธชนิ สหี ์ พระประธานภายในพระอโุ บสถ หนิ ทรายแดง โดยนาํ แบบอย่างมาจากรปู ปั้นช้างโบราณ
วดั บวรนเิ วศวหิ าร เบอื้ งซา้ ยและขวาของพระประธานประดษิ ฐานพระโมคคลั ลานะ
และพระสารีบุตร เบื้องบนองค์พระประธานห้อยฉัตร ๕ ช้ันสีขาว รองรับ
องค์พระประธานดว้ ยฐานบัวหน้ากระดาน
152
สรรค์สร้างอย่างไทย : บทวิเคราะห์
153
สรรค์สร้างอย่างไทย
154
สรรค์สร้างอย่างไทย : บทวิเคราะห์
เจดีย์ ปนั้ ลมและหน้าบันมุข
ลวดลายปนู ปน้ั ปน้ั ลมหลงั คามขุ ผกู ลายดว้ ยลายใบไมซ้ ง่ึ เปน็ ลกั ษณะ
ลกั ษณะทั่วไป
พระเจดีย์วัดวังพุไทรมีลักษณะเป็นเจดีย์ทรงระฆัง โครงสร้างของ ทด่ี เู ปน็ ธรรมชาติ ยอดจวั่ ประดษิ ฐานลายเปน็ ชอ่ ฟา้ สว่ นปลายปน้ั ลมประดษิ ฐ์
ให้มีลักษณะคล้ายหางหงส์ หน้าบันมุขประดับด้วยลายปูนปั้นเช่นเดียวกัน
รูปทรงเจดยี ม์ สี ว่ นประกอบหลกั ๓ สว่ น คอื สว่ นฐาน องคร์ ะฆงั และปลยี อด กลางหนา้ บนั ประดบั ดว้ ยเลข ๑๙ ภายใต้ฉัตร ๓ ชัน้ ซ่ึงเป็นฉตั รประจาํ องค์
ตามแบบแผนของเจดียไ์ ทยประเพณี สมเด็จพระสังฆราช สื่อความหมายถึงสมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ ๑๙ คือ
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปรนิ ายก
ส่วนฐานของพระเจดีย์มีผังเป็นรูปส่ีเหล่ียมจัตุรัสย่อมุมไม้สิบสอง
มีมุขยื่นเป็นมุขทิศทั้ง ๔ ด้าน และด้วยการใช้โครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็ก ปัน้ ลมซุม้ คหู าหน้านาง
แทนการกอ่ ด้วยอฐิ หรือแลงอยา่ งเจดยี ใ์ นอดีต ทาํ ใหส้ ามารถเปิดภายในส่วน ลวดลายปนั้ ลมซุ้มคหู าหน้านางทัง้ ๔ ด้านขององค์พระเจดียป์ ระดบั
ฐานเป็นห้องได้ ภายในห้องพระเจดีย์นี้ประดิษฐาน ”พระไพรีพินาศ„ ขนาด
หนา้ พระเพลา ๒๕ นว้ิ ซง่ึ จาํ ลองมาจากพระไพรพี นิ าศทป่ี ระดษิ ฐานอยทู่ ม่ี ขุ ด้วยลายปูนปั้น ซึ่งผูกลายด้วยลกั ษณะเชน่ เดยี วกบั ป้นั ลมมขุ
พระเจดีย์วัดบวรนิเวศวิหาร บันไดทางข้ึนห้องพระเจดีย์จัดไว้ ๓ ทาง ท้ัง
ด้านหน้าและด้านขาง ทั้งสองด้าน ส่วนมุขพระเจดีย์ทั้ง ๔ ทิศ หลังคาเป็น งานประดบั ตกแต่งห้องพระเจดยี ์
หลังคาจ่ัวลดช้ันเป็นปีกนกคลุมโดยรอบ มุงด้วยกระเบ้ืองเคลือบสี ช่อฟ้า ห้องพระเจดีย์ปูพ้ืนด้วยหินอ่อน ฝ้าเพดานบุด้วยไม้ติดดาวเพดาน
ใบระกา หางหงส์ เปน็ ลายปูนปั้นทาสขี าวล้วน
ซึ่งหล่อจากไม้จริงจําหลัก ลงรักปิดทอง พระไพรีพินาศพระประธานภายใน
เหนือส่วนฐานซึ่งมีผังเป็นรูปส่ีเหลี่ยมจัตุรัสเปลี่ยนใช้ผังกลม ห้องพระเจดีย์ประดิษฐานบนฐานบัว หน้ากระดานบุด้วยหินอ่อน ด้านหลัง
ประกอบด้วยชั้นบัวหงาย บัวคว่�ำ ประดับด้วยซุ้มคูหาหน้านางทั้ง ๔ ทิศ พระประธานประดับด้วยซุ้มปูนปั้นลงรักปิดทองที่จําลองแบบมาจากซุ้ม
ในตําแหนง่ ทตี่ รงกบั มขุ สว่ นฐาน ภายในซมุ้ คหู าหนา้ นางประดษิ ฐานพระพทุ ธรปู พระไพรพี นิ าศวดั บวรนเิ วศวหิ ารเชน่ เดยี วกนั ทผ่ี นงั ดา้ นหลงั พระประธานเจาะ
ต่างปางกัน โดยซุ้มด้านทิศเหนือประดิษฐานพระพุทธรูปปางลีลา ซุ้มด้าน ชอ่ งเปดิ ลกู ฟกั ประดบั ดว้ ยกระจกสี ผกู ลายเปน็ รปู ลายใบไมด้ อกไม้ สว่ นชอ่ ง
ทศิ ใตป้ ระดษิ ฐานพระพทุ ธรปู ปางประทานพร ซมุ้ ดา้ นทศิ ตะวนั ออกประดษิ ฐาน เปิดที่มุมผนังด้านข้าง ลูกฟักประดับด้วยกระจกสีเช่นเดียวกัน โดยผูกลาย
พระพุทธรูปปางห้ามญาติ ส่วนซุ้มด้านทิศตะวันตกประดิษฐานพระพุทธรูป เป็นลายเทพชุมนุมตามคตินิยมในการตกแต่งภาพจิตรกรรมหลังองค์
ปางราํ พึง พระประธาน แต่ประยุกต์ใช้กระจกสีซ่ึงให้ท้ังภาพท่ีงามตาและแสงสว่างจาก
ภายนอกสามารถส่องผ่านสู่องค์พระประธาน ได้กล่าวได้ว่า พระอุโบสถและ
ถัดจากชนั้ บัวหงาย บัวควำ่� ถึงชน้ั บวั ลูกแกว้ ๓ ช้นั รองรบั องค์ระฆงั พระเจดยี ์ วดั วงั พไุ ทร เปน็ รปู แบบทสี่ บื ทอดงานสถาปตั ยกรรมแบบไทยประเพณี
ซึ่งมีขนาดเล็กและเพรียว องค์ระฆังที่เล็กเพรียวดังกล่าวทําให้องค์พระเจดีย์ ไวใ้ นกาลปจั จบุ นั แมว้ า่ จะมรี ปู แบบทเี่ กดิ จากการรงั สรรคข์ น้ึ ใหม่ และใชว้ สั ดุ
มีภาพโดยรวมทดี่ ไู มใ่ หญโ่ ต และสง่ ทรงใหด้ สู งู สมั พนั ธก์ บั ขนาดพระอุโบสถ ก่อสรา้ งและเทคโนโลยกี ารกอ่ สรา้ งสมยั ใหม่ทแ่ี ตกตา่ งไปจากอดตี กาล.
