The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

แผนการจัดการเรียนรู้ชีววิทยา ม.4 รหัสวิชา ว30241 ภาคเรียนที่1 ปีการศึกษา 2565 จัดทำโดย นางสาวณิชากร นามวงษา รหัสนักศึกษา 62040111109

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Nachi Nicha, 2022-10-20 12:52:59

แผนการสอนวิชาชีววิทยา ม.4 เทอม 1

แผนการจัดการเรียนรู้ชีววิทยา ม.4 รหัสวิชา ว30241 ภาคเรียนที่1 ปีการศึกษา 2565 จัดทำโดย นางสาวณิชากร นามวงษา รหัสนักศึกษา 62040111109

5. สมรรถนะสำคัญของผู้เรยี น
1. ความสามารถในการส่ือสาร
2. ความสามารถในการคิดวเิ คราะห์
- ทกั ษะในการคิดวิเคราะห์
- ทกั ษะการคดิ สรา้ งสรรค์
3. ความสามารถในการแกป้ ญั หา
4. ความสามารถในการใช้ทักษะชวี ิต
- กระบวนการทาํ งานกลมุ่
5. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี

6. คณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงค์
1) มวี ินยั
2) ใฝ่เรียนรู้
3) มงุ่ มน่ั ในการทำงาน

7. กิจกรรมการเรยี นรู้
ขั้นที่ 1 สรา้ งความสนใจ

1.1 ครูนำเข้าสู่บทเรียนโดยครูทบทวนความรู้เรื่องการแพร่ของโมเลกุลสาร ซึ่งเป็นการแพร่แบบ
ธรรมดา มีการ ลาเลียงจากบริเวณที่มีความเข้มข้นของสารสูงไปยงั บริเวณที่มคี วามเข้มข้นของสารต่างๆ ครู
อธิบายเกี่ยวกับ ออสโมซิส ซึ่งเป็นการเคลื่อนที่ของโมเลกุลน้ำ ครูอาจเชื่อมโยงความรู้กับสถานการณ์ใน
ชวี ติ ประจำวัน เชน่ การเกบ็ รักษาพืชผัก ไมใ่ หเ้ หย่ี ว ความเขม้ ข้นของนำ้ เกลอื ทใี่ ห้ผู้ป่วยผ่านทางหลอดเลือด

1.2 ครูให้นักเรียนดูคลิปวีดโิ อเกีย่ วกับการออสโมซิสของน้ำในสารละลายแตกต่างกัน สังเกตผลการ
ทดลองและ ร่วมกนั อภปิ ราย
ข้นั ที่ 2 สาํ รวจและคน้ หา

2.1 ครนู ำสู่เรอื่ งการแพร่แบบฟาซลิ ิเทต โดยใชผ้ ลวดั อัตราการลำเลยี งกลูโคสเขา้ สู่เซลล์เม็ดเลือดแดง
โดยเล้ยี ง เซลล์เมด็ เลือดแดงในสารละลายกลโู คสทีม่ ีความเข้มข้นแตกต่างกัน พบวา่ อัตราการลำเลียงท่ีวัดได้
ต่างจาก ค่าประมาณการ หากเกิดการลำเลียงโดยการแพร่แบบธรรมดา ครใู ช้คำถามนำวา่ การลำเลียงกลูโคส
เข้าสู่ เซลล์เมด็ เลอื ดแดงมีกลไกเปน็ อย่างไร

2.2 ครูให้นักเรียนเปรียบเทียบการแพรแ่ บบธรรมดา และการแพร่แบบฟาซิลิเทตในประเด็นดังต่อไปนี้
- กลไกการลา้ เสยี ง
- ทศิ ทางการลาเลียง
- ตัวอย่างทพี บ

ขั้น 3 อธิบายและลงขอ้ สรุป
3.1 ครูและนกั เรยี นร่วมกันอภิปรายและตอบคำถาม ดังน้ี
- เมื่อความเข้มข้นเริ่มต้นของกลูโคสภายนอกสูงขึ้นมาก เพราะเหตุใดอัตราการลำเลียง

กลโู คสจึงมแี นวโน้มท่ีจะมี คา่ คงที่ในทส่ี ดุ (เนอ่ื งจากโปรตีนที่ใช้ลำเลียงกลูโคสดว้ ยการแพร่แบบฟาซลิ ิเทตน้ันมี
ปริมาณจำกัดในเยื่อหุ้มเซลล์ เมื่อถึงจุด อิ่มตัว โปรตีนทุกตัวทำหน้าที่ลำเลียงกลูโคส ดังนั้นเมื่อเพิ่มความ
เขม้ ข้นของกลูโคสภายนอกเซลล์ข้ึนอกี ก็จะ ไมส่ ามารถเพิ่มอัตราการลำเลยี งกลโู คสเขา้ สเู่ ซลลไ์ ด้)

- การที่โปรตีนลำเลยี งในเยือ่ ห้มุ เซลลม์ คี วามจำเพาะกับชนดิ ของสารทีล่ ำเลียง มปี ระโยชนต์ ่อ
เซลล์อย่างไร (การทโ่ี ปรตีนลำเลยี งในเยื่อหุ้มเซลล์มคี วามจำเพาะกับชนิดของสารทีล่ ำเลียง ทำใหเ้ ซลลส์ ามารถ
ควบคมุ ชนดิ และปริมาณสารที่ผา่ นเขา้ ออกได้อยา่ งเป็นระบบ เซลล์จึงรักษาความเขม้ ข้นของสารแต่ละชนิดได้
ตามความ เหมาะสม)

3.2 ครอู ธิบายเกีย่ วกบั แอกทีฟทรานสปอร์ตโดยชใี้ หเ้ ห็นถึงความแตกต่างจากการลำเลียงแบบอ่ืน ซง่ึ มี
การใช้พลัง งาน ซึ่งเป็นพลังงานที่มาจากการสลายพันธะของ ATP ซึ่งทําให้เชลล์สามารถล่าเลียงสารย้อน
ทิศทางความแตกต่าง ของความเข้มขน้ ได้

3.3 ครูยกตัวอย่างแอกทีฟทรานสปอร์ต เช่น การหลั่งไฮโดรเจนไอออนจากเซลล์บุผิวของกระเพาะ
อาหารสู่ กระเพาะอาหาร การรักษาความเข้มข้นของของโซเดยี มไอออนและโพแทสเซียมไอออนภายในเซลล์
ประสาทของ สัตวเ์ ลีย้ งลูกด้วยน้ำนม
ขัน้ ท่ี 4 ขยายความรู้

4.1 ครูเช่ือมโยงกบั สถานการณใ์ นชวี ิตประจำวันใหน้ กั เรียนเกิดการคดิ วิเคราะหต์ าม เชน่ การใชย้ าลด
กรดบางประเภทที่ยบั ยัง้ การหล่ังไฮโดรเจน ไอออนเข้าส่กู ระเพาะอาหารโดยจับกบั โปรตีนที่ลำเลียงไฮโดรเจน
ไอออน ทำให้ไมส่ ามารถลำเลยี งไดต้ ามปกติ ปรมิ าณกรดทห่ี ลงั่ ส่กู ระเพาะอาหารจงึ ลดลง
ขนั้ ที่ 5 ประเมนิ ผล

5.1 ครูให้นักเรียนเปรียบเทียบเพื่อตรวจสอบความเข้าใจเกี่ยวกับกลไกการลำเลียง การแพร่แบบ
ธรรมดา การแพร่ แบบฟาซลิ ิเทต และแอกทีฟทรานสปอร์ต

8. สอื่ อปุ กรณ์แหลง่ เรียนรู้
1. หนังสอื เรยี นรายวชิ าเพม่ิ เตมิ ชีววิทยา เล่ม 1 ชัน้ มัธยมศกึ ษาปีท่ี 4
2. สมดุ บนั ทกึ ประสบการณ/์ ตอบคำถาม
3. ส่อื นำเสนอ เร่อื ง การลำเลียงสารเขา้ ออกเซลล์
4. แบบบนั ทกึ กิจกรรมศกึ ษาสมบตั ิการเป็นเยอ่ื เลือกผา่ น

9. ภาระช้ินงาน
- สบื คน้ ขอ้ มูลจากใบความรู้ สื่อ และแหลง่ เรียนรู้
- ตอบคําถามในแบบฝึกหัด

- กจิ กรรม สมบัติการเปน็ เยือ่ เลือกผา่ นของเยื่อหุม้ เซลล์
- สมุดบันทึกประสบการณ์การเรยี นรู้
- แบบบันทึกกจิ กรรม สมบตั ิการเปน็ เยือ่ เลือกผา่ นของเยอ่ื หุม้ เซลล์

10. การวัดและประเมินผล

จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ วธิ ีการประเมนิ เกณฑก์ ารประเมิน

ดา้ นความรู้ (K) - ตรวจจากสมดุ บันทึก ผา่ นเกณฑก์ าร
ประเมนิ ไม่นอ้ ย
1. นักเรียนสามารถอธบิ ายและเปรยี บเทยี บการแพร่ - ตรวจจากการตอบคำถามใน กว่ารอ้ ยละ 70

ออสโมซสิ การแพร่แบบฟาซลิ ิเทต และแอก แบบฝึกหดั

ทีฟทรานสปอร์ตได้

2. นักเรียนสามารถสืบค้นขอ้ มลู อธิบายการลำเลยี ง

สารโมเลกลุ ใหญอ่ อกจากเซลลด์ ้วยกระบวนการเอก

โซไซโทซิส และการล่าเลยี งสารโมเลกลุ ใหญเ่ ขา้ สู่

เซลล์ด้วยกระบวนการเอนโดไซโทซสิ ได้

ทกั ษะกระบวนการ (P) - ตรวจจากชิ้นงาน

3. นักเรยี นสามารถเขยี นแผนภาพการลำเลยี งสาร

โมเลกลุ ใหญอ่ อกจากเซลลด์ ้วยกระบวนการเอกโซไซ

โทซิส และการลำเลยี งสาร โมเลกุลใหญ่เข้าสูเ่ ซลล์

ดว้ ยกระบวนการเอนโดไซโทซสิ ได้

คุณลักษณะอันพึงประสงค์ (A) - สงั เกตพฤติกรรมระหว่างเรียนโดย

4. นักเรียนกระตอื รือร้น แสดงความคดิ เหน็ และ ใช้แบบสังเกตพฤตกิ รรมการทำงาน

ทำงานร่วมกบั เพ่อื นอย่างสรา้ งสรรค์ กลมุ่

11. บนั ทกึ หลังสอน
ผลการจัดการเรียนรู้

1.1 ด้านความรู้ (K) ……………………………………………………………………………………………………………….
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

1.2 ดา้ นทกั ษะ/กระบวนการ (P) …………………………………………………………………………………………….
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

1.3 ด้านคุณลักษณะ (A) …………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

ปัญหาทเ่ี กดิ ข้ึนระหวา่ งการจัดการเรยี นรู้
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

วิธี/แนวทางการแก้ปัญหา
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

ลงชือ่ ……………………………………………
(นางสาวณชิ ากร นามวงษา)
ครูผสู้ อน

ความคิดเหน็ ของครพู ่เี ลย้ี ง
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

ลงชือ่ ……………………………………………
(นางสานิต กรีเทพ)
ครพู ่ีเล้ียง

ความคิดเหน็ ของบรหิ ารวชิ าการ
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

ลงชื่อ……………………………………………
(นางสายชล ดวงบปุ ผา )
ฝ่ายบรหิ ารวชิ าการ

ความคดิ เหน็ ของผบู้ รหิ ารสถานศึกษา
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

ลงชอื่ ……………………………………………
(……………………………………………)
ผู้บริหารสถานศกึ ษา

ภาคผนวก

แบบประเมนิ คุณลกั ษณะอันพึงประสงค์
คำชี้แจง : ให้ผู้สอนสังเกตพฤตกิ รรมของนกั เรียนในระหวา่ งเรียนและนอกเวลาเรยี น แล้วขีด / ลงใน

ชอ่ งท่ีตรงกับระดบั คะแนน
ชอื่ .................................................................................ช้ัน.................เลขท่.ี ..............กลมุ่ ..............

คุณลักษณะอันพึง รายการประเมนิ ระดบั คะแนน
ประสงค์ 43 21
ปฏบิ ตั ติ ามข้อตกลง กฎเกณฑ์ ระเบยี บ ข้อบังคบั ของ
มีวินยั รบั ผิดชอบ ครอบครัวและโรงเรยี นตรงตอ่ เวลาในการปฏบิ ัตกิ จิ กรรมใน
ชวี ิตประจำวัน และรับผิดชอบในการทำงาน
ใฝ่เรยี นรู้ แสวงหาข้อมลู จากแหล่งการเรยี นรู้
มกี ารจดบันทึกความรูอ้ ยา่ งเป็นระบบ
มุ่งม่นั ในการทำงาน มคี วามตงั้ ใจและพยายามในการทำงานท่ไี ดร้ ับมอบหมาย
มีความอดทนและไมท่ ้อแท้ตอ่ อุปสรรคเพื่อใหง้ านสำเรจ็

ลงช่ือ………………………………………………………….. ผูป้ ระเมนิ
…………………/…………………../……………….

