การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่องชนิดและหน้าที่ของคำ โดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้รูปแบบ CIPPA Model ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ โรงเรียนประจักษ์ศิลปาคาร ณัฐกานต์ ศรีสุวรรณ รายงานวิจัยนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชาการศึกษาหลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาภาษาไทย คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี ๒๕๖๖
การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่องชนิดและหน้าที่ของคำ โดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้รูปแบบ CIPPA Model ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ โรงเรียนประจักษ์ศิลปาคาร ณัฐกานต์ ศรีสุวรรณ รหัสนักศึกษา ๖๒๑๐๐๑๐๑๒๐๘ รายงานวิจัยนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชาการศึกษาหลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาภาษาไทย คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี ๒๕๖๖
ก ชื่อเรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่องชนิดและหน้าที่ ของคำ โดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้รูปแบบ CIPPA Model ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ โรงเรียนประจักษ์ศิลปาคาร ผู้วิจัย ณัฐกานต์ ศรีสุวรรณ อาจารย์ที่ปรึกษา ผู้ช่วยศาสตราจารย์ กมลมาลย์ รักศรีอักษร ปริญญา ครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาภาษาไทย ปีการศึกษา ๒๕๖๖ บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ ๑) เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่อง ชนิดและหน้าที่ของคำ โดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้รูปแบบ CIPPA Model ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ ๑ โรงเรียนประจักษ์ศิลปาคาร ๒) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา ภาษาไทย เรื่องชนิดและหน้าที่ของคำ ก่อนและหลังเรียน โดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้รูปแบบ CIPPA Model ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ โรงเรียนประจักษ์ศิลปาคาร กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑/๗ โรงเรียน ประจักษ์ศิลปาคาร อำเภอ เมือง จังหวัดอุดรธานี ปีการศึกษา ๒๕๖๖ จำนวน ๑ ห้องเรียน จำนวน ๓๘ คน ที่ได้มาด้วยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย แผนการจัดการเรียนรู้วิชาภาษาไทย เรื่อง ชนิดและหน้าที่ของคำ โดยใช้กระบวนการ จัดการเรียนรู้รูปแบบ CIPPA Model จำนวน ๕ แผน แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาภาษาไทย เรื่อง ชนิดและหน้าที่ของคำ และวิเคราะห์ข้อมูลผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยใช้ค่าร้อย ละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบ ความแตกต่างของคะแนนก่อนเรียนและหลังเรียน ด้วยค่า t – test for Dependent Sample ผลการวิจัยพบว่า ๑) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่องชนิดและหน้าที่ของคำ โดย ใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้รูปแบบ CIPPA Model ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ โรงเรียนประจักษ์ศิลปาคาร มีคะแนนแบบทดสอบก่อนเรียนเฉลี่ยเท่ากับ ๗.๕๘ คิดเป็น ร้อยละ ๓๗.๘๙ โดยมีส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ ๒.๑๑ ส่วนคะแนนเฉลี่ยระหว่างเรียนได้จาก การทำแบบฝึกทักษะเท่ากับ ๘๓.๓๘ คิดเป็นร้อยละ ๘๕.๕๗ และได้คะแนนเฉลี่ยหลังเรียน จากการทำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเท่ากับ ๑๖.๘๑ คิดเป็นร้อยละ ๘๔.๐๕ ๒) ผลสัมฤทธิ์ก่อนและหลังของนักเรียน ที่เรียนโดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้รูปแบบ CIPPA Model เรื่อง ชนิดและหน้าที่ของคำ มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน
ข กิตติกรรมประกาศ งานวิจัยเล่มนี้สำเร็จลุล่วงได้ด้วยความกรุณาจาก ผู้ช่วยศาสตราจารย์กมลมาลย์ รักศรีอักษร ที่ปรึกษาที่กรุณาให้คำปรึกษา ขัดเกลาข้อมูล ตลอดจนชี้แนะแนวทางในการทำวิจัย ทั้งยังให้แนวคิด ใหม่ ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อการวิจัยในครั้งนี้ และดูแลให้กำลังใจผู้วิจัยด้วยความเอาใจใส่เสมอมา ขอขอบพระคุณคณาจารย์สาขาวิชาภาษาไทยทุกท่าน และอาจารย์คณะครุศาสตร์ทุกคนที่ให้ คำแนะนำเกี่ยวกับเครื่องมือและเอกสารในการทำวิจัย และเสียสละเวลาให้คำปรึกษาที่เป็นประโยชน์ เป็นอย่างยิ่งในการทำวิจัยครั้งนี้ ขอขอบพระคุณ คุณครูอมรฤทธิ์แฝงทรัพย์คุณครูกฤษดา อุดมศักดิ์และคุณครูกีรติกา ขุลีดี ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญในการตรวจเครื่องมือต่าง ๆ ที่ใช้ประกอบการเก็บข้อมูลวิจัยในครั้งนี้ ขอขอบพระคุณ ผู้อำนวยการ คณะครูและนักเรียนโรงเรียนประจักษ์ศิลปาคาร ที่ให้ความ ร่วมมือและ อนุญาตให้ผู้วิจัยศึกษาบริบทโรงเรียนและการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ในชั้นเรียน รวมทั้งให้ ข้อมูลในการ วิจัยครั้งนี้ ขอขอบพระคุณ บิดา มารดา รวมทั้งญาติพี่น้องทุกท่าน ที่คอยให้คำชี้แนะ คอยให้ความรัก ความห่วงใย รวมทั้งช่วยเหลือในด้านทุนทรัพย์ และให้กำลังใจผู้วิจัยเสมอมา ขอขอบคุณเพื่อนสาขาวิชาภาษาไทย ชั้นปีที่ ๕ ทุกคนที่ให้กำลังใจ ให้คำแนะนำที่ดี และคอย สอบถามความก้าวหน้าของงานวิจัยด้วยความปรารถนาดีตลอดมา ณัฐกานต์ ศรีสุวรรณ
ค สารบัญ เรื่อง หน้า บทคัดย่อ………………………………………….………………………………………………………………… ก กิตติกรรมประกาศ………………………………………………………………………………………………. ข สารบัญ........................................................................................................................... ค สารบัญภาพ……………………………………………………………………………………………………….. ช สารบัญตาราง…………………………………………………………………………………………………….. ซ บทที่ ๑ บทนำ……………………………………………………………………..…………………………….. ๑ ๑.๑ ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา........................................................................๑ ๑.๒ วัตถุประสงค์การวิจัย....................................................................................................... ๔ ๑.๓ สมมติฐานการวิจัย.......................................................................................................... ๔ ๑.๔ ขอบเขตของการวิจัย...................................................................................................... ๔ ๑.๔.๑ ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง................................................................................ ๔ ๑.๔.๒ เนื้อหาสาระที่ใช้ในการวิจัย............................................................................... ๕ ๑.๔.๓ ตัวแปรในการวิจัย............................................................................................. ๕ ๑.๔.๔ ระยะเวลาในการวิจัย......................................................................................... ๕ ๑.๕ นิยามศัพท์เฉพาะ............................................................................................................ ๕ ๑.๖ ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ............................................................................................. ๖ ๑.๗ กรอบแนวคิดของงานวิจัย............................................................................................... ๖ บทที่ ๒ เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง.......................................................................... ๘ ๒.๑ หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑......................................................... ๘ ๒.๑.๑ หลักการของหลักสูตร........................................................................................ ๘ ๒.๑.๒ สาระและมาตรฐานการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย........................... ๙ ๒.๑.๓ ตัวชี้วัดชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย............................ ๙ ๒.๑.๔ การจัดการเรียนรู้............................................................................................... ๑๐ ๒.๑.๕ สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน................................................................................ ๑๒ ๒.๑.๖ คุณลักษณะอันพึงประสงค์................................................................................ ๑๒ ๒.๑.๗ คุณภาพของผู้เรียนเมื่อจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓.............................................. ๑๒
ง สารบัญ (ต่อ) เรื่อง หน้า ๒.๒ ชนิดของคำในภาษาไทย.................................................................................................. ๑๔ ๒.๒.๑ ความหมายของคำ............................................................................................... ๑๔ ๒.๒.๒ ความหมายของชนิดของคำ................................................................................. ๑๕ ๒.๒.๓ การจำแนกชนิดของคำ........................................................................................ ๑๕ ๒.๓ รูปแบบการเรียนการสอนแบบซิปปา (CIPPA Model).................................................... ๑๙ ๒.๓.๑ ความหมายของรูปแบบการเรียนการสอนแบบซิปปา (CIPPA Model)............. ๒๐ ๒.๓.๒ ประวัติความเป็นมาของการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบซิปปาโมเดล............... ๒๓ ๒.๓.๓ ทฤษฎีหลักการ แนวคิดของรูปแบบซิปปาโมเดล.............................................. ๒๕ ๒.๓.๔ กระบวนการเรียนการสอนแบบซิปปาโมเดล...................................................... ๒๖ ๒.๓.๕ การจัดการเรียนการสอนโดยใช้หลักซิปปา......................................................... ๒๘ ๒.๓.๖ ผลการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบซิปปา.......................................................... ๓๐ ๒.๔ งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง.......................................................................................................... ๓๖ ๒.๔.๑ งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับชนิดของคำกับการจัดกระบวนการเรียนรู้โดยใช้ CIPPA Model............................................................................................................................. ๓๖ ๒.๔.๒ งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการจัดกระบวนการเรียนรู้โดยใช้ CIPPA Model กับหลักภาษาไทย............................................................................................................ ๓๗ บทที่ ๓ วิธีการดำเนินการวิจัย.............................................................................................. ๓๙ ๓.๑ กลุ่มเป้าหมาย.............................................................................................. ๓๙ ๓.๒ แบบแผนการทดลอง....................................................................................................... ๓๙ ๓.๓ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย.................................................................................................. ๔๐ ๓.๓.๑ แผนการจัดการเรียนรู้วิชาภาษาไทย................................................................... ๔๐ ๓.๓.๒ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย........................................ ๔๐ ๓.๔ การสร้างและหาคุณภาพของเครื่องมือ ๔๐ ๓.๔.๑ แผนการจัดการเรียนรู้วิชาภาษาไทย................................................................... ๔๐ ๓.๔.๒ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย........................................ ๔๒ ๓.๕ การเก็บรวบรวมข้อมูล ๔๓
จ สารบัญ (ต่อ) เรื่อง หน้า ๓.๖ การวิเคราะห์ข้อมูล.......................................................................................................... ๔๔ ๓.๗ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล........................................................................................ ๔๔ ๓.๗.๑ สถิติพื้นฐาน........................................................................................................ ๔๔ ๓.๗.๒ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์คุณภาพของเครื่องมือ.................................................. ๔๕ ๓.๗.๓ สถิติที่ใช้ทดสอบสมมติฐาน................................................................................ ๔๗ บทที่ ๔ ผลการวิเคราะห์ข้อมูล.............................................................................................. ๔๙ ๔.๑ สัญลักษณ์ที่ใช้ในการเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล........................................................... ๔๙ ๔.๒ ผลการวิเคราะห์ข้อมูล..................................................................................................... ๕๐ บทที่ ๕ สรุปผล อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ.................................................................... ๕๖ ๕.๑ วัตถุประสงค์ของการวิจัย................................................................................................ ๕๖ ๕.๒ สมมติฐานของการวิจัย.................................................................................................... ๕๖ ๕.๓ สรุปผลการวิจัย............................................................................................................... ๕๗ ๕.๔ อภิปรายผลการวิจัย......................................................................................................... ๕๗ ๕.๕ ข้อเสนอแนะ................................................................................................................... ๕๘ ๕.๕.๑ ข้อเสนอแนะในการนำไปใช้............................................................................... ๕๘ ๕.๕.๒ ข้อเสนอแนะในการศึกษาครั้งต่อไป................................................................... ๕๘ บรรณานุกรม......................................................................................................................... ๖๐ ภาคผนวก ภาคผนวก ก รายชื่อผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ภาคผนวก ข ข้อมูลแสดงความสอดคล้องของเครื่องมือ ภาคผนวก ค แผนการจัดการเรียนรู้ ภาคผนวก ง แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย ภาคผนวก จ ภาพการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ภาคผนวก ฉ ผลงานนักเรียน
