Legal English (Consolidated) II
นายสรวิศ ลิมปรังษี
ผูชวยผูพิพากษาศาลอุทธรณคดีชาํ นัญพิเศษ
ชวยทาํ งานช่ัวคราวในตาํ แหนง ผูพิพากษาหัวหนาศาลประจาํ สาํ นักประธานศาลฎีกา
Table of Contents
การดําเนินคดีแบบกลุม (Class action) 1
การคามนุษย (Human trafficking) 15
บทตัดพยาน (Exclusionary Rules) 29
การเบิกความของพยาน (Witness testimony) 37
พยานหลักฐานดิจิตอล (Digital forensic evidence) 46
ปญญาประดิษฐกับความรับผิดทางกฎหมาย
(Artificial Intelligence and Legal Liability) 57
กระบวนพิจารณาเพื่อคนพบความจริง (Discovery) 84
เขตอาํ นาจศาลเหนือคูความ (Jurisdiction over parties) 106
คําแถลงของบุคคลภายนอก (Amicus curiae) 119
การดาเนินคดีแบบกล่มุ (Class action)
ในขณะนี้พระราชบัญญัติแก้ไขเพ่ิมเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
(ฉบับท่ี ๒๖) พ.ศ. ๒๕๕๘ ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ทาให้ประเทศไทย
จะเร่ิมมีการนาหลักเรื่อง “การดาเนินคดีแบบกลุ่ม” หรือ Class action มาใช้หลังจาก
กฎหมายฉบับนี้อยู่ในขั้นตอนการยกร่างและเสนอมาเป็นเวลานาน ภาษาอังกฤษ
กฎหมายฉบับน้ีจึงขอนาเร่ือง Class action มานาเสนอเพื่อใช้เป็นส่วนหน่ึง
เพ่ือประกอบการทาความเข้าใจหลักการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
ดังกล่าวท่ีได้รับอิทธิพลจากกฎหมายของสหรัฐอเมริกาค่อนข้างมาก กฎหมายของ
สหรัฐอเมริกาที่เกี่ยวข้องคือ ข้อกาหนดว่าด้วยวิธีพิจารณาความแพ่ง หรือ Federal
Rules of Civil Procedure ซึ่งได้กาหนดเรื่องการดาเนินคดีแบบกลุ่มไว้ในข้อ 23
แตใ่ นทน่ี ้ีคงขอนาเฉพาะบางสว่ นของขอ้ ดงั กล่าวมานาเสนอเท่าทีจ่ ะโอกาสจะอานวย
1
ขอเร่ิมจากคาว่า Prerequisites ก่อน หากเราลองนาคาๆ นี้มาแยกเพื่อ
ทาความเข้าใจจะเห็นได้ว่ามาจากคาสองส่วนด้วยกัน ส่วนแรกคือคาว่า Pre คาส่วนที่สอง
คอื คาวา่ Requisite
คาว่า Pre น้ันเป็นคำท่ีใช้นาหน้าคาอ่ืนเพ่ือส่ือหรือบ่งบอกให้เห็นถึงสิ่งใดส่ิงหน่ึง
ที่มาก่อน เช่น หากเราบอกว่าเป็น Prehistory จะมีความหมายถึงยุคหรือสมัย
ก่อนประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ หรือก่อนที่จะมีหลักฐานการบันทึกเร่ืองราวไว้
เป็นประวัตศิ าสตรท์ ีจ่ ะให้คนรุ่นหลังไดศ้ ึกษาและทาความเขา้ ใจได้
ส่วนคาว่า Requisite น้ันจะสังเกตเห็นได้ว่ำมีควำมคล้ำยคลึงกับคำว่ำ Require
ที่หมำยถึงความจาเป็นหรือเป็นที่ต้องการ คาว่า Requisite ในที่นี้ก็มีควำมหมำย
ในลักษณะเดียวกันว่ำเป็นส่ิงใดส่ิงหนึ่งท่ีมีความจาเป็นสาหรับวัตถุประสงค์หรือความ
มงุ่ หมายอยา่ งใดอยา่ งหนงึ่
ดังน้ัน เม่ือนาคาท้ังสองมารวมเข้าด้วยกันจึงทาให้มีความหมายว่าเป็นส่ิงท่ี
จาเป็นต้องมีหรือทาให้เกิดข้ึนก่อนท่ีจะสามารถบรรลุวัตถุประสงค์อย่างใดอย่างหนึ่งได้
แต่ในที่น้ีจะหมายถึงเง่ือนไขหรือหลักเกณฑ์ท่ีคู่ความจะต้องแสดงให้ปรากฏก่อนที่จะ
ขออนุญาตศาลให้ดาเนินคดแี บบกลุม่ ได้น่ันเอง หากคดีไม่ปรากฏว่าเข้าเงื่อนไขท่กี าหนด
ไวน้ ้ี ศาลย่อมไมส่ ามารถอนุญาตใหด้ าเนินคดีแบบกลมุ่ ได้ ซง่ึ จะสอดรบั ประโยคที่ตามมา
ซงึ่ บอกว่า “One or more members of a class may sue or be sued as representative
parties on behalf of all members only if” หรือมีความหมายว่า “สมาชิกกลุ่มคนหนึ่ง
หรือหลายคนอาจฟ้องหรือถูกฟ้องในฐานะที่เป็นคู่ความซึ่งทาการแทนสมาชิกท้ังหมดได้
เฉพาะถา้ ...”
ขอ้ สงั เกตประการหน่ึงของถ้อยคาในบทบญั ญัติดงั กล่าวคอื ส่วนท่รี ะบุวา่ “สมาชิก
กลุ่มคนหน่ึงหรือหลายอาจฟ้องหรือถูกฟ้อง” ซ่ึงเป็นส่วนท่ีกฎหมายไทยกับกฎหมาย
สหรัฐอเมริกามีความแตกต่างกัน เนื่องจากตามบทบัญญัติของประมวลกฎหมาย
วิธีพิจารณาความแพ่งท่ีแก้ไขใหม่น้ีจะสามารถดาเนินคดีแบบกลุ่มได้เฉพาะกรณีท่ีกลุ่ม
เป็นฝา่ ยโจทกผ์ ูฟ้ ้องคดเี ทา่ นน้ั แต่ไม่รวมถึงกรณที กี่ ลุ่มบุคคลตกเป็นจาเลยในคดีดว้ ย
2
เงอ่ื นไขประการแรกสาหรับการขอดาเนินคดีแบบกลุ่มตามข้อ 23 นี้คอื ส่วนท่ีระบุ
วา่ “(1) the class is so numerous that joinder of all members is impracticable.”
ซงึ่ อาจส่ือความหมายไดว้ า่ “กลมุ่ น้ันจะตอ้ งมีสมาชกิ จานวนมากจนกระทง่ั การให้สมาชิก
ทั้งหมดเขา้ เปน็ คคู่ วามร่วมนน้ั ย่งุ ยากจนไมอ่ าจปฏิบตั ิได้”
เง่ือนไขดังกล่าวน้ถี ือเป็นองคป์ ระกอบเบ้ืองต้น เนื่องจากหากกลุ่มบุคคลมสี มาชิก
ไม่มากยอ่ มอาจจะเปน็ การดมี ากกว่าทจ่ี ะให้ผ้มู ีสว่ นไดเ้ สียท่เี กี่ยวขอ้ งเขา้ มาในคดีโดยตรง
ดังน้ัน ข้อน้ีจึงกาหนดเกณฑ์เบ้ืองต้นว่ากลุ่มบุคคลนั้นจะต้องมีลักษณะที่ numerous
หรือมีจานวนมาก แม้ในถ้อยคาจะไม่ได้บ่งบอกอย่างชัดเจนว่าจานวนที่มากในที่นี้
หมายถงึ อะไร แต่อาจพอเขา้ ใจได้วา่ คงตอ้ งการจะหมายถึงสมาชิกกลุ่มนน่ั เอง
แต่การพิจารณาเรื่องจานวนสมาชิกกลุ่มที่มากนี้ ถ้อยคาในข้อ 23 กาหนดให้
พิจารณาในเชิงเปรยี บเทียบกับกระบวนพิจารณาที่เรยี กว่า joinder ในคาว่า joinder นี้
อาจจะสังเกตเห็นได้ว่าแฝงไว้ด้วยคาว่า join ซึ่งมีควำมหมำยถึงกำรเข้ำร่วม คาว่า
joinder ในที่น้ีจึงมีควำมหมำยเฉพำะ ถึงกระบวนพิจำรณำที่คู่ควำมหลำยคนมำเขำ้ ร่วม
อยู่ในฝ่ำยใดฝ่ำยหน่ึงในคดีควำมเร่ืองน้ันๆ เหตุท่ีกฎหมายกาหนดลักษณะดังกล่าวนี้
เน่ืองจากหากเป็นไปได้ การให้เข้าเป็นคู่ความร่วมย่อมเป็นการดีกว่าที่รู้ตัวบุคค ลที่
เก่ียวข้องแน่นอน และบุคคลดังกล่าวสามารถใช้สิทธิปกป้องส่วนได้เสียของตนได้อย่าง
เต็มท่ีโดยไม่ต้องอาศัยหรอื พง่ึ พาคนอน่ื ใหด้ าเนินคดีแทนให้
ในเง่ือนไขข้อน้ีกาหนดให้ศาลอนุญาตให้ดาเนินคดีแบบกลุ่มต่อเมื่อการเข้าเป็น
คู่ความร่วมนั้นมีลักษณะที่ impracticable ในคาดังกล่าวน้ีมีจุดสังเกตที่เห็นได้ว่า
องค์ประกอบส่วนสาคัญคือคาว่า practice ซึ่งมีความหมายถึงการปฏิบัติ เม่ือใช้เป็น
คาว่า practicable จึงมีความหมายในทานองว่าเป็นกรณีที่อาจหรือสามารถปฏิบัติได้
แต่เมื่อนาคาว่า im- มาเติมไว้ด้านหน้าจะทาให้คาทั้งหมดกลายสภาพเป็นเชิงปฏิเสธ
ความหมายจงึ เปลย่ี นไปเป็นวา่ เป็นกรณีท่ไี มอ่ าจหรอื ไมส่ ามารถปฏิบตั ไิ ด้น่ันเอง
การท่ีกฎหมายกาหนดเงื่อนไขลักษณะดังกล่าวก็เพ่ือต้องการจะวางหลักเกณฑ์
ในทานองท่ีว่าการให้ผู้มีส่วนได้เสียในคดีหลายๆ คนเข้าเป็นคู่ความร่วมในคดีน้ัน
ตามปกติย่อมจะทาให้เกิดความยุ่งยากในการดาเนินการอย่างแนน่ อน เพราะตอ้ งตดิ ตาม
3
ตัวบุคคลเหล่าน้ันมาให้ได้ทุกคนว่ามีใครบ้างแล้วจัดการให้บุคคลเหล่านั้นลงช่ือมอบ
อานาจและแต่งต้ังทนายความให้ทาหน้าท่แี ทนในคดี แต่ความไม่สะดวกดังกล่าวน้ีตอ้ งมี
ลักษณะที่ถึงขนาดจะเรียกได้ว่า impracticable หรือยุ่งยากจนไม่อาจปฏิบัติได้สาหรับ
กรณีท่ีเกิดข้ึนน้ัน ลักษณะของความ impracticable นี้อำจจะเกิดขึ้นจำกกำรที่
กำรติดตำมระบุตัวบุคคลท่ีเก่ียวข้องหรือมีส่วนได้เสียในขณะนั้นเป็นเร่ืองท่ียำกจะทำได้
หรืออำจจะเกิดจำกกำรที่จำนวนผู้มีส่วนได้เสียน้ันมีจำนวนมำกมำยหลำยคนจนกระท่ัง
ทำให้กำรดำเนินกระบวนพิจำรณำคดีน้ันไม่อำจทำได้โดยทำให้เกิดควำมรวดเร็ว
และมีประสิทธิภำพเพียงพอที่จะอำนวยควำมยุติธรรมให้แก่ทุกๆ ฝ่ำยท่ีเกี่ยวข้อง
ด้วยเหตุนี้เองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๒๒/๑๒(๓)
จึงได้กาหนดเร่ืองจานวนของสมาชิกกลุ่มไว้ว่าต้องมีจานวนมาก “ซึ่งการดาเนินคดี
อย่างคดีสามัญจะทาให้เกิดความยุ่งยากและไม่สะดวก” อันเป็นการแสดงให้เห็นว่า
การให้เข้าเป็นคู่ความร่วมในคดีสามัญของบรรดาสมาชิกกลุ่มน้ันจะต้องไมเ่ พียงแต่ทาให้
เกิดความไม่สะดวกเพียงอย่างเดียว แต่ต้องมีลักษณะประกอบกันท้ังเกิดความยุ่งยาก
และไมส่ ะดวกดว้ ย
เงือ่ นไขประการต่อไปคือ “(2) there are questions of law or fact common to
the class.” หรือมีควำมหมำยว่ำ “กรณีมีปัญหาข้อกฎหมายหรือข้อเท็จจริงอันเป็น
ปัญหาร่วมกันของทงั้ กลมุ่ ”
คาสาคัญในเง่ือนไขดังกล่าวคือคาว่า common ซึ่งเป็นคาคุณศัพท์ที่มี
ความหมายถึงสิ่งหนึ่งส่ิงใดก็ตามท่ีเป็นลักษณะอันร่วมกันหรือพบเห็นเหมือนๆ กัน สิ่งที่
เป็นเงื่อนไขทต่ี ้องมีร่วมกันหรอื พบเห็นเหมอื นๆกันในระหวา่ งผทู้ ่ีเปน็ สมาชิกกลุ่มท้ังหมด
คือ Question of law หรือปัญหำข้อกฎหมำย หรือ Question of fact หรือปัญหา
ข้อเท็จจริง เพราะเหตุทีท่ าให้การดาเนินคดีแบบกลุ่มเป็นวิธีการท่ีเหมาะสมเนื่องจากมลู
คดีของบรรดาสมาชิกกลุ่มท้ังหมดเกิดจากปัญหาข้อกฎหมายหรือปัญหาข้อเท็จจริง
บางประการเหมือนๆ กัน ดังนั้น เมื่อศาลพิพากษาตัดสินคดีไปในทางหนึ่งทางใดแล้ว
ย่อมเป็นประโยชน์หรือเป็นโทษต่อสมาชิกกลุ่มท้ังหมดไปด้วยพร้อมๆ กัน โดยไม่ต้องให้
สมาชิกกลุ่มแต่ละคนมาฟ้องร้องดาเนินคดีแยกเป็นรายบุคคล เน่ืองจากปัญหาในคดี
4
ของสมาชิกกล่มุ เหลา่ น้นั เป็นปญั หาเดยี วกนั อยูแ่ ลว้ แต่ความ common ในทนี่ ้ีคงไม่จำเป็น
ที่ปัญหำของสมำชิกกลุ่มทั้งหมดจะเป็นแบบเดียวกันทุกๆ เรื่อง เนื่องจำกโดยสภำพ
สมำชิกกลุ่มแต่ละรำยย่อมมีควำมแตกต่ำงกันอยู่บ้ำง แต่อย่ำงน้อยที่สุดปัญหำ
ท่ีเป็นปัญหำซึ่ง common ร่วมกันในคดีต้องเป็นปัญหาสาคัญที่จะทาให้ผลของคดี
เปน็ ไปในทศิ ทางใดทศิ ทางหน่ึง
ในสว่ นของ Prerequisite ขอ้ ต่อไปคือส่วนทบ่ี อกว่า “the claims or defenses
of the representative parties are typical of the claims or defenses of the
class”
คงต้องเร่ิมตั้งแต่คาว่า “claim” เสียก่อน หากจะทาความเข้าใจความหมาย
แบบเบ้ืองต้นเสียก่อนคงต้องบอกว่า claim น้ีบางคร้ังเราเอามาใช้แบบทับศัพท์เวลาพูด
ในภาษาไทยอยู่พอสมควรเหมือนกัน แต่คาท่ีเรานาไปใช้กันบ่อยๆ คือ เวลาที่เรา
ทาประกันภัยไว้ อย่างเช่นการประกันภัยรถยนต์สักคันหน่ึง พอรถเราโชคร้ายขับไปชน
รถคันอนื่ เข้าแล้วเราตอ้ งการให้บริษัทประกันภัยจา่ ยค่าสินไหมทดแทนหรอื ซ่อมรถให้เรา
เรามักจะบอกกันอยู่เสมอๆ ว่าเรา “claim” ประกัน ถ้าเราใช้ในลักษณะดังกล่าวน้ี
เท่ากับว่าเรากาลังจะใช้สิทธิที่เรามีอยู่ตามสัญญาประกันภัยรถยนต์ท่ีเราอาจเป็น
ผู้เอาประกันเพ่ือขอให้บริษัทประกันภัยที่เป็นคู่สัญญานั้นปฏิบัติการชาระหน้ีท่ีบริษัท
มีอยู่ต่อเราคือ การต้องจัดการซ่อมรถของเราให้มีสภาพกลับมาคืนดีดังเดิม ส่วนจะเป็น
การซ่อมอู่แบบไหนคงแล้วแต่ข้อสัญญา ดังนั้น ความหมายเบื้องต้นของคาว่า claim น้ี
คงเป็นการใช้สทิ ธิเรียกรอ้ งเพือ่ ใหอ้ ีกฝ่ายหนึ่งชาระหน้ีตามนิติสัมพนั ธ์ท่ีมีอยู่ตอ่ กัน ไม่วา่
นติ สิ ัมพันธน์ ้ันจะเปน็ สญั ญา ละเมดิ หรอื นติ สิ ัมพนั ธแ์ บบอื่นก็ตาม
ในการ claim นี้ เราคงต้องกล่าวอ้างถึงข้อเท็จจริงท่ีเป็นเร่ืองราวหรือท่ีมาของ
สิทธิท่ีเรามีอยู่ด้วยว่ามีฐานท่ีต้ังจากเร่ืองใด เพราะคงไม่มีใครยอมจ่ายเงินหรือชาระหน้ี
กันง่ายเพียงบอกว่าต้องจ่ายเงินหรือชาระหน้ีเท่าน้ันเท่านี้ให้อีกฝ่ายหน่ึง ข้อเท็จจริงที่
เป็นฐานท่ีตั้งแห่งสทิ ธินี้อาจจะเป็นสัญญาประกันภัยดังท่เี รากลา่ วถึงตอนต้นก็ได้ อาจจะ
เป็นสัญญาจ้างแรงงานระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง อาจจะเป็นการทาละเมิดท่ีปล่อย
มลพิษออกมาสู่สภาพแวดล้อมจนทาให้คนท่ีอยู่รอบข้างสุขภาพเส่ือมโทรม หรืออาจจะ
5
เป็นเร่ืองของการผลิตจาหน่ายสินค้าท่ีผู้ผลิตได้ผลิตและจาหน่ายสินค้าออกสู่ท้องตลาด