เกณฑ์การให้คะแนน ให้ 4 คะแนน เกณฑ์การตดั สินคุณภาพ
เตรยี มปัดเรอื เพอื่ แสดงพฤติกรรมอย่างสม่ำเสมอ ให้ 3 คะแนน
ปฏบิ ัตหิ รือแสดงพฤตกิ รรมบ่อยครั้ง ให้ 2 คะแนน ช่วงคะแนน ระดบั คุณภาพ
ปฏิบัตหิ รือแสดงพฤตกิ รรมบางครงั้ ให้ 1 คะแนน 12-10 ดมี าก
ปฏบิ ัติหรือแสดงพฤตกิ รรมนอ้ ยคร้งั
9-6 ดี

5-3 พอใช้
ต่ำกว่า 3 ปรบั ปรงุ



แผนการจัดการเรยี นรู้ 17

รายวิชาวทิ ยาศาสตร์เพิม่ เติม (ชวี วิทยา) รหัส ว30241 ชัน้ มัธยมศกึ ษาปีท่ี 4
หนว่ ยการเรียนรู้ที่ 3 เซลลแ์ ละการทำงานของเซลล์ จำนวน 18 ชวั่ โมง
เรอ่ื ง การการหายใจระดับเซลล์ จำนวน 2 ช่ัวโมง
สอนโดย นางสาวณชิ ากร นามวงษา ภาคเรียนที่ 1/2565

1. ผลการเรยี นรู้
อธิบาย เปรียบเทยี บและสรปุ ขัน้ ตอนการหายใจระดบั เซลล์ในสภาวะทมี่ อี อกซิเจนเพียงพอ และภาวะ

ทมี่ ี ออกซเิ จนไม่เพียงพอ

2. จุดประสงคก์ ารจัดการเรยี นรู้
1. นกั เรียนสามารถอธบิ ายและสรปุ กระบวนการหายใจระดับเซลล์ได้ (K)
2. นกั เรียนกระตอื รอื ร้น แสดงความคิดเห็นและทำงานรว่ มกบั เพอื่ นอย่างสร้างสรรค์ (A)

3. สาระสำคัญ
กระบวนการสลายสารอาหารภายในเซลล์เพ่ือเปลยี่ นพลังงานของพนั ธะเคมีให้เป็นพลงั งานสูงทเี่ ซลล์

สามารถนําไปใชไ้ ด้ เรยี กว่าการสลายอาหารระดบั เซลล์ เพ่ือให้การสลายของอาหารเปน็ ไปอย่างช้าๆ ไม่เกิด
อันตรายตอ่ เซลล์ จึงมกี ระบวนการสลายอาหาร ๓ ข้ันตอน คอื ไกลโคซสิ เปน็ การสลายกลูโคสท่ีไซโทซอลเป็น
กรดไพรวู ิกจากนนั้ จงึ สง่ เขา้ วฏั จกั รเครบส์ เกิดการสลายแอซิทลิ โคเอนไซม์เอเปน็ แก๊สคาร์บอนไดออกไซดแ์ ละ
เก็บพลังงานไว้ในรปู NADH FADH และ ATP การถา่ ยทอดอเิ ลก็ ตรอน เป็นกระบวนการส่งอิเลก็ ตรอนจาก
NADH และ FADH ไปให้สารประกอบอ่นื ๆ พรอ้ มกับปลอ่ ยพลงั งานออกมาทีละน้อย และไดน้ า้ํ เปน็ ผลติ ภณั ฑ์
โดยมอี อกซิเจนเปน็ ตวั รบั อเิ ล็กตรอนตวั สดุ ท้าย

4. สาระการเรียนรู้
เซลล์ต้องการพลังงานเพอื่ นำไปใชใ้ นกจิ กรรมตา่ งๆ ซงึ่ พลงั งานท่ีเซลล์ตอ้ งการนำไปใชน้ อี้ ยู่ในรปู ของ

สารพลังงานสงู ที่ได้จากการสลายสารอาหารผา่ นกระบวนการหายใจระดับเซลล์

5. สมรรถนะสำคญั ของผเู้ รียน
1. ความสามารถในการสื่อสาร
2. ความสามารถในการคิดวเิ คราะห์
- ทกั ษะในการคิดวเิ คราะห์
- ทกั ษะการคดิ สรา้ งสรรค์

3. ความสามารถในการแก้ปัญหา
4. ความสามารถในการใช้ทกั ษะชีวิต

- กระบวนการทาํ งานกล่มุ
5. ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี

6. คณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์
1) มวี นิ ยั
2) ใฝ่เรยี นรู้
3) มุง่ มน่ั ในการทำงาน

7. กจิ กรรมการเรียนรู้
ขัน้ ท่ี 1 สรา้ งความสนใจ

1.1 ครูนำเข้าสู่บทเรียนโดยใช้รูปหรือวีดิทัศนแ์ สดงกิจกรรมของสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว พืช สัตว์ หรือ
กจิ กรรมของ มนุษย์ และใช้คำถามกระตุ้นให้นักเรยี นรว่ มกันอภิปรายเกี่ยวกับการนาพลังงานไปใช้ในกิจกรรม
ต่างๆ ของ ส่งิ มชี วี ิต

1.2 ครูทบทวนเร่อื งสารอาหาร ปฏกิ ิริยาเคมที ี่เกิดขน้ึ ภายในเซลล์ และโครงสร้างเซลล์ โดยใช้คำถาม
เพื่อ ตรวจสอบความรทู้ น่ี กั เรียนเคยเรียนมาแล้ว ดังน้ี

- สารอาหารประเภทใดเปน็ สารอาหารทใ่ี ห้พลังงานแกส่ งิ่ มีชีวิต
- การลำเลยี งสารชนดิ ต่างๆ เขา้ สเู่ ซลลเ์ ก่ยี วข้องกับการสร้างพลงั งานอยา่ งไร
(คาร์โบไฮเดรต ไขมนั และโปรตีน จดั เปน็ สารอาหารทีใ่ หพ้ ลงั งาน สารอาหารเหลา่ นจี้ ะลำเลยี งเขา้ สู่เซลล์ต่างๆ
เพื่อ สรา้ งเปน็ พลังงานให้กับเซลลใ์ นการเกดิ กิจกรรมตา่ งๆ)
1.3 ครตู ง้ั ประเดน็ คำถามเพิม่ เติมเพือ่ เชอ่ื มโยงเร่อื งสารอาหาร ปฏกิ ิรยิ าเคมีท่เี กิดขน้ึ ภายในเซลล์ การ
หายใจระดับเซลล์ ดังนี้
- คาร์โบไฮเดรตเป็นสารอาหารที่ให้พลังงานหลักแก่ร่างกาย ซึ่งจะผ่านการย่อยจนได้เป็น
โมเลกุลของกลูโคสก่อนลำเลียงเข้าสู่เซลล์เพ่อื สร้างพลังงาน การที่เซลลจ์ ะนำพลงั งานจากการสลายกลูโคสไป
ใช้โดยตรงอาจทำให้เกิด อันตรายกับเซลล์ได้ เซลล์จะสร้างพลังงานจากกระบวนการสลายกลูโคสได้อย่างไร
โดยไมท่ ำใหเ้ กดิ อันตราย กบั เซลล์ (ครูเชอ่ื มโยงคำตอบทีไ่ ด้จากการแสดงความคิดเหน็ ของนักเรยี น และอธบิ าย
ว่าการสร้างพลังงานจาก กระบวนการสลายกลูโคสในสภาวะที่มีออกซิเจนเกิดขึ้นเป็นกระบวนการต่อเนื่อง
แบ่งเป็น 3 ขั้นตอนหลักคือ ไกลโคไลซิส การสร้างแอซิทิลโคเอนไซม์เอ วัฏจักรเครบส์ และกระบวนการ
ถา่ ยทอดอิเลก็ ตรอน โดยมเี อนไซม์ช่วยเร่ง ในปฏกิ ิรยิ า

ขัน้ ที่ 2 สาํ รวจและคน้ หา
2.1 ครูอธิบายขั้นตอนการสลายสารอาหารระดับเซลล์ ใช้รูปและคลิปวีดีโอประกอบเพื่ออธิบาย

ขั้นตอนของ ไกลโคไลซิส แลว้ ใหน้ ักเรยี นสบื ค้นขอ้ มูลเพมิ่ เติม เพื่อร่วมกันอภิปรายโดยอาจใช้ประเด็นคำถาม
เพือ่ นำไปสู่ ขอ้ สรุปเก่ยี วกบั ผลิตภณั ฑ์ และพลังงานท่ีไดจ้ ากไกลโคไลซิส ดงั น้ี

- โมเลกลุ กลโู คสถกู นำมาใช้ในการสร้างสารพลังงานสงู ในรูปใดบา้ ง (จากการอภิปรายร่วมกัน
นกั เรียนควรสรปุ ได้วา่ ไกลโคไลซิส มที ั้งขน้ั ตอนท่ีใชพ้ ลงั งานในรูปของ ATP เพอื่ เติมหมู่ ฟอสเฟตใหก้ ับโมเลกุล
กลูโคสทม่ี คี ารบ์ อน 6 อะตอม ซ่งึ จะผา่ นขั้นตอนตา่ งๆ จนกลายเป็น G3P ทม่ี ีคารบ์ อน 3 อะตอม จากน้ันเซลล์
จะใชพ้ ลงั งานในรูปแบบของสารพลงั งานสงู คอื ATP และ NADH ซง่ึ เกิดจากการ เปลยี่ น G3P เปน็ กรดไพรวกิ
และสรุปได้ว่ากลโู คส 1 โมเลกุล เมื่อผ่านไกลโคไลซิส จะได้ผลิตภัณฑ์ เป็นกรดไพรวิก 2 โมเลกุล NADH2 5
โมเลกลุ และได้ ATP สุทธิ 6 โมเลกลุ )

2.2 ครูใชป้ ระเด็นคำถามกระตุน้ ความสนใจของผู้เรียน เพื่อเช่ือมโยงสู่การสรา้ งแอซิทิลโคเอนไซม์ เอ
ดังน้ี

- ATP 6 โมเลกุลที่ได้จากการสลายกลูโคส เมื่อผ่านไกลโคลิซิสนี้ เพียงพอต่อความต้องการ
ของเซลลห์ รอื ไม่ เซลล์ จะมีวิธีการอย่างไรทีจ่ ะทำใหไ้ ดพ้ ลังงานเพิ่มข้ึนจากสารทม่ี พี ลังงานสงู อย่างกลูโคส

2.3 ครูใช้คำถามทบทวนความรู้เกี่ยวกับไมโทคอนเดรียซึ่งเป็นออร์แกเนลล์ที่สำคัญในการสร้าง
พลงั งานให้กบั เซลล์

- การสลายกลูโคสในขน้ั ตอนไกลโคลซิ ิสเกิดขนึ้ ท่บี รเิ วณใดของเซลล์
- ออร์แกเนลล์ใดมีความสำคัญกับการสร้างพลังงานให้กับเซลล์ (การสลายกลูโคสเกิดขึ้น
บริเวณไซโทซอลโดยมีออรแ์ กเนลลท์ ี่สาคญั ในการสรา้ งพลงั งานใหก้ บั เซลลค์ อื ไมโทคอนเดรีย)
ข้ัน 3 อธบิ ายและลงข้อสรปุ
3.1 ครูใช้รูปแสดงการเปลี่ยนไพรูวกิ ให้กลายเป็นแอซิทิลโคเอนไซมเ์ อ และใช้ประเดน็ คำถามเพื่อให้
ผู้เรียนร่วมกัน อภิปรายว่า การเปลี่ยนกรดไพรูวิกให้กลายเป็นแอซิทิลโคเอนไซมเ์ อเกิดขึ้นทีบ่ ริเวณใด ผลท่ี
เกิดขึ้นจากการสลาย กรดไพรูวิกได้สารพลังงานสูงในรูปใด (จากการอภปิ รายร่วมกัน นักเรียนควรสรุปได้วา่
กรดไพรูวิก 1 โมเลกุลจะถูกลำเสียงจากไซโทพลาซึมผ่านเยอื่ หุม้ ไมโทคอนเดรียเข้าสู่เมทรกิ ซ์ซ่ึงเป็นของเหลว
ในไมโทคอนเดรีย และจะทำปฏิกิริยากับโคเอนไซม์เอ ได้ เป็นแอซิทิลโคเอนไซม์เอ 1 โมเลกุล ปฏิกิริยาท่ี
เกิดขนึ้ จะไดแ้ กส๊ คาร์บอนไดออกไซด์ 9 โมเลกลุ และมีการ สร้างพลงั งานในรปู ของ NADH เกดิ ข้ึน 9 โมเลกุล)
3.2 ครูเชื่อมโยงเข้าสู่เนื้อหาของวัฏจักรเครปส์โดยใช้ภาพประกอบซึ่งเป็นปฏิกิรยิ าเริ่มต้นจากการ
สลายแอซิทิลโคเอนไซม์เอ ให้กลายเป็นแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ และสารผลิตภัณฑ์ต่างๆ โดยปฏิกิริยาเคมี
เหลา่ นเ้ี กิดขึน้ ต่อเน่ือง เปน็ วฏั จักร ครูให้นักเรียนรว่ มกนั อภปิ รายโดยอาจต้งั ประเดน็ คำถาม ดงั นี้
- แอซิทิลโคเอนไซมเ์ อเมื่อเข้าสู่วัฏจักรเครปส์แล้วจะมีการปลดปล่อยพลงั งานจากปฏิกิรยิ า
ตา่ งๆ หรอื ไม่ ถา้ มี พลงั งานเหลา่ น้นั อย่ใู นรปู ของสารใด (มกี ารปลดปลอ่ ยพลังงานอยู่ในรปู ของสารพลังงานสูง
คอื ATP NADH และ FADH)

