- ทกั ษะในการคิดวเิ คราะห์
- ทกั ษะการคดิ สร้างสรรค์
3. ความสามารถในการแกป้ ญั หา
4. ความสามารถในการใชท้ กั ษะชวี ติ
- กระบวนการทํางานกลุ่ม
5. ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี
6. คุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค์
1) มีวนิ ัย
2) ใฝเ่ รียนรู้
3) มงุ่ ม่ันในการทำงาน
7. กจิ กรรมการเรยี นรู้
ขน้ั ที่ 1 สรา้ งความสนใจ
1.1 ครตู รวจสอบความรู้นกั เรียนก่อนเรยี นเรอื่ งอะตอม ธาตุ และสารประกอบ
1.2 ครูใช้ภาพ การเผาถ่าน นำเข้าสู่บทเรียนเพ่ือให้นักเรียนรว่ มกนั อภิปรายธาตุที่เปน็ องค์ประกอบ
ของ สิ่งมีชีวิต เพื่อให้ไดข้ ้อสรปุ วา่ ส่งิ มีชวี ติ มธี าตุคาร์บอนเปน็ องคป์ ระกอบหลัก
ขัน้ ท่ี 2 สาํ รวจและคน้ หา
2.1 ครอู ธิบายเพิม่ เติมเกย่ี วกับการเผาไหม้ท่เี หลือแต่ขี้เถ้าและการเผาถ่าน พร้อมเสนอตัวอย่างตาราง
แสดงธาตทุ พี่ บคิดเป็นเปอรเ์ ซน็ โดยนำ้ หนักของธาตแุ ตล่ ะชนิดในโครงสร้างของเถา้ ไม้ยางพารา
2.2 ครใู ห้นกั เรยี นสืบค้นข้อมูล เกย่ี วกับ อะตอม ธาตุ และสารประกอบ รวมถงึ โครงสรา้ งของส่งิ มชี วี ติ
โดยครูใชภ้ าพ โครงสร้างระดับต่างๆ ของสิ่งมชี ีวติ ทบทวนความรูน้ กั เรยี น
ขน้ั 3 อธิบายและลงขอ้ สรุป
3.1 ครแู ละนกั เรยี นร่วมกนั อภิปรายเพอ่ื ให้ได้ขอ้ สรุปว่า อะตอมประกอบด้วย นิวตรอน โปรตอน อยู่
ในนิวเคลียสและอิเล็กตรอนเคลื่อนที่รอบนิวเคลยี สในระดบั พลังงานต่างๆ อิเล็กตรอนท่ีอยูใ่ นระดับพลังงาน
นอกสดุ เรียกว่า เวเลนซ์อิเลก็ ตรอน โดยทวั่ ไปนิวเคลียสมีจาํ นวนโปรตอนเทา่ กับนิวตรอน ตวั เลขแสดงจํานวน
โปรตอนใน อะตอมเรียกวา่ เลขอะตอม ผลรวมของจำนวนโปรตอนกับนิวตรอนเรยี กวา่ เลขมวล โดยโปรตอนมี
ประจไุ ฟฟา้ เป็นบวก อิเลก็ ตรอนมีประจุไฟฟ้าเปน็ ลบ ขณะที่นวิ ตรอนไมม่ ีประจุ อะตอมท่ีมีจำนวนอิเล็กตรอน
เท่ากับจำนวน โปรตอนจะเป็นกลางทางไฟฟา้
3.2 ครูใหน้ กั เรียนตอบคำถาม ดงั น้ี
- จากรปู 2.2 ก. ใหร้ ะบจุ ำนวนเวเลนซอ์ ิเลก็ ตรอนของอะตอมคาร์บอนและอะตอมไฮโดรเจน
(อะตอมคารบ์ อนมีเวเลนซอ์ ิเล็กตรอนเทา่ กบั 4 ส่วนอะตอมของไฮโดรเจนมีเวเลนซอ์ เิ ลก็ ตรอนเท่ากบั 1 )
- จากรูป 2.2 ข. อะตอมของคาร์บอนมีจำนวนโปรตอนและนิวตรอนอยา่ งละเท่าไหร่ (อะตอม
คารบ์ อนมโี ปรตอนและนวิ ตรอนอยา่ งละ 5)
ขั้นที่ 4 ขยายความรู้
4.1 ครูให้ความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับที่มาของธาตุคาร์บอนซึ่งเป็นธาตุที่เป็นองค์ประกอบหลักของ
สง่ิ มชี วี ิต แล้วใชค้ าํ ถามเพ่มิ เติม ดงั นี้
- นอกจากสิ่งมีชีวิตมีธาตุคาร์บอนที่เป็นองค์ประกอบหลักแล้ว ยังมีธาตุอื่นอีกหรือไม่ (ฟัง
คำตอบของนกั เรียน)
4.2 ครูให้นักเรียนร่วมกันอภิปรายเพื่อให้ได้ข้อสรุปว่า นอกจากสิ่งมีชีวิตมีธาตุคาร์บอน ออกซิเจน
และ ไฮโดรเจนทีเ่ ปน็ องค์ประกอบหลักแล้ว ยังมธี าตุอ่นื ๆ เปน็ องค์ประกอบโดยส่วนใหญ่ธาตุเหล่าน้ี จะอยู่ใน
รปู ของ ไอออนและมปี ระมาณทแี่ ตกต่างกนั
4.3 ครใู ห้นักเรยี นสืบคน้ ขอ้ มูลเกยี่ วกบั ความสำคญั ของธาตแุ ละการขาดธาตตุ า่ งๆ ทพ่ี บในพืชและสตั ว์
แล้วอภปิ รายรว่ มกันเพ่อื ให้ได้ข้อสรุปว่า ธาตุตา่ งชนดิ กันมีหน้าที่แตกตา่ งกนั การขาดธาตุเป็นสาเหตุของโรค
ตา่ งๆ เชน่ โรคคอพอก ภาวะโลหติ จาง โรคกระดกู พรุน
4.4 ครูเชื่อมโยงการนำความรู้เรื่องความจำเป็นของธาตุในการดำรงชีวิต เช่นการทำไข่เค็มเสริม
ไอโอดีน การทำป๋ยุ สำหรบั พืช โดยใช้ชุดตรวจสอบ N-P-K
4.5 ครูอธิบายเพ่มิ เติมเกย่ี วกับธาตแุ ละสารประกอบ เพ่ือให้ได้ขอ้ สรปุ ว่า โมเลกลุ ประกอบดว้ ยอะตอม
มากกวา่ ๑ ชนดิ เรียกว่าสารประกอบ เชน่ โซเดยี มคลอไรด์ (NaCl)
4.6 ครูให้ความร้เู กยี่ วกับพนั ธะเคมี เพอ่ื ให้ไดข้ ้อสรปุ วา่ การรวมตวั ของอะตอมเกดิ จากแรงยึดเหน่ียว
ที่ เรียกว่าพันธะเคมีซึ่งพันธะเคมีเกี่ยวข้องกับเวเลนซอ์ ิเล็กตรอนของคู่ร่วมอะตอมที่สร้างพันธะกัน การยึด
เหนี่ยว ระหว่างอะตอมของธาต๒ุ อะตอม โดยใช้เวเลนซ์อิเล็กตรอนร่วมกันเกิดเป็นพันธะโควาเลนต์การยดึ
เหนี่ยวระหวา่ ง ประจไุ ฟฟา้ ของไอออนบวกและไอออนลบเกดิ เปน็ พนั ธะไอออนิก นอกจากน้โี มเลกลุ ยังเกิดแรง
ยึดเหนยี่ ว ระหวา่ งโมเลกุล โดยอาจเกดิ จากโมเลกลุ ชนดิ เดียวกนั หรือต่างชนิดกันเรียกว่าพนั ธะไฮโดรเจน
4.7 ครใู หน้ ักเรยี นศกึ ษารปู 2.8 แลว้ สืบค้นขอ้ มูลร่วมกนั อภปิ รายเพ่อื ใหข้ ้อสรุปว่ารา่ งกายของมนุษย์
ประกอบดว้ ยสารต่างๆ ในปรมิ าณที่แตกตา่ งกัน เชน่ คารโ์ บไฮเดรต โปรตนี ลพิ ดิ กรดนวิ คลีอิก และน้ำ ซึง่ สาร
เหล่านี้ มีความสำคัญต่อร่างกายเนื่องจากเป็นส่วนประกอบของเซลล์และเนื้อเยื่อรวมทั้งช่วยในการ
เกดิ ปฏกิ ริ ิยา ตา่ งๆภายในเซลล์ ทำให้ส่ิงมีชีวติ ดำรงชวี ติ อยู่ได้
ขั้นท่ี 5 ประเมินผล
5.1 ให้นักเรียนเล่นเกมตอบคำถาม เรียกชื่อธาตุตามตารางธาตุ เพื่อประเมินความรู้เกี่ยวกับเรื่อง
อะตอม ธาตุ และสารประกอบ
8. สอื่ อปุ กรณ์แหลง่ เรียนรู้
1. หนังสือเรียนรายวิชาเพมิ่ เติม ชีววิทยา เลม่ 1 ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 4
9. ภาระช้ินงาน วธิ กี ารประเมิน เกณฑก์ ารประเมนิ
- ตรวจจากสมุดบันทกึ สรปุ และจาก
การตอบคำถามภายในคาบ ผา่ นเกณฑก์ าร
10. การวัดและประเมินผล ประเมินไมน่ ้อย
จุดประสงคก์ ารเรียนรู้ - สังเกตพฤตกิ รรมระหว่างเรยี นโดย กวา่ รอ้ ยละ 70
ใช้แบบสงั เกตพฤตกิ รรมการทำงาน
ด้านความรู้ (K) กลมุ่
1. นกั เรียนสามารถสบื ค้นขอ้ มูล อธิบายเก่ียวกับ
อะตอม ธาตุ และสารประกอบได้
2. นักเรยี นสามารถยกตัวอย่างและบอกความสำคญั
ของธาตชุ นิดต่างๆ ตอ่ ส่งิ มีชีวิตได้
คณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงค์ (A)
4. นกั เรียนกระตอื รอื ร้น แสดงความคดิ เห็นและ
ทำงานร่วมกบั เพ่ือนอย่างสร้างสรรค์
11. บนั ทกึ หลังสอน
ผลการจัดการเรียนรู้
1.1 ด้านความรู้ (K) ……………………………………………………………………………………………………………….
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
1.2 ดา้ นทกั ษะ/กระบวนการ (P) …………………………………………………………………………………………….
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
1.3 ด้านคุณลกั ษณะ (A) …………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ปัญหาทเ่ี กดิ ข้ึนระหวา่ งการจัดการเรยี นรู้
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
วิธี/แนวทางการแก้ปัญหา
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงชอื่ ……………………………………………
(นางสาวณิชากร นามวงษา)
ครผู สู้ อน
ความคิดเหน็ ของครพู ่เี ลย้ี ง
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงชือ่ ……………………………………………
(นางสานติ กรีเทพ)
ครูพี่เล้ียง
ความคิดเหน็ ของบรหิ ารวชิ าการ
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงชอื่ ……………………………………………
(นางสายชล ดวงบุปผา )
ฝ่ายบริหารวิชาการ
ความคดิ เหน็ ของผบู้ ริหารสถานศกึ ษา
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงชื่อ……………………………………………
(……………………………………………)
ผูบ้ รหิ ารสถานศกึ ษา
ภาคผนวก
แบบประเมนิ คุณลกั ษณะอันพึงประสงค์
คำชี้แจง : ให้ผู้สอนสังเกตพฤตกิ รรมของนกั เรียนในระหวา่ งเรียนและนอกเวลาเรยี น แล้วขีด / ลงใน
ชอ่ งท่ีตรงกับระดบั คะแนน
ชอื่ .................................................................................ช้ัน.................เลขท่.ี ..............กลมุ่ ..............
คุณลักษณะอันพึง รายการประเมนิ ระดบั คะแนน
ประสงค์ 43 21
ปฏบิ ตั ติ ามข้อตกลง กฎเกณฑ์ ระเบยี บ ข้อบังคบั ของ
มีวินยั รบั ผิดชอบ ครอบครัวและโรงเรยี นตรงตอ่ เวลาในการปฏบิ ัตกิ จิ กรรมใน
ชวี ิตประจำวัน และรับผิดชอบในการทำงาน
ใฝ่เรยี นรู้ แสวงหาข้อมลู จากแหล่งการเรยี นรู้
มกี ารจดบันทึกความรูอ้ ยา่ งเป็นระบบ
มุ่งม่นั ในการทำงาน มคี วามตงั้ ใจและพยายามในการทำงานท่ไี ดร้ ับมอบหมาย
มีความอดทนและไมท่ ้อแท้ตอ่ อุปสรรคเพื่อใหง้ านสำเรจ็
ลงช่ือ………………………………………………………….. ผูป้ ระเมนิ
…………………/…………………../……………….
