เมื่อใช้ในลักษณะที่เป็นคานามแล้วจะกลายเป็นคาว่า Allegation หรือข้อ
กล่าวอ้างหรือขอ้ กลา่ วหา ซ่ึงมีความหมายไม่แตกต่างจากท่ีได้กลา่ วถึงมาข้างต้นในคา
ว่า Allege เพราะสิ่งที่เป็น Allegation ท่ีเป็นข้อที่กล่าวอ้างข้ึนน้ีอย่างเช่นในคาฟ้อง
อาจจะกลา่ วอ้างถงึ ขอ้ เทจ็ จรงิ อยา่ งใดอยา่ งหน่ึงท่ีโจทก์อ้างว่าจาเลยกระทาและทาให้
จาเลยต้องรับผิดต่อความเสียหายท่ีเกิดจากการกระทาของตน การที่ข้อความนั้นถือ
ว่าเป็น Allegation เพราะเป็นส่ิงท่ีโจทก์กล่าวอ้างข้ึน แต่ความจริงจะเป็นอย่างไร
จะต้องพิสูจน์จากพยานหลกั ฐานของท้ังสองฝ่ายอีกคร้ังหน่ึง กรณีจะเป็นเช่นเดียวกับ
ข้อท่ีจาเลยกล่าวอ้างในคาให้การของตนเพ่ือปฏิเสธจากความรับผิดที่โจทก์กล่าวหา
เพราะข้อเท็จจริงจะเป็นอย่างท่ีจาเลยกล่าวอ้างหรือไม่ก็จะต้องพิสูจน์จาก
พยานหลักฐานเช่นกัน ตราบใดที่ยังไม่มีการพิสูจน์ว่าความจริงเป็นอย่างไรส่ิงที่แต่ละ
ฝ่ายกล่าวอา้ งจงึ เป็นเพียงแค่ Allegation
ตัวอยา่ งการใช้คาทัง้ สองคาน้ี เช่น
The plaintiff alleges in the plaint that the defendant delivered
defective goods to the plaintiff.
โจทกก์ ลา่ วอ้างในคาฟ้องว่าจาเลยส่งมอบสนิ ค้าท่ีชารุดบกพร่องใหแ้ กโ่ จทก์
The defendant alleges in the answer to the plaint that the
defendant delivered the goods of which the quality was in accordance
with the agreement agreed upon by both parties.
จาเลยกลา่ วอา้ งในคาให้การวา่ จาเลยสง่ มอบสินค้าทม่ี คี ุณภาพตรงตามท่กี าหนด
ไว้ในสัญญาทีค่ สู่ ญั ญาทั้งสองฝา่ ยได้ตกลงกนั ไวแ้ ล้ว
The accused denies all allegations that the public prosecutor
makes against him.
ผตู้ ้องหาปฏิเสธบรรดาขอ้ กลา่ วหาท้ังหมดทพ่ี นกั งานอัยการไดก้ ลา่ วหาตน
99
The forth discovery tool is the medical examination under Rule 35.
This permits a party to force someone to undergo a relevant examination
by an appropriate health care professional. For example, if P claims physical
injuries, D will probably want to have her doctor examine P. Rule 35
provides significant protection for the person to be examined. A medical
exam is available only upon court order, and the order is not easy to get.
The discovering party must demonstrate that the condition to be examined
– which might be physical or mental – is relevant to the case and that
there is “good cause” to order the exam.
เคร่ืองมือเพ่ือค้นพบความจริงประการที่สี่ได้แก่ การตรวจทางการแพทย์
(medical examination) ภายใต้กฎข้อที่ 35 วิธีการน้ีอนุญาตให้คู่ความสามารถ
บังคับบุคคลใดบุคคลหน่ึงให้เข้ารับการตรวจท่ีเกี่ยวข้องจากผู้ท่ีประกอบวิชาชีพแพทย์
ตัวอย่างเช่น หาก P อ้างว่าได้รับการบาดเจ็บทางกาย D อาจต้องการท่ีจะให้แพทย์ของ
ตนตรวจ P กฎข้อท่ี 35 ได้ให้ความคุ้มครองท่ีสาคัญแก่บุคคลที่จะต้องเข้ารับการตรวจ
ด้วย การตรวจทางการแพทย์นี้จะทาได้เฉพาะเม่ือมคี าสัง่ ศาลเทา่ นั้นและคาสง่ั ดังกล่าวก็
ไม่ใช่จะได้มาโดยง่าย คู่ความที่ต้องการจะค้นหาความจริงต้องแสดงให้เห็นถึงสภาวะ
ท่ีต้องการตรวจสอบซึ่งอาจจะเป็นสภาวะทางกายหรือทางจิตก็ได้ที่เก่ียวข้องกับคดีและ
แสดงให้เหน็ ถึง “เหตุอนั สมควร” ทจี่ ะใหศ้ าลมคี าสั่งใหเ้ ขา้ รบั การตรวจ
The fifth discovery device is the request for admission under Rule 36.
These may be sent only to parties, and not to non- parties. They require
the party to admit or deny specific factual statements. The responding
party has 30 days in which to respond. For example, P in a car crash case
could send to D a Rule 36 request requiring D to admit or deny that she
had drunk alcohol within 10 minutes of the crash. If D does not deny the
request within 30 days, she is deemed to have admitted it.
100
เครื่องมือเพื่อค้นพบความจริงประการท่ีส่ีได้แก่ การร้องขอให้รับข้อเท็จจริง
(requests for admission) ภายใต้กฎข้อท่ี 36 คาร้องขอน้ีจะส่งได้แต่เฉพาะผู้ที่เป็น
คู่ความในคดีเท่านั้นและจะไม่สามารถสง่ ไปถึงบุคคลอื่นท่ีไมใ่ ช่คู่ความในคดี คาร้องขอน้ี
จะกาหนดให้คู่ความอีกฝ่ายต้องยอมรับหรือปฏิเสธข้อเท็จจริงบางประการ คู่ความที่
ได้รับคาร้องขอมีเวลา 30 วันท่ีจะตอบ ตัวอย่างเช่น ในคดีขับรถชน P อาจส่งคาร้องขอ
ตามกฎข้อที่ 36 ไปยัง D เพื่อให้ D ยอมรับหรือปฏิเสธว่าได้ดื่มเคร่ืองดื่มแอลกอฮอล์ไป
ภายในเวลา 10 นาทีก่อนเกิดอุบัติเหตุหรือไม่ หาก D ไม่ปฏิเสธภายใน 30 วันจะถูก
ถอื ว่ายอมรับขอ้ เท็จจรงิ ดังกลา่ วแลว้
Deem
คาว่า Deem น้ีเป็นอีกคาหนึ่งท่ีน่าสนใจในเชิงของการใช้เกี่ยวกับกฎหมาย
หากพิจารณาถงึ ความหมายโดยทว่ั ไปของคาๆ นก้ี อ่ นจะเห็นได้วา่ มีความหมายทสี่ ่ือถงึ
การท่ีมีความเห็น คิดหรือตัดสินว่าเป็นอย่างหนึ่งอย่างใด ไม่ว่าจะคิดว่าผิดหรือถูก
เหมาะสมหรือไม่เหมาะสม ความหมายที่แฝงอยู่ส่วนหน่ึงจึงบ่งบอกถึงการใช้ดุลพินิจ
ในการคิดไตรต่ รองว่ากรณีเป็นอยา่ งไรซง่ึ อาจจะแลว้ แตม่ ุมมองของคนคดิ ดว้ ย เช่น
Somsri deems it wise to avoid the heavy traffic on Sukhumvit Road,
and take a detour.
สมศรีคิดว่าเป็นการฉลาดท่ีหลีกเล่ียงการจราจรท่ีติดขัดบนถนนสุขุมวิทและใช้
เส้นทางท่ีออ้ มไป
Amorn deems that it is worth taking a risk in investing in the
cryptocurrency.
อมรคดิ ว่าคมุ้ คา่ ทจ่ี ะเส่ยี งลงทุนในสกลุ เงินคลิปโต
101
ความหมายในทางกฎหมายที่ทาให้คาๆ น้ีมีความน่าสนใจจะเป็นผลจาก
ความหมายข้างต้นที่ส่ือถึงการใช้ดุลพินิจในการคิดและตัดสินใจในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง
หากพิจารณาเปรียบเทียบกับถ้อยคาในกฎหมายบางกรณีที่จะบัญญัติไว้ให้ศาลหรือ
อาจจะเปน็ พนักงานเจ้าหนา้ ที่ใช้ดุลพินจิ ส่ังหรอื กาหนดได้ตามที่เห็นสมควร เน่ืองจาก
กฎหมายไม่สามารถกาหนดมาตรการไว้โดยละเอียดสาหรับทุกสถานการณ์ได้ ทาให้
บางกรณีต้องเปิดช่องให้มีการใช้ดุลพินิจให้เหมาะสมกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริง ใน
กรณลี กั ษณะนี้อาจจะใช้คาว่า Deem เป็นส่วนประกอบของประโยคทีบ่ อกว่า as the
court deems appropriate ก็จะมีความหมายในทานองท่ีว่าตามที่ศาลจะ
เห็นสมควร เพราะในเร่ืองดังกล่าวน้ีศาลจะต้องใช้ดุลพินิจคิดและตัดสินใจเองว่าสิ่งที่
เหมาะสมควรจะตอ้ งทาอย่างไร เชน่
Although the plaintiff pays the court fee when she files the
complaint, the court will decide which party will finally bear the burden
of the fee, as the court may deem appropriate.
แมว้ ่าโจทก์จะชาระคา่ ขึ้นศาลไวใ้ นขณะทยี่ นื่ ฟอ้ ง ศาลจะตดั สินว่าสุดทา้ ยคคู่ วาม
ฝา่ ยใดเป็นผ้รู บั ผิดชอบค่าฤชาธรรมเนียมดงั กล่ามตามแตศ่ าลจะเห็นสมควร
If the court deems appropriate in the interest of justice, the court
may allow a party to adduce a copy of an evidentiary document if the
original of the document was destroyed by an incident that the party
was not responsible for.
หากศาลเห็นสมควรเพ่ือประโยชน์แห่งความยุติธรรม ศาลอาจอนุญาตให้
คู่ความฝ่ายหน่ึงนาสืบสาเนาพยานเอกสารได้หากต้นฉบับเอกสารนั้นถูกทาลายด้วย
เหตุอยา่ งใดอย่างหน่งึ ทค่ี ู่ความฝา่ ยนัน้ ไม่ต้องรับผดิ ชอบ
102
การใช้คาว่า Deem ที่น่าสนใจในเชิงกฎหมายอีกประการหน่ึงคือ การใช้
ในลักษณะท่ีไม่ว่าข้อเท็จจริง จริงๆ แล้วจะเป็นอย่างไร แต่หากเม่ือเกิดเหตุการณ์
ตามกรณี เง่ือนไขหรือหลักเกณฑ์ที่กฎหมายกาหนดแล้วกฎหมายให้ถือว่ามีผล
ทางกฎหมายอย่างหนึ่งอย่างใดตามมา การใช้ในความหมายนี้มักจะพบในรูปของ
Passive มากกว่า เชน่
If several persons die in the same incident, and it is impossible to
specify whether a person dies before or after another person, it is
deemed that those persons die at the same time.
หากบุคคลหลายคนตายในเหตุการณ์คราวเดียวกันและไม่สามารถระบุได้ว่าใคร
ตายก่อนหรอื หลงั ใคร ให้ถือวา่ บคุ คลเหล่าน้นั ตายพร้อมกนั
An acceptance to an offer that reaches the offeror after the period
of time specified by the offeror expires shall be deemed to be a new
offer.
