แผนการจัดการเรียนรู้
กลมุ่ สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์
รายวิชา ฟิสกิ ส์ รหัสวชิ า ว30203
ช้ันมธั ยมศกึ ษาปีที่ 5 ภาคเรยี นท่ี 1 ปีการศึกษา 2565
จัดทำโดย
นางสาวเล่ือมประภัสร์ สารพันธ์
สาขาวิชาวิทยาศาสตรท์ ว่ั ไปและชีววทิ ยา คณะครุศาสตร์
มหาวทิ ยาลัยราชภฏั อุดรธานี
แผนการจดั การเรียนร้ทู ่ี 1 ช้ันมัธยมศกึ ษาปีท่ี 5
เวลา 9 ชวั่ โมง
กลุ่มสาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี เวลา 3 ชว่ั โมง
หนว่ ยการเรียนรทู้ ่ี 8 การเคล่ือนท่ีแบบฮาร์มอนกิ อยา่ งงา่ ย
เรอ่ื ง ลักษณะท่ีเก่ียวข้องกบั การเคลอ่ื นที่แบบฮาร์มอนิกอย่างง่าย ภาคเรียนท่ี 1/2565
ครผู สู้ อน นางสาวเลอ่ื มประภสั ร์ สารพนั ธ์
1. มาตรฐานการเรียนรู้
สาระฟสิ ิกส์ 2 เข้าใจการเคล่อื นท่ีแบบฮารม์ อนกิ อยา่ งงา่ ย ธรรมชาติของคลืน่ เสยี งและ
การ ไดย้ นิ ปรากฏการณ์ท่ีเกี่ยวขอ้ งกบั เสยี ง แสงและการเหน็ ปรากฏการณท์ ี่เกยี่ วข้องกบั แสง รวมทั้ง
นาความรู้ไปใชป้ ระโยชน์
2. ผลการเรยี นรู้
1.ทดลองและอธบิ าย การเคลื่อนทีแ่ บบฮาร์มอนกิ อยา่ งง่ายของวตั ถุตดิ ปลายสปรงิ และลูกตมุ้
อย่างง่าย รวมทั้งคานวณปริมาณตา่ งๆที่เกยี่ วข้อง
3. จุดประสงค์การเรยี นรู้
1. อธิบายการเคล่ือนท่แี บบฮารม์ อนกิ อยา่ งง่ายปรมิ าณท่ีเกี่ยวข้อง และการนาไปใชป้ ระโยชน์
ได้ (K)
2. สามารถคานวณหาปรมิ าณทเ่ี กย่ี วข้องกับการการเคล่ือนที่แบบฮาร์มอนิกอย่างงา่ ยได้ (P)
3. ใชท้ กั ษะการทดลอง การสรุป และการอภิปรายได้ถกู ต้อง (P)
4. ทางานรว่ มกับผู้อื่นอยา่ งสร้างสรรค์ ยอมรับความคดิ เห็นของผู้อ่นื ได้ (A)
4. สาระการเรียนรู้
การเคลอื่ นทแ่ี บบฮาร์มอนกิ อย่างงา่ ยเปน็ การเคล่อื นท่ีของวัตถทุ ก่ี ลบั ไปกลบั มาซ้ารอยเดิมผา่ น
ตาแหน่งสมดลุ โดยมีคาบและแอมพลิจดู คงตวั และมีการกระจดั จากตาแหนง่ สมดลุ ท่เี วลาใด ๆ เป็น
ฟงั กช์ นั แบบไซน์ โดยปริมาณตา่ ง ๆ ที่เก่ยี วข้อง มีความสมั พันธ์ตามสมการ
()
()
√
()
การสั่นของวัตถตุ ดิ ปลายสปริง และการแกว่งของลูกตุ้มอย่างง่ายเป็นการเคลอ่ื นทแ่ี บบฮาร์มอ
นกิ อย่างง่ายท่มี ีขนาดของความเร่งแปรผันตรงกับขนาดของการกระจดั จากตาแหนง่ สมดุล แตม่ ีทศิ
ทางตรงข้าม โดยมคี าบการส่ันของวัตถุทีต่ ิดอยูท่ ปี่ ลายสปริง และคาบการแกว่งของลกู ตุ้มตามสมการ
π√ และ √ ตามลาดับ
5. สาระสาคัญ
การเคล่ือนท่ีแบบฮารโ์ มนกิ อยา่ งงา่ ย (Simple Harmonic Motion) คือ การเคล่อื นท่ีใดๆ ซ่งึ
เคล่อื นที่กลับไปมาซ้าทางเดิม โดยผ่านตาแหนง่ สมดลุ และคาบของการเคล่ือนที่คงตัว ดงั แสดงดว้ ย
กราฟของการเคลื่อนท่ใี นแนวแกน x เรยี กวา่ การเคล่ือนที่แบบพรี ิออดิก(periodic motion)
การเคล่อื นแบบพรี ิออดิกชนดิ หนึ่งที่กราฟของการกระจัดกับเวลาอยู่ในรปู ของฟังกช์ นั ไซนห์ รือโคไซน์
ความถี่คงท่ีมีคา่ ทแี่ นน่ อนค่าเดียว เรยี กวา่ การเคล่ือนที่แบบฮารม์ อนิกอย่างง่าย น่ันคือการเคลื่อนที่
แบบฮาร์มอนกิ อยา่ งงา่ ยเปน็ การเคล่ือนที่แบบพรี ิออดกิ อย่างหน่ึง อาจจะเรยี กยอ่ ๆ วา่ การเคลอื่ นทีแ่ บบ
SHM การกระจดั ทาง x ในรูปฟังก์ชนั ของเวลา t ของ SHM
6. กจิ กรรมการเรียนรู้ (รปู แบบการจัดการเรยี นรู้แบบ 5E)
ขน้ั ที่ 1 ขั้นนาเข้าสู่บทเรยี น (Engagement Phase)
1.1 ผู้เรยี นและผูส้ อนรว่ มกนั ทบทวนความรเู้ ดมิ เกยี่ วกบั เร่ือง ลักษณะการเคล่ือนท่ีแบบ
วงกลม เชื่อมโยงเนอ้ื หาโดยผู้เรยี นรว่ มกันสนทนา เก่ียวกบั การเคลอ่ื นที่ในลกั ษณะการเคลื่อนท่ีแบบวตั ถุ
เคลื่อนท่ี กลบั ไปกลบั มาซ้าลอยเดมิ ลองยกตวั อย่างเพื่อเป็นความร้พู ้ืนฐานนาไปส่กู ารศึกษา
เร่อื ง การเคลื่อนท่ีแบบฮารม์ อนกิ อยา่ งงา่ ย
1.2 ผู้เรยี นรว่ มกนั อภปิ รายเกยี่ วกบั การเคล่ือนท่ีแบบฮาร์มอนิกอย่างง่ายมปี ริมาณทางฟิสกิ ส์
ใดเข้ามาเกยี่ วข้องบ้าง (เปดิ โอกาสให้นักเรยี นได้แสดงความคดิ เหน็ )
1.๓ แจ้งใหผ้ ู้เรยี นทราบวา่ จะได้ศึกษาเกยี่ วกับ เรือ่ ง การเคลอื่ นทแี่ บบฮารม์ อนกิ อยา่ งง่าย
ขัน้ ที่ 2 ขั้นสารวจและค้นพบ (Exploration Phase)
2.1 ผู้เรียนสบื ค้นขอ้ มลู เก่ยี วกบั การเคล่อื นที่แบบฮาร์มอนิกอย่างงา่ ย จากเอกสารต่าง ๆ เชน่
ใบความรู้ หนังสอื เรียน อนิ เตอรเ์ น็ต เปน็ ต้น
2.๒ ให้ผู้เรียนแตล่ ะกล่มุ รว่ มกนั ทา Mind map เร่อื ง การเคลือ่ นที่แบบฮาร์มอนิกอยา่ งงา่ ย ลง
ในกระดาษปรู๊ฟท่แี จกให้
2.๓ ให้ผู้เรียนแตล่ ะกลุ่ม ร่วมกันอภิปราย ผลการทากิจกรรม และนาเสนอหน้าชั้นเรยี น
ขัน้ ที่ 3 ขัน้ อธบิ ายและลงข้อสรปุ ( Explanation Phase)
3.1 ผู้เรียนนาขอ้ มูลจากขั้นการสารวจและค้นหา มาอภิปรายร่วมกันกับผู้สอน
3.2 ผู้เรยี นร่วมซกั ถาม และผู้สอนอธบิ ายเพิ่มเติมเก่ียวกับ การเคล่อื นทีแ่ บบฮาร์มอนิกอยา่ ง
ง่าย เพอื่ ให้ผู้เรยี นสรปุ สาระสาคญั ลงในสมุดจดบันทกึ
ข้นั ที่ 4 ข้ันขยายความรู้ (Expansion Phase)
4.1 ผ้สู อนอธบิ ายเพม่ิ เติมเก่ียวกับการเคล่ือนท่ีแบบฮาร์มอนิกอย่างง่าย จากหนังสือเรยี น
รายวชิ าเพมิ่ เตมิ ฟิสิกส์ ๓ (สสวท.) และจาก P0wer P0int
4.2 ผู้สอนยกตวั อย่างการคานวณ และใหผ้ ู้เรยี นทาแบบฝึกหดั เร่อื ง การเคลื่อนท่แี บบฮาร์มอ
นกิ อยา่ งง่าย
4.3 ผสู้ อนสรปุ องค์ความรู้ และเปิดโอกาสใหผ้ เู้ รยี นถามคาถามที่ยังไมเ่ ข้าใจหรือมขี ้อสงสัย
ขน้ั ท่ี 5 ขนั้ ประเมิน (Evaluation)
5.1 สงั เกตพฤติกรรมการเรยี นร้ขู องผู้เรียน วา่ ผู้เรยี นมีความรบั ผิดชอบต่องานท่ีได้รบั
มอบหมาย
5.2 ประเมนิ จากการทาแบบฝกึ ทกั ษะ เรอ่ื ง การเคล่ือนที่แบบฮารม์ อนกิ อย่างง่าย
7. ส่อื /แหลง่ การเรยี นรู้
7.1 หนังสอื เรียน รายวิชาเพ่ิมเตมิ ฟสิ ิกส์ 3 (สสวท.)
7.2 สมุดบนั ทึกของผเู้ รียน
7.3 PowerPoint ประกอบการสอน เรื่อง การเคลื่อนท่แี บบฮาร์มอนกิ อยา่ งง่าย
7.4 แบบฝึกทักษะ เรอ่ื ง การเคลื่อนท่แี บบฮาร์มอนิกอยา่ งงา่ ย
8. วิธีการวดั และประเมนิ ผล วิธีการวัดและประเมินผล
จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ วธิ ีการวัด เครือ่ งมือทใี่ ช้ เกณฑ์การ
วัด ประเมิน
1. อธิบายการเคล่อื นที่แบบฮารม์ อนกิ อยา่ ง
งา่ ยปริมาณทเี่ กีย่ วข้อง และการนาไปใช้ การตอบคาถาม คาถามและงาน ผ่านเกณฑ์ร้อย
ประโยชน์ได้ (K) และการนาเสนอ นาเสนอ ละ 70 ขึ้นไป
2. สามารถคานวณหาปริมาณท่เี กี่ยวข้อง
กับการการเคลือ่ นทแ่ี บบฮาร์มอนกิ อย่าง งาน
ง่ายได้ (P)
3. ใชท้ ักษะการทดลอง การสรปุ และการ การทาแบบฝึก แบบฝึกทักษะ ตอบคาถาม
อภปิ รายได้ถูกต้อง (P) ทักษะ ถูกต้องรอ้ ยละ
4. ทางานรว่ มกับผูอ้ ืน่ อยา่ งสร้างสรรค์
ยอมรบั ความคดิ เห็นของผู้อ่นื ได้ (A) 70 ขึน้ ไป
การทา Mind Mind map ผา่ นเกณฑ์ใน
map ระดบั ดขี น้ึ ไป
สงั เกตพฤตกิ รรม แบบสงั เกต ผ่านเกณฑ์ใน
ในชั้นเรียน พฤติกรรม ระดับดีขึน้ ไป
บักทกึ ผลหลงั จากการจดั การเรียนรู้
1. ผลการจัดการเรยี นการสอน
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
2. ปญั หาและอปุ สรรคในการจดั การเรยี นการสอน
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
3. ขอ้ เสนอแนะและแนวทางการแก้ไข
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
4. บกั ทึกหลังการสอน
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงช่อื ………………………………………………………………
(……………………………………………………………)
ผสู้ อน
5. ความคดิ เห็นของครูพเ่ี ลี้ยง
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงชอ่ื ………………………………………………………………
(……………………………………………………………)
ครพู เ่ี ล้ียง
5. ความคดิ เห็นของบริหารวิชาการ
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงช่อื ………………………………………………………………
(……………………………………………………………)
ฝา่ ยบริหารวชิ าการ
6. ความคิดเห็นของผู้บรหิ ารสถานศกึ ษา
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงช่ือ………………………………………………………………
(……………………………………………………………)
ผบู้ ริหารสถานศึกษา
แบบสังเกตพฤติกรรมในชน้ั เรียน
คาชี้แจง: ให้คะแนน 1-3 ที่ตรงกบั ระดบั พฤตกิ รรมทีน่ ักเรียนแสดงออกตามเกณฑ์การประเมินที่
กาหนด
พฤตกิ รรมทสี่ ังเกต กลุ่มท่ี
12345
1. เข้าหอ้ งเรียนตรงเวลา
2. มสี ว่ นร่วมในการแสดงความคิดเหน็
3. มีความกระตือรือร้นในการทากจิ กรรม
4. มกี ารชว่ ยเหลอื กนั
5. รับผิดชอบในงานทไ่ี ดร้ ับมอบหมาย
รวม
เกณฑ์การใหค้ ะแนน
พฤติกรรมท่ีทาเปน็ ประจา 3 คะแนน
พฤติกรรมท่ที าเป็นบางครั้ง 2 คะแนน
พฤติกรรมท่ีทาน้อยคร้งั 1 คะแนน
คะแนนตัดสินระดบั คุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ สรปุ ผลการประเมนิ ผลทงั้ ชนั้ เรียน
อยใู่ นเกณฑ์………………………….