สมฐานะของวัดที่เป็นวัดท่ามกลางป่าเขา เหนือองค์ระฆังเป็นบัลลังก์และ
ปลียอด ส่วนทยี่ อดบนสุดของพระเจดยี ์ประดบั ด้วยฉตั ร ๕ ชั้น ข้อมลู โครงการ
ช่ือโครงการ : พระอโุ บสถและพระเจดยี ว์ ัดวังพุไทร
งานประดบั ตกแตง่ ท่ตี ง้ั : ตาํ บลหนองหญา้ ปลอ้ ง อาํ เภอหนองหญา้ ปลอ้ ง จงั หวดั เพชรบรุ ี
งานประดับตกแต่งองค์พระเจดีย์เน้นลักษณะท่ีเรียบง่ายตาม เจ้าของ : วดั วงั พไุ ทร ในสังฆราชปู ถมั ภ์
ผอู้ อกแบบ : สถาปนกิ วนิดา พึง่ สุนทร
ลกั ษณะของพระเจดยี ์ ทม่ี ขี นาดไมใ่ หญน่ กั ลวดลายโดยทว่ั ไปจงึ เปน็ ลวดลาย วิศวกรโครงสรา้ ง บญั ชา ชมุ่ เกษร
ปูนปั้นทาสีขาวล้วน สําหรับรูปแบบของลวดลายน้ันผูกข้ึนใหม่ด้วยลวดลาย งบประมาณ : พระอุโบสถ ๙,๐๐๐,๐๐๐ บาท
ใบไมเ้ ปน็ หลกั และรปู สญั ลกั ษณท์ สี่ อื่ ความหมายแทนองคส์ มเดจ็ พระสงั ฆราช พระเจดยี ์ ๓,๕๐๐,๐๐๐ บาท
ปที ี่สร้างเสรจ็ : ๒๕๓๖
155
สรรค์สร้างอย่างไทย
เมรหลวงปสู่ ิม พุทธาจาโร (พระญาณสทิ ธาจารย)์ สําคัญๆ ทําให้เราคิดได้ว่ายังมีสถาปัตยกรรมไทยประเพณีอีกลักษณะหนึ่ง
สาํ นักสงฆ์ถำ�้ ผาปลอ่ ง ท่ีมิใช่เป็นสถาปัตยกรรมถาวร แต่มีความสําคัญและต้องอาศัยสถาปนิก
ผู้เข้าใจและชาํ นาญงานในการออกแบบ จงึ จะไดส้ ถาปตั ยกรรมไทยประเพณี
ศาสตราจารย์ อรศิริ ปาณินท์ ลักษณะช่วั คราวหรอื เฉพาะกิจท่มี คี ณุ ค่าได้ ซงึ่ เป็นเรื่องราวทีส่ มควรศึกษา
เมรุ อะไรคอื ลักษณะเด่นของสถาปตั ยกรรมไทยประเพณีแบบเฉพาะกจิ
เมื่อกล่าวถึงเมรุ ในจินตนาการของผู้คนอาจมีต่างกัน ภาพท่ีปรากฏ ตามช่ือประเภทสถาปัตยกรรมเฉพาะกิจก็คือ สถาปัตยกรรมท่ีสร้าง
ในความคดิ คาํ นงึ ของแตล่ ะคนจะออกมาตามประสบการณแ์ ละสงั คมแวดล้อม เพื่อใช้งานช่ัวคราวตามระยะเวลาท่ีจําเป็นต้องใช้ เมื่อหมดความต้องการใช้
ของแต่ละบุคคล บางคนอาจนึกเหน็ ภาพเป็นเพยี งเชิงตะกอนที่ยกแทน่ สงู ขึน้ งานแลว้ กต็ ้องรื้อถอนออกไป ดังนัน้ งานลักษณะดังกล่าวจาํ เป็นตอ้ งออกแบบ
ไปแบบง่ายๆ ท่ีพบเห็นได้ตามชนบท เป็นท่ีที่เพียงเอาโลงศพมาวางจุดไฟ ให้สร้างง่ายร้ือสะดวกไม่ต้องมีฐานรากที่ยึดติดลงไปในดิน แต่ต้องแข็งแรง
เผาศพก็จะมอดไหม้ไป ตําแหน่งที่ต้ังเชิงตะกอนดังกล่าวก็จะตั้งอยู่ท้าย รองรับปริมาณการใช้งานได้อย่างเหมาะสมและต้องให้คุณลักษณะของ
หมู่บ้าน หรือในที่โล่งท่ีห่างไกลบ้านเรือน รอบๆเชิงตะกอนจะมีที่ว่างมาก สถาปตั ยกรรมไทยประเพณที งี่ ดงามดว้ ย สถาปนกิ ทอี่ อกแบบสถาปตั ยกรรมไทย
พอท่ีจะให้ญาติพ่ีน้องมาเฝ้าและเคารพศพเป็นคร้ังสุดท้ายก่อนจะมอดไหม้ ประเพณเี ฉพาะกจิ จาํ เปน็ ตอ้ งศกึ ษารปู แบบสถาปตั ยกรรมพน้ื ถนิ่ รวมทงั้ ระบบ
เปน็ เถา้ ถ่านตกลงบนพน้ื ดินใต้เชิงตะกอนนน้ั ซึ่งเป็นวธิ ที ี่เรียบง่ายและสมถะ และวิธีการก่อสร้างแบบชั่วคราวไปพร้อมๆกับวิธีการออกแบบตกแต่งให้
ท่ีสุดตามวิถีชีวิตชาวบ้านแบบไทยๆ บางคนอาจเห็นภาพเป็นเมรุตามวัด งดงามในลักษณะช่ัวคราวด้วย ดังนั้นระบบวิธีการ เทคนิคการตกแต่ง
ท่ียกอาคารสงู ขน้ึ ไปสาํ หรบั ตง้ั ศพ มที างขนึ้ หลายทาง มเี ตาเผาศพอยา่ งมดิ ชดิ การเลือกวัสดุตกแต่งให้เหมาะสมกับช่วงเวลาการใช้งาน ปริมาณการใช้งาน
พรอ้ มมปี ลอ่ งใหค้ วนั จากการเผาศพระบายขน้ึ สเู่ บอ้ื งบน เตาเผามที ง้ั เตาไฟฟา้ และให้ดูดีและสวยงาม เป็นเร่ืองราวท่ีสถาปนิกต้องมีความรู้ความสามารถ
เตาแกส และง่ายที่สุดอาจเป็นเตาฟืนก็ได้ ลักษณะเมรุตามความคิดคํานึง อย่างถ่องแท้ การเลือกใช้วัสดุต้องเหมาะสมกับเทคโนโลยีการก่อสร้างของ
คงไมแ่ คลว้ จากหนา้ ตาของสถาปตั ยกรรมไทยประเพณซี ง่ึ มตี งั้ แตเ่ รยี บงา่ ยไป แต่ละท้องถ่ินด้วย วัสดุก่อสร้างสถาปัตยกรรมไทยประเพณีเฉพาะกิจ
จนถึงรูปทรงวิจิตรพิสดาร บางครั้งถึงขนาดใส่เรือนยอดทรงปรางค์และ เปล่ียนแปลงไปตามกาลเวลา ตัวอย่างเช่น การสร้างพระเมรุมาศและ
ทรงปราสาทต่างๆ เข้ากบั เมรุให้เป็นทว่ี ิพากษว์ จิ ารณ์ได้ไม่รู้จบสิน้ พลับพลาท่ีประทับ เม่ือ ๕๐ ปีก่อนจะใช้เคร่ืองไม้ทั้งหมด ซึ่งก็เหมาะสม
กบั ชว่ งเวลา และสามารถรอื้ ถอนไดต้ ามความตอ้ งการ แตป่ จั จบุ นั สถาปตั ยกรรม
หรือในจินตนาการของชาวกรุงเทพฯ อาจคิดถึงพระเมรุมาศที่เราเพ่ิง ดังกล่าวเปล่ียนมาใช้โครงเหล็กซ่ึงใช้ระบบการยึดด้วยนอตสกรูท่ีมีการ
