หน่วยการเรียนรทู้ ่ี 2 สิ่งมีชวี ิตกับสงิ่ แวดล้อม
แผนฯ ที่ 7 การถ่ายทอดลกั ษณะทางพันธุกรรมในครอบครวั ของมนษุ ย์
5. สมรรถนะสาคญั ของผเู้ รยี นและคุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค์
สมรรถนะสาคัญของผู้เรียน คุณลักษณะอันพึงประสงค์
1. ความสามารถในการสื่อสาร 1. มวี นิ ยั
2. ความสามารถในการคิด 2. ใฝ่เรียนรู้
1) ทกั ษะการสังเกต 3. มุ่งมนั่ ในการทางาน
2) ทักษะการให้เหตผุ ล
3) ทกั ษะการระบุ
4) ทกั ษะการต้ังสมมตฐิ าน
5) ทักษะการทดสอบสมมตฐิ าน
3. ความสามารถในการแก้ปญั หา
4. ความสามารถในการใชท้ ักษะชวี ิต
5. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี
6. กิจกรรมการเรยี นรู้
แนวคดิ /รูปแบบการสอน/วธิ ีการสอน/เทคนิค : สบื เสาะหาความรู้ (5Es Instructional Model)
ชว่ั โมงท่ี 1
ข้นั นา
ข้ันกระตุ้นความสนใจ (Engage)
1. ครูสมุ่ เลือกนักเรียนชายและหญิง อยา่ งละ 1 คู่ ให้ออกมาหน้าชั้นเรียน จากนน้ั ให้นักเรยี นร่วมกัน
สังเกตเพือ่ นท่ยี ืนอยู่หน้าห้อง
2. ครูกระตนุ้ ความสนใจของนักเรยี นก่อนทีจ่ ะเขา้ ส่บู ทเรียน โดยต้งั คาถามกระตุ้นความคดิ ดังนี้
1) นักเรยี นคดิ ว่า เพือ่ นที่ยืนอยูห่ นา้ ชัน้ มีรปู ร่างหน้าตาคลา้ ยคลงึ กนั หรอื ไม่ เพราะเหหตใุ ด
(แนวตอบ ไม่คลา้ ยคลงึ กัน เพราะเพ่อื นไม่ใชล่ ูกทม่ี ีพอ่ แมเ่ ดยี วกัน)
2) นักเรียนคิดว่า ถ้าเพื่อนท่ียนื อยหู่ ้องมีพ่อแม่คนเดียวกัน เพอ่ื นท่ียืนอยู่หน้าห้องจะมีรปู ร่าง
หน้าตาคลา้ ยคลึงกันหรอื ไม่
(แนวตอบ เหมอื นกนั )
3) นักเรยี นคิดวา่ ถา้ คนท่ีเป็นพ่อแม่คนเดียวกัน จะมีรูปร่างหน้าตาแตกต่างกนั ได้หรือไม่
เพราะอะไร
(แนวตอบ ได้ เพราะอาจไดร้ ับลกั ษณะทางพันธกุ รรมบางอย่างมาจากปู่ ย่า ตา ยาย ลุง ป้า
นา้ อา หรือคนในรุ่นอืน่ ๆ)
(หมายเหตุ : ครเู ริม่ ประเมนิ นักเรยี น โดยใช้แบบสังเกตพฤติกรรมการทางานรายบุคคล)
92
หนว่ ยการเรยี นรูท้ ี่ 2 ส่งิ มชี วี ติ กับส่งิ แวดลอ้ ม
แผนฯ ที่ 7 การถา่ ยทอดลกั ษณะทางพันธุกรรมในครอบครวั ของมนษุ ย์
ข้ันสอน
ข้นั สารวจคน้ หา (Explore)
1. ครูอธิบายเพ่มิ เติมให้นักเรียนเข้าใจว่า มนุษย์เม่ือเติบโตเขา้ สู่วยั เจริญพันธ์ุ จะสามารถสืบพันธุ์
ออกลูกออกหลานได้ ลูกหลานท่ีดารงพันธุ์ต่อไปจะได้รับการถ่ายทอดลักษณะจากพ่อแม่และ
บรรพบุรุษ เชน่ ลักษณะเส้นผม ลักษณะหนงั ตาบน ความสงู สีผม สผี วิ สีตา
2. ครูแจกใบงาน เรือ่ ง การสารวจลักษณะทางพันธุกรรมของคนในครอบครวั โดยใหน้ ักเรียนสารวจ
ตนเองว่า มีลกั ษณะใดบา้ งท่ีเหมอื นกับสมาชิกคนอื่น ๆ ในครอบครวั แล้วบนั ทกึ ผลลงในใบงาน
3. ครูส่มุ เรียกนักเรียน 3-4 คน ให้ออกมาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกบั ความแตกต่างของตนเองกับ
สมาชกิ ในครอบครวั ทีห่ น้าช้ันเรยี น จากนั้นให้นักเรยี นรว่ มกนั อภิปรายและสรปุ ผลร่วมกนั
4. ครสู รุปความรู้เพ่ิมเติมให้นักเรยี นเขา้ ใจเกีย่ วกับการทากจิ กรรมวา่ จากการทากจิ กรรมนกั เรียนจะ
เห็นได้ว่าตัวเองและพี่น้องมีลักษณ ะบางลักษณะเหมือน พ่อ และมีบางลักษณะเหมือนแม่
บางลกั ษณะอาจไม่เหมือนพ่อเหมือนแม่ แต่อาจเป็นลักษณะทีเ่ หมอื นปู่ ยา่ ตา ยาย ซึ่งลักษณะที่
ถ่ายทอดจากพ่อแมส่ ลู่ กู หลานได้น้นั เป็นลกั ษณะทางพนั ธกุ รรม
5. นักเรียนแต่ละคนศึกษาข้อมูลในหวั ข้อ การถา่ ยทอดลักษณะทางพนั ธกุ รรมของมนษุ ย์ และตัวอยา่ ง
แผนภูมิการถา่ ยทอดลักษณะทางพนั ธกุ รรมในครอบครวั ของมนษุ ย์ จากหนงั สือเรียนวทิ ยาศาสตร์
ป.5 เลม่ 1 หน้า 55-56
6. ครใู ห้นกั เรียนแตล่ ะคนจัดทาแผนภูมิ เรอื่ ง ครอบครวั ของตนเอง โดยให้ตดิ รปู สมาชกิ ในครอบครัว
ลงในกระดาษแข็งแผ่นใหญ่ ตามตัวอย่างแผนภูมิที่กาหนดให้ พรอ้ มตกแต่งให้สวยงาม จากน้ัน
ตอบคาถามตามประเดน็ ทกี่ าหนดใหใ้ นใบงาน เร่ือง แผนภูมคิ รอบครัวของฉนั
ช่วั โมงที่ 2
ข้นั อธบิ ายความรู้ (Explain)
1. ครใู ห้นกั เรียนแต่ละคนออกมานาเสนอแผนภูมิครอบครวั ของตนเองท่หี นา้ ช้ันเรียนตามลาดบั เลขที่
จนครบทกุ คน
(หมายเหตุ : ครูเริม่ ประเมินนกั เรยี น โดยใชแ้ บบสังเกตพฤติกรรมการทางานกลุ่ม)
2. ครูอธิบายเพ่ิมเติมให้นักเรียนเข้าใจว่า แม้ว่าเรากับสมาชิกในครอบครัวของเราจะมีลักษณะ
บางอย่างเหมือนกัน แต่ทกุ คนกจ็ ะมลี ักษณะเฉพาะตวั ที่แตกต่างจากคนอ่นื ทท่ี าใหเ้ รารวู้ ่า เราเป็น
ใคร และมีลกั ษณะอย่างไร เช่น ตวั เราและพ่นี ้องของเรามลี ักษณะบางอยา่ งทคี่ ล้ายกับพอ่ แม่ แตจ่ ะ
มีบางอย่างที่แตกต่างกัน ท้งั ๆ ท่ีเป็นพ่ีน้องจากพ่อแม่เดยี วกัน ความแตกตา่ งนเี้ รียกว่า ความ
แปรผันทางพนั ธุกรรม
93
หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี 2 สงิ่ มีชวี ิตกับสิง่ แวดล้อม
แผนฯ ที่ 7 การถา่ ยทอดลกั ษณะทางพันธุกรรมในครอบครัวของมนุษย์
ข้ันขยายความเข้าใจ (Elaborate)
1. นกั เรียนแต่ละคนศึกษาเน้ือหาเกี่ยวกับ ความแปรผันทางพันธุกรรม และกฎการถา่ ยทอดทาง
พันธกุ รรมของเกรกอร์ โยฮนั น์ เมนเดล จากหนงั สอื เรียน หน้า 57
2. ครูอธิบายต่อให้นักเรยี นฟังวา่ เกรกอร์ โยฮันน์ เมนเดล นกั วทิ ยาศาสตรผ์ ซู้ ่ึงทาการศกึ ษาเกี่ยวกับ
การถ่ายทอดลกั ษณะทางพันธุกรรม จนไดร้ ับการยกยอ่ งให้เป็นบิดาแห่งวิชาพนั ธศุ าสตร์ เขาไดส้ รุป
กฎของการถ่ายทอดลักษณะทางพนั ธกุ รรม ไวด้ ังนี้
1) ลกั ษณะต่าง ๆ ของสิง่ มชี วี ิตจะถูกควบคุมโดยยนี ที่อยู่ในเซลล์สบื พันธุ์ และจะถ่ายทอดไป
ยังลกู หลานทางเซลล์สบื พันธ์ุ โดยรปู แบบของยีน เรียกว่า แอลลีล
2) การถ่ายทอดลกั ษณะแตล่ ะลกั ษณะเปน็ อสิ ระต่อกนั และไมเ่ กีย่ วขอ้ งกับลักษณะอนื่
3) ลกั ษณะทีป่ รากฏออกมาบอ่ ยคร้งั เรียกว่า ลกั ษณะเด่น ส่วนลักษณะทปี่ รากฏออกมาน้อย
คร้งั กวา่ เรยี กว่า ลักษณะดอ้ ย
4) สดั ส่วนของลกั ษณะเด่นต่อลักษณะด้อยจะเปน็ 3 : 1 เสมอ
3. ครทู บทวนความรู้เรื่องลักษณะทางพนั ธุกรรมของมนุษย์ โดยให้นักเรียนศึกษาตวั อยา่ งจากหนงั สือ
เรยี น หน้า 56 จากนัน้ ให้นกั เรียนไปสืบค้นลกั ษณะทางพันธกุ รรมของมนษุ ย์ที่สามารถถ่ายทอดได้
นอกเหนอื จากท่ีอยู่ในหนงั สอื แลว้ บนั ทึกลงในสมดุ ประจาตัว จากน้ันนาสง่ ครูในช่วั โมงถัดไป
4. ครูอธิบายเพ่มิ เติมให้นักเรียนฟังว่า การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม และความแปรผันทาง
พันธกุ รรมนอกจากจะมใี นมนษุ ยแ์ ล้ว ยังมใี นสิ่งมีชีวิตชนดิ อื่นๆ เชน่ พชื สตั ว์ ดว้ ยเชน่ กัน
ข้นั สรุป
ครูส่มุ เรียกนักเรยี น 4-5 คน ให้สรปุ ความรเู้ ก่ียวกับเรื่องที่ไดเ้ รียนในวันน้ี จากน้ันให้นักเรยี นที่
เหลือชว่ ยกันสรปุ อีกคร้งั
ข้ันประเมินผล
ขั้นตรวจสอบผล (Evaluate)
1. ครูประเมินผลนกั เรียน โดยการสงั เกตพฤติกรรมการตอบคาถาม พฤติกรรมการทางานรายบุคคล
พฤติกรรมการทางานกลุม่ และจากการนาเสนอผลการทากจิ กรรมหนา้ ชนั้ เรยี น
2. ครูตรวจสอบผลการทาใบงาน เร่ือง การสารวจลกั ษณะทางพันธกุ รรมของคนในครอบครัว
3. ครูตรวจสอบผลการตอบคาถามในใบงาน เรื่อง เรื่อง ครอบครวั ของตนเอง
4. ครูตรวจสอบผลการเขยี นแผนภูมิ เรอ่ื ง ครอบครวั ของตนเอง จากกระดาษแข็งแผน่ ใหญ่
5. ครตู รวจสอบผลการสืบค้นขอ้ มูลลักษณะทางพันธกุ รรมของมนุษยท์ ี่สามารถถ่ายทอดได้ จากสมุด
ประจาตัว
94
หนว่ ยการเรยี นรูท้ ่ี 2 สงิ่ มชี ีวติ กบั สิ่งแวดล้อม
แผนฯ ที่ 7 การถา่ ยทอดลกั ษณะทางพันธกุ รรมในครอบครัวของมนุษย์
7. การวดั และประเมนิ ผล
รายการวดั วธิ ีการ เครื่องมอื เกณฑก์ ารประเมนิ
7.1 ประเมนิ ระหว่าง
การจัดกิจกรรม
การเรยี นรู้
1) แผนภมู ิ เรอ่ื ง - ตรวจกระดาษแข็ง - กระดาษแขง็ แผ่นใหญ่ - ร้อยละ 60
ผ่านเกณฑ์
ครอบครวั ของตนเอง แผ่นใหญ่ - ใบงาน เร่ือง การ
สารวจลกั ษณะทาง - ร้อยละ 60
2) ใบงาน เรอื่ ง การ - ตรวจใบงาน เรอ่ื ง การ พนั ธุกรรมของคนใน ผ่านเกณฑ์
ครอบครัว
สารวจลักษณะทาง สารวจลักษณะทาง - ใบงาน เรือ่ ง - ร้อยละ 60
ครอบครัวของตนเอง ผา่ นเกณฑ์
พนั ธกุ รรมของคนใน พันธกุ รรมของคนใน - แบบการนาเสนอ - ระดับคุณภาพ 2
ผลงาน/ผลการทา ผ่านเกณฑ์
ครอบครวั ครอบครวั กจิ กรรม
- แบบสังเกตพฤตกิ รรม - ระดบั คณุ ภาพ 2
3) ใบงาน เรอื่ ง - ตรวจใบงาน เร่อื ง การทางานรายบุคคล ผา่ นเกณฑ์
ครอบครวั ของตนเอง ครอบครัวของตนเอง
4) การนาเสนอผลงาน/ - ประเมินการนาเสนอ
ผลการทากจิ กรรม ผลงาน/ผลการทา
กจิ กรรม
5) พฤตกิ รรม - สังเกตพฤตกิ รรม
การทางาน การทางานรายบคุ คล
รายบคุ คล
6) พฤตกิ รรม - สงั เกตพฤตกิ รรม - แบบสังเกตพฤติกรรม - ระดับคุณภาพ 2
การทางานกล่มุ ผ่านเกณฑ์
การทางานกลุ่ม การทางานกลมุ่ - แบบประเมนิ - ระดับคุณภาพ 2
คุณลักษณะ ผ่านเกณฑ์
7) คุณลกั ษณะ - สังเกตความมวี ินยั อนั พงึ ประสงค์
อนั พึงประสงค์ ใฝ่เรยี นรู้ และมงุ่ มั่น
ในการทางาน
95
หน่วยการเรียนร้ทู ี่ 2 สิง่ มชี วี ิตกับสงิ่ แวดล้อม
แผนฯ ท่ี 7 การถา่ ยทอดลกั ษณะทางพนั ธกุ รรมในครอบครัวของมนษุ ย์
8. สื่อ/แหลง่ การเรียนรู้
8.1 ส่ือการเรยี นรู้
1) หนงั สือเรียนวิทยาศาสตร์ ป.5 เล่ม 1 หน่วยการเรียนรทู้ ่ี 2 สงิ่ มชี ีวิตกบั สง่ิ แวดล้อม
2) แบบฝึกหัดวิทยาศาสตร์ ป.5 เล่ม 1 หนว่ ยการเรยี นรูท้ ่ี 2 ส่งิ มชี ีวิตกบั สิ่งแวดล้อม
3) สมุดประจาตัวนักเรียน
4) กระดาษแขง็ แผน่ ใหญ่
5) ใบงาน เร่ือง การสารวจลกั ษณะทางพันธุกรรมของคนในครอบครวั
6) ใบงาน เร่อื ง ครอบครวั ของตนเอง
8.2 แหล่งการเรยี นรู้
1) หอ้ งสมุด
2) หอ้ งเรียน
3) อนิ เทอรเ์ นต็
96
หน่วยการเรยี นรู้ที่ 2 สง่ิ มชี ีวิตกับสิ่งแวดลอ้ ม
แผนฯ ท่ี 7 การถา่ ยทอดลักษณะทางพนั ธุกรรมในครอบครัวของมนษุ ย์
ใบงาน
เรอ่ื ง การสารวจลกั ษณะทางพันธุกรรมของคนในครอบครวั
คาชี้แจง 1. ใหน้ กั เรียนสารวจลกั ษณะทางพนั ธกุ รรมของตนเองและสมาชิกในครอบครวั
2. ขีด ลงในตารางตามความเปน็ จริง และบนั ทึกข้อมลู
ลักษณะทาง สมาชิกในครอบครวั
ส่ิงทีส่ ังเกต พนั ธกุ รรม ฉัน พอ่ แม่ พ่ี น้อง ปู่ ยา่ ตา ยาย
1. เสน้ ผม หยักศก
เหยียดตรง
2. สีผม สีดา
สีอื่น ๆ
3. หนงั ตา ชัน้ เดยี ว
สองชั้น
4. ลักย้มิ มลี ักยมิ้
ไม่มลี ักย้ิม
5. ความสูง สูง
เตี้ย
สรปุ ผลการสารวจ
97
หน่วยการเรียนรู้ท่ี 2 สิง่ มีชวี ติ กับสิง่ แวดล้อม เฉลย
แผนฯ ที่ 7 การถา่ ยทอดลกั ษณะทางพันธุกรรมในครอบครวั ของมนุษย์
ใบงาน
เรอ่ื ง การสารวจลกั ษณะทางพันธกุ รรมของคนในครอบครัว
คาชีแ้ จง 1. ให้นักเรยี นสารวจลกั ษณะทางพันธุกรรมของตนเองและสมาชกิ ในครอบครวั
2. ขดี ลงในตารางตามความเป็นจริง และบันทกึ ขอ้ มลู
ลักษณะทาง สมาชกิ ในครอบครวั
สิง่ ท่ีสงั เกต พนั ธกุ รรม ฉัน พ่อ แม่ พ่ี นอ้ ง ปู่ ยา่ ตา ยาย
1. เส้นผม หยกั ศก
เหยยี ดตรง
2. สผี ม สีดา
สอี ื่นๆ
3. หนังตา ช้ันเดยี ว
สองช้นั
4. ลกั ยิ้ม มีลกั ย้มิ
ไม่มลี ักย้มิ
5. ความสงู สูง
เตี้ย
สรปุ ผลการสารวจ
98
หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 2 ส่ิงมชี วี ิตกับสงิ่ แวดล้อม
แผนฯ ที่ 7 การถ่ายทอดลักษณะทางพันธกุ รรมในครอบครัวของมนุษย์
ใบงาน
เรือ่ ง ครอบครัวของตนเอง
คาชีแ้ จง ใหน้ กั เรียนจัดทาแผนภมู ิครอบครวั ของตนเอง โดยติดรูปสมาชกิ ในครอบครัวลงในกระดาษแข็ง
แผ่นใหญ่ตามตวั อยา่ งแผนภมู ิ และตกแตง่ ให้สวยงาม จากนัน้ สงั เกตและบันทึกข้อมูล
(ตวั อยา่ งแผนภมู ิครอบครัว)
ปู่ ยา่ ตา ยาย
ลุง/ป้ า พอ่ อา ลุง/ป้ า แม่ น้า
พี่ ตวั ฉนั น้อง
1) ลกั ษณะท่ีพ่อได้รับการถ่ายทอดจากปู่ ยา่
2) ลกั ษณะท่แี ม่ได้รับการถา่ ยทอดจากตา ยาย
3) ลกั ษณะทฉี่ นั และพน่ี อ้ งได้รับการถา่ ยทอดจากพ่อแมเ่ หมือนกัน
4) ลักษณะทฉ่ี นั ไมเ่ หมือนพ่อแม่ แตเ่ หมอื นปู่ ย่า ตา ยาย
99
หน่วยการเรยี นรทู้ ่ี 2 สิ่งมชี วี ติ กบั สิ่งแวดล้อม เฉลย
แผนฯ ที่ 7 การถ่ายทอดลกั ษณะทางพนั ธกุ รรมในครอบครัวของมนษุ ย์
ใบงาน
เรอ่ื ง ครอบครัวของตนเอง
คาชแี้ จง ให้นกั เรียนจดั ทา แผนภูมิครอบครัวของตนเอง โดยตดิ รปู สมาชิกในครอบครัวลงในกระดาษแขง็
แผ่นใหญ่เตามตัวอย่างแผนภมู ิ และตกแต่งให้สวยงาม จากนั้นสังเกตและบันทกึ ข้อมลู
(ตัวอย่างแผนภมู ิครอบครวั )
ปู่ ย่า ตา ยาย
ลุง/ป้ า พอ่ อา ลุง/ป้ า แม่ น้า
พ่ี ตวั ฉัน น้อง
1) ลักษณะท่พี ่อได้รับการถา่ ยทอดจากปู่ ยา่
2) ลกั ษณะที่แมไ่ ดร้ บั การถา่ ยทอดจากตา ยาย
3) ลักษณะท่ีฉันและพี่น้องได้รับการถา่ ยทอดจากพ่อแมเ่ หมอื นกนั
4) ลักษณะท่ฉี นั ไม่เหมอื นพอ่ แม่ แตเ่ หมือนปู่ ย่า ตา ยาย
100
หน่วยการเรียนรทู้ ี่ 2 สงิ่ มชี ีวติ กบั สง่ิ แวดลอ้ ม
แผนฯ ที่ 7 การถ่ายทอดลกั ษณะทางพันธุกรรมในครอบครัวของมนุษย์
9. ความเหน็ ของผู้บริหารสถานศกึ ษาหรอื ผทู้ ี่ไดร้ ับมอบหมาย
ขอ้ เสนอแนะ
ลงชอื่ .................................
