The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

แผนการจัดการเรียนรู้ฟิสิกส์ ม.5 รหัสวิชา ว30203 ภาคเรียนที่1 ปีการศึกษา 2565 จัดทำโดย นางสาวเลื่อมประภัสร์

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Nachi Nicha, 2022-10-20 13:07:13

แผนการสอนวิชาฟิสิกส์ ม.5 เทอม 1

แผนการจัดการเรียนรู้ฟิสิกส์ ม.5 รหัสวิชา ว30203 ภาคเรียนที่1 ปีการศึกษา 2565 จัดทำโดย นางสาวเลื่อมประภัสร์

(ทึบกวา่ ) แสงจะหกั เหเขา้ หาเส้นปกติในทางตรงข้ามถ้าแสงเดนิ ทางจากยังตวั กลางที่มีความหนาแนน่ มากกว่า
ไปยงั ตวั กลางทีม่ คี วามหนาแน่นน้อยกว่าแสงจะหกั เหออกจากเส้นปกติ

ผลทเ่ี กิดข้นึ จากการหกั เหของแสง
เมื่อมองที่อยู่ในน้าโดยนยั น์ตาของเราอยใู่ นอากาศจะทาให้มองเหน็ วตั ถุต้นื กว่าเดิมนอกจากนี้นักเรยี นอาจจะ
เคยสงั เกตว่าสระว่ายน้าหรือถังใสน่ ้าจะมองดตู ้ืนกวา่ ความเป็นจริงเพราะแสงต้องเดินทางผา่ นนา้ และอากาศ
แล้วจงึ หักเหเขา้ ส่นู ยั นต์ า

ส่งิ ควรทราบเกี่ยวกับการหักเหของแสง
- ความถีข่ องแสงยังคงเท่าเดิม สว่ นความยาวคลื่นและความเร็วของแสงจะไมเ่ ท่าเดิม
- ทศิ ทางการเคลอ่ื นที่ของแสง จะอยู่ในแนวเดิมถ้าแสงตกตั้งฉากกับผวิ รอยตอ่ ของตัวกลางจะไม่อยู่ในแนวเดิม
ถา้ แสงไมต่ กต้ังฉากกับผิวรอยตอ่ ของตัวกลาง
กฎการหกั เหของแสง
1. รังสีตกกระทบ เสน้ แนวฉาก และรงั สหี กั เห อยใู่ นระนาบเดียวกนั
2. สาหรับตวั กลางคูห่ นึง่ ๆ อัตราส่วนระหว่างค่า sin ของมุมตกกระทบ ในตัวกลางหนงึ่ กับ คา่ sin ของมุมหกั
เหในอีกตวั กลางหนึ่ง มีค่าคงทเี่ สมอจากกฎข้อ 2 สเนลล์ นามาตง้ั เปน็ กฎของสเนลล์ได้ดังนี้

n = c/v
v = ความเรว็ ของแสง ในตวั กลางใด ๆ เมตร/วนิ าที
n = ดัชนีหกั เหของแสงในตวั กลาง(ไม่มหี นว่ ย) หรอื คอื ดัชนหี กั เหสัมพทั ธร์ ะหว่างตวั กลางที่ 2 เทียบกบั

ตัวกลางที่ 1

c = ความเร็วแสงในสุญญากาศ ( 3 X 108m/s ) น่ันคือ

ตวั กลางทมี่ คี ่าดชั นหี ักเหของแสงนอ้ ย (ความหนาแนน่ น้อย) แสงจะเคลื่อนทด่ี ว้ ยความเร็วสงู ตวั กลางที่มคี า่
ดัชนีหกั เหของแสงมาก (ความหนาแน่นมาก) แสงจะเคลื่อนทีด่ ้วยความตา่
ข้อควรจา n อากาศ = 1 สว่ น n ตัวกลางอ่นื ๆ > 1 เสมอ

การหักเหของแสงเกิดข้ึนได้ 2 แบบ คือ
1.การหักเหเขา้ หาเส้นแนวฉากเกิดขนึ้ เม่ือ
– แสงเดินทางจากตวั กลางที่มีความหนาแนน่ น้อยไปส่ตู ัวกลางที่มีความหนาแน่นมาก
– แสงเดินทางจากตวั กลางท่ีมดี ชั นีหกั เหนอ้ ยไปสตู่ ัวกลางทมี่ ีดชั นีหักเหมาก
– แสงเดินทางจากตวั กลางที่มีความเรว็ มากไปสตู่ ัวกลางท่ีมคี วามเรว็ นอ้ ย

2. การหักเหออกจากเสน้ แนวฉากเกิดขน้ึ เมื่อ
– แสงเดินทางจากตัวกลางท่ีมีความหนาแนน่ มากไปส่ตู วั กลางท่มี คี วามหนาแนน่ น้อย
– แสงเดนิ ทางจากตวั กลางที่มดี ัชนหี กั เหมากไปสตู่ ัวกลางทีม่ ดี ชั นีหักเหน้อย
– แสงเดินทางจากตวั กลางท่ีมคี วามเร็วนอ้ ยไปสตู่ ัวกลางที่มีความเร็วมาก

6. กิจกรรมการเรียนรู้ (รูปแบบการจดั การเรยี นรูแ้ บบ 5E)
ขนั้ ท่ี 1 ขั้นนาเขา้ สู่บทเรียน (Engagement Phase)

1.1 ผูส้ อนทบทวนความรู้เดิม เร่อื ง การสะท้อนของแสง และกฎการสะท้อนของแสง การสะท้อนของ
แสงเกิดข้นึ เม่อื แสงเดนิ ทางไปถงึ ผวิ สะทอ้ น ซ่ึงอาจจะเป็นกระจกเงาหรือพนื้ ผวิ อืน่ ๆ ที่สามารถสะทอ้ นแสงได้
และไม่จาเปน็ ต้องเปน็ ผิวที่เรียบการเขียนรงั สขี องแสงและหาความสัมพนั ธ์ระหว่างมุมตกกระทบ (angle of
incidence) กับมมุ สะทอ้ น (angle of incidence) แนวจากรงั สติ กกระทบ รังสีสะท้อน โดยมมุ ตกกระทบเป็น
มมุ ท่ีรังสตี กกระทบกับเสน้ สมมติท่ีตง้ั ฉากกับผิวสะทอ้ น เรยี กว่า เสน้ แนวฉาก (normal line) การสะท้อนของ
แสงประกอบด้วย ดงั นี้
1. รงั สตี กกระทบ (Incident Ray) คอื รงั สีของแสงท่ีพุ่งเข้าหาพืน้ ผิวของวตั ถุ
2. รังสีสะท้อน (Reflected Ray) คือ รังสีของแสงที่พ่งุ ออกจากพ้ืนผิวของวัตถุ
3. เสน้ แนวฉาก (normal line) คือ เสน้ ทลี่ ากตง้ั ฉากกับพ้ืนผวิ ของวัตถตุ รงจุดท่ีแสงกระทบ
4. มุมตกกระทบ (Angle of Incidence) คือ มมุ ทรี่ ังสีตกกระทบทากบั เส้นปกติ
5. มุมสะทอ้ น (Angle of Reflection) คอื มุมท่รี งั สีสะทอ้ นทากบั เส้นปกติ เมือ่ แสงตกกระทบผวิ วัตถุจะเกิด
การสะท้อนของแสง โดยเป็นไปตามกฎการสะท้อน (Law of reflection) ดังนี้

1. มมุ ตกกระทบเท่ากบั มุมสะทอ้ น
2. รังสตี กกระทบ รงั สีสะทอ้ น และเส้นแนวฉาก อยู่ในระนาบเดียวกนั
ขนั้ ที่ 2 ขั้นสารวจและค้นพบ (Exploration Phase)
2.1 ผูส้ อนใหผ้ ู้เรยี นแต่ละคนศกึ ษาเนื้อหาเรื่องการหกั เหของแสงจากหนังสือเรยี นและเอกสาร
ประกอบการ เรยี นการสอน

ขน้ั ท่ี 3 ขัน้ อธิบายและลงข้อสรุป ( Explanation Phase)
3.1 ผสู้ อนและผู้เรียนร่วมกนั อภปิ รายเพื่อนาไปสู่การสรุปโดยใช้คาถามตอ่ ไปนี้

1) จงอธบิ ายการหักเหของแสง (refraction of light)
(แนวคาตอบ เป็นปรากฏการณ์ทางแสงที่เห็นได้อย่างชัดเจนเพราะเม่อื เกิดขน้ึ จะทาให้แสงเปล่ยี น

แนวทางไปจากเดิมโดยเกิดขึ้นเม่อื แสงมกี ารเดนิ ทางจากตัวกลางหน่ึงไปอีกตวั กลางหนึง่ ทาใหม้ ีอัตราเรว็
เปลีย่ นไป)
2) จงอธิบายกฎของสเนลล์

(แนวคาตอบ อตั ราส่วนระหว่างsinของมมุ ตกกระทบกับsinของมุมหกั เหมีคา่ คงตวั คา่ หน่งึ )
ขน้ั ท่ี 4 ขน้ั ขยายความรู้ (Expansion Phase)

4.1 ผูส้ อนอธิบายใหค้ วามรเู้ พิ่มเติม ดังนี้
การหักเหของแสง (Refraction)
เกดิ จากการที่แสงเคลอ่ื นทผ่ี า่ นตัวกลางที่มคี วามหนาแน่นต่างกัน เป็นผลทาใหท้ ิศทางของแสงเปล่ยี นแปลงไป
ดว้ ย ซึง่ ในขณะทีแ่ สงเกดิ การหกั เหกจ็ ะเกดิ การสะท้อนของแสงขึ้นพร้อมๆ กนั ด้วย
เม่ือแสงเดินทางผ่านวตั ถุหรือตวั กลางโปร่งใส เชน่ อากาศ แก้ว นา้ พลาสติกใส แสงจะสามารถเดินทางผ่านได้
เกอื บหมด เมือ่ แสงเดินทางผ่านตัวกลางชนิดเดยี วกัน แสงจะเดนิ ทางเป็นเส้นตรงเสมอ แต่ถา้ แสงเดนิ ทางผา่ น
ตัวกลางหลายตวั กลาง แสงจะหกั เห
4.2 ผสู้ อนอธิบายตัวอย่างในเอกสารประกอบการเรยี นการสอน เรือ่ ง การหักเหของแสง
4.3 ผสู้ อนให้ผู้เรยี นทาแบบฝึกหดั ในเอกสารประกอบการเรียนการสอน เรอื่ ง การหกั เหของแสง
ขัน้ ที่ 5 ขั้นประเมนิ (Evaluation)
5.1 ผู้เรียนส่งแบบฝึกหดั ในเอกสารประกอบการเรยี นการสอน เรอื่ ง การหักเหของแสง

7. สอ่ื /แหลง่ การเรียนรู้
8.1 หนังสือเรียนรายวิชาเพ่มิ เตมิ วิทยาศาสตร์ (ฟสิ ิกส์) ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 5 เล่ม 3 (ฉบับปรับปรงุ

พ.ศ. 2560)
8.2 เอกสารประกอบการเรียนการสอน เรื่อง การหักเหของแสง

8. วธิ ีการวดั และประเมินผล

จุดประสงคก์ ารเรียนรู้ วิธีการวัดและประเมนิ ผล
วธิ กี ารวัด เครอ่ื งมือท่ใี ช้วดั เกณฑก์ ารประเมนิ

1) อธบิ ายการหักเหของแสง และกฎ การตอบคาถาม คาถาม ตอบคาถามถกู ต้องร้อย
ของสเนลล์ได้ (K) ละ 70 ข้นึ ไป

2) นกั เรียนสามารถนากฎของสเนลล์ การทาแบบฝึกหดั แบบฝกึ หัด ตอบคาถามถกู ต้องร้อย
คานวณหาปริมาณต่างๆทีเ่ กี่ยวขอ้ งได้ ละ 70 ข้ึนไป
(P)

