บักทกึ ผลหลังจากการจัดการเรียนรู้
1. ผลการจดั การเรยี นการสอน
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
2. ปญั หาและอปุ สรรคในการจัดการเรียนการสอน
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
3. ขอ้ เสนอแนะและแนวทางการแก้ไข
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
4. บกั ทึกหลงั การสอน
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงช่อื ………………………………………………………………
(……………………………………………………………)
ผ้สู อน
5. ความคดิ เห็นของครูพีเ่ ลี้ยง
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงชอ่ื ………………………………………………………………
(……………………………………………………………)
ครูพี่เลย้ี ง
5. ความคดิ เห็นของบรหิ ารวิชาการ
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงชอื่ ………………………………………………………………
(……………………………………………………………)
ฝ่ายบริหารวชิ าการ
6. ความคิดเห็นของผ้บู ริหารสถานศกึ ษา
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงชอื่ ………………………………………………………………
(……………………………………………………………)
ผู้บริหารสถานศกึ ษา
แผนการจดั การเรียนรทู้ ่ี 9 ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 5
เวลา 18 ชวั่ โมง
กลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี เวลา 2 ชัว่ โมง
หน่วยการเรยี นรทู้ ี่ 9 คลืน่
เรอื่ ง พฤตกิ รรมของคลืน่ (การหักเห) ภาคเรยี นท่ี 1/2565
ครผู ู้สอน นางสาวเลื่อมประภัสร์ สารพนั ธ์
1. มาตรฐานการเรยี นรู้
สาระฟิสิกส์ 2 เข้าใจการเคลื่อนทแี่ บบฮาร์มอนกิ อยา่ งง่าย ธรรมชาติของคลน่ื เสียงและการ
ไดย้ ินปรากฏการณท์ เี่ ก่ยี วข้องกบั เสยี ง แสงและการเห็น ปรากฏการณ์ท่ีเกี่ยวข้องกับแสง รวมทง้ั นาความรู้ไป
ใชป้ ระโยชน์
2. ผลการเรยี นรู้
4. สงั เกตและอธบิ ายการสะท้อน การหักเห การแทรกสอด และการเลย้ี วเบนของคล่ืนผวิ นา้ รวมท้งั
คานวณปรมิ าณตา่ ง ๆ ที่เกยี่ วข้อง
3. จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้
1) อธบิ ายการหกั เหของคลืน่ ผิวนา้ ได้ (K)
2) ทดลองและสังเกตการหกั เหของคล่ืนผวิ นา้ ได้ (P)
3) ใฝ่เรยี นรู้ และมีความรบั ผิดชอบ (A)
4. สาระการเรยี นรู้
พฤติกรรมของคลื่น คลื่นแสดงพฤติกรรมการสะท้อนเมื่อกระทบสง่ิ กีดขวางหรือรอยต่อของตัวกลางที่
ตา่ งกัน
การสะท้อนของคลนื่ เป็นไปตามกฎการสะทอ้ น คอื มุมสะท้อนเท่ากับมุมตกกระทบ คลื่นสะทอ้ นใน
เชอื กจะกลบั เฟส เม่ือปลายเชือกตรึงแนน่ และคล่นื สะท้อนในเชอื กมีเฟสคงเดิมเม่ือปลายเชอื กอิสระ
คลื่นเกดิ การหักเหเม่ือเคล่ือนท่ผี ่านรอยต่อของตัวกลางที่ต่างกนั โดยคลน่ื มีความถี่คงที่แต่อัตราเรว็
คลื่นเปลีย่ นไปเป็นไปตามกฎการหักเหแทนดว้ ยสมการ
เมอ่ื คล่นื สองขบวนเคล่ือนท่ีมาพบกันเกดิ การแทรกสอดกนั ถ้าคล่ืนจากแหลง่ กาเนดิ และ มี
ความถเ่ี ทา่ กัน เฟสตรงกนั แอมพลิจูดเทา่ กัน เม่ือแทรกสอดกนั เกิดตาแหนง่ ทรี่ วมแบบเสรมิ เรยี กวา่ ปฏิบัพ
และแบบ หักล้าง เรียกวา่ บัพ โดยตาแหน่งท่เี กิดปฏบิ ัพเป็นไปตามสมการ | | เมอ่ื n =
0, 1, 2, 3,… และตาแหน่งทีเ่ กดิ บัพเปน็ ไปตามสมการ | | เมือ่ n = 1, 2, 3, ...
คลื่นอาพันธ์สองขบวนเคลื่อนทีส่ วนทางกันจะเกิดการแทรกสอดเกดิ เป็นปฏิบัพและบพั ที่อย่นู ่งิ โดยมี
ระยะระหวา่ งบพั ท่ีถดั กันและปฏิบพั ท่ีถัดกนั เท่ากับคร่งึ หนึ่งของความยาวคลื่น เรียกวา่ คล่ืนน่ิง
คล่นื เกดิ การเลยี้ วเบนเมื่อเคลือ่ นที่พบขอบของสง่ิ กีดขวางหรอื ช่องแคบ แล้วมีคล่ืนแผ่ออกจากของ
ของส่ิง กีดขวางไปทางดว้ นหลงั ได้
5. สาระสาคัญ
เมอื่ คลืน่ กระทบรอยต่อของตัวกลางคล่นื ส่วนหนง่ึ สะทอ้ นกลบั ไปในตัวกลางเดิมอีกส่วนหนง่ึ เคลือ่ นท่ี
ผ่านไปในอีกตวั กลางหนึ่ง เรียกวา่ คลน่ื หกั เห (refracted waves) หรอื บางคร้งั เรยี กว่า คลนื่ ท่ผี ่านไป
(transmitted waves)
ในกรณีท่เี คลื่อนที่ผ่านจากตวั กลางหนึง่ ไปยังอีกตวั กลางหน่ึงในทน่ี ี้จะศกึ ษาจากคลน่ื ในเส้นเชือกท่เี กิด
จากการน่าเชือก 2 เสน้ มาต่อกนั โดยแรงตงึ เชอื กเท่ากันแต่มีค่าความหนาแน่นเชงิ เสน้ ไม่เทา่ กันส่ิงท่ีเกดิ ข้นึ คือ
เมอื่ คลน่ื เคลอ่ื นท่ีมาถึงรอยต่อจะเกดิ ท้ังการสะท้อนกลบั และการหักเห
- ท้งั คล่ืนสะท้อนแลคลืน่ หกั เหน้นั มีแอมพลจิ ูดเลก็ กว่าคลื่นตกกระทบโดยผลรวมของพลังงานคลนื่
สะท้อนกับคลื่นหักเหจะเท่ากับพลงั งานของคลื่นตกกระทบ
- คล่ืนหักเหจะมีอัตราเรว็ ทต่ี ่างไปจากคลน่ื ตกกระทบเพราะเคล่อื นที่ในตวั กลางที่มสี มบตั ิต่างกันแต่มี
การกระจดั ของตัวกลางในทิศเดียวกับคล่นื ตกกระทบ
- คล่นื สะทอ้ นจะมีการกระจดั ของตัวกลางในทิศทางตรงขา้ มกบั คลืน่ ตกกระทบ(หรือมเี ฟสตรงขา้ มกนั )
ถา้ คลน่ื เคลื่อนท่ีจากเชอื กท่คี วามหนาแนน่ เชงิ เส้นต่าไปตกกระทบเชือกทีม่ ีความหนาแน่นเชิงเสน้ สงู กวา่
- ถา้ คลน่ื เคลือ่ นทจี่ ากเชือกท่ีมีความหนาแน่นเชงิ เส้นสงู ไปตกกระทบเชือกที่มคี วามหนาแน่นเชงิ เสน้
ตา่ กวา่ คล่ืนสะท้อนจะมีการกระจดั ของตวั กลางในทิศทางเดียวกบั คลื่นตกกระทบ (หรือเฟสตรงกนั )
6. กิจกรรมการเรียนรู้ (รปู แบบการจดั การเรยี นร้แู บบ 5E)
ขัน้ ท่ี 1 ข้ันนาเขา้ สู่บทเรียน (Engagement Phase)
1.1 ผูส้ อนนาเข้าสบู่ ทเรยี นด้วยการยกสถานการณ์คลื่นผา่ นจากตวั กลางหนงึ่ เข้าสู่อีกตวั กลางหนง่ึ
แล้วผู้สอนต้ังคาถาม ดังนี้
1) นกั เรียนคดิ ว่าเม่ือคล่นื ผ่านตวั กลางหน่งึ เข้าสู่ตวั กลางหนงึ่ เกิดการสะท้อนหรือไม่
2) นักเรยี นคิดว่าคล่นื ทผี่ ่านเขา้ สู่อกี ตัวกลางหน่ึงจะเกดิ การเปล่ยี นแปลงหรือไม่ อยา่ งไร
(เปิดโอกาสใหน้ ักเรยี นแสดงความคิดเหน็ อยา่ งอิสระไม่คาดหวังคาตอบท่ีถกู ต้อง)
1.2 จากนัน้ ให้ผู้เรียนร่วมกนั อภปิ รายจนสรุปได้วา่ เมื่อคลื่นกระทบรอยต่อของตวั กลางคลืน่ ส่วนหนึ่ง
สะท้อนกลบั ส่ตู ัวกลางเดมิ อีกส่วนหนึง่ ผ่านเขา้ ไปในอกี ตวั กลางหนง่ึ เรียกวา่ คลน่ื หกั เห
ขั้นที่ 2 ข้ันสารวจและคน้ พบ (Exploration Phase)
2.1 ผสู้ อนให้ผู้เรยี นแตล่ ะคนศกึ ษาเรื่องการหักเหจากเอกสารประกอบการเรียนและหนงั สอื เรยี นการ
สอนเรอื่ ง การหักเหของคล่นื ผวิ นา้
2.2 ผูส้ อนให้ผู้เรยี นดูวีดีโอการทดลองเร่ือง การหักเหของคลนื่ ผิวนา้
https://www.youtube.com/watch?v=TIjGMDFCG4M&t=1s
2.3 ผู้สอนตงั้ คาถามจากการดูวดี โี อการทดลองเพ่ือให้ผู้เรยี นไปคน้ ควา้ หาความรู้โดยใช้คาถาม ดังน้ี
1) เมื่อคล่นื ผวิ นา้ เคลื่อนท่ีผา่ นบริเวณรอยตอ่ ระหวา่ งเขตน้าลึกและเขตนา้ ต้นื ถา้ หนา้ คลื่นตกกระทบขนานกับ
รอยต่อทิศทางการเคล่อื นที่ของคลน่ื และความยาวคลืน่ เปลี่ยนแปลงอย่างไร
(แนวคาตอบ เม่อื หน้าคลื่นผ่านบริเวณรอยตอ่ ระหว่างเขตน้าลกึ เขา้ สนู่ ้าตืน้ ถ้าหน้าคลื่นขนานกับ
รอยต่อทศิ ทางของคลนื่ ไม่มีการเปลย่ี นแปลงแตค่ วามยาวคลื่นเปลี่ยนแปลงไปโดยความยาวคลืน่ น้อยลง)
๒) เมอ่ื คลื่นผิวนา้ เคลื่อนทผ่ี ่านบรเิ วณรอยต่อระหว่างเขตน้าลกึ และเขตนา้ ตืน้ ถ้าหน้าคล่ืนตกกระทบทามุมกับ
รอยตอ่ ทศิ ทางการเคล่ือนท่ีของคลื่นและความยาวคล่นื เปลี่ยนแปลงอย่างไร
(แนวคาตอบ เมือ่ คล่นื ผวิ นา้ เคลอื่ นท่ผี ่านบรเิ วณรอยต่อระหวา่ งเขตนา้ ลกึ และเขตน้าต้นื ถ้าหนา้ คลน่ื
ตกกระทบทามมุ กบั รอยต่อทิศทางการเคลื่อนท่ีของคล่ืนเปลย่ี นไปโดยมุมระหวา่ งหน้าคล่ืนหกั เหกับรอยตอ่ มี
ขนาดเล็กกวา่ มุมระหว่างหนา้ คล่ืนตกกระทบรอยต่อ)
3) จากการสงั เกตคลนื่ ผิวนา้ ในถาดคลื่นเม่ือคลน่ื เคลอื่ นที่มาถึงรอยต่อระหวา่ งเขตน้าลึกกบั เขตนา้ ตนื้ คลนื่ มี
การสะท้อนหรือไม่ อย่างไร
(แนวคาตอบ เมอ่ื คล่ืนผิวน้าเคล่อื นทม่ี าถึงรอยต่อระหวา่ งเขตน้าลกึ กบั เขตนา้ ตน้ื พบวา่ มกี ารสะท้อน
ของคลนื่ ซง่ึ น้อยกว่าคลน่ื หักเห)
2.4 ผู้สอนให้ผู้เรยี นแตล่ ะคนศกึ ษาตวั อยา่ ง ในเอกสารประกอบการเรียน
ขน้ั ที่ 3 ขั้นอธบิ ายและลงข้อสรปุ ( Explanation Phase)
3.1 ผู้เรยี นและผ้สู อนรว่ มกนั อภปิ รายและสรุปจาการศกึ ษาในเอกสารประกอบการเรยี นการสอน
และวีดีโอตัวอยา่ ง จนสรปุ ได้ ดังนี้
- คลื่นหักเหมีความเรว็ ต่างไปจากคลนื่ ตกกระทบ แต่ความถี่ของคลืน่ ในตวั กลางทง้ั สองเท่ากนั
เน่ืองจากมาจากแหล่งกาเนดิ เดียวกนั ทา ให้ความยาวคล่นื ตกกระทบกับความยาวคลน่ื หักเหตา่ งกัน และใน
ตวั กลางคู่เดมิ คา่ มุมตกกระทบและมุมหักเหของคลื่นมีความสมั พนั ธ์กบั อัตราเร็วในตัวกลางทง้ั สองตามสมการ
ซึง่ เปน็ กฎการหักเหของคลน่ื ในการสรปุ น้ันครคู วรเน้นว่า ในกรณที ่ีคลน่ื จากตัวกลางหน่งึ ผ่าน
รอยตอ่ เข้าไปสู่อีกตวั กลางหนึ่งจะเกิดการสะท้อนและการหักเหของคลน่ื พร้อมกนั เสมอ คลนื่ หักเหไม่จา เปน็
ต้อง เปลี่ยนทิศเสมอไปกรณีท่ีหน้าคลนื่ ตกกระทบขนานผิวรอยต่อ คลน่ื หักเหจะไมเ่ ปลี่ยนทิศทางไปจากเดิม
ขนั้ ท่ี 4 ขน้ั ขยายความรู้ (Expansion Phase)
4.1 ผู้สอนอธิบายให้ความรู้เพ่ิมเติม ดังน้ี
เมือ่ คล่นื กระทบรอยต่อของตัวกลางคลนื่ สว่ นหนงึ่ สะทอ้ นกลบั ไปในตัวกลางเดิมอีกส่วนหนึ่งเคลอ่ื นที่
ผา่ นไปในอีกตัวกลางหนง่ึ เรยี กว่า คลืน่ หกั เห (refracted waves) หรอื บางคร้ังเรียกวา่ คล่นื ท่ผี ่านไป
(transmitted waves)
ในกรณที ี่เคลอื่ นทผ่ี า่ นจากตวั กลางหน่ึงไปยังอีกตัวกลางหนึ่งในทนี่ จ้ี ะศึกษาจากคลืน่ ในเส้นเชอื กทเี่ กิด
จากการนา่ เชือก 2 เสน้ มาตอ่ กนั โดยแรงตงึ เชอื กเท่ากนั แต่มีค่าความหนาแนน่ เชงิ เส้นไม่เท่ากันสิง่ ทีเ่ กดิ ขน้ึ คือ
เมอ่ื คล่นื เคลือ่ นท่ีมาถึงรอยต่อจะเกดิ ท้งั การสะท้อนกลับและการหักเห
- ทงั้ คล่นื สะท้อนแลคลนื่ หกั เหนนั้ มีแอมพลจิ ูดเล็กกว่าคลนื่ ตกกระทบโดยผลรวมของพลังงานคล่นื
