41 6) ข้อสอบแบบเลือกตอบ (Muliple Choice Tes) คำถามแบบเลือกตอบโดยทั่วไป จะประกอบด้วย 2 ตอน คือ ตอนนำหรือคำถาม (Stem) กับตอนเลือก (Choice) ในตอนเลือกนั้น จะประกอบด้วยตัวเลือกที่เป็นตำตอบถูกและตัวเถือกลวง ปกติจะมีคำถามที่กำหนดให้นักเรียน พิจารณาแล้วหาตัวเลือกที่ถูกต้องมากที่สุดเพียงตัวเลือกเดียวจากตัวเลือกอื่น ๆ และคำถามแบบ เลือกตอบที่ดีนิยมใช้ตัวเลือกที่ใกล้เคียงกัน ดูเผิน ๆ จะเห็นว่าตัวเลือกถูกหมด แต่จริง ๆมีน้ำหนักถูก มากน้อยต่างกัน บุญชม ศรีสะ อาด (2556 : 53) กล่าวว่าแบบทคสอบวัดผลสัมฤทธิ์ (Achievement Test) หมายถึง แบบทดสอบที่ใช้วัดความรู้ความสามารถของบุคคลในด้านวิชาการ ซึ่งเป็นผลจากการเรียนรู้ ในเนื้อหาสาระและดามจุดประสงค์ของวิซาหรือเนื้อหาที่สอน โดยทั่วไปจะวัคผลสัมฤทธิ์ในวิชาต่าง ๆ อาจจำแนกออกเป็น 2 ประเภท คือ 1) แบบทดสอบอิงเกณฑ์ (Citerion Referenced Test) หมายถึง แบบทดสอบที่ สร้างขึ้นตามจุตประสงค์เชิงพฤติกรรม มีคะแนนจุดตัดหรือคะแนนเกณฑ์ สำหรับใช้ตัดสินว่าผู้สอบมี ความรู้ตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้หรือไม่ การวัดตรงตามจุดประสงค์เป็นหัวใจสำคัญของข้อสอบใน แบบทดสอบประเภทนี้ 2) แบบทดสอบอิงกลุ่ม (Nom - referenced Test) หมายถึง แบบทดสอบที่มุ่ง สร้างเพื่อวัดให้ครอบคลุมหลักสูตร จึงสร้างตามตารางวิเคราะห์หลักสูตร ความสามารถในการจำแนก ผู้สอบตามความเก่งอ่อน ได้ดีเป็นหัวใจสำคัญของข้อสอบประเกทนี้ การรายงานผลการสอบอาศัย คะแนนมาตรฐาน ซึ่งเป็นคะแนนที่สามารถให้ความหมายแสดงถึงสถานภาพความสามารถของบุคคล นั้นเมื่อเปรียบเทียบกับบุคคลอื่น ๆ ที่ใช้เป็นกลุ่มเปรียบเทียน โดยทั่วไปจะวัดผลสัมฤทธิ์ใบวิชาต่าง ๆ ที่เรียนตามโรงเรียน วิทยาลัย มหาวิทยาลัยหรือสถาบันการศึกษาต่าง ๆ และให้หลักการเกี่ยวกับการ สร้างแบบทดสอบชนิดเลือกตอบไว้ ดังนี้ (อรนุช ศรีสะอาค. 2547 : 39 - 60) 2.1) ควรถามในเรื่องที่มีคุณค่าต่อการวัด 2.2) เขียนตอนนำหรือตอนถามให้อยู่ในรูปของคำถาม 2.3) ตัวคำถามมีความหมายแจ่มชัด 2.4) คำตอบที่ถูกต้องเป็นคำตอบที่ถูกต้องตามหลักวิชาการ 2.5) คำตอบที่ถูกกับคำตอบที่ผิดไม่แตกต่างกันเด่นชัดจนเกินไป 2.6) แต่ละข้อจะต้องมีคำตอบที่ถูกที่สุดเพียงคำตอบเดียว 2.7) ตัวคำตอบที่ถูกต้อง จะต้องไม่มีลักบณะรูปแบบแตกต่างๆจากตัวลวง อื่น ๆ อย่างเห็นได้ชัด 2.8) ตัวลวงควรเป็นคำถามที่มีคุณค่าสำหรับเป็นตัวลวง 2.9) อย่าให้ตัวเลือกก้าวก่ายกัน
42 2.10) การใช้ตัวเลือกปลายเปิดควรใช้ให้เหมาะสม 2.11) ควรรียงลำคับตัวเลข หรือข้อความในตัวเลือกต่างๆ 2.12) ไม่ควรใช้คำฟุ่มเฟือย 2.13) ควรมีตัวเลือก 3,4 หรือ 5 ตัว ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับระดับของผู้สอบ 2.14) ถ้าจำเป็นต้องใช้คำถามแบบปฏิเสธ กวรขีดเส้นใต้หรือพิมพ์ตัวเอน หรือพิมพ์ด้วยตัวหนักๆ ตรงคำปฏิเสธนั้น 2.15) ควรออกให้เป็นรูปภาพให้มาก 2.16) ไม่ควรให้ตัวเลือกใดตัวเลือกหนึ่ง มีโอกาสถูกบ่อยจนเกินไป 2.17) ในการพิมพ์ข้อสอบควรแยกตอนถามกับตอนเถือกออกจากกันให้ชัดเจน 2.18) ควรถามในหลักวิชาการนั้นจริง สรุปได้ว่าแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง แบบทดสอบที่ใช้วัดความรู้ ความสามารถของผู้เรียนซึ่งเป็นผลจากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ในเนี้ยหาวิชาที่สอบนั้น การศึกษาใน ครั้งนี้ใช้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเป็นข้อสอบแบบเลือกตอบ ชนิด 4 ตัวเลือกที่เป็น แบบทดสอบอิงเกณฑ์และเป็นแบบทดสอบมาตรฐาน 2.8 ประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 2.8.1. การกำหนดเกณฑ์การหาประสิทธิภาพ การกำหนดเกณฑ์ E1 / E2 ให้มีค่าเท่าใด ควรกำหนดไว้ก่อนว่าในครั้งนี้ว่าจะให้มาตรฐาน หรือเกณฑ์มาตรฐานเท่าใด โดยยึดเกณฑ์ในการพิจารณากำหนดเกณฑ์มาตรฐาน ดังนี้ 2.8.1.1 เนื้อหาวิชาที่เป็นความรู้ ความจำ ควรตั้งเกณฑ์ให้สูงไว้ คือ 80/80, 85/85, 90/90 2.8.1.2 เนื้อหาวิชาที่เป็นทักษะหรือเจตคติ ควรตั้งเกณฑ์ให้ต่ำลงมาเล็กน้อย คือ 70/70, 75/75 แต่อาจตั้งเกณฑ์สูงกว่านี้ก็ได้ 2.8.2 การคำนวณหาประสิทธิภาพ การคำนวณหาประสิทธิภาพ คือ การหาค่าประสิทธิภาพของกระบวนการ (E1 ) และประสิทธิภาพของผลลัพธ์ (E2 ) ซึ่งมีแนวทางการคำนวณ ดังนี้ 2.8.2.1การคำนวณหาประสิทธิภาพของกระบวนการ (E1 ) (เผชิญ กิจระการ, 2544:49) สูตร E1 = ∑ X1 NxA x100 เมื่อ E1 คือ ประสิทธิภาพของกระบวนการ X1 คือ คะแนนรวมของแบบฝึกหัดหรือกิจกรรมในบทเรียน
43 A คือ คะแนนเต็มของแบบฝึกหัดหรือกิจกรรมในบทเรียน N คือ จำนวนผู้เรียน 2.8.2.2 การคำนวณหาประสิทธิภาพของผลลัพธ์ (E2 ) (เผชิญ กิจระการ, 2544:49) x100 NxB X E 2 2 = เมื่อ E2 คือ ประสิทธิภาพของผลลัพธ์ ∑ X1 คือ คะแนนรวมของแบบทดสอบหลังเรียน B คือ คะแนนเต็มขอแบบทดสอบหลังเรียน N คือ จำนวนผู้เรียน 2.8.3 การยอมรับประสิทธิภาพ 2.8.3.1 สูงกว่าเกณฑ์ คือ ตั้งเกณฑ์ E1 / E2 ไว้ แล้วได้ค่าประสิทธิภาพสูง กว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ เช่น ตั้งเกณฑ์มาตรฐานไว้ 70/70 แล้วคำนวณค่าประสิทธิภาพบทเรียน สำเร็จรูปได้ 75/75 2.8.3.2 เท่าเกณฑ์ คือ ตั้งเกณฑ์ E1 / E2 ไว้ แล้วได้ค่าประสิทธิภาพเท่ากับ เกณฑ์ที่ตั้งไว้พอดี เช่น ตั้งเกณฑ์มาตรฐานไว้ 75/75 แล้วคำนวณค่าประสิทธิภาพบทเรียนสำเร็จรูป ได้ 75/75 2.8.3.3 ต่ำกว่าเกณฑ์ คือ ตั้งเกณฑ์ E1 / E2 ไว้ แล้วได้ค่าประสิทธิภาพต่ำ กว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้ไม่เกิน +2.5% 2.9 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ใขรี่ยะ ม่าเหร็ม ( 2564 : บทคัดย่อ ) ได้ทำการวิจัยเรื่องการใช้แบบฝึกทักษะการ อ่านอัลกุลอานเบื้องต้นเพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียนอิสลามศึกษา ชั้นมัธยมศึกษาปี ที่5งานวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง อัลกุรอาน ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ก่อนเรียนและหลังเรียนโดยการใช้แบบฝึกทักษะการอ่านอัสกุนอานเบื้องตันกลุ่ม ตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาบีที่ 5/1 โรงเรียนกำแพงวิทยา อำเภอละ จังหวัดสตูล ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 จำนวน จำนวน 30 คน ใช้เวลาทดลองทั้งสิ้น 3 คาบ
44 คาบละ 50นาที เครื่องมือที่ใช้ในการวิจับครั้งนี้ประกอบด้วย 1.แผนการจัดการเรียนรู้ จำนวน 1 แผน 2. นวัตกรรมที่ใช้คือแบบฝึกทักษะการอ่านอัลกุรอานเบื้องตัน 3. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนรายวิชาอิสลามศึกษา การวิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าร้อยละ และค่าเฉสี่ย ผลการวิจัยสรุปได้ ดังนี้1. คะแนนหลังเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านกุรอานเบื้องตัน นักเรียนมีค่าเฉลี่ยเท่ากับและ มากกว่า ร้อยละ60 ทุกคน2. คะแนนก่อนเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านอัลกุรอานเบื้องต้น นักเรียนทำคะแนนสูงสุดได้ 8คะแนน คะแนนต่ำสุดได้ 0 คะแนน คะแนนเฉลี่ย 4.03 และหลังเรียน ด้วยการใช้แบบฝึกทักษะการอ่านอัลกุรอานเบื้องต้น นักเรียนทำคะแนนสูงสุตได้ 10 คะแนน และ คะแนนต่ำสุดได้ 6 คะแนนคะแนนเฉลี่ย 8.27 คะแนน แสดงให้เห็นว่าหลังการเรียนรู้โดยการใช้แบบ ฝึกทักษะการอ่านอัลกุรอานเบื้องต้น นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน วิไลลักษณ์ อินพุ่ม ( 2558 : บทคัดย่อ ) ได้ทำการวิจัยเรื่องการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ราชวิชาประวัติศาสตร์ เรื่อง พัฒนาการทาง ประวัติศาสตร์กับประเทศเพื่อนบ้าน ที่มีอาณาเขตติดต่อกับไทย ของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 6 ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80 / 80 และเพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ก่อนและหลังเรียน ด้วยแบบฝึกทักษะทางการเรียน สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6ประชากรที่ใช้ในการวิจัย เป็น นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ภาคเรียนที่ 2 / 2558 โรงเรียนบ้านปรือน้อย จำนวน 20 คน เครื่องมือที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบฝึกทักษะทางการเรียนที่ผู้วิจัย ได้จัดทำขึ้น และค้นคว้า มาจากอินเทอร์เน็ต สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละและค่าเฉลี่ยผลการวิจัยพบว่า 1.แบบฝึกทักษะทางการเรียน กลุ่มสาระการเรียนรู้ สังคมศึกยา ศาสนา และวัฒนธรรมรายวิชา ประวัติศาสตร์ เรื่อง พัฒนาการทางประวัติศาสตร์กับประเทศเพื่อนบ้าน ที่มีอาณาเขตติดต่อกับไทย ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่ผู้วิจัยจัดทำและคันคว้า มีประสิทธิภาพ 86.98/ 82.38ซึ่งเป็นไป ตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 2.ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 กลุ่มสาระ การเรียนรู้ สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ราชวิชาประวัติศาสตร์ เรื่อง พัฒนาการทาง ประวัติศาสตร์กับประเทศเพื่อนบ้านที่มีอาณาเขตติดต่อกับไทย สูงขึ้นร้อยละ 82.38 ซึ่งเป็นไปตาม เกณฑ์มาตรฐาน 80/80 ขวัญจิตร วิรัตน์จันทร์( 2562 : บทคัดย่อ ) ได้ทำการวิจัยเรื่องการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนวิชาสังคมศึกษาศาสนาและวัฒนธรรม สาระภูมิศาสตร์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่3/3 โรงเรียนวัดมณีจักร โดยใช้แบบฝึกทักษะการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อสร้างแบบฝึกทักษะทางการ เรียนวิชาสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม เรื่อง ภูมิศาสตร์ ของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 3/3 ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์80 /80 และเพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ก่อนและหลังเรียน ด้วยแบบฝึกทักษะการเรียนสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3/3ประชากรที่ใช้ในการวิจัย เป็น นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 33 ภาคเรียนที่ 2 / 2562โรงเรียนวัดผาสุกมณีจักร จำนวน 39 คน
