The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

การสำรวจแนวทางการบำบัดเด็กออทิสติกของนักกิจกรรมบำบัดในสถานศึกษา

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by nsbcm005, 2021-09-22 21:08:25

การสำรวจแนวทางการบำบัดเด็กออทิสติกของนักกิจกรรมบำบัดในสถานศึกษา

การสำรวจแนวทางการบำบัดเด็กออทิสติกของนักกิจกรรมบำบัดในสถานศึกษา

การสำรวจแนวทางการบำบัดเดก็ ออทิสติก
ของนักกจิ กรรมบำบัดในสถานศึกษา

ณัฐวิภา กันทากาศ

ภาคนพิ นธว์ ทิ ยาศาสตรบัณฑิต (กจิ กรรมบำบดั )
คณะเทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลยั เชยี งใหม่

ปกี ารศึกษา 2562

การสำรวจแนวทางการบำบัดเด็กออทสิ ตกิ ของนกั กจิ กรรมบำบัดในสถานศกึ ษา

ภาคนิพนธ์เสนอต่อคณะเทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เมื่อวันที่ 17 เมษายน 2563
เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาปริญญาวิทยาศาสตรบัณฑิต (กิจกรรมบำบัด) โดย นางสาวณัฐวิภา
กันทากาศ

ผเู้ สนอภาคนิพนธข์ อรบั รองว่า ผลงานนนีเ้ ปน็ ผลงานทีไ่ ดจ้ ากการศกึ ษาค้นคว้าของผนู้ ำเสนอเอง
นางสาวณัฐวิภา กันทากาศ
ผูเ้ สนอภาคนิพนธ์

I

ภาคนิพนธ์โดย นางสาวณฐั วิภา กันทากาศ ได้รบั การพจิ ารณาอนุมัติให้เปน็ สว่ นหนง่ึ ของการศึกษา
ตามหลกั สูตรปริญญาวิทยาศาสตรบณั ฑติ สาขาวิชากิจกรรมบาํ บดั โดยคณะกรรมการ

อาจารย์ ดร. นภาลัย ชัยมะหา
อาจารย์ที่ปรึกษา

รองศาสตราจารย์ ดร. สภุ าวดี พุฒิหนอ่ ย รองศาสตราจารย์ ดร. สจุ ิตรพร เลอศิลป์
กรรมการ กรรมการ

ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์ ดร. ปิยะวฒั น์ ตรวี ิทยา
หัวหน้าภาควิชากิจกรรมบําบัด

ศาสตราจารย์ ดร. สาคร พรประเสรฐิ
คณบดคี ณะเทคนิคการแพทย์

II

กิตตกิ รรมประกาศ
ภาคนพิ นธ์ฉบับนสี้ ำเรจ็ ไดด้ ว้ ยความกรณุ าและความช่วยเหลอื อยา่ งดียิ่งจากอาจารย์ท่ีปรึกษา
อาจารย์ ดร. นภาลัย ชัยมะหา ที่ได้กรุณาเสียสละเวลาในการให้คำปรึกษา แนะนำ เสนอข้อคิดเห็น
และแนวทางที่เป็นประโยชน์ในการทำภาคนิพนธ์ในครั้งนี้ ตลอดจนช่วยตรวจทานและแก้ไขปรับปรุง
ข้อบกพร่องต่าง ๆ ด้วยความเอาใจใส่เป็นอย่างดี รวมทั้งคอยสนับสนุนและให้กำลังใจมาโดยตลอด
ผู้เขียนรู้สึกซาบซึ้งและประทับใจในความกรุณาของท่านเป็นอย่างยิ่ง จึงขอกราบขอบพระคุณ
เป็นอยา่ งสงู ไว้ ณ โอกาสน้ี
ขอขอบพระคุณ คณะกรรมการทั้งสองท่าน รองศาสตราจารย์ ดร. สุภาวดี พุฒิหน่อย และ
รองศาสตราจารย์ ดร. สุจิตรพร เลอศิลป์ ที่กรุณาให้คำแนะนำ แก้ไข และปรับปรุงข้อผิดพลาด
รวมถึงให้แนวทางทีเ่ ป็นประโยชน์ ทำใหภ้ าคนิพนธ์ฉบบั นถ้ี กู ตอ้ งสมบรู ณ์ย่งิ ข้นึ
ขอขอบพระคุณ คุณวิชิตา เกศะรักษ์ คุณพิลาศิณี สุวรรณ คุณพรรณิภา สภาวจิตร
คุณจันทิรา อุสุยะ และคุณปิยวรรณ เต็มเขียว สำหรับการเป็นผู้ทรงคุณวุฒิพิจารณาตรวจสอบและ
ใหข้ อ้ เสนอแนะในการจดั ทำเครื่องมือวิจยั ทีใ่ ช้ในการทำภาคนิพนธค์ รงั้ นี้
ขอขอบคุณ ประธานชมรมครูกิจกรรมบำบัด และคุณวิชิตา เกศะรักษ์ ที่ให้ความช่วยเหลือ
ประสานงานกล่มุ ประชากรในการเกบ็ รวบรวมข้อมลู ในการศกึ ษาคร้ังนี้อยา่ งต่อเน่ืองด้วยดี
ขอขอบคุณ นักกจิ กรรมบำบัดทีป่ ฏบิ ัติงานในสถานศึกษาทุกท่านท่ใี ห้ความอนุเคราะห์ในการ
ตอบแบบสอบถาม และให้ข้อมลู ท่ีเป็นประโยชนส์ ำหรับการทำภาคนิพนธ์
ท้ายที่สุดน้ี ผู้วจิ ัยขอขอบพระคุณบดิ า มารดา และสมาชิกทุกคนในครอบครัว ที่ให้ความรกั
ความเข้าใจ รวมทั้งให้โอกาสในการศึกษา และให้การสนับสนุนกำลังทรัพย์และเป็นกำลังใจที่สำคัญ
อย่างยง่ิ เสมอมา ขอขอบคณุ เพ่ือนทุกคนท่ีคอยสนับสนุน และใหก้ ำลังใจมาโดยตลอดทำให้ภาคนิพนธ์
น้สี ำเรจ็ ลุล่วงไปได้ดว้ ยดี

นางสาวณฐั วภิ า กันทากาศ
ผู้เสนอภาคนิพนธ์

III

ชื่อเรอื่ งภาคนิพนธ์ การสำรวจแนวทางการบำบดั เดก็ ออทสิ ติกของนักกิจกรรมบำบดั
ในสถานศึกษา
ช่ือผู้เขยี น นางสาวณัฐวภิ า กันทากาศ
ชื่อปริญญา วทิ ยาศาสตรบัณฑิต (กจิ กรรมบำบดั )
ช่ืออาจารย์ทป่ี รกึ ษา อาจารย์ ดร. นภาลยั ชยั มะหา

บทคดั ยอ่
การศึกษาในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสำรวจแนวทางการบำบัดเด็กออทิสติกของ
นักกิจกรรมบำบัดในสถานศึกษา โดยกลุ่มประชากรคือ นักกิจกรรมบำบัดที่ปฏบิ ัตงิ านในสถานศกึ ษา
สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ กระทรวงศึกษาธิการ จำนวน 80 คน เครื่องมือที่ใช้ใน
การศึกษาคือ แบบสอบถามที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้น ซึ่งผ่านการตรวจสอบจากผู้ทรงคุณวุฒิ และมีค่า
ความตรงเชิงเนื้อหาเท่ากับ 0.96 เก็บรวบรวมข้อมูลแบบออนไลน์ โดยการส่งแบบสอบถามไปยัง
กลุ่มประชากร และได้รับการตอบกลับคืนของแบบสอบถามฉบับสมบูรณ์จำนวน 53 ฉบับ วิเคราะห์
ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ผลการศึกษาพบว่า แนวทางการบำบัดแบบ Top-down approach
นักกิจกรรมบำบัดใช้หลักการของ Cognitive Orientation to Occupational Performance
(CO-OP) โดยการยึดเด็กเป็นศูนย์กลางมากที่สุด รองลงมาคือ Behavioral Modification โดยการ
ให้แรงเสรมิ แก่เด็ก ในส่วนของแนวทางการบำบัดแบบ Bottom-up approach นักกิจกรรมบำบัดใช้
หลักการ Sensory Integration Intervention โดยใช้กิจกรรมที่มีการบูรณาการประสาทความรู้สึก
มากท่ีสุด รองลงมาคือ Table Top Activities โดยสว่ นใหญ่ให้การบำบัดผา่ นกิจกรรมท่ีอยู่ในรูปแบบ
แบบฝึกหัดหรือกิจกรรมเกม

IV

Title A Survey of Intervention Approaches for Children with Autism Spectrum
Disorder used by Occupational Therapists in Educational Settings
Author Miss Natthawipa Kanthakart
Degree Bachelor of Science (Occupational Therapy)
Advisor Lecturer Napalai Chaimaha, Ph.D.

Abstract
The purpose of this study was to survey Intervention Approaches which
occupational therapists used for children with Autism Spectrum Disorder in various
educational settings. The study populations were 80 occupational therapists in
educational settings belonging to special education bureau, ministry of education. The
tool was a questionnaire developed by the researcher and approved by experts. The
content validity was 0.96. The data were collected through online questionnaire to all
study populations, 53 of whom replied the completed questionnaires. Then, the
derived data were analyzed with descriptive statistics. The results showed that the
occupational therapists mostly used principle of Cognitive Orientation to Occupational
Performance (CO-OP) with child-centered. The following was Behavioral Modification
by using reinforcement techniques. In Bottom-up approach, the therapists mostly used
Sensory Integration Intervention. The following was Table Top Activities through paper
and pencil activities or board games.

V

กติ ตกิ รรมประกาศ สารบัญ หน้า
บทคดั ย่อ VI III
Abstract IV
สารบญั ตาราง V
บทนำ VII
ทบทวนวรรณกรรม 1
วัตถุประสงค์ 5
วิธีการศึกษา 32
ผลการศกึ ษา 34
บทวิจารณ์ 42
ประโยชท์ ่ไี ดร้ บั 52
บทสรปุ 56
ขอ้ เสนอแนะ 57
เอกสารอ้างองิ 58
ภาคผนวก ก 59
ภาคผนวก ข 66
ภาคผนวก ค 70
ภาคผนวก ง 72
ภาคผนวก จ 78
ภาคผนวก ฉ 84
ประวัตผิ เู้ ขยี น 90
96

สารบญั ตาราง

ตารางท่ี หน้า
1
2 ความแตกต่างระหวา่ ง Top-down approach และ Bottom-up approach 26
3
ขอ้ มลู สว่ นบุคคลของผตู้ อบแบบสอบถาม 43
4
จำนวน รอ้ ยละค่าเฉล่ีย ส่วนเบยี่ งเบนมาตรฐาน แนวทางการบำบัดแบบ 46

Top-down approach ในเด็กออทิสติกของนกั กิจกรรมบำบัดในสถานศึกษา

จำนวน รอ้ ยละค่าเฉลี่ย ส่วนเบย่ี งเบนมาตรฐาน แนวทางการบำบัดแบบ 50

Bottom-up approach ในเดก็ ออทิสติกของนักกจิ กรรมบำบดั ในสถานศึกษา

VII

บทนำ
จากข้อมูลขององค์กรอนามัยโลกพบว่าจำนวนของเด็กที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นออทิสติก
(Autism Spectrum Disorder: ASD) เพิ่มมากขึ้นใน 10 ปีที่ผ่านมา และพบความชุกประมาณ 1 ใน
59 ค น (World Health Organization, 2007; Centers for Disease Control and Prevention
[CDC], 2018) ซึ่งเด็กออทิสติก คือ เด็กที่มีความบกพร่องทางพัฒนาการอย่างรุนแรง โดยเฉพาะ
3 ด้านใหญ่ ๆ คือ (1) ด้านการสื่อสารและการสื่อความหมาย (2) ด้านปฏิสัมพันธ์ทางสังคม
(3) ดา้ นพฤติกรรมและอารมณ์ โดยเด็กมกั แสดงอารมณฉ์ ุนเฉยี ว มีพฤติกรรมกา้ วร้าว และมพี ฤติกรรม
ซ้ำ ๆ ไม่ยืดหยุ่น ไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง ต้องทำกิจวัตรเหมือนเดิม ทำให้ขัดขว้างต่อการเรียนรู้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเรียนรูผ้ ่านการปฏิสมั พันธ์ทางสังคมหรือการมีปฏิสัมพันธ์กับเพือ่ น นอกจากน้ี
เด็กออทิสติกยังมีทักษะการปรับตัว (adaptive skills) อยู่ต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานจากการวัด IQ
(American Psychiatric Associate, 2013) ซึ่งปัญหาเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อการทำกิจกรรมทั้งที่
โรงเรยี น บา้ น และชมุ ชน
กิจกรรมบำบัดคือหนึ่งในวิชาชีพที่มีบทบาทในการประเมิน วางแผน และให้การบำบัดเด็ก
ออทิสติกและครอบครับของเด็ก (Case-Smith & Arbesman, 2008) นักกิจกรรมบำบัดที่ทำงาน
ในสถานศึกษามีบทบาทสำคัญในการให้บริการแก่เด็กที่มีความต้องการพิเศษทุกประเภทรวมถึง
เด็กออทสิ ติก โดยใหก้ ารประเมิน การบำบดั และประเมินผลลัพธ์ของการบำบัด ซึ่งมีทง้ั การให้บริการ
แบบเดี่ยวและแบบกลุ่ม ในห้องเรียนและนอกห้องเรียน โดยทำงานร่วมกับทีมสหวิชาชีพในระบบ
การศึกษาและผู้ปกครอง เพื่อสนับสนุนให้เด็กประสบความสำเร็จในการมีส่วนร่วมในการทำกิจกรรม
ต่าง ๆ ของโรงเรยี นหรือสถานศึกษา โดยนักกจิ กรรมบำบัดเนน้ การกระตุ้น สง่ เสรมิ ความสามารถของ
เด็กให้สามารถใช้ชีวิตอยู่อย่างเต็มศักยภาพในบริบทของสถานศึกษา ทั้งในส่วนของการเรียนรู้ด้าน
วิชาการ การช่วยเหลือตนเองในการทำกิจวัตรประจำวัน ส่งเสริมพฤติกรรมที่พึงประสงค์ รวมถึงการ
ทำกิจกรรมเสริมหลักสูตรต่าง ๆ ของสถานศึกษา นอกจากนี้นักกิจกรรมบำบัดในสถานศึกษายังมี
หน้าที่ในการจัดทำแผนการศึกษาเฉพาะบุคคลร่วมกับทีมสหวิชาชีพหรือทีมการศึกษาสำหรับเด็กที่มี
ความต้องการพิเศษที่เรียกว่า IEP (Individualized Education Program) ซึ่งในเด็กออทิสติก
นักกิจกรรมบำบัดมุ่งเน้นการบำบัดไปที่การกระตุ้น ส่งเสริม พัฒนาทักษะที่เด็กบกพร่องไปใน 3 ด้าน
หลกั คือ การส่อื สาร ทักษะทางสงั คม และพฤติกรรมซำ้ ๆ หลกั การสำคญั ท่นี ักกิจกรรมบำบดั นำมาใช้
ในการบำบัดช่วยเหลือเด็กออทิสติก คือ การบูรณาการประสาทรับความรู้สึก กลยุทธ์การพัฒนา

1

พฤติกรรม อารมณ์ สังคม การฝึกการช่วยเหลือตนเองรวมถึงการลดอุปสรรคที่ทำให้เกิดข้อจำกัดใน
การเรยี นรู้ ท้ังนเี้ พื่อให้เด็กออทสิ ติกสามารถเรียนรู้และทำกจิ กรรมในชีวิตประจำวันได้อย่างเหมาะสม
ในบริบทหรือสิ่งแวดล้อมของสถานศึกษา (American Occupational Therapy Association:
AOTA, 2016; AOTA, 2018) ซึ่งแนวทางในการประเมินและการบำบัดสามารถแบ่งออกเป็น 2
แนวทางใหญ่ ๆ คอื Top-down approach และ Bottom-up approach

ในอดีต Bottom-up approach เป็นที่นิยมใช้ในการฝึกทางกิจกรรมบำบัดและเป็นแนวทาง
ที่ตรงกับแบบจำลองทางการแพทย์ (medical model) (Stewart, 1999 อ้างใน Brown and Chien,
2010) ในการประเมินและการบำบัดจะเน้นพิจารณาปัญหาจากองค์ประกอบของทักษะ
(component skills) หรือองค์ประกอบย่อย ๆ (occupational performance component)
ของผู้รับบริการ เช่น การรับความรู้สึก ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ การทรงตัว ความคิดความเข้าใจ
ซึ่งเชื่อว่าเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องฟื้นฟูก่อนเพื่อให้เกิดความสำเร็จในการทำกิจกรรมหรือการทำงาน
การบำบัดจะมุ่งเน้นไปที่การแจกแจงและฟื้นฟูองค์ประกอบย่อยหรือปัจจัยที่เป็นสาเหตุก่อให้เกิด
ปัญหาในการทำกิจกรรม (Brown and Chien, 2010; Coster, 1998; Trombly, 1993) เช่น
เด็กมีปัญหาการจับดินสอและการเขียนออกนอกขอบเส้นบรรทัด ซึ่งมีสาเหตุจากการอ่อนแรง
ของกล้ามเนื้อมือและการรับรู้ทางสายตา นักกิจกรรมบำบัดจึงวิเคราะห์และจัดกิจกรรมเพื่อกระตุ้น
ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อมือ และกิจกรรมกระตุ้นการรับรู้ทางสายตา (Kennedy, Brown, &
Stagnitti, 2012) ปัจจุบันนักกิจกรรมบำบัดให้การประเมินและการบำบัดโดยใช้แนวทางของ
Top-down approach มากขึ้น (Hocking, 2001) ซึ่งเป็นแนวทางที่มองผู้รับบริการแบบองค์รวม
และมุ่งเน้นการบำบดั ไปที่การฟื้นฟู ทดแทน หรือชดเชยความบกพร่องต่าง ๆ เพื่อความสำเร็จในการ
ทำกิจกรรม และไม่ได้เน้นการมององค์ประกอบย่อยที่เป็นสาเหตุหรือปัจจัยที่ก่อให้เกิดปัญหาหรือ
ความบกพร่อง ในกระบวนการของ Top-down approach นักกิจกรรมบำบัดเริ่มต้นด้วยการ
รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกบั ความสามารถในการทำกจิ กรรมในชีวิตประจำวันของผู้รับบริการและกิจกรรม
ที่มีความสำคัญต่อผู้รับบริการ (Trombly, 1995 อ้างถึงใน Payne & Howell, 2005; Fisher, 1998
อ้างถึงใน Payne & Howell, 2005; Brown & Chien, 2010) โดยเน้นการประเมินบริบทแวดล้อม
และกิจกรรมที่ผู้รับบริการมีข้อจำกัดหรือไม่สามารถทำได้ เพื่อตัดสินใจว่ากิจกรรมใดมีความสำคัญ
และตรงกับความต้องการของผูร้ ับบริการ นำไปสู่การตั้งเป้าประสงค์ของการบำบัด ซึ่งการบำบัดตาม
แนวทางของ Top-down approach จะเน้นความสำเร็จของการทำกิจกรรมโดยไม่เน้นการฟื้นฟู