สะทอ้ นกบั คลน่ื หักเหจะเท่ากับพลงั งานของคล่นื ตกกระทบ
- คลน่ื หักเหจะมีอัตราเร็วที่ตา่ งไปจากคล่ืนตกกระทบเพราะเคลอื่ นทใ่ี นตัวกลางท่ีมสี มบตั ิตา่ งกนั แต่มี
การกระจดั ของตวั กลางในทศิ เดยี วกบั คลน่ื ตกกระทบ
- คล่ืนสะท้อนจะมีการกระจัดของตวั กลางในทิศทางตรงขา้ มกบั คลืน่ ตกกระทบ(หรือมเี ฟสตรงขา้ มกนั )
ถ้าคลื่นเคลื่อนทีจ่ ากเชือกทค่ี วามหนาแนน่ เชิงเสน้ ตา่ ไปตกกระทบเชือกที่มีความหนาแน่นเชงิ เสน้ สูงกว่า
- ถ้าคล่ืนเคลือ่ นท่จี ากเชอื กท่ีมีความหนาแน่นเชงิ เสน้ สูงไปตกกระทบเชอื กท่ีมคี วามหนาแน่นเชงิ เสน้
ต่ากวา่ คลื่นสะท้อนจะมีการกระจัดของตวั กลางในทิศทางเดียวกับคล่ืนตกกระทบ (หรือเฟสตรงกัน)
4.2 ผสู้ อนนาแบบฝึกหัดมาให้ผู้เรียนวิเคราะหแ์ ละหาคาตอบรว่ มกนั
ขั้นที่ 5 ขัน้ ประเมิน (Evaluation)
5.1 ผูส้ อนตรวจแบบฝกึ หดั เร่ือง การหักเห
5.2 ผู้เรยี นตอบคาถามเร่ือง การหกั เหของคลืน่ ผวิ นา้ ได้
7. สือ่ /แหลง่ การเรียนรู้
7.1 หนังสือเรียนรายวิชาเพมิ่ เติมวทิ ยาศาสตร์ (ฟิสิกส์) ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 5 เล่ม 3
7.2 วดิ ีโอการหกั เหของคล่ืนผวิ น้า
7.3 เอกสารประกาอบการเรียนการสอน เร่ือง การหกั เหของคล่นื ผวิ นา้
8. วธิ ีการวดั และประเมนิ ผล วิธีการวัดและประเมนิ ผล
จุดประสงค์การเรยี นรู้ วิธกี ารวดั เครอื่ งมอื ทีใ่ ช้วดั เกณฑ์การประเมิน
1) อธบิ ายการหกั เหของคล่ืนผิวน้าได้ (K) การตอบคาถาม คาถาม ตอบคาถามถูกต้องร้อย
ละ 70 ขึ้นไป
2) ทดลองและสังเกตการหักเหของคลน่ื
ผิวนา้ ได้ (P) การทากจิ กรรมการ การทดลอง ตอบคาถามถูกต้องร้อย
3) ใฝ่เรียนรู้ และมีความรับผิดชอบ (A) ทดลอง ละ 70 ขนึ้ ไป
การสง่ งานท่ีได้รบั ใบกจิ กรรม/ใบงาน ผ่านเกณฑ์ในระดับดี
มอบหมาย ขึ้นไป
บักทกึ ผลหลังจากการจัดการเรียนรู้
1. ผลการจดั การเรยี นการสอน
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
2. ปญั หาและอปุ สรรคในการจัดการเรียนการสอน
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
3. ขอ้ เสนอแนะและแนวทางการแก้ไข
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
4. บกั ทึกหลงั การสอน
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงช่อื ………………………………………………………………
(……………………………………………………………)
ผ้สู อน
5. ความคดิ เห็นของครูพีเ่ ลี้ยง
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงชอ่ื ………………………………………………………………
(……………………………………………………………)
ครูพี่เลย้ี ง
5. ความคดิ เห็นของบรหิ ารวิชาการ
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงชอื่ ………………………………………………………………
(……………………………………………………………)
ฝ่ายบริหารวชิ าการ
6. ความคิดเห็นของผ้บู ริหารสถานศกึ ษา
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงชอื่ ………………………………………………………………
(……………………………………………………………)
ผู้บริหารสถานศกึ ษา
แผนการจดั การเรยี นรทู้ ี่ 10 ช้นั มธั ยมศกึ ษาปีที่ 5
เวลา 18 ช่วั โมง
กลมุ่ สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี เวลา 2 ชัว่ โมง
หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 9 คล่นื
เรอื่ ง พฤตกิ รรมของคลืน่ (การแทรกสอด) ภาคเรยี นท่ี 1/2565
ครูผู้สอน นางสาวเล่อื มประภสั ร์ สารพันธ์
1. มาตรฐานการเรยี นรู้
สาระฟิสกิ ส์ 2 เขา้ ใจการเคลื่อนท่แี บบฮารม์ อนิกอย่างง่าย ธรรมชาตขิ องคลน่ื เสยี งและการ
ไดย้ ินปรากฏการณท์ เ่ี กี่ยวข้องกบั เสยี ง แสงและการเห็น ปรากฏการณ์ทเ่ี ก่ยี วข้องกับแสง รวมทั้งนาความรู้ไป
ใช้ประโยชน์
2. ผลการเรยี นรู้
4. สังเกตและอธบิ ายการสะท้อน การหกั เห การแทรกสอด และการเล้ียวเบนของคล่ืนผิวนา้ รวมทงั้
คานวณปรมิ าณตา่ ง ๆ ทีเ่ กย่ี วข้อง
3. จดุ ประสงค์การเรยี นรู้
1) อธิบายการแทรกสอดของคล่ืนผวิ น้าได้ (K)
2) ทดลองและสงั เกตการแทรกสอดของคลื่นผวิ นา้ ได้ (P)
3) ใฝ่เรยี นรู้ และมีความรบั ผิดชอบ (A)
4. สาระการเรียนรู้
พฤติกรรมของคลื่น คลน่ื แสดงพฤติกรรมการสะท้อนเมื่อกระทบส่งิ กีดขวางหรือรอยต่อของตัวกลางที่
ตา่ งกนั
การสะท้อนของคลน่ื เปน็ ไปตามกฎการสะท้อน คือ มุมสะทอ้ นเท่ากับมุมตกกระทบ คลื่นสะทอ้ นใน
เชือกจะกลับเฟส เมื่อปลายเชือกตรงึ แน่นและคลนื่ สะท้อนในเชือกมีเฟสคงเดิมเมื่อปลายเชอื กอิสระ
คล่ืนเกิดการหักเหเม่ือเคล่ือนทีผ่ า่ นรอยต่อของตัวกลางท่ีต่างกัน โดยคล่ืนมีความถ่คี งทีแ่ ตอ่ ัตราเร็ว
คลน่ื เปลย่ี นไปเปน็ ไปตามกฎการหักเหแทนด้วยสมการ
เมือ่ คล่นื สองขบวนเคล่ือนท่ีมาพบกันเกดิ การแทรกสอดกนั ถ้าคลนื่ จากแหลง่ กาเนดิ และ มี
ความถเี่ ท่ากัน เฟสตรงกนั แอมพลิจูดเท่ากัน เมื่อแทรกสอดกนั เกดิ ตาแหน่งท่รี วมแบบเสริม เรียกว่า ปฏบิ ัพ
และแบบ หักลา้ ง เรียกวา่ บัพ โดยตาแหนง่ ทีเ่ กดิ ปฏิบัพเปน็ ไปตามสมการ | | เมอ่ื n = 0,
1, 2, 3,… และตาแหน่งทีเ่ กดิ บัพเป็นไปตามสมการ | | เม่อื n = 1, 2, 3, ...
คลน่ื อาพันธส์ องขบวนเคล่ือนทีส่ วนทางกันจะเกดิ การแทรกสอดเกิดเปน็ ปฏิบัพและบพั ท่ีอยนู่ ง่ิ โดยมี
ระยะระหว่างบพั ทถี่ ดั กนั และปฏบิ พั ทีถ่ ดั กันเทา่ กบั ครึง่ หนึ่งของความยาวคลน่ื เรียกวา่ คลนื่ น่ิง
คลนื่ เกดิ การเลี้ยวเบนเมื่อเคลื่อนท่ีพบขอบของสง่ิ กีดขวางหรอื ชอ่ งแคบ แล้วมีคล่ืนแผ่ออกจากของ
ของส่ิง กีดขวางไปทางด้วนหลังได้
5. สาระสาคญั
แหล่งกาเนิดสองแหลง่ อยู่บนตัวกลางเดยี วกัน ใหค้ ลนื่ ต่อเนอ่ื งทม่ี ีแอมพลิจูด ความถ่ี และความยาว
คลื่น เท่ากนั มีเฟสเร่มิ ต้นตรงกันหรอื ตา่ งกันคงท่ี จดั เป็นแหล่งกาเนดิ อาพนั ธ์ (coherent sources) เมอ่ื
แหลง่ กาเนิด คลนื่ นี้ แผค่ ล่ืนออกมา ดงั รูป
คลืน่ ทเี่ คลื่อนที่ออกมาจะเกดิ การแทรกสอดกัน โดยบางจดุ จะเกดิ การแทรกสอดแบบหกั ล้างกันสนทิ
เป็นจดุ บัพ คา่ การกระจัดลพั ธ์ของตวั กลางทจี่ ดุ น้จี ะเปน็ ศูนย์ และเกิดจดุ ทมี่ กี ารแทรกสอดแบบเสริมกนั ที่
จดุ ปฏบิ ัพ ค่าการกระจดั ลัพธ์ของตวั กลางท่ีจดุ นีจ้ ะมขี นาดเป็น 2 เท่าของแอมพลจิ ดู ของคลน่ื ท่ีออกมาจาก
แหลง่ กาเนิด ส่วน ตาแหนง่ อื่นๆ ทเ่ี หลอื จะเปน็ การแท กสอดท่ีไมไ่ ด้หกั ลา้ งกนั สนิทและเสริมกันมากทสี่ ดุ
เม่ือคลน่ื สองขบวนเคลื่อนที่มาพบกนั เกดิ การแทรกสอดกันถ้าคล่นื จากแหล่งกาเนิด และ มี
ความถเ่ี ท่ากนั เฟสตรงกนั แอมพลจิ ดู เท่ากนั เม่ือแทรกสอดกันเกดิ ตาแหน่งท่ีรวมแบบเสริม เรยี กว่า ปฏิบัพ
และแบบ หักล้าง เรียกวา่ บัพ โดยตาแหนง่ ท่ีเกิดปฏิบัพเปน็ ไปตามสมการ | | เมอ่ื n = 0,
1, 2, 3,… และตาแหน่งทเ่ี กิดบพั เปน็ ไปตามสมการ | | เม่ือ n = 1, 2, 3, ...
6. กจิ กรรมการเรียนรู้ (รูปแบบการจัดการเรียนรูแ้ บบ 5E)
ขัน้ ท่ี 1 ข้นั นาเข้าสบู่ ทเรียน (Engagement Phase)
1.1 ผู้สอนทบทวนความรเู้ ดิม เรื่อง การแทรกสอดแบบหกั ล้าง การแทรกสอดแบบเสริมกนั กรณี
คลน่ื ตอ่ เนื่องที่มีแอมพลจิ ูด ความถ่ี และความยาวคลื่นเท่ากนั มเี ฟสเร่มิ ต้นตรงกันหรือต่างกันคงท่ีและการเกิด
คลื่นน่งิ
ขั้นที่ 2 ขนั้ สารวจและคน้ พบ (Exploration Phase)
2.1 ผูส้ อนให้ผู้เรยี นศกึ ษาเร่อื งพฤติกรรมของคล่นื (การแทรกสอด) ในเอกสารประกอบการเรยี นและ
ในหนงั สอื เรยี น
2.2 ผู้สอนต้ังคาถามเพื่อนาเขา้ สู่การทากิจกรรม
1) มตี าแหนง่ อื่นอีกหรือไม่ท่ีเป็นจดุ บัพกับจุดปฏบิ พั
(แนวคาตอบ ตาแหน่งอื่น ๆ เป็นจุดบพั กับปฏบิ ัพได้เชน่ กัน)
๒) ถา้ คลน่ื ฮาร์มอนิก 2 ขบวนที่เคลื่อนที่สวนทางกนั มาซ้อนทบั กนั โดยท้งั คู่มคี วามถแี่ ละความยาวคล่ืนเทา่ กัน
แต่แอมพลิจดู ไม่เท่ากันจะเกิดคลนื่ นิง่ ไดห้ รือไม่
(แนวคาตอบ จะเกดิ คล่ืนนิง่ ไม่ได้เพราะตาแหน่งท่ีรวมแบบเสริมและหกั ล้างจะอยูน่ ่งิ แต่รวมแบบ
หกั ลา้ งจะหกั ล้างกนั ไม่หมด)
2.3 ผู้สอนเปิดวดี โี อกจิ กรรมเรอื่ งการแทรกสอดของคลน่ื ผวิ น้า ใหผ้ ้เู รยี นดู
https://www.youtube.com/watch?v=heXGbHUElr0
2.4 ผู้สอนต้งั คาถามจากการดวู ีดีโอการทดลองเพ่ือให้ผู้เรยี นไปค้นควา้ หาความรโู้ ดยใช้คาถาม ดงั นี้
1) ลักษณะของคลืน่ เม่อื เพ่ิมแรงดงึ เชอื กเปล่ยี นแปลงอยา่ งไร
(แนวคาตอบ เมื่อเพม่ิ แรงดงึ เชือก ระยะหา่ งระหว่างบัพกับบัพท่ีอยู่ถดั กนั มากกวา่ เดมิ )
ขัน้ ท่ี 3 ขน้ั อธิบายและลงข้อสรุป ( Explanation Phase)
3.1 ผสู้ อนและผ้เู รียนรว่ มกันอภิปรายและสรุปผลการทาการทดลอง จนสรุปได้ดงั น้ี จากการทาการ
ทดลองพบวา่ ปมุ่ กาเนดิ คลนื่ สองปุ่มติดอยู่กับคานกาเนดิ คล่ืนเดยี วกันทาใหเ้ กิดคลนื่ ผิวน้าดว้ ยความถ่เี ดียวกัน
คลนื่ ผ่านตวั กลางเดียวกันอตั ราเรว็ เทา่ กนั ความยาวคลืน่ เทา่ กันการสั่นแรงเท่ากนั แอมพลิจูดเทา่ กนั เป็น
แหล่งกาเนิดอาพันธ์เม่ือคลน่ื จากแหล่งกาเนิดท้งั สองมาพบกันจงึ เกิดจุดที่คลนื่ มารวมกันแบบเสริมเปน็ จุดปฏิ
บัพและจดุ ทคี่ ลน่ื รวมกันแบบหักล้างเปน็ จดุ บัพ ซึ่งตาแหนง่ ท่เี ปน็ บพั และปฏบิ ัพเหลา่ น้ีไม่เคลื่อนที่จงึ เป็นคลื่น
นง่ิ สะท้อน
ขนั้ ท่ี 4 ขัน้ ขยายความรู้ (Expansion Phase)
4.1 ผสู้ อนอธบิ ายใหค้ วามรเู้ พ่มิ เติม ดังน้ี เมอื่ คลื่นสองขบวนเคลื่อนทม่ี าพบกันเกิดการแทรกสอดกนั
ถ้าคล่นื จากแหล่งกาเนิด และ มคี วามถี่เท่ากัน เฟสตรงกัน แอมพลจิ ูดเทา่ กัน เมื่อแทรกสอดกันเกดิ
ตาแหน่งทรี่ วมแบบเสริม เรยี กว่า ปฏิบัพ และแบบ หักลา้ ง เรยี กว่า บัพ โดยตาแหนง่ ทเ่ี กิดปฏบิ ัพเป็นไปตาม
สมการ | | เมอื่ n = 0, 1, 2, 3,… และตาแหน่งทเ่ี กดิ บัพเปน็ ไปตามสมการ |
| เมอื่ n = 1, 2, 3, ...