เช่น รถยนต์ แล้วมีผู้ซื้อรถยนต์น้ันไปใช้แต่ปรากฏว่ารถยนต์นั้นมีความชารุดบกพร่อง
จนทาใหเ้ กิดอันตรายแกผ่ ซู้ ือ้ หรือผ้ทู ใ่ี ชข้ องทซี่ ื้อไปนนั้
Claim ที่นามาใช้ในการพิจารณาเพ่ือขออนุญาตดาเนินคดีแบบกลุ่มในท่ีนี้
ส่วนแรกจะเป็นการพิจารณาถึง “claim of the representative parties” จึงเป็น
การพจิ ารณาถงึ คคู่ วามทีท่ าหน้าทเ่ี ปน็ ผ้แู ทนของกลุม่ กอ่ น เพราะคาวา่ representative
มีความหมายถึง สถานะความเป็นผู้แทนท่ีมีอานาจกระทาการต่างๆ แทนบุคคลอ่ืน
ส่วนคาว่า parties น้ันมีความหมายถึง คู่ความในคดี เพียงแต่ในที่น้ีไม่ได้ต้องการ
หมายถึงคู่ความท่ัวๆ ไป แต่จาเพาะเจาะจงลงไปถึงคู่ความท่ีทาหน้าที่เป็นผู้แทนที่ต้อง
ว่าต่างแก้ต่างแทนสมาชิกกลุ่มท้ังหมดโดยไม่ต้องให้สมาชิกกลุ่มทุกคนเข้ามาทาทุกอย่าง
ในคดีเอง และการทาหน้าที่ของผู้แทนในท่ีนี้จะส่งผลต่อบรรดาสมาชิกกลุ่มทุกคนด้วย
แต่ถ้าเทียบกับการดาเนินคดีแบบกลุ่มตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
ของไทย Representative party ในที่นี้คงจะตรงกับผู้ท่ีเป็น “โจทก์” ในการดาเนินคดี
แบบกลุ่ม เน่ืองจากภาระหน้าทีแ่ ละความรับผิดชอบของโจทก์ในการดาเนินคดีแบบกลุ่ม
ก็ต้องทาแทนสมาชิกกล่มุ ท้งั หมดดว้ ย
ส่วนคาว่า defense ในที่นี้มีความหมายถึง ข้อต่อสู้ ข้ออ้างหรือข้อเถียงต่างๆ
ที่ตามปกติผู้ที่เป็นจาเลยในคดีจะยกข้ึนอ้างเพื่อเป็นเหตุผลในการปฏิเสธความรับผิด
ของตน และแสดงให้เห็นว่าข้อเรียกร้องของฝ่ายโจทก์นั้นไม่เป็นความจริงหรือ
มีข้อบกพร่องอย่างใดอย่างหน่ึง ข้อสังเกตประการหน่ึงสาหรับในส่วนนี้คือ การที่
Rule 23 กาหนดถึง defense ไว้ในที่น้ีเนื่องจากการดาเนินคดีแบบกลุ่มตามกฎหมาย
ของสหรัฐอเมริกาน้ัน คู่ความฝ่ายที่เป็นกลุ่มนั้นอาจเป็นได้ท้ังฝ่ายโจทก์หรือฝ่ายจาเลย
ก็ได้เพียงแต่กรณีท่ี “กลุ่ม” เป็นฝ่ายจาเลยน้ันอาจจะเกิดข้ึนน้อย แต่กฎหมายก็เปิดชอ่ ง
ให้ทาได้เช่นกัน ทาให้ในประโยคข้างต้นจึงต้องกาหนดเป็นกลางๆ ว่า “claims or
defenses of the representative parties” เพื่อให้ครอบคลุมท้ังสองแบบ เพราะ
คาว่า representative party น้ันอาจใช้ได้ท้ังกรณีที่เป็นโจทก์หรือจาเลยก็ได้เช่นกัน
แตใ่ นขณะที่การดาเนินคดแี บบกลมุ่ ตามประมวลกฎหมายวธิ พี ิจารณาความแพ่งของไทย
6
กาหนดให้สามารถดาเนินคดีแบบกลุ่มไดเ้ ฉพาะกรณที ่ี “กลมุ่ ” เปน็ ฝา่ ยของโจทก์เท่าน้ัน
เน่ืองจากเร่ืองนี้ถือเป็นเรื่องใหม่ การกาหนดไว้ท้ังในส่วนกล่มุ ท่เี ป็นโจทก์หรือจาเลยกไ็ ด้
อาจจะทาให้กฎหมายมีความสลับซับซ้อนจนใช้งานได้ยากโดยท่ีการใช้ในทางปฏิบัติ
ที่กลุ่มเป็นฝ่ายของจาเลยเกิดขึ้นได้น้อย หากจะใช้ให้ตรงกับกฎหมายไทย ในที่น้ี
จงึ อาจจะเปน็ “claims of the plaintiff”
คาต่อไปท่จี ะตอ้ งทาความเขา้ ใจคือคาวา่ typical แต่อาจจะงา่ ยกว่าถา้ จะเริ่มจาก
คาอันเป็นท่ีมาของคาๆ นี้ ซึ่งได้แก่คาว่า type ท่ีมีความหมายถึงการเป็นแบบอย่างใน
ลักษณะใดลักษณะหน่ึง หากเราบอกว่าคนหรือส่ิงของกลุ่มนี้เป็น type เดียวกันเท่ากับ
เรากาลังบอกว่าบรรดาคนหรือส่ิงของเหล่านั้นมีลักษณะเฉพาะอย่างใดอย่างหนึ่งท่ีเป็น
แบบเดียวกัน เพราะหากไม่มีอะไรที่เหมือนกันเลยโดยเฉพาะในส่วนท่ีสาคัญ เราคง
ไม่สามารถบอกได้ว่าคนหรือสิ่งของเหล่านั้นเป็น type เดียวกันหรือแบบเดียวกัน
แน่นอนว่าคนท่ีบอกว่าเป็นแบบเดียวกันคงจะไม่เหมือนกันทุกอย่าง เพราะแม้แต่คนที่
เป็นฝาแฝดกันก็ยังมีข้อแตกต่างกันได้มาก ความเหมือนท่ีเป็นแบบเดียวกันนี้คงมงุ่ หมาย
แต่เฉพาะในส่วนสาคัญที่เรากาลังให้ความสนใจ ส่วนที่สาคัญเหล่านี้จึงต้องมีลักษณะ
เดียวกันหรือเป็นแบบเดยี วกนั จึงจะทาให้เรยี กได้วา่ เปน็ type เดยี วกันด้วย
เม่ือใช้ในรูปของ typical ซึ่งเป็นคาคุณศัพท์จึงต้องการจะสอื่ ความหมายถึงการที่
มีลักษณะเฉพาะท่ีสาคัญเป็นแบบอย่างเดียวกันระหว่าง claims ของโจทก์กับ claims
ของกลุ่มบุคคล เหตุท่ีต้องกาหนดในลักษณะดังกลา่ วนี้ เน่ืองจากหาก claims ของโจทก์
ไม่มีลักษณะสาคัญท่ีเหมือนหรือเป็นอย่างเดียวกันกับ claims ของกลุ่มเสียแล้วย่อมจะ
ถือไม่ได้ว่าโจทก์เป็นผแู้ ทนของกลมุ่ การที่ claims ของโจทก์แตกต่างจากของกลุ่มทาให้
ส่วนได้เสียของโจทก์เองแตกต่างจากส่วนได้เสียของบรรดาสมาชิกกลุ่ม ทาให้
การดาเนินคดีของโจทก์อาจมีลักษณะที่ขัดแย้งกันกับส่วนได้เสียหรือผลประโยชน์
ของสมาชิกกลุ่ม โจทก์อาจตัดสินใจทาการอย่างหนึ่งอย่างใดไปในทางคดีโดยคานึงถึง
ส่วนได้เสียหรือผลประโยชน์ของตนเป็นหลัก เพราะแม้การตัดสินใจนั้นจะทาให้สมาชิก
กล่มุ เสียประโยชน์แตต่ ัวโจทก์อาจไดป้ ระโยชน์กไ็ ดห้ าก claims ของโจทก์กับของสมาชิก
กลุ่มมีความแตกตา่ งกนั ในสว่ นสาคญั
7
แต่ในทางตรงกันข้าม หาก claims ของโจทก์มีลักษณะเป็น typical หรือเป็น
แบบอย่างเดียวกันกับ claims ของสมาชิกกลุ่มท้ังหมดแล้วจะมีผลทาให้ส่วนได้เสียหรือ
ผลประโยชน์ของโจทก์กับของสมาชิกกลุ่มเป็นแบบเดียวกัน หากการกระทาใดก็ตามท่ี
ทาให้สมาชิกกลุ่มเสียประโยชน์ก็จะมีผลทาให้ตัวโจทก์เองต้องเสียประโยชน์ตามไปด้วย
หากการกระทาใดที่ทาให้ตัวโจทก์ได้ประโยชน์ก็จะส่งผลโดยตรงให้สมาชิกกลุ่มทั้งหมด
ได้ประโยชน์ตามไปด้วยเช่นกัน ความเชื่อพื้นฐานคือตามปกติคู่ความไม่ว่าฝ่ายใดก็ตาม
ย่อมต้องพยายามรักษาผลประโยชน์ของตนเองอย่างเต็มท่ี การท่ีโจทก์ดูแลรักษา
ผลประโยชน์ของตัวเองจึงมีผลโดยตรงเป็นการดูแลรักษาผลประโยชน์ให้แก่สมาชิกกลุม่
ท้ังหมดด้วย ทาให้ระบบการดาเนินคดีแบบกลุ่มจึงดาเนินไปได้โดยการให้ผู้ที่เป็น
representative party มาทาหน้าทีแ่ ทนกลมุ่ บุคคลท้งั หมด
การเปรียบเทียบเพื่อพิจารณาถึงความเป็น typical หรือหากใช้เป็นคานามจะ
เรียกว่า typicality น้ีจึงเป็นการเปรียบเทียบลักษณะของ claims สองส่วน ส่วนแรกจึง
ต้องเร่ิมจาก claims ของโจทก์เองว่ามลี ักษณะอยา่ งไรซ่ึงต้องรวมถึงตั้งแต่ข้อเท็จจริงอนั
เป็นฐานท่ีตั้งแห่งสิทธิของโจทก์ว่าเกิดจากข้อเท็จจรงิ อะไร นิติสัมพันธ์ท่ีโจทก์ใช้อ้างเพอ่ื
เรียกร้องเป็นนิติสัมพันธ์ประเภทใด รวมตลอดถึงส่วนที่เป็น claims for relief หรือ
มาตรการเยียวยาซึ่งอาจเปรียบได้กับคาขอบังคับว่าส่ิงท่ีโจทก์เรียกร้องนั้นเป็นการขอให้
บังคับจาเลยต้องทาอย่างไร เมื่อพิจารณาส่วนแรกแล้วก็ย่อมต้องมาพิจารณาส่วนที่สอง
ต่อไปว่า claims ในส่วนของบรรดาสมาชิกกลุ่มมีลักษณะอย่างไรด้วย แนวทางการ
พิจารณาย่อมต้องพิจารณาจากสิ่งเดียวกันว่าข้อเท็จจริงอันเป็นฐานท่ีตั้งแห่งสิทธิของ
บรรดาสมาชิกกลุ่มเป็นอะไร นิติสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกกลุ่มกับจาเลยเป็นเร่ืองอะไร
รวมตลอดถึงมาตรการเยียยาท่ีจะใช้บรรเทาความเสียหายให้แก่บรรดาสมาชิกกลุ่ม
เป็นมาตรการอย่างไร จากนั้นต้องนาข้อพิจารณาท้ังสองส่วนมาเปรียบเทียบกัน
หากส่ิงต่างๆ เหล่าน้ันของโจทก์กับของสมาชิกลกลุ่มมีลักษณะเฉพาะท่ีสาคัญ
เป็นอย่างเดียวกนั จงึ จะถือได้วา่ claims ของโจทกเ์ ป็น typical ของกล่มุ
หากนามาศึกษาเปรียบเทียบกับบทบัญญัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิ จารณา
ความแพ่งของไทย มาตรา 22/10 บัญญัติไว้ว่า “สภาพแห่งข้อหา คาขอบังคับ รวมท้ัง
8
ข้ออ้างที่อาศยั เป็นหลักแห่งข้อหาของโจทก์” กับของกลุ่มต้องมีลักษณะเดียวกัน จึงเป็น
การกาหนดหลักเกณฑ์ท่ีคล้ายคลึงกับ Rule 23 ในส่วนที่เกี่ยวกับ typicality
ของ Claims ของโจทก์กับของกลุ่มท่ีต้องเป็นแบบอย่างเดียวกัน เนื่องจากดังท่ีได้
กล่าวถึงแล้วขา้ งต้นว่าความเปน็ แบบอยา่ งเดียวกันน้อี าจต้องพิจารณาจากลกั ษณะสาคญั
หลายๆ ส่วนประกอบกันตั้งแต่ส่วนท่ีเป็น “สภาพแห่งข้อหา” และ “ข้ออ้างท่ีอาศัยเปน็
หลักแห่งข้อหา” ว่า การฟ้องของโจทก์น้ันอาศัยสิทธิหรือนิติสัมพันธ์อย่างไร สภาพแห่ง
ข้อหาและข้ออ้างของโจทก์ก็ต้องเป็นแบบเดียวกับของกลุ่มบุคคล หรือหากจะกล่าวอีก
นัยหน่ึงคือ ถ้าสมาชิกกลุ่มแต่ละคนไม่ได้อาศัยสิทธิของความเป็นสมาชิกกลุ่มแล้วนาคดี
มาฟอ้ งร้องเป็นของตนเอง สภาพแหง่ ขอ้ หาและขอ้ อา้ งที่สมาชิกกลุม่ เหลา่ น้ันจะบรรยาย
ในคาฟ้องก็ต้องเป็นแบบเดียวหรือมีลักษณะเดียวกันกับท่ีบรรยายในคาฟ้องท่ีโจทก์ใช้
ขออนุญาตดาเนินคดีแบบกลุ่ม เช่น หากสภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างของโจทก์เป็นเร่ือง
ความรับผิดจากสินค้าที่ไม่ปลอดภัยซึ่งจาเลยเป็นผู้ผลิตจาหน่าย สภาพแห่งข้อหาและ
ข้ออ้างท่ีสมาชิกกลุ่มจะใช้หากต้องฟ้องร้องเองก็ต้องเป็นเรื่องความรับผิดจากสินค้าท่ีไม่
ปลอดภัยเช่นกัน และต้องเกิดจากกรณีสินค้าชนิด รุ่นเดียวกัน รวมตลอดถึงความชารุด
บกพร่องท่ีทาให้เกิดความเสียหายจะต้องเป็นความชารุดบกพร่องในส่วนเดียวกันด้วย
เพราะหากแม้เป็นเรื่องความรับผิดจากสินค้าที่ไม่ปลอดภัยเหมือนกัน แต่กล่าวอ้าง
ความชารุดบกพร่องคนละส่วนกันโดยในส่วนของโจทก์เป็นความชารุดบกพร่องจาก
ถุงลมนิรภัย แต่ของสมาชิกกลุ่มเป็นเรอ่ื งของระบบห้ามล้อก็ไม่อาจถือได้ว่า claims ของ
โจทก์เป็น typical หรือแบบอย่างเดียวกันกับของสมาชิกกลุ่ม เช่นเดียวกันกับส่วนของ
คาขอบังคับก็ต้องเป็นคาขอบังคับในลักษณะเดียวกัน แม้ว่าจานวนคา่ เสยี หายของแตล่ ะ
คนย่อมจะแตกต่างกนั กต็ าม
Prerequisite ข้อสุดท้ายของการขออนุญาตดาเนินคดีแบบกลุ่มคือ การท่ี “the
representative parties will fairly and adequately protect the interests of the
class.” คาว่า “representative parties” ในท่ีน้ีหากเป็นการดาเนินคดีแบบกลุ่มตาม
9
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งย่อมได้แก่ผู้ท่ีเป็น “โจทก์” ในคดี เนื่องจาก
การทาหน้าที่ของโจทก์เป็นเสมือน “ผู้แทน” หรือ representative ที่ต้องทาหน้าท่ี
ดาเนินคดีและกระบวนพิจารณาต่างๆ แทนบรรดาสมาชิกกลุ่มท้ังหมด ผลของกระบวน
พิจารณาใดๆ ท่ีโจทก์ทาไปย่อมส่งผลไปถึงผู้ท่ีเป็นสมาชิกกลุ่มทั้งหมดด้วย ไม่ว่าผลท่ี
เกดิ ขนึ้ น้ันจะเป็นผลในทางบวกหรอื ทางลบก็ตาม
หน้าท่ีของ “โจทก์” ท่ีเป็นเสมือนผู้แทนของกลุ่มบุคคลตามที่กฎหมายกาหนดท่ี
สาคัญคือ ต้อง “fairly and adequately protect the interests of the class”
หรือปกป้องคุ้มครองผลประโยชน์ของกลุ่มบุคคลอย่างเป็นธรรมและเหมาะสม ไม่ใช่
คานึงถึงผลประโยชน์ส่วนบุคคลของตนเป็นสาคัญ เพราะหากเป็นเช่นนั้นจะทาให้การ
ดาเนินคดีแบบกลุ่มเป็นเพียง “เครื่องมือ” ท่ีโจทก์ใช้เป็นอานาจต่อรองเพ่ือบีบบังคับ
ทางอ้อมให้จาเลยต้องยอมตามข้อเรียกร้องของตน การดาเนินกระบวนพิจารณาต่างๆ
ของโจทก์จึงต้องคานึงถึงความเป็นธรรมแก่บรรดาสมาชิกกลุ่มด้วย เช่น ในกรณีของ
การเจรจาเพ่ือประนีประนอมยอมความกับจาเลย ข้อกาหนดและเงื่อนไขต่างๆ
ของสัญญาประนีประนอมยอมความจะต้องให้ความเป็นธรรมแก่บรรดาสมาชิกกลุ่ม
ท้ังหลายอย่างเหมาะสมด้วย แต่เนื่องจากสมาชิกกลุ่มเหล่านั้นไม่ได้เป็นผู้เจรจาเอง
จึงต้องอาศยั โจทก์ในการดแู ลผลประโยชนใ์ ห้
เม่ือผ่านเงื่อนไขเบ้ืองต้นท่ีจะขออนุญาตดาเนินคดีแบบกลุ่มได้แล้วไม่ใช่ว่าศาล
จะต้องอนุญาตให้ดาเนินคดีแบบกลุ่มเสมอไป ศาลยังต้องพิจารณาปัจจัยประการอื่น
ตามที่กาหนดอีก แต่ในทนี่ ี้คงนามากลา่ วถึงได้เพยี งบางสว่ น ปัจจัยดงั กล่าว เชน่
10
ปัจจัยดังกล่าวนี้เป็นเหตุผลสาคัญประการหน่ึงที่ทาให้ควรต้องใช้การดาเนินคดี
