The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

Legal English (Consolidated) II (10-02-64)

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ขนิษฐา พัตตาสิงห์, 2021-02-14 23:06:16

Legal English (Consolidated) II (10-02-64)

Legal English (Consolidated) II (10-02-64)

Regardless of the differences, แ ม้ ว่ า จะ มี ค ว า ม แ ตกต่า ง กัน

all of the forensic sciences follow the บรรดาวิทยาการเก่ียวกับการพิสูจน์

same basic process (Casey, 2011; อ า ช ญ า ก ร ร ม ล้ ว น เ ป็ น ไ ป ต า ม

Cohen, 2010)2: ก ร ะ บ ว น ก า ร พื้ น ฐ า น อ ย่ า ง เ ดี ย ว กั น

(เคซยี่ ์ 2011 โคเฮน 2010)

2 Gary C. Kessler, Judges’ Awareness, Understanding, and Application of Digital Evidence, Journal of Digital Forensic, Security and Law, Vol. 6(1), p.55,
56.

49

กระบวนการข้างต้นนี้ถือว่าเป็นขั้นตอนปกติในการรวบรวมและใช้พยานหลกั ฐาน
ทางวิทยาศาสตร์ ในการชั่งน้าหนักพยานหลักฐานน้ันย่อมจะเก่ียวพันกับทุกขั้นตอน
ด้วยเช่นกันท่ีจะทาให้พยานหลักฐานช้ินหนึ่งมีความน่าเชื่อถือหรือไม่น่าเช่ือถือ ข้ันตอน
เหล่านี้อาจเปรยี บเหมอื นห่วงโซท่ ่ีร้อยเรียงตอ่ กันมา หากห่วงโซ่ข้อหนึ่งข้อใดขาดหายไป
เสียแล้วย่อมจะกระทบต่อข้อต่างๆ ที่จะตามมาด้วยเช่นกัน แม้ว่าข้ันตอนต่อๆ มา
จะทาอย่างถูกต้องตามหลักวิชาการ แต่หากในข้อก่อนหน้านั้นมีข้อบกพร่องเสียแล้ว
การตรวจสอบในข้ันตอนตอ่ ๆ มายอ่ มบกพร่องไปดว้ ยอยา่ งไม่อาจหลีกเล่ียงได้

อย่างเช่นในข้ันตอนที่สองของการ Preservation หรือการสงวนรักษาสภาพ
ของพยานหลักฐานท่ีต้องการตรวจสอบไว้ หากเป็นการก่ออาชญากรรมปกติอาจ

50

หมายถึงการรักษาสภาพสถานท่ีเกิดเหตุไว้ไม่ให้คนที่ไม่มีหน้าที่เกี่ยวข้องเข้าไปยุ่งเกี่ยว
ที่จะทาให้มีการเสียหายหรือปนเปื้อน เช่น ลายน้ิวมือแฝงท่ีอาจจะสูญหาย ในกรณีของ
พ ย า นหลั กฐา นดิจิตอ ล อ า จหม า ย ถึง กา ร ป้อ ง กันไ ม่ ใ ห้ บุค ค ล ใ ดเ ข้า ไ ปยุ่ งเ กี่ ย ว กั บ
เครื่องคอมพิวเตอร์ หรือฮาร์ดดิสก์ที่เก็บข้อมูลไว้ เพราะอาจมีการลบหรือเปล่ียนแปลง
ข้อมูลท่ีเก็บรักษาไว้ได้ แม้แต่การพิมพ์ข้อมูลอย่างหน่ึงอย่างใดลงไปอาจไปทับซ้อนกับ
ข้อมูลท่ีถกู ลบไปแลว้ แตอ่ ยู่ในวสิ ัยท่อี าจกคู้ ืนมาตรวจสอบได้

เร่ืองของพยานหลักฐานดิจิตอลและรวมถึงพยานหลักฐานทางวิทยาศาสตร์
ท้ังหลายเป็นเร่ืองท่ีมีความสลับซับซ้อนเกินกว่าจะกล่าวถึงได้หมดในท่ีน้ี จึงขอ
ยกขอ้ ความที่เกี่ยวกับการพจิ ารณาพยานหลักฐานประเภทน้ีมากลา่ วถงึ ไว้พอสงั เขปดังนี้3

3 Daniel Ryan et al, Legal Aspects of Digital Forensics, available at http://euro.ecom.cmu.edu/program/law/08-732/Evidence/RyanShpantzer.pdf.

51

52

53

ข้ อ ค ว า ม นี้ แ ส ด ง ใ ห้ เ ห็ น ถึ ง ค ว า ม ท้ า ท า ย เ บื้ อ ง ต้ น ใ น ก า ร ใ ช้ พ ย า น ห ลั ก ฐ า น
ทางดิจิตอลโดยเฉพาะอย่างย่ิงในระบบเทคโนโลยีสารสนเทศปัจจุบันท่ีการแลกเปลี่ยน
และการจัดเก็บข้อมูลอยู่ในระบบเครือข่ายหรือแม้แต่ในระบบ Cloud ที่ข้อมูลอาจจะ
อยู่แต่ในระบบของผู้ให้บริการ โดยบุคคลท่ีอยู่ภายใต้การสืบสวนสอบสวนอาจไม่ได้
ครอบครองข้อมูลน้ันไว้ในทางกายภาพ แต่อยู่ในสถานะที่จะเรยี กข้อมูลเหลา่ นั้นมาใช้ได้
ยามท่ีต้องการ การสืบค้นหาข้อมูลดังกล่าวนี้จึงมีความสลับซับซ้อนและการหา
ความเชื่อมโยงระหว่างข้อมูลกับตัวบุคคลที่ต้องหาว่ากระทาความผิดก็มีอุปสรรค
หลายประการ

ปัญหาทางกฎหมายท่ีอาจเกิดขึ้นก็มีได้หลายประการ ตัวอย่างหนึ่งที่ยกมา
กล่าวถึงคือ The Best Evidence Rules หรือ “กฎว่าด้วยพยานหลักฐานที่ดีที่สุด”
ซ่ึงมีหลักการว่าพยานหลักฐานที่จะนามาสืบต่อศาลน้ันจะต้องเป็นพยานหลักฐานท่ีดี
ท่ีสุดเท่าท่ีมีอยู่เพ่ือผลในการพิสูจน์ความจริงให้ได้ดีที่สุดเช่นกัน เนื่องจากหากใช้
พยานหลักฐานทไี่ มด่ ีทีส่ ดุ อาจเป็นพยานหลักฐานท่ีไมถ่ กู ตอ้ งหรอื ถกู บิดเบอื นไปก็ได้

ตัวอยา่ งของกฎดงั กล่าวทเ่ี ราทราบกนั ดีอยู่แล้วคอื การนาสืบพยานเอกสารต้องนา
Original หรือต้นฉบับมาสืบ เว้นแต่กรณีจะเข้าข้อยกเว้นตามท่ีกฎหมายกาหนด
เนื่องจากในอดีตท่ีการทาธุรกรรมมักทาเป็นกระดาษ การนาสาเนามานาสืบอาจพิสูจน์
ความถูกต้องแท้จริงของเอกสารได้ยาก เพราะการตรวจพิสูจน์บางเร่ืองเช่น ลายมือชื่อ
ท่ีอาจต้องดูความหนักเบาของหมึกในลายเส้น อาจไม่สามารถตรวจได้จากสาเนา
ทค่ี ัดถา่ ยมา

เ ม่ื อ น า ก ฎ ดั ง ก ล่ า ว ม า ใ ช้ กั บ ข้ อ มู ล ที่ อ ยู่ ใ น รู ป ดิ จิ ต อ ล แ ล้ ว อ า จ เ กิ ด ปั ญ ห า ไ ด้
เพราะการส่งข้อมูลในระบบเทคโนโลยีสารสนเทศข้อมูลท่ีเป็นต้นฉบับจะยังอยู่ท่ีผู้ส่งเสมอ
สิ่งท่ีผู้รับได้รับจะเป็นเพียงข้อมูลชุดเดียวกันท่ีแสดงผลเหมือนกับต้นฉบับเท่าน้ัน
ส่ิงพิมพ์ออกที่เป็นกระดาษหากถือโดยเคร่งครัดแล้วก็เป็นสาเนาเช่นกัน เพราะ
ตัวต้นฉบับยังอยู่ในรูปข้อมูลดิจิตอลที่อยูใ่ นเครื่อง เพื่อแก้ปัญหาท่ีอาจเกิดขึ้นจึงได้มีการ

54

บัญญัติรองรับไว้ในกฎว่าด้วยพยานหลักฐานให้รองรับการนาสืบพยานหลักฐาน
ท่ีสามารถแสดงผลของขอ้ มลู ดิจิตอลไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ งอย่างเช่นส่ิงพมิ พอ์ อกไว้ด้วย

ในเรื่องนี้อาจเปรียบเทยี บได้กับพระราชบัญญตั ิวา่ ด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนกิ ส์
พ.ศ. 2544 มาตรา 11 วรรคหนึ่งท่ีห้ามมิให้ปฏิเสธการรับฟังข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์
เป็นพยานหลักฐานในคดีความต่างๆ เพียงเพราะเหตุที่ข้อมูลนั้นอยู่ในรูปของข้อมูล
อิเล็กทรอนิกส์ จึงเป็นการบัญญัติรองรับการใช้พยานหลักฐานดิจิตอลไว้เป็นหลักการ
เบื้องต้น นอกจากนั้น ในวรรคสามยังได้กาหนดต่อไปด้วยว่าหลักการดังกล่าวให้ใช้กับ
สิ่งพิมพ์ออกของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ด้วย ผลจึงเท่ากับว่าสิ่งพิมพ์ออกดังกล่าวย่อม
เป็นพยานหลักฐานที่อาจรับฟังได้เช่นกัน แต่การชั่งน้าหนักว่าพยานหลักฐานดังกล่าว
มีความนา่ เช่อื ถอื เพยี งใดเปน็ เร่อื งท่ตี อ้ งพจิ ารณาพฤตกิ ารณใ์ นแตล่ ะคดไี ป

ประเด็นหน่ึงเกี่ยวกับสิ่งพิมพ์ออกของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ที่อาจทาให้เกิด
ข้อสงสัยได้เช่นกันคือ ในมาตรา 10 ท่ีบัญญัติเก่ียวกับ The Best Evidence Rules
ตามท่ีกล่าวถึงไปข้างต้น โดยกาหนดให้ถือว่าข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์อาจถือว่าเป็นต้นฉบับ
ของเอกสารตามกฎหมายได้ด้วยหากมีการเก็บรักษาหรือนาเสนอโดยวิธีการท่ีเชื่อถือได้
แต่ในวรรคส่ีของมาตราดังกล่าวซ่ึงได้กาหนดเกี่ยวกับส่งิ พมิ พอ์ อกไว้วา่ สิ่งพิมพ์ออกท่จี ะ
ใช้แทนต้นฉบับได้นอกจากจะต้องมีข้อความถูกต้องตรงกับข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์แล้ว
ยังจะต้องเป็นส่ิงพิมพ์ออกท่ีรับรองโดยหน่วยงานท่ีมีอานาจตามคณะกรรมการประกาศ
กาหนดอีกด้วย ทาใหผ้ ลของบทบัญญตั ิดงั กล่าวมคี ่อนขา้ งจากัด

อย่างไรก็ตาม แม้จะเป็นสิ่งพิมพ์ออกที่ไม่ได้มีหน่วยงานท่ีตามท่ีคณะกรรมการ
ประกาศกาหนดกค็ งไมไ่ ดถ้ งึ กบั ทาให้กรณีนนั้ ไม่มี “ตน้ ฉบับ” เพราะถึงอย่างไรตน้ ฉบบั ท่ี
แท้จริงก็ยังมีอยู่ในรูปของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์อยู่แล้ว แม้สิ่งพิมพ์ออกจะไม่ได้รับ
การรับรองโดยหน่วยงานตามท่ีคณะกรรมการประกาศกาหนดแต่ก็ไม่ได้ต้องห้ามไม่ให้
รับฟังตามหลักการที่กาหนดในมาตรา 11 วรรคสามข้างต้น เพราะในกรณีเช่นน้ีต้องถือ
ว่าสิ่งพิมพ์ออกน้ันเป็นพยานหลกั ฐานท่ีพิสูจน์และแสดงให้เห็นถึง “ต้นฉบับ” ที่อยู่ในรูป

55

ข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ที่จัดเก็บในเครื่องคอมพิวเตอร์หรือระบบเครือข่าย แต่ส่ิงพิมพ์ออก
ดงั กล่าวจะมีน้าหนักน่าเชอ่ื ถอื เพียงใดเปน็ อีกเรื่องหน่งึ

ตามที่กล่าวมาท้ังหมดนี้คงพอจะทาให้ทุกท่านได้เห็นภาพพยานหลักฐานดิจิตอล
ไว้เป็นข้อมูลเบื้องต้นสาหรับการศึกษาเพ่มิ เติมต่อไปได้บ้างไมม่ ากก็น้อย แต่อาจกลา่ วได้
ว่าความสาคัญของพยานหลักฐานดิจิตอลนี้จะไม่มีทางน้อยลง แต่จะเพิ่มมากข้ึนทุกวัน
วันหนึ่งอาจเป็นส่ิงที่เราต้องเผชิญเป็นประจาทุกวันก็เป็นได้ ดังนั้น คงจะเป็นประโยชน์
ทเี่ ราจะไดท้ าความเข้าใจลกั ษณะและธรรมชาติของพยานหลกั ฐานชนิดนไ้ี ว้

56

ปัญญาประดษิ ฐ์กบั ความรับผดิ ทางกฎหมาย
(Artificial Intelligence and Legal Liability)

ในยามท่ีประเทศไทยของเราบอกว่าเรากาลังจะก้าวเข้าไปสู่ยุค 4.0 ทางด้าน
เทคโนโลยีและการพัฒนาประเทศทางเศรษฐกิจ ทาให้น่าคิดเช่นกันว่าในแง่ของวิชาชีพ
กฎหมายในยุค 4.0 ท่ีว่ามาน้ีจะเปล่ียนแปลงไปอย่างไร หรือเราจะยังคงคิดและ
ทาเหมอื นดังเชน่ เมอื่ ครัง้ ท่ีประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ยป์ ระกาศใช้เมอื่ พ.ศ. 2468

หากเทคโนโลยีและความเปล่ียนแปลงของประเทศก้าวไปข้างหน้า แต่วิธีคิดและ
การทางานของนักกฎหมายยังเป็นเหมือนเม่ือเกือบหนึ่งร้อยปีท่ีแล้ว กฎหมายและ
นักกฎหมายเองอาจเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศเสียเอง ย่ิงไปกว่าน้ัน วิทยาการ
สมัยใหม่ที่สามารถใช้เทคโนโลยีประมวลผลจากฐานข้อมูลขนาดใหญ่ (Big data)
ย่อมสามารถประมวลผลทางกฎหมายได้เช่นกัน น่าคิดเหมือนกันว่าจะมีนักกฎหมาย
ที่เป็นมนุษย์ปุถุชนคนใดที่จะสามารถจดจาข้อมูลได้มากเท่ากับฐานข้อมูลขนาดใหญ่
เหลา่ นไ้ี ด้ และจะสามารถประมวลผลดึงข้อมูลที่เคยผา่ นหผู า่ นตาของตนเองออกมาใช้ได้
อย่างมีประสิทธิภาพเท่ากับเทคโนโลยีท่ีวิเคราะห์ฐานข้อมูลขนาดใหญ่เหล่าน้ี
หากวิชาชีพกฎหมายและนักกฎหมายไม่มีการปรับตัวเอง นักกฎหมายเหล่าน้ัน
กจ็ ะกลายเปน็ นักกฎหมายหลงยคุ ไดอ้ ย่างง่ายดาย

ส่ิงหน่ึงที่เป็นความสามารถพิเศษที่ทาให้เทคโนโลยีเหล่าน้ีมีความโดดเด่นคือ
การเก็บรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลต่างๆ เท่าที่มีอยู่ แต่หากเป็นเรื่องใหม่ ปัญหาใหม่
เทคโนโลยีเหล่าน้ีย่อมมีข้อจากัดอันเกิดจากการที่ไม่มีข้อมูลท่ีจะใช้ในการวิเคราะห์
แม้แต่ผูพ้ ฒั นาเทคโนโลยเี องกไ็ มม่ ีทางทีจ่ ะสร้างกระบวนการทางานท่ีจะใชแ้ กป้ ัญหาท่ียงั
ไม่เคยเกิดขน้ึ ได้ แง่มุมนี้เองที่จะทาให้วิชาชีพกฎหมายและนักกฎหมายมีคุณค่าทีแ่ ท้จริง
ในยุค 4.0 ที่จะสามารถวิเคราะห์และแก้ไขปัญหาที่ยังไม่เคยถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูลท่ีจะ
สามารถใช้เทคโนโลยมี าวิเคราะห์และให้คาตอบแกเ่ ราได้