คาสนองที่ไปถึงผู้เสนอภายหลังจากระยะเวลาท่ีผู้เสนอกาหนดสิ้นสุดให้ ถือว่า
เป็นคาเสนอใหม่
หากย้อนกลบั ไปพจิ ารณาความหมายตามตวั อย่างแรกจะเหน็ ไดอ้ ยา่ งชัดเจนว่า
การที่มีบุคคลหลายคนถึงแก่ความตายในเหตุการณ์เดียวกันหลายคนและไม่อาจระบุ
ได้ว่าใครตายก่อนใครซึ่งอาจจะมีผลถึงสิทธิในการรับมรดกในระหว่างผู้ท่ีถึงแก่
ความตายน้ัน การที่กฎหมายกาหนดให้ถือว่าถึงแก่ความตายพร้อมกันจึงเป็นสิ่งท่ี
กฎหมายกาหนดให้ถือว่าเป็นเช่นน้ัน แม้ว่าในความเป็นจริงแทบจะเป็นไปได้ยาก
ท่ีบรรดาผู้ที่เกี่ยวข้องน้ันจะถึงแก่ความตายในขณะเดียวกันหมดทุกคน คาว่า Deem
ในท่ีนี้จึงเป็นกรณีท่ีกฎหมายกาหนดให้มีผลหรือถือว่าเป็นอย่างหน่ึงอย่างใดแม้ว่า
ความจริงอาจจะแตกต่างออกไป กรณีน้ีจึงเป็นนัยที่แตกต่างจากการให้สันนิษฐานว่า
เป็นอย่างหนึ่งอย่างใดท่ีอาจจะมีการพิสูจน์ให้เห็นว่าความจริงแตกต่างไปจาก
ที่สันนิษฐานก็ได้ แต่หากเป็นกรณีที่กฎหมาย Deem ว่าเป็นอย่างไรแล้วผลย่อมจะ
เปน็ ไปตามทกี่ าหนดไมส่ ามารถพสิ จู นห์ รอื โต้แย้งใหแ้ ตกตา่ งเปน็ อยา่ งอืน่ ได้อกี
103
เครื่องมือและกลไกต่างๆ ที่กาหนดขึ้นข้างต้นนี้ล้วนแต่มีเป้าหมายอย่างเดียวกัน
ที่จะทาให้คู่ความสามารถค้นพบความจริงให้ได้มากท่ีสุดเท่าที่จะทาได้ เพียงแต่การจะ
ใช้เครื่องมือใดย่อมขึ้นอยู่กับลักษณะของข้อเท็จจริงที่ต้องการค้นให้พบ อย่างเช่นกรณี
การร้องขอให้มีการตรวจทางการแพทย์ท่ีโดยสภาพย่อมไม่สามารถใช้วิธีการอ่ืน
มาทดแทนได้ เพราะตอ้ งใช้ความรู้ความชานาญเฉพาะทางท่ีบคุ คลีอื่นโดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ทนายความยอ่ มไมส่ ามารถตรวจสอบไดเ้ อง
วิธีการเช่นการสอบถามแม้จะเป็นอยา่ งทบี่ ทความได้กล่าวถึงไว้ว่าอาจจะไมท่ าให้
ค้นพบข้อเท็จจริงที่บ่งบอกการกระทาที่มิชอบของอีกฝ่ายมากนัก เพราะโดยสภาพ
ของการตอบที่ผู้ตอบสามารถตอบเป็นหนังสือย่อมทาให้สามารถขัดเกลาข้อความต่างๆ
ท่ีอาจจะมีผลเสียออกได้ แต่สิ่งท่ีวิธีการดังกล่าวสามารถช่วยได้คือการทาให้เห็น
เหตุการณ์ท่ีเป็นภาพรวมของข้ออ้างหรือข้อต่อสู้ของคู่ความแต่ละฝ่าย เพื่อท่ีจะนาไปสู่
การคน้ หาขอ้ มลู บางจดุ หรือบางประเดน็ ทอี่ าจจะไมเ่ ป็นไปอยา่ งทีค่ ่คู วามฝา่ ยน้นั อ้างมา
วิธีการที่มีการใช้ไม่น้อยเช่นกันคือการร้องขอให้ส่งพยานหลักฐาน (requests
to produce) เพราะข้อมูลหรือข้อเท็จจริงท่ีสาคัญมักปรากฎในเอกสารหรือข้อมูลการ
ติดต่อส่ือสารอย่างเช่นไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ที่ส่งกันระหว่างผู้ที่เก่ียวข้อง เนื่องจาก
ในขณะท่ีมีการจัดทาเอกสารหรอื ติดต่อส่ือสารระหว่างกันผู้ทีเ่ ก่ียวขอ้ งยังไมไ่ ด้คาดคิดวา่
จะมกี ารฟ้องร้องดาเนนิ คดีใดๆ และไม่คดิ ว่าเอกสารหรือสงิ่ ทต่ี ดิ ต่อส่ือสารระหว่างกันจะ
กลายเป็นพยานหลักฐานในการดาเนินคดีไปได้ จึงทาให้ผู้ท่ีเก่ียวข้องกล่าวถึงข้อมูลหรือ
แม้แต่ความคิดเหน็ ไปโดยไมไ่ ดค้ านึงถึงผลกระทบท่ีจะเกิดขึ้น
ข้อแตกต่างระหว่างการร้องขอให้ส่งพยานหลักฐานนี้กับการขอให้ศาลมีคาสั่ง
เรยี กพยานเอกสารตามปกติตามประมวลกฎหมายวธิ ีพิจารณาความแพง่ อยู่ตรงท่ีแนวคิด
และข้ันตอนในกระบวนพิจารณาที่ไม่เหมือนกัน ตามมาตรา 88 กาหนดไว้
โดยเฉพาะเจาะจงว่าหากคู่ความฝ่ายใดประสงค์จะอ้างอิงเอ กสารฉบับใดเพ่ือ
เป็นพยานหลักฐานสนับสนุนข้ออ้างหรือข้อเถียงของตนจะต้องยื่นบัญชีระบุพยานแสดง
เอกสารหรือสภาพของเอกสารท่จี ะอ้าง แต่ในการร้องขอใหส้ ง่ พยานหลักฐานที่เปน็ ส่วนหนึ่ง
ของกระบวนพจิ ารณาเพ่อื ค้นพบความจรงิ นี้อาจกาหนดเพียงกว้างๆ ว่าเป็นเอกสารหรือ
104
พยานหลักฐานลักษณะใดเช่น เอกสารหรือไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ท้ังหมดท่ีติดต่อ
ระหว่างบุคคลท่ีระบุ แต่การจะใช้เอกสารฉบับใดกันแน่ในการสืบพยานในศาล
เป็นอีกเรื่องหนึ่งและอีกขั้นตอนหนึ่งซึ่งข้ึนอยู่กับว่าเมื่อนาเอกสารหรือไปรษณีย์
อิเล็กทรอนิกสท์ งั้ หมดท่ไี ด้รับมาตรวจสอบแลว้ มีช้ินใดบ้างทีเ่ ก่ียวข้องกับประเด็นแหง่ คดี
ข้อแตกต่างน้ีอาจอธิบายได้ว่าเพราะกระบวนพิจารณาเพอ่ื ค้นพบความจริง (Discovery)
นี้เป็นขั้นตอนก่อนการสืบพยาน (Pre-trial) แต่ในขณะท่ีการยื่นบัญชีระบุพยาน
ตามมาตรา 88 ดังกล่าวเป็นชั้นที่จะสืบพยานแล้วจึงต้องระบุโดยเฉพาะเจาะจงเพียงแต่
เม่ือไม่ได้ระบุไว้โดยเฉพาะเจาะจง คู่ความก็ย่อมไม่อาจขอให้ศาลมีคาสั่งเรียกจาก
ผู้ทเ่ี ก่ียวขอ้ งมาด้วย
ปัญหาประการหน่ึงท่ีอาจจะเกิดข้ึนนอกจากภาระค่าใช้จ่ายในการดาเนินการ
ต่างๆ ข้างต้นแล้ว การเปิดโอกาสให้คู่ความได้เรียกพยานหลักฐานหรือขอข้อมูลจาก
อีกฝ่ายหรือบุคคลท่ีเก่ียวข้องได้ค่อนข้างมากอาจเป็นช่องทางที่ทาให้เกิดการฟ้องร้อง
โดยท่ีพยานหลักฐานที่มีอยู่อาจไม่ได้แน่นหนามาก แต่คู่ความอาจยื่นฟ้องเข้ามาเพื่อใช้
เป็นช่องทางในการแสวงหาพยานหลักฐานเพิ่มเติมภายหลังจากกระบวนพิจารณา
เพ่ือค้นพบความจริง (Discovery) น้ี
กระบวนพจิ ารณาในประเทศและระบบกฎหมายต่างๆ ย่อมมีความแตกต่างกันไป
ตามสภาพและประเพณีทางกฎหมายของแต่ละประเทศ แต่ในการดาเนินคดีระหว่าง
ประเทศทุกวันนี้มีการนากลไกและเคร่ืองมือต่างๆ ของระบบกฎหมายแต่ละระบบ
ไปประยกุ ต์ใช้ไม่นอ้ ย โดยเฉพาะในกระบวนการอนญุ าโตตลุ าการระหว่างประเทศทไี่ มไ่ ด้
ถูกตีกรอบด้วยกฎหมายวิธีพิจารณาของประเทศใดประเทศหนึ่ง แต่ไม่ว่าระบบและ
กระบวนพิจารณาจะเป็นเช่นไร เป้าหมายและวัตถุประสงค์ของกฎหมายวิธีพิจารณา
ความของทุกประเทศล้วนเป็นอย่างเดียวกันคือการแสวงหาข้อเท็จจริงให้ตรงหรือ
ใกล้เคียงกับความเป็นจริงท่ีเกิดข้ึนให้มากที่สุดเพื่อที่จะทาให้ผลของคดีความเป็นธรรม
มากท่ีสุดเท่าท่ีจะทาได้ เพราะหากผลของคดีตั้งอยู่บนพ้ืนฐานของข้อเท็จจริงที่บกพร่อง
หรือไม่ตรงต่อความจริง ผลของคดีย่อมยากทจ่ี ะเปน็ ผลทเ่ี ปน็ ธรรมไปได้
105
เขตอานาจศาลเหนือคคู่ วาม (Jurisdiction over parties)
ในโลกทุกวันนี้ประชาชนเดินทางไปมาหาสู่ ท่องเท่ียวและทาธุรกิจระหว่าง
ประเทศมากข้ึนทุกขณะ ในการปฏิสัมพันธ์ดังกล่าวนี้ทาให้เกิดข้อพิพาทมากขึ้น
ตามไปด้วย ข้อพิพาทท่ีเป็นท่ีมาของคดีความเหล่าน้ีมีลักษณะที่แตกต่างจากข้อพิพาท
ในคดีภายในประเทศท่ัวๆ ไปหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นเชิงของคู่ความท่ีเกี่ยวข้อง
ลักษณะของธุรกรรมหรือเหตุอันเป็นท่ีมาของข้อพิพาท และประการสาคัญคือ
ความเก่ียวพันกับประเทศมากกว่าหนึ่งประเทศ ส่งผลให้กระบวนพิจารณาของศาล
ทเี่ กดิ ขึ้นตามมามขี อ้ พิจารณาทีเ่ พม่ิ เติมกว่าคดปี กตทิ ั่วไปดว้ ยเชน่ กนั
หากการดาเนินกระบวนพิจารณาในศาลประเทศต่างๆ มีลักษณะเหมือนๆ กัน
คู่ความยอ่ มจะไม่ประสบความย่งุ ยากในการดาเนนิ กระบวนพิจารณานกั แต่ในความเป็นจรงิ
ย่อมยากย่ิงที่จะทาให้กระบวนพิจารณาในประเทศต่างๆ เหมือนกัน เพราะระบบ
กฎหมายของแต่ละประเทศย่อมแตกต่างกันอยู่ในตัว ความแตกต่างของระบบกฎหมาย
เช่นในประเทศท่ีใช้ระบบกฎหมายจารีตประเพณี (common law) กับระบบประมวล
กฎหมายก็มีความแตกต่างกันในแนวคิดและหลักการอันเป็นพ้ืนฐาน จึงไม่แปลกที่จะ
ทาให้กระบวนพิจารณาที่ดาเนินในศาลแต่ละประเทศมีความแตกต่างกันตามไปด้วย
แม้จะเป็นประเทศท่ีอยู่ระบบกฎหมายเดียวกันก็มิได้หมายความว่าจะมีการดาเนิน
กระบวนพิจารณาท่ีเหมือนกันตามไปด้วย ในบรรดาประเทศท่ีอยู่ในระบบกฎหมาย
เดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นระบบกฎหมายจารีตประเพณีหรือระบบประมวลกฎหมายก็ตาม
