การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน รายวิชาเศรษฐศาสตร์ เรื่อง การผลิตและการแข่งขันสินค้า โดยใช้แบบฝึกทักษะ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 วราพร อัคราช วิจัยในชั้นเรียนนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตร ครุศาสตรบัณฑิตสาขาวิชาสังคมศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี 2566
การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน รายวิชาเศรษฐศาสตร์ เรื่อง การผลิตและการแข่งขันสินค้า โดยใช้แบบฝึกทักษะ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 วราพร อัคราช วิจัยในชั้นเรียนนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตร ครุศาสตรบัณฑิตสาขาวิชาสังคมศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี 2566
หัวข้อวิจัยในชั้นเรียน การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน รายวิชาเศรษฐศาสตร์ เรื่อง การผลิต และการแข่งขันสินค้า โดยใช้แบบฝึกทักษะ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษา ปีที่ 3 ผู้วิจัย นางสาววราพร อัคราช สาขาวิชา สังคมศึกษา อาจารย์ที่ปรึกษา ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วินัย ภารเวช อาจารย์ที่ปรึกษาร่วม อาจารย์ดร.ทุติยาภรณ์ ภูมิดอนมิ่ง ครูพี่เลี้ยง นางสาวจิดาภา พันชะโก อาจารย์ประจำหลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาสังคมศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัย ราชภัฏอุดรธานีอนุมัติให้นับวิจัยในชั้นเรียนฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตรครุศาสตร บัณฑิต สาขาวิชาสังคมศึกษา .................................................................. หัวหน้าสาขาวิชา (.................................................................) วันที่.......…เดือน…….…………พ.ศ…………… คณะกรรมการผู้ประเมินรายงานวิจัยในชั้นเรียน .................................................................................. ประธานคณะกรรมการ (ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วินัย ภารเวช) .................................................................................. กรรมการ (ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ยุทธยา หมื่นสาย) .................................................................................. กรรมการ (นางสาวจิดาภา พันชะโก) .................................................................................. กรรมการ (นางทิติภา อิ้มพัฒน์)
ก หัวข้อวิจัยในชั้นเรียน การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน รายวิชาเศรษฐศาสตร์ เรื่อง การผลิต และการแข่งขันสินค้า โดยใช้แบบฝึกทักษะ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษา ปีที่ 3 ผู้วิจัย นางสาววราพร อัคราช สาขาวิชา สังคมศึกษา อาจารย์ที่ปรึกษา ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วินัย ภารเวช อาจารย์ที่ปรึกษาร่วม อาจารย์ดร.ทุติยาภรณ์ ภูมิดอนมิ่ง ครูพี่เลี้ยง นางสาวจิดาภา พันชะโก บทคัดย่อ การศึกษาวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อพัฒนาชุดการสอน ให้มีประสิทธิภาพ80/80 2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียนโดยใช้แบบ ฝึกทักษะ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ห้อง 4 จำนวน 1 ห้องเรียน จำนวนนักเรียน 44 คน ในปีการศึกษา 2566 โรงเรียนอนุบาลอุดรธานี อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย 1 แบบฝึกทักษะ เรื่อง การผลิตและแข่งขัน ทางการค้ามีค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) เท่ากับ 1.00 และค่าความเชื่อมั่นของชุดการสอน โดยใช้ สัมประสิทธิ์แอลฟา (Alpha Coeffient)ตามวิธีของครอนบาค ได้ค่าความเชื่อมั่น 0.91 2) แผนการ จัดการเรียนรู้ สาระวิชาเศรษฐศาสตร์ เรื่องการผลิตและการแข่งขันสินค้าของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 3 โดยใช้ชุดการสอน จำนวน 8 แผน รวม 8 ชั่วโมง มีค่าดัชนีความสอดคล้อง(IOC) เท่ากับ 1.00 3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบบปรนัยชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือกจำนวน 20 ข้อ มีค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) อยู่ที่ 0.50-1.00 คำความยากง่าย (p) มีค่าอยู่ระหว่าง 0.43 ถึง 0.75 และค่าอำนาจจำแนก (I) มีค่าอยู่ระหว่าง 0.10 ถึง 0.50 และค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.77 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบ ที่แบบไม่อิสระ (t-test for Dependent Sample) จากการศึกษาพบว่า ข้อที่1. การหาประสิทธิภาพ ของแผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง การผลิตและการแข่งขันวิชาเศรษฐศาสตร์ โดยใช้แบบฝึกทักษะ ของ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนอนุบาลอุดรธานีมีประสิทธิภาพ 87.11/85.79 ซึ่งสูงกว่า เกณฑ์ที่กำหนดไว้ ข้อที่ 2. ผลการเปรียบเทียบและวิเคราะห์ผลสัมฤทธิ์การเรียน เรื่อง การผลิตและ การแข่งขันสินค้าวิชาเศรษฐศาสตร์ โดยใช้แบบฝึกทักษะ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียน อนุบาลอุดรธานี มีค่าเฉลี่ยหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
ข กิตติกรรมประกาศ รายงานวิจัยฉบับนี้ได้ศึกษาการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสาระวิชาเศรษฐศาสตร์เรื่อง การผลิตและการแข่งขันสินค้า ของนักเรียนขั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โดยใช้ชุดแบบฝึกทักษะซึ่งรายงาน วิจัยนี้สำเร็จลงได้ด้วยความกรุณาและความช่วยเหลือจากผู้ช่วยศาสตราจารย์ดร.ปุณรัตน์ พิพิธกุล ขอขอบคุณอาจารย์ที่ปรึกษาหลัก ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วินัย ภารเวช อาจารย์ที่ปรึกษา ร่วม อาจารย์ ดร.ทุติยาภรณ์ ภูมิดอนมิ่ง ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ยุทธยา หมื่นสาย อาจารย์ไกรวุฒิ ชูวิลัย อาจารย์วิชญ์ จอมวิญญาณ์อาจารย์ประจำสาขาวิชาสังคมศึกษา โดยท่านได้ให้คำแนะนำและ คำปรึกษาและความช่วยเหลือในทุกด้านเกี่ยวกับสาระสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม พร้อมทั้งได้ ตรวจสอบความถูกต้องของรูปแบบเนื้อหาตลอดจนการเก็บรวบรวมข้อมูลและการสรุปผลการวิจัยจน สำเร็จออกมาเป็นรูปเล่ม ผู้จัดทำรายงานการวิจัยจึงขอขอบคุณพระคุณท่านไว้ ณ ที่นี่เป็นอย่างสูง ขอขอบพระคุณ คุณครูจิดาภา พันชะโก คุณครูพี่เลี้ยง คุณครูทิติภา อิ้มพัฒน์ หัวหน้ากลุ่ม สาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม และคุณครูปัณฑิตา นาคสร้อย ครูชำนาญการ ที่กรุณาช่วยตรวจสอบคุณภาพและความสอดคล้องของเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คอยให้คำแนะนำ เกี่ยวกับรูปแบบ เนื้อหา กิจกรรม จุดประสงค์ และการวัดประเมินผล ขอขอบคุณเพื่อนๆทุกท่าน ที่เป็นกำลังแรงกายแรงใจ คอยช่วยเหลือ ให้คำปรึกษากับผู้วิจัย เสมอมา ขอขอบคุณนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ที่ให้ความร่วมมือในการทดสอบการวิจัยในครั้งนี้ ขอขอบพระคุณคณาจารย์ประจำหลักสูตรปริญญาตรีสาขาวิชาสังคมศึกษา คณะครุศาสตร์และคณะ มนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานีทุกท่านที่ได้ประสิทธิ์ประสาทความรู้และ ประสบการณ์อันมีค่ายิ่งแก่ศิษย์ และสุดท้ายนี้ ขอให้คุณค่าที่ได้รับจากงานวิจัยฉบับนี้ ขอให้เป็นประโยชน์แก่ผู้ศึกษาในครั้ง ต่อ ๆ ไป เพื่อใช้ในการปรับปรุงแก้ไขและพัฒนาการศึกษาชาติไทยให้มีประสิทธิภาพยิ่ง ๆ ขึ้นไป วราพร อัคราช
ค สารบัญ เรื่อง หน้า บทคัดย่อภาษาไทย………………………………………………………………………………………………. ก กิตติกรรมประกาศ………………………………………………………………………………………………… ข สารบัญ………………………………………………………………………………………………………………… ค สารบัญตาราง………………………………………………………………………………………………………. จ สารบัญภาพ…………………………………………………………………………………………………………. ช บทที่ 1 บทนำ……………………………………………………………………………………………………………………… 1 1.1 ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา………………………………………………………….. 1 1.2 วัตถุประสงค์การวิจัย…………………………………………………………………………………….. 1 1.3 สมมติฐานของการวิจัย………………………………………………………………………………….. 3 1.4 ขอบเขตของการวิจัย……………………………………………………………………………………….. 3 1.5 ระยะเวลาที่ใช้ในการวิจัย……………………………………………………………………………….. 3 1.6 นิยามศัพท์เฉพาะ………………………………………………………………………………………….. 4 1.7 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ…………………………………………………………………………….. 4 2 เอกสารที่เกี่ยวข้อง……………………………………..……………………………………………………………. 5 2.1 หลักสูตรการศึกษาขึ้นพื้นฐาน………………………………………………………………………… 5 2.2 การพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา……………………………………………………………………… 8 2.3 หลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม………………………… 8 2.4 ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง สาระเศรษฐศาสตร์…………………………………. 12 2.5 แนวคิดและทฤษฎีในเรื่องแบบฝึกทักษะ………………………………………………………….. 13 2.6 แผนจัดการเรียนรู้…………………………………………………………………………………………. 24 2.7 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน…………………………………………………………………………………. 35 2.8 ประสิทธิภาพตามเกณฑ์………………………………………………………………………………… 42 2.9 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง……………………………………………………………………………………….. 43 2.10 กรอบแนวคิดวิจัย………………………………………………………………………………………… 49 3 วิธีดำเนินการวิจัย………………………………………….………………………………………………………… 50 3.1 ประชากรกลุ่มตัวอย่าง…………………………………………………………………………………… 50
ง สารบัญต่อ (ต่อ) เรื่อง หน้า 3.2 เครื่องมือที่ใช้วิจัย………………………………………………………………………………………….. 50 3.2 การสร้างและการหาคุณภาพเครื่องมือ…………………………………………………………….. 51 3.3 การรวบรวมข้อมูล………………………………………………………………………………………… 54 3.4 การวิเคราะห์ข้อมูล……………………………………………………………………………………….. 54 3.5 สถิติที่ใช้การวิเคราะห์ข้อมูล……………..……………………………………………………………. 54 4 การวิเคราะห์ข้อมูล………………..………………………………………………………………………………. 59 4.1 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล…………………………………………………………………………………. 59 ตอนที่ 1 ผลการวิเคราะห์ผลการใช้เศรษฐศาสตร์ โดยใช้แบบฝึกทักษะ ของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนอนุบาลอุดรธานี………………………………………………………… 61 ตอนที่ 2 เปรียบเทียบและวิเคราะห์ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อง การผลิตและการ แข่งขันสินค้า วิชาเศรษฐศาสตร์ โดยใช้แบบฝึกทักษะ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนอนุบาลอุดร ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน80/80…………………………………. 64 5 สรุปและอภิปรายผล และข้อเสนอแนะ……………………………………………………………………. 66 5.1 สรุปผลการวิจัย…………………………………………………………………………………………….. 68 5.2 อภิปรายผล………………………………………………………………………………………………….. 68 5.3 ข้อเสนอแนะ……………………………………………………………………………………………...... 70 5.4 บรรณานุกรม……………………………………………………………………………………………... 126 ภาคผนวก ภาคผนวก ก รายชื่อผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือ……………………………………. 72 ภาคผนวก ข เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย…………………………………………………………………… 74 ภาคผนวก ค ผลการหาคุณภาพเครื่องมือ……………………………………………………………… 108 ภาคผนวก ง บรรยากาศการเรียนการสอน…………………………………………………………….. 124 ประวัติผู้วิจัย…………………………………………………………………………………………………………….. 131
จ สารบัญตาราง (ต่อ) ตารางที่ หน้า 4.1 ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง สาระเศรษฐศาสตร์…………………………………….. 22 1 ผลการวิเคราะห์ประสิทธิภาพของแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะ หน่วยการเรียนรู้เรื่อง การผลิตและการแข่งขันสินค้า วิชาเศรษฐศาสตร์ ของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนอนุบาลอุดรธานี…………………………………………………… 68 2 ประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะการผลิตสินค้าและการ แข่งขันสินค้า วิชาเศรษฐศาสตร์ ของนักเรียนชั้นประถมมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียน โรงเรียนอนุบาลอุดรธานี……………………………………………………………………………………. 70 3 คะแนนเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของผลสัมฤทธิ์ก่อนเรียน และหลังเรียน เรื่อง การผลิตและการแข่งขันสินค้า วิชาเศรษฐศาสตร์ โดยใช้แบบฝึกทักษะของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี……………………………… 71 4 คะแนนเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบทีแบบไม่อิสระของผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน เรื่อง การค้าและการแข่งขันสินค้า วิชาเศรษฐศาสตร์ โดยใช้ใช้แบบฝึก ทักษะ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนอนุบาลอุดรธานี ก่อนเรียนและหลัง เรียน……………………………………………………………………………………………………………….. 73 ค.1 ผลวิเคราะห์ค่าดัชนีความสอดคล่อง (IOC) ของชุดการสอนสาระเศรษฐศาสตร์ เรื่อง การผลิตและการแข่งขันสินค้า……………………………………………………………………………. 1 ค.2 ผลการประเมินคุณภาพชุดการสอนสาระเศรษฐศาสตร์ เรื่องการผลิตและการแข่งขัน สินค้า………………………………………………………………………………………………………………. 109 ค.3 ผลวิเคราะห์ค่าความเชื่อมั่นคุณภาพการสอนสาระเศรษฐศาสตร์ เรื่องการผลิตและ การแข่งขันสินค้า………………………………………………………………………………………………. 111 ค.4 ผลการวิเคราะห์ค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ของแผนการจัดการเรียนรู้สาระวิชา เศรษฐศาสตร์ เรื่องการผลิตและการแข่งขันสินค้า ชั้นประถมศึกษาปีที่3…………………. 113 ค.5 ผลการวิเคราะห์ค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน สาระเศรษฐศาสตร์ เรื่องการผลิตและการแข่งขันสินค้า ชั้น ประถมศึกษาปีที่ 3…………………………………………………………………………………………… 115 ค.6 ผลการวิเคราะห์ค่าความยากง่าย (p) และค่าอำนาจจำแนก (r) ของแบบทดสอบ วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องการผลิตและการแข่งขันสินค้าชั้นประถมศึกษา ปีที่ 3………………………………………………………………………………………………………………. 116