- การสลายกรดไมรูวิก 1 โมเลกุลในไมโทคอนเดรียจะได้ผลิตภัณฑ์ใดบา้ ง (CO2 3 โมเลกลุ
NADH 4 โมเลกลุ FADH2 1 โมเลกลุ และ ATP 1 โมเลกุล)

3.3 ครใู ช้คำถามกระตุ้นให้นกั เรียนร่วมกันอภปิ ราย เชอ่ื มโยงเข้าสู่เนอื้ หาเรอ่ื งกระบวนการถ่ายทอด
อเิ ล็กตรอน และใชค้ าํ ถามเพิม่ เติม ดงั น้ี

- เซลลต์ ้องการ ATP ไปใช้ในกจิ กรรมตา่ งๆตลอดเวลาหรือไม่ เพราะเหตใุ ด
- การสลายกลโู คสจนถึงข้นั วัฏจกั รเครปสไ์ ด้ ATP เพียงพอตอ่ ความต้องการของเซลล์หรือไม่
- สมบตั ิการเปน็ ตัวให้อิเล็กตรอนของ NADH และ FADH เก่ียวข้องกับการสร้างพลังงานใหก้ ับเซลล์หรอื ไม่
- เซลล์จะมีกระบวนการอื่นๆ เพื่อเปลี่ยนพลังงานในรูปของสารพลังงานสูง ได้แก่ NADH
และ FADH2 ให้ได้เป็น พลังงานในรปู ATP อกี หรือไม่ ถ้ามจี ะเปลี่ยนรูปพลงั งานอย่างไร (เซลล์ตอ้ งการ ATP
เพื่อใช้ในกิจกรรมต่างๆ ตลอดเวลา เพราะ ATP เป็นแหล่งพลังงานของเซลล์ การสลายกลูโคส เมื่อผ่าน
กระบวนการไกลโคลิซิสและวัฏจักรเครบส์จะได้ ATPรวมทั้ง NADH และ FADH2) จำนวนหนึ่งซึ่งไม่พอต่อ
ความต้องการของเซลล์ NADH และ FADH มีสมบัติเป็นตัวให้อิเล็กตรอนซึ่งจะส่งผา่ นอิเล็กตรอนชนิดต่างๆ
ภายในเซลล์ให้เกดิ การเปลีย่ นแปลงพลงั งานจาก NADH และ FADH) เป็นพลังงานในรปู ของ ATP ผา่ นกรบวน
การถ่ายทอดอิเล็กตรอน)
3.4 ครบู รรยายเนือ้ หาเกยี่ วกับกระบวนการถา่ ยทอดอเิ ลก็ ตรอน และร่วมกันสรุปประเดน็ หลกั ดงั นี้
- กระบวนการถา่ ยทอดอิเลก็ ตรอนเกดิ ขน้ึ บริเวณเยือ่ หมุ้ ชัน้ ในของไมโทคอนเดรีย เปน็ บรเิ วณ
ที่มีโปรตนี ตวั นำ อิเลก็ ตรอนชนดิ ต่างๆฝงั ตัวอยู่
- สารพลังงานสูงคือ NADH และ FADH ซึ่งมีสมบัติเป็นตัวให้อิเล็กตรอน จะส่งผ่าน
อเิ ลก็ ตรอนไปยงั ตวั นำ อิเลก็ ตรอนตา่ งๆ บรเิ วณเย่อื หมุ้ ชน้ั ในของไมโทคอนเดรยี
- แก๊สออกซิเจนเป็นตวั รับอเิ ล็กตรอนตวั สุดทา้ ยในกระบวนการถา่ ยทอดอเิ ล็กตรอนและได้นำ้
เป็นผลติ ภัณฑ์
- ในขณะทม่ี ีการส่งผ่านอิเลก็ ตรอน NADH และ FADH จะเกิดการปลดปล่อยพลงั งานออกมา
ทีละน้อย พลงั งาน เหล่าน้ีนำมาใชเ้ ปน็ พลงั งานในการเคลอื่ นยา้ ย H+ จากเมทริกซม์ ายงั ช่องว่างระหวา่ งเยอื่ หมุ้
ชัน้ ในและเยอื่ หมุ้ ชนั้ นอกของไมโทคอนเดรีย
- การเคล่ือนย้าย H+ ทำใหเ้ กดิ ความแตกต่างของความเข้มขน้ ของ H+ ระหว่างผิวสองด้าน
ของเยอ่ื ห้มุ ชัน้ ในของไม โทคอนเดรยี
- H+ ท่อี ยใู่ นชอ่ งว่างระหวา่ งเยอ่ื หุม้ ช้ันในและเย่ือห้มุ ชน้ั นอกของไมโทคอนเดรีย จะแพร่กลบั
สูเ่ มทริกซผ์ ่าน เอนไซม์ ATP synthase และเกิดการสงั เคราะห์ ATP
ข้นั ท่ี 4 ขยายความรู้
4.1 ครูใหค้ วามร้เู พมิ่ เตมิ เก่ยี วกับปฏิกิริยาเคมีทม่ี ีสารหนึ่งให้อิเล็กตรอนแล้วมีเลขออกซิเดชันเพิ่มขึ้น
เรียกว่า ปฏิกิริยาออกซิเดชัน ส่วนปฏิกิริยาที่สารหนึ่งรับอิเล็กตรอนแล้วมีเลขออกซิเดชันลดลงเรียกว่า
ปฏิกริ ยิ า รดี กั ชนั เมือ่ รวมปฏกิ ิริยาท้ัง 2 เข้าดว้ ยกันจะได้เปน็ ปฏกิ ริ ิยารดี อกซ์ เชน่ ปฏกิ ริ ิยาเปลี่ยนกรดไพรูวิก

เป็น แอซิติลโคเอนซ์เอ โดยเอนไซม์ pyruvate dehydrogenase ในปฏิกิริยารีดอกซ์สารที่เป็นตัวรับ
อิเล็กตรอน จากสารอ่นื เรียกว่าตวั ออกซไิ ดซ์ สว่ นสารทเ่ี ปน็ ตวั ให้อิเล็กตรอนกับสารอื่นเรยี กวา่ ตวั รีดิวซ์

4.2 ครูอธิบายเพิ่มเติมว่าเซลล์ต้องการพลังงานในรูปของ ATP ไปใช้ในกิจกรรมต่างๆ ตลอดเวลา
ดังนั้นเซลล์ต้องมี กระบวนการถ่ายทอดอเิ ล็กตรอน เพื่อเปลี่ยนพลังงานในรูปพลังงานสูงได้แก่ NADH และ
FADH ใหเ้ ป็น ATP

4.3 ครูอธิบายเพิ่มเตมิ ว่าพลงั งานจาก NADH 6 โมเลกุลในไซโทซอล จะไม่สามารถผ่านเยื่อห้มุ ไมโท
คอนเดรียได้ โดยตรงเนือ่ งจากไมม่ ีโปรตนี ตัวพาท่ีจำเพาะสำหรับ NADH แต่จะสง่ พลังงานในรูปของอิเลก็ ตรอน
ผา่ นตวั รบั อเิ ล็กตรอนในเมทรกิ ซ์ ซึง่ ถ้าตัวรับอเิ ล็กตรอนเปน็ NAD+ จะได้ NADH เขา้ ส่กู ระบวนการถ่ายทอด
อิเลก็ ตรอน แต่ถ้าตัวรับอิเล็กตรอนเปน็ FAD จะได้ FADH เขา้ ส่กู ระบวนการถ่ายทอดอเิ ล็กตรอน ซ่ึงทำให้ได้
ATP นอ้ ย กวา่ วธิ กี ารส่งผา่ นพลงั งานของ NADH เขา้ มาในไมโทคอนเดรียจะสง่ ผ่านสารอน่ื ท่ีเปน็ ตัวกลาง เช่น
malateaspartate shuttle และ glycerophosphate shuttle เป็นต้น

4.4 ครูให้ความรู้เพิ่มเติมเกยี่ วกบั การสลายลิพดิ และโปรตนี
ขน้ั ท่ี 5 ประเมินผล

5.1 ครูใหน้ กั เรยี นอภปิ รายรว่ มกันเกี่ยวกบั คำถามในหนงั สือว่า
- NADH 1 โมเลกุล ให้พลังงานเท่ากับ FADH2 1 โมเลกุลหรือไม่โดยครูให้นักเรียนใช้รูป

ประกอบคำอธิบายว่า NADH 1 โมเลกุล สง่ ผา่ นอิเลก็ ตรอนไปยังตัวนาอิเล็กตรอนท่อี ยู่ในเย่ือหุ้มไมโทคอนเด
รียมากกว่า FADH2 1 โมเลกุล ที่ทำให้เกิดการเคลื่อย้าย H+ ไปยังช่องว่างระหว่างเยื่อหุ้มไมโทคอนเดรียได้
มากกวา่ ส่งผลให้เกดิ การ สรา้ ง ATP มากกวา่ อาจใช้แผนภาพประกอบการอธิบาย ดงั นี้

5.2 ครูให้นักเรียนร่วมกนั สรุปขั้นตอนของการสลายกลโู คสในภาวะทีม่ ีออกซิเจนเพียงพอ (นักเรียน
ควรสรปุ ไดว้ ่าเซลลจ์ ะมีการสลายกลูโคสผ่านกระบวนการต่างๆ คอื ไกลโคไลซสิ การสร้างแอซิทิลโค เอนไซม์เอ
วัฏจกั รเครบส์ และการถ่ายทอดอเิ ลก็ ตรอน โดยกระบวนการที่กล่าวมาจะเปล่ียนพลงั งานที่อยู่ใน กลูโคสให้อยู่
ในรูปของสารพลังงานสูง คอื ATP ซึ่งเปน็ พลังงานทเ่ี ซลล์สามารถนำไปใช้ได้ โดยออกซิเจนเป็น ปัจจัยหลักท่ี
ทำใหก้ ระบวนการท้งั หมดดำเนินการไปได้อย่างต่อเน่อื ง)

8. สื่ออปุ กรณ์แหล่งเรยี นรู้
1. หนงั สือเรยี นรายวิชาเพม่ิ เติม ชีววทิ ยา เล่ม 1 ช้ันมธั ยมศกึ ษาปีท่ี 4
2. สมุดบนั ทึกประสบการณ์/ตอบคำถาม
3. สอ่ื นำเสนอ เรือ่ ง หายใจรับเซลล์

9. ภาระชน้ิ งาน
- สืบค้นข้อมูลจากใบความรู้ ส่ือ และแหล่งเรียนรู้
- ตอบคาํ ถามในแบบฝึกหัด/บนั ทึกการเรียนรลู้ งในสมดุ
- กจิ กรรม กระบวนการสลายสารอาหารระดบั เซลล่

10. การวัดและประเมินผล วิธกี ารประเมิน เกณฑก์ ารประเมนิ
จุดประสงค์การเรยี นรู้ - ตรวจจากสมุดบันทกึ
- ตรวจจากการตอบคำถามระหว่าง ผา่ นเกณฑ์การ
ด้านความรู้ (K) เรียน ประเมินไม่น้อย
1. นักเรยี นสามารถอธิบายและสรุปกระบวนการ กว่าร้อยละ 70
หายใจระดับเซลล์ได้ - สังเกตพฤตกิ รรมระหว่างเรยี นโดย
ใช้แบบสังเกตพฤติกรรมการทำงาน
คุณลักษณะอนั พึงประสงค์ (A) กลมุ่
4. นักเรยี นกระตอื รือร้น แสดงความคดิ เหน็ และ
ทำงานร่วมกับเพื่อนอยา่ งสร้างสรรค์

11. บันทกึ หลังสอน
ผลการจดั การเรียนรู้

1.1 ด้านความรู้ (K) ……………………………………………………………………………………………………………….
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

1.2 ด้านทักษะ/กระบวนการ (P) …………………………………………………………………………………………….
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

1.3 ดา้ นคุณลักษณะ (A) …………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

ปัญหาท่ีเกิดขึน้ ระหว่างการจดั การเรียนรู้
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

วิธี/แนวทางการแก้ปัญหา
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

ลงช่ือ……………………………………………
(นางสาวณชิ ากร นามวงษา)
ครผู ูส้ อน

ความคดิ เห็นของครพู ่ีเลย้ี ง
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

ลงชื่อ……………………………………………
(นางสานติ กรเี ทพ)
ครพู ่ีเลย้ี ง

ความคิดเหน็ ของบรหิ ารวชิ าการ
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

ลงชือ่ ……………………………………………
(นางสายชล ดวงบปุ ผา )
ฝา่ ยบรหิ ารวิชาการ

ความคดิ เหน็ ของผบู้ ริหารสถานศกึ ษา
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

ลงชอื่ ……………………………………………
(……………………………………………)
ผ้บู ริหารสถานศกึ ษา

ภาคผนวก

แบบประเมนิ คุณลกั ษณะอันพึงประสงค์
คำชี้แจง : ให้ผู้สอนสังเกตพฤตกิ รรมของนกั เรียนในระหวา่ งเรียนและนอกเวลาเรยี น แล้วขีด / ลงใน

ชอ่ งท่ีตรงกับระดบั คะแนน
ชอื่ .................................................................................ช้ัน.................เลขท่.ี ..............กลมุ่ ..............