4.2 ผู้สอนอธิบายใหค้ วามรูจ้ ากคาถามชวนคดิ ดังนี้
๑) การแทรกสอดกันของคล่ืนที่จดุ อน่ื ๆ ท่ีไมใ่ ชจ่ ุดทสี่ นั คลน่ื (หรือท้องคลืน่ ) ซ้อนทบั กับสันคล่นื (หรอื ท้อง
คลืน่ ) เป็นการแทรกสอดแบบใด
(แนวคาตอบ เป็นการแทรกสอดแบบหักลา้ ง)
๒) หากเฟสเริ่มต้นของคลน่ื จากแหล่งกาเนิดทง้ั สองมีค่าต่างกนั 180 องศา หรือมเี ฟสตรงขา้ มกนั เงอ่ื นไขของ
การแทรกสอดแบบเสริมกับแบบหกั ล้างจะเปลีย่ นแปลงหรือไม่ อย่างไร เพราะเหตใุ ด
(แนวคาตอบ หากเฟสเรม่ิ ตน้ ของคล่นื จากแหลง่ กาเนดิ ทั้งสองมีคา่ ตา่ งกนั 180 องศา หรือมเี ฟสตรง
ขา้ ม เงื่อนไข ของการแทรกสอดเปลี่ยนไป โดยทีแ่ นวกลางเปน็ การแทรกสอดแบบหกั ล้าง เนอ่ื งจากหน้าคลน่ื
แรกท่ีพบกันแทรก สอดแบบหกั ล้างกัน)
๓) หากเฟสเร่มิ ต้นของคล่ืนจากแหล่งกาเนิดทงั้ สองมีค่าตา่ งกนั 180 องศาหรือมีเฟสตรงข้ามกนั เส้นแนวการ
แทรกสอดกนั ของคล่นื ท่ีจุดซึง่ มีระยะห่างจากแหล่งกาเนิดท้ังสองเทา่ กันจะเกิดการแทรกสอดแบบใด
(แนวคาตอบ เกิดการแทรกสอดแบบหกั ลา้ ง)
ขั้นที่ 5 ขั้นประเมิน (Evaluation)
5.1 ผสู้ อนตรวจโจทย์ตวั อยา่ งเรือ่ ง การแทรกสอด
5.2 สังเกตจากการร่วมกิจกรรมในหอ้ งเรยี น
7. สอ่ื /แหล่งการเรียนรู้
7.1 หนงั สือเรยี นรายวชิ าเพิม่ เติมวิทยาศาสตร์ (ฟิสกิ ส์) ช้นั มธั ยมศึกษาปที ่ี 5 เล่ม 3
7.2 วดิ โี อการแทรกสอดของคลนื่ ผวิ นา้
7.3 เอกสารประกาอบการเรียนการสอน เร่ืองการแทรกสอดของคลนื่ ผิวน้า
8. วธิ กี ารวดั และประเมินผล
จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ วธิ ีการวัดและประเมินผล
วธิ ีการวัด เคร่อื งมอื ท่ีใช้วัด เกณฑ์การประเมิน
1) อธบิ ายการแทรกสอดของคลน่ื ผิวน้าได้ การตอบคาถาม คาถาม ตอบคาถามถกู ต้องร้อย
(K) ละ 70 ข้นึ ไป
2) ทดลองและสังเกตการแทรกสอดของ การทากิจกรรมการ การทดลอง ตอบคาถามถกู ต้องร้อย
ละ 70 ขึน้ ไป
คลืน่ ผวิ น้าได้ (P) ทดลอง
3) ใฝเ่ รียนรู้ และมคี วามรบั ผิดชอบ (A) การส่งงานที่ไดร้ บั ใบกจิ กรรม/ใบงาน ผา่ นเกณฑ์ในระดับดี
มอบหมาย ข้ึนไป
บักทกึ ผลหลังจากการจัดการเรียนรู้
1. ผลการจดั การเรยี นการสอน
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
2. ปญั หาและอปุ สรรคในการจัดการเรียนการสอน
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
3. ขอ้ เสนอแนะและแนวทางการแก้ไข
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
4. บกั ทึกหลงั การสอน
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงช่อื ………………………………………………………………
(……………………………………………………………)
ผ้สู อน
5. ความคดิ เห็นของครูพีเ่ ลี้ยง
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงชอ่ื ………………………………………………………………
(……………………………………………………………)
ครูพี่เลย้ี ง
5. ความคดิ เห็นของบรหิ ารวิชาการ
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงชอื่ ………………………………………………………………
(……………………………………………………………)
ฝ่ายบริหารวชิ าการ
6. ความคิดเห็นของผ้บู ริหารสถานศกึ ษา
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงชอื่ ………………………………………………………………
(……………………………………………………………)
ผู้บริหารสถานศกึ ษา
แผนการจัดการเรยี นร้ทู ี่ 11 ชั้นมัธยมศกึ ษาปีที่ 5
เวลา 18 ชว่ั โมง
กล่มุ สาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี เวลา 2 ชว่ั โมง
หนว่ ยการเรียนรู้ที่ 9 คล่ืน
เรือ่ ง พฤติกรรมของคล่ืน (การเล้ียวเบน) ภาคเรยี นที่ 1/2565
ครผู ู้สอน นางสาวเล่อื มประภสั ร์ สารพันธ์
1. มาตรฐานการเรยี นรู้
สาระฟสิ ิกส์ 2 เขา้ ใจการเคลื่อนทีแ่ บบฮาร์มอนกิ อยา่ งงา่ ย ธรรมชาติของคลืน่ เสยี งและการ
ได้ยนิ ปรากฏการณ์ท่เี กี่ยวขอ้ งกับเสียง แสงและการเหน็ ปรากฏการณ์ท่ีเก่ียวข้องกับแสง รวมทั้งนาความรู้ไป
ใช้ประโยชน์
2. ผลการเรียนรู้
4. สังเกตและอธบิ ายการสะท้อน การหกั เห การแทรกสอด และการเลยี้ วเบนของคล่ืนผิวนา้ รวมทง้ั
คานวณปรมิ าณต่าง ๆ ทเ่ี กีย่ วข้อง
3. จุดประสงค์การเรยี นรู้
1) อธบิ ายการเลย้ี วเบนของคลื่นผวิ นา้ ได้ (K)
2) ทดลองและสงั เกตการเลีย้ วเบนของคลน่ื ผิวน้าได้ (P)
3) ใฝเ่ รียนรู้ และมีความรับผิดชอบ (A)
4. สาระการเรยี นรู้
พฤติกรรมของคล่นื คลนื่ แสดงพฤติกรรมการสะท้อนเม่ือกระทบสง่ิ กีดขวางหรือรอยต่อของตัวกลางที่
ตา่ งกนั
การสะท้อนของคล่ืนเปน็ ไปตามกฎการสะท้อน คอื มุมสะทอ้ นเทา่ กับมุมตกกระทบ คลื่นสะทอ้ นใน
เชือกจะกลับเฟส เมื่อปลายเชือกตรึงแน่นและคล่ืนสะท้อนในเชือกมเี ฟสคงเดิมเม่ือปลายเชือกอิสระ
คลื่นเกดิ การหักเหเม่ือเคลื่อนทผี่ ่านรอยต่อของตัวกลางท่ีต่างกนั โดยคลนื่ มีความถีค่ งทแ่ี ตอ่ ัตราเรว็
คล่นื เปลยี่ นไปเป็นไปตามกฎการหักเหแทนดว้ ยสมการ
เมือ่ คลนื่ สองขบวนเคล่ือนที่มาพบกนั เกดิ การแทรกสอดกนั ถา้ คล่นื จากแหลง่ กาเนิด และ มี
ความถเ่ี ทา่ กนั เฟสตรงกัน แอมพลจิ ดู เทา่ กนั เม่ือแทรกสอดกันเกิดตาแหนง่ ทร่ี วมแบบเสรมิ เรยี กว่า ปฏิบพั
และแบบ หักลา้ ง เรียกว่า บพั โดยตาแหนง่ ท่เี กดิ ปฏิบัพเป็นไปตามสมการ | | เมอื่ n = 0,
1, 2, 3,… และตาแหนง่ ทเ่ี กิดบัพเปน็ ไปตามสมการ | | เม่อื n = 1, 2, 3, ...
คลนื่ อาพนั ธส์ องขบวนเคลื่อนท่สี วนทางกันจะเกิดการแทรกสอดเกิดเปน็ ปฏิบัพและบัพที่อย่นู ง่ิ โดยมี
ระยะระหวา่ งบัพท่ถี ัดกันและปฏิบัพท่ีถัดกนั เทา่ กบั ครง่ึ หน่ึงของความยาวคลนื่ เรียกวา่ คล่ืนนิ่ง
คลื่นเกดิ การเลย้ี วเบนเมื่อเคลือ่ นท่ีพบขอบของสิ่งกีดขวางหรือชอ่ งแคบ แลว้ มีคล่นื แผ่ออกจากของ
ของสิง่ กีดขวางไปทางด้วนหลงั ได้
5. สาระสาคญั
เมือ่ เคลื่อนเคลื่อนท่มี าถึงบริเวณที่มีส่ิงกดี ขวางตรงจดุ ท่เี ป็นขอบของส่งิ กีดขวางคล่ืนจะเปลี่ยนทิศ
ทางการเคล่อื นท่ีอ้อมขอบสิ่งกดี ขวางไปดา้ นหลังของสิ่งกีดขวางได้โดยทิศทางของการเคลอื่ นทจ่ี ะเปล่ยี นไป
และแอมพลจิ ดู ของคลืน่ ที่อ้อมไปนน้ั มีค่านอ้ ยลงแต่ความยาวคลน่ื กับความถยี่ ังคงเดมิ เรียกปรากฏการณน์ ีว้ ่า
การเลย้ี วเบน (diffraction)
รูป แสดงคลืน่ ระนาบเคยี้ วเบนผา่ นชอบของส่ิงกดี ขวาง 2 แบบ
จากรปู แสดงการเลยี้ วเบนของคลืน่ ระนาบผา่ นสิง่ กีดขวาง 2 แบบ ในรปู ดา้ นซ้ายคลื่นเคลื่อนท่ีมาถงึ
แผน่ กน้ั ทม่ี ีขอบหนง่ึ ดา้ นในรูปด้านขวาคลืน่ ระนาบเคล่ือนที่ผ่านชอ่ งที่มีคามกวา้ งมากกวา่ ความยาวคลน่ื จะเหน็
วา่ ในทง้ั สองกรณี เม่ือเคลื่อนทม่ี าถงึ ขอบของสิง่ กดี ขวางคล่ืน ณ จดุ น้ันจะทาตวั เป็นแหล่งกาเนดิ แบบจุด ตาม
หลกั การของฮอยเกนส์ ทาให้หน้าคล่นื ที่แผจ่ ากจดุ ท่ขี อบน้ันเคล่อื นท่ีไปไดโ้ ดยมหี น้าคล่ืนเป็นส่วนโค้งวงกลม
6. กิจกรรมการเรยี นรู้ (รปู แบบการจดั การเรยี นรู้แบบ 5E)
ขั้นท่ี 1 ขน้ั นาเข้าส่บู ทเรยี น (Engagement Phase)
1.1 ผสู้ อนทบทวนความรู้เดิม เร่ือง การแทรกสอดของคลื่นผิวน้า สมการทเ่ี ก่ียวข้องของการแทรก
สอดของคลื่นผวิ น้าและทบทวนหลกั การของฮอยเกนสท์ เี่ คยเรียนผา่ นมา
1.2 ผสู้ อนทบทวนพฤตกิ รรมของคล่นื เมอื่ ผา่ นรอยต่อของตัวกลางว่ามคี ลื่นสะท้อนและหักเห
1.3 ผู้สอนยกสถานการณ์เพื่อให้ผู้เรียนร่วมกันอภิปรายกรณที ่คี ลื่นกระทบส่ิงกดี ขวางท่ขี นาดเลก็ กว่า
ความยาวของหนา้ คลื่นทาให้คลืน่ ส่วนหนึ่งผา่ นขอบของสง่ิ กีดขวางได้หรอื สิ่งกดี ขวางมีลักษณะเป็นช่องที่ให้
คล่ืนผา่ นไดค้ ล่ืนจะแสดงพฤติกรรมอย่างไร
(เปดิ โอกาสให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นอย่างอิสระโดยไม่คาดหวงั คาตอบที่ถกู ต้อง)
ข้นั ท่ี 2 ขน้ั สารวจและคน้ พบ (Exploration Phase)
2.1 ผู้สอนใหผ้ ู้เรียนศกึ ษาเร่ืองพฤติกรรมของคล่นื (การเล้ยี วเบน) ในเอกสารประกอบการเรยี นและ
ในหนังสอื เรียน
2.2 ผูส้ อนเปิดวีดโี อทดลองเรื่อง การเลี้ยวเบนของคลน่ื ให้ผ้เู รยี นดู
https://www.youtube.com/watch?v=6CpbjBsxT50
2.3 ผู้สอนตงั้ คาถามจากการดวู ีดีโอการทดลองเพ่ือให้ผูเ้ รียนไปคน้ ควา้ หาความรูโ้ ดยใชค้ าถาม ดังนี้
๑) เมอ่ื ใช้แผน่ ก้ันขวางการเคลือ่ นทีข่ องผวิ น้าบางสว่ นคล่นื จะมกี ารเคลอื่ นทีอ่ ยา่ งไรบริเวณดา้ นหลัง ของแผน่
กั้น
(แนวคาตอบ เมอ่ื คล่ืนเคล่ือนที่ผ่านกน้ั พบวา่ มีคลน่ื แผ่เป็นแนวโคง้ ทางดา้ นหลังของแผ่นก้ัน)
๒) เม่อื ใชแ้ ผน่ กนั้ สองแผน่ ทาช่องเปดิ ทางที่มีความกว้างมากกวา่ ใกล้เคยี งและนอ้ ยกว่าความยาวคลืน่ ของคล่นื
ผิวนา้ ในแต่ละครัง้ คล่นื ทเ่ี คล่ือนที่เคลอื่ นที่ผา่ นช่องเปิดมลี กั ษณะอยา่ งไร
(แนวคาตอบ เมื่อคลืน่ ผ่านชอ่ งเปดิ ท่ีมีความกวา้ งมากกวา่ ความยาวคลื่นเมอ่ื คล่นื ผ่านช่องเปดิ ท่ีมคี วาม
กวา้ งใกล้เคียงความยาวคลื่นและเมื่อคลนื่ ผา่ นชอ่ งเปิดท่ีมคี วามกวา้ งนอ้ ยกวา่ ความยาวคลนื่ )
ข้นั ท่ี 3 ข้ันอธิบายและลงข้อสรุป ( Explanation Phase)
3.1 ผู้สอนและผู้เรียนรว่ มกนั อภิปรายและสรปุ ผลการทาการทดลอง จนสรุปได้ ดังน้ี จากการทาการ
ทดลอง พบวา่ ทกุ กรณที ่ีคล่ืนผ่านขอบของส่งิ กีดขวางหรือผ่านช่องแคบจะเกิดคล่นื แผ่อ้อมไปทางดา้ นหลังของ
ส่ิงกีดขวางเสมอเรยี กพฤติกรรมของคล่นื น้ีว่าการเล้ียวเบนของคลน่ื แล้วตั้งคาถามว่าคล่ืนออ้ มเข้าไปด้านหลงั
ของส่งิ กดี ขวางได้อยา่ งไร ให้นักเรยี นร่วมกนั อภปิ รายอย่างอสิ ระ
ขน้ั ที่ 4 ขนั้ ขยายความรู้ (Expansion Phase)
4.1 ผสู้ อนอธบิ ายให้ความร้เู พมิ่ เติม ดังนี้ เม่ือเคลือ่ นเคลือ่ นที่มาถึงบริเวณที่มีส่ิงกดี ขวางตรงจดุ ท่เี ปน็
ขอบของสิง่ กีดขวางคล่ืนจะเปล่ียนทศิ ทางการเคลอ่ื นที่อ้อมขอบสง่ิ กดี ขวางไปดา้ นหลังของสงิ่ กีดขวางได้โดย
ทิศทางของการเคลือ่ นท่ีจะเปล่ยี นไปและแอมพลิจดู ของคล่ืนท่อี ้อมไปนั้นมคี า่ น้อยลงแต่ความยาวคล่นื กับ
ความถ่ยี ังคงเดิม เรยี กปรากฏการณ์นีว้ ่า การเล้ยี วเบน (diffraction)
รูป แสดงคล่ืนระนาบเคีย้ วเบนผ่านชอบของส่ิงกดี ขวาง 2 แบบ
จากรปู แสดงการเล้ยี วเบนของคลน่ื ระนาบผา่ นส่ิงกดี ขวาง 2 แบบ ในรปู ด้านซา้ ยคลน่ื เคลอ่ื นท่ีมาถงึ