ฉ สารบัญตาราง (ต่อ) ตารางที่ หน้า ค.7 แสดงคะแนนที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่างทำถูกในการทำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียน เรื่องการผลิตและการแข่งขันสินค้าชั้นประถมศึกษาปีที่ 3……………………………. 117 ค.8 ผลวิเคราะห์ค่าความเชื่อมั่นของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องการ ผลิตและการแข่งขันสินค้าชั้นประถมศึกษาปีที่3ที่ได้คัดเลือกมาแล้ว จำนวน 20ข้อ โดยใช้สูตร KR-20…………………………………………………………………………………………… 119 ค.9 การคัดเลือกข้อสอบ………………………………………………………………………………………… 121
ช สารบัญภาพ ภาพที่ หน้า 10 กรอบแนวคิดในการวิจัย……………………………………………………………………………………… 49 ภาพบรรยากาศการเรียนการสอนโดยใช้แบบฝึกทักษะ……………………………………………. 125
1 บทที่ 1 บทนำ 1.1 ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 และ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2553 ได้บัญญัติในเรื่องแนวทางการ จัดการศึกษาหมวด 4 ตามมาตรา 22 ไว้ว่า การจัดการศึกษาต้องยึดหลักว่า ผู้เรียนทุกคนมีความสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้และถือว่า ผู้เรียนมีความสำคัญที่สุดในกระบวนการเรียนรู้ ด้องจัดเนื้อหาสาระและกิจกรรมให้สอดคล้องกับความ สนใจและความถนัดของผู้เรียนคำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคลจัดให้ผู้เรียนเรียนรู้ตัวยวิธีต่าง ๆ ตามสติปัญญาและความสามารถของตนการจัดการศึกษามุ่งเน้นความสำคัญทั้งค้านความรู้ ความคิด ความสามารถ คุณธรรม กระบวนการเรียนรู้และความรับผิดชอบต่อสังคม เพื่อพัฒนาคนให้มีความ สมดุล โดยยึดหลักผู้เรียนสำคัญที่สุด (กระทรวงศึกษาธิการ.2542: 23) การวิจัยเป็นเครื่องมือสำคัญประการหนึ่งที่จะช่วยให้การปฏิรูปการเรียนรู้ ประสบ ความสำเร็จดังจะเห็นได้จากพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ ศ. 2542 ซึ่งเป็นกฎหมายแม่บท ทางการศึกษาของไทย ได้ให้ความสำคัญกับการวิจัยและกำหนดมาตรา หลายมาตราที่ชี้ให้เห็นว่าการ วิจัยเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้ กล่าวคือ มาตรา 24 (5) ระบุให้ใช้การวิจัยเป็นส่วนหนึ่งของ กระบวนการเรียนรู้ ผู้เรียนสามารถใช้การวิจัยเพื่อศึกษาคันคว้ามาคำตอบหรือแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น การวิจัยจึงสัมพันธ์กับกระบวนการเรียนรู้ ซึ่งจะช่วยฝึก กระบวนการคิด วิเคราะห์หาเหตุผลในการ ตอบปัญหา และแก้ไขปัญหา มาตรา 30 ระบุให้ครูผู้สอนทำการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ให้เหมาะสม กับผู้เรียน ผู้สอนนอกจากจัดกระบวนการเรียนการสอนแล้ว ยังใช้การวิจัยเพื่อศึกษาปัญหาหรือสิ่งที่ ต้องการรู้คำตอบ พัฒนาควบคู่กันไปอย่างต่อเนื่อง โดยบูรณาการกระบวนการจัดการเรียนการสอน และทำการวิจัยให้เป็นกระบวนการเดียวกัน การเรียนการสอนกลุ่มสาระสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรมในโรงเรียน ส่วนใหญ่จัด ผู้เรียนเป็นห้อง ๆ แต่ละห้องมีผู้เรียนจำนวนมาก โดยให้ผู้เรียนเรียนคละกันทั้งกลางและอ่อน ดังนั้น การปลูกฝังความมีระเบียบวินัย คุณธรรม ความซื่อสัตย์ ความเป็นมนุษย์ ความกตัญญู รักเกียรติภูมิ แห่งตน เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม มีความรู้จักคิดวิเคราะห์ การทำงานเป็นกลุ่ม เคารพสิทธิของผู้อื่น เสียสละรักประเทศชาติ เห็นคุณค่าอนุรักษ์และพัฒนาศิลปวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม ศรัทธาใน ศาสนา จึงพัฒนาให้ผู้เรียนมีคุณธรรมจริยธรรม และเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ได้ยาก เพราะขัดกับหลัก จิตวิทยาและธรรมชาติของการเรียนรู้ เพราะผู้เรียนแต่ละคนมีความแตกต่างกันในด้านสติปัญญา ความถนัด คุณธรรมจริยธรรม ความสามารถและประสบการณ์ จึงทำให้ผู้เรียนมีความรู้และความ เข้าใจ ในเรื่องที่เรียนแตกต่างกัน ถ้าครูสอนเร็วผู้เรียนที่เรียนอ่อนจะตามไม่ทันครูสอนซ้ำ
2 อธิบายมาก ๆ ผู้เรียนก็จะเกิดความเบื่อหน่ายและถ้าเป็นผู้เรียนที่ยังอายุน้อย การปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรมจึงเป็นไปได้ยากครูผู้สอนต้องหาวิธีการสอนหลายๆอย่างเพื่อทำให้ผู้เรียนสนใจและมีเจตคติ ที่ดีต่อกลุ่มสาระสังคมศึกษาศาสนาแลวัฒนธรรม ในการแก้ปัญหาดังกล่าวนี้วิธีหนึ่งที่จะช่วยในการ เรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพและยังปลูกฝังระเบียบวินัยคุณธรรมจริยธรรมให้ดีขึ้นได้แก่การนำเอา วิธีการสอนมาให้ใช้เหมาะสมกับลักษณะวิชา กล่าวคือครูจะต้องหาวิธีการสอน ที่ได้ผลมาใช้กับ นักเรียน ซึ่งจะเป็นสิ่งที่ทำให้การเรียนการสอนดำเนินไปอย่าง มีประสิทธิภาพมากขึ้นกว่าเดิมปัจจุบัน การเจริญก้าวหน้าทางวิทยาการด้านต่างๆ ของโลกยุคโลกาภิวัฒน์ มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางสังคม วัฒนธรรม คุณธรรม จริยธรรม ครอบครัว ชุมชน และประเทศชาติ จึงทำให้นักเรียนมีพฤติกรรม เปลี่ยนแปลงไป การศึกษาสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรมเป็นการศึกษาเกี่ยวกับวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของ มนุษย์ลักษณะทางกายภาพและสภาพสิ่งแวดล้อมที่อยู่ล้อมรอบตัวเรา เป็นการเรียนรู้ที่จะสามารถ ปรับตัวให้เข้ากับสภาพสังคมปัจจุบันได้อย่างมีความสุข ผสมพร ประจันตะเสน (2550 หน้า 2) กล่าวว่า ปัญหาที่พบในการจัดการเรียนการสอนรายวิชาสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม เรื่องการ ผลิตและการแข่งขันสินค้า นักเรียนมีความสับสนเรื่องสิ่งแวดล้อมทางด้านต่าง ๆ ในท้องถิ่นของ ประเทศไทย ทำให้นักเรียนเกิดความเบื่อหน่ายที่ต้องจดตามกระดานครูโดยที่ไม่มีงานหรือแบบฝึกหัด ที่น่าสนใจทำให้ไม่มีความตื่นเต้น ไม่สนการใจเรียน ส่งผลให้ผลสัมฤทธิ์ในการเรียนไม่ดี ชุดฝึกทักษะ เป็นสื่อการเรียนรู้อีกรูปแบบหนึ่งที่เหมาะสมในการนำมาใช้ประกอบการเรียน การสอนเพราะชุดฝึกทักษะเปรียบเสมือนครูผู้สอน ให้ผู้เรียนสามารถศึกษาค้นคว้า ทำกิจกรรมการ เรียน การประเมินผลด้วยตนเอง ซึ่งเป็นสื่อการจัดการเรียนรู้ที่สร้างขึ้น โดยกำหนดเนื้อหา วัตถุประสงค์ วิธีการตลอดจนอุปกรณ์การสอนที่นักเรียนสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง โดยแบ่งเนื้อหา ออกเป็นส่วนย่อย ๆ เรียกว่าชุด โดยลำดับเนื้อหาจากง่ายไปหายาก แต่ละชุดมีคำถาม คำตอบเพื่อให้ นักเรียนสามารถเรียนรู้ได้ตามศักยภาพของตนเอง ดังนั้นผู้วิจัยจึงเห็นสมควรแก้ปัญหาโดยการสร้าง ชุดฝึกทักษะจะส่งผลให้นักเรียนสนใจเรียนมากขึ้นและมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนดีขึ้น 1.2 วัตถุประสงค์ของการวิจัย 1) เพื่อสร้างแบบฝึกทักษะทางการเรียนวิชาสังคมศึกษาศาสนาและวัฒนธรรม เรื่องการผลิต และการแข่งขันสินค้า ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ห้อง 4 ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์80/80 2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน เรื่องการผลิต และการแข่งขันสินค้า โดยใช้แบบฝึกทักษะการเรียนสำหรับนักเรียนประถมศึกษาปีที่ 3 ห้อง 4
3 1.3 สมมติฐานของการวิจัย 1) แผนการจัดการเรียนรู้มีประสิทธิภาพของเครื่องมือตามเกณฑ์ประสิทธิภาพ 80/80 2) นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่3 ที่ได้เรียนด้วยแผนการจัดการเรียนรู้โดยการใช้แบบฝึก ทักษะมีสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงกว่าก่อนเรียน 1.4 ขอบเขตของการวิจัย 1.4.1 กลุ่มเป้าหมาย/และประชากร กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ห้อง 4 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา จำนวน 1 ห้องเรียน จำนวนนักเรียน 44 คน จากนักเรียนชั้น ป.3 จำนวน 11 ห้อง จำนวน 462 คน 1.4.2 ตัวแปรที่ศึกษา 1.4.2.1 ตัวแปรต้น คือ กิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะทางการเรียนเรื่อง การผลิตและการแข่งขัน สินค้า นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ห้อง 4 จำนวน 44 คน 1.4.2.2 ตัวแปรตาม ได้แก่ 1.4.2.2.1ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม เรื่องการผลิตและการแข่งขันสินค้า ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ห้อง 4 จำนวน 44 คน 1.4.3 เนื้อหาที่ใช้ในการวิจัย เนื้อหาที่ผู้วิจัยนำมาใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ในครั้งนี้คือวิชาสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม เรื่อง การผลิตและการแข่งขันสินค้า สาระเศรษฐศาสตร์ ระดับชั้นประถมศึกษา ปีที่ 3 ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 มีรายละเอียดดังนี้ 1.4.3.1 แผนการจัดการเรียนรู้ที่1แบบทดสอบก่อนเรียน จำนวน 1 ชั่วโมง 1.4.3.2 แผนการจัดการเรียนรู้ที่2เรื่องการผลิตและการบริโภค สินค้าและบริการ1 จำนวน 1 ชั่วโมง 1.4.3.3 แผนการจัดการเรียนรู้ที่3เรื่องการผลิตและการบริโภค สินค้าและบริการ2 จำนวน 1 ชั่วโมง 1.4.3.4 แผนการจัดการเรียนรู้ที่4เรื่องปัญหาพื้นฐานทางเศรษฐกิจ และทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด1 จำนวน 1 ชั่วโมง 1.4.3.5 แผนการจัดการเรียนรู้ที่5เรื่องปัญหาพื้นฐานทางเศรษฐกิจ และทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด2 จำนวน 1 ชั่วโมง 1.4.3.6 แผนการจัดการเรียนรู้ที่6เรื่องการแข่งขันทางการค้า1 จำนวน 1 ชั่วโมง
4 1.4.3.7 แผนการจัดการเรียนรู้ที่7เรื่องการแข่งขันทางการค้า2 จำนวน 1 ชั่วโมง 1.4.3.8 แผนการจัดการเรียนรู้ที่8 แบบทดสอบหลังเรียน จำนวน 1 ชั่วโมง 1.4.4 ระยะเวลาที่ใช้ในการวิจัย ผู้วิจัยดำเนินการทดลองในปีการศึกษา 2566 วิชาเศรษฐศาสตร์เรื่อง การผลิตและ การแข่งขันสินค้าแผนการจัดการเรียนรู้ 1 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ จำนวน 8 แผน ใช้เวลา 8 ชั่วโมง 1.5 นิยามศัพท์เฉพาะ 1.5.1 แบบฝึกทักษะการเรียน หมายถึง แบบฝึกทักษะที่ผู้ค้นคว้าสร้างขึ้นโดยใช้เนื้อหาวิชา สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม สาระเศรษฐศาสตร์ เรื่องการผลิตและการแข่งขันสินค้า ในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ห้อง แบ่งเนื้อหาออกเป็น 8 ชุด 1.5.2 นักเรียน หมายถึง นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ห้อง 4 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียน อนุบาลอุดรธานี จำนวน 44คน 1.5.3 แบบทดสอบ หมายถึง แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม เรื่อง เครื่องการผลิตและการแข่งขันสินค้า ที่ผู้รายงานสร้างขึ้น เพื่อทดสอบ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่3 ห้อง 4 ก่อนและหลังการทดลอง 1.5.4 แผนการจัดการเรียนรู้ หมายถึง แผนการจัดการเรียนรู้วิชาสังคมศึกษา ศาสนาและ วัฒนธรรม เกี่ยวกับเรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาเศรษฐศาสตร์เรื่องการผลิตและ การแข่งขันสินค้าของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 3 ห้อง 4 โดยใช้แบบฝึกทักษะการเรียนที่ผู้รายงาน สร้างขึ้น 1.5.5 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง คะแนนที่นักเรียนทำได้จากแบบทดสอบวัด ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่ผู้ศึกษาสร้างขึ้น 1.5.6 ประสิทธิภาพของชุดฝึกทักษะการเรียน ผู้ศึกษาได้กำหนดไว้ที่ 80 / 80 80 ตัวแรก หมายถึง คะแนนเฉลี่ยร้อยละของประสิทธิภาพของการฝึก 80 ตัวหลัง หมายถึง คะแนนเฉลี่ยร้อยละของการทดสอบหลังเรียน 1.6 ประโยชน์ที่จะได้รับ 1) ครูผู้สอนได้แนวทางการจัดกิจกรรมการเรียนรู้สาระสังคมศึกษา เรื่อง การผลิตและการ แข่งขันสินค้า โดยใช้แบบฝึกทักษะ 2) สามารถนำไปพัฒนาและปรับปรุงให้เกิดประโยชน์ในการเรียนการสอนกลุ่มสาระ การเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรมต่อไป
5 บทที่2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ในการศึกษาเอกสารงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการเพิ่มผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม สาระเศรษฐศาสตร์เรื่อง การผลิตและการแข่งขันสินค้า ของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3/4โรงเรียนอนุบาลอุดรธานี โดยใช้ แบบฝึกทักษะการเรียน ผู้ศึกษาได้ค้นคว้า เอกสารงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง โดยลำดับเนื้อหาที่เป็นสาระสำคัญ ดังต่อไปนี้ 2.1 หลักสูตรการศึกษาขันพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 2.2 การพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา 2.3 หลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม พุทธศักราช 2551 2.4 ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง สาระเศรษฐศาสตร์ 2.5 แนวคิดและทฤษฎีในเรื่องแบบฝึกทักษะ 2.6 แผนจัดการเรียนรู้ 2.7 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 2.8 ประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 2.9 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 2.10 กรอบแนวคิดในการวิจัย ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้ 2.1 หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 หลักสูตรแกนกลางการศึกษาชั้นพื้นฐาน มุ่งพัฒนาผู้เรียนทุกคน ซึ่งเป็นกำลังของชาติให้เป็น มนุษย์ที่มีความสมดุลทั้งด้านร่างกาย ความรู้ คุณธรรม มีจิตสำนึกในความเป็นพลเมืองไทยและเป็น พลโลก ยึดมั่นในการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขมีความรู้ และทักษะพื้นฐานรวมทั้งเจตคติที่จำเป็นต่อการศึกษาต่อการประกอบอาชีพและการศึกษาตลอดชีวิต โดยมุ่งเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญบนพื้นฐานความเชื่อว่า ทุกคนสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้เต็มตาม ศักยภาพ 2.1.1 หลักการ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มีหลักการที่สำคัญ ดังนี้ 2.1.1.1 เป็นหลักสูตรการศึกษาเพื่อความเป็นเอกภาพของชาติ มีจุดมุ่งหมายและ มาตรฐานการเรียนรู้เป็นเป้าหมายสำหรับการพัฒนาเด็กและเยาวชนให้มีความรู้ ทักษะ เจตคติและ คุณธรรม บนพื้นฐานของความเป็นไทยควบคู่กับความเป็นสากล