( ................................ )
ตาแหน่ง .......
10. บันทกึ ผลหลงั การสอน
ด้านความรู้
ดา้ นสมรรถนะสาคญั ของผูเ้ รยี น
ด้านคณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์
ด้านความสามารถทางวทิ ยาศาสตร์
ด้านอนื่ ๆ (พฤติกรรมเดน่ หรอื พฤตกิ รรมท่มี ีปญั หาของนักเรยี นเปน็ รายบุคคล (ถ้าม)ี )
ปัญหา/อุปสรรค
แนวทางการแก้ไข
101
หน่วยการเรยี นรทู้ ี่ 2 สิ่งมีชีวิตกับสิ่งแวดล้อม
แผนฯ ท่ี 8 การถา่ ยทอดลกั ษณะทางพันธกุ รรมของสัตว์
แผนการจดั การเรยี นรู้ท่ี 8
การถา่ ยทอดลกั ษณะทางพนั ธกุ รรมของสัตว์
เวลา 1 ช่วั โมง
1. มาตรฐานการเรียนรู้/ตวั ชีว้ ดั
ว 1.3 ป.5/1.1 อธบิ ายลกั ษณะทางพันธกุ รรมทม่ี กี ารถ่ายทอดจากพ่อแม่สู่ลกู ของพืช สัตว์ และ
มนษุ ย์
2. จุดประสงค์การเรียนรู้
1. อธิบายลักษณะทางพันธุกรรมที่มีการถ่ายทอดจากพ่อแม่ส่ลู กู ของสัตว์ได้ (K)
2. สารวจและสบื คน้ ขอ้ มูลเกยี่ วกับการถา่ ยทอดลักษณะทางพันธุกรรมของสัตวไ์ ด้ (P)
3. ม่งุ ม่ันในการทางานท่ีไดร้ ับมอบหมาย (A)
3. สาระการเรยี นรู้
สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง สาระการเรยี นร้ทู อ้ งถน่ิ
ลักษณะทางพนั ธุกรรมท่ีมกี ารถา่ ยทอดจากพอ่ แม่ พจิ ารณาตามหลกั สตู รของสถานศึกษา
สู่ลกู ของพืช สัตว์ และมนุษย์
4. สาระสาคัญ/ความคิดรวบยอด
ส่ิงมีชวี ิตทั้งพืช สัตว์ และมนุษย์ เมือ่ โตเตม็ ที่จะมีการสืบพันธ์ุเพ่ือเพิ่มจานวนและดารงพันธ์ุ โดยลกู ที่
เกิดมาจะได้รับการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมจากพ่อแม่ทาให้มีลักษณะทางพันธุกรรมทเี่ ฉพาะ
แตกตา่ งจากสิ่งมชี ีวิตชนดิ อ่ืน โดยสัตว์จะมีการถา่ ยทอดลกั ษณะทางพนั ธุกรรม เช่น สีขน ลักษณะของขน
ลกั ษณะใบหู
5. สมรรถนะสาคญั ของผู้เรยี นและคณุ ลักษณะอนั พึงประสงค์
สมรรถนะสาคัญของผเู้ รยี น คุณลกั ษณะอนั พึงประสงค์
1. ความสามารถในการสอ่ื สาร 1. มีวินัย
2. ความสามารถในการคดิ 2. ใฝ่เรียนรู้
1) ทักษะการสังเกต 3. มงุ่ มน่ั ในการทางาน
2) ทักษะการให้เหตุผล
3) ทกั ษะการระบุ
102
หนว่ ยการเรียนรทู้ ี่ 2 สง่ิ มชี ีวติ กับสง่ิ แวดล้อม คุณลกั ษณะอนั พึงประสงค์
แผนฯ ที่ 8 การถ่ายทอดลักษณะทางพนั ธกุ รรมของสตั ว์
สมรรถนะสาคัญของผู้เรียน
4) ทักษะการตง้ั สมมตฐิ าน
5) ทักษะการทดสอบสมมติฐาน
3. ความสามารถในการแก้ปญั หา
4. ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต
5. ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี
6. กจิ กรรมการเรียนรู้
แนวคิด/รูปแบบการสอน/วธิ ีการสอน/เทคนิค : สบื เสาะหาความรู้ (5Es Instructional Model)
ชัว่ โมงที่ 1
ขัน้ นา
ขั้นกระตนุ้ ความสนใจ (Engage)
1. ครูสนทนากบั นกั เรยี นเกี่ยวกับเรือ่ งการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมของมนุษยท์ ่ไี ดเ้ รียนผ่านมา
จากชว่ั โมงท่ีผา่ นมาเพือ่ ทบทวนบทเรียน
2. ครูกระตุ้นความสนใจของนักเรียนกอ่ นที่จะเข้าสู่บทเรียน โดยนาภาพตัวอย่างครอบครัวสัตว์ 1
ชนดิ มาให้นักเรียนสงั เกต เช่น ครอบครัวสุนัข โดยมพี ่อ แม่ และลูกสนุ ัข จากน้ันสุ่มเลือกนักเรียน
เพอ่ื ตอบคาถาม ดงั นี้
1) ลกั ษณะใดบา้ งทล่ี กู สุนัขไดร้ ับการถา่ ยทอดลักษณะทางพนั ธุกรรมจากพ่อสนุ ขั
(แนวตอบ ขน้ึ อยู่กบั ดลุ ยพนิ จิ ของครผู สู้ อน)
2) ลักษณะใดบ้างทล่ี กู สุนขั ไดร้ บั การถ่ายทอดลักษณะทางพันธกุ รรมจากแมส่ นุ ัข
(แนวตอบ ข้ึนอยู่กับดลุ ยพนิ ิจของครูผูส้ อน)
3) ลักษณะใดบ้างท่ลี ูกสุนัขมีแตกตา่ งจากพอ่ และแมส่ ุนขั
(แนวตอบ ขน้ึ อยกู่ ับดลุ ยพินจิ ของครูผู้สอน)
(หมายเหตุ : ครเู รมิ่ ประเมินนักเรียน โดยใชแ้ บบสังเกตพฤตกิ รรมการทางานรายบุคคล)
103
หน่วยการเรยี นร้ทู ี่ 2 สงิ่ มชี ีวติ กับสง่ิ แวดล้อม
แผนฯ ท่ี 8 การถ่ายทอดลกั ษณะทางพันธกุ รรมของสตั ว์
ขน้ั สอน
ข้นั สารวจค้นหา (Explore)
1. นกั เรียนแตล่ ะคนศึกษาข้อมูลในหวั ขอ้ การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมของสัตว์ และตัวอย่าง
แผนผังการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมจากเซลล์สืบพันธ์ุของกระต่าย จากหนังสือเรียน
วทิ ยาศาสตร์ ป.5 เล่ม 1 หน้า 58-59
2. ครูให้นักเรียนแบ่งกลุ่มแบบคละความสามารถ (เก่ง-ค่อน ข้างเก่ง-ปานกลาง-อ่อน) จากนั้น
มอบหมายให้นักเรียนแต่ละกลุ่มไปสืบค้นข้อมลู เกี่ยวกับการถา่ ยทอดลกั ษณะทางพันธุกรรมจาก
เซลล์สบื พันธข์ุ องสัตว์มากลุ่มละ 1 ชนิด จากแหล่งข้อมูลต่างๆ
3. นักเรียนแต่ละกลุ่มร่วมกันสรุปข้อมูล จากน้ัน นาข้อมูลมาเขียนเป็นแผนผังแสดงลักษณะการ
ถ่ายทอดลกั ษณะทางพันธกุ รรมจากเซลล์สบื พันธุ์ของสตั วล์ งในกระดาษแข็งแผ่นใหญ่ พร้อมตกแต่ง
ให้สวยงาม
ข้นั อธบิ ายความรู้ (Explain)
1. นักเรียนแตล่ ะกล่มุ ร่วมกันอภปิ รายและสรุปผลจากการทากิจกรรมภายในกลุ่ม
2. นักเรียนแต่ละกลุ่มออกมานาเสนอผลงานหนา้ ชัน้ เรยี นจนครบ จากน้ันใหน้ ักเรียนทกุ คนร่วมกัน
อภปิ รายและสรปุ ผลเกี่ยวกบั ลักษณะการถ่ายทอดทางพันธกุ รรมจากเซลล์สืบพันธ์ุของสตั ว์ตา่ งๆ ท่ี
แต่ละกลมุ่ เลอื กสบื ค้นมา
(หมายเหตุ : ครูเรมิ่ ประเมินนกั เรยี น โดยใช้แบบสังเกตพฤตกิ รรมการทางานกลุ่ม)
ขัน้ ขยายความเขา้ ใจ (Elaborate)
1. นักเรียนแต่ละกลุ่มช่วยกันศกึ ษาตวั อย่างการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมของพืชตา่ ง ๆ จาก
หนังสือเรียน หนา้ 59
2. ครใู ห้นกั เรียนศึกษาการถ่ายทอดลักษณะทางพนั ธกุ รรมของสตั วเ์ พม่ิ เตมิ จากส่ือ QR Code โดยให้
นกั เรยี นใช้โทรศพั ท์สแกน QR Code ทห่ี นงั สือเรยี น หน้า 59 จากนัน้ ให้ร่วมกันสรุปความรูท้ ่ศี กึ ษา
รว่ มกัน
3. ครูขออาสามาสมัครนักเรียนกลุ่มละ 2-3 คน ให้ยกตวั อย่างสตั ว์ 1 ชนิด พร้อมบอกลักษณะทาง
พนั ธกุ รรมของสัตวท์ ี่สามารถถ่ายทอดได้
4. ครูแจกใบงาน เรื่อง การถา่ ยทอดลกั ษณะทางพนั ธุกรรมของสตั ว์ แลว้ นามาสง่ ในชว่ั โมงถัดไป
(หมายเหตุ : ครเู ร่ิมประเมนิ นกั เรียน โดยใช้แบบสังเกตพฤติกรรมการทางานรายบุคคล)
104
หนว่ ยการเรยี นรูท้ ่ี 2 สง่ิ มีชีวติ กบั สง่ิ แวดล้อม
แผนฯ ท่ี 8 การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมของสัตว์
ขนั้ สรุป
ครูให้นักเรียนร่วมกันสรุปความรู้เกี่ยวกับการถา่ ยทอดลักษณะทางพันธกุ รรมของสัตว์ โดยให้
ยกตวั อยา่ งลักษณะท่สี ัตว์สามารถถา่ ยทอดไดค้ นละ 1 ลักษณะ
ขั้นประเมนิ ผล
ข้ันตรวจสอบผล (Evaluate)
1. ครูประเมินผลนกั เรียน โดยการสงั เกตพฤติกรรมการตอบคาถาม พฤติกรรมการทางานรายบุคคล
พฤตกิ รรมการทางานกล่มุ และจากการนาเสนอผลการทากจิ กรรมหน้าช้ันเรียน
2. ครูตรวจสอบผลการเขียนแผนผังแสดงลักษณะการถ่ายทอดลกั ษณะทางพันธุกรรมจากเซลล์
สบื พันธ์ุของสัตวจ์ ากกระดาษแข็งแผน่ ใหญ่
3. ครตู รวจสอบผลการทาใบงาน เรื่อง การถา่ ยทอดลักษณะทางพันธุกรรมของสัตว์
7. การวดั และประเมินผล
รายการวดั วิธีการ เครอื่ งมือ เกณฑ์การประเมิน
7.1 ประเมินระหวา่ ง
การจดั กิจกรรม
การเรียนรู้
1) แผนผังแสดงการ - ตรวจกระดาษแข็ง - กระดาษแข็งแผน่ ใหญ่ - รอ้ ยละ 60
ผ่านเกณฑ์
ถา่ ยทอดลักษณะทาง แผน่ ใหญ่
พนั ธกุ รรมจากเซลล์
สบื พนั ธุข์ องสตั ว์
2) ใบงานท่ี 2 เรอื่ ง - ตรวจใบงาน เรือ่ ง การ - ใบงาน เร่ือง การ - รอ้ ยละ 60
ถา่ ยทอดลักษณะทาง ผา่ นเกณฑ์
การถ่ายทอด ถา่ ยทอดลักษณะทาง พันธุกรรมของสัตว์
ลักษณะทาง พนั ธกุ รรมของสัตว์
พนั ธกุ รรมของสตั ว์
3) การนาเสนอผลงาน/ - ประเมนิ การนาเสนอ - แบบการนาเสนอ - ระดบั คุณภาพ 2
ผลงาน/ผลการทา ผ่านเกณฑ์
ผลการทากิจกรรม ผลงาน/ผลการทา กจิ กรรม
กจิ กรรม
105
หน่วยการเรยี นร้ทู ่ี 2 สงิ่ มชี วี ิตกับส่งิ แวดลอ้ ม
แผนฯ ที่ 8 การถา่ ยทอดลักษณะทางพนั ธุกรรมของสัตว์
รายการวดั วธิ ีการ เครื่องมือ เกณฑ์การประเมิน
4) พฤติกรรม - สงั เกตพฤตกิ รรม - แบบสังเกตพฤตกิ รรม - ระดบั คณุ ภาพ 2
การทางานรายบคุ คล การทางานรายบุคคล ผ่านเกณฑ์
การทางาน
รายบคุ คล
5) พฤตกิ รรม - สังเกตพฤตกิ รรม - แบบสังเกตพฤติกรรม - ระดบั คณุ ภาพ 2
การทางานกลุ่ม การทางานกลุ่ม การทางานกลุม่ ผา่ นเกณฑ์
- สังเกตความมีวินยั - แบบประเมิน - ระดับคณุ ภาพ 2
6) คณุ ลักษณะ ใฝเ่ รยี นรู้ และมงุ่ ม่ัน คุณลกั ษณะ ผา่ นเกณฑ์
อนั พึงประสงค์ ในการทางาน อันพึงประสงค์
8. ส่อื /แหลง่ การเรียนรู้
8.1 สอ่ื การเรียนรู้
1) หนังสอื เรยี นวทิ ยาศาสตร์ ป.5 เลม่ 1 หนว่ ยการเรียนรู้ที่ 2 สงิ่ มชี วี ิตกับส่งิ แวดล้อม
2) แบบฝึกหัดวิทยาศาสตร์ ป.5 เล่ม 1 หนว่ ยการเรียนรทู้ ี่ 2 สิ่งมชี ีวติ กับสงิ่ แวดลอ้ ม
3) สมุดประจาตวั นักเรียน
4) กระดาษแขง็ แผ่นใหญ่
5) QR Code เรื่อง การถา่ ยทอดลักษณะทางพนั ธกุ รรมของสตั ว์
6) ใบงาน เร่ือง การถา่ ยทอดลักษณะทางพนั ธุกรรมของสตั ว์
8.2 แหลง่ การเรียนรู้
1) ห้องสมดุ
2) ห้องเรียน
3) อินเทอรเ์ นต็
106
หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 สงิ่ มชี วี ติ กับส่ิงแวดลอ้ ม
แผนฯ ท่ี 8 การถา่ ยทอดลักษณะทางพนั ธกุ รรมของสตั ว์
ใบงาน
เร่ือง การถ่ายทอดลกั ษณะทางพันธกุ รรมของสัตว์
คาชแี้ จง ใหน้ กั เรยี นดภู าพการถา่ ยทอดลักษณะทางพันธกุ รรมของครอบครัวแมว แล้วตอบคาถาม
ลักษณะใดบ้างท่ีลูกแมวไดร้ ับการถา่ ยทอดลกั ษณะทางพันธกุ รรมจากพ่อแมว
ลักษณะใดบา้ งที่ลกู แมวได้รับการถา่ ยทอดลักษณะทางพนั ธกุ รรมจากแม่แมว
ลักษณะใดบา้ งท่ลี ูกแมวแตกต่างจากพ่อแมวและแม่แมว
107
หนว่ ยการเรียนรู้ที่ 2 ส่ิงมีชีวติ กบั สิง่ แวดล้อม เฉลย
แผนฯ ที่ 8 การถ่ายทอดลักษณะทางพันธกุ รรมของสัตว์
ใบงาน
เร่อื ง การถ่ายทอดลักษณะทางพนั ธุกรรมของสตั ว์
คาชี้แจง ให้นักเรียนดูภาพการถ่ายทอดลักษณะทางพนั ธุกรรมของครอบครวั แมว แลว้ ตอบคาถาม
เชน่ ภาพครอบครัวแมว มี พ่อ แม่ และลกู แมว
ลกั ษณะใดบ้างที่ลกู แมวได้รับการถา่ ยทอดลกั ษณะทางพันธกุ รรมจากพ่อแมว
ลักษณะใดบา้ งทีล่ ูกแมวไดร้ ับการถา่ ยทอดลักษณะทางพนั ธกุ รรมจากแม่แมว
ลักษณะใดบา้ งทลี่ ูกแมวแตกตา่ งจากพ่อแมวและแม่แมว
108
หน่วยการเรียนรู้ท่ี 2 สง่ิ มีชีวิตกับสง่ิ แวดลอ้ ม
แผนฯ ท่ี 8 การถ่ายทอดลกั ษณะทางพันธุกรรมของสตั ว์
9. ความเห็นของผบู้ รหิ ารสถานศกึ ษาหรอื ผู้ทไ่ี ดร้ ับมอบหมาย
ข้อเสนอแนะ
ลงช่อื .................................