พบเห็นอันเป็นลักษณะสถาปัตยกรรมไทยประเพณีเฉพาะกิจที่งดงามจับใจ ออกแบบเฉพาะ สามารถถอดประกอบได้สะดวก และยังสามารถยา้ ยไปสรา้ ง
อันเป็นตัวแทนความจงรักภักดี ของพสกนิกรชาวไทยต่อองค์สมเด็จ ท่ีอื่นได้อีกด้วย นับเป็นวิวัฒนาการของระบบการก่อสร้างและการเลือกใช้
พระศรีนครินทราบรมราชชนนี ไม่ว่าภาพที่ปรากฏในจินตนาการของใครจะ วัสดุของสถาปัตยกรรมไทยประเพณีเฉพาะกาล เคร่ืองตกแต่งและส่วน
ออกมาในรปู ใดกต็ าม คาํ จาํ กดั ความของเมรกุ ค็ อื ทส่ี ดุ ทา้ ยทร่ี า่ งของเราจะอยู่ ประณีตสถาปัตยกรรมก็เช่นเดียวกัน วัสดุใหม่ที่ติดต้ังได้รวดเร็ว สวยงาม
ก่อนที่จะถูกเผามอดไหม้เป็นเถ้าถ่าน ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมที่ร่างกายของเรา ถูกเลือกมาใช้แทนการฉลุไม้และกระดาษซ่ึงใช้กันมาแต่เดิม วัสดุที่เป็น
จะได้สัมผัสโดยไม่มีการรับรู้เป็นคร้ังสุดท้าย ซึ่งนับว่าเป็นสิ่งจําเป็นสําหรับ ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ มีให้เลือกใช้ได้เหมาะสมกับช่วงเวลาการใช้งาน สามารถ
ชีวิตของคนเราไมน่ อ้ ยเชน่ กัน ออกแบบสิ่งผลิตเป็นพิเศษก็ได้ ท�ำให้ได้งานสถาปัตยกรรมไทยประเพณี
แบบเฉพาะกิจทีง่ ดงาม สมบรู ณ์
สถาปัตยกรรมไทยประเพณีแบบเฉพาะกจิ
ในบรรดาสถาปตั ยกรรมไทยประเพณที เี่ ราพบเหน็ คนุ้ ตา เชน่ บา้ น วดั
วงั รวมทง้ั อาคารตา่ งๆ ของทางราชการ เราอาจคดิ ถงึ เฉพาะลกั ษณะอาคารที่
งดงาม คงทน แข็งแรง แตม่ ีความออ่ นหวานในรูปทรง ลกั ษณะและจงั หวะ
ขององคป์ ระกอบซง่ึ เปน็ สถาปตั ยกรรมไทยประเพณที เ่ี ปน็ อาคารถาวร แตเ่ มื่อ
กล่าวถึงพระเมรุมาศ พลับพลาที่ประทับในงานพระราชพิธีต่างๆ ปะรําในพิธี
156
สรรค์สร้างอย่างไทย : บทวิเคราะห์
เมรุลอยหรือเมรชุ ั่วคราว แนวความคดิ ในการออกแบบ
นอกจากพระเมรมุ าศ ศาลาพลบั พลาทป่ี ระทบั และปะราํ พธิ ตี า่ งๆ แลว้ - เปน็ เมรชุ ว่ั คราวทเี่ รยี บงา่ ย สมกบั ความวเิ วกทหี่ ลวงปยู่ ดึ มน่ั อยเู่ สมอ
- ยึดถือธรรมชาติและสภาพแวดลอ้ มเปน็ หลกั
เมรุลอย หรือเมรุชั่วคราวท่ีใช้ในพิธีเผาศพท่ีสําคัญๆ ที่ที่นั้นไม่มีเมรุถาวร - มลี กั ษณะสถาปตั ยกรรมทสี่ อ่ื ความหมายเปน็ พระเถระสายวปิ สั สนา
หรือศพท่ีสําคัญและต้องใช้พ้ืนท่ีกว้างใหญ่ เพ่ือรองรับปริมาณผู้คนท่ีมาร่วม
ในพิธี เป็นสถาปัตยกรรมไทยประเพณีแบบเฉพาะกิจอีกประเภทหน่ึงที่ กรรมฐานที่ ชดั เจน
น่าสนใจที่จะศึกษาเมรุลอยหรือเมรุช่ัวคราวนี้มีทั้งประเภทท่ีเผาศพแล้ว - ทต่ี ้ังของเมรจุ ะโดดเดน่ ทั้งในขณะทใ่ี ช้เป็นเมรชุ ่วั คราว และในขณะ
ตัวเมรยุ งั คงอยู่ และอกี ประเภทหนงึ่ คอื เผาศพแลว้ เผาเมรไุ ปดว้ ยพรอ้ มๆ กนั
ซึ่งแต่ละลักษณะสถาปนิกผู้ออกแบบต้องศึกษาลักษณะของสถาปัตยกรรม ที่ได้เปล่ียน จากตําแหน่งเมรุเป็นศาลาประดิษฐานรูปเหมือนของหลวงปู่
และธรรมชาติของวสั ดุท่ีนาํ มาใชใ้ ห้ถอ่ งแท้ หลังจากการเสด็จพระราชทาน เพลงิ แลว้
อาจารยว์ นดิ า พ่ึงสนุ ทร ไดอ้ อกแบบเมรลุ อยสองหลังท่ีนา่ สนใจ คอื การออกแบบผงั บริเวณ
เมรุหลวงปู่สิม พุทธาจาโร (พระญาณสิทธาจารย์) สํานักสงฆ์วัดถ้�ำผาปล่อง ตาํ แหนง่ ทเี่ ลอื กเปน็ ทต่ี งั้ เมรเุ ลอื กทๆี่ เขา้ ถงึ งา่ ยและสะดวก คอื ตาํ แหน่ง
อําเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ และเมรุหลวงปู่ใช่ วัดปาลิไลยวัลย์
(เขาฉลาก) อาํ เภอบางพระ จงั หวดั ชลบรุ ี เมรลุ อยทง้ั สองหลงั สามารถสะทอ้ น ท่ีเดิมใช้เป็นที่จอดรถของผู้มาเยือนวัดซึ่งเป็นตําแหน่งท่ีเป็นจุดเด่นในพื้นท่ี
แนวความคิดในการออกแบบของสถาปนิกได้อย่างประสบผลสําเร็จและเป็น และแวดลอ้ มไปด้วยเนิน เขาทม่ี ตี น้ ไม้ใหญป่ กคลมุ รอบด้าน การออกแบบได้
รูปธรรม ความเหมือนของเมรุทั้งสองหลังคือการเน้นการออกแบบที่สื่อ กําหนดท่ีต้ังเมรุให้มีความต่างระดับจากพื้นท่ีข้างเคียงโดยการถมเนินเพ่ือให้
ความหมายถึงพระเถระที่เป็นที่เคารพบูชาของชาวบ้านท้ังในท้องถ่ินและ ทตี่ งั้ มคี วามโดดเดน่ และดแู บง่ แยกความสาํ คญั จากสภาพงาน นบั เปน็ การใช้
ต่างถิ่น พระเถระทั้งสององค์ คือ หลวงปู่สิม และหลวงปู่ใช่ องค์แรกเป็น ความต่างระดับแบ่งแยกความสําคัญของพ้ืนท่ีซ่ึงให้ผลต่อความเดินนาม
พระเถระที่เคารพบูชาของชาวเหนือ องค์หลังเป็นพระเถระท่ีเคารพบูชาของ กลางธรรมชาตใิ นทศั นวสิ ัย ส่วนพ้ืนท่ตี ้งั ของทน่ี ่งั รอสาํ หรับศิษยท์ ่เี ข้ารว่ มใน