6 2.1.1.2 เป็นหลักสูตรการศึกษาเพื่อปวงชนที่ประชาชนทุกคนมีโอกาสได้รับ การศึกษาอย่างเสมอภาคและมีคุณภาพ 2.1.1.3 เป็นหลักสูตรสถานศึกษาที่สนองการกระจายอำนาจให้สังคมมีส่วนร่วมใน การจัดการศึกษาให้สอดคล้องกับสภาพและความต้องการของท้องถิ่น 2.1.1.4 เป็นหลักสูตรการศึกษาที่มีโครงสร้างยึดหยุ่นทั้งด้านสาระการเรียนรู้เวลา และการจัดการเรียนรู้ 2.1.1.5 เป็นหลักสูตรการศึกษาที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ 2.1.1.6 เป็นหลักสูตรการศึกษาสำหรับการศึกษาในระบบนอกระบบ และตาม อัธยาศัยครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมายสามารถเทียบโอนผลการเรียนรู้และประสบการณ์ 2.1.2 จุดหมาย หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 มีจุดมุ่งหมายเพื่อมุ่งพัฒนา ผู้เรียนให้เป็นคนดี มีปัญญา มีความสุข มีศักยภาพในการศึกษาต่อ และประกอบอาชีพจึงกำหนดเป็น จุดมุ่งหมาย เพื่อให้เกิดกับผู้เรียนเมื่อจบการศึกษาชั้นพื้นฐาน ไว้ดังนี้ 2.1.2.1 มีคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมที่พึ่งประสงค์ เห็นคุณค่าของตนเองมี วินัยและปฏิบัติตนตามหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาหรือศาสนาที่ตนนับถือยึดหลักปรัชญา ของเศรษฐกิจพอเพียง 2.1.2.2 มีความรู้อันเป็นสากลและมีความสามารถในการสื่อสาร การคิด การ แก้ปัญหาการใช้เทคโนโลยี และมีทักษะชีวิต 2.1.2.3 มีสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดี มีสุขนิสัย และรักการออกกำลังกาย 2.1.2.4 มีความรักชาติ มีจิตสำนึกในความเป็นพลเมืองไทย และพลโลก ยึดมั่นใน วิถีชีวิตและการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข 2.1.2.5 มีจิตสำนึกในการนุรักษ์วัฒนธรรมและภูมิปัญญาไทยใน การอนุรักษ์และ พัฒนาสิ่งแวดล้อมมีจิตสารธารณะที่มุ่งเน้นทำประโยชนืและสร้างสิ่งที่ดีงามในสังคมและอยู่ร่วมกัน อย่างมีความสุข 2.1.3 สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน ในการพัฒนาผู้เรียนตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งเน้นพัฒนาผู้เรียนให้ มีคุณภาพตามมาตรฐานที่กำหนด ซึ่งการพัฒนาผู้เรียนให้บรรลุมาตรฐานการเรียนรู้ที่กำหนดนั้นจะ ช่วยให้ผู้เรียนเกิดสมรรถนะสำคัญ 5 ประการ ดังนี้ 1) ความสามารถในการสื่อสาร เป็นความสามารถในการรับและส่งสาร มีวัฒนธรรม ในการใช้ภาษาถ่ายทอดความคิด ความรู้ความเข้าใจ ความรู้สึก และทัศนะของตนเองเพื่อแลกเปลี่ยน ข้อมูลข่าวสารและประสบกรณ์อันจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาตนเองและสังคม รวมทั้งการเจรจา
7 ต่อรองเพื่อขจัดและลดปัญหาความขัดแย้งต่างๆ การเลือกรับหรือไม่รับข้อมูลข่าวสารด้วยหลักเหตุผล และความถูกต้อง ตลอดจนการเลือกใช้วิธีการสื่อสาร ที่มีประสิทธิภาพโดยคำนึงถึงผลกระทบที่มีต่อ ตนเองและสังคม 2) ความสามารถในการคิด เป็นความสามารถในการคิดวิเคราะห์ การคิดสังเคราะห์ การคิด อย่างสร้างสรรค์ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ และการคิดเป็นระบบ เพื่อนำไปสู่การสร้างองค์ ความรู้หรือสารสนเทศเพื่อการตัดสินใจเกี่ยวกับตนเองและสังคมได้อย่างเหมาะสม 3) ความสามารถในการแก้ปัญหา เป็นความสามารถในการแก้ปัญหาและอุปสรรค ต่าง ๆ ที่เผชิญได้อย่างถูกต้องเหมาะสมบนพื้นฐานของหลักเหตุผล คุณธรรมและข้อมูลสารสนเทศ เข้าใจความสัมพันธ์และการเปลี่ยนแปลงของเหตุการณ์ต่าง ๆ ในสังคมแสวงหาความรู้ประยุกต์ความรู้ มาใช้ในการป้องกันและแก้ไขปัญหา และมีการตัดสินใจที่มีประสิทธิภาพโดยคำนึงถึงผลกระทบที่ เกิดขึ้นต่อตนเอง สังคมและสิ่งแวดล้อม 4) ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต เป็นความสามารถในการนำกระบวนการต่าง ๆ ไปใช้ในการดำเนินชีวิตประจำวัน การเรียนรู้ด้วยตนเอง การเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง การทำงานและ การอยู่ร่วมกันในสังคมด้วยการสร้างเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างบุคคล การจัดการปัญหาและ ความขัดแย้งต่าง ๆ อย่างเหมาะสม การปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมและ สภาพแวดล้อม และการรู้จักหลีกเลี่ยงพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ที่ส่งผลกระทบต่อตนเองและผู้อื่น 5) ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี เป็นความสามารถในการเลือกและใช้ เทคโนโลยีด้านต่าง ๆ และมีทักษะกระบวนการทางเทคโนโลยี เพื่อการพัฒนาตนเองและสังคมในด้าน การเรียนรู้ การสื่อสาร การทำงาน การแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ ถูกต้อง เหมาะสมและมีคุณธรรม 2.1.4 คุณลักษณะอันพึงประสงค์ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณลักษณะอันพึงประสงค์ เพื่อให้สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้อย่างมีความสุข ในฐาน เป็นพลเมืองไทยและพลโลก ดังนี้ 1) รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ 2) ซื่อสัตย์สุจริต 3) มีวินัย 4) ใฝ่เรียนรู้ 5) อยู่อย่างพอเพียง 6) มุ่งมั่นในการทำงาน 7) รักความเป็นไทย 8) มีจิตสาธารณะ
8 2.2 การพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา ในการพัฒนาผู้เรียนตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งเน้นพัฒนาผู้เรียน ให้มีคุณภาพตามมาตรฐานที่กำหนด ซึ่งการพัฒนาผู้เรียนให้บรรลุมาตรฐานการเรียนรู้ที่กำหนดนั้น จะช่วยให้ผู้เรียนเกิดสมรรถนะสำคัญ 5 ประการ ดังนี้ 1) ความสามารถในการสื่อสาร เป็นความสามารถในการรับและส่งสาร มีวัฒนธรรม ในการใช้ภาษาถ่ายทอดความคิด ความรู้ความเข้าใจ ความรู้สึก และทัศนะของตนเองเพื่อแลกเปลี่ยน ข้อมูลข่าวสารและประสบกรณ์อันจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาตนเองและสังคม รวมทั้งการเจรจา ต่อรองเพื่อขจัดและลดปัญหาความขัดแย้งต่างๆ การเลือกรับหรือไม่รับข้อมูลข่าวสารด้วยหลักเหตุผล และความถูกต้อง ตลอดจนการเลือกใช้วิธีการสื่อสาร ที่มีประสิทธิภาพโดยคำนึงถึงผลกระทบที่มีต่อ ตนเองและสังคม 2) ความสามารถในการคิด เป็นความสามารถในการคิดวิเคราะห์ การคิดสังเคราะห์ การคิด อย่างสร้างสรรค์ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ และการคิดเป็นระบบ เพื่อนำไปสู่การสร้างองค์ ความรู้หรือสารสนเทศเพื่อการตัดสินใจเกี่ยวกับตนเองและสังคมได้อย่างเหมาะสม 3) ความสามารถในการแก้ปัญหา เป็นความสามารถในการแก้ปัญหาและอุปสรรค ต่างๆ ที่เผชิญได้อย่างถูกต้องเหมาะสมบนพื้นฐานของหลักเหตุผล คุณธรรมและข้อมูลสารสนเทศ เข้าใจความสัมพันธ์และการเปลี่ยนแปลงของเหตุการณ์ต่าง ๆ ในสังคมแสวงหาความรู้ประยุกต์ความรู้ มาใช้ในการป้องกันและแก้ไขปัญหา และมีการตัดสินใจที่มีประสิทธิภาพโดยคำนึงถึงผลกระทบที่ เกิดขึ้นต่อตนเอง สังคมและสิ่งแวดล้อม 4) ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต เป็นความสามารถในการนำกระบวนการต่างๆ ไปใช้ในการดำเนินชีวิตประจำวัน การเรียนรู้ด้วยตนเอง การเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง การทำงานและการ อยู่ร่วมกันในสังคมด้วยการสร้างเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างบุคคล การจัดการปัญหาและความ ขัดแย้งต่าง ๆ อย่างเหมาะสม การปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมและสภาพแวดล้อม และการรู้จักหลีกเลี่ยงพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ที่ส่งผลกระทบต่อตนเองและผู้อื่น 5) ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี เป็นความสามารถในการเลือกและใช้ เทคโนโลยีด้านต่าง ๆ และมีทักษะกระบวนการทางเทคโนโลยี เพื่อการพัฒนาตนเองและสังคมในด้าน การเรียนรู้ การสื่อสาร การทำงาน การแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ ถูกต้อง เหมาะสมและมีคุณธรรม 2.3 หลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม 2.3.1 ทำไมต้องเรียนสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรมช่วยให้ผู้เรียนมีความรู้ความเข้าใจ การดำรงชีวิตของมนุษย์ ทั้งในฐานะปัจเจกบุคคลและการอยู่ร่วมกันในสังคม การปรับตัวตาม
9 สภาพแวดล้อมการจัดการทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด เข้าใจถึงการพัฒนาเปลี่ยนแปลงตามยุคสมัย กาลเวลา ตามเหตุปัจจัยต่าง ๆ เกิดความเข้าใจในตนเองและผู้อื่น มีความอดทน อดกลั้น ยอมรับใน ความแตกต่างและมีคุณธรรม สามารถนำความรู้ไปปรับใช้ในการดำเนินชีวิต เป็นพลเมืองดีของ ประเทศชาติและสังคมโลก 2.3.2 เรียนรู้จะไรในสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรมว่าด้วยการอยู่ร่วมกันในสังคมที่ มีความเชื่อมสัมพันธ์กัน และมีความแตกต่างกันอย่างหลากหลาย เพื่อช่วยให้สามารถปรับตนเองกับ บริบทสภาพแวดล้อม เป็นพลเมืองดี มีความรับผิดชอบ มีความรู้ ทักษะ คุณธรรม และค่านิยม ที่เหมาะสมโดยได้กำหนดสาระต่าง ๆ ไว้ดังนี้ 2.3.2.1 ศาสนา ศีลธรรม จริยธรรม แนวคิดพื้นฐานเกี่ยวกับศาสนา ศีลธรรม จริยธรรมหลักธรรมของพระพุทธศาสนาหรือศาสนาที่ตนนับถือ การนำหลักธรรมคำสอน ไปปฏิบัติในการพัฒนาตนเอง และการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข เป็นผู้กระทำความดี มีคำนิยมที่ดีงาม พัฒนาตนเองอยู่เสมอ รวมทั้งบำเพ็ญประโยชน์ต่อสังคมและส่วนรวม 2.3.2.2 หน้าที่พลเมือง วัฒนธรรม และการดำเนินชีวิตในสังคม ระบบ การเมืองการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ลักษณะและ ความสำคัญ การเป็นพลเมืองดีความแตกต่างและความหลากหลายทางวัฒนธรรม ค่านิยม ความเชื่อ ปลูกฝังค่านิยมด้านประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข สิทธิ หน้าที่ เสรีภาพ การ ดำเนินชีวิตอย่างสันติสุขในสังคมไทยและสังคมโลก 2.3.2.3 เศรษฐศาสตร์การผลิต การแจกจ่าย และการบริโภคสินค้าและ บริการ การบริหาจัดการทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดอย่างมีประสิทธิภาพ การดำงชีวิตอย่าง มีดุลยภาพ และการนำหลักเศรษฐกิจพอเพียงไปใช้ในชีวิตประจำวัน 2.3.2.4 ประวัติศาสตร์ เวลาและยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ วิธีการทาง ประวัติศาสตร์ พัฒนาการของมนุษยชาติจากอดีตถึงปัจจุบัน ความสัมพันธ์และการเปลี่ยนแปลงของ เหตุการณ์ต่าง ๆ ผลกระทบที่เกิดจากเหตุการณ์สำคัญในอดีต บุคคลสำคัญที่มีอิทธิพลต่อการ เปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ในอดีต ความเป็นมาของชาติไทย วัฒนธรรมและภูมิปัญญาไทย แหล่งอารยธรรม ที่สำคัญของโลก 2.3.2.5 ภูมิศาสตร์ลักษณะกายภาพของโลก แหล่งทรัพยากร และภูมิอากาศ ของประเทศไทยและภูมิภาคต่ า ง ๆ ของโลก การใช้แผนที่และเครื่องมือทางภูมิศาสตร์ ความสัมพันธ์กันของสิ่งต่างๆในระบบธรรมชาติ ความสัมพันธ์ของมนุษย์กับสภาพแวดล้อมทาง ธรรมชาติ และสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นการนำเสนอข้อมูลภูมิสารสนเทศ การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมเพื่อการ พัฒนาที่ยั่งยืน
10 2.3.3 คุณภาพผู้เรียน 2.3.3.1 จบชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 มีความรู้เรื่องเกี่ยวกับตนเองและผู้ที่อยู่รอบข้าง ตลอดจนสภาพแวดล้อมในท้องถิ่นที่อยู่อาศัย และเชื่อมโยงประสบการณ์ไปสู่โลกกว้างมีทักษะกระบวนการและมีข้อมูลที่จำเป็นต่อการพัฒนาให้ เป็นผู้มีคุณธรรม จริยธรรมประพฤติปฏิบัติตามหลักคำสอนของศาสนาที่ตนนับถือ มีความเป็น พลเมืองดี มีความรับผิดชอบการอยู่ร่วมกันและการทำงานกับผู้อื่น มีส่วนร่วมในกิจกรรมของ ห้องเรียน และได้ฝึกหัดในการตัดสินใจมีความรู้เรื่องราวเกี่ยวกับตนเอง ครอบครัว โรงเรียน และ ชุมชนในลักษณะการบูรณาการผู้เรียนได้เข้าใจแนวคิดเกี่ยวกับปัจจุบันและอดีตมีความรู้พื้นฐานทาง เศรษฐกิจได้ข้อคิดเกี่ยวกับรายรับ รายจ่ายของครอบครัว เข้าใจถึงการเป็นผู้ผลิต ผู้บริโภค รู้จักการ ออมขั้นต้นและวิธีการเศรษฐกิจพอเพียงรู้และเข้าใจในแนวคิดพื้นฐานเกี่ยวกับศาสนา ศีลธรรม จริยธรรม หน้าที่พลเมืองเศรษฐศาสตร์ ประวัติศาสตร์ และภูมิศาสตร์ เพื่อเป็นพื้นฐานในการทำความ เข้าใจในขั้นที่สูงต่อไป 2.3.3.2 จบชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 มีความรู้เรื่องของจังหวัด ภาค และประเทศของตนเอง ทั้งเชิงประวัติศาสตร์ ลักษณะทาง กายภาพ สังคม ประเพณีและวัฒนธรรม รวมทั้งการเมืองการปกครอง และสภาพเศรษฐกิจโดยเน้น ความเป็นประเทศไทยมีความรู้และความเข้าใจในเรื่องศาสนา ศีลธรรม จริยธรรม ปฏิบัติตนตามหลัก คำสอนของศาสนาที่ตนนับถือ รวมทั้งมีส่วนร่วมศาสนพิธีและพิธีกรรมทางศาสนามากยิ่งขึ้นปฏิบัติตน ตามสถานภาพ บทบาท สิทธิ หน้าที่ในฐานะพลเมืองดีของท้องถิ่น จังหวัดภาค และประเทศ รวมทั้ง ได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมตามขนบธรรมเนียมประเพณี วัฒนธรรมของท้องถิ่นตนเองมากยิ่งขึ้นสามารถ เปรียบเทียบเรื่องราวของจังหวัดและภาคต่าง ๆ ของประเทศไทยกับประเทศเพื่อนบ้านได้รับการ พัฒนาแนวคิดทางสังคมศาสตร์เกี่ยวกับศาสนา ศีลธรรม จริยธรรม หน้าที่พลเมือง เศรษฐศาสตร์ ประวัติศาสตร์ และภูมิศาสตร์เพื่อขยายประสบการณ์ไปสู่การทำความเข้าใจในภูมิภาค ซีกโลก ตะวันออกและตะวันตกเกี่ยวกับศาสนา คุณธรรม จริยธรรม ค่านิยม ความเชื่อ ขนบธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรมการดำเนินชีวิต การจัดระเบียบทางสังคม และการเปลี่ยนแปลงทางสังคมจาก อดีตสู่ปัจจุบัน 2.3.3.3 จบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีความรู้เกี่ยวกับความเป็นไปของโลก โดยการศึกษาประเทศไทยเปรียบเทียบกับประเทศ ในภูมิภาคต่าง ๆ ในโลก เพื่อพัฒนาแนวคิดเรื่องการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขมีทักษะที่จำเป็นต่อการ เป็นนักคิดอย่างมีวิจารณญาณ ได้รับการพัฒนาแนวคิดและขยายประสบการณ์ เปรียบเทียบระหว่าง ประเทศไทยกับประเทศในภูมิภาคต่าง ๆ ในโลก ได้แก่ เอเชียโอเชียเนีย แอฟริกา ยุโรป อเมริกาเหนือ อเมริกาใต้ ในด้านศาสนา คุณธรรม จริยธรรม ค่านิยมความเชื่อขนบธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรม
11 การเมืองการปกครอง ประวัติศาสตร์ และภูมิศาสตร์ด้วยวิธีการทางประวัติศาสตร์และสังคมศาสตร์ รู้และเข้าใจแนวคิดและวิเคราะห์เหตุการณ์ในอนาคตสามารถนำมาใช้เป็นประโยชน์ในการดำเนินชีวิต และวางแผนการดำเนินงานได้อย่างเหมาะสม 2.3.3.4 จบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 มีความรู้เกี่ยวกับความเป็นไปของโลกอย่างกว้างขวางและลึกซึ้งยิ่งขึ้นเป็นพลเมืองที่ดี มีคุณธรรม จริยธรรม ปฏิบัติตามหลักธรรมของศาสนาที่ตนนับถือมีค่านิยมอันพึงประสงค์ สามารถอยู่ ร่วมกับผู้อื่นและอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข รวมทั้งมีศักยภาพเพื่อการศึกษาต่อในชั้นสูงตามความ ประสงค์ได้มีความรู้เรื่องภูมิปัญญาไทย ความภูมิใจในความเป็นไทย ประวัติศาสตร์ของชาติไทยยึดมั่น ในวิถีชีวิต และการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขมีนิสัยที่ดีใน การบริโภค เลือกและตัดสินใจบริโภคได้อย่างเหมาะสม มีจิตสำนึกและมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ ประเพณีวัฒนธรรมไทยและสิ่งแวดล้อม มีความรักท้องถิ่นและประเทศชาติ 2.3.4 สาระและมาตรฐานการเรียนรู้ สาระที่ 1 ศาสนา ศีลธรรม จริยธรรม มาตรฐาน ส 1.1 รู้และเข้าใจประวัติ ความสำคัญ ศาสดา หลักธรรมของพระพุทธศาสนาหรือ ศาสนาที่ตนนับถือและศาสนาอื่น มีศรัทธาที่ถูกต้อง ยึดมั่น และปฏิบัติตาม หลักธรรม เพื่ออยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข มาตรฐาน ส 1.2 เข้าใจตระหนักและปฏิบัติตนเป็นศาสนิกชนที่ดีและธำรงรักษา พระพุทธศาสนาหรือศาสนาที่ตนนับถือ สาระที่ 2 หน้าที่พลเมืองวัฒนธรรมและการดำเนินชีวิตในสังคม มาตรฐานส2.1 เข้าใจและปฏิบัติตนตามหน้าที่ของการเป็นพลเมืองดีมีค่านิยมที่ดีงามและ ธำรงรักษาประเพณีและวัฒนธรรมไทยดำรงชีวิตอยู่ร่วมกันในสังคมไทย และสังคมโลกอย่างสันติสุข มาตรฐาน ส 2.2 เข้าใจระบบการเมืองการปกครองในสังคมปัจจุบันยึดมั่นศรัทธาและธำรง รักษาไว้ซึ่งการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็น ประมุข สาระที่ 3 เศรษฐศาสตร์ มาตรฐาน ส 3.1 เข้าใจและสามารถบริหารจัดการทรัพยากรในการผลิตและการบริโภคการ ใช้ทรัพยากรที่มีอยู่จำกัดได้อย่างมีประสิทธิภาพและคุ้มค่ารวมทั้งเข้าใจ หลักการของเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อการดำรงชีวิตอย่างมีดุลยภาพ มาตรฐานส 3.2 เข้าใจระบบและสถาบันทางเศรษฐกิจต่างๆความสัมพันธ์ทาง เศรษฐกิจและความจำเป็นของการร่วมมือกันทางเศรษฐกิจในสังคมโลก