ฉ สารบัญภาพ เรื่อง หน้า ภาพที่ ๑ กรอบแนวคิดของงานวิจัย........................................................................................ ๗
ช สารบัญตาราง เรื่อง หน้า ตารางที่ ๑ แบบแผนการทดลอง........................................................................................... ๔๙ ตารางที่ ๒ แสดงคะแนนก่อนเรียน คะแนนระหว่างเรียน และคะแนนหลังเรียน.................. ๕๐ ตารางที่ ๓ แสดงประสิทธิภาพของผลการจัดการเรียนรู้....................................................... ๕๒ ตารางที่ ๔ แสดงผลรวมคะแนนเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และร้อยละของคะแนน ก่อนเรียน และหลังเรียน..................................................................................... ๕๓ ตารางที่ ๕ แสดงค่าดัชนีประสิทธิผลในการเรียนรู้ของการจัดกระบวนการเรียน................... ๕๔ ตารางที่ ๖ แสดงคะแนนเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบทีแบบไม่อิสระและ ระดับนัยสำคัญทางสถิติของการทดสอบวัดผลสัมฤทธิ......................................... ๕๔
บทที่ ๑ บทนำ ๑.๑ ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา ภาษาไทยเป็นเอกลักษณ์ประจำชาติ เป็นสมบัติทางวัฒนธรรมอันก่อให้เกิดความเป็นเอกภาพ และความเป็นไทย เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการติดต่อสื่อสารเพื่อสร้างความเข้าใจต่อกันอีกทั้งยังเป็น เครื่องมือในการแสวงหาความรู้และประสบการณ์จากแหล่งข้อมูลสารสนเทศต่างๆเพื่อพัฒนาความรู้ ความคิดให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีนอกจากนี้ภาษาไทยยัง เป็นสื่อที่แสดงถึงภูมิปัญญาของบรรพบุรุษด้านวัฒนธรรมและประเพณี ดังนั้นภาษาจึงเป็นสมบัติของ ชาติที่ควรค่าแก่การอนุรักษ์และสืบสานให้คงอยู่ต่อไป กำชัย ทองหล่อ (๒๕๕๒: ๑) ได้ให้ความหมายของ หลักภาษา ไว้ว่า หลักภาษา คือวิชาที่ว่า ด้วยระเบียบการใช้อักษร การเขียนอ่าน การใช้คำ ความหมายของคำ การเรียงคำ และที่มาของคำ ซึ่งมีวิวัฒนาการไปในลักษณะต่าง ๆ ดังนั้นจึงสำคัญยิ่งที่ผู้สื่อสารควรได้รู้และทราบถึงหลักของ ภาษาไทย เพื่อที่จะนำไปปรับใช้ให้ถูกหลักไวยากรณ์ และส่งเสริมการใช้ภาษาไทยให้ถูกต้องอีกด้วย ดังคำกล่าวของ กรมวิชาการ (๒๕๔๕: ๓-๖) ภาษาไทยเป็นเอกลักษณ์ประจำชาติ เป็นสมบัติทาง วัฒนธรรมอันก่อให้เกิดความเป็นเอกภาพ และเสริมสร้างบุคลิกภาพของคนในชาติให้มีความเป็นไทย เป็นเครื่องมือในการติดต่อสื่อสาร เพื่อสร้างความเข้าใจและความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ทำให้สามารถ ประกอบกิจธุรการงาน และดำรงชีวิตร่วมกันในสังคมประชาธิปไตยได้อย่างสันติสุข และเป็นเครื่องมือ ในการแสวงหาความรู้ ประสบการณ์ จากแหล่งข้อมูลสารสนเทศต่างๆ เพื่อพัฒนาความรู้ความคิด วิจารณ์และสร้างสรรค์ให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี จากความสำคัญของหลักภาษาและการใช้ภาษาไทย เป็นสิ่งที่ทำให้ทุกคนควรตระหนัก และ ต้องนำภาษาไปใช้ให้ถูกต้อง ในการจัดกระบวนการเรียนการสอนก็เช่นกัน นักเรียนทุกระดับชั้น ต้องมี ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับหลักภาษาในเรื่องต่าง ๆ เช่น พยัญชนะ สระ วรรณยุกต์ เสียงในภาษาไทย การสร้างคำ ประโยค รวมไปถึงเรื่องชนิดของคำ เนื่องจากคำแต่ละคำมีความหมาย ซึ่งความหมายของ คำจะปรากฏชัดเมื่ออยู่ในประโยค การสังเกตตำแหน่งและหน้าที่ของคำในประโยค จะทำให้ทราบ ชนิดและความหมายของคำนั้น ๆ ด้วย ดังนั้นการศึกษาหน้าที่และชนิดของคำในประโยคจึงมี ความสำคัญมาก เพราะจะช่วยให้เราสามารถใช้คำได้ถูกต้องตรงตามหน้าที่และสื่อความหมายตามที่ ต้องการ โดย วัลยา ช้างขวัญยืน และคณะ (๒๕๔๙: ๑) ได้ให้นิยามของ คำ ว่าหมายถึงหน่วยย่อยที่สุด ในภาษาที่เจ้าของภาษารู้จักและใช้ในการพูดและการเขียน คำเป็นหน่วยภาษาที่สามารถใช้ตามลำพัง เพื่อสื่อสารได้ การเรียนรู้ คำ เป็นรากฐานในการเรียนรู้ภาษาทั้งระบบต่อไป และ พระยาอุปกิตศิลป สาร (๒๕๔๖ : ๗๐) ได้กล่าวไว้อีกว่า ภาษาไทยเรามักเป็นคำโดด ๆ ไม่มีที่สังเกตแน่นอนว่าเป็นคำชนิด
๒ ใด คำชนิดหนึ่งจะนำไปใช้เป็นอีกชนิดหนึ่งก็ได้ แล้วแต่รูปของประโยค ดังนั้นจึงควรสังเกตว่าการที่ แยกชนิดของคำออกเป็นชนิด ๆ นั้นก็เพื่อจะให้รู้ว่าต้นรากของคำนั้น ๆ ว่าเป็นคำชนิดใดจะได้นำไปใช้ ให้ถูกหน้าที่ ซึ่งพระยาอุปกิตศิลปสาร (๒๕๔๖: ๗๐) ได้แบ่งชนิดของคำเป็น ๗ ชนิด ได้แก่ คำนาม คำ สรรพนาม คำกริยา คำวิเศษณ์ คำบุพบท คำสันธาน คำสันธาน และคำอุทาน โดยคำแต่ละชนิดมี ลักษณะ และหน้าที่แตกต่างกันออกไป การเรียนรู้เรื่องชนิดและหน้าที่ของคำจึงจำเป็นอย่างยิ่งในการ ใช้ภาษาติดต่อสื่อสารกัน ชนิดของคำ เป็นเรื่องที่สำคัญในการเรียนรู้พื้นฐานของการใช้ภาษา กระทรวงศึกษาธิการจึง ได้บรรจุเนื้อหาเรื่องชนิดของคำ ไว้ในหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน ๒๕๕๑ วิชาภาษาไทย สาระการเรียนรู้ที่ ๔ หลักการใช้ภาษาไทย มาตรฐาน ท ๔.๑ เข้าใจธรรมชาติของภาษาและหลัก ภาษาไทย การเปลี่ยนแปลงของภาษาและพลังของภาษา ภูมิปัญญาทางภาษาและรักษาภาษาไทยไว้ เป็นสมบัติของชาติสำหรับระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ เนื้อหาเรื่องชนิดและหน้าที่ของคำ จึงจัดอยู่ใน ตัวชี้วัด ท ๔.๑ ม.๑/๓ วิเคราะห์ชนิดและหน้าที่ของคำในประโยค เมื่อโรงเรียนได้นำหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน ๒๕๕๑ มาเป็นหลักในการ จัดการเรียนรู้ ผู้สอนจึงได้กระบวนการเรียนการสอนเรื่อง ชนิดและหน้าที่ของคำ สำหรับชั้น มัธยมศึกษา ปีที่ ๑ โดยมีการจัดกระบวนการเรียนการสอนนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ โรงเรียน ประจักษ์ศิลปาคาร อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี เมื่อได้สอบถามและสังเกตการณ์การใช้คำ ของนักเรียนจากงาน ที่ผู้สอนมอบหมายให้ พบว่านักเรียนมีผลสัมฤทธิ์การเรียนค่อนข้างต่ำ ซึ่ง นักเรียนมีปัญหาในการแยกชนิดของคำอยู่ เช่น เมื่อกำหนดประโยค แล้วให้นักเรียนแยกคำแต่ละชนิด จากประโยค ปรากฏว่านักเรียนไม่สามารถแยกชนิดของคำได้ทุกคำ ตัวอย่างเช่น คำว่า “ขัน” สามารถเป็นได้ทั้งคำนาม และคำกริยา ขึ้นอยู่กับบริบทของประโยค แต่นักเรียนส่วนใหญ่ยังแยกชนิด และหน้าที่ของคำว่า “ขัน” ไม่ถูกต้อง ดังนั้นเมื่อนักเรียนแยกชนิดของคำได้ไม่ถูกจึงส่งผลทำให้ใช้นำ คำไปใช้ผิดหน้าที่ ก็จะทำให้เกิดการเข้าใจที่คลาดเคลื่อนระหว่างผู้รับสารและผู้ส่งสารได้ จากปัญหาที่พบในการจัดการเรียนการสอนหลักภาษาไทย เรื่อง ชนิดของคำ ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ ๑ ที่ผ่านมาพบว่านักเรียนมีปัญหาในด้านเนื้อหาในด้านหลักภาษา ที่เป็นกฎเกณฑ์ เป็นแบบแผนต้องอาศัยความแม่นยำในเนื้อหา ซึ่งเป็นเรื่องยากสำหรับนักเรียน และครูที่ไม่มีวิธีการ สอน หรือสื่อการสอนที่หลากหลาย ย่อมทำให้การเรียนการสอนหลักภาษาไม่น่าสนใจ ปัญหาเหล่านี้ ทำให้นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานและมีทัศนคติที่ไม่ดีต่อการเรียนหลัก ภาษา การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ของนักเรียนในเรื่อง ชนิดและหน้าที่ของคำ ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ต้องมีการปรับเนื้อหาให้เข้าใจง่าย ครูผู้สอนต้องค้นคว้าหากิจกรรม หรือรูปแบบการสอนมาช่วยใน การสร้างความรู้ให้กับนักเรียน ผู้วิจัยจึงได้ศึกษารูปแบบการเรียนการสอนซิปปา ( CIPPA Model) ซึ่งทิศนา แขมมณี (๒๕๕๙: ๒๘๔) อธิบายว่า รูปแบบการเรียนการสอนซิปปา คือ รูปแบบที่ยึดหลัก
๓ การเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ช่วยให้ผู้เรียนได้มีส่วนร่วมในกระบวนการเรียนรู้มี ปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นและสิ่งแวดล้อม มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลความรู้ ความคิดเห็นและประสบการณ์ ผู้เรียนได้เรียนรู้กระบวนการต่าง ๆ ร่วมกับการผลิตผลงานซึ่งมีความคิดสร้างสรรค์ที่หลากหลายและ สามารถนำความรู้ไปใช้ในชีวิตประจำวัน อีกทั้งผู้เรียนเป็นผู้สร้างองค์ความรู้ด้วยตนเองจึงสามารถ จดจำเนื้อหาความรู้ที่ได้รับได้เป็นอย่างดี รูปแบบการเรียนการสอนแบบซิปปา (CIPPA Model) มีทั้งหมด ๗ ขั้น คือ ขั้นที่ ๑ ขั้นการ ทบทวนความรู้เดิม ขั้นที่ ๒ ขั้นการแสวงหาความรู้ใหม่ ขั้นที่ ๓ ขั้นการศึกษาทำความเข้าใจ ข้อมูล/ ความรู้ใหม่ และเชื่อมโยงความรู้ใหม่กับความรู้เดิม ขั้นที่ ๔ ขั้นการแลกเปลี่ยนความรู้ ความเข้าใจกับกลุ่ม ขั้นที่ ๕ ขั้นการสรุปและจัดระเบียบความรู้ ขั้นที่ ๖ ขั้นการปฏิบัติและ/หรือการ แสดงผลงาน และขั้นที่ ๗ ขั้นการประยุกต์ใช้ความรู้ ทั้งนี้สามารถนำหลักการดังกล่าวนี้ไปใช้ในการจัด กระบวนการเรียนรู้ได้อย่างหลากหลายเนื่องจากเป็นการเรียนรู้ที่ผ่านกระบวนการคิด กลั่นกรองโดย ผู้เรียนเอง ผู้เรียนเกิดความเข้าใจจดจำในสิ่งที่ตนเองเรียนรู้ และมีการฝึกฝนนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ ในสถานการณ์ต่าง ๆ ได้ นอกจากนี้ยังได้พัฒนาทักษะในการคิดวิเคราะห์ การคิดสร้างสรรค์ การสื่อสาร รวมทั้งเกิดการใฝ่รู้โดยอาศัยความร่วมมือจากกลุ่ม หรือจากเพื่อนในชั้นเรียนเดียวกันด้วย ดังนั้นการจัดกระบวนการเรียนรู้ เรื่อง ชนิดและหน้าที่ของคำ โดยใช้รูปแบบการเรียน การสอนซิปปา (CIPPA Model) จะช่วยให้ผู้เรียนเกิดความรู้ความเข้าใจมากขึ้น และสามารถพัฒนา ผลสัมฤทธิ์ในเรื่อง ชนิดและหน้าที่ของคำได้ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของ สมหวัง บำรุงพันธุ์ (๒๕๕๒: ๒) ได้ศึกษาการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและการเขียนเชิงสร้างสรรค์ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ เรื่อง ชนิดของคำ โดยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามรูปแบบ CIPPA ผลการวิจัย พบว่า แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ภาษาไทย โดยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามรูปแบบ CIPPA สูงกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้ นอกจากนี้ พระมหาคชา ปราณีตพลกรัง (๒๕๖๐: ๑) ได้ศึกษาการเปรียบเทียบ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทยเรื่อง ชนิดของคำ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ ระหว่างวิธี สอนแบบซิปปา (CIPPA MODEL) กับวิธีสอนแบบปกติ ผลการศึกษา พบว่า ๑) ผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนวิชาภาษาไทยเรื่อง ชนิดของคำ กลุ่มที่ได้รับการสอนโดยวิธีสอนแบบซิปปามีผลสัมฤทธิ์สูงกว่า กลุ่มที่ได้รับการสอนโดยวิธีสอนแบบปกติ ทั้งนี้บรรยากาศในการเรียนโดยใช้กระบวนการซิปปาเป็นไป ด้วยความสนุกสนาน นักเรียนให้ความสนใจในกิจกรรมที่ครูจัดขึ้นมากกว่าการเรียนแบบบรรยาย นักเรียนได้ลงมือทำกิจกรรมด้วยตนเองแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างกลุ่มทำให้สามารถสร้างความรู้เพื่อ นำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้ จากเหตุผลข้างต้น ผู้วิจัยจึงสนใจพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่อง ชนิดและ หน้าที่ของคำ โดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้ CIPPA Model ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ โรงเรียนประจักษ์ศิลปาคาร อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานีเพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องชนิดและหน้าที่ของคำ โดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้รูปแบบ CIPPA Model ให้มี
๔ ประสิทธิภาพตามเกณฑ์ ๗๕/๗๕ และเพื่อเพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่องชนิดและหน้าที่ของคำก่อนและหลังเรียน โดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้รูปแบบ CIPPA Model ซึ่งผลการศึกษานี้จะนำไปสู่แนวทางการพัฒนาการจัดกระบวนการเรียนในเนื้อหาอื่น ๆ ให้มี ความหลากหลายและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ๑.๒ วัตถุประสงค์การวิจัย ๑.๒.๑ เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่องชนิดและหน้าที่ของคำ โดยใช้ กระบวนการจัดการเรียนรู้รูปแบบ CIPPA Model ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ โรงเรียน ประจักษ์ศิลปาคาร ๑.๒.๒ เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่องชนิดและหน้าที่ของคำ ก่อนและหลังเรียน โดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้รูปแบบ CIPPA Model ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ ๑ โรงเรียนประจักษ์ศิลปาคาร ๑.๓ สมมติฐานการวิจัย ๑.๓.๑ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่องชนิดและหน้าที่ของคำ ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ ๑ โรงเรียนประจักษ์ศิลปาคาร ที่เรียนโดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้รูปแบบ CIPPA Model มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ ๘๐/๘๐ ๑.๓.๒ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่องชนิดและหน้าที่ของคำ ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ ๑ โรงเรียนประจักษ์ศิลปาคาร ที่เรียนโดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้รูปแบบ CIPPA Model มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน ๑.๔ ขอบเขตของการวิจัย ๑.๔.๑ กลุ่มเป้าหมาย กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑/๗ ที่ กำลังศึกษาในภาคเรียนที่ ๒ ปีการศึกษา ๒๕๖๖ โรงเรียนประจักษ์ศิลปาคาร อ.เมืองอุดรธานี จ. อุดรธานี จำนวน ๑ ห้อง ๓๘ คน ที่ได้มาด้วยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) ๑.๔.๒ เนื้อหาสาระที่ใช้ในการวิจัย เนื้อหาสาระของการวิจัยครั้งนี้ คือ การจัดการเรียนรู้หลักวิชาภาษาไทย ดำเนินการ ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ สาระที่ ๔ หลักการใช้ภาษาไทย มาตรฐาน ท ๔.๑ เข้าใจธรรมชาติของภาษาและหลักภาษาไทย การเปลี่ยนแปลงของภาษา และพลัง ของภาษา ภูมิปัญญาทางภาษา และรักษาภาษาไทยไว้เป็นสมบัติของชาติ ซึ่งในการวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยใช้