ก็ยังมีพัฒนาการของกระบวนพิจารณาท่ีแตกต่างกันตามค่านิ ประเพณีทางกฎหมาย
คา่ นยิ ม แนวคิดทางสงั คม เศรษฐกิจและวฒั นธรรมในแต่ละประเทศเหล่าน้นั 9
9 ALI/UNIDROIT, Principle of Transnational Civil Procedure (Cambridge University Press, 2007), p.6 – 7.
106
ตัวอย่างลักษณะหน่ึงท่ีเห็นได้ชัดเจนคือความแตกต่างระหว่างกระบวนพิจารณา
ในประเทศอย่างสหรัฐอเมริกากับประเทศในระบบกฎหมายจารีตประเพณีอ่ืนๆ
ในสหรัฐอเมริกา การใช้ระบบลูกขุนในคดีแพ่งเป็นสิทธิประการหน่ึง แต่ในประเทศอ่ืน
ในระบบกฎหมายจารตี ประเพณมี กั ใช้ในคดอี าญาเสยี มากกว่า กระบวนพจิ ารณาเปดิ เผย
พยานหลักฐาน (discovery) เปิดโอกาสให้คู่ความค้นหาพยานหลักฐานและข้อมูล
จากอีกฝ่ายได้อย่างกว้างขวางและด้วยเครื่องมือที่หลากหลาย หรือแม้แต่ในส่วนท่ี
เกี่ยวกับภาระความรับผิดชอบในค่าฤชาธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายของคู่ความที่แพ้คดี
คู่ความท่ีชนะคดีไม่อาจเรียกร้องให้ฝ่ายที่แพ้คดีรับผิดชอบชดใช้ค่าใช้จ่ายในการ
ดาเนินคดีของตนได้ คู่ความแต่ละฝ่ายต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายของตัวเอง แต่ในขณะที่
ประเทศอ่ืนอีกหลายประเทศในระบบกฎหมายจารีตประเพณีให้สิทธิคู่ความที่ชนะคดี
สามารถเรียกให้คู่ความท่ีแพ้คดีชดใช้ค่าใช้จ่ายในการดาเนินคดีได้มากแม้จะไม่ทั้งหมด
กต็ าม10
แม้จะมีความแตกตา่ งในรปู แบบและแบบพิธขี องกฎหมายก็ตาม แต่หากพิจารณา
ให้ลึกลงไปถึงหลักการและแนวคิดพื้นฐานของกระบวนพิจารณาแต่ละประเทศแล้ว
ยอ่ มจะเหน็ ไดว้ า่ กฎหมายของประเทศตา่ งๆ ยอ่ มมุง่ ประสงค์จะทาให้เกดิ ความเป็นธรรม
แก่คู่ความทุกฝ่ายอย่างเสมอภาคและเท่าเทียมกันเพ่ือที่จะทาให้ผลสุดท้ายของกระบวน
พิจารณาและข้อพิพาทที่เกิดข้ึนเป็นผลท่ีเป็นธรรมดังที่ควรจะเป็นด้วย แต่อย่างไรก็ตาม
ดว้ ยความแตกต่างของกระบวนพิจารณาและความไม่ค้นุ เคยของคคู่ วามทมี่ าจากประเทศ
หนึ่งแต่ต้องไปดาเนินกระบวนพิจารณาเพื่อเรียกร้องสิทธิหรือปกป้องสิทธิของตนในอีก
ประเทศหนึ่งอาจก่อให้เกิดผลท่ีไม่เป็นธรรมจากความคุ้นเคยและความไม่คุ้นเคย
ของคู่ความแต่ละฝ่ายได้ ด้วยเหตุน้ีจึงทาให้ สถาบันระหว่างประเทศเพ่ือความ
เ ป็ น อั น ห น่ึ งอั น เ ดี ย ว ขอ ง ก ฎ ห ม า ย เ อ ก ช น ( International Institute for the
Unification of Private Law – UNIDROIT) และ สถาบันกฎหมายอเมรกิ นั (American
10 Id.
107
Law Institute) ซึ่งเป็นแหล่งรวมนักกฎหมายระหว่างประเทศที่มีช่ือเสียงและได้รับ
การยอมรับในนานาประเทศได้ร่วมกันยกร่าง “หลักการของกระบวนพิจารณาทางแพ่ง
ระหว่างประเทศ (Principles of Transnational Civil Procedure)” ข้ึนเพ่ือรวบรวม
และสังเคราะห์หลักการในกฎหมายวิธีพิจารณาของระบบกฎหมายต่างๆ และ
ของประเทศต่างๆ ออกมาเป็นหลักการสาหรับดาเนินกระบวนพิจารณาคดีแพ่ง
ทม่ี ีลกั ษณะระหวา่ งประเทศข้นึ
หลักการดังกล่าวนี้แน่นอนว่าไม่ใช่กฎหมายในลักษณะท่ีเป็นอนุสัญญา หรือ
ความตกลงระหว่างประเทศที่มีผลผูกพันทางกฎหมาย แต่เป็นหลักการสาคัญ
ที่นักกฎหมายระหว่างประเทศยอมรับว่าเป็นหลักการที่เหมาะสมสาหรับการดาเนิน
กระบวนพิจารณาคดีแพ่งระหว่างประเทศ ในการนาไปใช้ในแต่ละประเทศย่อมต้องอยู่
ภายใต้กรอบและหลักเกณฑ์ของกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งแต่ละประเทศ เพียงแต่
ในขอบเขตท่ีกฎหมายภายในเปิดโอกาสให้ตีความและมีความยืดหยุ่นในการบังคับใช้
การนาหลักการดังกล่าวนี้ไปประกอบการพิจารณาย่อมจะทาให้กระบวนพิจารณาที่
ดาเนินไปมีความเหมาะสมกับข้อพิพาทระหว่างประเทศยิ่งข้ึน นอกจากนั้น ในกรณีที่
มีการปรับปรุงกฎหมาย การนาหลักการต่างๆ เหล่านี้ไปประกอบการพิจารณาในส่วน
ที่เก่ียวกับข้อพิพาทระหว่างประเทศย่อมจะทาให้กระบวนพิจารณาของประเทศต่างๆ
มีความใกล้ชิดกันมากยิ่งขึ้นและทาให้กระบวนพิจารณาท่ีดาเนินต่อไปนั้นสอดรับกับ
มาตรฐานความเปน็ ธรรมอนั เป็นท่ียอมรบั กนั ในนานาอารยประเทศด้วย
ในท่ีนี้คงไม่สามารถนาหลักการทั้งหมดมากล่าวถึงได้ด้วยข้อจากัดหลายๆ
ประการ ดังนั้นคงทาได้เพียงการเลือกเฟ้นหลักการบางข้อที่น่าสนใจมานาเสนอเพื่อ
เปน็ พน้ื ฐานและจดุ เริม่ ตน้ สาหรับการทาความเขา้ ใจหลกั การดังกล่าวน้โี ดยละเอยี ดต่อไป
108
2. Jurisdiction Over Parties11
2.1 Jurisdiction over parties may be exercised:
2.1.1 By consent of the parties to submit the dispute to the
tribunal;
2.1.2 When there is a substantial connection between the
forum state and the party or the transaction or
occurrence in dispute. A substantial connection exists
when a significant part of the transaction or occurrence
occurred in the forum state, when an individual
defendant is a habitual resident of the forum state or a
jural entity has received its charter of organization or has
its principal place of business therein, or when property
to which the dispute relates is located in the forum
state.
2. เขตอานาจศาลเหนอื คคู่ วาม
2.1 เขตอานาจศาลเหนอื คู่ความอาจใช้ได้
2.1.1 โดยความยนิ ยอมของคคู่ วามท่ีจะย่นื ขอ้ พพิ าทตอ่ คณะผพู้ จิ ารณา
2.1.2 เมือ่ มีจุดเกาะเกีย่ วทมี่ ีนัยสาคญั ระหว่างรัฐซ่ึงเปน็ ท่ีดาเนนิ กระบวน
พิจารณากับคู่ความหรือธุรกรรมหรือเหตุแห่งข้อพิพาทน้ัน จุดเกาะเก่ียว
ที่มีนัยสาคัญถือว่ามีอยู่หากส่วนสาคัญของธุรกรรมหรือเหตุดังกล่าวน้ัน
เกิดข้ึนในรัฐซ่ึงเป็นที่ดาเนินกระบวนพิจารณา จาเลยซึ่งเป็นบุคคล
11 Id., at p.18 – 19.
109
ธรรมดามีถิ่นที่อยู่ปกติในรัฐน้ัน นิติบุคคลได้จดทะเบียนก่อต้ังขึ้นหรือมี
สถานประกอบธุรกิจอันเป็นแหล่งสาคัญในรัฐน้ัน หรือทรัพย์สินท่ี
เก่ียวขอ้ งกับข้อพิพาทตงั้ อยู่ในรฐั ซึง่ เป็นท่ีดาเนินกระบวนพจิ ารณา
จุดเริ่มต้นของกระบวนพิจารณาคดีแพ่งส่วนใหญ่ย่อมต้องเริ่มจากการพิจ ารณา
อานาจของศาลที่จะรับคดีไว้พิจารณาพิพากษาหรือไม่ แต่ในกรณีน้ีคงเป็นส่วนที่
นอกเหนือจากการพิจารณาว่าคดีมีการโตแ้ ย้งสิทธิหรอื มีความจาเป็นตอ้ งใชส้ ิทธิทางศาล
อย่างเช่นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 หรือไม่ หากแต่เป็น
การพิจารณาว่าแม้จะมกี ารโต้แยง้ สิทธิหรอื มีความจาเป็นต้องใช้สิทธิทางศาลแล้ว ศาลที่
โจทก์นาคดีมาฟ้องมีอานาจท่ีจะพิจารณาพิพากษาคดีนั้นได้หรือไม่ เมื่อพิจารณาจาก
เขตอานาจของศาลน้ัน เง่ือนไขของ “ความยินยอม” ของคู่ความน้ันเป็นเงื่อนไขท่ี
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งของไทยเราเคยกาหนดไว้12 แต่เมื่อมีการ
ปรับปรุงกฎหมาย13ได้ตัดทอนบทบัญญัติท่ีว่าด้วยการตกลงเร่ืองเขตอานาจศาลออกไป
จึงทาให้ในปัจจุบันกฎหมายไทยไม่ได้กาหนดในเร่ืองนี้ไว้โดยตรง อีกท้ังประเทศไทย
12 ประมวลกฎหมายวธิ ีพจิ ารณาความ พ.ศ. 2477
“มาตรา 7 บทบญั ญตั ใิ นสี่มาตราก่อนนั้นตอ้ งอยูภ่ ายในขอ้ บังคบั ตอ่ ไปน้ี
(1) บรรดาคาฟ้องท่ีเสนอภายหลังเกีย่ วเนื่องกับคดีทีค่ ้างพิจารณาอยใู่ นศาลใด ใหเ้ สนอต่อศาลน้นั
(2) บรรดาคาฟอ้ งและคาขอทเ่ี สนอเกยี่ วเน่อื งกับการบังคบั คดตี ามคาพิพากษา หรอื คาสั่งของศาล ซึ่ง
บรรดาคาฟอ้ งหรือคาขอน้นั จาต้องมคี าวินิจฉยั ของศาลกอ่ นท่กี ารบงั คับคดีจะไดด้ าเนนิ ไปโดยครบถ้วนและถูกตอ้ งน้ัน ใหเ้ สนอ
ตอ่ ศาลทีร่ ะบุไว้ในมาตรา 302
(3) คาร้องทีย่ ื่นตามมาตรา 101 เพอ่ื รักษาไวซ้ ง่ึ พยานหลักฐานอันเกย่ี วกับคดีที่คา้ งพิจารณาอยูใ่ นศาลนัน้
ใหย้ ่นื ต่อศาลที่ทาการพจิ ารณา ถา้ ไม่มคี ดอี ยใู่ นระหว่างพจิ ารณา พยานผูซ้ ึง่ จะเรยี กมาสืบหรอื บุคคล หรือทรัพย์หรอื สถานท่ซี ึ่ง
จะต้องตรวจน้นั อยูใ่ นเขตศาลใด กใ็ ห้ยนื่ ต่อศาลนน้ั