45 เครื่องมือที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบฝึกทักษะการเรียน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละและค่าเฉลี่ยผลการวิจัยพบว่า1.แบบฝึกทักษะทางการเรียนวิชาสังคมศึกษา ศาสนา และ วัฒนธรรม เรื่อง ภูมิศาสตร์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3/3 ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นมีประสิทธิภาพ 86.98 / 87.00 ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 2.ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง ภูมิศาสตร์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกยาปีที่ 3/3 สูงขึ้นร้อยละ 87.16 ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 บุญเพ็ง ศิริกาล( 2559 : บทคัดย่อ )ได้ทำการวิจัยเรื่องการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาสังคมศึกษาศาสนาและวัฒนธรรม เรื่องศีลธรรมจริยธรรม ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านสงเปือยเหนือ โดยใช้แบบฝึกทักษะ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อสร้างแบบฝึกทักษะ ทางการเรียนวิชาสังคมศึกษาศาสนา และวัฒนธรรม เรื่องศาสนา ศีลธรรม จริยธรรม ของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 3 ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 และเพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ก่อนและหลังเรียนด้วยแบบฝึกทักษะการเรียน สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ประชากรที่ใช้ ในการวิจัย เป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่3 ภาคเรียนที่ 2/2559 โรงเรียนบ้านสงเปือยเหนือ จำนวน 21 คน เครื่องมือที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบฝึกทักษะการเรียน สถิติที่ใช้ในการ วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละและค่าเฉลี่ยผลการวิจัย1. แบบฝึกทักษะทางการเรียนวิชาสังคม ศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม เรื่องศาสนาศีลธรรม จริยธรรม ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นมีประสิทธิภาพ 86.98/87.00ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 2. ผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน เรื่องศาสนา ศีลธรรม จริยธรรม ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 สูงขึ้นร้อยละ 87.14 ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 พระมหาภาคภมิ ฐานิสฺสฺโร ( 2561 : บทคัดย่อ )ได้ทำการวิจัยเรื่องการพัฒนาทักษะการคิด วิเคราะห์โดยใช้แบบฝึกทักษะนิทานชาดกรายงิชาพระพุทธศาสนา ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่4 โรงเรียนวัดดอกไม้ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนวัดยานนาวา กรุงเทพมหานคร การวิจัยครั้งนี้ เป็นการวิจัยแบบเชิงทดลอง (Experimental Research) มีวัตถุประสงค์1) เพื่อพัฒนา แบบฝึกทักษะการคิดวิเคราะห์จากนิทานชาดกรายวิชาพระพุทธศาสนา ของนักเรียนชั้นประถมศึกษา ปีที่ 5 โรงเรียนวัดดอกไม้ เขตยานนาวา กรุงเทพมหานคร 2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์การคิด วิเคราะห์จากนิทานชาดกก่อนเรียนและหลังเรียน รายวิชาพระพุทธศาสนา ของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนวัดดอกไม้ เขตยานนาวา กรุงเทพมหานคร กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ครั้งนี้ ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ห้อง 4/1 จำนวนทั้งหมด30 คน ได้มาโดยวิธีการเลือก แบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบฝึกทักษะการคิดวิเคราะห์จ ากนิทานชาดก จำนวน 4 ชุด หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 เรื่อง หลักธรรมและการปฏิบัติตนตามคำสอนของพระพุทธศาสนา จำนวน 5 แผนการจัดการเรียนรู้ และแบบทดสอบทักษะการคิดวิเคราะห์ก่อนเรียนและหลังเรียน จำนวน 20 ข้อผลการวิจัยพบว่า1) ผลการศึกษาการพัฒนาแบบฝึกทักษะการคิดวิเคราะห์จากนิทานชาดกรายวิชา
46 พระพุทธศาสนา ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนวัดดอกไม้ เขตยานนาวา กรุงเทพมหานคร มีประสิทธิภาพ เนื้อหาต้องไม่ยาวเกินไปไม่สั้นเกินไป ใช้ภาษาที่สละสลวย อ่านแล้ว เกิดความรู้ความเข้าใจนำไปสู่กระบวนการคิดวิเคราะห์ได้อย่างเป็นระบบ เกิดแรงบันดาลใจในการ อ่านสามารถบอก สรุป อธิบาย เรื่องที่อำนได้อย่างเป็นขั้นตอน เชื่อมโยงกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ได้2) การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์การคิดวิเคราะห์จากนิทานชาดกก่อนเรียนและหลังเรียนรายวิชา พระพุทธศาสนา ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนวัดดอกไม้ เขตยานนาวา กรุงเทพมหานคร หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 เรื่อง หลักธรรมและการปฏิบัติตนตามคำสอนของ พระพุทธศาสนา ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ก่อนเรียนมีคำาเฉลี่ย เมื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์การคิด วิเคราะห์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .05ผลการวิจัยโดย ภาพรวม พบว่า ผู้เรียนมีความสนใจอยากรู้อยากเห็นในเนื้อหาที่เรียนมากขึ้น สามารถแยกแยะลำดับ เนื้อหาได้ดี ผลสัมฤทธิ์การคิดวิเคราะห์ทางการเรียนของนักเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน แสดงว่า การจัดการเรียนรู้โดยใช้ชุดแบบฝึกทักษะการคิดวิเคราะห์จากนิทานชาดกสามารถพัฒนาทักษะการ คิดวิเคราะห์ของนักเรียนได้จริง ณิชกมล ร่มโพธิ์ ( 2563 : บทคัดย่อ )ได้ทำการวิจัยเรื่องการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาสังคมศึกษาของนักเรียนขั้นประถมศึกษาปีที่ 5โดยใช้แบบฝึกทักษะพัฒนาการเรียนรู้เรื่อง ความสำคัญของพระพุทธศาสนาผู้จัดทำได้หาแบบฝึกทักษะพัฒนาการเรียนรู้ ไปทดลองกับนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 จำนวน 29 คน ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2563ผลการวิจัยจากการศึกษา และวิเคราะห์การประเมินความคิดเห็นในการทำแบบทดสอบส่งเสริมทักษะสำหรับนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 5 แสดงให้เห็นว่า โดยรวมอยู่ในระดับเหมาะสมมาก โดยระดับคะแนนเฉลี่ยก่อนการ วิจัย (x̅) ได้5.15 คะแนน และหลังจากการใช้แบบฝึกทักษะมาช่วยในการสอนทำให้ระดับคะแนน เฉลี่ยหลังการวิจัย (x̅) ได้ 8.60คะแนน ซึ่งเพิ่มขึ้นถึง 3.45 คะแนน คิดเป็นคะแนนที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 66.99%พบว่าแบบทดสอบพัฒนาการเรียนรู้ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่ผู้จัดทำได้ทำขึ้น นี้ สามารถช่วยพัฒนาการเรียนรู้ในด้านต่าง ๆให้นักเรียนได้รับประโยชน์ สนุกสนานเพลิดเพลิน นักเรียนจับหลักการในเนื้อหา นิกร ไชยบุตร( 2563 : บทคัดย่อ )ได้ทำการวิจัยเรื่องการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา สัคมศึกษาขอนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่โดยใช้แบบฝึกทักษะการเรียนรู้สาระเศรษศาสตร์ ประจำปี การศึกษา 2563 การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อสร้างแบบฝึกทักษะทางการเรียนวิชาสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม สาระเศรษฐศาสตร์ ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 6 ที่มีประสิทธิภาพ และ เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ก่อนและหลังเรียนด้วยแบบฝึกทักษะการเรียน สำหรับ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6ประชากรที่ใช้ในการวิจัย เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ภาคเรียน ที่2/2563 โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 31 จำนวน 120 คน เครื่องมือที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูล
47 ได้แก่ แบบฝึกทักษะการเรียน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละและค่าเฉลี่ยผลการวิจัย พบว่า1. แบบฝึกทักษะทางการเรียนวิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม สาระ เศรษฐศาสตร์ของ นักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นมีประสิทธิภาพ2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาสังคม ศึกษา ศาสนาและ วัฒนธรรม สาระ เศรษฐศาสตร์ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 6 สูงมากขึ้น กิตติยา คุ่มเครายม และอารีย์ วุฒิจันทร์ ( 2564 : บทคัดย่อ ) ได้ทำการวิจัยเรื่องการพัฒนา ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิซาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม สาระภูมิศาสตร์เรื่อง ลักษณะและ การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ ของนักเรียนขั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้แบบฝึกทักษะทางการเรียน โรงเรียนธิดาแม่พระการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อสร้างแบบฝึกทักษะทางการเรียนวิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม เรื่อง ลักษณะและการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษา ปีที่ 4 ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80 / 80 และเพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ก่อนและ หลังเรียนด้วยแบบฝึกทักษะการเรียน สำหรับนักเรียนขั้นประถมศึกษาปีที่ 4/4ประชากรที่ใช้ในการ วิจัย เป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4/4 ภาคเรียนที่ 2 / 2564 โรงเรียนธิดาแม่พระ จำนวน 21 คน เครื่องมือที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบฝึกทักษะการเรียน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละและค่าเฉลี่ยผลการวิจัยพบว่า1.แบบฝึกทักษะทางการเรียนวิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม เรื่อง ลักษณะและการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4/4 ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นมีประสิทธิภาพ 86.98 /87.00 ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/802.ผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน เรื่อง ลักษณะและการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ ของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4/4 สูงขึ้นร้อยละ 87.14 ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 ชลิดา กรชนกธนรงค์( 2564 : บทคัดย่อ ) ได้ทำวิจัยเรื่องรายงานการใช้แบบฝึกทักษะเรื่อง หลักธรรมทางพระพุทธศาสนา(พระรัตนตรัย) กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม (สาระที่ 1 ศาสนา ศีลธรรม จริยธรรม) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่5การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ เรื่อง หลักธรรมทางพระพุทธศาสนา ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ระหว่างก่อนและหลังการใช้แบบฝึกทักษะ เรื่อง หลักธรรมทางพระพุทธศาสนาปรากฏผลว่าผลสัมฤทธิ์ในการเรียน เรื่อง หลักธรรมทาง พระพุทธศาสนา สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนแคมป์สนวิทยาคม ก่อนและหลังการใช้ แบบฝึกทักษะ แตกต่างกัน ค่าเฉลี่ยของคะแนนการทดสอบก่อนการใช้ แบบฝึกทักษะ ได้ค่าเฉลี่ย 5.20 ส่วนคะแนนการทดสอบหลังการใช้แบบฝึกทักษะ เฉลี่ย 10.40 แสดงว่าคะแนนเฉลี่ยหลังการใช้ แบบฝึกทักษะ สูงกว่าคะแนนเฉลี่ยก่อนการใช้แบบฝึกทักษะ ซึ่งหมายความว่าหลังจากที่ได้ใช้แบบฝึก ทักษะ เรื่อง หลักธรรมทางพระพุทธศาสนา แล้วนักเรียนได้คะแนนสูงขึ้นซึ่งผลการวิเคราะห์ข้อมูลนั้น เป็นไปตามสมมุติฐานที่ตั้งไว้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง หลักธรรมทางพระพุทธศาสนา ของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5โรงเรียนแคมป์สนวิทยาคม ก่อนใช้แบบฝึกทักษะ มีค่าเท่ากับ 52 มีค่าเฉลี่ย 5.20 และหลังการใช้แบบฝึกทักษะ มีค่าเท่ากับ 104 มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ10.40 ค่าเฉลี่ย
48 เพิ่มขึ้น 42 คิดเป็นร้อยละ 42เมื่อพิจารณารายคน พบว่า ทุกคนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเพิ่มขึ้นไม่ น้อยกว่า ร้อยละ 20 ตามเกณฑ์คุณภาพความสำเร็จที่กำหนดไว้ แสดงว่า แบบฝึกทักษะ เรื่อง หลักธรรมทางพระพุทธศาสนา ส่งเสริมให้นักเรียนมีความรู้ความเข้าใจ เรื่อง หลักธรรมทาง พระพุทธศาสนา สูงขึ้นจริง ซึ่งผลการวิเคราะห์ข้อมูลเป็นไปตามสมมติฐานที่ตั้งไว้จริง มะลิ ชีถนอม ( 2559)ได้ทำวิจัยเรื่องการใช้แบบฝึกทักษะพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม เรื่องพุทธ ประวัติ ของนักเรียนชันประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียน อนุบาลเบตงสุภาพอนุสรณ์สรุปผลการวิจัย1. จากการจัดกิจกรรม เรื่องพุทธประวัติ นักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 2 ได้คะแนนเฉลี่ยจากการทำแบบทดสอบก่อนและหลังเรียนได้คะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 172.29 จากคะแนนเต็ม 10 คะแนน และการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่นักเรียนทำคะแนนได้มากที่สุด คือ ชุดที่ 2 ได้คะแนนเฉลี่ย 7.94และการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่มีคะแนนต่างชุดที่ 1ได้คะแนนเฉลี่ย 7.56 ผลรวมประสิทธิภาพทั้ง 2 ครั้ง มีค่าเฉลี่ยร้อยละ 77.70ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ที่ตั้งไว้2. จากการจัด กิจกรรม เรื่องพุทธประวัติ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปี ที่ 2 ประสิทธิภาพ กระบวนการของแผนการ จัดการเรียนรู้ (E1 ที่การจัดกิจกรรม มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 23.27 คิดเป็นร้อยละ 77.57และประสิทธิภาพ ของของการจัดกิจกรรมเรื่องพุทธประวัติ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปี ที่ 2 มีค่าเฉลี่ย 8.59 คิดเป็นร้อย ละ 85.90 ดังนั้นการจัดกิจกรรมจึงมีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 3. จากการจัดกิจกรรมเรื่องพุทธประวัติ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปี ที่ 2 โรงเรียนอนุบาลเบตงสุภาพอนุสรณ์ ดัชนีประสิทธิผลของการเรียน ด้วยการจัดกิจกรรมเรื่องพุทธประวัติ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปี ที่ 2 มีค่าเท่ากับ 0.6910หมายความ ว่า คะแนนการทดสอบหลังเรียนของนักเรียนเพิ่มขึ้นจากการทดสอบก่อนเรียนคิดเป็นร้อยละ 69.10
49 2.10 กรอบแนวคิดในการวิจัย ในการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ศึกษาหลักการ การใช้ชุดแบบฝึกทักษะและประโยชน์ของแบบฝึก ทักษะเพื่อนำมากำหนดเป็นกรอบแนวคิดในการวิจัยจัดการเรียนรู้ โดยใช้แบบฝึกทักษะเป็นการจัด กิจกรรมการสอนแบบการใช้แบบฝึกทักษะโดยใช้แผนการสอนเรียนรู้วิชาเศรษฐศาสตร์เรื่องการผลิต และการแข่งขันทางการค้าโดยใช้แบบฝึกทักษะโดยมีการจัดการทดสอบก่อนเรียนเก็บคะแนนระหว่าง เรียนและได้มีการสอบท้ายบทเรียนเมื่อพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะข้างต้นจะทำ ให้เกิดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ที่ดีขึ้นในเนื้อหาการศึกษาที่กำหนดไว้ ดังแสดงในภาพ ภาพที่ 1 กรอบแนวคิดในการวิจัย ตัวแปรต้น ตัวแปรตาม แผนการเรียนรู้วิชาเศรษฐศาสตร์ เรื่องการผลิตและการแข่งขันทาง การค้าโดยใช้แบบฝึกทักษะ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา เศรษฐศาสตร์ เรื่องผลิตและ การแข่งขันทางการค้าของ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่3 โรงเรียนอนุบาลอุดรธานี
50 บทที่3 วิธีการดำเนินวิจัย การวิจัยครั้งนี้ เรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สาระวิชาเศรษฐศาสตร์ เรื่อง การผลิตและการแข่งขันสินค้า ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โดยใช้แบบฝึกทักษะผู้วิจัย ได้ดำเนินการเป็นขั้นตอนตามลำดับ ดังนี้ 3.1 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 3.2 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 3.3 การสร้างและการหาคุณภาพเครื่องมือ 3.4 การเก็บรวบรวมข้อมูล 3.5 การวิเคราะห์ข้อมูล 3.6 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล 3.1 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 1) ประชากร ประชากรที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่3 ที่กำลังศึกษา ในปีการศึกษา 2566 ภาคเรียนที่ 1 โรงเรียนอนุบาลอุดรธานีอำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานีจำนวน 11 ห้องเรียน รวม 462 คน 2) กลุ่มตัวอย่าง กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือเป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3/4โรงเรียนอนุบาล อุดรธานี อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานีจำนวน 11 ห้องเรียน รวม 44 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 3.2 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ประกอบด้วย 1) ชุดการสอน เรื่อง การผลิตและการแข่งขันสินค้า จำนวน 8 ชุด ชุดที่ 1 แบบทดสอบก่อน เรียนชุดที่ 2 เรื่องการผลิตและการบริโภคสินค้าและบริการ1 ชุดที่ 3 การผลิตและการบริโภคสินค้า และบริการ2 ชุดที่ 4 ปัญหาพื้นฐานทางเศรษฐกิจและทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด1 ชุดที่ 5 ปัญหา พื้นฐานทางเศรษฐกิจและทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด2 ชุดที่ 6 เรื่องการแข่งขันทางการค้า1 ชุดที่ 7 เรื่องการแข่งขันทางการค้า2 และชุดที่ 8 แบบทดสอบหลังเรียน 2) แผนการจัดการเรียนรู้สาระวิชาเศรษฐศาสตร์ เรื่องการผลิตและการแข่งขันสินค้า ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่3 โดยใช้แบบฝึกทักษะ จำนวน 8 แผน รวม 8 ชั่วโมง