3) เป็นผูม้ ีความมุ่งมนั่ ในการทางานและมี สังเกตพฤตกิ รรมใน แบบสังเกต ผ่านเกณฑ์ในระดับดี

ความรบั ผิดชอบ (A) ชั้นเรยี น พฤติกรรม ขึน้ ไป

บกั ทกึ ผลหลงั จากการจัดการเรียนรู้
1. ผลการจดั การเรยี นการสอน

…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………

2. ปญั หาและอปุ สรรคในการจัดการเรียนการสอน
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………

3. ขอ้ เสนอแนะและแนวทางการแก้ไข
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………

4. บกั ทึกหลงั การสอน
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………

ลงชื่อ………………………………………………………………
(……………………………………………………………)
ผูส้ อน

5. ความคดิ เห็นของครูพีเ่ ลี้ยง
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………

ลงชอ่ื ………………………………………………………………
(……………………………………………………………)
ครูพี่เลย้ี ง

5. ความคดิ เห็นของบรหิ ารวิชาการ
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………

ลงชอื่ ………………………………………………………………
(……………………………………………………………)
ฝ่ายบรหิ ารวิชาการ

6. ความคิดเห็นของผ้บู ริหารสถานศกึ ษา
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………

ลงชอื่ ………………………………………………………………
(……………………………………………………………)
ผู้บริหารสถานศกึ ษา

แบบสงั เกตพฤติกรรมในชน้ั เรยี น

คาชีแ้ จง: ใหค้ ะแนน 1-3 ที่ตรงกบั ระดบั พฤตกิ รรมท่นี กั เรียนแสดงออกตามเกณฑ์การประเมินท่ีกาหนด

พฤติกรรมท่สี ังเกต กล่มุ ท่ี
12345

1. เขา้ หอ้ งเรยี นตรงเวลา

2. มสี ่วนร่วมในการแสดงความคิดเหน็

3. มีความกระตือรือร้นในการทากจิ กรรม

4. มกี ารช่วยเหลือกนั

5. รับผิดชอบในงานท่ไี ดร้ ับมอบหมาย

รวม

เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน
พฤติกรรมทท่ี าเป็นประจา 3 คะแนน
พฤติกรรมทที่ าเป็นบางครง้ั 2 คะแนน
พฤติกรรมท่ีทาน้อยคร้ัง 1 คะแนน

คะแนนตัดสนิ ระดบั คุณภาพ

ช่วงคะแนน ระดบั คุณภาพ สรุปผลการประเมินผลทัง้ ชนั้ เรียน
อยูใ่ นเกณฑ์………………………….
11-15 ดี  ผ่าน  ไม่ผ่าน

6-10 พอใช้

1-5 ปรับปรงุ

ลงชื่อ………………………………………………………………
(……………………………………………………………)
ผ้สู อน

แผนการจัดการเรยี นรทู้ ี่ 18 ชนั้ มัธยมศึกษาปที ี่ 5
กลมุ่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี เวลา 12 ช่วั โมง
หนว่ ยการเรยี นร้ทู ่ี 11 แสงเชงิ รงั สี เวลา 3 ชว่ั โมง
เรอ่ื ง การมองเหน็ และการเกิดภาพ
ครูผสู้ อน นางสาวเลอ่ื มประภัสร์ สารพันธ์ ภาคเรียนที่ 1/2565

1. มาตรฐานการเรียนรู้
สาระฟิสกิ ส์ 2 เขา้ ใจการเคล่ือนที่แบบฮาร์มอนิกอยา่ งง่าย ธรรมชาติของคล่ืนเสยี งและการ

ได้ยินปรากฏการณท์ ่ีเก่ียวขอ้ งกับเสียง แสงและการเห็นปรากฏการณ์ที่เก่ียวข้องกับแสง รวมทั้งนาความรู้ไปใช้
ประโยชน์

2. ผลการเรียนรู้
6. ทดลองและอธบิ ายการสะทอ้ นของแสงท่ีผวิ วตั ถตุ ามกฎการสะท้อนเขียนรังสขี องแสงและ คานวณ

ตาแหน่งและขนาดภาพของวัตถุเม่ือแสงตกกระทบกระจกเงาราบและกระจกเงาทรงกลม รวมทงั้ อธิบายการนา
ความรู้เร่ืองการสะท้อนของแสงจากกระจกเงาราบและกระจกเงาทรงกลมไปใช้ประโยชน์ในชวี ติ ประจาวัน

3. จุดประสงค์การเรียนรู้
1) อธบิ ายวธิ ีการเขียนรังสีของแสงและการเกิดภาพจากการหกั เหของแสงท่ผี า่ นตวั กลางทีต่ า่ งกัน (K)
2) เขยี นรงั สขี องแสง และคานวณหาปรมิ าณตา่ ง ๆ ของการเกิดภาพที่เกดิ จากการหักเหของแสงทผี่ ่าน

ตัวกลางท่ตี ่างกัน (P)
3) เป็นผู้มคี วามมุ่งมัน่ ในการทางานและมีความรบั ผดิ ชอบ (A)

4. สาระการเรยี นรู้
เมอ่ื แสงจากวัตถถุ ูกทาให้เปลี่ยนเส้นทางเดินมาเขา้ ตา เช่น การสะท้อนกับกระจกเงาราบ การหักเห

ผ่านเลนสบ์ าง การสะท้อนจากกระจกเงาทรงกลม ทาใหเ้ ห็นวตั ถุตรงตาแหนง่ ท่แี นวรังสีท่เี ปลีย่ นเสน้ ทางมาเข้า
ตาตัดกนั ซง่ึ อาจไม่พบวัตถจุ รงิ ตรงตาแหนง่ น้นั เรยี กสงิ่ ท่ีมองเห็นว่า ภาพ (image) กระจกเงาราบสามารถ
สะท้อนแสงได้ดี ภาพของวตั ถุทเี่ กิดจากการสะท้อนกบั กระจกเงาราบหาไดจ้ ากการเขียนรังสีของแสง
เม่อื แสงจากวตั ถเุ ดินทางผา่ นรอยตอ่ ระหวา่ งตัวกลางทีม่ ีดรรชนีหกั เหตา่ งกนั ตาแหน่งภาพท่มี องเห็นจะตา่ งไป
จากตาแหน่งของวัตถุจรงิ ทาให้ความลกึ ทปี่ รากฏตอ่ สายตาตา่ งไปจากความลึกจริงของวตั ถุซ่งึ หาไดจ้ ากการ
เขยี นรังสขี องแสง

5. สาระสาคัญ
การมองเห็นวตั ถใุ ดได้ต้องมีแสงจากวตั ถุนน้ั เข้าส่ตู าเราซงึ่ วัตถุนั้นอาจจะเป็นวตั ถทุ ี่มแี สงในตัวเองหรือ

วัตถนุ ้ันสะท้อนจากแห่งกาเนิดอ่ืนมาเขา้ ตาเรา เช่น การมองเห็นต้นไม้ต้นหน่ึง ดังรูป

- การมองต้นไม้ตาแหน่ง C คอื ส่วนยอดสุดของตน้ ไม้ แสดงว่ามแี สงจากจดุ C มาเข้าตาเรา และถ้า
เราขยับ ตวั ไปดา้ นขา้ ง เรายงั คงมองเห็นจดุ C ได้ แสดงว่าแสงทอี่ อกจากจุด C น้ันไมไ่ ด้มเี พยี งทิศทางใด
ทิศทางหน่ึงแต่จะออกได้ทุกทิศทาง (ดังรูป ก.)

- หากพิจารณาเฉพาะรังสขี องแสงทีม่ าเขา้ ตาเราเทา่ นั้น อาจเขยี นรังสีของแสงออกจากจุด C ด้วยรังสี
เพยี งไม่ก่ีเสน้ ซึ่งในทนี่ ี้คือ 3 เส้น (ดงั รปู ข.)

- แต่การมองเหน็ ของมนุษย์ไม่ได้เหน็ เฉพาะจดุ C เท่าน้ัน เราสามารถเหน็ ส่วนอนื่ ๆ ของต้นไม้ดว้ ย
แสดงวา่ มีแสงจากส่วนอนื่ ออกมาเข้าตาเราอีกด้วย (ดงั รูป ค.)

- การทต่ี าเราสามารถแยกไดว้ ่าแสงมาจากส่วนไหนของตน้ ไม้ เน่ืองจากแสงจากแตล่ ะจุดบนวัตถุท่ีมา
เข้าตาเรานัน้ เปน็ แสงท่บี านออก เม่ือรงั สขี องแสงบางส่วนเข้าตาเราเลนสต์ าจะทาหนา้ ท่ีชว่ ยใหแ้ สงไปตก
กระทบบนจอตา (retina) และการรับร้บู นจอตาจะสง่ สัญญาณให้สมองแปลความหมายจนทาใหเ้ ราเหน็ ตน้ ไม้
ได้

การเกิดภาพ
ภาพทีเ่ กดิ จากการสะท้อน การสะทอ้ นกับกระจกเงาราบ การหักเหผา่ น เลนส์บาง การสะท้อนจากกระจกเงา
ทรงกลม ทาให้เห็นวัตถตุ รงตาแหนง่ ท่ีแนวรังสีทีเ่ ปลย่ี นเส้นทางมาเข้าตาตัดกนั ซึ่งอาจไม่พบวัตถุจรงิ ตรง
ตาแหน่งนั้นเรียกสิ่งทมี่ องเหน็ วา่ ภาพ (image)

6. กจิ กรรมการเรยี นรู้ (รปู แบบการจดั การเรียนรูแ้ บบ 5E)
ขน้ั ที่ 1 ข้ันนาเขา้ ส่บู ทเรยี น (Engagement Phase)

ขัน้ ที่ 1 ขั้นนาเขา้ สูบ่ ทเรียน (Engagement Phase)
1.1 ผสู้ อนทบทวนความรู้ เร่อื ง การเกิดมุมวิกฤต การสะท้อนกลบั หมด และการกระจายแสง
1.2 ผู้สอนยกสถานการณ์ “ในเวลากลางคนื หรอื เวลาท่ีเราอยู่ในสถานทีท่ ีม่ ดื สนิท” แล้วตงั้ คาถาม
เพ่อื เข้าสู่กจิ กรรม ดังนี้
1) ในเวลากลางคนื หรือเวลาทเ่ี ราอยใู่ นสถานท่ที ี่มดื สนิท เราสามารถมองเหน็ วัตถุไดห้ รือไม่
2) ถ้ามีการส่องแสง เชน่ แสงจากไฟฉายไปกระทบวัตถจุ ะทาให้เราสามารถมองเหน็ วตั ถุไดห้ รือไม่
3) จากสถานการณด์ งั กลา่ วนักเรียนสามารถนามาอธิบายการมองเห็นวตั ถุได้อย่างไร

ขั้นท่ี 2 ขน้ั สารวจและคน้ พบ (Exploration Phase)
2.1 ผ้สู อนให้ผู้เรยี นทุกคนศึกษาค้นคว้าขอ้ มลู และทาความเข้าใจ เรื่อง การมองเหน็ และการเกิดภาพ

ในหนังสือเรียน เอกสารประกอบการเรยี นการสอนและอินเทอรเ์ น็ต
2.2 ใหผ้ ู้เรยี นทาแบบฝึก เร่ือง การมองเห็นและการเกิดภาพ

ข้ันท่ี 3 ขั้นอธิบายและลงขอ้ สรุป ( Explanation Phase)
3.1 ผู้สอนใหผ้ ู้เรียนออกมานาเสนอผลการศึกษาข้อมลู ที่ศึกษาจากหนงั สือเรยี นและเอกสาร

ประกอบการเรยี น
3.2 ผสู้ อนและผู้เรียนรว่ มกันอภิปรายโดยใช้คาถาม ดงั นี้

1) การมองเหน็ วตั ถเุ กิดขน้ึ เนื่องจากอะไร
(แนวคาตอบ การมองเห็นวัตถเุ กิดขนึ้ เนอื่ งจากมีแสงจากวัตถุเขา้ ตา)