11-15 ดี ผา่ น ไม่ผา่ น
6-10 พอใช้
1-5 ปรบั ปรงุ
ลงชอ่ื ………………………………………………………………
(……………………………………………………………)
ผสู้ อน
แบบฝกึ ทกั ษะ เรอ่ื ง การเคล่ือนที่แบบฮาร์มอนกิ อย่าง
1. มวล 0.25 kg ติดกบั ปลายขา้ งหน่งึ ของสปริง ซง่ึ มคี า่ นิจ 100 N/m วางอยู่บนพนื้ ส่วนปลายอีกข้าง
หนง่ึ ของสปรงิ ยึดตดิ กับผนงั เม่ือดึงมวลทาให้สปริงยดึ ออกเล็กน้อยแลว้ ปลอ่ ยมวลจะ เคล่ือนที่กลับไป
กลบั มาดว้ ยคาบเท่าใด
วิธีทา
√
√
ดงั นนั้ คาบมคี า่ เทา่ กบั 0.31 วนิ าที
2. มวล 2 kg ติดสปริงเบานอ้ ย อยใู่ นแนวด่งิ จะทาใหส้ ปริงยืดออก 10 cm ถ้าเปลยี่ นเป็นมวล 0.5 kg
ติดสปริงแทน จากน้นั ดึงมวลแลว้ ปล่อย มวลน้ีจะสน่ั ด้วยความถีเ่ ท่าไร
วิธีทา หา k ก่อน
จาก
()
หา f
จาก √
( )√
ดงั น้นั มวลสั่นด้วยความถ่ี 3.18 เฮิรตซ์
แผนการจดั การเรยี นร้ทู ี่ 2 ชั้นมัธยมศึกษาปที ี่ 5
เวลา 9 ชว่ั โมง
กลมุ่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ 8 การเคลื่อนทแี่ บบฮารม์ อนิกอย่างงา่ ย เวลา 3 ชวั่ โมง
ภาคเรยี นที่ 1/2565
เร่อื ง แรงกับการสั่นของมวลติดปลายสปริงและลูกตมุ้ อย่างง่าย
ครผู สู้ อน นางสาวเลอื่ มประภสั ร์ สารพนั ธ์
1. มาตรฐานการเรยี นรู้
สาระฟิสิกส์ 2 เข้าใจการเคล่อื นที่แบบฮาร์มอนิกอย่างง่าย ธรรมชาตขิ องคลื่น เสยี งและการ ได้
ยนิ ปรากฏการณ์ท่เี กยี่ วข้องกับเสียง แสงและการเหน็ ปรากฏการณท์ เ่ี กย่ี วข้องกบั แสง รวมท้งั นาความรู้ไปใช้
ประโยชน์
2. ผลการเรยี นรู้
1.ทดลองและอธิบาย การเคล่ือนที่แบบฮารม์ อนกิ อยา่ งงา่ ยของวัตถุตดิ ปลายสปริงและลูกต้มุ อยา่ ง
ง่าย รวมทง้ั คานวณปริมาณต่างๆที่เกยี่ วข้อง
3. จดุ ประสงค์การเรยี นรู้
1) อธิบายการกระจดั และความเร็วการส่นั ของมวลตดิ ปลายสปรงิ (K)
2) ทดลองการเคล่ือนทแ่ี บบฮาร์มอนกิ อยา่ งง่ายของรถทดลองตดิ ปลายสปริง (P)
3) เปน็ ผู้มคี วามมุ่งมั่นในการทางานและมีความรบั ผดิ ชอบ (A)
4. สาระการเรยี นรู้
แรงกับการส่นั ของมวลติดปลายสปริงและลกู ตุ้มอย่างงา่ ย สาหรับการเคล่ือนทแ่ี บบฮาร์มอนิกอยา่ ง
งา่ ย จะมีแรงดึงวตั ถกุ ลับมายังตาแหน่งสมดลุ เรยี กแรงนีว้ ่า แรงดงึ กลับ ความถี่เชิงมมุ คาบ และความถ่ี ของ
การส่ันของมวลติดปลายสปริงสัมพนั ธก์ ับค่าคงตัวสปรงิ (k) มวลของวตั ถุ (m) กับตามสมการ
√
√
√
5. สาระสาคญั
การเคล่อื นท่แี บบฮารม์ อนิกอยา่ งง่าย ไดแ้ ก่ การสน่ั ของวตั ถตุ ดิ ปลายสปรงิ และการแกว่งของลูกตุ้ม
อย่างง่าย เมื่อวตั ถเุ คล่อื นที่จากตาแหนง่ สมดลุ จะมีแรงดึงวัตถกุ ลบั มายังตาแหนง่ สมดุล ซึ่งเป็นแรงท่ีทาให้วัตถุ
เคลอ่ื นท่ีกลบั ไป มาซ้าทางเดิม เรยี กแรงนีว้ ่า แรงดงึ กลับ (restoring force)
การสั่นของมวลติดปลายสปริง ความเรว็ ของมวลจะมที ิศทางเดียวกบั ทิศทางการกระจดั เสมอ แรงดงึ
กลับทดี่ งึ รถทดลองให้เคล่ือนท่กี ลับมายังตาแหน่งสมดุล คือ แรงทีส่ ปรงิ กระทาตอ่ รถทดลอง และแรงสปริง
กระทาต่อวตั ถุมีขนาดเท่ากับคา่ คงตัวสปริงกบั ขนาดการกระจดั แตม่ ีทิศตรงขา้ มกบั ทศิ ของการกระจัด
ตาม สมการ
เม่อื เป็นแรงดึงกลบั ของสปริง มหี นว่ ยเปน็ นิวตนั (N)
เป็นค่าคงตวั ของสปรงิ มีหนว่ ย นิวตนั ตอ่ เมตร (N/m)
เป็นการกระจัดของวตั ถุ มีหน่วย เมตร (m)
6. กิจกรรมการเรียนรู้ (รปู แบบการจัดการเรยี นรู้แบบ 5E)
ข้นั ที่ 1 ขั้นนาเข้าสู่บทเรยี น (Engagement Phase)
1.1 ผู้สอนนาเข้าส่บู ทเรยี น ด้วยการทาคาถามเกย่ี วกับการเคล่อื นท่ีของสปริงและการแกว่งของลูกตุ้ม
1.2 ผเู้ รียนและผูส้ อนรว่ มกนั อภิปรายเกยี่ วกบั ลกั ษณะการเคล่อื นท่ีของมวลติดปลายสปริงและ
สมการท่ีเก่ียวขอ้ ง (เปดิ โอกาสใหน้ กั เรยี นไดแ้ สดงความคดิ เหน็ )
ขั้นที่ 2 ขนั้ สารวจและค้นพบ (Exploration Phase)
2.1 ผูส้ อนให้ผู้เรียนศกึ ษาหา คาบ ความถี่ คา่ นิจสปริง และมวลของการเคล่ือนท่ีของวตั ถุตดิ ปลาย
สปริง โดยทากิจกรรมท่ี 1 การเคลื่อนท่ีของวตั ถุติดปลายสปริง
2.1 ผสู้ อนให้ผู้เรยี นบันทึกผลการทดลองลงในใบกิจกรรมท่ี 1 การเคล่ือนที่ของวัตถตุ ดิ ปลายสปริง
และ ตอบคาถามทา้ ยกิจกรรม
ขน้ั ท่ี 3 ขน้ั อธิบายและลงข้อสรุป ( Explanation Phase)
3.1 ผู้สอนและผู้เรียนรว่ มกันอภิปรายผลการทากจิ กรรมที่ 1 การเคล่ือนที่ของมวลติดปลายสปรงิ
ขน้ั ท่ี 4 ขน้ั ขยายความรู้ (Expansion Phase)
4.1 ผสู้ อนอภปิ รายต่อเกยี่ วกับคาถามทา้ ยกิจกรรม โดยสรปุ ได้วา่
1) ปจั จัยท่สี ง่ ผลตอ่ คาบและความถ่ีในการเคล่ือนทขี่ องวัตถุตดิ ปลายสปรงิ คือค่านิจสปรงิ และมวลเท่าน้ัน
2) ถ้าต้องการเพม่ิ คาบการสั่นของวัตถุติดปลายสปริงสามารถทาโดยการเพิ่มมวลหรอื ลดขนาดสปรงิ ใหม้ คี ่านิจ
สปริงทน่ี อ้ ยลง
3) ถา้ ต้องการเพิม่ ความถี่เชิงมุมของวัตถุตดิ ปลายสปริงทาได้โดยการเพ่ิมขนาดสปริงหรือลดมวล
ขน้ั ท่ี 5 ข้ันประเมนิ (Evaluation)
5.1 ประเมนิ ความรู้ โดยให้ผู้เรียนตอบคาถามท้ายกิจกรรมการทดลอง
5.2 ประเมินทักษะการคานวณปริมาณต่าง ๆ จากกจิ กรรมท่ี 1 การเคล่ือนท่ีของวัตถุตดิ ปลายสปรงิ
7. ส่อื /แหลง่ การเรยี นรู้
7.1 หนังสือเรียน รายวิชาเพ่ิมเติม ฟิสิกส์ 3 (สสวท.)
7.2 สมุดบนั ทึกของผูเ้ รยี น
7.3 PowerPoint ประกอบการสอน เรอ่ื ง การเคลอ่ื นท่ขี องสปรงิ และการแกว่งของลูกตุ้ม
7.4 แบบบันทกึ ผลการทดลองที่ 1 การเคลอ่ื นท่ีของวตั ถุติดปลายสปริง
8. วธิ ีการวัดและประเมินผล วิธกี ารวัดและประเมนิ ผล
จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ วธิ ีการวัด เครือ่ งมอื ท่ใี ช้ เกณฑก์ าร
วัด ประเมนิ
1) อธิบายการกระจดั และความเร็วการสั่น
ของมวลติดปลายสปริง (K) การตอบคาถาม คาถาม ผา่ นเกณฑ์ใน
2) ทดลองการเคล่ือนที่แบบฮารม์ อนิก ระดับดีขึ้นไป
อยา่ งงา่ ยของรถทดลองตดิ ปลายสปรงิ (P)
3) เปน็ ผู้มคี วามมุง่ ม่ันในการทางานและมี การทาการ การทดลอง ผ่านเกณฑ์ร้อย
ความรับผิดชอบ (A) ทดลอง ละ 70 ขน้ึ ไป
การทาแบบ แบบบนั ทกึ ผล ผา่ นเกณฑร์ ้อย
บนั ทึกผลการ การทดลอง ละ 70 ข้ึนไป
ทดลอง
บกั ทกึ ผลหลงั จากการจัดการเรียนรู้
1. ผลการจดั การเรยี นการสอน
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
2. ปญั หาและอปุ สรรคในการจัดการเรยี นการสอน
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
3. ขอ้ เสนอแนะและแนวทางการแก้ไข
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
4. บกั ทึกหลงั การสอน
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงช่ือ………………………………………………………………
(……………………………………………………………)
ผู้สอน
5. ความคดิ เห็นของครูพีเ่ ลี้ยง
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงช่อื ………………………………………………………………
(……………………………………………………………)
ครูพเ่ี ล้ียง
5. ความคดิ เห็นของบรหิ ารวิชาการ
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงชอ่ื ………………………………………………………………
(……………………………………………………………)
ฝา่ ยบรหิ ารวชิ าการ
6. ความคิดเห็นของผ้บู ริหารสถานศกึ ษา
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงชื่อ………………………………………………………………
(……………………………………………………………)
ผบู้ ริหารสถานศกึ ษา
แบบสงั เกตพฤติกรรมในชน้ั เรยี น
คาชีแ้ จง: ใหค้ ะแนน 1-3 ที่ตรงกบั ระดบั พฤตกิ รรมท่นี กั เรียนแสดงออกตามเกณฑ์การประเมินท่ีกาหนด
พฤติกรรมท่สี ังเกต กล่มุ ท่ี
12345
1. เขา้ หอ้ งเรยี นตรงเวลา
2. มสี ่วนร่วมในการแสดงความคิดเหน็
3. มีความกระตือรือร้นในการทากจิ กรรม
4. มกี ารช่วยเหลือกนั
5. รับผิดชอบในงานท่ไี ดร้ ับมอบหมาย
รวม
เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน
พฤติกรรมทท่ี าเป็นประจา 3 คะแนน
พฤติกรรมทที่ าเป็นบางครง้ั 2 คะแนน
พฤติกรรมท่ีทาน้อยคร้ัง 1 คะแนน
คะแนนตัดสนิ ระดบั คุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดบั คุณภาพ สรุปผลการประเมินผลทัง้ ชนั้ เรียน
อยูใ่ นเกณฑ์………………………….