12 สาระที่ 4 ประวัติศาสตร์ มาตรฐาน ส 4.1 เข้าใจความหมายความสำคัญของเวลาและยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ สามารถใช้วิธีการทางประวัติศาสตร์มาวิเคราะห์เหตุการณ์ต่างๆ อย่างเป็น ระบบ มาตรฐาน ส 4.2 เข้าใจพัฒนาการของมนุษยชาติจากอดีตจนถึงปัจจุบันในด้าน ความสัมพันธ์และการเปลี่ยนแปลงของเหตุการณ์อย่างต่อเนื่องตระหนัก ถึงความสำคัญและสามารถ วิเคราะห์ผลกระทบที่เกิดขึ้น มาตรฐาน ส 4.3 เข้าใจความเป็นมาของชาติไทย วัฒนธรรม ภูมิปัญญาไทย มีความรัก ความ ภูมิใจและธำรงความเป็นไทย สาระที่ 5 ภูมิศาสตร์ มาตรฐาน ส 5.1 เข้าใจลักษณะทางกายภาพของโลกและความสัมพันธ์ของสรรพสิ่ง ซึ่งมีผลต่อกันใช้แผนที่และเครื่องมือทางภูมิศาสตร์ในการค้นหาวิเคราะห์ และสรุปข้อมูลตามกระบวนการทางภูมิศาสตร์ ตลอดจนใช้ภูมิสารสนเทศ อย่างมีประสิทธิภาพ มาตรฐาน ส 5.2 เข้าใจปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสิ่งแวดล้อมทางกายภาพที่ ก่อให้เกิดการสร้างสรรค์วิถีการดำเนินชีวิต มีจิตสำนึกและมีส่วนร่วมใน การจัดการ ทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน 2.4 ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง สาระเศรษฐศาสตร์ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษา ขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 มาตรฐาน ส.3.1 เข้าใจและสามารถบริหารจัดการทรัพยากรในการผลิตและการบริโภค การ ใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดเอย่างคุ้มค่า รวมทั้งเข้าใจหลักการของ เศรษฐกิจพอเพียงเพื่อการดำรงชีวิตอย่างที่ดุลภาพ ตารางที่ 2.4.1 ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง สาระเศรษฐศาสตร์ ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ป.3 1.จำแนกความต้องการและความ จำเป็นในการใช้สินค้าและบริการใน การดำรงชีวิต สินค้าที่จำเป็นในการดำรงชีวิตที่เรียกว่าปัจจัย 4 สินค้าที่เป็นความต้องการของมนุษย์อาจเป็นสินค้าที่ จำเป็นหรือไม่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตประโยชน์และ
13 2.5 แนวคิดและทฤษฎีในเรื่องแบบฝึกทักษะ ไพบูลย์ เทวรักษ์ (2540) ได้กล่าวถึงกฎการฝึกหัดไว้ว่า การฝึกหัดให้บุคคลทำกิจกรรมต่างๆ นั้น ผู้ฝึกจะต้องควบคุมและจัดสภาพการให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของตนเอง บุคคลจะถูกกำหนด ลักษณะพฤติกรรมที่แสดงออกดังนั้น ผู้สร้างแบบฝึกจึงจะต้องกำหนดกิจกรรมตลอดจนคำสั่งต่าง ๆ ในแบบฝึก ให้ผู้ฝึกได้แสดงพฤติกรรมสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ที่ผู้สร้างต้องการทฤษฎีพฤดิกรรมนิยม ของสกินเนอร์ ซึ่งมีความเชื่อว่าสามารถควบกุมบุคคลให้ทำตามความประสงค์ หรือแนวทางที่กำหนด ได้โดยไม่ต้องคำนึงถึงความรู้สึกทางจิตใจของบุคคลผู้นั้นว่าจะรู้สึกนึกคิดอย่างไร โดยมีการเสริมแรง เป็นตัวการ เมื่อบุคคลตอบสนองการเร้าของสิ่งเร้าควบคู่กันในช่วงเวลาที่เหมาะสม สิ่งเร้านั้นจะรักษา ระดับหรือเพิ่มการตอบสนองให้เข้มขึ้นวิธีการสอนของกาย่ ซึ่งมีความเห็นว่า การเรียนรู้มีลำดับขั้น และผู้เรียนจะต้องเรียนรู้เนื้อหาที่ง่ายไปหายาก ดวงมณี กันทะยอม (2551 : 26) กล่าวว่า แบบฝึกทักษะ หมายถึง เครื่องมือที่ใช้ฝึกทักษะ เพื่อให้นักเรียนได้ปฏิบัติจริงและทำซ้ำ 1 อย่างต่อเนื่องเป็นการเสริมให้เกิดทักษะที่ถูกต้องและเป็น ส่วนที่เพิ่มหรือเสริมจากบทเรียน ช่วยฝึกทักษะการเรียนรู้ต่าง ๆ ได้ดีขึ้น อนงพันธุ์ ใบสุขันธ์ (2551 : 33) กล่าวว่า แบบฝึกทักษะ หมายถึง สื่อการเรียนการสอนที่ครู สร้างขึ้นเพื่อใช้ฝึกทักษะผู้เรียนหลังจากเรียนจบเนื้อหาให้เกิดความรู้ความเข้าใจจนเกิดทักษะสูงสุด โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนาความสามารถของผู้เรียนให้เต็มดามศักยภาพ กิติยาพร เนื้ออ่อน (2552 : 155) ได้ให้ความหมายของแบบฝึกทักษะ ไว้ว่า แบบฝึกทักษะ หมายถึง สื่อการเรียนการสอนประเภทหนึ่งที่ฝึกให้นักเรียนปฏิบัติด้วยความสนใจ สนุกสนานทำเกิด ความรู้ความเข้าใจ มีพัฒนาการทางภาบาดีขึ้น มีทักษะและประสบการณ์เพิ่มขึ้น ตารางที่ 2.4.1 ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง สาระเศรษฐศาสตร์(ต่อ) ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง 2.วิเคราะห์การใช้จ่ายของตนเอง ใช้บัญชีรับจ่ายวิเคราะห์การใช้จ่ายที่จำเป็นและ เหมาะสมวางแผนการใช้จ่ายเงินของตนเองวาง แผนการแสวงหารายได้ที่สุจริตและเหมาะสมวาง แผนการนำเงินที่เหลือจ่ายมาใช้อย่างเหมาะสม 3.อธิบายได้ว่าทรัพยากรที่มีอยู่ อย่างจำกัดมีผลต่อการผลิตและ บริโภคสินค้าและบริการ ความหมายของผู้ผลิตและผู้บริโภคความหมายของ สินค้าและบริการปัญหาพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่เกิด
14 ภพ เลาหไพบูลย์ (2552 : 225) กล่าวไว้ว่า แบบฝึกทักษะ หมายถึง การรวมสื่อการสอนอย่าง สมบูรณ์ ตามแบบแผน เพื่อให้บรรลุจุดมุ่งหมายของการสอน เป็นสื่อผสมสำเร็จรูป เพื่อใช้สอนมี อุปกรณ์การเรียน คู่มือครู เนื้อหาสื่อการสอนและอ้างอิง หยาดนภา ยัพราษฎร (2552 : 30) กล่าวว่า แบบฝึก คือ แบบฝึกหัดหรือชุดฝึกที่ครูจัดให้ นักเรียน เพื่อให้มีทักษะเพิ่มขึ้นหลังจากที่ได้เรียนรู้เรื่องนั้น ๆ มาบ้างแล้ว โดยแบบฝึกต้องมีทิศ ทางตรงตามจุดประสงค์ ประกอบกิจกรรมที่น่าสนใจและสนุกสนาน ศุภรณ์ ภูวัด (2553 : 21) กล่าวว่า แบบฝึกทักษะ หมายถึง สื่อประกอบกิจกรรมการเรียน การสอน ซึ่งช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้จากการปฏิบัติด้วยตนเอง ได้ฝึกทักษะเพิ่มเดิมจากเนื้อหาจน ปฏิบัติได้ อย่างชำนาญและให้ผู้เรียนสามารถไปใช้ในชีวิตประจำวันได้โดยมีครูเป็นผู้แนะนำ สมศรี อภัย (2553 : 21) กล่าวว่า แบบฝึกทักษะ หมายถึง สื่อการสอนที่ครูสร้างขึ้นเพื่อให้ นักเรียนได้ฝึกปฏิบัติให้เกิดความรู้ ความเข้าใจ และความชำนาญในเรื่องนั้น ๆ มากขึ้น นักเรียนมี ทักษะเพิ่มขึ้นสามารถแก้ปัญหาได้อย่างถูกต้อง ณัฐชา อักษรเดช (2554 : 19) กล่าวว่า แบบฝึกทักษะ หมายถึง สื่อการเรียนรู้ที่สร้างขึ้นอย่าง มีจุดหมายที่แน่นอน เพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้จากการกระทำจริง เป็นประสบการณ์ตรงของผู้เรียน ทำให้ผู้เรียนเห็นคุณค่าของสิ่งที่เรียนสามารถเรียนรู้และจดจำสิ่งที่เรียนได้ดีและนำการเรียนรู้และ ความรู้ที่ได้ไปใช้ในสถานการณ์อื่นที่มีลักษณะคล้ายกันได้ สรุปได้ว่า แบบฝึกทักษะ หมายถึง อุปกรณ์หรือสื่อการเรียนการสอนประเภทหนึ่งที่ให้ นักเรียนได้ใช้เพื่อฝึกทักษะ หรือเสริมทักษะในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เป็นการทบทวนเนื้อหาให้ผู้เรียนมี ความรู้ความเข้าใจในเรื่องที่เรียนและเพื่อตรวจสอบความรู้ของนักเรียนในเรื่องนั้น ๆ ว่ามีพัฒนาการ และความสามารถบำความรู้นั้นไปใช้ได้มากน้อยเพียงใด 2.5.1 ขั้นตอนในการสร้างแบบฝึกทักษะ มีนักวิชาการหลายท่านได้กล่าวถึง ขั้นตอนในการสร้างแบบฝึกทักษะ ไว้ดังนี้ ดวงมณี กันทะยอม (2551 : 29) กล่าวถึง ขั้นตอนการสร้างแบบฝึกทักษะ ไว้ดังนี้ 1) สำรวจสภาพปัญหาความต้องการที่จะพัฒนาการเรียนการสอนแต่ละจุดประสงค์ 2) กำหนดจุดประสงค์ในการสร้างแบบฝึกให้ชัดเจน คือ ฝึกอะไร ต้องการให้นักเรียน เป็นอย่างไร 3) วิเคราะห์เนื้อหาที่เรียนในแต่ละจุดประสงค์ว่าประกอบด้วยอะไร มีปัญหาในการ อ่านเขียนอย่างไร แล้วระบุปัญหารวบรวมไว้ 4) ศึกษาจิตวิทยาการเรียนรู้การอ่าน การเขียน ประกอบด้วย การใช้สิ่งเร้าเพื่อ ตอบสนองความพอใจ การฝึกหัดทำซ้ำ สร้างความรู้ความเข้าใจความแม่นยำและการให้ผู้เรียน ได้ ทราบผลการทำงานของตนเอง ข้อดี ข้อบกพร่องเพื่อปรับปรุงแก้ไข
15 5) กำหนดกรอบการสร้างแบบฝึกว่าควรประกอบด้วย เรื่องอะไรบ้างมีลักษณะ อย่างไรกิจกรรมมีอะไรบ้าง นำเสนอในรูปแบบไหน ระบุให้ชัดเจน 6) ลงมือเขียนและสร้างแบบฝึกแต่ละชุด 7) นำแบบฝึกที่สร้างไปให้ผู้เชี่ยวชาญการตรวจความถูกต้อง ความตรงต่อเนื้อหา เช่น ครูผู้สอนที่มีประสบการณ์ ศึกษานิเทศก์ เป็นต้น เพื่อนำมาปรับปรุงแก้ไขข้อบกพร่องก่อนนำไป ทดลองกับนักเรียน 8) จัดพิมพ์หรืออัดสำเนาแบบฝึกเพื่อให้นักเรียนได้ทดลองใช้ ธีราภรณ์ ทรงประศาสน์ (2551 : 29) กล่าวถึง ขั้นตอนการสร้างแบบฝึกทักษะว่า 8.1) สำรวจสภาพปัญหาความต้องการที่จะพัฒนาการเรียนการสอน 8.2) กำหนดจุดประสงค์ในการสร้างแบบฝึกให้ชัดเจน 8.3) วิเคราะห์เนื้อหาที่เรียนในแต่ละจุดประสงค์ว่าประกอบด้วยอะไร 8.4) ศึกษาจิตวิทยาการเรียนรู้ประกอบด้วย การใช้สิ่งเร้าเพื่อตอบสนอง สร้างความพอใจการฝึกหัดทำซ้ำ สร้างความรู้ความเข้าใจความแม่นยำและการให้ผู้เรียน ได้ทราบผล การทำงานของตนเอง ข้อดี ข้อบกพร่องเพื่อปรับปรุงแก้ไข 9) กำหนดกรอบการสร้างแบบฝึกทักษะว่าควรประกอบด้วยเรื่องอะไรบ้างมีลักษณะ อย่างไรกิจกรรมมีอะไรบ้าง นำเสนอในรูปแบบไหน ระบุให้ชัดเจน ศศิพิมพ์ ศรกิจ (2551 : 22) ได้สรุปขั้นตอนการสร้างแบบฝึกทักษะไว้ดังนี้ 9.1) ศึกษาปัญหาและความต้องการ โดยศึกษาจากการผ่านจุดประสงค์การ เรียนรู้และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 9.2) วิเคราะห์เนื้อหาหรือทักษะที่เป็นปัญหาออกเป็นเนื้อหาหรือทักษะย่อย ๆ เพื่อใช้ในการสร้างแบบทดสอบให้ สอดคล้องกับเนื้อหา หรือทักษะที่ได้วิเคราะห์และบัตรฝึกหัด 9.3) นำแบบฝึกหัดไปทดลองใช้เพื่อหาข้อบกพร่องคุณภาพของแบบฝึก 9.4) ปรับปรุงแก้ไข 9.5) รวบรวมเป็นชุดจัดทำคำชี้แจงคู่มือการใช้สารบัญเพื่อเป็นประโยชน์ สำลี รักสุทรี (2553 : 34) ได้กล่าวถึง ขั้นตอนการสร้างแบบฝึกทักษะ ไว้ดังนี้ 1) สำรวจปัญหา สาระ ตัวบ่งชี้ที่เป็นปัญหาและความต้องการ เพื่อจัดกิจกรรมการ เรียนการสอนไปแล้ว ครูผู้สอนย่อมทราบดีว่า บรรลุตามจุดประสงค์หรือไม่ รวบรวมปัญหาและความ ต้องการในการแก้ปัญหา หรือความต้องการที่จะพัฒนาการเรียนการสอนในแต่ละตัวบ่งชี้ 2) กำหนดจุดประสงค์ในการสร้างแบบฝึก ให้ชัดเจนตรงตามตัวบ่งชี้ที่เป็นปัญหาเพื่อ ตอบคำถามว่าแบบฝึกเพื่ออะไร ต้องการให้ผู้เรียนรู้อะไร และเป็นอย่างไร
16 3) วิเคราะห์ปัญหาที่เรียนในแต่ละจุดประสงค์ ว่าประกอบด้วยอะไร ถ้าเป็น ภาษาไทยก็คือคำและความหมายว่าอย่างไร คำใดมักมีปัญหาในการอ่านและการเขียน รวบรวมคำ เหล่านั้นไว้ 4) ศึกษาจิตวิทยาการเรียนรู้ จิตวิทยาการอ่านของผู้เรียนในแต่ละชั้นว่าเด็กแต่ละคน มีความสนใจในเรื่องอะไร เช่น จิตวิทยาการอ่านที่นำไปใช้แบบฝึกทักษะ ประกอบด้วยความเข้า ใกล้ชิด คือ การใช้สิ่งเร้าและตอบสนองเกิดขึ้นในเวลาใกล้เคียงกัน จะสร้างความพอใจให้แก่ผู้เรียน การฝึกหัด คือ การให้ผู้เรียนได้ฝึกซ้ำๆ เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจที่แม่นยำกฎแห่งผลคือ การให้ ผู้เรียนได้ทราบผลการทำงานของตนด้วยการเฉลยคำตอบจะช่วยให้ผู้เรียนได้ทราบข้อบกพร่อง เพื่อปรับปรุงแก้ไขและเป็นการสร้างความพอใจให้แก่ผู้เรียนการงใจ คือ การจัดแบบฝึกหัดเรียงลำดับ จากแบบฝึกที่ง่ายและสั้นใช้เรื่องยาวและยากขึ้น ควรมีภาพประกอบและหลายรูปแบบ 5) กำหนดกรอบการสร้างแบบฝึกว่าควรประกอบด้วย เรื่องอะไรบ้าง แต่ละเรื่องควร มีกิจกรรมอะไรบ้าง มีความยาวเพียงใด จะนำเสนอโดยใช้ภาพประกอบหรือไม่ 6) ลงมือเขียนแบบฝึกแต่ละชุด 7) นำแบบฝึกนั้นไปให้ผู้ชำนาญการตรวจสอบความถูกต้อง ความตรงตามเนื้อหา เช่นครูสอนกภาษาไทยที่มีประสบการณ์ ศึกษานิเทตก์ เป็นต้น หรือนำไปทคลองกับผู้เรียน จำนวน 1 - 5 คนเพื่อนำไปรวบรวมข้อมูลเพื่อแก้ไขข้อบกพร่อง 8) จัดพิมพ์หรืออัดสำเนาแบบฝึกเพื่อให้ผู้เรียนนำไปใช้เสริมการเรียนการสอน ภาษาไทยจากขั้นตอนการสร้างแบบฝึกทักษะที่นักการศึกษากล่าวไว้ข้างต้น สรุปได้ว่า การสร้างแบบ ฝึกต้องมีการวิเคราะห์สภาพปัญหา หรือสิ่งที่ต้องการพัฒนา มีการกำหนดจุดประสงค์ในการสร้างแบบ ฝึกศึกษาหลักจิตวิทยาเกี่ยวกับการเรียนรู้ หลักการสร้างแบบฝึก ลงมือสร้างแบบฝึก แล้วนำแบบฝึกไป ให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบความถูกต้อง นำแบบฝึกไปใช้กับผู้เรียน จากขั้นตอนในการสร้างแบบฝึกทักษะดังกล่าว สรุปได้ว่า การสร้างแบบฝึกทักษะเพื่อเสริมนั้น ผู้สร้างต้องรู้ในเนื้อหาวิชาที่จะสร้างแบบฝึกนั้น ๆ อย่างถ่องแท้กำหนดกรอบการสร้างให้ชัดเจน มีส่วนประกอบที่ครบถ้วนสมบูรณ์และมีการเรียงลำดับความยากง่ายไว้ตามความเหมาะสม และในระยะเวลาที่เหมาะสมในการฝึกแต่ละครั้ง เพื่อที่จะ ได้กำหนดขั้นตอนในการสร้างได้อย่าง มีประสิทธิภาพ 2.5.3ประโยชน์ของแบบฝึกทักษะ มีนักวิชาการหลายท่าน ได้กล่าวถึง ประโยชน์ของแบบฝึกทักษะ ไว้ดังนี้ ถวัลย์ มาศจรัส และคณะ (2550 : 21) ได้สรุปว่า แบบฝึกทักษะมีประโยชน์ ดังนี้ 1) เป็นสื่อการเรียนรู้ เพื่อพัฒนาการการเรียนรู้ให้แก่ผู้เรียน 2) ผู้เรียนมีสื่อสำหรับฝึกทักษะด้านการอ่าน การคิด การวิเคราะห์ และการเขียน