( ................................ )
ตาแหนง่ .......
10. บนั ทกึ ผลหลังการสอน
ด้านความรู้
ด้านสมรรถนะสาคัญของผ้เู รียน
ดา้ นคุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์
ดา้ นความสามารถทางวิทยาศาสตร์
ด้านอ่ืน ๆ (พฤตกิ รรมเดน่ หรอื พฤตกิ รรมท่ีมีปญั หาของนกั เรยี นเปน็ รายบุคคล (ถา้ มี))
ปญั หา/อุปสรรค
แนวทางการแก้ไข
109
หน่วยการเรียนรู้ท่ี 2 สิง่ มชี ีวิตกบั สง่ิ แวดลอ้ ม
แผนฯ ท่ี 9 การถ่ายทอดลกั ษณะทางพนั ธกุ รรมของพืช
แผนการจัดการเรียนรูท้ ่ี 9
การถา่ ยทอดลกั ษณะทางพนั ธุกรรมของพืช
เวลา 2 ช่วั โมง
1. มาตรฐานการเรยี นรู้/ตัวชี้วัด
ว 1.3 ป.5/1.1 อธบิ ายลักษณะทางพันธุกรรมทม่ี กี ารถา่ ยทอดจากพอ่ แม่ส่ลู กู ของพชื สัตว์ และ
มนุษย์
2. จดุ ประสงค์การเรียนรู้
1. อธบิ ายลกั ษณะทางพันธกุ รรมท่ีมีการถา่ ยทอดจากพ่อแม่ส่ลู กู ของพืชได้ (K)
2. สารวจและสบื คน้ ขอ้ มูลเกี่ยวกบั การถา่ ยทอดลกั ษณะทางพนั ธุกรรมของพชื ได้ (P)
3. มคี วามสนใจและกระตอื รอื ร้นในการเรยี นรู้ (A)
3. สาระการเรียนรู้
สาระการเรียนรู้แกนกลาง สาระการเรยี นร้ทู ้องถน่ิ
ลักษณะทางพนั ธุกรรมที่มีการถ่ายทอดจากพอ่ แม่ พิจารณาตามหลกั สูตรของสถานศกึ ษา
สู่ลูกของพืช สัตว์ และมนุษย์
4. สาระสาคญั /ความคิดรวบยอด
สิง่ มีชีวติ ทัง้ พืช สัตว์ และมนุษย์ เมือ่ โตเตม็ ท่จี ะมีการสืบพันธุ์เพื่อเพิ่มจานวนและดารงพันธุ์ โดยลกู ท่ี
เกิดมาจะได้รับการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมจากพ่อแม่ทาให้มีลกั ษณะทางพันธุกรรมทเ่ี ฉพาะ
แตกตา่ งจากส่ิงมชี ีวิตชนิดอืน่ โดยพชื จะมกี ารถ่ายทอดลักษณะทางพนั ธุกรรม เช่น ลกั ษณะของใบ สีดอก
5. สมรรถนะสาคัญของผู้เรยี นและคณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค์
สมรรถนะสาคัญของผู้เรียน คณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค์
1. ความสามารถในการส่อื สาร 1. มวี นิ ยั
2. ความสามารถในการคิด 2. ใฝเ่ รียนรู้
1) ทักษะการสังเกต 3. มุง่ มน่ั ในการทางาน
2) ทกั ษะการใหเ้ หตผุ ล
3) ทักษะการระบุ
4) ทักษะการทางานกลุ่ม
110
หน่วยการเรยี นรทู้ ่ี 2 ส่ิงมีชวี ติ กับส่ิงแวดลอ้ ม คณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค์
แผนฯ ที่ 9 การถา่ ยทอดลกั ษณะทางพันธุกรรมของพืช
สมรรถนะสาคญั ของผ้เู รียน
5) ทักษะการต้ังสมมติฐาน
6) ทักษะการทดสอบสมมตฐิ าน
3. ความสามารถในการแก้ปัญหา
4. ความสามารถในการใช้ทักษะชวี ิต
5. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี
6. กจิ กรรมการเรยี นรู้
แนวคดิ /รปู แบบการสอน/วิธีการสอน/เทคนิค : สบื เสาะหาความรู้ (5Es Instructional Model)
ชั่วโมงท่ี 1
ขัน้ นา
ข้ันกระตุ้นความสนใจ (Engage)
1. ครูทักทายกบั นกั เรียน แล้วแจ้งผลการเรยี นรู้ที่จะเรียนในวันนี้ใหน้ ักเรยี นทราบ
2. ครูสนทนากับนักเรยี นเก่ียวกับเรื่อง การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมของมนุษย์และสัตว์ที่ได้
เรียนผ่านมาจากชวั่ โมงท่ผี า่ นมา
3. ครูกระต้นุ ความสนใจของนกั เรียนกอ่ นทจี่ ะเข้าส่บู ทเรียน โดยนาตวั อยา่ งกหุ ลาบและดาวเรอื งมาให้
นักเรยี นสังเกต จากน้นั สมุ่ เลือกนักเรียนเพ่อื ตอบคาถาม ดงั นี้
1) กุหลาบกับดาวเรอื งมีลกั ษณะภายนอกทีเ่ ราสังเกตได้เหมือนกนั หรือแตกต่างกนั อยา่ งไร
(แนวตอบ แตกต่างกัน เช่น กุหลาบ มีลาต้น เป็น หน าม มี ใบกว้าง และมีดอกสีแดง
แต่ดาวเรืองลาต้นไมเ่ ป็นหนาม ใบมลี ักษณะเป็นแขนงเล็กๆ และมีดอกสีเหลือง)
2) ลกั ษณะทางพันธุกรรมทก่ี หุ ลาบสามารถถา่ ยทอดให้กบั รุ่นลูกรนุ่ หลานน่าจะมีอะไรบ้าง
(แนวตอบ ลาต้นเปน็ หนาม มใี บกวา้ ง และดอกมกี ลิน่ หอม)
(หมายเหตุ : ครเู ริ่มประเมนิ นักเรยี น โดยใชแ้ บบสงั เกตพฤติกรรมการทางานรายบุคคล)
4. ครใู หค้ าชมเชยนักเรยี นทตี่ อบคาถาม แล้วมอบรางวัลหรือของขวัญให้เป็นกาลงั ใจ
111
หน่วยการเรียนรูท้ ี่ 2 ส่ิงมชี ีวิตกบั สิ่งแวดล้อม
แผนฯ ท่ี 9 การถ่ายทอดลกั ษณะทางพันธกุ รรมของพชื
ขัน้ สอน
ขน้ั สารวจค้นหา (Explore)
1. นักเรียนศึกษาขอ้ มูลในหวั ขอ้ การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมของพชื และแผนผังการถ่ายทอด
ลกั ษณะทางพนั ธุกรรมจากเซลลส์ บื พันธุข์ องพืช จากหนังสือเรียนวิทยาศาสตร์ ป.5 เล่ม 1 หน้า 60
2. ครูให้นักเรียนแบ่งกลุ่มเดิมจากช่ัวโมงก่อน จากนั้นมอบหมายให้นักเรยี นแต่ละกลุ่มไปสืบค้นข้อมูล
เกย่ี วกบั การถา่ ยทอดลกั ษณะทางพนั ธุกรรมจากเซลล์สบื พนั ธ์ุของพืช 1 ชนิด จากแหลง่ ขอ้ มลู ต่าง ๆ
3. นกั เรยี นแต่ละกลุ่มร่วมกันสรุปข้อมูล จากนั้น นาข้อมูลมาเขียนเป็นแผนผังแสดงลักษณะการ
ถ่ายทอดลักษณะทางพนั ธุกรรมจากเซลล์สืบพันธุข์ องพืชลงในกระดาษแขง็ แผ่นใหญ่ พร้อมตกแต่ง
ใหส้ วยงาม
ขนั้ อธบิ ายความรู้ (Explain)
1. นักเรยี นแตล่ ะกลุม่ รว่ มกันอภปิ รายและสรุปผลจากการทากจิ กรรมภายในกลุ่ม
2. ครูจบั สลากสุ่มเลอื กตวั แทนนกั เรียนแต่ละกลุ่มออกมานาเสนอผลงานกลุ่มหนา้ ชน้ั เรียนท่ีละกลุ่ม
3. นักเรียนแตล่ ะกลุ่มออกมานาเสนอผลงานหนา้ ชัน้ เรียนจนครบ จากน้ันใหน้ ักเรียนทกุ คนรว่ มกัน
อภปิ รายและสรุปผลเกี่ยวกับลกั ษณะการถ่ายทอดทางพันธุกรรมของพืช
(หมายเหตุ : ครเู ริ่มประเมนิ นกั เรยี น โดยใช้แบบสังเกตพฤตกิ รรมการทางานกลุม่ )
ช่ัวโมงท่ี 2
ข้ันขยายความเขา้ ใจ (Elaborate)
1. นักเรียนแต่ละกลุ่มช่วยกนั ศกึ ษาตัวอย่างการถ่ายทอดลักษณะทางพันธกุ รรมของพืชตา่ ง ๆ จาก
หนงั สอื เรยี น หน้า 61
2. ครูขออาสามาสมัครนักเรียนกลุ่มละ 1 คน ให้ยกตัวอย่างพืช 1 ชนิด พรอ้ มบอกลักษณะทาง
พนั ธกุ รรมท่ีพชื สามารถถ่ายทอดได้
3. ครูสนทนากับนักเรยี นเพอ่ื ทบทวนความรคู้ วามเข้าใจเก่ียวกับเน้ือหาที่ได้เรียนผ่านมาจากหนว่ ยการ
เรยี นรทู้ ี่ 2 บทที่ 2 ลักษณะทางพันธกุ รรมของสิง่ มีชวี ิต โดยสมุ่ เรียกช่อื นกั เรียน 4-5 คน ให้ออกมา
เล่าว่าตนเองได้รับความรอู้ ะไรบ้าง
4. นักเรียนเขียนสรุปความรู้เกี่ยวกับเรอ่ื งทไ่ี ด้เรียนมาจากบทที่ 2 ในรูปแบบต่าง ๆ เช่น แผนผัง
ความคดิ แผนภาพ ลงในสมดุ ประจาตัว
5. นักเรียนศกึ ษาแผนผังความคิด (Mind Mapping) สรุปสาระสาคัญ ประจาบทท่ี 2 จากหนงั สือเรยี น
หน้า 62 เพ่อื ตรวจสอบกบั การเขียนสรปุ ความรูท้ น่ี ักเรียนทาไวใ้ นสมุดประจาตวั
112
หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี 2 สงิ่ มชี ีวติ กับสงิ่ แวดลอ้ ม
แผนฯ ที่ 9 การถา่ ยทอดลักษณะทางพันธุกรรมของพืช
6. นกั เรยี นทากิจกรรมฝึกทกั ษะบทที่ 2 จากหนังสือเรยี นวทิ ยาศาสตร์ หน้า 63-64 ข้อ 1-4 ลงในสมุด
ประจาตัว หรอื ทาในแบบฝกึ หัดวทิ ยาศาสตร์ ป.5 เลม่ 1
7. ให้นกั เรยี นแตล่ ะคนทากิจกรรมทา้ ทายการคิดขั้นสงู จากแบบฝึกหัดวิทยาศาสตร์ ป.5 เล่ม 1
(หมายเหตุ : ครูเร่ิมประเมินนกั เรียน โดยใชแ้ บบสังเกตพฤตกิ รรมการทางานรายบุคคล)
8. นักเรียนแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 3-4 คน จากนั้นศึกษากิจกรรมสร้างสรรค์ผลงานจากหนังสือเรียน
หน้า 65 แล้วใหป้ ฏบิ ัติกิจกรรมตามขั้นตอน แล้วนามาสง่ พรอ้ มนาเสนอชวั่ โมงถัดไป
(หมายเหตุ : ครเู รม่ิ ประเมินนกั เรียน โดยใช้แบบสังเกตพฤตกิ รรมการทางานกลุม่ )
9. นักเรยี นทาแบบทดสอบท้ายหน่วยการเรียนรู้ที่ 2 เร่อื ง ส่ิงมีชวี ติ กบั ส่งิ แวดล้อม จากแบบฝกึ หัด
วิทยาศาสตร์ ป.5 เลม่ 1
10. ครูให้นักเรียนทาแบบทดสอบหลังเรียนของหน่วยการเรยี นรูท้ ่ี 2 เรื่อง สิ่งมีชีวติ กับสิ่งแวดล้อม
เพ่ือตรวจสอบความรูค้ วามเขา้ ใจหลงั เรยี น
(หมายเหตุ : ครเู รมิ่ ประเมนิ นกั เรยี น โดยใช้แบบสงั เกตพฤติกรรมการทางานรายบุคคล)
ข้ันสรปุ
ครูใหน้ กั เรยี นดูตารางตรวจสอบตนเอง จากหนงั สอื เรยี นวิทยาศาสตร์ หน้า 61 จากน้นั ถาม
นักเรียนเปน็ รายบุคคลตามรายการข้อ 1-5 จากตาราง เพื่อเป็นการตรวจสอบความรูค้ วามเข้าใจของ
นกั เรียนหลังจากการเรยี น หากนักเรยี นคนใดตรวจสอบตนเองโดยใหอ้ ยใู่ นเกณฑค์ วรปรับปรุง ให้ครู
ทบทวนบทเรียนหรอื หากิจกรรมอ่นื ซ่อมเสรมิ เพือ่ ให้นกั เรียนมีความรู้ความใจในบทเรียนมากข้ึน
ข้ันประเมนิ ผล
ข้ันตรวจสอบผล (Evaluate)
1. ครูประเมินผลนกั เรียน โดยการสงั เกตพฤติกรรมการตอบคาถาม พฤตกิ รรมการทางานรายบุคคล
พฤตกิ รรมการทางานกลมุ่ และจากการนาเสนอผลการทากิจกรรมหน้าชั้นเรียน
2. ครูตรวจสอบผลการเขียนแผนผังแสดงลักษณะการถา่ ยทอดลกั ษณะทางพันธุกรรมจากเซลล์
สืบพันธุข์ องพืช จากกระดาษแขง็ แผ่นใหญ่
3. ครูตรวจผลการสรุปความรู้เกยี่ วกบั การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิต จากสมุด
ประจาตวั
4. ครตู รวจผลการทากจิ กรรมฝกึ ฝนทักษะบทที่ 2 ในสมุดประจาตวั หรือในแบบฝึกหัดวิทยาศาสตร์
ป.5 เล่ม 1
5. ครูตรวจผลการทากิจกรรมท้าทายการคดิ ข้ันสูงในแบบฝกึ หัดวิทยาศาสตร์ ป.5 เล่ม 1
113
หนว่ ยการเรียนรู้ที่ 2 สงิ่ มีชีวติ กับสิ่งแวดลอ้ ม
แผนฯ ท่ี 9 การถา่ ยทอดลักษณะทางพนั ธกุ รรมของพืช
6. ครตู รวจช้ินงาน/ผลงานโมบายแขวนแสดงการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมของสมาชิกในกลุ่ม
และการนาเสนอชน้ิ งาน/ผลงานหนา้ ชั้นเรยี น
7. ครตู รวจสอบผลการทาแบบทดสอบทา้ ยหน่วยการเรยี นรทู้ ่ี 2 เร่อื ง ส่งิ มชี ีวติ กับสิ่งแวดล้อม จาก
แบบฝกึ หัดวิทยาศาสตร์ ป.5 เล่ม 1
8. ครูตรวจสอบผลการทาแบบทดสอบหลังเรยี นของหน่วยการเรียนร้ทู ่ี 2 เร่อื ง สิ่งมีชวี ติ กบั ส่งิ แวดล้อม
7. การวัดและประเมนิ ผล
รายการวัด วิธกี าร เครือ่ งมอื เกณฑก์ ารประเมนิ
- แบบประเมินชน้ิ งาน/ - ระดบั คุณภาพ 2
7.1 การประเมนิ ชิน้ งาน/ - ตรวจผลงานโมบายแขวน ผา่ นเกณฑ์
ภาระงาน
ภาระงาน (รวบยอด) แสดงการถ่ายทอด
ลักษณะทางพันธุกรรม
ของสมาชิกในกลุ่ม
7.2 ประเมินระหวา่ ง
การจัดกิจกรรม
การเรียนรู้ - รอ้ ยละ 60
- กระดาษแขง็ แผ่นใหญ่ ผา่ นเกณฑ์
1) แผนผังแสดง - ตรวจกระดาษแขง็
ลกั ษณะการถ่ายทอด แผน่ ใหญ่
ลกั ษณะทาง
พันธุกรรมจากเซลล์
สืบพันธขุ์ องพืช
2) กจิ กรรมสรุปความรู้ - ตรวจสมุดประจาตวั - สมดุ ประจาตัว - ร้อยละ 60
ประจาบทท่ี 2 ผา่ นเกณฑ์
3) กิจกรรมฝกึ ทักษะ - ตรวจสมดุ ประจาตัว หรอื - สมดุ ประจาตวั หรือ - ร้อยละ 60
บทที่ 2 แบบฝกึ หัดวทิ ยาศาสตร์ แบบฝกึ หดั วทิ ยาศาสตร์ ผา่ นเกณฑ์
ป.5 เล่ม 1 ป.5 เลม่ 1
4) กจิ กรรมท้าทายการ - ตรวจแบบฝึกหดั - แบบฝึกหัด - รอ้ ยละ 60
คดิ ขั้นสงู วิทยาศาสตร์ ป.5 เลม่ 1 วทิ ยาศาสตร์ ป.5 ผา่ นเกณฑ์
เลม่ 1
5) การนาเสนอผลงาน/ - ประเมนิ การนาเสนอ - แบบการนาเสนอ - ระดับคุณภาพ 2
ผลการทากจิ กรรม ผลงาน/ผลการทา
กจิ กรรม ผลงาน/ผลการทา ผา่ นเกณฑ์
กิจกรรม
114
หน่วยการเรยี นรู้ท่ี 2 สิง่ มชี วี ิตกับส่ิงแวดลอ้ ม
แผนฯ ท่ี 9 การถ่ายทอดลักษณะทางพนั ธุกรรมของพืช
รายการวัด วธิ กี าร เครือ่ งมือ เกณฑ์การประเมิน
6) พฤติกรรม - สังเกตพฤติกรรม - แบบสังเกตพฤติกรรม - ระดบั คุณภาพ 2
การทางานรายบคุ คล การทางานรายบุคคล ผ่านเกณฑ์
การทางาน
รายบุคคล
7) พฤติกรรม - สงั เกตพฤตกิ รรม - แบบสงั เกตพฤตกิ รรม - ระดบั คุณภาพ 2
การทางานกลมุ่ การทางานกลุ่ม การทางานกลุ่ม ผ่านเกณฑ์
- สังเกตความมีวินยั - แบบประเมิน - ระดับคุณภาพ 2
8) คุณลกั ษณะ ใฝเ่ รยี นรู้ และมุ่งมั่น คณุ ลักษณะ ผ่านเกณฑ์
อันพงึ ประสงค์ ในการทางาน อันพงึ ประสงค์
7.3 การประเมนิ หลงั เรียน - ตรวจแบบฝกึ หัด - แบบฝกึ หดั - ร้อยละ 60
1) แบบทดสอบท้าย วทิ ยาศาสตร์ ป.5 เล่ม 1 วทิ ยาศาสตร์ ป.5 ผา่ นเกณฑ์
หน่วยการเรียนรทู้ ี่ 2 เล่ม 1
- ตรวจแบบทดสอบ - แบบทดสอบหลงั เรียน - รอ้ ยละ 60
2) แบบทดสอบหลงั หลังเรยี นหนว่ ยการเรียนรู้ หน่วยการเรียนรู้ท่ี 2 ผา่ นเกณฑ์
เรยี น หนว่ ยการ ที่ 2
เรียนรทู้ ี่ 2 สิง่ มีชวี ติ
กับสงิ่ แวดลอ้ ม
8. ส่อื /แหล่งการเรยี นรู้
8.1 สอ่ื การเรียนรู้
1) หนงั สอื เรยี นวทิ ยาศาสตร์ ป.5 เลม่ 1 หน่วยการเรยี นรู้ท่ี 2 สิ่งมชี วี ิตกบั สิง่ แวดล้อม
2) แบบฝึกหดั วิทยาศาสตร์ ป.5 เลม่ 1 หน่วยการเรยี นรู้ที่ 2 ส่ิงมชี วี ติ กบั สิง่ แวดล้อม
3) วัสดุ-อุปกรณ์ในการทากิจกรรมสร้างสรรค์ผลงาน เชน่ กระดาษแข็ง เชือก
4) สมุดประจาตวั นกั เรยี น
5) กระดาษแข็งแผ่นใหญ่
8.2 แหล่งการเรียนรู้
1) ห้องสมุด
2) ห้องเรยี น
3) อนิ เทอรเ์ น็ต
115
หน่วยการเรียนรูท้ ี่ 2 สิ่งมชี วี ิตกับส่ิงแวดล้อม
แผนฯ ท่ี 9 การถ่ายทอดลักษณะทางพันธกุ รรมของพชื
9. ความเหน็ ของผู้บรหิ ารสถานศึกษาหรือผ้ทู ี่ไดร้ ับมอบหมาย
ข้อเสนอแนะ
ลงชอ่ื .................................