แบบกลุ่ม เนื่องจากหากเป็นคดีลักษณะเดียวกันที่เกิดข้ึนกับผู้ท่ีเป็นโจทก์และสมาชิก
กลุ่มจานวนมาก แต่หากแยกกันดาเนินคดีและแยกกันพิจารณาพิพากษาเป็นรายๆ ไป
ย่อมมีความเส่ียงมากท่ีผลการพิจารณาของแต่ละคดีจะแตกต่างจนถึงกับขัดแย้งกัน เช่น
หากเป็นการฟ้องร้องเก่ียวกับความเสียหายที่เกิดจากสินค้าที่ไม่ปลอดภัยเหมือนๆ กัน
เก่ียวกับความเสียหายจากถุงลมนิรภัยในรถยนต์จากรถยนต์ยี่ห้อเดียวกัน รุ่นเดียวกัน
และผลิตในคราวเดียวกัน แต่เม่ือต้องแยกกันฟ้องร้องเป็นรายคดี ในคดีหนึ่งอาจเห็นว่า
ความชารุดบกพร่องท่ีอ้างไม่มีอยู่จริง แต่ในอีกคดีหนึ่งอาจเห็นว่ามีความชารุดบกพร่อง
แบบเดียวกับที่อ้างในอีกคดีหนึ่งและให้จาเลยต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนก็ได้
11
ผลที่เกิดขึ้นย่อมทาให้ประชาชนท่ีได้รับความเสียหายเกิดความสงสัยในกระบวนการ
ยุตธิ รรมเพราะเรื่องลกั ษณะเดยี วกันแต่ปรากฏผลท่ีแตกตา่ งกันมาก
คาว่า “Prosecuting” ขา้ งตน้ มาจากคากริ ยิ าว่า Prosecute ทต่ี ามปกติมักพบ
ในกรณขี องคดีอาญามากกวา่ เพราะมีความหมายถึงการดาเนนิ คดอี าญาเพอ่ื พิสูจน์
ความผิดของจาเลย ทาให้เราเรยี กพนกั งานอยั การวา่ Prosecutor หรอื อาจเรยี กว่า
Public prosecutor เพือ่ ทาให้ชัดเจนมากขึน้ ว่าเปน็ การดาเนินคดโี ดยรฐั ท่แี ตกตา่ งจาก
กรณีท่ีผเู้ สียหายเป็นโจทกใ์ นคดีอาญาเอง แตก่ ารใชใ้ นบรบิ ทของการดาเนนิ คดีแบบกลมุ่
ในทีน่ ี้คงต้องการสอื่ ความหมายเพียงเปน็ การดาเนนิ คดีโดยทัว่ ไปเทา่ นนั้
คาว่า “separate actions” ทตี่ ามมาจึงไมไ่ ดห้ มายถงึ action ที่เปน็ การกระทา
ทั่ว ๆ ไป แต่มุ่งหมายถึงการดาเนินคดี บางครั้งเราอาจพบในสานวนที่บอกว่า take an
action ที่หมายถึงการฟ้องร้องเป็นคดีต่อศาลซ่ึงล้วนแต่สื่อความหมายเดียวกัน แต่ในคา
ท่ีหมายถึงการฟ้องร้องน้ันอาจใช้คาอ่ืน เช่น file a lawsuit ก็ได้เช่นกัน เพราะการจะ
ฟอ้ งรอ้ งเป็นคดีต่อศาล ตามปกตเิ ราก็ต้องนาเอกสารไปยืน่ ไวต้ ่อศาลจึงทาใหใ้ ช้คาว่า file
คาว่า “adjudication” ในขอ้ ความขา้ งตน้ หมายถงึ การพจิ ารณาพิพากษาคดี
เนือ่ งจากมาจากคาว่า adjudicate ซ่งึ หมายถึงการตัดสินคดี
แต่ในบางคร้ังคาว่า adjudication นี้อาจหมายถึงกระบวนการระงับข้อพิพาท
ทางเลือกวิธีการหนึ่งก็ได้ ในกรณีท่ีเป็นส่วนหนึ่งกระบวนการระงับข้อพิพาทน้ี คู่พิพาท
จะตกลงแต่งตั้งบุคคลขึ้นทาหน้าทเี่ ป็น adjudicator เพ่ือทาหนา้ ท่วี ินิจฉัยช้ีขาดประเดน็
ปัญหาที่คู่พิพาทถกเถียงกัน แต่ตามปกติผลผูกพันของคาช้ีขาดของ adjudicator นี้จะ
เป็นผลผูกพันชั่วคราวเพ่ือให้คู่พิพาทนาไปปฏิบัติในระหว่างที่รอคาวินิ จฉัยช้ีขาดที่เป็น
ที่สุด กรณีที่มักนากระบวนการของ adjudication ไปใช้มักเป็นข้อพิพาทท่ีเกิดข้ึนใน
ระหว่างการดาเนินโครงการก่อสร้างที่คู่พิพาทอาจถกเถียงกันว่าควรต้องก่อสร้างหรือ
ดาเนินการอย่างไร หากรอให้มีคาวินิจฉัยช้ีขาดที่เป็นที่สุด ไม่ว่าจะเป็นคาชี้ขาดของ
อนุญาโตตุลาการ หรือการพิพากษาของศาลอาจทาให้โครงการก่อสร้างน้ันหยุดชะงัก
และเสียหายได้ เพราะในขณะนั้นการก่อสร้างอาจคืบหน้าไปพอสมควรแล้ว หากต้องรอ
ระยะเวลาเป็นปี โครงสรา้ งทีท่ าไปแลว้ อาจผุพังเสียหาย หรือราคาวัตถดุ ิบและต้นทนุ อ่ืน
12
ในการก่อสร้างอาจเพิ่มสูงข้ึนก็ได้ ในสัญญาจึงอาจกาหนดให้ใช้กระบวนการ
adjudication เพอื่ หาคนมาวินิจฉยั ไปก่อนใหโ้ ครงการดาเนินต่อไปได้
ปจั จัยประการอืน่ ท่ีศาลต้องนามาใช้ประกอบการพิจารณาในการอนญุ าตให้
ดาเนนิ คดแี บบกลุม่ อีก เช่น
ปัจจัยข้อน้ีเป็นส่วนสาคัญอีกประการหนึ่งที่ประเด็นปัญหาในคดีไม่ว่าจะเ ป็น
ในส่วนของปัญหาข้อกฎหมายหรือปัญหาข้อเท็จจริงจะต้องเป็นกรณีที่ปัญหาร่วมกัน
ของโจทก์และสมาชิกกลุ่มท้ังหมดต้องเป็นปัญหาที่สาคัญต่อผลของคดีมากกว่าปัญหา
เฉพาะตัวของโจทก์หรือสมาชิกกลุ่มแต่ละคน เน่ืองจากหากเป็นกรณีที่ปัญหาเฉพาะตัว
ของโจทก์หรือสมาชกิ กลมุ่ ท่แี ตกต่างกันน้นั มีความสาคญั มากกว่าปัญหาร่วมกันของโจทก์
และสมาชิกกลุ่มแล้วการดาเนินคดีแบบกลุ่มก็แทบจะไม่มีประโยชน์ใดๆ เพราะสุดท้าย
13
สทิ ธขิ องสมาชิกกลุม่ และความรับผิดของจาเลยทจี่ ะมีตอ่ สมาชิกกลุ่มแตล่ ะคนย่อมขึ้นอยู่
กับปัญหาเฉพาะตัวของแต่ละคนมากกว่าที่ต้องไปพิจารณาแยกเป็นรายกรณี ดังนั้น
แม้จะมีปัญหาร่วมกันบ้าง แต่การพิจารณาพิพากษาปัญหาเหล่าน้ันไม่มีประโยชน์
ในทางคดสี กั เทา่ ใด จึงเป็นการดกี วา่ ทีจ่ ะให้แต่ละคนไปดาเนินคดีสามัญแยกจากกนั
คาว่า dominate ตามปกติก็มีความหมายถึงการมีอิทธิพลหรือมีความสาคัญ
อยู่แล้ว แต่การที่เติมคานาหน้า pre- และกลายเป็น predominate ทาให้เป็นการ
เน้นความสาคัญยิ่งข้ึนว่าการมีอิทธิพลหรือความสาคัญในท่ีนี้ต้องมาก่อนความสาคัญ
ของปัญหาเฉพาะตัวของผู้เกีย่ วข้องแต่ละราย
ปัจจัยอีกประการหน่ึงคือ superiority หรือการใช้วิธีการดาเนินคดีแบบกลุ่ม
ต้องมีความ superior หรือดีกว่าวิธีการดาเนินคดีด้วยวิธีอ่ืน เช่น การเป็นโจทก์ร่วม
หรือการร้องสอด เพราะหากการดาเนินคดีแบบกลุ่มไม่สามารถทาให้เกิดประสิทธิภาพ
ในการพิจารณาพิพากษาท่ีดีกว่าการดาเนินคดีสามัญแล้วศาลก็ไม่ควรอนุญาต
ใหด้ าเนนิ คดีแบบกลมุ่
หลกั เกณฑแ์ ละปัจจัยต่างๆ เกยี่ วกบั การดาเนินคดีแบบกลมุ่ ที่กลา่ วถึงมาทง้ั หมดนี้
คงเป็นข้อมูลเบื้องต้นท่ีใช้ประกอบการศึกษาทาความเข้าใจการดาเนินคดีแบบกลุ่ม
ในรายละเอียดต่อไป เพราะในอนาคต การดาเนินคดีแบบกลุ่มคงจะมีความสาคัญมาก
ขึ้นตามลาดับ การศึกษาเปรียบเทียบกับแนวปฏิบัติที่ใช้ในต่างประเทศย่อมจะช่วยทาให้
เข้าใจกระบวนการต่างๆ ได้ดีย่ิงข้ึนซึ่งจะช่วยให้การพัฒนาหลักกฎหมายการดาเนินคดี
แบบกลุม่ พัฒนาตามไปดว้ ย
14
การค้ามนุษย์ (Human trafficking)
ปัญหาเรื่องการค้ามนุษย์เป็นปัญหาสาคัญอีกเร่ืองหนึ่งที่กาลังมีบทบาท
ในกระบวนการยตุ ิธรรมมากข้ึน เรากาลงั จะมกี ฎหมายเฉพาะเกี่ยวกับวิธีพิจารณาท่ีจะใช้
กับคดีประเภทนี้ แต่ท่ีสาคัญคือ คดีประเภทนี้เป็นเร่ืองที่ไม่ใช่แต่เฉพาะประเทศไทย
เทา่ นั้นท่ใี หค้ วามสนใจ แตเ่ ปน็ คดีทนี่ านาประเทศให้ความสนใจและใหค้ วามสาคญั ไม่แพ้
กนั จนถึงขนาดท่มี ีการจัดอันดับของประเทศต่างๆ ว่ามีการดาเนินการเก่ียวกับการค้ามนุษย์
ไปมากน้อยเพียงใด มีความคืบหน้าหรือถดถอยไป ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาประเทศไทย
ของเราเองก็ได้รับผลกระทบจากการลดอันดับดังกล่าวจนเป็นท่ีมาท่ีทาให้หน่วยงาน
ต่างๆ ต้องเร่งรัดไปจนถึงเร่งรีบทาเร่ืองต่างๆ สารพัดเพ่ือนาไปบอกกล่าวกับชาวโลก
ว่าเราได้ทาอะไรในเรือ่ งนีไ้ ปเพียงใดแล้ว จึงเป็นเรื่องหนึ่งท่ีเราอาจต้องมาทาความเขา้ ใจ
ศัพทแ์ สงที่เกยี่ วขอ้ งเพอื่ ประกอบการศกึ ษาและพฒั นาการดาเนนิ งานต่อไปในอนาคต
คาแรกท่ีควรเป็นจุดเริ่มต้นคงต้องเริ่มที่คาว่า “การค้ามนุษย์” กันเสียก่อน
ค า ท่ั ว ไ ป ที่ พ บ กั น บ่ อ ย คื อ ค า ว่ า Human trafficking ค า ว่ า trafficking ท่ี
เป็นส่วนประกอบนี้เป็นคาหน่ึงท่ีดูจากตัวสะกดและการใช้งานแล้วมีความน่าสนใจ
ในตัวเองพอสมควร เพราะรากศัพท์ที่มามาจากคาว่า “traffic” ซึ่งตามปกติเวลาท่ีเรา
ได้ยินได้ฟังคาๆ น้ี เรามักจะนึกถึงสภาพการจราจรในท้องถนนเสียมากกว่า เพราะหาก
เป็นสภาพการจราจรท่ีออกจะกลายเป็นจราจล เรามักจะบอกว่าเป็นลักษณะที่ heavy
traffic หรือบอกวา่ เป็น traffic jam
แต่คาว่า traffic คาเดยี วกบั เรอื่ งจราจรทวี่ ่ามีความหมายอืน่ ด้วย เพราะหากเราใช้
เป็นลักษณะของคากิริยาจะทาให้มีความหมายไปในทานองท่ีเป็นการค้าการขายได้ด้วย
เหมือนกัน ท้ังนี้อาจจะเป็นเพราะว่าโดยสภาพของการค้าการขายย่อมต้องมีการขน
เคล่ือนย้ายสินค้าจากที่หน่ึงไปยังอีกท่ีหน่ึงไม่มากก็น้อย จึงไม่ต่างอะไรจากการที่ตัว
15
สินค้าเหล่าน้ันต้อง “จราจร” ไปมาระหว่างที่ต่างๆ แต่ลักษณะของการค้าการขายท่ีจะ
เข้าลักษณะของการเป็น traffic อย่างที่เรากาลังคุยกันอยู่น้ีไม่ได้เป็นการค้า
การขายธรรมดาเท่าน้ันเอง เพราะการค้าการขายที่จะเรียกว่าเป็น traffic ได้จะต้องมี
ลักษณะของการลักลอบค้าขายสิ่งของหรือบริการที่ผิดกฎหมายเท่าน้ัน ถ้าเป็นการซ้ือ
ขายของธรรมดาท่ีไม่มีใครห้าม และสามารถทาได้อย่างเปิดเผยทั่วไปเราจะไม่ใช้คาว่า
traffic กัน
คาว่า traffic เดียวกันน้ียังเป็นคานามด้วยเช่นกันและมีความหมายอยา่ งเดียวกัน
คอื เป็นการทามาค้าขายในส่ิงของหรอื กจิ กรรมทผี่ ดิ กฎหมาย
ความพิเศษในลักษณะการเขียนคาๆ น้ีคือ เม่ือใช้เป็นคากิริยาหรือ Gerund ที่เป็น
กิริยาซ่ึงเติม –ing เข้าไปจะเติมตัว k เข้าไปตอนท้ายทาให้กลายเป็น trafficking อย่างที่
เราเห็นกันในคาว่า human trafficking แต่นอกจากการค้ามนุษย์แล้ว การค้าอย่างอ่ืน
ที่ผิดกฎหมายและใชค้ าๆ นเี้ ชน่ กัน เช่น คาวา่ sex trafficking ก็จะมีความหมายเกี่ยวกบั
การค้ามนุษย์เพื่อการประเวณี หรือ drug trafficking ก็จะหมายถึงการค้า
ยาเสพติด ถ้าเป็น arms trafficking หรือ gun trafficking ก็จะกลายเป็นการค้าอาวุธ
ซงึ่ มักจะเปน็ พวกอาวุธสงครามเสยี เป็นสว่ นใหญ่
หากเราชา่ งสังเกตเก่ียวกบั การใชค้ าเหล่านี้ บางคนอาจจะต้ังข้อสงสยั วา่ เวลาท่เี รา
พูดถึงการจัดอันดับเกี่ยวกับเร่ืองการค้ามนุษย์ซ่ึงประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศท่ี
เจ้ากี้เจ้าการจัดขึ้นมา รายงานท่ีสหรัฐอเมริกาทาข้ึนแต่ละปีในเร่ืองน้ีจะรู้จักกันในชื่อว่า
TIP Report ซ่ึงพอดูคาว่า TIP แล้วจะไมค่ อ่ ยคลา้ ยว่ามาจากคาวา่ human trafficking
สักเท่าไหร่ เพราะหาตัว P อย่างไรก็หาไม่เจอ เหตุท่ีเป็นเช่นน้ันเพราะคาว่า TIP น้ีเป็น
อักษรยอ่ ท่ีมาจากคาวา่ Trafficking in Persons
ในแง่ความหมายคาท้ังสองอาจจะไม่ได้แตกต่างกันมากนัก เพราะต้องการจะ
หมายถึงการค้ามนุษย์ด้วยกันทั้งสิ้น แต่ในแง่ของการใช้คาในกฎหมายอาจจะทาให้
16
เลือกใช้คาที่แตกต่างกันบ้าง เน่ืองจากคาว่า human นั้นมีความหมายถึงมนุษย์ปุถุชน
โดยท่ัวไปซึ่งอาจเรียกได้ว่าเป็นคาสามัญท่ีเราใช้เรียกกัน แต่เม่ือต้องการจะบ่งบอกถึง
ความ “บุคคล” ที่เป็นผู้ทรงสิทธิในทางกฎหมายท่ีอาจจะเป็นผู้ใช้สิทธิเรียกร้องหรือเป็น
ผู้ที่ถูกล่วงละเมิดสิทธิตามกฎหมายแล้วเรามักจะใช้คาว่า “person” มากกว่า ดังนั้น
จึงเปน็ สาเหตหุ นึ่งทท่ี าให้รายงานเก่ยี วกับการคา้ มนษุ ย์จึงได้เลือกใชค้ าว่า Trafficking in
Persons แทนท่จี ะเป็น Human Trafficking อย่างทเ่ี ราคนุ้ เคยกัน
แต่ในบรรดาการกระทาท่ีเข้าข่ายการค้ามนุษย์นั้นยังอาจแบ่งประเภทออกเป็น
ประเภทของพฤติกรรมย่อมๆ ได้อีกหลายลักษณะ แต่ละแบบมีความร้ายแรง
ไม่เหมือนกัน อีกท้ังแนวทางในการแยกแยะว่าเป็นการค้ามนุษย์หรือไม่ก็แตกต่างกัน
ตามไปด้วย อย่างเช่นคาว่า child trafficking จะหมายถึง การค้าเด็กซ่ึงอาจจะเป็น
การกระทาตัง้ แตพ่ าเด็กไปเพื่อการประเวณี การนาไปใช้แรงงาน หรือแมแ้ ตก่ ารนาไปขาย
เพ่อื ให้เปน็ บุตรบุญธรรมของคนอ่ืน
ส่วนคาว่า labor trafficking ก็จะเน้นไปที่การค้ามนุษย์เพ่ือการใช้แรงงาน
แตใ่ นสว่ นของการใชแ้ รงงานเองกย็ งั มหี ลายลกั ษณะ พฤตกิ รรมประเภทหน่งึ ท่เี ราอาจจะ
ไม่ได้นึกถึงว่าจะเก่ียวข้องกับการค้ามนุษย์ด้วยคือประเภทที่เรียกว่า domestic
servitude คาว่า servitude ที่เห็นอยู่น้ีเป็นการบ่งบอกถึงสภาพความเป็น “ทาส”