11-15 ดี ผ่าน ไม่ผ่าน
6-10 พอใช้
1-5 ปรับปรงุ
ลงชื่อ………………………………………………………………
(……………………………………………………………)
ผ้สู อน
แบบบนั ทึกผลการทดลอง เรอ่ื ง การเคล่ือนทข่ี องวัตถตุ ิดปลายสปริง
ชือ่ -สกลุ ………………………………………………………………เลขที่…………….ม.5/………
จดุ ประสงค์
1.หาคาบ ความถี่ ค่านิจสปริง และมวลของการเคลื่อนที่ของวัตถุติดปลายสปรงิ
2.อธิบายปจั จัยทสี่ ่งผลต่อการเคลื่อนที่ของวัตถตุ ิดปลายสปริง
วัสดแุ ละอุปกรณ์
1.โทรศพั ท์มือถือ
2.แบบจาลองมวลและสปรงิ จาก https://phet.colorado.edu/sims/htm/masses-and springs/
latest/ masses- and- springs_ th. Html
วธิ กี ารทากจิ กรรม
1.เขา้ เวบ็ ไซต์ https://phet.colorado.edu/sims/htm/masses-and springs/ latest/ masses-
and- springs_ th. Html ในโทรศัพท์มอื ถอื
2.กดเลือกหนา้ ต่าง “ปฏิบตั ิการ”
3.ทาการเลือก ในชอ่ งการกระจดั และความยาวตามปกติ
4.ทส่ี เกลแดมพ์ ให้เล่ือนไปที่ “ไม่มี”
ตอนท่ี 1 หาค่านจิ สปรงิ
1.ให้นกั เรียน หาค่านจิ สปริง (k) ทม่ี วล 100 กรมั และ 300 กรัม
ตอนท่ี 2 หามวลตามเง่อื นไขทีก่ าหนดให้
1.ให้นกั เรียนหามวลของก้อนสชี มพูและมวลก้อนสฟี ้าในหน่วยกรมั
บันทึกผลการทากจิ กรรม
ตอนท่ี 1 หาคา่ นิจสปริง
1.ใหน้ ักเรียน หาค่านิจสปรงิ (k) ทมี่ วล 100 กรัม และ 300 กรัม
1.1 หาคาบและความถ่ีในการเคลอื่ นที่ของมวล 100 กรมั
คร้งั ท่ี เวลาในการเคลอื่ นทคี่ รบ 10 รอบ คาบ ความถี่
1
2
3
เฉล่ีย
1.2 หาค่านิจสปริง (k) ทมี่ วล 100 กรัม
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
1.3 หาคาบและความถ่ีในการเคลอื่ นท่ีของมวล 300 กรัม คาบ ความถี่
ครง้ั ท่ี เวลาในการเคลอ่ื นที่ครบ 10 รอบ
1
2
3
เฉล่ยี
1.4 หาค่านจิ สปริง (k) ท่ีมวล 300 กรัม
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ตอนที่ 2 หามวลตามเง่ือนไขที่กาหนดให้
2.ใหน้ กั เรียนหามวลของก้อนสีชมพแู ละมวลก้อนสฟี ้าในหนว่ ยกรมั
2.1 หาคาบและความถ่ีในการเคลอ่ื นท่ีของมวลกอ้ นสชี มพู
คร้ังท่ี เวลาในการเคลือ่ นท่ีครบ 10 รอบ คาบ ความถี่
1
2
3
เฉล่ยี
2.2 หามวลของกอ้ นสีชมพใู นหนว่ ยกรัม
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
2.3 หาคาบและความถ่ีในการเคล่ือนท่ีของมวลกอ้ นสีฟา้
คร้งั ที่ เวลาในการเคล่ือนท่ีครบ 10 รอบ คาบ ความถี่
1
2
3
เฉลี่ย
2.4 หามวลของก้อนสีฟ้าในหนว่ ยกรัม
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
สรุปผลการทากิจกรรม
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
คาถามทา้ ยกิจกรรม
1.จากการทากจิ กรรมปัจจัยใดบา้ งทสี่ ง่ ผลตอ่ คาบและความถี่ในการเคล่อื นท่ขี องวตั ถตุ ิดปลายสปริง
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
2.ถ้าต้องการเพิม่ คาบการสน่ั ของวตั ถุติดปลายสปรงิ สามารถทาได้ดว้ ยวธิ ใี ดบ้าง
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
3.ถ้าต้องการเพิม่ ความถี่ของวัตถุติดปลายสปรงิ ทาได้ด้วยวิธใี ดบ้าง
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
แผนการจัดการเรียนรู้ท่ี 3 ชน้ั มธั ยมศึกษาปที ่ี 5
เวลา 9 ชว่ั โมง
กลมุ่ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เวลา 3 ชวั่ โมง
หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี 8 การเคล่ือนท่แี บบฮารม์ อนกิ อย่างง่าย
เรือ่ ง ความถธ่ี รรมชาตแิ ละการส่นั พอ้ งของวัตถุ ภาคเรียนที่ 1/2565
ครูผู้สอน นางสาวเลอ่ื มประภสั ร์ สารพันธ์
1. มาตรฐานการเรยี นรู้
สาระฟิสกิ ส์ 2 เขา้ ใจการเคล่ือนทีแ่ บบฮาร์มอนกิ อย่างง่าย ธรรมชาตขิ องคลื่น เสียงและการ ได้
ยนิ ปรากฏการณท์ ี่เก่ยี วข้องกับเสยี ง แสงและการเหน็ ปรากฏการณ์ทีเ่ ก่ียวข้องกับแสง รวมทง้ั นาความรู้ไปใช้
ประโยชน์
2. ผลการเรียนรู้
2. อธิบายความถธี่ รรมชาตขิ องวตั ถุและการเกิดการสน่ั พอ้ ง
3. จุดประสงค์การเรียนรู้
1) อธิบายความหมายของความถ่ธี รรมชาติของวัตถุได้ (K)
2) สามารถทากิจกรรม เรื่อง ความถี่ธรรมชาติและการส่นั ของวัตถุได้ (P)
3) คานวณหาค่าความถธี่ รรมชาติของวตั ถุได้ (P)
4) เป็นผูม้ คี วามมุ่งมน่ั ในการทางานและมีความรับผดิ ชอบ (A)
4. สาระการเรียนรู้
เม่ือใหว้ ตั ถุสั่นหรือแกวง่ อย่างอสิ ระ เชน่ การเคลื่อนท่แี บบฮารม์ อนิกอย่างงา่ ยในวตั ถุติดสปรงิ หรือ
ลูกต้มุ อยา่ งง่าย วัตถจุ ะสั่นหรือแกวง่ ด้วยความถีเ่ ฉพาะตวั ค่าหน่ึง เรยี ก ความถี่ธรรมชาติ (natural
frequency) เมอ่ื วัตถถุ ูกกระตุ้นตอ่ เน่ืองใหส้ นั่ อย่างอสิ ระด้วยแรงหรอื พลงั งานท่มี ีความถ่ีเท่ากบั หรือใกล้เคียง
กับความถ่ีธรรมชาติของวัตถุ วัตถุนัน้ จะสน่ั ด้วยความถ่ีธรรมชาติของวัตถุน้ันและส่ันด้วยแอมพลจิ ดู ทคี่ ่ามาก
เรียกปรากฏการณน์ วี้ า่ การส่ันพอ้ ง (resonance)
5. สาระสาคัญ
1) ความถี่ธรรมชาติเป็นความถ่ใี นการสนั่ สะเทือนของวตั ถุท่ีทาให้วตั ถุสัน่ หรือแกว่งอย่างอิสระ การ
เกดิ ความถี่ธรรมชาติได้จากส่ิงของต่างๆ ที่อย่รู อบตวั ภายในการใช้ชีวติ ประจาวัน โดยประเภทแรกท่ีสามารถ
พบไดบ้ ่อยๆ คือ ความถีธ่ รรมชาติในการแกว่งของลกู ตมุ้ นาฬิกา โดยเมื่อใหล้ กู ตุ้มนาฬิกาทถ่ี กู แขวน ไว้ด้วย
เชือกแกวง่ อยา่ งอสิ ระ
2) การสน่ั พ้อง คือ เป็นปรากฏการณท์ ่รี ะบบกวดั แกวง่ หนงึ่ ๆ ถกู กระทาโดยแรงขบั เคล่ือนภายนอกที่
มีความถีเ่ ท่ากับความถีธ่ รรมชาตขิ องระบบ แล้วทาให้แอมพลจิ ดู ในการกวดั แกว่งของระบบนน้ั ๆ เพิม่ มาก
ขึน้ จะเรยี กความถ่ีของแรงขับเคล่ือนที่ใช้กระตนุ้ ว่า ความถี่ส่นั พอ้ ง
2.1) การสนั่ พ้องด้วยแรง หมายถึง การส่นั พ้องท่เี กิดขน้ึ โดยการออกแรงกระทากับวตั ถุ เป็น
จงั หวะทม่ี คี วามถี่เท่ากับความถีธ่ รรมชาตขิ องวตั ถุเป็นเวลานาน เช่น เมือ่ ลมพัดท่คี วามเร็วคงตวั คา่ หนงึ่ เป็น
เวลานาน ซึง่ แรงลมพอดกี บั ความถธี่ รรมชาตขิ องสะพาน ทาให้สะพานเกดิ การสน่ั พ้อง แอมพลจิ ดู ของ การสัน่
ทีม่ ากขนึ้ ทาให้สะพานขาด
2.2) การสน่ั พ้องดว้ ยคล่นื หมายถึง การสัน่ พอ้ งท่เี กดิ ขน้ึ โดยการสง่ คล่นื ท่ีมคี วามถเ่ี ทา่ กับ
ความถธ่ี รรมชาติของวัตถุกระทบกบั วัตถเุ ปน็ เวลานาน
3) การแกวง่ อย่างอิสระของลูกตมุ้ เมื่อออกแรงเพียงครั้งเดียวจะไม่เกิดการส่ันพ้อง ทาใหว้ ัตถจุ ะหยุด
แกวง่ ในทสี่ ุด
4) การแกว่งอยา่ งอิสระของลูกตมุ้ เม่ือออกแรงผลักท่ีความถีใ่ ดๆ จะไมเ่ กดิ การสั่นพ้องทาใหว้ ัตถุ แกว่ง
ด้วยความถี่เทา่ กบั แรงทีผ่ ลกั
5) การแกว่งอย่างอิสระของลูกตุ้มเมื่อออกแรงผลกั ดว้ ยความถ่ีธรรมชาติของวตั ถุจะเกดิ การส่นั พ้อง
ทาใหว้ ตั ถแุ กว่งดว้ ยความถธ่ี รรมชาตแิ ละแอมพลิจูดเพิ่มมากข้ึนเร่อื ยๆ เรยี กวา่ ปรากฏการณ์นี้ว่า การส่ันพ้อง
6. กิจกรรมการเรียนรู้ (รูปแบบการจดั การเรียนรู้แบบ 5E)
ขั้นท่ี 1 ขนั้ นาเขา้ สู่บทเรียน (Engagement Phase)
1.1 ผู้สอนนาเข้าส่หู ัวข้อความถ่ีธรรมชาติและการส่นั พ้อง โดยผู้สอนทบทวนความหมายของความถี่
และคาบการสน่ั ของมวลติดปลายสปรงิ และลกู ตุ้มอย่างง่าย
1.2 ผู้สอนตั้งคาถามเพอื่ นาเข้าสกู่ ารทากจิ กรรม
1) หากตอ้ งการผลักเขา้ ใหแ้ กวง่ สูงขน้ึ กวา่ เดมิ จะต้องออกแรงผลักอยา่ งไร
2) ถา้ การแกวง่ อย่างอสิ ระของลูกตุ้มเมื่อออกแรงเพียงคร้งั เดียวลูกต้มุ จะเคลอ่ื นดว้ ยความถีอ่ ยา่ งไร
3) ถา้ การแกว่งอยา่ งอิสระของลูกตุม้ เมื่อออกแรงผลกั ท่ีความถี่ใด ๆ ลกู ตุ้มจะเคลื่อนดว้ ยความถ่ีอยา่ งไร
4) ถ้าการแกวง่ อย่างอสิ ระของลูกตมุ้ เม่ือออกแรงผลักดว้ ยความถ่ธี รรมชาติของวตั ถุลูกตุ้มจะเคล่ือนดว้ ย
ความถี่อยา่ งไร
ข้ันท่ี 2 ข้ันสารวจและคน้ พบ (Exploration Phase)
2.1 ผ้สู อนให้ผู้เรยี นศึกษาการสน่ั พ้องและหาคาตอบท่ีผ้สู อนถาม จากอนิ เตอร์เนต็ และหนงั สือเรยี น
1) เมื่อลูกตุ้มใหญ่แกว่ง ลูกตุ้มขนาดเลก็ มกี ารเปลี่ยนแปลงอย่างไร
2) ลูกตุ้มขนาดเล็ก ลกู ใดมีการกระจดั มากทสี่ ดุ
3) ในการกระตนุ้ ให้วตั ถุสนั่ อยา่ งอสิ ระพบว่าทุกครงั้ วตั ถุสั่นด้วยความถีค่ ่าเดิมเสมอความถ่ีน้ี เรยี กวา่ อะไร
4) การทล่ี ูกตุ้มท่ีมีความยาวเชอื กเทา่ กบั ลูกตุ้มลูกใหญ่แกว่งดว้ ยกระกระจัดมากท่สี ดุ เพราะเกิดปรากฏการณ์
ใด
ขน้ั ท่ี 3 ขั้นอธบิ ายและลงขอ้ สรุป ( Explanation Phase)
3.1 ผู้สอนและผู้เรยี นร่วมกันอภปิ รายโดยใช้คาถามต่อไปน้ี
1) เม่ือลกู ตุ้มใหญแ่ กวง่ ลูกตุ้มขนาดเล็กมีการเปลยี่ นแปลงอย่างไร (แนวคาตอบ เม่ือลกู ตุ้มขนาดใหญ่แกวง่
ลูกตมุ้ ขนาดเล็กแกวง่ และลูกตุม้ ขนาดเลก็ ที่มีความยาวเชอื กใกลเ้ คียงกบั ความยาวเชือกของลูกตมุ้ ขนาดใหญ่
แกว่งกว้างจากเดิมมากที่สดุ )
2) ลกู ตมุ้ ขนาดเล็กลูกใดมกี ารกระจัดมากท่ีสดุ (แนวคาตอบ ลูกตุม้ ขนาดเล็กท่มี ีความยาวเชือกใกล้เคียงกบั