( ................................ )
ตาแหน่ง .......
10. บนั ทกึ ผลหลงั การสอน
ด้านความรู้
ด้านสมรรถนะสาคญั ของผ้เู รยี น
ดา้ นคุณลกั ษณะอนั พึงประสงค์
ดา้ นความสามารถทางวิทยาศาสตร์
ด้านอ่ืน ๆ (พฤตกิ รรมเด่น หรือพฤตกิ รรมท่มี ีปัญหาของนกั เรียนเป็นรายบคุ คล (ถา้ มี))
ปญั หา/อุปสรรค
แนวทางการแกไ้ ข
116
หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 แรงในชีวติ ประจาวัน
แผนฯ ที่ 1 แรงลัพธ์
แผนการจัดการเรยี นรู้ท่ี 1
แรงลพั ธ์
เวลา 3 ชั่วโมง
1. มาตรฐานการเรยี นร้/ู ตวั ชว้ี ัด
ว 2.2 ป.5/1 อธบิ ายวธิ กี ารหาแรงลพั ธ์ของแรงหลายแรงในแนวเดียวกัน ท่ีกระทาต่อวัตถใุ นกรณที ี่วตั ถุ
อยูน่ ิ่งจากหลกั ฐานเชงิ ประจักษ์
ป.5/2 เขียนแผนภาพแสดงแรงทก่ี ระทาต่อวตั ถทุ อี่ ยใู่ นแนวเดียวกนั และแรงลัพธท์ ่กี ระทาตอ่ วัตถุ
ป.5/3 ใชเ้ คร่อื งชง่ั สปรงิ ในการวดั แรงท่กี ระทาต่อวัตถุ
2. จดุ ประสงค์การเรียนรู้
1. อธบิ ายการหาแรงลัพธ์ของแรงหลายแรงในแนวเดียวกนั ทีก่ ระทาต่อวัตถไุ ด้ (K)
2. ทาการทดลองเก่ยี วกับการหาแรงลัพธ์ของแรงหลายแรงในแนวเดยี วกนั ทีก่ ระทาตอ่ วัตถไุ ด้ (P)
3. เขยี นแผนภาพแสดงแรงท่กี ระทาต่อวัตถุทอี่ ยู่ในแนวเดียวกันได้ (P)
4. เขยี นแผนภาพแสดงแรงลัพธ์ทก่ี ระทาตอ่ วตั ถไุ ด้ (P)
5. มีความมุ่งมัน่ ในการเรียนรแู้ ละการทางานท่ีได้รับมอบหมายตลอดเวลา (A)
3. สาระการเรยี นรู้
สาระการเรียนรูแ้ กนกลาง สาระการเรียนรู้ท้องถ่ิน
การหาแรงลพั ธ์ของแรงหลายแรงในแนวเดียวกัน พจิ ารณาตามหลักสูตรของสถานศึกษา
ท่ีกระทาต่อวัตถุในกรณที ่วี ตั ถอุ ยู่นงิ่
4. สาระสาคญั /ความคิดรวบยอด
แรงลัพธ์เป็นผลรวมของแรงตัง้ แต่ 2 แรงขน้ึ ไป ท่ีร่วมกันกระทาต่อวัตถเุ ดียวกันจงึ มีผลทาให้วัตถนุ ้ัน
เปลีย่ นแปลงการเคลอ่ื นทีไ่ ปตามผลของแรงลัพธ์ ซง่ึ จะมคี า่ เทา่ กบั การรวมแรงหลายแรงเป็นแรงเดียว
5. สมรรถนะสาคญั ของผู้เรียนและคณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค์
สมรรถนะสาคญั ของผู้เรียน คณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค์
1. ความสามารถในการส่อื สาร 1. มีวนิ ยั
2. ความสามารถในการคดิ 2. ใฝ่เรยี นรู้
1) ทกั ษะการสงั เกต 3. มุ่งม่ันในการทางาน
2) ทกั ษะการเช่อื มโยง
132
หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี 3 แรงในชวี ิตประจาวัน
แผนฯ ที่ 1 แรงลัพธ์
3) ทักษะการใหเ้ หตผุ ล
4) ทกั ษะการสรปุ อ้างอิง
5) ทักษะการสารวจค้นหา
3. ความสามารถในการแก้ปญั หา
4. ความสามารถในการใช้ทกั ษะชีวิต
5. ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี
6. กิจกรรมการเรียนรู้
แนวคิด/รูปแบบการสอน/วธิ ีการสอน/เทคนคิ : สืบเสาะหาความรู้ (5Es Instructional Model)
ช่ัวโมงที่ 1
ข้นั นา
ขั้นกระตุ้นความสนใจ (Engage)
1. ครทู กั ทายกบั นกั เรียน และแจ้งจดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ใหน้ กั เรียนทราบ
2. ครูยกตวั อย่างสถานการณ์ให้นักเรียนฟังวา่ “หากมีตู้ 1 หลังอยู่ในหอ้ งเรียน และนกั เรยี นต้องการ
เคลื่อนท่ใี ห้ตู้ออกจากห้องไปท่ีหน้าเสาธง นักเรียนจะมีวิธีการเคลื่อนย้ายอย่างไรให้สะดวกและ
รวดเร็วที่สุด” จากนน้ั ให้นกั เรยี นร่วมกันแสดงความคดิ เหน็ โดยครูตง้ั คาถามดังนี้
1) ถ้านักเรยี นพาเพอ่ื น ๆ ไปยา้ ยตู้ นักเรยี นจะใหเ้ พ่ือนชว่ ยดาเนินการอย่างไร
(แนวตอบ ช่วยกนั ออกแรงผลัก ดันและดึงตใู้ หเ้ คล่อื นท)ี่
2) นกั เรยี นจะมีวิธกี ารออกแรงอย่างไรให้เคลอ่ื นต้ไู ด้เรว็ ข้ึน
(แนวตอบ ช่วยกนั ออกแรงผลกั หรือดงึ ไปในทางเดยี วกนั )
3) นกั เรียนสงั เกตเห็นการออกแรงและการเคล่อื นทข่ี องตนู้ ัน้ เป็นอยา่ งไร
(แนวตอบ แรงท่ีกระทาและทศิ ทางการเคล่ือนที่ของตไู้ ปในทศิ ทางเดยี วกนั )
3. จากนน้ั ให้นกั เรียนทาแบบทดสอบกอ่ นเรยี น หน่วยการเรยี นรู้ท่ี 3 เรอ่ื ง แรงในชวี ิตประจาวนั
4. ครูให้นักเรียนอา่ นสาระสาคญั และดูภาพจากหนังสอื เรยี นวิทยาศาสตร์ หนว่ ยการเรียนรูท้ ี่ 3 แรงใน
ชวี ติ ประจาวนั หนา้ 66 จากนนั้ ถามนกั เรียนว่า ภาพนี้เกย่ี วข้องกับแรงอยา่ งไรบ้าง
(แนวตอบ เก่ยี วข้องกับแรงเสียดทาน ทาใหก้ ารเคลื่อนท่ชี า้ ลง)
5. ครใู หน้ ักเรียนแต่ละคนคดิ กจิ กรรมคนละ 1 กิจกรรม เกี่ยวกับการใชแ้ รงในชีวิตประจาวัน และครูสุ่ม
นกั เรียน 3-4 คน ออกมาเขียนกิจกรรมที่นักเรยี นคิดไว้บนกระดานหน้าช้ันเรยี น จากนั้นครแู ละ
นกั เรียนรว่ มกนั แสดงความคดิ เหน็ วา่ กจิ กรรมท่เี พอ่ื นเขยี นบนกระดานใช้แรงอะไร
133
หนว่ ยการเรียนรู้ที่ 3 แรงในชีวติ ประจาวัน
แผนฯ ท่ี 1 แรงลพั ธ์
6. จากนน้ั ครูให้นักเรียนดูภาพในหน้าบทที่ 1 แรงลพั ธ์ จากหนังสือเรียน หน้า 67 แลว้ ถามคาถาม
สาคัญประจาบทวา่ แรงลัพธ์คืออะไร และมลี ักษณะอย่างไร จากน้นั ให้นกั เรยี นช่วยกันอธิบาย
(แนวตอบ แรงลัพธ์ คือ ผลรวมของแรงต้งั แต่ 2 แรงขึ้นไปที่ร่วมกนั กระทาต่อวัตถเุ ดียวกัน จึงมผี ล
ทาให้วัตถุนนั้ เปลีย่ นแปลงการเคลอ่ื นทไ่ี ปตามผลของแรงลัพธ)์
(หมายเหตุ : ครเู รม่ิ ประเมนิ นักเรยี น โดยใชแ้ บบสงั เกตพฤติกรรมการทางานรายบุคคล)
ช่ัวโมงท่ี 2
ข้ันสอน
ขั้นสารวจค้นหา (Explore)
1. ครูให้นักเรียนเรยี นรู้คาศัพทท์ ่ีเก่ียวขอ้ งกับการเรยี นในบทท่ี 1 จากหนงั สอื เรียน หน้า 67 โดยครูเป็น
ผ้อู ่านนาและใหน้ กั เรยี นอา่ นตาม ดงั น้ี
Resultant Force (ริ "ซัลทนั ทฟอซ) แรงลพั ธ์
Force (ฟอซ) แรง
Push (พุช) ผลัก
Pull (พลุ ) ดึง
(หมายเหตุ : ครูเริม่ ประเมนิ นกั เรียน โดยใช้แบบสังเกตพฤตกิ รรมการทางานรายบุคคล)
2. นักเรยี นแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 2-3 คน จากน้ันแต่ละกลุ่มร่วมกันทากิจกรรมนาสูก่ ารเรียน โดยอ่าน
สถานการณจ์ ากหนังสือเรียน หนา้ 68 แลว้ ช่วยกันตอบคาถามทง้ั 3 ข้อ โดยเขียนคาตอบลงในสมุด
ประจาตัวหรือแบบฝกึ หดั วิทยาศาสตร์ ป.5 เลม่ 1 และนาเสนอคาตอบของกลุ่มหน้าช้ันเรียน เพื่อ
อภปิ รายและสรุปคาตอบร่วมกนั ดงั นี้
1) หากทมี สฟี า้ และทมี สีแดงดงึ เชือกดว้ ยแรงที่เท่ากนั เชอื กจะเคลอ่ื นท่หี รือไม่ เพราะอะไร
(แนวตอบ ถ้ามีการกระทาต่อวัตถใุ นทิศทางตรงข้ามโดยค่าของแรงเท่ากัน จะทาให้เชือกไม่
เคลอื่ นที)่
2) หากกรรมการใหท้ ีมสีแดงเพ่ิมสมาชกิ ไดอ้ ีก 2 คน ผลลัพธ์จะเปน็ อยา่ งไร เพราะอะไร
(แนวตอบ เชือกจะเคล่ือนท่ีมาทางทีมสีแดง เพราะทมี สีแดงมีผลรวมหลายแรงทก่ี ระทาตอ่ วตั ถุ
เดยี วกนั มากกวา่ สีฟา้ )
3) หากตอ้ งการทาให้เชือกมีการเคล่อื นทไี่ ปทางฝ่งั ทมี สฟี า้ นักเรยี นคดิ ว่าต้องทาอย่างไร
(แนวตอบ เพ่ิมสมาชิกให้ทีมสฟี ้ามากกว่าทีมสีแดง เพราะทีมสีฟ้าจะได้มีผลรวมหลายแรงที่
กระทาต่อวัตถเุ ดียวกนั มากกว่าแดง)
(หมายเหตุ : ครเู รมิ่ ประเมินนักเรยี น โดยใช้แบบสังเกตพฤตกิ รรมการทางานกลมุ่ )
134
หนว่ ยการเรียนร้ทู ่ี 3 แรงในชวี ติ ประจาวนั
แผนฯ ท่ี 1 แรงลัพธ์
3. ครใู ห้นกั เรียนทุกคนร่วมกันศึกษาข้อมลู และภาพเกีย่ วกับแรงลัพธ์และแรง จากหนังสอื เรียน หน้า 69
จากนนั้ ตง้ั คาถามวา่ กิจกรรมใดบ้างท่ีต้องออกแรงหลายแรงร่วมกัน เพอื่ ทาให้วัตถเุ คลื่อนที่ แลว้ ขอ
อาสาสมัครนักเรียนตอบคาถาม 2-3 คน
(แนวตอบ เช่น การเข็นรถยนต์ การยกของ)
(หมายเหตุ : ครเู ร่ิมประเมินนักเรยี นโดยใช้แบบสังเกตพฤติกรรมการทางานรายบคุ คล)
4. ครอู ธบิ ายให้นักเรียนฟงั ว่า “การออกแรงหลายแรงกระทาต่อวัตถใุ นทิศทางเดียวกัน จะมคี ่าเท่ากับ
แรงเพยี งแรงเดยี ว ผลลพั ธข์ องแรงหลายแรงนี้ เรยี กวา่ แรงลัพธ์”
5. ครใู ห้นกั เรียนดูภาพเด็กกาลังเป็นรถจากหนังสอื เรียน แล้วครอู ธิบายเกี่ยวกับภาพว่า “จากภาพเด็ก
1 คนเขน็ รถ กับเด็ก 2 คนเข็นรถ แรงที่ทาให้รถเคลือ่ นที่จะแตกตา่ งกัน เด็ก 2 คนชว่ ยกันเข็นรถ
ยอ่ มมีแรงกระทาต่อรถมากกว่าจึงทาใหร้ ถเคล่ือนทเ่ี ร็วกวา่ เพราะแรงของเดก็ 2 คนทก่ี ระทาต่อรถ
ในทิศทางเดียวกนั เทา่ กบั ผลรวมของแรงท้ังสองแรงนั้น”
6. ครูใหน้ ักเรียนรว่ มกันอภปิ รายเกี่ยวกับแรงลัพธ์ของแรงสองแรงที่กระทาต่อวัตถุในทิศทางเดียวกัน
เทา่ กับผลรวมของแรงทงั้ สองแรงนนั้ จริงหรือไม่ อย่างไร
(แนวตอบ ขนึ้ อยู่กับดลุ ยพินิจของครูผสู้ อน)
7. นกั เรยี นแบง่ กลุ่ม กลมุ่ ละ 3-4 คน ใหแ้ ตล่ ะกลุม่ ทาการทดลองและอธิบายเรือ่ ง การหาแรงลพั ธ์ โดย
ให้นักเรียนแตล่ ะกลุ่มร่วมกนั ทากิจกรรมท่ี 1 การหาแรงลัพธ์ ตอนท่ี 1 โดยศึกษาข้ันตอนการทา
กจิ กรรมจากหนงั สือเรียน หนา้ 70-71 โดยให้ปฏบิ ตั ิกจิ กรรม ดงั นี้
1) ให้แต่ละกล่มุ นาดินนา้ มันใสถ่ ุงพลาสติกหูหวิ้ แล้วนามาเก่ียวที่ตะขอของเครอ่ื งช่ังสปรงิ และถือ
เคร่ืองช่ังสปริงใน แนวดิ่ง จากนั้นอ่าน ค่าของแรงและบันทึกผลลงในสมุดประจาตัวหรือ
แบบฝกึ หดั วทิ ยาศาสตร์ ป.5 เลม่ 1
2) ชั่งน้าหนักของถุงก้อนหินอีกครั้งหนึ่ง คร้ังนี้ใช้เคร่ืองช่ังสปริง 2 เคร่ือง โดยนาหูหิ้วของถุงพลาสติก
เกี่ยวท่ีตะขอเครื่องชั่งข้างละหู และใหถ้ ือเครอ่ื งชั่งสปริงในแนวดง่ิ เพอ่ื อ่านค่าของแรงและ บันทกึ ผล
3) ร่วมกันอภปิ รายเพ่อื สรุปผลการทดลอง