ชาวภาคกลางและตะวนั ออก ทั้งสององคเ์ ปน็ พระเถระฝ่ายวปิ สั สนากรรมฐาน พิธีจะกระจายอยู่ในพ้ืนที่ต่างระดับลงมาเล็กน้อย ส่วนพื้นท่ีจอดรถจะอยู่ใน
ซ่งึ สมถะเรียบงา่ ย ความต่างของเมรุทง้ั สองหลังคอื ลักษณะรูปทรง อีกดา้ นหน่งึ ซ่งึ ไมบ่ ดบงั ทัศนวิสัยของเมรุ
เมรุหลวงปู่สมิ พทุ ธาจาโร ณ สาํ นักสงฆ์วัดถ�้ำผาปลอ่ ง การออกแบบเมรุและโครงสร้าง
เน่ืองจากหลวงปู่สิม พุทธาจาโร เป็นพระเถระวิปัสสนากรรมฐานท่ี ตัวเมรุซึ่งตั้งบนเนินที่ปรับระดับใหม่น้ีสถาปนิกกําหนดให้ใช้รูปทรง
เป็นทเี่ คารพ ศรัทธาย่งิ ดงั น้ันในพธิ พี ระราชทานเพลงิ จาํ เปน็ ตอ้ งเตรียมพืน้ ที่ โปร่ง เรียบง่าย โครงสร้างเหล็กถอดประกอบได้ง่าย และติดตั้งสะดวก
ขนาดใหญ่เพ่ือรองรับบรรดาศิษย์จากทุกสารทิศที่จะเข้ามาร่วมพิธี ดังน้ัน ตัวเมรุเปน็ อาคารแบบจตรุ มุข มุขหน้า สูง มุขข้างหลังคาซอ้ นสองชน้ั และกด
หลังจากที่สถาปนิกและวิศวกรได้หารือกับคณะกรรมการจัดงานพระราชทาน หลังคาลงตํ่ากว่ามุขด้านหน้า โครงสร้างหลักเป็นเสาเหล็กกลมต่อเน่ืองกับ
เพลิงศพ ซ่ึงมีเจ้าคุณพระธรรมดิลก รองเจ้าคณะภาคฯ เป็นประธานและ โครงหลังคาเหล็กตอนบน ฐานที่วางหีบทองทึบตามสมณศักด์ิท่ีได้รับ
มีกรรมการร่วมท้ังฝ่ายสงฆ์และฝ่ายฆราวาส ซ่ึงมีมติให้ใช้พ้ืนท่ีบริเวณที่ราบ พระราชทานยกสงู จากพน้ื ลานรอบทต่ี ัง้ เมรปุ ระมาณ ๐.๙๐ เมตร
เชิงเขาตรงบริเวณทางข้ึนสํานักสงฆ์ ซึ่งเป็นพื้นที่กว้างใหญ่รายล้อมไปด้วย
เนินเขาท่ีมีต้นไม้ ใหญ่น้อยขึ้นเขียวชอุ่มเป็นพื้นที่ต้ังเมรุช่ัวคราว พร้อม เหนือจากยอดจตุรมุขของเมรุสถาปนิกได้ออกแบบให้ติดต้ังร่มผ้า
เตรยี มทจี่ อดรถขนาดใหญร่ องรบั ปรมิ าณลกู ศษิ ยท์ ม่ี ารว่ มในพธิ ี และในการ ขนาดใหญ่ ซึง่ แขวนลอยเหนอื เมรุเปน็ สญั ลกั ษณแ์ สดงถึงกลดของพระเถระ
ดําเนินการนี้สถาปนิกและวิศวกรคือ อาจารย์วนิดา พึ่งสุนทร และอาจารย์ ฝ่ายวปิ ัสสนากรรมฐาน
บญั ชา ชุม่ เกษร ได้วางแนวความคิดในการออกแบบไวด้ งั น้ีคือ
157
สรรค์สร้างอย่างไทย
158
การตกแต่ง สรรค์สร้างอย่างไทย : บทวิเคราะห์
เนื่องจากเป็นเมรุชั่วคราวซ่ึงใช้ระบบการเผาด้วยพ้ืนไม้และตัวเมรุใน
159
ส่วนที่ไม่ใช่ โครงสร้างจะถูกเผาไหม้ไปด้วย ดังนั้น นอกจากส่วนฐานและ
โครงสร้างหลักซึ่งเป็นเสาและโครงเหล็กแล้ว ส่วนอ่ืนๆ ทั้งหลังคาและ
ประณีตศิลป์ท่ีเป็นองค์ประกอบจะต้องใช้วัสดุท่ีจะไหม้ไฟไปด้วยวัสดุท่ีใช้
ตกแตง่ คอื สตกิ เกอรส์ ที องใชป้ ดิ หมุ้ เสาและโครงสรา้ งหลงั คา สว่ นหลงั คาใช้
เส้นที่ร้อยด้วยดอกรักประดิษฐ์ที่เรียงกันถ่ีมากจนมองดูเหมือนเป็นแผ่น
หลังคาของจตุรมุขซึ่งเป็นสีขาว เสาซ่ึงหุ้มด้วยสติกเกอร์สีทองจะถูกห่อหุ้ม
ดว้ ยตาขา่ ยของดอกรกั ประดษิ ฐเ์ ปน็ ลวดลายตารางรอบเสาทกุ เสา มขุ ทกุ ด้าน
ประดับด้วยผ้าลูกไม้โปร่งสีขาวและทองท่ีฐานด้านบนตกแต่งด้วยอุบะ
ดอกรกั ประดษิ ฐ์ การตกแตง่ เพดานเมรใุ ชผ้ า้ ลกู ไมส้ ขี าวและสที อง หอ้ ยกลาง
ด้วยโคมดอกไม้ประดิษฐ์แบบโคมชวาลาซ้อนสามช้ัน ตกแต่งด้วยดอกรัก
ประดษิ ฐ์ มะลิ และอุบะดอกจาํ ปา ซงึ่ ประณตี งดงามด้วยฝมี ือของวิทยาลัย
อาชวี ศกึ ษาเชยี งใหม่ และความรว่ มแรงรว่ มใจของพระภกิ ษสุ งฆแ์ ละสานุศษิ ย์
บริเวณฐานเมรุชั้นล่างสุดประดับตกแต่งด้วยดอกกุหลาบสดสีชมพู
และสีขาว ซ่ึงทําให้สีของเมรุโดยส่วนรวมออกมาใสสะอาด เข้ากับสีของหีบ
ทองทึบซ่ึงต้ังอยู่กลางเมรุพื้นลานรอบจิตกาธานปูด้วยกระเบ้ืองดินเผาสีแดง
สว่ นบรเิ วณตอ่ เนอื่ งกบั ลานรอบเมรสุ ว่ นทเี่ ปน็ ลานตอ่ เนอ่ื งและทางเดนิ ปดู ว้ ย
บล็อกปพู น้ื
ตวั เมรุ กับสภาพแวดลอ้ ม
จากการวางแนวความคิดไว้แต่แรกว่าเมรุจะต้องเป็นส่ือแสดงถึง
ความเรยี บงา่ ย สมถะ และธรรมชาติ เม่ือมองตวั เมรจุ ากลานเบ้ืองล่างจะพบ
จุดเด่นคือเมรบนเนินยกพ้ืนใน รูปทรงสถาปัตยกรรมที่โปร่งเบา ดูลอยข้ึนสู่
เบอ้ื งบนประกอบกบั กลดแบบพระธุดงค์ขนาดใหญ่ เหนอื เมรุ ซงึ่ เม่อื มองไป
ยงั จดุ นซ้ี ง่ึ เปน็ จดุ เดน่ ประกอบกบั ฉากหลงั ซง่ึ เปน็ เนนิ เขาเขยี วชอมุ่ จะพบไดว้ า่
เมรุและธรรมชาตแิ วดล้อมเป็นอนั หนงึ่ อนั เดยี วกัน ซึ่งเหน็ ไดช้ ัดวา่ ทั้งตวั เมรุ
และฉากหลงั เปน็ ตวั กลางในการเนน้ ความสาํ คญั ของทว่ี า่ งไดอ้ ยา่ งสมเหตุผล.