๕ แผนการจัดการเรียนรู้ ๕ แผน แผนละ ๑ คาบ มีดังนี้ แผนการจัดการเรียนรู้ที่ ๑ คำนาม แผนการจัดการเรียนรู้ที่ ๒ คำสรรพนาม แผนการจัดการเรียนรู้ที่ ๓ คำกริยาและคำอุทาน แผนการจัดการเรียนรู้ที่ ๔ คำวิเศษณ์ แผนการจัดการเรียนรู้ที่ ๕ คำสันธานและคำบุพบท ๑.๔.๓ ตัวแปรในการวิจัย ในการวิจัยครั้งนี้มีตัวแปร ดังนี้ ๑.๔.๓.๑ ตัวแปรต้น คือ การสอนภาษาไทย เรื่อง ชนิดและหน้าที่ของคำ โดยมี การใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้รูปแบบ CIPPA Model ๑.๔.๓.๒ ตัวแปรตาม คือ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่องชนิดและ หน้าที่ของคำ ๑.๔.๔ ระยะเวลาในการวิจัย ในการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ดำเนินการวิจัยในภาคเรียนที่ ๒ ปีการศึกษา ๒๕๖๖ ซึ่งจัด กิจกรรมทั้งหมด ๕ แผน แผนละ ๑ คาบ รวม ๕ คาบ สัปดาห์ละ ๓ คาบ ระยะเวลาทั้งสิ้น ๔ สัปดาห์ ๑.๕ นิยามศัพท์เฉพาะ ๑.๕.๑ กระบวนการจัดการเรียนรู้รูปแบบ CIPPA Model หมายถึง รูปแบบการสอนที่เน้น ผู้เรียนเป็นสำคัญ โดยผู้เรียนจะเป็นผู้สร้างความรู้และเรียนรู้ด้วยตนเอง อีกทั้งยังส่งเสริมการสร้าง ปฏิสัมพันธ์ระหว่างตนเองและผู้อื่น มี ๗ ขั้นตอน ดังนี้ ขั้นที่ ๑ ขั้นการทบทวนความรู้เดิม ขั้นที่ ๒ ขั้น การแสวงหาความรู้ใหม่ ขั้นที่ ๓ ขั้นการศึกษาทำความเข้าใจข้อมูล/ความรู้ใหม่ และเชื่อมโยงความรู้ ใหม่กับความรู้เดิม ขั้นที่ ๔ ขั้นการแลกเปลี่ยนความรู้ความเข้าใจกับกลุ่ม ขั้นที่ ๕ ขั้นการสรุปและจัด ระเบียบความรู้ ขั้นที่ ๖ ขั้นการปฏิบัติ และ / หรือการแสดงผลงาน และขั้นที่ ๗ ขั้นการประยุกต์ใช้ ความรู้ โดยผู้สอนจะนำรูปแบบการสอนมาปรับใช้ในแผนการจัดการเรียนรู้ทั้ง ๕ แผน เพื่อที่จะ สามารถนำไปใช้พัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้ ให้นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่อง ชนิดและหน้าที่ของคำ หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน ๑.๕.๒ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ผลจากการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้กับ ผู้เรียนจากกิจกรรมการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ประเมินโดยใช้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ก่อน เรียนและหลังเรียน เมื่อมีการจัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้รูปแบบ CIPPA Model โดยมีผลคือ คะแนนหลังเรียนสูงขึ้นจากคะแนนทดสอบก่อนเรียน
๖ ๑.๕.๓ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่องชนิดและหน้าที่ของคำ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น เพื่อให้ผู้ทำการทดสอบแสดงพฤติกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งออกมา เป็นเครื่องมือวัดพฤติกรรมด้าน พุทธิพิสัยเป็นสติปัญญาของมนุษย์ว่ามีความรู้ใดแฝงอยู่บ้าง ข้อสอบปรนัย ๔ ตัวเลือก จำนวน ๓๐ ข้อ เป็นแบบทดสอบที่มีการพัฒนาด้วยการวิเคราะห์ จนมีคุณภาพทั้งทางด้านความเที่ยงตรง ความยากง่าย รวมไปถึงมีมาตรฐานทางด้านการดำเนินการสอบและแปลผลคะแนนที่ได้ ๑.๕.๔ แบบประเมิน หมายถึง แบบบันทึกข้อมูลผลลัพธ์ของการเรียนรู้เทียบกับเป้าหมาย ที่ต้องการ เพื่อให้ทราบว่ามีพฤติกรรมที่ต้องการกับระดับที่ผู้เข้าร่วมประเมินว่ามีอยู่มากน้อยเพียงใด พร้อมกำหนดแนวทางการแก้ไขปรับปรุง และทำการพัฒนาต่อไป ๑.๖ ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ ๑.๖.๑ เป็นแนวทางในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนและปรับปรุงการจัดกิจกรรม การเรียนการสอนเรื่อง ชนิดและหน้าที่ของคำ ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ๑.๖.๒ ได้แผนการจัดการเรียนรู้วิชาภาษาไทย เรื่อง เรื่องชนิดและหน้าที่ของคำ โดยใช้ กระบวนการจัดการเรียนรู้รูปแบบ CIPPA Model สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ ที่มี ประสิทธิภาพ ๑.๖.๓ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ มีความสามารถในการเข้าใจบทเรียนภาษาไทย เรื่อง ชนิดและหน้าที่ของคำได้ถูกต้อง และสามารถนำความรู้ที่ได้รับไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้
บทที่ ๒ เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ในบทนี้ ผู้วิจัยได้ทบทวนเอกสาร และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องในประเด็นต่างๆเพื่อนำมาพัฒนา ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่อง ชนิดและหน้าที่ของคำ โดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้ รูปแบบ CIPPA Model ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ โรงเรียนประจักษ์ศิลปาคาร อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี โดยผู้วิจัยได้ศึกษาค้นคว้าเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง โดยเรียงตามลำดับดังนี้ ๒.๑ หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ๒.๒ ชนิดและหน้าที่ของคำในภาษาไทย ๒.๓ รูปแบบการเรียนการสอนแบบซิปปา (CIPPA Model) ๒.๔ งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ๒.๑ หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ผู้วิจัยได้ศึกษาข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้น พื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิชาภาษาไทย ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้ ๒.๑.๑ หลักการของหลักสูตร กระทรวงศึกษาธิการ (๒๕๕๑: ๓) กล่าวว่า หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มีหลักการที่สำคัญ ดังนี้ ๑. เป็นหลักสูตรการศึกษาเพื่อความเป็นเอกภาพของชาติ มีจุดหมายและมาตรฐาน การเรียนรู้เป็นเป้าหมายสำหรับพัฒนาเด็กและเยาวชนให้มีความรู้ ทักษะ เจตคติ และคุณธรรม บนพื้นฐานของความเป็นไทยควบคู่กับความเป็นสากล ๒. เป็นหลักสูตรการศึกษาเพื่อปวงชน ที่ประชาชนทุกคนได้มีโอกาสได้รับการศึกษา อย่างเสมอภาค และมีคุณภาพ ๓. เป็นหลักสูตรการศึกษาที่สนองการกระจายอำนาจ ให้สังคมมีส่วนร่วมในการ จัดการศึกษาให้สอดคล้องกับสภาพและความต้องการของท้องถิ่น
๘ ๔. เป็นหลักสูตรการศึกษาที่มีโครงสร้างยืดหยุ่นทั้งด้านสาระการเรียนรู้ เวลา และ การจัดการเรียนรู้ ๕. เป็นหลักสูตรการศึกษาที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ๖. เป็นหลักสูตรการศึกษาสำหรับการศึกษาในระบบ นอกระบบ และตามอัธยาศัย ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย สามารถเทียบโอนผลการเรียนรู้ และประสบการณ์ ๒.๑.๒ สาระและมาตรฐานการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย กระทรวงศึกษาธิการ (๒๕๕๑: ๙) กล่าวว่า หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน กำหนดมาตรฐานการเรียนรู้ในกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ดังนี้ สาระที่ ๑ การอ่าน มาตรฐาน ท ๑.๑ ใช้กระบวนการอ่านสร้างความรู้และความคิดเพื่อนำไปใช้ตัดสินใจ แก้ปัญหาในการดำเนินชีวิตและมีนิสัยรักการอ่าน สาระที่ ๒ การเขียน มาตรฐาน ท ๒.๑ ใช้กระบวนการเขียน เขียนสื่อสาร เขียนเรียงความ ย่อความ และ เขียนเรื่องราวในรูปแบบต่าง ๆ เขียนรายงานข้อมูลสารสนเทศ และรายงานการศึกษาค้นคว้าอย่างมีประสิทธิภาพ สาระที่ ๓ การฟัง การดู และการพูด มาตรฐาน ท ๓.๑ สามารถเลือกฟัง และดูอย่างมีวิจารณญาณ และพูดแสดงความรู้ ความคิด ความรู้สึกในโอกาสต่างๆ อย่างมีวิจารณญาณ และ สร้างสรรค์ สาระที่ ๔ หลักการใช้ภาษาไทย มาตรฐาน ท ๔.๑ เข้าใจธรรมชาติของภาษาและหลักภาษาไทย การเปลี่ยนแปลง ของภาษาและพลังของภาษา ภูมิปัญญาทางภาษา และรักษา ภาษาไทยไว้เป็นสมบัติของชาติ
๙ สาระที่ ๕ วรรณคดีและวรรณกรรม มาตรฐาน ท ๕.๑ เข้าใจและแสดงความคิดเห็น วิจารณ์วรรณคดีและวรรณกรรมไทย อย่างเห็นคุณค่าและนำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง ๒.๑.๓ ตัวชี้วัดชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย สำหรับการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่องชนิดและหน้าที่ของคำ โดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้รูปแบบ CIPPA Model ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ โรงเรียน ประจักษ์ศิลปาคาร มีความเกี่ยวข้องสอดคล้องกับหลักการใช้ภาษาไทยซึ่งนั่นก็คือ สาระที่ ๔ หลักการ ใช้ภาษาไทย โดยมีลักษณะดังต่อไปนี้ สาระที่ ๔ หลักการใช้ภาษาไทย มาตรฐาน ท ๔.๑ เข้าใจธรรมชาติของภาษาและหลักภาษาไทย การเปลี่ยนแปลงของภาษาและ พลังของภาษา ภูมิปัญญาทางภาษา และรักษาภาษาไทยไว้เป็นสมบัติของชาติ ๑. อธิบายลักษณะของเสียงในภาษาไทย ๒. สร้างคำในภาษาไทย ๓. วิเคราะห์ชนิดและหน้าที่ของคำในประโยค ๔. วิเคราะห์ความแตกต่างของภาษาพูดและภาษาเขียน ๕. แต่งบทร้อยกรอง ๖. จำแนกและใช้สำนวนที่เป็นคำพังเพย และสุภาษิต ๒.๑.๔ การจัดการเรียนรู้ กระทรวงศึกษาธิการ (๒๕๕๑: ๒๐) ได้กล่าวว่า การจัดการเรียนรู้เป็นกระบวนการ สำคัญในการนำหลักสูตรสู่การปฏิบัติ ซึ่งหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานนั้น เป็นหลักสูตรที่มี มาตรฐานการเรียนรู้ สมรรถนะสำคัญและคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของผู้เรียน เป็นเป้าหมายสำหรับ พัฒนาเด็กและเยาวชนในการพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณสมบัติตามเป้าหมายหลักสูตร ครูผู้สอนพยายาม คัดสรร กระบวนการเรียนรู้ จัดการเรียนรู้โดยช่วยให้ผู้เรียนเรียนรู้ผ่านสาระที่กำหนดไว้ในหลักสูตร ๘ กลุ่มสาระการเรียนรู้ รวมทั้งปลูกฝังเสริมสร้างคุณลักษณะอันพึงประสงค์ พัฒนาทักษะต่าง ๆ อันเป็นสมรรถนะสำคัญให้ผู้เรียนบรรลุตามเป้าหมาย
๑๐ ๑. หลักการจัดการเรียนรู้ การจัดการเรียนรู้เพื่อให้ผู้เรียนได้มีความรู้ ความสามารถตามมาตรฐานการเรียนรู้ สมรรถนะ สำคัญ และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ตามที่กำหนดไว้ในหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยยึดหลักว่าผู้เรียนมีความสำคัญที่สุด เชื่อว่าทุกคนมีความสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ยึด ประโยชน์ที่เกิดกับผู้เรียน กระบวนการจัดการเรียนรู้ต้องส่งเสริมให้ผู้เรียน สามารถพัฒนาตาม ธรรมชาติและเต็มตามศักยภาพ คำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคลและพัฒนาการทางสมอง เน้น ให้ความสำคัญทั้งความรู้ และคุณธรรม ๒. กระบวนการเรียนรู้ การจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ผู้เรียนจะต้องอาศัยกระบวนการเรียนรู้ที่ หลากหลาย เป็นเครื่องมือที่จะนำพาตนเองไปสู่เป้าหมายของหลักสูตร กระบวนการเรียนรู้ที่จำเป็น สำหรับผู้เรียน อาทิ กระบวนการเรียนรู้แบบบูรณาการ กระบวนการสร้างความรู้กระบวนการคิด กระบวนการทางสังคม กระบวนการเผชิญสถานการณ์และแก้ปัญหา กระบวนการเรียนรู้จาก ประสบการณ์จริง กระบวนการปฏิบัติ ลงมือทำจริง กระบวนการจัดการ กระบวนการวิจัย กระบวนการเรียนรู้การเรียนรู้ของตนเอง กระบวนการพัฒนาลักษณะนิสัยกระบวนการเหล่านี้เป็น แนวทางในการจัดการเรียนรู้ที่ผู้เรียนควรได้รับการฝึกฝนพัฒนา เพราะจะสามารถช่วยให้ผู้เรียนเกิด การเรียนรู้ได้ดี บรรลุเป้าหมายของหลักสูตร ดังนั้นผู้สอนจึงจำเป็นต้องศึกษาทำความเข้าใจใน กระบวนการเรียนรู้ต่าง ๆ เพื่อให้สามารถเลือกใช้ในการจัดกระบวนการเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ๓. การออกแบบการจัดการเรียนรู้ ผู้สอนต้องศึกษาหลักสูตรสถานศึกษาให้เข้าใจถึงมาตรฐานการเรียนรู้ ตัวชี้วัด สมรรถนะ สำคัญของผู้เรียน คุณลักษณะอันพึงประสงค์ และสาระการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับผู้เรียน แล้วจึง พิจารณาออกแบบการจัดการเรียนรู้โดยเลือกใช้วิธีสอนและเทคนิคการสอน สื่อ/แหล่งเรียนรู้ การวัด และประเมินผล เพื่อให้ผู้เรียนได้พัฒนาเต็มตามศักยภาพและบรรลุตามเป้าหมายที่กำหนด ๔. บทบาทของผู้สอนและผู้เรียน การจัดการเรียนรู้เพื่อให้ผู้เรียนมีคุณภาพตามเป้าหมายของหลักสูตร ทั้งผู้สอนและผู้เรียนควร มีบทบาท ดังนี้ ๔.๑ บทบาทของผู้สอน ๑) ศึกษาวิเคราะห์ผู้เรียนเป็นรายบุคคล แล้วนำข้อมูลมาใช้ในการ วางแผนการจัดการเรียนรู้ที่ท้าทายความสามารถของผู้เรียน
๑๑ ๒) กำหนดเป้าหมายที่ต้องการให้เกิดขึ้นกับผู้เรียน ด้านความรู้และทักษะ กระบวนการ ที่เป็นความคิดรวบยอด หลักการ และความสัมพันธ์ รวมทั้งคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ๓) ออกแบบการเรียนรู้และจัดการเรียนรู้ที่ตอบสนองความแตกต่างระหว่าง บุคคลและพัฒนาการทางสมอง เพื่อนำผู้เรียนไปสู่เป้าหมาย ๔) จัดบรรยากาศที่เอื้อต่อการเรียนรู้ และมีส่วนดูแลช่วยเหลือผู้เรียนให้เกิด การเรียนรู้ ๕) จัดเตรียม และเลือกใช้สื่อให้เหมาะสมกับกิจกรรม นำภูมิปัญญาท้องถิ่น เทคโนโลยีที่เหมาะสมมาประยุกต์ใช้ในการจัดการเรียนการสอน ๖) ประเมินความก้าวหน้าของผู้เรียนด้วยวิธีการที่หลากหลาย เหมาะสมกับ ธรรมชาติของวิชาและระดับพัฒนาการของผู้เรียน ๗) วิเคราะห์ผลการประเมินมาใช้ในการซ่อมเสริมและพัฒนาผู้เรียน รวมทั้ง ปรับปรุงการจัดการเรียนการสอนของตนเอง ๔.๒ บทบาทของผู้เรียน ๑) กำหนดเป้าหมาย วางแผนและรับผิดชอบการเรียนรู้ของตนเอง ๒) เสาะแสวงหาความรู้ เข้าถึงแหล่งการเรียนรู้ วิเคราะห์ สังเคราะห์ ข้อความรู้ ตั้งคำถาม คิดหาคำตอบหรือหาแนวทางแก้ปัญหาด้วยวิธีการต่าง ๆ ๓) ลงมือปฏิบัติจริง สรุปสิ่งที่ได้เรียนรู้ด้วยตนเอง และนำความรู้ไปปรับใช้ ประยุกต์ใช้ในสถานการณ์ต่าง ๆ ๔) มีปฏิสัมพันธ์ ทำงาน ทำกิจกรรมร่วมกับกลุ่มและครู ๕) ประเมินและพัฒนากระบวนการเรียนรู้ของตนเองอย่างต่อเนื่อง ๒.๑.๕ สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน กระทรวงศึกษาธิการ (๒๕๕๑: ๔) กล่าวว่า หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งให้ผู้เรียนเกิดสมรรถนะสำคัญ ๕ ประการ ดังนี้ ๑. ความสามารถในการสื่อสาร เป็นความสามารถในการรับและส่งสาร มีวัฒนธรรม ในการใช้ภาษาถ่ายทอดความคิด ความรู้ความเข้าใจ ความรู้สึก และทัศนะของตนเองเพื่อ แลกเปลี่ยน ข้อมูลข่าวสารและประสบการณ์อันจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาตนเองและสังคม รวมทั้งการเจรจา ต่อรองเพื่อขจัดและลดปัญหาความขัดแย้งต่าง ๆ การเลือกรับหรือไม่รับข้อมูล ข่าวสารด้วยหลัก