(4) ถา้ ไดม้ ีการตกลงกันไวเ้ ป็นหนงั สอื ว่าคู่สญั ญาได้ยินยอมกันวา่ บรรดาข้อพิพาททีไ่ ด้เกดิ ขนึ้ แลว้ กด็ ี หรอื
ข้อพพิ าทท่ีอาจจะเกิดขน้ึ จากขอ้ สญั ญากด็ ี ใหเ้ สนอต่อศาลช้นั ตน้ ศาลใดศาลหนึง่ ตามทไี่ ดร้ ะบไุ ว้ ซึง่ ไมม่ ีหรืออาจไมม่ เี ขตศาล
เหนอื คดนี ั้นตามบทบญั ญัติแห่งประมวลกฎหมายน้ี ว่าดว้ ยศาลท่ีจะรบั คาฟ้อง ขอ้ ตกลงเช่นว่านใ้ี ห้เป็นอันผูกพันกันได้ แต่ศาลท่ี
ไดต้ กลงกันไวน้ ้นั จะตอ้ งเป็นศาลทคี่ คู่ วามฝ่ายใดฝา่ ยหนึ่งมีภมู ิลาเนาอยู่ในเขตศาลน้นั หรือมูลคดขี องเร่อื งนน้ั ไดเ้ กิดขนึ้ หรอื
ทรัพย์สินทพี่ ิพาทกันนั้นต้ังอยูภ่ ายในเขตศาลแห่งศาลนั้น ๆ”
13 พระราชบัญญัติแกไ้ ขเพิม่ เติมประมวลกฎหมายวิธพี จิ ารณาความแพง่ (ฉบบั ที่ 12) พ.ศ. 2534
110
ยังไม่ได้เข้าเป็นภาคี “อนุสัญญาว่าด้วยข้อตกลงเลือกศาล (Choice of Court
Agreements)” การที่คู่ความตกลงเลือกศาลอาจเป็นเพราะเป็นศาลของประเทศ
เป็นกลางท่ีไม่ทาให้คู่ความฝ่ายหน่ึงได้เปรียบเสียเปรียบ หรืออาจเป็นเพราะความถนัด
หรอื เช่ยี วชาญในขอ้ พพิ าทบางลกั ษณะกย็ อ่ มได้
ในหลักเกณฑ์ส่วนถัดมาท่ีเกี่ยวกับ “จุดเกาะเก่ียวที่มีนัยสาคัญ (substantial
connection)” ระหว่างรัฐซ่ึงเป็นที่ดาเนินกระบวนพิจารณากับคู่ความหรือธุรกรรม
หรือเหตุแห่งข้อพิพาทย่อมเป็นหลักการพื้นฐานท่ีคล้ายๆ กันทุกประเทศ เพราะหากรัฐ
ไม่มีความเกี่ยวข้องหรอื สมั พันธ์กับกรณีท่พี ิพาทหรือคู่ความที่เก่ียวข้องก็ย่อมไม่มีเหตุผล
ท่ีศาลของประเทศน้ันจะเข้าไปพิจารณาพิพากษาคดีน้ัน เพราะเมื่อกรณีที่พิพาทไม่ได้
เกิดข้ึนในรัฐแล้ว พยานบุคคลหรือพยานหลักฐานอ่ืนๆ ที่สาคัญๆ ตามปกติย่อมไม่ได้อยู่
ในรัฐนั้น ผลของการพิพากษาคดีก็ไม่ส่งผลใดๆ ในประเทศ หรือหากคู่ความไม่ได้อยู่ใน
ประเทศหรือรัฐนั้นแล้วการทจี่ ะบงั คับตามผลของคาพิพากษากอ็ าจจะทาได้ยาก
จุดเกาะเกี่ยวดังกล่าวน้ีอาจแบ่งออกได้เป็น 2 ลักษณะ ลักษณะประการแรกเป็น
ความสัมพันธ์ระหว่างรฐั ท่ีเป็นสถานที่ดาเนินกระบวนพิจารณากับคู่ความ (connection
between the forum state and the party) ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าเป็นอานาจของศาลใน
ส่วนท่ีเก่ียวกับตัวบุคคลที่เป็นคู่ความในคดี (personal jurisdiction) ลักษณะท่ีสองเป็น
ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐน้ันกับ “ธุรกรรม” หรือ “เหตุ” อันเป็น “มูลคดี” ที่ทาให้เกิด
ข้อพิพาทเป็นคดีนั้น ในส่วนของธุรกรรมจึงอาจหมายถึงที่เป็นนิติกรรมโดยทั่วไป
ส่วนเหตุหรือเหตุการณ์ที่เป็นท่ีมาของข้อพพิ าทจึงหมายถึง “นิติเหตุ” อย่างเช่น การทา
ละเมิดท่ีทาให้เกิดสิทธิหน้าที่ด้วยผลของเหตุการณ์ทเ่ี กิดขึ้นน้ัน อานาจของศาลในส่วนน้ี
จึงอาจกล่าวได้ว่าเป็นอานาจที่เกิดจาก “สภาพแห่งคาฟ้อง” ท่ีแสดงให้เห็นถึง
ความเกย่ี วพันกบั ศาลของรฐั นั้น
111
Jurisdiction
คาว่า Jurisdiction น้ีอาจกล่าวได้ว่ามีความหมายทั่วไปหมายถึงอานาจของศาลที่จะ
พิจารณาพิพากษาคดี ซึ่งการพิจารณาอานาจพิจารณาพิพากษาคดีย่อมต้องพิจารณา
จากลักษณะคดีนั้นว่าอยู่ในอานาจของศาลหรือไม่ และเหตุที่ทาให้ศาลมีอานาจ
พิจารณาพิพากษาไม่ว่าจะเป็นส่วนที่เก่ียวกับถิ่นที่อยู่หรือมูลคดีเกิดขึ้นในอาณาเขต
ที่ศาลอาจใช้อานาจเหนือได้ ทาให้ในอีกความหมายหนึ่ง คาว่า Jurisdiction นี้
อาจหมายถึงดนิ แดนหรอื เขตแดนท่อี ยูภ่ ายใต้อานาจของรฐั หนว่ ยงานของรฐั หรอื ศาล
ท่ีอาจใช้อานาจเหนือได้ เช่น กรณีของฮ่องกงซึ่งถือเป็นเขตการปกครองพิเศษของจนี
แต่ในดินแดนหรืออาณาเขตของฮ่องกงนั้น ศาลหรือรัฐบาลของฮ่องกงก็มีอานาจที่จะ
ใช้อานาจท่ีตนมีครอบคลุมเหนือดินแดนท่ีเป็นฮ่องกงทั้งหมดได้ ในความหมายน้ี
ฮ่องกงจึงอาจนับเป็น jurisdiction หนึ่งแม้จะไม่มีสถานะเป็นประเทศในกฎหมาย
ระหว่างประเทศแผนกคดีเมอื งก็ตาม
ตวั อยา่ ง
The Civil Court has jurisdiction over civil cases in which the cause
of action occurs in the prescribed area in Bangkok, or the
defendants reside in such area.
ศาลแพ่งมีเขตอานาจเหนือบรรดาคดีแพ่งที่ มูลคดีเกิดขึ้นในพื้นที่ใน
กรุงเทพมหานครตามทก่ี าหนดหรือจาเลยมภี มู ิลาเนาในพ้ืนทดี่ ังกลา่ วนัน้
The arbitral tribunal does not have jurisdiction over disputes that
parties exclude from the arbitration agreement.
คณะอนุญาโตตุลาการไม่มีอานาจเหนือข้อพิพาทที่คู่กรณีกันออกจากสัญญา
อนญุ าโตตลุ าการ
Jurisdictions such as Hong Kong and Macau have their own
judiciaries and laws that differ from those in other parts of the
country that they are a part of.
ดินแดนเช่นฮ่องกงและมาเก๊ามีระบบศาลและกฎหมายท่ีแตกต่างจากส่วนอื่น
ของประเทศท่ดี ินแดนนน้ั อยู่
112
2.2 Jurisdiction may also be exercised, when no other forum is
reasonably available, on the basis of:
2.2.1 Presence or nationality of the defendant in the
forum state; or
2.2.2 Presence in the forum state of the defendant’s
property, whether or not the dispute relates to the
property, but the court’s authority should be limited
to the property or its value.
2.2 หากปราศจากรัฐอ่นื ทีอ่ าจดาเนนิ กระบวนพิจารณาได้โดยมเี หตุ
อนั สมควร เขตอานาจศาลอาจใช้ไดด้ ว้ ยบนพน้ื ฐานของการที่
2.2.1 จาเลยมีสญั ชาตหิ รอื อยู่ในรฐั ซงึ่ เปน็ ท่ดี าเนินกระบวนพิจารณา
2.2.2 จาเลยมีทรพั ยส์ ินอย่ใู นรัฐซง่ึ เปน็ ที่ดาเนินกระบวนพจิ ารณา
ไม่วา่ ขอ้ พพิ าทจะเก่ยี วขอ้ งกับทรัพยส์ ินนนั้ หรอื ไม่ แต่อานาจของศาล
ควรจากดั แตเ่ ฉพาะตอ่ ทรัพยส์ ินหรอื มลู ค่าของทรัพยส์ นิ นั้น
เขตอานาจศาลในส่วนต่อมาเป็นกรณีที่พยายามจะวางหลักการว่าในก รณี
ที่กาหนดศาลอาจใช้อานาจพิจารณาพิพากษาในคดีลักษณะน้ีหากไม่ปรากฏว่ามีศาลอน่ื
ท่ีมีอานาจพิจารณาพิพากษาคดีเหล่านี้ได้ ทั้งน้ีก็เพราะหากมีความเดือดร้อนเกิดข้ึน
ประชาชนย่อมมีสิทธิที่จะเข้าถึงความยุติธรรม (access to justice) และต้องมีศาลท่ีจะ
เป็นท่ีพึ่งสุดท้ายไว้เสมอ หลักการดังกล่าวน้ีเรียกว่าเป็น “สถานที่ดาเนินกระบวน
พิจารณาด้วยเหตุจาเป็น (forum necessitatis)”14 แต่ด้วยเหตุที่ความสัมพันธ์
ระหว่างรัฐที่มีการดาเนินคดีมาฟ้องกับข้อพิพาทที่เกิดขึ้นมีน้อยจนแทบจะไม่มี
14 Supra, Note 1, at p.20.
113
ความสัมพันธ์สักเท่าใดจึงได้กาหนดให้ศาลมีอานาจพิจารณาพิ พากษาเฉพาะกรณีท่ี
จาเลยมีสัญชาติของรัฐนั้นแม้ว่าในความเป็นจริงจะไม่ปรากฏว่ามีภูมิลาเนาหรือถ่ินที่อยู่
ในรัฐนั้นแล้วก็ตาม เพราะหากเป็นกรณีที่มีภูมิลาเนาหรือถิ่นท่ีอยู่ในรัฐแล้วย่อมเข้า
ตามหลักเกณฑ์ข้อก่อนหน้าน้ีไปตามปกติ การที่จาเลยปรากฏตัวในรัฐนั้นก็อาจเป็นเหตุ
ให้ใช้อานาจพิจารณาพิพากษาได้ด้วยเหตุท่ีว่าแม้มูลคดีจะไม่ได้เกิดในรัฐนั้นและจาเลย
ไม่ได้มีภูมิลาเนาหรือถิ่นท่ีอยู่ในรัฐน้ันแต่การที่มีตัวจาเลยอยู่ก็อาจทาให้ศาลใช้อานาจ
บังคับอย่างหน่ึงอย่างใดกับตัวจาเลยที่เข้ามาอยู่ในอานาจศาลได้ทานองเดียวกับกรณีท่ี
จาเลยมีทรัพย์สินอยู่ในรัฐนั้น กรณีที่จาเลยมีทรัพย์สินในรัฐน้ีอาจคล้ายกับมาตรา 4 ตรี
วรรคสอง ที่ให้อานาจโจทก์เสนอคาฟ้องต่อศาลที่มีทรัพย์ของจาเลยต้ังอยู่ก็ได้ แต่ตาม
วรรคหน่ึงจะใหอ้ านาจโดยพจิ ารณาแต่เฉพาะตัวโจทก์เปน็ สาคัญว่าถ้าโจทก์มีสญั ชาตไิ ทย
หรือมีภูมิลาเนาในราชอาณาจักรแล้วก็อาจเสนอคาฟ้องในประเทศได้ไม่ว่าจาเลยจะอยู่
หรอื มที รพั ยอ์ ยู่ในประเทศหรือไม่
114
2. 3 A court may grant provisional measures with respect to a
person or to property in the territory of the forum state, even
if the court does not have jurisdiction over the controversy.