8. ครใู ห้แต่ละกลุ่มรว่ มกนั ทากิจกรรมที่ 1 ตอนท่ี 2 โดยศึกษาขั้นตอนการทากจิ กรรมในหนังสอื เรียน
หน้า 71 และปฏิบัติกจิ กรรมตามข้ันตอนให้ครบถ้วนและบันทึกผลลงในในสมุด ประจาตัวหรือ
แบบฝึกหัดวิทยาศาสตร์ ป.5 เลม่ 1
ข้ันอธิบายความรู้ (Explain)
1. ครูใหต้ ัวแทนแต่ละกลมุ่ ออกมานาเสนอผลงานท่ีหนา้ ชั้นเรียน โดยจบั สลากหมายเลขกลุม่ จากน้นั ให้
แต่ละกลุ่มส่งตัวแทนออกนาเสนอตามลาดับ
2. ครูและนักเรียนร่วมกันสรปุ ความรูท้ ่ีได้จากการทดลอง ตอนที่ 1 จนได้ข้อสรุปวา่ การใช้เครือ่ งชั่ง
สปรงิ 1 เคร่ือง ชั่งสงิ่ ของจะเท่ากบั หรอื ใกลเ้ คียงกับผลรวมค่าของแรงทอ่ี ่านได้ จากการใช้เครอื่ งช่ัง
135
หนว่ ยการเรียนรู้ที่ 3 แรงในชวี ติ ประจาวนั
แผนฯ ท่ี 1 แรงลพั ธ์
สปรงิ 2 เครอ่ื ง ชัง่ ส่ิงของ ดังน้ัน แรง 2 แรง ที่มที ศิ ทางเดียวกัน จะมีแรงลพั ธ์เพียงแรงเดยี ว ซง่ึ เป็น
ผลรวมของแรงทง้ั สองแรงนั่นเอง
3. จากนั้นใหน้ ักเรยี นทกุ กลมุ่ ร่วมกนั อภิปรายผลการทากจิ กรรม จนไดข้ ้อสรุปว่า แรงลพั ธ์ คอื ผลรวม
ของแรงตั้งแต่ 2 แรงข้ึนไป ทีร่ ่วมกันกระทาตอ่ วัตถุเดียวกัน จงึ มีผลทาให้วตั ถนุ น้ั เปลี่ยนแปลงการ
เคล่อื นที่ไปตามผลของแรงลพั ธ์
(หมายเหตุ : ครเู รมิ่ ประเมินนกั เรยี นโดยใช้แบบสังเกตพฤตกิ รรมการทางานกล่มุ )
ชวั่ โมงท่ี 3
ขนั้ สอน
ขั้นขยายความเขา้ ใจ (Elaborate)
1. ใหน้ กั เรียนศึกษาเนอ้ื หาเก่ียวกับแรงลพั ธ์ วธิ ีการหาแรงลพั ธ์ และการใช้ประโยชน์จากแรงลัพธ์ จาก
หนังสือเรยี น หน้า 72-76
2. ครใู ห้นักเรียนจับคู่กับเพื่อน แล้วให้ศึกษาข้อมลู เกี่ยวกับการหาแรงลัพธ์เพ่ิมเตมิ จากสื่อดิจิทัลใน
หนงั สือเรยี น โดยใช้โทรศัพท์มือถือสแกน QR Code เร่ือง วิธหี าแรงลพั ธ์ หนา้ 73
3. ให้นักเรยี นนาความรู้ท่ีได้จากการศึกษาขอ้ มูลมาอภปิ รายและร่วมกนั สรุปภายในช้ันเรียน โดยให้ครู
คอยอธิบายเพ่มิ เติมในส่วนทบี่ กพรอ่ ง
4. ครอู ธิบายเสริมให้นักเรยี นเขา้ ใจเพิม่ เติมว่า “ในการวดั แรงน้ัน นกั เรยี นสามารถใช้เคร่อื งชั่งสปริงวัด
ค่าของแรงลัพธ์ทเ่ี กดิ ขนึ้ ได้ ซึ่งมีหน่วยเป็นนิวตัน (โดยมีการเรียกหนว่ ยของแรงตามชื่อของ เซอร์
ไอแซก นิวตัน)”
5. นักเรียนทากิจกรรมหนูตอบได้จากหนังสือเรียน หน้า 71 ลงในสมุดประจาตัวหรือแบบฝึกหัด
วิทยาศาสตร์ ป.5 เล่ม 1
6. ครูสนทนากับนักเรียนเพอื่ ทบทวนความรคู้ วามเข้าใจเก่ียวกับเน้ือหาที่ได้เรียนผ่านมาจากหนังสือ
เรยี นวิทยาศาสตร์ หนว่ ยการเรยี นรูท้ ่ี 3 บทท่ี 1 แรงลัพธ์ โดยสุ่มเรยี กช่อื นกั เรียนให้ออกมาเล่าว่า
ตนเองไดร้ บั ความรอู้ ะไรบ้าง
7. นกั เรียนเขียนสรปุ ความรเู้ กย่ี วกบั เร่ือง แรงลัพธ์ โดยเขียนเป็นแผนผังความคดิ ลงในสมดุ ประจาตัว
8. นักเรียนทากจิ กรรมท้าทายการคดิ ข้นั สูงในแบบฝกึ หัดวทิ ยาศาสตร์ ป.5 เลม่ 1
9. นักเรยี นทากิจกรรมฝึกทักษะบทที่ 1 จากหนังสือเรียน ข้อ 1-3 หน้า 78 ลงในสมุดประจาตัวหรือ
แบบฝึกหดั วิทยาศาสตร์ ป.5 เลม่ 1
(หมายเหตุ : ครเู รมิ่ ประเมินนักเรยี นโดยใชแ้ บบสงั เกตพฤติกรรมการทางานรายบุคคล)
136
หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ 3 แรงในชีวติ ประจาวัน
แผนฯ ที่ 1 แรงลัพธ์
10. ครูมอบหมายงานให้นักเรียนแบ่งกลมุ่ กลุม่ ละ 3-4 คน เพื่อทากิจกรรมสร้างสรรคผ์ ลงานจากหนังสือ-
เรยี น หนา้ 79 ออกแบบและประดิษฐก์ ระถางแขวนสาหรับปลกู พืช และนาเสนอแนวคิดในการ
ออกแบบให้เกีย่ วขอ้ งกับแรงลพั ธ์ โดยนาเสนอหนา้ ช้นั เรยี นในรูปแบบท่ีนา่ สนใจ
(หมายเหตุ : ครเู ริม่ ประเมนิ นักเรยี นโดยใชแ้ บบสงั เกตพฤตกิ รรมการทางานกลุ่ม)
ขัน้ สรปุ
1. ครูให้นักเรียนร่วมกันสรปุ ความรู้ความเข้าใจเกย่ี วกับเร่อื ง แรงลพั ธ์
2. ครูสรุปเพิ่มเติมอีกว่า ในชีวิตประจาวันของเรามีการนาแรงลัพธ์มาใช้ประโยชน์มากมาย เช่น
การปั่นจักรยานพ่วง การใช้สุนัขลากเลือ่ น ซง่ึ เกิดจากแรงหลายแรงที่กระทาทาให้วัตถุเคลือ่ นทไี่ ป
ตามทศิ ทางของแรง และถา้ ผลของแรงลพั ธท์ ี่มีค่าเป็นศูนย์ กจ็ ะทาให้ส่ิงตา่ ง ๆ เกดิ การหยดุ นิ่งอยูก่ ับ
ที่ไดเ้ ช่นกัน
3. ให้นักเรียนดูตารางตรวจสอบตนเองจากหนังสอื เรียน หน้า 76 จากน้ันถามนักเรียนเปน็ รายบุคคล
ตามรายการข้อ 1-5 จากตาราง เพอ่ื เปน็ การตรวจสอบความรคู้ วามเข้าใจของนกั เรียนหลงั จากการ
เรยี น หากนักเรียนคนใดตรวจสอบตนเองโดยให้อย่ใู นเกณฑ์ควรปรับปรงุ ให้ครูทบทวนบทเรยี นหรือ
หากจิ กรรมอืน่ ซอ่ มเสริม เพือ่ ให้นักเรียนมคี วามรู้ความใจในบทเรียนมากขึ้น
ข้นั ประเมิน
ขน้ั ตรวจสอบผล (Evaluate)
1. ครูประเมินผลนักเรียน โดยการสังเกตพฤติกรรมการตอบคาถาม พฤตกิ รรมการทางานรายบุคคล
พฤติกรรมการทางานกลมุ่ และจากการนาเสนอผลการทากิจกรรมหนา้ ชนั้ เรียน
2. ครตู รวจสอบผลการทาแบบทดสอบก่อนเรยี นหนว่ ยการเรียนร้ทู ่ี 3 แรงในชีวิตประจาวัน
3. ครตู รวจสอบผลการทากิจกรรมนาสู่การเรยี นในสมดุ ประจาตวั หรือแบบฝึกหัดวิทยาศาสตร์ ป.5 เลม่ 1
4. ครูตรวจสอบผลการทากิจกรรมที่ 1 การหาแรงลัพธ์ในสมุดประจาตัวหรอื แบบฝึกหัดวิทยาศาสตร์
ป.5 เลม่ 1
5. ครตู รวจสอบผลการทากิจกรรมหนตู อบไดใ้ นสมดุ ประจาตวั หรือแบบฝึกหัดวทิ ยาศาสตร์ ป.5 เลม่ 1
6. ครูตรวจผลการทาแผนผังความคิดสรปุ ความรูเ้ ก่ียวกบั แรงลพั ธ์ในสมดุ
7. ครตู รวจผลการทากิจกรรมทา้ ทายการคิดขนั้ สูงในแบบฝกึ หดั วทิ ยาศาสตร์ ป.5 เล่ม 1
8. ครูตรวจผลการทากิจกรรมฝกึ ฝนทักษะบทที่ 1 ในสมุดประจาตวั หรือแบบฝึกหัดวทิ ยาศาสตร์ ป.5
เลม่ 1
9. ครตู รวจสอบชิ้นงาน/ผลงานกระถางแขวนสาหรับปลกู พืช และนาเสนอชน้ิ งาน/ผลงานกระถางแขวน
สาหรับปลกู พชื
137
หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ 3 แรงในชวี ติ ประจาวนั
แผนฯ ที่ 1 แรงลพั ธ์
7. การวัดและประเมนิ ผล
รายการวัด วธิ กี าร เคร่ืองมอื เกณฑก์ ารประเมนิ
7.1 การประเมินก่อน
เรยี น
- แบบทดสอบก่อน - ตรวจแบบทดสอบก่อน - แบบทดสอบก่อนเรียน - ประเมินตามสภาพ
เรีย น ห น่ วย กา ร เรียน หน่วยการเรียนรู้ หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 3 จรงิ
เรียน รู้ที่ 3 แรงใน ท่ี 3
ชีวติ ประจาวนั
7.2 ประเมินระหว่าง
การจดั กจิ กรรม
การเรียนรู้
1) กิจกรรมนาสู่การ - ตรวจสมดุ ประจาตวั หรอื - สมุดประจาตัวหรือ - ตอบถูก 2 ใน 3
เรียน แบบฝกึ หดั วิทยาศาสตร์ แบบฝกึ หัดวทิ ยาศาสตร์ ข้อ ผ่านเกณฑ์
ป.5 เลม่ 1 ป.5 เลม่ 1
2) ผลบนั ทึกการทา - ตรวจผลการทากจิ กรรม - ผลการทากจิ กรรมท่ี 1 - ร้อยละ 60
กิจกรรมที่ 1 การ ท่ี 1 ในสมุดประจาตัว ในสมดุ ประจาตวั หรือ ผ่านเกณฑ์
หาแรงลพั ธ์ หรอื แบบฝึกหดั แบบฝกึ หัดวิทยาศาสตร์
วิทยาศาสตร์ ป.5 เล่ม 1 ป.5 เลม่ 1
3) กจิ กรรมหนูตอบได้ - ตรวจสมดุ ประจาตวั - สมุดประจาตวั หรอื - ตอบถูก 2 ใน 3
หรอื แบบฝกึ หัด แบบฝกึ หัดวทิ ยาศาสตร์ ข้อ ผ่านเกณฑ์
วิทยาศาสตร์ ป.5 เล่ม 1 ป.5 เลม่ 1
4) แผนผังความคิด - ตรวจสมดุ ประจาตัว - สมดุ ประจาตัว - รอ้ ยละ 60
สรปุ เร่อื ง แรงลพั ธ์ ผ่านเกณฑ์
5) กจิ กรรมทา้ ทาย - ตรวจแบบฝกึ หดั - แบบฝึกหดั - ร้อยละ 60
การคิดขน้ั สูง วิทยาศาสตร์ ป.5 เลม่ 1 วิทยาศาสตร์ ป.5 ผ่านเกณฑ์
เล่ม 1
6) กจิ กรรมฝกึ ทกั ษะ - ตรวจสมดุ ประจาตัวหรอื - สมดุ ประจาตัวหรือ - ร้อยละ 60
บทที่ 1 แบบฝกึ หัดวิทยาศาสตร์ แบบฝึกหดั วิทยาศาสตร์ ผา่ นเกณฑ์
ป.5 เลม่ 1 ป.5 เล่ม 1
7) กิจกรรมสร้างสรรค์ - ตรวจชน้ิ งานกระถาง - ชน้ิ งานกระถางแขวน - ระดับคณุ ภาพ 2
ผลงาน แขวนสาหรบั ปลูกพืช สาหรบั ปลกู พชื ผา่ นเกณฑ์
138
หน่วยการเรยี นรูท้ ่ี 3 แรงในชีวติ ประจาวัน
แผนฯ ที่ 1 แรงลพั ธ์
รายการวัด วิธีการ เคร่อื งมอื เกณฑ์การประเมิน
- แบบประเมินการ - ระดับคุณภาพ 2
8) การนาเสนอผลงาน - ประเมนิ การนาเสนอ นาเสนอผลงาน
- แบบสงั เกตพฤตกิ รรม ผ่านเกณฑ์
ผลงาน การทางานรายบุคคล - ระดับคุณภาพ 2
- แบบสังเกตพฤตกิ รรม ผ่านเกณฑ์
9) พฤติกรรมการ - สังเกตพฤตกิ รรมการ การทางานกลุ่ม - ระดบั คณุ ภาพ 2
- แบบประเมิน
ทางานรายบุคคล ทางานรายบุคคล คุณลกั ษณะ ผ่านเกณฑ์
อันพงึ ประสงค์ - ระดบั คุณภาพ 2
10) พฤตกิ รรมการ - สังเกตพฤติกรรมการ
ผ่านเกณฑ์
ทางานกล่มุ ทางานกลุ่ม
11) คณุ ลักษณะ - สงั เกตความมวี นิ ยั
อันพงึ ประสงค์ ใฝเ่ รียนรู้ และมงุ่ ม่นั ใน
การทางาน
8. สอ่ื /แหลง่ การเรยี นรู้
8.1 สื่อการเรียนรู้
1) หนังสือเรยี นวิทยาศาสตร์ ป.5 เลม่ 1 หนว่ ยการเรียนรทู้ ี่ 3 แรงในชวี ติ ประจาวนั
2) แบบฝึกหดั วิทยาศาสตร์ ป.5 เลม่ 1 หน่วยการเรยี นรทู้ ่ี 3 แรงในชีวติ ประจาวัน
3) แบบทดสอบกอ่ นเรยี นหน่วยการเรยี นรูท้ ่ี 3 แรงในชวี ติ ประจาวนั
4) วสั ดุ-อปุ กรณก์ ารทดลองในกิจกรรมท่ี 1 เช่น โตะ๊ เรียน ดินนา้ มัน กระดาษแขง็ แผ่นใหญ่ ถงุ พลาสติก
หูหิว้ เครอ่ื งชง่ั สปริงแบบแขวน
5) วัสดุ-อปุ กรณ์ในการทากจิ กรรมสรา้ งสรรค์ผลงาน
6) QR Code เรื่อง วิธีหาแรงลพั ธ์
7) สมุดประจาตัว
8.2 แหลง่ การเรียนรู้
- ห้องเรยี น
139
หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 3 แรงในชวี ิตประจาวัน
แผนฯ ที่ 1 แรงลัพธ์
9. ความเห็นของผบู้ รหิ ารสถานศึกษาหรอื ผู้ทไ่ี ดร้ ับมอบหมาย
ขอ้ เสนอแนะ
ลงชือ่ .......... ..........