17 3)เป็นสื่อการเรียนรู้สำหรับการแก้ปัญหาในการเรียนรู้ของผู้เรียน 4) พัฒนาความรู้สำหรับการแก้ปัญหาในการเรียนรู้ของผู้เรียน สุวิทย์ มูลคำ และสุนันทา สุนทรประเสริฐ (2550 : 53) ได้กล่าวว่าประโยชน์ของแบบฝึกทักษะ ได้ดังนี้ 1) ทำให้เข้าใจบทเรียนดีขึ้น เพราะเป็นเครื่องอำนวยประ โยชน์ในการเรียนรู้ 2) ทำให้ครูทราบความเข้าใจของนักเรียนที่มีต่อบทเรียน 3) ฝึกให้เด็กมีความเชื่อมั่นและสามารถประเมินผลของตนเองได้ 4) ฝึกให้เด็กทำงานตามลำพัง โดยมีความรับผิดชอบในงานที่ได้รับมอบหมาย 5) ช่วยลดภาระครู 6) ช่วยให้เด็กฝึกฝนได้อย่างเต็มที่ 7) ช่วยพัฒนาตามความแตกต่างระหว่างบุคคล 8) ช่วยเสริมให้ทักษะคงทน ซึ่งลักษณะการฝึกเพื่อช่วยให้เกิดผลดังกล่าวนั้น ได้แก่ 8.1) ฝึกทันทีหลังจากที่เด็กได้เรียนรู้ในเรื่องนั้น ๆ 8.2) ฝึกซ้ำหลาย ๆ ครั้ง 8.3) เน้นเฉพาะในเรื่องที่ผิด 9) เป็นเครื่องมือวัดผลการเรียนหลังจากจบบทเรียนในแต่ละครั้ง 10) ใช้เป็นแนวทางเพื่อทบทวนด้วยตนเอง 11) ช่วยให้ครูมองเห็นจุดเด่นหรือปัญหาต่าง ๆ ของเด็กได้ชัดเจน 12) ประหยัดค่าใช้จ่ายแรงงานและเวลาของครู ธีราภรณ์ ทรงประศาสน์ (2551 : 17) ได้กล่าวถึงประโยชน์ของแบบฝึกทักษะ ไว้ดังนี้ 1) เป็นส่วนเพิ่มหรือเสริมหนังสือเรียนในการเรียนทักษะ เป็นอุปกรณ์การสอนที่ช่วย ลดภาระของครูได้มาก เพราะแบบฝึกหัดเป็นสิ่งที่จัดทำอย่างเป็นระบบระเบียบ 2) ช่วยเสริมทักษะทางการใช้ภาษาแบบฝึกทักษะเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้เด็กฝึก ทักษะการใช้ภาษาได้ดีขึ้น แต่ต้องอาศัยการส่งเสริมและเอาใจใส่จากดรูผู้สอนด้วย 3) ช่วยในเรื่องความแตกต่างระหว่างบุคคล เนื่องจากเด็กมีความสามารถทางภาษา แตกต่างกัน การให้เด็กทำแบบฝึกทักษะที่เหมาะสมกับความสามารถจะช่วยให้เด็กประสบความสำเร็จ ในด้านจิตใจมากขึ้น สุคนธ์ สินธพานนท์ (2551 : 88) กล่าวถึงประโยชน์ของการใช้แบบฝึกในการจัดการเรียนรู้ไว้ว่า 1) แบบฝึกทักษะช่วยให้ผู้เรียนเรียนรู้ด้วยตนเอง เด็กแต่ละคนมีความสามารถ ต่างกันการเรียนรู้ด้วยตนเองจะทำให้การเรียนมีประสิทธิภาพ ทาให้เกิดกำลังใจในการเรียนและยัง เป็นการซ่อมเสริมผู้ไม่ผ่านการประเมิน
18 2) แบบฝึกทักษะช่วยเสริมให้ผู้เรียนเกิดทักษะที่คงทน สามารถฝึกทันทีหลังจากจบ บทเรียนหรือฝึกซ้ำ ๆ หลาย ๆ ครั้งเพื่อให้เกิดการเรียนรู้ที่แม่นยา และเน้นให้ทำเพิ่มเติมในเรื่อง ที่ผิด 3) เป็นเครื่องมือในการวัดผลหลังจากจบบทเรียนในแต่ละครั้งเพื่อตรวจสอบความรู้ ของตนเอง ถ้าทำผิดหรือไม่เข้าใจก็สามารถซ่อมเสริมได้ด้วยตนเอง เป็นเครื่องมือที่มีคุณค่าทั้งผู้สอน และผู้เรียน ผู้เรียนก็ไม่เป็นปมด้อยเมื่อผิดก็จะแก้ไขด้วยตนเอง 4) ช่วยเสริมบทเรียนหรือคำสอนของครู ซึ่งครูผู้สอนทำขึ้นฝึกทักษะนอกเหนือจาก บทเรียน เสริมให้ผู้เรียนคิดเป็น แก้ปัญหาเป็น เพื่อฝึกแก้ปัญหาในการดำเนินชีวิต 5) ฝึกได้เป็นรายบุคคลจะฝึกเมื่อไรก็ได้ ไม่จำกัดเวลา สถานที่ โดยครูเร้าหรือกระตุ้น ให้เกิดความยากเรียนรู้ด้วยตนเอง 6) ลดภาระการสอนของครู ไม่ต้องทบทวนความรู้ตลอดเวลา ไม่ต้องตรวจงานด้วย ตนเองทุกครั้งเพราะฝึกทักษะการคิดไม่มีการเฉลยที่ตายตัวมีแนวหลากหลาย 7) เป็นการฝึกความรับผิดชอบของผู้เรียน ให้ผู้เรียนทำแบบฝึกตามลำพังเป็นการ เสริมสร้างประสบการณ์ในการทำงาน 8) ผู้เรียนมีเจคติที่ดีต่อการเรียน ผู้เรีอนทำแบบฝึกที่หลากหลายทำให้ผู้เรือน สนุกสนานเพลิดเพลิน ท้าทายให้ลงมือทำกิจกรรม อนงพันธุ์ ใบสุขันธ์ (255 1 : 33) กล่าวว่า แบบฝึกทักษะเป็นสื่อการเรียนการสอนที่ครูสร้างขึ้น เพื่อใช้ฝึกทักษะผู้เรียนหลังจากเรียนจบเนื้อหาให้เกิดความรู้ความเข้าใจจนเกิดทักษะสูงสุด โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนาความสามารถของผู้เรียนให้เต็มตามศักยภาพ สมศรี อภัย (2553 : 22) กล่าวว่า ประ โยชน์ของแบบฝึกทักษะไว้ว่าเป็นเครื่องมือการเรียนรู้ นักเรียนได้รับประสบการณ์ตรงจากการลงมือปฏิบัติด้วยตนเองอย่างเต็มความสามารถของแต่ละ บุคคลก่อให้เกิดความชำนาญในการแก้ปัญหาอีกทั้งเป็นเครื่องมือประเมินผลการเรียนและการสอน ของครู สรุปได้ว่า แบบฝึกทักษะมีประโยชน์ต่อตัวของเด็กและครู ซึ่งเด็กจะเกิดความชำนาญและมี ทักษะที่ดีได้นั้น ต้องอาศัยการฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งแบบฝึกทักษะจะช่วยให้เด็กเกิดการเรียนรู้ แสวงหาองค์ความรู้ใหม่ ๆ เกิดความสนุกกับเนื้อหาแบบฝึกทักษะนอกจากจะเป็นเครื่องมือสำคัญต่อ การเรียนของนักเรียนแล้วยังมีประ โยชน์สำหรับครูผู้สอน ซึ่งทำให้ทราบพัฒนาการทางทักษะนั้น ๆ ของนักเรียน และเห็นข้อบกพร้องใน การเรียนซึ่งจะได้แก้ไขปรับปรุงได้ทันท่วงทีอันมีผลทำให้นักเรียน ประสบผลสำเร็จในการเรียนรู้ในสาระนั้น ๆ
19 2.5.4 หลักการสร้างแบบฝึกทักษะ มีนักวิชาการหลายท่าน ได้กล่าวถึง หลักการสร้างแบบฝึกทักษะ ไว้ดังนี้ ถวัลย์ มาศจรัส และคณะ (2550 : 19) กล่าวว่า หลักการสร้างแบบฝึกทักษะ มีดังนี้ 1) สร้างแบบฝึกเสริมทักษะให้สอดคล้องกับหลักจิตวิทยาและพัฒนาการของ นักเรียนตามลำคับขั้นการเรีขนรู้ แบบฝึกทักษะต้องอาศัยรูปภาพจูงใจผู้เรียน และควรเรียงเนื้อหา ตามลำดับจากง่ายไปหายาก เพื่อช่วยให้นักเรียนมีกำลังใจที่จะทำแบบฝึกทักษะ 2) มีจุดประสงค์ที่แน่นอนว่าจะฝึกทักษะด้านใดแล้ว จัดเนื้อหาให้ตรงกับจุดประสงค์ ที่กำหนดไว้ 3) ต้องคำนึงถึงความสามารถระหว่างบุคคลของนักเรียน ถ้าสามารถทำได้ควรแบ่ง นักเรียนออกเป็นกลุ่มย่อยตามความสามารถแล้วจึงทำแบบฝึกทักษะ 4) แบบฝึกทักษะที่ดีต้องมีคำชี้แจงง่าย ๆ สั้น ๆ ที่นักเรียนอ่านเข้าใจและทำแบบฝึก ทักษะได้ด้วยตัวเอง 5) แบบฝึกทักษะต้องมีความถูกต้อง ครูต้องพิจารณาให้รอบคอบ ทดลองทำด้วย ตนเองเสียก่อน อย่าให้มีข้อผิดพลาด 6) ให้นักเรียนทำแบบฝึกทักษะแต่ละครั้งต้องเหมาะสมกับช่วงเวลาและช่วงความ สนใจ 7) แบบฝึกทักษะควรมีหลายรูปแบบ เพื่อให้เกิดการเรียนรู้อย่างกว้างขวางส่งเสริม ความคิดสร้างสรรค์ สุวิทย์ มูลคำ และสุนันทา สุนทรประเสริฐ (2550 : 4) ได้สรุปหลักในการสร้างแบบฝึกว่าต้องมี การกำหนดเงื่อนไขที่จะช่วยให้ผู้เรียนทุกคนสามารถผ่านลำดับขั้นตอนของทุกหน่วยการเรียนได้ ถ้านักเรียนได้เรียนตามอัตราการเรียนของตนก็จะทาให้นักเรียนประสบความสำเร็จมากขึ้น สำราญ วังบุราช (2550 : 27) ได้เสนอขั้นตอนในการสร้างแบบฝึก ดังนี้ 1) ศึกษาปัญหาความต้องการจากจุตประสงค์และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 2) วิเคราะห์เนื้อหาหรือทักษะที่เป็นปัญหาเพื่อใช้สร้างแบบฝึก 3) พิจารณาวัตถุประสงค์รูปแบบและขั้นตอนการใช้แบบฝึก 4) สร้างแบบทลสอบให้สอดคล้องกับเนื้อนาและทักษะ 5) สร้างบัตร์ฝึกหัดในแต่ละบัตรจะมีคำถามให้นักเรียนตอบ 6) สร้างบัตรอ้างอิงเพื่อเป็นแนวทางการตอบ 7) สร้างแบบบันทึกผลการทดสอบให้เห็นความก้าวหน้า 8) ทดลองใช้ เพื่อหาคุณภาพของแบบฝึกและคุณภาพของแบบทดสอบ 9) ปรับปรุงแก้ไข
20 10) รวบรวมแบบฝึกเป็นชุดโดยจัดทำคำชี้แจง คู่มือการใช้ วิไลลักษณี มีทิศ (2551 : 48) กล่าวว่า ในการสร้างแบบฝึกนั้นผู้สร้างต้องคำนึงถึงควา ม แตกต่างระหว่างบุคคลแบบฝึกที่สร้างต้องมีหลาย ๆ รูปแบบ สร้างจากง่ายไปหายากมีความถูก ต้องห้ามผิดพลาดในแบบฝึกที่สร้างมีการสอคแทรกทักษะวิชาอื่นเข้าไปด้วย ควรจัดทำแบบฝึกไว้ ล่วงหน้าเพราะแบบฝึกควรทำหลังจากผู้เรียนได้เรียนบทเรียนในเรื่องนั้น ๆ จบลงทันที อนงพันธุ์ ใบสุขันธ์ (2551 : 33) กล่าวว่า แบบฝึกทักษะเป็นสื่อการเรียนการสอนที่ครูสร้างขึ้น เพื่อใช้ฝึกทักษะผู้เรียนหลังจากเรียนจบเนื้อหาให้เกิดดวามรู้ความเข้าใจจนเกิดทักษะสูงสุดโดยมี จุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนาความสามารถของผู้เรียนให้เต็มตามศักยภาพ เบญจวรรณ วิเชียรครุฑ (2552 : 15) ได้กล่าวถึง หลักการให้แบบฝึกทักษะแก่นักเรียนไว้ว่าครู มีหลักการในการให้แบบฝึกทักษะเพื่อให้เกิดประ โยชน์แค่นักเรียน ดังนี้ 1) แบบฝึกทักษะต้องแจ่มแจ้งและแน่นอน กรจะต้องอธิบายวิธีทำให้ชัดเจนให้ นักเรียนเข้าใจได้ถูกต้อง และกำหนดขอบเขตให้แน่นอนไม่กว้างขวางเกินไป 2) ใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย เหมาะสมกับวัยและพื้นฐานความรู้ของนักเรียน 3) แบบฝึกทักษะควรเป็นเรื่องที่นักเรียนได้เรียนมาแล้วเพราะความรู้เดิมย่อมเป็น รากฐานหรือประสบการณ์ใหม่ ช่วยให้การเรียนรู้เป็นไปได้ง่ายเละสะดวกขึ้น 4) ชี้แจงให้นักเรียนเข้าใจความสำคัญของแบบฝึกทักษะ เพื่อให้นักเรียนมองเห็น คุณค่าอันเป็นเรื่องเร้าใจให้นักเรียนทำสำเร็จจุล่วงไปด้วยดี 5) ครูต้องเร้าความสนใจของนักเรียนให้มีต่อแบบฝึกทักษะนั้น 6) ครูต้องเป็นผู้ตั้งปัญหาขึ้น และปัญหานั้นไม่ยากเกินความสนใจของนักเรียนแต่เร้า ความอยากรู้อยากเห็น และยั่วยุให้นักเรียนอยากแก้ปัญหานั้น ๆ 7) การให้นักเรียนรู้เค้าโครงเสียก่อนจะเป็นเครื่องเร้าใจให้นักเรียนทำต่อให้สำเร็จ 8) เนื่องจากนักเรียนแต่ละคนมีความแตกต่างกัน แบบฝึกทักษะที่กำหนดให้นักเรียน เก่งนักเรียนปานกลาง และนักเรียนอ่อนควรยากง่านต่างกัน ถ้าให้อย่างเดียวกันก็พิจารณาค้าน คุณภาพให้แตกต่างกัน หรือให้นักเรียนที่เรียนมีเวลาทำมากกว่า 9) ควรยั่วยุให้นักเรียนพยายามทำเพื่อผลงานมากกว่าหวังรางวัลหรือเกรงกลัวการ ลงโทษการเข้าใจคุณค่าคำถาม ยั่วยุให้นักเรียนเกิดความสนใจและตั้งใจทำจริง ๆ 10) ควรคำนึงถึงวัยของนักเรียน เด็กเล็กควรมุ่งให้เกิดความรู้ ความชำนาญ สำหรับ เด็กโตรู้จักใช้ความคิดแล้ว ควรให้งานที่ส่งเสริมให้ใช้ความคิดมากขึ้น 11) การใช้แบบฝึกทักษะควรเหมาะสมกับเวลาที่นักเรียนมีอยู่ไม่ควรให้มากเกินไป จนนักเรียนไม่สามารถทำสำเร็จได้ และไม่ควรให้น้อยจนมีเวลามากเกินไป ควรให้นักเรียนใช้เวลาทำ แบบฝึกทักษะจนเกิดความรู้และทักษะจริง
21 12) แบบฝึกทักษะที่ให้ควรมีความแตกต่างกัน และเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ เพื่อมิให้ซ้ำ จนเกิดความเบื่อหน่าย สรุปได้ว่า การสร้างแบบฝึกทักษะควรคำนึงถึงตัวผู้เรียนเป็นหลัก โดยมีจุดมุ่งหมายที่แน่นอน ว่าจะฝึกเรื่องใด ด้านใด ควรจัดเนื้อหาให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ เนื้อหาไม่ยากเกินไปและมีรูปแบบ หลายแบบที่น่าสนใจ มีกิจกรรมที่ยั่วยุท้าทายให้เด็กเกิดความอยากรู้อยากเห็นอยากทดลอง อยากทำ สิ่งใหม่ ๆ 2.5.5 ส่วนประกอบของแบบฝึกทักษะ มีนักวิชาการหลายท่าน ได้กล่าวถึง ส่วนประกอบของแบบฝึกทักษะ ไว้ดังนี้ ถวัลย์ มาศจรัส และคณะ (2550 : 21) ได้อธิบายขั้นตอนการสร้างแบบฝึกทักษะ ดังนี้ 1) ศึกษาเนื้อหาสาระสำหรับการจัดทำแบบฝึกหัด แบบฝึกทักษะ 2) วิเคราะห์เนื้อหาสาระโดยละเอียดเพื่อกำหนดจุดประสงค์ในการจัดทำ 3) ออกแบบการจัดทำแบบฝึกหัด แบบฝึกทักษะตามจุดประสงค์ 4) สร้างแบบฝึกหัด และแบบฝึกทักษะและส่วนประกอบอื่น ๆ เช่น 4.1) แบบทดสอบก่อนฝึก 4.3) ขั้นตอนกิจกรรมที่ผู้เรียนต้องปฏิบัติ 4.4) แบบทดสอบหลังฝึก 5) นำแบบฝึกหัด แบบฝึกทักษะ ไปใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ 6) ปรับปรุงพัฒนาให้สมบูรณ์ สุวิทย์ มูลคำ และสุนันทา สุนทรประเสริฐ (2550 : 62) ได้กำหนดส่วนประกอบของแบบฝึก ทักษะได้ดังนี้ 1) คู่มือการใช้แบบฝึก เป็นเอกสารสำคัญประกอบการใช้แบบฝึก ว่าใช้ เพื่ออะไร และมีวิธีใช้อย่างไร เช่น ใช้เป็นงานฝึกท้ายบทเรียน ใช้เป็นการบ้าน หรือใช้สอนซ่อมเสริม ประกอบด้วย 1.1) ส่วนประกอบของแบบฝึก จะระบุว่าในแบบฝึกชุดนี้ มีแบบฝึกทั้งหมด กี่ชุดอะไรบ้าง และมีส่วนประกอบอื่น ๆ หรือไม่ เช่น แบบทดสอบ หรือแบบบันทึกผลการประเมิน 1.2) สิ่งที่ครูหรือนักเรียนต้องเตรียม (ถ้ามี) จะเป็นการบอกให้ครูหรือ นักเรียนเตรียมตัวให้พร้อมล่วงหน้าก่อนเรียน 1.3) จุดประสงค์ในการใช้แบบฝึก 1.4) ขั้นตอนในการใช้ บอกข้อตามถาคับการใช้ และอาจเขียนในรูปแบบ ของแนวการสอนหรือแผนการสอนจะชัดเจนยิ่งขึ้น 1.5) เฉลยแบบฝึกในแต่ละชุด
22 2) แบบฝึกเป็นสื่อที่สร้างขึ้นเพื่อให้ผู้เรียนฝึกทักษะ เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ ที่ถาวร ควรมีองค์ประกอบ ดังนี้ 2.1) ชื่อชุดฝึกในแต่ละชุดย่อย 2.2) จุดประสงค์ 2.3) คำสั่ง 2.4) ตัวอย่างชุดฝึก 2.5) ภาพประกอบ 2.6) ข้อทดสอบก่อนและหลังเรียน 2.7) แบบประเมินบันทึกผลการใช้ 2.8) รูปแบบการสร้างแบบฝึก สุวิทย์ มูลคำ และสุนันทา สุนทรประเสริฐ (2550 : 62) ได้เสนอแนะรูปแบบการสร้างแบบฝึก ทักษะ โดยอธิบายว่าการสร้างแบบฝึกรูปแบบก็เป็นสิ่งสำคัญในการที่จะงใจให้ผู้เรียนได้ทดลองปฏิบัติ แบบฝึกจึงควรมีรูปแบบที่หลากหลาย มิใช่ใช้แบบเดียวจะเกิดความจำเจน่าเบื่อหน่ายไม่ท้าทายให้ อยากรู้อยากลองจึงขอเสนอรูปแบบที่เป็นหลักใหญ่ไว้ก่อน ส่วนผู้สร้างจะนำไปประยุกต์ใช้ ปรับเปลี่ยนรูปแบบอื่น ๆ ก็แล้วแต่เทคนิคของแต่ละคน ซึ้งจะเรียงลาดับจากง่ายไปหายากดังนี้ 1) แบบถูกผิด เป็นแบบฝึกที่เป็นประโยคบอกเล่าให้ผู้เรียนอ่านแล้วใส่เครื่องหมาย ถูกหรือผิดตามดุลยพินิจของผู้เรียน 2) แบบจับคู่ เป็นแบบฝึกที่ประกอบด้วยตัวดำถามหรือตัวปัญหา ซึ่งเป็นตัวยืนไว้ใน สดมภ์ซ้ำมือโดยมีที่ว่างไว้หน้าข้อเพื่อให้ผู้เรียนเลือกหาคำตอบที่กำหนดไว้ในสดมภ์ขวามือมาจับคู่กับ คำถามให้สอดคล้องกัน โดยใช้หมายเลขหรือรหัสคำตอบไปวางไว้ที่ว่างหน้าข้อความหรือจะใช้การโยง เส้นก็ได้ 3) แบบเติมคำหรือเติมข้อความ เป็นแบบฝึกที่มีข้อความไว้ให้ แต่ะเว้นช่องว่างไว้ให้ ผู้เรียนเติมคำหรือข้อความที่ขาดหายไป ซึ่งคำหรือข้อความที่นามาเติมอาจให้เติมอย่างอิสระหรือ กำหนดตัวเลือกให้เติมที่ได้ 4) แบบหมายตัวเลือก เป็นแบาฝึกเชิงแบบทคสอบ โดยจะมี 2 ส่วน คือส่วนที่เป็น คำถามซึ่งจะต้องเป็นประโยดกาถามที่สมบูรณ์ ชัดเจมไม่คลุมเครือ ส่วนที่ 2 เป็นตัวเลือก คือคำตอบ ซึ่งอาจจะมี 3 - 5 ตัวเลือกก็ได้ ตัวเลือกทั้งหมดจะมีตัวเลือกที่ถูกที่สุดเพียงตัวเลือกเดียวส่วนที่เหลือ เป็นตัวลวง 5) แบบอัตนัย คือ ความเรียงเป็นแบบฝึกที่ตัวคำถาม ผู้เรียนต้องเขียนบรรยายตอบ อย่างเสริมตามความรู้ความสามารถ โดยไม่จำกัดคำตอบ แต่กำจัดคำตอบ แต่จำกัดในเรื่องเวลา อาจใช้คำถามในรูปทั่ว ๆ ไป หรือเป็นคำสั่งให้เขียนเรื่องราวต่าง ๆ ก็ได้
23 อัมพา ปัญญาคำ (2550 : 21) กล่าวถึง ส่วนประกอบของแบบฝึกทักษะไว้ว่าควรมีจุดประสงค์ ปลายทางหรือผลการเรียนรู้ที่คาดหวังในการทำแบบฝึกของนักเรียน แสดงจุดประสงค์บ่อยในแต่ละ หน่วยหรือชุดของแบบฝึกในส่วนของเนื้อหาควรเลือกเนื้อหาให้เหมาะสมกับระดับพื้นฐาน ความสามารถของนักเรียน โดยเรียงลำคับจากง่ายไปยาก กาษาที่ใช้เป็นภาษาที่เหมาะสมกับวัยและ ความสามารถในการอ่านและการทำความเข้าใจของนักเรียน เนื้อหาที่จัดควรเป็นไปตามขั้นตอนการ เรียนรู้ตามหลักวิชา ง่ายต่อการทำความเข้าใจ และมีเฉลยไว้ท้ายแบบฝึกเพื่อให้นักเรียนตรวจสอบไว้ ท้ายแมงฝึกทักษะเพื่อให้นักเรียนตรวจสอบความถูกต้องด้วยคนเอง กชกร ธิปัตดี (2551 : 1) กล่าวว่า แบบฝึกทักษะมีองค์ประกอบที่สำคัญ ดังนี้ 1) มีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน 2) มีกระบวนการเรียนรู้ที่เริ่มต้นจากง่ายไปยาก คือทบทวนความรู้เดิมก่อนเรียนรู้สิ่งใหม่ 3) เน้นให้ผู้เรียนปฏิบัติจริง และขัดให้มีส่วนร่วมในการเรียนรู้ 4) ใช้สื่อย่างหลากพลายหรือสื่อประสมและใช้วิธีการเรียนรู้หลากหลาย 5) จัดให้มีการอภิปรายโดยมุ่งมั่นให้เกิดการนำความรู้ไปใช้ในเชิงการประยุกต์ใช้ใน สถานการณ์ใหม่ๆ กิตติยาพร เนื้ออ่อน (2552 : 81) กล่าวว่า แบบฝึกที่ดีจะต้องคำนึงถึงองค์ประกอบหลาย ๆ ด้าน คือ มีจุดมุ่งหมายที่แน่นอนว่าจะฝึกค้าน ใดตรงตามเนื้อหา เหมาะสมกับวัย เวลาความสามารถ ความสนใจความแตกต่างระหว่างบุคคล สภาพปัญหาของนักเรียนใช้ภาษาที่เข้าใจง่ายส่งเสริม ความคิดยั่วยุ จูงใจ ท้าทายผู้ฝึกให้ใช้ความสามารถ มีความพอใจในการเรียนและเกิดทักษะตรงตาม จุดประสงค์ สรุปได้ว่า ลักษณะแบบฝึกที่ดีนั้นควรมีลักบณะสั้น ๆ สถานการณ์ที่ต่างกันเข้าใจง่าย มีคำอธิบายที่ชัดเจน มีความเหมาะสมกับวัยของผู้เรียน เป็นสิ่งที่น่าสนใจท้าทายความสามารถ และ เกิดประโยขน์แก่ผู้เรียน สำลี รักสุทรี (2553 : 36) กล่าวถึง ส่วนประกอบของแบบฝึกทักษะว่ามีส่วนประกอบที่สำคัญ ดังนี้ 1) คำแนะนำการ ใช้แบบฝึกทักษะ 1.1) สำหรับครู เป็นคำแนะนำเพื่อให้ครูทำความเข้าใจเกี่ยวกับการใช้แบบ ฝึกนั้น ๆ ว่าครูจะต้องทำอย่างไร เตรียมอะไรบ้าง บทบาทของครูเป็นอย่างไรบ้าง ขณะนักเรียนปฏิบัติ ครูควรมีบทบาทอย่างไร 1.2) สำหรับผู้เรียน เป็นคำแนะนำเพื่อให้นักเรียนปฏิบัติกิจกรรมตามที่แบบ ฝึกกำหนดไว้ให้ถูกต้องเป็นไปตามขั้นตอน ซึ่งจะมีคำชี้แจง ดำอธิบายไว้ชัดเจนในการปฏิบัติกิจกรรม 2) แบบทดสอบก่อนเรียน เป็นแบบทคสอบเพื่อประเมินความรู้เดิมของนักเรียน