51 3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องการผลิตและการแข่งขันสินค้า ของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่3 ชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นจำนวน 30 ข้อ ต้องใช้จริง 20 ข้อ 3.3 การสร้างและหาคุณภาพเครื่องมือ ผู้วิจัยได้กำหนดขึ้นตอนในการสร้างเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยดังนี้ 1) จัดทำชุดแบบฝึกทักษะ เรื่องการผลิตและการแข่งขันสินค้า จำนวน 8 ชุด ชุดละ 1 ชั่วโมง รวม 8 ชั่วโมง 2) สร้างแบบประเมินคุณภาพของชุดแบบฝึกทักษะโดยใช้ข้อคำถามแบบมาตราส่วน ประมาณค่า (Rating Scale) ตามวิธีการของ Likert ซึ่งมี 5 ระดับ 3) สร้างข้อคำถามแบบประเมินคุณภาพของชุดการสอนจำนวน 15 ข้อ 4) นำชุดการสอนที่สร้างขึ้นไปให้ผู้เชี่ยวชาญจำนวน 3 ท่าน ประเมินคุณภาพ ของ ชุดการสอน เพื่อขอคำแนะนำในส่วนที่บกพร่อง และนำมาปรับปรุงแก้ไขให้เหมาะสมยิ่งขึ้น ซึ่ง ผู้เชี่ยวชาญด้านการสอนวิชาสังคมศึกษา ประกอบด้วย 5) นำคะแนนที่ได้จากการประเมินจากผู้เชี่ยวชาญมาวิเคราะห์ โดยใช้เกณฑ์ของ บุญ ชม ศรีสะอาด ดังนี้ ค่าเฉลี่ย ระดับความคิดเห็น 4.50 – 5.00 หมายถึง เหมาะสมมากที่สุด 3.50 – 4.49 หมายถึง เหมาะสมมาก 2.50 – 3.49 หมายถึง เหมาะสมปานกลาง 1.50 – 2.49 หมายถึง เหมาะสมน้อย 1.00 – 1.49 หมายถึง เหมาะสมน้อยที่สุด 6) พิมพ์ผลแบบประเมินคุณภาพชุดการสอน 7) หาค่าความเชื่อมั่นของชุดการสอน โดยใช้สัมประสิทธิ์แอลฟา (Alpha Coeffient) ตามวิธีของครอนบาค ได้ค่าความเชื่อมั่น 0.91 3.3.1 แผนการจัดการเรียนรู้ แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้ชุดการสอน ผู้วิจัยได้ดำเนินการสร้างแผนการจัดการเรียนรู้ ดังนี้ 1)ศึกษาและวิเคราะห์แนวคิด ทฤษฎีเกี่ยวกับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะ 2) ศึกษาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระ การ เรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม คู่มือครู หนังสือเรียนวิชาสังคมศึกษา ชั้นประถมศึกษาปีที่3 และหลักสูตรสถานศึกษาของโรงเรียน
52 3) วิเคราะห์มาตรฐานการเรียนรู้ ตัวชี้วัด และสาระการเรียนรู้ หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 เรื่องการผลิตและการแข่งขันสินค้า 4) กำหนดกิจกรรมการเรียนการสอน สื่อการสอน การประเมินผล โดยให้สอดคล้อง กับ เนื้อหาและจุดประสงค์การเรียนรู้โดยใช้ชุดการสอน 5) จัดทำแผนการจัดการเรียนรู้ สาระเศรษฐศาสตร์เรื่องการผลิตและการแข่งขัน สินค้า โดยใช้แบบฝึกทักษะ เรื่อง จำนวน 8 ชั่วโมง ใช้เวลา 8 ชั่วโมง ซึ่งมีสาระการเรียนรู้ ดังนี้ 5.1) แผนการจัดการเรียนรู้ที่1 แบบทดสอบก่อนเรียน จำนวน 1 ชั่วโมง 5.2) แผนการจัดการเรียนรู้ที่2เรื่องการผลิตและการบริโภค สินค้าและบริการ1 จำนวน 1 ชั่วโมง 5.3) แผนการจัดการเรียนรู้ที่3เรื่องการผลิตและการบริโภค สินค้าและบริการ2 จำนวน 1 ชั่วโมง 5.4) แผนการจัดการเรียนรู้ที่4เรื่องปัญหาพื้นฐานทางเศรษฐกิจ และทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด1 จำนวน 1 ชั่วโมง 5.5) แผนการจัดการเรียนรู้ที่5เรื่องปัญหาพื้นฐานทางเศรษฐกิจ และทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด2 จำนวน 1 ชั่วโมง 5.6) แผนการจัดการเรียนรู้ที่6เรื่องการแข่งขันทางการค้า1 จำนวน 1 ชั่วโมง 5.7) แผนการจัดการเรียนรู้ที่7 เรื่องการแข่งขันทางการค้า2 จำนวน 1 ชั่วโมง 5.8) แผนการจัดการเรียนรู้ที่8แบบทดสอบหลังเรียน จำนวน 1 ชั่วโมง ซึ่งแต่ละแผนการจัดการเรียนรู้ ประกอบด้วย ชื่อแผนการจัดการเรียนรู้ตัวชี้วัด สาระสำคัญ จุดประสงค์การเรียนรู้ สาระการเรียนรู้ กระบวนการจัดการการเรียนรู้สื่อและแหล่งเรียนรู้ การวัด ประเมินผลการเรียนรู้ 6) นำแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้ผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่าน เพื่อประเมินคุณภาพของ แผนการจัดการเรียนรู้ ให้คำแนะนำเกี่ยวกับรูปแบบ เนื้อหา กิจกรรม จุดประสงค์ และการวัด ประเมินผลเพื่อตรวจสอบความสอดคล้องระหว่างข้อคำถามกับจุดประสงค์ โดยใช้ดัชนีความ สอดคล้อง (IOC) ระหว่างข้อสอบกับจุดประสงค์การเรียนรู้ โดยมีเกณฑ์การให้คะแนน ดังนี้ ให้คะแนน 1 เมื่อแน่ใจว่าข้อสอบข้อนั้นวัดตามจุดประสงค์การเรียนรู้ ให้คะแนน 0 เมื่อไม่แน่ใจว่าข้อสอบข้อนั้นวัดตามจุดประสงค์การเรียนรู้
53 ให้คะแนน -1 เมื่อแน่ใจว่าข้อสอบข้อนั้นไม่ได้วัดตามจุดประสงค์การเรียนรู้ 7) นำผลการประเมินมาวิเคราะห์หาค่าดัชนีความสอดคล้อง ซึ่งดัชนีความสอดคล้อง ได้ค่าเท่ากับ 1.00 30 แผน ถือว่าแผนการจัดการเรียนรู้นั้นมีคุณภาพสามารถนำไปสอนได้ 8) นำแผนการจัดการเรียนรู้มาปรับปรุงแก้ไขเป็นฉบับสมบูรณ์และนำไปใช้กับกลุ่ม ตัวอย่าง 3.3.2 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องการผลิตและการแข่งขันสินค้า ที่ผู้วิจัย สร้างขึ้น เป็นแบบทดสอบชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก โดยครอบคลุมเนื้อหาและตัวชี้วัดในแต่ละ แผนการจัดการ เรียนรู้ จำนวน 20 ข้อ ผู้วิจัยได้ดำเนินการสร้างตามขั้นตอน ดังนี้ 3.3.2.1) ศึกษาเอกสารและหลักสูตร คู่มือครู สาระการเรียนรู้ สังคมศึกษา ศาสนาและ วัฒนธรรม รายวิชาเศรษฐศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 และการสร้างและ หาคุณภาพเครื่องมือของ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ชนิดปรนัย 4 ตัวเลือก 3.3.2.2) วิเคราะห์สาระการเรียนรู้แกนกลางและตัวชี้วัด โดย พิจารณาจากความสำคัญ ของตัวชี้วัดให้ครอบคลุมเนื้อหา เรื่อง ศาสนาอื่น ๆ ในประเทศไทย 3.3.2.3) สร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องการ ผลิตและการแข่งขันสินค้า ชนิดปรนัย 4 ตัวเลือก จำนวน 30 ข้อ 3.3.2.4) นำแบบทดสอบไปให้ผู้เชี่ยวชาญจำนวน 3 ท่าน ตรวจสอบ ความถูกต้องเชิงเนื้อหา(Content Validity) โดยใช้ค่าดัชนีความสอดคล้อง ระหว่างข้อคำถามกับ จุดประสงค์การเรียนรู้(Index of Item - Objective Congruence: IOC) (ล้วน สายยศ และอังคณา สายยศ, 2543: 249) โดยมีเกณฑ์การให้คะแนน ดังนี้ ให้คะแนนเป็น +1 หมายถึง ตรงหรือสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ ให้คะแนนเป็น 0 หมายถึง ไม่แน่ใจ ให้คะแนนเป็น -1 หมายถึง ไม่ตรงหรือไม่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ 3.3.2.5) นำคะแนนมาหาค่าดัชนีความสอดคล้องของข้อคำถามกับ วัตถุประสงค์ (Index of Item - Objective Congruence: IOC) 3.3.2.6) นำแบบทดสอบมาปรับปรุงแก้ไขและเลือกข้อสอบที่ต้อง ใช้จริง จำนวน 20 ข้อ แล้ว นำไปทดลองใช้กับกับนักเรียนที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่าง เพื่อนำข้อมูลมา วิเคราะห์หาค่าความยากง่าย (p)พบว่า มีค่าอยู่ระหว่าง 0.43 ถึง 0.75 และค่าอำนาจจำแนก (r) มีค่า อยู่ระหว่าง 0.33 ถึง 0.88
54 3.3.2.7) นำผลที่ได้จากการทดสอบมาวิเคราะห์แบบทดสอบราย ข้อ และนำข้อสอบ ไปคำนวณหาค่าความเชื่อมั่น โดยใช้สูตรของคูเดอร์-ริชาร์ดสัน (Kuder Richardson) สูตร KR-20 ได้ค่าความเชื่อมั่น เท่ากับ 0.91 3.3.2.8) นำแบบทดสอบที่ปรับปรุงแก้ไขแล้ว ไปใช้ทดลองกับกลุ่ม ตัวอย่าง เพื่อใช้เป็นแบบทดลองก่อนเรียนและหลังเรียนฉบับจริง 3.4 การรวบรวมข้อมูล ผู้ค้นคว้าได้ดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูล ดังนี้ 1) ชี้แจงวัตถุประสงค์ 2) ทดสอบก่อนเรียน โดยใช้แบบทดสอบก่อนและหลังเรียนกับกลุ่มตัวอย่าง 3) เริ่มคำเนินการสอน โดยใช้แผนการจัดการเรียนรู้และ ชุดฝึกทักษะที่สร้างขึ้น ใช้เวลาทั้งหมด จำนวน 8 ชั่วโมง โดยใช้แบบฝึกทักษะ ทั้งหมด จำนวน 8 ชุด 4) เมื่อสอนเสร็จแต่ละแผนการจัดการเรียนรู้ จะมีการประเมินผลโดยใช้ชุดฝึก 5) เมื่อทดลองใช้ชุดฝึกทักษะจนครบทั้ง 8 ชุดฝึกแล้ว ก็ทดสอบหลังเรียน โดยใช้ แบบทดสอบก่อนและหลังเรียนชุดเดิม 3.5 การวิเคราะห์ข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูลการจัดการเรียนรู้สาระเศรษฐศาสตร์ โดยใช้แบบฝึกทักษะ เรื่องการผลิต และการแข่งขันสินค้า ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนอนุบาลอุดรธานี ผู้วิจัยได้ ดำเนินการ ดังนี้ 1) หาคุณภาพของชุดการสอนจากการประเมินของผู้เชี่ยวชาญจากแบบสอบถาม มาตราส่วน ประมาณค่า 5 ระดับ โดยการหาค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 1.1) เกณฑ์การให้คะแนนคุณภาพของแบบฝึกทักษะ เหมาะสมมากที่สุด กำหนดให้ 5 คะแนน เหมาะสมมาก กำหนดให้ 4 คะแนน เหมาะสมปานกลาง กำหนดให้ 3 คะแนน เหมาะสมน้อย กำหนดให้ 2 คะแนน เหมาะสมน้อยที่สุด กำหนดให้ 1 คะแนน 1.2) นำผลประเมินที่ได้มาหาค่าเฉลี่ย โดยยึดเกณฑ์การตัดสิน ดังนี้ 4.50 – 5.00 หมายถึง เหมาะสมมากที่สุด 3.50 – 4.49 หมายถึง เหมาะสมมาก
55 2.50 – 3.49 หมายถึง เหมาะสมปานกลาง 1.50 – 2.49 หมายถึง เหมาะสมน้อย 1.00 – 1.49 หมายถึง เหมาะสมน้อยที่สุด 2) หาประสิทธิภาพของชุดการสอนตามเกณฑ์ 80/80 โดยใช้สูตร E1/E2 3) หาค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าร้อยละ ที่ได้จากการทดสอบวัด ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสาระเศรษฐศาสตร์โดยใช้ชุดการสอน เรื่องการผลิตและการแข่งขันสินค้า ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 4) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสาระเศรษฐศาสตร์โดยใช้แบบฝึกทักษะ เรื่องการผลิตและการแข่งขันสินค้า ระหว่างคะแนนก่อนเรียนและหลังเรียน โดยใช้สูตร t-test (Dependent Sample) 3.6 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล 1) สถิติที่ใช้ในการตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือ 1.1) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ผู้วิจัยได้วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้วิธีทาง สถิติ ดังนี้ 1.1.1) ความเที่ยงตรงของเนื้อหา (Content Varidity) โดยการให้ ผู้เชี่ยวชาญตรวจ พิจารณาแล้วนำผลมาคำนวณด้วยสูตรของ โรวิเนลลี (Rovinelli) และแฮมเบิลตัน (Hambleton) (บุญชม ศรีสะอาด. 2543: 63–65) ดังนี้ สูตร IOC = ΣR N เมื่อ IOC แทน ดัชนีความสอดคล้องระหว่างคำถามกับจุดประสงค์ ∑R แทน ผลรวมของคะแนนความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญทั้งหมด N แทน จำนวนผู้เชี่ยวชาญ