สรรค์สร้างอย่างไทย
เมรุหลวงปู่ใช่ วัดปาลิไลยว์ ลั ย์
ศาสตราจารย์ อรศริ ิ ปาณินท์
เมรหุ ลวงปใู่ ช่ วดั ปาลไิ ลยว์ ลั ย์ อาํ เภอบางพระ จงั หวดั ชลบรุ นี อ้ี าจารย์
วนิดา พึ่งสุนทร ได้ยึดแนวความคิดหลักเช่นเดียวกับเมรุหลวงปู่สิม คือ
ยึดถือการสื่อความหมายของความเรียบง่าย สมถะ ของพระเถระฝ่าย
วปิ สั สนาธรุ ะเชน่ เดยี วกนั แตเ่ นอ่ื งจากสภาพแวดลอ้ มของทตี่ ง้ั เมรตุ า่ งกบั สภาพ
แวดลอ้ มของวดั ถำ้� ผาปลอ่ ง คอื เปน็ ทเ่ี นนิ เขาทไ่ี มไ่ ดม้ ตี น้ ไมป้ กคลมุ ตาํ แหนง่
ท่ีตั้งของเมรุต้องปรับจากพื้นดินเดิมท่ีเป็นดินลูกรังท่ีปรับแต่งแล้ว และถม
ใหส้ งู ขน้ึ เฉพาะทต่ี ง้ั เมรุ พน้ื ทขี่ นาดไมใ่ หญน่ กั ทาํ ใหถ้ มสงู มากไมไ่ ด้ เพราะจะ
ขดั กับสภาพแวดล้อมโดยรอบ
รปู ทรงของตวั เมรุและโครงสร้าง
สถาปนิกต้องการออกแบบรูปทรงของเมรุให้ดเู รียบงา่ ย และเบาลอย
ข้ึนสู่เบื้องบน และให้ออกรูปลักษณ์ของสถาปัตยกรรมท้องถ่ินด้วย ดังนั้น
รูปทรงของเมรุจึงออกมาแบบศาลาจัตุรมุข ซึ่งมีชายคาปีกนกโดยรอบ แต่
เป็นชายคาปีกนกที่มีลักษณะโค้งขึ้นทุกๆมุม ดังน้ัน ตามรูปแบบในการ
ออกแบบของสถาปนิกจะเป็นศาลาที่ชายคางอนข้ึนคล้ายหลังคาแบบจีน
ซ่ึงทําให้แลดูเบาและลอยขึ้นสู่เบ้ืองบน แต่เนื่องด้วยการก่อสร้างใช้แรงงาน
ชาวบา้ น ซง่ึ ทาํ ใหพ้ บปญั หาการกอ่ สรา้ งตามแบบซง่ึ ยากสาํ หรบั ฝมี อื ชา่ งชาวบา้ น
ดังนั้นเมรุท่ีสร้างเสร็จออกมาจะกลายเป็นศาลาจตุรมุขที่ทิ้งชายคาปีกนก
รอบแบบตรงเรยี บ ซึ่งทําใหด้ หู นัก ไม่ตรงตามแนวความคิดท่สี ถาปนิกวางไว้
แต่ตน้ ซง่ึ น่าเสยี ดายยิง่
โครงสร้างเป็นโครงสร้างเหล็กกลวงท่ีเบาปิดหุ้มโครงด้วยกระดาษ
สีทอง และหุ้มดว้ ยดอกรักประดษิ ฐ์ร้อยเป็นตาข่ายหมุ้ รอบเสาและโครงสร้าง
พื้นรอบๆ จิตกาธานปูด้วยหินกาบซ่ึงเป็นวัสดุท่ีหาง่ายในท้องถิ่น พื้นรอบ
นอกปดู ้วยอิฐตัวหนอน ตัวจิตกาธานยกสูงจากพ้ืนประมาณ ๑.๒๐ เมตร
160
สรรค์สร้างอย่างไทย
การตกแตง่ ตวั เมรุ กบั สภาพแวดลอ้ ม
การประดับตกแต่งเมรุใช้แนวทางเดียวกันกับเมรุหลวงปู่สิม คือ เนื่องจากท่ีต้ังเมรุเป็นที่โล่งแจ้ง ดังน้ันฉากหน้าและฉากหลังของเมรุ
หลังคาบุด้วยเส้นดอกรักร้อยเป็นสายเรียงต่อกันซึ่งส่วนใหญ่การตกแต่ง มีความต่างกันค่อนข้างมาก เป็นการยากลําบากท่ีจะทําให้ตัวเมรุเป็นอันหน่ึง
บริเวณนี้ซ่ึงอยู่สูงใช้แรงงานของพระสงฆ์และสานุศิษย์ระดมกันช่วยกรุเส้น อันเดียวกับสภาพแวดล้อมได้อย่างสมบูรณ์เช่นเมรุหลวงปู่สิม ทั้งลักษณะ
หลังคา แนวชายคาท้ังสองตอนคือชายคาด้านจตุรมุข และชายคาปีกนก รูปทรงซ่ึงเกิดปัญหาจากช่างพ้ืนถิ่นไม่สามารถทําให้แลดูเบาลอยข้ึนได้อย่าง
ประดับตกแต่งด้วยอุบะเป็นพวงระย้าร้อยด้วยดอกรักประดิษฐ์ มะลิ และ สมบูรณต์ ามแนวความคดิ ซึง่ นา่ เสียดาย
จําปาประดิษฐ์
จากผลงานเมรุช่ัวคราวซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมไทยประเพณีแบบ
เนื่องจากรูปทรงเมรุเป็นลักษณะอาคารที่มีชายคาปีกนก จึงมีการใส่ เฉพาะกิจท่ีสามารถดําเนินการออกแบบท่ีส่ือความหมายถึงความเรียบง่าย
คันทวย กระดาษแข็งตกแต่งด้วยลวดลายสีแดงและสีทองตามแนวเสาเหนือ สมถะในสภาพแวดล้อมธรรมชาติได้อย่างดีน้ี นอกเหนือจากตัวเมรุซ่ึง
ยอดเมรุติดต้ังกลดขนาดใหญ่อันเป็นการสื่อความหมายแทนพระเถระฝ่าย เปน็ การสร้างสรรคต์ ามแนวความคิดของสถาปนกิ แล้วยงั พบวา่ สิ่งสาํ คัญทไี่ ด้
วิปสั สนาธุระเช่นเดียวกบั เมรหุ ลวงป่สู มิ มาพร้อมๆ กับตัวสถาปัตยกรรม คือความร่วมมือร่วมใจระหว่างพระสงฆ์
สามเณร ชาวบ้าน และลูกศิษย์ท่ีระดมกันดําเนินการก่อสร้าง และตกแต่ง
ฐานตอนบนของจิตกาธานตกแต่งด้วยอุบะดอกรักร้อยแบบตาข่าย ด้วยผลงานลักษณะประณีตศิลปกรรมที่ต้องทําในเวลาอันจํากัด ซึ่งเป็น
สลับกับพวงอุบะมะลิและจําปา ฐานตอนล่างไม่มีการประดับตกแต่งมาก ลกั ษณะเฉพาะของคนไทย ซง่ึ วดั และพระจะมคี วามสาํ คญั ตอ่ จติ ใจอยา่ งยงิ่ ยวด.