2

องคป์ ระกอบย่อยของปัญหาหรือความบกพร่อง (Trombly, 1993) เชน่ ในกรณที ่ีเด็กมีปัญหาในด้าน
การจับดนิ สอและการเขียน ออกนอกขอบเสน้ บรรทดั นักกจิ กรรมบำบัดเลือกใช้อุปกรณ์ช่วยในการ
จับดินสอเพื่อให้เด็กมีรูปแบบการจับดินสอที่ถูกต้อง นอกจากนี้นักกิจกรรมบำบัดจัดให้มีตัวชี้นำทาง
สายตา (visual cues) เช่น การใช้อุปกรณ์จำกัดขนาดตัวอักษรในขอบแขตเส้นบรรทัดที่กำหนด
(plastic signature handwriting guide) หรือwriting aids อื่น ๆ เพื่อแก้ปัญหาการเขียนออกนอก
กรอบเสน้ บรรทดั

การให้การบำบัดทางกิจกรรมบำบัดในเด็กออทิสติกมีทั้งรูปแบบ Top-down approach
และ Bottom-up approach จากหลายงานวิจัยทั้งในประเทศและต่างประเทศที่ผ่านมาพบว่ามีการ
ใช้หลักการของการบูรณาการประสาทรับความรู้สึก (Sensory Integration) เป็นส่วนใหญ่ในการ
บำบัดเด็กออทิสติก ยกตัวอย่าง เช่น การศึกษาของ Thompson-Hodgetts and Magill-Evans
(2018) ซึ่งทำการสำรวจหาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความเชื่อและการใช้ Sensory-Base Approach
ในการบำบัดเด็กออทิสติก พบว่าร้อยละ 98 ของนักกิจกรรมบำบัดทั้งหมด 211 คน ใช้ Sensory-
Base Approach ในการให้การบำบัดเด็กออทิสติก และในประเทศไทย นภสินธ์ จันทาพูน (2561)
ได้ทำการสำรวจการใช้กรอบอ้างอิงของนักกิจกรรมบำบัดในสถานศึก ษาพบว่าในกลุ่มเด็กออทิสติก
นกั กิจกรรมบำบัดเลือกใช้กรอบอา้ งอิง Sensory Integration มากท่สี ุด คือ รอ้ ยละ 87.88 ซ่ึงทั้งสอง
ตัวอย่างงานวิจัยนี้ใช้แนวทางการบำบัดแบบ Bottom-up approach ในส่วนของแนวทาง
การบำบัดแบบ Top-down approach พบงานวิจัยของ Tomcheck, Koenig, Arbesman, and
Lieberman (2017) ซึ่งทำการศึกษาเกี่ยวกับการให้การบำบัดทางกิจกรรมบำบัดในเด็กวัยรุ่น
ออทิสติกโดยการให้การบำบัดที่เน้นผู้รับบริการเป็นศูนย์กลาง และมุ่งเน้นที่ความสำเร็จของกิจกรรม
ทำให้เด็กวัยรุ่นออทิสติกสามารถเข้าทำงานในสถานประกอบการ เพิ่มมากขึ้นจากร้อยละ 25 เป็น
รอ้ ยละ 90 โดยสามารถเตรียมอาหารเองได้และสามารถทำงานอนื่ ร่วมกบั เพ่ือนร่วมงานได้ นอกจากน้ี
มีงานวิจัยที่ใช้กลยุทธ์ทางปัญญา (cognitive strategy) ในเด็กออทิสติกของนักกิจกรรมบำบัด
ในสถานศึกษา โดยผลการศึกษาพบว่านักกิจกรรมบำบัดในสถานศึกษาเลือกใช้กลยุทธ์การใช้ระบบ
การรับความรู้สึกต่าง ๆ (sensory cues) มาช่วยกระตุ้น และการกระตุ้นก่อนเริ่มทำกิจกรรมโดยให้
เดก็ นึกถงึ ขน้ั ตอนของกิจกรรมซ้ำ ๆ (rehearsal) มากถงึ รอ้ ยละ 58.82 (ธนกฤต ประภา, 2561)

จากข้อมูลดังกล่าวข้างต้น ทำให้เห็นว่ามีการใช้แนวทางการบำบัดทั้งแบบ Top-down
approach และ Bottom-up approach ในการให้การบำบัดเด็กออทิสติก ดังนั้นผู้วิจัยจึงมีความ

3

สนใจศึกษาแนวทางการบำบัดเด็กออทิสติกเพื่อสำรวจว่านักกิจกรรมบำบัดในสถานศึกษาใช้
แนวทางการบำบัดแบบใดในการบำบดั เดก็ ออทิสติกในบรบิ ทของสถานศกึ ษา รวมทั้งเปน็ ข้อมูลนำไปสู่
การเลอื กใชแ้ นวทางการบำบัดเดก็ ออทิสติกสำหรบั นักกิจกรรมบำบัดต่อไป

4

ทบทวนวรรณกรรม
การศึกษาวิจัยเรื่อง การสำรวจแนวทางการบำบัดเด็กออทิสติกของนักกิจกรรมบำบัดใน
สถานศึกษาครั้งน้ี ผ้วู จิ ัยไดศ้ ึกษาเอกสารและงานวิจยั ท่เี กีย่ วขอ้ ง ดงั นี้
1. ความหมาย สาเหตุ อาการ และเกณฑ์การวนิ จิ ฉัยเด็กออทิสติ กิ
1.1 ความหมายของเด็กออทสิ ติก
1.2 สาเหตแุ ละอาการของเดก็ ออทสิ ติก
1.3 เกณฑก์ ารวินิจฉัยเดก็ ออทสิ ตกิ
2. บทบาทของนกั กิจกรรมบำบดั ในเดก็ ออทสิ ติก
2.1 การประเมินเดก็ ออทสิ ตกิ
2.2 การบำบัดเดก็ ออทิสติก
3. บทบาทของนักกจิ กรรมบำบดั ในสถานศึกษา
4. แนวทางการการประเมินและการบำบัดท่ีใช้ในเด็กออทสิ ติก
4.1 แนวทางการประเมินและการบำบดั แบบ Top-down approach
4.2 แนวทางการประเมนิ และการบำบัดแบบ Bottom-up approach
5. งานวิจยั ทเ่ี กยี่ วข้อง

5

1. ความหมาย สาเหตุ อาการ และเกณฑ์การวนิ ิจฉยั เดก็ ออทิสติ กิ
1.1 ความหมายของเดก็ ออทิสตกิ
American Psychiatric Association (2013) ได้กล่าวถึงเด็กออทิสติก คือ เด็กที่มี

ความบกพร่องในการเข้าสังคมและการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคม และมีรูปแบบพฤติกรรมซ้ำ ๆ ไม่
ยืดหยุ่น ซึ่งอาการเหล่านี้ปรากฎในวัยเด็กตอนต้นและทำให้เกิดข้อจำกัดหรือข้อบกพร่องในการทำ
กิจกรรมในชีวิตประจำวัน ความรุนแรงของความบกพร่องขึ้นอยู่กับลักษณะและสภาพแวดล้อมของ
เด็กแต่ละคน

International Statistical Classification of Diseases and Related Health
Problems 10th Revision: ICD-10 (2016) ได้กล่าวถึงเด็กออทิสติกไว้ว่า คือ กลุ่มที่มีความบกพร่อง
ทางพัฒนาการรอบด้าน (Pervasive developmental disorder) โดยความผิดปกติหรือความ
บกพร่องนั้นจะปรากฎก่อนอายุ 3 ปี และมีความผิดปกติของการทำงานใน 3 ด้าน คือ การมี
ปฏิสัมพันธ์ทางสังคม การสื่อสาร และพฤติกรรมซ้ำ ๆ ไม่ยืดหยุ่น นอกจากนี้ยังมีปัญหาอื่น ๆ เช่น มี
การรบกวนตอ่ การนอนหลบั และการกิน มีอาการกลวั อารมณฉ์ นุ เฉียว และกา้ วรา้ ว

จากความหมายดังกล่าวข้างต้น สรุปได้ว่า เด็กออทิสติก คือ เด็กที่มีความบกพร่อง
ของพัฒนาการรอบด้าน โดยมีความบกพร่องทางพัฒนาการโดยเฉพาะใน 3 ด้านใหญ่ ๆ คือด้านการ
สอื่ สาร ด้านปฏิสมั พันธ์ทางสงั คม และพฤตกิ รรมซ้ำ ๆ ไมย่ ืดหยนุ่ ความบกพรอ่ งนจี้ ะปรากฎในวัยเด็ก
ตอนต้นนอกจากนี้ยังมีอารมณ์ฉุนเฉียวและก้าวร้าว ซึ่งอาการเหล่านี้ทำให้เกิดข้อจำกัดหรือ
ขอ้ บกพร่องในการทำกจิ กรรมในชวี ติ ประจำวัน ความรนุ แรงของความบกพร่องข้ึนอยู่กับลักษณะและ
สภาพแวดลอ้ มของเด็กแตล่ ะคน

1.2 สาเหตุและอาการของเดก็ ออทิสตกิ
สาเหตุของออทิสติกเกิดจากหลายปัจจัยแต่ยังไม่สามารถระบุสาเหตุที่ชัดเจนที่ทำให้เกิด
ออทสิ ตกิ ได้ จากการทบทวนวรรณกรรมไดพ้ ูดถึงสาเหตุส่วนใหญ่ท่ีทำใหเ้ กดิ ออทสิ ตกิ ไว้ ดงั น้ี
1. ปัจจัยทางพันธกุ รรม ออทิสติกมีอัตราความเหมือนร่วมของการถ่ายทอดทางพันธุกรรมใน
ฝาแผดตั้งแต่ 37 ถึง 90 เปอร์เซ็นต์ มากกว่า 15 เปอร์เซ็นต์ของออทิสติกเกิดจากการกลายพันธ์
ทางพันธุกรรม การเปลี่ยนแปลงจำนวนโครโมโซมหรือการเปลี่ยนแปลงรูปร่างของโครโมโซม

6

นอกจากนอี้ อทิสติกอาจเกิดได้จากความผดิ ปกติของหลายยีนส์รว่ มกันหรือการเปล่ียนแปลงขนาดเล็ก
ระดบั ยนี ส์ (American Psychiatric Associate, 2013)

2. ปัจจัยขณะตั้งครรภ์หรือขณะคลอด เช่น การตั้งครรภ์เมื่ออายุมาก เด็กมีน้ำหนักตอน
คลอดน้อย มารดาเป็นโรคหัดเยอรมัน หรือการได้รับยาบางกลุ่มขณะตั้งครรภ์ เช่น กลุ่ม valproate,
thalidomide, misoprostol (Rerksuppaphol & Rerksuppaphol, 2011; American Psychiatric
Associate, 2013)

3. ความผิดปกติของสมองและระบบประสาท ออทิสติกมีความผิดปกติของสมองและระบบ
ประสาทท่เี กดิ ขน้ึ หลายรปู แบบไม่ว่าจะเปน็ ความผดิ ปกตขิ อง basal ganglia การมปี ริมาณของสมอง
ที่เพิ่มขึ้นยกเว้นสมองส่วนหน้า (frontal lobe) ความผิดปกติของ neostriatum ของสมองส่วน
media aspects ของสมองส่วนหน้า ซึ่งควบคุมเกี่ยวกับความจำ อารมณ์ การเรียนรู้และแรงจูงใจ
และพบความผิดปกตขิ อง cerebellum ทีท่ ำหน้าท่ีเก่ียวกับการควบคุมการเคล่ือนไหวแบบผสมผสาน
ของร่างกายทง้ั สองด้าน การลดลงของจำนวนของเซลล์เพอรก์ นิ ส์ (purkinje cell) จากสาเหตดุ งั กล่าว
ทำให้เกดิ อาการของโรคลมชกั ในระยะเริ่มเข้าส่วู ัยรุ่น เมอ่ื ทำการตรวจคล่ืนสมองด้วยไฟฟ้าพบว่าคล่ืน
สมองมคี วามผิดปกตมิ ากกว่าเด็กปกตทิ ่ัวไป (สมภพ เรืองตระกูล, 2545; ทวศี กั ดิ์ สิรริ ัตน์เรขา, พนิดา
รัตนไพโรจน,์ จารวุ รรณ ประดา, ศโิ รรัตน์ นาคทองแกว้ และจนั ทนี มงุ่ เขตกลาง, 2557)

อาการของเดก็ ออทิสตกิ
เด็กออทิสติกมีความผิดปกติในหลายด้านด้วยกันขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรคและในเด็ก
แต่ละคนจะมีความผิดปกติและความรุนแรงของอาการแตกต่างกันไป และความผิดปกติต้องเกิด
ในช่วงวัยเด็กตอนต้นโดยเกิดขึ้นแบบถาวรและรบกวนในการใช้ชีวิตประจำวัน ซึ่งอาการของเด็ก
ออทิสติกที่แสดงชดั เจนมีดว้ ยกนั 2 อาการใหญ่ ๆ ดงั นี้
1. มีความผิดปกติในการเข้าสังคมและการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น โดยเด็กออทิสติกมีความ
ยากลำบากในการสื่อสารทั้งด้วยวาจาและท่าทางกับผู้อื่น เช่น ไม่เข้าใจที่ผู้อื่นพูดหรือใช้คำพูดไม่
เหมาะสมในการสื่อสาร มีความยากลำบากในการทักทายหรือเริ่มต้นการสนทนากับบุคคลอ่ืน
นอกจากน้ยี ังมปี ัญหาในการแสดงออกทางสหี น้า การสบตา การแสดงออกทางอารมณ์ การตอบสนอง
ในการสนทนากบั ผอู้ นื่ การตระหนักรู้ถึงอารมณ์ของตนเองและผู้อ่นื และการเขา้ สงั คมโดยปฏเิ สธผู้อื่น
ไม่สนใจคนรอบข้าง หรือมพี ฤตกิ รรมไมเ่ หมาะสม เชน่ พฤติกรรมกา้ วรา้ ว ก่อความวนุ่ วาย (American
Psychiatric Association, 2013; Autism Speaks, 2019)

7

2. มีพฤติกรรมซ้ำ ๆ ไม่ยืดหยุ่น หรือยึดติดกับรูปแบบเดิมที่คุ้นเคย เปลี่ยนแปลงยาก
เดก็ ออทสิ ติกมักมีพฤติกรรมการเคลื่อนไหวซำ้ ๆ เช่น การโยกตัว การหมุนตัว สะบดั น้วิ พลิกมือไปมา
ชอบเล่นของเล่นที่มีการหมุนหรือการเคลื่อนไหวซ้ำไปซ้ำมา เช่น หมุนเหรียญ จัดเรียงวัตถุ ตุ๊กตา
ล้มลุก นอกจากนี้ยังมีพฤติกรรมชอบมองของหมุน ๆ หรือแสง ชอบเลียนเสียง พูดคำเดิม ๆ หรือ
ประโยคเดิม ๆ มคี วามสนใจแคบ ไม่สนใจตอ่ ความเจ็บปวดหรืออุณภมู ิที่ผิดปกติ และมพี ฤติกรรมการ
ทำกิจวตั รซำ้ ๆ ไม่เปลี่ยนแปลง เช่น ทานอาหารเดมิ ๆ ใสเ่ ส้อื ผ้าเดมิ ๆ เมอื่ เขา้ สู่วัยผใู้ หญ่อาจมีความ
ยากลำบากในการช่วยเหลือตนเองเพราะไม่มีความยืดหยุ่นและการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลง
(American Psychiatric Association, 2013; Autism Speaks, 2019)

นอกจากนี้ยังพบอาการหรือความบกพร่องที่ส่งผลต่อการทำกิจกรรมในชีวิตประจำวันของ
เด็กออทสิ ติก ไดแ้ ก่ (คณะกรรมการวชิ าชีพสาขากิจกรรมบำบดั , 2557)

1. ความบกพร่องของกจิ กรรมการดำเนินชีวิต
1.1 ด้านกิจวัตรประจำวัน ปัญหาที่พบด้านการทำกิจวัตรประจำวันจะมีความ

แตกต่างกนั ไปในแต่ละคน โดยส่วนใหญม่ ักมีความยากลำบากในการช่วยเหลือตนเองในกจิ กรรม ดังน้ี
การขับถ่าย การแต่งตัว การรับประทานอาหาร การทำความสะอาดร่างกาย และไมม่ ีความตระหนักรู้
ตอ่ ภยันตรายหรอื ตอบสนองตอ่ สถานการณฉ์ กุ เฉนิ ไมเ่ หมาะสม

1.2 ด้านการพักผ่อนและนอนหลับ เด็กออทิสติกมักมีช่วงเวลาของการนอนหลับ
สั้นกว่าเด็กปกติ นอนไมเ่ ปน็ เวลา มกั ต่นื กลางคนื และรอ้ งโวยวาย