แผ่นกั้นทีม่ ีขอบหนง่ึ ดา้ นในรูปด้านขวาคล่นื ระนาบเคลอื่ นที่ผ่านชอ่ งที่มีคามกวา้ งมากกวา่ ความยาวคล่นื จะเห็น
วา่ ในทั้งสองกรณี เมื่อเคล่ือนท่มี าถงึ ขอบของส่งิ กดี ขวางคล่ืน ณ จดุ นน้ั จะทาตัวเป็นแหล่งกาเนดิ แบบจุด ตาม
หลักการของฮอยเกนส์ ทาให้หน้าคล่ืนท่แี ผ่จากจดุ ท่ขี อบนั้นเคล่ือนที่ไปไดโ้ ดยมีหนา้ คลื่นเป็นส่วนโค้งวงกลม
ขั้นท่ี 5 ข้ันประเมนิ (Evaluation)
5.1 ผ้สู อนตรวจโจทย์ตัวอย่างเรื่อง การเลีย้ วเบน
5.2 สงั เกตจากการรว่ มกิจกรรมในหอ้ งเรยี น
7. ส่ือ/แหลง่ การเรียนรู้
7.1 หนงั สือเรียนรายวชิ าเพ่มิ เตมิ วทิ ยาศาสตร์ (ฟสิ กิ ส)์ ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปีที่ 5 เลม่ 3
7.2 วดิ โี อการเลี้ยวเบนของคลืน่ ผวิ น้า
7.3 เอกสารประกาอบการเรียนการสอน เรื่องการเลี้ยวเบนของคล่ืนผิวน้า
8. วธิ กี ารวดั และประเมนิ ผล วธิ กี ารวัดและประเมินผล
จดุ ประสงค์การเรียนรู้ วิธกี ารวัด เครอ่ื งมอื ท่ีใช้วัด เกณฑก์ ารประเมิน
1) อธบิ ายการเลี้ยวเบนของคลื่นผวิ นา้ ได้ การตอบคาถาม คาถาม ตอบคาถามถกู ต้องร้อย
(K) ละ 70 ขึ้นไป
2) ทดลองและสงั เกตการเล้ียวเบนของ
คลืน่ ผิวน้าได้ (P) การทากิจกรรมการ การทดลอง ตอบคาถามถกู ต้องร้อย
3) ใฝเ่ รียนรู้ และมคี วามรับผิดชอบ (A) ทดลอง ละ 70 ขน้ึ ไป
การสง่ งานที่ได้รับ ใบกจิ กรรม/ใบงาน ผา่ นเกณฑ์ในระดับดี
มอบหมาย ขึ้นไป
บักทกึ ผลหลังจากการจัดการเรียนรู้
1. ผลการจดั การเรยี นการสอน
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
2. ปญั หาและอปุ สรรคในการจัดการเรียนการสอน
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
3. ขอ้ เสนอแนะและแนวทางการแก้ไข
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
4. บกั ทึกหลงั การสอน
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงช่อื ………………………………………………………………
(……………………………………………………………)
ผ้สู อน
5. ความคดิ เห็นของครูพีเ่ ลี้ยง
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงชอ่ื ………………………………………………………………
(……………………………………………………………)
ครูพี่เลย้ี ง
5. ความคดิ เห็นของบรหิ ารวิชาการ
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงชอื่ ………………………………………………………………
(……………………………………………………………)
ฝ่ายบริหารวชิ าการ
6. ความคิดเห็นของผ้บู ริหารสถานศกึ ษา
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงชอื่ ………………………………………………………………
(……………………………………………………………)
ผู้บริหารสถานศกึ ษา
แผนการจดั การเรยี นรทู้ ี่ 12 ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 5
เวลา 12 ชว่ั โมง
กล่มุ สาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เวลา 3 ช่ัวโมง
หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี 10 แสงเชิงคลืน่
เร่อื ง แนวคดิ เก่ียวกบั แสงเชงิ คลืน่ ภาคเรยี นท่ี 1/2565
ครผู ู้สอน นางสาวเลือ่ มประภสั ร์ สารพันธ์
1. มาตรฐานการเรียนรู้
สาระฟิสิกส์ 2 เข้าใจการเคลื่อนท่ีแบบฮาร์มอนิกอยา่ งงา่ ย ธรรมชาตขิ องคลื่น เสยี งและการ
ไดย้ นิ ปรากฏการณท์ ี่เกี่ยวขอ้ งกับเสียง แสงและการเหน็ ปรากฏการณ์ท่เี ก่ยี วข้องกับแสง รวมทง้ั นำความรู้ไป
ใช้ประโยชน์
2. ผลการเรยี นรู้
5. ทดลอง และอธิบายการแทรกสอดของแสงผา่ นสถิตคู่และเกรตตงิ การเล้ยี วเบนและการแทรกสอด
ของแสงผ่านสลติ เดีย่ วรวมท้ังคำนวณปริมาณตา่ ง ๆ ทเี่ กยี่ วข้อง
3. จดุ ประสงค์การเรยี นรู้
1) อธบิ ายแนวคดิ เก่ียวกับแสงเชงิ คลืน่ ได้ (K)
2) ระบุไดว้ ่าแสงเป็นคลืน่ แม่เหลก็ ไฟฟา้ ท่ีตามองเห็นได้ (P)
3) ใฝเ่ รยี นรู้ และมีความรับผิดชอบ (A)
4. สาระการเรยี นรู้
แสงเป็นคลื่นแมเ่ หล็กไฟฟา้ ความยาวคลื่นอยใู่ นช่วงประมาณ 400-700 นาโนเมตร ซึ่งตามนษุ ยร์ บั รู้
ไดแ้ ละแสดงพฤตกิ รรมการแทรกสอดและการเลย้ี วเบนเช่นเดียวกับคลื่นกล
5. สาระสำคัญ
คลนื่ แสงหรอื เรียกสั้นๆ ว่าแสงเปน็ คลน่ื ชนิดทีแ่ ตกต่างจากคลนื่ เสียงหรอื คลนื่ ผวิ น้ำซ่งึ เป็นคลืน่ กลที่
ตอ้ งอาศัยตวั กลางในการส่งผ่านพลงั งาน ส่วนคลื่นแสงเป็นคล่นื แมเ่ หล็กไฟฟา้ ท่ีไมจ่ าํ เป็นต้องอาศัยตัวกลางใน
การสง่ ผา่ นพลังงานคล่นื แมเ่ หลก็ ไฟฟ้าในย่านที่ตามนุษย์สามารถตอบสนองได้หรอื ในช่วงความยาวคลนื่
ประมาณ 400-700 นาโนเมตร แสงทุกย่นความถีเ่ คลื่อนทดี่ ้วยอตั ราเร็วเทา่ กนั ในสญู ญากาศโดยอตั ราเรว็ ใน
สุญญากาศมีคา่ ประมาณ 3 × 108เมตรตอ่ วนิ าที ซง่ึ ตราบจนถงึ ปัจจุบนั พบวา่ เปน็ อัตราเรว็ สูงสุดไม่มคี ลน่ื
หรอื อนภุ าคใดๆ เคลื่อนทใี่ นสุญญากาศด้วยอัตราเร็วหรอื มากกว่าแสง
แนวคิดเรื่องแสงของนวิ ตนั (Newton) เสนอแนวคดิ ว่าแสงเป็นอนุภาคและสามารถใชแ้ นวคิดน้ี ใน
การอธบิ ายการสะท้อนและการหักเหของแสงได้
แนวคิดเรอ่ื งแสงของ ธอมัส ยัง (Thomas Young) เสนอแนวคดิ เร่อื งแสงเนื่องจากได้ทำการ ทดลอง
โดยแสดงใหเ้ ห็นวา่ แสงเกิดการแทรกสอดและคำนวณหาความยาวคลืน่ ได้
6. กิจกรรมการเรียนรู้ (รูปแบบการจัดการเรียนรแู้ บบ 5E)
ขัน้ ที่ 1 ขน้ั นำเข้าสบู่ ทเรยี น (Engagement Phase)
1.1 ผู้สอนทบทวนความร้เู ดิม เรือ่ ง การรวมกนั ของคลนื่ การแทรก สอดของคลนื่ การเลี้ยวเบนของ
คล่ืน และชนิดของคล่นื
1.2 ผสู้ อนตัง้ คำถามนำเขา้ สู่บทเรียน ดงั น้ี
1) แสงเปน็ คลื่นชนิดใด
2) คลืน่ เสียงเปน็ คลนื่ ชนดิ ใด
3) คล่ืนแสงตา่ งจากคลน่ื เสียงหรอื ไม่ เพราะเหตุใด
ขั้นที่ 2 ขน้ั สำรวจและค้นพบ (Exploration Phase)
2.1 ผู้สอนให้ผู้เรยี นแต่ละคนศกึ ษาเรื่องแนวคดิ เกย่ี วกับแสงเชิงคลน่ื จากเอกสารประกอบการเรียน
และหนังสอื เรียนการสอนเร่ือง แสงเชิงคลืน่
ขน้ั ที่ 3 ข้นั อธบิ ายและลงข้อสรุป ( Explanation Phase)
3.1 ผ้สู อนและผเู้ รียนรว่ มกนั อภปิ รายเพ่ือนำไปสู่การสรปุ โดยใช้คำถามตอ่ ไปน้ี
1) แสงเปน็ คลน่ื ชนดิ ใด
(แนวคำตอบ แสงเป็นคล่นื แม่เหล็กไฟฟา้ )
2) คล่ืนเสียงเปน็ คล่ืนชนิดใด
(แนวคำตอบ คลน่ื เสยี งเปน็ คลื่นกล)
3) คลน่ื แสงต่างจากคลนื่ เสียงหรือไม่ เพราะเหตุใด
(แนวคำตอบ ต่างกัน เพราะคล่นื เสยี งเป็นคลน่ื กล แตแ่ สงเปน็ คลืน่ แมเ่ หลก็ ไฟฟ้าซง่ึ มคี วามยาวคลน่ื
ในช่วงประมาณ 400-700 นาโนเมตร)
4) นักเรียนวิทยาศาสตรใ์ ดเสนอแนวคิดว่าแสงเป็นอนุภาค และสามารถใชแ้ นวคิดน้ใี นการอธิบาย การสะทอ้ น
และการหักเหของแสงได้
(แนวคำตอบ นวิ ตนั (Newton))
5) นกั เรยี นวิทยาศาสตรใ์ ดเสนอแนวคดิ เร่ืองแสง เน่ืองจากไดท้ ำการทดลองโดยแสดงใหเ้ ห็น ว่าแสงเกิดการ
แทรกสอด และคำนวณหาความยาวคล่ืนได้
(แนวคำตอบ ธอมัส ยงั (Thomas Young))
6) พฤติกรรมใดทแ่ี สดงวา่ แสงเป็นคลืน่
(แนวคำตอบ พฤตกิ รรมการแทรกสอดและการ เลย้ี วเบนของแสง แสดงให้เหน็ ว่าแสงเป็นคลนื่ )
7) มนุษยส์ ามารถรบั รคู้ ล่นื แสงได้อย่างไร
(แนวคำตอบ มนษุ ย์สามารถรับร้คู ล่นื แสงไดจ้ ากการ มองเห็น)
3.2 ผู้สอนและผู้เรียนร่วมกันอภปิ รายและสรปุ การศกึ ษาค้นควา้ จนสรปุ ได้ ดังน้ี แสงเปน็ คลืน่
แมเ่ หลก็ ไฟฟ้าความยาวคล่นื อยู่ในชว่ งประมาณ 400-700 นาโนเมตร ซง่ึ ตามนุษย์รบั รู้ได้ และแสดงพฤติกรรม
การแทรกสอดและการเล้ียวเบนเช่นเดียวกับคลืน่ กล แนวคิดเร่ืองแสงของ นวิ ตัน (Newton) เสนอแนวคดิ วา่
แสงเป็นอนุภาค และสามารถใช้แนวคิดนีใ้ น การอธบิ ายการสะท้อนและการหกั เหของแสงได้ แนวคดิ เร่ืองแสง
ของ ธอมัส ยงั (Thomas Young) เสนอแนวคิดเรอ่ื งแสง เน่ืองจากไดท้ ำการทดลอง โดยแสดงให้เห็นว่าแสง
เกดิ การแทรกสอด และคำนวณหาความยาวคล่นื ได้
ขั้นที่ 4 ข้นั ขยายความรู้ (Expansion Phase)
4.1 ผสู้ อนอธบิ ายให้ความรูเ้ พ่มิ เตมิ ดังนี้ คลนื่ แสงหรอื เรียกส้นั ๆ ว่าแสงเปน็ คลืน่ ชนิดที่แตกต่างจาก
คล่ืนเสยี งหรอื คลื่นผิวน้ำซ่ึงเป็นคล่ืนกลท่ีต้องอาศยั ตวั กลางในการสง่ ผ่านพลงั งานสว่ นคล่ืนแสงเป็นคลนื่
แม่เหลก็ ไฟฟา้ ท่ีไมจ่ ำเปน็ ต้องอาศัยตวั กลางในการส่งผา่ นพลงั งาน คล่นื แมเ่ หลก็ ไฟฟา้ ในยา่ นทีต่ ามนษุ ย์
สามารถตอบสนองไดห้ รือในชว่ งความยาวคลน่ื ประมาณ 400-700 นาโนเมตร แสงทุกยน่ ความถ่ีเคล่ือนทด่ี ว้ ย
อตั ราเรว็ เท่ากนั ในสญุ ญากาศโดยอัตราเร็วในสญุ ญากาศมีค่าประมาณ 3 × 108 เมตรต่อวนิ าที ซ่ึงตราบ
จนถึงปัจจุบนั พบวา่ เปน็ อัตราเรว็ สูงสดุ ไม่มีคล่นื หรอื อนภุ าคใดๆ เคล่อื นท่ีในสุญญากาศดว้ ยอตั ราเรว็ หรอื
มากกว่าแสง
ขน้ั ท่ี 5 ข้นั ประเมิน (Evaluation)
5.1 ผู้เรยี นตอบคำถามเรื่อง แนวคดิ เกยี่ วกับแสงเชงิ คลนื่
7. สอื่ /แหลง่ การเรียนรู้
7.1 หนงั สือเรียนรายวชิ าเพม่ิ เตมิ วทิ ยาศาสตร์ (ฟิสิกส)์ ชัน้ มัธยมศึกษาปที ี่ 5 เล่ม 3 (ฉบับปรบั ปรุง
พ.ศ. 2560)
7.2 เอกสารประกอบการเรียนการสอน เร่อื ง แนวคดิ เกี่ยวกับแสงเชิงคลนื่
8. วิธีการวดั และประเมินผล วธิ ีการวดั และประเมนิ ผล
จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ วิธกี ารวดั เครื่องมือที่ใช้วัด เกณฑก์ ารประเมนิ
1) อธบิ ายแนวคิดเก่ียวกบั แสงเชิงคลื่นได้ การตอบคำถาม คำถาม ตอบคำถามถกู ต้องร้อย
(K) ละ 70 ข้ึนไป
2) ระบุได้วา่ แสงเป็นคลื่นแมเ่ หลก็ ไฟฟ้าท่ี
ตามองเห็นได้ (P) การตอบคำถาม คำถาม ตอบคำถามถกู ต้องร้อย
3) ใฝเ่ รยี นรู้ และมีความรับผิดชอบ (A) ละ 70 ขึ้นไป
การสง่ งานที่ได้รับ ใบกจิ กรรม/ใบงาน ผา่ นเกณฑ์ในระดบั ดี
มอบหมาย ขึน้ ไป
บกั ทกึ ผลหลงั จากการจัดการเรยี นรู้
1. ผลการจดั การเรยี นการสอน
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
2. ปญั หาและอปุ สรรคในการจัดการเรยี นการสอน
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
3. ขอ้ เสนอแนะและแนวทางการแก้ไข
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
4. บกั ทึกหลังการสอน
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงชอื่ ………………………………………………………………
(……………………………………………………………)
ผูส้ อน
5. ความคดิ เห็นของครูพีเ่ ลี้ยง
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงชอ่ื ………………………………………………………………