57

ปัญหาประการหนึ่งท่ีน่าสนใจและเห็นได้ชัดว่าจะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
ในอนาคตอันใกล้นี้คือ การที่เราใช้ปัญญาประดิษฐ์ หรือ Artificial intelligence ในการ
สร้างเคร่ืองไม้เคร่ืองมือ ระบบและกระบวนการทางานต่างๆ มากข้ึนเรื่อยๆ วันหน่ึง
หากส่ิงที่เกิดจากปัญญาประดิษฐ์เหล่าน้ีไปก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลอ่ืนข้ึนมา
ความรับผิดทางกฎหมายที่จะเกิดจากเหตุการณ์ดังกล่าวจะเป็นอย่างไร ใครจะเป็น
ผู้ต้องรับผิดต่อความเสียหายท่ีเกิดขึ้นบ้าง และมาตรฐานทางกฎหมายที่เราเคยใช้กันมา
อย่างยาวนานจะสามารถปรับใช้กับเหตุการณ์ดังกล่าวได้เพียงใด และมาตรฐาน
ทางกฎหมายทีค่ วรจะเปน็ ท่จี ะใชบ้ ังคบั กบั เหตุการณ์ทานองน้จี ะเปน็ อย่างไร

การนาเทคโนโลยีมาใช้กับส่ิงต่างๆ ในชีวิตประจาวันมีลักษณะที่แตกต่างกัน
ระดับความสลับซับซ้อนและ “ความฉลาด” ของเทคโนโลยีแต่ละชนิด แต่ละประเภท
ก็แตกต่างกันด้วย เทคโนโลยีหลายชนิดยังอาศัยการควบคุมของมนุษย์อยู่มาก ในกรณี
แบบนี้หากเกิดอันตรายจากการใช้งานข้ึนมา ความรับผิดที่จะต้องพิจารณาอาจจะต้อง
คานึงถึง “บทบาทของมนุษย์” ที่มีอยู่ในการใช้งานแต่ละลักษณะ เพราะอันตราย
ท่ีเกิดข้ึนน้ันอาจเป็นเพราะการขาดความระมัดระวังที่บุคคลซ่ึงเป็นผู้ใช้งานเทคโนโลยี
พงึ ต้องมีความภาวะ วิสัย และพฤตกิ ารณใ์ นเหตุการณท์ เ่ี กิดข้ึน กรณีแบบนกี้ ารพิจารณา
ถึงความรับผิดของบุคคลซ่ึงเ ป็นผู้ ใช้งา นคง เป็นไ ปตามหลั กกฎหมาย ในเร่ืองล ะ เ มิ ด
ตามปกติ หากปรากฏว่าบุคคลน้ันได้ใช้ความระมัดระวังที่พึงคาดหมายได้จากวิญญูชน
ทั่วไปในภาวะ วิสัย และพฤติการณ์เช่นนั้นแล้ว บุคคลน้ันย่อมไม่ได้กระทาการอันเป็น
การละเมิด ความรับผิดที่จะเกิดจากเหตุการณ์นั้นอาจจะต้องไปพิจารณาจากกฎหมาย
ว่าด้วยความรับผิดต่อความเสียหายอันเกิดจากสินค้าท่ีไม่ปลอดภัย (Product liability
law) ท่กี าหนดความรับผดิ เดด็ ขาด (strict liability) ให้ผู้ผลิต ผ้นู าเขา้ ผขู้ ายหรือผ้ใู ชช้ ือ่
ทางการคา้ ตอ้ งรบั ผดิ ชดใช้ค่าสนิ ไหมทดแทนภายใต้เง่อื นไขของกฎหมายดงั กล่าว

หากจาลองสถานการณ์ดังกล่าวมาใช้กับเทคโนโลยีที่ใช้ในรถยนต์ รถยนต์
บางยี่ห้อบางรุ่นอาจมีอุปกรณ์ตรวจจับและตรวจสอบสภาพแวดล้อมรอบๆ ตัวรถขณะที่
รถกาลังขับเคลื่อนไป หากรถกาลังเบี่ยงออกนอกเส้นทาง สมองกลในรถยนต์ก็จะบังคับ
ให้รถหันหัวกลับมาอยู่ในเสน้ ทาง หรือหากรถยนตค์ ันนน้ั ว่งิ เข้าไปใกลร้ ถคนั หนา้ มากเกนิ

58

จนอาจจะไม่ปลอดภัย สมองกลในรถก็จะส่ังการให้รถลดความเร็วลงเพื่อทาให้
เว้นระยะห่างจากรถคันหน้าในระยะที่ปลอดภัย กรณีแบบนี้จะเห็นได้ว่าแม้เทคโนโลยี
จะมีส่วนช่วยทาให้ปลอดภัยมากขึ้น แต่ “บทบาทของมนุษย์” ก็ยังมีอยู่มากในการ
ควบคุมรถยนต์คันดังกล่าว ผู้ขับขี่จึงเข้าข่ายท่ีจะเป็น “ผู้ครอบครองหรือควบคุมดูแล
ยานพาหนะอันเดินด้วยกาลังเครื่องจักรกล” ท่ีจะต้องรับผิดตามมาตรา 437 วรรคหน่ึง
แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์อยู่ การจะบอกว่าอุปกรณ์ตรวจจับและสมองกล
ไมท่ างานในขณะขบั ไปในระยะกระช้นั ชิดกบั รถคันหน้าจนทาให้เกิดอุบัตเิ หตุคงเป็นเร่ือง
ท่อี า้ งได้ยาก

แต่หากสถานการณเ์ ปลยี่ นไปจากกรณีข้างตน้ ทใี่ นปจั จุบันมีรถยนต์จานวนมากข้ึน
ท่ีสามารถขับเคล่ือนไปโดยเราไม่ต้องใช้มือแตะพวงมาลัย ผู้ขับขี่อาจจะทาเพียงการ
กาหนดจุดหมายปลายทางแล้วนั่งกอดอกอยู่ในรถเพ่ือรอไปถึงจุดหมาย ในระดับของ
เทคโนโลยีแบบนี้ สมองกลในรถจะเป็นตัวกาหนดแม้กระท่ังเส้นทางที่จะว่ิงไป ความเร็ว
ที่จะใช้ในแต่ละช่วง รวมถึงแม้กระทั่งว่าหากมีคนวิ่งตัดหน้ารถหรือรถคันอื่นห้ามล้อ
กะทันหันหรือว่ิงข้ามช่องทางเดินรถสวนเข้ามาจะทาอย่างไร เช่นหากคนว่ิงตัดหน้ารถ
ในระยะกระช้ันชิดในขณะท่ีรถว่ิงดว้ ยความเร็วหากหักรถหลบจะเกิดอนั ตรายแก่คนทนี่ ั่ง
ในรถจากการที่รถเสียหลัก พลิกคว่าหรือชนกับรถคันอ่ืนหรือไม่ หรือหากชนคนท่ี
ว่ิงตัดหน้ารถอย่างใดจะเป็นอันตรายน้อยกว่า สุดท้ายสมองกลในรถก็จะเลือกกาหนดวา่
ควรจะต้องทาอย่างไร หากเกิดกรณีเช่นนี้ขึ้นก็น่าคิดว่าคนที่น่ังในรถท่ีเป็นผู้กาหนด
จุดหมายปลายทางน้ันจะยงั ถอื ว่าเป็น “ผู้ครอบครองหรอื ควบคุมดูแลยานพาหนะอนั เดนิ ดว้ ย
กาลังเคร่ืองจักรกล” ที่จะต้องรับผิดตามมาตรา 437 วรรคหนึ่งแห่งประมวลกฎหมาย
แพ่งและพาณิชย์อยู่อีกหรือไม่ หรือใครควรจะเป็นผู้รับผิดในความเสียหายที่เ กิดข้ึน
ในกรณีเช่นนี้ หรือเราควรจะกาหนดกฎเกณฑ์เฉพาะเพ่ิมเติมสาหรับกรณีท่ีสมองกล
เปน็ ผ้ตู ดั สนิ ใจแทนเรา

59

บทความที่นามาเสนอในตอนนี้4 ได้นาปัญหาข้างต้นมากล่าวถึงไว้อย่างน่าสนใจ
แตเ่ พือ่ ความเหมาะสมจึงขอนาเฉพาะบางส่วนมานาเสนอไว้ในทน่ี ้ี ดังนี้
… to explore liability concerns where there is no possibility that a human
driver caused or contributed to the accident. So what follows is based
on the understanding that the person in the driver’s seat is disengaged
from any aspect of driving the car, and that the car is under the sole
control of the car itself. Simply taking human drivers out of the equation
should mean, in the long run, a considerable drop in accidents.
… เพ่ือสำรวจข้อกังวลเกี่ยวกับควำมรับผิดในกรณีท่ีเป็นไม่ได้ที่คนขับท่ีเป็นมนุษย์
ก่อให้เกิดหรือมีส่วนทำให้เกิดอุบัติเหตุขึ้น สิ่งท่ีตำมมำจึงต้ังอยู่บนพื้นฐำนควำมเข้ำใจ
ท่ีว่ำผู้ที่อยู่ในที่น่ังของคนขับไม่ได้ทำกำรใดๆ ท่ีเก่ียวกับกำรขับรถยนต์คันน้ัน และรถ
อยู่ภำยใต้กำรควบคุมของตัวรถนั้นเอง เพียงแต่กำรท่ีคนขับที่เป็นมนุษย์ไม่มี
ส่วนเกี่ยวข้องนำ่ จะหมำยถึงกำรลดจำนวนอุบัติเหตุได้อยำ่ งมำกในระยะยำว

4 David C. Vladeck, Machine without principles: Liability rules and artificial intelligence, 89 Wash. L. Rev. 117,
130.

60

But even in the best of circumstances, unexpected and improbable
events occur, things go wrong, and someone or something is injured.
Product liability law provides a framework for resolving claims by parties
injured when things go wrong. With a “product” like an autonomous car,
the law groups those possible failures into familiar categories: design
defects, manufacturing defects, information defects, and failures to
instruct on appropriate uses.

แต่แม้กระท่ังในสถำนกำรณ์ท่ีดีที่สุด เหตุกำรณ์ท่ีไม่ได้คำดหมำยและดูเหมือน
ไม่น่ำจะเป็นไปได้ก็เกิดขึ้นได้ บำงส่ิงผิดปกติและบำงคนหรือบำงสิ่งบำงอย่ำงได้รับ
อันตรำย กฎหมำยว่ำด้วยควำมรับผดิ ต่อควำมเสียหำยอนั เกิดจำกสนิ ค้ำที่ไมป่ ลอดภยั
ได้วำงกรอบหลักเกณฑ์ที่จะแก้ปัญหำเม่ือมีข้อเรียกร้องของคู่ควำมท่ีได้รับอันตรำย
จำกกำรท่ีบำงส่ิงผิดปกติ สำหรับ “สินค้ำ” อย่ำงเช่นรถยนต์ท่ีทำงำนได้ด้วยตัวเอง
กฎหมำยจัดควำมล้มเหลวที่อำจเกิดจำกกำรทำงำนเป็นประเภทต่ำงๆ ตำมท่ีคุ้นเคย
กล่ำวคือ ควำมชำรุดบกพร่องจำกกำรออกแบบ ข้อมูล และกำรให้คำแนะนำ
กำรใช้งำนที่เหมำะสม

61

Before examining these theories of liability, it is useful to pause to
consider whether the standard of care to be applied to driver-less cars
will be different than the standard applied to cars driven by humans.
There is every reason to think that the answer will be “yes,” and that
fact may bear on the analysis that follows.

ก่อนที่จะตรวจสอบทฤษฎีต่ำงๆ เกี่ยวกับควำมรับผิด กรณีจะเป็นประโยชน์
ที่จะหยุดพิจำรณำว่ำมำตรฐำนควำมระมัดระวังท่ีจะใช้กับรถท่ีปรำศจำกคนขับ
จะแตกต่ำงจำกมำตรฐำนท่ีใช้กับรถที่ขับข่ีโดยมนุษย์หรือไม่ มีเหตุผลมำกมำยท่ีจะ
ทำให้คิดได้ว่ำคำตอบน่ำจะเป็นคำวำ่ “ใช่” และข้อเทจ็ จริงดังกล่ำวนี้อำจจะข้ึนอยู่กบั
ผลกำรวเิ ครำะหท์ ่จี ะกล่ำวถึงต่อไป

ข้อความข้างต้นที่บอกว่า คนขับท่ีเป็นมนุษย์ก่อให้เกิด (caused) หรือมีส่วน
ทำให้เกิด (contributed) อุบัติเหตุขึ้น คาว่า “มีส่วน” ทาให้เกิดมาจากคาว่า
contribute ซึ่งมีความหมายถึงการที่มีผู้เก่ียวข้องหลายคน และแต่ละคนมีความ
เก่ียวพันกับเหตุการณ์ที่เกิดข้ึนโดยการกระทาของผู้เกี่ยวข้องแต่ละรายนั้นทาให้เกิด
เหตกุ ารณ์น้ันขนึ้ แม้วา่ จะไมไ่ ด้ตกลงทจี่ ะทาให้เกดิ เหตุการณน์ นั้ ร่วมกันก็ตาม

ในแง่ของกฎหมายละเมิดแล้ว มีหลักกฎหมายประการหนึ่งท่ีเรียกว่า
Contributory negligence ซ่ึงอาจส่ือความหมายได้ว่าเป็นความประมาทเลินเล่อท่ีมี
ส่วนก่อให้เกิดอันตรายหรือความเสียหายขึ้น เพียงแต่ความประมาทเลินเล่อดังกล่าวนน้ั
เป็นการกระทาของผู้เสียหายเองที่มีส่วนทาให้เกิดผลที่เป็นอันตรายหรือความเสียหาย
นั้นขึ้น หลักการดังกล่าวนี้ถือว่าเป็นข้อต่อสู้ หรือ defence ประเภทหน่ึงท่ีจาเลยหรือ
ผู้กระทาละเมิดสามารถยกข้ึนอ้างเพื่อทาให้ตนเองหลุดพ้นจากความรับผิดได้

62

หากข้อเท็จจรงิ จากการนาสบื สามารถพสิ ูจน์ให้เห็นได้ว่าผ้เู สยี หายมีส่วนประมาทที่ทาให้
เกิดอันตรายหรือความเสียหายน้ันข้ึน จาเลยหรือผู้กระทาละเมิดก็จะหลุดพ้นจาก
ความรบั ผดิ ทจี่ ะต้องชดใชค้ า่ สินไหมทดแทนไป

ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เราอาจจะคุ้นเคยกับหลักการในมาตรา
442 ที่ระบุว่า ถ้าความเสียหายเกิดขึ้นเพราะความผิดอย่างหนึ่งอย่างใดของ
ผู้ต้องเสียหายแล้วให้นามาตรา 223 มาใช้บังคับโดยอนุโลม ซึ่งตามมาตรา 223
การกาหนดค่าสินไหมทดแทนจะพิจารณาโดยอาศัยพฤติการณเ์ ป็นประมาณ โดยเฉพาะ
อย่างย่งิ จะดูว่าฝา่ ยใดเปน็ ผกู้ ่อให้เกดิ ความเสยี หายย่งิ หยอ่ นไปกว่ากันเพียงใด

หลักการตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณชิ ย์ดงั กล่าวนจ้ี ะเป็นหลักการอกี เรอื่ งหนึ่ง
ทแ่ี ตกต่างจากหลักการ Contributory negligence ที่กลา่ วถงึ ข้างต้น เพราะการทผ่ี ตู้ อ้ ง
เสียหายมีส่วนผิดไม่ได้ทาให้ผู้ทาละเมิดหลุดพ้นความรับผิดไป อย่างไรก็ตาม ในแง่ของ
หลักการเก่ียวกับความรับผิดทางแพ่งที่ใช้กันอยู่ในต่างประเทศมีอีกหลักการหนึ่ง
ท่ีเรียกว่า Comparative negligence ซึ่งจะเห็นได้ว่าหลักการน้ีเน้นไปท่ีการ compare
หรือกำรเปรียบเทียบ จึงอำจจะมีควำมใกล้เคียงกับหลักกำรตำมประมวลกฎหมำย
แพ่งและพำณชิ ย์มำกกว่ำ แตก่ ็ไมใ่ ชว่ ำ่ จะเหมอื นกันเสยี ทีเดยี ว

ข้อแตกต่างระหว่างหลักการ Contributory negligence และ Comparative
negligence คือ หากถือว่าเป็นหลักการของ Contributory negligence แล้ว
หากผู้กระทาละเมิดสามารถพิสูจน์ให้เห็นว่าผู้ต้องเสียหายมีส่วนผิดในการก่อให้เกิด
ความเสียหายน้ันขึ้น ผู้กระทาละเมิดจะหลุดพ้นความรับผิดน้ันไปทันที แต่หาก
เป็นหลักการของ Comparative negligence แล้ว แม้จะพิสูจน์ได้ว่าผู้ต้องเสียหาย
มีส่วนผิดก็ไม่ทาให้ผู้กระทาละเมิดหลุดพ้นความรับผิดไปทันที แต่จะต้องมีการ
“เปรียบเทียบ” หรือ compare ระหว่างความผิดในส่วนของผู้ต้องเสียหายกับความผิด
ของผู้กระทาละเมิดว่าแต่ละฝ่ายมสี ่วนก่อให้เกิดความเสยี หายมากน้อยเพยี งใด ผู้กระทา

63

ละเมิดจะยังคงต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเฉพาะเพียงเท่าสัดส่วนท่ีเป็นความผิด
ของฝ่ายตนเท่านนั้