หบี ซ่งึ ต้งั บนจติ กาธานเป็นหีบทองทึบเช่นเดียวกับของหลวงปสู่ ิม
161
สรรค์สร้างอย่างไทย
มณฑปท่ปี ระดษิ ฐานรูปจําลองหลวงป่สู ิม พุทธาจาโร
สํานกั สงฆถ์ ้�ำผาปล่อง
ผชู้ ว่ ยศาสตราจารย์ สมคิด จริ ะทศั นกลุ
ความเป็นมา โครงสร้าง วัสดุกอ่ สร้าง และการตกแตง่
ณ ทต่ี ง้ั เดมิ ของเมรลุ อยหลวงปสู่ มิ พทุ ธาจาโร หลงั จากพธิ พี ระราชทาน โครงสรา้ งอาคารทง้ั หลงั เปน็ โครงสรา้ งคอนกรตี เสรมิ เหลก็ หลงั คามงุ
เพลงิ หลวงปไู่ ดเ้ สรจ็ สน้ิ ไปแลว้ บรรดาลกู ศษิ ยไ์ ดก้ อ่ สรา้ งมณฑปเพอื่ ประดษิ ฐาน กระเบื้องเคลือบลอนเล็ก พ้ืนลานรอบและบันไดเป็นหินแกรนิต ฐานเป็น
รปู จาํ ลองยนื เท่าองคจ์ ริงของหลวงปู่ เพื่อใหศ้ ิษยไ์ ด้ถวายสักการะ ทรายล้าง
ศาลานสี้ ถาปนิกคอื อาจารยว์ นดิ า พง่ึ สนุ ทร ได้ออกแบบเป็นมณฑป การตกแต่งต่างๆ ใช้แบบเรียบง่ายและสะอาด เสาบันไดทางข้ึนทั้ง
ตรีมุขที่มีมวลสมดุลแบบไม่สมมาตร เน้นมวลของอาคารเด่นทางด้านหน้า ด้านหน้าและด้านข้างเป็นเสาหัวเม็ดทรงมัณฑน์ นอกจากน้ียังได้ใช้รูปทรง
เมื่อมองด้านหน้าจะเห็นเป็นอาคารตรีมุข หลังคาซ้อนสองชั้น เน้นจ่ัวหลัก ลอ้ เลยี นแบบหวั เมด็ กบั ฐานเสารบั ชายคา ซงึ่ ตงั้ บนฐานอกี ดว้ ย ในลกั ษณะที่
และรองให้มีสัดส่วนที่ลดหลั่นกัน ทั้งจ่ัวหลักและรองยกคอสองเพื่อลด เรียบง่ายและกลมกลืน การตกแต่งหน้าบันใช้ลวดลายปูนปั้นสีขาวสะอาด
ชายคาปีกนกโดยรอบตามแนวย่อมุมของผังพื้น หากมองทางด้านข้างจะเห็น อ่อนโยน
จว่ั ของมขุ รองซง่ึ ลดระดบั ออกมาจากจว่ั หลกั บนแบบมขุ ลดใตข้ อื่ สว่ นดา้ นหลัง
เน้นแผงผนังด้านหลังของรูปจําลองของหลวงปู่ โดยการยืดจั่วของหลังคา องคร์ ปู จาํ ลองขนาดเทา่ จรงิ ของหลวงปปู่ ระดษิ ฐานยนื มฉี ากหลงั เปน็
ตัวบนซง่ึ ยกคอสองและมชี ายคาปกี นกรอบ แตป่ กี นกของจว่ั รองทางดา้ นขา้ ง ผนังปิดทอง ล้อมกรอบด้วยเรือนแก้วลักษณะใหม่ซ่ึงออกแบบเป็นกรอบ
แทนท่ีจะว่ิงรอบตามแนวเสา จะเปลี่ยนเป็นวิ่งมาชนกับผนังด้านข้างของ ประดับกระจกสปี ระดษิ ฐ์ลวดลาย.
ศาลา ซ่ึงการออกแบบดังกล่าวทําให้ผนังด้านหลังรูปจําลองซึ่งสถาปนิก
เนน้ การตกแตง่ ดว้ ยกระจกสตี กแตง่ ลวดลายมีความเด่นชัดข้ึน ท้ังในแง่ของ
มวลทางสถาปัตยกรรมและความสําคัญของพื้นท่ี
ลกั ษณะของอาคารกบั ฉากหลงั ตามธรรมชาติ
ฉากหลงั ของมณฑปเปน็ ตน้ ไมใ้ หญท่ บึ แบบปา่ เขาตามธรรมชาติ ดงั น้นั
มณฑปน้ีจะโดดเดน่ อยทู่ า่ มกลางสภาพแวดล้อมท่เี ป็นสเี ขยี วชอมุ่ ตลอดปี
เนือ่ งจากลกั ษณะมณฑปตรมี ขุ ซ้อนหลังคาดงั กลา่ วขา้ งต้น มสี ัดสว่ น
ท่ีเป็นหลังคาค่อนข้างมาก ดังนั้นการยกฐานให้สูงขึ้นเป็นการทําให้สัดส่วน
ของอาคารเกิดความสมดุล ทั้งยังทําให้ระดับท่ีประดิษฐานรูปจําลองของ
หลวงปเู่ ดน่ ชดั ขน้ึ และสามารถสงั เกตเหน็ ไดจ้ ากรอบดา้ นในระยะไกล ฐานของ
อาคารก็ยกระดับออกเป็นสองระดับเช่นเดียวกับหลังคา เมื่อมองทัศนียภาพ
ทางด้านหน้าจากบริเวณลานโล่งจะสามารถเห็นองค์หลวงปู่ประดิษฐานอยู่ใน
มณฑปซึ่งมีฉากหลังเป็นป่าเขา ซ่ึงเป็นลักษณะเช่นเดียวกับอารามแบบ
อรัญวาสที ี่หลวงปจู่ าํ พรรษามาชา้ นาน
162
สรรค์สร้างอย่างไทย : บทวิเคราะห์
163
สรรค์สร้างอย่างไทย
ศาลาท่าน้�ำ วดั จันเสน จึงต้องคิดดูว่าทําอย่างไรผลจึงจะออกมาดูแล้วลงตัว วิธีการที่ผู้ออกแบบใช้
ก็คือลดมุขหลังคาของอาคารทั้ง ๒ ลง เพ่ือดึงระดับลงมาให้รับกันกับ
ผชู้ ว่ ยศาสตราจารย์ สมคิด จริ ะทัศนกุล ความสูงของหลังคามุขกระสันในส่วนท่ีจะต่อเข้ากับอาคารท้ัง ๒ หลัง ซ่ึง
ในที่นี้ก็ทําได้สําเร็จ เม่ือมุขกระสันอยู่ในตําแหน่งของ ”มุขลดใต้ข่ือ„ ของ
ศาลาท่าน้�ำวัดจันเสน ตั้งอยู่ในบึงจันเสน ซึ่งเป็นแอ่งน�้ำโบราณ อาคารจตุรมุขพอดี ขณะเดียวกันในส่วนท่ีต่อเข้ากับอาคารโถงบันได
ขนาดใหญ่อยู่ถัดเลยออกไปทางด้านหน้าของศาลาการเปรียญ ศาลาน้ีได้รับ ผู้ออกแบบได้ตัดสินใจให้กรอบจ่ัวของมุขกระสัน ทะลุผ่านแนวเสาเข้าไป