1.3 ดา้ นการศกึ ษา เดก็ ออทิสติกมักมีความยากลำบากในการทำกจิ กรรมในชั้นเรียน
ปกติ ไม่สามารถนั่งนิ่งได้นานในชั้นเรียนทำให้ไม่มีสมาธิเพียงพอที่จะรับรู้หรือเรียนรู้กิจกรรมในช้ัน
เรียนปกติ ไมส่ ามารถบ่งบอกเรอ่ื งทตี่ นสนใจจะรู้ รวมทง้ั ไม่สามารถคน้ หาเพื่อให้ได้ข้อมลู ท่เี กยี่ วขอ้ ง

1.4 ด้านการเล่น มักมีการเล่นที่ไม่เหมาะสมกับวัย โดยมักมีพฤติกรรมแยกตัว
เล่นคนเดียวสนใจของเล่นมากกว่าเพื่อนเล่น และเล่นของเล่นไม่เป็นไปตามวิธีเล่น เช่น เคาะรถ
ของเล่นแทนการลากรถ อีกท้งั มกั ชอบมองทสี่ ูงหรือเพ่งมองวัตถุท่ีเรียงไว้หรือมองส่วนใดส่วนหน่ึงของ
วัตถุมากกว่าภาพรวม มักมีวิธีการเล่นที่ไม่มีความหมายและซ้ำ ๆ เช่น เล่นสะบัดมือ หมุนของในมือ
และมกี ารเล่นทีร่ ุนแรงกว่าปกตทิ ั้งกับสัตว์เลย้ี งและผู้อืน่ นอกจากน้ีเดก็ ออทิสติกยังมปี ญั หาในการเล่น
สมมติ เล่นตามกติกา หรือการร่วมเล่นแบบกลุ่มหรือเลน่ กับเด็กคนอื่น และบางครั้งอาจมีอาการกลัว

8

หรือหลีกเลี่ยงกิจกรรมการเล่นบางอย่าง เช่น ไม่เล่นชิงช้า กระดานลื่น ม้าหมุน สเกตบอร์ด หรือ
กจิ กรรมที่มกี ารเคลื่อนไหวต่างระดบั

1.5 ด้านการมีส่วนรว่ มทางสังคม ซึ่งเดก็ ออทสิ ตกิ มกั แยกตัวเองออกจากกลุ่ม นั่งเลน่
คนเดียว และมที กั ษะทางสังคมไม่เหมาะสม เช่น ดึงแขนหรือตีเพื่อนเพ่อื แสดงถงึ ความอยากเลน่ ดว้ ย

2. ปัจจัยส่วนบุคคลของผู้รับบรกิ าร มักพบความบกพร่องด้านการทำหน้าที่ของร่างกาย เช่น
มีความตึงตัวของกล้ามเนื้อทั่วร่างกายต่ำกว่าปกติ มีระดับการตื่นตัวต่อสิ่งเร้าสูงหรือต่ำกว่าปกติ
มีภาวะอยู่ไม่นิ่ง ไม่เข้าใจคำสั่ง ไม่มีสมาธิหรือสมาธิสั้น มีความยากลำบากในการเคลื่อนไหว
มีพฤติกรรมแสดงออกทางเพศไม่เหมาะสม มีพฤติกรรมก้าวร้าว ซึมเศร้า แยกตัว และมีการรับรู้
ความสามารถและให้คณุ คา่ ในตวั เองตำ่

3. ทักษะในการทำกิจกรรม
3.1 ทักษะด้านประสาทสัมผัสและการรับรู้ (sensory-perceptual skills) เด็ก

ออทิสติกจะมีความบกพร่องในกระบวนการของประสาทรับความรู้สึกและการรับรู้ ผ่านกระบวนการ
เลือก แปลผล จัดระเบียบ เชื่อมโยงกับประสบการณ์เดิม ซึ่งส่งผลตอ่ การบอกตำแหน่ง แยกแยะและ
ตอบสนองต่อข้อมูลความรู้สึก โดยแสดงออกในรูปแบบของพฤติกรรมที่ผิดปกติ เช่น ไม่ใช้มือในการ
หยบิ จับส่งิ ของท่ีมีพน้ื ผิวบางอย่าง เดินเขยง่ เท้า สะบัดมอื ถูมือ หรอื หมุนของในมือ ชอบมองของหมุน
ไมต่ อบสนองตอ่ เสียงเสียงเรียก กดั เส้อื ผา้ และวตั ถอุ ่นื ๆ เปน็ ต้น

3.2 ทกั ษะด้านการเคล่ือนไหวและการวางแผนการเคล่ือนไหว (motor and praxis
skills) เดก็ ออทิสติกจะมีความบกพร่องในการกระทำการเคลื่อนไหวและใช้ร่างกายใหม้ ีปฏิสัมพันธ์กับ
งาน วัตถุสิ่งของ บริบท และสิ่งแวดล้อม รวมถึงการวางแผน การจัดลำดับการกระทำการเคลื่อนไหว
รูปแบบใหม่ และการกระทำการเคลื่อนไหวที่มีลำดับขั้นตอนอย่างมีเป้าหมาย และสามารถปรับแต่ง
การเคลื่อนไหวตามคำสั่ง การต่อรูปทรงตามแบบ การเลียนแบบท่าทาง และการเคลื่อนไหวของ
ริมฝีปาก ซึ่งแสดงออกในพฤติกรรมที่ผิดปกติ เช่น ซุ่มซ่าม หกล้มบ่อย ปั่นจักรยานไม่ได้ มีความ
ยากลำบากในการเล่นกีฬา มีความยากลำบากในการหยิบจับวัตถุขนาดเล็ก มีรูปแบบการหยิบจับ
ดนิ สอไม่ถกู ตอ้ ง และไมส่ ามารถเลียนแบบทา่ ทางหรือการเคล่ือนไหวทีซ่ บั ซ้อนได้

3.3 ทักษะด้านการควบคุมอารมณ์ (emotional regulation skills) เด็กออทิสติก
มักมีความบกพรอ่ งในการควบคุมและการแสดงออกทางอารมณ์ความร้สู ึกในการทำกิจกรรมหรอื

9

การมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น เด็กออทิสติกมักไม่สามารถควบคุมอารมณ์โกรธของตนเอง ได้ และมักมี
พฤติกรรมกา้ วร้าว หนุ หนั พลนั แลน่ ไมย่ ืดหยุ่น ไมเ่ ข้าใจอารมณข์ องผอู้ ื่น แสดงออกทางอารมณ์ไม่เป็น
หรือไมเ่ หมาะสมกับสถานการณ์ มักจะหมกหมนุ่ หรือสนใจเฉพาะเรอ่ื งทต่ี นเองสนใจเท่าน้นั

3.4 ทักษะด้านความคิดความเข้าใจ (cognitive skills) เด็กออทิสติกจะมีความ
บกพร่องในการวางแผนการจัดการกิจกรรม เช่น การตัดสินใจ การเลือกใช้อุปกรณ์ การสร้างสรรค์
กิจกรรมที่แปลกใหม่และสนุกสนาน การจัดลำดับขั้นตอนของงาน การทำงานให้แล้วเสร็จในเวลา
การทำงานหลายอยา่ งในเวลาเดียวกนั

3.5 ทักษะการสื่อความหมายและการเข้าสังคม (communication and social
skills) เด็กออทิสติกมักมีความบกพร่องในการสื่อสารทั้งการพูด การเขียน การเข้าใจภาษาท่าทาง
และการสร้างปฏิสัมพันธ์กับบุคคลอื่น พฤติกรรมที่มักพบบ่อย เช่น ไม่สบตา ไม่แสดงออกทางสีหน้า
ไม่ตอบสนองต่อคำสั่ง เลียนแบบคำพูดสุดท้าย แยกตัว ไม่รู้จักรอคอย ไม่รู้จักกาลเทศะ ไม่เข้าใจ
นามธรรม มีการแสดงออกทางเพศที่ไม่เหมาะสม และไม่สามารถคงรักษา สัมพันธภาพระหว่างการ
สนทนาได้ เปน็ ตน้

4. รูปแบบการทำกิจกรรม (performance patterns)
4.1 อุปนิสัย (habits) เด็กออทิสติกมกั ทำกจิ กรรมซ้ำ ๆ และเปลย่ี นแปลงไดย้ าก
4.2 สิ่งที่ทำเป็นประจำ (routines) มีความยากลำบากในการเปลี่ยนแปลงลำดับ

ขน้ั ตอนการทำกิจวัตรประจำวนั
4.3 บทบาท (roles) เดก็ ออทสิ ติกไม่สามารถแสดงบทบาทตามบริบทของสงั คม เชน่

บทบาทของการเป็นบุตร เพื่อนหรือพี่น้อง มีการแสดงออกของบทบาททางเพศต่อเพศตรงข้าม
ไมเ่ หมาะสม

4.4 ธรรมเนียมปฏิบัติ (rituals) เด็กออทิสติกอาจมีพฤติกรรมยึดติดกับวัตถุสิ่งของ
อย่างใดอย่างหนึ่งตลอดเวลา หรือมีพฤติกรรมการจัดเรียงวัตถุสิ่งของอยู่เสมอ มีความหมกหมุ่น
ในเร่ืองเดมิ ๆ ที่ตนเองสนใจโดยไม่สนใจคนรอบข้าง

10

1.3 เกณฑก์ ารวนิ จิ ฉัยโรคออทิสตกิ (Diagnostic Criteria)
เกณฑ์การวินิจฉัยโรคออทิสติก ตามคู่มือการวินิจฉัยโรค DSM-V โดยสมาคม

จติ แพทย์แหง่ สหรฐั อเมรกิ า (American Psychiatric Association, 2013) ระบุว่าออทิสติกเป็นโรคท่ี
มีความผิดปกติของพัฒนาการทางระบบประสาท (Neurodevelopmental Disorder) เริ่มมีอาการ
ในช่วงของพัฒนาการโดยความผิดปกติมักปรากฏในช่วงต้นของพัฒนาการ ซึ่งได้กำหนดเกณฑ์การ
วินจิ ฉัยไว้ ดงั น้ี

ก. พบความบกพร่องด้านการสื่อสารทางสังคมและการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมใน
บริบทท่ีหลากหลายเปน็ เวลานาน ตามที่ปรากฎดงั ต่อไปนใี้ นอดีตหรอื ปจั จุบัน

1. บกพร่องในการตอบสนองทางอารมณ์และสังคม (social-emotional
reciprocity) ยกตัวอย่างเช่น มีพฤติกรรมผิดไปจากวิธีการทางสังคมและไม่มีการตอบสนองหรือ
โต้ตอบในการสนทนา เชน่ ไม่มกี ารแลกเปล่ียนความสนใจ อารมณ์ หรอื ท่าทาง กบั ผอู้ นื่

2. บกพร่องในการสื่อสารแบบอวัจนภาษา (nonverbal communicative) ที่ใช้ใน
การปฏิสัมพันธ์ทางสังคม เช่น มีความยากลำบากในการบูรณาการการสื่อสารแบบวัจนภาษา
และอวัจนภาษาเขา้ ดว้ ยกัน เช่น ไมส่ บตา ไมม่ กี ารแสดงออกทางสีหน้าและท่าทางในการสอ่ื สาร

3. บกพร่องด้านการพัฒนาความสัมพันธ์ การคงความสัมพันธ์ และการเข้าใจผู้อื่น
ยกตัวอย่างเช่น มีความยากลำบากในการปรับตัวให้เข้ากับบริบทต่าง ๆ มีความยากลำบากในการ
แลกเปลี่ยนการเล่นแบบใชจ้ ินตนาการหรอื การสร้างปฏิสมั พนั ธ์ เชน่ ขาดความสนใจในคนรอบข้าง

ข. พบรูปแบบพฤติกรรม ความสนใจ หรือกิจกรรมที่จำกัดและซ้ำเดิมอย่างน้อย 2
พฤตกิ รรมตามทป่ี รากฎดงั ต่อไปนี้ในอดีตหรือปัจจุบนั

1. มีรูปแบบการเคลื่อนไหว การใช้วัตถุ หรือการพูด ที่ตายตัวหรือซ้ำเดิม เช่น การ
เคลอ่ื นไหวที่เรยี บงา่ ยตายตัว การเรยี งของเล่น การพลิกหรือหมนุ วัตถุ การพูดเลยี นแบบหรือพูดซ้ำ ๆ
ในสิ่งท่คี นอนื่ พดู กับตนเอง พูดวลที ่แี ปลกประหลาด

2. ไมม่ คี วามยืดหยุ่นในการทำกจิ วัตรหรือมรี ูปแบบพฤติกรรมทซี่ ้ำเดิมของพฤติกรรม
การพดู หรือการแสดงท่าทาง เช่น มคี วามกงั วลอย่างมากเม่ือมีการเปลี่ยนแปลงเพยี งเล็กน้อย มีความ
ยากลำบากในการเปลี่ยนผา่ น มีรูปแบบความคิดที่ไม่ยืดหยุน่ ต้องทำกิจวัตรแบบเดิมหรือทานอาหาร
เหมอื นเดมิ ทุกวนั

11

3. มีข้อจำกัดสูง ทำให้ยึดติดกับความสนใจใดความสนใจหนึ่งเพียงอย่างเดียวหรือ
ให้ความสนใจตอ่ บางเรือ่ งอยา่ งมากแบบผิดปกติ

4. มีการตอบสนองมากหรือน้อยเกินต่อข้อมูลการรับความรู้สึกที่เข้ามาหรือมีความ
สนใจที่ผิดปกติในมุมมองด้านการรับความรู้สึกของสิ่งแวดล้อม เช่น ไม่สนใจต่อความเจ็บปวดหรือ
อุณหภูมิทีผ่ ิดปกติ มีการตอบสนองที่ไม่พึงประสงค์ตอ่ ผิวสัมผสั หรือเสียงเฉพาะ มีการดมกลิ่นหรือการ
สัมผัสส่ิงของที่มากเกนิ ไป มีความหลงใหลทางสายตาดว้ ยแสงไฟหรอื การเคลอ่ื นไหว

ค. อาการเหล่าน้ตี ้องปรากฏในก่อนช่วงพฒั นาการ
ง. อาการเหลา่ น้ีทำใหเ้ กิดความบกพร่องทางสงั คม กิจกรรม หรอื ฟงั ก์ชนั สำคญั อนื่ ๆ
ในปจั จุบัน
จ. สิ่งที่รวบกวนเหล่านี้ต้องไม่เข้าเกณฑ์วินิจฉัยของความบกพร่องทางสติปัญญา
(Intellectual developmental disorder) หรอื พัฒนาการล่าช้ารอบดา้ น (global developmental
delay)

2. บทบาทของนักกิจกรรมบำบัดในเด็กออทสิ ตกิ
American Occupational Therapy Association (2018) ได้ทำการอธิบายถึงหน้าที่ของ

นักกจิ กรรมบำบดั ในเดก็ ออทสิ ติกไวด้ ังต่อไปน้ี
บทบาทโดยท่วั ไป
นักกิจกรรมบำบัดมีหน้าที่ให้การสนับสนุนการมีส่วนร่วมอย่างสร้างสรรค์และมีความหมาย

ในกิจกรรมของชุมชนและหากลยุทธ์เพื่อลดอุปสรรคในการมีส่วนร่วมในกิจกรรมของชุมชนของเด็ก
ซึ่งช่วยส่งเสริมระดับคุณภาพชีวิตของเด็กออทิสตกิ และครอบครัว เนื่องจากนักกิจกรรมบำบดั มคี วาม
เชี่ยวชาญในการวิเคราะห์กิจกรรมและสิ่งแวดล้อม และมีทักษะเฉพาะในการใช้กลยุทธ์เพื่อจัดการ
กับการควบคุมตนเองและความต้องการทางประสาทสัมผัส ทักษะการปรับตัว การพัฒนาการ
เคลือ่ นไหว สขุ ภาพจติ การมีส่วนร่วมทางสังคม และทักษะในชีวติ ประจำวนั โดยนกั กิจกรรมบำบัดจะ
ทำงานในสภาพแวดล้อมจริงโดยปกติ (natural setting) ที่ผู้ที่เป็นออทิสติกมักมีส่วนร่วมในกิจกรรม
ประจำวัน เช่น ศูนย์ดูแลเด็ก, โรงเรยี น, บา้ น, สถานที่ทำงาน, ศูนย์ดูแลชว่ งกลางวันสำหรับผู้ใหญ่หรือ
บ้านพัก เช่นเดียวกับบริบททางคลินิก เช่น โรงพยาบาลและคลินิกเอกชน นอกจากนี้บทบาทของ
นักกิจกรรมบำบัดนั้นรวมไปถึงการให้บริการโดยตรง การให้คำปรึกษา และการทำงานร่วมกับผู้อ่ืน

12

ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวของเด็ก ครู นายจ้างหรือทีมสหวิชาชีพ และให้การสนับสนุนในส่วนของ
การดัดแปลงที่พัก อีกหนึ่งบทบาทที่สำคัญของนักกิจกรรมบำบดั คือการช่วยตรวจหาอาการออทิสตกิ
ให้ระยะแรก ให้คำแนะนำเกี่ยวกับบริการที่เป็นประโยชน์แก่ตัวเด็ก และให้คำปรึกษาหรือคำแนะนำ
แก่ครอบครัวของเด็กเกี่ยวกับระดับพัฒนาการตามปกติ การส่งเสริมการมีส่วนร่วมในกิจกรรมที่
เหมาะสมกบั อายุ และการจัดหาทรัพยากรชมุ ชนทีส่ นบั สนนุ การมีส่วนรว่ มของเด็ก