๑๒ เหตุผลและความถูกต้อง ตลอดจนการเลือกใช้วิธีการสื่อสาร ที่มีประสิทธิภาพ โดยคำนึงถึงผลกระทบ ที่มีต่อตนเองและสังคม ๒. ความสามารถในการคิด เป็นความสามารถในการคิดวิเคราะห์ การคิดสังเคราะห์ การคิด อย่างสร้างสรรค์ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ และการคิดเป็นระบบ เพื่อนำไปสู่ การสร้าง องค์ความรู้หรือสารสนเทศเพื่อการตัดสินใจเกี่ยวกับตนเองและสังคมได้อย่างเหมาะสม ๓. ความสามารถในการแก้ปัญหา ที่เป็นความสามารถในการแก้ปัญหาและอุปสรรค ต่าง ๆ ที่เผชิญได้อย่างถูกต้องเหมาะสมบนพื้นฐานของหลักเหตุผล คุณธรรมและข้อมูล สารสนเทศ เข้าใจความสัมพันธ์และการเปลี่ยนแปลงของเหตุการณ์ต่าง ๆ ในสังคม แสวงหาความรู้ ประยุกต์ ความรู้มาใช้ในการป้องกันและแก้ไขปัญหา และมีการตัดสินใจที่มีประสิทธิภาพโดยคำนึงถึงผลกระทบ ที่เกิดขึ้นต่อตนเอง สังคม และสิ่งแวดล้อม ๔. ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิตเป็นความสามารถในการนำกระบวนการต่าง ๆ ไปใช้ในการดำเนินชีวิตประจำวัน การเรียนรู้ด้วยตนเอง การเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง การทำงาน และ การอยู่ร่วมกันในสังคมด้วยการสร้างเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างบุคคล การจัดการปัญหา และความขัดแย้งต่าง ๆ อย่างเหมาะสม การปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมและ สภาพแวดล้อม และการรู้จักหลีกเลี่ยงพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ที่ส่งผลกระทบต่อตนเองและผู้อื่น ๕. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี จะเป็นความสามารถในการเลือกและในการใช้ เทคโนโลยีด้านต่าง ๆ และมีทักษะกระบวนการทางเทคโนโลยี เพื่อการพัฒนาตนเองและสังคม ในด้านการเรียนรู้ การสื่อสาร การทำงาน การแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ ถูกต้อง เหมาะสม และมี คุณธรรม ๒.๑.๖ คุณลักษณะอันพึงประสงค์ กระทรวงศึกษาธิการ (๒๕๕๑: ๕) หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งที่จะ พัฒนาผู้เรียนให้มีคุณลักษณะอันพึงประสงค์ เพื่อให้สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้อย่างมีความสุข ในฐานะเป็นพลเมืองไทยและพลโลก ดังนี้ ๑. รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ๒. ซื่อสัตย์สุจริต ๓. มีวินัย ๔. ใฝ่เรียนรู้ ๕. อยู่อย่างพอเพียง ๖. มุ่งมั่นในการทำงาน
๑๓ ๗. รักความเป็นไทย ๘. มีจิตสาธารณะ นอกจากนี้ สถานศึกษาสามารถกำหนดคุณลักษณะอันพึงประสงค์เพิ่มเติม เพื่อจะให้มีความ สอดคล้องตามบริบทและจุดเน้นของตนเอง ๒.๑.๗ คุณภาพของผู้เรียนเมื่อจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ อ่านออกเสียงบทร้อยแก้ว และบทร้อยกรองเป็นทำนองเสนาะได้ถูกต้อง ทำให้เข้าใจ ในความหมายโดยตรงและความหมายโดยนัย จับใจความสำคัญและรายละเอียดของสิ่งที่อ่าน แสดงความคิดเห็นและข้อโต้แย้งเกี่ยวกับเรื่องที่อ่าน และเขียนกรอบแนวคิด ผังความคิด ย่อความ เขียนรายงานจากสิ่งที่อ่านได้ วิเคราะห์ วิจารณ์ อย่างมีเหตุผล ลำดับความอย่างมีขั้นตอน และความ เป็นไปได้ของเรื่องที่อ่าน รวมทั้งประเมินความถูกต้องของข้อมูลที่ใช้สนับสนุนจากเรื่องที่อ่าน เขียนสื่อสารด้วยลายมือที่ทำให้อ่านง่ายชัดเจนโดยใช้ถ้อยคำได้ถูกต้องเหมาะสม ตามระดับภาษา เขียนคำขวัญ คำคม คำอวยพรในโอกาสต่าง ๆ โฆษณา คติพจน์ สุนทรพจน์ ชีวประวัติ อัตชีวประวัติ และประสบการณ์ต่าง ๆ เขียนย่อความ จดหมายกิจธุระ แบบกรอกสมัคร ง า น เขียนวิเคราะห์ วิจารณ์ และแสดงความรู้ความคิดหรือโต้แย้งอย่างมีเหตุผล ตลอดจนเขียนรายงาน การศึกษาค้นคว้าและเขียนโครงงาน พูดแสดงความคิดเห็น วิเคราะห์ วิจารณ์ ประเมินสิ่งที่ได้จากการฟังและดู นำข้อคิด ไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน พูดรายงานเรื่องหรือประเด็นที่ได้จากการศึกษาค้นคว้าอย่างเป็นระบบ มีศิลปะในการพูด พูดในโอกาสต่าง ๆ ได้ตรงตามวัตถุประสงค์ และพูดโน้มน้าวอย่างมีเหตุผล น่าเชื่อถือ รวมทั้งมีมารยาทในการฟัง ดู และพูด เข้าใจและใช้คำราชาศัพท์ คำบาลีสันสกฤต คำภาษาต่างประเทศอื่น ๆ คำทับศัพท์ และศัพท์บัญญัติในภาษาไทย วิเคราะห์ความแตกต่างในภาษาพูด ภาษาเขียน โครงสร้างของประโยค รวม ประโยคซ้อน ลักษณะภาษาที่เป็นทางการ กึ่งทางการและไม่เป็นทางการ และแต่งบทร้อยกรอง ประเภทกลอนสุภาพ กาพย์ และโคลงสี่สุภาพ สรุปเนื้อหาของวรรณคดีและวรรณกรรมที่อ่าน วิเคราะห์ตัวละครสำคัญ วิถีชีวิตไทย และคุณค่าที่ได้รับจากวรรณคดีวรรณกรรมและบทอาขยาน พร้อมทั้งสรุปความรู้ข้อคิดเพื่อนำไป ประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง จากการศึกษาข้อมูล ที่มีความเกี่ยวข้องกับหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิชาภาษาไทย จะเห็นได้ว่า หลักสูตรแกนกลางการศึกษา ขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ นี้ มีความสำคัญต่อการพัฒนาหลักสูตรและจัดการเรียนสอน
๑๔ เป็นอย่างมาก เนื่องจากเป็นแนวทางของครูผู้สอนทราบว่าถ้าสอนในระดับชั้นนั้น ๆ จะต้องสอน เนื้อหาอะไร และควรวัดผลอย่างไร อีกทั้งเป็นแนวทางให้ผู้วิจัยได้จัดทำแผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง ชนิดและหน้าที่ของคำเพื่อใช้ในการวิจัยในครั้งนี้อีกด้วย ๒.๒ ชนิดและหน้าที่ของคำในภาษาไทย การสื่อสารถ้าต้องการให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ผู้ส่งสารและผู้รับสารต้องมีความรู้ด้าน หลักภาษาและการใช้ภาษาไทยเป็นพื้นฐาน เนื่องจากความรู้เหล่านี้จะทำให้ผู้ส่งสารและผู้รับสาร ใช้ ภาษาได้อย่างถูกต้อง โดยเฉพาะเรื่อง ชนิดและหน้าที่ของคำในภาษาไทย ซึ่งผู้วิจัยได้ศึกษาเอกสาร ที่เกี่ยวข้องกับ ชนิดและหน้าที่ของคำในภาษาไทย ดังนี้ ๒.๒.๑ ความหมายของคำ จากการที่ผู้วิจัยได้ทำการศึกษาพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่องชนิดและหน้าที่ของคำ จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการศึกษาหน่วยที่ย่อยที่สุดเพื่อนำไปสู่ การจำแนกชนิดของคำนั่นคือความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับคำ พบว่าได้มีผู้กล่าวเกี่ยวกับคำไว้ดังนี้ ราชบัณฑิตยสถาน (๒๕๕๖: ๒๕๘) ให้ความหมายไว้ว่า คำ หมายถึง เสียงพูดซึ่งเสียง ที่เปล่งออกมาครั้งหนึ่ง ๆ เสียงพูดหรือลายลักษณ์อักษรที่เขียนหรือพิมพ์ขึ้นเพื่อแสดงความคิด โดยปกติถือว่าเป็นหน่วยที่เล็กที่สุดซึ่งมีความหมายในตัว ใช้ประกอบหน้าคำอื่น มีความหมายเช่นนั้น เช่น คำนาม คำกริยา คำบุพบท เป็นต้น วัลยา ช้างขวัญยืน (๒๕๔๙: ๑) ได้ให้ความหมายของ คำ ไว้ว่า หน่วยที่ย่อยที่สุด ในภาษาที่เจ้าของภาษารู้จักและใช้ในการพูดและเขียน คำเป็นหน่วยภาษาที่สามารถใช้ตาม ลำพัง เพื่อสื่อสารได้การเรียนรู้คำเป็นรากฐานในการเรียนรู้ภาษาทั้งระบบต่อไป พระยาอุปกิตศิลปสาร (๒๕๔๑: ๕๙) ได้มีการให้ความหมายของ คำ ไว้ในหนังสือ หลักภาษาไทยว่า คำ หมายถึง เสียงที่พูดออกมาได้ความว่าอย่างหนึ่งตามความจ้องการของผู้พูด จะเป็นกี่พยางค์ก็ตาม จากการที่ผู้วิจัยได้ศึกษาความหมายของคำแล้ว สามารถสรุปได้ว่า คำ หมายถึง หน่วยที่ย่อย และเล็กที่สุดของภาษาที่สื่อถึงความหมาย ซึ่งประกอบด้วยพยางค์หนึ่งพยางค์หรือมากกว่าปกติ แล้ว ในแต่ละคำจะมีรากศัพท์ของคำแสดงถึงความหมายและที่มาของคำนั้น โดยการนำคำหลายคำมา ประกอบกันจะทำให้เกิดวลีหรือประโยคซึ่งใช้สื่อความหมายให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้นไป
๑๕ ๒.๒.๒ ความหมายของชนิดของคำ จากการที่ผู้วิจัยได้ทำการศึกษา เรื่องชนิดและหน้าที่ของคำพบว่าได้มีผู้กล่าว เกี่ยวกับชนิดและหน้าที่ของคำไว้ดังนี้ พระยาอุปกิตศิลปสาร (๒๕๔๖ :๗๐) กล่าวว่า ภาษาไทยเรามักเป็นคำโดด ๆ ไม่มี ที่สังเกตแน่นอนว่าเป็นคำชนิดใด คำชนิดหนึ่งจะนำไปใช้เป็นอีกชนิดหนึ่งก็ได้ แล้วแต่รูปของประโยค ดังนั้นจึงควรสังเกตว่าการที่แยกชนิดของคำออกเป็นชนิด ๆ นั้นก็เพื่อจะให้รู้ว่าต้นรากของคำนั้น ๆ ว่าเป็นคำชนิดใดจะได้นำไปใช้ให้ถูกหน้าที่ ดังนั้นจึงสามารถสรุปได้ว่า คำแต่ละคำมีความหมายซึ่งจะปรากฏชัดเมื่ออยู่ในประโยค เราสามารถทราบชนิดและหน้าที่ของคำได้จากการสังเกตตำแหน่ง และหน้าที่ของคำจะทำให้เรา สามารถเกิดความเข้าใจคำและความหมายนั้น ๆ ด้วย เพราะฉะนั้นการศึกษาชนิดและหน้าที่ของคำ ในประโยคจึงมีความสำคัญมากเพราะจะช่วยให้สามารถใช้คำได้ถูกต้องตรงตามความหมายที่ต้องการ ๒.๒.๓ การจำแนกชนิดของคำ พระยาอุปกิตศิลปสาร (๒๕๔๑: ๗๐) ได้กล่าวว่าชนิดของคำในภาษาไทยจำแนกออกเป็น ชนิดต่าง ๆ ดังนี้ คำนาม คำสรรพนาม คำกริยา คำวิเศษณ์ คำบุพบท คำสันธาน คำอุทาน ดังนี้ ๑) คำนาม เป็นคำบอกชื่อ คน สัตว์ สิ่งของ เป็นต้น คำนามแบ่งเป็น ๕ พวก คือ (๑) สามานยนาม เป็นคำนามที่เป็นชื่อทั่วไป เช่น เมฆ ฝน คน ต้นไม้ แมว (๒) วิสามานยนาม เป็นคำนามที่ใช้เรียกชื่อเฉพาะ เช่น โบว์ เจี๊ยบ ปิ๋ว กิ่ง (๓) สมุหนาม เป็นคำนามที่ใช้เรียกชื่อคน สัตว์ สิ่งของ ที่จะรวมกันเป็นกลุ่ม เป็นหมวดหมู่ เช่น ฝูง คณะ บริษัท (๔) ลักษณนาม เป็นคำนามที่ใช้บอกลักษณะของคำสามานยนาม (๕) อาการนาม เป็นคำนามที่เกิดจากคำกริยา หรือคำวิเศษณ์ โดยที่มีคำว่า “การ” และ “ความ” นำหน้า หน้าที่ของคำนาม ๑. ประธานในประโยค เช่น แมวกินปลา นกเอี้ยง เลี้ยงความเฒ่า เป็นต้น ๒. เป็นกรรมในประโยค เช่น แม่จูงคุณยายข้ามถนน พ่อปลูกต้นกุหลาบ ๓. เป็นกรรมตรงและกรรมรอง เช่น น้องให้ขนมเพื่อน
๑๖ ๔. เป็นส่วนเติมเต็มของคำกริยา “เป็น เหมือน คล้าย เท่า คือ” เช่น ความรัก ชาติเป็นคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของนักเรียน มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร ๕. ขยายคำนามอื่น เช่น คุณน้าของฉันรับจ้างเย็บเสื้อผ้านักแสดง ๖. ขยายกริยา เพื่อบอกสถานที่ ทิศทาง หรือเวลา เช่น คุณพ่อไปห้างบิ๊กซี ๗. เป็นคำเรียกขาน เช่น กุ๊กกิกช่วยหยิบปากกา มาให้แม่หน่อย ๒) คำสรรพนาม เป็นคำใช้แทนชื่อ คน สัตว์ สิ่งของ เช่น ผม เธอ ท่านคุณ ข้าพเจ้า คำสรรพนามแบ่งได้ 6 ชนิด คือ (๑) บุรุษสรรพนาม เป็นสรรพนามใช้แทนผู้พูด ผู้ฟัง และผู้ที่กล่าวถึง (๒) ประพันธสรรพนาม เป็นสรรพนามที่ใช้เชื่อมประโยค ทำหน้าที่แทนคำนาม หรือ สรรพนามที่อยู่ข้างหน้า และยังทำหน้าที่เชื่อมประโยค โดยให้ประโยค ๒ ประโยค มีความเชื่อมกัน ได้แก่คำว่า ผู้ ที่ ซึ่ง อัน (๓) วิภาคสรรพนาม เป็นสรรพนามบอกความชี้ซ้ำที่จะมีการใช้แทนคำนาม หรือสรรพนาม ที่แยกออกเป็นส่วน ๆ หรือเป็นคน ๆ หรือพวก ได้แก่ บ้าง ต่าง กัน (๔) นิยมสรรพนาม เป็นสรรพนามที่ใช้แทนนามชี้เฉพาะเจาะจง หรือมีการ บอกความใกล้ ไกล ที่เป็นระยะทางให้ผู้พูดกับผู้ฟังเข้าใจกัน ได้แก่คำว่า นี่ นั่น โน่น นี้ นั้น โน้น (๕) อนิยมสรรพนาม เป็นสรรพนามที่ใช้แทนนามบอก และแสดงความไม่ชี้ เฉพาะเจาะจงที่แน่นอนลงไป ได้แก่ ใคร อะไร ที่ไหน ผู้ใด บางครั้งก็เป็นคำซ้ำ ๆ (๖) ปฤจฉาสรรพนาม เป็นสรรพนามใช้ถามที่ใช้แทนนาม ที่มีเนื้อความ เป็นคำถาม เช่น ใคร อะไร ผู้ใด ไหน ปฤจฉาสรรพนามต่างกับอนิยมสรรพนาม ก็คือ อนิยมสรรพนาม ใช้ในประโยคบอกเล่าหรือปฏิเสธ แต่ปฤจฉาสรรพนามใช้ในประโยคคำถาม หน้าที่ของคำสรรพนาม ๑. เป็นประธานของประโยค เช่น เธอไม่ไปด้วยหรือ แม่กินขนมหวาน ๒. เป็นกรรมของประโยค เช่น แม่พาใครมา คุณครูตรวจการบ้านให้น้อง มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร ๓. เป็นส่วนเติมเต็ม เช่น ลูกนิดหน่อยคล้ายเธอมาก ๔. เป็นกรรมรอง เช่น พ่อตีหมาใคร ๕. ขยายกริยา เช่น บ้านของเธออยู่ที่ไหน
๑๗ ๖. ใช้เชื่อมประโยค เช่น เขาเป็นครูที่ขยันสอนนักเรียนมาก ๓) คำกริยา คือคำที่แสดงอาการหรือแสดงสภาพของคำนาม หรือคำสรรพนาม เช่น นั่ง พูด กิน เดิน อ่าน เที่ยว นอน ทำ เขียน คำกริยาแบ่งได้ ๕ ชนิด คือ (๑) อกรรมกริยา คือ กริยาที่ไม่ต้องมีกรรมมารับก็ได้ใจความสมบูรณ์ (๒) สกรรมกริยา คือ กริยาที่มีกรรมมารับจึงจะได้ใจความ (๓) วิกตรรถกริยา เป็นกริยาที่ไม่มีความสมบูรณ์ในตัวเอง ต้องอาศัยคำนาม สรรพนาม หรือคำวิเศษณ์มาเติมข้างหลังหรือมาขยายจึงจะได้ใจความ (๔) กริยานุเคราะห์ คือกริยาช่วย เป็นค าที่ช่วยให้กริยาอื่นที่อยู่ข้างหลังได้ ความครบ เพื่อบอกกาลหรือบอกการกระทำให้สมบูรณ์ ได้แก่ กำลัง คง จะได้ ย่อม เคย ให้ แล้ว เสร็จ กริยานุเคราะห์จะวางอยู่หน้าคำกริยาสำคัญหรือหลังคำกริยาสำคัญก็ได้ (๕) กริยาสภาวมาลา คือ กริยาที่ทำหน้าที่เป็นคำนาม โดยจะเป็นประธาน กรรม หรือบทขยายของประโยคก็ได้ หน้าที่ของคำกริยา ๑. ทำหน้าที่เป็นภาคแสดงของประโยค เช่น พ่อกินข้าว ๒. ทำหน้าที่เป็นส่วนขยายของค านาม เช่น ภาพน้ำตกเจ็ดสีสวยมาก ปลา ตายอยู่ในกระซัง ๓. ทำหน้าที่ขยายกริยา เช่น คุณยายนั่งเล่นหน้าบ้าน ๔. ทำหน้าที่เหมือนคำนาม เช่น วิ่งทุกวันทำให้ร่างกายแข็งแรง ๔) คำวิเศษณ์ คือ คำที่ใช้ประกอบคำอื่นให้มีเนื้อความชัดเจนขึ้น เช่น สวย งาม ดี ชั่ว สด คำวิเศษณ์คำวิเศษณ์แบ่งเป็น ๑๐ ชนิด (๑) ลักษณวิเศษณ์เป็นคำวิเศษณ์ที่บอกลักษณะต่าง ๆ เช่น บอกชนิด สี ขนาด สัณฐาน กลิ่น รส บอกความรู้สึก เช่น ดี ชั่ว ใหญ่ เล็ก ขาว กลม หวาน ร้อน เย็น (๒) กาลวิเศษณ์ เป็นคำวิเศษณ์บอกเวลา เช่น เช้า สาย บ่าย เย็น อดีต โบราณ อนาคต (๓) สถานวิเศษณ์ เป็นคำวิเศษณ์บอกสถานที่ เช่น ใกล้ ไกล บน ล่าง เหนือ ใต้ ซ้าย ขวา