ตัวอย่างเช่น หากผู้ต้องเสียหายมีส่วนผิดที่ทาให้เกิดความเสียหายขึ้นคิดเป็น
อัตราส่วนได้ร้อยละ 20 และเป็นความผดิ ของผู้ทาละเมิดคิดเป็นอตั ราส่วนได้ร้อยละ 80
หำกความเสียหายที่เกิดข้ึนคิดเป็นเงินได้ 1,000,000 บำท ผู้ทำละเมิดก็จะต้อง
รับผิดชดใช้เงินเพียง 800,000 บาท ตามอัตราส่วนความผิดของตนที่ก่อให้เกิด
ความเสียหายนั้นขน้ึ

อย่างไรก็ตาม รูปแบบของหลักการ Comparative negligence นี้ในสหรัฐอเมริกำ
ก็มีควำมแตกต่ำงกันในมลรัฐต่ำงๆ ด้วย เนื่องจากมีการปรับเปล่ียนแนวคิดไปตามที่
แตล่ ะมลรัฐเห็นวา่ เหมาะสม โดยบางรัฐอาจมขี ้อจากัดวา่ ผตู้ ้องเสยี หายจะไดร้ ับการชดใช้
ค่าสินไหมทดแทนต่อเม่ืออัตราส่วนความผิดของฝ่ายตนไม่เกินกว่าครึ่งหนึ่งหรือร้อยละ
50 หรือกล่าวอีกนัยหน่ึงคือความผิดของผู้ทาละเมิดต้องมีมากกว่าผู้ต้องเสียหายจึงจะ
ทาให้ผู้ต้องเสียหายนั้นมีสิทธิได้รับการชดใช้ แต่ในบางรูปแบบของหลักการนี้อาจจะ
ใชว้ ิธีการเปรยี บเทียบโดยไมม่ ขี อ้ จากัดดังกลา่ วก็ได้ เช่น แม้อตั ราสว่ นความผิดของผู้ต้อง
เสียหายจะคิดเป็นร้อยละ 60 และของผู้ทาละเมิดคิดเป็นร้อยละ 40 หากความเสียหาย
ท่ีเกิดขึ้นคดิ เปน็ เงนิ ได้ 1,000,000 บำท ผู้ทำละเมิดก็จะตอ้ งรับผดิ ชดใช้เพยี ง 400,000 บำท

สินค้าที่ใช้เทคโนโลยีที่มีสมองกลท่ีสามารถคิดและทางานได้ด้วยตัวเองนั้น
ถงึ อยา่ งไรก็ยังเป็น “สนิ คา้ ” (product) ด้วยชนิดหน่ึง ดังนั้น กฎหมายเรือ่ งหนึ่งท่ีเข้ามา
เกีย่ วขอ้ งดว้ ยอยา่ งหลกี เลย่ี งไม่ได้คือกฎหมายว่าดว้ ยความรบั ผิดตอ่ ความเสียหายอนั เกิด
จากสินค้าท่ีไม่ปลอดภัย หรือ Product liability law ความบกพร่องหรือ defects
ท่ีเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายท่ีจะมีผลให้ผู้ท่ีเกี่ยวข้องอาจเกิดความรับผิดในกฎหมาย
ของต่างประเทศและของประเทศไทยมีความคล้ายคลึงกันพอสมควร จากบทความน้ี
จะเห็นไดว้ ่าได้แบง่ ลกั ษณะของความบกพร่องเปน็ 3 ลกั ษณะคือ

64

1. Design defects หรืออาจจะเรียกว่าเป็นความบกพร่องท่ีเกิดจาก
การออกแบบสินค้านั้นท่ีทาให้คุณลักษณะบางประการของสินค้านั้นเป็นเหตุให้เกิด
อันตรายขน้ึ ได้แมว้ า่ สินคา้ จะได้ผลิตถกู ตอ้ งตามแบบท่ีกาหนดไว้ทกุ ประการแล้วกต็ าม

2. Manufacturing defects หรือความบกพร่องท่ีเกิดจากกระบวนการผลิต
สินค้าน้ัน ลักษณะสาคัญของความบกพร่องชนิดนี้คือหากสินค้านั้นผลติ ถูกต้องตามแบบ
ท่ีกาหนดจะไม่ทาให้เกิดอันตรายข้ึน แต่ด้วยเหตุท่ีเกิดข้อผิดพลาดในกระบวนการผลิต
ทาให้สินค้าน้ันอาจมีคุณลักษณะบางประการที่แตกต่างไปจากแบบที่ออกไว้จนเป็นเหตุ
ใหเ้ กดิ อันตรายขน้ึ

3. Information defects, and failures to instruct on appropriate uses
ความบกพร่องชนิดนี้บางครั้งอาจเรียกว่าเป็น Warning defect (ความบกพร่อง
ในคาเตือน) หรือ Defects in marketing (ความบกพร่องในการทาการตลาด) แต่กล่าว
โดยรวมแล้วเป็นความบกพร่องท่ีเกิดจากการไม่ได้กาหนดวิธีใช้ วิธีเก็บรักษา คาเตือน
หรือข้อมูลเก่ียวกับสินค้า หรือกาหนดไว้แต่ไม่ถูกต้องหรือไม่ชัดเจนตามสมควร ผลจาก
การที่ผู้บริโภคได้รับข้อมูลเก่ียวกับตัวสินค้าที่ไม่ถูกต้อง ไม่ครบถ้วนหรือไม่ชัดเจนนี้
เป็นเหตุให้ผู้บริโภคไม่ได้ใช้ความระมัดระวังอย่างท่ีควรจะเป็นในการใช้หรือเข้าไป
เก่ียวข้องกับตัวสินคา้ นัน้ จนเปน็ เหตใุ ห้เกิดอนั ตรายขน้ึ

หลักการต่างๆ เหล่านี้ย่อมมีผลต่อการพิจารณาความรับผิดที่เกิดจากสินค้าที่มี
ลักษณะของ “ปัญญาประดิษฐ์ (articificial intelligence)” แต่เน่ืองจากสินค้าลักษณะ
น้ีมีอะไรหลายอย่างท่ีแตกต่างจากสินค้าท่ีใช้มาแต่ดั้งเดิมพอสมควร จึงอาจทาให้
การพิจารณาถึงมาตรฐานการใช้ความระมัดระวังและความรับผิดที่อาจจะเกิดขึ้น
มีประเด็นที่ต้องคานึงถึงมากขึ้น ในส่วนต่างๆ เหล่าน้ีคงเป็นส่วนที่จะนามากล่าวถึง
ในตอนต่อไปวา่ ถา้ เช่นน้นั มีอะไรท่ีเราต้องคดิ ถงึ อกี บา้ ง

65

ความบกพร่องท่ีพบเห็นอยู่เสมอในบรรดาความบกพร่อง 3 ประเภทที่กล่าวถึง
ไปแล้วน้ันคือ ความบกพร่องจากการผลิต (manufacturing defect) เม่ือนาหลักการน้ี
มาใชก้ บั สนิ ค้าที่มคี วามสลบั ซับซ้อนอยแู่ ลว้ อย่างรถยนต์ แต่เปน็ รถยนตท์ ี่สามารถทางาน
ได้ด้วยตัวเอง โดยไม่ต้องให้มนุษย์อย่างเช่นเราๆ มาขับและควบคุมทิศทางหรือ
การทางานของรถก็มีข้อท่ีน่าคิดหลายประการ ในขณะเดียวกันปัญหาธรรมดาสามัญ
ที่เคยเกิดขึ้นกับรถยนต์ท่ีใช้มนุษย์ควบคุมก็ยังคงเกิดข้ึนเช่นกัน ตอนน้ีคงได้เวลามาดู
ขอ้ คิดในเรื่องนีก้ ันต่อว่าในบทความที่ตดั ทอนมานี้ไดก้ ลา่ วถงึ ไว้วา่ อย่างไรบ้าง

A product with a manufacturing defect is a product with an
unintended flaw; that is, the finished product does not conform to the
manufacturer’s own specifications or requirements.

สินค้ำท่ีบกพร่องจากการผลิตได้แก่สินค้ำท่ีมีข้อบกพรอ่ งที่คำดไมถ่ ึง กล่ำวคือ
สินคำ้ ท่ีผำ่ นกระบวนกำรผลิตไมเ่ ปน็ ไปตำมคุณลกั ษณะหรอื ขอ้ กำหนดของผผู้ ลติ นัน้

A plaintiff can prevail in a manufacturing defect case if she can
prove that the product does not conform to the manufacturer’s
specifications and that the defect played a role in causing the accident.

โจทก์สำมำรถชนะคดเี ก่ียวกับควำมชำรุดบกพร่องจำกกำรผลิตได้หำกสำมำรถ
พิสูจน์ได้ว่ำสินค้ำไม่ได้เป็นไปตามคุณลกั ษณะทีผ่ ผู้ ลติ กำหนดและควำมชำรดุ บกพรอ่ ง
นน้ั ทำให้เกิดอุบัตเิ หตุขึน้

For autonomous cars, there are certain to be instances in which
vital components of the system fail because of a manufacturing or
maintenance defect.

สำหรบั รถยนตท์ ่ที ำงำนไดเ้ อง อำจมีบำงกรณีทอี่ ุปกรณส์ ำคัญของระบบทำงำน
บกพรอ่ งเพรำะเหตทุ ่เี กดิ จำกควำมบกพรอ่ งในกำรผลิตหรือกำรบำรงุ รกั ษำ

66

For example, assume that one of the key components responsible
for keeping track of objects that might enter the path of the car
(for instance, a radar or laser sensor) failed on Mr. Reuther’s car prior
to the accident with Mrs. Arnold.

ตัวอย่ำงเช่นถ้ำเรำสมมติว่ำอุปกรณ์สำคัญชิ้นหนึ่งท่ีรับผิดชอบในกำรตรวจจับ
วัตถุที่อำจเข้ำมำอยู่ในทำงที่รถว่ิง (เช่น อุปกรณ์เรดำห์หรืออุปกรณ์ตรวจจับโดยใช้
ลำแสงเลเซอร์) ในรถยนต์ของนำยรูเธอร์ทำงำนผิดพลำดก่อนที่จะเกิดอุบัติเหตุกับ
นำงอำรโ์ นลด์

Assuming that the failing component can be identified, and
assuming that there is a link to the failed component and the accident,
liability can be established and properly allocated.

ถ้ำสมมติว่ำเรำสำมำรถระบุอุปกรณ์ที่ทำงำนผิดพลำดได้ และปรำกฏ
ควำมเชื่อมโยงระหว่ำงอุปกรณ์ที่ทำงำนผิดพลำดนั้นกับอุบัติเหตุท่ีเกิดขึ้น จะถือได้ว่ำ
เกดิ ความรับผิดขึ้นแลว้ และได้ระบุตวั ผู้ทต่ี อ้ งรบั ผดิ ได้อยำ่ งเหมำะสมแล้ว

Assuming that the failing component can be identified, and
assuming that there is a link to the failed component and the accident,
liability can be established and properly allocated.

ถ้ำสมมติว่ำเรำสำมำรถระบุอุปกรณ์ท่ีทำงำนผิดพลำดได้ และปรำกฏ
ควำมเช่ือมโยงระหว่ำงอุปกรณ์ที่ทำงำนผิดพลำดน้ันกับอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น จะถือได้ว่ำ
เกิดความรับผิดขน้ึ แลว้ และได้ระบุตัวผทู้ ี่ต้องรับผดิ ได้อยำ่ งเหมำะสมแลว้

67

If the component is analyzed and does not meet the
manufacturer’s specification, then the case is an easy one, and liability
may be appropriately meted out.

หำกวิเครำะห์อุปกรณ์แล้วและปรำกฏว่ำไม่ได้เป็นไปตำมคุณลักษณะที่ผู้ผลิต
กำหนด คดีทำนองนี้จะถือว่ำเป็นคดีที่ง่ำยและกำรพิจำรณำควำมรับผิดจะสำมำรถ
ทำไดอ้ ย่ำงเหมำะสม

ปัญหาท่ีบทความในตอนน้ียกมากล่าวถึงเป็นปัญหาท่ีเกิดขึ้นได้กับสินค้า
ที่ไม่จาเป็นต้องใช้ปัญญาประดิษฐ์ และเป็นปัญหาที่พบเห็นได้โดยท่ัวไป ทาให้
หลักกฎหมายและการวิเคราะห์หาผู้ท่ีต้องรับผิดต่อความเสียหายท่ีเกิดขึ้นไม่แตกต่าง
จากกรณสี นิ คา้ ตามปกตโิ ดยทว่ั ไป

ในส่วนของ “ความบกพรอ่ งจากการผลติ (manufacturing defect)” นกี้ ลา่ วได้งา่ ยๆ
คือ สินค้าทต่ี ้องการผลิตควรจะมีคณุ ลกั ษณะอะไรบา้ งท่ีจะทาให้สนิ ค้าน้นั สามารถทางาน
ได้เป็นปกติและไม่ก่อให้เกิดความเสียหายข้ึนมา แต่ปรากฏว่าสินค้าท่ีเป็นสาเหตุ
ของอุบัติเหตุอันเป็นท่ีมาของการฟ้องร้องเป็นคดีละเมิดน้ีมีคุณลักษณะบางประการ
ที่บกพร่องที่เกิดขึ้นในกระบวนการผลิตสินค้าช้ินน้ันจนมีผ ลทาให้เม่ือสินค้าออกจาก
โรงงานจนถูกขายไปยังผู้บริโภคแล้ว ข้อบกพร่องที่เกิดขึ้นในระหว่างกระบวนการผลิต
ดังกล่าวกลายไปเปน็ สาเหตุทท่ี าใหเ้ กดิ อุบัติและก่อให้เกิดความเสียหายขึน้ มา

ในส่วนน้ีนี่เองท่ีทาให้ข้อความข้างต้นบอกว่าสินค้าไม่ได้ conform ไปกับส่ิงท่ี
เป็นคุณลักษณะหรือ specification คาว่า conform ที่กล่าวถึงน้ีหากสังเกต
องค์ประกอบของคาเราจะพบคาว่า form หรือรูปแบบ ส่วนคาว่า con- นั้นเป็นคาท่ี
เม่ือใช้นาหน้าคาอื่นแล้วจะทาให้มีความหมายส่ือไปในทางท่ีไปในแนวทางเดียวกันหรือ
ไปด้วยกันได้ ดังน้ัน คาว่า conform ในท่ีน้ีจึงมีความหมายที่สื่อถึงการทาให้เป็นไปตาม
คุณลักษณะทไ่ี ดก้ าหนดไวน้ ัน่ เอง

68

ความชารุดบกพร่องท่ีบทความนี้นามากล่าวถึงจะเป็นกรณีที่แม้จะเป็นรถยนต์
ที่สามารถทางานได้ด้วยตัวเอง หรือที่เรียกว่าเป็น autonomous cars นี้ แม้ระบบ
เทคโนโลยีจะมีความสลับซับซ้อนข้ันสูงจนถึงขนาดที่รถสามารถแล่นไปยังจุดหมายที่
กาหนดไว้โดยในระหว่างรถวิ่งไป ผู้ที่อยู่ในรถไม่จาเป็นต้องทาหน้าที่ควบคุมหรือบังคับ
ทิศทางของรถเลยก็ตาม แต่การทางานของรถยนต์ยังต้องอาศัยการทางานของอุปกรณ์
ต่างๆ ท่ีอยู่ในรถด้วย อุปกรณ์ต่างๆ จึงต้องทาหน้าท่ขี องแต่ละชั้นอยา่ งที่ควรจะเป็นด้วย
จึงจะทาให้รถแล่นไปด้วยความปลอดภัย แต่หากอุปกรณ์ชิ้นใดช้ินหนึ่งมีความชารุด
บกพรอ่ งแลว้ ย่อมจะสง่ ผลตอ่ การทางานของตัวรถดว้ ย

ตามตัวอย่างน้กี ล่าวถึงอปุ กรณ์ตรวจจับวัตถุหรือคนที่อาจจะเข้าไปอยใู่ นเสน้ ทางที่
รถกาลังแล่นไป เช่น คนที่กาลังข้ามถนน หากอุปกรณ์ตรวจจับนี้ไม่ได้ทางานอย่างที่
ควรจะเป็นย่อมจะทาให้ระบบการทางานของรถไม่สามารถตรวจจับวัตถุหรือคนที่เข้าไป
อยู่ในเส้นทางได้ จึงอาจทาให้เกิดอุบัติเหตุขน้ึ ความชารุดบกพร่องลกั ษณะนีเ้ รายงั ถือว่า
เป็นความชารดุ บกพรอ่ งจากการผลติ หรือ manufacturing defects อยู่ เพราะสว่ นประกอบ
ท่ีอยู่ภายในรถไม่ได้เป็นไปตามคุณลักษณะหรือ specifications ท่ีควรจะเป็นตามท่ี
ผู้ผลิตได้กาหนดไว้ ซ่ึงตามคุณลักษณะที่กาหนดไว้อุปกรณ์เหล่าน้ีควรจะสามารถ
ตรวจจบั วตั ถหุ รอื คนท่ผี า่ นเขา้ มาได้

แม้ระบบสมองกลของรถยนต์จะมีความอัจฉริยะถึงขนาดเป็น Artificial
intelligence เพียงใดก็ตาม แต่สุดท้ายก็ต้องอาศัยกลไกต่างๆ เพื่อให้ระบบทางานได้
ไม่ต่างอะไรจากการที่มนุษย์เราขับรถด้วยตนเอง แม้คนขับจะมีความสามารถขนาดใด
ก็ตาม อาจจะมีความฉลาดล้าลึกหรือฉลาดเป็นกรด แต่ถ้าเหยียบห้ามล้อแล้วไม่ทางาน
เพราะอุปกรณ์ห้ามล้อขัดข้องจากการผลิตในโรงงาน ความฉลาดของคนขับก็ไม่สามารถ
ชว่ ยอะไรไดเ้ ช่นกนั