ลกู ตุ้มขนาดใหญม่ ีการกระจัดมากทีส่ ุด)
3) ในการกระตุ้นใหว้ ัตถสุ ่นั อย่างอิสระพบว่าทุกครง้ั วตั ถุส่ันดว้ ยความถ่ีเทา่ เดมิ เสมอความถ่ีนี้ เรียกวา่ อะไร
(แนวคาตอบ ความถีธ่ รรมชาต)ิ
4) การที่ลูกตุ้มท่มี ีความยาวเชือกเทา่ กับลูกตุ้มลกู ใหญ่แกว่งดว้ ยกระกระจดั มากที่สดุ เพราะเกิดปรากฏการณ์
โด (แนวคาตอบ การส่ันพ้อง)
3.2 ผู้สอนและผูเ้ รยี นรว่ มกนั อภปิ รายและสรุป จนได้ข้อสรุป ดังน้ี ความถธ่ี รรมชาติเป็นความถ่ใี นการ
สน่ั สะเทอื นของวัตถุที่ทาให้วตั ถสุ ่ันหรือแกว่งอย่าง อิสระ การเกิดความถธี่ รรมชาติได้จากส่ิงของตา่ งๆ ท่ีอยู่
รอบตวั ภายในการใช้ชวี ิตประจาวัน โดยประเภทแรกทีส่ ามารถพบได้บ่อยๆ คือความถธี่ รรมชาตใิ นการแกวง่
ของลูกตุ้มนาฬกิ าโดยเมื่อให้ลูกตมุ้ นาฬิกาที่ถกู แขวนไวด้ ้วยเชือกแกวง่ อย่างอิสระ
ข้นั ท่ี 4 ขั้นขยายความรู้ (Expansion Phase)
4.1 ผูส้ อนเปิดวดิ ีโอ การส่นั พอ้ งในตึกสูง ไทเป 101 และนานักเรียนอภิปรายต่อเกย่ี วกับตึกไทเป
101 เปน็ ตึกสงู ในเมืองไทเป ประเทศไตห้ วันมีความสงู 509.2 เมตร ไต้หวนั อยู่ในบรเิ วณทเี่ กิดไตฝ้ ่นุ และ
แผน่ ดินไหวอยู่เสมอซงึ่ เป็นอนั ตรายต่อตวั ตกึ วิศวกรจึงออกแบบตกึ ไทเป 101 ให้ทนทานต่อภยั ธรรมชาติ
เหล่าน้ีโดยตดิ ตง้ั ตัวหน่วง (damper) ซึ่งมีชน้ิ ส่วนสาคญั คอื ลกู ตุ้ม เหล็กกลา้ (steel pendulum) ทมี่ เี ส้นผ่าน
ศนู ย์กลาง 5.5 เมตร มวล 660000 กโิ ลกรัม แขวนอยู่ในช่วงช้ัน 87 ถงึ ข้นั 92 อปุ กรณ์นี้จะทาหนา้ ท่ีดดู กลนื
พลังงานเพื่อลดหรือตา้ นการสนั่ โครงสร้างตึกจึงไมเ่ สียหายถ้าตึกสูงมากไมม่ ตี วั ดดู ซับหรือลดทอนพลังงาน
พลงั งานจากพายุและแผ่นดินไหวจะถา่ ยโอนอย่างต่อเน่ืองเข้าสตู่ ัวตกึ ทาให้แอมพลจิ ูดของการส่ันกวา้ ง ถา้
ความถ่ขี องการสนั่ ตรงกับความถ่ีธรรมชาตขิ องตึกจะเกิดการส่ันพ้องจนสามารถทาลายตึกได้ตัวหนว่ งของตึก
ไทเป 101 มีขนาดใหญท่ ีส่ ุดในโลกจึงเป็นส่ิงดงึ ดดู นักท่องเทีย่ วทเ่ี ขา้ ชมตึกจะต้องไปชม
4.2 ผู้สอนเปิดวดิ ีโอ การสนั่ พ้องของสะพานทาโคมานารโ์ รว์ และนานกั เรียนอภปิ รายต่อเกีย่ วกับ
การสั่นพ้องของสะพานว่าบางคนคงเคยข้ามสะพานแขวน (Suspension bridge) ขนาดเลก็ สาหรับเดินข้าม
คลอง ขณะเดินขา้ มบางครง้ั จะรู้สกึ วา่ สะพานสน่ั ไหวนอกจากนเี้ ม่ือมลี มเขา้ ปะทะก็อาจทาให้สะพานส่นั มากข้ึน
แต่เม่ือใดท่ีจังหวะการปะทะของลมหรือจังหวะการเดินของคนตรงกบั ความถ่ธี รรมชาตขิ องสะพาน จะเกดิ การ
สน่ั พ้องแอมพลิจดู มีชว่ งกว้างมากจนสะพานอาจเสียหายได้ นอกจากนสี้ ะพานลอยคนข้ามถนนที่มีโครงสรา้ ง
เหลก็ และมีความยาว มาก (เช่น ข้ามถนน 8 ช่องทางจราจร) ในกรุงเทพมีรถบรรทุกเล่นใต้สะพานหรอื คนเดิน
ข้ามบางคร้ังจะร้สู ึกว่าสะพานสนั่ น้อย ๆ เช่นกัน
การส่นั ของสะพานขนาดใหญ่ที่น่าต่นื เต้นท่สี ุดเกิดขึ้นกับสะพานทาโคมานาร์โรว์ (Tacoma narrow's
bridge) ใกล้เมืองซีแอตเติล มลรัฐวอชิงตนั สหรัฐอเมริกา สะพานนีเ้ ปน็ สะพานแขวน (suspension) มีความ
ยาวทงั้ หมด 1810 เมตร ชว่ งกลางมีความยาว 853.4 เมตร ถูกลมจากทะเลเขา้ ปะทะทาให้ พน้ื สะพานบิดตัว
กลบั ไปมาและ ในตอนเชา้ วันที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2483 ลมที่เข้าปะทะมีอตั ราเรว็ 64 กโิ ลเมตร ต่อทาให้พนื้
สะพานสัน่ อยา่ งรุนแรงและพังลง นกั วิทยาศาสตร์และวิศวกรได้อธบิ ายวา่ การปะทะของลมทาให้พน้ื สะพานสนั่
ตรงกบั ความถ่ีธรรมชาติของสะพาน เกิดการสัน่ พ้องจนทาใหส้ ะพานพังเหตุการณน์ ี้ทาให้การออกแบบสะพาน
ที่มคี วามยาวมาก (long-span bridge) ตอ้ งคานงึ ถึงการส่ันพ้องทจี่ ะเกิดกับตวั สะพาน สะพานทาโคมานาร์
โรวใ์ หมถ่ ูกสร้างข้ึนในบรเิ วณเดิมในอีก 10 ปีต่อมา
ขัน้ ท่ี 5 ขั้นประเมนิ (Evaluation)
5.1 ประเมนิ ความรู้โดยให้ผู้เรยี นตอบคาถามทผ่ี ู้สอนได้ถามเกี่ยวกบั ความถธี่ รรมชาตแิ ละการสั่น
พอ้ ง
5.2 ประเมนิ ทักษะการคานวณปรมิ าณต่าง ๆ จากการทาแบบฝกึ หัดในเอกสารประกอบการเรียน
รายวชิ าฟิสกิ ส์ เรื่อง ความถ่ธี รรมชาติและการส่นั พอ้ ง
7. สอื่ /แหล่งการเรียนรู้
7.1 เอกสารประกอบการเรยี น รายวิชาฟสิ กิ ส์ เร่อื ง ความถธี่ รรมชาติและการส่ันพอ้ ง
7.2 วิดีโอความถธ่ี รรมชาติและการสนั่ พ้อง
7.3 วดิ ีโอการสนั่ พ้องในตึกสูง ไทเป 101
7.4 วิดีโอการสัน่ พ้องของสะพานทาโคมานารโ์ รว์
8. วธิ ีการวดั และประเมนิ ผล วธิ กี ารวดั และประเมินผล
จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ วธิ ีการวดั เครอื่ งมือทใ่ี ช้วัด เกณฑ์การประเมนิ
1) อธิบายความหมายของความถ่ธี รรมชาติ การตอบคาถาม คาถาม ตอบคาถามถกู ต้องร้อย
ของวัตถุได้ (K) ละ 70 ขน้ึ ไป
2) สามารถทากจิ กรรม เรื่อง ความถ่ี
ธรรมชาตแิ ละการสนั่ ของวัตถุได้ (P) การทากจิ กรรม กจิ กรรม ผ่านเกณฑ์ในระดับดี
ขน้ึ ไป
3) คานวณหาคา่ ความถธี่ รรมชาติของวตั ถุ
ได้ (P) การทาแบบฝึก แบบฝกึ ทักษะ ตอบคาถามถกู ต้องร้อย
4) เปน็ ผู้มคี วามมุ่งมนั่ ในการทางานและมี ทกั ษะ ละ 70 ขน้ึ ไป
ความรับผิดชอบ (A) แบบสังเกต
สงั เกตพฤตกิ รรม พฤติกรรม ผา่ นเกณฑ์ในระดับดี
ในช้นั เรยี น ขึ้นไป
บกั ทกึ ผลหลงั จากการจัดการเรียนรู้
1. ผลการจดั การเรยี นการสอน
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
2. ปญั หาและอปุ สรรคในการจัดการเรยี นการสอน
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
3. ขอ้ เสนอแนะและแนวทางการแก้ไข
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
4. บกั ทึกหลงั การสอน
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงช่ือ………………………………………………………………
(……………………………………………………………)
ผู้สอน
5. ความคดิ เห็นของครูพีเ่ ลี้ยง
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงช่อื ………………………………………………………………
(……………………………………………………………)
ครูพเ่ี ล้ียง
5. ความคดิ เห็นของบรหิ ารวิชาการ
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงชอ่ื ………………………………………………………………
(……………………………………………………………)
ฝา่ ยบรหิ ารวชิ าการ
6. ความคิดเห็นของผ้บู ริหารสถานศกึ ษา
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงชื่อ………………………………………………………………
(……………………………………………………………)
ผบู้ ริหารสถานศกึ ษา
แบบสงั เกตพฤติกรรมในชน้ั เรยี น
คาชีแ้ จง: ใหค้ ะแนน 1-3 ที่ตรงกบั ระดบั พฤตกิ รรมท่นี กั เรียนแสดงออกตามเกณฑ์การประเมินท่ีกาหนด
พฤติกรรมท่สี ังเกต กล่มุ ท่ี
12345
1. เขา้ หอ้ งเรยี นตรงเวลา
2. มสี ่วนร่วมในการแสดงความคิดเหน็
3. มีความกระตือรือร้นในการทากจิ กรรม
4. มกี ารช่วยเหลือกนั
5. รับผิดชอบในงานท่ไี ดร้ ับมอบหมาย
รวม
เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน
พฤติกรรมทท่ี าเป็นประจา 3 คะแนน
พฤติกรรมทที่ าเป็นบางครง้ั 2 คะแนน
พฤติกรรมท่ีทาน้อยคร้ัง 1 คะแนน
คะแนนตัดสนิ ระดบั คุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดบั คุณภาพ สรุปผลการประเมินผลทัง้ ชนั้ เรียน
อยูใ่ นเกณฑ์………………………….
11-15 ดี ผ่าน ไม่ผ่าน
6-10 พอใช้
1-5 ปรับปรงุ
ลงชื่อ………………………………………………………………
(……………………………………………………………)
ผ้สู อน
แผนการจัดการเรยี นรทู้ ่ี 4 ช้นั มัธยมศกึ ษาปีที่ 5
เวลา 18 ชัว่ โมง
กลมุ่ สาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เวลา 2 ชั่วโมง
หนว่ ยการเรยี นรูท้ ี่ 9 คลืน่
เรือ่ ง การเกดิ คลื่นและชนิดของคล่นื ภาคเรยี นท่ี 1/2565
ครูผสู้ อน นางสาวเลอื่ มประภัสร์ สารพันธ์
1. มาตรฐานการเรียนรู้
สาระฟิสิกส์ 2 เขา้ ใจการเคล่ือนท่แี บบฮาร์มอนกิ อย่างงา่ ย ธรรมชาติของคล่ืน เสียงและการ ได้
ยนิ ปรากฏการณท์ ีเ่ กย่ี วข้องกับเสียง แสงและการเห็น ปรากฏการณ์ทเี่ กีย่ วข้องกบั แสง รวมทั้งนาความรู้ไปใช้
ประโยชน์
2. ผลการเรยี นรู้
3. อธิบายปรากฏการณ์คลน่ื ชนิดของคลน่ื ส่วนประกอบของคลื่น การแผ่ของหน้าคลื่นดว้ ยหลกั การ
ของ ฮอยเกนส์ และการรวมกันของคลืน่ ตามหลกั การซ้อนทับ พร้อมทงั้ คานวณอัตราเรว็ ความถี่ และความ
ยาวคลน่ื
3. จุดประสงค์การเรยี นรู้
1) อธิบายปรากฏการณค์ ลนื่ และลกั ษณะของคล่นื ชนิดต่างๆ (K)
2) สามารถหากิจกรรม เร่อื ง คลนื่ ในสปริง (P)
3) เปน็ ผมู้ คี วามมุ่งมัน่ ในการทางานและมีความรบั ผิดชอบ (A)
4. สาระการเรยี นรู้
คล่นื เปน็ ปรากฏการณ์การถ่ายโอนพลังงานจากท่ีหน่งึ ไปอีกทีห่ น่งึ คล่นื ทีถ่ า่ ยโอนพลังงานโดยต้อง
อาศัยตัวกลาง เรยี กว่า คลื่นกล ส่วนคล่ืนแมเ่ หลก็ ไฟฟา้ ถ่ายโอนพลงั งานโดยไมต่ ้องอาศยั ตัวกลาง นอกจากน้ยี ัง