2.3 ศาลอาจมีคาสงั่ คุ้มครองประโยชน์ระหวา่ งพิจารณาเกยี่ วกับบคุ คลหรือ
ทรัพย์สินในดินแดนของรัฐซ่ึงเป็นที่ดาเนินกระบวนพิจารณานั้น แม้ว่า
ศาลไมม่ ีเขตอานาจเหนือความขดั แยง้ นน้ั กต็ าม
คาส่ังของศาลในกรณีน้ีอาจแตกต่างจากการคุ้มครองประโยชน์ระหว่างพิจารณา
ทั่วๆ ไปตรงท่ีมุ่งประสงค์ให้ศาลในประเทศหนึ่งอาจให้ความร่วมมือในการดาเนิน
กระบวนพิจารณาแก่ศาลในอีกประเทศหน่ึงได้ด้วยการออกคาส่ังคุ้มครองประโยชน์
ดังกล่าวแม้ว่าจะคดีหลักจะไม่ได้ฟ้องร้องต่อศาลในรัฐนั้นและศาลของรัฐนั้นจะไม่ได้
มีอานาจพจิ ารณาพิพากษาคดีน้ันก็ตาม เนื่องจากโดยสภาพของคาสง่ั ศาลแต่ละประเทศ
ย่อมมีผลเฉพาะในประเทศของตนเทา่ นั้น หากมีความจาเป็นท่จี ะต้องคุม้ ครองประโยชน์
ในอีกประเทศหน่ึงซ่ึงโดยมากมักเกี่ยวกับทรัพย์สินในอีกประเทศ การยึดหรืออายัด
ทรพั ย์สินย่อมตอ้ งอาศยั อานาจศาลในประเทศน้ัน เขตอานาจลักษณะน้ีจึงอาจเรียกได้ว่า
เปน็ “Quasi in rem jurisdiction”15 หรือเป็นเขตอานาจก่งึ เหนอื ทรพั ย์ทอ่ี ยใู่ นเขตศาลน้ัน
กรณีท่ีอาจเทียบเคียงได้อาจเป็นการขอให้ศาลใช้วิธีการช่ัวคราวตามมาตรา 16
แห่งพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 ที่ไม่ได้จากัดไว้ว่ากระบวนพิจารณา
อนุญาโตตุลาการทาท่ีใด จึงอาจเป็นกรณีที่กระบวนพิจารณาอนุญาโตตุลาการ
ทาในราชอาณาจกั รหรือในตา่ งประเทศก็ได้
15 Id.
115
2.4 Exercise of jurisdiction must ordinarily be declined when the
parties have previously agreed that some other tribunal has
exclusive jurisdiction.
2.4 ศาลควรต้องปฏิเสธที่จะใช้อานาจหากคู่ความเคยตกลงไว้ก่อนว่าเฉพาะ
แตค่ ณะผพู้ ิจารณาอืน่ เท่านนั้ ท่มี ีอานาจพจิ ารณาพิพากษา
ในกรณีน้ีคู่ความอาจเคยตกลงให้อานาจพิจารณาพิพากษาหรือช้ีขาดตัดสินคดี
อยู่กับคณะผู้พิจารณาอื่นนอกเหนือจากศาลที่โจทก์นาคดีมาฟ้อง ข้อความในส่วนนี้จะ
อธิบายให้เห็นได้ว่าเหตุใดใน “หลักการของกระบวนพิจารณาทางแพ่งระหว่างประเทศ
(Principles of Transnational Civil Procedure)” จงึ ใชค้ าว่า “คณะผู้พิจารณา” หรอื
Tribunal แทนทจ่ี ะใช้คาว่าศาล เนือ่ งจากการตกลงของคู่ความอาจจะเป็นการกาหนดให้
ข้อพิพาทที่เกดิ ขึน้ ไดร้ ับการตัดสนิ ชีข้ าดโดยองค์กรอื่นนอกจากศาลก็ได้ ตวั อย่างท่เี ห็นได้
ชั ด เ จ น คื อ ก า ร ต ก ล ง ใ ห้ ต้ อ ง ม อ บ ข้ อ พิ พ า ท ต่ อ อ นุ ญ า โ ต ตุ ล า ก า ร ต า ม ข้ อ สั ญ ญ า
อนุญาโตตุลาการ (arbitration agreement) ท่ีได้ทาไว้ แต่ในขณะเดียวกันก็อาจตกลง
ให้ต้องฟ้องคดีต่อศาลประเทศใดประเทศหน่ึงเป็นการเฉพาะก็ได้เช่นกัน ข้อแตกต่าง
ระหว่างการตกลงในส่วนน้ีกับข้อตกลงเลือกศาลในตอนต้นอยู่ตรงท่ี หลักการในส่วนน้ี
มุ่งไปที่การตกลงในลักษณะที่เป็นจากัดให้คณะผู้พิจารณาหนึ่งมีอานาจตัดสินชี้ขาด
โดยทาใหอ้ งค์กรหรอื คณะผูพ้ จิ ารณาอนื่ ปราศจากอานาจไปด้วย
2.5 Jurisdiction may be declined or the proceeding suspended when
the court is manifestly inappropriate relative to another
appropriate court that could exercise jurisdiction.
2.5 ศาลควรปฏิเสธอานาจพิจารณาพิพากษาคดีหรือระงับกระบวนพิจารณา
หากปรากฏอย่างชัดแจ้งว่าศาลนั้นไม่เหมาะที่จะพิจารณาพิพากษาคดีน้ัน
เมอ่ื เทียบกับอกี ศาลหนึ่งท่ีอาจใชอ้ านาจพจิ ารณาพพิ ากษาได้เชน่ กนั
116
ข้อพิจารณาส่วนนี้เป็นเร่ืองของดุลพินิจของศาลในการพิจารณาความเหมาะสม
ในเชงิ เปรยี บเทยี บท่แี มศ้ าลที่โจทกน์ าคดมี าฟ้องจะเป็นศาลทมี่ ีอานาจพิจารณาพพิ ากษา
ได้ตามกฎหมายก็ตาม แต่เมื่อพิจารณาถึงความเหมาะสมเฉพาะเร่ืองแล้วศาลในอีก
ประเทศหนงึ่ อาจเหมาะสมมากกว่าทีเ่ ป็นผพู้ ิจารณาพิพากษาคดีเรอื่ งนน้ั เช่นศาลท่โี จทก์
นาคดีมาฟ้องเป็นศาลท่ีจาเลยมถี ิ่นท่ีอยู่ปกติในประเทศนั้น แต่เรื่องที่นามาฟ้องเก่ียวพนั
กับธุรกรรมหรือเหตุท่ีเกิดในอีกประเทศหนึ่งซึ่งการดาเนินคดี ตลอดจนการนาสืบ
พยานหลักฐานที่สาคัญจะมีประสิทธิภาพมากกว่าหากพิจารณาพิพากษาในประเทศที่
เกิดเหตุนั้น หลักการน้ีเรียกว่าเป็นหลัก Forum non conveniens16 ในกฎหมายไทย
อาจจะไมไ่ ด้เปดิ ชอ่ งให้ศาลใช้ดลุ พินิจในทานองนี้ หากจะมเี รอ่ื งทีค่ ลา้ ยคลึงกันบ้างแม้จะ
ไม่มากอาจเทียบได้กับบทบัญญัติตามมาตรา 6/1 ท่ีให้อานาจศาลพิจารณาขอโอนคดี
ไปยังศาลแพ่งหากปรากฏว่าการพิจารณาพิพากษาคดีที่ศาลแพ่งจะมีประสิทธิภาพ
มากกว่าในคดีบางประเภท แต่ในส่วนที่จะพิจารณากว้างไปถึงความเหมาะสมท่ีควรจะ
ให้คดีได้รับการพิจารณาพิพากษาในศาลอีกประเทศหนึ่งนั้นยั งไม่มีการกาหนดไว้
โดยเฉพาะ
2.6 The court should decline jurisdiction or suspend the proceeding,
when the dispute is previously pending in another court
competent to exercise jurisdiction, unless it appears that the
dispute will not be fairly, effectively, and expeditiously resolved
in that forum.
2.6 ศาลควรปฏิเสธการใช้อานาจหรือระงับกระบวนพิจารณาหากข้อพิพาทน้ัน
อยู่ระหว่างการดาเนินกระบวนพิจารณาในอีกศาลหนึ่งที่มีความสามารถที่จะ
ใช้อานาจพิจารณาพิพากษาก่อนแล้ว เว้นแต่มีเหตุปรากฏว่าข้อพิพาทนั้น
16 Id.
117
จะไม่อาจระงับไปได้ด้วยความเป็นธรรม มีประสิทธิภาพและภายในเวลา
รวดเร็วในรัฐซง่ึ เปน็ ท่ดี าเนินกระบวนพจิ ารณานนั้
หลักการในข้อน้ีอาจเรียกได้ว่าเปรียบเหมือนการ “ฟ้องซ้อน” เพียงแต่เป็นการ
ฟ้องซ้อนท่ีคดีหนึ่งมีการฟอ้ งต่อศาลประเทศหนึ่งแล้วต่อมามีการนาคดีมาฟ้องต่อศาลใน
อีกประเทศหน่ึงอีก ท้ังนี้เพ่ือว่าคดีในเรื่องเดียวกันควรจะได้รับการพิจารณาพิพากษา
เพียงครั้งเดียวและไมค่ วรให้ศาลต้องมาเสยี เวลาและทรพั ยากรในเร่ืองท่ีมอี ีกศาลหน่ึงรบั
ไว้พิจารณาพิพากษาแล้ว อย่างไรก็ตาม หลักการข้อน้ีมีข้อยกเว้นที่ว่าศาลยังอาจจะรับ
คดีไวพ้ จิ ารณาพพิ ากษาไดแ้ ม้จะมีการฟอ้ งร้องต่อศาลประเทศหนึ่งแลว้ หากปรากฏว่าคดี
ท่ีฟ้องต่อศาลอีกประเทศหน่ึงนั้นมขี ้อเท็จจริงที่แสดงให้เห็นได้ว่าจะไมส่ ามารถได้รับการ
พิจารณาพพิ ากษาอยา่ งรวดเร็ว มีประสิทธิภาพและเป็นธรรม
118
คาแถลงของบุคคลภายนอก (Amicus curiae)
ในตอนนี้เป็นการนาประเด็นที่น่าสนใจบางส่วนใน “หลักวิธีพิจารณาความแพ่ง
ระหว่างประเทศ” (Principles of Transnational Civil Procedure) มานาเสนอต่อ
จากตอนที่แล้ว หลักการหลายอย่างที่ปรากฏในหลักวิธีพิจารณาความแพ่งระหว่าง
ประเทศนี้อาจมีความคล้ายคลึงกับบทบัญญัติที่ใช้ในประเท ศไทย แต่อาจจะ
มีรายละเอียดและหลักเกณฑ์การพิจารณาท่ีแตกต่างกันออกไปบ้าง และในหลักวิธี
พิจารณาความแพ่งระหว่างประเทศน้ีไม่ได้กาหนดรายละเอียดของแต่ละกรณีไว้เพราะ
ในการพิจารณาคดีระหว่างประเทศย่อมต้องพิจารณาประกอบกับบทบัญญัติ
ของกฎหมายภายในประเทศด้วย ในเบ้ืองต้นจึงขอนาข้อความในหลักวิธีพิจารณา
ความแพ่งระหว่างประเทศมากล่าวถึงก่อนแล้วจะได้นาข้อสังเกตประกอบกับถ้อยคา
ที่น่าสนใจมากลา่ วถึงเพม่ิ เตมิ ในแต่ละสว่ นต่อไป ในตอนนี้จะเป็นส่วนทเ่ี ก่ียวกับกระบวน
พจิ ารณาท่เี รยี กว่า Amicus curiae
Amicus Curiae Submission
Written submissions concerning important legal issues in the proceeding
and matters of background information may be received from third party
persons with the consent of the court, upon consultation with the parties.
The court may invite such a submission. The parties must have the
opportunity to submit written comment addressed to the matters
contained in such submission before it is considered by the court.