2) เลนสต์ ามหี น้าทอี่ ยา่ งไร
(แนวคาตอบ ช่วยให้แสงไปรวมกันที่ตาแหน่งตา่ ง ๆ บนจอตาทาให้เกิดการรับรู้บนจอตาส่งสัญญาณ

ใหส้ มองแปลความหมายเปน็ การมองเหน็ วัตถ)ุ
3) ภาพท่ีเห็นจากกระจกเงาราบอย่ดู า้ นหลงั กระจกเงาราบ เนื่องจากอะไร

(แนวคาตอบ ภาพท่เี ห็นเกดิ จากแสงสะทอ้ นที่ผวิ กระจก โดยแสงดังกล่าวเสมือนออกมาจากตาแหน่ง
ภาพทีอ่ ยหู่ ลังกระจกเงาราบ)
4) เมื่ออยูใ่ นอากาศและมองวัตถทุ ี่อยู่ในนา้ จากดา้ นบนจะเหน็ ภาพของวัตถุในน้าเป็นอย่างไร

(แนวคาตอบ อยตู่ น้ื กว่าตาแหนง่ ของวตั ถจุ รงิ )
3.3 ผู้สอนและผเู้ รียนร่วมกนั อภปิ รายและสรุปการมองเห็นและการเกดิ ภาพ
ข้นั ที่ 4 ขั้นขยายความรู้ (Expansion Phase)
4.1 ผสู้ อนอธิบายให้ความรู้เพิม่ เติม ดังน้ี
เมอื่ แสงจากวตั ถุถูกทาใหเ้ ปลี่ยนเส้นทางเดนิ มาเข้าตา เชน่ การสะท้อนกบั กระจกเงาราบ การหกั เหผา่ นเลนส์
บาง การสะท้อนจากกระจกเงาทรงกลม ทาใหเ้ หน็ วตั ถุตรงตาแหน่งทแี่ นวรงั สที เ่ี ปลยี่ นเส้นทางมาเข้าตาตัดกัน
ซงึ่ อาจไม่พบวัตถจุ รงิ ตรงตาแหน่งนัน้ เรยี กสิง่ ทม่ี องเหน็ วา่ ภาพ (image) กระจกเงาราบสามารถสะท้อนแสงได้
ดี ภาพของวัตถุที่เกิดจากการสะทอ้ นกับกระจกเงาราบหาได้จากการเขยี นรังสีของแสง
เมอ่ื แสงจากวัตถุเดนิ ทางผา่ นรอยต่อระหว่างตวั กลางทีม่ ีดรรชนีหักเหต่างกนั ตาแหนง่ ภาพที่มองเหน็ จะต่างไป
จาก ตาแหนง่ ของวัตถุจริงทาให้ความลกึ ทปี่ รากฏต่อสายตาตา่ งไปจากความลึกจริงของวตั ถุ ซง่ึ หาไดจ้ ากการ
เขยี นรังสขี องแสง
ขน้ั ที่ 5 ขั้นประเมิน (Evaluation)
5.1 ผู้เรียนส่งแบบฝึก เร่ือง การมองเห็นและการเกิดภาพ

7. ส่ือ/แหลง่ การเรยี นรู้
7.1 หนงั สือเรยี นรายวิชาเพ่มิ เตมิ วิทยาศาสตร์ (ฟสิ ิกส)์ ช้นั มัธยมศกึ ษาปีท่ี 5 เล่ม 3 (ฉบับปรับปรงุ

พ.ศ. 2560)
7.2 เอกสารประกอบการเรียนการสอน เร่ือง การมองเหน็ และการเกิดภาพ

8. วธิ ีการวดั และประเมนิ ผล

จุดประสงคก์ ารเรียนรู้ วธิ กี ารวดั และประเมินผล
วิธกี ารวดั เครือ่ งมือท่ใี ช้วัด เกณฑ์การประเมิน

1) อธิบายวิธกี ารเขยี นรังสขี องแสงและ การตอบคาถาม คาถาม ตอบคาถามถูกต้องร้อย
การเกิดภาพจากการหักเหของแสงทีผ่ ่าน ละ 70 ขนึ้ ไป
ตวั กลางท่ีตา่ งกัน (K)

2) เขยี นรงั สีของแสง และคานวณหา

ปรมิ าณต่าง ๆ ของการเกิดภาพท่ีเกิดจาก การทาแบบฝึกหดั แบบฝกึ หดั ตอบคาถามถกู ต้องร้อย
การหักเหของแสงทผี่ า่ นตัวกลางท่ีต่างกัน ละ 70 ขึน้ ไป

(P)

3) เป็นผ้มู ีความมงุ่ ม่ันในการทางานและมี สังเกตพฤติกรรมใน แบบสังเกต ผา่ นเกณฑ์ในระดับดี

ความรับผิดชอบ (A) ชั้นเรยี น พฤติกรรม ขึน้ ไป

บกั ทกึ ผลหลงั จากการจดั การเรยี นรู้
1. ผลการจดั การเรยี นการสอน

…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

2. ปญั หาและอุปสรรคในการจดั การเรยี นการสอน
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

3. ขอ้ เสนอแนะและแนวทางการแก้ไข
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

4. บักทึกหลงั การสอน
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

ลงช่อื ………………………………………………………………
(……………………………………………………………)
ผูส้ อน

5. ความคดิ เหน็ ของครูพเ่ี ลี้ยง
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

ลงชอ่ื ………………………………………………………………
(……………………………………………………………)
ครพู ี่เลย้ี ง

5. ความคดิ เหน็ ของบริหารวิชาการ
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

ลงชอ่ื ………………………………………………………………
(……………………………………………………………)
ฝ่ายบรหิ ารวชิ าการ

6. ความคดิ เหน็ ของผู้บรหิ ารสถานศกึ ษา
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

ลงช่อื ………………………………………………………………
(……………………………………………………………)
ผูบ้ รหิ ารสถานศึกษา

แบบสงั เกตพฤติกรรมในชน้ั เรยี น

คาชีแ้ จง: ใหค้ ะแนน 1-3 ที่ตรงกบั ระดบั พฤตกิ รรมท่นี กั เรียนแสดงออกตามเกณฑ์การประเมินท่ีกาหนด

พฤติกรรมท่สี ังเกต กล่มุ ท่ี
12345

1. เขา้ หอ้ งเรยี นตรงเวลา

2. มสี ่วนร่วมในการแสดงความคิดเหน็

3. มีความกระตือรือร้นในการทากจิ กรรม

4. มกี ารช่วยเหลือกนั

5. รับผิดชอบในงานท่ไี ดร้ ับมอบหมาย

รวม

เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน
พฤติกรรมทท่ี าเป็นประจา 3 คะแนน
พฤติกรรมทที่ าเป็นบางครง้ั 2 คะแนน
พฤติกรรมท่ีทาน้อยคร้ัง 1 คะแนน

คะแนนตัดสนิ ระดบั คุณภาพ

ช่วงคะแนน ระดบั คุณภาพ สรุปผลการประเมินผลทัง้ ชนั้ เรียน
อยูใ่ นเกณฑ์………………………….
11-15 ดี  ผ่าน  ไม่ผ่าน

6-10 พอใช้

1-5 ปรับปรงุ

ลงชื่อ………………………………………………………………
(……………………………………………………………)
ผ้สู อน

แผนการจดั การเรียนรู้ที่ 19 ชัน้ มัธยมศกึ ษาปีที่ 5
กลมุ่ สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี เวลา 12 ช่ัวโมง
หน่วยการเรียนรู้ที่ 11 แสงเชิงรังสี เวลา 3 ชั่วโมง
เรื่อง การหักเหของแสงผา่ นเลนส์บาง
ภาคเรียนท่ี 1/2565
ครผู สู้ อน นางสาวเล่ือมประภัสร์ สารพันธ์

1. มาตรฐานการเรียนรู้
สาระฟสิ กิ ส์ 2 เข้าใจการเคลื่อนที่แบบฮาร์มอนกิ อย่างงา่ ย ธรรมชาติของคล่นื เสียงและการ

ไดย้ ินปรากฏการณท์ ่ีเกย่ี วข้องกับเสยี ง แสงและการเห็นปรากฏการณ์ทีเ่ กยี่ วข้องกับแสง รวมท้งั นาความรู้ไปใช้
ประโยชน์

2. ผลการเรยี นรู้
8. ทดลองและเขียนรงั สีของแสงเพ่ือแสดงภาพท่ีเกดิ จากเลนส์บางหาตาแหน่งขนาดชนดิ ของภาพ

และความสมั พนั ธ์ระหวา่ งระยะวตั ถรุ ะยะภาพและความยาวโฟกัสรวมท้ังคานวณปรมิ าณต่างๆ ทเ่ี ก่ียวข้อง
และอธิบาย การนาความร้เู ร่ืองการหกั เหของแสงผ่านเลนส์บางไปใช้ประโยชน์ในชวี ติ ประจาวัน

3. จดุ ประสงค์การเรียนรู้
1) อธิบายการเกิดภาพของเลนสบ์ าง (K)
2) คานวณหาปรมิ าณต่างๆที่เกยี่ วข้องกับการเกดิ ภาพจากเลนสบ์ าง (P)
3) เป็นผูม้ ีความมุ่งม่นั ในการทางานและมีความรับผดิ ชอบ (A)

4. สาระการเรยี นรู้
เลนส์บางคือ ตวั กลางโปร่งแสงสามารถใหแ้ สงผา่ นไปได้สามารถรวมแสงหรือกระจายแสงไดโ้ ดย

หลกั การหกั เหของแสงมผี ิวหนา้ เป็นผวิ โค้งเป็นเลนส์ทีม่ ีความหนานอ้ ยเมื่อเทยี บกบั ระยะวัตถรุ ะยะภาพและ
รศั มคี วามโค้งของทรงกลม เลนส์แบง่ ออกเปน็ สองชนดิ คอื เลนส์นนู (Convex lens) กับเลนสเ์ วา้ (Concave
lens)

- เลนส์นนู คือ เลนสท์ ี่มีตรงกลางหนากว่าตรงขอบเสมอเมื่อลาแสงส่องขนานเข้าหาเลนสจ์ ะทาใหร้ ังสี
ตบี เข้าหากันและตดั กนั ท่ีจดุ โฟกัสจริง (Real focus)

- เลนสเ์ ว้า คอื เลนส์ทมี่ ีตรงกลางบางกว่าตรงขอบเสมอเม่ือลาแสงส่องขนานเขา้ หาเลนส์ทาให้รังสถี ่าง
ออกจากกันละจะไปตัดกนั ท่จี ุดโฟกสั เสมอื น (Virtual focus)

5. สาระสาคัญ
เลนสบ์ างเปน็ อปุ กรณ์ทางแสงท่ีทางานโดยใช้หลักการการหักเหของแสงทาจากแกว้ หรือพลาสติก

โปรง่ ใสทม่ี ีผวิ โค้งทรงกลมท้ังสองขา้ งไม่ขนานกันเลนสบ์ างมี 2 ชนดิ คอื เลนสน์ นู (convex lens) และเลนส์
เวา้ (concave lens) ดงั รปู

เลนสน์ ูนเป็นเลนส์ที่มลี ักษณะตรงกลางเลนส์หนากว่าท่ีขอบเลนส์ โดยทั่วไปมผี วิ นนู ท้งั สองดา้ น ถ้าเรา
ฉายแสงเลเซอร์ผา่ นเลนส์นนู พบว่า แสงทผี่ ่านเลนสจ์ ะเกดิ การหักเหสองครงั้ โดยคร้ังแรกเกดิ ทผี่ ิวดา้ นหนา้
และครงั้ ทสี่ องเกดิ ท่ีผิวด้านหลังของเลนส์ผลจากการหักเหทัง้ สองคร้ังนีท้ าใหร้ ังสขี องแสงมีการเบี่ยงเบนไปจาก
แนวเดมิ ดงั รปู ก. (ดา้ นลา่ ง) ซงึ่ ในระดับนี้ พจิ ารณาเฉพาะเลนส์บางทค่ี วามหนาของเลนสน์ ้อยๆ และรังสหี ัก
เหผ่านเลนสเ์ พียงคร้งั เดยี วที่แกนเลนส์ ดงั รูป ข. (ดา้ นลา่ ง)