จาแนกชนดิ ของคลื่นออกเปน็ สองชนิด ไดแ้ ก่ คลนื่ ตามยาวและคล่นื ตามขวาง คลืน่ ทีเ่ กิดจากแหลง่ กาเนิดคลนื่
ทสี่ ง่ คลืน่ อย่างตอ่ เนื่องและมีรูปแบบที่ซ้ากันบรรยายได้ด้วยการกระจัด สันคล่นื ท้องคลื่น เฟส ความยาวคล่ืน
ความถี่ คาบ แอมพลิจดู และอตั ราเร็ว โดยอตั ราเร็ว ความถี่ และความยาวคลืน่ มคี วามสัมพนั ธ์ตามสมการ
5. สาระสาคัญ
การทาใหเ้ กดิ คลื่นเป็นการรบกวนตวั กลาง เช่น การหยดน้าจากท่สี ูงลงบนผวิ นา้ ท่ีอยูน่ ่ิงจะเกิดคลืน่
วงกลมแผ่ขยายออกไป การเกิดคลนื่ ประกอบด้วยสิง่ ท่รี บกวนตวั กลาง คอื แหลง่ กาเนดิ คลื่นตวั กลางทีพ่ ลงั งาน
ถ่ายโอนผ่านทาให้อนุภาคของตัวกลางมีการส่ันแลว้ ถ่ายโอนพลังงานให้กับอนภุ าคข้างเคียงต่อเนื่องกนั ไป ซึ่ง
ตา่ งจากการถ่ายโอนพลังงานของวัตถุเคลื่อนที่
คล่นื จะส่งผ่านพลังงานผ่านเน้ือสารหรืออนภุ าคของตัวกลางโดยทอ่ี นุภาคไม่ได้เคลื่อนทไ่ี ปพรอ้ มดว้ ย
กับการส่งผา่ นของพลงั งานนั้น
คล่ืนที่พบในธรรมชาติมหี ลายลักษณะ ในหลายตัวกลาง สามารถแบ่งแยกชนดิ ของคลน่ื โดยอาศยั
ตัวกลางไดด้ งั นี้
1) คล่ืนท่ตี ้องอาศยั ตัวกลางในการส่งผา่ นพลังงานจึงแผ่ไปได้เรียกคล่นื ชนิดนีว้ า่ คล่นื กล
(mechanical waves) ในขณะท่สี ่งผ่านพลงั งานจะทาใหอ้ นภุ าคของตวั กลางเคลื่อนที่กลับไปกลับมา ได้แก่
คล่นื ในสปรงิ คลื่นแผน่ ดินไหว คลื่นเสยี ง เป็นต้น
2) คล่นื ท่ีไม่ต้องอาศยั ตัวกลางในการแผ่หรือเปน็ คล่นื ที่สามารถแผไ่ ปในบรเิ วณท่เี ปน็ สญุ ญากาศได้
เรียกคลน่ื ชนดิ นวี้ ่า คล่นื แมเ่ หลก็ ไฟฟา้ (electromagnetic waves) ซงึ่ เป็นการเปลย่ี นแปลงกลับไปกลบั มา
ของสนามไฟฟา้ และสนามแม่เหลก็ ท่ีแผอ่ อกไปพรอ้ มๆกัน เช่น คล่นื วิทยุ ไมโครเวฟ อินฟราเรด แสงที่ตา
มองเห็น อัลตราไวโอเลต รังสีเอ็กซ์
คลื่นที่แบง่ ชนิดของคลื่นตามลักษณะการส่ันของอนภุ าคเปน็ เกณฑ์ สามารถแบ่งได้ 2 ชนดิ ได้แก่
1. คลื่นตามยาว ซงึ่ มลี ักษณะของคลื่นคืออนภุ าคตวั กลางสนั่ ไปมาในแนวเดียวกับทศิ ทางการเคลอ่ื นทีข่ องคล่นื
เชน่ คล่ืนเสียง คลนื่ อัดของสปริง
2. คล่ืนตามขวาง ซึ่งมลี ักษณะของคล่ืนคืออนุภาคตวั กลางส้ันขึน้ ลงในแนวตง้ั ฉากกับทิศทางการเคล่ือนที่ของ
คลื่น เช่น คลน่ื นา้ คลืน่ ในเสน้ เชือก คลนื่ แมเ่ หล็กไฟฟ้า คลื่นในสปรงิ
คล่นื ที่แบ่งชนดิ ของคลืน่ ตามตามความต่อเนอื่ งของการให้กาเนิดคล่ืนเป็นเกณฑส์ ามารถแบง่ ได้
2 ชนดิ ไดแ้ ก่
1. คลืน่ ดล ซึ่งมลี ักษณะของคล่นื คอื เป็นคลืน่ ท่เี กิดจากการรบกวนตัวกลางแบบไม่ต่อเนื่องทาให้เกิด
คลื่น 1 -2 ลูก คลนื่
2.คลืน่ ต่อเนื่อง ซึ่งมลี ักษณะของคล่ืนคือเป็นคล่ืนท่ีเกิดจากการรบกวนตวั กลางแบบต่อเน่ือง ทาให้
เกิดคลน่ื หลายลูกคลื่นต่อเน่ืองกนั
6. กิจกรรมการเรียนรู้ (รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบ 5E)
ข้ันที่ 1 ข้นั นาเขา้ สู่บทเรียน (Engagement Phase)
1.1 ผสู้ อนนาเข้าสู่บทเรยี นโดยยกตวั อย่างการเกดิ คลื่นบนผิวน้าท่ีเราพบได้ในชวี ติ ประจาวนั
1.2 ผูส้ อนสรา้ งความสนใจผู้เรยี นโดยใช้คาถาม ดงั น้ี
1. คลน่ื คืออะไร (แนวคาตอบ: เป็นปรากฏการทเ่ี กิดจากการรบกวนแหล่งกาเนดิ หรือตวั กลางเกิดการ
ส่ันสะเทือน ทาใหม้ ีการแผห่ รือถ่ายโอนพลังงานจากการสนั่ สะเทือนไปยงั จดุ ต่างๆ โดยท่ีตวั กลางน้นั ไม่มกี าร
เคลื่อนที่ไปกบั คลืน่ )
2. คลื่นทผ่ี ู้เรียนรู้จักหรือพบเหน็ ในชวี ิตประจาวันมีอะไรบา้ ง (แนวคาตอบ: คลน่ื น้าในแม่น้า คลนื่ นา้ ใน ทะเล
คลนื่ เสยี ง คลื่นแสง เป็นต้น)
ขัน้ ท่ี 2 ขนั้ สารวจและคน้ พบ (Exploration Phase)
2.1 ผู้สอนให้ผู้เรยี นคน้ คว้าหาความรูเ้ กี่ยวกบั คลนื่ จากเอกสารประกอบการเรยี นและหนังสือเรียน
2.2 ผู้สอนให้ผู้เรียนดูวดี โี อการเกดิ คลนื่ ในสปรงิ
https://www.youtube.com/watch?v=bLsf8WhRG8M
2.3 ผสู้ อนต้ังคาถามเพือ่ ให้ผู้เรียนไปคน้ คว้าหาความรโู้ ดยใช้คาถาม ดงั น้ี
1. คลน่ื ในสปรงิ ส่งิ ใดเป็นแหล่งกาเนิดคล่ืนและตัวกลางที่ทาใหเ้ กิดคลน่ื คอื ส่ิงใด (แนวคาตอบ : คลนื่ ในสปริง
สิ่งทีอ่ อกแรงสะบดั สปริงเป็นแหล่งกาเนดิ คล่นื มีอนุภาคสปริงเป็นตัวกลางของคลนื่ )
2. เมอ่ื สะบัดปลายสปรงิ ในแนวตั้งฉากกับตัวสปริงเกดิ การเปล่ยี นแปลงอยา่ งไร (แนวคาตอบ : เมอ่ื สะบัด
ปลายสปริงในแนวตั้งฉากกบั ตัวสปรงิ จะเกิดคลนื่ เคล่อื นทผ่ี ่านตวั สปรงิ จากด้านทมี่ ีการสะบดั มือไปยงั ปลายอกี
ดา้ นหนง่ึ )
3. เมื่ออดั ปลายสปรงิ ในแนวตายาวของตัวสปรงิ เกิดการเปล่ียนแปลงอย่างไร (แนวคาตอบ : เม่อื อดั ปลาย
สปริงในแนวตามยาวของตัวสปรงิ จะเกิดคลนื่ ผ่านตวั สปรงิ จากด้านท่มี ีการอดั ปลายสปริงไปยังอกี ด้านหน่ึง)
ข้ันที่ 3 ขนั้ อธิบายและลงขอ้ สรปุ ( Explanation Phase)
3.1 ผู้สอนและผู้เรยี นร่วมกนั สรปุ เนอ้ื หาท่ีผู้เรยี นได้ศึกษาจากวิดโี อ การโยนหินลงน้า สรปุ ไดว้ า่
พลงั งานจากก้อนหินท่โี ยนลงไปกระทบผิวน้าจะถ่ายโอนพลังงานไปยังอนุภาคของน้าทีอ่ ยู่ถัดๆ ไปจนเหน็ ผิวน้า
กระเพือ่ มขึ้นลงแผ่ขยายออกไปแต่อนุภาคของน้าไม่ไดเ้ คล่อื นทไี่ ปกับคลื่น สังเกตได้จากวัตถทุ ่ลี อยอยบู่ ริเวณ
นนั้ จะขยบั ข้นึ ลงทต่ี าแหน่งเดิมการเปลยี่ นแปลงดังกล่าวเรียกว่า คล่ืน และการที่คล่ืนสามารถแผ่ออกไปได้จาก
จุดรบกวนแสดงว่า มีการถา่ ยโอนพลงั งาน
3.2 ผสู้ อนอธบิ ายการจาแนกคลืน่ ลักษณะต่าง ๆ สามารถจาแนกได้ 3 แบบ โดยแบ่งตามลกั ษณะ
ของตวั กลาง แบ่งตามลกั ษณะการเคลอ่ื นท่ี และแบ่งตามแหล่งกาเนดิ
3.3 ผ้สู อนอธิบายเพม่ิ เตมิ เกี่ยวกับรปู รา่ งและส่วนประกอบของคลนื่
ข้นั ที่ 4 ขั้นขยายความรู้ (Expansion Phase)
4.1 ผสู้ อนยกตวั อยา่ งคลน่ื ท่ีพบเห็นได้ในชวี ติ ประจาวันท้งั 3 แบบ คือ แบ่งตามลักษณะของตวั กลาง
แบง่ ตามลักษณะการเคลอ่ื นที่ และแบ่งตามแหล่งกาเนดิ
ขน้ั ท่ี 5 ขั้นประเมนิ (Evaluation)
5.1 ผู้เรียนตอบคาถามเรื่อง การเกดิ คลนื่ และชนิดของคลนื่ ได้
7. สอ่ื /แหล่งการเรียนรู้
7.1 วดี โี อการเกิดคลื่นในสปริง
7.2 วดิ ีวิดโี อการโยนหนิ ลงน้า
7.3 หนงั สอื เรียนรายวชิ าเพ่มิ เติมวิทยาศาสตร์ (ฟิสกิ ส์) ชั้นมัธยมศกึ ษาปที ี่ 5 เลม่ 3
7.4 เอกสารประกอบการเรียนเร่ือง คลื่น
8. วธิ กี ารวดั และประเมนิ ผล
จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ วิธกี ารวดั และประเมนิ ผล
วิธกี ารวดั เครอื่ งมอื ที่ใช้วดั เกณฑก์ ารประเมิน
1) อธิบายปรากฏการณค์ ล่ืน และ การตอบคาถาม คาถาม ตอบคาถามถูกต้องร้อย
ลักษณะของคลน่ื ชนิดตา่ งๆ (K) ละ 70 ขนึ้ ไป
2) สามารถหากจิ กรรม เรือ่ ง คล่ืนใน การทากจิ กรรม กจิ กรรม ผา่ นเกณฑ์ในระดับดี
สปรงิ (P) ขน้ึ ไป
3) เป็นผ้มู ีความมุ่งม่ันในการทางานและมี สงั เกตพฤตกิ รรมใน แบบสงั เกต ผา่ นเกณฑ์ในระดบั ดี
ความรับผดิ ชอบ (A) ช้นั เรียน พฤติกรรม ขนึ้ ไป
บกั ทกึ ผลหลงั จากการจัดการเรียนรู้
1. ผลการจดั การเรยี นการสอน
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
2. ปญั หาและอปุ สรรคในการจัดการเรยี นการสอน
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
3. ขอ้ เสนอแนะและแนวทางการแก้ไข
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
4. บกั ทึกหลงั การสอน
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงชอื่ ………………………………………………………………
(……………………………………………………………)
ผสู้ อน
5. ความคดิ เห็นของครูพีเ่ ลี้ยง
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงชอื่ ………………………………………………………………
(……………………………………………………………)
ครูพ่ีเลี้ยง
5. ความคดิ เห็นของบรหิ ารวิชาการ
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงชอ่ื ………………………………………………………………
(……………………………………………………………)
ฝา่ ยบริหารวชิ าการ
6. ความคิดเห็นของผ้บู ริหารสถานศกึ ษา
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงชอื่ ………………………………………………………………
(……………………………………………………………)
ผู้บรหิ ารสถานศกึ ษา
แบบสงั เกตพฤติกรรมในชน้ั เรยี น
คาชีแ้ จง: ใหค้ ะแนน 1-3 ที่ตรงกบั ระดบั พฤตกิ รรมท่นี กั เรียนแสดงออกตามเกณฑ์การประเมินท่ีกาหนด
พฤติกรรมท่สี ังเกต กล่มุ ท่ี
12345
1. เขา้ หอ้ งเรยี นตรงเวลา
2. มสี ่วนร่วมในการแสดงความคิดเหน็
3. มีความกระตือรือร้นในการทากจิ กรรม
4. มกี ารช่วยเหลือกนั
5. รับผิดชอบในงานท่ไี ดร้ ับมอบหมาย
รวม
เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน
พฤติกรรมทท่ี าเป็นประจา 3 คะแนน
พฤติกรรมทที่ าเป็นบางครง้ั 2 คะแนน
พฤติกรรมท่ีทาน้อยคร้ัง 1 คะแนน
คะแนนตัดสนิ ระดบั คุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดบั คุณภาพ สรุปผลการประเมินผลทัง้ ชนั้ เรียน
อยูใ่ นเกณฑ์………………………….