การสร้างขึ้นแทนศาลาเก่าซึ่งผุพังไปตามกาลเวลา เพ่ือให้เป็นที่พักผ่อนแก่ ประจันกับทางลงบันได ความแยบยลตรงนี้เองที่ส่งผลในเชิงออกแบบอย่าง
ฆราวาสและผู้เขา้ มาเยยี่ มเยอื นวัด น่าทึ่ง ก็คือกรอบจ่ัวของมุขกระสันน้ีได้กลายเป็นซุ้มคูหาทางเข้าของศาลา
จตรุ มขุ อยา่ งน่าประทบั ใจ
สภาพแวดล้อมของผงั บริเวณ
ลักษณะสภาพทางกายภาพของสิ่งแวดล้อมรอบบริเวณ โดยท่ัวไป รูปทรงและการประดบั ตกแตง่ อาคาร
จากจดุ มงุ่ หมายของอาคารทตี่ อ้ งการใหเ้ ปน็ ศาลาพกั รอ้ นรมิ นำ�้ การได้มา
เป็นท่ีโล่งกว้าง ถึงแม้จะไม่มีต้นไม้ปกคลุมหนาแน่น แต่ด้วยสภาพเวิ้งน้�ำท่ี
กวา้ งใหญก่ เ็ อือ้ ใหเ้ กดิ ความรูส้ กึ ที่รม่ ร่นื เย็นสบายเป็นอยา่ งดี พนื้ ทโี่ ดยรอบ ซ่ึงความรู้สึกสบายๆ ดูจะเป็นประเด็นหลักสําคัญของการออกแบบ การใช้
บึงเป็นเนินดินราบที่มีสภาพตลิ่งค่อนข้างสูง อันเป็นเงื่อนไขจํากัดสําคัญที่ เปน็ เรอื นโถงเพอื่ ใหด้ โู ปรง่ โลง่ จงึ กลายเปน็ ปจั จยั สาํ คญั ประการแรก ผอู้ อกแบบ
ท้าทายและวัดฝีมือการออกแบบอาคารสถาปัตยกรรมไทย ซึ่งต้องอาศัย อาศัยคุณประโยชน์ของเทคโนโลยีสมัยใหม่คือคอนกรีตเสริมเหล็ก ท่ีเอ้ือให้
ความสัมพันธ์ของจังหวะท่าทางระหว่างรูปทรง รูปแบบ พื้นที่ใช้สอยและ เกิดการได้โครงสร้างท่ีให้ความกว้างได้มากมาใช้ เสาอาคารจึงถูกลดจํานวน
ผังอาคารกบั พนื้ ทต่ี ั้งน้นั ลงเหลอื เทา่ ทจี่ าํ เปน็ ซง่ึ ทาํ ใหม้ มุ มองของสายตาจากภายในอาคารไมถ่ กู บดบงั
มากนัก การออกแบบให้ช่วงเสากว้างข้ึนน่ีเองเป็นปัจจัยกําหนดให้ความสูง
แนวความคิดในการออกแบบอาคาร ของเรือนเพ่ิมมากขึ้นด้วยตามกฏเกณฑ์การออกแบบงานสถาปัตยกรรมไทย
ด้วยข้อจาํ กดั ทางลักษณะภูมปิ ระเทศดงั กลา่ ว ผอู้ อกแบบไดพ้ ยายาม นอกจากนี้ปัญหาของระดับที่ตั้งอาคารซ่ึงต่างระดับกันมากก็เป็นส่วนท่ีทําให้
อาคารจตุรมุขจําเป็นต้องยืดสัดส่วนเรือนให้สูงพอท่ีจะให้มุขกระสันเช่ือมได้
คิดหาวิธีการแก้ไขปัญหาในการสร้างงานสถาปัตยกรรม ด้วยการออกแบบ การแกไ้ ขปญั หาการยดื ของอาคารนี้ สถาปนกิ ใชก้ ารยนื่ ยาวของชายคาปีกนก
ให้อาคารมีลักษณะแยกเป็นกลุ่มก้อนระหว่างบันไดทางลงและศาลาท่าน้�ำ ออกมาคลุมโดยรอบ รวมทั้งการทําแผงคอสอง ทําให้อาคารกลุ่มนี้ดูต่�ำลง
แล้วเชื่อมตอ่ เข้าด้วยกนั ใหม่เสมือนเป็นหนว่ ยเดียวกัน โดยอาศัยจังหวะการ ได้ส่วนรบั กันพอดีกับความกว้างของอาคาร
เล่นระดับหลังคากับแผนผังอาคาร กล่าวคือ อาคารศาลาท่าน้�ำวางไว้ใน
ตําแหน่งท่ีย่ืนเลยลงไปในน�้ำค่อนข้างไกลในลักษณะของอาคารจตุรมุข ทั้งนี้ ในด้านการประดับตกแต่งน้ัน ผู้ออกแบบเน้นให้ดูรู้สึกเรียบง่ายด้วย
เพื่อให้การสร้างมุมมองออกไปยังที่กว้างมีความสําคัญกระจายเท่าๆกัน การใชส้ สี นั พนื้ ๆ เพยี ง ๒ สี คอื สว่ นทเ่ี ปน็ หลงั คาสดี นิ ทบั ลงบนโครงสรา้ งโดย
ส่วนบันไดทางข้ึนลงศาลาจากตล่ิงใช้อาคารโถงรูปสี่เหล่ียมผืนผ้าคลุม รวมสีขาว ทําให้อาคารดูมีหนักเบาของมวลไม่มากน้อยกว่ากันนัก นอกจาก
ตลอดแนว เน้นทางเข้าด้านหน้าด้วยมุขลดและเสาลอย อาคารโถงบันไดน้ี นนั้ ในสว่ นของเรอื นและฐาน กท็ งิ้ ลายบนพน้ื ผวิ เปน็ แบบเรยี บงา่ ย ไมว่ า่ จะเปน็
กไ็ ดร้ บั การจดั วางใหเ้ ลยแนวตลง่ิ ออกมาเชน่ กนั เพอ่ื ใหเ้ ปน็ ดง่ั เรอื นในทอ้ งน�้ำ แผงลูกกรง ฐานเสา ฐานเรือน ยกเว้นส่วนของหน้าบันท่ีดูจะจงใจเน้นเฉพาะ
กลุ่มเดียวกับศาลาแต่อาศัยการย่ืนชานยาวเชื่อมต่อกับลานบนตลิ่ง เมื่อมอง ด้วยกระบวนแบบอย่างลายสมัยทวารวดี ด้วยลักษณะลายท่ีให้พ้องรับกับ
จากลานวดั จะเห็นเพยี งอาคารโถง ต่อเมือ่ เดินใกล้เขา้ ไปจึงจะแลเหน็ ศาลาใน กรอบซมุ้ จรนมั ขององคพ์ ระเจดีย์ประธาน ลายทใ่ี ชก้ ็เลือกเนอื้ หาที่บ่งบอกถงึ
สระน้�ำ เหตุการณ์อันเก่ียวเน่ืองกับพุทธประวัติตอนสําคัญๆ ไม่ว่าจะเป็นภาพตอน
คชลักษณ์มี ภาพตอนมารพจญ หรือตอนปฐมเทศนา.