คุณลักษณะอันพึง รายการประเมนิ ระดบั คะแนน
ประสงค์ 43 21
ปฏบิ ตั ติ ามข้อตกลง กฎเกณฑ์ ระเบยี บ ข้อบังคบั ของ
มีวินยั รบั ผิดชอบ ครอบครัวและโรงเรยี นตรงตอ่ เวลาในการปฏบิ ัตกิ จิ กรรมใน
ชวี ิตประจำวัน และรับผิดชอบในการทำงาน
ใฝ่เรยี นรู้ แสวงหาข้อมลู จากแหล่งการเรยี นรู้
มกี ารจดบันทึกความรูอ้ ยา่ งเป็นระบบ
มุ่งม่นั ในการทำงาน มคี วามตงั้ ใจและพยายามในการทำงานท่ไี ดร้ ับมอบหมาย
มีความอดทนและไมท่ ้อแท้ตอ่ อุปสรรคเพื่อใหง้ านสำเรจ็

ลงช่ือ………………………………………………………….. ผูป้ ระเมนิ
…………………/…………………../……………….

เกณฑ์การให้คะแนน ให้ 4 คะแนน เกณฑ์การตดั สินคุณภาพ
เตรยี มปัดเรอื เพอื่ แสดงพฤติกรรมอย่างสม่ำเสมอ ให้ 3 คะแนน
ปฏบิ ัตหิ รือแสดงพฤตกิ รรมบ่อยครั้ง ให้ 2 คะแนน ช่วงคะแนน ระดบั คุณภาพ
ปฏิบัตหิ รือแสดงพฤตกิ รรมบางครงั้ ให้ 1 คะแนน 12-10 ดมี าก
ปฏบิ ัติหรือแสดงพฤตกิ รรมนอ้ ยคร้งั
9-6 ดี

5-3 พอใช้
ต่ำกว่า 3 ปรบั ปรงุ



แผนการจดั การเรยี นรู้ 18

รายวชิ าวทิ ยาศาสตรเ์ พม่ิ เติม (ชวี วิทยา) รหัส ว30241 ชั้นมธั ยมศึกษาปีที่ 4
หน่วยการเรยี นรทู้ ี่ 3 เซลล์และการทำงานของเซลล์ จำนวน 18 ช่ัวโมง
เรื่อง การการหายใจระดับเซลล์ จำนวน 2 ชวั่ โมง
สอนโดย นางสาวณชิ ากร นามวงษา ภาคเรยี นท่ี 1/2565

1. ผลการเรียนรู้
อธบิ าย เปรียบเทียบและสรุปขั้นตอนการหายใจระดับเซลล์ในสภาวะทม่ี อี อกซิเจนเพียงพอ และภาวะ

ทม่ี ี ออกซเิ จนไมเ่ พียงพอ

2. จดุ ประสงค์การจัดการเรียนรู้
1. อธิบายและสรปุ ขัน้ ตอนการสลายกลูโคสในสภาวะท่มี ีออกซเิ จนเพียงพอ (K)
2. อธิบายและสรุปขั้นตอนการสลายกลโู คสในสภาวะท่ีมอี อกซเิ จนไมเ่ พยี งพอ (K)
3. เปรียบเทยี บข้นั ตอนการหายใจระดบั เซลล์ในสภาวะทีม่ อี อกซิเจนเพยี งพอ กบั ภาวะท่ีมอี อกซิเจน

ไม่เพียงพอ (K)
4. สังเกตและตรวจสอบผลทไ่ี ดจ้ ากกระบวนการหมกั ยสี ต์ เปรยี บเทยี บกบั การสลายสารอาหารแบบ

ใชอ้ อกซเิ จน (P)
5. นำความร้ไู ปใช้ในการศึกษาการหมกั ของยีสต์ในน้ำผลไมช้ นิดอ่ืน (P)
6. นักเรยี นกระตอื รือร้น แสดงความคดิ เห็นและทำงานรว่ มกบั เพื่อนอยา่ งสร้างสรรค์ (A)

3. สาระสำคัญ
กระบวนการสลายสารอาหารภายในเซลลเ์ พอื่ เปลี่ยนพลงั งานของพันธะเคมีใหเ้ ป็นพลังงานสูงทีเ่ ซลล์

สามารถนําไปใช้ได้ เรยี กวา่ การสลายอาหารระดับเซลล์ เพอื่ ใหก้ ารสลายของอาหารเป็นไปอย่างช้าๆ ไม่เกิด
อนั ตรายต่อเซลล์ จงึ มกี ระบวนการสลายอาหาร 3 ข้ันตอน คือ ไกลโคซิส เปน็ การสลายกลโู คสท่ไี ซโทซอลเปน็
กรดไพรูวกิ จากน้นั จงึ สง่ เขา้ วฏั จกั รเครบส์ เกิดการสลายแอซทิ ลิ โคเอนไซมเ์ อเปน็ แก๊สคารบ์ อนไดออกไซด์และ
เก็บพลังงานไว้ในรปู NADH FADH และ ATP การถา่ ยทอดอเิ ล็กตรอน เปน็ กระบวนการสง่ อเิ ล็กตรอนจาก
NADH และ FADH ไปใหส้ ารประกอบอนื่ ๆ พร้อมกบั ปล่อยพลังงานออกมาทีละน้อย และได้นาํ้ เปน็ ผลติ ภัณฑ์
โดยมอี อกซิเจนเป็นตวั รับอิเล็กตรอนตัวสดุ ท้าย

4. สาระการเรียนรู้
เซลลต์ อ้ งการพลงั งานเพอื่ นำไปใชใ้ นกิจกรรมต่างๆ ซง่ึ พลงั งานที่เซลล์ต้องการนำไปใช้นอ้ี ยู่ในรปู ของ

สารพลังงานสงู ทีไ่ ด้จากการสลายสารอาหารผา่ นกระบวนการหายใจระดบั เซลล์

5. สมรรถนะสำคญั ของผเู้ รยี น
1. ความสามารถในการส่ือสาร
2. ความสามารถในการคดิ วิเคราะห์
- ทักษะในการคิดวเิ คราะห์
- ทกั ษะการคิดสรา้ งสรรค์
3. ความสามารถในการแก้ปัญหา
4. ความสามารถในการใชท้ กั ษะชีวติ
- กระบวนการทํางานกลุม่
5. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี

6. คุณลักษณะอันพงึ ประสงค์
1) มวี นิ ัย
2) ใฝ่เรยี นรู้
3) ม่งุ มัน่ ในการทำงาน

7. กิจกรรมการเรียนรู้
ขน้ั ท่ี 1 สร้างความสนใจ

1.1 ครูนําเข้าสู่บทเรียนโดยให้นกั เรยี นยกตัวอย่างกรณีตา่ งๆ ทเ่ี ซลลไ์ ด้รับออกซเิ จนเพยี งพอ เช่น
- ขณะออกกำลังกายกล้ามเนื้อต้องใช้พลังงานมากทำให้เลือดลำเลียงออกซิเจนไปยังเซลล์

กล้ามเนือ้ ไม่เพยี งพอ
- นำ้ ท่วมขังบริเวณที่ปลูกพชื เปน็ เวลานาน เซลลบ์ รเิ วณรากอาจไดร้ ับออกซเิ จนไมเ่ พียงพอ
- เซลลข์ องยีสต์ ทีเ่ ตมิ ในน้ำผลไม้ในถงั หมกั ซงึ่ ควบคมุ ภาวะให้มีออกซิเจนเพยี งเล็กนอ้ ย
- เซลล์แบคทีเรียที่อยู่ในเนื้อหมูที่นำมาใช้ผลิตแหนม ซึ่งต้องมีการห่อด้วยพลาสติกหรือ

ใบตองใหแ้ นน่ เพ่ือป้องกนั
1.2 ครูทบทวนเกี่ยวกับบทบาทของออกซิเจนในกระบวนการสลายกลูโคสเพื่อให้ได้ ATP ที่เป็น

พลังงานทีเ่ ซลล์ ไม่ให้อากาศเข้า สามารถนําไปใช้ได้
ขั้นท่ี 2 สํารวจและค้นหา

2.1 ครใู ชค้ ำถามนำสกู่ ารอภปิ ราย ดงั น้ี
- ในภาวะท่มี อี อกซเิ จนไม่เพียงพอ การหายใจระดับเซลล์ในสิ่งมีชีวติ จะเกิดขึน้ ได้หรือไม่ ถ้า

เกิดจะมกี ระบวนการที่ เหมือนหรือแตกต่างจากการหายใจระดับเซลลใ์ นภาวะที่มีออกซิเจนเพียงพออยา่ งไร
(จากการอภิปรายร่วมกันนักเรียนควรสรุปประเด็นได้ว่า ในภาวะที่มีออกซิเจนไม่เพียงพอ การหายใจระดับ
เซลลใ์ นสิง่ มชี วี ติ จะเกิดขึ้นไดแ้ ต่การสลายสารอาหาร ไดเ้ ป็นคาร์บอนไดออกไซด์และน้ำจะเกดิ ขนึ้ ได้ไมส่ มบูรณ์
ให้ กระบวนการถ่ายทอดอิเล็กตรอนหยุดชะงักเนื่องจากอิเล็กตรอนจาก NADH และ FADH ที่ส่งผ่านไปยัง

ตัวนำอิเล็กตรอนชนิดต่างๆ ขาดตัวรับอิเล็กตรอนตัวสุดท้ายซ่ึงคือ O เกิดการสะสมของ NADH และ FADH
มากขนึ้ และทำใหข้ าดแคลน NAD+ และ FAD ทต่ี อ้ งนำ กลบั ไปใช้ในไกลโคไลซสิ และวฏั จกั รเครปส์ ไกลโคไล
ซสิ ยงั คงดำเนนิ ตอ่ โดยกรดไพรวู ิกจะถกู นำไปสู่กระบวนการหมกั กรดแลกติก หรอื เกิดการหมักแอลกอฮอล์

2.2 ครใู ช้ประเดน็ คำถามในการอภปิ รายเพม่ิ เติม ดังน้ี
- เซลลม์ ีวธิ ีการอย่างไรที่จะเปลี่ยน NADH ท่มี สี ะสมอยมู่ ากให้กลายเป็น NAD+ ซึ่งจะทำให้

ไกลโคไลซสิ ไม่หยุดชะงกั และสรา้ งพลังงานบางส่วนใหก้ บั เซลล์ได้
2.3 ครูให้นักเรียนสืบค้นข้อมูลเบื้องต้นเพื่อเชื่อมโยงเข้าสู่เนื้อหาเรื่องกระบวนการหมัก

fermentation
2.4 ครูใหค้ วามรู้เพ่มิ เติมในหัวขอ้ กระบวนการหมกั ซึ่งอาจเกดิ ขน้ึ ๒ รปู แบบ คอื กระบวนการหมกั กรด

แลกติก และกระบวนการหมักแอลกอฮอล์
ขัน้ 3 อธิบายและลงข้อสรุป

3.1 ครูให้นักเรียนทำกิจกรรมเสริมเรื่องการหมักแอลกอฮอล์ของยีสต์ เพื่อต่อยอดความสนใจของ
นักเรียน โดยอาจแนะนำให้นักเรียนใช้น้ำผลไม้ที่ผ่านการฆ่าเชื้อ เช่น น้ำผลไม้กระป๋อง เพื่อป้องกันการ
ปนเป้อื นของจุลนิ ทรีย์ ส่วนแนวทางการอภิปรายกจิ กรรม มดี ังนี้

- เหตุใดจงึ มกี ารเติมน้ำมันพืชในหลอดทดลองทง้ั 3 หลอด (การเตมิ นํา้ มันพืชลงผิวหน้าของ
สารละลายเพื่อจํากัดปริมาณแก๊สออกซิเจนในหลอดทดลอง เพื่อให้เชลล์ยีสต์ เกิดการสลายสารอาหารโดย
กระบวนการหมัก)

- การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในหลอดทดลองทั้ง 3 หลอด เหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร
(หลอดที่ 2 และ 3 เกิดฟองแก๊สคารบ์ อนไดออกไซด์ และไดแ้ อลกอฮอล์เปน็ ผลติ ภัณฑ์ เน่อื งจากหลอดที่ 2 มี
คาร์โบไฮเดรตจากน้ำตาลทรายและหลอดที่ 3 มีคาร์โบไฮเดรทจากน้ำสับปะรด มีวัตถุดิบที่ยีสต์จะใช้สร้าง
พลงั งานแต่เนอ่ื งจากมีแกส๊ ออกซิเจนอยู่จำกดั ทำให้การสลายสารอาหารของยสี ต์ ในหลอดทดลองท้งั 2 หลอด
จะดำเนนิ ผ่านไกลโคไลซสิ วฏั จักรเครบส์ และกระบวนการถา่ ยทอดอเิ ล็กตรอนตามลำดับในช่วงแรก หลงั จาก
ที่ออกซิเจนหมด การสลายสารอาหารของยีสต์จะเข้าสู่ไกลโคไลซิสและเข้าสู่กระบวนการหมัก ส่วน หลอด
ทดลองท่ี 1 ไม่มกี ารเปลยี่ นแปลงเน่อื งจากยีสต์ไมม่ สี ารอาหารสำหรบั ใชเ้ ป็นวตั ถดุ ิบในการสรา้ ง พลงั งานใหก้ ับ
เซลล์)