119
คาแถลงของบุคคลภายนอก
บุคคลภายนอกอาจย่ืนคาแถลงท่ีเป็นลายลกั ษณอ์ ักษรเกีย่ วกับปัญหาขอ้ กฎหมาย
ส า คั ญ ในกร ะ บวนพิ จา ร ณ า แล ะ ข้อมู ล ที่ เป็นภูมิ หลั งขอ งปร ะ เ ด็นที่ พิพ า ท โดย ความ
เห็นชอบของศาลเม่ือได้หารือคู่ความแล้ว ศาลอาจเชิญให้บุคคลภายนอกส่งคาแถลง
เช่นว่าน้ันก็ได้ คู่ความต้องมีโอกาสที่จะส่งความเห็นเป็นหนังสือเก่ียวกับข้อที่ระบุใน
คาแถลงเชน่ ว่านนั้ ก่อนทศี่ าลจะพิจารณาคาแถลงนน้ั
กระบวนพิจารณาลักษณะน้ีเป็นส่วนหน่ึงท่ีแตกต่างจากระบบวิธีพิจารณาความ
ในประเทศไทยทถ่ี ือหลกั การสาคญั วา่ คดีแตล่ ะเรือ่ งยอ่ มเปน็ เร่อื งท่เี กี่ยวขอ้ งเฉพาะแต่กบั
คู่ความในคดีนั้นเท่าน้ัน บุคคลภายนอกที่เดิมไม่ได้เป็นคู่ความในคดีหากประสงค์
จะเข้ามาในคดีจะต้องมีส่วนได้เสียเกี่ยวข้องกับคดีเพียงพอที่จะร้องสอดเข้ามาในคดี
แต่กรณีลักษณะดังกล่าวนี้ส่วนได้เสียของบุคคลภายนอกต้องเป็นการให้ศาลรับรองหรือ
คุ้มครองสิทธิของตน หรือมีส่วนได้เสียตามกฎหมายในผลแห่งคดีจึงทาให้ต้องเข้าเป็น
โจทก์ร่วมหรือจาเลยร่วม แต่หากบุคคลภายนอกนั้นไม่ได้มีส่วนได้เสียทานองนั้นแล้ว
ย่อมเข้ามาในคดีไม่ได้ และย่อมไม่มีโอกาสหรือสิทธิที่จะยื่นคาร้องคาแถลงต่างๆ เข้ามา
ในคดีได้ รวมถึงการแสดงความคิดเห็นต่างๆ ต่อประเด็นหรือปัญหาที่ศาลจะต้องวนิ ิจฉัย
ในคดีน้ันๆ
ในขณะท่กี ารยน่ื เอกสารท่อี าจเรยี กได้ว่าเปน็ “คาแถลงของบุคคลภายนอก” หรอื
Amicus curiae นี้วางอยู่บนพ้ืนฐานและแนวคิดทแี่ ตกต่างออกไป โดยมองว่าแม้ผลของ
คดีจะไม่ได้กระทบต่อส่วนได้เสียของบุคคลภายนอกเหล่าน้ีโดยตรง เน่ืองจากศาลย่อม
ไม่อาจพิพากษาใหบ้ คุ คลภายนอกเหล่าน้กี ระทาการหรอื งดเวน้ กระทาการใดๆ ได้อยู่แลว้
เพราะไม่ใช่คู่ความในคดีดังท่ีกล่าวข้างต้น แต่ “บรรทัดฐาน” ที่ศาลใช้ในการพิจารณา
พิ พ า ก ษ า ค ดี บ า ง ค ดี อ า จ ส่ ง ผ ล ก ร ะ ท บ ต่ อ บุ ค ค ล ภ า ย น อ ก ต่ อ ไ ป ท่ี จ ะ ต้ อ ง ป ฏิ บั ติ
ให้สอดคล้องกับ “บรรทัดฐาน” ที่ศาลวางไว้ หากมองเบ้ืองต้นจะเหมือนกับว่าหลักการ
120
เร่ืองน้ีมีความสาคัญเฉพาะกับประเทศท่ีใช้ระบบกฎหมายจารีตประเพณี (Common
law) เพราะในระบบกฎหมายแบบน้ีคาพิพากษาของศาลเป็นท่ีมาของกฎหมายลักษณะ
หนึ่ง ทาให้บรรทัดฐานที่ศาลใช้ในการวินิจฉัยคดีหน่ึงมีผลผูกพันต่อคู่ความในคดีอ่ืนๆ
ที่จะตามมาด้วย หากปรากฏว่าคดีท่ีเกิดภายหลงั นั้นมลี ักษณะสาคัญเหมอื นกับคดีที่ศาล
ไดว้ ินิจฉัยวางหลักการดังกลา่ วไว้
แต่หากพิจารณาถึงที่มาของ “หลักวิธีพิจารณาความแพ่งระหว่างประเทศ”
(Principles of transnational civil procedure) นี้จะเห็นว่าไม่ได้มาจากแนวคิด
ของประเทศในระบบกฎหมายจารีตประเพณีแต่เพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากการพัฒนา
ร่วมกันของนักกฎหมายท้ังในระบบกฎหมายจารีตประเพณีและระบบประมวลกฎหมาย
(Civil laws) แบบเดียวกับระบบกฎหมายของประเทศไทย เหตุผลสาคัญที่ทาให้
นักกฎหมายที่มาจากประเทศในระบบประมวลกฎหมายเองก็ให้การยอมรับแนวคิด
ดังกล่าวนี้ก็เพราะว่าไม่ว่าจะเป็นกฎหมายของประเทศใดและอยู่ในระบบกฎหมายใด
ก็ตาม กฎหมายทุกประเทศย่อมต้องการให้เกิด “ความแน่นอนทางกฎหมาย (Legal
certainty)” ด้วยกันทั้งสิ้น เพราะหากปราศจากความแน่นอนทางกฎหมายแล้ว
ประชาชนในสังคมย่อมไม่อาจปฏิบัติตนได้ถูก แม้แต่ผลของคาพิพากษาก็เช่นเดียวกัน
หากในคดีเร่ืองหน่ึงตีความให้กฎหมายมีความหมายลักษณะหน่ึง แต่ถ้าตีความให้มี
ความหมายที่แตกต่างออกไปทั้งๆ ที่บทบัญญัติแห่งกฎหมายในคดีทั้งสองเรื่องเป็น
เรื่องเดียวกัน มาตราเดียวกันและถ้อยคาแบบเดียวกันก็ย่อมเป็นการใช้กฎหมายแบบ
อาเภอใจ ประชาชนและคู่ความท่ีมาศาลย่อมไม่คิดว่าตนได้รับความเป็นธรรม
และไม่อาจรดู้ ้วยซา้ ไปวา่ การตีความในลกั ษณะใดจงึ จะถูกตอ้ งและเปน็ ธรรมกนั แน่ ทาให้
แม้แต่ในประเทศในระบบประมวลกฎหมายเองก็ต้องให้ความสาคัญกับการตีความท่ีทา
ใหเ้ กดิ บรรทัดฐานของการบงั คับใช้กฎหมายไมแ่ ตกต่างไปจากประเทศในระบบกฎหมาย
จารีตประเพณีนกั
121
ห า ก พิ จ า ร ณาใ น เชิ ง เป รีย บเ ทียบ จ ะเ ห็ นได้ ว่ าแม้ แต่ ใ น ก า รแ ก้ ไข กฎหมาย
ค้าประกันและจานองท่ีมีการเปลี่ยนแปลงหลักการหลายประการ ทาให้ศาลต้องตีความ
กฎหมายกับกรณีท่ีบทบัญญัติของกฎหมายไม่ได้กาหนดไว้โดยตรงด้วย เช่น หากเจ้าหนี้
ไม่ได้บอกกล่าวให้ผู้ค้าประกันชาระหน้ีจะมีผลต่ออานาจฟ้องของเจ้าหนี้ที่จะฟ้องร้องให้
ผู้ค้าประกันรับผิดได้หรือไม่ แม้ประเด็นนี้จะเกิดในคดีที่ธนาคารหรือสถาบันการเงิน
แห่งหน่ึงฟ้องลูกหน้ีเพียงรายเดียวด้วยทุนทรัพย์ที่ไม่จาเป็นต้องมากมาก แต่เม่ือ
วางบรรทัดฐานไปแล้วว่าหากเจ้าหน้ีไม่ได้บอกกล่าวตามท่ีกาหนดย่อมไม่มีอานาจฟ้อง
ผู้ค้าประกันตามไปด้วย บรรทัดฐานนี้ย่อมต้องใช้กับคดีที่ธนาคารหรือสถาบันการเงิน
ทุกแหง่ ฟอ้ งรอ้ งด้วย และใชก้ ับผคู้ ้าประกนั ไมว่ ่าจะรายเลก็ หรือรายใหญ่เพยี งใดกต็ าม
ผลทานองน้ีจึงทาให้อาจคาดหมายได้ว่าถ้าเป็นกรณีท่ีประเด็นหรือปัญหา
ทางกฎหมายใหญ่โตและส่งผลกระทบท่ีมากกว่าน้ี การวินิจฉัยและการตีความ
ทางกฎหมายจึงย่อมทาให้เกิดบรรทัดฐานท่ีส่งผลกระทบต่อบุคคลที่แม้จะไม่ได้
เป็นคู่ความในคดีโดยตรงด้วย เช่น อาจเป็นปัญหาเกี่ยวกับมาตรฐานเก่ียวกับ
ความปลอดภัยสาธารณะจากสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ท่ีวางขายในท้องตลาด การคุ้มครอง
หรืออนุรักษ์ส่ิงแวดล้อม การผูกขาดหรือการกีดกันการแข่งขันในตลาดท่ีส่งผลกระทบ
ต่อผู้บริโภคโดยทั่วไปและการวางมาตรฐานที่ส่งผลต่อผู้ประกอบธุรกิจท่ีไม่ได้เป็นจาเลย
ในคดที ฟ่ี ้องร้องโดยตรงดว้ ย ดว้ ยเหตุน้นี ีเ่ องทที่ าให้ “หลักวิธีพจิ ารณาความแพ่งระหว่าง
ประเทศ” (Principles of transnational civil procedure) กาหนดเร่ืองของคาแถลง
ของบคุ คลภายนอกไว้ เพราะจะเปน็ กลไกและเครอื่ งมอื ที่ทาใหศ้ าลได้ขอ้ มูล ข้อพิจารณา
ตลอดจนมุมมองและผลกระทบจากการวางบรรทดั ฐานทร่ี อบด้าน ไมไ่ ดข้ ้นึ อย่กู บั ข้อมลู ท่ี
คู่ความในคดีหน่ึงนาเสนอซ่ึงจะทาให้ข้ึนอยู่กับคุณภาพของข้อมูลท่ีคู่ความในคดีนั้น
นาเสนอด้วย
122
Amicus curiae
คาว่า Amicus curiae นี้ตามพจนานุกรรม Black Law Dictionary 6th Edition
(1990) ให้ความหมายไว้ว่าหมายถึง Friend of the court. หรือเรียกได้ว่าเป็น
“เพ่ือนหรือมิตรของศาล” เพราะบุคคลภายนอกท่ีย่ืนคาแถลงใดๆ เข้ามาย่อมประสงค์
เพียงเพ่ือให้ข้อมูลเพ่ิมเติมแก่ศาลเพ่ือการพิจารณาพิพากษาคดีของศาลมีความรอบด้าน
มากขน้ึ โดยความหมายตามท่ีพจนานุกรมดังกลา่ วให้ไว้จะระบดุ ้วยว่าเป็น
A person with strong interest in or views on the subject matter of an
action, but not a party to the action, may petition the court for
permission to file a brief, ostensibly on behalf of a party but actually
to suggest a rationale consistent with its own views.
หรือบุคคลท่ีมีส่วนได้เสียอย่างสาคัญ (strong interest) ในประเด็นแห่งคดีแต่ไม่ได้เป็น
คู่ความในคดีนั้นซึ่งอาจยื่นคาร้องต่อศาลเพื่อขออนุญาตย่ืนคาแถลง แน่นอนว่ามุมมอง
ในคาแถลงนั้นย่อมสอดคล้องกับมุมมองของคู่ความฝ่ายหน่ึงในคดีอย่างหลีกเล่ียงไม่ได้
เพียงแต่การยื่นของบุคคลภายนอกในท่ีนี้ไม่ได้ทาในฐานะตัวแทนหรือในนามของคู่ความ
ในคดีโดยตรง ในความหมายนี้จึงใช้คาว่า “ostensibly on behalf of a party” ซ่ึงอาจ
ถอดความได้ว่าโดยสภาพเสมือนทาแทนคู่ความฝ่ายหน่ึง โดยมุมมองตามคาแถลงน้ัน
เป็นการ suggest a rationale consistent with its own views หรือเพ่ือเสนอเหตุและ
ผลทส่ี อดคล้องกับความคดิ ของตน เชน่
Bank A files a motion asking the court to submit an amicus curiae
brief in a case in which Bank B files a lawsuit against a guarantor
in order to present its view on the issue of power to sue without
prior notice served on the guarantor after the default by the
borrower.