๑๘ (๔) ประมาณวิเศษณ์ เป็นคำวิเศษณ์บอกจำนวน หรือปริมาณ เช่น หนึ่ง สอง สาม สี่มาก น้อย ที่หนึ่ง ที่สอง หลาย ต่าง บรรดา บ้าง กัน คนละ (๕) นิยมวิเศษณ์ เป็นคำวิเศษณ์บอกความชี้เฉพาะ เช่น นี่ นั้น โน้น ทั้งนี้ ทั้งนั้น เอง เฉพาะ เทียว ดอก แน่นอน จริง (๖) อนิยมวิเศษณ์ เป็นคำวิเศษณ์ที่ประกอบบอกความไม่ชี้เฉพาะ เช่น ใด อื่น ๆ กี่ ไหน อะไร (๗) ปฤจฉาวิเศษณ์ เป็นคำวิเศษณ์บอกความถาม หรือความสงสัย เช่น ใด ไร ไหน อะไร ทำไมอย่างไร (๘) ประติชญาวิเศษณ์ เป็นคำวิเศษณ์ใช้แสดงการขานรับ หรือโต้ตอบ เช่น ครับ ขอรับ ขา คะ จ๋า โว้ย (๙) ประติเษธวิเศษณ์ เป็นคำวิเศษณ์แสดงความปฏิเสธ หรือไม่ยอมรับ เช่น ไม่ ไม่ใช่ มิใช่ มิได้ หาไม่ หามิได้ (๑๐) ประพันธวิเศษณ์ เป็นคำวิเศษณ์ประกอบคำกริยา หรือคำวิเศษณ์ เพื่อเชื่อมประโยคให้มีความเกี่ยวข้องกัน เช่น ที่ ซึ่ง อัน อย่างที่ชนิดที่ ที่ว่า เพื่อว่า ให้ หน้าที่ของคำวิเศษณ์ ๑. ทำหน้าที่ขยายคำนาม เช่น นักเรียนดีควรได้รับรางวัล ๒. ทำหน้าที่ขยายคำสรรพนาม เช่น ใครบ้างจะไปเที่ยว ๓. ทำหน้าที่ขยายคำกริยา เช่น เมื่อวานฝนตกหนัก ๔. ทำหน้าที่ขยายคำวิเศษณ์เช่น เมื่อวานฝนตกหนักมาก ๕) คำบุพบท คือ คำที่ใช้นำหน้าคำนาม คำสรรพนาม หรือคำกริยาที่ทำหน้าที่คล้ายคำนาม เพื่อบอกให้รู้หน้าที่ หรือตำแหน่งของคำเหล่านั้น เช่น ใน บน ของ ที่ จน คำบุพบทแบ่งเป็น ๒ ชนิด (๑) คำบุพบทที่ช่วยแสดงความสัมพันธ์ระหว่างคำต่อคำ เช่น ความสัมพันธ์ ระหว่างคำนามกับคำนาม คำนามกับคำสรรพนาม คำนามกับคำกริยา คำสรรพนามกับคำสรรพนาม คำสรรพนามกับคำกริยาคำกริยากับคำนาม คำกริยากับคำสรรพนาม คำกริยากับคำกริยา เพื่อบอก สถานการณ์ให้ชัดเจน (๒) คำบุพบทที่ไม่มีความสัมพันธ์กับคำอื่นส่วนมากจะอยู่ต้นประโยค มักใช้ เป็นการทักทาย มักใช้ในคำประพันธ์ เช่น ดูกร ดูก่อน ดูรา ช้าแต่ คำเหล่านี้ใช้นำหน้าคำนามหรือ
๑๙ สรรพนาม ดูกร ท่านพราพมณ์ ท่านจงสาธยายมนต์บูชาพระผู้เป็นเจ้าด้วย ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย การ เจริญวิปัสสนาเป็นการปฏิบัติธรรมของท่าน ดูรา สหายเอ๋ย ท่านจงทำตามคำที่เราบอกท่านเถิด ช้าแต่ ท่านทั้งหลาย ข้าพเจ้ายินดีมากที่ท่านมาร่วมงานในวันนี้ หน้าที่ของคำบุพบท ๑. คำบุพบทต้องนำหน้าคำนาม คำสรรพนาม คำกริยาสภาวมาลา เช่น น้องอยู่นอกห้อง ๒. ถ้าไม่มีคำนาม หรือคำสรรพนามตามหลังคำนั้นจะเป็นคำวิเศษณ์ เช่น ใครอยู่นอก เขานั่งหน้า ๖) คำสันธาน คือ คำที่ใช้เชื่อมคำหรือความให้เป็นเรื่องเดียวกัน เช่น และ จึง ถ้า เพราะ หน้าที่ของคำสันธาน ๑. เชื่อมความคล้อยตามกัน ได้แก่ และ…….กับทั้ง….ก็ทั้ง…... และทั้ง….กับ ถ้า….ก็จึง….ก็ครั้น….จึงครั้น…ก็ ๒. เชื่อมความขัดแย้งกัน ได้แก่ แต่ แต่ว่า แต่ทว่า ถึง…ก็แม้… ก็แม้… กระนั้น ๓. เชื่อมความเป็นเหตุผลต่อกันได้แก่ เพราะด้วย เพราะเหตุ ว่า ด้วยว่า เพราะว่า เพราะฉะนั้น จึง ฉะนั้นจึง ๔. เชื่อมความให้เลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่งได้แก่ หรือ มิฉะนั้น ไม่ก็ ๕. เชื่อมความต่างตอน ได้แก่ ฝ่าย ส่วนฝ่าย ว่า อนึ่ง อีก ประการหนึ่ง ๖. เชื่อมความเปรียบเทียบ ได้แก่ ดุจว่า ดังเหมือน เสมือน เท่ากับ คล้าย ๗. เชื่อมความแบ่งรับแบ่งสู้ ได้แก่ ถ้า ถ้าว่า ว่าแม้ แม้นแม้ ว่าไซร้ ๘. เชื่อมความให้สละสลวย ได้แก่ ทำไม กับ อย่างไรก็ดี อย่างไรก็ตาม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สุดแต่ว่า สักแต่ว่า ๗) คำอุทาน คือ คำที่เปล่งเสียงออกมาเพื่อแสดงความรู้สึกหรือ อารมณ์ เป็นคำที่เปล่ง ออกมาโดยมิได้ตั้งใจจะให้มีความหมายประการใด แต่สามารถสื่อให้ รู้สึกว่ามีความรู้สึก อย่างไร
๒๐ หน้าที่ของคำอุทาน ๑. บอกอาการเป็นคำอุทานที่ใช้แสดงอารมณ์และความรู้สึก ต่าง ๆ และ ต้องมีเครื่องหมาย ! (อัศเจรีย์) ยกเว้นในคำประพันธ์ประเภทร้อยกรอง เช่น ว้าย ! งูเง่า ๒. คำอุทานเสริมบท เป็นคำอุทานที่ใช้เสริมคำเดิมเพื่อที่จะให้ความหมาย ชัดเจนขึ้นหรือเสริมให้มีเสียงสละสลวยขึ้นโดยคำเสริมนี้ไม่มี ความหมายอะไร จึงไม่ต้อง มีเครื่องหมาย ! (อัศเจรีย์) และคำอุทานเสริมบทนี้อาจจะต่อเติมข้างหน้า ต่อท้าย หรือแทรกกลางคำก็ ได้ เช่น ถ้าเป็นไข้ก็กินหยูกกินยาซะนะ มาเงียบ ๆ ตกอกตกใจหมด สรุปได้ว่าชนิดและหน้าที่ของคำ หมายถึง ลักษณะของคำชนิดต่าง ๆ ที่ใช้แตกต่างกันออกไป ตามหน้าที่ ชนิดและหน้าที่ของคำในภาษาไทย สามารถแบ่งออกได้เป็น ๗ ชนิดได้แก่ คำนาม คำสรรพนาม คำกริยา คำวิเศษณ์ คำบุพบท คำสันธาน และคำอุทาน โดยคำแต่ละชนิดจะ มีชนิด จะมีรายละเอียดแยกย่อยตามชนิดต่าง ๆ มีหลักการใช้ที่ชัดเจน ซึ่งในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ จะเรียนชนิดและหน้าที่ของคำในภาษาไทยทั้ง ๗ ชนิด ในเรื่องของความหมายและการจำแนกคำชนิด นั้น ๒.๓ รูปแบบการเรียนการสอนแบบซิปปา (CIPPA Model) การจัดการเรียนรู้ในยุคปัจจุบัน ครูต้องเน้นกิจกรรมที่ทำให้ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง เพื่อให้ผู้เรียนได้เกิดทักษะต่าง ๆ และได้เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ด้วยตนเอง ดังที่ผู้วิจัยได้ศึกษาแนวคิด ของรูปแบบการเรียนการสอนแบบซิปปา (CIPPA MODEL) ซึ่งเป็นรูปแบบที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้ ๒.๓.๑ ความหมายของรูปแบบการเรียนการสอนแบบซิปปา (CIPPA Model) ในการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ศึกษารวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการจัดการเรียนรู้แบบ ซิปปาโมเดล ดังนี้ กรมวิชาการ (๒๕๕๔: ๖๗ - ๖๘) ได้กล่าวว่า การสอนแบบซิปปา (CIPPA) เป็นการจัด กิจกรรมการเรียนรู้ที่เน้นให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมต่าง ๆ และใช้กระบวนการกลุ่มช่วยในการ ตรวจสอบความรู้ ความเข้าใจ เพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามองค์ประกอบทั้ง ๕ คือ C - Construct การสร้างสรรค์ความรู้ด้วยตนเอง I - Interaction การมีปฏิสัมพันธ์กับบุคคลและสิ่งแวดล้อม P - Physical participation การมีส่วนร่วมในกิจกรรม ได้กระทำ / ปฏิบัติ ในกิจกรรมต่าง ๆ
๒๑ P - Process learning การเรียนรู้กระบวนการต่าง ๆ ที่เป็นทักษะพื้นฐาน เช่น กระบวนการปฏิบัติงานต่าง ๆ ที่เป็นขั้นตอน A - Application การนำความรู้ที่ได้รับไปประยุกต์ใช้ในสถานการณ์ต่าง ๆ ขั้นตอนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบซิปปา ประกอบด้วย ๑. ทบทวนความรู้เดิม ๒. แสวงหาความรู้ใหม่ ๓. เชื่อมโยงความรู้ใหม่กับความรู้เดิม ๔. แลกเปลี่ยนความรู้กับเพื่อนในกลุ่ม ๕. สรุปและจัดระเบียบความรู้ ๖. แสดงผลงาน ๗. ประยุกต์ใช้ความรู้ จุฬามาศ จันทร์ศรีสุคต (๒๕๕๔: ๗๔) ได้กล่าวว่า รูปแบบการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน รูปปแบบหนึ่งที่ได้รับความสนใจ และง่ายต่อการนำไปปฏิบัติคือ CIPPA Model ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้ C - construct คือ การให้ผู้เรียนสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง โดยการศึกษา ค้นคว้าหาข้อมูล ทำความเข้าใจ คิดวิเคราะห์ แปลความ ตีความ สร้างความหมาย สังเคราะห์ข้อมูล และสรุปเป็นความรู้ I - interaction คือ การให้ผู้เรียนได้มีปฏิสัมพันธ์ต่อกัน แลกเปลี่ยน และ เรียนรู้ข้อมูล ความคิด ประสบการณ์ซึ่งกันและกัน P - physical participation คือ การให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมทั้งในด้านร่างกาย อารมณ์ ปัญญาและสังคม ในการเรียนรู้ให้มากที่สุด P - process learning คือ การให้ผู้เรียนได้เรียนรู้กระบวนการและ มีผลงานจากการเรียนรู้ A - application คือ การให้ผู้เรียนนำความรู้ที่ได้ไปประยุกต์ใช้ ในชีวิตประจำวัน ทิศนา แขมมณี (๒๕๔๕: ๑๔) ได้กล่าวถึงความหมายของกระบวนการจัดการเรียนรู้ รูปแบบ CIPPA Model ว่าเป็นรูปแบบของการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญรูปแบบหนึ่ง ที่ได้รับความสนใจ ซึ่งมีความหมายตามตัวอักษร ดังนี้
๒๒ C มาจากคำว่า Construct มีความหมายว่า การสร้างความรู้ตามแนวคิด ของปรัชญา Constructivism กล่าวคือ กิจกรรมการเรียนรู้ที่ดี ควรเป็นกิจกรรมที่ช่วยให้ผู้เรียน มีโอกาส สร้างความรู้ด้วยตนเอง ซึ่งจะทำให้ผู้เรียนมีความเข้าใจและเกิดการเรียนรู้ที่มีความหมาย ต่อตนเอง การที่ผู้เรียนมีโอกาสได้สร้างความรู้ด้วยตนเองนี้เป็นกิจกรรมที่ช่วยให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมทาง สติปัญญา I มาจากคำว่า Interaction หมายถึงการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นหรือสิ่งแวดล้อม รอบตัวกิจกรรมการเรียนรู้ที่ดี จะต้องเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้เคลื่อนไหวทางร่างกาย โดยการทำ กิจกรรมในลักษณะต่าง ๆ P มาจากคำว่า Physical Participation หมายถึงการมีส่วนร่วมในกิจกรรม การเรียนรู้ทางกาย คือ ผู้เรียนมีโอกาสได้เคลื่อนไหวร่างกาย โดยทำกิจกรรมในลักษณะต่าง ๆ P มาจากคำว่า Process Learning หมายถึง การเรียนรู้กระบวนการต่าง ๆ กิจกรรมการเรียนรู้ที่ดีควรเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้เรียนรู้กระบวนการต่าง ๆ ซึ่งเป็นทักษะที่จำเป็น ต่อ การดำรงชีวิต เช่น กระบวนการแสวงหาความรู้ กระบวนการคิด กระบวนการแก้ปัญหา กระบวน การกลุ่ม กระบวนการพัฒนาตนเอง เป็นต้น การเรียนรู้กระบวนการเป็นสิ่งที่สำคัญเช่นเดียวกับ การเรียนรู้เนื้อหาสาระต่าง ๆ การเรียนรู้ทางด้านกระบวนการ เป็นการช่วยให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมทาง สติปัญญาอีกทางหนึ่ง A มาจากคำว่า Application หมายถึง การนำความรู้ที่ได้เรียนรู้ไปประยุกต์ ใช้ซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียนได้รับประโยชน์จากการเรียน และช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้เพิ่มเติม ขึ้นเรื่อย ๆ กิจกรรมการเรียนรู้ที่มีแต่เพียงการสอนเนื้อหาสาระให้ผู้เรียนเข้าใจ โดยขาดกิจกรรมการ นำความรู้ไปประยุกต์ใช้ จะทำให้ผู้เรียนขาดการเชื่อมโยงระหว่างทฤษฎีกับการปฏิบัติ ซึ่งจะทำให้ การเรียนรู้ไม่เกิดประโยชน์เท่าที่ควร การจัดกิจกรรมที่ช่วยให้ผู้เรียนสามารถนำความรู้ไปประยุกต์ใช้นี้ เท่ากับเป็นการช่วยให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนรู้ด้านใดด้านหนึ่งหรือหลาย ๆ ด้านแล้วแต่ ลักษณะของสาระและกิจกรรมที่จัด ขั้นตอนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบซิปปา ทิศนา แขมณี ได้กล่าวว่า ประกอบไปด้วยข้อมูล ดังนี้ ขั้นที่ ๑ การทบทวนความรู้เดิม ขั้นนี้เป็นการดึงความรู้เดิมของผู้เรียนในเรื่องที่จะเรียน เพื่อที่จะให้ ผู้เรียนมีความพร้อมในการเชื่อมโยงความรู้ใหม่กับความรู้เดิมของตน ซึ่งผู้สอนอาจใช้วิธีการต่าง ๆ ได้ อย่างหลากหลาย
๒๓ ขั้นที่ ๒ การแสวงหาความรู้ใหม่ ขั้นนี้เป็นการแสวงหาข้อมูลความรู้ใหม่ของผู้เรียนจากแหล่งข้อมูล หรือแหล่งความรู้ต่าง ๆ ซึ่งครูอาจจัดเตรียมมาให้ผู้เรียนหรือให้คำแนะนำเกี่ยวกับแหล่งข้อมูลต่าง ๆ เพื่อให้ผู้เรียนไปแสวงหาก็ได้ ขั้นที่ ๓ การศึกษาทำความเข้าใจข้อมูล/ความรู้ใหม่ และเชื่อมโยงความรู้ ใหม่กับความรู้เดิม ขั้นนี้จะเป็นขั้นที่ผู้เรียนจะต้องศึกษาและทำความเข้าใจกับข้อมูล/ ความรู้ที่หามาได้ ผู้เรียนจะต้องสร้างความหมายของข้อมูล/ประสบการณ์ใหม่ ๆ โดยใช้กระบวนการ ต่าง ๆ ด้วยตนเอง เช่น ใช้กระบวนการคิดและกระบวนการกลุ่มในการอภิปรายและสรุปความเข้าใจ เกี่ยวกับข้อมูลนั้น ๆ ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยการเชื่อมโยงกับความรู้เดิม ขั้นที่ ๔ การแลกเปลี่ยนความรู้ความเข้าใจกับกลุ่ม ขั้นนี้ต้องเป็นขั้นที่อาศัยกลุ่มเป็นเครื่องมือในการตรวจสอบความรู้ ความเข้าใจของตน รวมทั้งขยายความรู้ความเข้าใจของตนให้กว้างขึ้น ซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียนได้แบ่งปัน ความรู้ความเข้าใจของตนแก่ผู้อื่น และได้รับประโยชน์จากความรู้ ความเข้าใจของผู้อื่นไปพร้อม ๆ กัน ขั้นที่ ๕ การสรุปและจัดระเบียบความรู้ ขั้นนี้เป็นขั้นสรุปความรู้ที่ได้รับทั้งหมด ทั้งความรู้เดิมและความรู้ ใหม่ และจัดสิ่งที่เรียนให้เป็นระบบระเบียบเพื่อช่วยให้ผู้เรียนจดจำสิ่งที่เรียนรู้ได้ง่าย ขั้นที่ ๖ การปฏิบัติและ/หรือการแสดงผลงาน หากข้อความที่ได้เรียนรู้มาไม่มีการปฏิบัติ ขั้นนี้จะเป็นขั้นที่ช่วยให้ ผู้เรียนมีโอกาสได้แสดงผลงานการสร้างความรู้ของตนให้ผู้อื่นรับรู้ เป็นการช่วยให้ผู้เรียนได้ตอกย้ำหรือ ตรวจสอบความเข้าใจของตน และช่วยส่งเสริมให้ผู้เรียนใช้ความคิดสร้างสรรค์ แต่หากต้องมี การปฏิบัติตามข้อความรู้ที่ได้ ขั้นนี้จะเป็นขั้นปฏิบัติและมีการแสดงผลงานที่ได้ปฏิบัติด้วย ขั้นที่ ๗ การประยุกต์ใช้ความรู้ ขั้นนี้เป็นขั้นของการส่งเสริมที่ให้ผู้เรียนได้ฝึกฝนการนำความรู้และ ความเข้าใจของตนไปใช้ในสถานการณ์ต่าง ๆ ที่หลากหลายเพื่อเพิ่มความชำนาญ ความเข้าใจ ความสามารถในการแก้ปัญหาและความจำในเรื่องนั้น ๆ หลังจากการประยุกต์ใช้ความรู้ ควรจะต้องมี การนำเสนอผลงานจากการประยุกต์อีกครั้งก็ได้ หรืออาจไม่มีการนำเสนอผลงานในขั้นที่ ๖ แต่นำมา รวมแสดงในตอนท้ายหลังขั้นการประยุกต์ใช้ก็ได้เช่นกัน
๒๔ กล่าวได้ว่า การจัดการเรียนการสอนตาม CIPPA Model เป็นกระบวนการจัดการเรียนรู้ ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ โดยสามารถส่งเสริมให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนรู้ทั้งทางด้านกาย สติปัญญา และสังคม ส่วนการมีส่วนร่วมทางด้านอารมณ์นั้น ความจริงแล้วมีเกิดขึ้นควบคู่ไปกับทุก ด้าน ไม่ว่าจะเป็นทางด้านกาย สติปัญญา และสังคม ซึ่งหากครูสามารถจัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้ ผู้เรียนได้ตามหลักดังกล่าวแล้ว การจัดการเรียนการสอน ของครูก็จะมีลักษณะที่ผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง อย่างแท้จริง ด้วยเหตุนี้ผู้วิจัยจึงเลือกรูปแบบซิปปาโมเดลในการวิจัยในครั้งนี้ โดยยึดหลักกระบวนการ ของซิปปา และพัฒนาให้มีความเหมาะสมและสอดคล้องกับการเรียนรู้ภาษาไทยและบริบทของ นักเรียนให้มากที่สุด ซึ่งกระบวนการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้นนี้ประกอบไปด้วย ๗ ขั้นตอน ดังนี้ ๑) การทบทวนความรู้เดิม ๒) การแสวงหาความรู้ใหม่ ๓) การทำความเข้าใจกับข้อมูล / เชื่อมโยงความรู้ใหม่กับความรู้เดิม ๔) แลกเปลี่ยนความรู้กับเพื่อนในกลุ่ม ๕) สรุปและจัดระเบียบความรู้ ๖) การปฏิบัติ / แสดงผลงาน ๗) ประยุกต์ใช้ความรู้ ๒.๓.๒ ประวัติความเป็นมาของการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบซิปปาโมเดล ในการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ศึกษารวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของ การจัดการเรียนรู้แบบซิปปาโมเดล ดังนี้ ไสว ฟักขาว (๒๕๔๒: ๒๓๗-๒๓๘) ได้กล่าวว่า เมื่อครั้งที่มีการเปลี่ยนแปลงหลักสูตร ประถมศึกษา พุทธศักราช ๒๕๐๓ เป็นหลักสูตรพุทธศักราช ๒๕๒๑ แนวคิดเรื่องการเรียนการสอน โดยเน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง นับเป็นแนวคิดหลักของการเปลี่ยนแปลง หลักสูตรฉบับดังกล่าว ได้ส่งเสริมให้ครู เปลี่ยนแนวการจัดการเรียนการสอนจากการบรรยาย บอกเล่า มาเป็นการจัดกิจกรรม ต่าง ๆ ให้ผู้เรียน มีส่วนร่วม ประมาณปีพุทธศักราช ๒๕๓๘ เมื่อเริ่มมีการปฏิรูปทางการเมืองเกิดขึ้น วงการศึกษา ก็ได้มีการเคลื่อนไหวให้มีการปฏิรูปการศึกษาอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งส่งผลทำให้เกิดพระราชบัญญัติ การศึกษาขึ้น การปฏิรูปครั้งนี้มีประเด็นสำคัญเกี่ยวกับการปฏิรูปการเรียนการสอนที่ชัดเจน และกระบวนการจัดการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม หรือการจัดการเรียนการสอนแบบผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง ก็ยังเป็นประเด็นสำคัญที่ต้องส่งเสริมกันอย่างเข้มแข็งต่อไป