- ถ้าไม่มีการเติมน้ำมันพืช และเขย่าหลอดทดลองทั้ง 3 หลอด จะเกิดการเปลี่ยนแปลงท่ี
เหมือนหรือแตกต่างจาก หลอดทดลองแรกอย่างไร (หลอดที่ 1 ไม่มีการเปลี่ยนแปลงเช่นเดียวกันกับการ
ทดลองแรก ส่วนหลอดท่ี 2 และ 3 จะเกิดฟองแกส๊ คารบ์ อนไดออกไซด์ แตไ่ มเ่ กิดแอลกอฮอล์ เนื่องจากการไม่
ใส่น้ำมนั พืช และการเขย่าหลอดเปน็ การเตมิ อากาศใหก้ ับหลอดทดลอง ทําใหย้ ีสตเ์ กิดการสลายสารอาหารได้
อยา่ งสมบรู ณ)์

3.2 ครใู หน้ ักเรยี นรว่ มกนั สรุปข้นั ตอนการสลายสารอาหารในภาวะทม่ี ีออกซิเจนไม่เพียงพอ (นกั เรียน
ควรสรุปได้ว่า เซลล์มีการสลายกลูโคสผ่านกระบวนการต่างๆ คอื ไกลโคไลซสิ วัฏจักรเครบส์ แต่กระบวนการ
ถ่ายทอดอิเล็กตรอนหยุดชะงัก เนื่องจากไม่มีตัวรับอิล็กตรอนตัวสุดท้ายคือ ออกซิเจน เกิดการสะสมของ

NADH และ FADH เพ่ิมมากขึ้นทำใหเ้ ซลลต์ อ้ งมกี ระบวนการหมกั เกดิ ขนึ้ แทน เพื่อเปล่ียนกรดไพรวิกท่เี กดิ จาก
ไกลโคไลซิสให้กลายเป็นกรดแลกติกหรือแอลกอฮอล์ ซึ่งในปฏิกิริยาจะมีการเปลี่ยน NADH ให้กลายเป็น
NAD+ ทต่ี ้องนำกลบั เขา้ สูไ่ กลโคไลซิสในการสร้าง ATP ให้กบั เซลล์ตอ่ ไป) กจิ กรรมรวบยอด
ข้ันที่ 4 ขยายความรู้

4.1 ครใู ห้ความร้เู พม่ิ เติมเกี่ยวกับปฏิกริ ิยาเคมที มี่ สี ารหนึ่งใหอ้ ิเลก็ ตรอนแล้วมีเลขออกซิเดชันเพิ่มข้ึน
เรียกว่า ปฏิกิริยาออกซิเดชัน ส่วนปฏิกิริยาที่สารหนึ่งรับอิเล็กตรอนแล้วมีเลขออกซิเดชันลดลงเรียกว่า
ปฏิกริ ยิ า รดี ักชนั เม่อื รวมปฏกิ ิรยิ าทงั้ 2 เข้าด้วยกันจะได้เปน็ ปฏกิ ิริยารีดอกซ์ เชน่ ปฏกิ ริ ยิ าเปล่ยี นกรดไพรูวิก
เป็น แอซิติลโคเอนซ์เอ โดยเอนไซม์ pyruvate dehydrogenase ในปฏิกิริยารีดอกซ์สารที่เป็นตัวรับ
อเิ ลก็ ตรอน จากสารอนื่ เรยี กวา่ ตวั ออกซไิ ดซ์ ส่วนสารท่ีเป็นตัวใหอ้ เิ ลก็ ตรอนกับสารอืน่ เรยี กว่าตัวรีดิวซ์

4.2 ครูอธิบายเพิ่มเติมว่าเซลล์ต้องการพลังงานในรูปของ ATP ไปใช้ในกิจกรรมต่างๆ ตลอดเวลา
ดังนั้นเซลล์ต้องมี กระบวนการถ่ายทอดอเิ ล็กตรอน เพื่อเปลี่ยนพลังงานในรูปพลังงานสูงได้แก่ NADH และ
FADH ให้เป็น ATP

4.3 ครูอธิบายเพิม่ เติมว่าพลงั งานจาก NADH 6 โมเลกุลในไซโทซอล จะไม่สามารถผา่ นเยื่อห้มุ ไมโท
คอนเดรียได้ โดยตรงเนอ่ื งจากไม่มีโปรตนี ตัวพาทจี่ ำเพาะสำหรับ NADH แต่จะสง่ พลังงานในรปู ของอิเลก็ ตรอน
ผ่านตัวรบั อเิ ลก็ ตรอนในเมทรกิ ซ์ ซึง่ ถา้ ตัวรับอิเล็กตรอนเป็น NAD+ จะได้ NADH เขา้ สกู่ ระบวนการถ่ายทอด
อิเลก็ ตรอน แต่ถา้ ตวั รับอิเล็กตรอนเปน็ FAD จะได้ FADH เขา้ สู่กระบวนการถ่ายทอดอเิ ล็กตรอน ซึ่งทำให้ได้
ATP นอ้ ย กวา่ วธิ กี ารสง่ ผ่านพลังงานของ NADH เขา้ มาในไมโทคอนเดรียจะส่งผ่านสารอน่ื ทเี่ ปน็ ตัวกลาง เช่น
malateaspartate shuttle และ glycerophosphate shuttle เป็นตน้

4.4 ครูให้ความรเู้ พ่ิมเตมิ เกย่ี วกบั การสลายลพิ ดิ และโปรตีน
ข้ันที่ 5 ประเมนิ ผล

5.1 ครใู หค้ วามรเู้ พม่ิ เตมิ เกย่ี วกับการเปรียบเทยี บขั้นตอนการหายใจระดับเซลล์ในภาวะท่ีมีออกซิเจน
เพียงพอกับ ภาวะที่มีออกซิเจนไม่เพียงพอ พบว่าเมื่อมีออกซิเจนเพยี งพอการหายใจระดับเซลล์เกิดขึ้นอย่าง
สมบูรณ์ ผา่ นขนั้ ตอนในกระบวนการตา่ งๆ คอื ไกลโคไลซิส การสรา้ งแอซทิ ิลโคเอนไซม์เอ และวัฏจักรเครปส์
จนสิ้นสุดที่ กระบวนการถ่ายทอดอิเล็กตรอน แต่เมื่อออกซิเจนไม่เพียงพอจะเกิดการหายใจระดับเซลล์ผา่ น
ขน้ั ตอนใน ไกลโคไลซิส และเข้าสูก่ ระบวนการหมกั

8. สอ่ื อุปกรณ์แหล่งเรียนรู้
1. หนงั สอื เรยี นรายวิชาเพิม่ เติม ชวี วิทยา เลม่ 1 ชั้นมัธยมศกึ ษาปที ่ี 4
2. สมดุ บนั ทึกประสบการณ/์ ตอบคำถาม
3. ส่อื นำเสนอ เรื่อง หายใจรับเซลล์

9. ภาระชิ้นงาน
- สบื คน้ ข้อมลู จากใบความรู้ สอ่ื และแหล่งเรียนรู้
- ตอบคําถามในแบบฝึกหัด
- กจิ กรรม กระบวนการสลายสารอาหารระดบั เซลล่
- สมุดบันทึกประสบการณก์ ารเรียนรู้
- แบบบันทกึ กิจกรรมกระบวนการสลายสารอาหารระดบั เซลล์

10. การวัดและประเมนิ ผล วธิ ีการประเมิน เกณฑก์ ารประเมนิ
จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ - สงั เกตจากการตอบคำถามตลอด
กิจกรรมการเรยี นรู้ ผา่ นเกณฑ์การ
ดา้ นความรู้ (K) -ตรวจใบผลบนั ทกึ กิจกรรม ประเมินไม่นอ้ ย
1. อธบิ ายและสรุปขน้ั ตอนการสลายกลโู คสใน กวา่ ร้อยละ 70
สภาวะที่มีออกซิเจนเพียงพอ - ตรวจใบบนั ทึกผลกิจกรรม
2. อธบิ ายและสรปุ ขนั้ ตอนการสลายกลูโคสใน - การนำเสนอผลการปฏบิ ัตงิ านและ
สภาวะท่มี ีออกซเิ จนไมเ่ พียงพอ สรปุ ผลหน้าชนั้ เรียน
3. เปรียบเทียบขนั้ ตอนการหายใจระดบั เซลล์ใน
สภาวะทมี่ อี อกซเิ จนเพยี งพอ กบั ภาวะทีม่ ีออกซิเจน
ไมเ่ พียงพอ
ทักษะกระบวนการ (P)
4. สังเกตและตรวจสอบผลท่ไี ดจ้ ากกระบวนการ
หมักยีสต์ เปรียบเทียบกับการสลายสารอาหารแบบ
ใช้ออกซิเจน

คุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ (A) - สงั เกตพฤติกรรมระหว่างเรียนโดย
5. นักเรียนกระตอื รอื รน้ แสดงความคิดเหน็ และ ใช้แบบสังเกตพฤตกิ รรมการทำงาน
ทำงานร่วมกับเพอ่ื นอย่างสร้างสรรค์ กลมุ่

11. บนั ทกึ หลังสอน
ผลการจัดการเรียนรู้

1.1 ด้านความรู้ (K) ……………………………………………………………………………………………………………….
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

1.2 ดา้ นทกั ษะ/กระบวนการ (P) …………………………………………………………………………………………….
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

1.3 ด้านคุณลักษณะ (A) …………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

ปัญหาทเ่ี กดิ ข้ึนระหวา่ งการจัดการเรยี นรู้
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

วิธี/แนวทางการแก้ปัญหา
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

ลงชือ่ ……………………………………………
(นางสาวณชิ ากร นามวงษา)
ครูผสู้ อน

ความคิดเหน็ ของครพู ่เี ลย้ี ง
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

ลงชือ่ ……………………………………………
(นางสานิต กรีเทพ)
ครพู ่ีเล้ียง

ความคิดเหน็ ของบรหิ ารวชิ าการ
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

ลงชื่อ……………………………………………
(นางสายชล ดวงบปุ ผา )
ฝ่ายบรหิ ารวชิ าการ

ความคดิ เหน็ ของผบู้ รหิ ารสถานศึกษา
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

ลงชอื่ ……………………………………………
(……………………………………………)
ผู้บริหารสถานศกึ ษา

ภาคผนวก

แบบประเมนิ คุณลกั ษณะอันพึงประสงค์
คำชี้แจง : ให้ผู้สอนสังเกตพฤตกิ รรมของนกั เรียนในระหวา่ งเรียนและนอกเวลาเรยี น แล้วขีด / ลงใน

ชอ่ งท่ีตรงกับระดบั คะแนน
ชอื่ .................................................................................ช้ัน.................เลขท่.ี ..............กลมุ่ ..............

คุณลักษณะอันพึง รายการประเมนิ ระดบั คะแนน
ประสงค์ 43 21
ปฏบิ ตั ติ ามข้อตกลง กฎเกณฑ์ ระเบยี บ ข้อบังคบั ของ
มีวินยั รบั ผิดชอบ ครอบครัวและโรงเรยี นตรงตอ่ เวลาในการปฏบิ ัตกิ จิ กรรมใน
ชวี ิตประจำวัน และรับผิดชอบในการทำงาน
ใฝ่เรยี นรู้ แสวงหาข้อมลู จากแหล่งการเรยี นรู้
มกี ารจดบันทึกความรูอ้ ยา่ งเป็นระบบ
มุ่งม่นั ในการทำงาน มคี วามตงั้ ใจและพยายามในการทำงานท่ไี ดร้ ับมอบหมาย
มีความอดทนและไมท่ ้อแท้ตอ่ อุปสรรคเพื่อใหง้ านสำเรจ็

ลงช่ือ………………………………………………………….. ผูป้ ระเมนิ
…………………/…………………../……………….