(……………………………………………………………)
ครูพี่เลย้ี ง
5. ความคดิ เห็นของบรหิ ารวิชาการ
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงชอื่ ………………………………………………………………
(……………………………………………………………)
ฝ่ายบริหารวชิ าการ
6. ความคิดเห็นของผ้บู ริหารสถานศกึ ษา
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงชอื่ ………………………………………………………………
(……………………………………………………………)
ผู้บริหารสถานศกึ ษา
แผนการจัดการเรยี นร้ทู ่ี 13 ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 5
เวลา 12 ช่ัวโมง
กลมุ่ สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี เวลา 3 ช่ัวโมง
หน่วยการเรยี นร้ทู ี่ 10 แสงเชงิ คล่ืน
เรื่อง การแทรกสอดของแสงผ่านผลิตคู่ ภาคเรียนท่ี 1/2565
ครูผ้สู อน นางสาวเล่ือมประภสั ร์ สารพันธ์
1. มาตรฐานการเรยี นรู้
สาระฟิสิกส์ 2 เข้าใจการเคล่อื นทีแ่ บบฮารม์ อนิกอย่างง่าย ธรรมชาติของคลน่ื เสียงและการ
ได้ยนิ ปรากฏการณท์ ่เี กีย่ วข้องกับเสยี ง แสงและการเหน็ ปรากฏการณ์ทเ่ี กยี่ วข้องกับแสง รวมทง้ั นำความรู้ไป
ใช้ประโยชน์
2. ผลการเรยี นรู้
5. ทดลอง และอธิบายการแทรกสอดของแสงผา่ นสถิตคู่และเกรตตงิ การเลยี้ วเบนและการแทรกสอด
ของแสงผา่ นสลติ เดี่ยวรวมทั้งคำนวณปรมิ าณตา่ ง ๆ ท่ีเกี่ยวขอ้ ง
3. จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้
1) อธิบายรูปแบบการแทรกสอดของแสงผ่านสถิตคู่ได้ (K)
2) นกั เรียนสามารถจดั กระทำและส่อื ความหมายของขอ้ มลู ท่ศี กึ ษาค้นคว้าได้ (P)
3) เป็นผู้มีความมุ่งมัน่ ในการทำงานและมีความรบั ผดิ ชอบ (A)
4. สาระการเรียนรู้
การแทรกสอดของแสงผ่านแสงผา่ นสถติ คู่ จากการแทรกสอดของแสงตามการทดลองของ ธอมสั ยงั
พิจารณาว่าเม่ือแสงผ่านสถิตคู่ช่องของสลิตเหมือนกับเปน็ แหล่งกำเนดิ แสงอาพนั ธ์ ทำใหเ้ กิดการแทรกสอดของ
แสง ตำาแหน่งบนฉากทแี่ ทรกสอดแบบเสริม เกดิ แถบสวา่ ง ซง่ึ มคี วามต่างระยะทาง ∆ = หรือ
sin = เมื่อ n = 0, 1, 2,.... ตำแหน่งบนฉากที่แทรกสอดแบบหักล้าง เกดิ แถบมือ ซ่ึงมีความตา่ ง
ระยะทาง ∆ = ( − 1) หรือ sin = ( − 1) เมื่อ n = 1, 2, 3, ... โดยท่คี วามกวา้ ง ของ
22
แถบสว่าง ความสว่าง และระยะระหวา่ งแถบสวา่ งจะพอๆ กนั
5. สาระสำคัญ
สลติ เปน็ อุปกรณ์ทางแสงมลี ักษณะเป็นชอ่ งเปิดขนาดเลก็ ที่มีความกวา้ งน้อยๆ ค่าหนึ่งหากมีช่องเดียว
เรียกวา่ สลติ เดยี่ ว (single slit) หากมี 2 ช่อง ใกลก้ ันเรียกว่า สลติ คู่ (double stit)
เมอื่ ใหแ้ สงเดินทางผ่านสถิตคู่ไปตกกระทบบนฉากท่ีอยู่ห่างออกไปภาพทป่ี รากฏบนฉากจะมลี กั ษณะ
เกดิ แถบสว่างและแถบมดื บนฉาก (คล้ายกับการเกดิ ปฏบิ ตั ิและบัพจากการแทรกสอดของคล่นื ผิวนำ้ )
แสงเดนิ ทางเป็นเส้นตรงเมือ่ แสงเดนิ ทางผา่ นช่องเปิด 2 ช่อง จะปรากฏเป็นแถบสว่าง 2 แถบ บนฉาก
ในแนวทีต่ รงกับช่องเปดิ 2 ช่องน้ัน
แนวคดิ หลักในการอธบิ ายปรากฏการณ์การแทรกสอดของแสง โดยช่องเลก็ ๆทำหนา้ ทเี่ ป็น
แหล่งกำเนดิ คลืน่ แสงและคลื่นแสง 2 ขบวนหรือมากกวา่ ที่เดินทางมาพบกัน ณ ตำแหน่งหนงึ่ บนฉากทำใหเ้ กดิ
การรวมคลื่นแบบเสริมและแบบหักลา้ ง พิจารณาไดจ้ ากความต่างระยะทางเดนิ ของแสงจากแหล่งกำเนิดแสงถึง
ตำแหน่ง พิจารณาในกรณีแหล่งกำเนิดอาพันธเ์ ฟสตรงกันแบบจดุ
พจิ ารณา 1 และ 2 เป็นแหลง่ กำเนดิ คลน่ื อาพนั ธแ์ บบจุด ซงึ่ อย่หู ่างกันเป็นระยะ d ทำให้ปรากฏ
แถบสวา่ ง-แถบมืดบนฉากทีอ่ ย่หู ่างออกไป
กำหนดให้ O, P และ Q เปน็ ตำแหนง่ บนฉากท่ีอยูห่ า่ งออกไปจากแหลง่ กำเนดิ คล่นื ท้งั สอง ความต่าง
ระยะทาง (∆ ) ของคลืน่ จากแหล่งกำเนิดทงั้ สองไปยงั จดุ O, P และ Q บนฉาก คือ
จากแหลง่ กำเนิดทั้งสองถงึ จุด O (∆ = | 1 − 2 |)
จากแหลง่ กำเนิดทง้ั สองถงึ จุด P (∆ = | 1 − 2 |)
จากแหลง่ กำเนิดท้งั สองถึงจุด Q (∆ = | 1 − 2 |)
นอกจากการพจิ ารณาความต่างระยะทาง สามารถพจิ ารณาความต่างเฟส (∆∅) ของคลนื่ จากสอง
แหลง่ กำเนดิ เมื่อไปถึงตำแหน่งทีพ่ จิ ารณาบนฉาก จะไดว้ ่า
กำหนดให้ 2
∆∅ = ∆ ( )
∆∅ คือ มมุ เฟสต่าง (มีหน่วยเปน็ องศา)
∆ คือ ความตา่ งระยะทาง (มหี น่วยเป็น เมตร)
คือ ความยาวคล่ืน (มีหนว่ ยเปน็ นาโนเมตร)
6. กจิ กรรมการเรียนรู้ (รูปแบบการจัดการเรยี นรู้แบบ 5E)
ข้นั ท่ี 1 ขัน้ นำเข้าสูบ่ ทเรียน (Engagement Phase)
1.1 ผู้สอนทบทวนความรู้ เรอื่ ง การแทรกสอดของคลนื่ ผวิ นำ้ สมการทีเ่ ก่ียวข้องของกบั การแทรก
สอดของคลื่นผวิ น้ำ
1.2 ผู้สอนอภิปรายเกย่ี วกับแผน่ สลติ จนสรปุ ได้ว่า เป็นอปุ กรณท์ างแสงมีลกั ษณะเป็นช่องเปิดขนาด
เล็กที่มีความกวา้ งน้อยๆ ค่าหนึ่งหากมีชอ่ งเดยี่ วเรียกว่า สลิตเดย่ี ว มีสองชอ่ ง เรยี กว่า สลติ คู่
1.3 ผูส้ อนตัง้ คำถามเพ่ือนำเข้าสกู่ ารเรียนการสอน ดงั น้ี
1) หากแสงผ่านผลิตคู่ไปตกบนฉากภาพทป่ี รากฏบนฉากจะมีลักษณะอย่างไร
(เปดิ โอกาสใหน้ ักเรียนแสดงความคิดเหน็ อย่างอิสระ ไม่คาดหวังคำตอบที่ถูกต้อง)
ขัน้ ที่ 2 ขน้ั สำรวจและค้นพบ (Exploration Phase)
2.1 ผ้สู อนใหผ้ ู้เรียนแตล่ ะคนศกึ ษาเรื่องการแทรกสอดของแสงผา่ นสถติ คู่ จากเอกสารประกอบการ
เรยี นและหนังสือเรียนการสอนเรอ่ื ง แสงเชงิ คลนื่
ขั้นที่ 3 ขนั้ อธบิ ายและลงขอ้ สรปุ ( Explanation Phase)
3.1 ผู้สอนให้ตวั แทนของผู้เรียนออกมานำเสนอส่ิงที่ตนเองไดศ้ ึกษาจากเอกสารประกอบการเรียน
และหนังสอื เรียนการสอนเรื่อง แสงเชิงคลน่ื
ขน้ั ท่ี 4 ขนั้ ขยายความรู้ (Expansion Phase)
4.1 ผู้สอนอธบิ ายให้ความรูเ้ พ่มิ เตมิ ดังนี้
1. เม่ือใหแ้ สงเดนิ ทางผา่ นสถิตคไู่ ปตกกระทบบนฉากท่ีอยู่ห่างออกไป ภาพทป่ี รากฏบนฉากจะมี ลกั ษณะเกิด
แถบสวา่ งและแถบมดื บนฉาก (คล้ายกับการเกดิ ปฏิบตั แิ ละบพั จากการแทรกสอดของคลื่นผวิ น้ำ)
2. แนวคิดหลกั ในการอธิบายปรากฏการณ์การแทรกสอดของแสง โดยช่องเล็กๆ ทำหนา้ ท่ีเป็น แหล่งกำาเนิด
คล่นื แสง และคลื่นแสง 2 ขบวนหรอื มากกว่าท่ีเดนิ ทางมาพบกนั ณ ตำแหนง่ หนึ่งบนฉาก ทำใหเ้ กิดการ รวม
คล่ืนแบบเสรมิ และแบบหกั ลา้ ง พิจารณาไดจ้ ากความตา่ งระยะทางเดินของแสงจากแหล่งกำเนิดแสงถึง
ตำแหน่ง พิจารณา ในกรณีแหลง่ กำเนดิ อาพนั ธ์เฟสตรงกนั แบบจดุ
3. พิจารณา 1 และ 2 เปน็ แหลง่ กำเนิดคลื่นอาพันธแ์ บบจุด ซ่ึงอยหู่ า่ งกนั เป็นระยะ d ทำให้ปรากฏ
แถบสวา่ ง-แถบมืดบนฉากทอี่ ย่หู า่ งออกไป
กำหนดให้ O, P และ Q เป็นตำแหนง่ บนฉากท่ีอยู่ห่างออกไปจากแหลง่ กำเนดิ คล่ืนท้งั สอง ความตา่ ง
ระยะทาง (∆ ) ของคลนื่ จากแหลง่ กำเนดิ ทั้งสองไปยังจดุ O, P และ Q บนฉาก คือ
จากแหล่งกำเนิดทงั้ สองถงึ จดุ O (∆ = | 1 − 2 |)
จากแหล่งกำเนิดท้ังสองถงึ จดุ P (∆ = | 1 − 2 |)
จากแหลง่ กำเนิดทั้งสองถงึ จุด Q (∆ = | 1 − 2 |)
นอกจากการพิจารณาความต่างระยะทาง สามารถพิจารณาความตา่ งเฟส (∆∅) ของคลนื่ จากสอง
แหล่งกำเนิดเมื่อไปถึงตำแหน่งที่พิจารณาบนฉาก จะได้ว่า
กำหนดให้ 2
∆∅ = ∆ ( )
∆∅ คอื มมุ เฟสต่าง (มีหนว่ ยเป็น องศา)
∆ คอื ความตา่ งระยะทาง (มหี นว่ ยเป็น เมตร)
คอื ความยาวคล่ืน (มีหน่วยเปน็ นาโนเมตร)
ขัน้ ที่ 5 ข้ันประเมิน (Evaluation)
5.1 ผู้เรียนส่งแบบฝึก การแทรกสอดของแสงผ่านสถิตคู่
5.2 ผู้เรยี นตอบคำถามเรื่อง การแทรกสอดของแสงผา่ นผลติ คู่
7. สือ่ /แหลง่ การเรยี นรู้
7.1 หนังสอื เรยี นรายวชิ าเพม่ิ เติมวทิ ยาศาสตร์ (ฟิสกิ ส์) ชน้ั มัธยมศกึ ษาปีท่ี 5 เล่ม 3 (ฉบับปรับปรงุ
พ.ศ.2560)
7.2 เอกสารประกอบการเรยี นการสอนเร่ือง การแทรกสอดของแสงผา่ นสถิตคู่
8. วธิ ีการวดั และประเมนิ ผล
จุดประสงค์การเรียนรู้ วิธกี ารวดั และประเมินผล
วิธกี ารวดั เครอ่ื งมือที่ใช้วดั เกณฑก์ ารประเมิน
1) อธิบายรูปแบบการแทรกสอดของแสง การตอบคำถาม คำถาม ตอบคำถามถกู ต้องร้อย
ผา่ นสถติ คู่ได้ (K) ละ 70 ขึน้ ไป
2) นกั เรยี นสามารถจัดกระทำและส่ือ แบบฝึกหัด เรือ่ ง แบบฝึกหดั ตอบคำถามถกู ต้องร้อย
ความหมายของข้อมลู ทศ่ี ึกษาคน้ คว้าได้ การแทรกสอดของ ละ 70 ขน้ึ ไป
(P)
แสงผา่ นสถิตคู่
3) เป็นผูม้ ีความมุ่งมัน่ ในการทำงานและมี สงั เกตพฤตกิ รรมใน แบบสังเกต ผ่านเกณฑ์ในระดบั ดี
ความรบั ผดิ ชอบ (A) ชน้ั เรียน พฤติกรรม ขึ้นไป
บกั ทกึ ผลหลงั จากการจัดการเรยี นรู้
1. ผลการจดั การเรยี นการสอน
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
2. ปญั หาและอปุ สรรคในการจัดการเรยี นการสอน
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
3. ขอ้ เสนอแนะและแนวทางการแก้ไข
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
4. บกั ทึกหลังการสอน
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงชอื่ ………………………………………………………………
(……………………………………………………………)
ผูส้ อน
5. ความคดิ เห็นของครูพีเ่ ลี้ยง
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงชอ่ื ………………………………………………………………
(……………………………………………………………)
ครูพี่เลย้ี ง
5. ความคดิ เห็นของบรหิ ารวิชาการ
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงชอื่ ………………………………………………………………
(……………………………………………………………)
ฝ่ายบริหารวชิ าการ
6. ความคิดเห็นของผ้บู ริหารสถานศกึ ษา
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงชอื่ ………………………………………………………………
(……………………………………………………………)
ผู้บริหารสถานศกึ ษา
แบบสงั เกตพฤตกิ รรมในชั้นเรียน
คำชี้แจง: ใหค้ ะแนน 1-3 ทตี่ รงกบั ระดบั พฤตกิ รรมท่นี ักเรียนแสดงออกตามเกณฑ์การประเมนิ ท่ีกำหนด
พฤติกรรมทีส่ ังเกต กล่มุ ที่
12345
1. เขา้ ห้องเรยี นตรงเวลา
2. มีสว่ นร่วมในการแสดงความคิดเห็น
3. มคี วามกระตือรือร้นในการทำกจิ กรรม
4. มีการช่วยเหลอื กัน
5. รบั ผดิ ชอบในงานทีไ่ ดร้ ับมอบหมาย
รวม
เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน
พฤติกรรมท่ีทำเปน็ ประจำ 3 คะแนน
พฤติกรรมท่ีทำเป็นบางครงั้ 2 คะแนน
พฤติกรรมทีท่ ำน้อยครั้ง 1 คะแนน
คะแนนตัดสนิ ระดบั คณุ ภาพ
ชว่ งคะแนน ระดับคุณภาพ สรุปผลการประเมินผลทั้งชั้นเรียน
11-15 ดี อย่ใู นเกณฑ์………………………….