11-15 ดี ผ่าน ไม่ผ่าน
6-10 พอใช้
1-5 ปรับปรงุ
ลงชื่อ………………………………………………………………
(……………………………………………………………)
ผ้สู อน
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 5 ชัน้ มธั ยมศึกษาปีท่ี 5
เวลา 18 ชัว่ โมง
กลุม่ สาระการเรียนรูว้ ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี เวลา 2 ชว่ั โมง
หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ 9 คล่ืน
เรอ่ื ง ส่วนประกอบของคล่นื ภาคเรยี นท่ี 1/2565
ครผู ูส้ อน นางสาวเล่อื มประภัสร์ สารพนั ธ์
1. มาตรฐานการเรียนรู้
สาระฟิสิกส์ 2 เขา้ ใจการเคลือ่ นท่ีแบบฮาร์มอนิกอยา่ งงา่ ย ธรรมชาติของคลนื่ เสียงและการ ได้
ยิน ปรากฏการณ์ทีเ่ กี่ยวข้องกับเสียง แสงและการเห็น ปรากฏการณ์ทเี่ กีย่ วข้องกับแสง รวมท้งั นาความรู้ไปใช้
ประโยชน์
2. ผลการเรียนรู้
3. อธิบายปรากฏการณ์คลนื่ ชนิดของคลืน่ สว่ นประกอบของคล่ืน การแผข่ องหน้าคล่ืนด้วยหลักการ
ของ ฮอยเกนส์ และการรวมกันของคลน่ื ตามหลกั การซ้อนทับ พร้อมทั้งคานวณอตั ราเร็ว ความถี่ และความ
ยาวคลน่ื
3. จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้
1) อธิบายองคป์ ระกอบต่างๆ ของคลื่น (K)
2) สามารถคานวณหาคา่ เฟสต่างกนั (P)
3) มคี วามรับผิดชอบ (A)
4. สาระการเรียนรู้
คลืน่ เปน็ ปรากฏการณก์ ารถา่ ยโอนพลังงานจากที่หนึ่งไปอีกท่หี นึ่ง คลน่ื ท่ถี า่ ยโอนพลังงานโดยต้อง
อาศยั ตวั กลาง เรียกว่า คลน่ื กล ส่วนคลน่ื แมเ่ หล็กไฟฟ้าถ่ายโอนพลังงานโดยไมต่ ้องอาศัยตัวกลาง นอกจากน้ยี ัง
จาแนกชนิดของคลน่ื ออกเปน็ สองชนิด ไดแ้ ก่ คลนื่ ตามยาวและคลื่นตามขวาง คลื่นที่เกดิ จากแหลง่ กาเนิดคลืน่
ทส่ี ง่ คล่ืนอย่างต่อเน่ืองและมีรูปแบบทซี่ า้ กนั บรรยายได้ดว้ ยการกระจดั สันคล่ืน ทอ้ งคลนื่ เฟส ความยาวคลนื่
ความถี่ คาบ แอมพลจิ ดู และอัตราเรว็ โดยอตั ราเรว็ ความถ่ี และความยาวคลน่ื มคี วามสมั พันธต์ ามสมการ
5. สาระสาคัญ
1) เมื่อรบกวนตัวกลางให้เกดิ คลนื่ ต่อเน่ืองตามขวางทาใหต้ ัวกลางเปลยี่ นแปลงเกิดลูกคล่ืนเคลื่อนท่ี
ตอ่ เนอ่ื ง ออกไปจากจดุ ทีร่ บกวนตัวกลาง
2) ส่วนประกอบของคล่ืนประกอบ ดงั น้ี
- สันคล่ืน (Crest) คอื ตาแหน่งที่สงู สุดของคลน่ื
- ท้องคลน่ื (Trough) คอื ตาแหนง่ ทอี่ ยู่ต่าทส่ี ุด
- การกระจดั คือ ระยะจากแนวสมดลุ ถึงบนคลน่ื คือระยะกระจดั y ใด ๆ
- แอมพลิจดู (Amplitude, A) คือ การกระจัดทมี่ ากท่ีสุด (A)
- ความยาวคลนื่ (Wavelength, A) คอื ระยะระหวา่ งจดุ สองจดุ ทีม่ เี ฟสเดยี วกันบนลกู คล่ืนที่อยถู่ ดั กัน หรอื
ระยะระหวา่ งสันคลนื่ กบั สนั คลน่ื ที่อยตู่ ิดกนั
- อัตราเรว็ คลนื่ (wave speed) คอื ระยะทางท่คี ลนื่ เคลื่อนที่ได้ในหนึง่ หน่วยเวลา
- คาบ (Period,T) คอื เวลาท่ีคลน่ื ใชใ้ นการเคล่ือนที่ครบ 1 ลกู คลืน่ มีหนว่ ยเป็น นาที (s)
- ความถี่ (Frequency, f) คือ จานวนลูกคลื่นท่ีเกดิ ขน้ึ ในหนงึ่ หนว่ ยเวลา
6. กจิ กรรมการเรยี นรู้ (รปู แบบการจัดการเรยี นรู้แบบ 5E)
ขั้นที่ 1 ขั้นนาเขา้ สบู่ ทเรียน (Engagement Phase)
1.1 ผู้สอนตั้งคาถามเพอื่ นาเข้าสูก่ ารทากจิ กรรม
1) จานวนลกู คลน่ื ทีเ่ กดิ ขึ้นเท่ากบั จานวนใด (แนวคาตอบ เท่ากบั จานวนรอบของการสะบัดมอื )
2) จานวนรอบของการสะบดั มอื ทาใหค้ วามถี่ของคลื่นเท่ากับความถใ่ี ด (แนวคาตอบ เท่ากับความถี่ของ
แหลง่ กาเนิดคลื่น)
3) อนุภาคของเชือกมีการสัน่ ในแนวใด (แนวคาตอบ ในแนวตง้ั ฉากกับทิศทางของคลน่ื )
ขน้ั ที่ 2 ขน้ั สารวจและคน้ พบ (Exploration Phase)
2.1 ให้ผู้เรียนศกึ ษาส่วนประกอบของคล่ืนในหนงั สอื เรียนหรือเอกสารประกอบการสอนเร่ือง คลนื่
2.2 ให้ผู้เรยี นศกึ ษาเฟสของอนุภาคในหนังสอื เรียนหรือเอกสารประกอบการสอนเรื่อง คลืน่
ข้ันท่ี 3 ขนั้ อธบิ ายและลงข้อสรปุ ( Explanation Phase)
3.1 ผสู้ อนให้ตัวแทนผู้เรียนออกมานาเสนองานที่สรุปไดจ้ ากการศึกษาจากหนงั สือเรียนหรอื เอกสาร
ประกอบการเรียนเร่ือง คลื่น
3.2 ผสู้ อนอภปิ รายโดยใช้คาถามต่อไปน้ี
1) ส่วนประกอบของคล่นื มีอะไรบ้าง (แนวคาตอบ สันคลืน่ ทอ้ งคลื่น แอมพลิจดู ความยาวคลน่ื )
2) จงบอกความหมายของสันคล่นื (แนวคาตอบ จุดทีอ่ นุภาคของเชอื กเคล่ือนท่ีขึ้นไปไดส้ ูงสุด)
3) จงบอกความหมายของท้องคลืน่ (แนวคาตอบ จดุ ท่ีอนุภาคของเชือกเคลื่อนท่ลี งไปได้ต่าสุด)
4) จงบอกความหมายของความยาวคลน่ื (แนวคาตอบ ระยะความยาวคลนื่ 1 ลูกเท่ากบั ระยะ ระหว่างสน้ั
คลื่นถัดกนั หรือระหวา่ งท้องคลน่ื ถัดกนั )
5) เมือ่ พิจารณาอนภุ าคเชือกในคล่นื พบวา่ (แนวคาตอบ อนภุ าคเชอื กมีการเคลื่อนท่ีขึ้นลงแบบฮาร์มอนิกอ
ยา่ งง่าย)
6) เม่ือมือขยับครบ 1 รอบจะมคี ลืน่ เคลอื่ นท่ีได้ก่ลี กู (แนวคาตอบ 1 ลกู หรอื ได้ระยะทางเปน็ 1 ความยาว
คล่ืน)
ขนั้ ท่ี 4 ขน้ั ขยายความรู้ (Expansion Phase)
4.1 ผสู้ อนใหค้ วามรู้เพม่ิ เติม เร่ือง ความสมั พันธร์ ะหวา่ งการกระจดั กับเวลา การกระจดั กับเฟสของ
อนุภาคตวั กลาง
4.2 ผู้สอนพาผ้เู รยี นทาโจทย์ปญั หาในใบกจิ กรรม
ขั้นท่ี 5 ขนั้ ประเมนิ (Evaluation)
5.1 ผู้เรยี นตอบคาถามในช้ันเรียนได้
5.2 ผู้เรียนทาโจทยป์ ญั หาในเอกสารประกอบการสอนได้
7. ส่อื /แหลง่ การเรยี นรู้
7.1 หนงั สือเรยี นรายวิชาเพิม่ เตมิ วทิ ยาศาสตร์ (ฟิสิกส์) ชนั้ มธั ยมศึกษาปีที่ 5 เลม่ 3
7.2 เอกสารประกอบการเรยี นเร่ือง คล่ืน
8. วธิ กี ารวัดและประเมินผล
จุดประสงคก์ ารเรียนรู้ วิธกี ารวัดและประเมินผล
วิธกี ารวดั เคร่ืองมอื ท่ีใช้วัด เกณฑ์การประเมนิ
1) อธิบายองคป์ ระกอบตา่ งๆของคลืน่ (K) การตอบคาถาม คาถาม ตอบคาถามถกู ต้องร้อย
ละ 70 ข้นึ ไป
2) สามารถคานวณหาคา่ เฟสตา่ งกัน (P) การทาโจทย์ปญั หา โจทย์ปัญหา ตอบคาถามถูกต้องร้อย
ละ 70 ข้ึนไป
3) มคี วามรับผิดชอบ (A) การสง่ งานท่ีไดร้ ับ ใบกจิ กรรม/ใบงาน ผ่านเกณฑ์ในระดับดี
มอบหมาย ขนึ้ ไป
บกั ทกึ ผลหลงั จากการจัดการเรียนรู้
1. ผลการจดั การเรยี นการสอน
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
2. ปญั หาและอปุ สรรคในการจัดการเรยี นการสอน
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
3. ขอ้ เสนอแนะและแนวทางการแก้ไข
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
4. บกั ทึกหลงั การสอน
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงชอื่ ………………………………………………………………
(……………………………………………………………)
ผสู้ อน
5. ความคดิ เห็นของครูพีเ่ ลี้ยง
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงชอื่ ………………………………………………………………
(……………………………………………………………)
ครูพ่ีเลี้ยง
5. ความคดิ เห็นของบรหิ ารวิชาการ
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงชอ่ื ………………………………………………………………
(……………………………………………………………)
ฝา่ ยบริหารวชิ าการ
6. ความคิดเห็นของผ้บู ริหารสถานศกึ ษา
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงชอื่ ………………………………………………………………
(……………………………………………………………)
ผู้บรหิ ารสถานศกึ ษา
แผนการจดั การเรยี นรทู้ ่ี 6 ช้ันมัธยมศกึ ษาปีท่ี 5
เวลา 18 ชวั่ โมง
กลมุ่ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี เวลา 3 ชวั่ โมง
หนว่ ยการเรียนร้ทู ่ี 9 คลื่น
เรอื่ ง อตั ราเร็วของคลื่น ภาคเรยี นที่ 1/2565
ครผู ู้สอน นางสาวเลื่อมประภัสร์ สารพนั ธ์
1. มาตรฐานการเรยี นรู้
สาระฟิสิกส์ 2 เข้าใจการเคลอื่ นทแี่ บบฮารม์ อนิกอยา่ งง่าย ธรรมชาติของคลื่น เสียงและการ
ไดย้ นิ ปรากฏการณ์ทเี่ กย่ี วขอ้ งกบั เสียง แสงและการเห็น ปรากฏการณ์ที่เก่ยี วข้องกับแสง รวมท้งั นาความรู้ไป
ใชป้ ระโยชน์
2. ผลการเรียนรู้
3. อธบิ ายปรากฏการณค์ ล่นื ชนิดของคล่นื สว่ นประกอบของคลน่ื การแผ่ของหน้าคล่ืนด้วยหลักการ
ของ ฮอยเกนส์ และการรวมกันของคลนื่ ตามหลักการซ้อนทับ พร้อมทงั้ คานวณอตั ราเร็ว ความถ่ี และความ
ยาวคล่ืน
3. จุดประสงคก์ ารเรียนรู้
1) อธิบายความสมั พนั ธร์ ะหว่างอัตราเร็ว ความถ่ี และความยาวคล่ืน (K)
2) สามารถคานวณหาปรมิ ารตา่ งๆ ทเ่ี กี่ยวข้องได้ (P)
3) มคี วามรบั ผดิ ชอบ (A)
4. สาระการเรียนรู้
คลืน่ เปน็ ปรากฏการณ์การถา่ ยโอนพลงั งานจากท่หี นึง่ ไปอีกที่หน่งึ คลื่นท่ถี า่ ยโอนพลังงานโดยตอ้ ง
อาศัยตวั กลาง เรียกว่า คล่นื กล ส่วนคลืน่ แมเ่ หล็กไฟฟ้าถ่ายโอนพลังงานโดยไม่ต้องอาศยั ตัวกลาง นอกจากนยี้ ัง
จาแนกชนดิ ของคลน่ื ออกเปน็ สองชนิด ไดแ้ ก่ คลืน่ ตามยาวและคลื่นตามขวาง คลื่นท่ีเกดิ จากแหล่งกาเนิดคลน่ื
ทสี่ ง่ คลน่ื อยา่ งต่อเนื่องและมรี ูปแบบทซ่ี ้ากันบรรยายได้ด้วยการกระจดั สนั คลน่ื ทอ้ งคล่ืน เฟส ความยาวคล่นื
ความถี่ คาบ แอมพลจิ ูด และอตั ราเร็ว โดยอตั ราเรว็ ความถี่ และความยาวคลนื่ มคี วามสมั พนั ธต์ ามสมการ
5. สาระสาคญั
1) เมอื่ มีการรบกวนตวั กลางจากแหลง่ กาเนิดคลื่น ทาให้เกิดคล่นื แผผ่ า่ นตวั กลางออกไปรอบๆ
แหลง่ กาเนิดคลนื่
2) ความสมั พันธร์ ะหว่างอัตราเร็ว ความถี่ และความยาวคลนื่
- สาหรบั คล่ืนตอ่ เนื่องทแี่ ผ่ผา่ นตัวกลาง อัตราเร็วของคลื่นคานวณได้ตามสมการดังน้ี
- สาหรบั อนภุ าคหนง่ึ ทีเ่ วลาผา่ นไป 1 คาบ อนุภาคส่ันครบ 1 รอบ กลา่ วไดว้ ่าเกดิ คล่นื ผ่านอนุภาคนน้ั 1 ลูก
คลนื่ เคลือ่ นท่ีไปได้ระยะทางที่เรยี กว่า ความยาวคล่ืน ความสัมพนั ธร์ ะหว่างอัตราเร็ว คาบ และความ ยาว
คลืน่ ได้ตามสมการ ดงั น้ี
- ความสมั พนั ธ์ระหว่างคาบกับความถ่ี ได้สมการ ดังน้ี
- ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งอัตราเร็ว ความถ่ี และความยาวคลน่ื ไดส้ มการ ดงั น้ี
6. กจิ กรรมการเรยี นรู้ (รูปแบบการจดั การเรียนรู้แบบ 5E)
ขัน้ ที่ 1 ขน้ั นาเขา้ สบู่ ทเรยี น (Engagement Phase)
1.1 ผู้สอนทบทวนความรูเ้ ดิม เร่อื ง องคป์ ระกอบของคลน่ื