( ................... .. )
ตาแหน่ง
10. บนั ทกึ ผลหลังการสอน
ดา้ นความรู้
ดา้ นสมรรถนะสาคญั ของผเู้ รียน
ดา้ นคุณลักษณะอนั พึงประสงค์
ด้านความสามารถทางวทิ ยาศาสตร์
ดา้ นอื่น ๆ (พฤตกิ รรมเดน่ หรอื พฤตกิ รรมทีม่ ปี ัญหาของนักเรียนเป็นรายบุคคล (ถา้ มี))
ปญั หา/อปุ สรรค
แนวทางการแกไ้ ข
‘
‘
140
หน่วยการเรยี นรูท้ ่ี 3 แรงในชวี ติ ประจาวนั
แผนฯ ท่ี 2 แรงเสยี ดทาน
แผนการจัดการเรยี นรู้ที่ 2
แรงเสียดทาน
เวลา 3 ชัว่ โมง
1. มาตรฐานการเรยี นรู้/ตวั ช้ีวดั
ว 2.2 ป.5/3 ระบุผลของแรงเสยี ดทานที่มีต่อการเปล่ียนแปลงการเคลื่อนที่ของวตั ถุจากหลักฐาน
เชิงประจักษ์
ป.5/4 เขยี นแผนภาพแสดงแรงเสียดทานและแรงทอี่ ย่ใู นแนวเดยี วกันทีก่ ระทาต่อวัตถุ
2. จดุ ประสงค์การเรียนรู้
1. สังเกตและระบุผลของแรงเสยี ดทานท่ีมีตอ่ การเปล่ยี นแปลงการเคล่อื นทขี่ องวัตถุได้ (K)
2. ทดลองและสรุปผลเกยี่ วกบั แรงเสยี ดทานท่ีมีต่อการเปลย่ี นแปลงการเคลื่อนทข่ี องวัตถไุ ด้ (P)
3. ให้ความสนใจและให้ความร่วมมอื ในการเรียนรตู้ ลอดเวลา (A)
3. สาระการเรียนรู้
สาระการเรยี นรูแ้ กนกลาง สาระการเรียนรทู้ ้องถน่ิ
แรงเสียดทานเป็นแรงท่ีเกิดขึ้นระหว่างผวิ สมั ผัส พจิ ารณาตามหลกั สตู รของสถานศกึ ษา
ของวัตถุ เพ่ือตา้ นการเคล่อื นที่ของวตั ถุนั้น
4. สาระสาคญั /ความคิดรวบยอด
แรงเสยี ดทานเปน็ แรงท่เี กิดข้นึ ระหวา่ งผวิ สัมผัสของวัตถุสองชิ้น โดยผวิ วัตถุหนึ่งตา้ นทานการเคลอ่ื นที่
ของผวิ วัตถุอีกผิวหนงึ่ ซง่ึ แรงเสยี ดทานจะมีทิศตรงขา้ มกบั การเคลอ่ื นท่ีของวัตถนุ ั้น ๆ แรงเสยี ดทานมีผลทา
ให้วตั ถทุ ่ีกาลงั เคลื่อนที่เกดิ การเคล่ือนท่ชี า้ ลงหรือหยุดนงิ่
5. สมรรถนะสาคัญของผ้เู รยี นและคุณลกั ษณะอนั พึงประสงค์
สมรรถนะสาคัญของผู้เรยี น คณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์
1. ความสามารถในการสอ่ื สาร 1. มวี ินัย
2. ความสามารถในการคิด 2. ใฝเ่ รยี นรู้
1) ทกั ษะการสงั เกต 3. มงุ่ ม่นั ในการทางาน
2) ทกั ษะการใหเ้ หตุผล
3) ทักษะการสรปุ อ้างอิง
4) ทักษะการวิเคราะห์
3. ความสามารถในการแก้ปัญหา
141
หน่วยการเรียนรู้ท่ี 3 แรงในชวี ิตประจาวนั คณุ ลักษณะอนั พึงประสงค์
แผนฯ ที่ 2 แรงเสียดทาน
สมรรถนะสาคัญของผเู้ รียน
4. ความสามารถในการใช้ทักษะชีวติ
5. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี
6. กจิ กรรมการเรียนรู้
แนวคดิ /รปู แบบการสอน/วิธีการสอน/เทคนิค : สืบเสาะหาความรู้ (5Es Instructional Model)
ชว่ั โมงที่ 1
ขั้นนา
ขนั้ กระตุ้นความสนใจ (Engage)
1. ครูทกั ทายกบั นกั เรียนและครูถามคาถามกระตุ้นความคิดวา่ ในชีวิตประจาวนั นักเรียนคิดวา่ กิจกรรม
ใดบา้ งทจี่ ะทาให้เกดิ แรงเสยี ดทาน ให้นกั เรียนร่วมกันแสดงความคิดเห็น
(แนวตอบ เชน่ การเขน็ รถ การเดนิ การป่ันจักรยาน)
2. ครูขออาสาสมัครนักเรยี น 1 คน ให้ออกมาโยนบอลให้กลิ้งลงไปบนพื้นที่เป็นสนามหญ้า และโยน
บอลให้กลิ้งลงไปบนพื้นที่เป็นสนามปูนซีเมนต์เรยี บ ๆ ด้วยแรงเท่า ๆ กัน แล้วครูต้ังคาถามให้
นักเรยี นรว่ มกันอภิปราย ดังน้ี
1) ผลท่ีไดจ้ ะเปน็ อย่างไร
2) ลกู บอลทกี่ ล้ิงไปกบั พืน้ หญ้าและพื้นปนู ซีเมนต์แตกตา่ งกนั อยา่ งไร
3) ลูกบอลลกู ใดหยดุ ก่อน เพราะเหตุใดจงึ เปน็ เช่นนั้น
3. จากน้ันให้นักเรยี นร่วมกนั อภปิ รายเก่ียวกบั คาถามและตอบคาถามตามความเข้าใจของนักเรียน โดย
ครูคอยช่วยเสรมิ คาตอบของนกั เรียน เพือ่ ให้นกั เรียนมีความรู้ความเข้าใจเพม่ิ มากขึ้น
4. ครแู จ้งชอ่ื เรื่องที่จะเรยี นรแู้ ละจดุ ประสงค์การเรียนรู้ให้นักเรยี นทราบ
ขน้ั สอน
ขั้นสารวจคน้ หา (Explore)
1. ครใู หน้ กั เรยี นช่วยกันสังเกตภาพจากหนังสือเรียน บทท่ี 2 แรงเสียดทาน หน้า 80 แล้วให้นักเรยี น
แสดงความคิดเห็นร่วมกนั ว่า การปน่ั จักรยานเกย่ี วข้องกับแรงเสยี ดทานหรอื ไม่ อย่างไร ใหน้ ักเรยี น
แสดงความคดิ เห็นตามความเข้าใจของตนเอง (โดยให้อธิบายเพิ่มเติมเพื่อให้นกั เรยี นมีความรู้ความ
เข้าใจเพ่มิ มากข้นึ )
142
หน่วยการเรียนรู้ท่ี 3 แรงในชวี ิตประจาวนั
แผนฯ ที่ 2 แรงเสียดทาน
2. ครูถามนักเรยี นว่า ทราบหรือไม่ว่าแรงเสยี ดทานหมายถึงอะไร แล้วให้นกั เรยี นช่วยกนั แสดงความ
คดิ เห็น
(แนวตอบ แรงเสียดทาน คือ แรงทเ่ี กิดขน้ึ ระหวา่ งผิวสัมผสั ของวัตถุ 2 ชนดิ โดยเป็นแรงท่ีตา้ นการ
เคลอื่ นที่ของวัตถนุ ้ัน ซ่ึงแรงเสยี ดทานเกิดขึ้นไดจ้ ากการสัมผสั กันระหว่างผวิ ของวัตถุกบั พืน้ ผิวท่วี ัตถุ
เคล่อื นทไ่ี ป)
3. ครใู ห้นักเรยี นเรียนรู้คาศัพท์ที่เกีย่ วข้องกับการเรยี นในบทที่ 2 จากภาพในหนังสือเรียน หน้า 80 โดย
ครูสุม่ เลือกตัวแทนหรือขออาสาสมัครนักเรยี น 1 คน ออกมาหน้าชนั้ เรียน เพอื่ เป็นผอู้ ่านนาและให้
เพือ่ นคนอนื่ ๆ อา่ นตาม ดงั น้ี
Movement (มฟู วมนี ท) การเคล่ือนท่ี
Surface (เซอเฟส) พน้ื ผิว
Friction Force (ฟรคี ชนั ฟอซ) แรงเสยี ดทาน
(หมายเหตุ : ครเู ริ่มประเมินนักเรยี น โดยใชแ้ บบสังเกตพฤตกิ รรมการทางานรายบคุ คล)
4. ครูแบ่งกลุ่มนักเรียน กลุ่มละ 3-4 คน (เก่ง-กลาง-อ่อน ) จากน้ันให้แต่ละกลุ่มร่วมกัน ศึกษา
สถานการณ์ทก่ี าหนดในกิจกรรมนาสู่การเรยี นจากหนังสือเรียน หนา้ 81 แล้วช่วยกันตอบคาถาม
โดยเขยี นคาตอบลงในสมดุ ประจาตัวหรือแบบฝึกหดั วทิ ยาศาสตร์ ป.5 เลม่ 1 และนาเสนอคาตอบ
ของกลมุ่ หนา้ ช้ันเรียน เพื่ออภิปรายและสรุปคาตอบรว่ มกนั จากคาถาม ดังนี้
1) นักเรยี นคดิ ว่า เพราะเหตใุ ดตม้ั จงึ ป่ันจกั รยานผา่ นพืน้ ทรายได้ยากลาบาก
(แนวตอบ เพราะพืน้ ทรายมีลักษณะของผวิ สัมผัสหยาบ ขรขุ ระ และทาใหล้ ้อบางสว่ นจม จึงทา
ใหเ้ กิดแรงเสยี ดทานระหว่างล้อรถจกั รยานกับพื้นทราย และทาใหป้ ่ันจักรยานผา่ นพ้ืนทรายได้
อยา่ งยากลาบาก)
2) หากนักเรยี น มีโอกาสได้ปั่นจักรยานผ่านพื้นทรายจะเกิดเหตุการณ์เช่นเดียวกับตั้มหรือไม่
เพราะอะไร
(แนวตอบ เกดิ เหตกุ ารณเ์ ช่นเดียวกับต้มั เพราะการป่นั จักรยานบนพื้นทรายที่มผี วิ สัมผสั ทหี่ ยาบ
และล้อบางส่วนจมลงไปในพ้นื ทราย ทาให้เกดิ แรงเสียดทานระหวา่ งล้อรถจกั รยานกับพน้ื ทราย
จงึ ทาใหป้ ั่นจักรยานผา่ นพนื้ ทรายได้ยาก)
3) การปน่ั จักรยานผ่านพนื้ คอนกรตี กับพื้นทรายมคี วามแตกต่างกันอย่างไร
(แนวตอบ พ้นื ทรายมีลักษณะของผิวสมั ผสั หยาบและขรุขระ จงึ ทาให้เกดิ แรงเสียดทานมากกว่า
พืน้ คอนกรีตที่มีลกั ษณะของผิวสัมผัสไม่หยาบและไม่ขรขุ ระเท่ากับพ้นื ทราย จึงทาให้เกิดแรง
เสยี ดทานนอ้ ย)
5. นกั เรยี นแตล่ ะกลุ่มนาเสนอคาตอบจากนนั้ ครูและนกั เรยี นรว่ มกนั สรุปคาตอบทีถ่ ูกต้อง
(หมายเหตุ : ครูเริ่มประเมนิ นักเรียน โดยใชแ้ บบสงั เกตพฤตกิ รรมการทางานกลมุ่ )
143
หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ 3 แรงในชีวิตประจาวนั
แผนฯ ท่ี 2 แรงเสยี ดทาน
ช่ัวโมงท่ี 2
ขั้นสอน
ขน้ั สารวจคน้ หา (Explore) (ตอ่ )
6. ครูถามนักเรียนว่า มีนกั เรยี นคนใดเคยลากของบนไม้กระดานเรยี บ ๆ หรอื บนพื้นถนนทข่ี รขุ ระบา้ ง
หรอื ไม่ ถา้ มี ให้นักเรียนคนนน้ั กลา่ วออกมาบอกความรู้สึกว่าขณะที่ลากของรสู้ กึ อย่างไร
7. ครูอธบิ ายเพมิ่ เติมเก่ียวกับแรงเสียดทานว่า แรงเสียดทานเกิดจากการสัมผสั กันระหว่างวัตถุ 2 ชนิด
ดังนี้
ถ้าผิวสมั ผัสของวตั ถทุ ้งั 2 ชนิด เรยี บจะเกิดแรงเสียดทานนอ้ ย ทาให้วตั ถเุ คลอ่ื นทีไ่ ด้ง่าย
ถ้าผิวสัมผัสของวัตถทุ ั้ง 2 ชนิด ไมเ่ รียบจะเกิดแรงเสียดทานมาก ทาให้วตั ถเุ คลื่อนทไ่ี ด้ยาก
8. ครใู ห้นักเรียนศกึ ษาขอ้ มูลและดูภาพในหนังสือเรียน หน้า 82 จากน้ันครใู ห้นักเรียนตอบคาถามลงใน
สมุด ดังนี้
1) จากภาพต่าง ๆ ในหนังสือเปน็ เหตุการณ์ใดบา้ ง
(แนวตอบ เด็กเตะฟุตบอล เด็กเขน็ รถของเล่น เด็กเล่นสไลเดอร์ เดก็ เล่นสเกตบอรด์ เดก็ เลน่ สกี)
2) นักเรียนคิดวา่ กิจกรรมในภาพ เกี่ยวข้องกับแรงเสียดทานหรอื ไม่
(แนวตอบ เกีย่ วข้อง เพราะแรงเสียดทานเกิดจากการสัมผัสระหวา่ งผิวของวตั ถกุ บั พื้นผวิ ที่วตั ถุ
เคลื่อนทไ่ี ป โดยมีทิศทางของแรงตรงกันขา้ มกบั ทศิ ทางการเคลื่อนทีข่ องวตั ถุ และทุกกิจกรรมใน
ภาพเกดิ แรงเสยี ดทาน)
3) นักเรยี นคิดว่า กจิ กรรมในชวี ิตประจาของเราเกยี่ วขอ้ งกบั แรงเสียดทานหรอื ไม่ อย่างไร
(แนวตอบ เก่ียวขอ้ ง เพราะการทากิจกรรมต่าง ๆ ของเรามกั มีแรงเสยี ดทานเกี่ยวข้องกบั การทา
กิจกรรมตา่ ง ๆ ในชวี ิตประจาวนั เชน่ การถือแกว้ จะเกิดแรงเสยี ดทานขึ้นระหว่างมอื กบั แก้ว)
(หมายเหตุ : ครูเร่มิ ประเมนิ นกั เรียน โดยใช้แบบสังเกตพฤตกิ รรมการทางานรายบคุ คล)
9. ครูแบง่ กล่มุ นักเรียน กลุ่มละ 3-4 คน (เก่ง-กลาง-อ่อน) โดยใช้กลุ่มเดิมจากชัว่ โมงทผี่ ่านมา จากน้ัน
ศกึ ษากิจกรรมที่ 1 ลกั ษณะของแรงเสียดทาน ตอนที่ 1 จากหนงั สือเรียน หน้า 83-84 โดยครูให้
ช่วยกันเตรยี มวสั ดุอุปกรณ์สาหรบั ทากจิ กรรมใหค้ รบ
10. ครูอธบิ ายจุดประสงค์ของการทากิจกรรมและขั้นตอนในการทากิจกรรมและระบุปัญหาการทดลอง
ดงั นี้ ชนิดของผวิ สมั ผสั มผี ลตอ่ ขนาดของแรงเสียดทานหรอื ไม่
11. นักเรียนแต่ละกลุ่มชว่ ยกันตงั้ สมมติฐานและทาการทดลองตามข้ันตอนกจิ กรรมที่ 1 ตามขนั้ ตอนให้
ครบถ้วน แลว้ บันทึกผลการทดลองลงในสมดุ ประจาตัวหรอื แบบฝึกหดั วทิ ยาศาสตร์ ป.5 เลม่ 1
12. นกั เรียนแตล่ ะกลุ่มศึกษาข้นั ตอนการทดลองและรว่ มกนั ทากิจกรรมท่ี 1 ลักษณะของแรงเสียดทาน
ตอนที่ 2 จากหนงั สอื เรียน หน้า 84 และปฏิบัตกิ ิจกรรมตามขัน้ ตอนให้ครบถ้วน แล้วบนั ทกึ ผลการ
ทดลองลงในสมดุ ประจาตวั หรอื แบบฝึกหดั วทิ ยาศาสตร์ ป.5 เลม่ 1
144
หน่วยการเรยี นรู้ที่ 3 แรงในชวี ิตประจาวนั
แผนฯ ท่ี 2 แรงเสยี ดทาน
13. ครูให้นักเรียนแต่ละกลุม่ วาดแผนภาพแสดงแรงเสยี ดทานและแรงท่ีอยู่ในแนวเดียวกนั ท่ีกระทาต่อ
วัตถุลงในสมดุ ประจาตัวหรือแบบฝกึ หดั วทิ ยาศาสตร์ ป.5 เล่ม 1