ธนาคาร เอ ย่ืนคาร้องขออนุญาตศาลย่ืนคาแถลงของบุคคลภายนอก (amicus curiae)
ในคดที ี่ธนาคาร บี เปน็ โจทก์ฟอ้ งผคู้ ้าประกันให้รับผิด เพือ่ นาเสนอมุมมองของธนาคาร เอ
ในประเด็นเร่ืองอานาจฟ้องในกรณีท่ีไม่ได้ส่งคาบอกกล่าวล่วงหน้าไปยังผู้ค้าประกัน
หลังจากท่ลี ูกหนผี้ ิดนัดชาระหนี้ (default)
123
นอกจากในบริบทของข้อพิพาทระหว่างเอกชนแล้ว บทบาทของการย่ืนคาแถลง
ของบุคคลภายนอกในลักษณะที่เป็น Amicus curiae น้ียังมีความสาคัญในข้อพิพาท
ในกฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีเมืองด้วยเช่นกัน ตัวอย่างที่สาคัญคงเป็นกรณี
ความตกลงหรือสนธิสัญญาพหุภาคีต่างๆ ที่มีรัฐภาคีหลายรัฐ แต่ข้อพิพาทที่เกิดข้ึน
อาจจะเป็นเรื่องระหว่างรัฐภาคีบางรัฐเท่านั้น แต่ผลของการตีความและวางบรรทัดฐาน
ในข้อพิพาทเรื่องหน่ึงย่อมส่งผลกระทบต่อรัฐภาคีรัฐอ่ืนด้วยเพราะเป็นการตีความ
ความตกลงหรือสนธิสัญญาที่รัฐภาคีอ่ืนท่ีไม่ได้เป็น “คู่ความ” ในคดีหรือข้อพิพาท
โดยตรงมีพันธกรณีทตี่ ้องปฏิบัติตามอยู่ด้วยเช่นกัน แม้ว่าคาตัดสินจะไมไ่ ด้มผี ลผูกพันคดี
หรือข้อพิพาทอ่ืนท่ีอาจเกิดขึ้นภายหลังแต่ย่อมมีสถานะที่อาจจูงใจหรือโน้มน้าวใจ
ผู้ตดั สนิ ในคดีหรือขอ้ พิพาททเี่ กดิ ขนึ้ ภายหลังใหว้ นิ จิ ฉัยตามดว้ ย
หา กพิ จา ร ณ า หลั กเ กณ ฑ์ ข อ ง ก า ร ยื่ น ค า แ ถ ล ง ท่ี เ ป็ น Amicus curiae
ตาม “หลกั วธิ ีพิจารณาความแพง่ ระหวา่ งประเทศ” จะต้องเปน็ กรณที เ่ี กี่ยวกบั “ประเด็น
ข้อกฎหมายที่สาคัญ” หรือ important legal issues ด้วย เพราะหากเป็นประเด็นท่ี
ไ ม่ ส า คั ญ แ ล้ ว ย่ อ ม ไ ม่ มี ป ร ะ โ ย ช น์ ท่ี จ ะ ต้ อ ง ใ ห้ บุ ค ค ล ภ า ย น อ ก เ ข้ า ม า เ กี่ ย ว ข้ อ ง
แต่ในทางปฏิบัติ หากไม่ใช่ข้อกฎหมายท่ีสาคัญท่ีอาจส่งผลกระทบในวงกว้างแล้ว
บุคคลภายนอกโดยท่ัวไปย่อมไม่ลงทุนลงแรง เสียค่าใช้จ่ายในการขอยื่นคาแถลงอยู่แล้ว
เชน่ กัน เพราะผลประโยชนท์ จ่ี ะได้ย่อมไม่คมุ้ กบั ต้นทนุ และภาระคา่ ใชจ้ า่ ยที่จะเกิดขนึ้ กับ
ตนเอง บุคคลภายนอกจึงมักขอย่ืนคาแถลงเฉพาะในกรณีที่ศาลอาจวาง “บรรทัดฐาน”
ท่ีสาคัญท่ีส่งผลต่อผู้ที่ไมใ่ ช่คู่ความในคดีดว้ ย
นอกจากน้ันแล้ว คาแถลงของบุคคลภายนอกอาจเกี่ยวข้องกับ “เรื่องอันเป็น
ข้อมูลภูมิหลังหรือที่มา” ของประเด็นสาคัญในคดี หรือ “matters of background
information” ตัวอย่างท่ีสาคัญเช่นกรณีที่ของความตกลงหรือสนธิสัญญาระหว่าง
ประเทศท่ีเพ่ิงกล่าวถึงไป เพราะการเจรจาและยกร่างความตกลงเหล่าน้ันย่อมเกิดจาก
รัฐภาคีทุกรัฐไม่ใช่เพียงแต่รัฐภาคีท่ีเป็นคู่ความในคดีเท่าน้ัน รัฐภาคีรัฐอื่นที่ไม่ได้
124
เป็นคู่ความย่อมมีข้อมูลและทราบความเป็นมาหรือเหตุผลท่ีความตกลงหรือสนธิสั ญญา
ได้กาหนดไว้ในลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่ง ข้อมูลที่เก่ียวกับความเป็นมาเหล่านี้ย่อมมี
ส่วนสาคัญในการตีความข้อบทของความตกลงด้วย นอกจากนั้น หากเป็นกรณีอื่น
เช่น กรณีเก่ียวกับมาตรฐานความปลอดภัยของสินค้าหรือการคุ้มครองหรืออนุรักษ์
สิ่งแวดล้อม ข้อมูลการปฏิบัติหรือการค้นคว้าวิจัยของผู้ประกอบธุรกิจรายอ่ืนในเรื่อง
ดังกล่าว หรือผลกระทบที่เกิดข้ึนกับประชาชนหรือผู้บริโภคคนอ่ืนก็อาจมีประโยชน์
ในการวินิจฉัยเพอ่ื วางบรรทัดฐานด้วยเช่นกนั
บุคคลที่จะขอย่ืนคาแถลงที่เป็น Amicus curiae น้ีกาหนดไว้ว่าเป็นการย่ืน
ของผู้ที่เป็น “third party persons” คาว่า third party หากส่ือความหมาย
ตามตัวอักษรแล้วอาจหมายความว่า “คู่ความฝ่ายท่ีสาม” แต่ในท่ีน้ีเป็นการใช้เป็น
คาขยายเพ่อื ส่อื ถึงบคุ คลทีไ่ ม่ไดม้ สี ว่ นได้เสียโดยตรงกับผลของคดี เพราะในคดีหนงึ่ อาจมี
คู่ความมากกว่าสองฝ่ายอยู่แล้วก็ได้ ในกรณีเช่นน้ันคู่ความฝ่ายที่สามจึงเป็นคู่ความ
ฝ่ายที่สามที่มีสว่ นได้เสียโดยตรงกับผลของคดีที่ศาลอาจมีคาพิพากษากาหนดสิทธิหน้าที่
ของบุคคลนั้นได้ แต่ “third party persons” ในท่ีน้ีจึงเป็นฝ่ายที่สามในลักษณะที่เป็น
บุคคลภายนอกคดี
ในการเข้ามาของบุคคลภายนอกน้ัน แน่นอนว่าหากการเข้ามาแล้วไม่มีผลใดๆ
คงไม่มีใครต้องการยื่นคาแถลงเข้ามาในคดีอย่างแน่นอน เพราะดังที่ได้กล่าวแล้วข้างต้น
ว่าการเตรียมเอกสารและการดาเนินการต่างๆ ต้องมีค่าใช้จ่ายเกิดข้ึนไม่น้อย การท่ี
บุคคลภายนอกเข้ามาย่อมต้องการให้ข้อมูลและมุมมองของตนเองมีผลต่อการพิจารณา
ของศาลอันจะทาให้มีผลต่อ “ผลของคาพิพากษา” ในท้ายท่ีสุดด้วยเช่นกัน ทาให้
การเข้ามาจึงต้องได้รับการอนุญาตจากศาล แต่หากสังเกตถ้อยคาท่ีใช้ในท่ีน้ีจะไม่ได้
ถึงขนาดเรียกว่าเป็นการให้ permission ที่บ่งบอกเร่ืองการใช้อานาจและดุลพินิจ
ในลักษณะเด็ดขาด แต่ใช้เพียงคาว่า “ความยินยอม (consent)” หรือความเห็นชอบ
125
ของศาลอนั แสดงถึงทา่ ทใี นเชิงบวกท่เี หมือนการให้เป็นเหมอื นสิทธิกลายๆ ทจ่ี ะเขา้ มาได้
เพยี งแตเ่ มื่อจะเข้ามาต้องให้ศาลให้ความยินยอมหรอื เห็นชอบกอ่ นเท่านั้น
นอกจากนั้น ด้วยเหตุที่การเข้ามาของบุคคลภายนอกย่อมมุ่งประสงค์ต่อผล
ของคดี การให้ความยินยอมของศาลจึงกาหนดให้ต้องมีการ “หารือ” (consultation)
กับคู่ความในคดีด้วย แต่แน่นอนว่าหลักเกณฑ์ในส่วนนี้เป็นเหมือนการกาหนดให้ศาล
“ฟัง” ความเห็นของคู่ความเท่านั้น แต่ความเห็นของคู่ความไม่ได้เป็นเงื่อนไขที่จะมีผล
ถงึ ขนาดทาใหศ้ าลต้องใหห้ รอื ไม่ใหค้ วามยินยอมในการขอยนื่ คาแถลงของบคุ คลภายนอก
ลักษณะท่ีน่าสนใจอีกประการหนึ่งคือ การย่ืนคาแถลงของบุคคลภายนอกนี้
อาจเกิดจากการ “เชิญ” (invite) โดยศาลเองก็ได้หากเห็นว่าความเห็นของ
บุคคลภายนอกคนใดหรือหน่วยงานใดจะเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาพิพากษาคดี
ทั้งน้ีเพ่ือให้ได้ความเห็นของบุคคลหรือหน่วยงานที่ตรงกับความต้องการของศาลเอง
โดยบคุ คลหรือหน่วยงานนน้ั อาจไมไ่ ด้เปน็ ผู้รเิ ร่ิมท่จี ะเขา้ มาในคดเี องกไ็ ด้
126
Submission
คาๆ นี้ดเู ผนิ ๆ เหมอื นเป็นคาธรรมดาทไ่ี ม่น่าจะมอี ะไรมาก แต่หากดูหลายๆ ความหมาย
แล้วจะเป็นคาอีกคาหน่ึงท่ีมีที่ใช้ท่ีน่าสนใจไม่น้อย หากเร่ิมจากความหมายท่ัวๆ ไป
ของคานมี้ าจากคากริ ยิ าวา่ submit ซึง่ ความหมายท่ีใช้กันมากจะหมายถึงการยื่นหรือ
ส่งส่ิงใดส่งิ หนงึ่ ให้อกี คนหนึ่ง เช่น
I just submit my thesis to my advisor.
ฉันเพง่ิ สง่ วิทยานิพนธใ์ ห้ทปี่ รกึ ษาเมอื่ สกั ครู่
Students who want to apply for university must submit their
applications no later than the end of this month.
นักเรยี นทต่ี อ้ งการสมคั รเรยี นมหาวทิ ยาลยั ตอ้ งยืน่ ใบสมัครไม่ชา้ กว่าส้ินเดือนน้ี
แต่ในอีกความหมายหน่ึงของคาๆ นี้หมายถึงการท่ีเราต้องยอมต่ออานาจของคนอื่น
และต้องยอมรับต่อสภาพการณ์บางอย่างโดยอาจเป็นเพราะไม่อาจต้านทานหรือไม่มี
อานาจต่อต้านบุคคลอนื่ ที่กาลงั ใช้อานาจเหนือเรากไ็ ดเ้ ช่นกนั เช่น
The hostage-takers who capture several tourists for several
days finally submit to the police.
ผู้ร้ายจับตัวประกันที่จับนักท่องเท่ียวไว้เป็นเวลาหลายวันได้ยอมมอบตัว
ต่อตารวจในท่ีสดุ
127
แต่ในความหมายท่ีเร่ิมเข้าสู่บริบททางกฎหมายมากข้ึนจะเป็นไปในลักษณะของ
การเสนอบางสิ่งบางอย่างที่อาจจะเป็นข้อมูล พยานหลักฐานหรือแม้แต่ความเห็น
เพื่อการพิจารณาของผู้ท่ีมีอานาจ ซึ่งในแง่หนึ่งย่อมมีความหมายที่คล้ ายกับ
ความหมายก่อนหน้าน้ีท่ีเป็นการยอมต่อผู้ที่มีอานาจเหนือกว่า เพราะการที่เราเสนอ
เรื่องหรือบางสิ่งเพอื่ การพจิ ารณาของอีกคนหน่งึ ย่อมแสดงอยู่ในตัวว่าผู้ท่ีเราเสนอต่อ
อยู่ในสถานะที่มีอานาจเหนือกว่า ในพจนานุกรม Black Law Dictionary 6th
Edition (1990) ให้ความหมายไว้ว่าหมายถึง การเสนอเพื่อการวินิจฉัยหรือตัดสิน
(To present for determination) เชน่
The company submits a construction plan of a mall for the
approval by the city planning authority.