๒๕ นับว่าเป็นเรื่องที่ประหลาดใจที่แม้ว่าเวลาจะผ่านไปแล้วเกือบ ๒๐ ปี นับตั้งแต่ การเปลี่ยนแปลงหลักสูตร แต่แนวคิดเดิมในเรื่องการสอนแบบผู้เรียนเป็นศูนย์กลางก็ยังคงอยู่ แสดงให้ เห็นว่าแนวคิดดังกล่าวยังไม่เกิดผลในทางปฏิบัติในระดับที่เป็นที่น่าพอใจ จึงเป็นเรื่องที่ควรวิเคราะห์ หาสาเหตุ เพื่อเป็นแนวทางในการแก้ปัญหาต่อไป สาเหตุที่ครูยังไม่เปลี่ยนแปลงทางพฤติกรรมการสอนจากที่ครูเป็นศูนย์กลางมาเป็น ผู้เรียนเป็นศูนย์กลางนั้นคงมีมากมายหลายประการ แต่สาเหตุหนึ่งก็คือ ครูขาดความรู้ความเข้าใจ และขาดแนวทางที่ชัดเจนในการดำเนินการ ทิศนา แขมมณี (๒๕๔๑) จึงได้เสนอแนวคิดและแนวทาง ที่อาจช่วยครูในการจัดการเรียนการสอนขึ้นเรียกว่า CIPPA Model การจัดการเรียนการสอนแบบเน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลางนั้นก็คือ การจัดกิจกรรม การเรียนการสอนที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมนั้น ทั้งทางร่างกาย สติปัญญา สังคม และอารมณ์ การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนเพื่อให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมนั้นไม่ใช่หมายความแต่เพียงว่า ให้ผู้เรียนได้ทำกิจกรรมอะไร ๆ ก็ได้ที่ผู้เรียนชอบ กิจกรรมที่ครูจัดให้ผู้เรียนจะต้องเป็น กิจกรรม ที่นำไปสู่การเรียนรู้ตามจุดประสงค์ที่ตั้งไว้ และเป็นกิจกรรมที่ช่วยให้ผู้เรียนมีส่วนร่วม ทั้งทางด้านร่างกาย สติปัญญา สังคม และอารมณ์ จึงจะสามารถทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้ดี ดังนั้น ครูที่จะสอนผู้เรียนโดยยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง จึงจำเป็นที่จะต้องออกแบบ กิจกรรมการเรียนการสอน ให้มีลักษณะดังนี้ ๑. เป็นกิจกรรมที่ช่วยให้ผู้เรียนได้มีส่วนร่วมทางด้านร่างกาย (Physical Participation) คือ เป็นกิจกรรมที่ช่วยให้ผู้เรียนได้มีโอกาสเคลื่อนไหวร่างกาย เพื่อช่วยให้ประสาท การรับรู้ของผู้เรียนตื่นตัว พร้อมที่จะรับข้อมูลและการเรียนรู้ต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้น การรับรู้เป็นปัจจัย สำคัญในการเรียนรู้ หากผู้เรียนไม่มีความพร้อมในการรับรู้ แม้จะมีการให้ความรู้ที่ดี ๆ ผู้เรียนก็ไม่ สามารถรับได้ ซึ่งจะเห็นได้จากเหตุการณ์ที่พบได้เสมอ ๆ คือ หากผู้เรียนต้องนั่งนาน ๆ ไม่ช้าผู้เรียน อาจหลับไป หรือคิดไปเรื่องอื่น ๆ ได้ การเคลื่อนไหวทางกายมีส่วนช่วยให้ประสาทรับรู้ตื่นตัว พร้อมที่ จะรับและเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ได้ดี ดังนั้นกิจกรรมที่จัดให้ผู้เรียน จึงควรเป็นกิจกรรมที่ช่วยให้ ผู้เรียนได้ เคลื่อนไหว ในลักษณะใดลักษณะหนึ่งเป็นระยะ ๆ ตามความเหมาะสมกับวัยและระดับ ความสนใจ ของผู้เรียน ๒. มีกิจกรรมที่จะช่วยให้ผู้เรียนได้มีส่วนร่วมทางสติปัญญา (Intellectual - Participation) คือ เป็นกิจกรรมที่ช่วยให้ผู้เรียนเกิดความเคลื่อนไหวทางสติปัญญาหรือพูดง่าย ๆ ว่าเป็นกิจกรรมที่ท้าทายความคิดของผู้เรียน ซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียนเกิดความจดจ่อในการคิด สนุก ที่จะคิด ดังนั้นกิจกรรมจะมีลักษณะดังกล่าวได้ ก็จะต้องมีเรื่องให้ผู้เรียนคิด โดยเรื่องนั้นจะต้องไม่ง่าย และไม่ยากเกินไปสำหรับผู้เรียน เพราะถ้าง่ายเกินไปผู้เรียนก็ไม่จำเป็นต้องใช้ความคิด แต่ถ้ายาก เกินไป ผู้เรียนก็จะเกิดความท้อถอยที่จะคิด ดังนั้นครูจึงต้องหาประเด็นที่เหมาะสมกับวัย และ ความสามารถของผู้เรียน เพื่อกระตุ้นให้ผู้เรียนใช้ความคิดหรือลงมือทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
๒๖ ๓. เป็นกิจกรรมช่วยให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมทางสังคม (Social Participation) คือ เป็นกิจกรรมที่ช่วยให้ผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมกับบุคคลหรือสิ่งแวดล้อมรอบตัว เนื่องจาก มนุษย์เป็นสัตว์สังคมที่อาศัยรวมกันหรือเป็นหมู่คณะ มนุษย์โดยทั่วไปจะต้องเรียนรู้ที่จะปรับตัว เข้า กับบริบทต่าง ๆ การเปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น จะช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ ทางสังคม ซึ่งจะส่งผลถึงการเรียนรู้ทางด้านอื่น ๆ ด้วย ดังนั้นกิจกรรมการเรียนรู้ที่ดี จึงควรเป็น กิจกรรมที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากสิ่งแวดล้อมรอบตัวด้วย ๔. เป็นกิจกรรมที่สามารถช่วยให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมทางอารมณ์ (Emotional Participation) คือ กิจกรรมที่ส่งผลต่ออารมณ์ความรู้สึกของผู้เรียน ซึ่งจะช่วยให้การเรียนรู้นั้น เกิดความหมายต่อตนเอง กิจกรรมที่ส่งผลต่อความรู้สึกของผู้เรียนนั้น มันจะเป็นกิจกรรมที่เกี่ยวข้อง กับชีวิตประสบการณ์ และความเป็นจริงของผู้เรียนจะต้องเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับตัวผู้เรียนโดยตรงหรือ ใกล้ตัวผู้เรียน จากการศึกษาประวัติความเป็นมาของการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบซิปปา พบว่าเป็น รูปแบบการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ได้รับแนวคิดจาก ทิศนา แขมมณีซึ่งเป็นรูปแบบการจัด กิจกรรม การเรียนรู้ที่เน้นผู้เป็นเป็นศูนย์กลาง มีกิจกรรมที่ให้ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติ จึงได้รับการยอมรับ เป็น อย่างมากในปัจจุบัน ครูผู้สอนจึงได้นำรูปแบบนี้มาใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ๒.๓.๓ ทฤษฎี หลักการ แนวคิดของรูปแบบซิปปาโมเดล ในการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ศึกษารวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับทฤษฎี หลักการ แนวคิดของ การจัดการเรียนรู้แบบซิปปาโมเดล ดังนี้ ทิศนา แขมมณี (๒๕๔๓: ๑๗-๒๐) ได้พัฒนารูปแบบนี้ขึ้นจากประสบการณ์ที่ได้ใช้ แนวคิดทางการศึกษาต่าง ๆ ในการสอนมาเป็นเวลาประมาณ ๓๐ ปี และพบว่าแนวคิดจำนวนหนึ่ง สามารถใช้ได้ผลดีตลอดมา ผู้เขียนจึงได้นำแนวคิดเหล่านั้นมาประสานกันทำให้เกิดเป็นแบบแผนขึ้น แนวคิดดังกล่าว ได้แก่ (๑) แนวคิดการสร้างความรู้ (๒) แนวคิดเกี่ยวกับกระบวนการกลุ่มและการเรียนรู้แบบร่วมมือ (๓) แนวคิดเกี่ยวกับความพร้อมในการเรียนรู้ (๔) แนวคิดเกี่ยวกับการเรียนรู้กระบวนการ (๕) แนวคิดเกี่ยวกับการถ่ายโอนความรู้ ทิศนา แขมมณี ได้ใช้แนวคิดเหล่านี้ใช้ในการจัดการเรียนการสอน โดยจัดกิจกรรม การเรียนรู้ในลักษณะที่ให้ผู้เรียนเป็นผู้สร้างความรู้ด้วยตนเอง (construction of knowledge)
๒๗ ซึ่งนอกจากผู้เรียนจะต้องเรียนด้วยตนเองและพึ่งตนเองแล้ว ยังต้องพึ่งการปฏิสัมพันธ์ (interaction) กับเพื่อน บุคคลอื่น ๆ และสิ่งแวดล้อมรอบตัวด้วย รวมทั้งต้องอาศัยทักษะกระบวนการ (process - skills) ต่าง ๆ จำนวนมากเป็นเครื่องมือในการสร้างความรู้ นอกจากนั้นการเรียนรู้จะเป็นไปอย่าง ต่อเนื่องได้ดี หากผู้เรียนมีความพร้อมในการรับรู้และเรียนรู้ มีประสาทการรับรู้ที่ตื่นตัว ไม่เฉื่อยชา ซึ่งสิ่งที่สามารถช่วยให้ผู้เรียนอยู่ในสภาพดังกล่าวได้ก็คือ การให้มีการเคลื่อนไหวทางกายอย่าง เหมาะสม กิจกรรมที่มีลักษณะดังกล่าวจะช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้ดีเป็นการเรียนรู้ที่มี ความหมายต่อตนเอง และความรู้ความเข้าใจที่เกิดขึ้นจะมีความลึกซึ้งและอยู่คงทนมากขึ้น หาก ผู้เรียนมีโอกาสนำความรู้นั้นไปประยุกต์ใช้ในสภาพการณ์ที่หลากหลาย ด้วยแนวคิดดังกล่าว จึงเกิด แบบแผน “CIPPA” ขึ้น ซึ่งผู้สอนสามารถนาแนวคิดทั้ง ๕ ดังกล่าวไปใช้เป็นหลักในการจัดกิจกรรม การเรียนการสอนโดยยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลางให้มีคุณภาพได้ กล่าวได้ว่า ทฤษฎี หลักการ และแนวคิดของรูปแบบซิปปา (CIPPA Model) มุ่งพัฒนาผู้เรียน ให้เกิดความรู้ความเข้าใจในเรื่องที่เรียนอย่างแท้จริง โดยให้ผู้เรียนสร้างความรู้ ด้วยตนเองโดยอาศัย ความร่วมมือจากกลุ่ม นอกจากนั้นยังช่วยพัฒนาทักษะกระบวนการต่าง ๆ จำนวนมาก อาทิ กระบวนการคิด กระบวนการกลุ่ม กระบวนการปฏิสัมพันธ์ทางสังคม และกระบวนการแสวงหา ความรู้ เป็นต้น ๒.๓.๔ กระบวนการเรียนการสอนแบบซิปปาโมเดล ในการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ศึกษารวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับกระบวนการจัดการเรียนรู้ แบบซิปปาโมเดล ดังนี้ กรมวิชาการ (๒๕๕๔: ๖๗ - ๖๘) ได้กล่าวถึงกระบวนการเรียนการสอนแบบซิปปา (CIPPA) ไว้ดังนี้ ขั้นตอนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบซิปปา ประกอบด้วย ๑. ทบทวนความรู้เดิม ๒. แสวงหาความรู้ใหม่ ๓. เชื่อมโยงความรู้ใหม่กับความรู้เดิม ๔. แลกเปลี่ยนความรู้กับเพื่อนในกลุ่ม ๕. สรุปและจัดระเบียบความรู้ ๖. แสดงผลงาน
๒๘ ๗. ประยุกต์ใช้ความรู้ ทิศนา แขมมณี (๒๕๕๙: ๒๘๓ - ๒๘๔) ได้กล่าวไว้ว่า ซิปปา (CIPPA) เป็นสิ่งนี้จะ มีหลักการซึ่งสามารถนำไปใช้เป็นหลักในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ต่าง ๆ ให้แก่ผู้เรียน การจัด กระบวนการเรียน การสอนตามหลัก “CIPPA” นี้สามารถใช้วิธีการและกระบวนการที่หลากหลาย ซึ่ง อาจจัดเป็นแบบแผนได้หลายรูปแบบ รูปแบบหนึ่งที่ผู้เขียนได้นำเสนอไว้และได้มีการนำไปทดลองใช้ แล้วได้ผลดี ประกอบด้วยขั้นตอนการดำเนินการ ๗ ขั้นตอน ดังนี้ ขั้นที่ ๑ การทบทวนความรู้เดิม ขั้นนี้เป็นการดึงความรู้เดิมของผู้เรียนในเรื่องที่จะเรียน เพื่อที่จะให้ ผู้เรียนมีความพร้อมในการเชื่อมโยงความรู้ใหม่กับความรู้เดิมของตน ซึ่งผู้สอนอาจใช้วิธีการต่าง ๆ ได้ อย่างหลากหลาย ขั้นที่ ๒ การแสวงหาความรู้ใหม่ ขั้นนี้เป็นการแสวงหาข้อมูลความรู้ใหม่ของผู้เรียนจากแหล่งข้อมูล หรือแหล่งความรู้ต่าง ๆ ซึ่งครูอาจจัดเตรียมมาให้ผู้เรียนหรือให้คำแนะนำเกี่ยวกับแหล่งข้อมูลต่าง ๆ เพื่อให้ผู้เรียนไปแสวงหาก็ได้ ขั้นที่ ๓ การศึกษาทำความเข้าใจข้อมูล/ความรู้ใหม่ และเชื่อมโยงความรู้ ใหม่กับความรู้เดิม ขั้นนี้เป็นขั้นที่ผู้เรียนจะต้องศึกษาและทำความเข้าใจกับข้อมูล/ ความรู้ที่หามาได้ ผู้เรียนจะต้องสร้างความหมายของข้อมูล/ประสบการณ์ใหม่ ๆ โดยใช้กระบวนการ ต่าง ๆ ด้วยตนเอง เช่น ใช้กระบวนการคิดและกระบวนการกลุ่มในการอภิปรายและสรุปความเข้าใจ เกี่ยวกับข้อมูลนั้น ๆ ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยการเชื่อมโยงกับความรู้เดิม ขั้นที่ ๔ การแลกเปลี่ยนความรู้ความเข้าใจกับกลุ่ม ขั้นนี้ต้องเป็นขั้นที่อาศัยกลุ่มเป็นเครื่องมือในการตรวจสอบความรู้ ความเข้าใจของตน รวมทั้งขยายความรู้ความเข้าใจของตนให้กว้างขึ้น ซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียนได้แบ่งปัน ความรู้ความเข้าใจของตนแก่ผู้อื่น และได้รับประโยชน์จากความรู้ ความเข้าใจของผู้อื่นไปพร้อม ๆ กัน ขั้นที่ ๕ การสรุปและจัดระเบียบความรู้ ขั้นนี้เป็นขั้นสรุปความรู้ที่ได้รับทั้งหมด ทั้งความรู้เดิมและความรู้ ใหม่ และจัดสิ่งที่เรียนให้เป็นระบบระเบียบเพื่อช่วยให้ผู้เรียนจดจำสิ่งที่เรียนรู้ได้ง่าย ขั้นที่ ๖ การปฏิบัติและ/หรือการแสดงผลงาน
๒๙ หากข้อความที่ได้เรียนรู้มาไม่มีการปฏิบัติ ขั้นนี้จะเป็นขั้นที่ช่วยให้ ผู้เรียนมีโอกาสได้แสดงผลงานการสร้างความรู้ของตนให้ผู้อื่นรับรู้ เป็นการช่วยให้ผู้เรียนได้ตอกย้ำหรือ ตรวจสอบความเข้าใจของตน และช่วยส่งเสริมให้ผู้เรียนใช้ความคิดสร้างสรรค์ แต่หากต้องมี การปฏิบัติตามข้อความรู้ที่ได้ ขั้นนี้จะเป็นขั้นปฏิบัติและมีการแสดงผลงานที่ได้ปฏิบัติด้วย ขั้นที่ ๗ การประยุกต์ใช้ความรู้ ขั้นนี้เป็นขั้นของการส่งเสริมที่ให้ผู้เรียนได้ฝึกฝนการนำความรู้และ ความเข้าใจของตนไปใช้ในสถานการณ์ต่าง ๆ ที่หลากหลายเพื่อเพิ่มความชำนาญ ความเข้าใจ ความสามารถในการแก้ปัญหาและความจำในเรื่องนั้น ๆ หลังจากการประยุกต์ใช้ความรู้ ควรจะต้องมี การนำเสนอผลงานจากการประยุกต์อีกครั้งก็ได้ หรืออาจไม่มีการนำเสนอผลงานในขั้นที่ ๖ แต่นำมา รวมแสดงในตอนท้ายหลังขั้นการประยุกต์ใช้ก็ได้เช่นกัน ขั้นตอนตั้งแต่ขั้นที่ ๑ - ๖ เป็นกระบวนการของการสร้างความรู้ (construction of knowledge) ซึ่งครูสามารถจัดกิจกรรมให้ผู้เรียนมีโอกาสปฏิสัมพันธ์แลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน (interaction) และฝึกฝนทักษะกระบวนการต่าง ๆ (process learning) อย่างต่อเนื่อง เนื่องจาก ขั้นตอนแต่ละขั้นตอนช่วยให้ผู้เรียนได้ทำกิจกรรมหลากหลายที่มีลักษณะให้ผู้เรียนได้มี การ เคลื่อนไหวทางกาย ทางสติปัญญา ทางอารมณ์และทางสังคม (physical participation) อย่าง เหมาะสม อันช่วยให้ผู้เรียนตื่นตัวสามารถรับรู้และเรียนรู้ได้อย่างดี จึงกล่าวได้ว่าขั้นตอนทั้ง ๖ มี คุณสมบัติตามหลักการ CIPP ส่วนขั้นตอนที่ ๗ เป็นขั้นตอนที่ช่วยให้ผู้เรียนนำความรู้ไปใช้ (application) จึงทำให้รูปแบบนี้มีคุณสมบัติครบตามหลัก CIPPA จากการศึกษากระบวนการเรียนการสอนแบบซิปปาสามารถสรุปได้ว่า กระบวนการเรียน การสอนแบบซิปปามีทั้งหมด ๗ ขั้นตอน คือ ขั้นที่ ๑ การทบทวนความรู้เดิม ขั้นที่ ๒ การแสวงหา ความรู้ใหม่ ขั้นที่ ๓ การศึกษาทำความเข้าใจข้อมูล/ความรู้ใหม่ และเชื่อมโยงความรู้ใหม่กับความรู้ เดิม ขั้นที่ ๔ การแลกเปลี่ยนความรู้ความเข้าใจกับกลุ่ม ขั้นที่ ๕ การสรุปและจัดระเบียบความรู้ ขั้นที่ ๖ การปฏิบัติและ/หรือการแสดงผลงาน และขั้นที่ ๗ การประยุกต์ใช้ความรู้ ๒.๓.๕ การจัดการเรียนการสอนโดยใช้หลักซิปปา ทิศนา แขมมณี (๒๕๔๑: ๒๘ - ๓๑) กล่าวไว้ว่า วิธีการที่จะจัดการเรียนการสอนให้มี ความสอดคล้องกับ CIPPA Model สามารถทำได้โดยครูอาจเริ่มต้นจากแผนการสอนที่มีอยู่แล้ว และ นำแผนดังกล่าวมาพิจารณาตาม CIPPA Model หากกิจกรรมตามแผนการสอนขาดลักษณะใดไป ก็พยายามคิดหากิจกรรมที่จะช่วยเพิ่มลักษณะดังกล่าวลงไป หากแผนเดิมมีอยู่บ้างแล้วก็ควรพยายาม เพิ่มให้มากขึ้น เพื่อกิจกรรมจะได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เมื่อทำเช่นนี้ได้จนเริ่มชำนาญแล้ว ต่อไปครูก็จะสามารถวางแผนตาม CIPPA Model ได้ไม่ยากนัก