เกณฑ์การให้คะแนน ให้ 4 คะแนน เกณฑ์การตดั สินคุณภาพ
เตรยี มปัดเรอื เพอื่ แสดงพฤติกรรมอย่างสม่ำเสมอ ให้ 3 คะแนน
ปฏบิ ัตหิ รือแสดงพฤตกิ รรมบ่อยครั้ง ให้ 2 คะแนน ช่วงคะแนน ระดบั คุณภาพ
ปฏิบัตหิ รือแสดงพฤตกิ รรมบางครงั้ ให้ 1 คะแนน 12-10 ดมี าก
ปฏบิ ัติหรือแสดงพฤตกิ รรมนอ้ ยคร้งั
9-6 ดี
5-3 พอใช้
ต่ำกว่า 3 ปรบั ปรงุ
แผนการจดั การเรียนรู้ 7
รายวชิ าวทิ ยาศาสตร์เพม่ิ เตมิ (ชีววทิ ยา) รหัส ว30241 ช้ันมธั ยมศึกษาปีที่ 4
หนว่ ยการเรยี นร้ทู ่ี 2 เคมีเป็นพืน้ ฐานของสง่ิ มีชีวิต จำนวน 15 ชั่วโมง
เร่อื ง นำ้ จำนวน 1 ชว่ั โมง
สอนโดย นางสาวณิชากร นามวงษา ภาคเรียนท่ี 1/2565
1. ผลการเรยี นรู้
สืบค้นขอ้ มลู อธิบายเกี่ยวกบั สมบตั ขิ องนำและบอกความสำคัญของนำ้ ต่อส่งิ มชี วี ติ และยกตัวอย่างธาตุ
ชนดิ ต่างๆ ทม่ี ีความสาํ คัญตอ่ รา่ งกายของสง่ิ มชี วี ิต
2. จดุ ประสงคก์ ารจดั การเรียนรู้
1. นักเรียนสามารถสบื ค้นข้อมลู อธิบายโครงสรา้ งและสมบตั ขิ องน้ำ และบอกความสำคัญของนำ้ ตอ่
ส่ิงมีชีวติ ได้ (K)
2. นักเรยี นสามารถทำสือ่ เผยแพร่ความรู้ในรปู แบบต่างๆ เช่น ปา้ ยนเิ ทศ คลปิ วดี ิโอได้ (P)
3. นกั เรียนกระตอื รือรน้ แสดงความคิดเห็นและทำงานรว่ มกบั เพอ่ื นอย่างสร้างสรรค์ (A)
3. สาระสำคญั
ส่งิ มีชีวติ มีธาตุคารบ์ อน ไฮโดรเจน และออกซิเจนเปน็ องค์ประกอบหลัก สว่ นธาตุอ่ืนๆ มปี รมิ าณที่
แตกตา่ ง กัน สว่ นใหญ่อยูใ่ นรูปของไอออน เช่น แคลเซยี มไอออน (Ca) ถึงแม้ส่งิ มชี ีวติ ต้องการธาตบุ างนิดใน
ปริมาณ เลก็ น้อย แต่ถ้าไดร้ บั ในปริมาณไมเ่ พยี งพอหรอื มีการสญู เสียไปอาจทำใหก้ ารทำงานของอวยั วะตา่ งๆ
ผิดปกติได้ น้ำเป็นองค์ประกอบทีพ่ บมากทีส่ ดุ ในสิ่งมชี ีวติ มีบทบาทสำคัญในการรักษาดุลยภาพของรา่ งกาย
เชน่ นำ เปน็ ตัวทำละลายทด่ี ี เป็นตัวกลางของการเกิดปฏกิ ริ ยิ าเคมีของกระบวนการเมทาบอลซิ ึมในร่างกาย
ช่วยลำเลยี ง สารต่างๆ ไปทัว่ รา่ งกาย การยอ่ ยอาหาร การหมุนเวยี นเลอื ด การขับถ่ายของเสยี ออกจากร่างกาย
รวมถึงการรกั ษา ดลุ ยภาพของอุณหภูมิความเปน็ กรด-เบสของเลือดและของเหลวต่างๆ ในร่างกาย
4. สาระการเรียนรู้
สารอนนิ ทรยี ท์ สี่ ำคัญคือ นำ้ และแร่ธาตบุ างชนิด ในรา่ งกายมนี ำ้ เปน็ องค์ประกอบมากที่สุด น้ำเป็นตัว
ทำละลายที่ดี ช่วยลำเลยี งสารตา่ งๆไปทั่วรา่ งกาย ชว่ ยรักษาอณุ หภูมิในรา่ งกายให้คงที่ สำหรบั แร่ธาตเุ ป็น
องคป์ ระกอบของเซลล์และเนือ้ เยอื่ ช่วยให้เกิดปฏกิ ิรยิ าเคมตี ่างๆ
5. สมรรถนะสำคญั ของผู้เรียน
1. ความสามารถในการส่ือสาร
2. ความสามารถในการคดิ วเิ คราะห์
- ทกั ษะในการคดิ วิเคราะห์
- ทกั ษะการคดิ สรา้ งสรรค์
3. ความสามารถในการแก้ปัญหา
4. ความสามารถในการใชท้ ักษะชีวิต
- กระบวนการทํางานกลมุ่
5. ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี
6. คุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์
1) มีวินัย
2) ใฝ่เรียนรู้
3) มุ่งมัน่ ในการทำงาน
7. กจิ กรรมการเรียนรู้
ขน้ั ที่ 1 สร้างความสนใจ
1.1 ครูตรวจสอบความรู้เดิมของนักเรียนโดยให้ระบุบทบาทและความสำคัญของน้ำที่มีต่อร่างกาย
เช่น เปน็ ตัวกลางการเกิดปฏิกริ ยิ าตา่ งๆ การลำเลียงสาร การรักษาดลุ ยภาพของอณุ หภมู ิ เปน็ ตน้
ขัน้ ท่ี 2 สํารวจและค้นหา
2.1 ครใู ห้นกั เรียนสืบคน้ ขอ้ มูลเก่ยี วกับโครงสร้างโมเลกุล สมบัติ และความสำคัญของน้ำ แลว้ ร่วมกัน
อภิปรายถึงบทบาทสำคัญของน้ำในประเด็นตา่ งๆ ดังนี้
- การเป็นตวั ทําละลาย
- สมบตั ไิ ฮโดรฟิลิก และไฮโดรโฟบกิ
- ความเปน็ กรด-เบส
- การดูดซบั พลังงานความรอ้ น
- แรงโคฮชี นั และแรงแอดฮีชัน
2.2 ครูใชค้ ำถามเพม่ิ เติม ดังน้ี
- สมบัตขิ องน้ำเกย่ี วขอ้ งกบั โครงสร้างโมเลกุลอย่างไร (น้ำเปน็ โมเลกลุ มีข้ัว นำ้ เป็นของเหลวท่ี
อณุ หภมู ิหอ้ ง)
ขน้ั 3 อธบิ ายและลงข้อสรุป
3.1 ครใู หน้ ักเรยี นนำเสนอขอ้ มลู ทีไ่ ดจ้ ากการสืบค้นเกีย่ วกับโครงสรา้ งโมเลกุลของนำ้ และ
พันธะโคเวเลนต์ เพอื่ อธิบายการเกดิ โมเลกุลที่มขี ั้วของน้ำรวมทง้ั เขยี นสญั ลักษณแ์ ทนขั้วบวก และข้ัวลบ ดังรูป
ในหนังสือเรียน
ขัน้ ท่ี 4 ขยายความรู้
4.1 ครูให้ความรูเ้ พิ่มเติมเกี่ยวกับการแสดงประจุของนำ้ ดังนี้ โมเลกุลนำ้ มีข้ัวเนื่องจากอิเล็กตรอนคู่
ร่วมพันธะถูกดงึ ใหเ้ ข้าใกลอ้ ะตอมของออกซเิ จน มากกว่าอะตอมของโมเลกุลน้ำมีขวั้ เนื่องจากอิเล็กตรอนคู่ร่วม
พันธะถกู ดึงให้เข้าใกลอ้ ะตอมของออกซิเจน มากกว่าอะตอมของไฮโดรเจน อะตอมของออกซเิ จนจึงแสดงข้ัว
ลบ และทาํ ให้อะตอมของไฮโดรเจน 2 อะตอมแสดงขว้ั บวก
การเขียนสัญลักษณ์แสดงสภาพขั้วของน้ำ สามารถแสดงได้ดังภาพ (ส่วนท่ีแสดงสภาพขั้วเป็นลบ อ่านว่า
เดลต้าลบ สภาพขัว้ บวกอ่านวา่ เดลต้าบวก)
4.2 ครูอธิบายเพิ่มเติมว่าลักษณะความเป็นขั้วของโมเลกุลน้ำทำให้เกิดพันธะไฮโดรเจน ระหว่าง
โมเลกลุ การเกดิ พนั ธะไฮโดรเจนทำให้เกิดการดุดซับพลังงานความร้อนสูง และเกิดแรงแอดฮีชนั กับแรงโคฮีชัน
ขึ้น
ขั้นที่ 5 ประเมินผล
5.1 ครูตรวจสอบความเข้าใจของนักเรียนเกี่ยวกับน้ำกับตัวทำละลายโดยใช้แผนภาพแสดงไอออน
ล้อมรอบดว้ ยโมเลกลุ ของน้ํา
5.2 เมือ่ นักเรียนศึกษาแผนภาพแล้วครูต้ังคำถามเพ่ือตรวจสอบความเขา้ ใจ ดังนี้
- จากแผนภาพ ไอออนในรปู ก และรปู ข ควรมปี ระจุอะไร (ก ประจบุ วก ข ประจุลบ)
- สารทุกชนิดละลายในนำ้ ได้หรือไม่ เพราะเหตใุ ด จงยกตวั อยา่ งประกอบ (ไม่ทกุ ชนิด เพราะ
สารบางชนิดเป็น โมเลกุลไมม่ ีขวั้ เช่น น้ำมนั ไม่ละลายในนำ้ )
5.3 ครูใหน้ กั เรียนตอบคำถามในหนงั สอื เรียน โดยมคี ำถาม ดงั นี้
- สารในชีวติ ประจำวันท่ีมีสมบัติเปน็ ไฮโดรฟิลิกและสารท่ีมสี มบัตเิ ปน็ ไฮโดรโฟบิก มีอะไรบ้าง
จงยกตวั อย่าง ประกอบ (สารที่มสี มบตั ิเปน็ ไฮโดรฟิลกิ เชน่ นํา้ ตาลทราย เกลอื แกง น้ำผงึ้ ดา่ งทบั ทิม สารส้ม
ฯลฯ และสารทม่ี ี สมบตั เิ ปน็ ไฮโดรโฟบกิ ได้แก่ น้ำมันพชื ไขมนั สตั ว์ เนย ขี้ผ้ึง มาการนี ฯลฯ)
- สมบตั ิของนำ้ เก่ียวขอ้ งกบั การเกิดปฏิกริ ิยาในเซลลอ์ ย่างไร (เนือ่ งจากน้ำเปน็ ตัวทำละลายท่ี
ดีและสารหลายชนิดสามารถแตกตวั เป็นไอออนในนำ้ ไดท้ ำใหเ้ กดิ ปฏิกิรยิ าเคมี ภายในเซลล์ได)้
8. สอื่ อปุ กรณ์แหล่งเรียนรู้
1. หนังสือเรียนรายวิชาเพ่มิ เติม ชีววทิ ยา เลม่ 1 ชนั้ มัธยมศกึ ษาปที ี่ 4
2. สมดุ บนั ทึกประสบการณ์/ ตอบคำถาม
9. ภาระชนิ้ งาน วิธกี ารประเมนิ เกณฑก์ ารประเมิน
- ตรวจจากสมุดบนั ทกึ
10. การวดั และประเมินผล ตรวจจากช้ินงานและการนำเสนอ ผ่านเกณฑก์ าร
จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ ผลงาน ประเมนิ ไมน่ อ้ ย
กวา่ รอ้ ยละ 70
ด้านความรู้ (K) - สังเกตพฤติกรรมระหว่างเรียนโดย
1. นักเรียนสามารถสบื ค้นข้อมูล อธิบายโครงสรา้ ง ใช้แบบสังเกตพฤติกรรมการทำงาน
และสมบตั ขิ องน้ำ และบอกความสำคัญของน้ำตอ่ กลมุ่
สิ่งมชี ีวติ ได้
ทกั ษะกระบวนการ (P)
2. ทำสื่อเผยแพรค่ วามรใู้ นรปู แบบต่างๆ เช่น ปา้ ย
นิเทศ คลิปวดี ิโอ
คณุ ลักษณะอันพึงประสงค์ (A)
4. นักเรยี นกระตอื รอื ร้น แสดงความคดิ เห็นและ
ทำงานรว่ มกับเพอ่ื นอย่างสรา้ งสรรค์
11. บนั ทกึ หลังสอน
ผลการจัดการเรียนรู้
1.1 ด้านความรู้ (K) ……………………………………………………………………………………………………………….
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
1.2 ดา้ นทกั ษะ/กระบวนการ (P) …………………………………………………………………………………………….
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
1.3 ด้านคุณลักษณะ (A) …………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ปัญหาทเ่ี กดิ ข้ึนระหวา่ งการจัดการเรยี นรู้
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
วิธี/แนวทางการแก้ปัญหา
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงชือ่ ……………………………………………
(นางสาวณชิ ากร นามวงษา)
ครูผสู้ อน
ความคิดเหน็ ของครพู ่เี ลย้ี ง
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงชือ่ ……………………………………………
(นางสานิต กรีเทพ)
ครพู ่ีเล้ียง
ความคิดเหน็ ของบรหิ ารวชิ าการ
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงชอื่ ……………………………………………
(นางสายชล ดวงบุปผา )
ฝา่ ยบริหารวิชาการ
ความคดิ เหน็ ของผบู้ ริหารสถานศกึ ษา
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงชื่อ……………………………………………
(……………………………………………)
ผบู้ รหิ ารสถานศกึ ษา
ภาคผนวก
แบบประเมนิ คุณลกั ษณะอันพึงประสงค์
คำชี้แจง : ให้ผู้สอนสังเกตพฤตกิ รรมของนกั เรียนในระหวา่ งเรียนและนอกเวลาเรยี น แล้วขีด / ลงใน
ชอ่ งท่ีตรงกับระดบั คะแนน
ชอื่ .................................................................................ช้ัน.................เลขท่.ี ..............กลมุ่ ..............