24 3) สาระสำคัญ เพื่อบอกให้รู้ถึงความสำคัญ ใจความสำคัญสั้น ๆ ของเรื่องนั้น 4) ตัวบ่งชี้ เพื่อบอกให้หราบถึงตังบ่งชี้ที่เป็นปัญหาที่ต้องใช้ลื่อนวัดกรรมขุดนี้ 5) จุดประสงค์การเรียนรู้ เพื่อบอกให้ทราบว่าผู้เรียนต้องรู้อะไร เป็นอย่างไร 6) เนื้อหาสาระ 7) กิจกรรม 8) สรุป 9) แบบทดสอบหลังเรียน สรุปได้ว่าแบบฝึกทักษะประกอบด้วยคำแนะนำในการฝึกทักษะซึ่งมีทั้งคำแนะนำสำหรับครู และคำแนะนำ สำหรับผู้เรียน จุดประสงค์ในการฝึกทักษะ เนื้อหาสาระ กิจกรรมในการฝึกทักษะ แบบทคสอบหรือแขบประเมินผลการใช้แบบฝึกทักษะ และชื่อชุดฝึกในแต่ละชุดย่อย จุดประสงค์กำสั่ง ตัวอย่าง ชุดฝึก ภาพประกอบ ข้อทดสอบก่อนและหลังเรียน แบบประเมิน บันทึกผลการใช้ซึ่ง ส่วนประกอบเหล่านี้จะทำให้นักเรียน ได้เรียนรู้ ได้ฝึกปฏิบัติดามขั้นตอนเพื่อให้เกิดทักษะที่ตั้งไว้ 2.6 แผนการจัดการเรียนรู้ แผนการจัดการเรียนรู้ เป็นสิ่งสำคัญในการจัดการเรียนการสอน เป็นสิ่งที่ครูผู้สอนได้ว่าง กำหนดไว้ว่าจะสอนอะไรให้กับผู้เรียน เพื่อให้บรรลุตามวัตถุประสงค์ ตามหลักสูตรการศึกษาอีกทั้งยัง เป็นหลักฐานที่แสดงข้อมูล การจัดการเรียนรู้ การวัดผล ประเมินผล เพื่อใช้ประโยชน์ในการปรับปรุง การเรียนการสอนครั้งต่อไปให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ดังที่มีนักวิชาการหลายท่านได้ให้ความหมายของ แผนการจัดการเรียนรู้ ไว้ดังนี้ 2.6.1 ความหมายของแผนการจัดการเรียนรู้ ชวลิต ชูกำแพง (255 1 : 93) ให้ความหมายของแผนการจัดการเรียนรู้ ไว้ว่า หมายถึงการ วางแผนจัดกิจกรรมการเรียนการสอนล่วงหน้าอย่างเป็นลายลักษณ์อักษรของผู้สอนเพื่อเป็นแนวทาง ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ในแต่ละครั้ง โดยใช้สื่อและอุปกรณ์การเรียนการสอนให้สอดคล้องกับผล การเรียนรู้ที่คาคหวัง เนื้อหา เวลา เพื่อพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียนให้เป็นไปอย่างเต็มศักยภาพ มนัส ธาตุทอง (2551 : 133) ให้ความหมายของแผนการจัดการการเรียนรู้ว่า หมายถึงเอกสาร ที่ผู้สอนแต่ละคนได้นำเนื้อหาวิชา สาระการเรียนรู้หรือประสบการณีที่จะต้องทำการสอนในระยะเวลา หนึ่ง มาเตรียมการสอนเป็นลายลักษณ์อักษร เพื่อเพิ่มคุณภาพการเรียนรู้ สุวิทย์ มูลคำ และคณะ (2551 : 58) ให้ความแผนของแผนการจัดการเรียนรู้ หมายถึงแผนการ เตรียมการสอนหรือการกำหนดกิจกรรมการเรียนรู้ไว้ล่วงหน้าอย่างเป็นระบบ และจัดทำไว้เป็นลาย ลักษณ์อักษร โดยมีการรวบรวมข้อมูลต่าง ๆ มากำหนดกิจกรรมการเรียนรู้ เพื่อให้ผู้เรียนบรรลุ จุดมุ่งหมายที่กำหนดไว้ โดยเริ่มจากการกำหนดวัตถุประสงค์จะให้ผู้เรียนเกิดการเปลี่ยนแปลงด้านใด
25 (สติปัญญาเจตคติทักษะ) จะจัดกิจกรรมการเรียนรู้วิธีใด ใช้สื่อการสอนหรือแหล่งการเรียนรู้ใดและจำ ประเมินผลอย่างไร วิมลรัตน์ สุนทรโรจน์ (2554 : 109) ให้ความหมายของแผนการจัดการเรียนรู้ หมายถึงแผนการ จัดกิจกรรมการเรียนการจัดการเรียนรู้ การใช้สื่อการขัดการเรียนรู้การวัดผลประเมินผลให้สอดคล้อง กับเนื้อหาและจุดประสงค์ที่กำหนดไว้ในหลักสูตร หรือแผนการจัดการเรียนรู้เป็นแผนที่ผู้จัดการเรียนรู้ จัดทำขึ้นจากคู่มือหรือแนวการจัดการเรียนรู้ของกรมวิชาการทำให้ผู้จัดการเรียนรู้ทราบว่าจะจัดการ เรียนรู้เนื้อหาใด เพื่อจุตประสงค์ใด ถัดการเรียนรู้อย่างไรใช้สื่ออะไร และวัดผลประเมินผลโดยวิธีใดผู้ ศึกษาค้นคว้าได้ศึกษากวามหมายของแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ สรุปได้ว่าแผนการจัดการเรียนรู้ หมายถึง การเตรียมการวางแผนจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ล่วงหน้าอย่างเป็นลายลักษณ์อักษรซึ่งแผนที่ผู้จัดการเรียนรู้จัดทำขึ้นมาจากคู่มือหรือแนวการจัดการ เรียนรู้ของกรมวิชาการ เพื่อเป็นแนวทางในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ในแต่ละครั้งโดยใช้สื่อและ อุปกรณ์การเรียนการสอนให้สอดคล้องกับผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง เนื้อหา เวลาโดยมีการราบรวม ข้อมูลต่าง ๆ มากำหนดกิจกรรมการเรียนรู้ เพื่อให้ผู้เรียนบรรลุจุดมุ่งหมายที่กำหนดไว้ 2.6.2 ความสำคัญของแผนการจัดการเรียนรู้ นักวิชาการได้ให้ความสำคัญของแผนการจัดการเรียนรู้ไว้ต่าง ๆ ดังนี้ ฆนัท ธาตุทอง (255 1 : 131) ได้ตรูปถึงความสำคัญของแผนการจัดการเรียนรู้ ดังนี้ 1) ทำให้จัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่มีความหมายยิ่งขึ้น 2) ครูมีคู่มือการสอนที่มีคุณภาพ 3) เป็นผลงานที่มีศักยภาพการเป็นครูมืออาชีพ 4) ครูผู้อื่นใช้สอนแทนเราได้ 5) ทำให้การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามสภาพที่เป็นจริง 6) ทำให้เกิดการเรียนรู้แบบองค์รวมที่ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ใด้หลายอย่างในขณะเดียวกัน 7) ทำให้ขยายขอบเขตการศึกษาไปได้อย่างไม่จำกัดโดยมีความเกี่ยวข้องกับวิชาอื่น ๆ ได้อย่างกลมกลืน 8) ช่วยให้การเรียนการสอนมีคุณภาพตามที่กำหนดไว้ในหลักสูตรสถานศึกษา 9) ส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้มีความสมบูรณ์ครบถ้วน โดยไม่จำกัดเวลา ชวลิต หูกำแพง (2551 : 95 - 9) ได้ให้ความสำคัญของแผนการจัดการเรียนรู้ ไว้ดังนี้ 1) ช่วยให้ครูมีความรู้ ความเข้าใจจุดมุ่งหมายของเรื่องที่จะจัดกิจกรรม และเลือกจัด กิจกรรมได้เหมาะสมกับวัยของนักเรียน มีคุณภาพตรงกับเจตนารมณ์ของหลักสูตร ซึ่งส่งเสริมให้ นักเรียนเกิดการเรียนรู้ตามลำดับขั้นตอน และทันเวลา
26 2) ช่วยให้ครูมีความเชื่อมั่นในตนเองมากยิ่งขึ้น เมื่อได้เตรียมการสอนมาอย่างดี แล้วการสอนก็จะเป็นไปอย่างเรียบร้อย 3) ทำให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ได้เร็ว เพราะเมื่อครูเตรียมการสอนดีย่อมทำให้การ จัดกิจกรรมเป็นไปตามขั้นตอน จนนักเรียนได้รับความรู้ความเข้าใจเร็วขึ้น 4) ทำให้ผู้เรียนเกิดเจตคติที่ดีต่อกลุ่มประสบการณ์ที่เรียน การที่ครูเตรียมการสอน ทำให้ครูมั่นใจในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน และจัดกิจกรรมได้เหมาะสมกับวัยของนักเรียน ทำให้นักเรียนเรียนด้วยความสนุกสนาน และเกิดเจตคติที่ดีต่อเรื่องที่เรียน 5) ทำให้นักเรียนเกิดความเสื่อมใสในตัวครู เพราะครูมีความมั่นใจมีการเตรียมการ เรียนการสอนมาอย่างดี กระบวนการเรียนการสอนเป็นไปตามขั้นตอนอย่างมีประสิทธิภาพ นักเรียน ก็เกิดความเลื่อมใสศรัทธาในตัวครูยิ่งขึ้น 6) ถ้าครูมีความจำเป็นไม่ได้สอนด้วยตนเอง ผู้มาสอนแทนก็จะมาสอนแทนได้ บรรลุตามจุดประสงค์ที่กำหนด 7) ทำให้การประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเป็นไปตามจุดประสงค์ที่กำหนดไว้ช่วย ให้ครูสามารถวินิจฉัยจุดอ่อนของนักเรียนที่จะ ได้รับการแก้ไข และทราบจุดเด่นที่ควรได้รับการ ส่งเสริมต่อไป นอกจากนี้ยังช่วยส่งเสริมให้ครูเห็นภาพการทำงานของตนเองได้เด่นชัดยิ่งขึ้น 8) ครูผู้สอนสามารถใช้เป็นข้อมูลที่ถูกต้องที่ยงตรง เพื่อเสนอแนะแก่บุคลากรและ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กรมวิชาการ ศึกษานิเทศก็ และผู้บริหาร เพื่อปรับปรุงหลักสูตรให้ เหมาะสมยิ่งขึ้น 9) ช่วยให้ผู้บริหารหรือผู้เกี่ยวข้องได้ทราบขั้นตอน กระบวนการต่าง ๆ ในการสอน ของครูเพื่อการนิเทศติดตามและประเมินผลการสอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ 10) เป็นการพัฒนาวิชาชีพครู ที่แสดงว่าการสอนต้องได้รับการฝึกฝนที่มีความ เชี่ยวชาญโดยเฉพาะมีเครื่องมือและเอกสารที่จำเป็นสำหรับการประกอบอาชีพ 11) เป็นผลงานทางวิซาการอย่างหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงความชำนาญพิเศษหรือความ เชี่ยวชาญของผู้จัดทำแผนการสอน ซึ่งสามารถนำไปพัฒนางานในหน้าที่และเสนอเลื่อนระดับให้สูงขึ้น สุวิทย์ มูลคำ และคณะ (2551 : 58) กล่าวว่า แผนการจัดการเรียนรู้ เปรียบได้กับพิมพ์เขียว ของวิศวกรหรือสถาปนิกที่ใช้เป็นหลักในการควบคุมงานก่อสร้าง วิสวกรหรือสถาปนิกจะขาพิมพ์เขียว ไม่ได้ฉันใด สู้เป็นครูก็ขาดแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ไม่ได้ฉันนั้นผลดีของการทำแผนการจัด กิจกรรมการเรียนรู้ สรุปได้ดังนี้ 1) ทำให้เกิดการวางแผนวิธีสอนวิธีเรียนที่มีความหมายยิ่งขึ้น เพราะเป็นการจัดทำ อย่างมีหลักการที่ถูกต้องช่วยให้ครูมีคู่มือการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ทำไว้ล่วงหน้ำด้วยตนเองและทำ ให้ครูมีความมั่นใจในการจัดการเรียนรู้ได้ตามเป้าหมาย
27 2) ช่วยให้ครูผู้สอนทราบว่า การสอนของตนได้เดินทางไปทิศทางใด หรือทราบว่า จะสอนอะไร ด้วยวิธีใด สอนทำไม สอนอย่างไร จะใช้สื่อและแหล่งเรีขนรู้อะไร และจะวัดและ ประเมินผลอย่างไร 3) ส่งเสริมให้ครูผู้สอนใฝ่ศึกษาหาความรู้ ทั้งเรื่องหลักสูตร วิธีจัดการเรียนรู้จะจัดหา และใช้สื่อแหล่งเรียนรู้ ตลอดจนการวัดและประเมินผล 4) แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่นำไปใช้ และพัฒนาแล้วจะเกิดประโยชน์ ต่อวงการศึกษา 5) เป็นผลงานทางวิชาการที่แสดงถึงความชำนาญ และความเชี่ยวชาญของครูผู้สอน สำหรับประกอบการประเมินเพื่อขอเลื่อนตำแหน่งและวิทยฐานะครูให้สูงขึ้นสามารถเผยแพร่เป็น ตัวอย่างได้ วิมลรัตน์ สุนทรโรจน์ (2554 : 109) ได้ให้ความสำคัญของแผนการจัดการเรียนรู้ ไว้ดังนี้ 1) ทำให้เกิดการวางแผนวิธีการจัดการเรียนรู้ วิธีเรียนที่มีความหมายยิ่งขึ้น เพราะเป็นการจัดทำอย่างมีหลักการที่ถูกต้อง 2) ช่วยให้ครูมีสื่อการจัดการเรียนรู้ที่ทำด้วยตนเอง ทำให้เกิดความสะดวกต่อการ จัดการเรียนการจัดการเรียนรู้ ทำให้การจัดการเรียนรู้ใด้ครบถ้วนตรงตามหลักสูตรและจัดการเรียนรู้ ได้ทันเวลา 3) เป็นผลงานวิชาการที่สามารถเผยแพร่เป็นตัวอย่างได้ 4)ช่วยให้ความสะดวกแก่ครูผู้จัดการเรียนรู้แทน สรุปได้ว่า แผนการจัดการเรียนรู้มีความสำคัญต่อครูผู้สอนเป็นอย่างมาก เพราะเป็นสิ่งที่จะช่วย ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพและเหมาะสมกับวัยของผู้เรียน ทำให้ครูทำงานอย่างมีระบบ การเรียนการสอนมีคุณภาพตามที่กำหนดไว้ในหลักสูตรสถานศึกษา ทำให้การประเมินผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนเป็นไปตามจุดประ สงค์ที่กำหนดไว้ช่วยให้ครูสามารถวินิจฉัยจุดอ่อนของนักเรียนที่จะ ได้รับการแก้ไข และทราบจุคเด่นที่ควรได้รับการส่งเสริมต่อไป 2.6.3 องค์ประกอบของแผนการจัดการเรียนรู้ มีนักวิชาการได้กล่าวถึงองค์ประกอบของแผนการจัดการเรียนรู้ไว้ต่าง ๆ ดังนี้ ชวลิต ชูกำแพง (2551 : 3 - 97) ได้นำสนอตารางเกี่ยวกับองค์ประกอบของแผนการจัด กิจกรรมการเรียนรู้ไว้ ดังนี้ สุวิทย์ มูลคำและคณะ (2551 : 63) ได้สรุปถึงแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ว่าประกอบด้วย ส่วนประกอบสำคัญ 3 ส่วน คือ
28 ส่วนที่ 1 ส่วนนำหรือหัวแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เป็นส่วนประกอบที่แสดงให้เห็น ภาพรวมของแผนว่า เป็นแผนในกลุ่มสาระการเรียนรู้ ใช้กับผู้เรียนระดับชั้นใด เรื่องอะไร ใช้เวลา ในการจัดกิจกรรมนานเท่าใด ส่วนที่ 2 ตัวแผนการจัดกิจกรรมคารเรียนรู้ (องค์ประกอบที่สำคัญ) ประกอบด้วย 1) สาระ 2) มาตรฐานการเรียนรู้ 4) สาระสำคัญ 6) จุดประสงค์การเรียนรู้ ประกอบด้วย 6.1) จุดประสงค์ปลายทาง 6.2 จุดประสงค์นำทาง 7) สาระการเรียนรู้เนื้อหา 8) กิจกรรม/กระบวนการเรียนรู้ 9) สื่อ/นวัตกรรม/แหล่งเรียนรู้ 10) การวัดและประเมินผล ประกอบด้วย 10.1) วิธีการประเมิน 10.2) เครื่องมือที่ใช้ในการประเมิน 10.3) เกณฑ์ที่ใช้ในการประเมิน 11) เอกสารประกอบการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ 12) บันทึกผลหลังการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ส่วนที่ 3 ท้ายแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ประกอบด้วยบันทึกผลการใช้แผนการจัดกิจกรรม การเรียนรู้ ซึ่งเป็นส่วนที่ผู้สอนบันทึกข้อสังเกตที่พบจากการนำเผนไปใช้ เช่น ปัญหาและแนว ทางแก้ไข กิจกรรมเสนอแนะและข้อมูลอื่น ๆเพื่อประโยชน์ในการปรับปรุงแผนการจัดกิจกรรมการ เรียนรู้ ในการนำไปใช้ต่อไปอีกส่วนหนึ่งของท้ายแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ได้แก่ เอกสาร ประกอบการสอน เช่น ใบงานแบบทคสอบที่ใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแผนนั้น ๆ วิมลรัตน์ สุนทรโรจน์ (2554 : 342) ได้ให้กล่าวถึงองค์ประกอบของแผนการจัดการเรียนรู้ไว้ ดังนี้ 1) กลุ่มสาระการเรียนรู้ หน่วยที่สอนและสาระสำคัญ (ความคิดรวบยอด) ของเรื่อง 2) จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม 3) สาระการเรียนรู้ 4) กิจกรรมการเรียนการสอน 5) สื่อการเรียนการสอน