๓๐ ทิศนา แขมมณี (๒๕๔๘: ๕๖ - ๕๘) ได้รวบรวมข้อมูลจากงานวิจัยหลาย ๆ เล่ม แล้วจัดทำเป็นชุดโครงการวิจัยและพัฒนาเพื่อปฏิรูปการเรียนรู้ทั้งโรงเรียน (ชุดโครงการ วพร.) ได้ กล่าวถึง บทบาทของครู บทบาทของผู้เรียน และการวัดและประเมินผล จากการใช้รูปแบบซิปปา ดังนี้ บทบาทของครู จากการดำเนินกิจกรรมการเรียนการสอนโดยใช้รูปแบบ “CIPPA” โรงเรียนได้พบว่า ครูจำเป็นต้องทำบทบาทหน้าที่ อีกหลายประการดังนี้ - จัดเตรียมข้อมูลและประสบการณ์เรียนรู้ - ให้ข้อมูลสำคัญ - เสริมแรงนักเรียน - เป็นแบบอย่างที่ดีในการเรียนรู้ - กระตุ้น เร้าความสนใจให้นักเรียนเกิดความสนใจในการเรียนรู้ - อำนวยความสะดวกในการเรียนรู้ - สร้างความตระหนักในบทบาทหน้าที่ของกลุ่ม - สร้างกิจกรรมหรือสถานการณ์ให้นักเรียนคิดวิเคราะห์ - แก้ปัญหานักเรียนเป็นรายบุคคล - ให้แรงเสริมเพื่อให้ผู้เรียนกล้าแสดงออก - ช่วยเหลือ แนะนำ ให้คำปรึกษา - สร้างนวัตกรรม จัดปัจจัยเกื้อหนุน - เป็นกัลยาณมิตร - เป็นผู้ประเมินผล แนะนำผลการประเมินไปปรับปรุงการเรียนการสอน บทบาทของผู้เรียน จากการจัดการเรียนการสอนเป็นขั้นตอนตามรูปแบบ “CIPPA” ครูได้พบว่าบทบาท ในการเรียนรู้ของผู้เรียนเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมอย่างเห็นได้ชัด บทบาทของผู้เรียนที่พบมีดังนี้
๓๑ - สร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง - ให้ความร่วมมือในการทำงานกลุ่ม - ใฝ่รู้ใฝ่เรียน รักการศึกษาค้นคว้า - เป็นนักถาม นักคิดวิเคราะห์ สังเคราะห์ แก้ปัญหา ประเมินผล สามารถที่ จะตัดสินใจได้ - กล้าแสดงออก - ไม่ขาดเรียน - ร่วมมือในการหาแหล่งเรียนรู้ และจัดทำสื่อการเรียนรู้ - ร่วมกิจกรรมการเรียนรู้ โดยใช้ความคิด และรับผิดชอบในหน้าที่ของตน อย่างเต็มความสามารถ - ปฏิสัมพันธ์และแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับเพื่อน ๆ และผู้เกี่ยวข้อง - เรียนรู้วิธีการเรียนรู้ - คิดอย่างมีวิจารณญาณ - คิดตัดสินใจ - ให้ความร่วมมือในการทำงาน การวัดและประเมินผล ในการจัดการเรียนการสอนโดยใช้รูปแบบ “CIPPA” และครูควรจะมีการวัดและประเมินผล การเรียนรู้ของนักเรียน โดยใช้วิธีการที่หลากหลายดังนี้ - สังเกตพฤติกรรมนักเรียน - ทดสอบผลสัมฤทธิ์/ความรู้ - สัมภาษณ์/สอบถาม - สอบถามนักเรียน - สังเกตการสอน - ประเมินคุณภาพแผนการจัดการเรียนรู้
๓๒ ดังนั้น การจัดการเรียนการสอนโดยใช้หลักซิปปา เป็นกิจกรรมที่ทำให้ผู้เรียนได้ มีการลงมือ ปฏิบัติเอง ได้เรียนรู้ด้วยตนเอง ครูผู้สอนเป็นเพียงผู้จัดเตรียมกิจกรรม ให้คำแนะนำ หรืออำนวย ความสะดวกให้เท่านั้น จึงเป็นเหตุให้การจัดกิจกรรมเช่นนี้ทำให้ผู้เรียนได้รับความรู้เป็นอย่างดี ๒.๓.๖ ผลการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบซิปปา ทิศนา แขมมณี (๒๕๕๙: ๒๘๔) กล่าวถึงผลการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบซิปปาว่า ผู้เรียนจะเกิดความเข้าใจในสิ่งที่เรียน สามารถอธิบาย ชี้แจง ตอบคำถามได้ดี นอกจากนั้นยังได้พัฒนา ทักษะการคิดวิเคราะห์ การคิดสร้างสรรค์ การทำงานเป็นกลุ่ม การสื่อสาร รวมทั้งเกิดการใฝ่รู้ด้วย ทิศนา แขมมณี (๒๕๔๘: ๕๙ - ๖๔) ได้สรุปผลการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบซิปปา ของโรงเรียนทั้ง ๘ แห่ง จากการรวบรวมหนังสือของชุดโครงการ วพร. ซึ่งนำรูปแบบซิปปาไปใช้ใน การจัดกิจกรรมการเรียนการสอน เพื่อเป็นแนวทางในการใช้รูปแบบซิปปาต่อไป ดังนี้ ๑. ผลทางตรง ผลสัมฤทธิ์ของนักเรียน จากรายงานของโรงเรียนที่เลือกใช้รูปแบบการสอน “CIPPA” เพื่อพัฒนาคุณภาพ ของผู้เรียนตามจุดเน้นของโรงเรียน พบว่าผลสัมฤทธิ์ของนักเรียนในโรงเรียนส่วนใหญ่ มีการพัฒนาขึ้น สูงกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้ โรงเรียนเห็นว่าเมื่อผู้เรียนมีกระบวนการเรียนรู้ที่ดีย่อมทำให้ผลสัมฤทธิ์ดีขึ้น ดัง ตัวอย่างการรายงานสรุปของโรงเรียนอนุบาลศิริวรรณ ดังนี้ “ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเมื่อใช้รูปแบบ “CIPPA” ผู้เรียนมีทักษะในการเรียนรู้ที่ดี ขึ้น เข้าใจเนื้อหามากขึ้น โดยไม่ยึดหลักของความจ า สังเกตได้จากคะแนนสอบก่อนเรียน-หลังเรียน คะแนนสอบประจำเดือน คะแนนสอบกลางภาคและปลายภาคเรียน นักเรียนมีคะแนนที่ดีขึ้น” (อนุบาลศิริวรรณ) อย่างไรก็ตามบางโรงเรียนรายงานว่า ได้ผลสัมฤทธิ์ของนักเรียนต่ำกว่าเดิมเล็กน้อย โดยให้เหตุผลว่าเกิดจากการที่ทั้งครูและนักเรียนเพิ่งร่วมเรียนรู้กระบวนการตามรูปแบบ “CIPPA” “ทุกสาระในทุกระดับชั้นมีผลสัมฤทธิ์เพิ่มขึ้นเล็กน้อยแต่มีบางระดับชั้นที่มีผลสัมฤทธิ์ ผลสัมฤทธิ์ลดลง เนื่องจากครูยังไม่ชำนาญเรื่องการสอนตามรูปแบบ "CIPPA" และสื่ออุปกรณ์ การเรียนการสอนไม่เพียงพอ” (บ้านคลองสงค์) “ในระยะแรก บุคลากรยังขาดความรู้ความเข้าใจในการดำเนินการของโครงการ ทั้งการสอนตามรูปแบบ "CIPPA" และการพัฒนาทักษะการสื่อสาร ส่งผลให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ยังไม่เป็นที่น่าพอใจ” (เพชรผดุงเวียงไชย)
๓๓ แม้ว่าจะยังไม่สามารถสรุปได้ชัดเจนว่า การสอนตามรูปแบบ “CIPPA” ส่งผลต่อการพัฒนา ผลสัมฤทธิ์ของนักเรียนในทุกกลุ่มสาระ เนื่องจากระยะเวลาของการดำเนินการยังน้อยไป ในเวลา ๒ ปี ครูใช้เวลาในการเรียนรู้และสร้างความเข้าใจเป็นเวลาประมาณ ๑ ปี และใช้เวลาในการดำเนิน การสอนจริงไม่ถึง ๑ ปี แต่กระนั้นก็ตามในเชิงปริมาณผลสัมฤทธิ์ของนักเรียนเท่าที่โรงเรียนประเมินได้ เป็นดัชนีชี้ให้เห็นแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้น ในเชิงคุณลักษณะนั้นข้อมูลจากการเก็บ ข้อมูลด้วยวิธีการที่หลากหลาย ได้แก่ การสอบถาม การสัมภาษณ์ การสังเกตการเรียน การสอน การ วิเคราะห์เหตุการณ์สำคัญ และการจัดสนทนากลุ่ม พบว่ามีหลักฐานจำนวนมาก ที่แสดงให้เห็นถึงการ เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น ของพฤติกรรมการสอนของครู และพฤติกรรมการเรียนรู้ของนักเรียน รวมทั้งผู้เกี่ยวข้องอื่น ๆ ผลตามจุดเน้นอันเป็นเป้าหมายของการพัฒนาของสถานศึกษา ผลที่เกิดขึ้นควบคู่ไปกับการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน คือ คุณลักษณะที่โรงเรียนต้องการพัฒนาให้เกิดขึ้นกับผู้เรียน โดยใช้รูปแบบการสอน “CIPPA” เป็นกลไก ในการพัฒนาผลที่ได้มาจากการสังเกตพฤติกรรมเป็นส่วนใหญ่ แต่มีบางโรงเรียนที่มีเครื่องมือประเมิน อย่างเป็นระบบ (แต่ก็ยังอยู่ในระยะที่ต้องพัฒนาต่อไป) จากรายงานของโรงเรียนพบว่า การที่โรงเรียนได้กำหนดเป้าหมายเฉพาะที่ ชัดเจน และครูทั้งโรงเรียนต่างช่วยกันส่งเสริมจุดเน้นดังกล่าว ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ของตน สามารถช่วยให้ผู้เรียนเกิดการพัฒนาในคุณลักษณะตามจุดเน้นดังกล่าวอย่างชัดเจน เห็นเป็น รูปธรรมมากขึ้น อย่างไรก็ตามการสรุปในเชิงปริมาณและไม่สามารถทำได้ชัดเจน เนื่องจากโรงเรียน ส่วนใหญ่ประสบปัญหาในการสร้าง/การแสวงหาแบบวัด/แบบสอบที่เหมาะสม แต่ในเชิงคุณลักษณะ พบว่า โรงเรียนมีหลักฐานข้อมูลตามสภาพจริงจำนวนมาก ที่แสดงให้เห็นถึงพัฒนาการของผู้เรียนใน ด้านนี้ ดังตัวอย่างการรายงานและการสรุปผลของโรงเรียนต่าง ๆ ดังนี้ กลุ่มที่ ๑ จุดเน้นการพัฒนา ทักษะการเรียน ผลการประเมินพบว่า นักเรียนมีทักษะการเรียนมากขึ้น โดยที่มีพฤติกรรม ที่พึงประสงค์ เช่น ถามครูด้วยความสนใจ สามารถแสวงหาความรู้จากแหล่งเรียนรู้หรือบุคคล ที่หลากหลายขึ้น รู้ว่าควรหาความรู้ที่ต้องการได้จากแหล่งใด แต่ในทักษะที่ต้องมีการปรับปรุง คือ ทักษะการรวบรวมข้อมูล การทำความเข้าใจข้อมูล การประเมินผลการเรียนรู้ด้วยตนเอง และเจตคติ ที่ดีต่อการเรียน กลุ่มที่ ๒ จุดเน้นการพัฒนา ทักษะการคิด ความรับผิดชอบและเจตคติต่อ การเรียน
๓๔ ด้านทักษะการคิด “ทักษะการคิดดีขึ้น ทำงานได้เป็นระบบขั้นตอนก่อน หลังได้โดยสังเกตจากการทำกิจกรรมตามใบงาน และการทำโครงงาน” (โรงเรียนอนุบาลศิริวรรณ) ด้านความรับผิดชอบ “นักเรียนมีความรับผิดชอบที่ดีขึ้น ทั้งในด้านการส่ง งานตรงต่อเวลา การเตรียมอุปกรณ์การเรียน การร่วมกิจกรรมภายใน/ภายนอก และการแต่งกายถูก ระเบียบของ โรงเรียน” (โรงเรียนพระปฐมวิทยาลัย ๒ หลวงพ่อเงินอนุสรณ์) ด้านเจตคติต่อการเรียน นักเรียนมีความกระตือรือร้นในการร่วมกิจกรรมที่ มีความสนุกสนานในการเรียนสนใจเรียนรู้มาเรียนสม่ำเสมอ กลุ่มที่ ๓ จุดเน้นการพัฒนา ทักษะการสื่อสาร นักเรียนมีมารยาทในการฟังมีความสามารถพูดสื่อสารในสถานการณ์ต่าง ๆ ได้ถูกต้องเหมาะสม พูดตรงประเด็น ด้านการอ่านสามารถอ่านในคล่องหรือชัดเจนขึ้น ท่าทางใน การอ่าน และจับหนังสือถูกต้อง การอ่านออกเสียงใช้น้ำเสียงในการอ่านให้ดีทักษะที่ต้องพัฒนาต่อไป คือ ทักษะการฟัง พบว่านักเรียนจับใจความสำคัญของเรื่องที่ได้ฟังได้ไม่ดีเท่าที่ควร และด้านทักษะ การเขียนพบว่านักเรียนยังต้องพัฒนาการเขียนสื่อสารในรูปแบบหรือสถานการณ์ต่าง ๆ และการเขียน สะกดคำต้องสอนให้นักเรียนมีหลักการในการเขียนเพิ่มขึ้น กลุ่มที่ ๔ จุดเน้นการพัฒนา คุณลักษณะด้านความรับผิดชอบ นักเรียนได้พัฒนาคุณลักษณะด้านความรับผิดชอบในเกือบทุกตัวบ่งชี้ โดยที่ สามารถทำงานที่ได้รับมอบหมายให้สำเร็จได้ด้วยตนเอง ดูแลและเก็บรักษาอุปกรณ์การเรียน ทำการบ้าน และส่งอย่างสม่ำเสมอ ยอมรับข้อผิดพลาดที่เกิดจากการกระทำของตนเอง กลุ่มที่ ๕ จุดเน้นการพัฒนา คุณลักษณะใฝ่รู้ใฝ่เรียน นักเรียนเข้าห้องสมุดเพื่ออ่านหนังสือเป็นประจำ อ่านหนังสือเมื่อมีเวลาว่าง มีความกระตือรือร้นในการเรียน กล้าซักถามในสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อตนเองและผู้อื่น เข้าร่วมกิจกรรม ทางวิชาการอย่างสม่ำเสมอ และสร้างสรรค์ผลการเรียนรู้ของตนเองในรูปแบบต่าง ๆ ๒. ผลทางอ้อม ผลทางอ้อมเป็นผลที่โรงเรียนไม่ได้กำหนดไว้เป็นจุดมุ่งหมายของการพัฒนา หรือที่มี การปฏิรูปโดยตรง แต่เป็นผลที่เกิดขึ้นก็ควบคู่ไปกับผลโดยตรง ได้แก่ ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่ายที่เข้ามา มีส่วนร่วมในกระบวนการปฏิรูป การดำเนินการวิจัยและพัฒนาเพื่อปฏิรูปการเรียนรู้ทั้งโรงเรียนผ่าน ทางการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบ “CIPPA” ส่งผลต่อผู้เกี่ยวข้องดังนี้
๓๕ ครู มีการศึกษาค้นคว้าจากเอกสาร และเข้ารับการอบรมทำให้มีความรู้ความเข้าใจ รูปแบบการสอน “CIPPA” เพิ่มมากขึ้น เห็นความสำคัญของการเรียนรู้ร่วมกันระหว่างครูในโรงเรียน ในสายชั้น หรือหมวดวิชาที่ตนเองรับผิดชอบ ซึ่งทำให้ได้แนวคิดสำคัญเพื่อจัดการเรียนการสอนของ ตนเองได้ ครูมีการวางแผนการสอนที่เป็นระบบเพิ่มมากขึ้น สามารถตรวจสอบและประเมินการทำงาน ของตนเองได้โดยใช้ตัวบ่งชี้ที่พัฒนาขึ้นเป็นกรอบในการประเมิน เน้นการจัดกิจกรรมที่ส่งเสริมให้ นักเรียนมีกระบวนการเรียนรู้ที่ดีและมีเจตคติที่ดีต่อการเรียน ผู้บริหาร สนใจในเรื่องการบริหารงานวิชาการอันเป็นภารกิจหลักเพิ่มมากขึ้น สนใจ ศึกษาหาความรู้หรือแสวงหาแนวทาง/วิธีการ เพื่อนำมาพัฒนาการจัดการเรียนการสอนของครู เห็นความสำคัญของการจัดปัจจัยเกื้อหนุนต่าง ๆ ทั้งงบประมาณ สถานที่สำหรับเตรียมการเรียน การสอน และประชุมวิชาการของคณะครู การจัดสภาพแวดล้อมของโรงเรียนให้เป็นแหล่งเรียนรู้ของ นักเรียน นักวิชาการจากภายนอกโรงเรียนที่เข้ามาร่วมงานการปฏิรูป ที่ได้เรียนรู้สภาพการ ทำงานที่เกิดขึ้นจริงในโรงเรียน การทำหน้าที่นิเทศ ติดตาม และให้คำแนะนำไปโรงเรียน เป็นบทบาท ที่ช่วยกระตุ้นให้ศึกษานิเทศก์ต้องศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติม สำหรับนักวิชาการจากภายนอกที่เป็น คณาจารย์จากมหาวิทยาลัย ก็ได้มีการนำความรู้ที่ได้จากการทำงานกับโรงเรียนไปใช้ในการจัด การเรียนการสอนให้นักเรียนในรายวิชาที่ตนเองรับผิดชอบ ผู้ปกครองและชุมชน ชื่นชมกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นของนักเรียน จึงสนับสนุน ส่งเสริมโรงเรียนตามความรู้ความสามารถที่ตนจะทำได้ ได้แก่ การให้ข้อเสนอแนะ หรือคำแนะนำที่มี ประโยชน์ต่อการจัดการเรียนการสอน ส่วนผู้ที่มีความรู้ความสามารถเข้ามามีส่วนร่วมในการจัด การเรียนการสอนในโรงเรียนได้ ทำให้เปลี่ยนทัศนคติไปสู่แนวคิดที่ว่าการเรียนรู้สามารถเกิดขึ้นได้ ทุกที่ทุกเวลาเกิดเป็นชุมชนการเรียนรู้ในหลายพื้นที่ สรุปได้ว่า กระบวนการจัดการเรียนการสอนแบบ CIPPA Model จะเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ซึ่งครูเป็นเพียงผู้เคยแนะนำ โดยนักเรียนจะลงมือปฏิบัติกิจกรรมด้วยตนเอง เริ่มจากการแสวงหา ข้อมูลจากแหล่งข้อมูลต่าง ๆ เพื่อนำมาใช้ในการเรียนรู้ ได้แลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกันและกันกับเพื่อน ในกลุ่มหรือในชั้นเรียน รับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น อีกทั้งเป็นรูปแบบที่ต้องการที่จะพัฒนาผู้เรียน ให้เกิดความเข้าใจในสิ่งที่เรียนสามารถอธิบาย ชี้แจงตอบคำถามได้ดี นอกจากนั้นยังได้พัฒนาทักษะ การคิดวิเคราะห์ การคิดสร้างสรรค์ การทำงานเป็นกลุ่มการสื่อสาร รวมทั้งเกิดการใฝ่รู้ และสามารถ นำความรู้ที่ได้รับไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้