ท่ีในสมัยก่อนพบเห็นกันอยู่ทั่วไปท่ีคนที่มีฐานะมักซ้ือขายคนเพอ่ื เอามาเป็นทาสให้รับใช้
หรือใช้งานกันอย่างไม่ต้องคานึงถึงสิทธิหรือสวัดิภาพเหมือนผู้ใช้ แรงงานหรือลูกจ้าง
ในปัจจุบัน เพราะในยุคสมัยนั้น “ทาส” เหล่าน้ีไม่ต่างจากทรัพย์สินอย่างเช่นถ้วยโถ
โอชามท่ีอยู่ในบ้าน เพราะจะจับไปวางหรือทาอะไรก็ได้ จะยกจะขายให้คนอ่ืนก็สุดแตใ่ จ
เจ้าของ ในสมัยน้ีแม้การซ้ือขายทาสกันแบบโบราณจะไม่มีแล้ว แต่พฤติกรรมท่ี
คนบางคนปฏิบัติต่อคนอีกคนหน่ึงท่ีมาทางานให้ตนเองก็อาจจะไม่ต่างจากการเป็น
“ทาส” สักเท่าใด เพียงแต่ “นายทาส” และ “ทาส” ในปัจจุบันอาจใช้วิธีการท่ีแยบยล
17
กว่า และสภาพความเป็นทาสแม้จะดีกวา่ ในอดีต แต่การปฏบิ ัตทิ ่ีได้รบั ก็ใกล้เคยี งกับทาส
สมัยกอ่ นไมม่ ากก็นอ้ ย
ส่วนคาอีกคาหนึ่งที่นาหน้าคาว่า servitude คือคาว่า domestic คาๆ น้ีหากเรา
เดินทางไปสนามบินก็พบเห็นกันบ่อยๆ เพราะจะเห็นป้ายที่บอกว่าเป็น domestic
departure หรือ international departure ในกรณีแบบน้ันเราจะหมายถึงช่องทางขา
ออกภายในประเทศ (domestic departure) กับช่องทางขาออกระหว่างประเทศ
(international departure) เพราะคาว่า domestic กรณีน้ีแปลว่าภายในประเทศ
แต่คาว่า domestic ที่นามาใช้ประกอบกับคาว่า servitude ในที่น้ีไม่ได้หมายถึง
ภายในประเทศ แต่จะหมายถึงภายในบ้านหรือครัวเรือนแทน บางครั้งเราอาจจะได้ยิน
หรือพบเห็นคาว่า domestic violence ซ่ึงจะใช้ในความหมายใกล้เคียงกัน เพราะเป็น
การพูดถึง “ความรุนแรงในครอบครัว” คาว่า domestic servitude จึงมีความหมาย
ส่ือถึงคนที่ทางานบ้านเยี่ยงทาส ซึ่งถือเป็นรูปแบบหน่ึงของการค้ามนุษย์ด้วยเช่นกัน
ในการใช้บางกรณีจะบอกวา่ เป็น involuntary domestic servitude เพื่อเน้นยา้ ให้เหน็ ว่า
การทางานบ้านในกรณีเหล่านี้เป็น “ความไม่สมัครใจ (involuntary)” ของคนท่ีทาแต่
จายอมตอ้ งมาทาเพราะพฤติกรรมบางอยา่ ง
พฤติกรรมอีกประเภทหนึ่งคือ child soldier ซึ่งคงคาดเดาความหมายได้ไม่ยาก
ว่าเป็นลักษณะของพฤติกรรมท่ีนาเอาเด็กไปสู้รบปรบมือเป็นทหาร เน่ืองจากเด็ก
ควรจะต้องได้รับการดูแลเลี้ยงดูพอสมควรให้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดีของสังคม แม้ว่าการที่
เอาเด็กเหล่าน้ีไปเป็นทหารจะเกิดจากความสมัครใจหรือความยินยอมของเด็กเหล่านั้น
ก็ตาม แต่การที่เด็กโดยสภาพก็ย่อมเป็นเด็กที่ยังรู้เท่าไม่ถึงการณ์ วุฒิภาวะย่อมไม่เท่า
ผู้ใหญ่ การตัดสินใจยินยอมหรือสมัครใจจึงอาจเกิดจากสภาวะเหล่าน้ี ทาให้เราจึงถือว่า
พฤติกรรมของ child soldier นเี้ ป็นการคา้ มนษุ ย์ด้วยเชน่ กนั
18
อี ก ป ร ะ เ ภ ท ห น่ึ ง ที่ อ า จ จ ะ พ บ เ ห็ น ไ ด้ บ่ อ ย ก ว่ า แ ล ะ เ ป็ น รู ป แ บ บ ห น่ึ ง ข อ ง
การค้ามนุษย์ท่ีแพร่หลายคือ human smuggling คาว่า smuggling มีความหมายที่
สื่อถึงการลักลอบขนย้ายจากท่ีหน่ึงไปยังอีกท่ีหนึ่ง ทาให้ human smuggling จึงเป็น
การลักลอบขนย้ายคนจากท่ีหนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งโดยผิดกฎหมาย เพียงแต่ลักษณะ
การกระทาท่ีจะเป็น human smuggling น้ีตามปกติจะเป็นการลักลอบขนย้ายคน
จากประเทศหน่ึงไปยังอีกประเทศหนึ่งโดยผิดกฎหมาย เหตุท่ีมีความหมายลักษณะน้ัน
เนื่องจากหากเราเคล่ือนย้ายหรือขนย้ายคนจากที่หน่ึงไปยังอีกที่หนึ่งในประเทศ
ย่อมทาได้โดยไม่มีปัญหาทางกฎหมายเท่าใดนัก เพราะตามปกติกรณีแบบนี้มักเกิดจาก
ความยินยอมของคนท่ีขนย้ายด้วยการพาคนไปโดยสมัครใจจาก ท่ีหนึ่งไปอีกที่หน่ึง
ภายในประเทศจึงไม่มีปัญหาใดๆ แต่เม่ือเป็นการลักลอบขนย้ายคนจากประเทศหนึ่ง
ไปยงั อกี ประเทศหนงึ่ ยอ่ มทาให้เกิดปญั หาเนือ่ งจากการ “เข้าเมอื ง” ของคนทถ่ี ูกลกั ลอบ
พาเข้าไปย่อมผิดกฎหมาย เพราะอาจไม่ได้รับอนุญาต ไม่ได้วีซ่า หรือเข้าตามช่องทาง
ทไี่ ม่ไดเ้ ปน็ ชอ่ งทางเขา้ ออกที่ถกู ต้อง พฤติกรรมแบบนเ้ี ปน็ การค้ามนุษยท์ ี่เกิดขึ้นมากและ
เป็นปัญหาท่ีสาคัญเก่ียวเน่ืองเช่ือมโยงกับปัญหาระดับนานาชาติและเป็นสาเหตุท่ีทาให้
นานาประเทศตอ้ งหนั มาร่วมมือและใส่ใจแก้ปญั หารวมท้งั ประเทศไทยของเรา
สาหรับองค์ประกอบและลักษณะของการกระทาท่ีจะเข้าข่ายเป็นความผิดฐาน
ค้ามนุษย์น้ันมีอนุสัญญาและความตกลงระหว่างประเทศหลายต่อหลายฉบับที่กล่าวถึง
การกระทาท่ีถือเป็นการค้ามนุษย์ แต่ความตกลงระหว่างประเทศฉบับหนึ่งซึ่งให้ข้อมูล
ที่ชัดเจนพอสมควรเกี่ยวกับลักษณะของพฤติกรรมที่จะถือว่าเป็นการค้ามนุษย์คือ
“พิธีสารเพื่อป้องกัน ปราบปรามและลงโทษ การค้ามนุษย์โดยเฉพาะสตรีและเด็ก
เสริมอนุสัญญาสหประชาชาติต่อต้านองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ (Protocol to
Prevent, Suppress and Punish Trafficking in Persons, Especially Women and
Children, supplementing the United Nations Convention against
Transnational Organization Crime)”
19
ก่อนที่เราจะไปดูกันถึงรายละเอียดพฤติกรรมท่ีเป็นการค้ามนุษย์ หลักการสาคัญ
ท่ีแบง่ แยกองค์ประกอบการกระทาจะประกอบดว้ ย 3 สว่ นดว้ ยกันคอื
1. การกระทา (Act)
2. วธิ กี าร (Means) และ
3. วัตถุประสงค์ (Purposes)
อาจกลา่ วได้วา่ การทเี่ ราจะพิจารณาว่าพฤติกรรมแบบใดท่ีจะถอื เป็นการค้ามนุษย์
น้ันเราจะดูจากองค์ประกอบท้ังสามส่วนนี้ว่าเกิดการกระทา (Act) อย่างที่ระบุหรือ
กาหนดไว้หรือไม่ การกระทาดังกล่าวจะถือว่าเป็นการค้ามนุษย์จะต้องกระทาข้ึนโดยใช้
วิธีการ (Means) ตามท่ีระบุหรือกาหนดไว้ด้วย เนื่องจากหากเป็นการใช้วิธีการอย่างอ่ืน
นอกจากที่ระบุไว้จะไม่ถือว่าเป็นการค้ามนุษย์ แต่ส่วนที่สาคัญอีกส่วนหนึ่งคือ
วัตถุประสงค์ (Purposes) ของการกระทาดังกล่าวซ่ึงจะเป็นอีกส่วนหน่ึงท่ีแบ่งแยก
พฤติกรรมท่ีเป็นค้ามนุษย์ออกจากการกระทาความผิดอาญาโดยทั่วไป เนื่องจา ก
พฤติกรรมหลายอย่างที่เป็นการค้ามนุษย์มีลักษณะที่คล้ายหรือเป็นการกระทาความผิด
อาญาประเภทอื่นด้วย แต่เหตุท่ีทาให้การกระทาเหล่านั้นเป็นความผิดฐานค้ามนุษย์ก็
เนอื่ งจากการกระทาโดยมวี ัตถุประสงคเ์ ฉพาะดังท่กี ฎหมายกาหนดไว้
ในส่วนของการกระทา (Act) นั้น ตามพิธีสารฯ ได้กาหนดคานิยาม1 ของการ
ค้ามนุษย์ไว้ว่าหมายถึง การกระทาที่เป็นการเป็นธุระจัดหา (recruitment) ขนส่ง
1 Protocol to Prevent, Suppress and Punish Trafficking in Persons, Especially Women and
Children, supplementing the United Nations Convention against Transnational
Organization Crime. Article 3.
“Trafficking in persons” shall mean the recruitment, transportation, transfer,
harbouring or receipt of persons, by means of the threat or use of force or other
forms of coercion, of abduction, of fraud, of deception, of the abuse of power or
of a position of vulnerability or of the giving or receiving of payments or benefits
to achieve the consent of a person having control over another person, for the
purpose of exploitation.”
20
(transportation) พามาจากหรือส่งไปยังท่ีใดที่หนึ่ง (transfer) จัดให้อยู่อาศัย
(harbouring) หรือรับไว้ซึ่งบุคคล (receipt of persons) ซึ่งจะเห็นได้ว่ากาหนดไว้
ครอบคลุมการกระทาจานวนมากและหลายลักษณะทจ่ี ะถือวา่ เป็นการคา้ มนษุ ย์
คาว่า recruit ในท่ีนี้ซึ่งเราให้ความหมายว่าเป็นธุระจัดหานั้น ตามปกติแล้วจะใช้
ในความหมาย ท่ีต้องการจะส่ือถึงการจัดหาบุคคลท่ีคิดว่ามีคุณสมบัติ ความรู้ หรือ
ความสามารถเพ่ือไปทางานหรือดาเนินการอย่างใดอย่างหน่ึง เช่นเวลาที่เราต้องการ
จัดหาผู้ไปดารงตาแหน่งผู้บริหารหรือผู้จัดการ บางครั้ง รวมถึงการไปชักชวนให้บุคคล
เหลา่ นั้นเข้ารว่ มทางานหรอื กจิ กรรมทเ่ี ราต้องการด้วย เนื่องจากผทู้ ี่มีคุณสมบตั ิเหมาะสม
เหล่านั้นอาจมีงานหรือกิจกรรมอ่ืนท่ีต้องทาอยแู่ ลว้ จึงอาจไมไ่ ด้สนใจเร่ืองทีเ่ ราเสนอมากนกั
ทาใหต้ อ้ งโนม้ น้าวใจใหบ้ คุ คลเหล่านีม้ ารว่ มงานด้วย เช่น
Thai Airways International has recruited a large number of new flight
attendants for expansion of new routes. ในประโยคน้ีจะบอกว่า บริษัทการบินไทย
กาลังหาพนกั งานประจาเครื่องใหม่จานวนมากเพื่อรองรบั การขยายเส้นทางบินใหม่
เม่ือมาใช้กาหนดเป็นการกระทาท่ีเป็นการค้ามนุษย์จึงเป็นการบ่งบอกว่าการที่
ไปเป็นธุระหาคนมาเป็นเหยื่อในการค้ามนุษย์นั้น ตามปกติคนเหล่าน้ีอาจจะไม่ได้
ให้ความยินยอมเดินทางมาเป็นเหยอื่ งา่ ยๆ แต่ผู้ท่ีกระทาต้องมีการกระทาอะไรบางอย่าง
ทไ่ี ปชกั จูงหรือโนม้ นา้ วทาใหค้ นท่เี ป็นเหย่ือยอมไปกับผู้กระทาความผิด
ส่วนอีกคาหนึ่งที่น่าสนใจท่ีควรนามากล่าวถึงไว้ในท่ีนี้อีกคาหน่ึงคือ คาว่า
harbour คานี้เป็นลักษณะการเขียนในรูปแบบที่ใช้ในประเทศอังกฤษ แต่หากเป็น
รูปแบบอย่างอเมริกันจะเขียนว่า harbor แต่ความหมายทั้งสองคาเหมือนกัน การทา
ความเขา้ ใจคาๆ น้ีจงึ อาจจะเริ่มจากความหมายท่ีพบเหน็ กนั ได้บอ่ ยกว่าคือ ความหมายท่ี
ต้องการสื่อหรือบอกถึงพื้นท่ีที่เป็นท่าเรือที่สามารถนาเรือเข้ามาจอดเพื่อขนส่งคนหรือ
21
สินค้าได้โดยสะดวก หรืออาจจะเป็นพื้นท่ีที่สามารถนาเรือเข้าไปจอดเพ่ือหลบภัย
ความหมายดงั กล่าวจะเปน็ ความหมายเมอื่ ใช้คาว่า harbour ในลกั ษณะท่เี ป็นคานาม
แต่ความหมายท่ีเราต้องการในท่ีน้ีซึ่งเกี่ยวกับเรื่องการค้ามนุษย์จะเป็นการใช้
ในลักษณะของคากิริยาซ่ึงจะมีความหมายแตกต่างออกไป เพราะเม่ือใช้เป็นคากิริยา
จะมีความหมายถึง การให้ท่ีอยู่อาศัยหรือการให้การปกป้องคุ้มครองแก่คนใดคนหน่ึง
แม้ความหมายนี้จะดูต่างออกไป แต่ก็มีความเชื่อมโยงและสัมพันธ์กับความหมายเดิม
ของการเป็นท่าเรือ เพราะหากเรามองดูในแง่มุมหนึ่ง การเป็นท่าเรือก็คือการให้ท่ีพักพงิ
แก่บรรดาเรือต่างๆ ท่ีเข้ามาจอด โดยเฉพาะอย่างย่ิงที่ตั้งของท่าเรือต่างๆ ล้วนต้ังอยู่
บริเวณท่ีเป็นอ่าวท่ีมีความปลอดภัยพอสมควร แม้ในยามที่ต้องเผชิญกับพายุท่ี
โหมกระหนา่ เขา้ มา ซ่ึงตามปกตเิ ม่อื มีพายุ เรือตา่ งๆ ล้วนมาจอดหลบภัยในบรเิ วณท่าเรอื
ท่ีใกล้เคียง ด้วยเหตุน้ีนี่เองที่เม่ือเราใช้คาว่า harbour ในลักษณะของคากิริยาจึงทาให้
มีความหมายเป็นการให้ที่พักพิงเช่นกัน เพียงแต่ในกรณีน้ีเป็นการให้พักพิงแก่บรรดาคน
ที่เป็นเหย่ือของการค้ามนุษย์เสียมากกว่า และท่ีสาคัญคือการให้ท่ีพักพิงในกรณีแบบน้ี
ไม่ได้ทาไปด้วยเจตนาที่หวังดีเหมือนเวลาที่เราให้ความช่วยเหลือให้ท่ี พักพิงตามปกติ
แต่การให้ที่พักพิงในกรณีเช่นน้ีจะเป็นการทาเพ่ือหวังผลประโยชน์อย่างอ่ืนจากเหยื่อ
เหลา่ น้ี
หากเรามาพจิ ารณาความแตกตา่ งในแง่ของความหมายและการใช้คาวา่ harbour
อาจจะแสดงได้จากในประโยคตอ่ ไปนี้
Most fishing boats in the Gulf of Thailand are rushing to some safe
harbour to avoid the danger of the upcoming storm. (เรือประมงส่วนใหญ่
ในบริเวณอ่าวไทยต่างเร่งไปยังทา่ เรือท่ีปลอดภัยเพือ่ หลีกเลีย่ งอันตรายท่ีจะเกิดจากพายุ
ทกี่ าลงั มา)
22
Somchai is charge with the offence of human trafficking because he
harboured many victims trafficked from neighboring countries. (ส ม ช า ย
ถูกกล่าวหาว่ากระทาความผิดฐานค้ามนุษย์ เพราะว่าเขาได้จัดให้ที่พักพิงแก่เหย่ือ
ทถี่ ูกลักลอบพามาจากประเทศเพือ่ นบา้ น)