คุณลักษณะอันพึง รายการประเมนิ ระดบั คะแนน
ประสงค์ 43 21
ปฏบิ ตั ติ ามข้อตกลง กฎเกณฑ์ ระเบยี บ ข้อบังคบั ของ
มีวินยั รบั ผิดชอบ ครอบครัวและโรงเรยี นตรงตอ่ เวลาในการปฏบิ ัตกิ จิ กรรมใน
ชวี ิตประจำวัน และรับผิดชอบในการทำงาน
ใฝ่เรยี นรู้ แสวงหาข้อมลู จากแหล่งการเรยี นรู้
มกี ารจดบันทึกความรูอ้ ยา่ งเป็นระบบ
มุ่งม่นั ในการทำงาน มคี วามตงั้ ใจและพยายามในการทำงานท่ไี ดร้ ับมอบหมาย
มีความอดทนและไมท่ ้อแท้ตอ่ อุปสรรคเพื่อใหง้ านสำเรจ็
ลงช่ือ………………………………………………………….. ผูป้ ระเมนิ
…………………/…………………../……………….
เกณฑ์การให้คะแนน ให้ 4 คะแนน เกณฑ์การตดั สินคุณภาพ
เตรยี มปัดเรอื เพอื่ แสดงพฤติกรรมอย่างสม่ำเสมอ ให้ 3 คะแนน
ปฏบิ ัตหิ รือแสดงพฤตกิ รรมบ่อยครั้ง ให้ 2 คะแนน ช่วงคะแนน ระดบั คุณภาพ
ปฏิบัตหิ รือแสดงพฤตกิ รรมบางครงั้ ให้ 1 คะแนน 12-10 ดมี าก
ปฏบิ ัติหรือแสดงพฤตกิ รรมนอ้ ยคร้งั
9-6 ดี
5-3 พอใช้
ต่ำกว่า 3 ปรบั ปรงุ
แผนการจัดการเรียนรู้ 8
รายวิชาวิทยาศาสตร์เพ่มิ เติม (ชวี วทิ ยา) รหัส ว30241 ชนั้ มัธยมศกึ ษาปที ี่ 4
หนว่ ยการเรียนรทู้ ี่ 2 เคมีเป็นพ้นื ฐานของส่ิงมชี ีวิต จำนวน 15 ชวั่ โมง
เรอื่ ง สารประกอบคาร์บอนในส่ิงมชี ีวติ จำนวน 3 ช่ัวโมง
สอนโดย นางสาวณิชากร นามวงษา ภาคเรยี นที่ 1/2565
1. ผลการเรยี นรู้
สบื คน้ ข้อมูล อธบิ ายโครงสรา้ งของคาร์โบไฮเดรต ระบุกลุ่มของคารโ์ บไฮเดรต รวมทงั้ ความสำคัญของ
คาร์โบไฮเดรตต่อสิ่งมีชีวิต สืบค้นข้อมูล อธิบายโครงสร้างของโปรตีน และความสำคัญของโปรตีนที่มีต่อ
ส่ิงมชี ีวิต สบื คน้ ข้อมูล
2. จุดประสงคก์ ารจัดการเรียนรู้
1. นกั เรียนสามารถสืบค้นขอ้ มลู อธบิ ายโครงสร้างของคารโ์ บไฮเดรตระบกุ ลุ่มของคาร์โบไฮเดรต
รวมทัง้ ความสำคญั ของคารโ์ บไฮเดรตตอ่ สง่ิ มีชวี ิตได้ (K)
2. นกั เรยี นสามารถสืบคน้ ขอ้ มูล อธิบายโครงสรา้ งของโปรตนี และความสำคญั ของโปรตีนท่มี ตี อ่
สิง่ มีชวี ติ ได้ (K)
3. นักเรยี นสามารถทำส่ือเผยแพรค่ วามรใู้ นรปู แบบต่างๆ เชน่ ปา้ ยนเิ ทศ คลปิ วดี ิโอได้ (P)
4. นกั เรียนกระตอื รือร้น แสดงความคิดเห็นและทำงานร่วมกบั เพ่อื นอยา่ งสร้างสรรค์ (A)
3. สาระสำคญั
สารที่พบในส่งิ มชี วี ติ มีหลายประเภท เชน่ คารโ์ บไฮเดรต โปรตนี ลิพดิ และกรดนวิ คลีอิก ซ่งึ เป็นสารที่
มคี ารบ์ อนและไฮโดรเจนเป็นองค์ประกอบหลกั และอาจมธี าตอุ ื่นๆ เช่น ออกซเิ จน ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และ
กำมะถนั เป็นองคป์ ระกอบอยู่ด้วย สารเหลา่ นี้เปน็ องคป์ ระกอบของเซลล์ ชว่ ยใหร้ ่างกายเจริญเติบโต เป็นสารท่ี
ใหพ้ ลังงาน กรดนวิ คลีอิกมี 2 ชนดิ คือ DNA และ RNA ทำหน้าทีเ่ ก็บและถา่ ยทอดขอ้ มูลทางพันธุกรรม รวมทง้ั
ทาํ หนา้ ที่ควบคมุ การสงั เคราะห์โปรตนี
4. สาระการเรยี นรู้
สารเคมีในเซลลข์ องสงิ่ มชี ีวติ ประกอบด้วยสารอนินทรยี ์เช่น นำ้ แรธ่ าตุ และสารอนิ ทรยี ์ เช่นคาร์
โบไฮเดรท โปรตนี ลพิ ิด กรดนวิ คลีอกิ และวิตามนิ สารเหลา่ น้ีบางชนดิ เป็นองค์ประกอบ และบางชนดิ
เกย่ี วขอ้ งกับการทาํ งานของเซลล์
5. สมรรถนะสำคญั ของผ้เู รยี น
1. ความสามารถในการสือ่ สาร
2. ความสามารถในการคิดวิเคราะห์
- ทกั ษะในการคิดวเิ คราะห์
- ทักษะการคิดสรา้ งสรรค์
3. ความสามารถในการแก้ปัญหา
4. ความสามารถในการใชท้ กั ษะชีวติ
- กระบวนการทาํ งานกลุ่ม
5. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี
6. คุณลักษณะอนั พึงประสงค์
1) มีวินัย
2) ใฝ่เรยี นรู้
3) ม่งุ ม่ันในการทำงาน
7. กจิ กรรมการเรยี นรู้
ขั้นที่ 1 สรา้ งความสนใจ
1.1 ครูนำเข้าสู่บทเรียนโดยให้นักเรียนยกตัวอย่างสารประกอบคาร์บอนที่นักเรียนรู้จัก เพื่อให้ได้
ข้อสรุปว่า สารประกอบคาร์บอนทีพ่ บในสิ่งมีชวี ิตมีหลายประเภทเช่น คาร์โบไฮเดรต โปรตีน ลิพิด และกรด
นิวคลอี ิก
1.2 ครูให้ความรู้เพิ่มเติมว่า สารประกอบคาร์บอนเหล่านี้จะมีอะตอมคาร์บอนและไฮโดรเจนเป็น
องค์ประกอบและ อาจมธี าตอุ น่ื ๆ เช่น ออกซิเจน ไนโตรเจน ฟอสฟอรสั และกำมะถันเป็นองคป์ ระกอบอยูด่ ้วย
ขนั้ ที่ 2 สาํ รวจและค้นหา
2.1 นักเรียนสืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับความหมายและตัวอย่างของหมู่ฟังก์ชัน การเขียนโครงสร้างและ
แหล่งที่ พบ ควรให้นักเรียนเขา้ ใจสญั ลักษณข์ องสูตรทัว่ ไปเกย่ี วกบั โครงสร้างเพอื่ เป็นพื้นฐานในการศึกษาตอ่ ไป
2.2 ครใู ช้คำถามเพ่ิมเตมิ เพอ่ื นำเขา้ สเู่ ร่อื งสารประกอบคาร์บอน โดยใช้คำถามดังน้ี
- สารประกอบคาร์บอนในสิ่งมีชีวิตมีโครงสร้างอย่างไร และมีความสำคัญต่อการดำรงชีวิต
ของส่ิงมีชีวติ อยา่ งไร (ครูอาจใช้รปู และใหน้ กั เรียนรว่ มกันสรปุ ว่า สารประกอบคารบ์ อนขนาดใหญ่สว่ นมากเป็น
พอลิเมอร์ที่เกิดจากโมเลกุลหน่วยย่อยเรียกว่ามอนอเมอร์หลายโมเลกุลเชื่อมกันด้วยพันธะเคมี เช่น การ
เชื่อมต่อกันของกลูโคส กลายเป็นแป้ง การเชื่อมต่อกันของกรดอะมิโนเกิดเป็นโปรตีน การเชื่อมต่อกันของ
นวิ คลีโอไทต์ เกดิ เปน็ สาย DNA ซ่ึงสารประกอบคารบ์ อนเหลา่ นเี้ ปน็ องค์ประกอบของสิ่งมีชวี ติ )
2.3 ครูทบทวนความรู้นกั เรียนโดยให้ยกตัวอย่างอาหารท่มี สี ารอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต จากน้ัน
ให้ นักเรียนสืบคน้ ขอ้ มูลเกย่ี วกบั ธาตทุ ีเ่ ป็นองค์ประกอบหลกั ประเภทของคาร์โบไฮเดรต คือ มอโนแซ็คคาไรด์
ไดแซ็ค คาไรด์ และพอลิแซค็ คาไรด์ ตัวอยา่ งของคาร์โบไฮเดรตแต่ละประเภท รวมถงึ ตัวอยา่ งและแหล่งท่ีพบ
คาร์โบไฮเดรต แต่ละชนิด
2.4 ครูใหน้ ักเรยี นศกึ ษาเกี่ยวกับประเภทของมอโนแซ็คคาไรด์ 2 ประเภท คือมอโนแซ็คคาไรด์ทมี่ ีคาร์
บอนิลกลุ่มแอลดีไฮด์ และมอโนแซ็คคาไรด์ที่มีคาร์บอนิลกลุ่มคีโตน สมบัติของเฮกโซส ศึกษาตำแหน่งของ
พันธะไกล โคซิตกิ ในโมเลกลุ ของไดแซค็ คาไรด์ ครอู าจใชค้ ำถามเพ่ิมเติมเพ่ือตรวจสอบความเขา้ ใจเก่ยี วกับพอลิ
แซ็คคาไรด์ ดงั นี้
- การจัดเรียงตวั ของกลูโคสในแป้ง ไกลโคเจน และเซลลูโลส มีการแตกแขนงของรูปแบบของพันธะ
ไกลโคซิดิก แตกต่างกันอย่างไร (แปง้ ประกอบดว้ ยอะไมโลส และอะไมโลเพกติน โดยอะไมโลสเปน็ พอลิเมอร์
ของกลโู คสเรียงต่อกนั เปน็ สาย ยาวโดยไมแ่ ตกแขนง เช่อื มตอ่ ดว้ ยพันธะไกลโคซติ ิกแบบ....... - 1,4 อะไมโลเพ
คตินเป็นพอลิเมอร์ของกลูโคส เรียงต่อกันเป็นสายยาวมีการแตกแขนง ส่วนที่เป็นสายยาวเกิดจากกลูโคส
เช่อื มต่อดว้ ยพนั ธะไกลโคซิติกแบบ ....... - 1,4 ส่วนท่ีแตกแขนงเกดิ จากกลโู คสเชอ่ื มตอ่ กัน ดว้ ยพันธะไกลโคซิ
ดกิ แบบ...... -1,6 ไกลโคเจน เปน็ พอลแิ ซค็ คาไรดป์ ระกอบด้วยกลูโคสต่อเป็นสายยาวมกี ารแตกกง่ิ ก้านเป็นสาย
ส้นั ๆจำนวนมาก และแขนงของไกลโคเจนมีจํานวนมากกว่าของอะไมโลเพกตนิ เซลลโู ลส เปน็ พอลแิ ซ็คคาไรด์
ที่ประกอบด้วยกลูโคสจำนวนมากต่อกันเป็นสายโซ่ยาวตรงคล้ายอะไมโลส แต่เชื่อมต่อด้วยพันธะไกลโคชิ
กแบบ ...... -1,4
2.5 ครูใหน้ กั เรียนทำกจิ กรรม เพอื่ ศึกษาสมบัตขิ องแป้งข้าวเหนียวและแป้งข้าวเจา้ ทม่ี ีสัดส่วนของอะ
ไมโลสและอะไมโลเพกทนิ แตกตา่ งกัน
ขนั้ 3 อธิบายและลงขอ้ สรปุ
3.1 ครใู หน้ กั เรียนนำเสนอผลการทำกจิ กรรม ซง่ึ นกั เรียนควรสรุปผลและอภิปรายผลการทดลองได้ว่า
แป้งข้าวเหนียวและแป้งข้าวเจ้ามีลักษณะที่แตกต่างกัน ซึ่งน้ำแป้งก่อนได้รับความร้อนมีลักษณะขุ่น แต่เม่ือ
ไดร้ ับ ความร้อนจะมีลกั ษณะใสขึ้นและหนืด โดยสัดส่วนของอะไมโลสและอะไมโลเพกตนิ ในแป้งมีผลต่อสมบัติ
ของแปง้ โดยทวั่ ไปแลว้ แปง้ ทม่ี ีอะไมโลสปริมาณสูงเมื่อทำให้สกุ จะดูดซบั นำ้ ได้มาก และเกิดการพองตัวไดม้ าก
กว่าเดิม หลายเท่า
3.2 ครใู ห้นักเรยี นตอบคำถามท้ายกจิ กรรม ดังน้ี
- จากผลการทดลองแป้งแต่ละชนิดหลังได้รับความร้อนมีลักษณะเหมือนหรือแตกต่างกัน
อย่างไร (น้ำแปง้ เมอื่ ไดร้ บั ความร้อนจะมลี กั ษณะแตกต่างกัน โดยแปง้ ข้าวเหนียวจะมีลักษณะนุ่มเหนยี วและขุ่น
สว่ น แป้งข้าวเจา้ จะมีลักษณะร่วน ไมเ่ หนียว จับตวั เป็นก้อน)
- นักเรียนคดิ วา่ อะไรเป็นสาเหตุทำให้ลกั ษณะของแป้งกอ่ นและหลังได้รับความรอ้ นมีความ
แตกต่างกนั (เนอื่ งจากแปง้ แต่ละชนดิ มีสัดสว่ นของอะไมโลสและอะไมโลเพคตนิ แตกต่างกนั ทำให้แป้งมีสมบัติ
ต่างกัน) กิจกรรมรวบยอด
ขนั้ ที่ 4 ขยายความรู้
4.1 ครูให้ความรู้เพิ่มเติมว่าแป้งจากพืชแต่ละชนิดมีสัดส่วนของอะไมโลสและอะไมโลเพกตินแตก
ตา่ งกัน ทำใหม้ ีสมบตั ิตา่ งกัน เชน่ ข้าวพันธ์ุที่อะไมโลสสงู เม่ือหงุ ตม้ สุกจะมีความเหนียวนอ้ ยกวา่ ร่วนและแข็ง
กว่า ข้าวเจา้ มีอะไมโลสประมาณร้อยละ 7-33 ส่วนข้าวหอมมะลิมีอะไมโลเพกตนิ สงู กวา่ ทำใหข้ ้าวหอมมะลิมี
ลักษณะนุ่มและเหนยี ว
4.2 ครูให้นักเรียนสืบค้นข้อมูลเพิ่มเติมเก่ียวกับไกลโคเจนซึง่ พบในเซลล์ตับและกล้ามเนื้อของสัตว์
เซลลูโลสเป็นองค์ประกอบของผนังเซลล์พืช ร่างกายของมนุษย์ไม่สามารถย่อยสลายเซลลูโลสได้ แต่การ