คาทนี่ า่ สนใจคาหน่ึงในที่นี้คือคาว่า unintended flaw หรอื ทีเ่ ราแทนความหมาย
ว่า “ข้อบกพร่องท่ีคาดไม่ถึง” คาว่า flaw มีความหมายถึงข้อบกพร่องที่อาจจะเป็น
ข้อบกพร่องในวัตถุส่ิงของก็ได้ หรืออาจจะเป็นข้อบกพร่องในตัวเราก็ได้เช่นกัน แต่สรุป

69

โดยรวมคือเป็นอะไรท่ีไม่ค่อยดีนัก เป็นอะไรเราไม่ค่อยต้องการจะให้มีอยู่หรือเกิดข้ึน
เพราะเป็นเรื่องท่ีทาใหเ้ กิดความเสียหายได้

แต่ที่บอกว่าน่าสนใจเป็นเพราะคาว่า unintended ข้างต้น เพราะเม่ือเราบอกว่า
เป็นข้อบกพร่องท่ีคาดไม่ถึงแล้วทาให้เกิดคาถามขึ้นได้ว่าแล้วจะมีข้อบกพร่องที่คาดถึง
หรือมองเห็นว่าจะเกิดขึ้นด้วยหรือ ลักษณะประการน้ีถือว่าเป็นลักษณะประการสาคัญ
ที่ทาให้ความบกพร่องจากการผลิตแตกต่างจากความบกพร่องอื่น หากเปรียบเทียบกับ
การผลิตยารักษาโรค ยาส่วนใหญ่แม้จะสามารถรักษาโรคตามท่ีต้องการได้ แต่มักมี
“ผลข้างเคียง” ด้วยเช่นกัน ผลข้างเคียงหรือ side effects ท่ีว่านี้เป็นส่ิงที่ผู้ผลิตยา
อาจจะรู้หรือทราบดีอยู่แล้วต้ังแต่ขั้นการทดลอง แต่ไม่สามารถกาจัดให้หมดสิ้นไปได้
เพียงแต่เม่ือเทียบผลดีของการรักษาแล้วมีมากกว่าผลเสียจากอาการข้างเคียงจึ งทาให้
ยาชนิดน้ันสามารถวางจาหน่ายได้ แต่ข้อบกพร่องเช่นนี้เรียกได้ว่าเป็น intended flaw
หรือข้อบกพร่องที่คาดได้อยู่แล้ว หากเป็นข้อบกพร่องที่คาดได้อยู่แล้วจากการใช้งาน
สนิ คา้ ย่อมไม่ถอื ว่าเป็น manufacturing defects หรอื ขอ้ บกพร่องจากการผลติ

หากจะทาความเข้าใจแนวคิดน้ีโดยเปรียบเทียบกับรถยนต์เพราะเรากาลัง
ยกตัวอย่างเร่ืองรถยนต์อยู่ รถยนต์ทุกคันเม่ือเหยียบห้ามล้อจะไม่สามารถหยุดได้ทันที
รถยนต์ที่แล่นมาด้วยความเร็วจาเป็นต้องมีระยะทางพอสมควรจึงจะทาให้รถยนต์
สามารถหยุดได้สนิท ดังนั้น หากต้องการจะห้ามล้อเพื่อไม่ให้เกิดอุบัติเหตุ คนขับจาเป็น
ต้องห้ามล้อก่อนถึงจุดที่ต้องการพอสมควร การที่เม่ือทาการห้ามล้อแล้วไม่สามารถหยุด
รถได้ทันทีน้ีเราอาจจะบอกได้ว่าเป็นผลที่ intended หรือคาดเห็นได้ ทาให้ลักษณะ
ประการนไี้ มถ่ ือวา่ เป็นข้อบกพร่องจากการผลิต

ในคดีที่มีความสลบั ซับซ้อนของเทคโนโลยเี ช่นนี้ ปัญหาท่ีเกิดข้ึนในคดีความทวั่ ไป
จะยิ่งเพ่ิมความซับซ้อนมากขึ้นโดยเฉพาะอย่างย่ิงในเร่ืองของการพิสูจน์เหมือนกับที่
ป ร ะ โ ย ค ข้ า ง ต้ น บ อ ก ว่ า “ Assuming that the failing component can be
identified, and assuming that there is a link to the failed component and
the accident ...” ซึ่งเราให้ความหมายว่าสมมติว่าเราสามารถระบุช้ินส่วนอุปกรณ์ที่
ทางานบกพร่องได้ว่าเป็นช้ินส่วนใดและสมมติต่อไปว่าเราสามารถแสดงให้เห็น

70

ความเช่ือมโยงกันระหว่างความชารุดบกพร่องกับอุบัติเหตุหรือความเสียหายท่ีเกิดขึ้น
เพราะในท่ีสุดแล้วเราก็เลี่ยงไม่พ้นที่จะต้องพิสูจน์ให้เห็นถึงข้อบกพร่องท่ีเกิดขึ้นว่าเป็น
ข้อบกพร่องในเร่ืองใดส่วนใด เม่ือเทคโนโลยีมีความสลับซับซ้อนมากข้ึน การพิสูจน์ถึง
ชน้ิ ส่วนหรืออุปกรณ์ทีบ่ กพร่องยอ่ มจะมีความสลับซบั ซ้อนตามไปด้วย

คาว่า assume ที่กล่าวถึงไปข้างต้นมีความหมายได้หลายลักษณะ แต่ใน
ความหมายในท่ีนี้เป็นการที่เราตั้งสมมติฐานว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไรเพ่ือวัตถุประสงค์
ของการวิเคราะห์และให้เหตุผลต่อไป อย่างเช่นในข้อความข้างต้น หากเรา
ไม่ตั้งสมมติฐานว่าสามารถระบุอปุ กรณ์หรอื ช้ินสว่ นท่ีบกพรอ่ งได้เสียแลว้ เราก็ไม่สามารถ
ท่ีจะวิเคราะห์ต่อไปถึงความรับผิดที่จะเกิดข้ึนเพราะเม่ือไม่รู้ว่าอุบัติเหตุเกิดจากอุปกรณ์
หรือชิ้นส่วนใดแล้วก็ย่อมไม่สามารถพิสูจน์ต่อไปได้เช่นกันว่าสินค้าน้ันเป็นสินค้าที่
ไม่ปลอดภยั

หากรถยนต์คันท่ีเกิดอุบัติเหตุเป็นรถที่สามารถควบคุมการทางานได้ด้วยตนเอง
เช่น เมื่อเราก้าวเข้าไปในรถที่มาเทียบริมทางเท้าตามแอปที่เรากดเรียกจาก
ในโทรศัพท์เคล่ือนท่ี รถก็จะพาเราไปยังจุดหมายท่ีเราต้องการจากข้อมูลจุดหมาย
ปลายทางท่ีเราป้อนเข้าไปในโทรศัพท์เคลื่อนที่ โดยรถคันดังกล่าวเป็นรถของบริษัท
ท่ีให้บริการทางด้านน้ี ส่วนการท่ีรถจะไปเส้นทางใดน้ันระบบภายในรถจะเลือกเส้นทาง
เองจากการคานวณในแผนท่ีและการจราจรว่าเส้นทางใดท่ีจะทาให้ไปถึงจุดหมายได้
เร็วที่สุดโดยไม่ต้องเผชิญกับการจราจรท่ีติดขัดจนเกินไป กรณีแบบน้ีเราจะเห็นได้ว่า
ผทู้ ีเ่ ขา้ ไปในรถไมไ่ ด้ควบคมุ หรอื บังคับรถยนต์คนั ดังกลา่ วแต่อยา่ งใด การเกิดอบุ ัตเิ หตุข้ึน
คงจะไม่สามารถบอกได้ว่าเกิดจากความจงใจหรือประมาทเลินเล่อของบุคคลนั้น
และคงยากท่จี ะบอกวา่ บุคคลนั้นเป็นผู้ควบคุมดูแลรถยนต์คันนัน้ เพราะระบบลักษณะน้ี
บริษัทที่เป็นเจ้าของรถย่อมสามารถส่งคาสั่งกาหนดให้รถทางานในลักษณะอย่างใดก็ได้
บุคคลท่ีน่ังในรถจึงไม่สามารถกาหนดการทางานของรถได้มากไปกว่าการระบุจุดหมาย
ปลายทาง

หากเรามองในเชิงข้อพิจารณาทางนโยบายกฎหมาย การให้ผู้ที่น่ังไปในรถ
ประเภทน้ตี ้องรบั ผดิ ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนกย็ ากเชน่ กันทจ่ี ะบอกไดว้ ่าบคุ คลดังกล่าวได้

71

กระทาการใดท่ีตนมีส่วนทาให้เกิดความเสียหายข้ึน เพราะลาพังแต่การข้ึนไปน่ั ง
ยังไม่อาจถือได้ว่าเป็นการกระทาที่มีส่วนก่อให้เกิดความเสียหายข้ึน ท่ีสาคัญคือการให้
บุคคลดังกล่าวต้องรับผิดก็ไม่มีผลต่อการป้องกันหรือป้องปรามไม่ให้เกิดอุบัติเหตุ
อย่างเดียวกันอีกในอนาคต เพราะเม่ือบุคคลดังกล่าวไม่สามารถไปเปล่ียนแปลงระบบ
การทางานของรถยนต์และไม่สามารถควบคุมดูแลรถได้ในขณะท่ีตนเองน่ังอยู่ในรถ
เม่ือเกิดเหตุการณ์ที่คล้ายคลึงกันอีกบุคคลนั้นก็ไม่สามารถบาบัดปัดป้องอันตราย
ที่จะเกิดขึน้ ไดอ้ ยู่เชน่ เดมิ

ในการพิสูจน์ในกรณีดังกล่าวนี้ ถ้าเราสามารถแสดงให้เห็นได้ว่าคนเดินข้ามถนน
ในระยะท่ีห่างพอสมควรที่รถควรจะหยุดได้ การท่ีรถไม่ได้หยุดอย่างท่ีควรจะเป็น
ก็อาจเป็นข้อบ่งชี้ได้เช่นกันว่าน่าจะมีข้อบกพร่องเกิดข้ึนในการทางานของตัวรถน้ัน
ส่วนข้อบกพร่องจะมีอยู่จริงหรือไม่ หรือเป็นส่วนใดและมีความสัมพันธ์กับอุบัติเหตุหรือ
ความเสียหายที่เกิดข้ึนหรือไม่ก็เป็นเร่ืองท่ีผู้ประกอบธุรกิจท่ีเป็นบริษัทเจ้าของรถต้องไป
นาสืบหักล้างอีกช้ันหนึ่ง เพราะอาจถือได้ว่าเป็นข้อเท็จจริงที่อยู่ในความรู้เห็นของ
ผู้ประกอบธุรกิจโดยเฉพาะ ผู้บริโภคหรือผู้ที่ได้รับความเสียหายจากอุบัติเหตุย่อมไม่อยู่
ในวิสยั ทีจ่ ะรู้ได้ถึงกลไกขัน้ ตอนการทางานภายในของรถคนั นัน้

กรณีท่ีขอนามาใช้เพ่ือศึกษาและทาความเข้าใจในท่ีนี้ขอสมมติว่านายจันทร์ได้ใช้
รถยนต์ที่มีระบบคอมพิวเตอร์ท่ีทาให้สามารถควบคุมการทางานของตนเองได้ ขณะที่
รถยนต์ท่ีนายจันทร์น่ังอยกู่ าลังจะเล้ยี วขวาบริเวณทางแยกแห่งหน่ึง นายอังคารกาลังจะ
ข้ามถนนอยู่ตรงบริเวณทางข้ามใกล้ทางแยกแห่งน้ัน แม้ว่าจะมีคนรอข้ามทางแยก
อยูห่ ลายคน แต่คนอื่นก็ไมม่ ีใครตดั สินใจเดินข้ามทางแยก ดว้ ยความรบี รอ้ นทจ่ี ะไปให้ทัน
ตามนัดนายอังคารได้ตัดสินใจเดินข้ามถนนออกมาคนเดียว ในช่วงจังหวะท่ีนายอังคาร
ก้าวเข้าไปในบริเวณถนน รถยนตข์ องนายจันทรก์ าลงั เลี้ยวมาพอดี

กรณีตามตัวอย่างน้ี รถยนต์ของนายจันทร์ที่ใช้ระบบควบคุมอัตโนมัติมีทางเลือก
ที่ใส่ไว้ในระบบ 2 ทาง5 ทางแรกคือการหักรถหลบนายอังคารท่ีกาลังข้ามถนนอย่าง

5 David C. Vladeck, Machine without principles: Liability rules and artificial intelligence, 89 Wash. L. Rev. 117,
144.

72

กระทนั หนั ซงึ่ จะทาให้รถยนต์ไมช่ นนายอังคาร แตร่ ถจะไปชนกาแพงซึง่ อยใู่ กลบ้ ริเวณนนั้
อันจะมีผลทาให้เกิดอันตรายแก่นายจันทร์ที่อยู่ในรถได้ ทางท่ีสองคือการห้ามล้อ
ด้วยความแรงเพื่อพยายามทาให้รถหยุด แต่ด้วยระยะที่กระชั้นชิดระหว่างช่วงเวลา
ที่อุปกรณ์ตรวจจับความเคลื่อนไหวในรถยนต์ตรวจพบนายอังคารท่ีข้ามถนน
อย่างกะทันหันในระยะกระช้ันชิดอาจทาให้ไม่สามารถหยุดรถได้ทันก่อนถึงตัว
นายองั คารและอาจทาใหร้ ถยนต์ท่วี ิ่งตามหลังมาชนท้ายรถยนตข์ องนายจันทรด์ ว้ ย6

ในกรณีที่เป็นอุปกรณ์ที่เข้าลักษณะ “ปัญญาประดิษฐ์ (artificial intelligence)”
การทางานอาจไมเ่ พียงแตท่ าไปตามโปรแกรมทก่ี าหนดไว้ตายตวั เท่านัน้ แตร่ ะบบยังอาจ
เรียนรู้จากข้อมูลการทางานท่ีผ่านมาที่เก็บรวบรวมไว้ไมต่ ่างจากการใช้ระบบข้อมูลแบบ
Big data หรือระบบข้อมูลขนาดใหญ่ ท่ีเก็บรวบรวมข้อมูลมาประมวลผลและสร้างหรือ
พัฒนาการทางานโดยตัวระบบเองจากข้อมลู ทีม่ อี ยู่ กรณลี กั ษณะนีร้ ะบบปัญญาประดิษฐ์
อาจกาหนดแนวทางตอบสนองต่อสถานการณ์ท่ีเกิดข้ึนเพิ่มเติมจากแนวทางท่ีโปรแกรม
กาหนดไว้เดิมก็ได้ กรณีนี้รถยนต์ของนายจันทร์อาจใช้ความเป็นปัญญาประดิษฐ์
สร้างแนวทางตอบสนองเพ่ิมเติมขึ้นมาด้วยการใช้ระบบห้ามล้อแต่ไม่ให้มีความแรงมาก
เหมอื นกรณที สี่ องเพือ่ ลดความเรว็ ให้น้อยลงและสามารถหลบพ้นกาแพงทีอ่ ยู่ใกล้บริเวณ
ท่ีเกิดเหตุได้และยังอาจพ้นจากการถูกรถยนต์ท่ีขับตามมาชนท้าย ทาให้ลดโอกาสที่
คนท่ีอยู่ในรถซ่ึงก็คือนายจันทร์จะได้รับอันตราย แต่ด้วยความที่ใช้ระบบห้ามล้อแบบ
ไม่แรงมากทาให้รถยนต์มีโอกาสสูงท่ีจะชนนายอังคารท่ีกาลังข้ามถนนและทาให้
นายอังคารได้รับบาดเจ็บได้ กรณีเช่นนี้เมื่อนายอังคารได้รับบาดเจ็บย่อมมีปัญหา
เร่ืองความรับผดิ ทเ่ี กดิ ขน้ึ ว่าใครจะเป็นผแู้ บกรับภาระค่าสนิ ไหมทดแทนทเ่ี กิดขึ้น

แนวทางการพิจารณาความรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนอันเกิดจากสินค้า
ในท้องตลาดมีสองแนวทางหลักๆ แนวทางแรกคือแนวทางท่ีเรียกว่า “ความคาดหวัง
ข อ ง ผู้ บ ริ โ ภ ค ห รื อ Consumer expectation” แ ล ะ แ น ว ท า ง ที่ ส อ ง เ รี ย กว่ า
“การวเิ คราะหค์ วามเส่ยี งและอรรถประโยชน์ หรือ Risk-utility analysis”