29 2.6.4 วัดผลประเมินผล ดังนั้นองค์ประกอบของแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ จึงเป็นการวางแนวทางและเขียนไว้ เพื่อแสดงถึงการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่จะจัดขึ้นตามบทเรียน ซึ่งประกอบด้วยสาระการเรียนรู้ จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม กิจกรรมการเรียนการสอน สื่อการเรียนการสอนการวัคผลประเมินผล ลักษณะของเผนการจัดการเรียนรู้ที่ดี สุวิทย์ มูลคำ และคณะ (2551 : 59) สรุปแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ดีจะช่วยให้การเรียน การสอนประสบความสำเร็จได้ดีคือกำหนดจุดประสงค์การเรียนรู้ไว้ซัดเจน (ในการสอนเรื่องนั้น ๆ ต้องการให้ผู้เรียนเกิดคุณสมบัติอะไร หรือด้านใด) 2) กำหนดกิจกรรมการเรียนการสอนไว้ชัดเจน และนำไปสู่ผลการเรียนรู้ตาม จุดประสงค์ได้จริง (ระบุบทบาทของครูผู้สอนและผู้เรียนไว้อย่างชัดเจนว่าจะต้องทำอะไรจึงจะทำให้ การเรียนการสอนบรรลุผล) 3) กำหนดสื่ออุปกรณ์หรือแหล่งเรียนรู้ไว้ชัดเจน (จะใช้สื่อ อุปกรณ์ หรือแหล่งเรียนรู้ อะไรช่วยบ้างและจะใช้อย่างไร) 4) กำหนดวิธีการวัดและประเมินผลไว้ชัดเจน (จะใช้วิธีการและเครื่องมือในการวัด และประเมินผลใด เพื่อให้บรรลุจุดประสงค์การเรียนรู้นั้น) 5) ยึดหยุ่นและปรับเปลี่ยนได้ (ในกรณี ที่มีปัญหาเมื่อมีการนำไปใช้ หรือไม่สามารถ กำหนดการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแผนนั้น ได้ก็สามารถปรับเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นได้โดยไม่กระทบ ต่อการเรียนการสอนและผลการเรียนรู้) 6) มีความทันสมัย ทันต่อเหตุการณ์ ความเคลื่อนไหวต่าง ๆ และสอดคล้องกับสภาพ ที่เป็นจริงที่ผู้เรียนดำเนินชีวิตอยู่ 7) แปลความได้ตรงกัน แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่เขียนขึ้นจะต้องสื่อ ความหมายได้ตรงกัน เขียนให้อ่านเข้าใจง่าย กรณีมีการสอนแทนหรือเผยแพร่ ผู้นำไปใช้สามารถข้าใจ และใช้ได้ตรงตามจุดประสงค์ของผู้เขียนแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ 8) มีการบูรณาการ แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ดีจะสะท้อนให้เห็นการบูรณา การแบบองค์รวมของเนื้อหาลาระ ความรู้ และวิธีการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เข้าด้วยกัน 9) มีการเชื่อมโยงความรู้ไปใช้อย่างต่อเนื่อง เปีด โอกาสให้ผู้เรียนได้นำความรู้และ ประสบการณ์เดิมมาเชื่อมโยงกับความรู้และประสบการณ์ใหม่ และนำไปใช้ในชีวิตจริงกับการเรียนใน เรื่องต่อไป วิมลรัตน์ สุนทรโรจน์ (2554 : 342) ได้กล่าวถึงลักษณะของแผนการจัดการเรียนรู้ที่ดีไว้ว่า แผนการจัดการเรียนรู้ที่ดีจะต้องช่วยให้การเรียนการจัดการเรียนรู้ประสบผลสำเร็จได้ดี ดังนั้น ผู้จัดการเรียนรู้จึงควรทราบถึงลักษณะของแผนการจัดการเรียนรู้ที่ดี ซึ่งมีดังนี้
30 1) สอดคล้องกับหลักสูตร และแนวการจัดการเรียนรู้ของกรมวิชาและ กระทรวงศึกษาธิการ 2) นำไปใช้ได้จริงและมีประสิทธิภาพ 3) เขียนอย่างถูกต้องตามหลักวิชา เหมาะสมกับผู้เรียนและเวลาที่กำหนด 4) มีความกระจ่างชัดเจน ทำให้ผู้อ่านเข้าใจง่ายและเข้าใจได้ตรงกันพรรณี 5) มีรายละเอียดมากพอที่ทำให้ผู้อ่านสามารถนำไปใช้จัดการเรียนรู้ได้ ดังนั้นลักษณะของแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ทีดีจะต้องสอดคล้องกับหลักสูตรแนวการ จัดการเรียนรู้ของกรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ เขียนอย่างถูกต้องตามหลักวิชาการมีความชัดเจน ยืดหยุ่นปรับเปลี่ยนได้ เหมาะสมกับผู้เรียน และสามารถนำไปใช้ได้จริง 2.6.5 การจัดทำแผนการจัดการเรียนรู้ การเขียนแผนการจัดการเรียนรู้ เป็นงานสำคัญอย่างยิ่งของผู้เป็นครู เพราะเป็นการเตรียมการ จัดการเรียนรู้ที่สมบูรณ์ ซึ่งจะช่วยให้การเรียนการจัดการเรียนรู้บรรลุผลตามขูดมุ่งหมายของหลักสูตร อย่างแท้จริง ในการเขียนแผนการจัดการเรียนรู้ ผู้จัดการเรียนรู้ต้องศึกษาเอกสารหลักสูตรเป็น เบื้องต้นก่อนที่จะลงมือเขียน นักวิชาการหลายท่านใด้กล่าวถึงการจัดทำแผนการจัดกิจกรรมการ เรียนรู้ไว้ดังนี้ ชวลิต ชูกำแพง (2550 : 57) ได้ให้ความหมายขั้นตอนการจัดทำแผนการจัดการเรียนรู้ไว้ดังนี้ 1) ตัวขี้วัดรายปี จุดประสงค์การเรียนรู้) เป็นการวิเคราะห์รายปี/รายภาค หรือหน่วย การเรียนรู้ที่กำหนดให้ครบองค์ประกอบทั้ง 3 ด้านคือความรู้ ทักษะกระบวนการ คุณธรรมจริยธรรม และค่านิยม 2) สาระการเรียนรู้ (สาระสำคัญ)เป็นการวิเคราะห์สาระการเรียนรู้กับผลการเรียนรู้ ที่คาดหวังด้านความรู้โดยการวิเคราะห์ในหัวเรื่องต่อไปนี้ 2.1) เลือกและขยายสาระการเรียนรู้ให้สอดกล้องกับผู้เรียน ชุมชนและท้องถิ่น 2.2) ต้องมีความเที่ยงตรง ปฏิบัติได้จริง ทันสมัย และเป็นตัวแทนความรู้ 2.3) มีความสำคัญในแนวกว้างและลึก น่าสนใจ เรียนรู้จากง่ายไปหายากมี ความต่อเนื่องและสัมพันธ์กับกลุ่มสาระการเรียนรู้อื่น ๆ 3) กระบวนการจัดการเรียนรู้การวิเคราะห์กระบวนการจัดการเรียนรู้โดยการ วิเคราะห์ในหัวเรื่องดังต่อไปนี้ 3.1) เลือกวิธีการนำเข้าสู่บทเรียน 3.2) เลือกรูปแบบการเรียนรู้ให้สอดคล้องกับผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง 3.3) เน้นให้ผู้เรียนทำกิจกรรมตามความสนใจของตนเอง
31 3.4) เน้นกิจกรรมที่ปฏิบัติต้องมีทั้งในห้องเรียน นอกห้องเรียน และสอดคล้องกับชีวิตประจำวันและชีวิตจริง 3.5) เปิดโอกาสให้ผู้เรียนฝึกฝนและถ่ายทอดการเรียนรู้ไปสู่สถานการณ์ใหม่ ๆพร้อมทั้งทำให้เกิดความจำระยะยาว 3.6) ตรวจสอบความเข้าใจ โดยให้ผู้เรียนสรุป ทั้งส่งเสริมให้เชื่อมโยงสิ่งที่ เรียนรู้ และสิ่งที่เรียนต่อไป 4) กระบวนการวัดผลประเมินผลในการวัดผลประเมินผล โดยมีหลักการดังนี้ 4.1) วิธีการวัดผลประเมินผล ต้องสอดคล้องกับผลการเรียนรู้ 4.2) ใช้วิธีวัดที่หลากหลาย 4.3) เลือกใช้เครื่องมือที่มีความเชื่อมั่น 4.4) การแปรผลการวัดการประเมินผล เพื่อนำไปสู่การพัฒนาและปรับปรุง การเรียนรู้ 5) แหล่งการเรียนรู้ให้มีการเรียนรู้จากแหล่งเรียนรู้ที่หลากหลาย ทั้งในและนอก ห้องเรียนจากธรรมชาติ ความงาม ความจริง ความดี จิตนาการ และเครือข่ายต่างๆ วิมลรัตน์ สุนทรโรจน์ (2554 : 250 - 251) ได้ให้แนวทางในจัดทำแผนการจัดการเรียนรู้ดังนี้ 1) ศึกษาและวิเคราะห์สาระการเรียนรู้ที่จะจัดการเรียนรู้ 1.1) จุดประสงค์ประจำวิชา 1.2) ตัวชี้วัด 1.3) คำอธิบายรายวิชา 1.4) โครงสร้างของหลักสูตรสถานศึกษา 1.5) การวิเคราะห์หน่วยการเรียนรู้ 1.6) แผนการเรียนรู้ 2) ศึกษาแนวทางการสอนของกรมวิชาการ 2.1) ศึกษารายละเอียดสาระการเรียนรู้กับผลการเรียนรู้ที่คาดหวังในแต่ละ ช่วงชั้นและระดับชั้นว่ามีความสัมพันธ์กันหรือไม่ เพื่อเพิ่มเติมอีกให้สมบูรณ์ 2.2) วิเคราะห์ผลการเรียนรู้ที่คาดหวังสอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้ ในกลุ่มสาระการเรียนรู้หรือไม่ ถ้าไม่สอดคล้องควรปรับและนำมาเขียนแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ให้ชัดเจนต่อไป 2.3) นำกิจกรรมในแนวการสอน มาพิจารณาประกอบการจัดกิจกรรมการ เรียนการจัดการเรียนรู้ในการเขียนแผนการจัดการเรียนรู้ต่อไป
32 3) ขั้นเขียนแผนการจัดการเรียนรู้ขั้นเขียนแผนการจัดการเรียนรู้ เป็นขั้นสำคัญซึ่ง ผู้เขียนต้องวางแผนอย่างรอบกอบโดยกำหนดจุดประสงค์เชิงพฤติกรรม กำหนดเนื้อหาให้เหมาะสมกับ เวลากำหนดกิจกรรมการเรียนการจัดการเรียนรู้ที่ทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้จริง กำหนดสื่อการ จัดการเรียนรู้และการวัคผลที่สอดคล้องกับจุดประสงค์การจัดการเรียนรู้ อย่างไรก็ตามควรได้จัด กิจกรรมการเรียนการจัดการเรียนรู้ อย่างเป็น กระบวนการและใช้กระบวนการต่าง ๆ เช่น กระบวนการกลุ่มการบวนการแก้ปัญหา กระบวนการ 9 ประการ เพื่อผู้เรียนเกิดทักษะกระบวนการ สามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน สรุปได้ว่า การเขียนแผนการจัดการเรียนรู้ เพื่อให้ได้แผนการจัดการเรียนรู้ที่ดีนั้น ผู้จัดทำแผน ต้องมีการวิเคราะห์เพื่อให้เกิดองค์ประกอบทั้งด้านกระบวนการ คุณธรรมจริยธรรม และค่านิยม ต้องมี การวางแผนอย่างรอบคอบและส่งสริมการเชื่อมโยงสิ่งที่จะเรียนรู้และการเรียนรู้ที่หลากหลาย สอดคล้องกับความต้องการของนักเรียน เพื่อให้เกิดการนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้ 2.6.6 หลักการเขียนแผนการจัดการเรียนรู้ วิมลรัตน์ สุนทรโรจน์ (2554 : 351 - 361) ได้กล่าวไว้ว่า การเขียนแผนการจัดการเรียนรู้ จำเป็นต้องฝึกเขียนให้ถูกต้องตามหลักการ สิ่งที่ควรเขียนให้ชัดเจน ได้แก่ 1) ส่วนหัวเรื่อง 2) สาระสำคัญ 3) ตัวชี้วัด 4) เนื้อหา 5) กิจกรรมการเรียนรู้ 6) สื่อการเรียนรู้ 7) การวัดและการประเมินผลการเรียนรู้แต่ละหัวข้อมีหลักการเขียน ดังนี้ 7.1) ส่วนหัวเรื่องส่วนหัวเรื่อง เป็นส่วนแรกของการเขียนแผนการจัดการ เรียนรู้ เป็นส่วนที่บอกรายละเอียดเบื้องต้นของแผนการจัดการเรียนรู้ มีแนวการเขียน ดังนี้ 7.1.1) ลำดับที่ของแผนการเรียนรู้ 7.1.2) ระบุกลุ่มสาระการเรียนรู้ 7.1.3) ระบุชั้นที่จัดการเรียนรู้ 7.1.4) ระบุหัวข้อเรื่อง 7.1.5) ระบุเวลาที่ใช้จัดการเรียนรู้ 7.1.6) ระบุวันที่ เดือน ปี และช่วงเวลาในการจัดการเรียนรู้ 7.2) สาระสำคัญสาระสำคัญ คือ ข้อความที่เขียนเพื่อระบุให้เห็นแก่น หรือเห็นข้อสรุปที่ต้องการให้เกิดขึ้นกับผู้เรียนหลังจากเรียนรู้เรื่องใดเรื่องหนึ่ง ทั้งค้านเนื้อหา ความรู้
33 ด้านทักษะ และด้านเจตกติซึ่งขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของเรื่องที่นำเสนอสระสำคัญเป็นคำ ที่ใช้ในความหมายเดียวกับความคิดรวบยอด มโนทัศน์ และมโนคติ ขึ้นอยู่กับหน่วยงานหรือ ความนิยมใช้มีแนวการเขียนดังต่อไปนี้ 7.2.1) เขียนในลักษณะของการสรุปเนื้อหาความรู้ ทักษะ หรือ เจตคติที่เป็นเป้าหมายด้วยภายาที่รัดกุม และชัดเจน 7.2.2) เขียนในลักษณะความเรียงหรือเขียนเป็นข้อในกรณีที่การ จัดการเรียนรู้ครั้งนี้มีมากกว่า 1 สาระสำคัญ 7.2.3) การจัดการเรียนรู้ในระดับชั้นต้น ๆ ควรมีสาระสำคัญเดียว ในการเรียนรู้ครั้งหนึ่ง 7.3) ตัวชี้วัดตัวชี้วัด คือ ข้อความระบุคุณลักษณะค้านเนื้อหา กวามรู้ ทักษะ หรือด้านเจตกติที่ต้องการให้เกิดขึ้นกับผู้เรียน หลังจากที่ได้เรียนรู้เรื่องใดเรื่องหนึ่ง การเขียน จุดประสงค์ในแผนการจัดการเรียนรู้มีวิธีการเขียนหลายลักษณะแต่ โดยทั่วไปนิยมเขียนในลักษณะ ของจุดประสงค์เชิงพฤติกรรม หรือในลักษณะของจุดประสงค์ปลายทางและจุดประสงค์นำทาง ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้ 7.3.1) จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม (Bahavioral Objective) จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม คือจุดประสงค์ที่บ่งขี้ถึงพฤติกรรมที่ผู้เรียน สามารถแสดงออกหลังจากที่ได้ เรียนรู้ตามแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ครูกำหนดไว้ พฤติกรรมดังกล่าวต้องเป็นพฤติกรรมที่ ครูสังเกตได้อย่างชัดเจนจากการ ได้ยินและการมองเห็น จุดประสงค์เชิงพฤติกรรมที่สมบูรณ์ควรจะ ประกอบด้วยส่วนสำคัญ 3 ส่วน ได้แก่ สถานการณ์หรือเงื่อนไขที่ครูตั้งไว้(Condition) พฤติกรรมของ ผู้เรียนที่คาดหวังให้แสดงออก (Terninal Behavior) และเกณฑ์บ่งชี้ความสามารถของนักเรียนที่จะ แสดงพฤติกรรม (Crieria) 7.3.2) จุดประสงค์ปลายทางและจุดประสงค์นำทางจุดประสงค์ ปลายทางหรือตัวชี้วัด คือ ข้อความที่ระบุถึงสิ่งที่เป็นเป้าหมายสำคัญที่ต้องการให้เกิดขึ้นกับผู้เรียน หลังจากที่ได้เรียนรู้ในแต่แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ หรือแต่ละเรื่องลักษณะของจุคประสงค์ ปลายทางจะเป็นจุดประสงค์ที่ไม่เฉพาะเจาะจงถึงรายละเอียดของพฤติกรรมที่ผู้เรียนแสดงออก จุดประสงค์นำทาง คือ จุดประสงค์ย่อยที่แตกออกจากจุดประ สงค์ปลายทาง เพื่อแสดงให้เห็น พฤติกรรมที่ดาคหวังให้เกิดขึ้นกับผู้เรียน เมื่อผู้เรียนแสดงพฤติกรรมได้ตามกำหนดไว้ก็จะบรรลุตาม เป้าหมายของจัดประสงค์ปลายทาง จุดประสงค์นำทางนิยมเขียนในรูปแบบของจุดประสงค์เชิง พฤติกรรมแนวการเขียนจุดประสงค์
34 7.4) เนื้อหาเนื้อหาเป็นองค์ประกอบที่ทำให้ผู้จัดการเรียนรู้เห็นภาพของสิ่ง ที่จะต้องจัดการเรียนรู้โดยรวม อาจประกอบด้วย ทฤษฎี หลักการ วิธีการ ขั้นตอน หรือแนวปฏิบัติการ ระบุเนื้อหาในแผนการจัดการเรียนรู้มีแนวการเขียนดังต่อไปนี้ 7.4.1) เขียนให้สอดคล้องกับสาระสำคัญและจุดประสงค์ 7.4.2) กำหนดเนื้อหาของการจัดการเรียนรู้แต่ละครั้งให้เหมาะสม กับระยะเวลาวัยและความสามารถของผู้เรียน 7.4.3) เขียนเนื้อหาแบบย่อ โดยสรุปเป็นหัวข้อ หรือประเด็น หาก มีเนื้อหามากให้ทำเป็นใบความรู้ไว้กาคผนวกท้าขแผนการจัดการเรียนรู้ 7.4.4) เขียนเนื้อหาที่จะให้ผู้เรียนเรียนรู้ไว้ตามลำดับ หากแบ่งเป็น หัวข้อย่อยได้ควรแบ่งความชัดเจน 7.5) กิจกรรมการเรียนรู้กิจกรรมการเรียนรู้ กิจกรรมการเรียนรู้กิจกรรม การเรียนรู้ คือ สภาพการณ์ที่ครูออกแบบเพื่อนำเสนอเนื้อหา หรือการปฏิบัติให้ผู้เรียนเกิดการเรียน มีแนวเขียน ดังต่อไปนี้ 7.5.1) เขียนให้สอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้และเนื้อหา วิธีการหรือการปฏิบัติ 7.5.2) เขียนเป็นข้อกวามตามลำดับขั้นตอนของการจัดการเรียนรู้ หรือเขียนโดยแบ่งเป็นขั้นได้แก่ ขั้นน้ำเข้าสู่บทเรียน ขั้นดำเนินการจัดการเรียนรู้ และขั้นสรุปบทเรียน โคยเขียนเป็นข้อเรียงตามลำคับขั้นตอนของการจัดการเรียนรู้ในแต่ละขั้น หากขั้นใดมีกิจกรรมเดียวไม่ ต้องใส่เลขลำดับหัวข้อ 7.5.3) เขียนโดยระบุให้รู้ว่ากิจกรรมการเรียนรู้แต่ละขั้นใครเป็นผู้มี บทบาทผู้เรียนผู้จัดการเรียนรู้ หรือผู้จัดการเรียนรู้และผู้เรียนร่วมกันกระทำ เป็นต้น 7.5.4) ไม่ควรระบุรายละเอียดของคำพูดทั้งคำพูดและผู้จัดการ เรียนรู้และผู้เรียน 7.6 สื่อการเรียนรู้สื่อการเรียนรู้ คือ สิ่งที่เป็นตัวกลางที่ช่วยให้ผู้เรียนเกิด การเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป 7.6.1) ระบุสื่อให้สอดคล้องกับกิจกรรมการเรียนรู้ 7.6.2) ระบุเฉพาะสื่อที่ใช้จริงในการจัดการเรียนรู้ 7.6.3) ระบุชนิดและรายละเอียดของสื่อการเรียนรู้ เช่น ภาพ ยุงลาย แผนภูมิเพลงคุณธรรมสี่ประการ แถบบันทึกภาพและเสียงเรื่องชีวิตในบ้าน เป็นต้น 7.6.4) กรณีที่เป็นสื่อที่ใช้เพื่อทำกิจกรรมเป็นรายกลุ่มหรือ รายบุคคลให้ระบุจำนวนชิ้นต่อกลุ่มหรือต่อรายบุคคล
35 7.6.5) ไม่ควรระบุสิ่งที่มีคยู่แล้วคย่างถาวรให้คงเรียนว่าสื่อการ เรียนรู้ เช่น กระดานดำชอล์ก ดินสอ ปากกา เป็นต้น 7.7 การวัดและประเมินผลการเรียนรู้การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ เป็นการกระทำเพื่อตรวจสอบว่าผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามจุดประสงค์ที่กำหนดไว้หรือไม่ การวัดเป็น การรวบรวมข้อมูลโดยใช้เครื่องมือและวิธีการต่างๆเช่น การสังเกต การสัมภาษณ์ การสอบถาม การ ตรวจผลงาน และการทดสอบ เป็นต้นส่วนการประเมินผลเป็นการกำหนดคำหรือการตัดสินสิ่งที่วัด เช่น ผ่าน-ไม่ผ่าน, ดี-ปานกลาง-อ่อนหรือกำหนดค่าเป็นระดับ 4 3 2 1 0 เป็นต้น สรุปได้ว่า การเขียนแผนการจัดการเรียนรู้ เป็นภารกิจสำคัญของครูผู้สอน จำเป็นต้องฝึก เขียนให้ถูกต้องตามหลักการ โดยเรียงสำดับตามนี้ 1) ส่วนหัวเรื่อง 2) สาระสำคัญ 3)ตัวชี้วัด 4)เนื้อหา 5) กิจกรรมการเรียนรู้ 6) สื่อการเรียนรู้ และ 7) การวัดและการประเมินผลการเรีขนรู้ ซึ่งการที่ผู้สอน ได้เขียนแผ่นอย่างถูกต้องตามหลักการเขียนแผนการจัดการเรียนรู้แล้วย่อมช่วยให้เกิดความมั่นใจใน การสอน ทำให้สอนได้ครอบคลุมเนื้อหา สอนอย่างมีแนวทางและมีเป้าหมาย และเป็นการสอนที่ให้ คุณค่าแก่ผู้เรียน 2.7 ประเภทของแบบทดสอบการวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ประกิจ รัตนสุวรรณ (2525 : 210) ได้แบ่งประเภทของแบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ไว้ดังนี้ 1) แบบทดสอบที่ครูสร้างขึ้นใช้เอง ครูผู้สอนจัดสร้างขึ้นเพื่อวัดความก้าวหน้าของ นักเรียน ภายหลังจากได้มีการเรียนการสอนไประยะหนึ่งแล้วโดยปกติแบบทดสอบประเภทนี้ จะใช้ เฉพาะภายในกลุ่มนักเรียนที่ครูผู้ออกข้อสอบเป็นผู้สอน จะไม่นำไปใช้กับนักเรียนกลุ่มอื่นทั้งนี้ โดยมี จุดมุ่งหมายเพื่อตรวจสอบนักเรียน มีความรู้ความสามารถตามจุดมุ่งหมายของการเรียนรู้มากน้อย เพียงใดและจะนำผลการทดสอบนี้ไปใช้ทั้งปรับปรุงซ่อมเสริมการเรียนการสอนกับนำไปใช้ตัดสินผล การเรียนด้วยตัวอย่างแบบทดสอบที่ครูใช้ในการสอบปลายภาค หรือปลายปี หรือเมื่อสิ้นสุดการเรียน การสอนในแต่ละบทแต่ละตอนนั้นเอง 2) แบบทดสอบมาตรฐาน เป็นแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์เช่นเดียวกับแบบทดสอบที่ ครูสร้างขึ้นใช้เองแต่มีจุดมุ่งหมายเพื่อเปรียบเทียบการเรียนด้านต่าง ๆ ของนักเรียนที่ต่างกลุ่มกัน บุญชม ศรีสะอาด (2553 : 8-9) ได้แบ่งลักษณะของแบบทดสอบออกเป็น 2 ประเภทคือ 1) แบบทดสอบแบบอิงเกณฑ์ หมายถึง แบบทดสอบที่สร้างขึ้นตามจุดประสงค์เชิง พฤติกรรมมีคะแนนจุดตัดหรือคะแนนเกณฑ์ที่ใช้สำหรับตัดสินว่า ผู้เรียนมีความรู้ตามเกณฑ์ที่กำหนด ไว้หรือไม่ การวัดเพื่อให้ตรงตามจุดประสงค์ซึ่งเป็นหัวใจของข้อสอบในการทดสอบประเภทนี้