รับประทานเซลลโู ลสมีประโยชน์ในกระบวนการขบั ถา่ ยใหง้ า่ ยขน้ึ
4.3 ครูควรใหน้ ักเรียนสรุปหนา้ ทส่ี ำคญั ของคารโ์ บไฮเดรต ได้แก่
- เปน็ แหลง่ พลังงานในเซลล์ เช่น กลูโคส
- เปน็ อาหารสะสมของพืช และสตั ว์
- เปน็ สว่ นประกอบของผนงั เซลล์ เชน่ เซลูโลส เพปทิโดไกลเคน
ข้ันที่ 5 ประเมินผล
5.1 ครูตรวจสอบความเข้าใจของนกั เรยี นเกีย่ วกับโครงสร้างและความสำคญั ของคาร์โบไฮเดรตที่มีต่อ
สิ่งมชี ีวิต
8. สื่ออปุ กรณ์แหลง่ เรียนรู้
1. หนงั สือเรยี นรายวิชาเพิม่ เตมิ ชีววทิ ยา เลม่ 1 ชั้นมธั ยมศกึ ษาปที ่ี 4
2. สมุดบันทกึ ประสบการณ/์ ตอบคำถาม
9. ภาระชนิ้ งาน
- สืบคน้ ขอ้ มลู จากใบความรู้ ส่ือ และแหล่งเรียนรู้
- ตอบคาํ ถามในแบบฝกึ หัด
- กิจกรรม ศกึ ษาลักษณะของแปง้ ข้าวเหนยี วและขา้ วเจ้า
- สมดุ บันทึกประสบการณ์การเรยี นรู้
- สรุปผลการทดลอง กิจกรรม ศกึ ษาลักษณะของแปง้ ขา้ วเหนยี วและขา้ วเจา้
10. การวดั และประเมนิ ผล วธิ กี ารประเมนิ เกณฑก์ ารประเมิน
จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ ตรวจจากสมุดบันทกึ
ผ่านเกณฑก์ าร
ดา้ นความรู้ (K) ตรวจจากชิ้นงานและการนำเสนอ ประเมนิ ไม่นอ้ ย
1. นักเรียนสามารถสบื ค้นขอ้ มูล อธิบายโครงสร้าง ผลงาน กวา่ รอ้ ยละ 70
ของคารโ์ บไฮเดรตระบุกลมุ่ ของคาร์โบไฮเดรต - สังเกตพฤตกิ รรมระหว่างเรยี นโดย
รวมท้ังความสำคญั ของคาร์โบไฮเดรตต่อสิ่งมีชวี ติ ได้ ใช้แบบสงั เกตพฤตกิ รรมการทำงาน
2. นกั เรียนสามารถสบื คน้ ขอ้ มูล อธิบายโครงสรา้ ง กลุม่
ของโปรตีน และความสำคญั ของโปรตนี ทม่ี ีต่อ
สง่ิ มชี ีวติ ได้
ทกั ษะกระบวนการ (P)
3. ทำสอ่ื เผยแพรค่ วามรู้ในรปู แบบต่างๆ เช่น ป้าย
นเิ ทศ คลปิ วดี โิ อ
คณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค์ (A)
4. นกั เรียนกระตอื รือรน้ แสดงความคิดเหน็ และ
ทำงานร่วมกับเพื่อนอยา่ งสร้างสรรค์
11. บันทกึ หลังสอน
ผลการจดั การเรียนรู้
1.1 ด้านความรู้ (K) ……………………………………………………………………………………………………………….
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
1.2 ด้านทักษะ/กระบวนการ (P) …………………………………………………………………………………………….
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
1.3 ดา้ นคุณลักษณะ (A) …………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ปัญหาท่ีเกิดขึน้ ระหว่างการจดั การเรียนรู้
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
วิธี/แนวทางการแก้ปัญหา
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงชอ่ื ……………………………………………
(นางสาวณิชากร นามวงษา)
ครผู สู้ อน
ความคดิ เห็นของครพู ่ีเลย้ี ง
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงชื่อ……………………………………………
(นางสานติ กรเี ทพ)
ครพู ี่เลีย้ ง
ความคิดเหน็ ของบรหิ ารวชิ าการ
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงชอื่ ……………………………………………
(นางสายชล ดวงบุปผา )
ฝ่ายบริหารวิชาการ
ความคดิ เหน็ ของผบู้ ริหารสถานศกึ ษา
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงชื่อ……………………………………………
(……………………………………………)
ผูบ้ รหิ ารสถานศกึ ษา
ภาคผนวก
แบบประเมนิ คุณลกั ษณะอันพึงประสงค์
คำชี้แจง : ให้ผู้สอนสังเกตพฤตกิ รรมของนกั เรียนในระหวา่ งเรียนและนอกเวลาเรยี น แล้วขีด / ลงใน
ชอ่ งท่ีตรงกับระดบั คะแนน
ชอื่ .................................................................................ช้ัน.................เลขท่.ี ..............กลมุ่ ..............
คุณลักษณะอันพึง รายการประเมนิ ระดบั คะแนน
ประสงค์ 43 21
ปฏบิ ตั ติ ามข้อตกลง กฎเกณฑ์ ระเบยี บ ข้อบังคบั ของ
มีวินยั รบั ผิดชอบ ครอบครัวและโรงเรยี นตรงตอ่ เวลาในการปฏบิ ัตกิ จิ กรรมใน
ชวี ิตประจำวัน และรับผิดชอบในการทำงาน
ใฝ่เรยี นรู้ แสวงหาข้อมลู จากแหล่งการเรยี นรู้
มกี ารจดบันทึกความรูอ้ ยา่ งเป็นระบบ
มุ่งม่นั ในการทำงาน มคี วามตงั้ ใจและพยายามในการทำงานท่ไี ดร้ ับมอบหมาย
มีความอดทนและไมท่ ้อแท้ตอ่ อุปสรรคเพื่อใหง้ านสำเรจ็
ลงช่ือ………………………………………………………….. ผูป้ ระเมนิ
…………………/…………………../……………….
เกณฑ์การให้คะแนน ให้ 4 คะแนน เกณฑ์การตดั สินคุณภาพ
เตรยี มปัดเรอื เพอื่ แสดงพฤติกรรมอย่างสม่ำเสมอ ให้ 3 คะแนน
ปฏบิ ัตหิ รือแสดงพฤตกิ รรมบ่อยครั้ง ให้ 2 คะแนน ช่วงคะแนน ระดบั คุณภาพ
ปฏิบัตหิ รือแสดงพฤตกิ รรมบางครงั้ ให้ 1 คะแนน 12-10 ดมี าก
ปฏบิ ัติหรือแสดงพฤตกิ รรมนอ้ ยคร้งั
9-6 ดี
5-3 พอใช้
ต่ำกว่า 3 ปรบั ปรงุ
แผนการจัดการเรยี นรู้ 9
รายวิชาวิทยาศาสตรเ์ พมิ่ เติม (ชวี วทิ ยา) รหัส ว30241 ช้นั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 4
หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี 2 เคมเี ปน็ พน้ื ฐานของสิ่งมชี ีวิต จำนวน 15 ช่ัวโมง
เรื่อง สารประกอบคารบ์ อนในสิง่ มชี วี ติ จำนวน 3 ชวั่ โมง
สอนโดย นางสาวณิชากร นามวงษา ภาคเรยี นที่ 1/2565
1. ผลการเรยี นรู้
อธิบายโครงสรา้ งของลิพดิ และความสำคัญของลิพิดที่มตี ่อส่ิงมีชีวิต สืบค้นข้อมูล อธิบายโครงสร้าง
ของกรดนวิ คลอี กิ ระบุชนิดของกรดนิวคลอี ิก และความสำคัญของกรดนิวคลอี กิ ตอ่ ส่งิ มีชวี ิต
2. จุดประสงค์การจัดการเรียนรู้
1. นกั เรยี นสามารถสบื คน้ ขอ้ มลู อธิบายโครงสร้างของลิพิด ระบุกลมุ่ ของลิพิดตามโครงสรา้ ง และ
ความสำคญั ของลิพดิ ท่มี ีต่อ ส่งิ มีชวี ติ (K)
2. นกั เรียนสามารถอธบิ ายโครงสรา้ งและองคป์ ระกอบของนวิ คลโี อไทด์DNA และ RNA (K)
3. นกั เรียนสามารถเปรยี บเทียบความแตกต่างระหวา่ งโครงสรา้ งของ DNA และ RNA (K)
4. นกั เรยี นสามารถระบุชนดิ ของกรดนวิ คลีอิก และความสำคัญของกรดนวิ คลีอกิ ต่อส่งิ มชี วี ิตได้ (K)
5. นกั เรยี นสามารถทำส่ือเผยแพรค่ วามรู้ในรูปแบบต่างๆ ได้ (P)
6. นกั เรียนกระตอื รือรน้ แสดงความคิดเหน็ และทำงานรว่ มกบั เพือ่ นอยา่ งสรา้ งสรรค์ (A)
3. สาระสำคญั
สารที่พบในสงิ่ มชี วี ติ มีหลายประเภท เช่น คารโ์ บไฮเดรต โปรตนี ลิพดิ และกรดนวิ คลอี กิ ซึง่ เปน็ สารที่
มคี ารบ์ อนและไฮโดรเจนเปน็ องคป์ ระกอบหลกั และอาจมธี าตอุ ่ืนๆ เช่น ออกซิเจน ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และ
กำมะถันเป็นองคป์ ระกอบอยูด่ ้วย สารเหล่าน้ีเปน็ องค์ประกอบของเซลล์ ชว่ ยให้ร่างกายเจริญเตบิ โต เป็นสารท่ี
ให้พลงั งาน กรดนวิ คลีอกิ มี 2 ชนิดคอื DNA และ RNA ทำหนา้ ทเ่ี กบ็ และถา่ ยทอดขอ้ มูลทางพันธกุ รรม รวมทง้ั
ทาํ หน้าท่ีควบคมุ การสงั เคราะห์โปรตีน
4. สาระการเรยี นรู้
สารเคมีในเซลลข์ องสิง่ มชี วี ติ ประกอบดว้ ยสารอนนิ ทรีย์เช่น นำ้ แร่ธาตุ และสารอนิ ทรีย์ เชน่ คาร์
โบไฮเดรท โปรตนี ลิพิด กรดนวิ คลีอิก และวิตามิน สารเหล่าน้ีบางชนิดเปน็ องค์ประกอบ และบางชนิด
เก่ยี วขอ้ งกับการทาํ งานของเซลล์
5. สมรรถนะสำคญั ของผ้เู รยี น
1. ความสามารถในการสอื่ สาร
2. ความสามารถในการคิดวิเคราะห์
- ทกั ษะในการคดิ วเิ คราะห์
- ทักษะการคิดสร้างสรรค์
3. ความสามารถในการแก้ปญั หา
4. ความสามารถในการใช้ทกั ษะชีวติ
- กระบวนการทาํ งานกลมุ่
5. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี
6. คุณลักษณะอันพงึ ประสงค์
1) มีวนิ ัย
2) ใฝ่เรียนรู้
3) มงุ่ ม่ันในการทำงาน
7. กิจกรรมการเรียนรู้
ข้ันที่ 1 สรา้ งความสนใจ
1.1 ครูทบทวนความรู้เดิมของนักเรยี นโดยให้ยกตัวอย่างอาหารที่มสี ารอาหารประเภทโปรตีน หรือ
ภาพ ของเดก็ ทข่ี าดสารอาหารประเภทโปรตีน แลว้ ถามคำถามนำ วา่ โปรตีนสำคญั ตอ่ รา่ งกายอยา่ งไร
1.2 ครูใหน้ ักเรียนศึกษาโครงสร้างของกรดอะมิโนจากรปู แล้วตอบคำถามเพ่มิ เติม ดังนี้
- จากโครงสร้างของกรดอะมิโนมีธาตใุ ดเปน็ องค์ประกอบบ้าง
- สูตรโครงสร้างทั่วไปของกรดอะมิโนเป็นอย่างไร (นักเรียนควรสรุปได้ว่า โปรตีน
ประกอบด้วยหน่วยย่อยเรียกว่า กรดอะมิโน โดยกรดอะมิโนประกอบด้วยธาตุ หลักคือ คาร์บอน ไฮโดรเจน
ออกซเิ จน และไนโตรเจน บางชนิดประกอบด้วยอะตอมของธาตุอน่ื เชน่ กำมะถนั ฟอสฟอรัส เหล็ก เป็นธาตทุ ่ี
ถูกเติมหลงั จากโปรตีนสงั เคราะห์แลว้ ) กจิ กรรมพฒั นาการเรยี นรู้
ขั้นท่ี 2 สาํ รวจและคน้ หา
2.1 ครใู ห้นักเรียนเขียนแผนภาพเพ่อื สรุป ของกรดอะมโิ นเป็น ไดเพปไทด์ ไตรเพปไทด์ และพอลิเพป
ไทด์ ซ่งึ เกิดจากการสรา้ งพนั ธะเพปไทด์ เชื่อมต่อหมู่คารบ์ อกซิลของโมเลกุลแรกกับหมู่อะมโิ นของโมเลกุลถัด
มาในการ สรา้ งเพปไทด์แต่ละพนั ธะจะมกี ารปลดปล่อยโมเลกุลของนำ้ ออกมา 1 โมเลกุล
2.2 ให้นักเรียนตอบคำถามดงั นี้
- เพปไทด์ประกอบด้วยกรดอะมโิ น 4 ชนิด ชนิดละ 1 หน่วย จะสามารถมีสายเพปไทด์ที่มี
ลำดับกรดอะมิโนท่ี แตกต่างกันได้ก่ีแบบ (24 แบบ โดยให้นักเรียนเขียนแผนภาพ หรือสรุปเป็นสูตรได้ว่า n!