6 Id.

73

แนวทางแรกที่เรียกว่า “ความคาดหวังของผู้บริโภค” หรือ “Consumer
expectation” นั้นอาจกล่าวถึงโดยย่อในท่ีน้ีได้ว่าผู้ผลิตสินค้าจะต้องรับผิดในอันตราย
ท่ีเกิดจากสินค้าของตนหากปรากฏว่าสินค้าน้ันมีลักษณะที่เป็น in a defective
condition unreasonably dangerous to consumers ซ่ึงมีความหมายทานองท่ีว่า
“อยู่ในสภาวะทชี่ ารดุ บกพร่องอนั ทาให้เป็นอนั ตรายเกินสมควรแก่ผู้บริโภค” กรณีท่ีเปน็
“สภาวะที่ชารุดบกพร่อง” หรือ defective condition น้ีได้กล่าวถึงไปแล้วในตอน
ก่อนหน้าน้ีถึงลักษณะความชารุดบกพร่องประเภทต่างๆ ไม่ว่าจะเกิดจากการผลิต
การออกแบบหรอื คาเตือนหรอื ข้อมลู ทใ่ี หแ้ กผ่ ้บู รโิ ภค

ส่วนท่ีเป็นปัญหาอีกส่วนหน่ึงคือลักษณะที่เป็น “อันตรายเกินสมควร”
หรือ unreasonably dangerous เพราะคาว่า unreasonably ในที่น้ีไม่ได้มีมาตรวัด
ที่ชัดเจนและตายตัว หากแต่การพิจารณาความเกินสมควรต้องคานึงจากความคิดของ
“วิญญูชน” หรือ reasonable person แตร่ ะดบั ใดที่เป็นอันตรายที่อยูใ่ นความคาดหมาย
ของวญิ ญูชนกอ็ าจผันแปรได้ตลอดเวลา

74

หากนาแนวทางน้ีมาใช้กับกรณีรถยนต์ไร้คนขับที่เป็นกรณีศึกษาจะเห็นได้ว่า
ความจริงกรณีน้รี ถยนต์ไม่ได้มีความชารุดบกพร่องในเรื่องเครื่องยนต์กลไกใดๆ ที่จะเป็น
manufacturing defects หรือความบกพร่องที่เกิดจากกระบวนการผลิต การออกแบบ
ในส่วนของตัวรถก็เป็นไปตามปกติไม่มีลักษณะที่จะเป็น design defects หรือ
ความบกพร่องท่ีเกิดจากการออกแบบ ปัญหาจึงอาจมีเพียงการออกแบบส่วนท่ีเกี่ยวกับ
ระบบควบคุม เพียงแต่นอกเหนือจากการตัดสินใจกาหนดแนวทางตอบสนองต่อ
สถานการณ์ท่ีเกิดข้ึนระบบของรถได้นาข้อมูลท่ีเคยเกิดข้ึนไปประมวลผลและกาหนด

75

แนวทางตอบสนองเพ่ิมเติมใหม่จากท่ีผู้ผลิตกาหนดไว้เดิมในโปรแกรม จึงทาให้กล่าวได้
ยากว่าเป็นการออกแบบที่บกพร่องของผู้ผลิต เนื่องจากระบบของรถยนต์อาจประเมิน
จากข้อมูลท่ีมีอยู่แล้วเห็นว่าแนวทางใหม่น้ีน่าจะทาให้เกิดอันตรายน้อยกว่าเพราะทาให้
คนในรถไม่ได้รับอันตรายแม้จะทาให้คนข้ามถนนได้รับบาดเจ็บได้ กรณีนี้ยิ่งไม่มีลักษณะ
ที่เป็น warning defects หรอื ความบกพร่องจากคาเตอื นที่ไมเ่ หมาะสม ทาให้ไมส่ ามารถ
บอกได้ว่ารถยนต์คันน้ีเป็นสินค้าท่ีไม่ปลอดภัย ในทางตรงกันข้าม องค์ประกอบต่างๆ
อาจจะทาให้เห็นว่ารถยนต์มีความปลอดภัยมากกว่ารถยนต์ปกติด้วยซ้าไป เพราะระบบ
ตรวจจับต่างๆ ไม่เคยพล้ังเผลอหรือหลับในเหมือนใช้คนขับ ทาให้อาจกล่าวได้ว่าไม่ได้
มีลักษณะของการที่เปน็ “อันตรายเกินสมควร” หรอื unreasonably dangerous

ส่วนแนวทางท่ีสองเรียกว่า “การวิเคราะห์ความเส่ียงและอรรถประโยชน์ หรือ
Risk-utility analysis” นั้นอาจกล่าวได้ว่าเป็นการพิจารณาจาก “ความเสี่ยง” หรือ
Risk ท่ีอาจจะเกิดอันตรายจากการใช้สินค้าชนิดน้ันโดยเปรียบเทียบกับ
“อรรถประโยชน์” หรือ Utility ที่ผู้ใช้จะได้รับจากสินค้าชนิดเดียวกันนั้นว่าหาก
เปล่ียนแปลงลักษณะบางประการของสินค้าที่เป็นเหตุทาให้เกิดอันตรายข้ึนได้แล้วจะ
ทาให้ความเส่ียงดังกล่าวมากขึ้นหรือลดน้อยลง แต่การลดอนั ตรายดังกลา่ วต้องพจิ ารณา
วิเคราะห์เปรียบเทียบเชิงปริมาณ (quantitative) กับภาระต้นทุนท่ีจะเกิดข้ึนจาก
การเปลี่ยนแปลงลกั ษณะดังกลา่ วของสินค้าด้วย เพราะแม้การเปลี่ยนแปลงบางประการ
อาจทาให้สินค้ามีความปลอดภัยสูงข้ึน แต่ส่วนต่างของความปลอดภัยท่ีเพ่ิมสูงขึ้น
(incremental benefits) เมอื่ คิดเปน็ ปรมิ าณแลว้ มีจานวนไม่มากแตก่ ลบั จะทาใหต้ น้ ทุน
การผลิตสินค้าชนิดน้ันพุ่งสูงขึ้น (incremental costs) เกินสัดส่วนของความปลอดภยั ท่ี
จะเพ่มิ ขน้ึ กรณีลักษณะนกี้ อ็ าจถอื วา่ สนิ ค้านนั้ ไม่ถือวา่ เป็นสินค้าที่ไมป่ ลอดภัยและผผู้ ลติ
สินค้าอาจไม่ต้องรับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้นก็ได้ เพราะอาจถือว่าการผลิตสินค้านั้น
ทาให้เกิดความปลอดภัยตามสมควรแล้วเม่ือคานึงถึงความเสี่ยงที่จะเกิดอันตรายและ
ภาระตน้ ทนุ ท่จี ะเกิดจากการเปล่ียนแปลงลกั ษณะของสินค้าน้ัน

ในกรณีศึกษาของเรา อุบัติเหตุที่เกิดข้ึนเป็นผลจากการที่ระบบของรถยนต์คันที่
นายจันทร์ขับมาประมวลเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วกาหนดแนวทางตอบสนองใหม่จาก

76

“ประสบการณ์” ท่ีส่ังสมมาในระบบว่าแนวทางนั้นจะทาให้เกิดอันตรายโดยรวม
(เมื่อคานงึ ถงึ อันตรายต่อนายจันทรท์ อี่ ยใู่ นรถและอนั ตรายต่อนายอังคารทีก่ าลงั ข้ามถนน
รวมถึงอันตรายต่อรถคันที่ขับตามมาและคนอื่นที่อยู่ในบริเวณนั้น) น้อยกว่าแนวทาง
ตอบสนองที่กาหนดไว้เดิม ผลจึงเท่ากับว่าระบบของรถยนต์ได้ประเมิน “ความเสี่ยง
(Risk)” กับ “อรรถประโยชน์ (utility)” ในเชิงปริมาณสาหรับกรณีน้ีแล้วได้ผลสรุปว่า
ความเส่ียงและอันตรายจากแนวทางดังกล่าวมีน้อยกว่าแนวทางอ่ืนและอรรถประโยชน์
หรือความปลอดภัยที่จะเกิดแก่ทุกฝ่ายมีมากกว่าแนวทางอ่ืนๆ ดังน้ัน จึงถือได้ว่ารถยนต์
คันนไี้ ม่ถอื วา่ เป็นสินค้าทไ่ี มป่ ลอดภยั ตามแนวทางน้ี

หากพิจารณาตามพระราชบัญญัติความรับผดิ ต่อความเสียหายทเี่ กิดขึ้นจากสนิ คา้
ที่ไม่ปลอดภัย พ.ศ.2551 สินค้าที่ไม่ปลอดภัยหมายถึง “สินค้าที่ก่อหรืออาจก่อให้เกิด
ความเสียหายขึ้นได้ ไม่ว่าจะเป็นเพราะเหตุจากความบกพร่องในการผลิตหรือ
การออกแบบ หรือไม่ได้กาหนดวิธีใช้ วิธีเก็บรักษา คาเตือน หรือข้อมูลเกี่ยวกับสินค้า
หรือกาหนดไว้แต่ไม่ถูกต้องหรือไม่ชัดเจนตามสมควร” ประเด็นท่ีจะเกิดข้ึนก็จะ
คล้ายคลึงกับที่ได้กล่าวถึงแล้วว่าการพิจารณาถึงความรับผิดของผู้ประกอบการก็จาเป็น
จะต้องพิจารณาประกอบว่าความเสียหายท่ีเกิดข้ึนนั้นเป็นเพราะ (1) ความบกพร่อง
ในการผลิต (2) ความบกพร่องในการออกแบบ หรือ (3) ความบกพร่องท่ีไม่ได้กาหนด
วิธีใช้ เก็บรักษา คาเตือนหรือข้อมูลให้ถูกต้องชัดเจนตามสมควร ทาให้เมื่อนาไปปรับใช้
กับรถยนต์ไร้คนขับท่ีมีระบบการทางานที่ใช้ปัญญาประดิษฐ์ดังตัวอยา่ งทไ่ี ด้กล่าวข้างตน้
จะทาให้เกิดข้อท่ีต้องพิจารณาว่ากรณีเข้าตามเง่ือนไขและหลักเกณฑ์ที่ตามที่กฎหมาย
กาหนดหรือไม่ เพราะอุบัติเหตุไม่ได้เกิดจากการที่รถยนต์มีอุปกรณ์ที่ทางานบกพร่อง
ไม่ไดเ้ กยี่ วกับการกาหนดวิธีใช้หรือคาเตอื นไมเ่ หมาะสม

หากจะมีปัญหาก็อาจจะเป็นกรณีความบกพร่องจากการออกแบบ (design
defect) แต่ปัญหาเร่ืองการออกแบบในที่น้ีอาจจะแตกต่างจากกรณีปกติ เพราะกรณีท่ี
เกิดขึน้ เกิดจากการเรยี นรู้ของระบบคอมพวิ เตอร์เองที่ประมวลผลจากข้อมูลการทางานที่
ผ่านมาแล้วกาหนดการตอบสนองท่ีแตกต่างไปจากที่กาหนดไว้เดิมในระบบโดยผู้ผลิต
รถยนต์จึงยากจะบอกว่าเป็นการออกแบบที่บกพร่อง เนื่องจากหากจะออกแบบให้

77

แตกตา่ งไปก็จะกลายเปน็ รถยนตท์ ีไ่ ม่มีความฉลาดที่จะคิดเองได้ ทาไดเ้ พียงการใช้วธิ ีการ
ตอบสนองเฉพาะเท่าที่กาหนดไว้เท่านั้น การสร้างรถยนต์ด้วยระบบดังกล่าวจึงไม่น่าจะ
ทาให้เป็นสินค้าท่ีปลอดภัยข้ึน ตรงกันข้ามอาจจะทาให้สินค้านั้นกลับมีอันตรายมากข้ึน
และกลบั จะเป็นอันตรายตอ่ ผบู้ ริโภคและประชาชนทส่ี ัญจรไปมา

การท่ีออกแบบระบบการทางานของรถยนต์ให้สามารถประมวลผลและกาหนด
วิธีการตอบสนองตอ่ สถานการณ์ได้ใหม่เพมิ่ เติมจากเดิมจึงอาจชว่ ยหลกี เลี่ยงหรือบรรเทา
ความเสียหายทีเ่ กดิ ขน้ึ แมแ้ ต่ตามกรณศี กึ ษาทนี่ ามากลา่ วถงึ ไวใ้ นตอนต้น การตอบสนอง
ใหม่ด้วยการใช้ระบบห้ามล้อแต่ไม่ให้มีความแรงมากเพ่ือลดความเร็วให้น้อยลงและ
สามารถหลบพ้นกาแพงท่ีอยู่ใกล้บริเวณท่ีเกิดเหตุได้และยังอาจพ้นจากการถูกรถยนต์
ท่ีขับตามมาชนท้าย ทาให้ลดโอกาสที่คนที่อยู่ในรถซ่ึงก็คือนายจันทร์จะได้รับอันตราย
แต่ด้วยความท่ีใช้ระบบห้ามล้อแบบไม่แรงมากทาให้รถยนต์มีโอกาสสูงที่จะชน
นายอังคารท่ีกาลังข้ามถนนและทาให้นายอังคารได้รับบาดเจ็บได้ แม้สุดท้ายจะทาให้
ท้ังนายจันทร์และนายอังคารได้รับบาดเจ็บ แต่ความรุนแรงของการบาดเจ็บท่ีเกิดขึ้น
เม่ือพิจารณาในภาพรวมของท้ังสองคนอาจจะน้อยกว่าการตอบสนองที่กาหนดไว้เดิม
แต่แรก เพราะการตอบสนองแบบแรกคือการหักรถหลบนายอังคารที่กาลังข้ามถนน
อย่างกระทันหันซ่ึงจะทาให้รถยนต์ไม่ชนนายอังคาร แต่รถจะไปชนกาแพงซึ่งอยู่ใกล้
บริเวณนั้นอันจะมีผลทาให้เกิดอันตรายแก่นายจันทร์ที่อยู่ในรถได้ การที่รถชนกาแพง
ด้วยความเร็วสูง การบาดเจ็บท่ีจะเกิดแก่นายจันทร์ย่อมจะรุนแรงมากจนอาจถึงขนาด
ทาให้นายจันทร์เสียชีวิตได้ แม้จะทาให้นายอังคารปลอดภัยก็ตาม ส่วนทางท่ีสองคือ
การห้ามล้อด้วยความแรงเพ่ือพยายามทาให้รถหยุด แต่ด้วยระยะที่กระช้ันชิดระหว่าง
ช่วงเวลาที่อุปกรณ์ตรวจจับความเคลื่อนไหวในรถยนต์ตรวจพบนายอังคารที่ข้ามถนน
อย่างกระทันหันในระยะกระช้ันชิดอาจทาให้ไม่สามารถหยุดรถได้ทันก่อนถึงตัว
นายอังคาร ย่อมจะทาให้นายอังคารได้รับบาดเจ็บรุนแรงจนถึงขนาดเสียชีวิตได้เช่นกัน
หากรถยนตท์ ่วี ิ่งตามหลงั มาชนทา้ ยรถยนตข์ องนายจนั ทร์ด้วยก็อาจทาให้นายจนั ทร์ไดร้ บั
บาดเจ็บอีก ปฏิกิริยาตอบสนองใหม่ที่แม้ทาให้ทั้งสองคนบาดเจ็บแต่เป็นการบาดเจ็บ

78

ในระดับทีไ่ ม่เป็นอันตรายแก่ชีวติ จึงทาให้เป็นการตอบสนองที่มคี วามปลอดภัยมากทส่ี ุด
ในสถานการณ์นั้น

ในกรณีศึกษาน้ี หากพิจารณาในอีกส่วนหนึ่ง การท่ีรถยนต์มีระบบตรวจจับ
ความเคลื่อนไหวและส่ิงรอบข้างเพ่ือจะหลีกเลี่ยงอุบัติเหตุท่ีเกิดข้ึน การท่ีนายอังคาร
ข้ามถนนในลักษณะดังกล่าวอาจบ่งบอกด้วยเช่นกันว่านายอังคารต้องข้ามถนนในระยะ
กระช้ันชิด ไม่เช่นนั้นแล้วรถยนต์ควรจะตรวจจับความเคลื่อนไหวได้ก่อนหน้านั้นและ
อาจใช้มาตรการต่างๆ ที่ทาให้ไม่เกิดอุบัติเหตุและทาให้ท้ังนายจันทร์และนายอังคาร
ปลอดภัยท้ังคู่ นายอังคารจึงมีส่วนทาให้เกิดอุบัติเหตุอยู่มากพอควรเช่นกัน และ
อาจกล่าวได้ยากเช่นกันว่าอันตรายท่ีเกิดขึ้นเป็นเพราะรถยนต์คันดังกล่าวเป็นสินค้า
ทไี่ ม่ปลอดภัย

ประเด็นที่ต้องพิจารณาในเชิงนโยบายกฎหมาย (Legal policy) จึงเกิดข้ึนได้ว่า
กรณีแบบนี้จะกาหนดให้ภาระความรับผิดชอบชดใช้เยียวยาความเสียหายท่ีเกิดขึ้น
ควรจะตกอยู่ที่ใครระหว่างนายจันทร์ที่อยู่ในรถยนต์ นายอังคารที่อาจได้รับอันตราย
จากอุบัติเหตุ หรือบริษัทผู้ผลิตรถยนต์คันดังกล่าวและความรับผิดน้ันควรตั้งอยู่
บนพืน้ ฐานทางกฎหมายเร่อื งใด