การหักเหของแสงผ่านเลนสบ์ างนยิ มสรา้ งเส้นสมมติทีต่ ัง้ ฉากกบั แกนเลนส์และผา่ นจดุ กง่ึ กลางเลนส์
เรียกว่า เส้นแกนมขุ สาคัญ (principal axis) ดังรปู ก. (ดา้ นลา่ ง) ซงึ่ ถ้ามรี ังสขี องแสงขนานกบั เสน้ แกนมุข
สาคัญมาตกกระทบเลนส์รังสีขนานเหลา่ น้ีจะหักเหผ่านเลนสแ์ ลว้ ไปตดั กนั ทจ่ี ุดจุดหน่ึงบนเส้นแกนมขุ สาคญั
คอื โฟกัส (focus) ของเลนส์ เรียกระยะจากโฟกสั ไปถงึ จุดก่ึงกลางเลนส์วา่ ความยาวโฟกัส (focal length)
และใช้สญั ลกั ษณ์ f แทนความยาวโฟกัส ดงั รปู ข. (ด้านลา่ ง) การท่เี ลนสน์ นู ทาให้รังสขี องแสงขนานลเู่ ขา้ หากนั
ทาให้ บางครั้งเรียกเลนสน์ ูนว่า เลนส์รวมแสง (converging lens)

สาหรับเลนส์นนู บางจะมคี วามสมมาตรของแลนด์คอื ถ้ามีและขนานเข้ามาจากทางด้านขวาของแลนด์
จะ คดั กันที่โฟกสั ทางด้านซ้ายของเลนส์ โดยมีระยะโฟกัสเท่ากันทงั้ สองด้าน ดงั รปู (ด้านล่าง) พบว่ามีการเขียน
โฟกสั ไวท้ ง้ั สองด้านของเลนส์

6. กจิ กรรมการเรียนรู้ (รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบ 5E)
ขัน้ ท่ี 1 ข้ันนาเข้าสู่บทเรียน (Engagement Phase)

1.1 ผสู้ อนทบทวนความรู้ เร่ือง การมองเหน็ และการเกิดภาพ และการเกดิ ภาพของ กระจกเงาราบ
1.2 ผสู้ อนตงั้ คาถามเพื่อเขา้ สู่การเรยี นการสอน
1) เลนสม์ ีกี่แบบ อะไรบ้าง
2) ภาพทีเ่ กดิ จากเลนสน์ นู และเลนสเ์ วา้ จะเหมือนหรือแตกตา่ งจากกระจกเงาราบหรอื ไม่ อย่างไร
3) แต่ละแบบจะทา ใหเ้ กดิ ภาพเหมือนหรือแตกตา่ งกนั หรือไม่
(โดยผสู้ อนเปิดโอกาสให้ผู้เรยี นแสดงความคิดเหน็ อย่างอิสระและไม่คาดหวังคาตอบท่ีถกู ตอ้ ง)
ขนั้ ท่ี 2 ขนั้ สารวจและค้นพบ (Exploration Phase)
2.1 ผสู้ อนใหผ้ ู้เรียนทกุ คนศกึ ษาค้นคว้าขอ้ มูลและทาความเขา้ ใจ เรื่อง การหกั เหของแสงผา่ นเลนส์
ในหนงั สอื เรยี น เอกสารประกอบการเรียนการสอน และอนิ เทอร์เนต็
2.2 ผู้เรียนทาแบบฝึก เรอ่ื ง การหกั เหของแสงผ่านเลนส์
ขั้นที่ 3 ขน้ั อธิบายและลงขอ้ สรปุ ( Explanation Phase)
3.1 ผู้สอนให้ผูเ้ รยี นออกมานาเสนอผลการศึกษาหนา้ ชน้ั เรียน
3.2 ผู้สอนและผ้เู รยี นรว่ มกันอภิปราย จนสรุปได้ ดงั นี้
1. เมอื่ วตั ถุอยู่ไกลจากเลนส์นูนมากๆ แสงจากวตั ถุสว่ นทม่ี ากระทบเลนส์นูนถือว่าเป็นแสงขนานและเม่อื แสง
ขนานผ่านเลนส์นูนจะไปตัดกันที่โฟกัสนน่ั คือเกิดภาพของวัตถุที่อยู่ไกลมากท่ีโฟกัสของเลนส์ทาให้สามารถหา
ความยาวโฟกสั ของเลนสน์ นู เท่ากบั 14.5 เซนติเมตร
2. ความสัมพันธร์ ะหวา่ งส่วนกลบั ของระยะวตั ถุระยะภาพและความยาวโฟกสั
ขัน้ ที่ 4 ขั้นขยายความรู้ (Expansion Phase)
4.1 ครอู ธบิ ายใหค้ วามรเู้ พิ่มเติม เกยี่ วกับการเกิดภาพของเลนส์บาง
4.2 ครูอธบิ ายตวั อยา่ ง การเกิดภาพของเลนส์บางอยา่ งละเอยี ด
ข้ันท่ี 5 ขนั้ ประเมิน (Evaluation)
5.1 นกั เรียนส่งใบงาน เรือ่ ง การหักเหของแสงผ่านเลนสน์ ูนและเลนสเ์ ว้า

7. สือ่ /แหลง่ การเรยี นรู้
7.1 หนังสือเรียนรายวิชาเพิ่มเตมิ วิทยาศาสตร์ (ฟสิ กิ ส์) ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 5 เล่ม 3 (ฉบับปรบั ปรุง

พ.ศ. 2560)
7.2 เอกสารประกอบการเรยี นการสอน เร่ือง การหกั เหของแสงผ่านเลนสน์ ูน

8. วิธีการวดั และประเมินผล

จุดประสงค์การเรียนรู้ วธิ ีการวดั และประเมนิ ผล
วิธกี ารวัด เคร่อื งมอื ท่ีใช้วดั เกณฑก์ ารประเมนิ

1) อธบิ ายการเกิดภาพของเลนส์บาง (K) การตอบคาถาม คาถาม ตอบคาถามถกู ต้องร้อย
ละ 70 ขน้ึ ไป

2) คานวณหาปรมิ าณตา่ งๆทเ่ี ก่ียวขอ้ งกบั การทาแบบฝึกหัด แบบฝกึ หดั ตอบคาถามถกู ต้องร้อย
การเกิดภาพจากเลนสบ์ าง (P) ละ 70 ขึ้นไป

3) เป็นผู้มคี วามมุ่งมน่ั ในการทางานและมี สังเกตพฤตกิ รรมใน แบบสงั เกต ผา่ นเกณฑ์ในระดบั ดี

ความรบั ผิดชอบ (A) ชัน้ เรยี น พฤติกรรม ข้นึ ไป

บกั ทกึ ผลหลังจากการจดั การเรยี นรู้
1. ผลการจัดการเรยี นการสอน

…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

2. ปญั หาและอุปสรรคในการจัดการเรียนการสอน
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

3. ข้อเสนอแนะและแนวทางการแก้ไข
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

4. บักทึกหลังการสอน
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

ลงชือ่ ………………………………………………………………
(……………………………………………………………)
ผูส้ อน

5. ความคดิ เหน็ ของครูพเ่ี ล้ียง
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

ลงชอ่ื ………………………………………………………………
(……………………………………………………………)
ครูพ่ีเลีย้ ง

5. ความคดิ เหน็ ของบริหารวชิ าการ
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

ลงชอ่ื ………………………………………………………………
(……………………………………………………………)
ฝ่ายบรหิ ารวชิ าการ

6. ความคดิ เหน็ ของผู้บรหิ ารสถานศกึ ษา
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

ลงชื่อ………………………………………………………………
(……………………………………………………………)
ผูบ้ ริหารสถานศึกษา

แบบสงั เกตพฤติกรรมในชน้ั เรยี น

คาชีแ้ จง: ใหค้ ะแนน 1-3 ที่ตรงกบั ระดบั พฤตกิ รรมท่นี กั เรียนแสดงออกตามเกณฑ์การประเมินท่ีกาหนด

พฤติกรรมท่สี ังเกต กล่มุ ท่ี
12345

1. เขา้ หอ้ งเรยี นตรงเวลา

2. มสี ่วนร่วมในการแสดงความคิดเหน็

3. มีความกระตือรือร้นในการทากจิ กรรม

4. มกี ารช่วยเหลือกนั

5. รับผิดชอบในงานท่ไี ดร้ ับมอบหมาย

รวม

เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน
พฤติกรรมทท่ี าเป็นประจา 3 คะแนน
พฤติกรรมทที่ าเป็นบางครง้ั 2 คะแนน
พฤติกรรมท่ีทาน้อยคร้ัง 1 คะแนน

คะแนนตัดสนิ ระดบั คุณภาพ

ช่วงคะแนน ระดบั คุณภาพ สรุปผลการประเมินผลทัง้ ชนั้ เรียน
อยูใ่ นเกณฑ์………………………….
11-15 ดี  ผ่าน  ไม่ผ่าน

6-10 พอใช้

1-5 ปรับปรงุ

ลงชื่อ………………………………………………………………
(……………………………………………………………)
ผ้สู อน

แผนการจดั การเรียนรทู้ ่ี 20 ชัน้ มัธยมศกึ ษาปที ่ี 5
กลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี เวลา 12 ชวั่ โมง
หน่วยการเรยี นรทู้ ี่ 11 แสงเชิงรังสี เวลา 3 ชั่วโมง
เรอื่ ง การเกดิ ภาพจากกระจกเงาทรงกลม
ครูผู้สอน นางสาวเล่อื มประภัสร์ สารพนั ธ์ ภาคเรยี นท่ี 1/2565

1. มาตรฐานการเรียนรู้
สาระฟิสิกส์ 2 เข้าใจการเคลื่อนทแ่ี บบฮารม์ อนกิ อย่างง่าย ธรรมชาตขิ องคล่นื เสยี งและการ

ได้ยินปรากฏการณท์ เี่ ก่ยี วขอ้ งกับเสียง แสงและการเห็น ปรากฏการณ์ทีเ่ กีย่ วข้องกับแสง รวมทงั้ นาความรู้ไป
ใช้ประโยชน์

2. ผลการเรยี นรู้
6. ทดลอง และอธิบายการสะทอ้ นของแสงท่ผี วิ วตั ถุตามกฎการสะท้อน เขียนรงั สีของแสงและ

คานวณ ตาแหน่งและขนาดภาพของวตั ถุ เม่ือแสงตกกระทบกระจกเงาราบและกระจกเงาทรงกลม รวมทง้ั
อธิบายการนา ความรู้เรอื่ งการสะทอ้ นของแสงจากกระจกเงาราบ และกระจกเงาทรงกลม ไปใชป้ ระโยชน์ใน
ชวี ติ ประจาวัน

3. จุดประสงคก์ ารเรียนรู้
1) อธิบายการเกิดภาพของกระจกเงาทรงกลม (K)
2) คานวณหาปรมิ าณตา่ ง ๆ ทเ่ี กีย่ วข้องกับการเกิดภาพจากกระจกเงาทรงกลม (P)
3) เปน็ ผ้มู คี วามม่งุ มั่นในการทางานและมคี วามรับผิดชอบ (A)

4. สาระการเรยี นรู้
เลนสบ์ างคอื ตัวกลางโปรง่ แสง สามารถใหแ้ สงผ่านไปได้ สามารถรวมแสงหรือกระจายแสงไดโ้ ดย