(อ่านว่า n แฟกทอเรยี ล) ในท่นี ้ี n คอื จาํ นวนชนิดของกรดอะมโิ น ซึง่ เท่ากบั 4 แทนค่าสูตร 4! = 4x3x2x1 =
24)
2.3 ครูทบทวนความรู้เดมิ โดยให้นักเรียนยกตัวอยา่ งอาหารท่ีเป็นแหล่งของสารอาหารประเภทลิพดิ
และ ให้นกั เรยี นศึกษาโครงสร้างของลขิ ติ และร่วมกันอภปิ รายเก่ียวกบั ธาตุท่ีเปน็ องคป์ ระกอบหลกั
2.4 ครใู ห้นกั เรยี นสืบคน้ ข้อมลู เก่ยี วกับประเด็น ดงั นี้
- โครงสรา้ งของลิพิด 2 กรดไขมันอม่ิ ตวั กรดไขมันไม่อิ่มตัว และไตรกลีเซอไรด์ 3 กรดไขมัน
จําเปน็ และกรดไขมันไม่จําเป็น 4 ความสาํ คญั ของลิพิดที่มตี อ่ สิ่งมชี วี ิต (ครแู ละนักเรียนร่วมกนั อภิปรายเพือ่ ให้
ได้ข้อสรุปวา่ ลิพดิ ประกอบด้วยธาตุ คาร์บอน ไฮโดรเจน และออกซเิ จนเปน็ องคป์ ระกอบหลัก ลิพิดบางชนิด
อาจมีธาตุไนโตรเจน และฟอสฟอรสั เปน็ องคป์ ระกอบ มโี ครงสรา้ งพนื้ ฐานทางเคมี ท่ีหลากหลาย ลพิ ดิ ท่ีพบใน
ในส่งิ มีชีวิตเช่น ไตรกลเี ซอไรด์ ฟอสโฟลิฟคิ สเตอรอยด)์
2.5 ครทู บทวนความรเู้ ดิมของนกั เรียนโดยใช้คำถาม ดังนี้
- ลักษณะของสิ่งมีชีวิตถูกควบคุมด้วยสารใดภายในเซลล์ (สารพันธุกรรม DNA) - สาร
พันธกุ รรมคือสารประกอบคาร์บอนชนดิ ใด มีกี่ชนดิ อะไรบา้ ง (สารพนั ธุกรรมเป็นกรดนวิ คลอี กิ มี 2 ชนิด คือ
DNA และ RNA)
2.6 ครูนำแบบจําลองหรือภาพโครงสร้างของ DNA มาให้นักเรียนศึกษาเพื่อให้สังเกตลักษณะของ
โมเลกุลและสว่ น ที่เป็นหน่วยยอ่ ยแต่ละหน่วย
ข้นั 3 อธบิ ายและลงขอ้ สรุป
3.1 ครูให้นักเรียนสืบค้นข้อมูล เพื่อสรุปได้ว่า โปรตีนส่วนใหญ่ในร่างกายที่สามารถทำหน้าที่ได้เปน็
สาย พอลิเพป ไทด์ที่เกิดการมว้ นพับเป็นโครงสรา้ งทีม่ ีลักษณะ 3 มิติ โดยแบง่ ออกเปน็ 4 ระดับ คือโครงสร้าง
ปฐมภมู ิ โครงสรา้ งทุติยภมู ิ โครงสรา้ งตตยิ ภูมิ และโครงสร้างจตุรภมู ิ
3.2 ใหน้ ักเรียนศกึ ษาและสบื คน้ ข้อมูลเกี่ยวกับบทบาทและหนา้ ทขี่ องโปรตนี ซ่ึงควรเปน็ ดังน้ี 1) ช่วย
ในการเจริญเติบโต 2) ช่วยในการลําเลียงสาร 3) ทำหน้าที่เป็นเอนไซม์เร่งปฏิกิริยาภายในเซลล์ 4) เป็น
โครงสรา้ งของเซลล์ เยอื่ ห้มุ เซลล์ และเป็นองคป์ ระกอบของโครโมโซม 5) เกีย่ วข้องในระบบภมู คิ ุ้มกันร่างกาย
6) เกี่ยวกับฮอร์โมนในระบบต่อมไร้ท่อ 7) ช่วยในการเคลื่อนที่ เช่น แอกทิน ไมโอซิน 8) บทบาทอื่นๆเป็น
องคป์ ระกอบของพิษงู พิษตะขาบ พษิ แมงมมุ )
3.3 ครใู หน้ ักเรยี นศกึ ษารปู เพ่ือสรุปใหไ้ ดว้ ่า กรดไขมันเปน็ สายไฮโรคาร์บอนท่ีมีหมู่คารบ์ อกซิลเป็นหมู่
ฟงั ก์ชนั อยู่ทปี่ ลายด้านหน่ึงโดยกรดไขมนั แต่ละชนิดมีจำนวนคารบ์ อนที่แตกต่างกันทำให้มีสมบัติต่างกัน กรด
ไขมนั อ่มิ ตวั มีคารบ์ อนทุกอะตอมเช่อื มตอ่ กันดว้ ยพันธะเดยี่ ว สว่ นกรดไขมันไมอ่ ิ่มตวั มบี างพนั ธะระหว่าอะตอม
ของ คาร์บอนเป็นพนั ธะคู่
3.4 ครูและนกั เรียนร่วมกันสรุปเกย่ี วกบั โครงสร้างของไตรกลีเซอไรด์ และฟอสโฟลิพิด ดังน้ี ชนิดของ
ไตรกลีเซอไรดข์ ึ้นอยกู่ บั ชนิดและโครงสร้างของกรดไขมันซึ่งอาจเป็นกรดไขมนั อม่ิ ตัว หรือกรดไขมันไม่อ่ิมตัวท่ี
เหมือน หรือแตกตา่ งกนั ก็ได้ สว่ นฟอสโฟลิพิดมีโครงสร้างประกอบด้วยกลีเซอรอล 9 โมเลกุล เช่อื มตอ่ กบั กรด
ไขมัน 2 โมเลกุล หมฟู่ อสเฟต 1 หมู่ และหมู่ R
3.5 ครใู ห้นักเรียนศึกษารูป เปรียบเทียบเพอ่ื สรุปให้ไดว้ า่ สเตอรอยด์มีหลายชนิดขน้ึ อยู่กบั หมู่ R และ
หมู่ฟังก์ชนั อื่นๆ ทมี่ าเช่ือมต่อกบั วงคาร์บอน ขอสตู รโครงสร้างทว่ั ไปของสเตอรอยด์ การสังเคราะหส์ เตอรอยด์
ชนดิ อน่ื ๆ เช่น เอสโตรเจน โพรเจสเทอโรน เทสโทสเทอโรน คอร์ตซิ อล มีคอเลสเตอรอลเป็นสารตงั้ ต้น
3.6 ครใู หน้ ักเรยี นศึกษาโครงสร้างเพือ่ ร่วมกันสรุปว่า โมเลกลุ ของ DNA ประกอบด้วยนิวคลีโอไทด์ท่ี
ต่อ กนั เป็นสายยาวดว้ ยพนั ธะฟอสโฟไดเอสเทอร์ เรยี กแตล่ ะสายวา่ พอลินิวคลีโอไทด์ซึ่งเป็นพอลเิ มอร์ สายพอ
ลินิวคลี โอไทด์มีปลายด้านหน่ึงเรยี กว่า 5’ และอีกด้านเรียกว่าปลาย 3’ โมเลกุลของ DNA ประกอบด้วย 2
สาย ของพอลิ นิวคลีโอไทด์บิดเป็นเกลียวคล้ายบันไดเวียนขวา โดยเบสอะดีนีนจับกับเบสไทมีน และเบส
ไซโทซีนจับกับเบสกวานีน
3.7 ครูให้นกั เรยี นสังเกตโครงสรา้ งของ RNA และใชค้ ำถามเพมิ่ เติม ดังนี้
- โครงสร้างของ RNA มีลักษณะเหมือนหรือแตกต่างจากโครงสร้างของ DNA อย่างไร
(โมเลกลุ ของ RNA ประกอบดว้ ย พอลนิ วิ คลีโอไทด์เพยี งสายเดยี ว โดยมเี บส 4 ชนดิ คือ อะดีนีน ยรู าซลิ ไซโท
ซนี และกวานีน นอกจากน้ยี งั ประกอบดว้ ยน้ าตาลไรโบสซึ่งคาร์บอนตำแหนง่ ท่ี 2 มหี มไู่ ฮดรอกซลิ )
ขัน้ ที่ 4 ขยายความรู้
4.1 ครใู หค้ วามรูเ้ พิม่ เติมว่า การบริโภคอาหารทข่ี าดกรดไขมันที่จำเป็นจะทำใหเ้ กิดความผิดปกติข้ึน
เช่น การอักเสบของผิวหนัง จำนวนเพลตเลตต่ำลง ติดเชื้อได้ง่าย บาดแผลหายช้า เส้นผมหยาบ การ
เจริญเติบโต หยุดชะงัก เป็นต้น ในน้ำมันจากปลาทะเลบางชนิด มีกรดไขมันอิ่มตัว 2 ชนิด คือ EPA
(eicosapentaenoic acid) DHA (docosahexaenoic acid) ซึ่งสามารถลดระดับไตรกลีเซอรอลและ
คอเลสเตอรอลในลโิ พโปรตีน ชนดิ LDL (low density lipoprotein) ในเลอื ดได้
4.2 ครูให้นักเรียนสืบค้นข้อมูลเพิม่ เติมเก่ียวกับปริมาณกรดไขมันอิ่มตัว และกรดไขมันไม่อิ่มตัวใน
นำ้ มนั ชนดิ ต่างๆทใี่ ช้ประกอบอาหาร และอาจใชค้ าํ ถามเพ่ิมเติมเพ่ือเชื่อมโยงกบั ชวี ิตประจำวนั ดังนี้
- เหตุใดนำ้ มนั บางชนิด เม่ือนำไปแชเ่ ยน็ จึงไม่แข็งตัว (นำ้ มนั ทีป่ ระกอบดว้ ยกรดไขมันอ่ิมตัว
จุดหลอมเหลวจะต่ำ เน่อื งจากการมพี นั ธะคู่ในโครงสร้าง การจดั เรียงตัวจึง ไมเ่ ป็นระเบยี บ ถ้าพันธะคู่มีมากก็
ยิ่งทำให้จุดหลอมเหลวต่ำลงมาก ส่วนใหญ่กรดไขมันไม่อิ่มตัวมีจุดหลอมเหลว ประมาณ -49 ถึง -0.5 องศา
เซลเซยี ส ซงึ่ ตำ่ กว่าอณุ หภูมใิ นตเู้ ย็นจึงไม่แข็งตวั สำหรบั กรด
ขน้ั ท่ี 5 ประเมนิ ผล
5.1 ครตู รวจสอบความเขา้ ใจของนักเรียนเกย่ี วกับสารชวี โมเลกุลโดยใช้แบบทดสอบ
8. สอ่ื อุปกรณ์แหล่งเรยี นรู้
1. หนงั สอื เรยี นรายวิชาเพมิ่ เตมิ ชวี วิทยา เลม่ 1 ช้ันมัธยมศกึ ษาปที ่ี 4
2. สมดุ บันทึกประสบการณ์/ ตอบคำถาม
9. ภาระช้นิ งาน
- สืบค้นข้อมูลจากใบความรู้ ส่อื และแหล่งเรยี นรู้
- ตอบคําถามในแบบฝกึ หัด
- สมดุ บนั ทึกประสบการณ์การเรยี นรู้
10. การวัดและประเมนิ ผล วิธีการประเมนิ เกณฑ์การประเมนิ
จุดประสงค์การเรยี นรู้ ตรวจจากสมุดบนั ทกึ
ผา่ นเกณฑก์ าร
ด้านความรู้ (K) ประเมินไมน่ อ้ ย
1. นักเรียนสามารถสืบค้นขอ้ มลู อธิบายโครงสรา้ ง กว่าร้อยละ 70
ของลพิ ิด ระบุกลุม่ ของลิพิดตามโครงสร้าง และ
ความสำคัญของลพิ ิดท่ีมีตอ่ ส่ิงมีชีวติ ได้
2. นักเรยี นสามารถอธบิ ายโครงสร้างและ
องค์ประกอบของนิวคลโี อไทด์DNA และ RNA ได้
3. นักเรียนสามารถเปรยี บเทยี บความแตกตา่ ง
ระหวา่ งโครงสร้างของ DNA และ RNA ได้
4. นกั เรียนสามารถระบชุ นิดของกรดนิวคลอี ิก และ
ความสำคญั ของกรดนิวคลอี กิ ตอ่ สง่ิ มีชวี ติ ได้
ทกั ษะกระบวนการ (P) ตรวจจากชิน้ งานและการนำเสนอ
3. นกั เรียนสามารถทำสือ่ เผยแพร่ความรู้ในรูปแบบ ผลงาน
ต่างๆ ได้
คุณลกั ษณะอนั พึงประสงค์ (A) - สงั เกตพฤติกรรมระหว่างเรียนโดย
4. นักเรียนกระตอื รือรน้ แสดงความคิดเหน็ และ ใช้แบบสงั เกตพฤตกิ รรมการทำงาน
ทำงานรว่ มกบั เพื่อนอยา่ งสรา้ งสรรค์ กลุ่ม
11. บนั ทกึ หลังสอน
ผลการจัดการเรียนรู้
1.1 ด้านความรู้ (K) ……………………………………………………………………………………………………………….