หากเป็นกรณีที่รถยนต์คันดังกล่าวเป็นรถยนต์ทบ่ี ริษัทท่ีทาธุรกิจขนส่งในลกั ษณะ
Ride sharing ให้บริการแก่นายจันทร์ นายจันทร์ไม่น่าจะต้องรับผิดใดๆ เพราะบริษัท
ดังกล่าวย่อมเป็นเจ้าของและผู้ควบคุมการทางานของรถยนต์คันดังกล่าว ไม่ต่างจาก
การท่ีนายจันทร์นั่งรถแท็กซี่แล้วคนขับขับไปชนคนอื่น ผู้ท่ีโดยสารไปย่อมไม่เกิด
ความรับผิดต่อความเสียหายท่ีเกิดขึ้น แต่หากรถยนต์คันน้ันเป็นของนายจันทร์เอง
บทบัญญัติตามมาตรา 437 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ย่อมจะเข้ามา
มีบทบาท เพราะแม้วา่ การท่รี ถแลน่ ไปตามเสน้ ทางด้วยระบบควบคุมของรถเอง แตก่ ารท่ี
นายจันทร์เป็นผู้ที่ใช้รถยนต์คันดังกล่าวและกาหนดให้รถยนต์เดินทางไปยังจุดหมาย
ท่ีกาหนดก็อาจกล่าวได้ว่านายจันทร์เป็นผู้ครอบครองหรือควบคุมดูแลยานพาหนะ
ที่อาจต้องรับผิดในความเสียหายที่เกิดข้ึน เพียงแต่การให้นายจันทร์รับผิดชดใช้
ค่าสินไหมทดแทนในกรณีนี้อาจมีปัญหาตรงท่ีนายจันทร์จะมีสถานะทางเศรษฐกิจ

79

ที่จะชดใช้ค่าสินไหมทดแทนได้มากน้อยเพียงใดซ่ึงประเด็นน้ีย่อมมีสถานการณ์ที่
แตกต่างกนั ออกไปตามแตผ่ คู้ รอบครองหรือควบคมุ ดูแลรถยนต์แต่ละคนั

ประเด็นอีกส่วนหนึ่งท่ีจะเกิดข้นึ จากมาตรา 437 คือข้อยกเว้นที่ผคู้ รอบครองหรอื
ควบคุมดูแลอาจไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนหากความเสียหายท่ีเกิดขึ้นนั้น
เป็นความผิดของผู้ต้องเสียหายน้ันเอง ประเด็นน้ีได้กล่าวถึงไปข้างต้นแล้วว่าอาจมี
การพิสูจน์ได้เช่นกันว่าอุบัติเหตุท่ีเกิดขึ้นเป็นความผิดของนายอังคารเองที่ข้ามถนน
ในระยะกระชัน้ ชิด ทาใหร้ ะบบตรวจจับของรถยนต์ไมส่ ามารถตรวจพบนายอังคารได้ทัน
และมีเวลาและระยะทางพอท่ีจะห้ามล้อหรือหลีกเล่ียงอุบัติเหตุได้ ทาให้อุบัติเหตุ
ที่เกิดขึ้นเป็นความผิดของนายอังคารท่ีเป็นผู้ต้องเสียหายเอง นายอังคารจึงจะต้อง
รับผิดชอบค่ารักษาพยาบาลและความเสียหายที่เกิดข้ึนเองซ่ึงอาจรวมถึงความเสียหาย
ท่เี กิดขึ้นกับตัวรถหรือนายจนั ทรเ์ สียดว้ ยซา้ ไป

ประเด็นปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นนี้จึงอาจทาให้ต้องมีการคิด พิเคราะห์ถึง
แนวทางการดาเนินการในกรณีท่ีมีการใช้ปัญญาประดิษฐ์ในเครื่องไม้เคร่ืองมือและ
อุปกรณ์ต่างๆ มากข้ึน ปัญหาท่ียกเป็นกรณีศึกษานี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น วิธีการที่
อาจนามาใช้ได้อาจมีต้ังแต่การกาหนดให้ผู้ที่ใช้ส่ิงที่มีลักษณะเหล่าน้ีควรต้องมีการทา
สัญญาประกันภัยไว้เพอ่ื ท่ีจะได้ไม่ต้องมีการพิสูจน์และการสร้างหลักเกณฑท์ างกฎหมาย
ท่ีสลับซับซ้อนเกินไปและทาให้ผู้ท่ีได้รับผลกระทบได้รับการชดใช้เยียวยาความเสียหาย
ท่เี กิดข้ึนดว้ ย

ในอีกทางหนึ่งท่ีมีผู้เสนอไว้ด้วยเช่นกันคือแม้อาจจะกล่าวได้ว่าสินค้าที่ใช้
ปัญญาประดิษฐ์เหล่านี้จะไม่ใช่สินค้าท่ีไม่ปลอดภัยตามหลักเกณฑ์ปกติ แต่การให้ผู้ผลิต
สินค้าเป็นผู้รับผิดชอบความเสียหายท่ีเกิดขึ้นโดยใช้หลัก “ความรับผิดโดยเคร่งครัด”
(Strict liability)7 ทีอ่ าจเขา้ ขา่ ยเป็น “ความรบั ผิดเดด็ ขาด” (Absolute liability) ก็อาจ
ช่วยแกป้ ัญหาหลายๆ ประการท่ีอาจจะเกดิ ข้นึ ได้ เช่น

(1) การประหยัดค่าใช้จ่ายในการดาเนินคดีและลดต้นทุนของธุรกรรม
(transaction costs) ในการพิสูจน์ด้วยพยานหลักฐาน เพราะว่าเม่ือสินค้ามี

7 Supra Note 1, at p.146.

80

ความสลบั ซบั ซ้อนเพ่มิ มากขึ้นอยา่ งก้าวกระโดด ค่าใช้จา่ ยในการดาเนินคดเี กยี่ วกับสนิ คา้
ท่ีไม่ปลอดภัยก็ย่อมพุ่งสูงข้ึนอย่างมหาศาลเช่นกัน (As the complexity of products
rises geometrically, the cost of litigating products liability cases increases
exponentially.)

81

(2) ทาให้เกิดการสร้างนวัตกรรมอย่างมีความรับผิดชอบ (responsible
innovation) โดยเมื่อมีการสร้างนวตั กรรมใหมๆ่ ขึน้ มา ไมว่ ่าสิง่ นน้ั จะเปน็ อะไรกแ็ ล้วแต่
หากต้องคานึงและระมัดระวังถึงความรับผิดที่อาจจะเกิดข้ึนหากนวัตกรรมนั้น
สร้างความเสียหายให้แก่บุคคลอื่น ผู้ที่พัฒนานวัตกรรมนั้นย่อมจะต้องพยายาทาให้
ส่ิงประดิษฐข์ องตนมีความปลอดภัยมากขึน้

(3) กระจายความรบั ผิดชอบและค่าใช้จ่ายไปยังคนจานวนมาก (cost-spreading
approach) การกาหนดให้ผู้ผลิตต้องรับผิดต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นทาให้สามารถ
กระจายความเสี่ยง ค่าใช้จ่ายและความรับผิดชอบไปยังคนจานวนมากที่ซ้ือผลิตภัณฑ์
ของผู้ผลิตดังกล่าวไปใช้ เพราะสุดท้ายผู้ผลิตและผู้ประกอบการทุกรายย่อมต้องถือว่า
ค่าเสียหายทจี่ ่ายไปเป็นต้นทนุ การทาธุรกิจอกี ส่วนหนึ่ง และต้องกระจายต้นทุนทเี่ กิดข้ึน
แฝงไว้ในราคาสินค้าที่จาหน่ายด้วย เมื่อเฉล่ียต้นทุนนี้ไปยังสินค้าจานวนมาก
ทาให้ต้นทุนท่ีลูกค้าแต่ละรายต้องจ่ายไม่สูงมากนัก อย่างน้อยก็เป็นภาระท่ีน้อยกว่าการ
ให้ผู้ท่ีประสบความเสียหายจากอุบัติเหตุที่เกิดข้ึนอย่างเช่นนายอังคารในกรณีศึกษาต้อง
แบกรับภาระค่าใชจ้ ่ายและความเสียหายทเ่ี กิดขึน้ ไวเ้ พียงลาพงั

อย่างไรก็ตาม ภาระน้ีแม้อาจจะดูเหมือนเป็นภาระท่ีไม่ใช่เร่ืองเล็กน้อย แต่หาก
พิจารณาถึงคุณลักษณะของสิ่งประดิษฐ์ท่ีใช้ปัญญาประดิษฐ์เป็นสมองกลในการควบคุม
การทางานย่อมจะเห็นได้ว่าส่ิงประดิษฐ์และสินค้าเหล่านี้ควรจะมีความปลอดภัยสูงกว่า
สินค้าที่ไม่มีระบบดังกล่าว เม่ือมีความปลอดภัยสูงกว่า โอกาสที่จะสร้างความเสียหาย
ที่จะทาให้เกิดความรับผิดย่อมน้อยลงตามไปด้วย แม้จะเกิดความเสียหายขึ้นก็เป็น
ความเสียหายท่ีน้อยกว่าการไม่ใช้ปัญญาประดิษฐ์ควบคุมการทางานของส่ิงของเหล่านี้
อย่างเช่นในกรณีศึกษาในที่น้ี การท่ีปัญญาประดิษฐ์ในรถยนต์คันเกิดเหตุกาหนดวิธีการ
ตอบสนองตอ่ เหตกุ ารณเ์ ฉพาะหน้าใหม่ด้วยการใช้หา้ มล้อแต่ไมใ่ ชค้ วามแรงมาก ทาให้รถ
หักหลบพ้นกาแพงและไม่ทาให้นายจันทร์ได้รับอนั ตราย แม้อาจจะชนถกู นายองั คาร แต่
ด้วยเหตุท่ีทิศทางรถอยู่ในขณะท่ีหักหลบไปทางอ่ืน แรงปะทะย่อมลดลงและน่าจะน้อย
กว่ากรณีท่ีแม้จะใช้การห้ามล้ออย่างแรงแต่ระยะกระช้ันชิดเกินไปจนไม่น่าจะหยุดรถได้
ทัน ผนวกด้วยอันตรายจากรถคันทว่ี ิ่งตามหลงั ท่ีอาจจะชนท้ายรถอีก อันตรายท่ีเป็นเหตุ

82

ให้เกิดความเสียหายซึ่งหากคานวณเป็นหน่วยวัดค่าเสียหายน่าจะน้อยกว่าการไม่ใช้
ปัญญาประดษิ ฐ์เลย ทาให้ภาระและความรับผิดของผูผ้ ลติ ไม่สงู เกนิ ไปนกั

ประเด็นปัญหาต่างๆ เหล่านี้คงเป็นข้อพิจารณาเบื้องต้นด้วยเหตุท่ีกา รใช้
ปัญญาประดษิ ฐ์ยงั ไมแ่ พร่หลายมากนัก บทเรยี นที่ไดจ้ ากการใช้ปญั ญาประดิษฐ์กม็ ีจากัด
ตามไปด้วย เม่ือมีการใช้และเรียนรู้มากขึ้น การกาหนดนโยบายทางกฎหมายเกี่ยวกับ
ความรับผิดต่อความเสียหายที่เกิดจากการใช้ปัญญาประดิษฐ์เหล่านี้คงจะมีความชัดเจน
ขน้ึ ตามลาดบั

83

กระบวนพจิ ารณาเพอ่ื คน้ พบความจริง (Discovery)

ในการดาเนินคดีต่างๆ เป้าหมายหลักของกระบวนพิจารณาท่ีทาข้ึนไม่ว่าจะ
ในคดีแพ่งหรือคดีอาญาล้วนมีเป้าหมายไม่แตกต่างกันท่ีต้องการพิสูจน์ความจริงตามท่ีมี
การกล่าวอ้าง กล่าวหาและต่อสู้ ผลของคดีจะออกมาเป็นธรรมมากที่สุดต่อเม่ือ
ได้ความจริงว่าเกิดอะไรข้ึนบ้างและใครทาอะไรบ้าง น่าเสียดายท่ี “ความจริง”
ในกระบวนพิจารณาในคดีไม่ว่าท่ีใดในโลกล้วนเหมือนกันตรงท่ีไม่ใช่ความจริงท่ีเรียกได้
เป็นความจรงิ แท้แนน่ อน (Absolute truth) ท่ไี มม่ ีทางเปน็ อย่างอ่ืนไปได้

ส่ิงที่เรียกว่าความจริงในกระบวนพิจารณาในศาลทุกๆ ที่เป็นความจริงเท่าท่ี
ปรากฏในสานวนหรอื ทีป่ รากฏต่อศาลในการพิจารณาเทา่ นนั้ ในขณะท่ีส่ิงที่เกิดขึ้นจริงๆ
ส่วนใหญ่แล้วมักมีมากกว่าท่ีปรากฏในสานวนหรือในทางพิจารณา เพราะคู่ความ
ส่วนใหญ่ไม่ว่าจะเป็นเอกชนหรือรัฐล้วนไม่ต้องการแพ้คดี ดังนั้นหากมีข้อเท็จจริงใด
ท่ี เ ป็ น ผ ล เ สี ย ต่ อ รู ป ค ดี ข อ ง ต น เ อ ง ย่ อ ม ไ ม่ ต้ อ ง ก า ร น า เ ส น อ ห รื อ ป ก ปิ ด จ า ก ก า ร รั บ รู้
ของคู่ความอีกฝ่าย ดีไม่ดีอาจสร้างพยานหลักฐานที่จริงๆ แล้วไม่มีอยู่เพื่อนาสืบต่อศาล
ก็ได้ จึงไม่แปลกหากจะเรียกว่าเป็น “ข้อเท็จจริง” เพราะเหตุที่มีท้ังความเท็จและ
ความจริงผสมผสานกันอยู่ โชคดีเราอาจะได้ความจริงมากกว่าความเท็จและแยกแยะ
ออกว่าสิง่ ใดเทจ็ สง่ิ ใดจรงิ

อย่างไรก็ตาม แม้จะเป็นการยากท่ีจะให้ได้ความจริงท้ังหมด แต่ในการดาเนิน
กระบวนพิจารณาท่ตี อ้ งการให้เกิดความเป็นธรรมทแ่ี ทจ้ ริงยอ่ มตอ้ งพยายามทาให้ได้ส่ิงที่
เป็นความจริงหรือเกิดข้ึนจริงๆ ให้มากที่สุดเท่าที่จะทาได้ แต่ความพยายามน้ีก็ย่อมมี
ข้อจากัดเช่นกัน เพราะหากเราจะขวนขวายรวบรวมข้อมูลของสิ่งที่เกิดขึ้นท้ังหมดจริงๆ
อาจจะใช้เวลาและเสยี ค่าใช้จ่ายจานวนมาก ทาให้กระบวนพจิ ารณาเนิ่นนานตามไปด้วย
วิธีการและเคร่ืองมือในการค้นหาความจริงท่ีใช้ในประเทศต่างๆ มีความแตกต่างกันไป
ตามแนวปฏิบัติและประเพณีทางกฎหมายของแต่ละประเทศ วิธีการหนึ่งท่ีเป็นกลไก
ท่ี ส า คั ญ ข อ ง ก ร ะ บ ว น พิ จ า ร ณ า ใ น ป ร ะ เ ท ศ ส ห รั ฐ อ เ ม ริ ก า เ ป็ น วิ ธี ก า ร ท่ี เ รี ย ก ว่ า

84

“Discovery” ซ่ึงอาจจะเรยี กไดว้ ่าเปน็ ชอ่ื ที่หมายถงึ เครอื่ งมอื ในกระบวนพจิ ารณาหลาย
วิ ธี ก า ร ท่ี ใ ช้ ผ สม ผสา นเ ข้ าด้ ว ยกั น เพ่ื อทา ใ ห้ สาม าร ถร ว บ ร ว มข้ อมูล แล ะคว ามจริง
ให้ไดม้ ากที่สุดเท่าทีจ่ ะทาได้

85

ส่ิงหนึ่งท่ีทาให้กระบวนพิจารณาท่ีเรียกว่า Discovery น้ีแตกต่างจากกรรมวิธี
ในการค้นหาและพิสูจน์ความจริงในกระบวนพิจารณาของประเทศไทยเราอาจจะเรียก
ได้ว่าต้ังอยู่บนพ้ืนฐานความคิดท่ีแตกต่างกัน เพราะส่ิงต่างๆ ท่ีกาหนดไว้ในวิธีพิจารณา
ความของบ้านเราจะทาเสมือนกับว่าคู่ความแต่ละฝ่ายต่างมีข้อมูลและรู้เรื่องทุกอย่าง
อยู่ท้ังหมดทั้งส้นิ แลว้ เม่ือถึงเวลาตามที่กาหนดไว้ กฎหมายจึงเพียงแต่กาหนดให้ต้องยื่น
บัญชีระบุพยานที่ต้องการจะอ้างอิงและนาสืบเป็นพยานหลักฐานต่อศาล หากจะมีการ
หมายเรียกพยานบุคคลหรือให้มีคาส่ังเรียกพยานเอกสารใดๆ คู่ความจะต้องระบุ
ให้ชัดแจ้งว่าเอกสารดังกล่าวเป็นเอกสารชิ้นใดฉบับใด และอาจจะต้องรู้ถึงขนาด
ความเก่ียวพันของเอกสารดังกล่าวกับข้อเท็จจริงท่ีจะนาสืบต่อศาล กฎหมายจึงปฏิบัติ
ต่อคู่ความโดยคาดหมายว่าคู่ความต้องรู้เรื่องทุกอย่างก่อนแล้วด้วยตนเองจึงจะสามารถ
ต่อสู้คดีได้มิฉะน้ันคู่ความย่อมไม่สามารถยื่นบัญชีระบุพยานได้ถูกต้องว่ามีพยานบุคคล
พยานวตั ถหุ รอื พยานเอกสารชิ้นใดบ้างทป่ี ระสงคจ์ ะอ้างอิง