หลักการหักเหของแสง มผี วิ หน้าเป็นผวิ โค้ง เปน็ เลนสท์ ่ีมีความหนานอ้ ยเม่ือเทยี บกบั ระยะวัตถุ ระยะภาพ และ
รศั มีความโค้งของทรงกลม เลนสแ์ บง่ ออกเป็นสองชนิด คอื เลนสน์ นู (Convex lens) กับเลนสเ์ ว้า (Concave
lens)

- เลนส์นนู คือ เลนสท์ ี่มตี รงกลางหนากว่าตรงขอบเสมอ เมื่อลาแสงส่องขนานเข้าหาเลนส์จะทาให้รงั สี
ตีบเขา้ หากนั และตัดกัน ทีจ่ ุดโฟกัสจรงิ (Real focus)

- เลนสเ์ ว้า คือ เลนสท์ ่ีมตี รงกลางบางกวา่ ตรงขอบเสมอ เมื่อลาแสงส่องขนานเข้าหาเลนส์ทาใหร้ งั สี
ถ่างออกจากกนั ละจะไปตดั กันทจ่ี ุดโฟกัสเสมือน (Virtual focus)

5.สาระสาคัญ
ในการหาตาแหน่งของภาพทเี่ กดิ จากกระจกโค้งเว้า สามารถใชก้ ารเขียนแผนภาพรังสี โดยเร่ิมตน้ จาก

การ เขียนรงั สที ่ีออกจากสว่ นหวั ของวตั ถุมายังกระจกโค้งเว้า ดังรูป ในการหาตาแหนง่ ของภาพทเี่ กิดจาก
กระจกโค้งนนู สามารถใช้การเขยี นแผนภาพรงั สีของแสง สามารถทาได้โดยการ เขียนรังสีแสงจานวน 4 เส้น
ในทานองเดยี วกนั กบั กระจกโค้งเวา้ ดังรปู

6. กจิ กรรมการเรียนรู้ (รูปแบบการจัดการเรยี นรูแ้ บบ 5E)
ขนั้ ท่ี 1 ขน้ั นาเขา้ สู่บทเรยี น (Engagement Phase)

1.1 ผสู้ อนทบทวนความรู้ เรื่อง การหักเหของแสงผ่านเลนส์
1.2 ผสู้ อนต้ังคาถามเพือ่ เข้าสู่กจิ กรรม
1) ภาพทเี่ กิดจากกระจกเงาท่ีมีผิวโคง้ จะเหมอื นหรือแตกต่างจากกระจกเงาราบหรือไม่ อย่างไร
2) กระจกเงาผิวโคง้ มีกี่แบบ อะไรบ้าง
3) แต่ละแบบจะทา ให้เกดิ ภาพเหมือนหรือแตกต่างกันหรอื ไม่
(โดยผู้สอนเปดิ โอกาสให้ผู้เรียนแสดงความคิดเหน็ อยา่ งอสิ ระและไม่คาดหวังคา ตอบที่ถกู ต้อง)
ข้นั ที่ 2 ข้ันสารวจและคน้ พบ (Exploration Phase)
2.1 ผ้สู อนใหผ้ ู้เรยี นทุกคนศกึ ษาคน้ ควา้ ขอ้ มูลและทาความเขา้ ใจ เร่ือง การเกิดภาพจากกระจกเงา
ทรงกลมในหนังสือเรียน เอกสารประกอบการเรยี นการสอน และอนิ เทอร์เนต็
2.2 ผู้เรยี นทาใบงาน เร่อื ง การเกิดภาพของกระจกนูน
2.3 ผู้เรียนทาใบงาน เรือ่ ง การเกดิ ภาพของกระจกเวา้
2.4 ผู้เรียนทาโจทย์ปญั หา เรอื่ ง การเกดิ ภาพของกระจกเงาทรงกลม
ขัน้ ท่ี 3 ขนั้ อธิบายและลงขอ้ สรุป ( Explanation Phase)
3.1 ผสู้ อนให้ผู้เรยี นออกมาเฉลยโจทย์ปัญหาหนา้ ชน้ั เรยี น
3.2 ผ้สู อนและผเู้ รยี นรว่ มกนั อภปิ รายเพ่ือนาไปสู่การสรปุ โดยใช้คาถามตอ่ ไปน้ี
1) กระจกนนู เกดิ ภาพชนดิ อะไรบา้ ง ขนาดภาพเป็นอยา่ งไร และตาแหน่งของภาพเกิดข้ึนทีใ่ ด
(แนวคาตอบ 1 ชนิด คอื ภาพเสมือนหัวต้งั ขนาดภาพเล็กกวา่ วัตถุ และตาแหนง่ ของภาพอย่หู ลัง
กระจก ระหว่าง จุด F กับ จดุ P)
2) ถ้าวางวตั ถไุ ว้หนา้ กระจกเวา้ ซ่ึงมรี ะยะมากกวา่ 2F จะเกดิ ภาพชนดิ ใด ขนาดภาพเป็นอยา่ งไร และตาแหน่ง
ของภาพเกิดขึ้นทใ่ี ด
(แนวคาตอบ เกิดภาพจรงิ หวั กลับ ขนาดภาพเล็กกว่าวตั ถุ ตาแหนง่ ภาพอยหู่ น้า กระจก ระหว่างจดุ
2F กับ จดุ F)

3) ถา้ วางวัตถไุ ว้หน้ากระจกเว้า ซ่งึ มีระยะเท่ากบั 2F จะเกิดภาพชนดิ ใด ขนาดภาพเป็นอยา่ งไร และ ตาแหนง่

ของภาพเกดิ ขึน้ ท่ใี ด
(แนวคาตอบ เกิดภาพจริงหวั กลบั ขนาดภาพเท่ากบั วตั ถุ ตาแหนง่ ภาพอยหู่ นา้ กระจกทจ่ี ุด 2F)

4) ถ้าวางวตั ถุไว้หน้ากระจกเวา้ ซึ่งมรี ะยะน้อยกว่า 2F แตม่ ากกวา่ F จะเกิดภาพชนิดใด ขนาดภาพ เปน็

อย่างไร และตาแหน่งของภาพเกดิ ข้นึ ทใ่ี ด
(แนวคาตอบ เกิดภาพจรงิ หัวกลับ ขนาดภาพใหญ่กวา่ วัตถุ ตาแหน่งภาพอยู่หน้ากระจก มากกวา่ จดุ

2F)

5) ถ้าวางวัตถุไว้หน้ากระจกเวา้ ซ่งึ มรี ะยะเท่ากับ F จะเกดิ ภาพชนิดใด ขนาดภาพเปน็ อยา่ งไร และ ตาแหนง่
ของภาพเกิดขึ้นทใี่ ด

(แนวคาตอบ เกิดภาพจริงหวั กลับ ขนาดภาพใหญก่ วา่ วัตถุ ตาแหน่งภาพระยะอนนั ต์)
6) ถ้าวางวัตถุไว้หน้ากระจกเวา้ ซึ่งมีระยะน้อยกว่า F จะเกิดภาพชนดิ ใด ขนาดภาพเป็นอยา่ งไร และ ตาแหน่ง
ของภาพเกิดข้ึนท่ใี ด

(แนวคาตอบ เกดิ ภาพเสมอื นหัวต้ัง ขนาดภาพใหญ่กว่าวัตถุ ตาแหนง่ ภาพอยู่หลัง กระจก)
ขั้นท่ี 4 ขนั้ ขยายความรู้ (Expansion Phase)

4.1 ผสู้ อนอธิบายให้ความรเู้ พิม่ เตมิ เกีย่ วกบั สมการการหาระยะวัตถุ ระยะภาพ ความยาวโฟกสั และ
กาลังขยาย

4.2 ผสู้ อนอธบิ ายตัวอยา่ ง ตามเอกสารประกอบการเรยี นการสอนอย่างละเอียด
ข้ันที่ 5 ขน้ั ประเมิน (Evaluation)

5.1 ผู้เรียนส่งใบงาน เร่ือง การเกดิ ภาพของกระจกนูน
5.2 ผู้เรียนส่งใบงาน เรอื่ ง การเกิดภาพของกระจกเว้า
5.3 ผู้เรียนส่งโจทยป์ ัญหา เรอ่ื ง การเกิดภาพของกระจกเงาทรงกลม

7. ส่ือ/แหล่งการเรียนรู้
7.1 หนังสือเรยี นรายวชิ าเพมิ่ เตมิ วทิ ยาศาสตร์ (ฟิสกิ ส)์ ชั้นมธั ยมศึกษาปที ี่ 5 เลม่ 3 (ฉบับปรบั ปรงุ

พ.ศ. 2560)
7.2 ใบงาน เร่ือง การเกิดภาพของกระจกนนู
7.3 ใบงาน เรือ่ ง การเกิดภาพของกระจกเวา้
7.4 โจทย์ปญั หา เร่อื ง การเกิดภาพของกระจกเงาทรงกลม
7.5 เอกสารประกอบการเรียนการสอน

8. วธิ กี ารวดั และประเมนิ ผล

จดุ ประสงค์การเรียนรู้ วธิ กี ารวัดและประเมนิ ผล
วธิ ีการวดั เคร่อื งมอื ที่ใช้วัด เกณฑ์การประเมนิ

1) อธิบายการเกดิ ภาพของกระจกเงาทรง การตอบคาถาม คาถาม ตอบคาถามถกู ต้องร้อย
กลม (K) ละ 70 ข้นึ ไป

2) คานวณหาปริมาณตา่ ง ๆ ทเี่ กย่ี วข้อง การทาแบบฝึกหดั แบบฝกึ หัด ตอบคาถามถกู ต้องร้อย
กบั การเกดิ ภาพจากกระจกเงาทรงกลม ละ 70 ขนึ้ ไป
(P)

3) เปน็ ผมู้ ีความมุ่งมัน่ ในการทางานและมี สังเกตพฤติกรรมใน แบบสงั เกต ผ่านเกณฑ์ในระดับดี

ความรบั ผิดชอบ (A) ช้นั เรียน พฤติกรรม ข้นึ ไป

บกั ทกึ ผลหลังจากการจดั การเรยี นรู้
1. ผลการจัดการเรยี นการสอน

…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

2. ปญั หาและอุปสรรคในการจัดการเรียนการสอน
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

3. ข้อเสนอแนะและแนวทางการแก้ไข
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

4. บักทึกหลังการสอน
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

ลงชือ่ ………………………………………………………………
(……………………………………………………………)
ผูส้ อน

5. ความคดิ เหน็ ของครูพเ่ี ล้ียง
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

ลงชอ่ื ………………………………………………………………
(……………………………………………………………)
ครูพ่ีเลีย้ ง

5. ความคดิ เหน็ ของบริหารวชิ าการ
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

ลงชอ่ื ………………………………………………………………
(……………………………………………………………)
ฝ่ายบรหิ ารวชิ าการ

6. ความคดิ เหน็ ของผู้บรหิ ารสถานศกึ ษา
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

ลงชื่อ………………………………………………………………
(……………………………………………………………)
ผูบ้ ริหารสถานศึกษา

แบบสงั เกตพฤติกรรมในชน้ั เรยี น

คาชีแ้ จง: ใหค้ ะแนน 1-3 ที่ตรงกบั ระดบั พฤตกิ รรมท่นี กั เรียนแสดงออกตามเกณฑ์การประเมินท่ีกาหนด

พฤติกรรมท่สี ังเกต กล่มุ ท่ี
12345

1. เขา้ หอ้ งเรยี นตรงเวลา

2. มสี ่วนร่วมในการแสดงความคิดเหน็

3. มีความกระตือรือร้นในการทากจิ กรรม

4. มกี ารช่วยเหลือกนั

5. รับผิดชอบในงานท่ไี ดร้ ับมอบหมาย

รวม

เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน
พฤติกรรมทท่ี าเป็นประจา 3 คะแนน
พฤติกรรมทที่ าเป็นบางครง้ั 2 คะแนน
พฤติกรรมท่ีทาน้อยคร้ัง 1 คะแนน