2.1 การประเมนิ เดก็ ออทสิ ติก
นักกิจกรรมบำบัดจะทำการประเมินทักษะด้านต่าง ๆ โดยพิจารณาในขอบเขตงานของ
กิจกรรมบำบัดในหลายองค์ประกอบ คือ (1) การทำกิจกรรมการดำเนินชีวิต (2) ทักษะในการทำ
กิจกรรม (3) รูปแบบการทำกิจกรรม (4) บริบทและสิ่งแวดล้อม (5) องค์ประกอบที่จำเป็นในการทำ
กิจกรรม (6) ปัจจัยส่วนบุคคล (คณะกรรมการวิชาชีพสาขากิจกรรมบำบัด, 2557) ในเด็กออทิสติก
นักกิจกรรมบำบัดมักประเมินประสาทสัมผัส การเคลื่อนไหว การรับรู้ สังคม และการสื่อสาร
ที่เกี่ยวข้องกับการมีส่วนร่วมในกิจกรรมในชีวิตประจำวันของเด็ก โดยมีจุดประสงค์เพื่อส่งเสริม
การมีส่วนร่วมอย่างเต็มที่ในชุมชนและทำให้ทราบถึงจุดแข็งและความสามารถของเด็กรวมถึง
ความต้องการและความท้าทาย เนื่องจากเด็กออทิสติกนั้นมีลักษณะที่แตกต่างกันไปในแต่ละคน
และช่วงอายุ ผลที่ได้จากการประเมินทางกิจกรรมบำบัดมีส่วนช่วยในการพัฒนาแผนการบำบัด
และเปา้ ประสงค์การบำบัดรว่ มกบั ครอบครัวและตัวเด็ก โดยมุ่งเน้นในส่ิงทจ่ี ำเป็นและสิ่งท่ีเด็กต้องการ
จะทำ

2.2 การบำบดั เดก็ ออทสิ ตกิ
กิจกรรมบำบัดเป็นพื้นฐานในการส่งเสริม กระตุ้น และพัฒนาทักษะเพื่อการมีส่วนร่วมใน
ทุก ๆ ด้านของกิจกรรมในชีวิตประจำวันในเด็กออทิสติกอย่างเหมาะสมตามช่วงวัย เนื่องจากเด็ก
ออทิสติกมีการเปลี่ยนแปลงตลอดในทุกช่วงอายุ นักกิจกรรมบำบัดใช้ความรู้ หลักการ ทฤษฎี และ
ทักษะเฉพาะภายใต้ขอบเขตงานทางกิจกรรมบำบัดเพื่อส่งเสรมิ สุขภาพ สร้างทักษะ คงความสามารถ
และแก้ไขอุปสรรคในการมีส่วนร่วมให้เด็กออทิสติกสามารถใช้ชีวิตได้อย่างเต็มศักยภาพ โดยมุ่งเน้น
การบำบัดไปที่การพัฒนาทักษะที่จำเป็นในการใช้ชีวิตทั้งในบริบทของบ้านและโรงเรียน รวมถึงการ
เปลี่ยนผ่านสู่วัยผูใ้ หญแ่ ละการมีส่วนรว่ มในชุมชน นอกจากนี้นักกิจกรรมยังมีมีบทบาทในการแนะนำ

13

เทคโนโลยีในการศึกษาที่เหมาะสมและทำงานร่วมกับสหวิชาชีพและครอบครัวของเด็กเพ่ือ
ประสิทธิภาพในการบำบดั ชว่ ยเหลือมากทีส่ ุด อีกทั้งยังมีบทบาทเป็นที่ปรึกษาแก่บุคคล ชุมชน สังคม
หรือองค์กรที่เกี่ยวขอ้ งทั้งภาครัฐและเอกชน โดยการให้ข้อมูลข่าวสารแก่สังคมเกี่ยวกับความสามารถ
ข้อจำกัด และการอยู่ร่วมกับเด็กออทิสติก และเป็นสื่อกลางในการประสานงานกับทุกภาคส่วนที่
เกย่ี วข้องเพ่อื สรา้ งเครือข่ายในการช่วยเหลือเด็กออทิสติกในการพฒั นาศักยภาพ สง่ เสริมคุณภาพชีวิต
ของเด็กออทิสติกและครอบครัว สร้างแรงผลักดันให้แก่ผู้มีอำนาจในการตัดสินใจกำหนดนโยบาย
และออกกฎหมายในเรื่องที่เกี่ยวข้อง เช่น การเข้าถึงการบริการทางการแพทย์ สิทธิและหน้าท่ี
ทางการศึกษา ฯลฯ

คณะกรรมการวิชาชีพสาขากิจกรรมบำบัด (2557) ได้แบ่งแนวทางการให้บริการทาง
กิจกรรมบำบัดสำหรบั เด็กออทสิ ตกิ ออกเปน็ 3 แนวทาง ดงั นี้

1. การเสริมสร้างประสิทธิภาพของกระบวนการบูรณาการประสาทรับความรู้สึกและการ
เคลื่อนไหว นักกิจกรรมบำบัดจัดกิจกรรมที่เสริมประสบการณ์การรับความรู้สึกและการเคลื่อนไหว
ที่เหมาะสม และควรให้คำปรึกษากับผู้ปกครองและครูในการปรับเปลี่ยนบริบทแวดล้อมที่สนับสนุน
ให้เกดิ พฤติกรรมที่พงึ ประสงค์

2. การพัฒนาทักษะทว่ั ไปท่ีจำเป็นต่อการทำกิจกรรมการดำเนินชีวิต โดยการบำบัดมุ่งพัฒนา
ทักษะดา้ นการเคลอื่ นไหว ดา้ นการรบั รู้ ด้านความคิดความเขา้ ใจ ด้านการควบคุมอารมณ์ ด้านการส่ือ
ความหมายและการเข้าสังคม เพื่อเพิ่มความสามารถในการทำกิจวัตรประจำวัน การเล่น และการ
เรียนรู้ทักษะวิชาการ โดยการวิเคราะห์กิจกรรม การจัดกระบวนการเรียนรู้ และการปรับเปลี่ยน
สิ่งแวดล้อม เพื่อให้เด็กออทิสติกทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้สำเร็จ นอกจากนี้นักกิจกรรมบำบัดต้องให้
คำปรกึ ษาดา้ นกลยุทธใ์ นการบำบัดฟื้นฟกู ับครอบครวั และครูเพือ่ พฒั นาทกั ษะความสามารถของเด็กที่
บา้ น โรงเรยี น และชมุ ชน

3. การเตรียมความพร้อมการทำงานและการประกอบอาชีพ มีความสำคัญมากใน
เด็กออทิสติกในช่วงวัยรุ่นและวัยผู้ใหญ่ รวมถึงครอบครัวที่ต้องให้ความสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลง
ในด้านการดำเนินชวี ิตและด้านจิตใจ หากเดก็ ไดร้ ับการสนบั สนุนโดยฝึกฝนทกั ษะท่ีใชใ้ นงานและมีการ
ช่วยคน้ หาความสนใจต่องานที่เหมาะกบั ระดบั ความสามารถ

14

3. บทบาทของนกั กจิ กรรมบำบดั ในสถานศกึ ษา
American Occupational Therapy Association (2016) ได้ทำการอธิบายถึงบทบาท

หน้าทขี่ องนกั กิจกรรมบำบัดในสถานศกึ ษาไว้ ดังน้ี
บทบาทและหน้าทขี่ องนักกิจกรรมบำบดั โดยท่ัวไป
นกั กิจกรรมบำบัดจะให้การบริการในเรอื่ งของการป้องกัน ส่งเสริม บำบัด ตามลำดับ

และมีรูปแบบการให้บริการแบบตัวต่อตัว แบบกลุ่ม แบบในห้องเรียน และในโรงเรียน โดย
นกั กิจกรรมบำบัดจะทำงานร่วมกับทีมในระบบการศึกษาเพ่ือสนบั สนนุ ให้นักเรยี นประสบความสำเร็จ
ในการมีส่วนร่วมในกิจกรรมต่าง ๆ ของโรงเรียนและมีส่วนช่วยทั้งในระบบการศึกษาแบบปกติและ
แบบพิเศษ ซึ่งนักกิจกรรมบำบัดในสถานศึกษามีหน้าที่ในการส่งเสริมความสามารถของนักเรียน
ในการมีส่วนร่วมในการทำกิจกรรมที่จำเป็นในโรงเรียน ช่วยให้เด็กทำหน้าที่ของนักเรียนได้อย่าง
สมบูรณ์ โดยการสนับสนุนความสำเร็จด้านวิชาการ ส่งเสริมพฤติกรรมที่จำเป็นต่อการเรียนรู้
และสนับสนุนความสำเร็จด้านที่ไม่ใช่วิชาการ รวมถึงทักษะทางสังคม คณิตศาสตร์ การอ่านและการ
เขียน การจัดการพฤติกรรมการพักผ่อน การมีส่วนร่วมในด้านกีฬา ทักษะการช่วยเหลอื ตนเอง การมี
ส่วนร่วมในการแนะแนวอาชีพ การเดินทาง และอื่น ๆ นักกิจกรรมบำบัดมีความเชี่ยวชาญใน
การวิเคราะห์กิจกรรมและสิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะอย่างยิ่งทักษะในการกระตุ้นให้ เด็กมีสิทธิ์ในการ
เขา้ ถงึ กิจกรรมที่อยู่ในหลักสตู รและนอกหลักสูตรเพื่อพฒั นาการเข้าถึงอย่างเหมาะสมและลดอุปสรรค
ที่ทำให้เกิดข้อจำกัดการมีส่วนร่วมในการเรียนภายใต้สิ่งแวดล้อมในโรงเรียน ซึ่งนักกิจกรรมบำบัด
ให้ความสำคัญกับจุดแข็งของนักเรียนและสนับสนุนความต้องการของนักเรียนกั บปัญหาที่สำคัญ
เช่น การช่วยเลือกวธิ ีในการตดั สินใจในการทำงานเกี่ยวกับการศึกษาและการเรียนรู้ และเตรียมความ
พร้อมของเด็กสำหรับการเข้าสู่การประกอบอาชีพหลังจากสำเร็จการศึกษา ความสามารถใน
การช่วยเหลือตนเอง หรือในการศึกษาที่สูงขึ้น นอกจากนี้นักกิจกรรมบำบัดมีหน้าที่ในการจัดหา
เทคโนโลยีในการช่วยเหลือเพื่อสนับสนุนให้เกิดความสำเร็จของเด็ก และให้ความรู้แก่พ่อแม่/
ผ้ปู กครอง ครู ผบู้ รหิ ารและสมาชกิ คนอนื่ ๆ

การทำงานรว่ มกับสหวชิ าชพี และบุคคลทีเ่ กี่ยวข้อง
นักกิจกรรมบำบัดเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญในทีมการศึกษา โดยมีหน้าที่ช่วยนักเรียน

ในการพัฒนาทักษะการเรียกร้องสิทธิ์ของตนเองและการตัดสินใจด้วยตนเองในการวางแผนอนาคต

15

เพื่อเปลี่ยนสู่ระดับอุดมศึกษา การทำงาน และการใช้ชีวิตในสังคม นั่นคือการเพิ่มความสามารถ
ในการเรียนรู้ภายใต้สิ่งแวดล้อมในโรงเรียนและพัฒนาความสามารถให้เหมาะสมผ่านการปรับตัวและ
เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ นอกจากการทำงานร่วมกับตัวเด็กโดยตรงแล้วนักกิจกรรมบำบัดยังมีบทบาทต่าง ๆ
ในการทำงานร่วมกับสหวิชาชพี และบุคคลทเ่ี กย่ี วขอ้ งทแ่ี ตกตา่ งกนั ไป ดังน้ี

1. การทำงานรว่ มกบั ผู้ปกครอง/ผ้ดู แู ล
นักกิจกรรมบำบัดมีหน้าที่ในการสนับสนุนการนัดหมายเกี่ยวกับกิจกรรม

ของโรงเรียน เช่น การเข้าร่วมวางแผนในแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล (Individualized
Education Program [IEP]) หรือช่วยในเรื่องการจัดการปัญหาการทำบ้านโดยการเฝ้าระวังระดับ
ความเครยี ดและปริมาณในการทำงาน

2. การทำงานร่วมกับครู
นักกิจกรรมบำบัดมีหน้าที่ในการเสนอเปลี่ยนแปลงหลักสูตรเพื่อสนับสนุน

ความสามารถในการเรียนรู้ที่หลากหลายและอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เป็นมาตรฐาน และช่วย
วางแผนการสอนที่สำคัญต่อการทำให้เกิดผลสำเร็จในห้องเรียนอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังทำ
การสนับสนุนความสำเร็จของเด็กและส่งเสริมความปลอดภัยภายใ ต้สิ่งแวดล้อมของโรงเรียน
เช่น ลดอาการเดินอย่างไร้จุดหมายของเด็กออทิสติกในสนามเด็กเล่น (เช่น ความต้องการความ
ชว่ ยเหลอื ดา้ นรา่ งกายและพฤติกรรม)

3. การทำงานรว่ มกับผู้บรหิ าร
นักกิจกรรมบำบัดมีหน้าที่ในการจัดให้มีการฝึกอบรมสำหรับนักเรียน ครู

และผู้ปกครอง เช่น การเสนอการส่งเสริมกลยุทธ์ในการพักผ่อนหรือการเริ่มต้นการต่อต้านการ
กลั่นแกล้ง รวมถึงการแนะนำอปุ กรณ์สำหรบั การเรียน และการแก้ไขอาคารเรียนและหลักสูตรให้เด็ก
สามารถเขา้ ถึงได้ทง้ั หมด

การพัฒนาหลักสูตร
สำหรับเด็กที่มีความต้องการพิเศษนั้นการเรียนการสอนถูกกำหนดผ่าน IEP

(Individualized Education Program) โดยนักกิจกรรมบำบัดจะวางแผนร่วมกับวิชาชีพอื่น ๆ ใน
ทีมการศึกษาเพื่อพิจารณาถึงความจำเป็นสำหรับเด็กที่มีความต้องการพิเศษที่ได้รับการศึกษา ทั้งใน
เรื่องค่าใชจ้ า่ ย การเรียนการสอน และการทำกิจกรรมภายในสถานศกึ ษาที่เหมาะสมในสภาพแวดล้อม

16

ที่มีข้อจำกัดน้อยที่สุดและเอื้อต่อการเรียนรู้ของเด็ก นักกิจกรรมบำบัดทำงานร่วมกับสหวิชาชีพเพ่ือ
ตั้งเป้าประสงค์ร่วมกันเป็นรายปี กำหนดบริการ ปรับเปลีย่ นสภาพแวดล้อม และการปรับสิ่งตา่ ง ๆ ที่
จำเป็นสำหรับเด็กเพ่ือให้เดก็ สามารถบรรลุเปา้ หมายทวี่ างแผนไวร้ ว่ มกันได้

ชมรมครูกิจกรรมบำบัด (2557) ได้กำหนดบทบาทของนักกิจกรรมบำบัดในสถานศึกษาตาม
มาตรฐานการปฏบิ ัตงิ านไวด้ งั น้ี

1. ด้านบริการ กระบวนการให้บริการกิจกรรมบำบัดในสถานศึกษา จะมีลำดับขั้นตอน
ดงั ต่อไปนี้

1.1 คัดกรองผู้รับบริการเพื่อเข้ารับบริการทางกิจกรรมบำบัด โดยนักกิจกรรมบำบัดอาจทำ
โดยลำพังหรืออาจทำร่วมกับทีมสหวชิ าชพี ตามที่ได้รับมอบหมายในแต่ละสถานศึกษา โดยเลือกวิธีการ
คัดกรองที่เหมาะสมกบั สภาพแวดลอ้ มในการทำกจิ กรรมของผู้รบั บริการ

1.2 ประเมินผู้รับบริการเป็นรายบุคคล การประเมินผู้รับบริการในกลุ่มเป้าหมายเป็น
รายบุคคล เพื่อระบุปัญหาและความต้องการจำเป็นในการรับบริการทางกิจกรรมบำบัด
โดยนักกิจกรรมบำบัดจะทำการประเมินในด้านองค์ประกอบในการทำกิจกรรมในการดำเนินชีวิต
ซึ่งประกอบด้วย 3 ด้าน คือ (1) ขอบเขตของกิจกรรม (performance areas) (2) องค์ประกอบของ
การทำกิจกรรม (performance components) และ (3) บริบทในการทำกิจกรรม (performance
contexts) โดยนักกิจกรรมบำบัดจะประเมินผู้รับบริการตามขั้นตอนโดยใช้เครื่องมือประเมินทาง
กิจกรรมบำบดั ทง้ั แบบท่ีเปน็ มาตรฐานและไมเ่ ปน็ มาตรฐาน

1.3 การวางแผนบำบัดฟื้นฟูสมรรถภาพ นักกิจกรรมบำบัดร่วมวางแผนกับบุคคลากรท่ี
เกี่ยวข้องและร่วมจัดทำแผนการศึกษาเฉพาะบุคคล (IEP) ในรายท่ีต้องการบริการกิจกรรมบำบัด
การวางแผนการบำบัดใหส้ อดคล้องกบั ลกั ษณะความจำเป็นของผู้รับบริการ โดยนักกิจกรรมบำบัดจะ
วิเคราะห์ แปลผล และนำผลการประเมินเป็นพื้นฐานในการวางแผน ตั้งเป้าประสงค์ที่ชัดเจนและ
วัดได้ จากนั้นจัดทำแผนการให้บริการทางกิจกรรมบำบัดในด้านขอบเขตการบริการรูปแบบการ
ให้บริการ ระบุความถี่และระยะเวลาของการให้บริการอย่างเป็นลายลักษณ์อักษรและสามารถ
ตรวจสอบได้ และจัดตารางการให้บริการโดยประสานงานกับผู้เกี่ยวข้องและจัดเตรียมความพร้อม
ด้านสถานทีแ่ ละอุปกรณใ์ นการให้บริการ

17

1.4 การให้บรกิ ารกจิ กรรมบำบดั
1.4.1 การให้บริการโดยตรง หมายถึง การให้บริการโดยนักกิจกรรมบำบัดเป็น

ผปู้ ฏบิ ัติเอง เชน่ การบำบดั รายบุคคลหรอื การบำบัดรายกลมุ่
1.4.2 การกำกับติดตาม หมายถึง การออกแบบและการวางแผนการบำบัดแก่

ผู้รับบริการโดยมีบุคลากรอื่นเป็นผู้ปฏิบัติตามแผนนั้น เช่น ผู้ปกครอง พี่เลี้ยง ภายใต้การดูแลของ
นักกิจกรรมบำบดั