สาหรับส่วนที่เป็นวิธีการหรือ means น้ัน หมายถึงกรณีท่ีจะเป็นการกระทา
ความผิดฐานคา้ มนุษย์จะต้องกระทาการท่กี ล่าวถึงมาแล้วไม่วา่ จะเป็นการเป็นธรุ ะจัดหา
การให้ท่ีพักอาศัย การรับไว้ การพา ด้วยวิธีการอันมีลักษณะอย่างใดอย่างหน่ึงตาม
ท่ีกฎหมายกาหนดไว้ด้วย แม้ว่าบุคคลหน่ึงจะกระทาการข้างต้น แต่ถ้าทาด้วยวิธีการท่ีมี
ลักษณะอย่างอื่นก็จะไม่ถือว่าเป็นความผิดฐานค้ามนุษย์ ส่วนจะเป็นความผิด
ตามกฎหมายอ่นื เช่น กฎหมายคนเข้าเมือง กฎหมายแรงงาน หรือไมน่ ั้นเป็นอีกประเด็นหนึ่ง
ข้อสาคัญคือ หากจะเอาผิดในฐานการค้ามนุษย์จะต้องกระทาด้วยวิธีการท่ีจะกล่าวถึง
ตอ่ ไปเทา่ นัน้
วธิ ีการอันจะทาใหก้ ารกระทาดงั กล่าวเป็นการค้ามนุษยไ์ ด้แก่ วิธกี าร
1. คุกคามขม่ ขู่ (threat)
2. การใชก้ าลงั (use of force)
3. การบีบบังคบั ในรูปแบบอ่นื (other forms of coercion)
4. การลกั พาตัว (abduction)
5. การฉ้อฉล (fraud)
6. หลอกลวง (deception)
7. การใช้อานาจในทางท่มี ิชอบ (abuse of power)
8. การใช้สภาพท่ีอ่อนแอเปราะบางของเหย่ือไปในทางมิชอบ (abuse of
vulnerability) หรือ
9. การให้หรือรับเงินหรือผลประโยชน์เพื่อให้ได้ความยินยอมของบุคคลที่
มีอานาจควบคุมเหนือบุคคลอ่ืน (giving or receiving of payments or
23
benefits to achieve the consent of a person having control over
another person)
วิธีการตามที่กาหนดไว้ข้างต้นน้ันแบ่งเป็นประเภทย่อยๆ ได้หลายประเภท
แต่หากเราจาแนกกลุ่มของวิธีการเหล่านั้นตามลักษณะอันเป็นองค์ประกอบสาคัญ
ของวธิ กี ารแลว้ จะแบง่ ออกได้เปน็ 3 กลุม่ หลักๆ ดงั น้ี
1. กาลัง (Force)
2. ฉอ้ ฉล (Fraud)
3. บบี บงั คบั (Coercion)
ท้ังสามกลุ่มน้ีเป็นองค์ประกอบที่สาคัญของวิธีการอันเป็นการค้ามนุษย์ จนทาให้
หลายครั้งเวลาท่ีกล่าวถึงวิธีการอันเป็นรายละเอียดปลีกย่อยท้ังหมด จะได้ยินได้ฟังอยู่
เสมอถึงลักษณะสาคัญของวิธีการท้ังสามแบบน้ีว่าเป็นการกระทาที่มีลักษณะของ
Force, Fraud, Coercion ซึ่งแทบจะเป็นท่ีรู้กันในทันทีว่าเป็นการส่ือความหมายถึง
วิธกี ารในการค้ามนุษย์
คาถามสาคัญที่อาจเกิดข้ึนคือ เหตุใดจึงต้องมีองค์ประกอบท่ีเป็นลักษณะสาคัญ
ทั้งสามประการเหล่าน้ี สาเหตุสาคัญคือ หากปราศจากองค์ประกอบลักษณะสาคัญทั้ง
สามประการนี้แล้ว การกระทาที่เกิดขึ้นอาจจะกลายเป็นการกระทาปกติที่เกิดขึ้นใน
สังคม ซ่ึงแม้ในการกระทาเหล่านั้นจะมีคนท่ีได้เปรียบ มีคนท่ีเสียเปรียบ และมีคน
แสวงหาประโยชน์บ้าง แต่ก็เป็นพฤติกรรมปกติ เนื่องจากการที่คนเราเข้าไปทาการ
อย่างหนึ่งอย่างใดล้วนแล้วแต่ต้องการผลประโยชน์บางอย่างด้วยกันทั้งส้ิน ไม่เว้นแม้แต่
องค์กรการกุศลท่ีเม่ือทากิจกรรมเพ่ือสาธารณกุศลแล้วก็อาจมีการประชาสัมพันธ์เพ่ือ
สร้างผลงานท่ีจะดึงดูดใจผู้บริจาคในอนาคตให้ต้องการสนับสนุนองค์การกุศลนั้น
ให้มากขนึ้ ตอ่ ไปอกี ตามผลงานทอี่ งคก์ รน้นั ทาขึ้น
หากเรามองดูการกระทาท่ีมักเข้าข่ายเป็นการค้ามนุษย์เช่น การพาแรงงาน
จากประเทศหนึ่งไปขายแรงงานในอีกประเทศหน่ึง หากในการกระทาท่ีเกิดข้ึนนั้นไม่มี
24
ลักษณะของการใช้ “กาลัง (Force)” “การฉ้อฉล (Fraud)” หรือ “การบีบบังคับ
(Coercion)” โดยคนที่เป็นผ้ใู ช้แรงงานสมัครใจไปหานายหน้าหรอื คนกลางให้ช่วยติดตอ่
ให้ไปทางานในอีกประเทศหนึ่งท่ีจะสร้างรายได้ท่ีดีกว่า มีความเป็นอยู่ที่ดีกว่า
แล้วนายหน้าหรือคนกลางเหล่าน้ันก็จัดการพาผู้ใช้แรงงานน้ันไปทางาน ณ จุดหมาย
ท่ีต้องการ พฤติกรรมเหล่านี้จึงเป็นการทาธุรกิจเก่ียวกับแรงงานตามปกติ แถมยังเป็น
ธุรกจิ ทช่ี ่วยส่งเสริมและยกระดบั ความเป็นอยขู่ องผู้ใชแ้ รงงานเหลา่ นัน้ เสียดว้ ยซ้าไป
หากเรามามองดูพฤติกรรมหรือการกระทาที่ล่อแหลมและสุ่มเส่ียงไปกว่าน้ัน
อย่างเช่น การค้าประเวณี หากมีผู้หญิงหรือผู้ชายก็แล้วแต่ต้องการทาการที่เป็น
การค้าประเวณีโดยสมัครใจ เน่ืองจากเป็นคนใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายจนรายได้ประจาหรือ
รายได้ปกติของตนเองไม่เพียงพอที่จะรองรับการใช้ชีวิตแบบสุรุ่ยสุร่ายน้ันได้ คนเหล่านี้
อาจไปหาคนกลางท่ีเราอาจจะเรียกได้ว่าเป็น “พ่อเล้า แม่เล้า” ท่ีคอยหาผลประโยชน์
จากกิจกรรมลักษณะน้ีให้หาลูกค้าให้ เน่ืองจากคนกลุ่มนี้อาจมีเครือข่ายลูกค้าที่
กว้างขวาง เมอ่ื ไดร้ ับการตดิ ตอ่ คนเหล่านกี้ ช็ ่วยหาลูกคา้ ให้แลว้ แบง่ “คา่ ตง๋ ” ไวส้ ่วนหนึง่
เพ่อื เปน็ ค่าดาเนินการ แตส่ าหรับผ้ทู ี่คา้ ประเวณใี นสว่ นนีห้ ากนึกอยากทาเม่อื ใดกไ็ ปหาได้
หากเบ่ือหรืออยากจะเลิกทาจะเป็นด้วยสาเหตุใดก็แล้วแต่ก็ย่อมจะเลิกทาได้ทุกเม่ือ
ทาให้เห็นได้ว่าการท่ีผู้ท่คี ้าประเวณีเหลา่ นีท้ าไปไมไ่ ด้เป็นผลมาจากการกระทาทเ่ี ป็นการ
ใช้ “กาลัง (Force)” “การฉ้อฉล (Fraud)” หรือ “การบีบบังคับ (Coercion)” แน่นอน
ว่าสิ่งท่ีบุคคลเหล่านี้ทาไป ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของผู้ที่ค้าประเวณีเอง หรือบรรดาพ่อเล้า
แม่เล้า ล้วนเป็นพฤติกรรมทไี่ มถ่ ูกต้อง และผิดกฎหมาย แต่การมีหรอื ไมม่ ลี กั ษณะสาคัญ
ทั้งสามประการนี้จะเป็นตัวแบ่งแยกว่าพฤติกรรมหรือการกระทาอย่างใดเป็นเพียง
ความผิดฐานค้าประเวณีธรรมดา หรือเป็นความผิดฐานค้ามนุษย์ด้วย โดยจะ
เป็นความผดิ ฐานคา้ มนษุ ยต์ อ่ เมอื่ มีลกั ษณะอย่างใดอยา่ งหนึ่งในสามประการดังกลา่ ว
ในส่วนการกระทาท่ีเป็นการใช้ “กาลัง (Force)” นั้นอาจกล่าวได้ว่าเป็นการ
กระทาใดๆ ก็ตามในการใช้กาลังทางกายภาพท่ีทาให้จากัดเสรีภาพของผู้ถูกกระทา
25
(Physical restraint) หรอื แม้อาจยังไม่ไดใ้ ชก้ าลัง แตเ่ ป็นการข่มขู่ทจ่ี ะทาใหเ้ กิดอนั ตราย
ทางกายภาพอย่างร้ายแรง (Serious physical harm) จนทาให้ผู้เสียหายหรือเหยื่อ
เกิดความเกรงกลัวในอันตรายทางกายภาพนั้นจนจายอมก็ถือเป็นการใช้ “กาลัง” ด้วย
เชน่ กัน
สาหรับการ “ฉ้อฉล (Fraud)” นั้นค่อนข้างชัดเจนว่าหมายถึงการใช้วิธีการ
หลอกลวงให้ผู้เสียหายหรือเหย่ือหลงเชื่อว่าเม่ือทาตามท่ีผู้กระทาความผิดแล้วจะได้รับ
ประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่ง แต่สุดท้ายสิ่งเหล่านั้นก็เป็น “คาสัญญาทไี่ ม่เป็นจรงิ (False
promise)” เช่น การหลอกลวงว่าจะพาไปทางานไรใ่ นต่างประเทศ แตส่ ุดท้ายกลบั พาไป
ค้าประเวณี การท่ีเหย่ือหรือผู้เสียหายยอมไปก็ด้วยคิดว่าจะไปทางานไร่ในสวนอันเป็น
อาชพี ปกติ
ลักษณะท่ีสาม “บีบบังคับ (Coercion)” นั้นในส่วนหนึ่งอาจเกี่ยวข้องกับ
ลักษณะประการแรกของการใช้กาลัง เพราะการบีบบังคับอาจทาด้วยการใช้กาลังก็ได้
เช่นกัน แต่ความหมายของการ “บีบบังคับ (Coercion)” ในท่ีนี้กว้างกว่าการใช้กาลัง
เพราะการบีบบังคับน้ันหมายถึงการกระทาด้วยวิธีการใดๆ ท่ีทาให้ผู้เสียหายหรือเหย่ือ
ตกอยู่ในสภาวะจายอมหรือฝืนความสมัครใจ รวมถึงการข่มขู่หรือทาให้เกิดอันตรายแก่
บุ ค ค ล อื่ น ซึ่ ง มี ผ ล บี บ บั ง คั บ ใ ห้ ผู้ เ สี ย ห า ย ห รื อ เ ห ย่ื อ ย อ ม ต า ม ก า ร ก ร ะ ท า ที่ เ ป็ น
การคา้ มนุษยด์ ้วย เชน่ การข่จู ะทาร้ายบุคคลในครอบครัว
นอกจากนั้นยังรวมถึงการใช้วิธีการข่มขู่จะใช้มาตรการทางกฎหมายซ่ึงแม้โดย
ตัววิธีการเองเป็นการกระทาที่ถูกต้องและชอบด้วยกฎหมายทุกประการ แต่ผู้กระทา
ความผิดใช้วิธีการน้ันเพ่ือสนองต่อเป้าหมายอันมิชอบ เช่น กรณีผู้เสียหายหรือเหยื่อ
เข้าเมืองหรือทางานโดยผดิ กฎหมาย ผู้กระทาความผิดอาจใช้วิธีการข่มขู่ว่าจะแจ้งความ
ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เพ่ือให้มาจับกุมหรือดาเนินคดีกับผู้เสียหายหรือเหย่ือนั้นและ
26
อาจถูกส่งตัวกลับประเทศก็ได้ วิธีการดังกล่าวน้ีอาจเรียกว่าเป็น “การใช้กระบวนการ
ทางกฎหมายโดยมชิ อบ (abuse of legal process)”
วิธีการลักษณะหนึ่งที่นามาใช้เพื่อบีบบังคับผู้เสียหายหรือเหย่ือคือ การนาหน้ี
ที่อาจจะมีอยู่จริงหรืออ้างว่ามีอยู่มาเป็นเคร่ืองมือบีบบังคับให้ผู้เสียหายหรือเหย่ือน้ัน
ต้องทางานเพื่อเป็นการชาระหน้ีเหล่าน้ัน บางคร้ังหนี้ที่อ้างอาจถูกทาให้เหมือนมีจานวน
พอกพูนมากข้ึนจนทาให้ผู้เสียหายหรือเหยื่อรู้สึกเหมือนว่าไม่มีหนทางอื่นท่ีจะทาได้
บางครั้งทางานไปแล้วก็ไม่ได้มีการหักใช้หนี้ให้จริง หรือสร้างหน้ีใหม่ขึ้นมาจนเรียกได้ว่า
ทาไปท้ังชาติก็ใช้หนี้ไม่หมด วิธีการนี้เรียกว่า Debt bondage หรือเปรียบเหมือน
การลา่ มเหยอื่ ดว้ ย “พนั ธะหนี้สนิ ”
การบีบบังคับในท่ีนี้ยังรวมถึงการข่มขู่หรือคุกคามทางด้านจิตใจ (Psychological
coercion) ท่ีกดดันผู้เสียหายหรือเหย่ือน้ันตกอยู่ในสภาวะจิตใจท่ีไมม่ ีทางสู้ ไม่มีทางหนี
และต้องจายอม แม้ว่าในทางกายภาพจะดูเหมือนผู้เสียหายหรือเหย่ือเหล่านี้สามารถ
เดินเหินไปไหนได้ตามปกติ จนดูเหมือนถ้าจะหนีหรือจะไปก็ไปได้ แต่ด้วยสภาวะ
ทางจิตใจที่ถูกข่มขู่คุกคามอย่างมากทาให้เหย่ือเหล่าน้ีเหมือนถูกล่ามไว้ด้วยโซ่ตรวน
ทางจติ ใจท่มี องไมเ่ ห็น (Invisible chain)
องค์ประกอบประการที่สามที่ทาให้ครบองค์ประกอบความผิดฐานค้ามนุษย์คือ
ส่วนที่เกี่ยวกับ “วัตถุประสงค์ (Purpose)” ของการกระทาท่ีผู้กระทาความผิดได้ทา
ลงไป วัตถุประสงค์ที่สาคัญท่ีจะทาให้เกิดเป็นการค้ามนุษย์ข้ึนมาคือ การกระทาต่างๆ
ทท่ี าลงไปน้ันจะตอ้ งเปน็ ไปเพ่อื “แสวงหาประโยชน์โดยมชิ อบ (exploitation)”
สาหรับกรณีท่ีจะถือว่าเป็นการแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบน้ันอาจเรียกได้ว่า
การทีผ่ ทู้ ่กี ระทาความผดิ ไดก้ ระทาการต่างๆ ตามที่ได้กล่าวมาแล้ว และใชว้ ิธีการไม่วา่ จะ
เป็นการใช้กาลัง การฉ้อฉลหรือการบีบบังคับล้วนแล้วแต่ทาไปเพ่ือผลประโยชน์อย่างใด
อย่างหนึ่ง แต่ประโยชน์ท่ีผู้กระทาความผดิ ได้รบั น้ันย่อมแตกต่างกันออกไปตามลักษณะ
27
และพฤติกรรมอันเป็นการค้ามนุษย์แต่ละประเภท เช่น อาจเป็นการแสวงหาประโยชน์
ทางเพศ (Sexual exploitation) ซึ่งเป็นประโยชน์ทางเพศต่อตัวบุคคลท่ีเป็นผ้กู ระทา
ความผิดเองโดยตรงหรือต่อบุคคลอื่นท่ีเป็นลูกค้าหรือผู้ท่ีจ่ายค่าตอบแทนให้แก่ผู้กระทา
ความผดิ กไ็ ด้
ในขณะที่การแสวงหาประโยชน์จากแรงงาน (Labour exploitation) นน้ั ยอ่ ม
รวมถึงการท่ีผู้กระทาความผิดได้ประโยชน์จากแรงงานของผู้เสียหายหรือเหย่ือที่ไม่ได้
มีลักษณะของการจ้างแรงงานอันมีค่าตอบแทนตามปกติ บางครั้งจึงทาให้เกิดเป็นสิ่งที่
เรยี กวา่ “subtle forms of exploitation” ซง่ึ เปน็ การแสวงหาประโยชน์ที่อาจดูเหมอื น
ไม่ได้มีการบีบบังคับทุบตีเหย่ือเหมือนกรณีการค้ามนุษย์ท่ัวไป แต่ใช้รูปแบบท่ีแยบยล
กวา่ แต่ทาให้เหยื่อหรอื ผู้เสยี หายเหล่าน้ันตอ้ งถูกกดขท่ี มี่ ากกว่าการเปน็ ลูกจา้ งท่ัวไป เช่น
การให้อยู่ในที่อยู่อาศัยที่ลาบากยากแค้น ให้รับประทานอาหารที่ไม่ดีเพียงเพื่อให้คน
เหล่าน้ันปะทังชีวิตไปได้วันๆ เป็นต้น แต่สุดท้ายก็เพ่ือทาให้ผู้กระทาผิดได้ประโยชน์จาก
เหยอื่ เหลา่ นี้ในทางหนงึ่ ทางใด
ทั้งหมดท่ีกล่าวมานี้คงพอทาให้เห็นภาพองค์ประกอบของการกระทาความผิดที่
เป็นการค้ามนุษย์ท่ีเป็นปัญหาสาคัญในโลกทุกวันน้ีซึ่งแม้วิทยาการและเศร ษฐกิจจะ
พัฒนาไปมาก แต่ด้วยความโลภของคนก็ยังทาให้มีอีกไม่น้อยที่ยังต้องการแสวงหา
ประโยชน์จากเพ่ือนมนุษย์ด้วยกันอันเป็นเรื่องที่ทุกคนในสังคมต้องช่วยเหลือกันในการ
สอดสอ่ งและขจัดพฤติกรรมอันนา่ รงั เกยี จนีใ้ หห้ มดสน้ิ ไป