คะแนนตัดสนิ ระดบั คุณภาพ

ช่วงคะแนน ระดบั คุณภาพ สรุปผลการประเมินผลทัง้ ชนั้ เรียน
อยูใ่ นเกณฑ์………………………….
11-15 ดี  ผ่าน  ไม่ผ่าน

6-10 พอใช้

1-5 ปรับปรงุ

ลงชื่อ………………………………………………………………
(……………………………………………………………)
ผ้สู อน

แผนการจดั การเรยี นรทู้ ่ี 21 ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 5
กล่มุ สาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี เวลา 12 ชวั่ โมง
หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี 11 แสงเชิงรงั สี เวลา 3 ชว่ั โมง
เรอ่ื ง แสงสแี ละการมองเหน็ แสงสี
ครผู สู้ อน นางสาวเลอ่ื มประภสั ร์ สารพันธ์ ภาคเรียนที่ 1/2565

1. มาตรฐานการเรยี นรู้
สาระฟสิ ิกส์ 2 เขา้ ใจการเคลื่อนทีแ่ บบฮารม์ อนิกอย่างงา่ ย ธรรมชาติของคล่นื เสียงและการ

ไดย้ นิ ปรากฏการณ์ที่เก่ยี วขอ้ งกบั เสยี ง แสงและการเห็น ปรากฏการณ์ทเ่ี ก่ยี วข้องกับแสง รวมท้งั นาความรู้ไป
ใช้ประโยชน์

2. ผลการเรยี นรู้
10. สังเกต และอธบิ ายการมองเห็นแสงสี สีของวัตถุ การผสมสารสี และการผสมแสงสี รวมทัง้

อธิบาย สาเหตุของการบอดสี

3. จดุ ประสงค์การเรียนรู้
1) อธิบายการมองเหน็ แสงสี สีของวตั ถุ และสาเหตุของการบอดสี (K)
2) นกั เรยี นสามารถจัดกระทาและสื่อความหมายของข้อมูลท่ศี กึ ษาคน้ คว้าได้ (P)
3) เปน็ ผู้มีความมุง่ มนั่ ในการทางานและมคี วามรบั ผดิ ชอบ (A)

4. สาระการเรยี นรู้
การมองเห็นแสงสีเปน็ การรบั รูอ้ ย่างหนง่ึ ท่ีเกิดขึน้ ในสมองเม่อื มีแสงมากระทบบนจอตา (retina) ซึง่ มี

เซลล์ รูปกรวย (cone cell) 3 ชนิด คือ ชนิด 5 ชนดิ M และ ชนิด L โดยเซลล์รูปกรวยแต่ละชนิดจะมีการ
ตอบสนองต่อแสงที่มีความยาวคล่ืนต่าง ๆ ท่แี ตกต่างกัน การมองเหน็ สีของวตั ถุจะขึ้นกับแสงสที ตี่ กกระทบกบั
วัตถแุ ละสารสีบนวตั ถโุ ดยสารสีจะดูดกลนื บางแสงสแี ละสะทอ้ นบางแสงสีเมอ่ื แสงสสี ะท้อนจากวัตถุมาเขา้ ตา
ทาใหส้ ามารถมองเหน็ วัตถุเป็นสีต่างๆ ได้ แสงสแี ดง แสงสเี ขียว และแสงสนี ้าเงิน จดั เป็น แสงสปี ฐมภมู ิ
(primary colours of light) เพราะเมือ่ แสงสเี หล่านี้มาผสมกนั จะได้เป็นแสงสีต่างๆ ครบทุกสี ส่วนสารสีน้า
เงนิ เขยี ว สารสเี หลือง และสารสแี ดงม่วง จัดเป็นสารสีปฐมภูมิ (primary colours of pigment) เพราะเมื่อ
สารสีเหล่าน้ีมาผสมกนั จะได้สีตา่ งๆ ครบทุกสี ถา้ เซลลร์ ูปกรวยชนดิ ใดชนดิ หนึง่ หรอื มากกวา่ มคี วามบกพรอ่ ง
จะมองเหน็ สแี ตกตา่ งไปจากคนปกตเิ รียกความผิดปกติในการมองเห็นสนี ว้ี ่า การบอดสี (colour blindness)
ความรู้เรือ่ งแสงเชิงรงั สีสามารถนาไปใช้อธบิ ายปรากฏการณธ์ รรมชาติ เชน่ กุ้ง การทรงกลด มิราจ และ การ
เหน็ ทอ้ งฟา้ เปน็ สตี า่ ง ๆ ในช่วงเวลาตา่ งกัน รวมทงั้ การใชป้ ระโยชนเ์ กี่ยวกบั แสงในชีวิตประจาวนั เชน่ กล้อง
โทรทรรศน์กลอ้ งจุลทรรศนแ์ ละกลอ้ งถา่ ยรูป

5.สาระสาคญั
มนุษยม์ องเหน็ สีต่างๆ เป็นเพราะมแี สงสีตกกระทบบนจอตา (retina) ซง่ึ มีเซลลร์ ูปกรวย (cone cell)

3 ชนิด คอื ชนิด S ชนิด M และ ชนดิ L เซลลร์ ปู กรวยแตล่ ะชนิดจะมีการตอบสนองต่อแสงทีม่ ีความยาว คลนื่
ต่าง ๆ ท่ีแตกต่างกัน โดยตัวย่อ S M L หมายถงึ ช่วงความยาวคลื่นที่เซลล์รปู กรวยแต่ละชนดิ ตอบสนอง คือ ๆ
ความยาวคล่นื สนั้ ความยาวคลนื่ กลาง และความยาวคลืน่ ยาว ตามลาดับ ดงั รปู

การมองเห็นสีของวัตถจุ ะขน้ึ กับแสงสที ต่ี ก กระทบกับวัตถแุ ละสารสบี นวตั ถโุ ดยสารสีจะดูดกลืน บาง
แสงสแี ละสะท้อนบางแสงสเี ม่ือแสงสสี ะท้อนจาก วัตถมุ าเข้าตาทาให้สามารถมองเห็นวตั ถเุ ปน็ สีตา่ ง ๆ ได้ แสง
ทงั้ 3 สี คอื แสงสีแดง แสงสีเขยี ว และแสงสนี ้าเงนิ จัดเปน็ แสงสีปฐมภูมิ (primary colours of light) เพราะ
สามารถทาใหเ้ ซลล์รปู กรวยตอบสนองในรปู แบบต่างๆ กนั และเม่ือแสงสีเหลา่ นีม้ าผสมกันจะไดเ้ ป็นแสงสีตา่ ง
ๆ ครบทกุ สี

ส่วนสารสีน้าเงนิ เขยี ว สารสเี หลอื ง และสารสแี ดงมว่ ง จดั เป็นสารสปี ฐมภมู ิ (primary colours of
pigment) เพราะเม่อื สารสีเหล่านม้ี าผสมกนั จะได้สีต่าง ๆ ครบทุกสี ถ้าเซลลร์ ูปกรวยชนดิ ใดชนิดหนึง่ หรือ
มากกวา่ มคี วามบกพร่อง จะมองเหน็ สแี ตกตา่ งไปจากคนปกติเรียกความผิดปกติในการมองเหน็ สีนวี้ ่า การบอด
สี (colour blindness)
6. กิจกรรมการเรยี นรู้ (รปู แบบการจัดการเรียนรู้แบบ 5E)
ขนั้ ท่ี 1 ขน้ั นาเข้าสู่บทเรยี น (Engagement Phase)

1.1 ผู้สอนทบทวนความรู้ เรือ่ ง การเกิดภาพของกระจกเงาทรงกลม
1.2 ผู้สอนให้ผู้เรยี นสงั เกตวัตถุทมี่ สี ีตา่ ง ๆ แลว้ ตอบคาถามวา่ สว่ นใดของตาของมนุษย์ทาให้มองเห็น
วัตถเุ ปน็ สีตา่ งๆ

ขน้ั ที่ 2 ขนั้ สารวจและค้นพบ (Exploration Phase)
2.1 ผ้สู อนใหผ้ เู้ รยี นทุกคนศกึ ษาคน้ คว้าขอ้ มูลและทาความเขา้ ใจ เรอื่ ง แสงสีและการมองเห็นแสงสี

ใน หนงั สือเรยี น เอกสารประกอบการเรียนการสอน และอินเทอรเ์ นต็
2.2 ผู้เรยี นทกุ คนสรปุ องค์ความรทู้ ่ไี ด้ศกึ ษาค้นคว้า เร่อื ง แสงสีและการมองเห็นแสงสี ลงในกระดาษ

A4 ในรปู แบบ Mind mapping

2.3 ผู้เรียนทาใบงาน เรื่อง แสงสีและการมองเหน็ แสงสี
ขน้ั ที่ 3 ขั้นอธิบายและลงข้อสรปุ ( Explanation Phase)

3.1 ผสู้ อนให้ผูเ้ รียนออกมานาเสนอ Mind mapping ของตนเองหนา้ ช้ันเรียน
3.2 ผู้สอนอภิปรายเพื่อนาไปสู่การสรปุ โดยใชค้ าถามในใบงาน เรอื่ ง แสงสีและการมองเห็นแสงสี
ขั้นท่ี 4 ขนั้ ขยายความรู้ (Expansion Phase)
4.1 ผ้สู อนอธบิ ายให้ความร้เู พิ่มเตมิ ดังนี้
1) แสงสที ่ไี มส่ ามารถผสมขึน้ ใหม่ได้ มี 3 สี คือ แสงสแี ดง แสงสเี ขยี ว และแสงสีนา้ เงิน เรยี กวา่ แสง
สปี ฐมภูมิ ส่วนแสงสที ่ีเกิดจากการผสมของแสงสีปฐมภูมิ ทาใหเ้ หน็ เป็นแสงสีอ่นื เชน่ แสงสีเหลอื ง แสงสแี ดง
มว่ ง และแสงสนี า้ เงนิ เขยี ว เรยี กวา่ แสงสที ตุ ิยภมู ิ เม่ือแสงสปี ฐมภมู ทิ งั้ สามสผี สมกันจะเหน็ เปน็ แสงขาว โดย
แสงสคี ู่ใด เม่ือผสมกนั แล้วเห็นเป็นแสงขาว เรยี กแสงสคี ูน่ ั้นว่า แสงสีเตมิ เตม็ เชน่ แสงสแี ดงกับแสงสนี า้ เงนิ
เขยี ว
2) วตั ถสุ ามารถแบ่งตามปริมาณแสงและลักษณะท่แี สงผ่านวัตถไุ ด้ ดังน้ี

2.1 วัตถโุ ปร่งใส (transparent material) หมายถงึ วัตถุท่ีแสงผ่านไปได้เกือบหมด ทาให้
สามารถมองผา่ นวัตถุชนดิ น้ไี ด้อยา่ งชดั เจน เชน่ กระจกใส พลาสติกใส พลาสตกิ ใสสแี ละแกว้ ใส

2.2 วตั ถโุ ปร่งแสง (translucent material) หมายถงึ วัตถุที่แสงผา่ นไปไดอ้ ย่างไมเ่ ป็น
ระเบียบ ทาให้ไม่สามารถมองผา่ นวัตถุน้ไี ดช้ ัด เชน่ น้า ขนุ่ กระจกฝ้า และกระดาษชบุ ไข

2.3 วัตถุทึบแสง (Opaque material) หมายถงึ วัตถุท่ีแสงผ่านไปไมไ่ ดเ้ ลย แสงท้งั หมดจะ
ถูก ดูดกลืนไว้หรือสะทอ้ นกลับ จงึ ไม่สามารถมองผา่ นวตั ถุชนิดนไ้ี ด้ เชน่ ไมผ้ นังตกึ และกระจกเงา