ผา่ น ไม่ผ่าน
6-10 พอใช้
1-5 ปรับปรงุ
ลงชื่อ………………………………………………………………
(……………………………………………………………)
ผู้สอน
แผนการจดั การเรียนรูท้ ี่ 14 ชั้นมธั ยมศึกษาปีที่ 5
เวลา 12 ช่ัวโมง
กล่มุ สาระการเรียนร้วู ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี เวลา 3 ชั่วโมง
หน่วยการเรยี นรู้ที่ 10 แสงเชงิ คลนื่
เรื่อง การเล้ยี วเบนของแสงผ่านสลติ เด่ยี ว ภาคเรียนท่ี 1/2565
ครผู ู้สอน นางสาวเลือ่ มประภสั ร์ สารพนั ธ์
1. มาตรฐานการเรียนรู้
สาระฟสิ กิ ส์ 2 เข้าใจการเคลือ่ นทแ่ี บบฮาร์มอนิกอย่างงา่ ย ธรรมชาตขิ องคล่ืน เสียงและการ
ได้ยนิ ปรากฏการณ์ทีเ่ ก่ยี วขอ้ งกับเสียง แสงและการเห็น ปรากฏการณ์ท่เี ก่ียวข้องกับแสง รวมท้ังนาความรู้ไป
ใชป้ ระโยชน์
2. ผลการเรยี นรู้
5. ทดลอง และอธิบายการแทรกสอดของแสงผา่ นสลิตคแู่ ละเกรตตงิ การเลย้ี วเบนและการแทรกสอด
ของแสงผา่ นสลิตเด่ียวรวมทั้งคานวณปรมิ าณตา่ ง ๆ ท่ีเก่ยี วขอ้ ง
3. จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้
1) อธิบายรปู แบบการเล้ียวเบนของแสงผ่านสลิตเด่ียวที่มคี วามกว้างขนาดตา่ งๆได้ (K)
2) คานวณหาปรมิ าณต่างๆ ท่ีเกยี่ วข้องกบั การเลย้ี วเบนของแสงผ่านสลิตเดีย่ วได้ (P)
3) เปน็ ผู้มคี วามมงุ่ มน่ั ในการทางานและมีความรบั ผิดชอบ (A)
4. สาระการเรยี นรู้
การเล้ียวเบนของแสงผ่านสลิตเดี่ยวเมอื่ ฉายแสงผา่ นสลติ เดี่ยวจะเกดิ การเลีย้ วเบนและการแทรกสอด
ของแสงเกดิ แถบสวา่ งและแถบมืดบนฉาก โดยแถบสวา่ งกลางกวา้ งและสวา่ งที่สุดแถบสว่างดา้ นข้างทง้ั สองจะ
มคี วามสวา่ งลดลงตามลาดบั ตาแหนง่ ท่เี ปน็ แถบมืดพจิ ารณาโดยแบง่ ชอ่ งสลติ ออกเปน็ สว่ นๆแล้วใช้หลักการ
ของฮอยเกนส์กาหนดจุดบนหน้าคลื่นทผี่ า่ นสลติ แต่ละสว่ นเปน็ แหล่งกาเนิดคล่ืนทจ่ี บั คู่กันแลว้ หักลา้ งกนั ซงึ่ ทา
ให้ไดค้ วามสัมพนั ธ์ ดังนี้ n= 1, 2, ...
ทงั้ สลิตคูแ่ ละสลติ เดย่ี ว ถา้ สถิตอยหู่ า่ งฉากมากๆ และค่ามุม ทาให้
โดยสลติ คู่สามารถใชค้ วามสัมพันธ์ เมอ่ื n = 0,1,2,… และ ()
เม่อื n = 1, 2, ... ในการหาแถบสว่าง และแถบมืดตามลาดับและสาหรบั สลติ เดย่ี วใช้
เมอ่ื n = 1,2, ... ในการหาแถบมืด
5. สาระสาคัญ
การเล้ียวเบนของแสงผ่านสลติ เดยี่ ว พบวา่ แถบสว่างท่ปี รากฏบนฉากมีขนาดใหญ่กว่าชอ่ งแสดงว่า
แสงมกี ารเล้ียวเบนผ่านสลิตเดี่ยวเหน็ แถบสวา่ งและแถบมืดบนฉากคล้ายกับกรณีการแทรกสอดของแสงผา่ น
สลิตคู่แตแ่ ตกต่างกันคือแถบสวา่ งกลางมีความกว้างและมีความเขม้ แสงมากกว่าแถบสวา่ งอื่นๆ และความกวา้ ง
ของแถบสว่างกลางเพิม่ ขนึ้ เม่ือความกว้างของสลติ เดย่ี วลดลง และระยะระหวา่ งแถบสว่างอน่ื ๆ เพ่ิมข้นึ การเกิด
แถบสวา่ งแถบมืดทีป่ รากฏบนฉากเปน็ ผลมาจากการที่แสงเล้ยี วเบนช่องแคบไปแทรกสอดกนั ซึ่งมแี หล่งกาเนดิ
แสงอาพันธ์อยา่ งน้อยสองแหลง่ กาเนิดแสงเดนิ ทางมาแทรกสอดกันเงื่อนไขการเกิดแถบสวา่ งแถบมืดจะเหมือน
หรอื แตกต่างกนั กบั การแทรกสอดของแสงจากสลิตคู่
6. กจิ กรรมการเรยี นรู้ (รูปแบบการจดั การเรยี นรู้แบบ 5E)
ข้ันที่ 1 ขน้ั นาเขา้ ส่บู ทเรียน (Engagement Phase)
1.1 ผู้สอนทบทวนความร้เู ดิม เร่อื ง การแทรกสอดของแสงผ่านสลิตคแู่ ละสมการที่เกย่ี วขอ้ ง
1.2 ผสู้ อนตงั้ คาถามเพือ่ เขา้ สู่การการเรียนการสอน ดังนี้
1) นักเรยี นคดิ วา่ เม่ือฉายแสงผ่านสลิตเดยี่ วจะเกิดปรากฏการณใ์ ด
2) นกั เรยี นคดิ วา่ จะเกดิ แถบสวา่ งและแถบมืดบนฉากหรอื ไม่
3) นกั เรยี นคดิ ว่าแถบสว่างกลางจะมกี ว้างและสว่างเป็นอยา่ งไร
4) นักเรยี นคิดว่าแถบสว่างดา้ นข้างทัง้ สองของแถบสว่างจะมีความสว่างเป็นอย่างไร
(เปิดโอกาสใหน้ ักเรียนแสดงความคิดเหน็ อยา่ งอสิ ระ ไม่คาดหวังคาตอบที่ถูกต้อง)
ขน้ั ท่ี 2 ขัน้ สารวจและค้นพบ (Exploration Phase)
2.1 ผูส้ อนให้ผู้เรยี นแตล่ ะกลุ่มศึกษาเนอ้ื หาเร่ืองการเลีย้ วเบนของแสงผ่านสลิตเด่ยี วจากหนงั สอื เรยี น
และเอกสารประกอบการเรยี นการสอน
2.2 ผสู้ อนแนะนาการสบื คน้ ขอ้ มลู ให้กบั ผู้เรยี นเก่ียวกบั การเลยี้ วเบนของแสงผ่านสลติ เด่ียวจาก
แหล่งขอ้ มูลอื่นๆ เช่นอินเทอร์เน็ต
ขั้นท่ี 3 ขั้นอธิบายและลงขอ้ สรุป ( Explanation Phase)
3.1 ผู้สอนอภิปรายเพื่อนาไปส่กู ารสรปุ โดยใช้คาถามต่อไปนี้
1) นกั เรยี นแตล่ ะกลมุ่ ไดผ้ ลการทากิจกรรมเหมือนหรอื แตกต่างกนั อย่างไร
(แนวคาตอบ ได้ผลเหมือนกนั )
2) ขนาดแถบสว่างทปี่ รากฏบนฉากเปรียบเทยี บกบั ขนาดของสลติ เดี่ยวเป็นอย่างไร
(แนวคาตอบ ขนาดแถบสว่างทป่ี รากฏบนฉากมขี นาดกวา้ งกว่าความกว้างของสลิตเดี่ยว)
3) ภาพบนฉากในกรณีที่ใช้สลิตเดย่ี วทค่ี วามกวา้ งตา่ งกนั มีลกั ษณะอยา่ งไร และเหมือนหรือแตกตา่ งกนั อยา่ งไร
(แนวคาตอบ ภาพบนฉากมลี ักษณะเหมือนกันคือปรากฏแถบสวา่ งและแถบมืดสลับกนั บนฉากโดย
แถบสว่างกลางมีความสว่างและความกวา้ งมากกวา่ แถบสว่างที่อยู่ถดั ไปทงั้ สองด้าน แตกตา่ งกนั คือเมื่อความ
กว้างของสลติ เดย่ี วมากขึ้นแถบสว่างจะมคี วามกว้างนอ้ ยลงและอยูช่ ดิ กันมากขนึ้ )
4) แถบสวา่ งและแถบมืดทปี่ รากฏบนฉากเหมือนหรือแตกต่างจากสลิตคู่อย่างไร
(แนวคาตอบ แตกต่างกนั โดยแถบสว่างกลางซึ่งเกิดจากสลิตเด่ียวมคี วามกวา้ งมากกว่าแถบสวา่ งอนื่ ๆ
อยา่ งเห็นได้ชดั แต่แถบสว่างที่เกิดจากผลติ คู่มีขนาดความกว้างเทา่ ๆกัน)
3.2 ผเู้ รียนและผูส้ อนรว่ มกันอภิปรายและสรุปผลการทาการทดลองจนได้ผลสรุป ดังน้ี จากการทา
การทดลองพบวา่ เม่อื แสงเลเซอร์ผ่านสลิตเดี่ยว ปรากฏแถบสวา่ งกลางกว้างมากกว่าความกว้างของสลติ
แสดงว่าแสงมีการเล้ียวเบน ลวดลายการแทรกสอดที่ปรากฏเมือ่ แสงเลเซอร์ผ่านสลติ เดีย่ วน้นั แถบสวา่ งกลาง
จะมีความกว้างมากกวา่ แถบสว่างอ่นื เมอ่ื เปล่ียนสลติ โดยใหค้ วามกวา้ งของสลิตมีขนาดมากขึน้ แถบสว่างท่ี
ปรากฏจะมีความกวา้ งลดลง
ขน้ั ที่ 4 ขั้นขยายความรู้ (Expansion Phase)
4.1 ผูส้ อนอธิบายใหค้ วามรเู้ พ่มิ เติม ดังน้ี
การเลี้ยวเบนของแสงผา่ นสลิตเด่ียว พบว่า แถบสว่างทีป่ รากฏบนฉากมีขนาดใหญ่กว่าชอ่ งแสดงวา่
แสงมีการเลีย้ วเบนผา่ นสลติ เดี่ยวเห็นแถบสวา่ งและแถบมืดบนฉากคล้ายกบั กรณกี ารแทรกสอดของแสงผา่ น
สลิตคู่แต่แตกตา่ งกันคือแถบสว่างกลางมีความกวา้ งและมีความเข้มแสงมากกว่าแถบสวา่ งอืน่ ๆ และความกวา้ ง
ของแถบสวา่ งกลางเพิม่ ข้นึ เม่ือความกวา้ งของสลติ เดีย่ วลดลง และระยะระหวา่ งแถบสวา่ งอ่นื ๆ เพม่ิ ข้ึน
การเกดิ แถบสวา่ งแถบมืด ท่ีปรากฏบนฉากเปน็ ผลมาจากการทแี่ สงเลีย้ วเบนชอ่ งแคบไปแทรกสอด
กนั ซงึ่ มีแหล่งกาเนิดแสงอาพันธ์อย่างน้อยสองแหลง่ กาเนดิ แสงเดินทางมาแทรกสอดกันเงือ่ นไขการเกิด
แถบสว่างแถบมืดจะเหมือนหรือแตกต่างกันกับการแทรกสอดของแสงจากสลติ คู่
4.2 ผสู้ อนถามคาถามชวนคดิ
1. เพราะเหตใุ ดการเล้ียวเบนของแสงจึงพบเห็นได้ยากแต่การเลยี้ วเบนของคลื่นนา้ จึงพบไดท้ ่ัวไป
(แนวคาตอบ คล่นื ทีม่ ีความยาวคลื่นมากเกิดการเลย้ี วเบนได้มากกวา่ คลน่ื ทม่ี ีความยาวคลื่นน้อยคลื่น
นา้ มี ความยาวคลื่นมากกวา่ ความยาวคล่นื ของแสงมากจงึ พบการเล้ยี วเบนของคลนื่ นา้ ในธรรมชาตงิ า่ ยกว่า
คลื่นแสง)
ขน้ั ท่ี 5 ข้นั ประเมิน (Evaluation)
5.1 ผู้เรียนสง่ ใบแบบฝกึ เรือ่ ง การเลีย้ วเบนของแสง
7. ส่อื /แหล่งการเรียนรู้
7.1 หนังสอื เรยี นรายวชิ าเพม่ิ เตมิ วทิ ยาศาสตร์ (ฟสิ กิ ส์) ช้นั มธั ยมศึกษาปที ่ี 5 เลม่ 3 (ฉบับปรับปรุง
พ.ศ.2560)
7.2 เอกสารประกอบการเรยี นการสอนเรื่อง การเลี้ยวเบนของแสง
8. วธิ กี ารวดั และประเมินผล
จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ วิธกี ารวดั และประเมินผล
วิธกี ารวดั เครือ่ งมือทใ่ี ช้วดั เกณฑก์ ารประเมิน
1) อธบิ ายรปู แบบการเลย้ี วเบนของแสง คาถาม ตอบคาถามถูกต้องร้อย
ผ่านสลิตเด่ยี วท่มี คี วามกวา้ งขนาดต่างๆได้ การตอบคาถาม ละ 70 ขึ้นไป
(K)
2) คานวณหาปริมาณต่างๆ ท่ีเกยี่ วขอ้ ง แบบฝึกหดั เรอื่ ง แบบฝึกหดั ตอบคาถามถูกต้องร้อย
กบั การเล้ยี วเบนของแสงผ่านสลติ เด่ยี วได้ การเลีย้ วเบนของ ละ 70 ข้นึ ไป
(P) แสง
3) เป็นผูม้ ีความมงุ่ มน่ั ในการทางานและมี สังเกตพฤติกรรมใน แบบสังเกต ผา่ นเกณฑ์ในระดบั ดี
ความรบั ผิดชอบ (A) ชัน้ เรยี น พฤติกรรม ข้นึ ไป
บกั ทกึ ผลหลงั จากการจัดการเรยี นรู้
1. ผลการจดั การเรยี นการสอน
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
2. ปญั หาและอปุ สรรคในการจัดการเรียนการสอน
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
3. ขอ้ เสนอแนะและแนวทางการแก้ไข
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
4. บกั ทึกหลงั การสอน
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงชื่อ………………………………………………………………
(……………………………………………………………)
ผูส้ อน
5. ความคดิ เหน็ ของครูพีเ่ ลี้ยง
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงชื่อ………………………………………………………………
(……………………………………………………………)
ครูพ่เี ลย้ี ง
5. ความคดิ เห็นของบรหิ ารวิชาการ
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงชอื่ ………………………………………………………………
(……………………………………………………………)
ฝา่ ยบริหารวิชาการ
6. ความคดิ เห็นของผบู้ ริหารสถานศึกษา
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงชอื่ ………………………………………………………………
(……………………………………………………………)
ผู้บริหารสถานศกึ ษา
แบบสงั เกตพฤติกรรมในชน้ั เรยี น
คาชีแ้ จง: ใหค้ ะแนน 1-3 ที่ตรงกบั ระดบั พฤตกิ รรมท่นี กั เรียนแสดงออกตามเกณฑ์การประเมินท่ีกาหนด
พฤติกรรมท่สี ังเกต กล่มุ ท่ี
12345
1. เขา้ หอ้ งเรยี นตรงเวลา
2. มสี ่วนร่วมในการแสดงความคิดเหน็
3. มีความกระตือรือร้นในการทากจิ กรรม
4. มกี ารช่วยเหลือกนั
5. รับผิดชอบในงานท่ไี ดร้ ับมอบหมาย
รวม
เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน
พฤติกรรมทท่ี าเป็นประจา 3 คะแนน
พฤติกรรมทที่ าเป็นบางครง้ั 2 คะแนน
พฤติกรรมท่ีทาน้อยคร้ัง 1 คะแนน
คะแนนตัดสนิ ระดบั คุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดบั คุณภาพ สรปุ ผลการประเมินผลทัง้ ชนั้ เรียน
อยู่ในเกณฑ์………………………….