56 1.1.2) ค่าความยาก (P) ตามสัดส่วนของผู้ตอบถูกโดยใช้สูตร ดังนี้ (สมนึก ภัททิยธนี. 2544: 214) สูตร P = R N เมื่อ P แทน ค่าความยากง่ายของข้อสอบ R แทน จำนวนนักเรียนที่ตอบถูก N แทน จำนวนนักเรียนที่สอบทั้งหมด 1.1.3) ค่าอำนาจจำแนก (B) โดยใชดัชนีบี (B- index) ตามวิธีของเบ รนแนน (Brennan) ดังนี้ (สมนึก ภัททิยธนี. 2544: 216) สูตร B = U n1 − L n2 เมื่อ B แทน ค่าอำนาจจำแนก n1 แทน จำนวนผู้รอบรู้หรือสอบผ่านเกณฑ์ n2 แทน จำนวนผู้ไม่รอบรู้หรือสอบไม่ผ่านเกณฑ์ U แทน จำนวนผู้รอบรู้หรือสอบผ่านเกณฑ์ที่ตอบถูกต้อง L แทน จำนวนผู้ไม่รอบรู้หรือสอบไม่ผ่านเกณฑ์ที่ถูกต้อง 1.1.4) การหาค่าความเชื่อมั่น (Reliability) ของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการ เรียน โดยใช้วิธีของ Lovett Mothod โดยใช้สูตร ดังนี้ (สมนึก ภัททิยธนี. 2544: 230) สูตร rcc = 1 − KΣxi−ΣXⅈ 2 (k−1)Σ(xi−c) 2 เมื่อ rcc แทน ความเชื่อมั่นของแบบทดสอบทั้งฉบับ K แทน จำนวนข้อสอบ xⅈ แทน คะแนนของนักเรียนแต่ละคน C แทน คะแนนเกณฑ์หรือจุดตัดของแบบทดสอบ
57 2) ค่าสถิติพื้นฐาน 2.1) สถิติพื้นฐาน ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 2.1.1 ร้อยละ (Percentage) ใช้สูตร (บุญชม ศรีสะอาด. 2545: 101) สูตร P = f n × 100 เมื่อ P แทน ค่าร้อยละ f แทน ความถี่ที่ต้องการแปลงให้เป็นร้อยละ n แทน จำนวนผู้เรียน 2.1.2) ค่าเฉลี่ย (Mean) ใช้สูตร (บุญชม ศรีสะอาด. 2545: 102) สูตร x̅ Σx n เมื่อ ̅แทน ค่าเฉลี่ย ∑x แทน ผลรวมของคะแนนทั้งหมดในกลุ่ม n แทน จำนวนคนในกลุ่ม 2.1.3) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) ใช้สูตร (บุญชม ศรี สะอาด. 2545: 103) สูตร S. D. √n∑x 2−(Σx) 2 n(n−1) เมื่อ S.D. แทน ส่วนเบี่ยงเบน ∑x 2 แทน ผลรวมของคะแนนแต่ละข้อยกกำลังสอง แทน ผลรวมของคะแนนทั้งหมดยกกำลังสอง n แทน จำนวนคนในกลุ่มตัวอย่าง (∑)
58 2.2) ค่าสถิติพื้นฐาน 2.2.1) ค่าประสิทธิภาพของชุดการสอนสาระวิชาเศรษฐศาสตร์เรื่อง การ ผลิตและการแข่งขันสินค้าของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ใช้สูตร ดังต่อไปนี้ 2.2.1.1 การคำนวณหาประสิทธิภาพของชุดการสอนตามเกณฑ์ 80/80 สูตรที่ใช้ใน การหาค่าประสิทธิภาพ E1 มีสูตร ดังนี้ (อรนุช ลิมตศิริ. 2544: 174) สูตร E1 = Σx N A × 100 หรือ E1 = x̅ A × 100 เมื่อ E1 แทน ประสิทธิภาพของกระบวนการจัดการเรียนรู้ที่เกิดจาก ระหว่าง เรียน Σx แทน ผลรวมของคะแนนที่ได้จากการวัดผลระหว่างเรียน N แทน จำนวนผู้เรียน ̅แทน ของคะแนนที่ได้จากการวัดระหว่างเรียน A แทน จำนวนเต็มจากการวัดผลระหว่างเรียน 2.2.1.2 การคำนวณหาประสิทธิผลของแบบทดสอบตามเกณฑ์ 80/80 สูตรที่ใช้ในการ หาค่าประสิทธิผล E2 มีสูตร ดังนี้ (อรนุช ลิมตศิริ. 2544: 174) สูตร E2 = ΣY N B × 100 หรือ E2 = Y̅ B × 100 เมื่อ E2 แทน ประสิทธิภาพของผลลัพธ์ ได้จากคะแนนเฉลี่ยของการทำ แบบทดสอบหลังเรียนของผู้เรียนทั้งหมด ∑Y แทน ผลรวมของคะแนนที่ได้จากการทดสอบหลังเรียน N แทน จำนวนผู้เรียน Y̅แทน ค่าเฉลี่ยของคะแนนที่ได้จากการทดสอบหลังเรียน B แทน จำนวนเต็มจากการทดสอบหลังเรียน
59 3) สถิติที่ใช้ทดสอบสมมติฐาน 3.1) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์สาระพระพุทธศาสนา เรื่อง ศาสนาอื่น ๆ ในประเทศ ไทย ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่3/4 โดยใช้ชุดการสอนระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน โดยใช้ สถิติทดสอบที แบบ t – test (Dependent Samples) ใช้สูตรดังนี้ (บุญชม ศรีสะอาด. 2545: 112) สูตร t = ΣD √n∑D2 − (ΣD) 2 n − 1 เมื่อ t แทน ค่าสถิติที่ใช้เปรียบเทียบกับค่าวิกฤตในการแจกแจงแบบ t D แทน ผลต่างคะแนนสอบก่อนเรียนและหลังเรียน n แทน จำนวนผู้เรียนทั้งหมดของกลุ่มตัวอย่าง
60 บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล การวิจัยเรื่อง การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การผลิตและการแข่งขันสินค้า วิชาเศรษฐศาสตร์ โดยใช้แบบฝึกทักษะ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนอนุบาลอุดรธานี มีวัตถุประสงค์เพื่อจัดทำแผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง การผลิตและการแข่งขันสินค้า วิชาเศรษฐศาสตร์ โดยใช้แบบฝึกทักษะ ของนักเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนอนุบาลอุดรธานี สำหรับการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนให้มีประสิทธิภาพ 80/80 เพื่อเปรียบเทียบและวิเคราะห์ ผลสัมฤทธิ์การเรียน เรื่อง การผลิตและการแข่งขันสินค้าวิชาเศรษฐศาสตร์ โดยใช้แบบฝึกทักษะ ของ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนอนุบาลอุดรธานี ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน ตอนที่ 1 ผลการวิเคราะห์ผลการใช้แบบฝึกทักษะ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนอนุบาลอุดรธานีสำหรับการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนให้มีประสิทธิภาพ 80/80 ตอนที่ 2 เปรียบเทียบและวิเคราะห์ผลสัมฤทธิ์การเรียน เรื่อง การผลิตและการแข่งขันสินค้า วิชาเศรษฐศาสตร์ โดยใช้แบบฝึกทักษะ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนอนุบาลอุดรธานี ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน 4.1 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล ผลการวิเคราะห์ข้อมูล สรุปผลข้อมูลการวิเคราะห์ในส่วนต่างๆ มีรายละเอียดดังต่อไปนี้ ตอนที่ 1 ผลการวิเคราะห์ผลการใช้เศรษฐศาสตร์ โดยใช้แบบฝึกทักษะ ของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนอนุบาลอุดรธานี80/80 ผู้วิจัยได้นำแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะ หน่วยการเรียนรู้เรื่อง เรื่อง การผลิต และการแข่งขันสินค้าวิชาเศรษฐศาสตร์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนอนุบาลอุดรธานี ตามเกณฑ์ 80/80 ทำการทดลองกับนักเรียนกลุ่มตัวอย่าง โดยนำแผนการจัดการเรียนรู้ที่เรียนโดยใช้ แบบฝึกทักษะ หน่วยการเรียนรู้เรื่อง เรื่อง การผลิตและการแข่งขันสินค้า วิชาเศรษฐศาสตร์ของ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนอนุบาลอุดรธานี ประกอบด้วยแผนการจัดการเรียนรู้ทั้งหมด จำนวน 6 แผน คือ 1) แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 เรื่อง เรื่องการผลิตและการบริโภคสินค้าและบริการ 1 2) แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 2 เรื่อง เรื่องการผลิตและการบริโภคสินค้าและบริการ2 3) แผนการ จัดการเรียนรู้ที่ 3 เรื่อง ปัญหาพื้นฐานทางเศรษฐกิจและทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด1 4) แผนการ จัดการเรียนรู้ที่ 4 เรื่อง ปัญหาพื้นฐานทางเศรษฐกิจและทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด2 5) แผนการ จัดการเรียนรู้ที่ 5 เรื่อง การแข่งขันทางการค้า1 6) แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 6 เรื่อง การแข่งขันทาง การค้า2 มาใช้สอนจนครบทุกแผนและทำการประเมินผู้เรียนโดยใช้แบบฝึกหัดที่ทำในกิจกรรมการ
61 เรียนการสอน และทำแบบทดสอบหลังเรียน จำนวน 20 ข้อ จากนั้นผู้ทำวิจัยได้นำผลการทดสอบของ นักเรียนรายบุคคลมาวิเคราะห์หาประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะ แสดงผลการวิเคราะห์ข้อมูล ดังตารางที่ 1 ตารางที่ 1 ผลการวิเคราะห์ประสิทธิภาพของแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะ หน่วยการเรียนรู้เรื่อง การผลิตและการแข่งขันสินค้า วิชาเศรษฐศาสตร์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษา ปีที่ 3 โรงเรียนอนุบาลอุดรธานี เลขที่ ผลการวัด ก่อนเรียน (20) ผลการวัดระหว่างเรียน (E1 ) ผลการวัด หลังเรียน (20) (E2 ) แผน ที่ 1 (10) แผน ที่ 2 (10) แผน ที่ 3 (10) แผน ที่ 4 (10) แผน ที่ 5 (10) แผน ที่ 6 (10) รวม (60) (E1 ) 1 5 8 10 8 9 9 9 53 16 2 4 8 10 9 9 9 10 55 18 3 4 8 8 8 9 9 9 51 18 4 6 9 10 9 10 8 10 56 17 5 4 9 10 10 9 9 10 57 15 6 5 8 9 8 10 9 9 53 15 7 6 8 10 10 10 10 10 58 20 8 7 8 10 8 8 8 8 50 15 9 7 8 10 8 8 8 8 50 15 10 7 8 10 9 8 10 8 53 17 11 8 8 8 8 8 8 10 50 18 12 9 8 10 9 9 10 10 56 18 13 7 8 10 8 10 8 9 53 17 14 7 8 8 8 8 8 8 48 15 15 7 8 8 9 9 9 10 53 19 16 6 8 9 10 8 10 9 54 14 17 6 8 10 9 9 9 8 53 17
62 ตารางที่ 1 ผลการวิเคราะห์ประสิทธิภาพของแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะ หน่วยการเรียนรู้เรื่อง การผลิตและการแข่งขันสินค้า วิชาเศรษฐศาสตร์ ของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนอนุบาลอุดรธานี(ต่อ) เลขที่ ผลการวัด ก่อนเรียน (20) ผลการวัดระหว่างเรียน (E1 ) ผลการวัด หลังเรียน (20) (E2 ) แผน ที่ 1 (10) แผน ที่ 2 (10) แผน ที่ 3 (10) แผน ที่ 4 (10) แผน ที่ 5 (10) แผน ที่ 6 (10) รวม (60) (E1 ) 18 5 8 8 9 8 9 10 52 16 19 7 9 10 9 9 8 9 54 16 20 7 9 8 9 9 9 9 53 18 21 6 9 8 9 9 8 9 52 15 22 6 7 9 9 8 9 9 51 18 23 5 6 8 9 10 8 8 49 17 24 4 7 8 9 9 9 9 51 16 25 3 8 8 9 9 9 9 52 19 26 3 6 7 8 9 9 9 48 18 27 4 8 8 8 9 9 10 52 18 28 8 9 10 9 9 9 9 55 18 29 9 9 9 9 9 9 9 54 20 30 8 9 8 9 8 10 10 54 20 31 8 10 9 9 9 9 9 55 17 32 8 7 9 9 8 8 9 50 17 33 6 9 8 8 9 9 9 52 18 34 7 9 8 9 9 9 9 53 18 35 6 9 8 9 9 8 9 52 15 36 6 7 9 9 8 9 9 51 18 37 5 8 9 8 8 8 8 49 15 38 7 9 9 9 8 7 9 51 16 39 8 9 8 8 9 9 9 52 17