เกณฑ์การให้คะแนน ให้ 4 คะแนน เกณฑ์การตดั สินคุณภาพ
เตรยี มปัดเรอื เพอื่ แสดงพฤติกรรมอย่างสม่ำเสมอ ให้ 3 คะแนน
ปฏบิ ัตหิ รือแสดงพฤตกิ รรมบ่อยครั้ง ให้ 2 คะแนน ช่วงคะแนน ระดบั คุณภาพ
ปฏิบัตหิ รือแสดงพฤตกิ รรมบางครงั้ ให้ 1 คะแนน 12-10 ดมี าก
ปฏบิ ัติหรือแสดงพฤตกิ รรมนอ้ ยคร้งั
9-6 ดี

5-3 พอใช้
ต่ำกว่า 3 ปรบั ปรงุ



แผนการจัดการเรียนรู้ 19

รายวิชาวิทยาศาสตรเ์ พ่ิมเติม (ชวี วทิ ยา) รหัส ว30241 ช้นั มัธยมศึกษาปีที่ 4
หน่วยการเรียนรู้ท่ี 3 เซลล์และการทำงานของเซลล์ จำนวน 18 ชัว่ โมง
เรอ่ื ง การแบ่งเซลล์ จำนวน 2 ชั่วโมง
สอนโดย นางสาวณชิ ากร นามวงษา ภาคเรียนท่ี 1/2565

1. ผลการเรยี นรู้
สังเกตการแบ่งนิวเคลียสแบบไมโทซิส จากตัวอย่างภายใต้กล้องจุลทรรศน์ พร้อมทั้งอธิบายและ

เปรยี บเทยี บ การแบง่ นิวเคลียสแบบไมโทซิสและแบบไมโอซิส

2. จดุ ประสงคก์ ารจดั การเรียนรู้
1. นักเรียนสามารถบอกโครงสร้างของเซลล์ทแี่ บง่ แบบไมโทซิสภายใต้กล้องจุลทรรศน์ได้ (K)
2. นกั เรียนสามารถสงั เกต บนั ทึกและอธบิ ายโครงสรา้ งของเซลลท์ ่แี บง่ แบบไมโทซิสภายใต้กลอ้ ง

จุลทรรศน์ได้ (P)
3. นกั เรียนสามารถทําการทดลองเพอ่ื เปรียบเทยี บการแบ่งเซลลใ์ นระยะต่างๆ ท่ีเหน็ ในกล้อง

จุลทรรศน์กับรปู ในบทเรยี นได้ (P)
4. เตรียมสไลด์เพ่อื ศึกษาการเปลย่ี นแปลงโครโมโซมในนิวเคลียสของการแบง่ เซลล์แบบไมโอซสิ ของ

เซลลพ์ ืช (P)
5. นักเรียนกระตอื รอื ร้น แสดงความคดิ เหน็ และทำงานร่วมกับเพอื่ นอย่างสรา้ งสรรค์ (A)

3. สาระสำคัญ
เซลล์ของสง่ิ มีชีวิตมกี ารแบง่ นิวเคลียสเกิดขน้ึ ใน 3 ลกั ษณะคอื การแบง่ นวิ เคลยี สแบบไมโทซิส ซ่งึ เปน็

การ แบ่งท่ีทำให้จํานวนโครโมโซมภายในนิวเคลยี สเท่าเดมิ มักเปน็ การแบ่งของเซลล์รา่ งกาย และการแบง่
นวิ เคลยี ส แบบไมโอซสิ ซ่งึ เป็นการแบง่ ที่เซลล์ลดจำนวนลงครึง่ หนึง่ เพือ่ สรา้ งเซลล์สบื พันธ์ุในการสบื พนั ธแุ์ บบ
อาศยั เพศการ แบ่งนวิ เคลยี สแบบไมโทซิสกอ่ ใหเ้ กดิ วัฏจกั รเซลล์

4. สาระการเรยี นรู้
สงั เกตการแบง่ นวิ เคลยี สแบบไมโทซิส จากตวั อยา่ งภายใตก้ ลอ้ งจลุ ทรรศน์ พรอ้ มทง้ั อธิบายและ

เปรยี บเทียบ การแบง่ นิวเคลยี สแบบไมโทซสิ และแบบไมโอซิส

5. สมรรถนะสำคญั ของผเู้ รียน
1. ความสามารถในการสื่อสาร
2. ความสามารถในการคิดวเิ คราะห์
- ทกั ษะในการคิดวิเคราะห์
- ทกั ษะการคดิ สรา้ งสรรค์
3. ความสามารถในการแก้ปญั หา
4. ความสามารถในการใชท้ กั ษะชีวิต
- กระบวนการทาํ งานกลุม่
5. ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี

6. คุณลักษณะอนั พงึ ประสงค์
1) มวี ินัย
2) ใฝ่เรยี นรู้
3) มงุ่ มนั่ ในการทำงาน

7. กจิ กรรมการเรยี นรู้
ขั้นที่ 1 สร้างความสนใจ

1.1 ครูนำเข้าสู่บทเรียนโดยให้นักเรียนศึกษารูปเกี่ยวกับการเจริญเติบโตของสิ่งมีชีวิตหรือวีดิทัศน์
เก่ยี วกับการแบ่ง เซลลข์ องสงิ่ มชี วี ติ เซลลเ์ ดียว แล้วต้ังคำถามเพื่อให้นกั เรียนแสดงความคิดเห็น ดังนี้

- การแบง่ เซลล์ของส่งิ มชี ีวติ เซลล์เดยี วเกดิ ขึน้ เพอ่ื อะไร ในส่งิ มีชีวติ หลายเซลล์มีการแบง่ เซลล์
เหมือนกับสิ่งมชี ีวิต เชลล์เดียวหรือไม่ อย่างไร (จากการแสดงความคิดเห็น นักเรียนควรสรุปได้ว่า สิ่งมีชีวติ
เซลลเ์ ดียวมกี ารแบ่งเซลลเ์ พื่อการสืบพันธ์ุเพ่มิ จำนวนประชากร ในขณะทีส่ ่งิ มีชวี ิตหลายเซลล์มีการแบง่ เซลล์มี
การแบ่งเซลล์เพ่ือการเจริญเติบโตทดแทน เซลลท์ ี่ตายหรอื เสยี หาย นอกจากน้ยี ังมกี ารแบง่ เซลล์เพอ่ื สรา้ งเซลล์
สืบพันธุด์ ว้ ย)

1.2 ครูเชื่อมโยงคำตอบที่ได้จากการแสดงความคิดเห็นของนักเรียนเข้าสู่เรื่องการแบ่งเซลล์โดยใช้
คำถามเพ่มิ เติม ดงั น้ี

- เซลล์มีวธิ กี ารเพมิ่ จาํ นวนได้อยา่ งไร
- ในร่างกายของมนุษย์มีเซลล์ใดบ้างที่สามารถเพิ่มจำนวนได้ และเซลล์ใดบ้างที่ไม่สามารถ
เพิ่มจำนวนได้ - การเพม่ิ จาํ นวนเซลล์มีประโยชน์อย่างไร (จากการแสดงความคิดเห็นควรสรุปได้ว่า เซลล์ของ
สิ่งมีชีวิตมีการเพิ่มจำนวนโดยการแบ่งเซลล์ ทำให้สิ่งมีชีวิตมีการเติบโต ทำให้มีรูปร่าง หรือขนาดใหญ่ขึ้น
ทดแทนเซลลท์ ี่ตายหรอื เซลล์ท่เี สียหาย เชน่ เซลลเ์ ม็ดเลือดขาว เซลล์ผิวหนงั เป็นเซลล์รา่ งกายมนุษย์ที่สามารถ
เพ่ิมจำนวนได้ ในขณะทีเ่ ซลลร์ า่ งกายบางเซลล์ไมส่ ามารถเพิม่ จาํ นวนได้ เชน่ เซลลก์ ล้ามเนอื้ เซลล์ประสาท)

ข้ันที่ 2 สาํ รวจและคน้ หา
2.1 ครูให้ความรู้ถึงการแบ่งเซลล์ของสิ่งมีชีวิตยูคาริโอตว่าประกอบด้วย 2 ขั้นตอน คือการแบ่ง

นิวเคลยี สและการแบง่ ไซโทพลาสซึม โดยการแบง่ นิวเคลยี สสามารถแบ่งออกเป็น 2 แบบ คอื การแบง่ นวิ เคลยี ส
แบบไมโทซสิ และการแบง่ นวิ เคลยี สแบบไมโอซิส ซง่ึ จะเกย่ี วขอ้ งกับโครโมโซม

2.2 ครูให้นักเรยี นศึกษารูปร่างของโครโมโซมจากหนงั สอื เรียน โดยให้สังเกตลักษณะของโครโมโซม
เพื่อที่จะเชื่อมโยงสู่การแบ่งเซลล์ที่เกิดการเปลี่ยนแปลงในนิวเคลียส (จากการสังเกตนักเรียนควรสรุปได้วา่
ภายในนวิ เคลยี สของเซลล์ยูคาริโอตมีสารพันธุกรรมหรือ DNA และโปรตนี อืน่ ๆประกอบเปน็ โครงสร้างท่ีเป็น
สายยาวเรยี กวา่ โครมาทิด และเมอ่ื มกี ารแบง่ เซลลโ์ ครมาทิดจะขดตัวใหเ้ หน็ เป็นแท่งโครโมโซม โดยโครโมโซม
1 แทง่ อาจมี 1 หรอื 2 โครมาทดิ )

2.3 ครูให้นักเรียนศึกษาคำศัพท์ตา่ งๆ ได้แก่ ฮอมอโลกัสโครโมโซม ติพลอยด์ แฮพลอยด์ ออโตโซม
และ โครโมโซมเพศ เพื่อให้นกั เรยี นเข้าใจเบื้องตน้ ก่อนที่จะเขา้ สู่การเรียนรู้เร่ืองการแบ่งเซลล์ ครูใช้รูปภาพ
และสอ่ื นำเสนอ การตง้ั คำถามเพือ่ ตรวจสอบความเขา้ ใจของนักเรยี น ดังน้ี

- โครโมโซมในเซลล์ร่างกายมนุษยม์ ีกี่ชดุ
- โครโมโซมในเซลล์รา่ งกายมนษุ ยม์ จี ํานวนเทา่ ใด
- ดพิ ลอยด์ กบั แฮพลอยด์ แตกต่างกันอยา่ งไร
- โครโมโซมเพศแตกตา่ งจากออโตโซมอย่างไร (จากคำถามนักเรียนควรสรุปได้วา่ โครโมโซม
ในเซลล์ร่างกายมนุษย์มี 2 ชุด หรอื 2n เรียกวา่ ดิพลอยด์ ซึ่งได้มา จากพอ่ 1 ชดุ และแม่ 1 ชุด ซง่ึ แตกตา่ งจาก
โครโมโซมทพี่ บในเซลล์สืบพันธุท์ ี่มีจำนวนโครโมโซม 1 ชดุ หรอื n เรียกว่าแฮพลอยด์โครโมโซมในเซลล์รา่ งกาย
ของมนษุ ย์มี 46 โครโมโซมหรือ 23 คู่ แบ่งเปน็ ออโตโซม 22 คู่ หรอื 44 โครโมโซม ทำหน้าที่ควบคุมลักษณะ
ต่างๆ พบเหมือนกนั ในส่งิ มชี วี ิตทัง้ สองเพศ ส่วนคทู่ ี่ 23 เปน็ โครโมโซเพศ ท่ีทําหน้าท่ีกําหนดเพศชายหญิง)
2.4 ครูให้นักเรียนทำกิจกรรม เรื่องการแบ่งเซลล์แบบไมโทซิสของปลายรากหอม โดยแบ่งนักเรียน
ออกเป็นกล่มุ แลว้ เชื่อมโยงเขา้ ส่วู ฏั จักรเซลล์ กบั การแบง่ เซลลแ์ บบไมโทซสิ
2.5 ครูให้นักเรยี นทำกจิ กรรมตามข้นั ตอนในหนงั สอื เรียน โดยให้ระมดั ระวงั ในข้ันตอนต่อไปน้ี
- การตัดปลายรากหอม การผา่ นสไลดบ์ นเปลวไฟ การหยดกรดไฮโดรคลอรกิ และการย้อมสี
ดว้ ยอะซโี ทนคาร์มีน หรือนำ้ ตม้ ขา้ วเหนียวดำ โดยครูอาจสาธิตให้นักเรยี นดเู ป็นตัวอยา่ ง พรอ้ มอธิบายเพ่มิ เติม
ดังต่อไปนี้
- การตัดปลายรากหอม ให้ตัดห่างจากปลายรากประมาณ 1-2 มิลลิเมตรเพราะถา้ ตัดสงู ขึน้
ไปจะไม่พบ บริเวณท่กี ำาลงั แบง่ เซลล์
- การผา่ นสไลดบ์ นเปลวไฟ ตอ้ งผ่านสไลด์บนเปลวไฟเปน็ ระยะเวลาสนั้ ๆ จะชว่ ยใหส้ ยี อ้ มตดิ
- การหยดกรดไฮโดรคลอริก จะทาํ ให้ผนงั เซลล์อ่อนตัวและทําใหเ้ ซลลแ์ ยกออกจากกันได้ง่าย
2.6 ครูเตือนนักเรียนอยา่ ใช้ไฟลนสไลด์นานเกนิ ไปเพราะเน้ือเยือ่ จะหดตัวทำให้สังเกตโครโมโซมได้
ยาก

ขนั้ 3 อธิบายและลงขอ้ สรุป
3.1 ผลการทํากจิ กรรมทไี่ ดอ้ าจพบเซลลท์ ่ีมกี ารแบ่งเซลลค์ รบหรือไมค่ รบทกุ ระยะ ใหน้ ักเรียนบันทึก