1.2 ผสู้ อนตง้ั คาถามเพ่ือนาเข้าส่กู ารทากจิ กรรม
1) เม่อื ทาให้เกดิ คลื่นเคลือ่ นที่ไปในตวั กลางอตั ราเร็วคล่นื จะขึน้ อย่กู ับตวั กลางหรอื ไม่
2) เราสามารถหาอตั ราเรว็ ของคลนื่ ได้อยา่ งไร
3) อตั ราเร็วคลื่นเก่ียวข้องกบั ส่วนประกอบใดของคลนื่
(เปิดโอกาสให้ผู้เรียนแสดงความคดิ เหน็ อยา่ งอสิ ระ ไม่คาดหวังคาตอบท่ีถูกต้อง)
ขน้ั ท่ี 2 ขนั้ สารวจและค้นพบ (Exploration Phase)
2.1 ผสู้ อนให้ผู้เรียนศกึ ษาความสัมพนั ธ์ระหวา่ งอตั ราเร็ว ความถ่ี และความยาวคล่นื ในหนงั สอื เรียน
หรือเอกสารประกอบการเรียนเรอ่ื ง คลื่น
ขน้ั ที่ 3 ขั้นอธิบายและลงขอ้ สรปุ ( Explanation Phase)
3.1 ผสู้ อนให้ผู้เรียนอาสาออกมานาเสนอการสรปุ เน้ือหาท่ีได้จากการศึกษาเร่ือง คลื่น หน้าชน้ั เรียน
3.2 ผู้สอนนานกั เรยี นอภิปรายโดยใชค้ าถามต่อไปนี้
1) สมการหาอัตราเร็วของคล่ืน สาหรบั คลื่นต่อเน่ืองทแ่ี ผ่ผ่านตัวกลาง คือ (แนวคาตอบ )
2) สาหรบั อนุภาคหน่งึ ที่เวลาผ่านไป 1 คาบ อนภุ าคส่นั ครบกร่ี อบ (แนวคาตอบ 1 รอบ)
3) คล่นื เคลือ่ นท่ีไปได้ระยะทาง 1 รอบ เรียกวา่ ปรมิ าณนน้ั วา่ อะไร (แนวคาตอบ ความยาวคล่นื )
4) ความสัมพันธร์ ะหวา่ งอตั ราเร็ว คาบ และความยาวคล่ืน ได้ตามสมการอย่างไร (แนวคาตอบ )
5) สมการความสัมพันธ์ระหว่างคาบกบั ความถี่ คอื (แนวคาตอบ )
6) สมการความสมั พนั ธ์ระหว่างอัตราเร็ว ความถี่ และความยาวคล่ืน คือ (แนวคาตอบ )
7) อตั ราเรว็ ของคลืน่ ในตัวกลางหนง่ึ เปล่ียนแปลงเม่ือความถี่หรือความยาวคลื่นเปลยี่ นแปลงใชห่ รอื ไม่ เพราะ
เหตุใด (แนวคาตอบ ไม่ใช่ เพราะอตั ราเร็วในตัวกลางหนงึ่ มีคา่ คงตัวไมเ่ ปลี่ยนแปลงตามการเปลีย่ นแปลงของ
ความถห่ี รอื ความยาวคลนื่ โดยหากความถี่เปลย่ี นความยาวคลื่นจะเปลยี่ นตามแต่ผลคูณของความถ่ีกับความ
ยาวคลน่ื คงเดมิ )
ขน้ั ท่ี 4 ขนั้ ขยายความรู้ (Expansion Phase)
4.1 ผ้สู อนอธบิ ายตวั อยา่ งโจทยป์ ัญหาในเอกสารประกอบการเรยี นเรอื่ งคล่นื
4.2 ผูส้ อนพาผ้เู รียนทาตวั อย่างโจทยป์ ัญหา
ขั้นที่ 5 ขน้ั ประเมนิ (Evaluation)
5.1 ผู้เรียนตอบคาถามในชัน้ เรียน
5.2 ผู้เรียนทาโจทย์ปญั หาในเอกสารประกอบการเรยี นเรื่อง คลนื่
7. ส่ือ/แหลง่ การเรียนรู้
7.1 หนังสือเรยี นรายวิชาเพม่ิ เตมิ วิทยาศาสตร์ (ฟิสกิ ส์) ชั้นมัธยมศกึ ษาปที ี่ 5 เล่ม 3
7.2 เอกสารประกอบการเรยี นเร่ือง คล่ืน
8. วธิ ีการวดั และประเมนิ ผล วธิ กี ารวดั และประเมินผล
จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ วิธกี ารวัด เครอ่ื งมอื ทีใ่ ช้วัด เกณฑก์ ารประเมิน
1) อธิบายความสมั พันธ์ระหว่างอตั ราเรว็ การตอบคาถาม คาถาม ตอบคาถามถกู ต้องร้อย
ความถ่ี และความยาวคลื่น (K) ละ 70 ขึน้ ไป
2) สามารถคานวณหาปรมิ ารตา่ งๆ ที่
เกีย่ วขอ้ งได้ (P) การทาโจทย์ปญั หา โจทยป์ ัญหา ตอบคาถามถกู ต้องร้อย
3) มีความรับผดิ ชอบ (A) ละ 70 ขึ้นไป
การส่งงานท่ีไดร้ ับ ใบกจิ กรรม/ใบงาน ผา่ นเกณฑ์ในระดบั ดี
มอบหมาย ข้นึ ไป
บกั ทกึ ผลหลงั จากการจัดการเรียนรู้
1. ผลการจดั การเรยี นการสอน
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
2. ปญั หาและอปุ สรรคในการจัดการเรยี นการสอน
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
3. ขอ้ เสนอแนะและแนวทางการแก้ไข
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
4. บกั ทึกหลงั การสอน
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงชอื่ ………………………………………………………………
(……………………………………………………………)
ผสู้ อน
5. ความคดิ เห็นของครูพีเ่ ลี้ยง
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงชอื่ ………………………………………………………………
(……………………………………………………………)
ครูพ่ีเลี้ยง
5. ความคดิ เห็นของบรหิ ารวิชาการ
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงชอ่ื ………………………………………………………………
(……………………………………………………………)
ฝา่ ยบริหารวชิ าการ
6. ความคิดเห็นของผ้บู ริหารสถานศกึ ษา
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงชอื่ ………………………………………………………………
(……………………………………………………………)
ผู้บรหิ ารสถานศกึ ษา
แผนการจดั การเรยี นรูท้ ่ี 7 ช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 5
เวลา 18 ชวั่ โมง
กลุ่มสาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี เวลา 3 ช่วั โมง
หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี 9 คลน่ื
เรื่อง หลักการที่เก่ยี วกับคล่นื ภาคเรยี นท่ี 1/2565
ครูผสู้ อน นางสาวเลือ่ มประภัสร์ สารพันธ์
1. มาตรฐานการเรียนรู้
สาระฟสิ ิกส์ 2 เข้าใจการเคล่อื นที่แบบฮาร์มอนิกอยา่ งงา่ ย ธรรมชาติของคล่ืน เสียงและการ
ไดย้ นิ ปรากฏการณ์ทเ่ี กี่ยวข้องกับเสยี ง แสงและการเหน็ ปรากฏการณ์ทเี่ กี่ยวข้องกับแสง รวมท้งั นาความรู้ไป
ใชป้ ระโยชน์
2. ผลการเรียนรู้
3. อธบิ ายปรากฏการณค์ ลื่น ชนิดของคลน่ื ส่วนประกอบของคลื่น การแผ่ของหน้าคลน่ื ดว้ ยหลักการ
ของ ฮอยเกนส์ และการรวมกันของคลนื่ ตามหลกั การซ้อนทับ พร้อมทงั้ คานวณอตั ราเร็ว ความถี่ และความ
ยาวคล่นื
3. จุดประสงคก์ ารเรียนรู้
1) อธบิ ายหลกั การทเี่ กยี่ วกบั คล่นื ได้ (K)
2) สามารถคานวณหาปรมิ ารตา่ งๆ ที่เกีย่ วข้องได้ (P)
3) มคี วามรับผดิ ชอบ (A)
4. สาระการเรียนรู้
คลน่ื เป็นปรากฏการณก์ ารถ่ายโอนพลงั งานจากท่ีหนงึ่ ไปอีกทีห่ นึง่ คล่ืนที่ถา่ ยโอนพลงั งานโดยต้อง
อาศยั ตัวกลาง เรยี กว่า คล่นื กล สว่ นคลื่นแมเ่ หล็กไฟฟ้าถ่ายโอนพลงั งานโดยไมต่ ้องอาศัยตัวกลาง นอกจากน้ยี ัง
จาแนกชนดิ ของคลื่นออกเปน็ สองชนดิ ได้แก่ คลน่ื ตามยาวและคล่นื ตามขวาง คล่ืนท่ีเกิดจากแหลง่ กาเนิดคลืน่
ทสี่ ง่ คลื่นอยา่ งตอ่ เน่ืองและมีรูปแบบทซี่ ้ากนั บรรยายได้ด้วยการกระจดั สนั คลืน่ ท้องคลน่ื เฟส ความยาวคลน่ื
ความถ่ี คาบ แอมพลิจดู และอัตราเร็ว โดยอตั ราเรว็ ความถี่ และความยาวคล่นื มีความสัมพันธ์ตามสมการ
5. สาระสาคัญ
เมอ่ื คลื่น 2 คลื่น เคล่ือนท่ีมาซ้อนทบั กนั ในตัวกลางหนึ่งๆ คลืน่ รวมจะมีค่าตามหลักการซ้อนทับ
(principle of superposittion) กลา่ วคือ คลนื่ รวมจะมีการกระจดั ของตวั กลางทแี่ ต่ละตาแหน่ง ณ เวลา
หน่งึ ๆ เทา่ กบั ผลบวกของการกระจดั ของตวั กลางทเี่ กิดจากแต่ละคล่นื ท่ีตาแหนง่ และเวลานัน้ ๆ ถา้ คล่นื 2 คล่ืน
เคลอื่ นทีใ่ นทศิ ทางตรงขา้ มกนั เมอื่ ซ้อนทบั แล้ว คล่นื แต่ละขบวนก็จะเคล่ือนทผี่ า่ น กันไปโดยยังคงรปู ร่างและ
ทิศทางการเคลื่อนท่ีของแตล่ ะคลน่ื ไว้ ในกรณีของคล่นื ดล ถ้าคลนื่ 2 คลื่น มีการกระจดั ของตัวกลาง ณ
ตาแหนง่ ทรี่ วมกนั อยใู่ นทศิ ทาง เดียวกัน เรียกผลของการซ้อนทับกนั นีว้ ่า การแทรกสอดแบบเสรมิ
(constructive interference) แต่ถ้าตาแหน่งท่ีมารวมกัน มกี ารกระจัดของตัวกลาง ณ ตาแหน่งทม่ี ารวมกนั
อยู่ในทิศทางทีต่ รงข้ามกัน เรียกการแทรก สอดน้ีวา่ การแทรกสอดแบบหกั ลา้ ง (destructive interference)
การรวมกันของคลน่ื ดล 2 คล่ืนทม่ี ีแอมพลิจดู ตา่ งกันและการเคลอ่ื นท่ีสวนทางกนั ใน 2 ลกั ษณะ คือ
กรณเี ป็นการแทรกสอดแบบเสรมิ ดังรปู ก. และการแทรกสอดแบบหกั ลา้ ง ดังรปู ข.
รูป ก.
รูป ข.
การรวมกนั ของคล่ืนดล 2 คลน่ื ที่มแี อมพลจิ ูดเท่ากัน พบวา่ มีตาแหนง่ หนึง่ ในตัวกลางทจี่ ะไม่มีการ
เคลือ่ นทีหรือขยับเลย ดงั รูป ค.
รปู ค.
6. กจิ กรรมการเรยี นรู้ (รปู แบบการจัดการเรยี นรู้แบบ 5E)
ข้นั ที่ 1 ขน้ั นาเข้าส่บู ทเรียน (Engagement Phase)
1.1 ผู้สอนให้ผู้เรยี นทบทวนความรูเ้ ดมิ เรอ่ื ง สว่ นประกอบของคล่ืน และการเกิดคล่นื ผิวน้า
1.2 ผู้สอนยกสถานการณ์คล่ืนสองคล่ืนเคลื่อนท่ีพบกัน แล้วตัง้ คาถาม ดังน้ี
1) เมอื่ คลืน่ 2 คลืน่ มีแอมพลิจูดไม่เท่ากนั เมื่อพบกนั ลูกคล่นื ซ้อนกนั จะเกดิ ผลอย่างไร
2) เมื่อคลนื่ 2 คลน่ื มแี อมพลิจดู เท่ากนั เม่ือพบกันลูกคลน่ื ซ้อนกันจะเกดิ ผลอย่างไร
ขัน้ ท่ี 2 ข้ันสารวจและคน้ พบ (Exploration Phase)
2.1 ผู้สอนให้ผู้เรียนศึกษาหลักการซ้อนทบั ในหนังสือเรียน หรือ เอกสารประกอบการเรียนการสอนท่ี
ผู้สอนแจกให้
ข้ันที่ 3 ขั้นอธิบายและลงขอ้ สรุป ( Explanation Phase)
3.1 ผู้สอนให้ตวั แทนผู้เรยี นออกมานาเสนอเน้ือหาทสี่ รุปได้จากการศึกษาเอกสารประกอบการเรียน
การสอน
3.2 ผสู้ อนและผู้เรียนร่วมกนั อภิปรายจนได้ข้อสรปุ ดังน้ี
1) เมอ่ื คล่ืน 2 คล่ืน เคล่อื นท่ีมาซอ้ นทับกันในตัวกลางหน่ึงๆ คลืน่ รวมจะมีค่าตามหลักการ
ซอ้ นทบั (principle of superposittion) กล่าวคอื คลืน่ รวมจะมีการกระจัดของตัวกลางท่ีแต่ละตาแหน่ง ณ
เวลาหน่งึ ๆ เทา่ กบั ผลบวกของการกระจัดของตัวกลางท่เี กิดจากแตล่ ะคลืน่ ท่ตี าแหน่งและเวลานนั้ ๆ
2) ถา้ คลนื่ 2 คลืน่ เคลอ่ื นท่ใี นทิศทางตรงข้ามกัน เม่ือซ้อนทบั แลว้ คลน่ื แต่ละขบวนกจ็ ะ
เคล่ือนทผ่ี า่ นกนั ไปโดยยังคงรูปรา่ งและทิศทางการเคล่ือนท่ีของแตล่ ะคล่ืนไว้
3) ในกรณีของคลื่นดล ถา้ คล่ืน 2 คล่นื มกี ารกระจัดของตัวกลาง ณ ตาแหน่งท่ีรวมกนั อยู่ใน
ทิศทางเดยี วกันเรียกผลของการซอ้ นทบั กนั นว้ี ่า การแทรกสอดแบบเสรมิ (constructive interference) แต่
ถ้า ณ ตาแหน่งที่มารวมกันมีการกระจดั ของตวั กลาง ณ ตาแหน่งท่ีมารวมกันอยู่ในทิศทางทตี่ รงขา้ มกนั เรยี ก
การแทรกสอดน้ีว่า การแทรกสอดแบบหกั ล้าง (destructive interference)
4) การรวมกนั ของคล่ืนดล 2 คลื่นที่มแี อมพลจิ ดู ต่างกันและการเคลื่อนท่สี วนทางกนั ใน 2
ลกั ษณะ คือ กรณเี ปน็ การแทรกสอดแบบเสริม ดงั รปู ก. และการแทรกสอดแบบหักล้าง ดังรปู ข
รูป ก.
รปู ข.
5) การรวมกันของคลนื่ ดล 2 คลื่นที่มแี อมพลจิ ดู เท่ากัน พบวา่ มตี าแหนง่ หนึ่งในตวั กลางที่จะ
ไม่มีการเคลื่อนท่ีหรือขยับเลย ดังรูป ค.
รูป ค.