1.4.3 การให้คำปรึกษา หมายถึง การให้คำปรึกษาแก่ครูประจำชั้น ครอบครัว
ผู้เกี่ยวขอ้ งเกี่ยวกับการประยกุ ตใ์ ช้เทคนิคและการใช้กิจกรรมต่าง ๆ ที่เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมใน
สถานศกึ ษา เช่น การแนะนำในการจัดท่าทาง การปรับพฤติกรรมในช้ันเรยี น

1.4.4 การบรกิ ารอ่ืน ๆ ท่เี ก่ยี วข้อง เชน่ การเยย่ี มบา้ น การออกชุมชน การดัดแปลง
อุปกรณ์ช่วยและอุปกรณ์เสริมต่าง ๆ และการปรับสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมกับผรู้ ับบริการในแต่ละ
รายบคุ คล

1.4.5 การทบทวนและปรับเปลี่ยนการให้บริการ ครูกิจกรรมบำบัดจะทบทวน
แผนการให้บริการร่วมกับผู้รับบริการและผู้เกี่ยวข้องและปรับเปลี่ยนการให้บริการบนพื้นฐานความ
จำเป็นตามผลการพัฒนาการของผู้รับบริการ โดยแจ้งให้แก่ผู้รับบริการและผู้เกี่ยวข้อง เช่น การปรับ
เป้าประสงค์การบำบดั การปรบั เทคนิคการบำบดั ต่าง ๆ เป็นตน้

1.4.6 การยุติการบำบัด นักกิจกรรมบำบัดจะพิจารณายุติการบำบัด เมื่อผู้เข้ารับ
บริการบรรลเุ ปา้ ประสงค์ทีว่ างไว้หรือไดร้ ับประโยชน์สูงสดุ จากการรับบริการแลว้

1.4.7 การส่งต่อ นักกิจกรรมบำบัดจะพิจารณาส่งต่อผู้รับบริการไปยังแหล่งท่ี
เหมาะสมตามความต้องการของผรู้ บั บรกิ าร เพอ่ื ใหผ้ รู้ ับบรกิ ารไดร้ บั ประโยชน์จากความเชย่ี วชาญของ
นักวิชาชพี อนื่ อยา่ งสงู สุด

1.5 การบนั ทึกรายงาน
1.5.1 นักกิจกรรมบำบัดบันทึกการประเมิน การให้บริการทางกิจกรรมบำบัด

แผนการบำบัดผลการบำบัดและข้อมูลอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ภายใต้รูปแบบเอกสารที่เหมาะสมกับการ
ให้บรกิ ารในแตล่ ะสถานศกึ ษาและลกั ษณะประเภทของผ้รู บั บรกิ าร

1.5.2 นักกิจกรรมบำบัดดำเนินการรายงานผลการบำบัดแก่ผู้ที่เกี่ยวข้องภายใต้
ขอบเขตของการรักษา และความลับของผ้รู บั บริการ อยา่ งน้อยปลี ะ 2 ครั้ง

18

2. ดา้ นบริหารจัดการ
2.1 งบประมาณและแผนงาน นักกิจกรรมบำบัดมีบทบาทในการประสานงานกับ

ฝ่ายต่าง ๆ ภายในสถานศึกษา กำหนดและจัดทำแผนปฏิบัติงานหรือโครงการ และงบประมาณใน
การดำเนินการเพื่อให้สอดคล้องกับวิสัยทัศนและพันธกิจของสถานศึกษา นอกจากนี้ยังมีบทบาทใน
การกำหนดบทบาทหน้าที่การปฏิบัติงานเป็นลายลักษณ์อักษร และดำเนินงานตามแผนปฏิบัติงาน
ทบทวนแผนปฏิบตั งิ านและรายงานผลการดำเนินงานประจำปี

2.2 สถานที่และอุปกรณ์ มีการแยกสัดส่วนการให้บรกิ ารและการเก็บอุปกรณ์ต่าง ๆ
โดยมีอุปกรณ์ สื่อ เครื่องมือการบำบัด ต่อการบริการอย่างเพียงพอ และมีสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม
และปลอดภัย

2.3 บุคลากร ผู้ให้บริการกิจกรรมบำบัด คือ นักกิจกรรมบำบัดที่ขึ้นทะเบียน
ผู้ประกอบวิชาชีพกิจกรรมบำบัด ตามข้อบังคับของคณะกรรมการประกอบโรคศิลปะ โดยสัดส่วน
นักกิจกรรมบำบัด 1 คน ต่อผู้รับบริการ 6 คนต่อ 1 วัน และการให้บริการแบบกลุ่ม ไม่เกินกลุ่มละ
5 คนต่อ 1 ครั้ง/ชั่วโมง ทั้งนี้จำนวนผู้รับบริการอาจเพิ่มขึ้นหรือลดลง ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของ
นักกิจกรรมบำบัด และครูกิจกรรมต้องได้รับการประเมินผลการปฏิบัติงานตามแนวทางของ
สถานศึกษาและมาตรฐานวิชาชพี กิจกรรมบำบดั

2.4 ข้อมูลและสารสนเทศ มีการสรุปรายงานประจำปที ่ีแสดงถึงขอ้ มูลการให้บรกิ าร
สถิติผู้รับบริการ และมีการเผยแพร่ข้อมูลสารสนเทศแก่บุคลากรที่เกี่ยวข้อง เช่น การจัดทำเอกสาร
เผยแพร่ การจดั ป้ายนิเทศ

3. ด้านวิชาการ นักกิจกรรมบำบัดต้องมั่นทำงานศึกษา ค้นคว้า จัดทำงานวิจัยและพัฒนา
เกี่ยวกับการให้บริการกิจกรรมบำบัดในกลุ่มเด็กพิเศษ นอกจากนี้ยังมีบทบาทในการส่งเสริมและ
เผยแพร่งานกิจกรรมบำบดั

4. การปฏิบัติหน้าที่อื่น ๆ ที่ได้รับมอบหมาย นอกจากบทบาทในการให้การบำบัดเด็กที่มี
ความต้องการพิเศษแล้ว นักกิจกรรมบำบัดยังมีบทบาทในดา้ นการสอนให้ปฏิบตั ิตามเกณฑ์มาตรฐาน
วชิ าชีพ และปฏิบัตหิ น้าท่ีอ่ืน ๆ ตามทไ่ี ดร้ บั มอบหมายให้เป็นไปตามระเบียบ ขอ้ ตกลง และมาตรฐาน
ทส่ี ถานศกึ ษากำหนดไว้

19

4. แนวทางการประเมนิ และการบำบดั ท่ใี ชใ้ นเดก็ ออทิสติก
แนวทางการประเมนิ และการบำบัด เป็นแนวทางท่ีนักกิจกรรมบำบัดใช้ในการเลือกวิธีการใน

การประเมนิ และใช้ในการเลือกวธิ ีการหรือกลยุทธ์ในการให้การบำบัดผู้รับบริการ และเปน็ หลักในการ
เลือกใช้แบบจำลองการฝึกปฏิบัติ กรอบอ้างอิง หรือทฤษฎี ในการให้การประเมินและการบำบัด
ผู้รับบริการของนักกิจกรรมบำบัด ซึ่งแนวทางในการประเมินและการบำบัดประกอบด้วย 2 แนวทาง
ใหญ่ ๆ ดังน้ี

4.1 แนวทางการประเมนิ และการบำบดั แบบ Top-down approach
ความหมาย

Top-down approach เป็นแนวทางที่นักกิจกรรมบำบัดเน้นทำการประเมินและ
การบำบัดตามความสามารถในการทำกิจกรรมของผู้รับบริการที่สอดคล้องกับกิจกรรม
ในชีวิตประจำวัน โดยเน้นการประเมินบริบทแวดล้อมและกิจกรรมที่ผู้รับบริการมีข้อจำกัดหรือ
ไม่สามารถทำได้ เพื่อนำไปสู่การตั้งเป้าประสงคท์ ีต่ รงกับความสำคัญและความต้องการของผ้รู ับบริการ
ในส่วนของการบำบัดจะเน้นความสำเร็จในการทำกิจกรรมและไม่เน้นการบำบัดในองค์ประกอบย่อย
ที่เป็นสาเหตหุ รอื ปัจจัยท่ีก่อให้เกิดปญั หา โดยใชว้ ธิ ีการหรืออุปกรณ์ช่วยอย่างเหมาะสม ได้แก่ การฝึก
กลยุทธิ์และหา กลยุทธิ์ที่เหมาะสมของผู้รับบริการแต่ละคน การปรับสิ่งแวดล้อม การใช้อุปกรณ์ช่วย
หรือเทคโนโลยีต่าง ๆ มาทดแทนหรือชดเชยสิ่งที่ผู้รับบริการทำไม่ได้ (Trombly, 1993; Abikoff,
1991) เช่น ในกรณีที่เด็กมีปัญหาในด้านการจับดินสอและการเขียนออกนอกขอบเส้นบรรทัด
นักกิจกรรมบำบัดเลอื กใช้อปุ กรณ์ช่วยในการจับดินสอเพื่อใหเ้ ดก็ มรี ปู แบบการจับดินสอที่ถกู ต้องหรือ
เลอื กใช้ writing aids เพอ่ื แก้ปัญหาหารเขียนออกนอกกรอบเส้นบรรทดั อย่างเหมาะสมกับเด็ก

การประเมินและการบำบัด
แนวทางการประเมินและการบำบัดแบบ Top-down approach เป็นแนวทางท่ี

มองผู้รับบริการแบบองค์รวมและมองผู้รับบริการเป็นศูนย์กลาง โดยมุ่งเน้นไปที่การประเมินบทบาท
(role performance) และความต้องการในการทำกิจกรรมของผู้รับบริการเป็นอันดับแรก เพื่อหาว่า
กิจกรรมใดที่ผู้รบั บริการมีข้อจำกัดในการทำและกิจกรรมใดที่มีความสำคัญต่อผู้รับบริการ จากนั้นจงึ
นำมาตั้งเป็นเป้าประสงค์ในการบำบัดทำให้นักกิจกรรมบำบัดวางแผนการประเมินและการบำบัดได้
สอดคล้องกับความต้องการและความสามารถในการทำกิจกรรมของผู้รับบริการ (พิศักดิ์ ชินชัย,
ปิยวัฒน์ ตรีวิทยา, ทศพร บรรยมาก, จนัญญา ปัญญามี ทิพย์พยอม, และพีรยา มั่นเขตวิทย์,

20

2560; Brown & Chien, 2010; Trombly, 1995 อา้ งถึงใน Payne & Howell, 2005; Fisher, 1998
อ้างถึงใน Payne & Howell, 2005; Trombly, 1993) เช่น การฝึกกิจวัตรประจำวันด้วยการใส่เสื้อ
ในเด็กที่มีกล้ามเนื้อมืออ่อนแรงส่งผลให้ไม่สามารถติดกระดุมแบบปกติทั่วไปได้ นักกิจกรรมบำบัด
ใช้เทคนิคการปรับกระดุมให้เป็นแบบตีนตุ๊กแก (velcro tape) เพื่อให้เด็กใส่เสื้อได้ทุกขั้นตอน
โดยไม่เน้นแก้ไขในส่วนของกล้ามเน้ือมือที่อ่อนแรง เทคนิคการบำบัดตามแนวทางของ Top-down
approach ในเด็กออทิสติกมีหลายเทคนิค วิธีการ นักกิจกรรมบำบัดจึงวิเคราะห์และเลือกใช้อย่าง
เหมาะสมในการให้การบำบัดเด็กออทิสติกแต่ละคน โดยมีตัวอย่างการบำบัดแบบ Top-down
approach ในเดก็ ออทิสติก ดังน้ี

1.1 Cognitive Orientation to Occupational Performance (CO-OP)
ถูกออกแบบให้เป็นการบำบัดในรูปแบบ task-orientation และ problem-solving โดยวธิ กี ารบำบัด
เน้นการใช้ความคดิ ความเขา้ ใจเป็นพน้ื ฐานและให้การบำบัดโดยเด็กเป็นศูนย์กลาง (child-centered)
เพื่อให้เด็กสามารถบรรลุเป้าประสงค์ของตนเองได้ โดยการใช้ทักษะและกลยุทธิ์ทางปัญญา
(cognitive strategy) ในการพัฒนาความสามารถในการทำกิจกรรมตามเป้าประสงค์ที่เด็ก
ต้องการ (Missiuna, Mandich, Polatajko & Malloy-Miller, 2009; Thornton et al., 2015; The
International CO-OP Academy, 2019) ซึ่งหลักการของ CO-OP นั้นประกอบด้วย goal-plan-
do-check โดยนักกิจกรรมบำบัดทำงานร่วมกับเด็กหรือผู้ปกครองในการค้นหาว่าอะไรคือสิ่งที่
ต้องการทำให้สำเร็จ (goal) วางแผนเพื่อให้บรรลุสื่งที่ต้องการ (plan) ทำตามแผนที่วางไว้ (do) และ
ประเมนิ ผล (check) (Polatajko & Mandich, 2004 อ้างใน Gee, Nwora & Peterson, 2018)

1.2 Cognitive Strategies คือ เครื่องมือที่บุคคลสร้างขึ้นในความคิดและถูก
นำมาใช้เพื่อช่วยในกระบวนการวางแผนแก้ปัญหาเพื่อให้เกิดการเรียนรู้และปรับตัวกับสถานการณ์
อย่างเหมาะสม คือช่วยให้บุคคลสามารถคิด และใช้วิธีการเพื่อรับมือกับสถานการณ์ต่าง ๆ รอบตัว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วยในกระบวนการการแก้ปัญหาที่บุคคลต้องเผชิญให้ผา่ นปัญหาเหล่านั้น รวมถึง
ช่วยใหท้ ำกิจกรรมต่าง ๆ ไดอ้ ยา่ งมปี ระสิทธภิ าพมากยิ่งข้ึน ยกตวั อย่างเช่น เด็กออทิสติกท่ีมีปัญหาใน
เรื่องของการจำขั้นตอนของกิจกรรมนักกิจกรรมบำบัดกระตุ้นให้เด็กทบทวนขั้นตอนโดยพูดทวน
ขั้นตอนการทำกิจกรรมเป็นลำดับขั้นเพื่อย้ำข้อมูลซ้ำ ๆ ก่อนลงมือทำกิจกรรมจริง (rehearsal)
(Toglia, Rodger, & Polatajko, 2012)

21

1.3 Behavioral Modification หลักการและทฤษฎีการปรับพฤติกรรมมี
หลากหลายหลักการแต่ที่ได้รับการยอมรับและใช้อย่างแพร่หลายในเด็กออทิสติก คือ การปรับ
พฤตกิ รรมภายใต้ทฤษฎีการเรยี นรู้การวางเงื่อนไข (operant conditioning) ของ Burrhus Frederic
Skinner (B.F. Skinner) ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเดก็ โดยเชื่อวา่ การให้แรงเสรมิ สามารถช่วยเพิม่
ความถี่ของพฤติกรรมพึงประสงค์ ในขณะที่การลงโทษจะช่วยลดหรือยุติพฤติกรรมไม่พึงประสงค์
หรอื ไมเ่ หมาะสมของเด็กได้ ซ่งึ นักกจิ กรรมบำบัดให้การให้แรงเสริมเพอื่ ใหเ้ ด็กเกิดพฤติกรรมท่ีต้องการ
หรือพฤติกรรมที่พึงประสงค์ เช่น เด็กจะได้รับอนุญาตให้ออกไปเลน่ ข้างนอกเมื่อเด็กเก็บของเล่นของ
ตนเอง (Miller-Kuhaneck, 2004; Foundations Recovery Network, 2019) และให้การลงโทษ
เพื่อยุติหรือยบั ยั้งพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์

1.4 Assistive Technology คือ อุปกรณ์ ชิ้นส่วนของอุปกรณ์หรือสิ่งต่าง ๆ ที่
สร้างขึ้นมาเฉพาะหรือดัดแปลงจากอุปกรณ์หรอื เครื่องมือที่มีอยู่ รวมไปถึงบริการที่เกี่ยวข้องเพื่อการ
ประเมิน การตัดสินใจเลือก การฝึกใช้ และการติดตามผลภายหลังการใช้ เพื่อวัตถุประสงค์ในการ
ช่วยเหลือ พัฒนา หรือส่งเสริมการเรียนรู้ของเด็กในการทำกิจวัตรประจำวัน การเรียน การเล่น และ
การเข้าร่วมในกิจกรรมทางสังคมได้อย่างอิสระตามวัย เช่น ช้อนเสริมด้ามจับ แป้นพิมพ์ดัดแปลง
เมาทส์ ต๊ิก เคร่อื งช่วยฟัง บตั รภาพหรอื บตั รคำ กระดานสื่อสารอิเล็กทรอนิกส์ แผน่ บรรทัด แว่นขยาย
โปรแกรมซอฟแวรเ์ ดาคำศัพท์และตรวจสอบคำ เปน็ ตน้ (สจุ ิตรพร เลอศลิ ป์, 2561)

1.5 Peer-Mediated Intervention (PMI) เป็นการให้การบำบัดเพื่อฝึกทักษะ
ทางสังคม ซ่งึ ใหก้ ารบำบดั แบบคูห่ รือแบบกลุ่มเล็ก ๆ โดยมีเพอื่ นเป็นแบบอยา่ งในการเล่นและช่วยใน
การสร้างปฏิสัมพันธ์ทางสังคมให้แก่เด็กออทิสติก โดยการส่งเสริมการมีส่วนร่วมในกิจกรรม การทำ
กิจกรรมตามกฎ กติการ่วมกับเพื่อน ซึ่งเด็กที่จะมาเป็นแบบอย่างต้องมีทักษะทางสังคม การเล่น
หรือทักษะการทำกิจกรรมที่ดีเพื่อสอนและส่งเสริมการมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีทางสังคมของเด็กออทิสติก
คือ เด็กที่เป็นแบบอย่างจะช่วยกระตุ้นส่งเสริมการสื่อสาร พูดคุยระหว่างทำกิจกรรมรวมถึงการเป็น
แบบอย่างหรือตัวอย่างในการแสดงพฤติกรรมทางสังคมที่เหมาะสม ส่งเสริมทักษะการเล่นทางสังคม
ตามวัย และทักษะการใช้ชีวิตในโรงเรียน เช่น ช่วยเหลือเพื่อนช่วงรับประทานอาหารว่าง หรือ
รับประทานอาหารกลางวัน (Miller-Kuhaneck, 2004; National Professional Development
Center on Autism Spectrum Disorders, 2010; Holloway, Healy, Dwyer, & Lydon, 2014)