36 2) แบบทดสอบแบบอิงกลุ่ม หมายถึง แบบทดสอบที่สร้างเพื่อวัดให้ครอบคลุม หลักสูตร สร้างตามตารางวิเคราะห์หลักสูตร สามารถจำแนกผู้เรียนตามความเก่งอ่อนได้ การรายงาน ผลการสอบอาศัยคะแนนมาตรฐานซึ่งเป็นคะแนนที่สามารถวัดได้ ที่แสดงสถานภาพความสามารถของ บุคคล เมื่อเปรียบเทียบกับบุคคลอื่นที่ใช้เป็นกลุ่มเปรียบเทียบ ล้วน สายยศ และอังคณา สายยศ (2540 : 171-177) ได้แบ่งแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ได้เป็น 2 พวกคือ 1) แบบทดสอบของครู หมายถึง ชุดของคำถามที่ครูเป็นผู้สร้างขึ้นซึ่งเป็นข้อคำถาม เกี่ยวกับความรู้ที่นักเรียนได้เรียนในห้องเรียนว่านักเรียนมีความรู้มากแค่ไหน บกพร่องที่ตรงไหนจะได้ ซ่อมเสริม หรือวัดดูความพร้อมที่จะขึ้นบทเรียนใหม่ ตามแต่ครูปรารถนา 2) แบบทดสอบมาตรฐาน แบบทดสอบประเภทนี้สร้างขึ้นจากผู้เชี่ยวชาญในแต่ละ สาขาวิชาหรือจากครูผู้สอนวิชานั้น แต่ผ่านการทดลองคุณภาพหลายครั้งจนกระทั่งมีคุณภาพดีจึงสร้าง เกณฑ์ปกติของแบบทดสอบนั้น สามารถใช้เป็นหลักเปรียบเทียบผลเพื่อประเมินค่าของการเรียนการ สอนในเรื่องใด ๆ ก็ได้ จะใช้วัดอัตราความงอกงามของเด็กแต่ละวัยในแต่ละกลุ่มแต่ละภาคก็ได้ จะใช้สำหรับให้ครูวินิจฉัยผลสัมฤทธิ์ระหว่างวิชาต่าง ๆ ในเด็กแต่ละคนก็ได้ข้อสอบมาตรฐานนอกจาก จะมีคุณภาพของแบบทดสอบสูงแล้วยังมีมาตรฐานในด้านวิธีดำเนินการสอบ คือไม่ว่าโรงเรียนใด หรือ ส่วนราชการใดจะนำไปใช้ต้องดำเนินการสอบเป็นแบบเดียวกัน แบบทดสอบมาตรฐานจะมีคู่มือ ดำเนินการสอบบอกวิธีการสอบว่าทำอย่างไรและยังมีมาตรฐานในด้านการแปลคะแนน 2.7.1 กระบวนการสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน บุญเชิด ภิญโญอนันตพงษ์ (2540:21-30) ได้กล่าวถึง ขั้นตอนของกระบวนการสร้าง แบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไว้ ดังนี้ ขั้นที่ 1 การวางแผนสร้างแบบทดสอบพิจารณาถึงจุดประสงค์ของการนำ แบบทดสอบไปใช้การวางแผนสร้างแบบทดสอบว่าจะสร้างแบบทดสอบอะไรจำเป็นต้องเรียนรู้ เสียก่อนว่าเราจะนำแบบทดสอบไปใช้เพื่อทำอะไรหรือต้องทราบจุดประสงค์ของการนำแบบทดสอบ ไปใช้นั่นเองโดยหลักการแล้วการนำแบบทดสอบไปใช้จะสัมพันธ์อยู่กับการสอนเช่นการสอบ เพื่อตรวจสอบความรู้เดิมจะสอบก่อนการทำการสอนการสอบเพื่อปรับปรุงการเรียนการสอนและ วินิจฉัยข้อบกพร่องจะสอบในระหว่างดำเนินการสอนและการสอบเพื่อสรุปผลการเรียนจะสอบ หลังจากการสอนเสร็จสิ้นทั้งหมดแล้วดังนั้นจุดประสงค์ของการนำแบบทดสอบไปใช้อาจจำแนก เป็น 4 จุดประสงค์ดังนี้ 1) ใช้ตรวจสอบความรู้เดิมจะทำการสอบก่อนที่จะเริ่มต้นการสอนเมื่อพิจารณา 2) ใช้ตรวจสอบความก้าวหน้าและปรับปรุงการเรียนการสอน 3) ใช้วินิจฉัยผู้เรียน
37 4) ใช้สรุปผลการเรียน ขั้นที่ 2 การตระเตรียมงาน และเขียนข้อสอบ เมื่อวางแผนการสร้างแบบทดสอบ โดยการสร้างเป็นตารางวิเคราะห์หลักสูตรเรียบร้อยแล้ว ต้องเตรียมงาน และเขียนข้อสอบต่อไป ขั้นที่ 3 การทดลองสอบเมื่อเขียนข้อสอบ และจัดพิมพ์เรียบร้อย ก็นำไปทดลองสอบ ขั้นที่ 4 การประเมินผลแบบทดสอบ การประเมินผลแบบทดสอบเป็นการตรวจสอบ ว่าแบบทดสอบมีคุณภาพหรือไม่ โดยพิจารณาตามคุณลักษณะที่ดีของแบบทดสอบซึ่งมีอยู่ 10 ประการคือ 1) ความแม่นตรง หมายถึง แบบทดสอบสามารถวัดพฤติกรรมได้ตรงตามที่ ระบุไว้ในจุดประสงค์และตามที่ทำการสอนจริง 2)ความเชื่อมั่น หมายถึง แบบทดสอบให้ผลการสอบสอดคล้องตรงกันทุกครั้ง 3) อำนาจจำแนก หมายถึง ข้อสอบที่แบ่งแยกคนเก่งอ่อนออกจากกันได้ กล่าวคือคนเก่งจะตอบถูกคนอ่อนจะตอบผิด 4) ความยากง่าย หมายถึง จำนวนเปอร์เซ็นต์ผู้ตอบถูกทั่วไปแล้วความยาก ง่ายที่เหมาะสมจะมีจำนวนครึ่งหนึ่งตอบถูก 5)ความเป็นปรนัย หมายถึง ข้อสอบที่มีคำถามชัดเจนและการให้คะแนนชัดเจน 6) ความเฉพาะเจาะจง หมายถึง ข้อสอบที่มีคำถามชัดเจนและการให้ คะแนนชัดเจน 7) ประสิทธิภาพ หมายถึง แบบทดสอบที่ใช้นั้นประหยัดเวลาการสร้างการ ดำเนินการสอบการตรวจให้คะแนนแต่ให้ผลการสอบถูกต้อง 8) ความสมดุล หมายถึง แบบทดสอบสามารถวัดได้ครอบคลุมตาม จุดประสงค์และเนื้อหามีสัดส่วนจำนวนข้อสอบสอดคล้องตามตารางวิเคราะห์หลักสูตร 9) ความยุติธรรม หมายถึง แบบทดสอบมีความชัดเจนไม่คลุมเครือและเปิด โอกาสให้ทุกคนมีโอกาสที่จะตอบถูกได้เท่ากัน 10) ความเหมาะสมของเวลา หมายถึง แบบทดสอบได้กำหนดเวลาได้อย่าง เพียงพอในการตอบข้อสอบจนเสร็จ 2.7.2 ความหมายของผลลัมฤทธิ์ทางการเรียน มีนักการศึกษากล่าวถึงความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ดังนี้ กู๊ด (Good. 1973 : 7) ให้ความหมายของผลสัมฤทธิ์ไว้ว่า ผลสัมฤทธิ์ หมายถึง การทำให้สำเร็จ (Accomplishment) หรือประสิทธิภาพของการปฏิบัติในลักษณะที่กำหนดให้ หรือด้านความรู้
38 สมพร เชื้อพันธ์ (2547 : 53) สรุปว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ความสามารถ ความสำเร็จและสมรรถภาพด้านต่าง ๆ ของผู้เรียนที่ได้จากการเรียนรู้อันเป็นผลมาจากการเรียนการ สอน การฝึกฝนหรือประสบการณ์ของเเต่ละบุคคลซึ่งสามารถวัดได้จากการทดสอบด้วยวิธีการต่างๆ พิมพันธ์ เคชะคุปต์ และพยาว์ ยินดีสุข (2548 : 125) กล่าวว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหมายถึง ขนาดของความสำเร็จที่ได้จากกระบวนการเรียนการสอน ปราณี กองจินคา (2549 : 42) กล่าว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ความสามารถหรือ ผลสำเร็จที่ได้รับจากกิจกรรมการเรียนการสอนเป็นการเปลี่ยนเปลงพฤติกรรมและประสบการณ์ เรียนรู้ทางด้านพุทธิพิสัย จิตพิสัย และทักษะพิสัย และยังได้จำแนกผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไว้ตาม ลักษณะของวัตถุประสงค์ของการเรียนการสอนที่ตกต่างกัน เยาวคี วิบูลย์ศรี (2549 : 16) กล่าวว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ผลจากการเรียนรู้ที่ แต่ละคนได้ศึกษาเรียนรู้มาแล้วในอดีตหรือในปัจจุบัน โดยเป็นผลจากการประเมินความรู้ทางด้าน เนื้อหาวิชาการเป็นหลัก เน้นความตรงเชิงเนื้อหาที่มีตวามสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการศึกษา เป็นสำคัญ อุทุมพร จามรมาน (2549 : 15) กล่าวว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง เครื่องขึ้นความ สำเร็จในการจัดการศึกษาของหลักสูตรนั้น ๆ ซึ่งการจัดการศึกษาตามหลักสูตรต่างๆมีความเกี่ยวข้อง กับจุดมุ่งหมายของหลักสูตร เนื้อหาสาระ การจัดการเรียนรู้ และการวัดผลประเมินผลดังนั้น ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนจึงเป็นตัวชี้ความสำเร็จตามจุดมุ่งหมายเละเนื้อหาสาระที่เกี่ยวข้อง ชัชวาล รัตนสวนจิก (2550 : 51) กล่าวว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ผลสำเร็จในการ เรียนรู้ โดยใช้ความสามารถทางสติปัญญาที่ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ สามารถใช้ความรู้ความเข้าใจและ ความสามารถในการคิดเพื่อแก้ปัญหาที่คำหนดได้ นิ่มน้อย แพงปัสสา (2551 : 79) กล่าวว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง คุณลักษณะความรู้ ความสามารถ และมวลประสบการณ์ของบุคคล อันเป็นผลมาจากการจัดการเรียนรู้ และเป็นผลให้ บุคคลเกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในค้านต่างๆ ซึ่งตรวจสอบได้จากการวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ประทินรัตน์ นิยมสิน (2554 :18 - 19) กล่าวว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง การวัด ความรู้ความเข้าใจเนื้อหาสาระวิชาคณิตศาสตร์ และทักษะกระบวนการต่าง ๆ ทักษะการแก้ปัญหา ทักษะการให้เหตุผล ทักษะการคิดคำนวณ การนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ รวมถึงการวิเคราะห์ปัญหา หรือสถานการณ์ใหม่ จากความหมายตั้งกล่าวข้างต้นสรุปได้ว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหมายถึง ความสำเร็จที่ได้ จากกระบวนการเรียนการสอนการฝึกฝนหรือประสบการณ์ของแต่ละบุคคล ซึ่งสามารถวัดได้จากการ ทดสอบด้วยวิธีการต่าง ๆ โดยเป็นผลจากการประเมินความรู้ทางด้านเนื้อหาวิชาการเป็นหลักที่มีความ สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการศึกษาเป็นสำคัญ และเป็นเครื่องชี้ความ สำเร็จในการจัดการศึกษา
39 ของหลักสูตรนั้น ๆ ดังนั้นผสสัมฤทธิ์ทางการเรียนจึงเป็นตัวชี้ความสำเร็จตามจุดมุ่งหมายและเนื้อหา สาระที่เกี่ยวข้อง 2.7.3 การวัดและประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน นักการศึกษากล่าวถึงการวัดเละประมินผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ไว้ดังนี้ ชวลิต ชูกำแพง (2551 : 18) สรุปการวัดผลไว้ว่า การวัดผล (Mcasuremcn) เป็นกระบวนการ ในการกำหนดตัวเลขหรือปริมาณให้กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างมีกฎเกณฑ์โดยใช้เครื่องมือเช่น การใช้ แบบทดสอบของครูเพื่อวัดความสามารถทางสมองของเด็ก ใช้ตลับเมตรวัดความยาวของต้นไม้ เป็นต้นการวัดผลต้องอาศัยองค์ประกอบที่สำคัญ 3 ส่วน คือ 1) จุดมุ่งหมายของการวัด ว่าต้องการวัดอะไร ในสถานการณ์เช่นไรและวัดไปทำไม 2) เครื่องมือที่ใช้วัด เช่น แบบทดสอบ แบบสอบถาม การสังเกต สัมภาษณ์ 3) การแปลผลและการนำผลไปใช้ เช่น คะแนนสอบ ความสูง ความยาวการ ประเมินผล (Evaluation) เป็นกระบวนการตัดสินใจหรือตีค่าที่ได้จากการวัดผลโดยอาศัยเกณฑ์ เช่น วัดความสูงของคนได้ 190 เซนติเมตร ประเมินผลว่าเป็นคนสูงโดยใช้เกณฑ์ที่เป็นบรรทัดฐานคนไทย โดยการประเมินผลมีองค์ประกอบที่สำคัญ 4 ส่วน คือ 1) ประเมินในสิ่งที่ผู้เรียนเรียนรู้และสามารถทำได้ 2) เน้นวัตถุประสงค์ความหมายโดยตรงมากกว่าโดยอ้อม 3) ลักษณะหรือกิจกรรมมีลักษณะความเป็นจริงเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต 4) ใช้งานส่งเสริมความกว้างขวางมากกว่าคำตอบคำตอบเดียว ชนิษฎา อินนวล (2554 : 59) ได้กล่าวถึง การวัดผล คือ กระบวนการหรือเทคนิค วิธีการ อย่างได้อย่างหนึ่ง เพื่อตรวจสอบคุณลักยณะของบุคคล เพื่อให้ได้ข้อมูลจกนามธรรมให้ออกมาเป็น รูปธรรม ความหมายของการประเมินพัฒนาการ สรุปได้ว่า การวัดผล หมายถึง กระบวนการควรคกำหนดตัวเลขหรือสัญลักษณ์แทนปริมาณ หรือคุณภาพของคุณลักษณะของสิ่งของที่ต้องการวัดโดยสิ่งที่ต้องการวัดนั้น เป็นผลมาจากการกระทำ หรือกิจกรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือหลายอย่างร่วมกัน เช่น การวัดผลการเรียนรู้ สิ่งที่ต้องการวัดคือ ผลที่เกิดจากการเรียนรู้ของผู้เรียน 2.7.4 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน นักการศึกษากล่าวถึงแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ดังนี้ กาญจนา วัฒายุ (2545 : 173 - 174) ได้สรุปถึง แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ (AchievementTest) เป็นแบบทดสอบที่วัดความรู้ ทัดยะ และสมรรถภาพสมองค้านต่าง ๆ ที่ผู้เรียน ได้เรียนรู้มาแล้ว ได้แก่ แบบทดสอบความจำ ความเข้าใจ การนำไปใช้ การวิเคราะห์การประเมินค่า แบบทดสอบวัคผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ
40 1) แบบทดสอบที่ครูสร้างขึ้นเอง (Icacher - made Tcst) หมายถึง แบบทดสอบ ที่ครูสร้างขึ้น 2) แบบทดสอบมาตรฐาน (Standardize Test) หมายถึง แบบทคสอบที่มุ่งวัดผล สัมฤทธิ์ของผู้เรียนทั่วๆ ไป แบบทคสอบนี้ต้องผ่านการวิเคราะห์แล้วว่ามีคุณภาพดีและมีมาตรฐานใน การดำเนินการสอบ และมีมาตรฐานในวิธีการแปลความหมายคะแนน พิชิต ฤทธิ์จรูญ (2545 : 96) กล่าวว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง แบบทดสอบที่ใช้วัดความรู้ ทักษะ และความสามารถทางวิชาการที่นักเรียนได้เรียนรู้มาแล้ว ว่าบรรลุผลสำเร็จตามจุดประสงค์ที่กำหนดไว้เพียงใด สิริพร ทิพย์ตง (2545 : 193) กล่าวว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึงชุด คำถามที่มุ่งวัดพฤติกรรมการเรียนของนักเรียนว่ามีความรู้ ทักษะ และสมรรถภาพค้านสมองด้านต่าง ๆ ในเรื่องที่เรียนรู้ไปแล้วมากน้อยเพียงใด สมพร เชื้อพันธ์ (2547 : 59) กล่าวว่า แบบทตสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง แบบทดสอบหรือชุดของข้อสอบที่ใช้วัดความสำเร็จหรือความสามารถในการทำกิจกรรมการเรียนรู้ ของนักเรียนที่เป็นผลมาจากการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนของครูผู้สอนว่าผ่านจุดประสงค์การ เรียนรู้ที่ตั้งไว้เพียงใดแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ประเภทที่ครูสร้างมีหลายแบบ แต่ที่นิยม ใช้มี 6 แบบดังนี้ 1) ข้อสอบอัตนัยหรือความเรียง (Subjcctive or Essay Tes) เป็นข้อสอบที่มีเฉพาะ คำถามแล้วให้นักเรียนเขียนตอบอย่างเสรี เขียนบรรยายตามความรู้และเขียนข้อคิดเห็นของแต่ละคน 2) ข้อสอบแบบถูก-ผิด (Truc - Falsc Test) คือข้อสอบแบบเลือกตอบที่มี 2 ตัวเลือกแต่ตัวเลือกดังกล่าวเป็นแบบคงที่และมีความหมายตรงกันข้าม เช่น ถูก-ผิด ใช่-ไม่ใช่ จริง-ไม่ จริงเหมือนกัน-ต่างกัน เป็นต้น 3) ข้อสอบแบบเติมคำ (Completion Lest) เป็นข้อสอบที่ประกอบด้วยประโยค หรือข้อความที่ยังไม่สมบูรณ์แล้วให้ตอบเติมคำหรือประ โยค หรือข้อความลงในช่องว่างที่เว้นไว้นั้น เพื่อให้มีใจความสมบูรณ์และถูกต้อง 4) ข้อสอบแบบตอบสั้น ๆ (Short Answer Test) เป็นข้อสอบที่คล้ายกับข้อสอบ แบบเติมคำแต่แดกต่างกันที่ข้อสอบแบบตอบสั้น ๆ เขียนเป็นประโยตคำถามสมบูรณ์ (ข้อสอบเติมคำ เป็นประโยคหรือข้อความที่ยังไม่สมบูรณ์ แล้วให้ผู้ตอบเขียนตอบ คำตอบที่ต้องการ จะสั้นและ กะทัดรัดได้ใจความสมบูรณ์ไม่ใช่เป็นการบรรยายแบบข้อสอบอัตนัยหรือความเรียง 5) ข้อสอบแบบจับคู่ (Matching Test) เป็นข้อสอบแบบเลือกตอบชนิดหนึ่งโดยมีค่า หรือข้อความแยกออกจากกันเป็น 2 แล้วให้ผู้ตอบเถือกจับคู่ว่าแต่ละข้อความในชุดหนึ่งจะคู่กับคำ หรือข้อความใดในอีกชุดหนึ่งซึ่งมีความสัมพันธ์กันอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่ผู้ออกข้อสอบกำหนดไว้