๓๖ ๒.๔ งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง งานวิจัยที่เกี่ยวข้องที่ผู้วิจัยได้ศึกษาเพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาภาษาไทย เรื่อง ชนิดและหน้าที่ของคำ โดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้รูปแบบ CIPPA Model ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ โรงเรียนประจักษ์ศิลปาคาร อำเภอเมืองอุดรธานีจังหวัดอุดรธานี ๒.๔.๑ งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับชนิดของคำกับการจัดกระบวนการเรียนรู้โดยใช้ CIPPA Model งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับชนิดและหน้าที่ของคำกับการจัดกระบวนการเรียนรู้โดยใช้ CIPPA Model เรื่องแรก กนกพิชญ์ พิพิธกุล (๒๕๖๓) ได้ศึกษา รายงานผลการใช้รูปแบบการสอนซิปปา (CIPPA Model) ร่วมกับแบบฝึกทักษะ เรื่อง ชนิดของคำ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยของ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๓ โรงเรียนกองทัพบกอุทิศบ้านดอนยาง สรุปผลการศึกษาพบว่า ๑) การหาประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะ เรื่อง ชนิดของคำ ที่ใช้ร่วมกับรูปแบบการสอนซิปปา (CIPPA Model) ที่พัฒนาขึ้นมีประสิทธิภาพสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนด คือ ๘๐/๘๐ ๒) การเปรียบเทียบ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน โดยใช้รูปแบบการสอนซิปปาหลังเรียนสูงกว่าก่อน เรียน ๓) ความพึงพอใจของนักเรียนที่โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด พระมหาคชา ประณีตพลกรัง (๒๕๖๐) ได้ศึกษา การเปรียบเทียบ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาภาษาไทยเรื่อง ชนิดของคำ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ ระหว่างวิธีสอนแบบซิปปา (CIPPA MODEL) กับวิธีสอนแบบปกติผลการวิจัยพบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่อง ชนิดของคำ โดยกลุ่มที่ได้รับการสอน โดยวิธีสอนแบบซิปปา มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงกว่า กลุ่มที่ได้รับการสอนโดยวิธีสอนแบบปกติและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อง ชนิดของคำ ก่อนเรียนและ หลังเรียน พบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังเรียนแตกต่างกัน โดยคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนสูง กว่าก่อนเรียน อีกทั้งผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อง ชนิดของคำ พบว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ก่อนและหลังเรียนแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .๐๕ นอกจากนี้ พรเพ็ญ ณ สงขลา (๒๕๕๖) ได้ศึกษา การสร้างและพัฒนาชุดการสอนแบบศูนย์ การเรียน เรื่อง ชนิดของคำ โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบซิปปา สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปี ที่ ๕ ผลการวิจัยพบว่า ชุดการสอนแบบศูนย์การเรียน เรื่อง ชนิดของคำ โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบ ซิปปา มีประสิทธิภาพ ๘๖.๙๑/๘๓.๖๒ และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนที่เรียนโดยใช้ชุดการ สอนแบบศูนย์การเรียน เรื่อง ชนิดของคำ โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบซิปปา หลังเรียนสูงกว่าก่อน เรียน สถิติที่ระดับ .๐๑ และความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนโดยใช้ชุดการสอนแบบศูนย์ การเรียน เรื่อง ชนิดของคำ โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบซิปปา โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (ค่าเฉลี่ย = ๔.๕๕)
๓๗ ๒.๔.๒ งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการจัดกระบวนการเรียนรู้โดยใช้ CIPPA Model กับ หลักภาษาไทย จตุพร เพ็งประโคน (๒๕๕๙) ได้ศึกษา การพัฒนาแบบฝึกทักษะประกอบการจัดการเรียนรู้ โดยใช้รูปแบบการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบซิปปา (CIPPA MODEL) เรื่อง การอ่านและการ เขียนสะกดคำมาตราตัวสะกด สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ ผลการวิจัยพบว่า ๑. แบบฝึก ทักษะเรื่อง การอ่านและการเขียนสะกดคำมาตราตัวสะกดที่สร้างขึ้น มีประสิทธิภาพสูงกว่าเกณฑ์ที่ กำหนดไว้ ๘๐/๘๐ ๒. นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญ ทางสถิติที่ระดับ .๐๕ นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการเรียนรู้ด้วยแบบฝึกทักษะประกอบการจัดการ เรียนรู้โดยใช้รูปแบบการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบซิปปา (CIPPA MODEL) เรื่อง การอ่านและการ เขียนสะกดคำมาตราตัวสะกด โดยรวมมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก นพพร ธนะชัยขันธ์ (๒๕๕๙) ได้ศึกษา การพัฒนาทักษะการเขียนคำที่สะกดไม่ตรงมาตรา โดยใช้แบบฝึกทักษะร่วมกับวิธีการสอน แบบซิปปาสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ ผลการวิจัยพบว่า ผลการศึกษาพบว่า ๑. แบบฝึกทักษะการเขียนคำที่สะกดไม่ตรงมาตราของนักเรียน ชั้นประถมศึกษา ปีที่ ๒ มีค่าประสิทธิภาพรวมเท่ากับ ๘๕.๒๐/๘๔.๔๔ ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ ๘๐/๘๐ ที่ กำหนดไว้ ๒. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้านทักษะการเขียนคำที่สะกดไม่ตรงมาตราจากการใช้แบบฝึก ทักษะ ร่วมกับวิธีการสอนแบบซิปปาของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ มีคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนสูง กว่าก่อนเรียน มารีณีย์ สาแม (๒๕๖๒) ได้ศึกษา การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา ภาษาไทย เรื่อง คําที่มีตัวสะกดไม่ตรงตามมาตรา ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปี ที่ ๒ โรงเรียนสาธิต มหาวิทยาลัยรามคําแหง (ฝ่ายประถม) ที่สอนด้วยการจัดการเรียนรู้แบบซิปปาโมเดล (CIPPA MODEL) กับวิธีสอนแบบปกติผลการวิจัยพบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อง คำที่มีตัวสะกดไม่ตรง ตามมาตราของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ ที่สอนด้วยการจัดการเรียนรู้แบบซิปปาโมเดล สูงกว่า วิธีสอนแบบปกติ ๒) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อง คำที่มีตัวสะกดไม่ตรงตามมาตราของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ ๒ ที่สอนด้วยการจัดการเรียนรู้แบบซิปปาโมเดล หลังเรียนสูงกว่าก่อน ๓) ผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนเรื่อง คำที่มีตัวสะกดไม่ตรงตามมาตราของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ ที่เรียนด้วยวิธี สอนแบบปกติหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน สุดารัตน์ กลิ่นบุบผา (๒๕๖๑) ได้ศึกษา การพัฒนาแบบฝึกเสริมทักษะการเขียนสะกดคำ ประกอบการสอนโดยใช้รูปแบบการสอนโมเดลซิปปา สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษา ปีที่ ๔ ผลการวิจัยพบว่า แบบฝึกเสริมทักษะการเขียนสะกดคำที่สร้างขึ้นมีประสิทธิภาพเท่ากับ ๘๔.๑๓/๘๒.๐๗ ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ ๘๐/๘๐ ที่ตั้งไว้ และนักเรียนที่ใช้แบบฝึกเสริมทักษะการเขียนสะกด
๓๘ คำประกอบการสอนตามกระบวนการสอนซิบปาโมเดล มีความสามารถในการเขียนสะกดคำภาษาไทย หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .๐๕ นอกจากนี้ อาบีดะฮ์ คงสิเหร่ (๒๕๖๒) ได้ทำการศึกษา ผลการจัดการเรียนรู้โดยใช้โมเดล ซิปปาร่วมกับเกมที่มีต่อความสามารถในการอ่านและเขียนสะกดคำภาษาไทยของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ ผลการวิจัยพบว่า ๑) ความสามารถในการอ่านสะกดคำภาษาไทยของนักเรียน หลังเรียนโดยใช้โมเดลซิปปาร่วมกับเกมสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .๐๑ ๒) ความสามารถในการเขียนสะกดคำ หลังเรียนโดยใช้โมเดลซิปปาร่วมกับเกมสูงกว่าก่อนเรียนอย่าง มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .๐๑ และ ๓) เจตคติต่อวิชา ภาษาไทยของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ หลังเรียนโดยใช้โมเดลซิปปาร่วมกับเกมสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .๐๑ จากการศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับชนิดและหน้าที่ของคำกับการจัดกระบวนการเรียนรู้โดย ใช้ CIPPA Model และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการจัดกระบวนการเรียนรู้โดยใช้ CIPPA Model กับ เรื่องอื่น พบว่าการจัดการเรียนรู้โดยใช้ CIPPA Model ได้ส่งผลให้นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาภาษาไทยหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน การเรียนรู้ในรูปแบบ CIPPA Model ช่วยให้ผู้เรียนมีโอกาส สร้างความรู้ด้วยตนเอง ซึ่งจะทำให้ผู้เรียนมีความเข้าใจและเกิดการเรียนรู้ที่มีความหมายต่อตนเอง จึงถือได้ว่ากระบวนการนี้จะเป็นกระบวนการที่เน้นผู้เรียนเป็นหลักสำคัญ และผู้เรียนยังสามารถนำ ความรู้ไปปรับใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ดังนั้นผู้วิจัยจึงได้นำกระบวนการจัดการเรียนรู้แบบ CIPPA Model มาเป็นแนวทางในการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่อง ชนิดและ หน้าที่ของคำ เพื่อให้ผู้เรียนได้เกิดทักษะกระบวนการคิด การเรียนรู้ด้วยตัวของตัวเองโดยสามารถ ส่งผลไปสู่การเกิดความรู้ที่มีประสิทธิภาพได้
บทที่ ๓ วิธีการดำเนินการวิจัย การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัย เพื่อการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่อง ชนิดและหน้าที่ของคำ โดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้รูปแบบ CIPPA Model ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ โรงเรียนประจักษ์ศิลปาคาร จังหวัดอุดรธานี โดยผู้วิจัยได้ดำเนินตามขั้นตอน และรายละเอียด ดังนี้ ๓.๑ กลุ่มเป้าหมาย ๓.๒ แบบแผนการทดลอง ๓.๓ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ๓.๔ การสร้างและหาคุณภาพของเครื่องมือ ๓.๕ การเก็บรวบรวมข้อมูล ๓.๖ การวิเคราะห์ข้อมูล ๓.๗ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ๓.๑ กลุ่มเป้าหมาย กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑/๗ ที่กำลังศึกษาในภาค เรียนที่ ๒ ปีการศึกษา ๒๕๖๖ โรงเรียนประจักษ์ศิลปาคาร อ.เมืองอุดรธานี จ.อุดรธานี จำนวน ๑ ห้อง ๓๓ คน ที่ได้มาด้วยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) ๓.๒ แบบแผนการทดลอง การศึกษาการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่อง ชนิดและหน้าที่ของคำ โดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้รูปแบบ CIPPA Model ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ โรงเรียนประจักษ์ศิลปาคาร มีแบบแผนการทดลองเป็นการทดลอง (Experimental Design) กลุ่มเดียวทดสอบก่อนและหลัง การทดลอง One Group Pretest – Posttest Design (พวงรัตน์ ทวีรัตน์, ๒๕๔๐: ๖๐) ตารางที่ ๑ : แบบแผนการทดลอง กลุ่ม สอบก่อน ทดลอง สอบหลัง E T๑ X T๒ สัญลักษณ์ที่ใช้ในแบบแผนการทดลอง E แทน กลุ่มทดลอง (Experimental Group)
๔๐ T๑ แทน การทดสอบก่อนเรียน (Pretest) X แทน วิธีการหรือสื่อนวัตกรรมที่เลือกใช้ T๒ แทน การทดสอบหลังเรียน (Posttest) ๓.๓ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่อง ชนิดและหน้าที่ของคำ โดยใช้ กระบวนการจัดการเรียนรู้รูปแบบ CIPPA Model ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ โรงเรียน ประจักษ์ศิลปาคาร มีเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ดังนี้ ๓.๓.๑ แผนการจัดการเรียนรู้วิชาภาษาไทย เรื่อง ชนิดและหน้าที่ของคำ โดยใช้กระบวนการ จัดการเรียนรู้รูปแบบ CIPPA Model ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ จำนวน ๕ แผน แผนละ ๑ คาบ รวม ๕ คาบ ประกอบไปด้วย แผนการจัดการเรียนรู้ที่ ๑ คำนาม แผนการจัดการเรียนรู้ที่ ๒ คำสรรพนาม แผนการจัดการเรียนรู้ที่ ๓ คำกริยาและคำอุทาน แผนการจัดการเรียนรู้ที่ ๔ คำวิเศษณ์ แผนการจัดการเรียนรู้ที่ ๕ คำสันธานและคำบุพบท ๓.๓.๒ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่องชนิดและหน้าที่ของคำ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ เป็นแบบทดสอบแบบปรนัย ๔ ตัวเลือก จำนวน ๒๐ ข้อ เป็นแบบทดสอบ ก่อนเรียนและหลังเรียน ๓.๔ การสร้างและหาคุณภาพของเครื่องมือ ผู้วิจัยสร้างและหาคุณภาพของเครื่องมือ โดยจำแนกตามลักษณะของเครื่องมือ การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่อง ชนิดและหน้าที่ของคำ โดยใช้กระบวนการ จัดการเรียนรู้รูปแบบ CIPPA Model ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ ซึ่งมีขั้นตอนการสร้างและหา คุณภาพของเครื่องมือดังนี้ ๓.๔.๑ แผนการจัดการเรียนรู้วิชาภาษาไทย เรื่อง ชนิดและหน้าที่ของคำ โดยใช้กระบวนการ จัดการเรียนรู้รูปแบบ CIPPA Model ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ มีวิธีดำเนินการดังนี้ ๓.๔.๑.๑ ศึกษาและวิเคราะห์แนวคิด ทฤษฎี และการจัดการเรียนรู้ โดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบ CIPPA Model
๔๑ ๓.๔.๑.๒ ศึกษาหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ กลุ่มสาระ การเรียนรู้ภาษาไทย คู่มือครู หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานภาษาไทย หลักภาษาและการใช้ภาษา ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. ๒๕๕๑ ๓.๔.๑.๓ ศึกษาหลักสูตรสถานศึกษาของโรงเรียนประจักษ์ศิลปาคาร อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี ปีการศึกษา ๒๕๖๖ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ ๓.๔.๑.๔ เขียนแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบ CIPPA Model จำนวน ๕ แผน รวม ๕ คาบ ๓.๔.๑.๕ นำแผนการจัดการเรียนรู้ที่สร้างขึ้น เสนอต่ออาจารย์ที่ปรึกษาวิจัย เพื่อพิจารณาความถูกต้องของแผนการจัดการเรียนรู้ แล้วนำมาปรับปรุงแก้ไขตามข้อเสนอแนะ ๓.๔.๑.๖ นำแผนการจัดการเรียนรู้ที่ปรับปรุงแก้ไขตามข้อเสนอแนะของอาจารย์ ที่ปรึกษาวิจัย แล้วนำไปให้ผู้เชี่ยวชาญจำนวน ๓ ท่าน ตรวจสอบความถูกต้องเหมาะสม ความสอดคล้องและความเป็นไปได้ ระหว่างจุดประสงค์การเรียนรู้ เนื้อหาสาระ กิจกรรมการเรียนรู้ และการวัดผลประเมินผล โดยให้ผู้เชี่ยวชาญพิจารณา ตรวจสอบ โดยมีเกณฑ์การให้คะแนน ดังนี้ ๑) ให้คะแนนเป็น +๑ เมื่อแน่ใจว่าองค์ประกอบนั้นของแผน การจัดการเรียนรู้เหมาะสมและสอดคล้องกับเนื้อหาและจุดประสงค์ ๒) ให้คะแนนเป็น ๐ เมื่อไม่แน่ใจว่าองค์ประกอบนั้นของแผน การจัดการเรียนรู้มีความเหมาะสมและสอดคล้องกับเนื้อหาและจุดประสงค์ ๓) ให้คะแนนเป็น -๑ เมื่อแน่ใจว่าองค์ประกอบนั้นของ แผน การจัดการเรียนรู้ ไม่เหมาะสมและไม่สอดคล้องกับเนื้อหาและจุดประสงค์ จากนั้นนำคะแนนที่ได้มาหาค่าดัชนีความสอดคล้อง (Index of Item – Objective Congruence : IOC) ระหว่างองค์ประกอบของแผนการจัดการเรียนรู้ จะต้องได้ค่าดัชนี ความสอดคล้องของทุกองค์ประกอบตั้งแต่ ๐.๕ ขึ้นไป ๓.๔.๑.๗ ปรับปรุง และแก้ไขแผนการจัดการเรียนรู้ตามข้อเสนอแนะของผู้เชี่ยวชาญ ๓.๔.๑.๘ นำแผนการจัดการเรียนรู้ที่ปรับปรุงแก้ไขแล้ว ไปทดลองใช้กับนักเรียน ที่กำลังเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ โรงเรียนประจักษ์ศิลปาคาร อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี ปีการศึกษา ๒๕๖๖ ที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่างของการวิจัย และได้มาโดยการสุ่มอย่างง่าย จำนวน ๔ คน