พื้นฐานความคิดดังกล่าวย่อมสามารถใช้ได้หากคู่ค วามแต่ละฝ่ายมีข้อมูลและ
ข้อเท็จจริงท่ีเกี่ยวข้องอยู่ในความครอบครองหรือเข้าถึงได้ หรือแม้จะยังไม่อยู่ใน
ความครอบครองแต่ก็ต้องรู้ถึงความมีอยู่ของพยานหลักฐานเหล่านั้นเสียก่อน แต่ใน
ความเป็นจริงข้อมูลและข้อเท็จจริงหลายอย่างที่เก่ียวข้องในคดีอยู่ในความครอบครอง
ของคู่ความอีกฝ่ายท่ีคู่ความฝ่ายตรงข้ามอาจไม่รู้แม้กระท่ังความมีอยู่ของข้อมูลหรือ
ข้อเท็จจริงเหล่านั้น เม่ือไม่รู้ก็ย่อมเป็นไปไม่ได้ท่ีจะระบุพยานหลักฐานท่ีเก่ียวข้องกับ
ข้อมูลหรือข้อเท็จจริงเหล่านั้นไว้ในบัญชีระบุพยานได้ วิธีแก้ของวิธีพิจารณาในประเทศ
ไทยเราจึงได้พยายามใช้วิธีการผลักภาระการพิสูจน์ไปให้คู่ความฝ่ายท่ีครอบครองข้อมูล
หรือข้อเท็จจริงเหล่านั้นให้ต้องพิสูจน์หักล้างข้ออ้างของอีกฝ่ายหน่ึง แต่ทางแก้ดังกล่าว
ใช้ได้เฉพาะกรณีท่ีมีกฎหมายกาหนดไว้โดยเฉพาะเช่นคดีผู้บริโภค หรือกรณีที่กฎหมาย
กาหนดบทสันนิษฐานบางประการไว้เท่านั้น แต่ในกรณีอ่ืนและในคดีทั่วๆ ไปก็ย่อมต้อง
ใช้หลักการที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานความคิดข้างต้น แม้จะกาหนดภาระการพิสูจน์ให้คู่ความ
ฝ่ายใดกล่าวอ้างข้อเท็จจริงใดก็ต้องมีภาระการพิสูจน์ในข้อเท็จจริงเหล่าน้ัน แต่ใน

86

การแสวงหาพยานหลักฐานก็ไม่ได้ให้เครื่องไม้เครื่องมือแก่คู่ความท่ีมีภาระการพิสูจน์
ได้ใชใ้ นการค้นหาความจรงิ มาสนบั สนนุ ตามภาระการพสิ จู น์ของตนสกั เทา่ ใด

หากจะกล่าวถึงเป้าหมายที่เป็นพ้ืนฐานความคิดของกระบวนพิจารณาท่ีเรียกว่า
Discovery นี้จึงไม่ใช่เร่ืองของการแสดงว่าตนเองรู้ข้อมูลหรือข้อเท็จจริงอะไร แต่เป็น
การทาเพื่อค้นหาให้พบว่าข้อมูลหรือข้อเท็จจริงอะไรบ้างท่ี “คู่ความอีกฝ่าย” รู้หรือ
ครอบครองอยู่ บทความที่นาเสนอในตอนนี้จึงเป็นเร่ืองของกระบวนพิจารณาท่ีเรียกว่า
Discovery นี้ว่าเครื่องมือและขั้นตอนที่ทาเป็นอย่างไรบ้างเพียงเพ่ือให้ทาความเข้าใจ
เบอ้ื งต้นเป็นพืน้ ฐานให้เห็นความแตกตา่ งจากกระบวนพิจารณาทที่ าในประเทศไทยของเรา

There have always been five devices by which parties engage in
discovery: the deposition, interrogatories, requests to produce,
medical examinations, and requests for admission. All five can be
used to get information from a party to the case, but only two – the
deposition and the request to produce - - can be used to obtain
information from nonparties.

เ ค รื่ อ ง มื อ ท่ี คู่ ค ว า ม อ า จ ใ ช้ ใ น ก ร ะ บ ว น พิ จ า ร ณ า เ พื่ อ ค้ น พ บ ค ว า ม จ ริ ง
(discovery) นี้มีห้าประการด้วยกัน ได้แก่ การบันทึกถ้อยคา (deposition)
การสอบถาม (interrogatory) การร้องขอให้ส่งพยานหลักฐาน (requests to
produce) การตรวจทางการแพทย์ (medical examination) และการร้องขอ
ให้รับข้อเท็จจริง (requests for admission) เคร่ืองมือท้ังห้าประการนี้สามารถ
นาไปใช้เพ่ือให้ได้ข้อมูลจากคู่ความในคดี แต่มีเครื่องมือเพียงสองประการเท่าน้ัน
อันได้แก่การบนั ทึกถ้อยคาและการรอ้ งขอใหส้ ง่ พยานหลักฐานท่ีสามารถนาไปใช้เพ่ือให้
ได้ข้อมูลจากผู้ท่ไี ม่ไดเ้ ปน็ คคู่ วามในคดี

87

The first discovery tool is the deposition. Here, the person being
“ deposed” testifies orally under oath, just as she would if she were a
witness at trial. But here, her testimony is not given in the courtroom and
no judge or jury is present. Depositions are taken in somebody’ s office.
The deponent responds to questions asked by the lawyers for all parties.
The questions and answers are recorded by a stenographer and usually
transcribed into booklet form. The deponent reviews the booklet,
corrects any errors, and signs the transcript under oath. …

เครอ่ื งมือเพอ่ื คน้ พบความจรงิ ประการแรกคือการบนั ทกึ ถ้อยคา (deposition)
ในกรณีน้ี บุคคลผู้ที่ถูกบันทึกถ้อยคาจะต้องให้การด้วยวาจาภายใต้การสาบานตน
(under oath) เหมือนกับการเป็นพยานในการสืบพยานในศาล แต่ในท่ีน้ี จะไม่ได้
ให้การภายในห้องพิจารณาคดีของศาลและไม่มีผู้พิพากษาหรือคณะลูกขุนอยู่ ด้วย
การบันทึกถ้อยคาจะทาขึ้นในสถานที่ทางานของใครก็ได้ ผู้ให้ถ้อยคา (deponent)
จะตอบคาถามของทนายความของคู่ความทุกฝ่าย คาถามและคาตอบจะถูกบันทึก
โดยนักชวเลขและมักจะถอดคาให้การมาอยู่ในรูปของหนังสือเล่มเล็กๆ ผู้ให้ถ้อยคา
จะตรวจทานบันทึกดังกล่าว แก้ไขข้อผิดพลาดใดๆ ที่เกิดขึ้นและลงลายมือช่ือ
ในบนั ทึกถอ้ ยคาน้ันภายใต้คาสาบานตน...

88

89

Depositions under Rule 30 are useful in part because they are “live.”
Good lawyers learn how to gauge the deponent’ s reaction to questions
and to pursue topics as the deposition evolves. One may even uncover the

90

“smoking gun” – a major break in the case. But depositions are expensive
because they are so time intensive for the lawyers. The lawyers will want
to be prepared for the deposition, so usually will take them after learning
preliminary facts through interrogatories and required disclosures under
Rule 26(a)(1).

การบันทึกถ้อยคาตามกฎข้อ 30 น้ีมีประโยชน์ส่วนหน่ึงเป็นเพราะเป็นการบันทึก
ถ้อยคาสดๆ ทนายความที่ดีมักเรียนรู้ท่ีจะประเมินปฏิกิริยาของผู้ให้ถ้อยคาต่อคาถาม
ต่างๆ และตามติดประเด็นต่างๆ ไปตามความเปลี่ยนแปลงของถ้อยคาที่ให้ ทนายความ
บางคนอาจค้นพบ “เขม่าควนั ปืน” (smoking gun) ซ่ึงจะเป็นตัวช่วยให้ผา่ ปัญหาสาคญั
ในคดีไปได้ แต่การบันทกึ ถอ้ ยคานเี้ สียค่าใช้จา่ ยสูง เพราะเปน็ วิธกี ารที่ทนายความตอ้ งใช้
เวลามาก ทนายความมักต้องการเตรียมการให้ดีสาหรับการบันทึกถ้อยคา ทาให้มักทา
ก า ร บั น ทึ ก ถ้ อ ย ค า ห ลั ง จ า ก เ รี ย น รู้ ข้ อ เ ท็ จ จ ริ ง เ บื้ อ ง ต้ น ใ น ค ดี ผ่ า น ก า ร ส อ บ ถ า ม
(interrogatories) และการเปดิ เผยข้อเทจ็ จริงท่ถี ูกบงั คบั ตามกฎข้อ 26(a)(1)

A party may take the deposition of anyone, party or nonparty.
The lawyer taking a deposition of a non- party should have the deponent
subpoenaed under Rule 45. A subpoena is a court order compelling the
non- party to attend at the stated time and place. Once she is under
subpoena, if the deponent fails to attend, the court may hold her in
contempt. Party deponents need not be subpoenaed. Merely sending
them a notice of deposition, setting a reasonable time and place for the
deposition, will secure their attendance.

การบันทึกถ้อยคานี้อาจเป็นการบันทึกถอ้ ยคาของบุคคลใดก็ได้ ทั้งผู้ท่ีเปน็ คคู่ วาม
หรือไม่ได้เป็น ทนายความท่ีตอ้ งการจะบันทึกถ้อยคาของผู้ท่ีไม่ได้เป็นคู่ความควรจะตอ้ ง
ขอหมายเรียกบุคคลดังกล่าวตามกฎข้อ 45 หมายเรียก (subpoena) คือคาสั่งของศาล
ทบ่ี ังคบั ผู้ทไี่ ม่ได้เปน็ คู่ความให้มาตามวันเวลาท่กี าหนด เมอ่ื ได้รบั หมายเรียกแลว้ หากผู้ท่ี
ตอ้ งใหถ้ อ้ ยคาไมม่ าตามที่กาหนด ศาลอาจถอื วา่ บคุ คลดงั กลา่ วทาการละเมิดอานาจศาล

91

(contempt) ผู้ให้ถ้อยคาท่ีเป็นคู่ความในคดีไม่จาต้องมีการขอหมายเรียก เพียงแต่ส่ง
คาบอกล่าว (notice) แจ้งการบันทึกถ้อยคาโดยกาหนดเวลาและสถานท่ีท่ีเหมาะสม
กจ็ ะมีผลใหต้ ้องไปใหถ้ อ้ ยคาแล้ว

Subpoena
คาว่า Subpoena น้ีหากเราเข้าใจท่ีมาที่ไปของคาจะทาให้เข้าใจความหมาย

uไคดbา้มวp่าาoกeSขun้ึนbaหคหาามกวาแ่ยายถกSึงคuภาbาๆยpใoนตeี้อ้ nสอa่วกนนเปคี้หา็นวาส่ากอเpงรสoา่วeเนnขa้เารใเาปจจ็นทะค่ีมไดาาท้คท่ีมาี่ไวาป่าจาขSกอuภงbาคษแาาลจละะาคตทาินวา่าทให่ีหp้มเoขาe้ยาnถใaจงึ8
คpวeาnมaหltมyายหไรดือ้มโทากษขนึ้นั่นหเอากงแยกคาๆ น้ีออกเป็นสองสว่ น เราจะได้คาว่า Sub และคาวา่
poena8ควคาามวห่ามSาuยbขอหงมคาายวถ่าึงภSuายbใpตo้ eสn่วนaคทาี่เวป่า็นpคoากeิรnิยaาเจปะ็นมคีคาวทาี่มมาหจมาากยภถาึงษกาาลรทาตศ่ี ินาลท่ี
หมมีคาายสถั่งึงใหp้บeุคnคaลltคyนหหรนือึ่งโไทปษเบนิกั่นคเวอางมเป็นพยานหรือให้ส่งพยานเอกสารต่อศาล เหตุที่
ความหมายสอดคล้องกับท่ีมาข้างต้นเป็นเพราะเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าหากศาล
มีคาส่ังเรียกดังกล่าวแล้วไม่ปฏิบัติตาม บุคคลที่ได้รับคาส่ังน้ันอาจต้องรับโทษ
ตามกฎหมายได้ ในกฎหมายไทยอาจจะมีทั้งส่วนท่ีเป็นหมายเรียกพยานบุคคลและ
คาส่ังเรียกพยานเอกสาร แต่ความหมายในภาษาอังกฤษของคาว่า Subpoena
จะสามารถใช้ได้ท้ังสองกรณี ในบางคร้ังเม่ือมีการใช้ในภาษาไทยจึงพยายามใช้คาอื่น
เช่น Summon เพ่ือทาให้เห็นความแตกต่างของถ้อยคาบ้าง แต่ในความหมาย
ในภาษาอังกฤษแล้วจะรวมถึงท้ังกรณีท่ีเป็นหมายเรียกพยานบุคคลและคาส่ังเรียก
พยานเอกสารก็ได้ทั้งส้ิน เมื่อใช้ในลักษณะท่ีเป็นคานามจึงหมายถึงหมายเรียกหรือ
คาส่ังเรียกก็ได้แล้วแต่กรณีท่ีนาไปใช้ว่าต้องการหมายถึงกรณีใด การนาไปใช้
เชน่ ตัวอย่างดงั ต่อไปนี้

Varin is subpoenaed to testify in a tort case because he saw the accident.
วารินทร์ถกู หมายเรยี กใหไ้ ปเบิกความในคดลี ะเมดิ เพราะเขาเห็นอบุ ัติเหตุที่เกดิ ขึน้
The Civil Court issues a subpoena to Varin to testify in a tort case.
ศาลแพ่งออกหมายเรียกให้วารินทร์มาเบิกความในคดีละเมดิ เร่อื งหนึง่

8 Merriam-Webster Dictionary at https://www.merriam-webster.com/dictionary/subpoena

92

ในการใช้วิธีการ Deposition นี้อาจกล่าวโดยสรุปง่ายๆ คือเป็นการให้บุคคล
ที่เก่ียวข้องกับคดีมาให้ถ้อยคาหรือเบิกความนั่นเอง เพียงแต่อาจจะเรียกว่าเป็นการ
เบิกความได้ไม่สนิทใจนักเน่ืองจากการให้ถ้อยคาในที่น้ีไม่ได้กระทาในห้องพิจารณาคดี
ในศาล หากแต่เป็นการให้ถ้อยคา ณ สถานที่อ่ืนซึ่งมีความเป็นไปได้มากท่ีจะเป็น
สานักงานทนายความของคู่ความฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด เพราะเป็นสถานท่ีที่น่าจะมีอุปกรณ์
เครื่องไม้เครื่องมือและความพร้อมมากกว่าสถานที่อ่ืนด้วยเหตุที่ที่มีการใช้ วิธีการน้ี
เป็นปกตใิ นกระบวนพจิ ารณาในคดตี า่ งๆ ที่แต่ละสานกั งานทนายความรบั ผดิ ชอบ

ความพิเศษของวิธีการน้ีคือบุคคลที่จะเป็นผู้ให้ถ้อยคาอาจเป็นตัวคู่ความเองหรือ
บุคคลอื่นที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับคู่ความโดยตรงก็ได้ หากบุคคลเหล่าน้ันรู้เห็นข้อมูลหรือ
ขอ้ เทจ็ จริงทีเ่ ป็นประโยชน์ต่อกระบวนพิจารณา ข้อแตกต่างคงเปน็ เพียงวธิ ีการท่ีจะให้ได้
ตัวบุคคลท่เี ก่ียวข้องมาให้ถ้อยคา หากเป็นคู่ความคงทาเพียงส่งหนังสอื บอกกล่าวแจง้ วัน
เวลาท่ีเหมาะสม คู่ความน้ันมีหน้าที่ที่จะต้องไปให้ถ้อยคาแก่คู่ความอีกฝ่ายหน่ึง แต่หาก
เป็นบุคคลภายนอกแลว้ ก็จะต้องขอหมายเรียกจากศาลกอ่ น เพียงแต่หมายเรียกดังกลา่ ว
นี้จะไม่ได้กาหนดให้ไปให้ถ้อยคาท่ีศาล แต่เป็นการให้ไปยงั สถานท่ีตามที่คู่ความทรี่ อ้ งขอ
กาหนดเท่านั้น

หากดูเพียงผิวเผินอาจจะไม่รู้สึกว่าวิธีการนี้จะมีความพิเศษแต่อย่างใด
แตข่ ้อแตกต่างจากการเบิกความในศาลในกรณีปกตคิ งอยู่ท่ีหากเป็นการเรยี กพยานคนใด
คนหน่ึงมาเบิกความ คู่ความย่อมต้องเรียกพยานท่ีจะมาเบิกความสนับสนุนข้ออ้างหรือ
ข้อต่อสู้ของตนเองเป็นหลักเพื่อให้มีน้าหนักมากกว่าอีกฝ่ายหน่ึง แต่การเรียกพยานหรือ
บุคคลมาให้ถ้อยคาในกระบวนพิจารณาท่ีเป็น Discovery นี้กลับจะเป็นคู่ความฝั่งตรง
ขา้ มหรือบคุ คลท่ีจะเปน็ พยานให้แก่ฝา่ ยตรงข้ามเสียมากกวา่ เพราะหากเปน็ ฝา่ ยตนเองก็
ไม่จาเป็นต้องมาดาเนินกระบวนพิจารณาเช่นน้ี แต่สามารถขอข้อมูลหรือข้อเท็จจริงได้
โดยตรงอยู่แล้ว และทนายความของคู่ความฝ่ายใดก็ย่อมต้องรู้หรือมีข้อมูลหรือ
ข้อเท็จจริงที่เก่ียวกับฝ่ายของตนอยู่พร้อมเพรียงแล้ว ไม่ต้องเสียเวลาเรียกให้มา
ให้ถ้อยคาอีก ทาให้เป็นท่ีคาดหมายได้ว่าบุคคลท่ีจะมาให้ถ้อยคาในการทา Deposition
นจี้ ะเปน็ คคู่ วามฝ่ายตรงขา้ มหรอื บุคคลทีอ่ าจมาเปน็ พยานใหก้ บั คคู่ วามฝ่ายตรงขา้ ม