28
บทตดั พยาน (Exclusionary Rules)
ในฉบับนี้ขอนาเน้ือหาที่เกี่ยวกับกฎหมายว่าด้วยพยานหลักฐานมากล่าวถึงกัน
เนื้อหาในเรื่องน้ีมีจานวนมากจนเรียกได้ว่าเขียนเป็นตารากันได้หลายเล่ม แต่ในตอนน้ี
คงนาเฉพาะเรอ่ื ง “บทตัดพยาน” หรือ Exclusionary Rules มำกล่ำวถงึ กันสกั เล็กนอ้ ย
เพรำะกฎหมำยในส่วนนี้ได้มีกำรนามาบัญญัติไว้ในกฎหมายไทยจานวนไม่น้อย แม้ว่า
รากฐานด้ังเดิมของการกาหนดกฎเกณฑ์ในเร่ืองดังกล่าวนี้ไว้จะมาจากระบบกฎหมาย
จารีตประเพณี หรอื Common law ทเี่ ราทราบกันดี เพราะในระบบดังกล่าวการวนิ ิจฉยั
ปัญหาข้อเท็จจริงจะอาศัยระบบลูกขุนท่ีเป็นบุคคลธรรมดาในสังคมซ่ึงต้องมาทาหน้าท่ี
ตามแต่วาระและโอกาส ด้วยความท่ีบุคคลเหล่านี้มาจากหลากหลายอาชีพและภูมิหลัง
แม้ว่าแต่ละคนจะมีประสบการณ์ชีวิตมาพอสมควรในด้านต่างๆ แต่บางคร้ังเมื่อเจอกับ
พยานหลักฐานบางประเภทที่มีปัญหาอาจชั่งน้าหนักพยานหลักฐานเหล่านั้นโดยผิดหลง
แบบไม่รู้ตัว ด้วยเหตุท่ีโดยธรรมชาติของพยานหลักฐานเหล่าน้ีอาจก่อให้เกิดความเข้าใจ
ผิดหรือต้ังสมมติฐานท่ีคลาดเคล่ือนจากความเป็นจริงได้โดยง่าย ดังนั้น เพ่ือเป็นการ
ป้องกันปัญหาในลักษณะดังกล่าวน้ีจึงได้มีการวางกฎเกณฑ์เพื่อกรองพยานหลักฐาน
ในลกั ษณะดงั กล่าวนอ้ี อกไปกอ่ นเพือ่ กันปญั หาทจ่ี ะเกิดขน้ึ
ข้อความท่ีจะนามาประกอบการกล่าวถึงในท่ีน้ีเป็นบันทึกของคณะกรรมการที่
ปรึกษาต่อกฎที่เสนอ (Notes of Advisory Committee on Proposed Rules) ซึ่งจะ
เป็นส่วนที่ให้ข้อสังเกตต่อกฎข้อท่ี 403 เร่ือง การตัดพยานหลักฐานที่เก่ียวข้องด้วยเหตุ
ของอคติ ความสับสน ส้ินเปลืองเวลา หรือเหตุประการอื่น (Excluding Relevant
Evidence for Prejudice, Confusion, Waste of Time, or Other Reasons) ข้อความ
ในบันทึกได้กล่าวไว้ดงั น้ี
29
30
จากข้อความข้างต้นมีคาบางคาที่มีความหมายหรือนัยท่ีน่าสนใจท่ีจะขอนามา
กล่าวถึงในท่ีน้ี คาแรกคงต้องไล่มาต้ังแต่คาว่า relevance ซึ่งในความหมายปกติ
ธรรมดาท่ีเราพอจะผ่านหูผา่ นตามาบ้างคือ ความเก่ียวพันหรือจะเรียกว่าความเกี่ยวขอ้ ง
กับเร่ืองใดเรื่องหนึ่งที่กาลังพูดถึงหรือพิจารณาอยู่ก็ได้ แต่ในท่ีน้ีเน่ืองจากเป็นเรื่องของ
ความเกี่ยวข้องของพยานหลักฐานจึงทาให้มีความหมายเพ่ิมเติมจากความหมายปกติ
31
พอสมควร การท่ีจะบอกว่าพยานหลักฐานชิ้นหนึ่งชิ้นใดมีความเก่ียวข้องกับคดีหรือไม่
อาจประกอบไปดว้ ยองค์ประกอบ 2 ประการ ดงั นี้
ประการแรกคอื พยานหลักฐานน้นั ตอ้ งมแี นวโน้มทจ่ี ะแสดงให้เห็นถงึ ความเป็นไป
ได้ของข้อเท็จจริงอย่างหนึ่ง โดยเมื่อนาสืบหรือแสดงให้เห็นถึงพยานหลกั ฐานช้ินน้ันแลว้
อาจจะทาให้เป็นไปได้มากขึ้นว่าข้อเท็จจริงนั้นเกิดขึ้นหรือมีอยู่จริง ในทางตรงกันข้าม
สาหรับคู่ความอีกฝ่าย ความเป็นไปได้ในท่ีนี้อาจเป็นไปในทางกลับกัน กล่าวคือ การนา
สืบหรือแสดงให้เห็นถึงพยานหลักฐานอีกช้ินหน่ึงอาจจะทาให้เห็นได้ว่าข้อเท็จจริงเรื่อง
เดียวกันนั้นมีความเป็นไปได้ท่ีจะเกิดข้ึนหรือมีอยู่น้อยลงหรือแม้กระทั่งเป็นไม่ได้ที่จะมี
ข้อเท็จจรงิ ดงั กล่าวเกิดขึน้ หรือมอี ยูเ่ ลยกไ็ ด้ (more or less probable)
แนวโน้มหรือความเป็นไปได้ที่จะแสดงถึงความเก่ียวข้องกับข้อเท็จจริงในท่ีน้ี
คงต้องเปรียบเทียบกับกรณที ่ีหากไม่มีพยานหลักฐานช้ินน้ันมานาสืบหรือแสดงเลยว่าจะ
มีแนวโน้มหรือความเป็นไปได้อย่างไร และเม่ือนาพยานหลักฐานช้ินน้ันมานาสืบหรือ
แสดงแล้วทาให้แนวโน้มหรือความเป็นไปได้มากข้ึนหรือไม่ หากนาสืบหรือแสดงแล้ว
ไม่ทาให้แนวโน้มหรือความเป็นไปได้นั้นไม่เพิ่มขึ้นเลย พูดง่ายๆ คือมี หรือไม่มี
พยานหลกั ฐานช้นิ นัน้ ก็ไม่ทาให้การรับฟงั ข้อเทจ็ จริงในคดเี ปลีย่ นแปลงไปพยานหลักฐาน
นัน้ ก็คงจะไม่ “relevant” กับคดี
ไม่ว่าพยานหลักฐานน้ันจะมีแนวโน้มท่ีจะพิสูจน์หรือแสดงไปในทางใดก็ตาม
ล้วนแต่เป็นพยานหลักฐานท่ี “relevant” กับคดีเร่ืองนั้นด้วยกันท้ังส้ิน เพรำะคู่ควำม
แต่ละฝ่ำยยอ่ มมีสิทธิท่ีจะกล่ำวอ้ำงและนำสืบพิสูจน์ในฝ่ำยของตน เช่น หากเป็นคดีฟ้อง
ขอให้รับรองบุตร การท่ีโจทก์ซ่ึงเป็นมารดาของเด็กนาสืบให้เห็นว่ามีความสัมพันธ์และ
อยู่ร่วมกับจาเลยซึ่งถูกกล่าวอ้างว่าเป็นบิดาของเด็กในช่วงระยะเวลาที่จะทาให้ตั้งครรภ์
เด็กท่ีขอให้รับรองย่อมเป็นพยานหลักฐานท่ีทาให้มีแนวโน้มและความเป็นไปได้ท่ีจะ
แสดงให้เห็นว่าจาเลยเป็นบิดาของเด็กตามท่ีโจทก์กล่าวอ้าง แต่ในทางกลับกัน
ในส่วนของจาเลย การนาสืบพยานหลักฐานที่แสดงให้เห็นได้ว่าตนมีความสามารถที่จะ
มีบุตรได้หรือไม่ย่อมเป็นพยานหลักฐานท่ีเกี่ยวข้องและแสดงให้เห็นถึงแนวโน้มและ
32
ความเป็นไปได้ที่ตัวจาเลยจะเป็นบิดาของเด็กหรือไม่ด้วย ดังนั้น จึงอาจกล่าวได้
ในเบื้องต้นว่าพยานหลักฐานที่จะ “relevant” จึงต้องมีลักษณะที่จะพิสูจน์ควำมเป็นไปได้
ของข้อเท็จจรงิ ไปในทำงหนึ่งทำงใดได้มากกวา่ การท่ีไม่มพี ยานหลักฐานช้นิ น้นั
ประการท่ีสองคือ ข้อเท็จจริงท่ีพยานหลักฐานชิ้นน้ันมุ่งจะพิสูจน์จะต้องเป็น
ข้อเท็จจริงท่ีมีผลต่อคดีในทางใดทางหน่ึงด้วย เพราะหากข้อเท็จจริงอย่างหน่ึงแม้จะ
พิสูจน์ได้ด้วยพยานหลักฐานแต่ไม่ทาให้ผลของคดีเปล่ียนแปลงไปไม่ว่าจะมีการนาสืบ
พยานหลักฐานชิ้นน้ันหรือไม่ก็คงไม่อาจเรียกได้ว่าพยานหลักฐานชิ้นนั้นเก่ียวข้องกับคดี
เ พ ร า ะ ค ว า ม เ ก่ี ย ว ข้ อ ง ไ ม่ ไ ด้ สั ม พั น ธ์ กั บ ผ ล ข อ ง ค ดี ท่ี จ ะ ต้ อ ง ตั ด สิ น แ ต่ อ ย่ า ง ใ ด
(consequence in determining the action)
ส่วนคาต่อมาคือคาว่า Probative value หากเราพยายามมองและทาความเข้าใจ
คาๆ น้ี จะเห็นได้ว่าในคาน้ีแฝงไว้ด้วยคาว่า “Probe” ซ่ึงหมำยถึงกำรตรวจสอบหรือ
การสืบค้นอะไรบางอย่าง อาจจะเรียกได้ว่าเป็นการตรวจหรือสืบค้นแบบเจาะลึกเพื่อ
หาความจริงที่ต้องการหรือสงสัยอยู่ ทาให้เม่ือกลายเป็นคาว่า “Probative” ซ่ึงเป็นคำ
คณุ ศัพทจ์ ึงมีควำมหมำยไปในทำนองที่เกี่ยวกับการตรวจสอบหรือสืบค้นอย่างที่กล่าวถึงไป
และเม่ือประกอบเข้ากับคาว่า Value ซ่ึงหมำยถึงคุณค่ำ คำว่ำ Probative value
จึงมีควำมหมำยถึงคุณค่ำของพยำนหลักฐำนช้ินใดช้ินหนึ่งที่มีจะมีผลต่อกำร พิสูจน์
ตรวจสอบหรือกำรสบื คน้ ขอ้ เทจ็ จริงอยำ่ งหน่งึ อยำ่ งใด
พยานหลักฐานทุกชิ้นท่ีเก่ียวข้องกับประเด็นแห่งคดีและอาจมีผลต่อรูปคดี
ทจ่ี ะต้องตัดสินลว้ นแตม่ ี Probative value หรือคณุ คำ่ ในกำรพสิ จู นต์ รวจสอบหรือสบื คน้
ควำมจริงไม่มากก็น้อย หากเป็นกรณีปกติผู้ที่มีหน้าท่ีตัดสินวินิจฉัยข้อเท็จจริงก็คงต้อง
ช่ังน้าหนักพยานหลักฐานเหล่าน้ันเม่ือเทียบกับหลักตรรกะ เหตุและผลและ
ความสอดคล้องกันของข้อเท็จจริงหรือพยานหลักฐานอ่ืนๆในสานวนคดีแต่ละเรื่องไป
แต่เหตุท่ี Probative value เข้ามามีบทบาทในการวางกฎเกณฑ์เกี่ยวกับการรับฟัง
พยานหลักฐานในที่นี้เนื่องจากพยานหลักฐานบางประเภทแม้ว่าจะมีคุณค่าต่อการ
ช่ังน้าหนักพยานหลักฐานและอาจมีผลต่อการพิสูจน์ข้อเท็จจริงบางประการ
33
ก็ตาม แต่ในขณะเดียวกันก็มี “อันตราย” หรือ “ความเส่ียง” ท่ีแฝงอยู่โดยธรรมชาติ
ของพยานหลักฐานเหล่าน้ันด้วยเช่นกันที่จะทาให้การวินิจฉัยข้อเท็จจริงบิดเบือนไป
เนื่องจากเม่ือผู้วินิจฉัยข้อเท็จจริงรับรู้พยานหลักฐานเหล่านั้นแล้วอาจจะทาให้เกิดอคติ
ต่อจาเลยได้ง่าย ทาให้แม้จะมีประโยชน์ต่อการพิสูจน์ความจริงบ้าง แต่คุณค่า
ของพยานหลักฐานเหล่าน้ีอาจจะน้อยหรือไม่มากนักเมื่อเทียบกับ “อันตราย”
และ “ความเส่ยี ง” ทอ่ี าจจะเกดิ ขน้ึ
ตัวอย่างเช่น พยานหลักฐานว่าจาเลยเคยกระทาความผิดแบบเดียวกันมาก่อน
ในอดีต หรือเป็นคนที่มีบุคลิกลักษณะอย่างใดอย่างหน่ึงท่ีทาให้เป็นไปได้ที่จาเลยจะ
เป็นผู้กระทาความผิดท่ีถูกกล่าวหาในคดีปัจจุบัน แม้ว่าพยานหลักฐานดังกล่าวอาจจะ
มีคุณค่าในการพิสจู น์บา้ ง แต่ก็มีอันตรายและความเสี่ยงอยอู่ ีกมาก เน่ืองจากไมว่ า่ จาเลย
จะเป็นคนท่ีมีบุคลิกลักษณะแบบใด หรือได้กระทาการอย่างใดมาบ้างก็เป็นคนละเร่ือง
คนละส่วนกับการกระทาความผิดในคดีปัจจุบัน แต่เมื่อผู้ท่ีตัดสินวินิจฉัยข้อเท็จจริงได้
รับรู้รับทราบพยานหลักฐานในลักษณะดังกล่าวอาจจะทาให้รู้สึกว่าจาเลยเป็นคนไม่ดี
และควรถูกลงโทษจนเกิดความโนม้ เอียงท่ีจะตัดสินหรือช่งั นา้ หนักไปในทางท่เี ป็นโทษแก่
จาเลย ความรู้สึกดังกล่าวบางครั้งอาจจะเกิดขึ้นโดยไม่รูต้ ัวด้วยซ้าไป หากการตัดสินเกิด
จากสาเหตุดังกล่าวย่อมจะทาให้เกิดความไม่เป็นธรรมได้ ทาให้ต้องมีการวางหลักเกณฑ์
มากากับพยานหลักฐานในลักษณะเหล่าน้ี
คาว่า Admission นี้หากเป็นระบบการสอบเข้ามหาวิทยาลัยก็คงเป็นรูปแบบ
หรือวิธีการหน่ึงที่จะรับคนเข้าเรียนในสถาบันการศึกษาเหล่านั้น แม้ในที่นี้เป็นเร่ือง
ของคดีความแต่ความหมายส่วนหน่ึงก็คงพอเทียบเคียงเพ่ือความเข้าใจกันได้
เพราะเราใช้คาๆ น้ีในลักษณะของการท่ีจะรับพยานหลักฐานบางอย่างเข้าไว้ในสานวน
คดีเพ่ือประกอบการพิจารณาพิพากษาคดี แต่ความสามารถในการรับฟังพยานหลักฐาน
เหล่าน้ีเราเรียกว่าเป็น Admissibility ซ่ึงศำลจะเป็นผู้วินิจฉัยในเบื้องต้น
ว่ำพยำนหลักฐำนบำงอย่ำงต้องห้ำมไม่ให้รับฟังหรือไม่อันจะมีผลต่อกำรนำสืบ หรือ
แสดงพยำนหลักฐำนเหลำ่ นั้นตอ่ คณะลูกขุนทจ่ี ะวินิจฉยั ปญั หำขอ้ เทจ็ จริง
34
ในส่วนของคาว่า Unfair prejudice นั้นคงต้องเร่ิมจากคา Unfair ท่ีง่ายสักนิด
ก่อนเพราะเห็นได้ชัดว่ามาจากคาว่า fair ซึ่งหมำยถึงควำมเป็นธรรม เม่ือกลำยเป็น
unfair เลยมีควำมหมำยถึงควำมไม่เปน็ ธรรม
คาอีกคาที่ตามมาคือคาว่า prejudice ออกจะยำกกว่ำ เพรำะมีควำมหมำย
ได้อย่ำงน้อยสองนัยท่ีจะว่ำคล้ำยก็คล้ำย จะว่ำต่ำงก็ต่ำง ควำมหมำยนัยหน่ึง
คืออคติที่มีต่อบุคคล หรือเร่ืองใดเรื่องหนึ่ง ในควำมหมำยนี้คำว่ำ prejudice ไม่ต่างจาก
คาว่า prejudge ซ่ึงเป็นคำกิริยำ โดยคำว่ำ prejudge หมำยถึงกำรท่ีเรำตัดสิน (judge)
ไวล้ ว่ งหนำ้ (pre) ก่อนที่เรำจะไตรต่ รอง หรือพิจำรณำตวั บุคคลหรอื เรอ่ื งนั้นอย่ำงถ่องแท้
กำรตัดสินล่วงหน้ำดังกล่ำวจึงกลำยเป็นอคติไป เพรำะเรำคิดหรือรู้สึกโดยไม่ได้คำนึงถึง
“ขอ้ เท็จจริง” ท่ีเกีย่ วกบั คนๆ นน้ั หรือเร่ืองนัน้ โดยตรง
อีกความหมายหน่ึงของคาว่า prejudice คือผลกระทบหรือผลร้ำยท่ีอำจจะ
เกิดขึ้นตำมมำจำกกำรกระทำอย่ำงใดอย่ำงหนึ่ง เช่น หำกกรณีที่ศาลยกฟ้องตามปกติ
ย่อมทาใหค้ ู่ความไมอ่ าจรอื้ ร้องฟอ้ งกันอกี ในเรื่องเดมิ ได้ การหา้ มรื้อรอ้ งฟ้องกันอกี จงึ เปน็
ผลกระทบหรือผลร้ายทีเ่ กิดจากการยกฟ้องนั้น แต่ในกรณีที่เป็นการยกฟ้องบางลกั ษณะ
ท่ีเรียกว่าเป็น without prejudice จะทำให้มคี วำมหมำยว่ำเปน็ กำรยกฟ้องโดยไมท่ ำให้
เกิดผลกระทบหรือผลร้ำยต่อสทิ ธขิ องคู่ควำมและอำจนำเรื่องดังกล่ำวมำฟ้องร้องดำเนินคดี
เปน็ คดใี หมไ่ ดอ้ ีก เราจงึ เรยี กว่าเป็นการยกฟ้องโดยไมต่ ัดสทิ ธิท่ีจะฟอ้ งใหม่
คาว่า unfair prejudice ในที่น้ีจึงหมายถึงอคติที่ผู้วินิจฉัยข้อเท็จจริงจะมีอยู่
ซ่ึงทาให้เกิดความไม่เป็นธรรมต่อคู่ความด้วยเหตุท่ีจะทาให้ตัดสินข้อเท็จจริงจากปัจจัยอ่ืน
นอกเหนือจากพฤตกิ รรมหรอื ขอ้ เท็จจริงทีเ่ กิดข้นึ จรงิ ๆ ในคดีปจั จบุ นั นั่นเอง
ส่วนคาว่า Instruction นั้นปกติจะหมายถึงคาสั่งหรือคาแนะนาที่เราจะให้แก่
อีกคนหน่ึงเพื่อให้ผู้ที่รับคาส่ังหรือคาแนะนาน้ันรับไปปฏิบัติ แต่ในท่ีนี้จะมีความหมาย