ผลตามที่ สังเกตไดใ้ นแต่ละระยะ และจดั ลำดบั การแบ่งเซลล์ในระยะตา่ งๆ เปรียบเทยี บกบั รปู ในหนังสอื
3.2 ครูใหน้ ักเรยี นร่วมกันอภปิ รายในแตล่ ะประเด็น ดังนี้
- การเลอื กบริเวณทีต่ ดั รากหอม : เหตุใดจงึ ใชห้ อมในการศึกษา และใช้สว่ นปลายรากเท่าน้ัน

(โครโมโซมมีขนาดใหญแ่ ละจํานวนไมม่ าก สว่ นท่ใี ชเ้ ฉพาะปลายรากเน่ืองจากเป็นบรเิ วณท่ีมีการแบ่งเซลล์)
- การเปลี่ยนแปลงของนิวเคลียส (นักเรียนควรอภิปรายและสรุปเก่ียวกบั การเปลี่ยนแปลง

ของนิวเคลียสในแต่ละระยะที่สังเกตได้ รวมถึงการแบ่งไซโทพลาซึม เขียนรายงานนำเสนอในรูปแบบที่
หลากหลาย)

3.3 จากการสงั เกตการณ์แบง่ เซลล์ระยะต่างๆของรากหอมภายใต้กล้องจุลทรรศน์หรือสงั เกตจากรูป
ถ่ายของเซลล์รากหอมท่คี รใู หศ้ ึกษานักเรยี นควรไดข้ อ้ สรุป ดงั นี้

- เซลล์มีขนาดเลก็ ไม่มีช่องว่างระหว่างเซลลแ์ ละพบการเปลี่ยนแปลงของโครโมโซมภายใน
เซลล์

- นิวเคลียสในบางเซลล์มีลักษณะคล้ายกับที่เคยพบจากการศีกษาเซลล์เยื่อหอม แต่ในบาง
เซลล์อาจมองไม่เห็นขอบเขตของนิวเคลียส บางเซลล์อาจเห็นโครโมโซมลักษณะเป็นแท่ง แต่บางเซลล์อาจ
มองเห็นเปน็ เส้นใยโครมาทิน

3.4 ครูตั้งคำถามเพื่อนำสูก่ ารอภิปรายตามความเหมาะสม คำตอบที่ได้จะเป็นส่ิงที่ได้จากการสงั เกต
และรวบรวม ข้อมลู ของนกั เรียน เช่น

- ถ้าเซลล์ของรากหอมมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา นักเรียนระบุได้หรือไม่ว่าเซลล์ที่อยู่
บริเวณปลายรากจะมี ลกั ษณะแตกตา่ งจากเซลลท์ ่ีอยู่ใกล้โคนรากอย่างไร (เซลลบ์ รเิ วณปลายรากหอมยังคงมี
การเปลยี่ นแปลงอยู่ แตเ่ ซลล์บรเิ วณที่อยโู่ คนรากจะไม่พบเซลลท์ ก่ี ำลังแบง่ ตัว แลว้ )

3.5 ครใู ห้นักเรยี นตอบคำถามท้ายกิจกรรมในหนงั สือเรียน
- จากภาพที่สังเกตได้โครโมโซมมีลักษณะเป็นอย่างไรบ้าง เมื่อเปรียบเทียบกับรูปภาพใน

หนงั สอื (นักเรยี นอาจสังเกตเห็นโครโมโซมในระยะตา่ งๆกัน ซงึ่ แต่ละระยะลกั ษณะโครโมโซมจะแตกตา่ งกันไป
เช่น โคโมโซมมีความยาวไม่เท่ากัน บางเซลล์อาจพบโครโมโซมเรียงอยู่ที่กึ่งกลางเซลล์ บางเซลล์อาจพบ
โครโมโซมแยกเปน็ สองกลุม่ หรอื อาจพบแผน่ ก้นั ผนังเซลล์ ทำใหเ้ ห็นโครโมโซมแยกเปน็ สองเซลล์ เปน็ ตน้ )

ขน้ั ที่ 4 ขยายความรู้
4.1 ครูควรให้นกั เรียนสบื คน้ ขอ้ มูลเพิ่มเติม แล้วร่วมกันอภปิ รายถงึ การเปล่ยี นแปลงของนิวเคลยี สและ

โครโมโซม ใน ระยะต่างๆ ของการแบง่ เซลล์แบบไมโทซิส โดยใชค้ ำถาม เชน่
- โครโมโซมมกี ารเปลีย่ นแปลงอยา่ งไรในแตล่ ะระยะ
- การแบ่งเซลล์แบบไมโทซิสในเซลล์พืชและเซลล์สัตว์แตกต่างกันอย่างไรบ้าง (จากการ

อภปิ รายนักเรยี นควรใช้ความร้ทู ่ไี ด้จากการทากิจกรรมและการสืบค้นข้อมลู เพ่ือตอบคำถาม)

4.2 ครเู สริมความรู้เรอื่ งความแตกต่างของการแบ่งเซลล์แบบไมโทซิสในเซลล์พืชและเซลล์สัตว์ ได้แก่
การสรา้ ง เสน้ ใยสปินเดิลในเซลล์พืช เซนโทรโซมจะไม่มีเซนทรโิ อล และระยะการแบ่งไซโทพลาซมึ จะแตกต่าง
กนั โดยในเซลล์ พชื มกี ารสรา้ งแผ่นก้นั เซลล์ ในขณะทเ่ี ซลลส์ ตั วเ์ ย่ือหุ้มเซลลจ์ ะคอดเขา้ หากัน
ขั้นที่ 5 ประเมินผล

5.1 เพื่อให้นักเรียนเข้าใจยิ่งขึ้นครูให้นักเรียนนำบันทึกผลการศึกษาจากการทำกิจกรรม มาเรียง
สลับกันแบบสุ่ม แล้วให้นักเรียนเรียงตามระยะการแบ่งเซลล์ให้ถูกต้อง จากนั้นให้นักเรียนตอบคำถามเพ่ือ
ตรวจสอบความเขา้ ใจ

- ถา้ ไม่มีการสรา้ งเสน้ ใยสปนิ เดิลจะมีผลต่อการแบง่ เซลล์อยา่ งไร (เมอื่ ไมม่ ีเส้นใยสปินเดิลจะ
ไม่มีการแยกของซสิ เตอร์โครมาทิด ซึ่งอาจทำให้เซลลล์ กู ทไ่ี ด้มีจำนวนโครโมโซมผิดปกติ)

- เซลล์ของส่ิงมชี วี ิตหน่ึงในระยะอนิ เตอรเ์ ฟสมี 8 โครโมโซม เม่ือสน้ิ สุดการแบ่งเซลล์แบบไม
โทซสิ แล้วเซลลใ์ หม่ที่ เกิดขึน้ แต่ละเซลล์มีกโ่ี ครโมโซม (8 โครโมโซม)

5.2 ครูอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับวัฏจักรเซลล์ เน้นประเด็นให้นักเรียนได้ทราบว่าเซลล์มีการ
เปล่ียนแปลงและเกิดขึน้ เป็นวฏั จักรจงึ เรยี กวา่ วฏั จักรเซลล์ จากนัน้ ครูใช้คำถามเชือ่ มโยง ดงั น้ี

- ระยะใดในวัฏจกั รเซลลใ์ ช้เวลายาวนานท่สี ดุ (ระยะอนิ เตอร์เฟส)
- การจำลองโครโมโซมมีความสาคัญต่อการแบ่งเซลล์อย่างไร (ทำให้เซลล์ลูกมีจำนวน
โครโมโซมเทา่ กับเซลล์แม)่
- โดยทั่วไปแล้วเซลล์ลกู สามารถแบง่ เซลล์ตอ่ ไปได้หรอื ไม่ และการเปลี่ยนแปลงในระยะต่างๆ
ที่เกิดขึน้ ที่นิวเคลยี ส ยังเหมือนเดิมหรือไม่ (ยังสามารถแบ่งเซลล์ตอ่ ไปได้อีก โดยมีการเปลี่ยนแปลงในระยะ
ต่างๆ ทีเ่ กดิ ขึน้ ในนวิ เคลียส เหมือนเดิม)
- ถ้าต้องการจะนับจํานวนโครโมโซม ควรศึกษาในระยะใดของการแบ่งเซลล์ เพราะเหตุใด
(ระยะเมทาเฟส เพราะเปน็ ระยะทีโ่ ครโมโซมหดสนั้ ทส่ี ดุ และเหน็ ชัดเจนท่ีสุด)
5.3 หลังจบเรื่องวัฏจักรเซลล์และการแบ่งเซลล์แบบไมโทซิสครูอาจใช้คำถามว่าถ้าเซลล์มีการแบ่ง
เซลล์โดยไม่สามารถควบคมุ ได้จะเกิดอะไรขึน้ กับร่างกาย เพอ่ื เช่ือมโยงไปถึงการเกดิ มะเรง็ บรเิ วณสว่ นต่างๆของ
ร่างกาย
5.4 ครูใหน้ กั เรียนสบื คน้ ขอ้ มูลเกยี่ วกับสาเหตกุ ารเกิดมะเร็งบางชนิด เช่น มะเรง็ ปอด มะเรง็ ลำไสใ้ หญ่
มะเร็งต่อม ลูกหมาก มะเร็งเต้านม เกี่ยวกบั ปัจจัยที่ก่อให้เกดิ มะเร็ง รวมทั้งวิธีการปอ้ งกันหรือรักษา เพื่อให้
นกั เรียนได้ ตระหนักถึงอนั ตราย และสงั เกตพฤตกิ รรมของตนเองท่ีอาจเปน็ การเพิ่มปัจจัยเสยี่ งทำให้ป่วยเป็น
โรคมะเร็งได้

8. สอ่ื อุปกรณ์แหลง่ เรียนรู้
1. หนังสือเรยี นรายวิชาเพม่ิ เตมิ ชีววิทยา เล่ม 1 ชนั้ มธั ยมศึกษาปที ่ี 4
2. สมดุ บันทกึ ประสบการณ/์ ตอบคำถาม
3. กลอ้ งจลุ ทรรศน์

9. ภาระช้นิ งาน
- สืบคน้ ขอ้ มลู จากใบความรู้ สอ่ื และแหลง่ เรียนรู้
- ตอบคําถามในแบบฝกึ หดั
- กจิ กรรมทดลอง สังเกตระยะต่างๆของการแบ่งเซลลแ์ บบไมโทซสิ และไมโอซสิ
- สมดุ บนั ทกึ ประสบการณก์ ารเรยี นรู้
- แบบบันทึกกิจกรรมการแบ่งเซลล์แบบไมโทซสิ และไมโอซสิ

10. การวัดและประเมินผล วิธกี ารประเมิน เกณฑก์ ารประเมิน
จุดประสงค์การเรียนรู้ - สังเกตจากการตอบคำถามตลอด
กจิ กรรมการเรยี นรู้
ด้านความรู้ (K) -ตรวจใบผลบนั ทึกกิจกรรม
1. นกั เรยี นสามารถบอกโครงสร้างของเซลลท์ แี่ บง่
แบบไมโทซิสภายใต้กลอ้ งจุลทรรศน์ได้

ทกั ษะกระบวนการ (P) - ตรวจใบบันทกึ ผลกิจกรรม

2. นักเรยี นสามารถสงั เกต บนั ทึกและอธิบาย - การนำเสนอผลการปฏบิ ัติงานและ

โครงสร้างของเซลลท์ แ่ี บง่ แบบไมโทซสิ ภายใตก้ ล้อง สรปุ ผลหน้าชั้นเรยี น

จลุ ทรรศน์ได้ ผา่ นเกณฑก์ าร
ประเมินไม่น้อย
3. นักเรยี นสามารถทาํ การทดลองเพ่อื เปรยี บเทยี บ กวา่ ร้อยละ 70

การแบง่ เซลล์ในระยะต่างๆ ท่เี ห็นในกลอ้ งจลุ ทรรศน์

กบั รูปในบทเรยี นได้

4. เตรยี มสไลดเ์ พอ่ื ศึกษาการเปลี่ยนแปลงโครโมโซม

ในนวิ เคลียสของการแบง่ เซลล์แบบไมโอซสิ ของเซลล์

พชื

คุณลักษณะอันพงึ ประสงค์ (A) - สังเกตพฤตกิ รรมระหวา่ งเรียนโดย

5. นกั เรียนกระตอื รอื รน้ แสดงความคิดเห็นและ ใช้แบบสังเกตพฤติกรรมการทำงาน

ทำงานรว่ มกับเพ่ือนอย่างสรา้ งสรรค์ กลุ่ม

11. บันทกึ หลังสอน
ผลการจดั การเรียนรู้

1.1 ด้านความรู้ (K) ……………………………………………………………………………………………………………….
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

1.2 ด้านทักษะ/กระบวนการ (P) …………………………………………………………………………………………….
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

1.3 ดา้ นคุณลักษณะ (A) …………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

ปญั หาท่ีเกดิ ขน้ึ ระหวา่ งการจัดการเรียนรู้
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

วิธ/ี แนวทางการแกป้ ัญหา
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

ลงชื่อ……………………………………………
(นางสาวณชิ ากร นามวงษา)
ครูผูส้ อน

ความคิดเหน็ ของครูพเ่ี ลยี้ ง
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

ลงชอ่ื ……………………………………………
(นางสานิต กรเี ทพ)
ครพู ีเ่ ลีย้ ง

ความคิดเหน็ ของบรหิ ารวชิ าการ
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

ลงชอื่ ……………………………………………
(นางสายชล ดวงบุปผา )
ฝ่ายบริหารวิชาการ

ความคดิ เหน็ ของผบู้ ริหารสถานศกึ ษา
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

ลงชื่อ……………………………………………
(……………………………………………)
ผูบ้ รหิ ารสถานศกึ ษา

ภาคผนวก

แบบประเมนิ คุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค์
คำชี้แจง : ให้ผู้สอนสังเกตพฤตกิ รรมของนกั เรียนในระหวา่ งเรยี นและนอกเวลาเรยี น แล้วขีด / ลงใน

ชอ่ งท่ีตรงกับระดบั คะแนน
ชอื่ .................................................................................ชัน้ .................เลขท่.ี ..............กลมุ่ ..............