93

ผลจากการดาเนินการนี้จึงทาให้คู่ความแต่ละฝ่ ายรู้ว่าคู่ความหรือพยานขอ ง
ฝ่ายตรงข้าม โดยเฉพาะพยานปากสาคัญรู้ข้อมูลอะไรบ้างและเม่ือต้องไปเบิกความ
ต่อศาลจะใหข้ อ้ มลู หรอื ขอ้ เท็จจรงิ อะไรบ้าง แตน่ อกจากจะรูเ้ ร่อื งดงั กล่าวแล้ว เป้าหมาย
ท่ีสาคัญคงเป็นการหาส่ิงท่ีในบทความเรียกว่าเป็น Smoking gun หรือเขม่าควันปืน
สิ่งท่ีจะเป็น Smoking gun ในที่น้ีคงหมายถึงข้อบ่งชี้ถึงจุดอ่อนหรือข้อบกพร่อง
ในทางคดีของคู่ความอีกฝ่ายว่าอาจจะมีการทาอะไรที่ไม่ได้เป็นไปตามที่กล่าวอ้าง
หรืออาจจะมีข้อมูลหรือข้อเท็จจริงบางประการที่อาจจะส่งผลเสียต่อรูปคดีของคู่ความ
ฝ่ายตรงข้ามนั้นซ่อนเร้นอยู่ ผลจากการค้นพบข้อมูลหรือข้อเท็จจริงลักษณะดังกล่าวน้ี
จึงจะทาให้คู่ความอีกฝ่ายสามารถรู้ว่าควรต้องไปแสวงหาข้อมูลหรือข้อเท็จจริงในจุดใด
เพ่มิ เติมเพื่อจะทาลายนา้ หนกั ในทางคดีของค่คู วามอีกฝ่ายได้

วิธีการน้ีในแง่มุมหนึ่งย่อมทาให้ต้องใช้เวลาและเสียค่าใช้จ่ายมากข้ึนเหมือนดังท่ี
ในบทความเองก็ยอมรบั วา่ เป็นวธิ ีการท่ีมีราคาแพง เพราะต้องใชเ้ วลาและความพยายาม
ของทนายความมากขึ้น ซ่ึงในต่างประเทศเองคิดค่าตอบแทนในทางวิชาชีพ
ของทนายความตามจานวนชั่วโมงท่ีใช้ไป ทาให้ย่ิงต้องไปดาเนินกระบวนการต่างๆ
เหล่านี้เพิ่มขึ้นก็ต้องเสียเวลาและค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นตามไปด้วย แต่หากเทียบกับ
กระบวนการสืบพยานในประเทศไทยจะเห็นว่าพยานจะมาเบิกความให้ถ้อยคาเกี่ยวกับ
ข้อมูลหรือข้อเท็จจริงท่ีตนเองรู้เห็นก็ต่อเมือ่ ถึงวนั นัดสืบพยานของพยานปากนั้น คู่ความ
ฝ่ายตรงข้ามแทบไม่มีโอกาสรู้ได้เลยว่าพยานปากนั้นจะเบิกคว ามถึงเร่ืองอะไร บ้าง
หากไม่ใช่กรณีที่มีการส่งบันทึกถ้อยคาเป็นลายลักษณ์อักษรล่วงหน้า ถึงแม้จะมีการ
ส่งบันทึกถ้อยคาเป็นลายลักษณ์อักษรล่วงหน้าก็คงมีเพียงข้อมูลหรือข้อเท็จจริงตามท่ี
คู่ความท่อี ้างพยานปากนั้นต้องการจะใหร้ เู้ ท่าน้นั

ส่ ว น ที่ เ ป็ น จุ ด อ่ อ น ห รื อ ข้ อ บ ก พ ร่ อ ง ข อ ง ค า เ บิ ก ค ว า ม ข อ ง พ ย า น ใ น ร ะ บ บ
การสืบพยานในประเทศไทยเราจึงจะปรากฏต่อเม่ือมีการถามค้าน แต่แม้จะปรากฏ
จุดอ่อนหรือข้อบกพร่องดังกล่าวจากการถามค้าน แต่โอกาสที่คู่ความฝ่ายนั้นจะไปหา
พยานหลักฐานมาพิสูจน์ยืนยันจุดอ่อนหรือข้อบกพร่องดังกล่าวย่อมมีโอกาสน้อยมาก
ด้วยข้อจากัดของเวลาในการนัดสืบพยานโดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเป็นการนัดสืบพยาน

94

แบบต่อเน่ือง เพราะการเตรียมพยานหลักฐานของคู่ความแต่ละฝ่ายในบ้านเราต้ังอยู่
บนพื้นฐานของส่งิ ที่คคู่ วามแตล่ ะฝา่ ยร้เู ท่าน้ัน แต่คคู่ วามไมอ่ าจรูไ้ ดว้ ่าอีกฝา่ ยมขี อ้ มูลหรอื
ข้อเท็จจริงอะไรบ้างโดยเฉพาะท่ีจะสนับสนุนรูปคดีของตน การพิสูจน์ความจริงจาก
ถอ้ ยคาของพยานในประเทศไทยเราจงึ องิ กบั ความสามารถในการถามคา้ นค่อนขา้ งมาก

The second discovery device is interrogatories under Rule 33. These
are written questions, answered in writing under oath. They can be sent
only to parties, and not to non- parties. The party has 30 days in which to
respond, so one rarely finds a “smoking gun” in interrogatories. Still, they
are useful to discover background information and to force the other party
to give details about her claims or defenses.

เครื่องมือประการที่สองเพ่ือค้นพบความจริงคือการสอบถาม (interrogatory)
ภายใต้กฎข้อที่ 33 กรณีนี้เป็นการส่งคาถามเป็นลายลักษณ์อักษรที่ต้องตอบภายใต้
การสาบานตนเป็นลายลกั ษณอ์ ักษร คาถามเหล่านีอ้ าจสง่ ไปยังคคู่ วามในคดหี รอื ผทู้ ีไ่ มไ่ ด้
เป็นคู่ความในคดีก็ได้ คู่ความจะต้องตอบภายใน 30 วัน อาจจะยากที่จะค้นพบ “ปืนท่ี
ยงั มคี วนั กรนุ่ อยู่” จากการสอบถาม แต่วธิ กี ารนย้ี ังมีประโยชน์ในการค้นหาขอ้ มลู ภูมิหลัง
และบงั คับใหค้ คู่ วามอกี ฝ่ายตอ้ งใหร้ ายละเอยี ดเกีย่ วกับข้อเรียกรอ้ งหรือขอ้ ต่อสขู้ องตน

95

Interrogate
คาว่า Interrogate นี้มีที่ใช้ได้หลายความหมายโดยเฉพาะในเชิงของกฎหมาย

แต่ก่อนท่ีจะไปทาความเข้าใจแง่มุมในเชิงของกฎหมาย อาจจะเร่ิมจากความหมาย
ที่เป็นเชิงทั่วๆ ไปเสียก่อนเพื่อจะทาให้เข้าใจความหมายที่เฉพาะเจาะจงลงไป คาว่า
Interrogate นี้มีความหมายโดยทั่วไปในเชิงการของการถามคาถามเพ่ือให้ได้คาตอบจาก
อีกคนหน่ึง แต่สิ่งที่ทาให้การถามที่เป็น Interrogate น้ีแตกต่างจากการถามทั่วๆ ไป
คอื การถามที่เป็น Interrogate นมี้ ักจะเป็นคาถามติดต่อกันหลายๆ คาถามเพอื่ ท่จี ะค้นหา
ความจริงในเรื่องใดเร่ืองหน่ึงให้ได้ลึกมากกว่าปกติท่ีเพียงแต่ถามแล้วจบๆ กันไป เพราะ
ในการถามเพียงหน่ึงหรอื สองคาถามอาจจะไมไ่ ดข้ อ้ มลู เทา่ ทคี่ วรโดยเฉพาะอย่างยงิ่ หากคน
ตอบพยายามหลีกเลี่ยงหรือปดิ ปังขอ้ เท็จจริงบางอยา่ งจงึ ทาให้การถามที่เป็น Interrogate
นมี้ กั เปน็ การถามทตี่ อ่ เนือ่ งตดิ ต่อกนั ไปเรยี กได้วา่ เพื่อจะเค้นคาตอบให้มากที่สดุ

ลักษณะอีกประการหนึ่งท่ีทาให้การถามที่เป็น Interrogate คือลักษณะการ
ของการบงั คบั ให้ตอบจากคนถาม โดยคนตอบอยใู่ นสภาวะท่ีอาจอยู่ภายใต้สภาวะบงั คับให้
ตอ้ งตอบคาถามของคนถาม เพราะหากเปน็ การถามปกติทวั่ ไป คนตอบอาจจะตอบหรือไม่
ตอบก็ได้ตามแต่ใจ แต่เม่ืออยู่ในลักษณะของการ Interrogate นี้คนตอบอยู่ในสภาวะ
ที่หลีกหนีไปไหนไม่ได้ ทาให้ต้องตอบตามท่ีฝ่ายถามพยายามซักไซ้ไล้เรียงเพื่อเค้นหาความ
จริง ด้วยลักษณะของการถามดังกล่าวนี้ ทาให้เวลาที่นาไปใช้ในบริบทของกฎหมายอาญา
และการดาเนินคดีอาญาจะทาให้หมายถึงการสอบสวนของพนักงานเจ้าหน้าท่ีก็ได้ เพราะ
หากเป็นการถามของพนักงานสอบสวนที่ซักถามพยานหรือผู้ต้องหาจะเห็นได้ว่ามีลักษณะ
ที่คล้ายคลึงกันที่ผู้ถูกถามตกอยู่สภาวะท่ีถูกบังคับให้ต้องตอบคาถามท่ีอาจจะเรียกได้ว่า
ยงิ มาเปน็ ชดุ จากคนถามเพอื่ ค้นหาความจริงที่เกดิ ขึ้นให้มากที่สุด ตัวอย่างการใชค้ าๆ นี้ เช่น

The policeman interrogates a suspect in a homicide case for more
than two hours, but cannot obtain as much information as expected.
ตารวจสอบสวนผู้ต้องหารายหนึ่งในคดีฆาตกรรมมากกว่าสองช่ัวโมง แต่ไม่ได้
ขอ้ มลู มากเท่าทหี่ วังไว้
The manager tried to interrogate one of her subordinates in order to
find out who leaked confidential information to the press.
ผ้จู ดั การพยายามสอบสวนผ้ใู ต้บงั คบั บัญชาคนหนึ่งของเธอเพ่ือที่จะคน้ หาว่าใคร
เปน็ คนแอบให้ขอ้ มูลความลับแกผ่ สู้ อ่ื ข่าวไป

96

Interrogatory
คาว่า Interrogatory นี้ก็มีความหมายที่ต่อเนื่องมาจากคาว่า Interrogate

ท่ีกล่าวถึงไปแล้วนั่นเอง เมื่อคาว่า Interrogate มีความหมายเกี่ยวกับการถามและ
การสอบสวนแล้วแต่บริบท คาวา่ Interrogatory จึงยอ่ มตอ้ งมีความหมายทเ่ี ก่ยี วข้อง
กับการถามด้วยเช่นกัน เพียงแต่ส่ิงที่แตกต่างออกไปคือกรณีท่ีเป็นการ Interrogate
โ ด ย ทั่ ว ไ ป ย่ อ ม เ ป็ น ก า ร ถ า ม แ บ บ เ ผ ชิ ญ ห น้ า กั น ร ะ ห ว่ า ง ค น ถ า ม กั บ ค น ต อ บ
เพราะไม่เช่นน้ันย่อมไม่สามารถต้ังคาถามท่ีต่อเนื่องเช่ือมโยงมาจากคาถามก่อนหน้าได้
แต่ในกรณีที่เป็น Interrogatory น้ีก็ยังคงมีความหมายของการเป็นชุดคาถามเช่นกัน
แต่เป็นการถามเป็นลายลักษณ์อักษรให้อีกฝ่ายตอบ ลักษณะประการสาคัญของ
การเป็น Interrogatory ท่ีถือเป็นส่วนหน่ึงของกระบวนพิจารณาเพื่ อค้นพบ
ความจริง (Discovery) คือผู้ตอบจะต้องตอบภายใต้การสาบานตนด้วย นัยของ
การสาบานตนน้ีไม่ได้เป็นการใช้ศาสนาหรือส่ิงศักด์ิสิทธิ์เป็นเคร่ืองมือในการทาให้ได้
ความจริงจากคนตอบ แต่เกี่ยวกับความรับผิดทางกฎหมายที่จะตามมา เพราะหาก
เป็นการตอบภายใต้การสาบานตนแล้วและปรากฏภายหลังว่าผตู้ อบเจตนาให้คาตอบ
ที่ไม่ตรงต่อความจรงิ อาจจะทาให้เกิดความรับผิดทางอาญาขึ้นได้ ตวั อย่างการใชค้ าว่า
Interrogatory น้ี เช่น

In a class action, the plaintiff lawyer carries out an interrogatory
with regard to the misleading information about defective parts in
cars manufactured by the defendant.
ในการดาเนินคดีแบบกลุ่ม ทนายความโจทก์ได้ทาการสอบถามเกี่ยวกับการ
ให้ข้อมูลที่ทาให้เข้าใจผิดเก่ียวกับส่วนประกอบที่ชารุดบกพร่องในรถยนต์
ท่ีจาเลยผลิต

97

The third discovery tool is the request to produce under Rule 34.
This requires the respondent to allow access to documents, electronically
stored information ( ESI) , and tangible things. The discovering party then
gets to review these things and make copies or run tests on the things (such
as the allegedly malfunctioning widget) . This tool is available to get such
information from parties or non-parties. …

เครื่องมือเพ่ือค้นพบความจริงประการที่สามคือการร้องขอให้ส่งพยานหลักฐาน
(requests to produce) ภายใตก้ ฎขอ้ ท่ี 34 วิธีการนบี้ งั คบั ให้คคู่ วามฝา่ ยตรงข้ามตอ้ ง
ยอมให้ฝ่ายท่รี ้องขอสามารถเข้าถึงเอกสาร ข้อมลู ทเี่ ก็บทางอเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ และวัตถุต่างๆ
คู่ความท่ีใช้วิธีการน้ีเพื่อค้นหาความจริงมีสิทธิที่จะตรวจสอบส่ิงต่างๆ เหล่านั้นและ
ทาสาเนาไว้ได้ หรืออาจทาการทดสอบสิ่งเหล่าน้ี (เช่นการทดสอบอุปกรณ์ที่ถูกกล่าวหา
ว่าทางานบกพรอ่ ง) เครอ่ื งมอื ประการนี้สามารถใช้เพื่อทาใหไ้ ดข้ ้อมลู จากทงั้ คคู่ วามในคดี
และผ้ทู ่ีไม่ใช่คคู่ วามในคดี

Allege
คาว่า Allege นี้เป็นอีกคาหนึ่งทปี่ รากฏให้เห็นอยู่เสมอในเอกสารและข้อความ

ทางกฎหมาย แต่เป็นคาท่ีทาความเข้าใจได้ไม่ยาก ความหมายโดยทั่วไปของคาๆ น้ี
จะหมายถงึ การท่เี รากลา่ วถึงข้อเทจ็ จริงเรอื่ งใดเรือ่ งหน่ึงในลกั ษณะทีเ่ ราต้องการสือ่ ให้
คนอื่นเห็นว่าส่ิงที่เรากล่าวถึงไปเป็นความจริงดังที่เรากล่าวอ้างไป โดยส่วนใหญ่
การกล่าวอ้างนั้นอาจจะยังไม่มีการพิสูจน์ว่าเป็นความจริงอย่างท่ีกล่าวอ้างไปหรือไม่
เพราะถ้าหากมีการพิสูจน์จากพยานหลกั ฐานหรือข้อมูลต่างๆ ประกอบแล้ว ข้อความ
นั้นจะไม่ใช่การกล่าวในลักษณะท่ีเป็น Allege อีกต่อไปเพราะถือว่าเป็นการกล่าวถึง
สิ่งที่เป็นความจริงที่พิสูจน์แล้วไม่ใช่แค่เพียงการกล่าวอ้างหรือกล่าวหาท่ีจะถือว่าเปน็
Allege อีก หากจะสรุปความหมายเป็นคาส้ันๆแล้ว คาที่ใกล้เคียงท่ีสุดคงเป็นคาว่า
กล่าวหา หรืออาจจะเป็นการกลา่ วอ้างกไ็ ด้เช่นกนั

98


Click to View FlipBook Version