จุดเด่นสําคัญของงานชิ้นนี้ น่าจะเป็นวิธีการเช่ือมต่อระหว่างบันได
โถงขน้ึ -ลงกบั ศาลาจตรุ มขุ ซ่งึ ผอู้ อกแบบเลีย่ งไมไ่ ดท้ ่ีจะต้องใชอ้ งค์ประกอบ
หนง่ึ ทางสถาปตั ยกรรมชนดิ ทเ่ี รยี กวา่ ”มขุ กระสนั „ เปน็ ตวั เชอ่ื ม หากแตด่ ว้ ย
เพราะปญั หาของระดบั ความสงู ตำ่� ทต่ี า่ งกนั มากของอาคารทง้ั ๒ การเชอ่ื มตอ่ นี้
164
สรรค์สร้างอย่างไทย : บทวิเคราะห์
165
สรรค์สร้างอย่างไทย
ผ้เู ขยี น / Author
อาจารยว์ นดิ า พงึ่ สนุ ทร เปน็ อาจารยป์ ระจำ� ภาควชิ าศลิ ปสถาปตั ยกรรม Wanida Phungsoonthorn is a lecturer at the Department of
คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ได้ปฏิบัติหน้าท่ีอาจารย์ Related Arts in Architecture, Faculty of Architecture, Silpakorn
สอนในสายวชิ าดา้ นสถาปตั ยกรรมไทย, สถาปตั ยกรรมพนื้ ถนิ่ , ประวตั ศิ าสตร์ University. She has taught in subjects on Thai architecture,
สถาปัตยกรรม รวมถึงวิชาอ่ืนๆ ที่เก่ียวเน่ืองในด้านศิลปสถาปัตยกรรมไทย vernacular architecture, history of architecture, and topics related to
และการอนรุ กั ษ์ ตามเจตนารมณใ์ นการสบื สาน สรา้ งสรรคง์ านสถาปตั ยกรรมไทย conservation of Thai architecture.
ให้แก่คนรุ่นใหม่ท่ีมีความสนใจเรียนรู้งานด้านสถาปัตยกรรมไทย Apart from teaching and practicing architecture, her role as
(นอกเหนอื จากการเปน็ ผทู้ ำ� งานตา่ งๆ ทง้ั ในเชงิ วชิ าการผา่ นบทความ, หนงั สอื chairperson of the drafting committee for the then new bachelor’s
และงานออกแบบทั่วทุกภูมิภาคทั้งในประเทศและต่างประเทศ) ซึ่งเป็นการ and master’s degree curricula in Thai Architecture has led to the
แตกหนอ่ ตอ่ ยอดบคุ ลากรทจ่ี ะสามารถไปทำ� งานด้านศิลปสถาปัตยกรรมไทย preservation of the country’s many important cultural heritage over
ให้แก่สังคมได้อย่างกว้างขวาง the past twenty years since the programs opened in 1994. Today,
นับต้ังแต่การเป็นประธานร่างหลักสูตรสถาปัตยกรรมศาสตรบัณฑิต the graduates have become instrumental in spreading their
(สถาปัตยกรรมไทย) และประธานร่างหลักสูตรสถาปัตยกรรมศาสตรมหา knowledge by working in various related public and private
บัณฑิต (สถาปัตยกรรมไทย) ได้ก่อเกิดการเรียนการสอนเพ่ือสืบสานและ organizations to ensure proper management of cultural legacies.
สร้างสรรค์มรดกทางวัฒนธรรมอันส�ำคัญของชาติ สืบเนื่องมาเป็นเวลารว่ ม Wanida has also sat on several other committees to further
๒๐ ปี นบั จากนกั ศกึ ษาปรญิ ญาตรรี นุ่ แรกซงึ่ เขา้ ศกึ ษาในคณะสถาปตั ยกรรม spread the knowledge and understanding of Thai architecture to
ศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยศลิ ปากร เม่ือปีการศกึ ษา ๒๕๓๗ ปัจจุบนั น้ีบุคลากรท่ี local communities, government agencies and other organizations.
เข้าศึกษาในหลักสูตรดังกล่าวได้เป็นก�ำลังส�ำคัญในการท�ำหน้าที่สืบสานและ
สร้างสรรค์งานศิลปสถาปัตยกรรมไทย ซ่ึงจะช่วยให้การท�ำงานท่ีเก่ียวเน่ือง
ในด้านวัฒนธรรมด�ำเนินไปได้อย่างมีแบบแผนและเป็นไปในทิศทางท่ี
ถูกตอ้ งเหมาะสม
ทั้งนี้อาจารย์ยังเป็นกรรมการในงานด้านวัฒนธรรมอีกหลายวาระ
โอกาส เพ่ือให้ความรู้ ความเข้าใจ และแนวทางในการด�ำเนินงานของชุมชน
ท้องถิ่น ส่วนราชการ และองค์กรต่างๆ ด้านวัฒนธรรม โดยได้ร่วมเป็น
วิทยากรเพื่อให้ความรู้ความเข้าใจในงานที่เกี่ยวเน่ืองทางวัฒนธรรมมาโดย
ตลอดจนถึงปจั จบุ นั
166
สรรค์สร้างอย่างไทย
วนดิ า พ่งี สนุ ทร
ศิลปนิ แหง่ ชาติ สาขาศิลปะสถาปัตยกรรม (แบบประเพณี) ปีพุทธศกั ราช ๒๕๔๖
อาจารยผ์ ้เู ช่ียวชาญพิเศษดา้ นสถาปตั ยกรรมไทย
คณะสถาปตั ยกรรมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ศิลปากร
Wanida Phungsoonthorn
National Artist in Architecture (Traditional Section) 2003
Expert on Thai architecture, Faculty of Architecture, Silpakorn University
167
คณะผู้จัดท�ำ สรรค์สร้างอย่างไทย
ชื่อหนังสือ ผลงานออกแบบสถาปัตยกรรมไทย โดย วนิดา พ่ึงสุนทร ศิลปินแห่งชาติ
ผู้เขียน อาจารย์วนิดา พ่ึงสุนทร คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร
กองบรรณาธิการ
ผู้ช่วยศาสตราจารย์พีระพัฒน์ ส�ำราญ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ตะวัน วีระกุล คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร
แปลภาษาอังกฤษ
ถ่ายภาพ อาจารย์ประกิจ ลัคนผจง อาจารย์พิเศษ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร
ออกแบบจัดรูปเล่ม
ด�ำเนินการจัดพิมพ์ ลีนวัตร ธีระพงษ์รามกุล
สนับสนุนการจัดพิมพ์
ผู้ช่วยศาสตราจารย์เด่น วาสิกศิริ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร
สิทธิศักดิ์ น้�ำค�ำ
วรมันต์ โสภณปฏิมา
สถาบันศิลปสถาปัตยกรรมไทยเฉลิมพระเกียรติ มหาวิทยาลัยศิลปากร
กอง กองทุนส่งเสริมงานวัฒนธรรม
พิมพ์ครั้งท่ี ๒ (ปรับปรุง) กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๒
พิมพ์ท่ี โรงพิมพ์องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก
จ�ำนวนพิมพ์ ๑,๐๐๐ เล่ม
เลขมาตรฐานสากลประจ�ำหนังสือ