ข้นั ที่ 4 ขนั้ ขยายความรู้ (Expansion Phase)
4.1 ผสู้ อนอธบิ ายตวั อย่างโจทย์ปญั หาในเอกสารประกอบการเรียนการสอนทผ่ี ู้สอนแจกให้
ขั้นท่ี 5 ขั้นประเมนิ (Evaluation)
5.1 ผู้เรียนตรวจสอบความเข้าใจ โดยการทาแบบฝึกหัดเพ่ิมเติมในเอกสารประกอบการเรียนการสอน
ทผี่ สู้ อนแจกให้
7. สื่อ/แหล่งการเรยี นรู้
7.1 หนังสือเรียนรายวชิ าเพ่ิมเติมวิทยาศาสตร์ (ฟิสิกส์) ชั้นมัธยมศกึ ษาปีที่ 5 เลม่ 3
7.2 อนิ เทอรเ์ นต็
7.3 ใบกจิ กรรม เร่ือง คล่ืนผิวนา้
7.4 คลปิ ชดุ กจิ กรรม เรื่อง คลนื่ ผวิ นา้
7. 5 Power Point
8. วิธีการวดั และประเมินผล วิธกี ารวดั และประเมินผล
จุดประสงค์การเรียนรู้ วิธกี ารวัด เคร่ืองมอื ทใ่ี ช้วัด เกณฑ์การประเมิน
1) อธิบายหลกั การทเ่ี กี่ยวกบั คล่ืนได้ (K) การตอบคาถาม คาถาม ตอบคาถามถกู ต้องร้อย
ละ 70 ขนึ้ ไป
2) สามารถคานวณหาปริมารตา่ งๆ ท่ี
เกยี่ วข้องได้ (P) การทาโจทย์ปัญหา โจทยป์ ญั หา ตอบคาถามถูกต้องร้อย
3) มีความรับผิดชอบ (A) ละ 70 ข้ึนไป
การสง่ งานที่ได้รับ ใบกิจกรรม/ใบงาน ผ่านเกณฑ์ในระดับดี
มอบหมาย ขนึ้ ไป
บกั ทกึ ผลหลงั จากการจัดการเรียนรู้
1. ผลการจดั การเรยี นการสอน
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
2. ปญั หาและอปุ สรรคในการจัดการเรยี นการสอน
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
3. ขอ้ เสนอแนะและแนวทางการแก้ไข
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
4. บกั ทึกหลงั การสอน
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงชอื่ ………………………………………………………………
(……………………………………………………………)
ผสู้ อน
5. ความคดิ เห็นของครูพีเ่ ลี้ยง
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงชอื่ ………………………………………………………………
(……………………………………………………………)
ครูพ่ีเลี้ยง
5. ความคดิ เห็นของบรหิ ารวิชาการ
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงชอ่ื ………………………………………………………………
(……………………………………………………………)
ฝา่ ยบริหารวชิ าการ
6. ความคิดเห็นของผ้บู ริหารสถานศกึ ษา
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงชอื่ ………………………………………………………………
(……………………………………………………………)
ผู้บรหิ ารสถานศกึ ษา
แผนการจัดการเรียนร้ทู ่ี 8 ชน้ั มัธยมศกึ ษาปีท่ี 5
เวลา 18 ช่ัวโมง
กลุ่มสาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี เวลา 2 ช่วั โมง
หนว่ ยการเรียนรทู้ ี่ 9 คลน่ื
เร่อื ง พฤติกรรมของคล่นื (การสะทอ้ น) ภาคเรียนท่ี 1/2565
ครผู สู้ อน นางสาวเลือ่ มประภัสร์ สารพันธ์
1. มาตรฐานการเรียนรู้
สาระฟสิ ิกส์ 2 เขา้ ใจการเคลื่อนทแ่ี บบฮารม์ อนกิ อยา่ งง่าย ธรรมชาติของคล่ืน เสยี งและการ
ไดย้ นิ ปรากฏการณท์ ี่เก่ียวข้องกบั เสียง แสงและการเหน็ ปรากฏการณ์ที่เกี่ยวข้องกับแสง รวมทง้ั นาความรู้ไป
ใช้ประโยชน์
2. ผลการเรยี นรู้
4. สงั เกตและอธิบายการสะท้อน การหกั เห การแทรกสอด และการเลี้ยวเบนของคลน่ื ผิวน้า รวมท้งั
คานวณปริมาณต่าง ๆ ทีเ่ กยี่ วข้อง
3. จดุ ประสงค์การเรยี นรู้
1) อธบิ ายการสะท้อนของคลื่นผวิ นา้ ได้ (K)
2) ทดลองและสังเกตการสะทอ้ นของคลื่นผิวน้าได้ (P)
3) ใฝเ่ รียนรู้ และมคี วามรบั ผิดชอบ (A)
4. สาระการเรียนรู้
พฤติกรรมของคลน่ื คลืน่ แสดงพฤติกรรมการสะท้อนเม่ือกระทบสงิ่ กีดขวางหรือรอยต่อของตัวกลางท่ี
ต่างกนั
การสะท้อนของคล่นื เป็นไปตามกฎการสะท้อน คอื มุมสะท้อนเท่ากับมุมตกกระทบ คล่ืนสะท้อนใน
เชอื กจะกลับเฟส เม่ือปลายเชือกตรงึ แนน่ และคลนื่ สะท้อนในเชอื กมเี ฟสคงเดิมเม่ือปลายเชือกอิสระ
คล่ืนเกิดการหักเหเม่ือเคลื่อนท่ผี า่ นรอยต่อของตวั กลางทีต่ ่างกัน โดยคลน่ื มีความถคี่ งทแี่ ต่อตั ราเรว็
คลื่นเปล่ยี นไปเปน็ ไปตามกฎการหักเหแทนดว้ ยสมการ
เมือ่ คลื่นสองขบวนเคลื่อนที่มาพบกนั เกดิ การแทรกสอดกันถ้าคล่ืนจากแหลง่ กาเนิด และ มี
ความถเ่ี ท่ากัน เฟสตรงกัน แอมพลจิ ูดเท่ากนั เมื่อแทรกสอดกันเกิดตาแหน่งทรี่ วมแบบเสริม เรยี กวา่ ปฏบิ พั
และแบบ หักลา้ ง เรียกวา่ บัพ โดยตาแหน่งที่เกิดปฏบิ ัพเป็นไปตามสมการ | | เมื่อ n =
0, 1, 2, 3,… และตาแหนง่ ทีเ่ กดิ บพั เป็นไปตามสมการ | | เมอื่ n = 1, 2, 3, ...
คลื่นอาพันธ์สองขบวนเคลื่อนท่ีสวนทางกันจะเกดิ การแทรกสอดเกิดเป็นปฏิบัพและบัพท่ีอยนู่ งิ่ โดยมี
ระยะระหว่างบพั ท่ีถดั กนั และปฏิบพั ทถ่ี ัดกนั เท่ากับครึ่งหน่ึงของความยาวคลนื่ เรยี กว่า คลื่นน่ิง
คลื่นเกิดการเลี้ยวเบนเมื่อเคล่อื นที่พบขอบของสงิ่ กีดขวางหรือชอ่ งแคบ แลว้ มคี ลนื่ แผ่ออกจากของ
ของส่ิง กีดขวางไปทางดว้ นหลงั ได้
5. สาระสาคัญ
เม่ือคล่ืนเคล่อื นทีจ่ ากแหลง่ กาเนิดคลน่ื ไปถึงปลายสดุ ของตัวกลางหน่ึงคล่ืนสว่ นหนึง่ จะเคลื่อนที่
กลับมาในตัวกลางเดิมการที่คลนื่ เคลือ่ นที่กลบั มาในตัวกลางเดมิ เรียกว่า การสะท้อนของคลน่ื และเรยี กคล่ืน
ทสี่ ะท้อนกลับมาในตวั กลางเดิมว่า คลืน่ สะท้อน ส่วนคล่นื ที่เคลื่อนที่ไปตกกระทบปลายสุดของตวั กลางก่อน
การสะท้อนเรียกว่า คลนื่ ตกกระทบ
การสะท้อนของคลื่นในเส้นเชือกกรณที ่ปี ลายเชือกยึดตรึงแนน่ กบั กาแพงเม่อื คลน่ื เคล่ือนทมี่ าถงึ จดุ ท่ี
ตรึงกับกาแพงกาแพงจะดงึ เชือกลง (เพราะเชือกดงึ กาแพงขนึ้ กาแพงจงึ ออกแรงตึงเชือกกลับ ตามกฏการ
เคล่ือนที่ขอ้ ที่ 3 ของนวิ ตัน) ทาให้เกิดคล่นื สะท้อนกลับท่ีมรี ูปร่างกลบั ดา้ น กลา่ วคือ มีการกระจัดของตัวกลาง
เทียบกบั แนวสมดลุ ตรงขา้ มกับคล่นื ตกกระทบหรือกล่าวได้วา่ คลนื่ สะทอ้ นมเี ฟสตรงขา้ มกบั คลน่ื ตกกระทบ
แตถ่ า้ ปลายเชือกสามารถเคลื่อนที่ขน้ึ ลงได้อย่างอิสระคลนื่ ทสี่ ะท้อนออกมาจะมกี ารกระจดั ตัวกลางท่ีมี
ทิศทางเดียวกับคลื่นตกกระทบ หรือกล่าวได้ว่า คล่นื สะท้อนมีเฟสตรงกนั กับคลนื่ ตกกระทบ
6. กจิ กรรมการเรียนรู้ (รปู แบบการจัดการเรยี นร้แู บบ 5E)
ขัน้ ท่ี 1 ข้ันนาเขา้ ส่บู ทเรียน (Engagement Phase)
1.1 ผ้สู อนตงั้ คาถามเพ่อื นาเขา้ สกู่ ารทากิจกรรม ดงั นี้
1)คลื่นมีสมบตั ิอะไรบา้ ง (แนวคาตอบ คล่ืนมีสมบัติรว่ มกนั 4 ประการ คือ สะท้อน หักเห เล้ียวเบน และแทรก
สอด)
ขัน้ ที่ 2 ข้ันสารวจและคน้ พบ (Exploration Phase)
2.1 ผสู้ อนให้ผู้เรยี นศึกษาเรื่องพฤติกรรมของคลื่น (การสะท้อน) ในเอกสารประกอบการเรียนการ
สอน
2.2 ผู้สอนต้ังคาถามจากการดวู ดี ีโอการทดลองเพ่ือให้ผเู้ รยี นไปค้นคว้าหาความรู้โดยใช้คาถาม ดังน้ี
1) ในแตล่ ะกรณีมุมที่หน้าคล่ืนตกกระทบกระทาต่อแผ่นก้ันและมมุ ทห่ี นา้ คล่นื สะท้อนทากบั แผน่ ก้นั
มีความสัมพันธก์ ันหรือไม่ อย่างไร (แนวคาตอบ มุมท่หี น้าคลนื่ ตกกระทบกระทากบั แผน่ กนั้ และมุมทหี่ นา้ คล่ืน
สะทอ้ นกระทากับแผ่นก้นั มีค่าเท่ากนั ทุกกรณี)
ข้นั ท่ี 3 ขัน้ อธิบายและลงขอ้ สรปุ ( Explanation Phase)
3.1 ผู้สอนและผเู้ รียนร่วมกันสรุปเนือ้ หาที่ผ้เู รยี นได้ศึกษาจากเอกสารประกอบการเรยี นการสอนจน
สรุปได้วา่ การสะท้อนของคลืน่ เกิดข้นึ เมื่อคลื่นเคลื่อนท่ไี ปกระทบขอบเขตของตวั กลางทาใหค้ ลื่นสว่ นหนึ่ง
กลบั มาในตัวกลางเดมิ
3.2 อธิบายเพ่ิมเติมเรื่องกฎการสะทอ้ นคือเส้นรงั สตี กกระทบ รังสีสะท้อนรอยต่อขอบเขตของ
ตวั กลางและเส้นแนวฉากอยู่ในระนาบเดียวกนั และมุมตกกระทบเท่ากบั มุมสะท้อน
ขน้ั ที่ 4 ขนั้ ขยายความรู้ (Expansion Phase)
4.1 ผ้สู อนอธิบายให้ความรเู้ พิม่ เติม ดังน้ี
1) เมอ่ื คลนื่ เคลื่อนท่ีจากแหล่งกาเนดิ คลืน่ ไปถงึ ปลายสดุ ของตัวกลางหนงึ่ คลน่ื ส่วนหน่ึงจะเคล่ือนท่ีกลับมาใน
ตวั กลางเดิมการทค่ี ลน่ื เคล่ือนทก่ี ลบั มาในตัวกลางเดิม เรยี กวา่ การสะทอ้ นของคลนื่ และเรยี กคลนื่ ทีส่ ะทอ้ น
กลับมาในตัวกลางเดิมวา่ คล่ืนสะท้อน สว่ นคล่ืนทีเ่ คล่ือนที่ไปตกกระทบปลายสดุ ของตวั กลางก่อนการสะท้อน
เรียกว่า คลืน่ ตกกระทบ
2) การสะท้อนของคลื่นในเสน้ เชอื กกรณที ป่ี ลายเชือกยดึ ตรึงแนน่ กับกาแพงเมื่อคลื่นเคล่ือนที่มาถงึ จุดที่ตรึงกบั
กาแพงกาแพงจะดึงเชือกลง (เพราะเชือกดงึ กาแพงขึน้ กาแพงจึงออกแรงดงึ เชือกกลับตามกฎการเคลื่อนที่ขอ้ ท่ี
3 ของนวิ ตัน) ทาให้เกิดคลื่นสะท้อนกลับที่มีรปู ร่างกลับดา้ นกล่าวคอื มีการกระจดั ของตัวกลางเทยี บกับแนว
สมดลุ ตรงข้ามกบั คลน่ื ตกกระทบหรือกล่าวไดว้ ่า คลืน่ สะท้อนมเี ฟสตรงข้ามกับคลื่นตกกระทบ
3) แต่ถ้าปลายเชอื กสามารถเคลือ่ นที่ขึน้ ลงได้อย่างอิสระคล่ืนทสี่ ะทอ้ นออกมาจะมีการกระจัดตัวกลางท่ีมี
ทิศทางเดียวกบั คลืน่ ตกกระทบหรือกล่าวได้วา่ คลน่ื สะทอ้ นมเี ฟสตรงกันกับคลนื่ ตกกระทบ
ข้นั ท่ี 5 ข้นั ประเมนิ (Evaluation)
5.1 ผเู้ รียนสง่ เอกสารประกอบการเรยี นการสอนเร่ือง การสะทอ้ นของคล่ืนผิวนา้
7. ส่ือ/แหลง่ การเรยี นรู้
7.1 หนังสือเรยี นรายวิชาเพ่ิมเตมิ วิทยาศาสตร์ (ฟสิ กิ ส์) ช้นั มธั ยมศึกษาปที ่ี 5 เลม่ 3
7.2 วิดีโอการสะท้อนของคลนื่ ผิวน้า
7.3 เอกสารประกอบการเรยี นการสอนเรื่อง การสะท้อนของคลืน่ ผิวนา้
8. วธิ กี ารวัดและประเมนิ ผล วธิ ีการวัดและประเมนิ ผล
จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ วธิ กี ารวัด เครอื่ งมอื ทีใ่ ช้วดั เกณฑก์ ารประเมนิ
1) อธิบายการสะท้อนของคล่ืนผวิ น้าได้ การตอบคาถาม คาถาม ตอบคาถามถกู ต้องร้อย
(K) ละ 70 ขึ้นไป
2) ทดลองและสงั เกตการสะท้อนของ
คลน่ื ผิวนา้ ได้ (P) การทากจิ กรรมการ การทดลอง ตอบคาถามถูกต้องร้อย
3) ใฝเ่ รยี นรู้ และมีความรับผิดชอบ (A) ทดลอง ละ 70 ขน้ึ ไป
การส่งงานท่ีไดร้ ับ ใบกิจกรรม/ใบงาน ผ่านเกณฑ์ในระดบั ดี
มอบหมาย ข้นึ ไป