63 ตารางที่ 1 ผลการวิเคราะห์ประสิทธิภาพของแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะ หน่วยการเรียนรู้เรื่อง การผลิตและการแข่งขันสินค้า วิชาเศรษฐศาสตร์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษา ปีที่ 3 โรงเรียนอนุบาลอุดรธานี(ต่อ) เลขที่ ผลการ วัดก่อน เรียน (20) ผลการวัดระหว่างเรียน (E1 ) ผลการวัดหลัง เรียน (20) (E2 ) แผน ที่ 1 (10) แผน ที่ 2 (10) แผน ที่ 3 (10) แผน ที่ 4 (10) แผน ที่ 5 (10) แผน ที่ 6 (10) รวม (60) (E1 ) 40 8 7 8 8 9 8 8 48 17 41 9 8 9 8 8 9 8 50 18 42 9 9 10 9 9 9 9 55 20 40 8 7 8 8 9 8 8 48 17 43 9 10 8 8 8 9 8 51 19 44 9 9 8 8 9 9 9 52 18 285 360 281 386 386 387 397 2300 755 x̅ 6.48 8.18 8.84 8.66 8.77 8.80 9.02 52.27 17.16 S.D. 1.70 0.87 0.91 0.61 0.64 0.70 0.70 2.46 1.57 % 32.39 81.82 88.41 86.59 87.73 87.95 90.23 87.11 85.79 ประสิทธิภาพกระบวนการ (E1 ) = 87.11 ประสิทธิภาพกระบวนการ (E2 ) = 85.79 จากตารางที่ 1 ผลการวิเคราะห์ประสิทธิภาพของแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้แบบ ฝึกทักษะ หน่วยการเรียนรู้เรื่อง การผลิตและการแข่งขันสินค้า วิชาเศรษฐศาสตร์ ของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนอนุบาลอุดรธานีเท่ากับ 52.27 คิดเป็นร้อยละ 87.11 และทำคะแนน เฉลี่ยจากการทำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียน เท่ากับ 17.16 คิดเป็นร้อยละ 85.79 ดังนั้น การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อง การรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ วิชาเศรษฐศาสตร์ โดยใช้แบบฝึกทักษะ ของนักเรียนชั้นประถมมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนอนุบาลอุดรธานี ที่ผู้วิจัยได้พัฒนาขึ้นมีประสิทธิภาพสูงกว่าเกณฑ์ 80/80
64 ตารางที่ 2 ประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะการผลิตสินค้าและการ แข่งขันสินค้า วิชาเศรษฐศาสตร์ ของนักเรียนชั้นประถมมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนโรงเรียนอนุบาล อุดรธานี จำนวนนักเรียน (N) คะแนนระหว่างเรียน (E1 ) คะแนนวัดผลสัมฤทธิ์หลังเรียน (E2 ) คะแนน เต็ม คะแนน เฉลี่ย ( ) ร้อย ละ (%) คะแนน เต็ม คะแนน เฉลี่ย ( ) ร้อยละ (%) 44 60 52.27 87.11 20 17.16 85.79 จากตารางที่ 2 แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะ หน่วยการเรียนรู้เรื่อง การผลิต และการแข่งขันสินค้า วิชาเศรษฐศาสตร์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนอนุบาลอุดรธานี มีค่าประสิทธิภาพ เท่ากับ 87.11/85.79 แสดงว่าแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะ ที่ผู้วิจัย พัฒนาขึ้นมีประสิทธิภาพเพิ่มสูงขึ้น ตอนที่ 2 เปรียบเทียบและวิเคราะห์ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อง การผลิตและการแข่งขัน สินค้า วิชาเศรษฐศาสตร์ โดยใช้แบบฝึกทักษะ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนอนุบาล อุดร ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน ผู้วิจัยได้นำคะแนนผลสัมฤทธิ์ก่อนเรียนและหลังเรียน เรื่อง การผลิตและการแข่งขันสินค้า วิชาเศรษฐศาสตร์ โดยใช้แบบฝึกทักษะ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนอนุบาลอุดรธานี จำนวน 44 คน คะแนนเต็ม 20 คะแนน มาวิเคราะห์หาค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ดังแสดงในตารางที่ 3 ตารางที่ 3 คะแนนเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของผลสัมฤทธิ์ก่อนเรียน และหลังเรียน เรื่อง การ ผลิตและการแข่งขันสินค้า วิชาเศรษฐศาสตร์ โดยใช้แบบฝึกทักษะของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี เลขที่ คะแนนทดสอบ D D 2 ก่อนเรียน (20) หลังเรียน (20) 1 5 16 11 121 2 4 18 14 196 3 4 18 14 196 4 6 17 11 121 5 4 15 11 121
65 ตารางที่ 3 คะแนนเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของผลสัมฤทธิ์ก่อนเรียน และหลังเรียน เรื่อง การ ผลิตและการแข่งขันสินค้า วิชาเศรษฐศาสตร์ โดยใช้แบบฝึกทักษะของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี(ต่อ) เลขที่ คะแนนทดสอบ D D 2 ก่อนเรียน (20) หลังเรียน (20) 6 5 15 10 100 7 6 20 14 196 8 7 15 8 64 9 7 15 8 64 10 7 17 10 100 11 8 18 10 100 12 9 18 9 81 13 7 17 10 100 14 7 15 8 64 15 7 19 12 144 16 6 14 8 64 17 6 17 12 144 18 5 16 8 64 19 7 16 11 121 20 7 18 11 121 21 6 15 9 81 22 6 17 11 121 23 5 17 12 144 24 4 16 12 144 25 3 19 16 256 26 3 18 15 225 27 4 18 14 196 28 8 18 10 100
66 ตารางที่ 3 คะแนนเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของผลสัมฤทธิ์ก่อนเรียน และหลังเรียน เรื่อง การ ผลิตและการแข่งขันสินค้า วิชาเศรษฐศาสตร์ โดยใช้แบบฝึกทักษะของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี(ต่อ) เลขที่ คะแนนทดสอบ D D 2 ก่อนเรียน (20) หลังเรียน(20) 29 9 20 11 121 30 8 20 12 144 31 8 17 9 81 32 8 17 9 81 33 6 18 12 144 34 7 18 11 121 35 6 15 9 81 36 6 16 12 144 37 5 17 10 100 38 7 17 9 81 39 8 18 9 81 40 8 20 9 81 41 9 18 9 81 42 9 20 11 121 43 9 19 10 100 44 9 18 9 81 ค่าเฉลี่ย 6.48 17.16 - - S.D. 1.70 1.57 - - จากตารางที่ 3 พบว่า นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การผลิต และการแข่งขันสินค้า วิชาเศรษฐศาสตร์ โดยใช้แบบฝึกทักษะ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนอนุบาลอุดรธานีมีคะแนนเฉลี่ยก่อนเรียน เท่ากับ 6.48 และคะแนนเฉลี่ยหลังเรียน
67 เท่ากับ 17.16 คะแนนเฉลี่ยหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนและ ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานก่อนเรียน เท่ากับ 1.70 ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานหลังเรียน เท่ากับ 1.57 ตารางที่ 4 คะแนนเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบทีแบบไม่อิสระของผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียน เรื่อง การค้าและการแข่งขันสินค้า วิชาเศรษฐศาสตร์ โดยใช้ใช้แบบฝึกทักษะ ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนอนุบาลอุดรธานี ก่อนเรียนและหลังเรียน การทดสอบ Mean S.D. Df t sig ก่อนเรียน 6.48 1.70 43 36.11* 0.000 หลังเรียน 17.16 1.57 ***มีนัยสำคัญทางสถิติระดับ.05 จากตารางที่ 4 พบว่า คะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ที่เรียนรู้โดยแบบฝึกทักษะ นักเรียนมีคะแนนเฉลี่ยก่อนเรียน เท่ากับ 6.48 นักเรียนมีคะแนนเฉลี่ยหลัง เรียนเท่ากับ 17.16 และมีคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
68 บทที่ 5 สรุปผล อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ ในการวิจัยครั้งนี้ เป็นการศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อง การผลิตและการแข่งขันสินค้า วิชาเศรษฐศาสตร์ โดยใช้แบบฝึกทักษะ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนอนุบาลอุดรธานี มีวัตถุประสงค์คือ 1) เพื่อสร้างแบบฝึกทักษะทางการเรียนวิชาสังคมศึกษาศาสนาและวัฒนธรรม เรื่อง การผลิตและการแข่งขันสินค้า ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ห้อง 4 ที่มีประสิทธิภาพ 80/80 2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน เรื่องการผลิตและการ แข่งขันสินค้า โดยใช้แบบฝึกทักษะการเรียนสำหรับนักเรียนประถมศึกษาปีที่ 3 ห้อง 4 ระหว่างก่อน เรียนและหลังเรียนที่กำลังศึกษาในปีการศึกษา 2566 จำนวน 1 ห้อง จำนวน 44 คน ได้มาโดยเลือก แบบเจาะจง นวัตกรรม คือ แบบฝึกทักษะ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง การผลิตและการแข่งขันสินค้า วิชาเศรษฐศาสตร์ โดยใช้แบบฝึกทักษะ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปี ที่ 3 โรงเรียนอนุบาลอุดรธานี จำนวน 8 แผน 8 ชั่วโมง และแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การผลิตและการค้า วิชาเศรษฐศาสตร์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนอนุบาล อุดรธานีเป็นแบบปรนัยชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือกจำนวน 20 ข้อ ค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับ เท่ากับ 0.77 ซึ่งมีความเชื่อมั่นสูง วิเคราะห์ข้อมูลโดยหาค่า E 1 / E 2 ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่า t-dependent 5.1 สรุปผลการวิจัย 1) การหาประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง การผลิตและการแข่งขัน วิชาเศรษฐศาสตร์ โดยใช้แบบฝึกทักษะ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนอนุบาลอุดรธานี มีประสิทธิภาพ 87.11/85.79 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ 2) ผลการเปรียบเทียบและวิเคราะห์ผลสัมฤทธิ์การเรียน เรื่อง การผลิตและการแข่งขันสินค้า วิชาเศรษฐศาสตร์ โดยใช้แบบฝึกทักษะ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนอนุบาลอุดรธานี มีค่าเฉลี่ยหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 5.2 อภิปรายผล จากผลการวิจัยเรื่องการศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อง การผลิตและการแข่งขัน วิชาเศรษฐศาสตร์ โดยใช้แบบฝึกทักษะ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนอนุบาลอุดรธานี อภิปรายผลได้ดังต่อไปนี้