22

1.6 Environmental Modification คือ การปรบั เปลี่ยนหรือแก้ไขสภาพแวดล้อม
ให้เหมาะสมในการเรียนรู้หรือการทำกิจกรรมของเด็ก เพื่อเพิ่มโอกาสที่จะประสบความสำเร็จในการ
ทำกิจกรรมหรือลดพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมในขณะนั้น ได้แก่ การลดสิ่งเร้าที่ทำให้เด็กเสียสมาธิ การ
จัดตำแหน่งที่นั่งขณะทำกิจกรรม การจัดสิ่งแวดล้อมในห้องเรียนหรือห้องฝึกที่เหมาะสมปลอดภัย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งห้องที่ใช้ในเด็กออทิสติกที่มีปัญหาพฤติกรรมก้าวร้าวอย่างรุนแรงห้องต้องป้องกัน
การบาดเจ็บได้ เช่น มีการหุ้มมุมขอบโต๊ะหรือมีเบาะรองพื้นหรือสามารถปรับแสงสีหรือช่วยให้เด็ก
สงบลงได้เร็วขนึ้ เป็นต้น (Autism speaks, 2018)

1.7 Picture Exchange Communication System (PECS) เป็นวิธีการในการ
ปรับเปลี่ยนรูปแบบการสื่อสารกับเด็กจากการใช้คำพูดเป็นการสื่อสารในรูปแบบการใช้รูปภ าพแทน
PECS ใช้การแลกเปลี่ยนรูปภาพเป็นหลักในการสื่อสาร โดยเด็กถูกสอนให้แสดงบัตรภาพเล็ก ๆ กับ
ผู้ใหญ่หรือเด็กคนอื่น ๆ เพื่อบอกถึงความต้องการและแสดงความคิดเห็นของตนเอง ซึ่งรูปภาพที่ใช้
สามารถเป็นภาพเขียน ภาพถ่าย หรือภาพจากนิตยสารหรือคอมพิวเตอร์ โดยการใช้ PECS จะใช้ใน
เด็กออทิสติกที่มีความบกพร่องในการสื่อสาร คือไม่สามารถพูดบอกความต้องการหรือพูดได้แต่ไม่
ชัดเจนเพียงพอที่ผู้อื่นเข้าใจ ทั้งนี้เด็กที่จะใช้ PECS ในการสื่อสารต้องผ่านการฝึกฝนเรียนรู้จนเข้าใจ
หลกั การหรือวธิ ีการใชก้ อ่ นการใช้จริง (Miller-Kuhaneck, 2004)

4.2 แนวทางการการประเมินและการบำบดั แบบ Bottom-up approach
ความหมาย

Bottom-up approach เป็นแนวทางที่นักกิจกรรมบำบัดเน้นทำการประเมินและ
บำบัดในองค์ประกอบของทักษะหรือองค์ประกอบย่อย ๆ ที่เป็นสาเหตุหรือปัจจัยพื้นฐานของปัญหา
(underlying problems) ของผู้รับบริการ เช่น การรับความรู้สึก ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ
การทรงตัว ความคิดความเข้าใจ ซึ่งเชื่อว่าเป็นสิ่งที่จำเป็นตอ้ งฟืน้ ฟูก่อนเพื่อให้เกิดความสำเร็จในการ
ทำกิจกรรม นำไปสู่การตัง้ เปา้ ประสงคใ์ นการบำบัดโดยการบำบัดจะเน้นการฟ้ืนฟูองค์ประกอบย่อย ๆ
หรือปัจจัยที่ก่อให้เกิดปัญหาในการทำกิจกรรม เพื่อช่วยกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการทำงานใน
ระดับโครงสร้างต่าง ๆ คือ ระบบประสาท ระบบกล้ามเนื้อ ฯลฯ (Abikoff,1991; Trombly, 1993)
ยกตัวอย่างเช่น เด็กมีปัญหาการจบั ดินสอและการเขียนออกนอกขอบเสน้ บรรทัด ซึ่งมีสาเหตจุ ากการ
อ่อนแรงของกล้ามเนื้อมือและการรับรู้ทางสายตา นักกิจกรรมบำบัดจึงวิเคราะห์และจัดกิจกรรมเพ่ือ

23

กระตุ้นความแข็งแรงของกล้ามเนื้อมือ และกิจกรรมกระตุ้นการรับรู้ทางสายตา (Kennedy, Brown,
& Stagnitti, 2012)

การประเมินและการบำบดั
แนวทางการประเมินและบำบัดแบบ Bottom-up approach เป็นแนวทางที่เน้น

มองถึงความบกพร่องขององค์ประกอบหรือสาเหตุที่มีผลกระทบต่อการทำกิจกรรม (occupational
performance component) โดยจะประเมินและบำบัดองค์ประกอบในการทำกิจกรรมเป็นอันดับ
แรก คอื นกั กจิ กรรมบำบดั จะประเมินผู้รับบริการในระดับของพยาธิสภาพและความบกพร่อง (leison
and impairment) จากองค์ประกอบต่าง ๆ คือ ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ช่วงการเคลื่อนไหว
การทรงตัว การรับความรู้สึก การรับรู้ ความคิดความเข้าใจ และอื่น ๆ ซึ่งเชื่อว่าเป็นสิ่งที่จำเป็นต้อง
ฝึกหรือบำบัดก่อนเพื่อนำไปสู่ความสำเร็จในการทำกิจกรรม การบำบัดมุ่งเน้นไปที่การแจกแจง
องค์ประกอบย่อยของปัญหาและการฟื้นฟูปัจจัยหรือสาเหตุของความบกพร่องที่ทำให้ผู้รับบริการมี
ความยากลำบากหรือไม่สามารถทำกิจกรรมได้ เพื่อกระตุ้นและเพิ่มความสามารถในการทำกิจกรรม
ต่อไป (Brown & Chien, 2010; Trombly, 1995 อ้างถึงใน Payne & Howell, 2005; Fisher,
1998 อ้างถึงใน Payne & Howell, 2005; Trombly, 1993) เช่น เด็กที่มีปัญหาด้านความจำ
นักกิจกรรมบำบัดวิเคราะห์กิจกรรมฝึกจำภาพที่หายไปหรือจำตัวเลข 4 ลำดับ เป็นต้น ตัวอย่างการ
บำบดั ตามแบบแนวทาง bottom-up approach ในเดก็ ออทสิ ตกิ มีดังนี้

2.1 Sensory Integration Intervention คือ การบำบัดที่ให้ความสำคัญต่อการ
กร ะตุ้น ก าร ท ำง าน ข อ งร ะ บ บ ป ร ะ ส า ทส ั มผ ั ส แ ล ะร ะ บ บ ป ร ะส า ทส ่ว น กล า งใ ห้ ท ำ งา น อย ่ า ง มี
ประสิทธิภาพ โดยเน้นการบูรณาการระบบประสาทสัมผัส 3 ระบบหลัก คือ ความรู้สึกกายสัมผัส
ความรู้สึกจากระบบเวสติบูลาร์ และความรู้สึกจากกล้ามเนื้อ เอ็น ข้อต่อ ผ่านการ ทำกิจกรรมที่มี
ความหมายต่อตัวบุคคล เพื่อให้เกิดพฤติกรรมการตอบสนองที่เหมาะสม มีการปรับตัวต่อสิ่งเร้า
และสร้างองค์ประกอบพ้ืนฐานด้านการเคลือ่ นไหวและอารมณ์อย่างเปน็ ลำดับขั้น สามารถพัฒนาไปสู่
พัฒนาการขั้นสูงขึ้นต่อไปได้ เมื่อสมองเกิดการจัดการอยา่ งเป็นระบบแล้ว บุคคลก็จะพัฒนาศักยภาพ
ในด้านต่าง ๆ ได้แก่ การมีสมาธิ การมีการวางแผน ความภาคภูมิใจในตนเอง ตระหนักในคุณค่าของ
ตนเอง ความสามารถในการควบคมุ ตนเอง ความเชอ่ื ม่ันในตนเอง ความสามารถทางวิชาการ ความคิด
ในรูปนามธรรม การมีเหตุผล และความถนัด/ความเด่นของร่างกายและสมองแต่ละซีก ซึ่งเป็น
องค์ประกอบพื้นฐานในการทำกิจกรรมการเล่น การเรียนรู้ทางวิชาการ การทำงาน การทำกิจวัตร

24

ประจำวัน การวางแผนการเคลื่อนไหวที่ซับซ้อน และพฤติกรรมทางสังคมอารมณ์ได้อย่างเหมาะสม
ตามช่วงวัย และนําไปสู่การทำกิจกรรมการดำเนินชีวิตอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การจัดกิจกรรมให้
เด็กได้มีโอกาสได้รับความรู้สึกที่เหมาะสม ช่วยให้เด็กคงระดับความตื่นตัวของร่างกายที่เหมาะสม
จดั กจิ กรรมทเ่ี ก่ียวข้องกับการทรงท่า การเคลอ่ื นไหวของลูกตา การเคลื่อนไหวของอวัยวะในช่องปาก
หรือการควบคุมการเคล่ือนไหวของสหสมั พันธ์ของร่างกายท้ังสองข้าง การวางแผนการเคลอ่ื นไหวและ
การจดั การกับพฤติกรรม (คณะกรรมการวชิ าชพี สาขากจิ กรรมบำบัด, 2557)

2.2 Table Top Activities คือ กิจกรรมที่จัดให้เด็กมีโอกาสในการพัฒนา
กล้ามเนื้อมัดเล็ก การแก้ไขปัญหา ความคิดความเข้าใจ การทำกิจกรรมเป็นขัน้ ตอน ทักษะด้านภาษา
และทักษะการใช้ชีวิตในโรงเรียน (school readiness skills) นอกจากนี้ยังส่งเสริมความคิด
สร้างสรรค์ การแสดงออก และการมีส่วนร่วมอย่างสนุกสนานของเด็ก โดยมีความท้าทาย ความ
ซับซ้อน และความยาก แตกต่างกันไปในเด็กแต่ละคน เช่น เกมคอมพิวเตอร์ กิจกรรมต่อจิ๊กซอว์
กิจกรรมระบายสี (Cook, Richardson-Gibbs, & Dotson, 2018)

2.3 Animal-Assisted Service คือ การบำบัดโดยใช้สัตว์ช่วยส่งเสริมพัฒนาการ
ดา้ นรา่ งกาย หรอื ด้านสภาพจิตใจของเด็กหรือวัยรุ่น การใชส้ ตั ว์มาชว่ ยในการบำบัดเปน็ เป้าหมายโดย
ตรงที่ใช้สัตวท์ ี่มีลักษณะตรงตามที่ระบุไว้เพื่อนำมาเป็นสว่ นหนึง่ ของกระบวนการบำบัดรักษา ซึ่งเป็น
การให้บริการโดยตรงหรอื เป็นการให้บริการโดยผู้เช่ียวชาญ โดยมีลักษณะสำคัญ คือ มีเป้าหมายและ
วัตถุประสงค์ที่เฉพาะเจาะจงสำหรับผู้รับบริการแต่ละคน นักกิจกรรมบำบัดอาจออกแบบการ
บำบัดรกั ษาโดยใชส้ ตั วเ์ ป็นตวั ช่วยเพ่ือส่งเสริมความสามารถของเด็กเพ่ือให้เหมาะสมกบั ความต้องการ
ของเด็กในการท่ีจะมสี ่วนร่วมในการประกอบกจิ กรรมการดำเนินชวี ิต สตั วท์ ่นี ำมาเปน็ สื่อในการบำบัด
มีหลายชนดิ เชน่ ม้า ชา้ ง สุนขั โลมา เปน็ ตน้ (Delta Society, 2012 อา้ งถึงใน สินนี าฎ บญุ มี, 2558;
Solomon, & O’Brien, 2011 อา้ งถึงใน สนิ ีนาฎ บุญมี, 2558)

25

ตารางท่ี 1 ความแตกตา่ งระหวา่ ง Top-down approach และ Bottom-up approach

หวั ขอ้ Bottom-up approach Top-down approach

กรอบอ้างองิ หรอื - Frames of Reference (Mosey, - Occupational Behavior

ทฤษฎขี องแต่ละ 1970, 1986) (Reilly, 1962)

แนวทาง - Movement Therapy (Brunnstrom, - Activities Health Model

1966, 1970) (Cynkin & Robison, 1990)

- Sensory Integration (Ayres, 1972) - Occupational Science

- Neurodevelopmental (Bobath, (Clark et al., 1991)
1979) - Occupational Adaptation
- Proprioceptive Neuromuscular (Schkade & Schultz, 1992)
Facilitation (PNF) (Voss, Lonta, & - Model of Human
Myers, 1985) Occupation (Kielhofner,
- Motor Relearning 1997)
(Carr & Shepherd, 2003) - The Person-Environment-
Occupation Performance

Model (Christiansen & Baum,

1997)

- Client-Centered

Occupational Therapy (Law,

1998)

- Occupational Therapy

Intervention Process Model

(Fisher, 1998)

- Task-Orientationed

Approach (Bass-Haugen &

Matthiowetz, 2002)

26

ตารางที่ 1 ความแตกตา่ งระหวา่ ง Top-down approach และ Bottom-up approach (ตอ่ )

หวั ข้อ Bottom-up approach Top-down approach

จดุ เด่น - เหมาะกบั ผู้รบั บริการในระยะเฉียบพลัน - ตรงกับวตั ถุประสงค์และผลลัพธ์

(acute phase) ของวิชาชีพกิจกรรมบำบัด คือ

- งา่ ยต่อการนำวธิ ีการบำบัดมาปรับใช้กับ มุ่งเน้นให้ผู้รับบริการสามารถใช้

ผู้รับบริการที่มีพยาธิสภาพหรือความ ชีวิตได้อย่างเต็มศักยภาพที่สุด

บกพร่องเดียวกนั ภายใตข้ อ้ จำกดั ทม่ี ี

- ตรงกบั แบบจำลองทางการแพทย์ - เน้นความสำเร็จของผลลัพธ์ใน

- ส่ือสารกบั ทีมสหหวิชาชีพได้ง่าย การทำกิจกรรมของผู้รับบริการ

- เน้นการบำบัดที่องค์ประกอบย่อยหรือ ไม่เน้นความบกพร่องในองค์

สาเหตุของความบกพรอ่ ง ประกอบยอ่ ยหรือพยาธสิ ภาพ

ข้อจำกัด - มีการใช้กรอบอ้างอิงหรือทฤษฎีจาก - ต้องใช้ความรู้ความเข้าใจและ

วชิ าชพี อนื่ ความชำนาญของนักกิจกรรม

- อาจไมต่ รงกบั ความต้องการของผู้ป่วย บำบัด

27

5. งานวจิ ยั ท่เี ก่ียวข้อง
ธนกฤต ประภา (2561) ทำการสำรวจการเลือกใช้กลยุทธ์ทางปญั ญากบั เด็กท่ีมคี วามต้องการ

พิเศษ 9 ประเภทของนักกิจกรรมบำบัดที่ปฏิบัติงานในสถานศึกษา สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษา
พิเศษกระทรวงศึกษาธิการ จำนวน 55 คน ผลการศึกษาในเด็กออทิสติกพบว่านักกิจกรรมบำบัด
เลือกใช้การกระตุ้นก่อนเริ่มทำกิจกรรมโดยให้เด็กนึกถึงขั้นตอนของกิจกรรมซ้ำ ๆ (rehearsal) และ
การใช้ระบบการรับความรู้สึกต่าง ๆ มาช่วยกระตุ้น (sensory cues) มากที่สุด ร้อยละ 58.82 และ
58.82 ตามลำดับ

นภสินธ์ จันทาพูน (2561) ได้ทำการสำรวจการใช้กรอบอ้างอิงของนักกิจกรรมบำบัดใน
สถานศึกษา สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ กระทรวงศึกษาธิการ จำนวน 55 คน
ผลการศึกษาพบว่า นักกิจกรรมบำบัดเลือกใช้ Sensory Integration Frame of Reference และ
Developmental Frame of Reference มากที่สุดในเด็กที่มีความบกพร่องทางการเห็น (ร้อยละ
60.00) ทั้งนี้ยังพบการใช้ Developmental Frame of Reference มากที่สุด ในเด็กที่มีความ
บกพร่องทางการได้ยิน (ร้อยละ 64.29) และเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา (ร้อยละ 61.29)
และพบว่านักกิจกรรมบำบัดเลือกใช้ Rehabilitation Frame of Reference มากที่สุดในเด็กที่มี
ความบกพร่องทางร่างกายหรือการเคลื่อนไหว หรือสุขภาพ (ร้อยละ 58.62) และเด็กพิการซ้อน
(ร้อยละ 62.96) สำหรับเด็กที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ นักกิจกรรมบำบัดเลือกใช้ Visual
Perception Frame of Reference มากที่สุด (ร้อยละ 60.00) นอกจากนี้พบว่ามีการเลือกใช้
Developmental Frame of Reference มากที่สุดในเด็กที่มีความบกพร่องทางการพูดและภาษา
(ร้อยละ 46.15) สำหรับเด็กที่มีความบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์ นักกิจกรรมบำบัดใช้
Psychosocial Frame of Reference มากที่สุด (ร้อยละ 58.82) และมีการเลือกใช้ Sensory
Integration Frame of Reference ในเดก็ ออทิสตกิ มากที่สุด (รอ้ ยละ 87.88)

ศุภัทติกร ยศชูเกียรติ (2552) ได้ทำการศึกษาผลของการใช้ม้าช่วยบำบัดต่อเวลาปฏิกิริยา
ตอบสนองและช่วงความสนใจของเยาวชนกลุ่มออทิสติกสเปคตรัม โดยใช้กลุ่มตัวอย่าง 6 คน
อายุระหว่าง 14-25 ปี เข้าร่วมม้าบำบัด สัปดาห์ละ 2 วัน เป็นระยะเวลา 4 สัปดาห์ ทั้งหมด 8 ครั้ง
ครั้งละ 80 - 90 นาที โดยแบ่งเป็น 2 กิจกรรม คือ กิจกรรมที่มีโครงสร้างและกิจกรรมกึ่งโครงสร้าง
ผลการเปรียบเทียบเวลาปฏิกิริยาตอบสนองและช่วงความสนใจของวัยรุ่นออทิสติกก่อนและหลังการ
ใช้ม้าช่วยบำบัดพบว่า วัยรุ่นออทิสติกมีปฏิกิริยาการตอบสนองเร็วขึ้นหลังใช้ม้าช่วยบำบัด