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
1.2 ดา้ นทกั ษะ/กระบวนการ (P) …………………………………………………………………………………………….
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
1.3 ด้านคุณลักษณะ (A) …………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ปัญหาทเ่ี กดิ ข้ึนระหวา่ งการจัดการเรยี นรู้
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
วิธี/แนวทางการแก้ปัญหา
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงชือ่ ……………………………………………
(นางสาวณชิ ากร นามวงษา)
ครูผู้สอน
ความคิดเหน็ ของครพู ่เี ลย้ี ง
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงชือ่ ……………………………………………
(นางสานิต กรเี ทพ)
ครพู ่เี ลีย้ ง
ความคิดเหน็ ของบรหิ ารวชิ าการ
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงชอื่ ……………………………………………
(นางสายชล ดวงบุปผา )
ฝา่ ยบริหารวิชาการ
ความคดิ เหน็ ของผบู้ ริหารสถานศกึ ษา
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงชื่อ……………………………………………
(……………………………………………)
ผบู้ รหิ ารสถานศกึ ษา
ภาคผนวก
แบบประเมนิ คุณลกั ษณะอันพึงประสงค์
คำชี้แจง : ให้ผู้สอนสังเกตพฤตกิ รรมของนกั เรียนในระหวา่ งเรียนและนอกเวลาเรยี น แล้วขีด / ลงใน
ชอ่ งท่ีตรงกับระดบั คะแนน
ชอื่ .................................................................................ช้ัน.................เลขท่.ี ..............กลมุ่ ..............
คุณลักษณะอันพึง รายการประเมนิ ระดบั คะแนน
ประสงค์ 43 21
ปฏบิ ตั ติ ามข้อตกลง กฎเกณฑ์ ระเบยี บ ข้อบังคบั ของ
มีวินยั รบั ผิดชอบ ครอบครัวและโรงเรยี นตรงตอ่ เวลาในการปฏบิ ัตกิ จิ กรรมใน
ชวี ิตประจำวัน และรับผิดชอบในการทำงาน
ใฝ่เรยี นรู้ แสวงหาข้อมลู จากแหล่งการเรยี นรู้
มกี ารจดบันทึกความรูอ้ ยา่ งเป็นระบบ
มุ่งม่นั ในการทำงาน มคี วามตงั้ ใจและพยายามในการทำงานท่ไี ดร้ ับมอบหมาย
มีความอดทนและไมท่ ้อแท้ตอ่ อุปสรรคเพื่อใหง้ านสำเรจ็
ลงช่ือ………………………………………………………….. ผูป้ ระเมนิ
…………………/…………………../……………….
เกณฑ์การให้คะแนน ให้ 4 คะแนน เกณฑ์การตดั สินคุณภาพ
เตรยี มปัดเรอื เพอื่ แสดงพฤติกรรมอย่างสม่ำเสมอ ให้ 3 คะแนน
ปฏบิ ัตหิ รือแสดงพฤตกิ รรมบ่อยครั้ง ให้ 2 คะแนน ช่วงคะแนน ระดบั คุณภาพ
ปฏิบัตหิ รือแสดงพฤตกิ รรมบางครงั้ ให้ 1 คะแนน 12-10 ดมี าก
ปฏบิ ัติหรือแสดงพฤตกิ รรมนอ้ ยคร้งั
9-6 ดี
5-3 พอใช้
ต่ำกว่า 3 ปรบั ปรงุ
แผนการจัดการเรยี นรู้ 10
รายวิชาวิทยาศาสตรเ์ พิม่ เติม (ชวี วทิ ยา) รหัส ว30241 ชั้นมธั ยมศึกษาปีท่ี 4
หนว่ ยการเรยี นร้ทู ่ี 2 เคมเี ป็นพื้นฐานของสง่ิ มชี วี ติ จำนวน 15 ชวั่ โมง
เร่ือง ปฏิกิรยิ าเคมีในเซลลข์ องส่ิงมชี วี ิต จำนวน 1 ช่ัวโมง
สอนโดย นางสาวณชิ ากร นามวงษา ภาคเรียนที่ 1/2565
1. ผลการเรยี นรู้
สืบค้นข้อมูล และ อธิบายปฏิกิริยาเคมีที่เกิดขึ้นภายในเซลล์ของสิ่งมีชีวิต อธิบายการทำงานของ
เอนไซม์ในการเร่งปฏกิ ริ ยิ าเคมใี นสงิ่ มีชีวติ และระบปุ ัจจัยทมี่ ผี ลต่อการทำงานของ เอนไซม์
2. จุดประสงค์การจดั การเรยี นรู้
1. อธิบายและเปรยี บเทียบปฏิกริ ิยาดูดพลังงานและปฏิกิรยิ าคายพลังงานท่เี กิดขึน้ ในเซลลข์ อง
สง่ิ มีชีวติ (K)
2. อธบิ ายความสำคัญของการเกดิ ปฏกิ ริ ยิ าควบคู่กนั ระหวา่ งปฏกิ ริ ิยาดูดพลงั งานและปฏกิ ริ ยิ าคาย
พลังงานใน สิง่ มีชวี ิต (K)
3. นกั เรียนสามารถทำสือ่ เผยแพร่ความรู้ในรูปแบบต่างๆ ได้ (P)
4. นักเรียนกระตอื รือร้น แสดงความคิดเหน็ และทำงานรว่ มกับเพ่ือนอย่างสร้างสรรค์ (A)
3. สาระสำคญั
เมทาบอลซิ มึ เปน็ ปฏิกริ ยิ าท้งั หมดทเี่ กิดขน้ึ ในเซลล์ของส่งิ มีชีวติ ประกอบดว้ ยปฏิกริ ยิ าดูดพลังงาน
และ ปฏิกิริยาคายพลังงาน ปฏกิ ริ ยิ าเคมเี หลา่ น้ีจะดำเนนิ ไปได้อย่างรวดเร็วจำเป็นต้องอาศัยเอนไซมช์ ่วยเร่ง
ปฏกิ ริ ิยา โดยปฏิกริ ิยาเคมตี า่ งๆ ในสงิ่ มีชีวิตท้ังปฏิกริ ยิ าสลายสารอินทรยี ์และสงั เคราะหส์ ารอนิ ทรยี ์
มักประกอบด้วยปฏิกริ ิยาหลายขัน้ ตอนเกิดตอ่ เนือ่ งกันอยา่ งเปน็ ลำดบั และสามารถควบคมุ ได้ เอนไซม์สว่ นใหญ่
เปน็ สารประเภทโปรตนี ทำหนา้ ที่เรง่ ปฏกิ ริ ยิ าเคมโี ดยในขณะเกิดปฏิกริ ิยาเคมีในเซลล์ สารต้งั ตน้ จะเข้าไปจับ
กบั เอนไซมท์ ี่บรเิ วณเร่งอยา่ งจำเพาะและจะถูกเปล่ยี นเป็นสารผลติ ภณั ฑ์ อณุ หภมู ิ ความเป็นกรด-เบส รวมทั้ง
ความเขม้ ข้นของสารต้ังตน้ และความเข้มขน้ ของเอนไซม์ มีผลตอ่ ปฏกิ ิรยิ าตา่ งๆ ในเซลล์ ปฏกิ ริ ิยาอาจชะงัก
หรือหยดุ ไป ถา้ มสี ารทีม่ สี มบตั ิ ยบั ย้งั การทาํ งานของเอนไซม์ เข้ารว่ มกับเอนไซม์หรอื สารตงั้ ต้น
4. สาระการเรยี นรู้
ปฏิกิรยิ าเคมีในสง่ิ มชี วี ิตแบง่ ออกเปน็ 2 ประเภท คอื ปฏิกริ ยิ าคายพลังงานและปฏิกิริยาดูดพลงั งาน
ซ่งึ จำเป็นตอ้ งอาศัยเอนไซม์ชว่ ยเรง่ การเกดิ ปฏกิ ิรยิ าความเป็นกรด-เบส อุณหภมู ิ ความเข้มข้นของสารต้งั ตน้
และความเขม้ ขน้ ของเอนไซม์ มีผลตอ่ ปฏิกิรยิ าต่างๆ ในเซลล์ ปฏกิ ิริยาอาจชะงกั หรอื หยดุ ไป ถ้ามสี ารทีม่ สี มบัติ
ยับยง้ั การทำงานของเอนไซม์เข้ารวมกบั เอนไซม์หรือสารต้งั ตน้
5. สมรรถนะสำคัญของผูเ้ รียน
1. ความสามารถในการสือ่ สาร
2. ความสามารถในการคดิ วิเคราะห์
- ทักษะในการคิดวเิ คราะห์
- ทกั ษะการคดิ สรา้ งสรรค์
3. ความสามารถในการแกป้ ัญหา
4. ความสามารถในการใชท้ กั ษะชวี ติ
- กระบวนการทาํ งานกล่มุ
5. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี
6. คณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค์
1) มีวินัย
2) ใฝเ่ รยี นรู้
3) มงุ่ มั่นในการทำงาน
7. กจิ กรรมการเรยี นรู้
ขั้นที่ 1 สร้างความสนใจ
1.1 ครูนาํ เข้าสู่บทเรียนโดยใช้ตัวอยา่ งกิจกรรมในชวี ติ ประจำวนั เชน่ การเดนิ การว่งิ การรบั ประทาน
อาหาร การออกกำาลังกาย หรอื แม้กระท่งั การคดิ แลว้ ใหน้ กั เรยี นรว่ มกันอภิปรายเพื่อนำเขา้ ส่กู ารเกดิ ปฏิกริ ยิ า
เคมภี ายในเซลล์ขณะทํากิจกรรมตา่ งๆ โดยใชค้ ำถามนำดงั น้ี
- ขณะทํากิจกรรมตา่ งๆ จะเกดิ อะไรขนึ้ ภายในเซลล์ (นักเรยี นอาจตอบคำถามได้หลากหลาย
ตามประสบการณ์ ซึ่งครคู วรนำเข้าสู่ประเดน็ ที่เกยี่ วข้องกับสารภายใน เซลล์ เชน่ ขาทมี่ กี ารขยับเกิดจากการ
หดและคลายตวั ของกล้ามเนอื้ ซง่ึ การหดตัวนีต้ อ้ งอาศัยพลังงานโดย ภายในเซลลก์ ล้ามเน้อื จะตอ้ งลำเลียงสาร
ที่ต้องการซึ่งเก็บสะสมไว้บรเิ วณอื่นมาที่เซลล์กลา้ มเนือ้ เพื่อนำมาสลายและไดพ้ ลังงานโดยผ่านปฏกิ ิริยาเคมี
หลายขั้นตอนเป็นต้น ดังน้ันสารในเซลล์จะมที ง้ั ทถี่ ูกนำไปสลายเพือ่ ใหไ้ ด้พลงั งานและถกู นำไปเปน็ สารต้ังต้นใน
การสร้างสารอื่น และยังต้องมีการลำเลียงสารไปยังบริเวณ ต่างๆ ภายในเซลล์ รวมทั้งผ่านเข้าและออกจาก
เซลล์ดว้ ย)
ครูอาจแสดงภาพจากการสบื คน้ แหล่งเรียนรู้ อาจใชค้ ำค้นว่า biochemical pathway, metabolic pathway,
วิถีเมทาบอลิซมึ เปน็ ตน้
1.2 ครูทบทวนความรู้เดิมของนักเรียนเกีย่ วกับการเกิดปฏิกิริยาเคมีโดยอาจยกตัวอยา่ งสถานการณ์
เพ่ือให้นกั เรียนร่วมกนั อภปิ รายว่าเหตุการณใ์ ดตอ่ ไปนมี้ ีปฏิกริ ิยาเคมที เ่ี กดิ ขน้ึ หรอื ไมม่ ีข้อสงั เกตอยา่ งไร