14. สมาชกิ ภายในกลุ่มทกุ กลุ่มรว่ มกันอภิปรายและสรปุ ผลการทากิจกรรมท่ี 1 เพ่อื เตรียมนาเสนอหน้า
ชั้นเรียน
ขน้ั อธิบายความรู้ (Explain)
1. นักเรียนทุกกลมุ่ ออกมานาเสนอข้อมลู การทดลองของกิจกรรมที่ 1 ลกั ษณะของแรงเสยี ดทานหนา้ ช้ัน
เรยี นทลี ะกล่มุ จากนัน้ ครูและนกั เรียนรว่ มกันสรปุ ความรู้ท่ไี ดจ้ ากการทากิจกรรมจนไดข้ อ้ สรุป ดงั นี้
เมอื่ ปลอ่ ยลกู ปิงปองกลิ้งลงมาตามแผ่นกระดาษแข็งและกล้ิงไปบนพืน้ หอ้ งทเ่ี รยี บ ลูกปงิ ปองจะกล้ิง
ได้ระยะทางไกลกวา่ การทีล่ กู ปิงปองกลิง้ ลงมาตามแผ่นกระดาษแขง็ และกล้งิ ตอ่ บนผา้ ขนหนูไปไดไ้ ม่
ไกลเท่ากบั บนพืน้ เพราะว่าขนาดของแรงเสียดทานบนพืน้ หอ้ งนอ้ ยกวา่ บนผ้าขนหนู ทาใหล้ กู ปิงปอง
ทกี่ ลิ้งบนพน้ื หอ้ งไปไดไ้ กลกวา่ น่นั แสดงให้เห็นวา่ ขนาดของแรงเสียดทานจะเกดิ ขึ้นมากหรอื นอ้ ย
ขนึ้ อยกู่ ับผิวสมั ผสั ของวัตถุดว้ ย
2. ครูสรุปความรู้เพิ่มเติมให้นักเรียนฟังอีกครงั้ เพ่ือทบทวนความรู้ความเขา้ ใจของนักเรียนว่า ถ้า
ผิวสัมผัสของวัตถุท้ัง 2 ชนิด เรยี บจะเกดิ แรงเสียดทานน้อย ทาให้วตั ถุเคล่ือนที่ได้ง่าย แต่ถ้า
ผวิ สัมผสั ของวัตถุทั้ง 2 ชนิด ไมเ่ รียบจะเกิดแรงเสียดทานมาก ทาใหว้ ัตถุเคล่ือนท่ีได้ยาก ครคู อย
สงั เกตการทากิจกรรมของนกั เรียนแตล่ ะกลุ่มอย่างใกล้ชิด พร้อมกบั คอยให้คาแนะนากับนักเรียนท่ีมี
ขอ้ สงสัยระหวา่ งการทากจิ กรรม
(หมายเหตุ : ครเู ริม่ ประเมนิ นกั เรยี น โดยใช้แบบสงั เกตพฤติกรรมการทางานกลุ่ม)
3. ครแู ละนักเรียนร่วมกันสรุปความรู้ที่ไดจ้ ากการทากิจกรรมจนได้ขอ้ สรปุ ดังน้ี แรงเสียดทานเป็นแรง
ทตี่ ้านทานการเคลือ่ นท่ีของวตั ถจุ ึงมีผลต่อการเคลื่อนที่ของวัตถุ แรงเสยี ดทานจะเกิดข้ึนมากหรือ
นอ้ ยขึ้นอยู่กบั น้าหนกั ของวัตถแุ ละลกั ษณะพืน้ ผิวสัมผัสของวัตถุ
ช่วั โมงที่ 3
ข้ันสอน
ขั้นขยายความเข้าใจ (Elaborate)
1. นักเรยี นศึกษาเนื้อหาเกี่ยวกบั ลักษณะของแรงเสียดทาน และสังเกตแผนภาพการแสดงการเกิด
แรงเสียดทานระหวา่ งพืน้ ผวิ ของลูกบอลกับพื้นสนามหญา้ จากหนังสือเรียน หน้า 85
2. ครขู ออาสานกั เรียนออกมา 1 คน เพ่ือท่ีจะทาการสาธติ การเตะรับลกู บอลในพน้ื สนามให้เพือ่ น ๆ ดู
ว่า สิ่งทน่ี ักเรียนศึกษาจากหนงั สอื เรยี นนัน้ เปน็ จรงิ หรอื ไม่
145
หน่วยการเรียนรทู้ ่ี 3 แรงในชวี ติ ประจาวนั
แผนฯ ที่ 2 แรงเสยี ดทาน
3. นกั เรียนร่วมกนั อภปิ รายภาพแสดงการเกิดแรงเสยี ดทานระหว่างผิวลูกบอลกับพื้นสนามหญา้ และ
การสาธิตการเตะรับลกู บอลในพ้ืนสนาม โดยครคู อยช่วยเสรมิ และอธบิ ายในประเดน็ เพื่อให้นักเรียน
มคี วามรคู้ วามเข้าใจเพ่มิ มากขึ้น ดังน้ี การท่ีนักเรียนเตะลกู บอลไปข้างหน้าในพ้ืนสนาม ทาให้ลูก
บอลเคลื่อนทีส่ ่ิงท่ีจะทาให้เกดิ แรงเสียดทานพ้ืนผิวของลูกบอลกับพืน้ ผวิ ของพ้ืนสนามสัมผัสกัน ซ่ึง
จะทาใหล้ ูกบอลเคลอ่ื นที่ชา้ ลงหรือหยดุ การเคล่ือนที่
4. ครูอธิบายเกี่ยวกับปัจจัยที่มีผลต่อแรงเสียดทาน เพิ่มเติมจากสื่อดิจิทัลในหนังสือเรียน โดยใช้
โทรศัพท์มอื ถือสแกน QR Code เรอ่ื ง ปจั จยั ที่มผี ลตอ่ แรงเสยี ดทาน จากหนังสอื เรียน หน้า 86 ดงั น้ี
นา้ หนักหรือแรงกดของวัตถุทกี่ ดลงบนพ้ืน ถ้าน้าหนักหรอื แรงกดของวัตถุมาก จะเกิดแรงเสยี ด-
ทานมาก แต่ถ้าน้าหนักหรอื แรงกดของวัตถุนอ้ ย จะเกดิ แรงเสียดทานนอ้ ย
ลักษณะของพ้นื ผวิ สัมผัส ถ้าพื้นผิวเรียบกจ็ ะเกิดแรงเสียดทานนอ้ ย แต่ถ้าพนื้ ผวิ ไมเ่ รียบกจ็ ะเกิด
แรงเสียดทานมาก
ผลของแรงเสียดทานทเ่ี กิดขึ้น จะทาใหก้ ารเดนิ ไมล่ นื่ เน่ืองจากเกดิ แรงเสยี ดทานระหวา่ งรองเท้า
กบั พ้ืนผิวทเ่ี ดนิ
5. ครูให้นักเรียนศึกษาเพิ่มเติมเก่ียวกับเร่ืองปจั จัยที่มผี ลตอ่ แรงเสียดทานมาอภิปรายเก่ยี วกับลกั ษณะ
ของแรงเสียดทาน ผลของแรงเสยี ดทานที่มตี ่อวัตถุ และร่วมกันสรุปภายในชั้นเรียนโดยให้ครูคอย
อธิบายเพม่ิ เติมในส่วนที่บกพร่อง
6. นักเรียนแต่ละคนทากิจกรรมหนูตอบได้จากหนังสือเรียน หน้า 84 ลงในสมุดประจาตัวหรือ
แบบฝกึ หัดวิทยาศาสตร์ ป.5 เล่ม 1 ดังน้ี
1) แรงเสยี ดทานจะมีค่ามากหรอื มนี อ้ ยขึ้นอย่กู บั สงิ่ ใด เพราะอะไร
(แนวตอบ ลักษณะของพ้ืนผวิ สมั ผัส เพราะถ้าพน้ื ผิวเรยี บก็จะเกิดแรงเสียดทานน้อย แต่ถา้ พนื้ ผิว
ไม่เรียบก็จะเกิดแรงเสียดทานมาก และนาหนักของวตั ถุ เพราะวัตถุมีน้าหนักน้อย แรงกดที่
กระทาตอ่ พนื้ ผิวจะมนี อ้ ย ทาให้แรงเสียดทานน้อย แต่ถ้าวัตถุมีนา้ หนักมาก แรงกดที่กระทาต่อ
พน้ื ผวิ จะมมี าก ทาให้แรงเสียดทานมาก)
2) ยกตัวอย่างกิจกรรมที่เก่ยี วขอ้ งกบั แรงเสียดทานมา 2 กิจกรรม
(แนวตอบ เช่น เด็กเตะฟตุ บอล เด็กเข็นรถของเล่น เดก็ เล่นสไลเดอร์ เด็กเล่นสเกตบอร์ด เด็ก
เลน่ สก)ี
3) การเคลอื่ นทขี่ องวตั ถุมีความสัมพันธก์ ับพืน้ ผิวสมั ผัสหรอื ไม่ อย่างไร
(แนวตอบ มี เพราะถา้ พื้นผวิ สัมผสั เรยี บ การเคลื่อนทีข่ องวัตถุจะเคลอ่ื นทีไ่ ด้ดี แต่ถา้ พื้นผวิ สมั ผัส
ไม่เรยี บ การเคลื่อนทีข่ องวตั ถุจะเคล่ือนทีช่ า้ ลง)
146
หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี 3 แรงในชีวติ ประจาวัน
แผนฯ ท่ี 2 แรงเสยี ดทาน
4) นักเรียนคิดวา่ การแตะลกู บอลด้วยแรงท่เี ท่ากันบนพืน้ ซีเมนต์กับสนามหญ้าที่แห้ง การเตะ
ลกู บอลทบ่ี ริเวณใดจะทาใหล้ ูกบอลเคลอ่ื นที่ไปได้ไกลท่สี ุด เพราะอะไร
(แนวตอบ เด็กเตะฟตุ บอลไปบนพ้ืนซีเมนต์ เพราะบนพ้ืนซีเมนต์เปน็ พน้ื ผิวเรียบทาให้พ้ืนผิวลูก
บอลท่มี าสัมผสั เกดิ แรงเสียดทานน้อย จึงทาให้ลกู บอลไปไกลกว่าการเตะลูกบอลท่ีสนามหญ้าที่
แหง้ เพราะพ้ืนผวิ ไม่เรียบกจ็ ะเกดิ แรงเสียดทานมาก)
ขนั้ สรุป
1. ครูสมุ่ นักเรียนตามเลขที่ 5-6 คน ให้ออกมาอธิบายความรู้เกีย่ วกับผลของแรงเสียดทานทีม่ ีต่อวตั ถุ
จากนั้นให้นกั เรยี นทั้งหอ้ งรว่ มกันสรุปความรู้
2. ครแู ละนกั เรียนรว่ มกันสรุปเพ่ิมเติมเก่ียวกบั ขอ้ ดแี ละข้อเสยี ของแรงเสียดทาน ดงั นี้
ข้อดี แรงเสียดทานระหวา่ งรองเท้ากบั พนื้ ทาให้เราเดนิ หรอื วงิ่ ไปได้ ถ้าแรงเสียดทานน้อยจะทาให้
ล่นื หกล้มไดง้ า่ ย ดังนั้น พื้นรองเทา้ จงึ ต้องมลี วดลายเพื่อใหเ้ กดิ แรงเสียดทาน การเคลื่อนท่ีของ
ยานพาหนะในขณะท่ีรถแลน่ นน้ั ล้อกับถนนจะต้องมแี รงเสียดทาน เพอ่ื ทาใหร้ ถเคล่ือนที่ไปได้
ตามทิศที่ตอ้ งการ ถ้าไม่มแี รงเสียดทานรถจะแล่นไปไม่ได้ ลอ้ รถจะหมุนอยู่กับท่ี และถ้ามีแรง
เสียดทานน้อย จะทาใหร้ ถเกดิ อบุ ตั เิ หตุไดง้ า่ ย เช่น เวลาฝนตกถนนล่นื รถทวี่ ่งิ ดว้ ยความเร็วสูงจะ
หยุดไดย้ าก ยางรถยนตจ์ ึงต้องมดี อกยางเป็นลวดลายเพ่ือเพิ่มแรงเสยี ดทาน
ขอ้ เสยี แรงเสียดทานทาให้วตั ถุเคลอ่ื นทชี่ ้าจึงต้องใช้แรงมากข้ึน เพอ่ื เอาชนะแรงเสียดทานทาให้
สิ้นเปลืองพลงั งานมาก
ขน้ั ประเมนิ
ข้นั ตรวจสอบผล (Evaluate)
1. ครูประเมินผลนักเรียน โดยการสงั เกตพฤติกรรมการตอบคาถาม พฤตกิ รรมการทางานรายบุคคล
พฤตกิ รรมการทางานกลุม่ และจากการนาเสนอผลการทากิจกรรมหนา้ ชัน้ เรยี น
2. ครูตรวจสอบการทากิจกรรมนาสู่การเรียนในสมุดประจาตวั หรือแบบฝกึ หัดวทิ ยาศาสตร์ ป.5 เลม่ 1
3. ครูตรวจสอบผลการทากิจกรรมที่ 1 เร่ือง ลกั ษณะของแรงเสยี ดทานในสมุดประจาตวั หรือแบบฝึกหัด
วิทยาศาสตร์ ป.5 เล่ม 1
4. ครตู รวจสอบผลการทากิจกรรมหนตู อบไดใ้ นสมุดประจาตวั หรอื แบบฝึกหัดวิทยาศาสตร์ ป.5 เลม่ 1
147
หนว่ ยการเรียนรู้ที่ 3 แรงในชีวติ ประจาวนั
แผนฯ ท่ี 2 แรงเสยี ดทาน
7. การวัดและประเมนิ ผล
รายการวดั วธิ กี าร เครื่องมือ เกณฑ์การประเมนิ
7.1 ประเมนิ ระหวา่ ง
การจดั กิจกรรม
การเรยี นรู้
1) กิจกรรมนาสกู่ าร - ตรวจสมุดประจาตวั - สมดุ ประจาตวั หรอื - ตอบถกู 2 ใน 3
เรยี น หรือแบบฝึกหดั แบบฝึกหดั วทิ ยาศาสตร์ ขอ้ ผ่านเกณฑ์
วิทยาศาสตร์ ป.5 เล่ม 1 ป.5 เลม่ 1
2) ผลบันทึกการทา - ตรวจผลการการทา - ผลการการทากจิ กรรม - ร้อยละ 60
กจิ กรรมที่ 1 กิจกรรมที่ 1 ในสมุด ท่ี 1 ในสมุดประจาตวั ผา่ นเกณฑ์
ลกั ษณะของแรง ประจาตวั หรอื หรอื แบบฝึกหดั
เสียดทาน แบบฝึกหดั วิทยาศาสตร์ วทิ ยาศาสตร์ ป.5
ป.5 เลม่ 1 เลม่ 1
3) กิจกรรมหนูตอบได้ - ตรวจสมดุ ประจาตวั หรือ - สมดุ ประจาตวั หรือ - ตอบถกู 2 ใน 3
แบบฝึกหัดวิทยาศาสตร์ แบบฝึกหดั วิทยาศาสตร์ ขอ้ ผ่านเกณฑ์
ป.5 เล่ม 1 ป.5 เล่ม 1
4) การนาเสนอผลงาน - ประเมินการนาเสนอ - แบบประเมินการ - ระดบั คุณภาพ 2
ผลงาน นาเสนอผลงาน ผา่ นเกณฑ์
5) พฤติกรรมการ - สงั เกตพฤติกรรมการ - แบบสังเกตพฤติกรรม - ระดับคุณภาพ 2
ทางานรายบคุ คล ทางาน รายบุคคล การทางานรายบคุ คล ผา่ นเกณฑ์
6) พฤตกิ รรมการ - สังเกตพฤตกิ รรมการ - แบบสังเกตพฤติกรรม - ระดับคุณภาพ 2
ทางานกลุ่ม ทางานกล่มุ การทางานกล่มุ ผ่านเกณฑ์
7) คุณลักษณะ - สงั เกตความมีวินยั ใฝ่ - แบบประเมิน - ระดบั คุณภาพ 2
อันพงึ ประสงค์ เรยี นรู้ และมงุ่ มนั่ ในการ คณุ ลักษณะ ผ่านเกณฑ์
ทางาน อันพึงประสงค์
148
หนว่ ยการเรยี นร้ทู ่ี 3 แรงในชีวติ ประจาวัน
แผนฯ ท่ี 2 แรงเสียดทาน
8. สือ่ /แหลง่ การเรียนรู้
8.1 สื่อการเรยี นรู้
1) หนังสอื เรยี นวิทยาศาสตร์ ป.5 เลม่ 1 หน่วยการเรยี นร้ทู ่ี 3 แรงในชวี ิตประจาวนั
2) แบบฝกึ หัดวิทยาศาสตร์ ป.5 เล่ม 1 หนว่ ยการเรียนรู้ที่ 3 แรงในชวี ติ ประจาวนั
3) วสั ดุ-อุปกรณก์ ารทดลองในกิจกรรมที่ 1 เช่น โต๊ะเรียน หนงั ยาง ผ้าขนหนู ลกู ปิงปอง ผ้าผวิ เรยี บ
กระดาษแขง็ ตลบั เมตร หนงั สอื
4) QR Code เร่อื ง ปัจจยั ที่มผี ลต่อแรงเสยี ดทาน
5) สมดุ ประจาตัว
8.2 แหล่งการเรียนรู้
- ห้องเรียน
- สนามหญา้ โรงเรียน
149
หนว่ ยการเรียนรทู้ ี่ 3 แรงในชีวิตประจาวัน
แผนฯ ที่ 2 แรงเสยี ดทาน
9. ความเหน็ ของผูบ้ ริหารสถานศกึ ษาหรือผทู้ ีไ่ ดร้ ับมอบหมาย
ข้อเสนอแนะ
ลงชอื่ .................................
( ................................ )
ตาแหน่ง .......