3) ในวชิ าศลิ ปะแมส่ ีสาหรับการผสมสีจะมี 3 สี คอื สีเหลอื ง สแี ดง และสนี า้ เงิน เพอื่ ใช้ผสมใหเ้ กิด
เป็นสอี นื่ ๆ ไดซ้ ึ่งอาจจะทาให้นักเรียนสบั สน เพราะช่ือเรยี กแมส่ ใี นวชิ าศลิ ปะไม่ตรงกบั ช่ือสารสปี ฐมภมู ใิ นทาง
วทิ ยาศาสตร์ เนื่องจากมเี กณฑ์ในการจาแนกสีท่ีแตกตา่ งกัน
ขน้ั ที่ 5 ขนั้ ประเมิน (Evaluation)

5.1 ผู้เรยี นส่งใบงาน เร่อื ง แสงสแี ละการมองเห็นแสงสี
5.2 ผู้เรยี นสง่ Mind mapping เร่ือง แสงสีและการมองเห็นแสงสี

7. สอ่ื /แหลง่ การเรียนรู้
7.1 หนังสอื เรยี นรายวชิ าเพิม่ เตมิ วทิ ยาศาสตร์ (ฟิสิกส์) ช้นั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 5 เลม่ 3 (ฉบับปรับปรงุ พ.ศ.
2560)
7.2 ใบงาน เร่ือง แสงสแี ละการมองเหน็ แสงสี
7.2 เอกสารประกอบการเรียนการสอน

8. วธิ ีการวัดและประเมินผล

จุดประสงคก์ ารเรียนรู้ วิธีการวดั และประเมนิ ผล
วธิ ีการวัด เครอ่ื งมือท่ใี ช้วัด เกณฑก์ ารประเมนิ

1) อธบิ ายการมองเหน็ แสงสี สขี องวตั ถุ การตอบคาถาม คาถาม ตอบคาถามถกู ต้องร้อย
และสาเหตขุ องการบอดสี (K) ละ 70 ข้ึนไป

2) นกั เรียนสามารถจัดกระทาและส่ือ การทาแบบฝึกหัด แบบฝกึ หัด ตอบคาถามถูกต้องร้อย
ความหมายของข้อมูลทีศ่ ึกษาค้นคว้าได้ ละ 70 ขนึ้ ไป
(P)

3) เปน็ ผ้มู ีความมงุ่ มนั่ ในการทางานและมี สังเกตพฤติกรรมใน แบบสงั เกต ผ่านเกณฑ์ในระดับดี

ความรบั ผิดชอบ (A) ชน้ั เรยี น พฤติกรรม ขน้ึ ไป

บกั ทกึ ผลหลังจากการจดั การเรยี นรู้
1. ผลการจัดการเรยี นการสอน

…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

2. ปญั หาและอุปสรรคในการจัดการเรียนการสอน
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

3. ข้อเสนอแนะและแนวทางการแก้ไข
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

4. บักทึกหลังการสอน
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

ลงชือ่ ………………………………………………………………
(……………………………………………………………)
ผูส้ อน

5. ความคดิ เหน็ ของครูพเ่ี ล้ียง
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

ลงชอ่ื ………………………………………………………………
(……………………………………………………………)
ครูพ่ีเลีย้ ง

5. ความคดิ เหน็ ของบริหารวชิ าการ
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

ลงชอ่ื ………………………………………………………………
(……………………………………………………………)
ฝ่ายบรหิ ารวชิ าการ

6. ความคดิ เหน็ ของผู้บรหิ ารสถานศกึ ษา
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

ลงชื่อ………………………………………………………………
(……………………………………………………………)
ผูบ้ ริหารสถานศึกษา

แบบสงั เกตพฤติกรรมในชน้ั เรยี น

คาชีแ้ จง: ใหค้ ะแนน 1-3 ที่ตรงกบั ระดบั พฤตกิ รรมท่นี กั เรียนแสดงออกตามเกณฑ์การประเมินท่ีกาหนด

พฤติกรรมท่สี ังเกต กล่มุ ท่ี
12345

1. เขา้ หอ้ งเรยี นตรงเวลา

2. มสี ่วนร่วมในการแสดงความคิดเหน็

3. มีความกระตือรือร้นในการทากจิ กรรม

4. มกี ารช่วยเหลือกนั

5. รับผิดชอบในงานท่ไี ดร้ ับมอบหมาย

รวม

เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน
พฤติกรรมทท่ี าเป็นประจา 3 คะแนน
พฤติกรรมทที่ าเป็นบางครง้ั 2 คะแนน
พฤติกรรมท่ีทาน้อยคร้ัง 1 คะแนน

คะแนนตัดสนิ ระดบั คุณภาพ

ช่วงคะแนน ระดบั คุณภาพ สรุปผลการประเมินผลทัง้ ชนั้ เรียน
อยูใ่ นเกณฑ์………………………….
11-15 ดี  ผ่าน  ไม่ผ่าน

6-10 พอใช้

1-5 ปรับปรงุ

ลงชื่อ………………………………………………………………
(……………………………………………………………)
ผ้สู อน

แผนการจดั การเรยี นรทู้ ่ี 22 ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 5
กลุ่มสาระการเรยี นร้วู ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี เวลา 12 ชว่ั โมง
หน่วยการเรียนรู้ท่ี 11 แสงเชิงรังสี เวลา 3 ชว่ั โมง
เร่ือง การอธิบายปรากฏการณธ์ รรมชาติ
ครผู ู้สอน นางสาวเลอ่ื มประภสั ร์ สารพนั ธ์ ภาคเรียนที่ 1/2565

1. มาตรฐานการเรยี นรู้
สาระฟิสิกส์ 2 เขา้ ใจการเคล่ือนท่แี บบฮารม์ อนิกอยา่ งงา่ ย ธรรมชาติของคลนื่ เสียงและการ

ได้ยินปรากฏการณท์ ่ีเกยี่ วข้องกับเสยี ง แสงและการเหน็ ปรากฏการณ์ที่เกย่ี วข้องกับแสง รวมท้งั นาความรู้ไป
ใช้ประโยชน์

2. ผลการเรียนรู้
9. อธิบายปรากฏการณ์ธรรมชาติท่เี กยี่ วกับแสง เช่น ก้งุ การทรงกลด มิราจ และการเห็นท้องฟา้ เป็น

สตี า่ งๆ ในช่วงเวลาต่างกัน

3. จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้
1) อธิบายการเกดิ รงุ้ การทรงกลด มิราจ และการมองเห็นท้องฟ้าเปน็ สีต่าง ๆ ในช่วงเวลาท่ีต่างกัน (K)
2) นักเรยี นสามารถจัดกระทาและส่อื ความหมายของขอ้ มูลที่ศกึ ษาคน้ ควา้ ได้ (P)
3) เปน็ ผู้มคี วามมุ่งม่ันในการทางานและมีความรับผิดชอบ (A)

4. สาระการเรยี นรู้
การมองเห็นแสงสีเป็นการรบั รู้อยา่ งหน่ึงที่เกิดขึ้นในสมองเมอ่ื มีแสงมากระทบบนจอตา (retina) ซง่ึ มี

เซลล์ รปู กรวย (cone cell) 3 ชนดิ คือ ชนดิ 5 ชนิด M และ ชนดิ L โดยเซลล์รปู กรวยแต่ละชนดิ จะมีการ
ตอบสนอง ต่อแสงท่ีมีความยาวคลื่นตา่ ง ๆ ท่แี ตกต่างกนั การมองเห็นสีของวัตถจุ ะข้นึ กับแสงสที ีต่ กกระทบกบั
วัตถุและสารสี บนวตั ถุโดยสารสีจะดดู กลืนบางแสงสแี ละสะท้อนบางแสงสเี มื่อแสงสีสะท้อนจาก วตั ถมุ าเข้าตา
ทาให้สามารถ มองเห็นวตั ถุเป็นสตี า่ ง ๆ ได้ แสงสแี ดง แสงสีเขียว และแสงสนี ้าเงนิ จดั เป็น แสงสีปฐมภูมิ
(primary colours of light) เพราะเมือ่ แสงสเี หลา่ น้ีมาผสมกันจะไดเ้ ปน็ แสงสีต่าง ๆ ครบทกุ สี ส่วนสารสนี ้า
เงนิ เขยี ว สารสีเหลือง และ สารสีแดงมว่ ง จัดเป็นสารสีปฐมภูมิ (primary colours of pigment) เพราะเมื่อ
สารสเี หล่านม้ี าผสมกันจะได้ สีต่าง ๆ ครบทุกสี ถ้าเซลลร์ ปู กรวยชนดิ ใดชนิดหนงึ่ หรอื มากกวา่ มคี วามบกพร่อง
จะมองเหน็ สีแตกตา่ งไปจากคน ปกตเิ รยี กความผดิ ปกติในการมองเห็นสีน้ีว่า การบอดสี (colour blindness)
ความรูเ้ รือ่ งแสงเชงิ รังสีสามารถนาไปใช้อธิบายปรากฏการณ์ธรรมชาติ เช่น กุง้ การทรงกลด มิราจ และ การ
เห็นทอ้ งฟา้ เป็นสีตา่ ง ๆ ในช่วงเวลาตา่ งกนั รวมทัง้ การใช้ประโยชนเ์ กี่ยวกบั แสงในชีวิตประจาวนั เชน่ กลอ้ ง
โทรทรรศนก์ ลอ้ งจุลทรรศนแ์ ละกล้องถา่ ยรปู

5.สาระสาคญั
การเกดิ ร้งุ เกดิ จากการทีแ่ สงอาทิตยห์ ักเหและสะท้อนผ่านละอองน้า ทาให้เกดิ การกระจายแสงได้

สเปกตรัมของแสงขาว การทรงกลม เกิดจากการท่ีแสงอาทิตยห์ กั เหและเกิดการกระจายแสงผา่ นผลึกน้าแข็ง
ในกอ้ นเมฆ ทาใหเ้ กดิ แถบสีของแสงเปน็ วงกลมรอบดวงอาทิตย์หรือดวงจันทร์

มริ าจ เกดิ จากการหักเหของแสงในอากาศช้นั ตา่ งๆ ทมี่ ีความแตกต่างของอุณหภมู ิมากๆ ทาใหเ้ หน็
ภาพของ วัตถปุ รากฏขน้ึ เชน่ เหน็ ภาพทอ้ งฟา้ ปรากฏบนถนนที่ร้อนมากๆ

การกระเจงิ ของแสง เป็นปรากฏการณ์ท่ีแสงตกกระทบอนุภาคหรอื โมเลกลุ ของอากาศ ทาให้แสง
กระจดั กระจายไปโดยรอบ ซึ่งแสงทม่ี ีความยาวคลนื่ สนั้ เช่น แสงมว่ ง และแสงสนี ้าเงินจะกระเจิงได้ดีกว่าแสง
ที่มีความยาว คล่นื ยาว เช่น แสงสีแดง

ความรู้เร่ืองหลกั การทางแสง เชน่ การสะทอ้ น และการหกั เหของแสง นามาใช้สร้างทัศนอุปกรณ์ซงึ่
เป็น เครือ่ งมือและอปุ กรณ์ทางแสงทเ่ี ป็นประโยชนห์ ลายอย่าง เชน่ กล้องโทรทรรศน์ กล้องจุลทรรศน์ และ
กล้องถ่ายรปู

6. กจิ กรรมการเรียนรู้ (รปู แบบการจดั การเรยี นรูแ้ บบ 5E)

ขน้ั ที่ 1 ขนั้ นาเข้าสูบ่ ทเรยี น (Engagement Phase)
1.1 ผสู้ อนทบทวนความรู้ เรือ่ ง แสงสีและการมองเห็นแสงสี
1.2 ผสู้ อนต้งั คาถามเพ่ือนาเข้าสู่การเรยี นการสอน ดังนี้

1) นกั เรียนคดิ วา่ ปรากฏการณ์ธรรมชาตใิ ดบ้างท่ีเกย่ี วข้องกับแสง
2) การมองเห็นท้องฟ้าเป็นสีตา่ ง ๆ ในชว่ งเวลาทต่ี า่ งกัน มีลักษณะอยา่ งไร เกิดเม่ือไร และเกดิ ได้อย่างไร
3) นักเรยี นคิดวา่ รงุ้ กนิ น้าเกดิ ขึน้ ได้อยา่ งไร และรุง้ มีก่ชี นดิ