- น้ำแขง็ ทว่ี างไว้ทอี่ ุณหภูมิห้องเร่มิ ละลาย (หลอมเหลว)
- กลว้ ยสุกท่วี างไว้ 3 วนั และเปลอื กเรมิ่ มีสดี า น้าํ
- ตาลกอ้ นทลี ะลายในกาแฟรอ้ น
- ผงฟูทีท่ ำใหข้ นมเคก้ ขึ้นฟู
- จดุ ไมข้ ดี ไฟลุกไหม้
(จากการอภปิ รายนกั เรียนควรอธิบายไดว้ ่าการเกิดปฏิกริ ยิ าเคมเี ปน็ การเปล่ียนแปลงทางเคมขี องสารทำให้เกิด
สาร ใหม่ทีม่ ีสมบตั แิ ตกตา่ งไปจากสารเดิม การมฟี องแก๊สหรือการตกตะกอนเกดิ ขึน้ มกี ารเพมิ่ หรอื ลดอุณหภมู ิ)
ขัน้ ท่ี 2 สํารวจและค้นหา
2.1 ครูเชอ่ื มโยงเขา้ สู่เรื่องของพลังงานกับการเกิดปฏิกิริยา โดยยกตัวอย่างปฏกิ ิรยิ าในสภาพแวดล้อม
ภายนอกก่อนเพ่อื ให้นักเรียนเข้าใจไดง้ ่าย เชน่
- ปฏิกิริยาแยกน้ำโดยใช้พลังงานไฟฟ้า โดยโมเลกุลของน้ำท่ีถูกแยกจะให้โมเลกุลของแกส๊
ไฮโดรเจนและแก๊ส ออกซิเจน
- ปฏิกิริยาเกิดน้ำโดยเมอื่ ให้ประกายไฟหรอื ความร้อนแกโ่ มเลกุลของแก๊สไฮโดรเจนและแก๊ส
ออกซิเจน จะรวมตัว เกิดน้ำขึ้น พร้อมกับการระเบิด โดยอาจใช้ภาพประกอบ หรือแสดงวีดิทัศน์จากแหลง่
เรยี นรคู้ ลังสือ่ DLIT
2.2 จากตัวอย่างปฏิกิริยาแยกน้ำและการเกิดน้ำ ครูใช้คำถามเพิ่มเติมเพ่ือนำนักเรียนสังเกตและ
อภิปรายว่ามีพลังงานเกี่ยวข้องหรือไม่ อย่างไร (นักเรียนควรร่วมกันสรุปได้ว่าพลังงานที่เกี่ยวข้องกับการ
เกิดปฏกิ ริ ยิ า ซงึ่ มีทัง้ ปฏกิ ริ ยิ าดดู พลงั งานและปฏิกิรยิ าคายพลังงาน)
2.3 ครแู บง่ กลุ่มนกั เรยี นออกเป็น 4 กลุม่ โดยการซมุ่ จากนนั้ ใหน้ กั เรียนแต่ละกลมุ่ รว่ มกันสืบค้นจาก
แหล่งเรยี นรู้ตา่ งๆ โดยทำเปน็ แผนผัง โดยมีคำถามดงั นี้
- นักเรียนคิดว่าการเกดิ ปฏิกิริยาทัง้ ที่เป็นปฏิกิริยาดดู พลังงานและปฏิกิริยาคายพลังงานมี
แนวโนม้ ทีจ่ ะเกดิ ข้นึ ได้เองหรือไม่
- ปฏิกริ ยิ าดดู พลังงานและปฏกิ ริ ยิ าคายพลังงานทีน่ กั เรียนรจู้ กั มีปฏกิ ริ ยิ าอะไรบ้าง
- ปฏิกิรยิ าการเกดิ น้ำ หรอื ปฏิกิริยาการเผาไหม้เชื้อเพลงิ ของเคร่ืองยนต์ ซึ่งต่างเป็นปฏิกิริยา
คายพลงั งาน จะเกิดปฏิกิริยาขนึ้ เมือ่ อย่ใู นสภาวะแบบใด และคดิ ว่าเพราะเหตุใด
ขั้น 3 อธบิ ายและลงขอ้ สรปุ
3.1 ครูอธิบายเพิ่มเกีย่ วกับพลังงานเคมซี ึ่งเป็นพลังงานศกั ยซ์ ง่ึ แฝงอยู่ในโครงสรา้ งของสาร และใช้รูป
ประกอบการอภปิ รายเพื่อให้นักเรียนเปรียบเทียบพลังงานของสารต้งั ตน้ และพลังงานของสารผลิตภัณฑ์ บอก
ความหมายของปฏกิ ิรยิ าดูดพลังงานและปฏิกริ ิยาคายพลังงาน จากนน้ั นำเข้าสู่การอภิปรายเกี่ยวกับพลังงาน
กระตนุ้
3.2 ครใู หน้ ักเรียนแตล่ ะกลุม่ ออกมานำเสนอผลงานท่ีให้ไปหาคำตอบจนครบทุกกลุ่ม
(จากการนำเสนอผลงานข้างต้น นักเรยี นอาจมีคำตอบที่หลากหลาย ครูใหน้ ักเรียนศึกษาจากรูปประกอบ และ
รว่ มกัน อภิปรายเกีย่ วกบั การเกิดปฏกิ ริ ยิ าน้นั เกีย่ วข้องกบั การสลายพันธะของสารตั้งตน้ ซง่ึ ต้องใช้พลังงาน และ
เมื่อสร้าง พนั ธะใหมข่ องสารผลติ ภณั ฑ์ จะมพี ลงั งานท่ีคายออกมา จากนนั้ ครูอธบิ ายเพิ่มเตมิ เก่ียวกับพลังงาน
กระตนุ้ ของ ปฏิกริ ยิ าว่าคือพลังงานเร่ิมต้นท่ีสารตง้ั ต้นตอ้ งการเพือ่ ใช้ในการสลายพันธะ ซ่ึงระหว่างการสลาย
พนั ธะของสารตั้ง ต้นและสารผลติ ภัณฑ์ ซงึ่ สารดังกล่าวอยใู่ นสภาวะทไี่ มเ่ สถยี รและมีพลังงานสูงมาก และสาร
นี้พรอ้ มทจ่ี ะสลายและ เกิดเปน็ สารผลิตภณั ฑ์ ท่ีมคี วามเสถยี รมากขึ้นและมพี ลังงานต่ำลง)
ขน้ั ท่ี 4 ขยายความรู้
4.1 ครูเช่อื มโยงเข้าสู่ปฏกิ ริ ิยาเคมที ีเ่ กดิ ข้นึ ในสิง่ มชี ีวติ วา่ มีหลกั การเดยี วกนั ปฏิกริ ิยาท่กี ล่าวมาข้างต้น
คอื มีท้งั ปฏิกริ ิยาดดู พลงั งานและปฏิกิรยิ าคายพลังงาน
ขน้ั ที่ 5 ประเมนิ ผล
5.1 ครูตรวจสอบความเข้าใจของนักเรียนเกี่ยวกับลักษณะการเกิดปฏิกิริยาเคมีในสิ่งมีชีวิต โดยให้
นกั เรยี นตอบคาํ ถามเพอ่ื ตรวจสอบความเข้าใจในหนงั สอื เรียน
- ศึกษาปฏกิ ิรยิ าเคมีแล้วตอบคำถาม
- ปฏิกิริยาที่ต้องใช้พลังงานเกิดข้ึนได้อย่างไรภายในเซลล์ของสิ่งมีชีวิต (ปฏิกิริยาที่ต้องใช้
พลงั งานภายในเซลลข์ องสิ่งมีชีวิตสว่ นใหญจ่ ะเกดิ ขึ้นในลักษณะปฏกิ ิริยาควบคู่กนั ระหวา่ งปฏิกริ ยิ าดูดพลังงาน
และปฏิกิริยาคายพลังงาน โดยพลังงานที่คายออกมาในปฏิกิริยาคายพลังงานจะถูกนำมาใช้ในปฏิกิริยาดูด
พลงั งาน และพลงั งานทีใ่ ช้ภายในเซลล์ส่วนใหญ่จะอยู่ในรปู ของ ATP ซง่ึ เป็นสารพลังงานสงู )
8. ส่ืออปุ กรณ์แหล่งเรียนรู้
1. หนงั สือเรียนรายวิชาเพ่ิมเตมิ ชวี วิทยา เลม่ 1 ชั้นมธั ยมศกึ ษาปที ี่ 4
2. สมุดบนั ทึกประสบการณ์/ ตอบคำถาม
9. ภาระชน้ิ งาน
- สืบค้นขอ้ มูลจากใบความรู้ สอื่ และแหลง่ เรยี นรู้
- ตอบคําถามในแบบฝกึ หัด
- สมดุ บนั ทึกประสบการณ์การเรียนรู้
10. การวัดและประเมนิ ผล วธิ ีการประเมิน เกณฑก์ ารประเมนิ
จุดประสงคก์ ารเรียนรู้ ตรวจจากสมุดบันทึก
ผ่านเกณฑ์การ
ด้านความรู้ (K) ตรวจจากชน้ิ งานและการนำเสนอ ประเมนิ ไม่นอ้ ย
1. อธบิ ายและเปรยี บเทยี บปฏกิ ริ ิยาดูดพลงั งานและ ผลงาน กวา่ รอ้ ยละ 70
ปฏิกริ ิยาคายพลังงานทเี่ กดิ ขึ้นในเซลลข์ องสงิ่ มชี วี ติ - สงั เกตพฤติกรรมระหวา่ งเรยี นโดย
2. อธบิ ายความสำคัญของการเกดิ ปฏิกิรยิ าควบคูก่ นั ใช้แบบสังเกตพฤตกิ รรมการทำงาน
ระหว่างปฏกิ ริ ิยาดดู พลังงานและปฏกิ ิริยาคาย กลมุ่
พลงั งานใน สิ่งมีชวี ติ
ทกั ษะกระบวนการ (P)
3. นักเรยี นสามารถทำสือ่ เผยแพร่ความรู้ในรปู แบบ
ต่างๆ ได้
คุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ (A)
4. นักเรียนกระตอื รอื ร้น แสดงความคิดเห็นและ
ทำงานรว่ มกับเพอื่ นอย่างสรา้ งสรรค์
11. บนั ทกึ หลังสอน
ผลการจัดการเรียนรู้
1.1 ด้านความรู้ (K) ……………………………………………………………………………………………………………….
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
1.2 ดา้ นทกั ษะ/กระบวนการ (P) …………………………………………………………………………………………….
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
1.3 ด้านคุณลักษณะ (A) …………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ปัญหาทเ่ี กดิ ข้ึนระหวา่ งการจัดการเรยี นรู้
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
วิธี/แนวทางการแก้ปัญหา
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงชือ่ ……………………………………………
(นางสาวณชิ ากร นามวงษา)
ครูผสู้ อน
ความคิดเหน็ ของครพู ่เี ลย้ี ง
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงชือ่ ……………………………………………
(นางสานิต กรีเทพ)
ครพู ่ีเล้ียง
ความคิดเหน็ ของบรหิ ารวชิ าการ
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงชอื่ ……………………………………………
(นางสายชล ดวงบุปผา )
ฝ่ายบริหารวิชาการ
ความคดิ เหน็ ของผบู้ ริหารสถานศกึ ษา
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงชื่อ……………………………………………
(……………………………………………)
ผูบ้ รหิ ารสถานศกึ ษา
ภาคผนวก
แบบประเมนิ คุณลกั ษณะอันพึงประสงค์
คำชี้แจง : ให้ผู้สอนสังเกตพฤตกิ รรมของนกั เรียนในระหวา่ งเรียนและนอกเวลาเรยี น แล้วขีด / ลงใน
ชอ่ งท่ีตรงกับระดบั คะแนน
ชอื่ .................................................................................ช้ัน.................เลขท่.ี ..............กลมุ่ ..............