69 รายงานผลการพัฒนาแบบฝึกทักษะทางการเรียนวิชาเศรษฐศาสตร์กลุ่มสาระสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม เรื่อง การผลิตและการแข่งขันสินค้าของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ โรงเรียน อนุบาลอุดรธานี โดยการใช้แบบฝึกทักษะทางการเรียน มีข้อค้นพบที่นํามาอภิปรายผลได้ดังนี้ 1. แบบฝึกทักษะทางการเรียนวิชาเศรษฐศาสตร์กลุ่มสาระสังคมศึกษา ศาสนา และ วัฒนธรรม เรื่อง การผลิตและการแข่งขันสินค้า ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นมีประสิทธิภาพ เท่ากับ ร้อยละ 87.11/85.79หมายความว่า นักเรียนได้คะแนนเฉลี่ยจากการทําแบบฝึกทักษะทั้ง 6 ชุด คิดเป็นร้อยละ 87.11 และนักเรียนได้คะแนนเฉลี่ยจากแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียน คิดเป็นร้อยละ 85.50 แสดงว่าแบบฝึกทักษะทางการเรียนวิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม เรื่อง การผลิตและการแข่งขันสินค้า ที่ผู้รายงานสร้างขึ้นมีประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 ซึ่งเป็นไปตามสมมุตติฐานที่ตั้งไว้สอดคล้องกับผลการศึกษาของ กาญจนาพร หอศิลาชัย พบว่า แบบ ฝึกทักษะที่สร้างขึ้นมีประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 ทั้งนี้อาจเนื่องมาจาก แบบฝึกทักษะที่ ผู้รายงานสร้างขึ้น ได้ผ่านขั้นตอน กระบวนการสร้างอย่างมีระบบมีการศึกษา รายละเอียดเกี่ยวกับ การสร้างแบบฝึกจากเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ศึกษาหลักสูตร แผนการ สอน เนื้อหา จุดประสงค์การเรียนรู้ กิจกรรมการเรียนรู้การวัดผลและประเมินผล และผ่านการ ทดสอบจาก ผู้เชี่ยวชาญ ตรวจสอบด้านคุณภาพและความเหมาะสมของแบบฝึกทักษะ แบบทดสอบ ก่อนและหลัง เรียนเพื่อให้มีความเหมาะสมมากยิ่งขึ้น สามารถนําไปใช้ในการสอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะ แบบฝึกที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นมานั้นเหมาะสมกับวัยของผู้เรียน ที่ผู้เรียนเองสามารถ เข้าใจได้ง่าย มี ภาพประกอบให้ผู้เรียนได้ระบายสีตามที่ตนชอบและผู้เรียนได้ทักษะด้านการคิด วิเคราะห์ทําให้ผู้เรียน เกิดความสนใจในรายวิชาเศรษฐศาสตร์1. นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 มีพัฒนาการของผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน เรื่องการผลิตและการแข่งขันสินค้าคิดเป็นร้อยละ 87.11 ตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 ที่ตั้งไว้แสดงว่านักเรียนที่เรียนด้วย การใช้แบบฝึกทักษะ สามารถพัฒนาทักษะทางการเรื่อง การผลิต และการแข่งขันทางการค้าได้ดีทําให้มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้น อาจเป็นเพราะว่า แบบฝึกทักษะ และแผนการจัดการเรียนรู้ที่ผู้รายงานสร้างขึ้น ได้มีขั้นตอนการสร้างตามหลักและแนวทางในการ จัดทําเป็นอย่างดีผ่านการตรวจและแก้ไขจาก ผู้เชี่ยวชาญทางด้านวิชาเศรษฐศาสตร์สาระสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ดังนั้น เนื้อหาสาระ จุดประสงค์กิจกรรมต่าง ๆ ตลอดจนรูปแบบวิธีการของ แบบฝึกทักษะ มีความเหมาะสมกับระดับของ นักเรียน จากสาเหตุดังกล่าวทําให้นักเรียนกลุ่มตัวอย่าง มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้น ซึ่งสอดคล้อง กับผลการศึกษาของ ปราณีกองจินดา2 เรื่อง “การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์และ ทักษะการคิดเลขในใจของนักเรียนที่ ได้รับการสอนตามรูปแบบซิปปาโดยใช้แบบฝึกหัดที่เน้น ทักษะการคิดเลขในใจกับนักเรียนที่ได้รับการ สอนโดยใช้คู่มือครู” ที่พบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ความสามารถหรือผลสําเร็จที่ได้รับ จากกิจกรรมการเรียนการสอนเป็นการเปลี่ยนแปลง พฤติกรรมและประสบการณ์เรียนรู้ทางด้านพุทธิ
70 พิสัย จิตพิสัย และทักษะพิสัย และยังได้จําแนก ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไว้ตามลักษณะของ วัตถุประสงค์ของการเรียนการสอนที่แตกต่างกัน จากเหตุผลดังกล่าวข้างต้นเป็นการสนับสนุนว่าการจัดการเรียนรู้เรื่อง การผลิตและการ แข่งขันสินค้า วิชาเศรษฐศาสตร์ โดยใช้แบบฝึกทักษะ ทำให้ผู้เรียนมีผลการเรียนรู้หลังเรียนสูงขึ้นกว่า ก่อนเรียน รวมทั้งการจัดการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะ ยังทำให้ผู้เรียนมีความกระตือรือร้นในการ เรียนรู้ เช่น ในการค้นคว้าข้อมูลการทำงานร่วมกับเพื่อน การสร้างความรู้ด้วยตนเอง กล้าคิดกล้าลง มือทำ ฝึกการคิดวิเคราะห์คิดอย่างเป็นระบบและการแสดงผลงานที่สร้างความพอใจให้ผู้เรียน ซึ่งต่างกับการเรียนการสอนตามปกติ โดยจะเป็นการเรียนที่เน้นเนื้อหาที่ได้มาจากการบอก การอธิบาย การซักถามเนื้อหาในบทเรียนของผู้สอน โดยมิได้มุ่งเน้นให้ฝึกเรียนฝึกกระบวนการค้นคว้า กระบวนการคิด กระบวนการทำงาน กระบวนการสร้างความรู้ด้วยตนเอง การวิเคราะห์กระบวนการ เรียนรู้ และการประยุกต์ใช้ความรู้อันเป็นทักษะการเรียนรู้ตลอดชีวิตและเป็นเป้าหมายหลักของการ จัดการเรียนการสอน 5.3 ข้อเสนอแนะ 1) ข้อเสนอแนะสำหรับการนำไปใช้ 1.1) ขณะที่นักเรียนทำกิจกรรมระหว่างเรียน ครูควรดูแลควบคุม อย่างใกล้ชิด และ คอยแนะนำในประเด็นที่นักเรียนไม่ยังไม่เข้าใจ เพื่อให้ผู้เรียนเกิดความเข้าใจในการทำกิจกรรมและ เกิดการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ 1.2) การแจ้งผลการปฏิบัติกิจกรรม ควรแจ้งผลทันทีหลังปฏิบัติกิจกรรมเสร็จสิ้นการ ปฏิบัติทุกแผนการเรียนรู้ การทำใบงาน การปฏิบัติกิจกรรมระหว่างเรียน และการทำแบบทดสอบหลัง เรียน จะเป็นเครื่องมือในการสะท้อนผลการวิจัย และเป็นการประเมินว่านักเรียนมีความรู้ความเข้าใจ ในเนื้อหามากน้อยเพียงใด เพื่อให้เป็นข้อมูลในการนำไปพัฒนาตนเองต่อไป 2) ข้อเสนอแนะในการวิจัยครั้งต่อไป 2.2) ควรมีการบูรณาการการเรียนการสอนโดยใช้แบบฝึกทักษะ ไปประยุกต์ใช้กับ วิธีการสอนแบบอื่น ๆ เพื่อให้การศึกษาค้นคว้ามีข้อมูลทางเลือกที่หลากหลาย 2.3) ควรมีการศึกษาเปรียบเทียบการจัดการเรียนรู้โดยใช้ทักษะกับการสอนปกติ
71 ภาคผนวก
72 ภาคผนวก ก ราชชื่อผู้เชี่ยวชาญที่ตรวจสอบเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
73 รายชื่อผู้เชี่ยวชาญในการตรวจเครื่องมือ ผู้เชี่ยวชาญท่านที่ 1 นางทิติภา อิ้มพัฒน์ : วิทยฐานะชำนาญการพิเศษ : หัวหน้ากลุ่มสาระสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม : โรงเรียนอนุบาลอุดรธานี ตำบลหมากแข้ง อำเภอเมือง จังหวัด อุดรธานี : สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 1 ผู้เชี่ยวชาญท่านที่ 2 นางสาวจิดาภา พันชะโก : วิทยฐานะชำนาญการ : ครูพี่เลี้ยง : โรงเรียนอนุบาลอุดรธานี ตำบลหมากแข้ง อำเภอเมือง จังหวัด อุดรธานี : สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 1 ผู้เชี่ยวชาญท่านที่ 3 นางสาวปัฒฑิตา นาคสร้อย : วิทยฐานะชำนาญการ : โรงเรียนอนุบาลอุดรธานี ตำบลหมากแข้ง อำเภอเมือง จังหวัด อุดรธานี : สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 1
74 ภาคผนวก ข เครื่องมือที่ใช้วัด
75 แบบฝึกทักษะ
76 ชุดการสอน รายวิชาสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม (ส 13101)หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 เรื่อง การผลิตและ การแข่งขันสินค้า ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ชุดที่2 ผู้ผลิต นางสาววราพร อัคราช ตำแหน่ง นักศึกษาฝึกประสบการณ์วิชาชีพครู กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนอนุบาลอุดรธานี อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต1
77 คำนำ ชุดการสอน เรื่อง การผลิตและการแข่งขันสินค้า จัดทำขึ้นเพื่อใช้ประกอบการจัดกิจกรรม การเรียนรู้ และพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 เรื่อง การผลิตและการแข่งขัน สินค้าสาระวิชเศรษฐศาสตร์ รายวิชาสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม (ส 13101) สำหรับนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โดยแบบฝึกทักษะนี้นี้เป็นชุดแบบฝึกทักษะที่เน้นให้นักเรียนได้มีส่วนร่วมในการ ปฏิบัติกิจกรรม และเมื่อเสร็จสิ้นกิจกรรมตามลำดับขั้นตอนแล้ว นักเรียนจะได้รับการทดสอบเพื่อ ประมวล ผลการเรียนรู้ ในจัดการทำชุดการสอนนี้ ได้ทำการวิเคราะห์หลักสูตรกลุ่มสาระสังคมศึกษา ศาสนา และ วัฒนธรรม และนำสาระการเรียนรู้ที่กำหนดตามมาตรฐานการเรียนรู้ จุดประสงค์การเรียนรู้มาจัดทำ เป็นเนื้อหาต่าง ๆ ในชุดการสอน โดยชุดการสอน การผลิตและการแข่งขันสินค้า สาระวิชา เศรษฐศาสตร์ รายวิชาสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม สำหรับนักเรียนชั้นประถมมศึกษาปีที่ 3 แบ่งเนื้อหาออกเป็น 8 ชุดการสอน ดังนี้ ชุดที่ 1 ทดสอบก่อนเรียน ชุดที่ 2 เรื่องการผลิตและการบริโภค1 ชุดที่ 3 เรื่องการผลิตและการบริโภคสินค้าและบริการ2 ชุดที่ 4 ปัญหาพื้นฐานทางเศรษฐกิจและทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด1 ชุดที่ 5 ปัญหาพื้นฐานทางเศรษฐกิจและทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด2 ชุดที่ 6 เรื่องการแข่งขันทางการค้า1 ชุดที่ 7 เรื่องการแข่งขันทางการค้า2 ชุดที่ 8 ทดสอบหลังเรียน ผู้จัดทำหวังเป็นอย่างยิ่งว่าชุดการสอนนี้จะช่วยให้นักเรียนสามารถเข้าใจเนื้อหาได้ง่ายและ ชัดเจนมากยิ่งขึ้น รวมถึงมีพัฒนาการด้านผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่สูงขึ้น และเป็นประโยชน์ ต่อผู้สนใจศึกษา หากมีข้อบกพร่องในการจัดทำเอกสารนี้ กรุณาแจ้งต่อผู้จัดทำ ทั้งนี้เพื่อจะได้นำข้อเสนอแนะ ไปปรับปรุงเอกสาร เพื่อให้มีความถูกต้องและสมบูรณ์ยิ่งขึ้น และขอขอบคุณผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทุก ท่านที่ทำให้ชุดการสอนนี้สำเร็จลุล่วงด้วยดี วราพร อัคราช นักศึกษาฝึกประสบการณ์วิชาชีพครู