28

และในการประเมินช่วงความสนใจ พบว่าระยะเวลาการหันเหความสนใจ และจำนวนครั้งของการ
หันเหความสนใจหลังการใช้ม้าช่วยบำบัดมีค่าลดลง ดังนั้นการใช้ม้าช่วยบำบัดสามารถนำไป
ประยุกต์ใช้เพื่อเป็นสื่อในการบำบัดรักษาเพื่อพัฒนาเวลาปฏิกิริยาตอบสนองและช่วงความสนใจ
สำหรับกล่มุ วัยรุ่นออทสิ ตกิ ได้

ศิริพร หอมคำวะ (2554) ได้ทำการศึกษาประสิทธิผลของการใช้โปรแกรมแลกเปลี่ยนภาพ
เพื่อการสื่อสารในเด็กออทิสติก ในกลุ่มตัวอย่าง 2 กลุ่ม คือ 1) เด็กออทิสติกอายุ 5-7 ปี ที่มีความ
รุนแรงของโรคระดับปานกลางขึ้นไป จำนวน 3 คน และ 2) บุคลากรทีมสุขภาพที่ใช้โปรแกรม
แลกเปลี่ยนภาพเพื่อการสื่อสารในเด็กออทิสติกจำนวน 2 คน คือ นักเวชศาสตร์การสื่อความหมาย
และพยาบาลวชิ าชพี เคร่อื งมอื ที่ใชใ้ นการศกึ ษาคือ 1) โปรแกรมแลกเปล่ยี นภาพเพอื่ การสือ่ สารในเด็ก
ออทิสติก 2) แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล 3) แบบบันทึกผลการฝึกตามโปรแกรมแลกเปลี่ยน
ภาพเพื่อการสื่อสาร 4) แบบวัดความสามารถในการสื่อความหมายของเด็กออทิสติกปฐมวัย
5) แบบสอบถามความคิดเห็นของบุคลากรทีมสุขภาพตอ่ โปรแกรมแลกเปลี่ยนภาพเพือ่ การสื่อสารใน
เด็กออทสิ ตกิ ผลการศกึ ษาพบว่า การใช้โปรแกรมแลกเปลีย่ นภาพเพื่อการส่ือสารในเด็กออทิสติกอายุ
5-7 ปี ที่มีระดับความรุนแรงของโรคระดับปานกลางจำนวน 3 คน ในช่วง 3 เดือน สามารถพัฒนา
ความสามารถด้านการสื่อสารเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนทั้ง 3 คน เมื่อเปรียบเทียบก่อนและหลังการวิจัย
และบุคลากรทีมสุขภาพมีความเห็นด้วยในทุกประเด็น คือ 1)ผลประโยชน์ที่ได้รับ 2) การเข้ากันได้ดี
กับสิ่งที่มีอยู่เดมิ 3) ความซบั ซ้อน 4) การทดลองได้ และ 5) การสังเกตได้

Bennett, Khalili-Mahani, and Hochhauser (2018) ทำการประเมินความเป็นไปได้
ของการบำบัดในด้านความคิดความเข้าใจโดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์และสำรวจความพึงพอใจ
ของผู้ปกครองต่อการบำบัด โดยทำการศึกษาในกลุ่มเด็กออทิสติกและเด็กที่มีความบกพร่อง
ด้านสติปัญญา อายุ 8-17 ปี จำนวน 26 คน โดยเข้าร่วมการใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ Cogmed
Working Memory Training เป็นเวลา 5-6 สัปดาห์ และทำการวัดความพึงพอใจของผู้ปกครอง
หลังจากจบการให้การบำบัดแล้ว ผลการศึกษาพบว่า ร้อยละ 96 ของเด็กที่เข้าร่วมการวิจัย เข้าร่วม
การบำบัดโดยใช้ Cogmed จนครบและมีความพึงพอใจสูง (มากกว่าร้อยละ 88) และความพึงพอใจ
ของผู้ปกครองมีทั้งด้านบวกและด้านลบโดยมีความคิดที่ว่าลักษณะของเกมมีผลต่อการตอบสนอง
ของเด็ก สรุปว่าเด็กออทิสติกและเด็กที่มีความบกพร่องด้านสติปัญญานั้นสามารถเข้าร่วมการฝึก
ความคิดความเข้าใจด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ได้แต่อาจต้องเพิ่มระยะเวลาในการฝึกเพ่ือ

29

ประสิทธิภาพของการบำบัด และผู้พัฒนาโปรแกรมควรคำนึงปัญหาที่อาจเกิดขึ้นเกี่ยวกับระดับเสียง
รบกวนของส่งิ เร้าและภาพกราฟฟคิ ของเกม

Gabriels et al. (2012) ได้ทำการศึกษาผลของการขี่ม้าต่อการควบคุมตัวเอง, ทักษะการ
ปรับตัว, และทักษะการเคลื่อนไหวของเด็กออทิสติกอายุ 6-16 ปี โดยทำการประเมินก่อนและหลัง
การเข้าร่วมโปรแกรมโดยดำเนินโปรแกรมทั้งหมด 10 สัปดาห์ ผลการศึกษาพบว่ามีการพัฒนาดีขึ้น
ในด้านการควบคุมตัวเอง โดยดีขึ้นในด้านความไวต่อการถูกกระตุ้น (irritability), ความเฉื่อย
( lethargy), พ ฤ ต ิ ก ร ร ม ที่ เ ป ็ น แ บ บ แ ผ น เ ด ี ย ว ก ั น ( stereotypic behavior), ค ว า ม ซ ุ ก ซ น
(hyperactivity), ทักษะการแสดงออกทางภาษา (expressive language skills), ทักษะการ
เคลื่อนไหว (motor skills), และทกั ษะการวางแผนการเคล่อื นไหว (motor planning skills)

Kennedy, Brown, and Stagnitti (2012) ได้ทำการศึกษาความสัมพันธ์ของการประเมิน
ความสามารถด้านทักษะการเคลื่อนไหวของเด็กจากมุมมองของเด็กและผู้ปกครอง โดยใช้
Physical Self-Description Questionnaire (PSDQ) และ the Movement Assessment Battery
for Children-Second Edition (MABC-2) ตามลำดับ (การประเมินแบบ top-down) กับผลการ
ประเมินความสามารถพื้นฐานของการเคลื่อนไหวของเด็ก โดยใช้ The Bruininks-Oseretsky Test
of Motor Proficiency-Second Edition (BOT-2) (การประเมินแบบ bottom-up) ในกลุ่มตัวอย่าง
เด็กที่มีความบกพร่อง 38 คน และผู้ปกครองเด็กที่ได้รับการบำบัดจากรัฐวิคตอเรียและออสเตรเลีย
จากผลการวิจัยพบว่า จากการประเมินมุมมองของผู้ปกครองในแบบประเมิน MABC-2 checklist
พบว่ามีความสัมพันธ์กับคะแนนของแบบประเมิน BOT-2 ในหัวข้อ Manual Coordination Motor
และ Strength and Agility Motor แต่การรายงานมุมมองของเด็กโดยใช้ PSDQ ไม่มีความสัมพันธ์
คะแนนความสามารถใน BOT-2 โดยสรุปนักกิจกรรมบำบัดส่งเสริมให้ใช้ Top-down approach
และ Bottom-up approach ร่วมกัน และหามุมมองของผู้ปกครองและเด็กเมื่อทำการประเมิน
ความสามารถในการเคลอื่ นไหวของเด็กดว้ ยเช่นกนั

Thompson-Hodgetts and Magill-Evans (2018) ทำการสำรวจหาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อ
ความเชื่อและการใช้ Sensory-Base Approach ในการบำบัดเด็กออทิสติก โดยทำการสำรวจทาง
ออนไลน์ในนักกิจกรรมบำบัดที่ทำงานกับเด็กออทิสติกจำนวน 211 คนจาก 16 ประเทศ เกี่ยวกับ
ประสบการณ์การทำงาน การให้การบำบัด การใช้ Sensory-Base Approach ความเชื่อและมุมมอง
เกี่ยวกับประสิทธิภาพของการใช้การบำบัดนี้ พบว่าร้อยละ 98 ของนักกิจกรรมบำบัดทั้งหมด

30

ใช้ Sensory-Base Approach ในการให้การบำบัดเด็กออทิสติก และนักกิจกรรมบำบัดร้อยละ 57
จะแนะนำการใช้ Sensory-Base Approach แก่นักกิจกรรมบำบัดที่รู้จักในการให้การบำบัดเด็ก
ออทิสตกิ ต่อไป

Wilson, Mandich, Magalhaes, and Gain (2018) ได้ทำการศึกษามุมมองของวัยรุ่น
ออทิสติกจำนวน 10 คน ที่เขา้ ร่วมการบำบดั ทางกิจกรรมบำบดั เพ่ือพัฒนาเปา้ ประสงคก์ ารบำบัดให้มี
ความหมายและตรงกับความต้องการของผู้รับบริการมากขึ้น โดยให้การบำบัดแบบ concept
mapping คือ การนำคำพูดจากการพูดคุยหรือสัมภาษณ์ผู้รับบริการและครอบครัวมาสร้างเป็นภาพ
เพื่อให้เห็นถึงความเชื่อมโยงของข้อมูล ร่วมกับหลักการของ CO-OP เป็นเวลา 4 สัปดาห์ ซึ่งเน้นการ
พัฒนาทักษะในการใช้ชีวิตเพื่อเตรียมความพร้อมในการเปลี่ยนเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ ซึ่งผลการวิจัยได้
เป้าประสงค์การบำบัดที่วัยรุ่นออทิสติกต้องการออกมา 5 เป้าประสงค์ คือ (1) การแสดงความรู้สึก
ของตนเองในการพูดคุยกับผู้อื่นในสถานการณ์ที่ตึงเครียด (2) การเข้าใจตนเองและการมีส่วนร่วมใน
เชิงบวกตอ่ ผู้อน่ื (3) การเลือกกจิ กรรมท่ีมจี ุดมุ่งหมายและสามารถเกิดข้นึ ได้จรงิ (4) การใช้เคร่ืองมือท่ี
หลากลายในการทำกิจกรรม (5) การปฏสิ ัมพันธ์กบั ผูอ้ ่ืนและการแสดงออกถึงความคิดเห็นของตนเอง

31

วัตถปุ ระสงค์
เพอื่ สำรวจแนวทางการบำบดั เด็กออทสิ ติกของนักกจิ กรรมบำบัดในสถานศึกษา

นิยามศพั ท์
แนวทางการบำบัด หมายถึง แนวทางที่นักกิจกรรมบำบัดใช้ในการเลือกใช้วิธีการหรือ
กลุยุทธ์เฉพาะในการให้การบำบัดผู้รับบริการ และเป็นหลักในการเลือกใช้แบบจำลองการฝึกปฏิบัติ
กรอบอ้างอิง หรือทฤษฎี ของนักกิจกรรมบำบัดที่ใช้ในการให้การบำบัดแก่ผู้รับบริการ ซึ่งแนวทาง
ในการบำบัดประกอบด้วย 2 แนวทางใหญ่ ๆ ดังน้ี

Top-down approach หมายถึง แนวทางที่นักกิจกรรมบำบัดใช้บำบัดหรือ
ช่วยเหลือเด็กออทิสติก โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เด็กสามารถทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้สำเร็จภายใต้
ข้อบกพร่องที่มีอยู่ และไม่เน้นแก้ไขหรือบำบัดองค์ประกอบย่อยที่เป็นสาเหตุหรือปัจจัยที่ก่อให้เกิด
ปัญหา (Trombly, 1993) ซึ่งแนวทางการบำบัดแบบ Top-down approach ในงานวิจัยนี้ประกอบ
ดว้ ย

(1) Cognitive Orientation to Occupational Performance (CO-OP)
(2) Cognitive Strategies
(3) Behavior Modification
(4) Assistive Technology
(5) Peer-Mediated Intervention (PMI)
(6) Environmental Modification
(7) Picture Exchange Communication System (PEGS)
Bottom-up approach หมายถึง แนวทางที่นักกิจกรรมบำบัดใช้บำบัดหรือ
ช่วยเหลือเดก็ ออทิสตกิ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อฟื้นฟูองค์ประกอบของทักษะหรือองค์ประกอบย่อยของ
ปัญหาหรือความบกพร่อง เพื่อช่วยกระตุ้นการเปลี่ยนแปลงการทำงานของการรับความรู้สึก
ระบบประสาท ระบบกล้ามเนื้อ ความคิดความเข้าใจ เพื่อให้เด็กออทิสติกสามารถทำกิจกรรมต่าง ๆ
ได้ (Trombly, 1993) ซ่ึงแนวทางการบำบดั แบบ Bottom-up approach ในงานวิจัยนีป้ ระกอบด้วย

32

(1) Sensory Integration Intervention
(2) Table Top Activities
(3) Animal-Assisted Service
นักกิจกรรมบำบัดในสถานศึกษา หมายถึง นักกิจกรรมบำบัดที่จบการศึกษาวิทยาศาสตร
บัณฑิตสาขากิจกรรมบำบัดที่ปฏิบัติงานในสถานศึกษา สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ
กระทรวงศึกษาธิการ ประกอบด้วยโรงเรียนเฉพาะความพิการ ศูนย์การศึกษาพิเศษประจำเขต และ
ศนู ย์การศึกษาพเิ ศษประจำจงั หวดั
เดก็ ออทสิ ติก หมายถงึ เดก็ ท่ีมคี วามบกพร่องทางพัฒนาการ คอื การมปี ฏสิ มั พันธ์ทางสังคม
การส่อื สาร หรือดา้ นพฤติกรรมและอารมณ์

33

วธิ กี ารศึกษา
ขอบเขตและรปู แบบการวจิ ัย

การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงสำรวจ (survey research) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสำรวจการ
เลือกใช้แนวทางการบำบัดเด็กออทิสติกของนักกิจกรรมบำบัดในสถานศึกษา สังกัดสำนักบริหารงาน
การศกึ ษาพเิ ศษ กระทรวงศกึ ษาธิการ

ประชากร
นักกิจกรรมบำบัดที่ปฏิบัติงานในสถานศึกษา สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ

กระทรวงศึกษาธิการ ประกอบด้วย โรงเรียนเฉพาะความพิการ ศูนย์การศึกษาพิเศษประจำเขต ศูนย์
การศกึ ษาพิเศษประจำจงั หวัด จำนวน 80 คน

เกณฑ์ในการคดั เขา้ (inclusion criteria) ดังนี้
(1) ขึ้นทะเบียนและรับใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบศิลปะสาขากิจกรรมบำบัดตาม
พระราชบัญญตั ิการประกอบโรคศลิ ปะ (ฉบับที่ 4) พุทธศักราช 2556
(2) มปี ระสบการณ์ในการให้การบำบดั เดก็ ออทสิ ติกอยา่ งน้อย 6 เดอื น
(3) แสดงความยนิ ยอมในการตอบแบบสอบถามในการวิจยั ครง้ั น้ี
เกณฑค์ ดั ออก (exclusion criteria) ดังน้ี
(1) ไม่ยนิ ยอมในการตอบแบบสอบถามในการวจิ ัย
(2) ไม่สามารถทำแบบสอบถามไดค้ รบทุกขอ้
หลังจากพิจารณากลุ่มประชากรตามคุณสมบัติดังกล่าว พบผู้ที่มีคุณสมบัติตามเกณฑ์คัดเข้า
จำนวน 80 คน ผู้วิจัยจึงทำการส่งแบบสอบถามไปยังกลุ่มประชากรที่ผ่านเกณฑ์ทั้งหมด และได้รับ
แบบสอบถามกลับคืนจำนวน 56 ฉบับ โดยพบแบบสอบถามที่อยู่ในเกณฑ์คัดออกจำนวน 3 ฉบับ
ส่งผลให้มแี บบสอบถามท่ีสมบรู ณ์จำนวนท้ังสิ้น 53 ฉบับ คดิ เป็นร้อยละ 66.25 ของประชากรทั้งหมด

สถานทศ่ี ึกษา
1. ภาควิชากิจกรรมบำบัด คณะเทคนคิ การแพทย์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
2. สถานศกึ ษา สังกดั สำนกั บรหิ ารงานการศึกษาพิเศษ กระทรวงศกึ ษาธิการ

34

เครอ่ื งมือท่ใี ชใ้ นการวจิ ัย
เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาวิจัยครั้งนี้คือ แบบสอบถามแนวทางการบำบัดเด็กออทิสติกของ

นกั กจิ กรรมบำบดั ในสถานศึกษา ซง่ึ ผูว้ จิ ยั พัฒนาข้นึ ประกอบด้วย 2 ส่วน คอื
สว่ นที่ 1 ข้อมูลส่วนบุคคลของผตู้ อบแบบสอบถาม
เป็นการสำรวจในเรื่องของข้อมูลส่วนบุคคลของผูต้ อบแบบสอบถามโดยสอบถามในเรื่องของ

เพศ อายุ วุฒิการศกึ ษา ประกาศนียบัตรวิชาชีพครู ประสบการณ์ในการทำงานเป็นนักกิจกรรมบำบัด
ในสถานศกึ ษา ประสบการณ์ในการให้การบำบดั เด็กออทิสติก และการอบรมเฉพาะอ่ืน ๆ ที่เกี่ยวข้อง
กบั การบำบัดเด็กออทิสติกเพิ่มเตมิ โดยการตอบแบบสอบถาม ซง่ึ ใหผ้ ู้ตอบแบบสอบถามเลือกคำตอบ
หรือเติมคำตอบลงในชอ่ งวา่ ง