11-15 ดี ผ่าน ไม่ผ่าน
6-10 พอใช้
1-5 ปรับปรงุ
ลงชื่อ………………………………………………………………
(……………………………………………………………)
ผ้สู อน
แผนการจดั การเรยี นรู้ท่ี 15 ชน้ั มธั ยมศึกษาปีที่ 5
เวลา 12 ช่วั โมง
กลุม่ สาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี เวลา 3 ชั่วโมง
หนว่ ยการเรียนร้ทู ่ี 10 แสงเชงิ คลนื่
เรือ่ ง การเลยี้ วเบนของแสงผ่านเกรตตงิ ภาคเรียนที่ 1/2565
ครผู ูส้ อน นางสาวเลือ่ มประภัสร์ สารพนั ธ์
1. มาตรฐานการเรยี นรู้
สาระฟสิ ิกส์ 2 เขา้ ใจการเคล่อื นทแี่ บบฮารม์ อนิกอยา่ งง่าย ธรรมชาตขิ องคลื่น เสียงและการ
ได้ยินปรากฏการณท์ เ่ี ก่ียวข้องกับเสียง แสงและการเหน็ ปรากฏการณ์ทีเ่ กยี่ วข้องกับแสง รวมท้ังนาความรู้ไป
ใชป้ ระโยชน์
2. ผลการเรยี นรู้
5. ทดลอง และอธิบายการแทรกสอดของแสงผา่ นสลิตคแู่ ละเกรตติงการเล้ียวเบนและการแทรกสอด
ของแสงผา่ นสลติ เดีย่ วรวมท้ังคานวณปรมิ าณต่าง ๆ ทเี่ ก่ียวข้อง
3. จุดประสงคก์ ารเรียนรู้
1) อธบิ ายรปู แบบการเล้ยี วเบนของแสงผา่ นเกรตติงได้ (K)
2) คานวณหาคลื่นแสงและปรมิ าณตา่ งๆ ที่เกี่ยวข้องโดยใช้เกรตตงิ (P)
3) เปน็ ผู้มีความมงุ่ ม่ันในการทางานและมีความรบั ผดิ ชอบ (A)
4. สาระการเรยี นรู้
เกรตตงิ เป็นอปุ กรณ์ทางแสงที่ประกอบดว้ ยช่องแคบจานวนมากเม่ือแสงผา่ นจะเลีย้ วเบนทาใหแ้ สงแต่
ละสีแยกออกจากกนั เนือ่ งจากแสงแตล่ ะสเี ล้ียวเบนในมุมทีต่ ่างกันหาตาแหน่งของแสงแต่ละสีจากความสัมพันธ์
หรอื เม่อื n = 0,1,2,……..
5. สาระสาคญั
อุปกรณ์ทางแสงทมี่ ชี ่องเลก็ ๆ หลายๆ ชอ่ งและระยะห่างแต่ละช่องเทา่ กัน เรยี กว่า เกรตติง (grating)
โดยบางคร้งั ใชค้ าวา่ เสน้ แทนช่อง ระยะระหว่างช่อง (d) หาไดจ้ าก
ความกว้างของเกรตติง
จานวนเสน้ ของเกรตตงิ
หาตาแหน่งของแสงแตล่ ะสีจากความสัมพนั ธ์ หรอื เมื่อ
n = 0,1,2,……
เม่ือแสงขาวผ่านเกรตติง แสงท่ีเบนจากแนวกลางมากทส่ี ุดคอื แสงสีแดงและแสงทเ่ี บนจากแนวกลาง
นอ้ ยที่สดุ คือแสงสมี ่วงโดยแสงสีตา่ งๆ มีความยาวคล่นื ดงั ตาราง
แสงสี ความยาวคล่ืน (นาโนเมตร)
ม่วง 390-425
น้าเงนิ 425-500
เขยี ว 500-575
เหลือง 575-585
แสด 585-620
แดง 620-740
6. กิจกรรมการเรยี นรู้ (รปู แบบการจัดการเรียนรแู้ บบ 5E)
ขน้ั ท่ี 1 ขนั้ นาเขา้ ส่บู ทเรียน (Engagement Phase)
1.1 ผสู้ อนทบทวนความรเู้ ดิม เร่อื ง การเกิดแถบมดื แถบสว่าง จากสลิตคแู่ ละสลิตเดยี่ วและเกยี่ วกบั
เกรตตงิ และการหาระยะห่างระหว่างช่องและทีม่ าของสมการตามรายละเอยี ดในหนังสือเรียน จนสรปุ ได้ว่า
แสงขาวเม่ือผา่ นเกรตติงจะเกิดแถบสว่างของแสงสีตา่ ง ๆ ณ ตาแหน่งตา่ งกนั และสามารถนามาหาความยาว
คลน่ื ของแสงแตล่ ะสีได้
1.2 ผู้สอนตัง้ คาถามเพ่ือนาเข้าส่กู ารเรียนการสอน
1) ความยาวคล่ืนแสงแตล่ ะสีมคี ่าเท่ากนั หรือไม่
2) สามารถหาความยาวคลนื่ ของแสงเลเซอร์พอยเตอรส์ แี ดงโดยใชเ้ กรตติงได้หรือไม่
3) คา่ ความยาวคลื่นของแสงสแี ดงมีค่าเท่าใด
ขน้ั ที่ 2 ขน้ั สารวจและค้นพบ (Exploration Phase)
2.1 ผูส้ อนใหผ้ เู้ รยี นแต่ละกลมุ่ ศึกษาเน้ือหาเรอ่ื งความยาวคลื่นของแสงจากหนงั สือเรียนและเอกสาร
ประกอบการเรียนการสอน
2.2 ผสู้ อนแนะนาให้ผู้เรยี นสบื ค้นข้อมูลเกีย่ วกับความยาวคลนื่ ของแสงจากแหลง่ ข้อมูลอน่ื ๆเชน่
อนิ เทอรเ์ นต็ โดยเนน้ ย้าให้ผู้เรยี นพิจารณาความนา่ เชือ่ ถอื ของแหล่งขอ้ มลู
ขั้นท่ี 3 ขน้ั อธบิ ายและลงขอ้ สรปุ ( Explanation Phase)
3.2 ผู้สอนและผเู้ รียนร่วมกันอภปิ รายโดยใช้คาถาม จนได้ข้อสรปุ รว่ มกัน ดงั นี้
1) แสงสีใดมกี ารเบนจากเส้นแนวกลางมากท่สี ดุ และน้อยท่ีสดุ
(แนวคาตอบ แสงสแี ดงเบนจากแนวกลางมากทส่ี ดุ แสงสมี ่วงเบนจากแนวกลางน้อยที่สดุ )
ขน้ั ที่ 4 ขนั้ ขยายความรู้ (Expansion Phase)
4.1 ผู้สอนอธบิ ายให้ความรู้เพม่ิ เตมิ ดังน้ี
เม่ือแสงขาวผ่านเกรตติง แสงท่ีเบนจากแนวกลางมากทสี่ ดุ คือ แสงสีแดงและแสงทเ่ี บนจากแนวกลาง
นอ้ ยท่ีสุดคือแสงสีม่วง โดยแสงสีต่างๆ มีความยาวคล่นื ดังตาราง
แสงสี ความยาวคลืน่ (นาโนเมตร)
ม่วง 390-425
น้าเงิน 425-500
เขียว 500-575
เหลือง 575-585
แสด 585-620
แดง 620-740
4.2 ผู้สอนอธบิ ายใหค้ วามร้เู พ่มิ เติม การเกิดสบี นฟองสบู่ การเกิดสีร้งุ บนแผน่ ซีดี (CD-ROM) ตาม
หนังสือเรียน
ข้ันที่ 5 ขั้นประเมิน (Evaluation)
5.1 ผู้เรียนทาแบบฝึก เร่ือง หาความยาวคลนื่ ของแสง ได้
7. สือ่ /แหลง่ การเรยี นรู้
7.1 หนงั สือเรยี นรายวชิ าเพมิ่ เตมิ วิทยาศาสตร์ (ฟิสิกส)์ ช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 5 เล่ม 3 (ฉบับปรับปรุง
พ.ศ.2560)
7.2 เอกสารประกอบการเรยี นการสอนเรื่อง การทดลองหาความยาวคล่ืนของแสง
8. วธิ กี ารวัดและประเมนิ ผล
จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ วิธกี ารวดั และประเมินผล
วธิ กี ารวัด เครือ่ งมือทใ่ี ช้วดั เกณฑก์ ารประเมนิ
1) อธบิ ายรูปแบบการเลีย้ วเบนของแสง การตอบคาถาม คาถาม ตอบคาถามถูกต้องร้อย
ผา่ นเกรตตงิ ได้ (K) ละ 70 ข้นึ ไป
2) คานวณหาคล่ืนแสงและปริมาณตา่ งๆ การทดลองหา ตอบคาถามถูกต้องร้อย
ละ 70 ขนึ้ ไป
ทเี่ ก่ยี วข้องโดยใช้เกรตตงิ (P) ความยาวคล่นื ของ การทดลอง
แสง
3) เป็นผูม้ คี วามมงุ่ ม่ันในการทางานและมี สงั เกตพฤตกิ รรมใน แบบสังเกต ผ่านเกณฑ์ในระดับดี
ความรบั ผิดชอบ (A) ชัน้ เรียน พฤติกรรม ข้ึนไป
บกั ทกึ ผลหลงั จากการจัดการเรยี นรู้
1. ผลการจดั การเรยี นการสอน
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
2. ปญั หาและอปุ สรรคในการจัดการเรียนการสอน
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
3. ขอ้ เสนอแนะและแนวทางการแก้ไข
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
4. บกั ทึกหลงั การสอน
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงชื่อ………………………………………………………………
(……………………………………………………………)
ผูส้ อน
5. ความคดิ เหน็ ของครูพีเ่ ลี้ยง
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงชื่อ………………………………………………………………
(……………………………………………………………)
ครูพ่เี ลย้ี ง
5. ความคดิ เห็นของบรหิ ารวิชาการ
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงชอื่ ………………………………………………………………
(……………………………………………………………)
ฝา่ ยบริหารวิชาการ
6. ความคดิ เห็นของผบู้ ริหารสถานศึกษา
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงชอื่ ………………………………………………………………
(……………………………………………………………)
ผู้บริหารสถานศกึ ษา
แบบสงั เกตพฤติกรรมในชน้ั เรยี น
คาชีแ้ จง: ใหค้ ะแนน 1-3 ที่ตรงกบั ระดบั พฤตกิ รรมท่นี กั เรียนแสดงออกตามเกณฑ์การประเมินท่ีกาหนด
พฤติกรรมท่สี ังเกต กล่มุ ท่ี
12345
1. เขา้ หอ้ งเรยี นตรงเวลา
2. มสี ่วนร่วมในการแสดงความคิดเหน็
3. มีความกระตือรือร้นในการทากจิ กรรม
4. มกี ารช่วยเหลือกนั
5. รับผิดชอบในงานท่ไี ดร้ ับมอบหมาย
รวม
เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน
พฤติกรรมทท่ี าเป็นประจา 3 คะแนน
พฤติกรรมทที่ าเป็นบางครง้ั 2 คะแนน
พฤติกรรมท่ีทาน้อยคร้ัง 1 คะแนน
คะแนนตัดสนิ ระดบั คุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดบั คุณภาพ สรปุ ผลการประเมินผลทัง้ ชนั้ เรียน
อยู่ในเกณฑ์………………………….