(โดยผู้สอนเปดิ โอกาสให้ผู้เรียนแสดงความคิดเหน็ อยา่ งอสิ ระและไม่คาดหวังคาตอบที่ถูกตอ้ ง)
ขัน้ ที่ 2 ขนั้ สารวจและคน้ พบ (Exploration Phase)

2.1 ผสู้ อนให้ผเู้ รยี นทกุ คนศกึ ษาค้นคว้าข้อมลู และทาความเขา้ ใจ เร่ือง ปรากฏการณ์ธรรมชาตแิ ละ
การใช้ประโยชนเ์ กีย่ วกับแสงในหนังสือเรยี น เอกสารประกอบการเรียนการสอน และอินเทอร์เนต็

2.2 ผู้เรียนทกุ คนสรปุ องค์ความรทู้ ีไ่ ด้ศกึ ษาค้นควา้ เรื่อง การใช้ประโยชนเ์ กย่ี วกบั แสงและ
ทศั นอุปกรณ์ ลงในกระดาษ A4 ในรูปแบบ Mind mapping

2.3 ผู้เรียนทาใบงาน เรื่อง ปรากฏการณ์ธรรมชาติเกยี่ วกบั แสง
ขน้ั ท่ี 3 ขัน้ อธบิ ายและลงขอ้ สรุป ( Explanation Phase)

3.1 ผู้สอนใหผ้ เู้ รียนออกมานาเสนอ Mind mapping ของตนเองหนา้ ชน้ั เรยี น
3.2 ผสู้ อนและผเู้ รียนร่วมกนั อภิปรายเพ่ือนาไปสู่การสรุปโดยใชค้ าถามในใบงาน เรื่อง ปรากฏการณ์
ธรรมชาตแิ ละ การใช้ประโยชนเ์ กย่ี วกบั แสง
ขน้ั ที่ 4 ข้นั ขยายความรู้ (Expansion Phase)
4.1 ผู้สอนอธิบายใหค้ วามรู้เพมิ่ เตมิ ดังน้ี
1) ความรู้เรอื่ งหลักการทางแสง เชน่ การสะท้อน และการหักเหของแสง นามาใช้สร้างทัศนอปุ กรณ์ ซง่ึ เปน็
เครอ่ื งมอื และอุปกรณ์ทางแสงท่เี ป็นประโยชนห์ ลายอยา่ ง เช่น กล้องโทรทรรศน์ กลอ้ งจลุ ทรรศน์ และกลอ้ ง
ถา่ ยรูป

2) การถนอมสายตา
- ตาเปน็ อวยั วะท่ีมีความไวต่อแสงการมองในบรเิ วณท่ีแสงมีความเขม้ มากกับบรเิ วณท่ีมีความเขม้ แสง

นอ้ ยอาจทาให้เกิดอนั ตรายตอ่ ตาหรือทาให้สายตาเสยี ได้
-เรตนิ า เปน็ สว่ นของตาท่เี สียหายได้ เม่ือไดร้ ับแสงท่มี ีความสวา่ งเกินความสามารถของการรบั ร้ขู อง

มันเม่อื เราดูวตั ถุหรอื ส่ิงต่างๆ ที่วางอยู่กลางแดดหรือบนหาดทรายขาวเราจะรสู้ ึกตาพร่า หรือบางคร้งั กร็ ู้สกึ ตา
มัว ทั้งนเี้ ปน็ เพราะว่า เราตินาของตาถูกกระตุ้นจนเกนิ ไปทาให้การตอบสนองช้าถ้าเราจอ้ งดูวัตถทุ ่ีมคี วามสวา่ ง
มากต่อไปการตอบสนองกย็ ่งิ ชา้ ลง สาหรบั ในกรณีทด่ี วู ัตถุทมี่ ีความสว่างสงู มาก เรตินาจะถกู ทาลายจนใชก้ าร
ไม่ได้ตลอดไปคือตาคนๆนัน้ จะบอด

- การดูวัตถทุ ่ีมีความสวา่ งมาก เชน่ ดวงอาทติ ย์ แสงจากการเชื่อมโลหะจะต้องไม่มองส่งิ เหล่านี้
โดยตรงเพราะความเข้มแสงมากจนทาให้เกดิ อันตรายร้ายแรงต่อตาได้หรอื มองวตั ถทุ ี่แสงสว่างไมม่ ากเกนิ ไปแต่
มองต่อเน่ืองเป็นเวลานานกส็ ามารถเกิดอนั ตรายตอ่ สายตาได้เชน่ กัน การป้องกนั ไม่ให้แสงท่ีมคี วามเขม้ มากเขา้
สู่ตาโดยตรงเปน็ วิธีปอ้ งกนั ดวงตาจากวตั ถุท่ีสวา่ งมากๆ

- การดวู ัตถทุ มี่ ีความสวา่ งน้อย การดูวตั ถุท่มี ีความสว่างน้อยกจ็ ะทาใหเ้ กดิ ความเสยี หายต่อสายตา ได้
เน่อื งจาก จะต้องเพ่งสายตาเป็นเวลานาน เช่น การอ่านหนังสือในที่ท่มี ีแสงน้อยๆ จะทากล้ามเนอื้ ตาเสอ่ื มเรว็
กว่าปกติ ดังนัน้ จึงต้องอ่านหนงั สอื ในบริเวณท่ีมแี สงสวา่ งเพยี งพอ เช่น มีการกาหนดความสว่างสาหรบั
ห้องเรียนไว้ 300-700 Lux เป็นตน้

- การดูวัตถุผา่ นทัศนอุปกรณ์ การใชท้ ัศนอปุ กรณ์อนั ไดแ้ ก่ กล้องสอ่ งทางไกล กล้องโทรทรรศนด์ ู
วตั ถหุ รอื แหลง่ กาเนดิ แสงท่ีมีความสวา่ งมาก จะทาให้เรตนิ าเปน็ อันตราย เช่นเดยี วกบั การใช้ตาเปล่าดูวัตถหุ รือ
แหลง่ กาเนิดที่มคี วามสว่างมาก อบุ ัติเหตุท่ีเกดิ ขน้ึ บอ่ ย คือ การดูดวงอาทิตยข์ ณะเกดิ สุรยิ ุปราคาไมว่ ่าจะด้วย
ตาเปลา่ หรอื ด้วยกลอ้ งส่องทางไกล ความสวา่ งทีเ่ กดิ จากการมองตรงเช่นนัน้ มากเพียงพอให้เรตินาฬิการอยา่ ง
ถาวรได้ ดังนั้น ในการดหู รือถ่ายภาพดวงอาทติ ยเ์ ม่ือเกิดสรุ ิยุปราคา จึงต้องทาดว้ ยความระมดั ระวงั โดยดูผา่ น
แผ่นฟิล์มกรองแสง หรือดูโดยมผี ้เู ชยี่ วชาญด้านดาราศาสตร์ดแู ลท่ัวไป เมื่ออยู่กลางแจ้งท่ีมีความสว่างมากกว่า
10,000 ลกั ซ์ ควรใสแ่ วน่ กนั แดด เพ่ือลดความสว่างของแสงทเี่ ขา้ ตา
ขัน้ ท่ี 5 ขนั้ ประเมิน (Evaluation)

5.1 ผู้เรียนส่งใบงาน เรอ่ื ง ปรากฏการณ์ธรรมชาติเกี่ยวกับแสง
5.2 ผู้เรยี นสง่ Mind mapping เรอื่ ง การใชป้ ระโยชนเ์ กี่ยวกับแสง และทัศนอุปกรณ์
5.3 ผู้เรียนทาแบบทดสอบท้ายบท เรื่อง แสงเชิงรงั สี

7. ส่ือ/แหล่งการเรยี นรู้
7.1 หนังสอื เรียนรายวิชาเพมิ่ เตมิ วทิ ยาศาสตร์ (ฟสิ ิกส์) ช้นั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 5 เล่ม 3 (ฉบับปรบั ปรุง

พ.ศ. 2560)
7.2 ใบงาน เร่ือง ปรากฏการณ์ธรรมชาติเกีย่ วกบั แสง
7.3 เอกสารประกอบการเรยี นการสอน

8. วธิ กี ารวดั และประเมินผล

จดุ ประสงค์การเรียนรู้ วิธีการวัดและประเมินผล
วิธีการวัด เครอ่ื งมอื ท่ีใช้วดั เกณฑก์ ารประเมิน

1) อธบิ ายการเกิดร้งุ การทรงกลด มิราจ การตอบคาถาม คาถาม ตอบคาถามถูกต้องร้อย
และการมองเหน็ ทอ้ งฟ้าเปน็ สีตา่ ง ๆ ละ 70 ข้นึ ไป
ในช่วงเวลาท่ีต่างกัน (K)

2) นักเรียนสามารถจัดกระทาและสอ่ื การทาส่อื การ สื่อการเรยี นรู้ ผา่ นเกณฑ์ในระดบั ดี
ความหมายของข้อมลู ทีศ่ ึกษาค้นคว้าได้ เรียนรู้ ขน้ึ ไป
(P)

3) เปน็ ผูม้ คี วามม่งุ ม่ันในการทางานและมี สังเกตพฤตกิ รรมใน แบบสังเกต ผา่ นเกณฑ์ในระดบั ดี

ความรับผิดชอบ (A) ชัน้ เรยี น พฤติกรรม ขน้ึ ไป

บกั ทกึ ผลหลังจากการจดั การเรยี นรู้
1. ผลการจัดการเรยี นการสอน

…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

2. ปญั หาและอุปสรรคในการจัดการเรียนการสอน
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

3. ข้อเสนอแนะและแนวทางการแก้ไข
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

4. บักทึกหลังการสอน
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

ลงชือ่ ………………………………………………………………
(……………………………………………………………)
ผูส้ อน

5. ความคดิ เหน็ ของครูพเ่ี ล้ียง
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

ลงชอ่ื ………………………………………………………………
(……………………………………………………………)
ครูพ่ีเลีย้ ง

5. ความคดิ เหน็ ของบริหารวชิ าการ
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

ลงชอ่ื ………………………………………………………………
(……………………………………………………………)
ฝ่ายบรหิ ารวชิ าการ

6. ความคดิ เหน็ ของผู้บรหิ ารสถานศกึ ษา
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

ลงชื่อ………………………………………………………………
(……………………………………………………………)
ผูบ้ ริหารสถานศึกษา

แบบสงั เกตพฤติกรรมในชน้ั เรยี น

คาชีแ้ จง: ใหค้ ะแนน 1-3 ที่ตรงกบั ระดบั พฤตกิ รรมท่นี กั เรียนแสดงออกตามเกณฑ์การประเมินท่ีกาหนด

พฤติกรรมท่สี ังเกต กล่มุ ท่ี
12345

1. เขา้ หอ้ งเรยี นตรงเวลา

2. มสี ่วนร่วมในการแสดงความคิดเหน็

3. มีความกระตือรือร้นในการทากจิ กรรม

4. มกี ารช่วยเหลือกนั

5. รับผิดชอบในงานท่ไี ดร้ ับมอบหมาย

รวม

เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน
พฤติกรรมทท่ี าเป็นประจา 3 คะแนน
พฤติกรรมทที่ าเป็นบางครง้ั 2 คะแนน
พฤติกรรมท่ีทาน้อยคร้ัง 1 คะแนน

คะแนนตัดสนิ ระดบั คุณภาพ

ช่วงคะแนน ระดบั คุณภาพ สรุปผลการประเมินผลทัง้ ชนั้ เรียน
อยูใ่ นเกณฑ์………………………….
11-15 ดี  ผ่าน  ไม่ผ่าน

6-10 พอใช้

1-5 ปรับปรงุ

ลงชื่อ………………………………………………………………
(……………………………………………………………)
ผ้สู อน


Click to View FlipBook Version