สว่ นท่ี 2 แนวทางการบำบัดเด็กออทิสติกของนกั กจิ กรรมบำบัดในสถานศึกษา
โดยแบบสอบถามส่วนนี้มีข้อคำถามทั้งหมดที่เกี่ยวกับแนวทางการบำบัดเด็กออทิสติกของ

นักกิจกรรมบำบัดในสถานศึกษาจำนวน 20 ข้อ ซึ่งผู้วิจัยพัฒนาขึ้นโดยการทบทวนวรรณกรรมและ
ค้นคว้างานวิจัยทีเ่ กี่ยวกับหลักการหรือวิธีการที่นักกิจกรรมบำบัดใช้ในการให้การบำบัดเด็กออทิสตกิ
ประกอบด้วยแนวทางการบำบัดแบบ Top-down approach และ Bottom-up approach จึงได้
ออกมา ดังนี้

1. Top-down approach จำนวน 14 ข้อ ซงึ่ ประกอบด้วย
(1) Cognitive Orientation to Occupational Performance (CO-OP)

จำนวน 2 ขอ้ ได้แก่ ข้อ 1 และขอ้ 5
(2) Cognitive Strategies จำนวน 2 ข้อ ได้แก่ ข้อ 3 และขอ้ 8
(3) Behavior Modification จำนวน 2 ข้อ ได้แก่ ขอ้ 2 และขอ้ 9
(4) Assistive Technology จำนวน 2 ข้อ ไดแ้ ก่ ข้อ 4 และขอ้ 6
(5) Peer-Mediated Intervention (PMI) จำนวน 2 ข้อ ได้แก่ ข้อ 7

และข้อ 10
(6) Environmental Modification จำนวน 2 ข้อ ได้แก่ ข้อ 12 และ

ข้อ 14
(7) Picture Exchange Communication System (PEGS) จำนวน 2 ขอ้

ได้แก่ ข้อ 11 และขอ้ 13

35

2. Bottom-up approach จำนวน 6 ขอ้ ซง่ึ ประกอบด้วย
(1) Sensory Integration Intervention จำนวน 2 ขอ้

ไดแ้ ก่ ข้อ 18 และขอ้ 20
(2) Table Top Activities จำนวน 2 ขอ้ ไดแ้ ก่ ข้อ 16 และข้อ 19
(3) Animal-Assisted Service จำนวน 2 ข้อ ได้แก่ ขอ้ 15 และข้อ 17

โดยมีเกณฑก์ ารใหค้ ะแนนระดบั ความถี่ของการใชแ้ นวทางในการบำบัด ดงั น้ี
คะแนน 0 หมายถึง ไม่ใช้หรือไม่มปี ระสบการณ์ในการใช้แนวทางการบำบัดนนั้
คะแนน 1 หมายถงึ ใชแ้ นวทางการบำบดั นั้นนอ้ ย
คะแนน 2 หมายถงึ ใชแ้ นวทางการบำบัดนัน้ บางครั้ง
คะแนน 3 หมายถึง ใช้แนวทางการบำบัดนั้นบ่อย
ในการทำแบบสอบถามใหผ้ ู้ตอบแบบสอบถามทำการเลือกช่องที่ตรงกับระดบั ความถ่ีของการ
ใช้หลักการหรือวิธีการตามแนวทางการบำบัดแบบ Top-down approach และ Bottom-up
approach ในเด็กออทิสติกของตนเอง
โดยมเี กณฑข์ องระดับความถี่ในการใช้หลกั การหรอื วิธีการบำบัด ดังน้ี
ไมใ่ ช้ หมายถึง ท่านไมม่ ีประสบการณใ์ นการใช้หลักการหรอื วธิ ีการบำบัดนน้ั
น้อย หมายถึง ท่านมรี ะดบั ความถี่ของการใช้หลักการหรือวธิ ีการบำบดั นัน้ น้อย
บางครัง้ หมายถงึ ท่านมรี ะดบั ความถข่ี องการใช้หลักการหรือวิธกี ารบำบดั นน้ั บางคร้ัง
บ่อย หมายถึง ท่านมรี ะดบั ความถีข่ องการใช้หลักการหรือวิธกี ารบำบัดนนั้ บ่อย

การแปลผลขอ้ มูล
ขั้นตอนการแปลความหมายของข้อมูลผู้วิจัยทำการแปลผลจากคะแนนเฉลี่ย (x̄ )

โดยใช้หลักเกณฑ์การเทียบชว่ งความกว้างของอันตรภาคชัน้ ดังน้ี
ความกวา้ งของอันตรภาคชน้ั = คะแนนสงู สงุ - คะแนนต่ำสุด
จำนวนชน้ั
= 3−0

3

=1

36

หลังจากคำนวณช่วงระดับคะแนนแล้ว นำค่าที่ได้จากการคำนวณมาแบ่งระดับความถี่ของ
การใช้แนวทางการบำบดั ของนักกิจกรรมบำบัด 3 ระดับ ดงั น้ี

ช่วงคะแนนเฉล่ยี (x̄ ) การแปลผลระดบั ของการใช้
2.01 - 3.00 บ่อย
1.01 – 2.00 บางครงั้
0.00 – 1.00 น้อย

ข้นั ตอนการสร้างเครอื่ งมอื
1. ศึกษาเอกสารทีเ่ กีย่ วข้องกบั แนวทางการบำบัดในเด็กออทสิ ติกในงานกิจกรรมบำบัด
2. กำหนดนิยามศัพท์เฉพาะ โครงสร้างและวิธีการทำแบบสอบถามแนวทางการบำบัดเด็ก

ออทสิ ติกของนกั กจิ กรรมบำบดั ในสถานศึกษา
3. สร้างแบบสอบถามแนวทางการบำบัดเด็กออทิสติกของนักกิจกรรมบำบัดในสถานศึกษา

และตรวจสอบคุณภาพของแบบสอบถามผ่านผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 5 ท่าน (ภาคผนวก ข) ซึ่งผู้ทรง
คณุ วฒุ ไิ ดแ้ ก่

(1) นกั กจิ กรรมบำบัดทม่ี ีประสบการณก์ ารใหก้ ารบำบัดเดก็ ออทิสติก ไมน่ ้อยกวา่ 5 ปี
จำนวน 3 ท่าน
(2) นกั กิจกรรมบำบดั ทีม่ ีประสบการณใ์ นการทำงานในระบบของสถานศึกษาไม่น้อยกว่า 5 ปี
จำนวน 2 ทา่ น
4. หาค่าความตรงเชงิ เนือ้ หาของข้อมลู (content validity)
โดยผู้วิจัยนำแบบสอบถามแนวทางการบำบัดเด็กออทิสติกของนักกิจกรรมบำบัดใน
สถานศึกษาให้ผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 5 ท่าน (ภาคผนวก ข) ตรวจสอบความสอดคล้องระหว่างข้อ
คำถามในแบบสอบถามกับวตั ถปุ ระสงค์ของการวจิ ยั พรอ้ มทงั้ ใหข้ ้อเสนอแนะ
โดยมีเกณฑใ์ นการตรวจพจิ ารณาข้อคำถามดงั นี้
ใหค้ ะแนน +1 ถ้าแนใ่ จวา่ ขอ้ คำถามวดั ได้ตรงตามวตั ถปุ ระสงค์
ใหค้ ะแนน 0 ถ้าหากไม่แน่ใจว่าข้อคำถามวดั ได้ตรงตามวัตถุประสงค์
ให้คะแนน -1 ถา้ แนใ่ จวา่ ขอ้ คำถามวดั ไมไ่ ดต้ รงตามวัตถุประสงค์

37

จากนั้นผู้วิจัยนำคะแนนที่ได้จากผู้ทรงคุณวุฒิมาคำนวณหาค่า IOC (Index of Item-
Objective Congruence) ตามสมการ โดยคำนวณจากสูตร (ปราณี หลำเบญ็ สะ, 2559)


IOC =

เมอ่ื IOC แทน ดชั นคี วามสอดคลอ้ งระหว่างเครื่องมอื นัน้ กับวัตถุประสงค์
∑ R แทน ผลรวมของคะแนนความคดิ เหน็ จากผทู้ รงคณุ วุฒิ
n แทน จำนวนผทู้ รงคุณวุฒิ
โดยมเี กณฑ์ตัดสนิ ดงั ตอ่ ไปนี้
1. ขอ้ คำถามทมี่ คี ่า IOC ตั้งแต่ 0.50-1.00 หมายถึง มีคา่ ความเทีย่ งตรงใช้ได้
2. ข้อคำถามทีม่ ีค่า IOC ต่ำกว่า 0.50 หมายถึง ยงั ใชไ้ มไ่ ด้ ต้องปรบั ปรงุ คำถามใหม่
หลังจากได้รับการตรวจสอบจากผู้ทรงคุณวุฒิทั้ง 5 ท่าน ผู้วิจัยทำการหาค่า IOC ของ
แบบสอบถามทั้งฉบับเท่ากับ 0.91 โดยมีแบบสอบถามหนึ่งข้อที่มีค่า IOC รายข้อเท่ากับ 0.40
ซง่ึ ไมส่ ามารถนำไปใชไ้ ด้ คอื แบบสอบถามขอ้ ที่ 1 ผ้วู ิจัยจึงทำการปรบั ปรุงแก้ไขข้อคำถามในข้อ 1 ใหม่
และส่งผู้ทรงคุณวุฒิทั้ง 5 ท่านเพื่อพิจารณาอีกครั้ง ได้ค่า IOC รายข้อที่แก้ไขเท่ากับ 1 จากนั้นจึง
นำมาหาคา่ IOC ของแบบสอบถามทงั้ ฉบบั อีกคร้งั ไดเ้ ท่ากับ 0.96
5. หาค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถาม (reliability) ผู้วิจัยนำแบบสอบถามแนวทางการ
บำบัดเด็กออทิสติกของนักกิจกรรมบำบัดในสถานศึกษามาเก็บข้อมูลกับนักกิจกรรมบำบัดท่ีมี
ประสบการณ์ในการบำบัดเด็กออทสิ ติกจำนวน 10 คน ซึง่ ไม่ใชก่ ลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักกิจกรรมบำบัด
ที่ปฏิบัติงานในสถานศึกษาเอกชน และนักกิจกรรมบำบัดที่ปฏิบัติงานในคลินิกเด็ก จากนั้นนำไป
คำนวณหาค่าสัมประสิทธิ์ความเช่ือมั่นภายใน โดยหาค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาครอนบาค (Cronbach’s
alpha coefficient reliability) ตามสมการ โดยคำนวณจากสูตร (บญุ ใจ ศรีสถติ ย์นรากรู , 2550)

α = [1 − ∑ 2 2 ]
−1

เมือ่ α แทน คา่ ความสอดคลอ้ งภายใน
n แทน จำนวนข้อคำถามในแบบสอบถาม

38

∑ Si2 แทน ผลรวมของความแปรปรวนของคะแนนรายขอ้
St2 แทน ความแปรปรวนของคะแนนรวมทงั้ ฉบับ

หลังจากคำนวณหาค่าสัมประสิทธิ์ความเชื่อมั่นภายใน โดยหาค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาครอน
บาค (Cronbach’s alpha coefficient reliability) ไดค้ า่ ความเชอื่ มัน่ ของแบบสอบถามเท่ากบั 0.98

39

ขั้นตอนการศึกษา
1. ค้นคว้าศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง และจัดทำโครงร่างภาคนิพนธ์เกี่ยวกับ

แนวทางการบำบัดเด็กออทิสติกของนักกจิ กรรมบำบดั ในสถานศึกษา
2. เสนอโครงร่างภาคนพิ นธ์ต่อคณะกรรมการ เพื่อพิจารณาและปรับแกต้ ามคำแนะนำ
3. ยื่นเสนอขอจริยธรรมการวิจัยผ่านคณะกรรมการจริยธรรมวิจัยคณะเทคนิคการแพทย์

มหาวทิ ยาลยั เชียงใหม่
4. สร้างเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย และตรวจคุณภาพของเครื่องมือที่ใช้ในการสำรวจ

แนวทางการบำบัดเด็กออทิสตกิ ของนักกิจกรรมบำบัดในสถานศึกษา
5. จดั ทำแบบสอบถามฉบับสมบูรณ์
6. ประชาสัมพันธ์การวิจัยผ่านทางประธานชมรมครูกิจกรรมบำบัด เพื่อชี้แจงวัตถุประสงค์

งานวจิ ัย
7. ดำเนนิ การเก็บรวบรวมขอ้ มลู
วธิ ีการเก็บรวบรวมขอ้ มลู
ผู้วิจัยทำการประชาสัมพันธ์ผ่านทางชมรมครูกิจกรรมบำบัด โดยทำหนังสือถึง

ประธานชมรมเพื่อขอความอนุเคราะห์ประชาสัมพันธ์งานวิจัย และขอข้อมูลการติดต่อ
นักกิจกรรมบำบัดจากฐานข้อมูลของชมรมครูกิจกรรมบำบัด และดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูล โดย
ผวู้ ิจัยทำการส่งแบบสอบขอความร่วมมือให้แก่นักกิจกรรมบำบัดในสถานศึกษาตอบผา่ นทาง Google
form ซึ่งเป็นแบบสอบถามที่ระบุคำอธิบาย วัตถุประสงค์และคำยินยอมเข้าร่วมไว้ในส่วนแรกของ
แบบสอบถามซึ่งเป็นการเขา้ รว่ มด้วยความสมัครใจ รวมทั้งที่อยู่และเบอรโ์ ทรศัพท์ติดต่อของผ้วู ิจัยให้
สามารถติดต่อกลับไปได้ในกรณีมีข้อสงสัยในแบบสอบถามให้ผู้ตอบแบบสอบถามทำแบบสอบถาม
ด้วยตนเองให้ครบถ้วนและกดส่งเพื่อส่งคำตอบให้แก่ผู้วิจัยผ่านทาง Google form โดยได้จัดทำเป็น
คิวอาร์โค้ด (QR Code) และลิงก์ (link) ในช่องทางออนไลน์ ได้แก่ เฟสบุ๊ค (Facebook) และ
แอพพลิเคชนั่ ไลน์ (Line) กลุ่มปดิ ของชมรมครูกจิ กรรมบำบดั

ระยะเวลาการเกบ็ รวบรวมข้อมลู
เดือนธันวาคม 2562 ถงึ กมุ ภาพันธ์ 2563

40

การตดิ ตามทวงถาม
การติดตามทวงถามผู้วิจัยมีการติดตามทวงถามในกรณีจำนวนแบบสอบถามมีการ

ตอบกลบั ไมเ่ พยี งพอหรือไม่เป็นไปตามท่กี ำหนดไว้ (รอ้ ยละ 80 ของผ้ยู นิ ยอมเขา้ ร่วมวิจัย) หลงั จากส่ง
แบบสอบถามไปเป็นระยะเวลา 2 สัปดาห์ ผู้วิจัยทำการติดตามทวงถาม 1 ครั้ง โดยการทำหนังสือขอ
ความอนุเคราะห์ประธานชมรมครูกิจกรรมบำบัด เพื่อแจ้งเตือนไปยังสมาชิกของชมรมครู
กิจกรรมบำบัด ขอให้นักกิจกรรมบำบัดส่งแบบสอบถามกลับมายังผู้วิจยั นอกจากนี้ผู้วิจยั ได้ทำการส่ง
จดหมายทางไปรษณีย์ โดยได้แนบคิวอาร์โค้ด (QR Code) และลิงก์ (link) ของแบบสอบถามเพื่อให้
เข้าถงึ กลุ่มประชากรและอำนวยความสะดวกในการตอบแบบสอบถามมากย่ิงข้ึน ในกรณีผู้ยนิ ยอมเข้า
ร่วมวิจัยไม่สง่ แบบสอบถามกลับมาภายในระยะเวลา 30 วัน หลังจากผูว้ จิ ยั ทำการติดตามทวงถามถือ
ว่าผเู้ ข้าร่วมวจิ ัยทำการถอนตัวออกจากการวจิ ยั ในคร้งั น้ี

8. นำขอ้ มูลทีไ่ ด้มาวิเคราะห์ด้วยวิธที างสถติ ิ และแปลผลขอ้ มลู ที่ไดท้ ั้งหมด
9. สรุปผลการวจิ ยั วิจารณ์ พร้อมท้งั เขยี นรายงานผลการวจิ ยั

การวเิ คราะห์ขอ้ มลู
ทำการวิเคราะห์ข้อมูลโดยแบง่ ออกเปน็ 2 สว่ น ดังน้ี
1. วิเคราะห์ขอ้ มูลทั่วไป ได้แก่ สถานภาพของผู้ตอบแบบสอบถาม นำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์

ด้วยวิธีทางสถิติเชิงพรรณนา (descriptive statistic) เพื่อนำเสนอข้อมูลในรูปแบบของการแจกแจง
ความถี่ และรอ้ ยละ

2. วิเคราะห์ข้อมูลแนวทางการบำบัดเด็กออทิสติกของนักกิจกรรมบำบัดในสถานศึกษา
นำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์ด้วยวิธีทางสถิติเชงิ พรรณนา (descriptive statistic) เพื่อนำเสนอข้อมูลใน
รูปแบบของการแจกแจงความถ่ี ร้อยละ คา่ เฉล่ยี และสว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐาน

41

ผลการศึกษา
การศึกษาเรื่องการสำรวจแนวทางการบำบัดเด็กออทิสติกของนักกิจกรรมบำบัดใน
สถานศึกษา มีวัตถุประสงค์เพื่อสำรวจแนวทางการบำบัดเด็กออทิสติกของนักกิจกรรมบำบัดใน
สถานศึกษา ซึ่งเก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามแนวทางการบำบัดเด็กออทิสติกของ
นกั กิจกรรมบำบดั ในสถานศึกษา ข้อมลู ทีไ่ ดส้ ามารถนำเสนอผลการศกึ ษาเป็น 2 สว่ น ดงั น้ี
สว่ นท่ี 1 ข้อมลู ส่วนบุคคลของผตู้ อบแบบสอบถาม
ส่วนท่ี 2 แนวทางการบำบัดเดก็ ออทิสตกิ ของนกั กจิ กรรมบำบดั ในสถานศึกษา

42


Click to View FlipBook Version