11-15 ดี ผ่าน ไม่ผ่าน
6-10 พอใช้
1-5 ปรับปรงุ
ลงชื่อ………………………………………………………………
(……………………………………………………………)
ผ้สู อน
แผนการจัดการเรยี นรู้ที่ 16 ช้ันมธั ยมศกึ ษาปีที่ 5
กลุ่มสาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เวลา 12 ชั่วโมง
หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี 11 แสงเชิงรังสี เวลา 3 ช่วั โมง
เรือ่ ง การสะท้อนของแสง
ครผู ู้สอน นางสาวเล่ือมประภสั ร์ สารพนั ธ์ ภาคเรียนที่ 1/2565
1. มาตรฐานการเรียนรู้
สาระฟิสิกส์ 2 เขา้ ใจการเคลื่อนทแ่ี บบฮาร์มอนกิ อยา่ งงา่ ย ธรรมชาติของคล่นื เสียงและการ
ไดย้ ินปรากฏการณท์ ี่เก่ียวขอ้ งกบั เสียง แสงและการเห็น ปรากฏการณ์ทเี่ ก่ียวข้องกับแสง รวมทั้งนาความรู้ไป
ใช้ประโยชน์
2. ผลการเรยี นรู้
6. ทดลองและอธิบายการสะทอ้ นของแสงทผ่ี ิววตั ถุตามกฎการสะท้อน เขยี นรงั สีของแสงและ
คานวณตาแหนง่ และขนาดภาพของวัตถุเม่ือแสงตกกระทบกระจกเงาราบและกระจกเงาทรงกลม รวมทั้ง
อธิบายการนาความรเู้ ร่ืองการสะท้อนของแสงจากกระจกเงาราบและกระจกเงาทรงกลมไปใช้ประโยชนใ์ น
ชวี ิตประจาวัน
3. จุดประสงคก์ ารเรียนรู้
1) อธบิ ายการสะทอ้ นของแสง และกฎการสะท้อนของแสงได้ (K)
2) คานวณหาการสะท้อนของแสงได้ (P)
3) เป็นผู้มคี วามม่งุ มนั่ ในการทางานและมีความรบั ผิดชอบ (A)
4. สาระการเรยี นรู้
การสะท้อนของแสง (reflection of light) เปน็ ปรากฏการณ์ทแ่ี สงเดินทางจากตวั กลางที่มคี วาม
หนาแนน่ ค่าหน่งึ มายังตัวกลางท่ีมีคา่ ความหนาแนน่ อกี ตัวหนง่ึ ทาใหแ้ สงตกกระทบกบั ตัวกลางใหมแ่ ลว้ สะท้อน
กลบั สู่ตัวกลางเดมิ เมอื่ แสงตกกระทบผิววตั ถุจะเกดิ การสะท้อนของแสง โดยเปน็ ไปตามกฎการสะท้อน ดงั นี้
1. มมุ ตกกระทบกับมุมสะท้อน
2. รังสีตกกระทบ รังสสี ะท้อน และเส้นแนวฉากอยูใ่ นระนาบเดียวกนั
5. สาระสาคัญ
การสะท้อนของแสง (reflection of light) เปน็ ปรากฏการณ์ท่แี สงเดนิ ทางจากตัวกลางที่มคี วาม
หนาแนน่ คา่ หนงึ่ มายังตวั กลางทมี่ ีคา่ ความหนาแน่นอกี ตวั หน่ึงทาใหแ้ สงตกกระทบกับตวั กลางใหม่แลว้ สะทอ้ น
กลับสู่ตัวเดมิ การสะทอ้ นของแสงเกดิ ข้ึนเมอ่ื แสงเดนิ ทางไปถึงผิวสะทอ้ นซงึ่ อาจจะเป็นกระจกเงาหรือพน้ื ผวิ
อืน่ ๆ ทสี่ ามารถสะท้อนแสงได้และไมจ่ าเปน็ ต้องเปน็ ผวิ ทีเ่ รียบ การเขยี นรังสีของแสงและหาความสัมพันธ์
ระหวา่ ง มุมตกกระทบ (angle of incidence) กบั มุมสะท้อน (angle of incidence)
โดยมมุ ตกกระทบเป็นมมุ ท่รี งั สีตกกระทบกับเสน้ สมมตทิ ี่ตั้งฉากกับผิวสะท้อน เรียกวา่ เส้นแนว ฉาก
(normal line) การสะท้อนของแสงประกอบดว้ ย ดงั นี้
1. รงั สีตกกระทบ (Incident Ray) คือ รังสีของแสงท่ีพุ่งเข้าหาพื้นผวิ ของวัตถุ
2. รงั สสี ะทอ้ น (Reflected Ray) คือ รงั สีของแสงท่ีพ่งุ ออกจากพ้ืนผิวของวัตถุ
3. เส้นแนวฉาก (normal line) คอื เส้นทลี่ ากตั้งฉากกับพ้ืนผิวของวัตถตุ รงจดุ ทแ่ี สง กระทบ
4. มุมตกกระทบ (Angle of Incidence) คือ มุมทีร่ งั สตี กกระทบทากบั เสน้ ปกติ
5. มุมสะทอ้ น (Angle of Reflection) คือ มุมท่ีรังสสี ะท้อนทากับเสน้ ปกติ
เม่อื แสงตกกระทบผวิ วตั ถุจะเกดิ การสะทอ้ นของแสงโดยเป็นไปตามกฎการสะทอ้ น (law of
reflection) ดังนี้
1. มุมตกกระทบกับมมุ สะท้อน
2. รงั สีตกกระทบ รังสสี ะท้อน และเสน้ แนวฉาก อยู่ในระนาบเดียวกนั
ในกรณที ีผ่ ิวสะทอ้ นมคี วามขรุขระ เชน่ กระดาษท่ยี ับ พนื้ คอนกรีตท่ีไม่เรยี บ การสะทอ้ นของแสง
ยงั คงเป็นไปตามกฎการสะทอ้ น การสะท้อนของแสงจากพ้ืนผิวท่ีไม่เรียบนนั้ ไมเ่ ปน็ ไปตามกฎการสะทอ้ นเพราะ
รงั สสี ะท้อนไม่ไดข้ นานกนั ทงั้ ที่รงั สตี กกระทบก็เปน็ รังสขี นานคอื เส้นแนวฉากท่แี ตล่ ะจุดบนพื้นทเี่ กิดการ
สะทอ้ นนน้ั ไม่ได้ขนานกันจงึ ทาให้มุมตกกระทบท่ีแต่ละจดุ ไมเ่ ท่ากนั
การสะท้อนของแสงบนวัสดุท่ีมผี ิวขรุขระทาใหแ้ สงสะท้อนออกมานั้นมีทศิ ทางทหี่ ลากหลายและ ไม่ทา
ใหค้ วามเข้มแสงในทิศทางใดทศิ ทางหน่ึงมคี า่ มากเกินไปจงึ ทาใหส้ ามารถมองเหน็ วตั ถุน้ันได้ในหลายๆ มุม
รวมท้งั มองเหน็ วัตถุน้นั ไดโ้ ดยไมม่ ีจดุ ใดจุดหนงึ่ ทสี่ ว่างหรือมืดมากเกนิ ไป
6. กิจกรรมการเรียนรู้ (รูปแบบการจัดการเรยี นรแู้ บบ 5E)
ขน้ั ท่ี 1 ข้นั นาเข้าสู่บทเรยี น (Engagement Phase)
1.1 ผ้สู อนนาเขา้ สบู่ ทเรียนโดยการอธิบายปรากฏการณธ์ รรมชาติตา่ งๆ ทเ่ี กี่ยวกบั แสง แนวคดิ
แบบจาลอง และสมบัตขิ องแสง
ขน้ั ท่ี 2 ข้ันสารวจและคน้ พบ (Exploration Phase)
2.1 ผู้สอนใหผ้ ู้เรียนแต่ละคนศกึ ษาเนื้อหาเรื่องการสะท้อนของแสง จากหนงั สือเรียนและเอกสาร
ประกอบการเรยี นการสอน
2.2 ผสู้ อนแนะนาให้ผเู้ รียนศึกษาและสืบค้นข้อมูลเก่ียวกับการสะท้อนของแสงจากแหล่งขอ้ มูลอน่ื ๆ
เชน่ อนิ เทอร์เน็ต โดยเนน้ ยา้ ให้ผู้เรยี นพิจารณาความน่าเชอ่ื ถอื ของแหล่งขอ้ มูล
ขัน้ ที่ 3 ข้นั อธิบายและลงข้อสรุป ( Explanation Phase)
3.1 ผ้เู รยี นและผ้สู อนร่วมกันอภิปราย จนสรปุ ได้ ดงั นี้ การสะทอ้ นของแสงเป็นไปตามกฎการสะท้อน
ของแสง คอื
1. มุมตกกระทบเท่ากับมุมสะท้อน
2 รังสตี กกระทบ รงั สสี ะท้อน และเสน้ แนวฉากอยูใ่ นระนาบเดียวกัน
การสะท้อนของแสงในกรณผี ิวสะทอ้ นมีความขรุขระผิวสะท้อนนนู และผวิ สะท้อนเว้ายังคงเปน็ ไปตามกฎการ
สะท้อนของแสง
ขนั้ ท่ี 4 ขน้ั ขยายความรู้ (Expansion Phase)
4.1 ผูส้ อนอธบิ ายใหค้ วามรู้เพิ่มเติม ดังน้ี
การสะท้อนของแสง (reflection of light) เป็นปรากฏการณ์ทีแ่ สงเดนิ ทางจากตวั กลางทีม่ ี ความ
หนาแน่นค่าหนึ่งมายังตัวกลางที่มีคา่ ความหนาแน่นอีกตวั หนง่ึ ทาใหแ้ สงตกกระทบกับตวั กลางใหม่ แลว้
สะทอ้ นกลบั สู่ตวั เดิม การสะท้อนของแสงเกิดขึน้ เม่ือแสงเดนิ ทางไปถึงผวิ สะท้อน ซง่ึ อาจจะเปน็ กระจกเงาหรือ
พน้ื ผิว อื่นๆ ทสี่ ามารถสะท้อนแสงได้ และไมจ่ าเปน็ ต้องเป็นผิวที่เรยี บ การเขียนรังสขี องแสงและหา
ความสมั พนั ธ์ระหว่าง มมุ ตกกระทบ (angle of incidence) กับมมุ สะท้อน (angle of incidence)
โดยมุมตกกระทบเปน็ มุมทร่ี ังสีตกกระทบกับเสน้ สมมตทิ ี่ตั้งฉากกบั ผวิ สะทอ้ น เรียกวา่ เส้นแนว ฉาก
(normal line) การสะทอ้ นของแสงประกอบดว้ ย ดังนี้
1. รงั สีตกกระทบ (Incident Ray) คอื รังสีของแสงท่ีพงุ่ เขา้ หาพ้นื ผวิ ของวัตถุ
2. รงั สสี ะท้อน (Reflected Ray) คือ รงั สีของแสงที่พงุ่ ออกจากพื้นผวิ ของวตั ถุ
3. เส้นแนวฉาก (normal line) คอื เสน้ ท่ีลากตงั้ ฉากกบั พื้นผิวของวตั ถตุ รงจุดทแ่ี สง กระทบ
4. มมุ ตกกระทบ (Angle of Incidence) คอื มุมทีร่ งั สตี กกระทบทากบั เสน้ ปกติ
5. มมุ สะทอ้ น (Angle of Reflection) คือ มุมทรี่ ังสสี ะทอ้ นทากับเส้นปกติ เม่ือแสงตกกระทบผิววตั ถุจะเกิด
การสะท้อนของแสงโดยเปน็ ไปตามกฎการสะท้อน (law of reflection) ดงั นี้
1. มมุ ตกกระทบกับมมุ สะท้อน
2. รงั สตี กกระทบ รังสีสะทอ้ น และเส้นแนวฉาก อยู่ในระนาบเดียวกัน
ในกรณีทผี่ วิ สะท้อนมคี วามขรุขระ เช่น กระดาษที่ยบั พื้นคอนกรีตท่ีไมเ่ รียบ การสะทอ้ นของแสง
ยงั คงเป็นไปตามกฎการสะท้อน การสะท้อนของแสงจากพื้นผวิ ทไี่ มเ่ รียบ นน้ั ไม่เปน็ ไปตามกฎการสะทอ้ น
เพราะรังสี สะทอ้ นไม่ได้ขนานกนั ทง้ั ทร่ี งั สีตกกระทบกเ็ ป็นรังสขี นาน คือ เสน้ แนวฉากท่แี ตล่ ะจดุ บนพน้ื ทเ่ี กิด
การสะท้อนน้ัน ไม่ได้ขนานกัน จึงทาให้มุมตกกระทบท่แี ต่ละจุดไม่เท่ากัน
ข้นั ที่ 5 ข้นั ประเมิน (Evaluation)
7.5.1 ผู้เรียนสง่ แบบฝกึ หดั เร่ือง กฏการสะท้อนของแสง
7. สื่อ/แหล่งการเรียนรู้
8.1 หนังสือเรยี นรายวิชาเพมิ่ เตมิ วิทยาศาสตร์ (ฟสิ ิกส์) ช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 5 เลม่ 3 (ฉบับปรับปรงุ
พ.ศ. 2560)
8.2 เอกสารประกอบการเรยี นการสอน เร่อื ง กฏการสะท้อนของแสง
8. วธิ ีการวดั และประเมนิ ผล
จดุ ประสงค์การเรียนรู้ วิธกี ารวดั และประเมนิ ผล
วธิ ีการวดั เครื่องมอื ท่ีใช้วัด เกณฑ์การประเมนิ
1) อธบิ ายการสะทอ้ นของแสง และกฎ การตอบคาถาม คาถาม ตอบคาถามถกู ต้องร้อย
การสะท้อนของแสงได้ (K) ละ 70 ขึ้นไป
2) คานวณหาการสะท้อนของแสงได้ (P) การทาแบบฝึกหดั แบบฝกึ หัด ตอบคาถามถกู ต้องร้อย
ละ 70 ขน้ึ ไป
3) เป็นผมู้ ีความม่งุ มัน่ ในการทางานและมี สังเกตพฤติกรรมใน แบบสังเกต ผ่านเกณฑ์ในระดับดี
ความรบั ผิดชอบ (A) ชน้ั เรียน พฤติกรรม ขนึ้ ไป
บกั ทกึ ผลหลงั จากการจัดการเรียนรู้
1. ผลการจดั การเรยี นการสอน
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
2. ปญั หาและอปุ สรรคในการจัดการเรียนการสอน
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
3. ขอ้ เสนอแนะและแนวทางการแก้ไข
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
4. บกั ทึกหลงั การสอน
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงชื่อ………………………………………………………………
(……………………………………………………………)
ผูส้ อน
5. ความคดิ เห็นของครูพีเ่ ลี้ยง
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงชอ่ื ………………………………………………………………
(……………………………………………………………)
ครูพี่เลย้ี ง
5. ความคดิ เห็นของบรหิ ารวิชาการ
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงชอื่ ………………………………………………………………
(……………………………………………………………)
ฝ่ายบรหิ ารวิชาการ
6. ความคิดเห็นของผ้บู ริหารสถานศกึ ษา
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงชอื่ ………………………………………………………………
(……………………………………………………………)
ผู้บริหารสถานศกึ ษา
แบบสงั เกตพฤติกรรมในชน้ั เรยี น
คาชีแ้ จง: ใหค้ ะแนน 1-3 ที่ตรงกบั ระดบั พฤตกิ รรมท่นี กั เรียนแสดงออกตามเกณฑ์การประเมินท่ีกาหนด
พฤติกรรมท่สี ังเกต กล่มุ ท่ี
12345
1. เขา้ หอ้ งเรยี นตรงเวลา
2. มสี ่วนร่วมในการแสดงความคิดเหน็
3. มีความกระตือรือร้นในการทากจิ กรรม
4. มกี ารช่วยเหลือกนั
5. รับผิดชอบในงานท่ไี ดร้ ับมอบหมาย
รวม
เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน
พฤติกรรมทท่ี าเป็นประจา 3 คะแนน
พฤติกรรมทที่ าเป็นบางครง้ั 2 คะแนน
พฤติกรรมท่ีทาน้อยคร้ัง 1 คะแนน
คะแนนตัดสนิ ระดบั คุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดบั คุณภาพ สรุปผลการประเมินผลทัง้ ชนั้ เรียน
อยูใ่ นเกณฑ์………………………….
11-15 ดี ผ่าน ไม่ผ่าน
6-10 พอใช้
1-5 ปรับปรงุ
ลงชื่อ………………………………………………………………
(……………………………………………………………)
ผ้สู อน
แผนการจดั การเรียนรูท้ ่ี 17 ชน้ั มธั ยมศึกษาปที ่ี 5
กลุม่ สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี เวลา 12 ชั่วโมง
หนว่ ยการเรียนรทู้ ่ี 11 แสงเชิงรังสี เวลา 3 ชวั่ โมง
เร่อื ง การหักเหของแสง
ครูผูส้ อน นางสาวเล่ือมประภสั ร์ สารพันธ์ ภาคเรยี นท่ี 1/2565
1. มาตรฐานการเรยี นรู้
สาระฟิสิกส์ 2 เข้าใจการเคลอื่ นทแ่ี บบฮารม์ อนิกอย่างง่าย ธรรมชาติของคล่นื เสยี งและการ
ไดย้ นิ ปรากฏการณท์ ี่เกย่ี วขอ้ งกบั เสียง แสงและการเหน็ ปรากฏการณ์ทเี่ กยี่ วข้องกับแสง รวมท้งั นาความรู้ไป
ใชป้ ระโยชน์
2. ผลการเรยี นรู้
6. ทดลองและอธบิ ายการสะท้อนของแสงทผี่ วิ วัตถุตามกฎการสะท้อน เขยี นรงั สีของแสงและ
คานวณตาแหน่งและขนาดภาพของวตั ถุเม่ือแสงตกกระทบกระจกเงาราบและกระจกเงาทรงกลม รวมทง้ั
อธบิ ายการนาความรูเ้ รื่องการสะท้อนของแสงจากกระจกเงาราบและกระจกเงาทรงกลมไปใชป้ ระโยชนใ์ น
ชีวิตประจาวนั
3. จดุ ประสงค์การเรยี นรู้
1) อธิบายการหักเหของแสง และกฎของสเนลล์ได้ (K)
2) นกั เรยี นสามารถนากฎของสเนลล์คานวณหาปรมิ าณต่างๆท่เี ก่ียวข้องได้ (P)
3) เปน็ ผ้มู คี วามม่งุ มนั่ ในการทางานและมคี วามรบั ผิดชอบ (A)
4. สาระการเรยี นรู้
การหักเหของแสง (Refraction)
เกิดจากการทีแ่ สงเคลอ่ื นทีผ่ ่านตัวกลางท่ีมคี วามหนาแน่นต่างกัน เปน็ ผลทาให้ทิศทางของแสงเปล่ียนแปลงไป
ดว้ ย ซ่งึ ในขณะท่แี สงเกดิ การหกั เหกจ็ ะเกดิ การสะท้อนของแสงขน้ึ พร้อมๆ กนั ด้วย
เมอ่ื แสงเดินทางผา่ นวัตถหุ รือตวั กลางโปร่งใส เชน่ อากาศ แกว้ นา้ พลาสติกใส แสงจะสามารถเดนิ ทางผ่านได้
เกือบหมด เมอ่ื แสงเดนิ ทางผ่านตวั กลางชนิดเดยี วกัน แสงจะเดนิ ทางเป็นเสน้ ตรงเสมอ แตถ่ า้ แสงเดินทางผา่ น
ตวั กลางหลายตวั กลาง แสงจะหักเห
5. สาระสาคัญ
สาเหตุที่ทาให้แสงเกิดการหักเห
เกิดจากการเดินทางของแสงจากตวั กลางหนึ่งไปยงั อกี ตวั กลางหน่งึ ซง่ึ มีความหนาแน่นแตกต่างกันจะมีความเร็ว
ไม่เท่ากนั ด้วย โดยแสงจะเคลือ่ นทใี่ นตวั กลางโปร่งกว่าไดเ้ ร็วกวา่ ตัวกลางทีท่ ึบกวา่ เชน่ ความเรว็ ของแสงใน
อากาศมากกวา่ ความเรว็ ของแสงในนา้ และความเร็วของแสงในนา้ มากกวา่ ความเร็วของแสงในแก้วหรือ
พลาสตกิ การทแี่ สงเคล่อื นทผ่ี ่านอากาศและแกว้ ไมเ่ ป็นแนวเสน้ ตรงเดยี วกันเพราะเกิดการหกั เหของแสง โดย
แสงจะเดินทางจากตัวกลางท่ีมีความหนาแนน่ น้อยกว่า ( โปร่งกว่า) ไปยังตวั กลางที่มคี วามหนาแน่นมากกว่า