10. บันทึกผลหลงั การสอน
ดา้ นความรู้
ดา้ นสมรรถนะสาคัญของผู้เรยี น
ดา้ นคุณลักษณะอันพงึ ประสงค์
ด้านความสามารถทางวิทยาศาสตร์
ดา้ นอน่ื ๆ (พฤตกิ รรมเด่น หรือพฤตกิ รรมท่มี ีปญั หาของนักเรียนเป็นรายบุคคล (ถ้ามี))
ปญั หา/อุปสรรค
แนวทางการแกไ้ ข
150
หน่วยการเรียนรู้ท่ี 3 แรงในชวี ิตประจาวนั
แผนฯ ที่ 3 ประโยชนข์ องแรงเสยี ดทาน
แผนการจดั การเรยี นรู้ที่ 3
ประโยชน์ของแรงเสียดทาน
เวลา 2 ชั่วโมง
1. มาตรฐานการเรียนร้/ู ตวั ชวี้ ัด
ว 2.2 ป.5/3 ระบุผลของแรงเสียดทานท่ีมีต่อการเปล่ียนแปลงการเคลือ่ นที่ของวตั ถุจากหลกั ฐาน
เชิงประจักษ์
2. จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้
1. ระบุประโยชนข์ องแรงเสียดทานท่ีมตี ่อการเปลีย่ นแปลงการเคล่อื นท่ีของวัตถุได้ (K)
2. มีความรบั ผดิ ชอบต่องานทไี่ ด้รบั มอบหมาย (A)
3. สาระการเรียนรู้ สาระการเรยี นรทู้ อ้ งถ่ิน
พจิ ารณาตามหลกั สูตรของสถานศกึ ษา
สาระการเรียนร้แู กนกลาง
การเพม่ิ หรือลดแรงเสียดทานสามารถนาไปใช้
ประโยชนต์ า่ ง ๆ ในชีวิตประจาวนั ได้
4. สาระสาคัญ/ความคดิ รวบยอด
แรงเสียดทานมปี ระโยชน์ในชีวิตประจาวันหลายกิจกรรม ในการใชป้ ระโยชน์จากแรงเสียดทานบาง
กจิ กรรมตอ้ งลดแรงเสียดทาน และในบางกิจกรรมตอ้ งเพมิ่ แรงเสียดทาน
5. สมรรถนะสาคัญของผเู้ รยี นและคณุ ลกั ษณะอันพงึ ประสงค์
สมรรถนะสาคัญของผเู้ รียน คณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค์
1. ความสามารถในการสื่อสาร 1. มวี ินยั
2. ความสามารถในการคิด 2. ใฝเ่ รยี นรู้
1) ทกั ษะการสังเกต 3. มงุ่ มน่ั ในการทางาน
2) ทักษะการสรุปอ้างอิง
3) ทกั ษะการสารวจค้นหา
4) ทักษะการนาความรู้ไปใช้
3. ความสามารถในการแกป้ ัญหา
4. ความสามารถในการใชท้ ักษะชีวิต
5. ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี
151
หนว่ ยการเรียนรทู้ ี่ 3 แรงในชีวติ ประจาวนั
แผนฯ ท่ี 3 ประโยชนข์ องแรงเสยี ดทาน
6. กจิ กรรมการเรยี นรู้
แนวคดิ /รูปแบบการสอน/วธิ ีการสอน/เทคนิค : สืบเสาะหาความรู้ (5Es Instructional Model)
ชัว่ โมงท่ี 1
ขัน้ นา
ขนั้ กระตนุ้ ความสนใจ (Engage)
1. ครทู กั ทายและสนทนากบั นกั เรยี นเกี่ยวประโยชน์ของแรงเสียดทานโดยการนารองเท้าแตะ 2 คู่ มาให้
นกั เรียนทดลองใส่ ดงั น้ี
นกั เรยี นคนที่ 1 ใสร่ องเทา้ แตะที่มพี น้ื ผวิ รองเท้าเรยี บ
นกั เรียนคนท่ี 2 ใสร่ องเท้าแตะท่มี พี ้นื ผิวรองเท้าขรุขระ
2. ครูให้นักเรียนท้ัง 2 คน เดินแขง่ กันไปเก็บของท่ีสนามหญา้ ที่มนี ้าเปยี กอยู่ และครูถามนักเรียนที่
เหลอื ว่า นักเรยี นคิดว่านกั เรยี นคนทใ่ี ส่รองเทา้ แตะพ้นื ผิวใดจะเดนิ ได้สะดวกกว่า เพราะเหตใุ ด
(แนวตอบ นกั เรยี นคนท่ี 2 จะเกบ็ ของได้กอ่ น เพราะใส่รองเทา้ แตะทม่ี พี นื้ ผวิ ที่ไมเ่ รยี บทาใหเ้ กิดแรง
เสยี ดทานมาก ทาให้พ้นื รองเทา้ เกาะพ้ืนได้ดกี วา่ และไม่ลืน่ แต่นักเรยี นคนที่ 1 ใส่รองเทา้ แตะหุ้มสี
พืน้ ผวิ เรียบ ทาให้มแี รงเสยี ดทานนอ้ ย อาจจะทาให้ลืน่ และเกดิ อันตรายได)้
3. นกั เรยี นร่วมกนั แสดงความคิดเห็นเกย่ี วกับคาถามท่ีครูถาม โดยครูคอยช่วยเสรมิ และสรุปคาตอบของ
นกั เรียน เพือ่ เพ่ิมความรคู้ วามเขา้ ใจให้กบั นักเรยี น
4. ครูแจ้งชื่อเรอื่ งที่จะเรียนรู้และจุดประสงค์การเรียนรใู้ ห้นกั เรียนทราบ
ขน้ั สอน
ขนั้ สารวจคน้ หา (Explore)
1. ครูต้ังประเดน็ คาถามให้นกั เรียนรว่ มกนั อภปิ รายว่า แรงเสียดทานมีประโยชนต์ อ่ ชวี ติ ประจาวันของ
เราหรอื ไม่ อยา่ งไร
(แนวตอบ ขึน้ อยูก่ บั คาตอบของนักเรียน ใหอ้ ยูใ่ นดลุ ยพนิ จิ ของครผู ู้สอน)
2. ครูนาบตั รภาพการเล่นฟุตบอล การปีนหน้าผาจาลอง การใชก้ รรไกรตดั กระดาษ ลอ้ ยางรถยนต์ มา
ให้นักเรียนดแู ละใหร้ ่วมกันอภปิ รายว่า การทากจิ กรรมเหล่าน้ตี อ้ งมีการเพิ่มหรือลดแรงเสียดทาน
หรอื ไม่ อย่างไร จากนั้นใหน้ ักเรียนชว่ ยกันยกตัวอย่างเพมิ่ เติม
(หมายเหตุ : ครเู ริ่มประเมนิ นกั เรยี น โดยใชแ้ บบสงั เกตพฤติกรรมการทางานรายบคุ คล)
3. นักเรียนศึกษาความร้เู รอื่ งการใช้ประโยชน์จากแรงเสยี ดทาน จากหนงั สือเรยี น หน้า 89-90 แล้ว
ช่วยกันแสดงความคิดเหน็ เพ่มิ เติมจากข้อมูลท่ีได้ศึกษาเพอ่ื เตรียมตวั ทากิจกรรม
152
หนว่ ยการเรยี นร้ทู ี่ 3 แรงในชีวติ ประจาวนั
แผนฯ ท่ี 3 ประโยชนข์ องแรงเสยี ดทาน
4. ครูให้นกั เรียนเลน่ เกมการแขง่ ขันตอบคาถามและแบ่งกล่มุ นักเรียน กลมุ่ ละ 3-4 คน เพ่ือทากิจกรรม
การแข่งขัน โดยให้นักเรียนแตล่ ะกลุ่มเขยี นกจิ กรรมต่าง ๆ ในชีวิตประจาวันให้ตรงกับหวั ข้อ ซ่งึ ครู
ใหเ้ วลาแตล่ ะกลุ่มระดมความคิดตามเวลาท่เี หมาะสม ดังน้ี
1) การลดแรงเสยี ดทาน 2) การเพิม่ แรงเสียดทาน
(แนวตอบ ใส่รองเท้าเตะฟุตบอลเป็นการเพ่ิมแรงเสียดทาน หยอดน้ามัน ประตูเป็นการลด
แรงเสียดทาน)
5. ครใู ห้ตวั แทนแตล่ ะกล่มุ ออกมาเขียนคาตอบของกลุ่มตวั เองบนกระดานหนา้ ชัน้ เรียน
6. จากน้ันครูใหน้ ักเรียนทุกคนชว่ ยกันอภปิ รายคาตอบของเพื่อนและสรุปคาตอบท่ถี ูกต้องรว่ มกัน โดยมี
ครูคอยตรวจสอบความถกู ต้องของคาตอบ
(หมายเหตุ : ครเู ร่ิมประเมินนักเรียน โดยใชแ้ บบสงั เกตพฤตกิ รรมการทางานกลุ่ม)
7. ครอู ธบิ ายเพมิ่ เติมว่า กิจกรรมตา่ ง ๆ ต้องการแรงเสียดทานไม่เท่ากัน บางกิจกรรมต้องอาศัยแรง
เสยี ดทานมาก เชน่ การเล่นชักเยอ่ การเลน่ ฟุตบอล การขับขีร่ ถยนต์ บางกจิ กรรมต้องการแรงเสยี ด
ทานนอ้ ย เชน่ การเลน่ กระดานล่ืน การเคล่ือนยา้ ยส่งิ ของไปบนพื้น ดังนนั้ จึงต้องมีการเพิม่ หรอื ลด
แรงเสยี ดทานใหเ้ หมาะสมกับกิจกรรมตา่ ง ๆ
ชว่ั โมงท่ี 2
ขั้นสอน
ขั้นอธิบายความรู้ (Explain)
1. นักเรียนกลุ่มเดิมจากช่ัวโมงท่ีแล้วศึกษาและทากิจกรรมพัฒนาการเรียนรู้ท่ี 1 จากหนังสอื เรียน
หน้า 91 โดยปฏิบตั กิ จิ กรรมตามขั้นตอนใหค้ รบถว้ น แลว้ บันทึกผลลงในสมดุ ประจาตัว
2. นักเรยี นแต่ละกลุม่ ร่วมกนั อภิปรายและสรปุ ผลการทากิจกรรม จากนัน้ ส่งตวั แทนนาเสนอหน้าชั้น
เรียน
3. ครสู นทนากบั นักเรียนเพอ่ื ทบทวนความรคู้ วามเข้าใจเกี่ยวกับเน้อื หาท่ีได้เรยี นผ่านมาจากหนว่ ยการ
เรียนรู้ท่ี 3 บทที่ 2 แรงเสียดทาน โดยสุ่มเรียกชื่อนักเรียนให้ออกมาเล่าว่าตนเองได้รับความรู้
อะไรบ้าง
153
หนว่ ยการเรียนรู้ที่ 3 แรงในชวี ติ ประจาวนั
แผนฯ ท่ี 3 ประโยชน์ของแรงเสยี ดทาน
ข้ันขยายความเขา้ ใจ (Elaborate)
1. ครถู ามคาถามท้าทายการคิดขั้นสงู จากหนงั สือเรยี น หนา้ 91 วา่ รถยนตค์ ันหนึ่งขับมาดว้ ยความเร็ว
สูงบนถนนที่ฝนกาลังตก นักเรียนคดิ ว่าจะเกิดผลอย่างไร และเพราะเหตุใด โดยใหน้ ักเรยี นชว่ ยกัน
ตอบ
(แนวตอบ อาจประสบอบุ ตั ิเหตุได้ เพราะเม่อื ฝนตกจะทาให้มนี า้ ท่วมขงั อย่บู นพื้นถนน จงึ มีผลทาให้
ลดแรงเสียดทานระหว่างล้อรถยนต์กับพื้นถนนได้ ล้ อรถยนต์จึงอาจล่ืนไถลและทาให้ประสบ
อบุ ัตเิ หตไุ ด)้
2. นักเรียนเขียนสรุปความรู้เก่ยี วกับเร่ืองท่ีได้เรียนมาจากบทท่ี 2 ในรูปแบบต่าง ๆ เช่น แผนผัง
ความคิด แผนภาพลงในสมดุ ประจาตวั
(หมายเหตุ : ครเู ริ่มประเมินนักเรยี น โดยใช้แบบสังเกตพฤตกิ รรมการทางานรายบคุ คล)
3. นักเรยี นศกึ ษาแผนผังความคดิ (Mind Mapping) สรปุ สาระสาคญั ประจาบทท่ี 1 จากหนังสอื เรยี น
หน้า 92 เพอื่ ตรวจสอบกบั การเขยี นสรปุ ความรู้ทีน่ ักเรยี นทาไวใ้ นสมุดประจาตวั
4. นักเรียนทากิจกรรมฝึกทักษะบทที่ 2 จากหนังสือเรียน หน้า 93-94 ลงในสมุดประจาตัวหรือ
แบบฝกึ หัดวทิ ยาศาสตร์ ป.5 เลม่ 1
5. นกั เรยี นทากิจกรรมทา้ ทายการคดิ ข้ันสงู ในแบบฝึกหัดวทิ ยาศาสตร์ ป.5 เลม่ 1
6. นกั เรียนทาทบทวนท้ายหน่วยในแบบฝึกหัดวทิ ยาศาสตร์ ป.5 เลม่ 1
7. นักเรยี นแบง่ กล่มุ กล่มุ ละ 3-4 คน (ใชก้ ล่มุ เดิมจากช่ัวโมงที่ผ่านมา) จากน้ันศึกษากิจกรรมสรา้ งสรรค์
ผลงาน จากหนงั สอื เรยี น หน้า 95 แลว้ ให้ปฏบิ ัตกิ จิ กรรมโดยมีข้นั ตอน ดังนี้
1) ออกแบบพนื้ รองเท้าท่มี ีพ้ืนผวิ สาหรบั การใชง้ านของผ้สู งู อายุ
2) นาเสนอแนวคดิ และผลงานภายในชัน้ เรียน
(หมายเหตุ : ครเู ร่ิมประเมินนักเรยี น โดยใชแ้ บบสงั เกตพฤตกิ รรมการทางานกลุ่ม)
8. ครูให้นักเรียนทาแบบทดสอบหลังเรียนของหน่วยการเรียนรู้ท่ี 3 เร่ืองแรงในชีวติ ประจาวัน
เพอื่ ตรวจสอบความรู้ความเขา้ ใจหลังเรียน
ขัน้ สรุป
1. ครูอภปิ รายรว่ มกับนักเรียนเก่ียวกบั ความรคู้ วามเข้าใจว่า เราสามารถใช้ประโยชน์จากแรงเสยี ดทาน
ในการทากิจกรรมต่าง ๆ ในชีวิตประจาวันไดม้ ากมาย
2. ครูสรปุ เพิ่มเตมิ ให้นักเรียนเข้าใจอีกวา่ ประโยชนจ์ ากแรงเสยี ดทาน
ทาให้วัตถหุ ยุดน่ิงไมเ่ คล่ือนท่ี เช่น ช่วยหยุดรถยนตท์ ก่ี าลงั เคลือ่ นที่ ยางรถท่ีมีดอกยางช่วยให้รถ
เกาะถนนไดด้ ี
154
หน่วยการเรยี นรูท้ ่ี 3 แรงในชวี ิตประจาวนั
แผนฯ ท่ี 3 ประโยชนข์ องแรงเสยี ดทาน
การสรา้ งพื้นถนนต้องทาให้ล้อรถเกิดแรงเสียดทานพอสมควรกับพ้นื ถนน รถจึงจะเคลื่อนทีบ่ น
ถนนได้โดยที่ล้อรถไมห่ มนุ อยู่กบั ท่ี
ชว่ ยในการหยบิ จบั ส่งิ ของได้โดยไม่ลื่นไหลไปมา
การเดิน การวิ่ง ต้องการแรงเสียดทานมาชว่ ยในการเคลอื่ นท่ี ดังน้นั เราจึงควรใส่รองเท้าทม่ี ีพื้น
ยาง และไมค่ วรใสร่ องเท้าที่เปน็ พื้นไม้ เพราะรองเท้าพื้นยางจะเกดิ แรงเสียดทานกบั พื้นทางเดิน
ไดม้ ากกวา่ พื้นรองเท้าท่ีเป็นไม้ ทาให้เดินได้ง่ายกว่าและเรว็ กว่าโดยไม่ล่ืนไถล นอกจากน้ี พ้ืน
รองเทา้ ต้องมีลวดลาย เพอ่ื เพ่ิมแรงเสยี ดทานระหวา่ งผิวสมั ผัส
3. ให้นักเรียนดูตารางตรวจสอบตนเองจากหนงั สือเรียน หน้า 91 จากนั้นถามนักเรียนเป็นรายบุคคล
ตามรายการข้อ 1-5 จากตาราง เพ่ือเป็นการตรวจสอบความรู้ความเขา้ ใจของนักเรยี นหลงั จากการ
เรียน หากนักเรียนคนใดตรวจสอบตนเองโดยให้อยใู่ นเกณฑ์ควรปรับปรุง ใหค้ รูทบทวนบทเรยี นหรือ
หากจิ กรรมอื่นซอ่ มเสริม เพื่อให้นักเรยี นมคี วามรคู้ วามใจในบทเรียนมากขึน้
ข้ันประเมนิ
ข้นั ตรวจสอบผล (Evaluate)
1. ครูประเมินผลนักเรยี น โดยการสงั เกตพฤตกิ รรมการตอบคาถาม พฤติกรรมการทางานรายบุคคล
พฤตกิ รรมการทางานกล่มุ และจากการนาเสนอผลการทากิจกรรมหนา้ ช้ันเรียน
2. ครูตรวจผลการทากจิ กรรมพฒั นาการเรยี นรู้ท่ี 1 ในสมดุ ประจาตวั
3. ครตู รวจผลการสรปุ ความรู้เกย่ี วกับแรงเสียดทานในสมุดประจาตัว
4. ครูตรวจผลการทากิจกรรมฝกึ ฝนทักษะบทที่ 2 ในสมุดประจาตัวหรือแบบฝกึ หัดวิทยาศาสตร์ ป.5
เล่ม 1
5. ครตู รวจการทากจิ กรรมท้าทายการคดิ ขนั้ สูงในแบบฝึกหัดวิทยาศาสตร์ ป.5 เลม่ 1
6. ครตู รวจช้นิ งาน/ผลงานรองเทา้ สาหรบั ผสู้ ูงอายแุ ละการนาเสนอชิ้นงาน/ผลงานหนา้ ช้นั เรียน
7. ครูตรวจสอบผลการทาทบทวนท้ายหน่วยการเรียนรู้ท่ี 3 เร่ือง แรงในชีวิตประจาวัน ในแบบฝกึ หัด
วทิ ยาศาสตร์ ป.5 เล่ม 1
8. ครูตรวจสอบผลการทาแบบทดสอบหลงั เรยี นของหนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 3 แรงในชีวิตประจาวนั
155
หน่วยการเรยี นรทู้ ่ี 3 แรงในชวี ิตประจาวนั
แผนฯ ท่ี 3 ประโยชน์ของแรงเสยี ดทาน
7. การวดั และประเมินผล วธิ กี าร เคร่อื งมอื เกณฑก์ ารประเมนิ
รายการวดั - ตรวจสมดุ ประจาตัว - สมุดประจาตัว - รอ้ ยละ 60
7.1 ประเมินระหว่าง ผา่ นเกณฑ์
- ตรวจสมดุ ประจาตวั - สมดุ ประจาตัว - รอ้ ยละ 60
การจัดกจิ กรรม ผา่ นเกณฑ์
การเรยี นรู้ - ตรวจสมดุ ประจาตัว - ตรวจสมดุ ประจาตัว - ร้อยละ 60
1) กจิ กรรมพัฒนาการ หรอื แบบฝึกหดั หรือแบบฝกึ หดั ผา่ นเกณฑ์
วิทยาศาสตร์ ป.5 วิทยาศาสตร์ ป.5
เรยี นรู้ที่ 1 เลม่ 1 เล่ม 1 - รอ้ ยละ 60
2) สรุปความรูเ้ กีย่ วกับ - ตรวจแบบฝกึ หดั - ตรวจแบบฝึกหัด ผ่านเกณฑ์
วทิ ยาศาสตร์ ป.5 วทิ ยาศาสตร์ ป.5
แรงเสียดทาน เล่ม 1 เลม่ 1 - ร้อยละ 60
3) กิจกรรมฝึกฝนทกั ษะ - ตรวจชน้ิ งาน/ผลงาน - ช้นิ งาน/ผลงานรองเทา้ ผา่ นเกณฑ์
รองเท้าสาหรบั ผูส้ ูงอายุ สาหรบั ผูส้ งู อายุ - ระดบั คุณภาพ 2
บทที่ 2 - ประเมนิ การนาเสนอ - แบบประเมนิ การ ผา่ นเกณฑ์
ผลงาน นาเสนอผลงาน - ระดับคณุ ภาพ 2
4) กิจกรรมท้าทายการ - สังเกตพฤตกิ รรมการ - แบบสงั เกตพฤตกิ รรม ผา่ นเกณฑ์
คิดขนั้ สูง ทางานรายบุคคล การทางานรายบคุ คล - ระดบั คุณภาพ 2
- สังเกตพฤตกิ รรมการ - แบบสงั เกตพฤตกิ รรม ผา่ นเกณฑ์
5) กิจกรรมสรา้ งสรรค์ ทางานกลุ่ม การทางานกล่มุ - ระดับคุณภาพ 2
ผลงาน - สงั เกตความมวี ินยั - แบบประเมิน ผา่ นเกณฑ์
ใฝเ่ รยี นรู้ และมงุ่ ม่นั ใน คุณลักษณะ
6) การนาเสนอผลงาน การทางาน อันพงึ ประสงค์ - รอ้ ยละ 60
ผา่ นเกณฑ์
7) พฤตกิ รรมการทางาน - ตรวจแบบฝกึ หดั - แบบฝกึ หัด
รายบคุ คล วิทยาศาสตร์ ป.5 วทิ ยาศาสตร์ ป.5
เล่ม 1 เล่ม 1
8) พฤตกิ รรมการทางาน
กลุ่ม
9) คุณลกั ษณะ
อนั พงึ ประสงค์
7.2 การประเมนิ หลังเรียน
1) ทบทวนท้ายหนว่ ย
หนว่ ยการเรยี นรูท้ ี่ 3
156