ท่ีเฉพาะเจาะจงถึงคาสั่งหรือคาแนะนาท่ีผู้พิพากษาจะให้แก่คณะลูกขุนในการตดั สินหรือ
วินิจฉัยปัญหาในคดี เนื่องจากตามทก่ี ล่าวมาแลว้ ว่าคณะลกู ขุนเป็นบุคคลธรรมดาท่ไี ม่ได้
มคี วามรทู้ างกฎหมาย การทีจ่ ะตดั สินคดีความได้จึงตอ้ ง
35
แนวทางที่ชัดเจนแน่นอน คาสั่งหรือคาแนะนานี้จะมีต้ังแต่องค์ประกอบความผิดท่ี
คณะลูกขุนจะต้องค้นหาให้พบครบถ้วนกอ่ นท่จี ะตัดสนิ ว่าจาเลยมีความผิดฐานใดฐานหน่ึง
และรวมถึงแนวทางในการรับฟังพยานหลักฐานต่างๆ ที่อาจมีปัญหาซ่ึงอาจต้องมีคาส่ัง
หรือคาแนะนาที่ชัดเจนว่ากรณีใดที่จะนาพยานหลักฐานบางอย่างมาวินิจฉัยไม่ได้
หรือหากจะรบั ฟังพยานหลกั ฐานบางประเภทจะตอ้ งมีเงือ่ นไขหรอื หลักเกณฑอ์ ะไรบ้าง
36
การเบกิ ความของพยาน (Witness testimony)
การเบิกความของพยานถือเป็นกลไกสาคัญประการหนึ่งในการค้นหาความจริง
ในการดาเนินคดีไม่ว่าในประเทศใด แต่การเบิกความของพยานนั้นก็ไม่ใช่ว่าจะน่าเช่ือถือ
ไปเสียหมด หลายคร้ังท่ีคาเบิกความของพยานอาจจะถูกปั้นแต่งข้ึนมาเพ่ือสนับสนุน
ข้อกล่าวอ้างของคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง บางคร้ังอาจจะเกิดจากความทรงจาที่บกพร่อง
ของพยานเอง บทตัดพยานเร่ืองหนึ่งคือพยานบอกเล่า (Hearsay) หลักเกณฑ์ในเรื่อง
ดังกล่าวน้ีไม่ได้เกิดขึ้นจากจินตนาการของใครคนใดคนหน่ึง หากแต่เกิดจากหลักการ
พ้ืนฐานบางประการท่ีสาคัญในระบบกฎหมายแองโกลอเมริกัน ในตอนน้ีจึงนาข้อความ
ส่วนหน่ึงในบันทึกของคณะกรรมการที่ปรึกษาต่อกฎท่ีเสนอ (Notes of Advisory
Committee on Proposed Rules) ที่แสดงให้เห็นถึงหลักการพื้นฐานอันเป็นท่ีมา
ดังกลา่ วมาเป็นกรณศี กึ ษาพอสงั เขป
37
38
39
เมื่อกล่าวถึงพยาน สิ่งแรกท่ีคงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องกล่าถึงคือการเบิกความ
ของพยาน เพราะพยานบุคคลแต่ละคนไม่ว่าจะรู้เห็นส่ิงใดมาก็ตาม แต่การท่ีจะนาส่ิงที่
รู้เห็นเหล่านั้นเข้าสู่สานวนความเพ่ือประกอบการพิจารณาพิพากษาคดีต่อไปจะต้อง
อาศยั กลไกของการ “เบกิ ความ” หรือ testify ซงึ่ ตามปกตยิ ่อมเปน็ การบอกเลา่ เร่ืองราว
ต่างๆ ที่พยานรู้เห็นมาโดยการตอบคาถามของทนายความ ถ้อยคาท่ีพยาน
40
เบิกความหรือเรียกส้ันๆ ว่า คาเบิกความนี้จะใช้คาว่า “testimony” ซ่ึงการ
นาคาเหลา่ นไ้ี ปใช้มลี กั ษณะที่นา่ สนใจหลายประการ เช่น
หากเราต้องการจะบอกว่าพยานไปเบิกความต่อศาล อาจจะเรียงเป็นประโยค
ทานองวา่ The witness testified before the judge this morning. เพราะหากเรา
นึกถึงว่าในการไปเบิกความเป็นพยานต่อศาลโดยปกติพยานคนน้ันจะต้องไปปรากฏตัว
อยู่ต่อหนา้ ศาลหรือผูพ้ ิพากษาด้วย เวลาที่จะกลา่ วถงึ การไปเบิกความต่อหน้าใครจึงใช้ว่า
testify before ใครก็ตำมที่ไปให้ถ้อยคำต่อ แต่หากจะบอกว่าไปเบิกความในการ
สืบพยานโดยไม่ได้เน้นย้าว่าเป็นการไปเบิกความต่อใครหรือบุคคลใดเป็นพิเศษก็อาจจะ
เรียงประโยคเป็นทานองว่า The witness testified at the trial this morning. แทน
ก็จะมีความหมายว่าพยานคนน้นั ไปเบกิ ความในการสืบพยานเม่ือเช้าน้ี
ในกรณีท่ีต้องการจะใช้คาว่า testify เพื่อโยงไปยังเร่ืองรำวหรือประเด็น
ที่พยำนคนนั้นเบิกควำมถึงกำรเรียงประโยคก็อำจจะทำได้หลำยวิธีกำรเช่นกัน เช่น
The witness testified that the defendant shot the victim at the head.
ในประโยคน้ีจะเป็นการบอกว่าพยานคนดังกล่าวได้เบิกความว่าจาเลยยิงเ หยื่อหรือ
ผู้เสียหายท่ีบริเวณศรีษะ การใช้ในรูปประโยคดังกล่าวมักจะใช้ในกรณีท่ีต้องการจะส่ือ
ข้อความที่พยานคนนั้นได้ให้ถ้อยคาต่อศาลว่าเป็นข้อความทานองอย่างไร แต่หาก
ต้ อ ง ก า ร เ พี ย ง แ ต่ จ ะ บ อ ก ว่ า พ ย า น ใ ห้ ถ้ อ ย ค า เ ก่ี ย ว กั บ เ ร่ื อ ง อ ะ ไ ร ก็ อ า จ จ ะ ใ ช้ ว่ า
The witness testified about the shooting incident. ห รื อ The witness
testified about who shot the victim. ในกรณีนี้จะเป็นเพียงแต่บอกว่าพยาน
เบกิ ความเก่ียวกบั เหตุการณ์ที่มีการยิงกัน หรอื บอกวา่ พยานเบิกความถงึ ผูท้ ย่ี ิงเหยื่อหรือ
ผู้เสยี หาย แล้วแตว่ า่ เป็นประโยคแรกหรอื ประโยคหลงั
ในการเบิกความของพยานน้ันตามปกติอีกเช่นกันท่ีมักจะเป็นพยานของคู่ความ
ฝ่ายใดฝ่ายหน่ึงในคดี เมื่อพยานของคู่ความฝ่ายหนึ่งเบิกความย่อมจะเป็นข้อความ
ท่ีสนับสนุนข้ออ้างของคู่ความฝ่ายน้ัน และในขณะเดียวกันย่อมจะเป็นผลร้ายแก่คู่ความ
อีกฝ่ายหนึ่งด้วยเช่นกัน หากเราต้องการจะบอกว่าพยานเบิกความให้ถ้อยคาเป็นผลร้าย
41
แก่ใครหรือบุคคลใดเราอาจจะใช้รูปประโยคว่า The witness testified against the
defendant in the trial this morning. ซ่ึงจะมีความหมายว่า พยานคนดังกล่าว
เบิกความเป็นผลร้ายหรือปรักปราจาเลยในการสืบพยานเมื่อเช้านี้ เพราะคาว่า against
ที่นำมำใช้คู่กับ testify เป็นกำรแสดงให้เห็นอยู่ในตัวว่ำเป็นกำรกระทำท่ีเป็นปฏิปักษ์
ตอ่ บคุ คลทถ่ี กู กลา่ วถงึ
สาหรับคาว่า testimony นั้น เป็นคานามที่หมายถึงถ้อยคาของคาเบิกความ
ท่ีพยานได้ให้ไว้ เม่ือนาไปใช้จึงอาจใช้ในรูปประโยคเช่น The witness gave her
testimony this morning. ซ่ึงจะมีความหมายคล้ายกับประโยคก่อนหน้าน้ีเพียงแต่
เลือกใช้คาว่า testimony ที่เป็นคำนำมแทน ประโยคนี้จึงมีควำมหมำยว่ำ
พยำนได้ให้ถ้อยคำหรือคาเบิกความเม่ือเช้ำนี้ ในแง่หนึ่งอาจจะคล้ายกับรูปประโยค
เม่ือเทียบกับภาษาไทยท่เี ราบอกว่าเป็นการให้ถ้อยคา ในภาษาอังกฤษก็สามารถใช้กริ ยิ า
คาวา่ give ซง่ึ หมำยควำมวำ่ “ให”้ เชน่ เดยี วกนั
คาต่อมาท่ีจะขอนามากล่าวถึงในที่น้ีคือคาว่า Trier of fact ซ่ึงเป็นอีกคาที่มี
ความนา่ สนใจและไมย่ ากต่อการทาความเข้าใจ คาสาคญั ในวลดี ังกล่าวนคี้ งจะได้แก่คาวา่
Trier คาๆ นี้มาจากคาว่า try ท่ีเราอาจจะคุ้นเคยกันดีในความหมายของการพยายาม
ทาสิ่งต่างๆ แต่คาว่า try ในความหมายทางกฎหมายน้ันมักจะหมายถึงการตรวจสอบ
หรือการวินิจฉัยโดยเฉพาะอย่างยิ่งผ่านกระบวนการทางศาล เช่น หากเราบอกว่า
The judge was assigned to try this case. จะมคี วามหมายว่าผู้พพิ ากษาคนนน้ั ไดร้ บั
มอบหมายใหเ้ ปน็ ผพู้ ิจารณาคดีน้ี
เม่ือแปลงคาว่า try เป็นคาว่า trier จึงกลำยเป็นตัวบุคคลขึ้นมำ ควำมหมำย
จึงเป็นบุคคลท่ีทำหน้ำที่ตรวจสอบหรือวินิจฉัยในกระบวนกำรดังกล่ำวนั่นเอง
เพียงแต่ในกรณีนี้จะเน้นย้ำไปในส่วนของ fact หรือข้อเท็จจริง คำว่ำ trier of fact
จึงมีควำมหมำยถงึ ผทู้ ่ีทำหนำ้ ที่วนิ จิ ฉัยขอ้ เทจ็ จริง
บางคนอาจจะต้ังคาถามได้ว่าเหตุใดจึงต้องเน้นย้าหรือแยกแยะออกมาว่าเป็นผู้ท่ี
ทาหน้าท่ีวนิ จิ ฉยั ข้อเท็จจริง กรณีนีค้ งตอ้ งทาความเขา้ ใจประกอบกับการดาเนินกระบวน
42
พิจารณาในระบบกฎหมายแบบจารีตประเพณีหรือ Common law ที่เรารู้จักกันดี
เพราะในระบบกฎหมายแบบจารีตประเพณีมีระบบลูกขุนอยู่ด้วย ทาให้บุคคลท่ีจะ
ทาหน้าท่ีวนิ ิจฉัยปัญหาขอ้ เท็จจริงในคดอี าจเป็นคณะลูกขุนหรอื ผพู้ พิ ากษาก็ได้ข้ึนอยู่กับ
ประเภทหรือลกั ษณะแหง่ คดีตลอดจนเงอื่ นไขบางประการ แตใ่ นบางกรณีทีใ่ ชผ้ พู้ ิพากษา
เป็นผู้พิจารณาพิพากษาคดีโดยไม่ได้ใช้คณะลูกขุน ผู้ที่ทาหน้าที่วินิจฉัยข้อเท็จจริง
และข้อกฎหมายจะเป็นบุคคลคนเดียวกัน
คาที่น่าสนใจคาต่อมาคงเป็นคาว่า Cross-examination ซ่ึงหมายถึงการถามค้าน
แต่การทาความเข้าใจและการนาคาในกลุ่มน้ีไปใช้ในทางปฏิบัติคงต้องย้อนกลับไป
กล่าวถึงต้ังแต่ข้ันตอนเริ่มต้นในการซักถามพยานซึ่งเรียกว่าเป็น examination of
witness ซ่ึงคงไม่ได้หมายถึงการจับพยานคนนั้นมาทาข้อสอบใดๆ แต่การซักถาม
ของทนายความนี้เป็นเสมือนการทดสอบมากกว่าว่าพยานคนน้ันรู้เห็นเร่ืองราวท่ีตนเอง
เบิกความถึงจริงหรือไม่ หรือแม้จะอยู่ในเหตุการณ์น้ันก็เป็นการทดสอบอีกเช่นกัน
ว่าพยานจดจาเร่ืองราวหรือบุคคลที่เก่ียวข้องได้มากน้อยเพียงใด เพราะพยานอาจจะ
อยใู่ นเหตุการณ์แต่อาจหลงลืมบางเร่ืองหรือสบั สนเกีย่ วกบั บางคนกไ็ ด้
ดังท่ีทราบกันดีอยู่แล้วว่าในข้ันตอนการสืบพยานบุคคลน้ัน ตามปกติคู่ความ
ฝ่ายที่อ้างพยานปากใดเพื่อสนับสนุนข้ออ้างของตนมักจะเป็นฝ่ายเร่ิมต้นซักถามพยาน
ปากนั้นก่อน การซักถามของทนายความซ่ึงถามพยานท่ีฝ่ายตนเองอ้างมาน้ีเรียกว่าเป็น
direct examination of witness ซึ่งอาจจะกล่าวได้ว่าเป็นการซักถามพยาน
แบบตรงไปตรงมาเพราะเป็นการซักถามให้พยานเล่ าเร่ืองราวให้ตรงตามประเด็นท่ี
ต้องการนาสืบซึ่งอาจจะผิดจากการซักถามของฝ่ายตรงข้ามที่ไม่ได้เป็นการซักถาม
ประเด็นต่างๆ อย่างตรงไปตรงมา แต่เป็นการซักถามเพื่อจับผดิ หรือหาพิรุธในคาเบิกความ
ของพยานปากนน้ั บางครั้งอาจเรียกการซักถามพยานโดยค่คู วามฝ่ายที่อ้างพยานปากน้ัน
ว่าเป็น examination-in-chief ก็ได้ เพราะการเบิกความของพยานปากหน่ึงในส่วน
ทสี่ าคญั หรือเปน็ หลักของคาเบิกความยอ่ มมาจากการซักถามของคคู่ วามฝา่ ยทอี่ า้ งพยาน
ปากนนั้ มาเปน็ สาคญั
43
เมื่อคู่ความที่อ้างพยานคนดังกล่าวมาเบิกความซักถามพยานเสร็จแล้ว ตอนนี้เอง
ที่จะเข้าสู่กระบวนการ cross-examination ที่เพิ่งกล่าวถึง เมื่อพิจารณาดูคาศัพท์แล้ว
จะเห็นว่าก็ยังประกอบไปด้วยคาว่า examination อยู่เช่นเดิม เพรำะแม้ว่ำจะเป็น
กำรถำมค้ำนแต่ก็ต้องถือว่ำเป็นกำรซักถำมพยำนด้วยลักษณะหน่ึง เพียงแต่เม่ือเป็นกำร
cross ซงึ่ ในความหมายปกติเราอาจจะบอกว่าเป็นการข้ามมา ในท่ีน้ีก็อาจจะหมายถึง
เป็นการซักถามของทนายความท่ีข้ามมาจากอีกฝ่ังหนึ่งหรือทนายความฝ่ายตรงข้าม
นั่นเอง จึงทาใหค้ าว่า cross-examination หมำยถงึ กำรถำมค้ำน อย่ำงที่เรำทรำบกนั
เม่ือคู่ความฝา่ ยตรงข้ามถามค้านพยานเสร็จแลว้ ตามปกติคู่ความฝ่ายทีอ่ ้างพยาน
ปากนั้นมามักมีสิทธิท่ีจะซักถามพยานคนดังกล่าวอีกคร้ังหน่ึงเพื่อให้โอกาสพยานท่ีจะ
ชี้แจงหรือสร้างความกระจ่างในประเด็นบางเร่ืองท่ีคู่ความฝ่ายตรงข้ามได้ถามค้านไป
เน่ืองจากในการถามค้านนั้นพยานอาจจะตอบไปตามการชักนาของทนายความฝ่ายตรงข้าม
ทาให้คาตอบอาจจะไม่ชัดเจนและอาจทาให้เกิดความเข้าใจผิดได้ ดังน้ัน เม่ือการ
ถามค้านเสร็จสิ้นแล้ว คู่ความฝ่ายท่ีอ้างพยานปากนั้นมาเบิกความจึงอาจซักถามได้อีกครั้ง
การซักถามที่เราเรียกว่าการถามติงน้ีจะใช้คาว่า redirect examination ซ่ึงอาจจะ
เข้าใจได้ไม่ยากเพราะก่อนหน้านี้เราได้กล่าวถึงไปแล้วว่าการซักถามพยานโดยคู่ความ
ที่อ้างพยานปากนั้นมาเราเรียกวา่ direct examination กำรที่เป็น redirect examination
จึงไม่ต่างจากการท่ีเราบอกว่าเป็นการกลับไปให้ทาการ direct examination ซ้าอีก
ครง้ั หนึ่งนั่นเอง
ส่วนคาว่า falsify นั้นคงจะสังเกตเห็นได้ว่าแฝงไว้ด้วยคาว่า false ซ่ึงหมายถึง
ส่ิงที่ผิดหรือไม่ถูกต้องตามความจริง เม่ือเป็นคาว่า falsify จึงมีควำมหมำยในทำนองที่
ส่อื ไปถึงพฤตกิ รรม หรอื กำรกระทำท่ีให้ผดิ เพย้ี นไปจากความจรงิ หรอื สิ่งท่ถี กู ต้องน่นั เอง
บทความที่นามากล่าวถึงนี้พยายามอธิบายหลักการพื้นฐานที่เป็นเหตุให้ไม่ควร
รับฟัง “พยานบอกเลา่ ” หรือ Hearsay ตามปกติเม่ือกล่าวถึงพยานบอกเลา่ จะหมายถึง
การนาส่ิงท่ีพยานได้ยินคนอื่นบอกเล่าให้ฟังมาถ่ายทอดต่อในการเบิกความ ตัวอย่าง
ที่เป็นรูปแบบพ้ืนฐานท่ีสุดของพยานบอกเล่า เช่น การที่นาย ก. เล่าให้นาย ข. ฟังว่า
44
ตนเห็นนาย ค. ใช้ปืนยิงเหยื่อหรือผู้เสียหายที่ศรีษะจนถึงแก่ความตาย ในกรณีนี้นาย ก.