คุณลักษณะอันพึง รายการประเมนิ ระดบั คะแนน
ประสงค์ 43 21
ปฏบิ ตั ติ ามข้อตกลง กฎเกณฑ์ ระเบยี บ ข้อบังคบั ของ
มีวินยั รบั ผิดชอบ ครอบครัวและโรงเรยี นตรงตอ่ เวลาในการปฏบิ ัตกิ จิ กรรมใน
ชวี ิตประจำวัน และรับผิดชอบในการทำงาน
ใฝ่เรยี นรู้ แสวงหาข้อมลู จากแหล่งการเรยี นรู้
มกี ารจดบันทึกความรูอ้ ยา่ งเป็นระบบ
มุ่งม่นั ในการทำงาน มคี วามตงั้ ใจและพยายามในการทำงานท่ไี ดร้ ับมอบหมาย
มีความอดทนและไมท่ ้อแท้ตอ่ อุปสรรคเพื่อใหง้ านสำเรจ็
ลงช่ือ………………………………………………………….. ผูป้ ระเมนิ
…………………/…………………../……………….
เกณฑ์การให้คะแนน ให้ 4 คะแนน เกณฑ์การตดั สินคุณภาพ
เตรยี มปัดเรอื เพอื่ แสดงพฤติกรรมอย่างสม่ำเสมอ ให้ 3 คะแนน
ปฏบิ ัตหิ รือแสดงพฤตกิ รรมบ่อยครั้ง ให้ 2 คะแนน ช่วงคะแนน ระดบั คุณภาพ
ปฏิบัตหิ รือแสดงพฤตกิ รรมบางครงั้ ให้ 1 คะแนน 12-10 ดมี าก
ปฏบิ ัติหรือแสดงพฤตกิ รรมนอ้ ยคร้งั
9-6 ดี
5-3 พอใช้
ต่ำกว่า 3 ปรบั ปรงุ
แผนการจัดการเรยี นรู้ 11
รายวิชาวิทยาศาสตรเ์ พิม่ เตมิ (ชวี วิทยา) รหัส ว30241 ช้นั มัธยมศึกษาปที ่ี 4
หนว่ ยการเรียนรูท้ ่ี 2 เคมีเปน็ พนื้ ฐานของสง่ิ มชี วี ิต จำนวน 15 ชวั่ โมง
เร่ือง ปฏกิ ิริยาเคมีในเซลล์ของสง่ิ มชี วี ิต จำนวน 1 ชั่วโมง
สอนโดย นางสาวณิชากร นามวงษา ภาคเรียนท่ี 1/2565
1. ผลการเรยี นรู้
สืบค้นข้อมูล และ อธิบายปฏิกิริยาเคมีที่เกิดขึ้นภายในเซลล์ของสิ่งมีชีวิต อธิบายการทำงานของ
เอนไซมใ์ นการเร่งปฏิกิริยาเคมใี นสง่ิ มีชีวติ และระบุปจั จัยท่มี ีผลต่อการทำงานของ เอนไซม์
2. จดุ ประสงค์การจดั การเรยี นรู้
1. อธบิ ายความหมายและประเภทของเมทาบอลซิ มึ (K)
2. อธิบายกลไกการทำงานของเอนไซม์ในการเร่งปฏิกิริยาเคมีในสิง่ มชี วี ติ และการยบั ยง้ั การท างาน
ของเอนไซม์ (K)
3. ระบุปัจจัยท่ีมีผลต่อการทำงานของเอนไซม์ และอธบิ ายผลของปัจจยั นั้นๆ ที่มีประสิทธิภาพต่อการ
ทำงานของเอนไซม์ (K)
4. นกั เรยี นสามารถทำการทดลองเรอื่ งเอนไซมจ์ ากส่งิ มชี วี ติ ได้ (P)
5. นักเรยี นกระตอื รอื ร้น แสดงความคดิ เหน็ และทำงานรว่ มกบั เพอื่ นอย่างสร้างสรรค์ (A)
3. สาระสำคญั
เมทาบอลซิ ึม เป็นปฏกิ ริ ยิ าท้งั หมดท่ีเกดิ ข้นึ ในเซลลข์ องส่ิงมีชีวติ ประกอบดว้ ยปฏกิ ิริยาดดู พลังงาน
และ ปฏกิ ริ ิยาคายพลงั งาน ปฏกิ ริ ิยาเคมเี หล่าน้ีจะดำเนินไปได้อย่างรวดเร็วจำเป็นตอ้ งอาศัยเอนไซม์ช่วยเร่ง
ปฏิกริ ิยา โดยปฏกิ ริ ิยาเคมีต่างๆ ในสิง่ มีชีวติ ทงั้ ปฏิกริ ยิ าสลายสารอินทรยี ์และสังเคราะหส์ ารอนิ ทรยี ์
มกั ประกอบดว้ ยปฏิกริ ิยาหลายขั้นตอนเกิดตอ่ เนอ่ื งกนั อยา่ งเปน็ ลำดบั และสามารถควบคุมได้ เอนไซมส์ ่วนใหญ่
เปน็ สารประเภทโปรตนี ทำหน้าท่เี รง่ ปฏกิ ิริยาเคมีโดยในขณะเกิดปฏิกิริยาเคมใี นเซลล์ สารตั้งต้นจะเขา้ ไปจับ
กับเอนไซมท์ ่ีบรเิ วณเร่งอยา่ งจำเพาะและจะถกู เปลยี่ นเปน็ สารผลติ ภัณฑ์ อณุ หภูมิ ความเป็นกรด-เบส รวมท้ัง
ความเข้มข้นของสารตง้ั ต้น และความเขม้ ขน้ ของเอนไซม์ มีผลต่อปฏกิ ิริยาตา่ งๆ ในเซลล์ ปฏิกิริยาอาจชะงกั
หรือหยดุ ไป ถา้ มสี ารทมี่ สี มบตั ิ ยบั ย้งั การทํางานของเอนไซม์ เขา้ ร่วมกับเอนไซม์หรอื สารตัง้ ตน้
4. สาระการเรียนรู้
ปฏิกริ ยิ าเคมีในสง่ิ มชี วี ติ แบ่งออกเปน็ 2 ประเภท คอื ปฏิกริ ิยาคายพลงั งานและปฏกิ ิรยิ าดดู พลังงาน
ซ่งึ จำเปน็ ตอ้ งอาศัยเอนไซมช์ ่วยเร่งการเกิดปฏิกริ ิยาความเปน็ กรด-เบส อณุ หภมู ิ ความเข้มขน้ ของสารต้ังต้น
และความเข้มข้นของเอนไซม์ มผี ลตอ่ ปฏิกริ ิยาต่างๆ ในเซลล์ ปฏกิ ริ ยิ าอาจชะงักหรอื หยดุ ไป ถา้ มีสารที่มสี มบตั ิ
ยับยง้ั การทำงานของเอนไซม์เข้ารวมกบั เอนไซม์หรอื สารตัง้ ตน้
5. สมรรถนะสำคญั ของผู้เรยี น
1. ความสามารถในการสอ่ื สาร
2. ความสามารถในการคดิ วเิ คราะห์
- ทกั ษะในการคดิ วิเคราะห์
- ทกั ษะการคิดสร้างสรรค์
3. ความสามารถในการแก้ปญั หา
4. ความสามารถในการใช้ทกั ษะชีวิต
- กระบวนการทาํ งานกลุ่ม
5. ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี
6. คุณลักษณะอนั พงึ ประสงค์
1) มีวินยั
2) ใฝเ่ รียนรู้
3) มุ่งมัน่ ในการทำงาน
7. กจิ กรรมการเรยี นรู้
ขั้นที่ 1 สรา้ งความสนใจ
1.1 ครูให้นักเรียนยกตัวอย่างปฏิกริ ยิ าเคมีต่างๆทีน่ กั เรียนรู้จัก และอาจใหต้ ัวอย่างปฏิกิริยาเพ่ิมเติม
เพื่อให้มที ัง้ ตวั อย่างท่ีเป็นปฏกิ ิริยาที่เกิดขึ้นจากสภาพแวดลอ้ มภายนอก และปฏิกิรยิ าทเี่ กดิ ขึ้นภายในส่ิงมีชีวิต
โดยตัวอย่างปฏิกิริยาอาจเป็น ดงั นี้
- ปฏกิ ิริยาที่เกดิ ขนึ้ จากสภาพแวดล้อมภายนอก -การเกดิ สนิม
- การเผาไหม้
- การผุกรอ่ น
- การระเบิดของดนิ ปืน
- ปฏกิ ริ ยิ าที่เกิดขน้ึ ภายในสง่ิ มีชีวติ
- กระบวนการย่อยอาหาร
- การสงั เคราะห์ด้วยแสง
- การสังเคราะห์สารโมเลกุลใหญ่
- การสลายสารทอ่ี าจเปน็ อันตรายตอ่ ร่างกาย
1.2 ครูให้นักเรียนร่วมกันอภิปรายว่าปฏิกิริยาใดบ้างที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว และปฏิกิริยาใดบ้างที่
เกิดข้ึน ได้ชา้ อาจต้งั คำถามว่า ปฏิกิริยาท่ีเกิดข้นึ ในส่ิงมีชีวติ เป็นควรเช่นไร เพราะเหตุใด (แนวคำตอบ : การ
เกิดปฏิกิริยาในสิ่งมีชีวิตเกิดได้อย่างรวดเร็ว มีความจำเพาะ (เอนไซม์มีความจำเพาะแต่ละ ปฏิกิริยา และ
สามารถควบคุมได้)
ขั้นท่ี 2 สํารวจและค้นหา
2.1 ครใู หน้ กั เรยี นทำกจิ กรรมเอนไซม์จากส่งิ มีชีวติ
2.2 ครูให้นักเรียนพิจารณาข้อมูลเกี่ยวกับ H2O2 ซึ่งเป็นสารที่เกิดขึ้นจากปฏิกิริยาเคมีภายในเซลล์
และ เป็นอันตรายต่อเซลล์ ซึ่งถ้ามีปริมาณมากและไม่ถูกทำลายโดยทันทีจะทำให้เซลล์ตายได้ โดยจากการ
อภิปราย นกั เรียนควรบอกได้วา่ ในสภาวะปกติจะเหน็ ว่าเซลล์สามารถอยรู่ อดได้ ดังนั้นเซลล์จึงนา่ จะมีกลไกใน
การควบคุม การเกดิ ปฏกิ ิรยิ าเคมเี พ่ือสลาย H2O2
2.3 ครูให้นักเรียนสืบค้นข้อมูล และอภิปรายร่วมกันเกี่ยวกับปฏิกิริยาเคมีในเซลล์ของสิ่งมีชีวิตซ่ึง
เกดิ ขึ้น โดยอาศัยเอนไซม์เปน็ ตวั เร่งปฏกิ ริ ิยาเคมี
2.4 ครูให้นักเรียนเลือกชิ้นส่วนของสิ่งมีชีวิตที่ใช้ในการทดลองตามความสนใจและควรซักถามว่า
เพราะเหตุใดจึงเลือกช้นิ ส่วนของสิง่ มีชวี ติ นน้ั ๆ มาทดลอง
2.5 อภิปรายถึงกระบวนการทดลองว่าหลอดที่ 1 และ 2 เป็นชุดควบคุม หลอดที่ 3 เป็นชุดทดลอง
เพื่อ ใชเ้ ปรยี บเทียบกับหลอดท่ี 1 และ 2
ขน้ั 3 อธิบายและลงขอ้ สรปุ
3.1 ผลการทดลองทไ่ี ดค้ วรเปน็ ดังตาราง
หลอดทดลอง การทดลอง ผลการทดลองท่สี งั เกตได้
1 H2O2 ไมม่ ีการเปลีย่ นแปลง
2 H2O2+KI มฟี องแกส๊ เกดิ ขน้ึ
3 H2O2+ตัวอย่างทน่ี ำมาศกึ ษา มีฟองแก๊สเกดิ ขึน้
3.2 ให้แต่ละกลุ่มนำเสนอผลการทดลอง ข้อสรุปที่ได้จากการทดลอง และอภิปรายร่วมกัน ซึ่งจาก
การ อภิปรายนักเรยี นควรสรปุ ได้ว่าสง่ิ มีชีวิตมเี อนไซม์ท่ีสามารถทำให้เกิดปฏกิ ริ ิยาการสลาย H506 เกิดข้ึนได้
อย่าง รวดเรว็
3.3 ครใู ห้นกั เรียนตอบคำถามท้ายกจิ กรรม ซึ่งมีแนวคำตอบ ดงั นี้
- ผลการทดลองของหลอดทดลองทงั้ 3 หลอดมคี วามแตกต่างกันอย่างไร (หลอดทดลองที่ 1
ไมเ่ กดิ ฟองแกส๊ และมีฟองแกส๊ เกดิ ขนึ้ อย่างรวดเรว็ ในหลอดท่ี 2 และ 3)
- เพราะเหตใุ ดจึงต้องมีการทดลองหลอดที่ 1 และ 2 (การทดลองหลอดที่ 1 และ 2 เป็นชุด
ควบคุมเพ่อื เปรยี บเทยี บกับหลอดท่ี 3) หลอดที่ 1 ไมเ่ กดิ ฟองแกส๊ ข้นึ เนื่องจากปฏิกริ ยิ าการสลายตวั ของ H2O2