78 เอกสารฉบับนี้ เป็นเอกสารชุดการสอนรายวิชาสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม (ส 13101) สาระการเรียนรู้ที่ 1 ศาสนา ศีลธรรม จริยธรรม เรื่อง การผลิตและการแข่งขันสินค้าชุดที่ 2 เรื่อง การผลิตและการบริโภค ใช้ประกอบการจัดการเรียนรู้สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ซึ่งเอกสารชุดนี้ประกอบด้วย 1. คำชี้แจง 2. คำแนะนำสำหรับครู 3. คำแนะนำสำหรับนักเรียน 4. สาระสำคัญ/ตัวชี้วัด/จุดประสงค์การเรียนรู้ 5. แผนผังมโนทัศน์ ชุดที่ 1 การผลิตและการบริโภค 6. บทปฏิบัติงาน 7. แบบทดสอบก่อนเรียน 8. ใบความรู้ เรื่อง การผลิต 9. ใบงาน เรื่อง การผลิต 10. เฉลยใบงาน เรื่อง การผลิต 11. แบบทดสอบหลังเรียน 13. เฉลยแบบทดสอบก่อนเรียน คำชี้แจงเกี่ยวกับจัดการสอน
79 1. ครูควรศึกษาเนื้อหาล่วงหน้าอย่างละเอียดก่อนจัดกิจกรรมการเรียนรู้ 2. ครูควรจัดเตรียมสื่ออุปกรณ์ เครื่องมือที่จะใช้ประกอบการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้มีความพร้อม 3. ครูจัดเตรียมบรรยากาศในชั้นเรียนให้เหมาะสมกับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ 4. ก่อนการจัดการเรียนการสอนต้องชี้แจงจุดประสงค์การเรียนรู้ให้นักเรียนเกิดความเข้าใจ 5. ดำเนินกิจกรรมตามลำดับขั้นตอนที่กำหนดไว้ 5.1 ให้นักเรียนทำแบบทดสอบก่อนเรียนเพื่อประเมินความรู้เดิมของนักเรียน 5.2 แจกชุดการสอนให้นักเรียนทำการศึกษาและแนะนำวิธีการใช้ชุดการสอน เพื่อให้ นักเรียนสามารถปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง 5.3 ดำเนินการสอนตามกิจกรรมการเรียนรู้ที่กำหนดไว้ในแผนการจัดการเรียนรู้ 5.4 หลังจากผู้เรียนศึกษาชุดการสอนเสร็จเรียบร้อยแล้ว ครูและผู้เรียนควรร่วมกัน สรุปเรื่อง ที่เรียน จากนั้นให้ผู้เรียนทำใบงาน เพื่อเป็นการทบทวนความรู้ 5.5 ให้นักเรียนทำแบบทดสอบหลังเรียนเพื่อประเมินผลการเรียนรู้ 6. ครูต้องเป็นที่ปรึกษาให้นักเรียนระหว่างการทำกิจกรรมรวมทั้งบันทึกพฤติกรรม การทำงานลงใน แบบประเมิน 7. ครูควรสังเกตพฤติกรรมการเรียนรู้โดยใช้ชุดการสอนของนักเรียนอย่างใกล้ชิด หากพบปัญหาควร แก้ไข 8. ครูควรเฉลยใบงาน แบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน และบันทึกคะแนนของผู้เรียน แต่ละคน ไว้หลังจากเสร็จสิ้นกระบวนการจัดการเรียนรู้เพื่อประเมินการพัฒนาและความก้าวหน้า หากมีผู้เรียน ไม่ผ่านเกณฑ์ ครูควรจัดซ่อมเสริมให้ 9. หลังจากเสร็จสิ้นกระบวนการจัดการเรียนรู้ ครูควรสรุปบทเรียนให้กับนักเรียนอีกครั้ง และควรให้ นักเรียนสรุปองค์ความรู้ด้วยแผนผังความคิดเมื่อจบเรื่องนั้นๆ 10.จัดให้นักเรียนปฏิบัติกิจกรรมเป็นรายบุคคลหรือกลุ่มก็ได้ คำแนะนำสำหรับครู ขั้นตอนการใช้ชุดการสอน
80 1. นักเรียนควรศึกษามาตรฐานการเรียนรู้ ตัวชี้วัด และจุดประสงค์การเรียนรู้ให้เข้าใจ ก่อนลงมือ ศึกษาชุดการสอน 2. นักเรียนต้องทำแบบทดสอบก่อนเรียน ก่อนที่จะศึกษาชุดการสอน เพื่อเป็นการประเมิน ความรู้เดิม ของนักเรียน 3. นักเรียนต้องศึกษาและทำความเข้าใจบทเรียนที่ครูได้จัดเตรียมไว้ให้โดยปฏิบัติตามขั้นตอน ที่กำหนดไว้ตามลำดับ 4. เมื่อนักเรียนศึกษาเนื้อหาเสร็จเรียนร้อยแล้วให้นักเรียนทำใบงานที่ครูเตรียมไว้ให้ 5. หากนักเรียนยังไม่เข้าใจในเนื้อหาในส่วนใด ให้สอบถามครูผู้สอนและให้นักเรียนกลับไป ศึกษาเนื้อหาอีกครั้ง เพื่อให้เกิดความเข้าใจมากยิ่งขึ้น 6. หลังจากเสร็จสิ้นกระบวนการจัดการเรียนรู้ให้นักเรียนทำแบบทดสอบหลังเรียน เพื่อเป็นการ วัดประเมินผลการเรียนรู้ในบทเรียนทั้งหมด นักเรียนต้องตั้งใจทำแบบทดสอบหลังเรียน เพราะการ สอบจะทำให้ทราบว่านักเรียนมีความรู้ความเข้าใจบทเรียนมากน้อยเพียงใด 7. หลังจากนักเรียนทำแบบทดสอบหลังเรียนแล้ว นักเรียนควรทบทวนความรู้อีกครั้ง 8. หากมีข้อสงสัยให้ขอคำอธิบายหรือถามครูผู้สอนเพื่อร่วมกันสรุปข้อสงสัยนั้น ๆ 9. เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดนักเรียนต้องมีความซื่อสัตย์ต่อตนเอง ไม่ควรเปิดดูเฉลย จนกว่านักเรียน จะทำกิจกรรมเสร็จ ขั้นตอนการใช้ชุดการสอน คำแนะนำ สำหรับนักเรียน
81 สาระสำคัญ/ความคิดรวบยอด ในชีวิตประจำวันของเรามีความเกี่ยวข้องกับสินค้าและบริการการใช้จ่ายเงิน การเสียภาษีการ ผลิต และการแข่งขันทางการค้า เราจึงควรศึกษาและทำความเข้าใจในเรื่องต่างๆ เหล่านี้ เอานำมา ปรับใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการดำรงชีวิต มาตฐานการเรียนรู้/ตัวชี้วัด มาตรฐาน ส 3.1 เข้าใจและสามารถบริหารจัดการทรัพยากรในการผลิตและการบริโภคการ ใช้ทรัพยากรที่มีอยู่จำกัดได้อย่างมีประสิทธิภาพและคุ้มค่ารวมทั้งเข้าใจ หลักการของเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อการดำรงชีวิตอย่างมีดุลยภาพ มาตรฐานส 3.2 เข้าใจระบบและสถาบันทางเศรษฐกิจต่างๆความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและ ความจำเป็นของการร่วมมือกันทางเศรษฐกิจในสังคมโลก ตัวชี้วัด ป.3/1-3 1. จำแนกความต้องการและความจำเป็นในการใช้สินค้าและบริการในการ ดำรงชีวิต 2. วิเคราะห์การใช้จ่ายของตนเอง 3. อธิบายได้ว่าทรัพยากรที่มีอยู่จำกัดมีผลต่อการผลิตและบริโภคสินค้าและ บริการ จุดประสงค์การเรียนรู้ 1. นักเรียนสามารถอธิบายความหมายของผู้ผลิตได้ (K) 2. นักเรียนสามารถยกตัวอย่างการของผู้ผลิตได้ (P) 3. นักเรียนมีความกระตือรือร้นในการศึกษาหาความรู้ (A) สาระสำคัญ/ตัวชี้วัด/จุดประสงค์การเรียนรู้
82 การผลิต ความหมายของการ ผลิต อาชีพของผู้ผลิต แผนผังมโนทัศน์ 1 การผลิต
83 อ่านคำชี้แจง/คำแนะนำการใช้แบบฝึกทักษะ ทำแบบทดสอบก่อนเรียน ศึกษาชุดการสอน โดยปฎิบัติกิจกรรม - ศึกษาเนื้อหา - ทำกิจกรรมการเรียนรู้ - ทำใบงาน - ตรวจใบงาน ผ่านเกณฑ์ ไม่ผ่านเกณฑ์ ทำแบบทดสอบหลังเรียน ศึกษาแบบฝึกทักษะต่อไป บทปฏิบัติงาน
84 กิจกรรมที่ 1 ทายซิข้อไหนถูก
85 แบบทดสอบก่อนเรียน กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 สาระเศรษฐศาสตร์ ส13101 หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 การผลิตและการแข่งขันสินค้า 1.ผู้ผลิตผลิตสินค้ามาเพื่อตอบสนองความต้องการของใคร ก. ผู้บริโภค ข. นักธุรกิจ ค. ข้าราชการ ง. นักลงทุน 2.ผู้ผลิตหมายความว่าอย่างไร ก. ผู้ซื้อสินค้าและบริการ ข.ผู้ดำเนินการใช้เกิดสินค้า ค.ผู้ไปใช้บริการ ง.ผู้ที่ได้รับการบริการ 3.ข้อใดมีทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภค ก. น้อยซื้อผลไม้ ข. นิดเป็นชาวสวน ค. หน่อยปลูกกล้วยไม้ ง. นงซื้อข้าวจากชาวนา 4.ผู้ผลิตต้องตัดสินใจในเรื่องใดก่อนลงทุนผลิตสินค้าและบริการ ก. ผลิตสินค้าชนิดใด ผลิตเท่าใด และผลิตที่ไหน ข. ผลิตสินค้าที่ไหน ผลิตเพื่อใคร และผลิตเท่าใด ค. ผลิตสินค้าชนิดใด ผลิตอย่างไร และผลิตเพื่อใคร ง. ผลิตสินค้าชนิดใด ผลิตเมื่อใด และผลิตเพื่ออะไร 5.ใครเป็นผู้ผลิตในระบบเศรษฐกิจ ก. ผู้ป่วยในโรงพยาบาล ข. ลูกค้าในร้านสะดวกซื้อ ค. เจ้าของร้านอาหารตามสั่ง ง. ผู้โดยสารบนรถประจำทาง
86 6.หากราคาไข่ไก่ปรับราคาสูงผู้ผลิตสินค้าในข้อใดจะได้รับผลกระทบมากที่สุด ก. ไอศกรีม ค.น้ำมันพืช ข. นมสด ง.ทองหยอด 7.สิ่งที่ต้องพิจารณาเป็นอันดับแรกก่อนการผลิตสินค้าคืออะไร ก. จะผลิตอะไร ข. จะผลิตเพื่อใคร ค. จะผลิตสินค้าอย่างไร ง. จะตั้งราคาสินค้าเท่าใด 8. ข้อใดคือความหมายของคำว่าสินค้า ก. สิ่งของที่เป็นสาธารณะ ข. สิ่งของที่นำมาแลกเปลี่ยนซื้อขายกันได้ ค. สิ่งของที่ไม่สามารถแลกเปลี่ยนกันได้ ง. สิ่งของส่วนตัว 9. ข้อใดไม่ใช่ทรัพยากรในการผลิต ก. ที่ดิน ข. ทุน ค. ผู้บริโภค ง. แรงงาน 10.สิ่งที่ได้จากทรัพยากรการผลิต ก. ผู้ผลิต ข. การผลิต ค. แรงงาน ง. ผลผลิต 11.ถ้าสินค้ามีราคาลดลงจะส่งผลดีต่อผู้บริโภคอย่างไร ก. ซื้อสินค้าได้ในราคาถูกและได้จำนวนน้อยลง ข. ซื้อสินค้าในราคาถูกและได้จำนวนมากขึ้น ค. ซื้อสินค้าราคาแพงและได้สินค้าจำนวนน้อยลง ง. ซื้อสินค้าในราคาแพงและได้สินค้าจำนวนมากขึ้น
87 12.ข้อใดเป็นการดึงดูดผู้บริโภคด้วยการเพิ่มมูลค่า ก. นมA ราคา10บาท นมB เพิ่มงาดำ ราคา 10บาท ข. ร้าน ค ขายสมุดเล่มละ10บาท ร้านง ขายสมุดเล่มละ3เล่ม 25บาท ค. ร้าน ก ขายถุงผ้าใบละ 60บาท ร้าน ข ขายถุงผ้าใบละ 49 บาท ง. น้ำตาลทราย Cปริมาณ1กิโลกรัมราคา 30บาท น้ำตาลทราย b ปริมาณ 1.5 กิโลกรัม ราคา 30 บาท 13.ผู้บริโภคหมายความว่าอย่างไร ก. ผู้ผลิตสินค้าและบริการ ข. ผู้ซื้อสินค้าและบริการ ค. ผู้ลงทุน ง. ผู้ดำเนินการให้เกิดสินค้า 14.ใครเป็นผู้บริโภคในระบบเศรษฐกิจ ก. แก้วทำขนมเค้กขาย ข. ตุ๊กเปิดร้านเสริมสวย ค. หน่อยปลูกทุเรียนขาย ง. แตงซื้อก๋วยเตี๋ยวมารับประทาน 15.ผู้บริโภคได้รับประโยชน์อย่างไรจากการแข่งขันการค้า ก. ช่วยให้มีฐานะดีขึ้น ข. ช่วยลดค่าใช้จ่ายรายเดือน ค. มีสินค้าหลากหลายให้เลือก ง. ช่วยให้สินค้าได้อย่างไม่จำกัด 16.ก่อนซื้อสินค้าเราควรคำนึงถึงข้อใด ก. ดูราคา ข. เลือกร้านหรูๆ ค. ตรวจสอบคุณภาพสินค้า ง. เลือกตามโฆษณา
88 17.ข้อใดสอดคล้องกับคำว่าบริการ ก. ยึดถือเอาเป็นเจ้าของเป็นประโยชน์ของตน ข. ขอให้รับใช้เพื่อให้ประสบความสำเร็จ ค. การใช้ความสะดวก และความช่วยเหลือ ง. การขอความช่วยเหลือให้สำเร็จ 18.ผู้บริโภคที่ฉลาดควรปฏิบัติตามข้อใด ก. ต่อรองราคาสินค้าให้ถูกที่สุด ข. ผูกไมตรีกับพ่อค้าแม่ค้า ค. เปรียบเทียบคุณภาพและราคาหลายยี่ห่อก่อนซื้อ ง. ซื้อสินค้าที่ราคาแพงที่สุดเพราะคิดว่าแพงจะดี 19.ข้อใดคือปัญหาทางเศรษฐกิจ ก. ความต้องการของมนุษย์มีจำกัด ข. ทรัพยากรมีน้อยกว่าความต้องการของมนุษย์ ค. ทรัพยากรมีพอดีกับความต้องการของมนุษย์ ง. ทรัพยากรมีมากกว่าความต้องการของมนุษย์ 20.เมื่อทรัพยากรมีอย่างจำกัด แต่ความต้องการใช้สินค้าและบริการมีอย่างไม่จำกัด จะทำให้เกิดอะไร ขึ้น ก. เกิดผู้ผลิตรายใหม่ขึ้น ข. เกิดการขาดแคลนสินค้า ค. เกิดการผลิตที่หลากหลายชนิด ง. เกิดการขาดแคลนเงินทุนในการผลิต
89 เฉลย ก= 1,7,12 ข = 2,3, 8,11,13,17,19,20 ค = 4,5,9,15,16,18 ง = 6,10,14
90 กิจกรรมที่2 ดูดีๆมีอะไร