อาจจะไม่ได้มาเบิกความตอ่ ศาลดว้ ยตนเอง แตค่ ่คู วามอาจจะอา้ งนาย ข. ทไี่ ดฟ้ ังเรอ่ื งราว
มาจากนาย ก. มาเป็นพยานเบิกความตอ่ ศาลแทน ถ้อยคาท่ีนาย ข. จะเบกิ ความเก่ียวกบั
เหตุการณ์ท่ีมีผู้ใช้ปืนยิงผู้เสียหายจึงไม่ได้เกิดจากการรู้เห็นโดยตรงของนาย ข. เอง ผู้ท่ี
ร้เู หน็ หรอื อา้ งว่าเป็นผ้รู เู้ ห็นคอื นาย ก. ทีไ่ ม่ได้มาเบิกความ
เหตุที่พยานบอกเล่าเป็นพยานท่ีไม่น่าเชื่อถือเพราะเหตุที่ไม่สอดคล้องหรือ
เป็นไปตามหลกั การพ้ืนฐานทั้งสามประการกลา่ วคอื การสาบานตน การเบิกความต่อหน้า
ผู้วินิจฉยั ขอ้ เท็จจริงและคคู่ วามท่ีตนปรักปรา และการถามค้าน เนอ่ื งจากผู้ทีอ่ า้ งวา่ รู้เห็น
และให้ข้อมูลเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เป็นประเด็นในคดีน้ีคือนาย ก. ไม่ได้มาสาบานตน
ขณะท่ีนาย ก. บอกเล่าเรื่องราวให้นาย ข. ฟัง นาย ค. ซ่ึงตกเป็นจาเลยก็ไม่ได้อยู่ด้วย
และไม่ได้ฟังว่าจริงๆ แล้วนาย ก. บอกเล่าเรื่องราวอะไรบ้าง อีกท้ังไม่ได้บอกเล่า
ต่อหน้าผู้วนิ ิจฉัยขอ้ เทจ็ จริงในคดี ทาให้ผู้วินิจฉัยข้อเทจ็ จรงิ ไมม่ โี อกาสสังเกตอากัปกริ ิยา
ของนาย ก. ขณะบอกเล่าเร่ืองราวเพื่อหาข้อพิรุธในการบอกเล่าดังกล่าวได้ และประการ
สาคัญคือคู่ความฝ่ายตรงข้ามหรือฝ่ายของนาย ค. ในที่นี้ก็ไม่มีโอกาสถามค้านตัวนาย ก.
เพือ่ หาข้อพริ ธุ หรือขอ้ บกพรอ่ งในเร่ืองราวทบี่ อกเล่ามาได้
การที่มีนาย ข. มาเบิกความโดยสาบานตัว เบิกความต่อหน้าผู้วินิจฉัยข้อเท็จจริง
และการเปิดโอกาสให้คู่ความอีกฝ่ายถามค้านนาย ข. ก็ไม่มีผลเหมือนกับการถามค้าน
นาย ก. โดยตรง เพราะนาย ข. อาจจะกล้าสาบานและบอกเล่าเร่ืองราวต่างๆ
ด้วยความสัตย์จริงตามทต่ี นไดย้ นิ ได้ฟงั มาจากนาย ก. ไม่ใช่ว่านาย ข. ได้ยินมาอยา่ งหนง่ึ
แล้วเล่าอีกอย่างหน่ึง แต่ความสัตย์จริงที่กระบวนการทางกฎหมายต้องการทดสอบและ
พิสูจน์ไม่ได้อยู่ท่คี วามสตั ย์จริงของนาย ข. แต่หากเป็นความสัตยจ์ รงิ ของนาย ก. ผู้ท่ีอา้ ง
วา่ รูเ้ หน็ เหตุการณ์ การถามคา้ นตัวนาย ข. คงจะได้เพียงขอ้ พริ ธุ เกี่ยวกบั ความทรงจาของ
นาย ข. เท่าน้ันว่านาย ข. จดจารายละเอียดที่ได้ยินได้ฟังมาถูกต้องครบถ้วนหรือไม่
เท่าน้ัน แต่ไม่สามารถทดสอบหาข้อพิรุธลึกลงไปถึงรายละเอียดของเหตุการณ์ที่นาย ก.
อ้างว่ารู้เห็นได้ไม่ ด้วยเหตุน้ีน่ีเองที่ทาให้ตามหลักการของระบบกฎหมายจารีตประเพณี
แบบแองโกลอเมรกิ ันจงึ มีข้อหา้ มไม่ใหร้ บั ฟงั พยานบอกเล่า
45
พยานหลักฐานดิจิตอล (Digital forensic evidence)
การทาธุรกรรมและการติดต่อสื่อสารในปัจจุบันมีแต่จะใช้ส่ือเทค โนโลยี
สารสนเทศมากขึ้นทุกวัน พร้อมๆ ไปกับการเพม่ิ ข้ึนของธรุ กรรมดังกลา่ ว พยานหลักฐาน
ท่ีคู่ความนาสืบในคดีความต่างๆ ที่เกิดข้ึนหรืออยู่ในรูปของส่ือเทคโนโลยีก็ย่อมจะ
เพม่ิ มากข้นึ ตามไปด้วย
การก่ออาชญากรรมในปัจจบุ ันอาจเกิดข้ึนในโลกออนไลนไ์ ด้มากพอๆ กบั ท่เี กิดขึ้น
ในท้องถนนท่ัวๆ ไป แม้แต่อาชญากรรมที่เกิดข้ึนในท้องถนน แต่หลายคร้ังร่องรอยและ
หลักฐานของอาชญากรรมเหล่าน้ันอาจพบเห็นได้ในโลกออนไลน์หรือมีการจัดเก็บ
รวบรวมไวใ้ นสอื่ ดจิ ิตอล
แม้แต่ในคดีความทางแพง่ ด้วยความทีก่ ารติดต่อสอื่ สารทาธุรกรรมต่างๆ มีแต่จะ
ทาทางส่ืออิเล็กทรอนิกส์มากกว่าการมาพบปะและจับมือทาสัญญากันเหมือนดัง
สมัยก่อน เม่ือเกิดข้อพิพาทข้ึนมา การติดต่อสื่อสารเหล่านั้นก็อาจกลายเป็นส่วนหนึ่ง
ของสิ่งท่ีคู่ความนาสืบในคดีได้ และเมื่อยิ่งคานึงถึงการทาธุรกรรมทางพาณิชย์ผ่านทาง
สื่ออิเล็กทรอนิกส์ (E-commerce) ที่จะมีมูลค่าสูงกว่าการซื้อขายในห้างร้านต่างๆ
ย่ิงทาให้เห็นโอกาสท่ีพยานหลักฐานท่ีเกี่ยวกับธุรกรรมท่ีพิพาทจะอยู่ในรูปส่ือดิจิตอล
มีมากขนึ้ ตามไปดว้ ยอย่างไมอ่ าจหลกี เล่ยี งได้
ปรากฏการณ์ดังกล่าวกลายเป็นความท้าทายของวิชาชีพกฎหมายด้วยเช่นกัน
เพราะผู้ประกอบวิชาชีพทางกฎหมายไม่ว่าจะเป็นผู้พิพากษา พนักงานอัยการ
ทนายความ หรือที่ปรึกษาทางกฎหมายต่างๆ ย่อมต้องทาความเข้าใจพยานหลักฐาน
ท่ีเกิดขึ้นในรูปสื่ออิเล็กทรอนิกส์หรือดิจิตอลนี้ด้วยเช่นกัน เพราะไม่เช่นน้ันเราคง
ไม่สามารถทาหน้าที่และความรบั ผดิ ชอบของตนได้อยา่ งทค่ี วรจะเปน็
หากทนายความไมเ่ ข้าใจลกั ษณะและธรรมชาติของพยานหลักฐานเหล่าน้ีทจี่ ะขอ
เรียกรวมกันไปว่า “พยานหลักฐานดิจิตอล” ย่อมไม่สามารถนาเสนอพยานหลักฐาน
46
เหล่าน้ีให้มีความน่าเช่ือถือได้อย่างที่ควรจะเป็น หรือแม้แต่ฝ่ายตนเองไม่ได้นาสืบ
พยานหลักฐานเหล่าน้ี แต่หากฝ่ายตรงข้ามนาสืบพยานหลักฐานดิจิตอลเข้ามาในคดี
ทนายความที่ไม่เข้าใจลักษณะและธรรมชาติของพยานหลักฐานเหล่านี้ย่อมไม่สามารถ
ช่วยตรวจสอบหรือนาสืบหักล้างในกรณีท่ีพยานหลักฐานเหล่าน้ีมีข้อบกพร่องแฝงอยู่
ดว้ ยความทีต่ นเองไม่รแู้ ละไม่เข้าใจพยานหลักฐานดิจติ อลเหล่าน้อี ยา่ งเพยี งพอ
แม้แต่ศาลเองก็ตาม เม่ือคู่ความนาสืบพยานหลักฐานดิจิตอลเข้ามาในคดี
ห า ก ไ ม่ เ ข้ า ใ จ ลั ก ษ ณ ะ แ ล ะ ธ ร ร ม ช า ติ ข อ ง พ ย า น ห ลั ก ฐ า น เ ห ล่ า นี้ อ ย่ า ง แ ท้ จ ริ ง
ย่อมไม่สามารถพิจารณาพพิ ากษาและให้ความเป็นธรรมได้อย่างท่ีควรจะเป็น เพราะเมือ่
ไม่เข้าใจในสิ่งท่ีต้องวินิจฉัยเสียแล้วย่อมไม่สามารถบ่งบอกได้ว่าสิ่งที่คู่ความนาสืบเข้ามา
น้ันเชื่อถือได้เพียงใด อาจทาให้เช่ือในส่ิงที่ไม่ควรเช่ือ ไม่เช่ือในสิ่งท่ีน่าเช่ือถือด้วยความ
ไมร่ ้กู เ็ ป็นได้
ศาสตร์ท่ีเก่ียวกับการรับฟังพยานหลักฐานแขนงน้ีอาจเรียกว่าเป็น Digital
forensic evidence คาว่า Forensic ในท่ีนคี้ วามจริงแล้วเป็นคาทีไ่ ม่ได้ใช้เฉพาะเจาะจง
กับเรื่องของคอมพิวเตอร์ที่เรากล่าวถึงในที่น้ี แต่เป็นคาที่มีความหมายบ่งบอกถึง
การนาวิธีการทางวิทยาศาสตร์มาใช้ในกระบวนการสืบสวนสอบสวนอาชญากรรม
นอกเหนือจากการพิสูจน์ด้วยวิธีปกติด้ังเดิมท่ีอาศัยพยานบุคคล อย่างเช่น ประจักษ์
พยานเป็นหลัก ทาให้ในกรณีที่อาชญากรรมที่ไม่มีคนรู้คนเห็นโดยตรงไม่สามารถนาตัว
ผู้กระทาความผดิ มาลงโทษได้ การนาวธิ ีการทางวิทยาศาสตร์ทเ่ี รียกวา่ Forensic นี้มาใช้
จึงครอบคลุมวิทยาศาสตร์แขนงต่างๆ ท่ีสามารถนามาพิสูจน์ความบริสุทธ์ิหรือความผิด
ของผู้ท่ีเก่ียวข้องกับอาชญากรรมได้ วิทยาการที่เราอาจจะคุ้นเคยมากกว่าและได้ยิน
ได้ฟังบ่อยๆ คือ การใช้ DNA หรือสารพันธุกรรมมาใช้พสิ ูจน์ความเชื่อมโยงของหลักฐาน
ท่ีเก็บได้ในท่ีเกิดเหตุกับบุคคลท่ีมีสารพันธุกรรมลักษณะเดียวกัน ในฐานะท่ีการใช้
วิทยาการทางเทคโนโลยีสารสนเทศและคอมพิวเตอร์ รวมทั้งวิทยาการต่างๆ ที่เกี่ยวขอ้ ง
ก็สามารถใช้สืบสวนสอบสวนอาชญากรรมได้เช่นเดียวกัน เราจึงถือว่าวิทยาการ
ทเี่ กี่ยวกับ Digital น้เี ป็นแขนงหนงึ่ ของ Forensic ด้วยเชน่ กนั
47
ในแงห่ นึ่งการใชพ้ ยานหลักฐานดจิ ิตอลมาช่วยในการพสิ จู นอ์ าชญากรรมไม่ได้เป็น
เพราะความพิเศษหรือดีเด่นของพยานหลักฐานชนิดนี้ แต่เป็นเพราะความจาเป็น
มากกว่า เพราะในยามที่การประกอบอาชญากรรมไม่ได้ทาบนท้องถนน แทบเป็นไม่ได้
เลยท่ีเราจะหา “ประจักษ์พยาน” ท่ีเห็นเหตุการณ์ขณะท่ีอาชญากรกาลังเจาะเข้าไป
ในระบบข้อมูลคอมพิวเตอร์ของธนาคารเพ่ือโอนเงินจากบัญชีไปเข้าอีกบัญชีหนึ่ง
เว้นเสียแต่ว่าจะมีใครบางคนไปยืนอยู่หลังเคร่ืองคอมพิวเตอร์ของอาชญากร
รายนนั้ ขณะท่ีกาลังกระทาการดงั กล่าว ถงึ แม้จะมใี ครคนน้นั กไ็ มใ่ ชว่ า่ จะสามารถนามาใช้
พิสูจน์ความผิดได้โดยง่าย เพราะคนๆ นั้นมักจะเป็นผู้ร่วมกระทาความผิดด้วยคนหน่ึง
ซึ่งหากไม่ยอมให้ความร่วมมอื เพราะตนเองร่วมทาผิดด้วยก็อาจกลายเป็นคา “ซักทอด”
ที่มีน้าหนักให้รับฟังได้น้อย ในกรณีเช่นนี้ การใช้พยานหลักฐานดิจิตอลจึงเป็นเร่ือง
“จาเป็น”
อย่างไรกต็ าม พยานหลักฐานดจิ ิตอลมขี ้อตอ้ งระวังอาจจะมากกว่าพยานหลักฐาน
ทางวิทยาศาสตร์อย่างเช่น DNA มาก ดังที่เราอาจจะทราบกันดีว่า DNA หรือ
สารพันธุกรรมของแต่ละคนไม่ซ้ากันและแต่ละคนจะมีสารพันธุกรรมท่ีมีลักษณะเฉพาะ
ของตนเอง ทาให้หากไม่มีข้อบกพร่องอ่ืนในการจัดเก็บหรือการปนเปื้อนก็อาจทาให้
พยานหลักฐานน้ันน่าเชื่อถือ แต่พยานหลักฐานดิจิตอลมีความอ่อนไหวกว่ามาก
เ พ ร า ะ ร ะ บ บ ค อ ม พิ ว เ ต อ ร์ ทุ ก วั น นี้ ไ ม่ มี ร ะ บ บ ใ ด ที่ มั่ น ค ง ป ล อ ด ภั ย แ บ บ ไ ม่ มี ท่ี ติ
หรือหาจุดโหว่ไม่ได้ ข้อสังเกตท่ีแสดงได้ชัดเจนท่ีสุดคือระบบปฏิบัติการใน
โทรศัพท์เคลื่อนที่ของเราเอง หากสังเกตดู แม้แต่ระบบปฏิบัติการที่ข้ึนชื่อว่าดีที่สุด
ปลอดภัยที่สุดยังต้องมีการปรับปรุงอยู่ตลอดเวลา บางคร้ังแม้แต่เมื่อเร่ิมเผยแพร่ไม่นาน
ก็ต้องมีการปรับปรุงเพื่อแก้ไขข้อบกพร่องหรือช่องโหว่กันแล้ว เม่ือนาสิ่งต่างๆ
ที่เกี่ยวข้องมาใช้ในการสืบสวนสอบสวน ตลอดจนการพิสูจน์ความผิดจึงต้อง
ทาความเข้าใจลกั ษณะและธรรมชาติของพยานหลกั ฐานชนดิ นกี้ นั เป็นพิเศษเช่นกัน
ข้อความท่ีตัดตอนมานาเสนอข้างล่างนี้เป็นข้อคิดเบื้องต้นที่เราสามารถใช้กับ
พยานหลักฐานทางวิทยาศาสตร์แขนงต่างๆ ได้คล้ายคลึงกัน จึงสามารถใช้กับ
พยานหลักฐานดจิ ิตอลดว้ ยเช่นกนั
48