บริษัทได้เสนอแผนการก่อสร้างศูนย์การค้าเพื่อให้หน่วยงานเก่ียวกับผังเมือง
ใหค้ วามเห็นชอบ
หากใชใ้ นบรบิ ทของการเสนอความเหน็ ทางกฎหมายเพื่อการพิจารณา เช่น
From all evidence and witness testimonies presented by the
prosecutors, the defense submits that the prosecutors fail to
prove beyond a reasonable doubt.
จากบรรดาหลักฐานและคาเบิกความพยานท่ีพนักงานอัยการนาสืบ ฝ่าย
จาเลยขอเสนอให้พิจารณาว่าพนักงานอัยการไม่สามารถพิสูจน์ให้
ปราศจากความสงสัยตามสมควร
May I submit that this Assembly passes a resolution
condemning any discrimination of any kind against the
minority.
ดิฉัน/ผมขอเสนอต่อที่ประชุมแห่งนี้ให้ลงมติประณามการเลือกปฏิบัติไม่
ว่าในลักษณะใดๆ ตอ่ ชนกลมุ่ นอ้ ยทั้งหลาย
In my submission, the plaintiff is not entitled to claim for
damages from the defendant.
ในความเหน็ ของดฉิ นั /ผม โจทก์ไม่มสี ทิ ธเิ รยี กค่าเสยี หายจากจาเลย
128
การให้ความเหน็ หรือข้อมลู ของบุคคลภายนอกในกระบวนพิจารณาน้ีไม่ใช่จะไม่มี
ข้อท่ีต้องระวังเสยี เลย ในแง่การเป็นภาระต่อการดาเนินกระบวนพิจารณาคงไม่ใช่ปญั หา
ใหญ่ เพราะการที่ศาลใชเ้ วลาพจิ ารณาคาแถลงตลอดจนเหตผุ ลต่างๆ ท่ีนาเสนอมาแมจ้ ะ
ทาให้ต้องใช้เวลามากขึ้น แต่คงไม่มากเท่ากับภาระของผู้จัดเตรียมที่ต้องใช้เวลาและ
ความพยายามในการเสาะแสวงหาขอ้ มูลและเรยี บเรยี งทาคาแถลงขึน้ มา แตข่ อ้ ควรระวงั
ในที่น้ีเกิดจากมูลเหตุจูงใจและผลประโยชน์ของบุคคลภายนอกท่ีเป็นเหตุให้จัดทา
คาแถลงเหล่าน้ีมาเสนอมากกว่า แต่ในท่ีนี้คงต้องแยกระหว่างมูลเหตุจูงใจ
และผลประโยชน์ปกติตามธรรมดาของบคุ คลภายนอกผยู้ ่นื คาแถลงออกจากมลู เหตุจูงใจ
และผลประโยชนแ์ อบแฝง
ดังที่ได้กล่าวแล้วข้างต้นว่าการที่บุคคลภายนอกยอมเสียเวลาและค่าใช้จ่าย
ทาคาแถลงข้ึนมายอ่ มต้องการทาให้เกิดประโยชน์ทางใดทางหน่ึงแก่ตนเอง เพราะขอ้ มลู
และมุมมองต่างๆ ท่ีนาเสนอล้วนสอดคล้องกับผลประโยชน์ของบุคคลภายนอกน้ัน
อย่างแน่นอน การมีมูลเหตุจูงใจหรือผลประโยชน์ลักษณะนี้จึงเป็นเรื่องปกติธรรมดา
สาหรับบุคคลภายนอกเหล่านี้ เช่น คดีท่ีศาลของต่างประเทศในคดีหน่ึงต้องวินิจฉัยว่า
กรณีที่ขอใช้โดเมนเนม (domain names) อันเป็นชื่อสาหรับการเข้าถึงบริการข้อมูล
บนอินเทอร์เน็ตที่มีส่วนลงท้าย เช่น .com จดทะเบียนเป็นเครื่องหมายการค้าหรือ
เครื่องหมายบริการจะทาได้ตามกฎหมายหรือไม่ ผลของคาตัดสินในคดีน้ีย่อมส่งผลต่อ
ผูป้ ระกอบธุรกจิ อ่นื ที่อาจตอ้ งการใช้ช่อื โดเมนเนมจดทะเบียนเป็นเครื่องหมายการคา้ หรอื
บริการในอนาคตด้วยเช่นกัน ในขณะที่หน่วยงานราชการหรือองค์กรภาคประชาสังคม
ก็อาจมีข้อโต้แย้งเก่ียวกับการจดทะเบียนในลักษณะดังกล่าวด้วย ผลประโยชน์ท่ีจะได้
จากการวินิจฉัยของศาลว่ากรณีดังกล่าวนี้สามารถจดทะเบียนเป็นเคร่ืองหมายการค้า
ได้หรือไม่เป็นผลประโยชน์โดยตรงจากการย่ืนคาแถลงของบุคคลภายนอกท้ัง หลาย
ซึ่งไมไ่ ดม้ ีขอ้ ที่นา่ กังวลใจแต่อย่างใด
129
แต่สิ่งที่เรียกว่าเป็นมูลเหตุจูงใจและผลประโยชน์แอบแฝงท่ีว่าน้ีเป็นกรณีที่
บุคคลภายนอกท่ีอาจเป็นองค์กรหรือกลุ่มบุคคลหน่ึงต้องการย่ืนคาแถลงเข้าไปในคดี
เนื่องจากได้รับผลประโยชน์ตอบแทนจากบุคคลอีกคนหน่ึงซ่ึงอาจเป็นคู่คว ามในคดี
นน้ั เองหรือบคุ คลภายนอกอีกรายหนึ่งทอ่ี าจไดร้ ับประโยชน์จากผลของคดที างออ้ มแต่ไม่
ประสงค์เปิดเผยตัวหรือต้องการใช้บุคคลภายนอกที่เป็นผู้ยื่นคาแถลงน้ีเป็นเคร่ืองมือ
เพ่มิ แรงกดดันสาหรับฝ่ายตนเอง เชน่ หากเป็นคดสี ง่ิ แวดลอ้ มอาจมีองค์กรภาคประชาสังคม
ต้องการย่ืนคาแถลงเพื่อเสนอมุมมองของตนในคดี หากองค์กรภาคประชาสังคมเหล่านี้
ต้องการย่ืนคาแถลงเพ่ือเสนอมุมมองของตนตามปกติย่อมเป็นเร่ืองที่มีประโยชน์ท่ีทาให้
มีข้อมูลสาหรับการพิจารณาที่มากขึ้น แต่หากปรากฏว่ามีองค์กรบางแห่งอาจจะได้รับ
ผลประโยชน์ตอบแทนบางอย่างเพ่ือให้ย่ืนคาแถลงไปในทางใดทางหน่ึง หรือบางครั้ง
อาจมีผู้จัดเตรียมคาแถลงน้ันให้ แล้วใช้องค์กรดังกล่าวเป็นเพียงเคร่ืองมือในการย่ืน
คาแถลงเข้าสู่กระบวนพิจารณา คาแถลงท่ีเกิดจากกรณีหลังนี้เองท่ีเกิดจากมูลเหตุจูงใจ
และผลประโยชน์แอบแฝงที่ต้องระมัดระวัง แต่อย่างไรก็ตาม ความเส่ียงเหล่าน้ีก็เป็นท่ี
ตระหนักกันดีในประเทศต่างๆ ท่ีใช้กระบวนพิจารณาลักษณะน้ี แต่ไม่ปรากฏว่า
มีประเทศใดทเี่ ห็นว่าความเสีย่ งน้ีจะมมี ากกว่าประโยชน์ที่จะได้รบั จากข้อมลู และมุมมอง
ของบุคคลภายนอกต่อการพิจารณาคดี เพียงแต่อาจต้องมีกระบวนการให้เปิดเผยข้อมูล
เช่นแหล่งท่ีมาหรือการสนับสนุนทางการเงินของบุคคลภายนอกประกอบด้วยเพ่ือให้เกิด
ความโปร่งใส
หากเปรียบเทียบกับกระบวนพิจารณาท่ีเป็นอยู่ ในทางหนึ่งอาจมองได้ว่า
หากต้องการนาเสนอหรือได้ขอ้ มลู หรือความเห็นในเรอื่ งใดเรื่องหนง่ึ ศาลหรอื ค่คู วามเอง
อาจขอหมายเรียกให้บุคคลที่มีข้อมูลหรือมีความเห็นอันเป็นประโยชน์ในเรื่องนั้นๆ
มาเบิกความได้อยู่แล้ว แต่การให้ข้อมูลหรือเบิกความในลักษณะดังกล่าวเป็นเร่ือง
การเป็นพยานในนามสว่ นตัวของพยานแต่ละคน ซึ่งตลอดมากม็ ีปัญหามาตลอดว่าพยาน
ผเู้ ช่ยี วชาญท่ีคคู่ วามฝา่ ยหนึ่งเรยี กมาจะใหค้ วามเห็นท่เี ป็นกลางเพียงใด หรือเกิดจากการ
130
เลอื กมาเป็นพิเศษของคคู่ วามเฉพาะคนท่จี ะใหค้ วามเหน็ ทีเ่ ปน็ ประโยชนต์ ่อรูปคดขี องตน
นอกจากน้ัน ความเห็นท่ีให้ก็เป็นความเห็นส่วนตัวของพยานแต่ละคน แต่ความเห็น
ท่ีนาเสนอผ่านคาแถลงที่เป็น Amicus curiae มักเป็นความเห็นขององค์กรหรือ
หน่วยงานท่ีย่ืนคาแถลง ไม่ใช่ความเห็นส่วนตัวของใครคนหน่ึง ดังนั้นจึงเป็นความเห็น
ท่ีเกิดจากการสังเคราะห์ความเห็นที่หลากหลายของคนในองค์กรมานาเสนอท่ีน่าจะ
มีน้าหนกั มากกว่าความเหน็ ทเ่ี ป็นของพยานคนใดคนหนึ่งที่เบิกความในนามสว่ นตวั
การพิจารณาพิพากษาคดีในหลายๆ กรณีไม่ใช่เป็นเพียงเรื่องของการตัดสินคดี
แต่ละคดีให้เสร็จสิ้นไป แต่เป็นการวางบรรทัดฐานซึ่งอาจมีผลในเชิงนโยบาย
ทางกฎหมาย (legal policy) ที่จะเป็นแบบแผนต่อการปฏิบัติของคู่ความในคดีอ่ืนๆ
หรอื แม้แต่กรณีทยี่ งั ไม่ได้เป็นขอ้ พิพาททฟี่ อ้ งรอ้ งคดีต่อศาลด้วย การวางบรรทัดฐานที่จะ
มีผลต่อไปถึงสังคมในวงกว้างจึงไม่ควรข้ึนอยู่กับข้อมูลและมุมมองท่ีคู่ความเฉพาะ
ในคดีนั้นนาเสนอซ่ึงไม่มีหลักประกันใดๆ ที่จะรับรองได้ว่าเป็นข้อมูลหรือมุมมองที่
รอบด้าน ผ่านการวิเคราะห์และศึกษามาเป็นอย่างดี ด้วยเหตุนี้จึงทาให้ “คาแถลง
ของบุคคลภายนอกหรือ Amicus curiae” นี้เป็นกลไกสาคัญประการหน่ึงที่ปรากฏ
ในกฎหมายว่าด้วยวิธีพิจารณาความของหลายประเทศ รวมถึง “หลักวิธีพิจารณา
ความแพง่ ระหว่างประเทศ” (Principles of Transnational Civil Procedure) ดว้ ย
131
Glossary
Allege
Appropriate
Contempt
Deem
Discovery
deponent
depose
deposition
Interrogatory
medical examination
requests for admission
requests to produce
under oath
Exercise
Interrogate
interrogatory
Jurisdiction
forum necessitatis
forum non conveniens
quasi in rem jurisdiction
substantial connection
Subpoena
สํานักงานศาลยุติธรรม
OFFICE OF THE JUDICIARY
https://coj.go.th