คุณลักษณะอนั พึง รายการประเมนิ ระดบั คะแนน
ประสงค์ 43 21
ปฏบิ ตั ติ ามข้อตกลง กฎเกณฑ์ ระเบยี บ ขอ้ บังคบั ของ
มีวินยั รบั ผิดชอบ ครอบครัวและโรงเรยี นตรงตอ่ เวลาในการปฏิบัตกิ จิ กรรมใน
ชวี ิตประจำวัน และรับผิดชอบในการทำงาน
ใฝ่เรยี นรู้ แสวงหาข้อมลู จากแหล่งการเรยี นรู้
มกี ารจดบันทึกความรูอ้ ยา่ งเป็นระบบ
มุ่งม่นั ในการทำงาน มคี วามตงั้ ใจและพยายามในการทำงานที่ได้รับมอบหมาย
มีความอดทนและไมท่ ้อแท้ตอ่ อุปสรรคเพื่อใหง้ านสำเรจ็

ลงช่ือ………………………………………………………….. ผูป้ ระเมนิ
…………………/…………………../……………….

เกณฑ์การให้คะแนน ให้ 4 คะแนน เกณฑ์การตดั สนิ คุณภาพ
เตรยี มปัดเรอื เพอื่ แสดงพฤติกรรมอย่างสม่ำเสมอ ให้ 3 คะแนน
ปฏบิ ัตหิ รือแสดงพฤตกิ รรมบ่อยครั้ง ให้ 2 คะแนน ช่วงคะแนน ระดบั คุณภาพ
ปฏิบัตหิ รือแสดงพฤตกิ รรมบางครงั้ ให้ 1 คะแนน 12-10 ดมี าก
ปฏบิ ัติหรือแสดงพฤตกิ รรมนอ้ ยคร้งั
9-6 ดี

5-3 พอใช้
ต่ำกว่า 3 ปรบั ปรงุ



แผนการจัดการเรียนรู้ 20

รายวชิ าวทิ ยาศาสตร์เพม่ิ เตมิ (ชีววิทยา) รหัส ว30241 ชัน้ มธั ยมศึกษาปที ่ี 4
หน่วยการเรยี นรูท้ ่ี 3 เซลล์และการทำงานของเซลล์ จำนวน 18 ชวั่ โมง
เร่ือง การแบง่ เซลล์ จำนวน 2 ช่ัวโมง
สอนโดย นางสาวณิชากร นามวงษา ภาคเรียนที่ 1/2565

1. ผลการเรียนรู้
สังเกตการแบ่งนิวเคลียสแบบไมโทซิส จากตัวอย่างภายใต้กล้องจุลทรรศน์ พร้อมทั้งอธิบายและ

เปรยี บเทยี บ การแบง่ นิวเคลียสแบบไมโทซสิ และแบบไมโอซสิ

2. จุดประสงค์การจดั การเรียนรู้
1. นกั เรียนสามารถระบชุ นิดของการแบ่งเซลล์และบอกความสำคญั ของการแบ่งเซลลแ์ บบไมโทซิส

และไมโอซสิ ได้ (K)
2. นักเรยี นสามารถอธิบายความหมายของฮอมอโลกัสโครโมโซม เซลล์ดิพลอยด์ เซลลแ์ ฮพลอยด์ (K)
3. อธบิ ายวัฏจักรเซลล์ได้ (K)
4. นกั เรียนสามารถอธิบายการเปลี่ยนแปลงของนิวเคลยี สในการแบง่ เซลล์แบบไมโทซิสได้ (K)
5. นกั เรยี นสามารถอธบิ ายการเปลีย่ นแปลงของนวิ เคลยี สในการแบง่ เซลล์แบบไมโอซิสได้ (K)
6. นักเรียนสามารถสังเกต บนั ทกึ และอธบิ ายโครงสรา้ งของเซลลท์ ่ีแบง่ แบบไมโทซสิ ภายใต้กลอ้ ง

จลุ ทรรศน์ได้ (P)
7. นกั เรียนสามารถทําการทดลองเพ่อื เปรยี บเทยี บการแบ่งเซลลใ์ นระยะตา่ งๆ ท่เี ห็นในกล้อง

จลุ ทรรศนก์ ับรปู ในบทเรยี นได้ (P)
8. นักเรยี นสามารถเตรยี มสไลด์เพ่ือศกึ ษาการเปลี่ยนแปลงโครโมโซมในนวิ เคลยี สของการแบ่งเซลล์

แบบไมโอซิสของเซลลพ์ ืชได้ (P)
9. นกั เรียนกระตอื รือรน้ แสดงความคิดเหน็ และทำงานรว่ มกบั เพือ่ นอย่างสร้างสรรค์ (A)

3. สาระสำคญั
เซลลข์ องสงิ่ มีชีวิตมีการแบง่ นวิ เคลยี สเกดิ ขึ้นใน 3 ลักษณะคอื การแบ่งนิวเคลยี สแบบไมโทซสิ ซ่งึ เป็น

การ แบ่งท่ที ำให้จํานวนโครโมโซมภายในนิวเคลียสเทา่ เดมิ มักเป็นการแบ่งของเซลล์ร่างกาย และการแบง่
นวิ เคลียส แบบไมโอซิสซ่งึ เปน็ การแบ่งท่ีเซลล์ลดจำนวนลงครึง่ หนงึ่ เพ่อื สร้างเซลลส์ ืบพันธใ์ุ นการสบื พนั ธ์แุ บบ
อาศยั เพศการ แบง่ นิวเคลยี สแบบไมโทซสิ กอ่ ใหเ้ กิดวฏั จักรเซลล์

4. สาระการเรยี นรู้
สงั เกตการแบ่งนิวเคลียสแบบไมโทซิส จากตวั อยา่ งภายใต้กล้องจุลทรรศน์ พรอ้ มท้ังอธบิ ายและ

เปรยี บเทียบ การแบง่ นวิ เคลยี สแบบไมโทซิสและแบบไมโอซสิ

5. สมรรถนะสำคัญของผูเ้ รียน
1. ความสามารถในการส่อื สาร
2. ความสามารถในการคดิ วิเคราะห์
- ทกั ษะในการคิดวเิ คราะห์
- ทักษะการคดิ สรา้ งสรรค์
3. ความสามารถในการแก้ปัญหา
4. ความสามารถในการใชท้ ักษะชีวิต
- กระบวนการทาํ งานกลมุ่
5. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี

6. คุณลักษณะอนั พึงประสงค์
1) มวี นิ ัย
2) ใฝเ่ รยี นรู้
3) มุ่งม่นั ในการทำงาน

7. กิจกรรมการเรยี นรู้
ข้นั ที่ 1 สร้างความสนใจ

1.1 ครนู ำเข้าส่บู ทเรียนโดยใช้คำถามให้นักเรียนรว่ มกนั แสดงความคดิ เห็น ดงั นี้
- เซลล์สบื พนั ธมุ์ กี ารแบ่งนิวเคลยี สเหมอื นเซลลร์ ่างกายหรือไม่ อยา่ งไร (ความคิดเห็นอาจมี

แตกต่างกันไปขึ้นกับประสบการณ์ความรู้เดิมของนักเรียน ครูจะไม่เฉลยและให้นักเรียนได้ ศึกษาและทำ
กิจกรรมตอ่ ไป)
ขั้นท่ี 2 สาํ รวจและค้นหา

2.1 ครูให้นักเรยี นสืบค้นข้อมูลเก่ียวกบั การแบ่งเซลล์แบบไมโอซิสจากหนังสือเรยี นและแหลง่ เรียนรู้
เพม่ิ เติม แล้วนำเสนอหน้าชน้ั เรยี น

2.2 ครแู ละนกั เรยี นร่วมกันสรุปผลจากการสบื คน้ เบอ้ื งต้นควรไดข้ ้อสรุปว่า เซลล์สบื พันธ์มุ วี ิธีการแบ่ง
นิวเคลียสคลา้ ยกบั เซลลร์ า่ งกาย แตม่ รี ายละเอยี ดแตกตา่ งกันดังนี้

1) มีการแบ่งนิวเคลียส 2 ครง้ั
2) มจี ำนวนโครโมโซมลดลงเป็นครึ่งหนึ่งของเซลลแ์ ม่
3) ได้เซลลล์ กู จำนวน 4 เซลล์ ทีม่ ีขอ้ มูลทางพันธุกรรมต่างกัน

2.3 ครอู ธบิ ายเพิม่ เตมิ โดยใชค้ ำถามดังน้ี
- สง่ิ มชี ีวิตยคู าริโอต เชน่ พชื และสตั ว์ พบการแบ่งเซลลแ์ บบไมโอซิสทเี่ ซลล์ชนิดใด (พบได้

ในเซลลท์ ่จี ะเจรญิ ไปเปน็ เซลล์สืบพันธ)ุ์
- จำนวนชุดโครโมโซมในเซลล์ร่างกายและเซลล์สืบพันธุ์เหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร

(ต่างกันเซลล์สืบพนั ธ์ุมีจำนวนชุดของโครโมโซมเป็นครึ่งหนึ่งของเซลล์ร่างกาย ดังนั้นสำหรับสิ่งมีชีวิตที่เซลล์
ร่างกายมีโครโมโซม 2 ชุดหรอื 2n เรยี กว่าดิพลอยด์ และมจี ำนวนชุดของโครโมโซมในเซลลส์ ืบพันธุ์ 1 ชุด หรอื
n เรยี กวา่ แฮพลอยด์)

- การแบง่ เซลลแ์ บบไมโอซิส นวิ เคลยี สมกี ารเปลี่ยนแปลงแตกต่างจากการแบ่งเซลล์แบบไม
โทซิสอย่างไร (เกิดการแบง่ นวิ เคลียส 2 ครง้ั เม่อื สนิ้ สุดการแบง่ จะไดเ้ ซลล์ลูกท้งั หมด 2 เซลล์ โดยแตล่ ะเซลล์มี
ชุดโครโมโซม เปน็ ครึง่ หนึง่ ของเซลล์แม่)

2.4 ครใู หน้ กั เรียนทำกจิ กรรมการแบง่ เซลล์แบบไมโอซสิ เพ่อื สังเกตการเปล่ียนแปลงของโครโมโซมใน
นวิ เคลียส ขณะมกี ารแบง่ เซลลแ์ บบไมโอซิสในเซลลพ์ ชื อาจแบง่ กลมุ่ นักเรยี นออกเปน็ กลมุ่ กลุม่ ละ 5-6 คน

2.5 ครูมีการนัดหมายให้นักเรียนเตรียมดอกกุยช่ายสำหรับทำการทดลอง ควรเลือกดอกที่ยังตูม
มฉิ ะน้ันจะไม่เหน็ อาจแบ่งเซลลแ์ บบไมโอซสิ เพราะดอกแกจ่ ะแบง่ ไมโอซสิ เสร็จแลว้ และจะเจรญิ ไปเป็นเรณู

2.6 เพื่อให้เห็นโครโมโซมชัดเจนครูควรแนะนำให้นักเรียนใช้ยางลบกดเนื้อเยื่อเพื่อให้ เซลล์หลุด
กระจาย ขณะทำกิจกรรมการทดลองเตรียมสไลด์ ครูควรสังเกตนักเรียนในเรื่องการใช้กล้องจุลทรรศน์ และ
การเตรียมสไลดไ์ ปพรอ้ มกนั เพ่ือสังเกตทกั ษะการใชก้ ล้องหรอื การเตรียมสไลดร์ ายบคุ คลว่ามขี ้อบกพร่องหรือ
ควรปรบั ปรงุ ตอ่ ไป

2.7 ครใู ห้นกั เรียนร่วมกนั อภปิ รายกอ่ นการทำกจิ กรรมโดยใช้คำถาม ดังนี้
- เหตใุ ดจงึ เลอื กศึกษาการแบ่งเซลลแ์ บบไมโอซิสโดยใช้ดอกกุยชา่ ย
- โครโมโซมในขณะที่มีการแบ่งเซลล์แบบไมโอซิสมีการเปลี่ยนแปลงเหมือนการแบ่งเซลล์

แบบไมโทซสิ หรือไม่
ขัน้ 3 อธิบายและลงข้อสรปุ

3.1 ครูสังเกตผลท่ีได้จากการทำกิจกรรมอาจพบการแบ่งเซลล์ไมค่ รบทกุ ระยะ ให้นกั เรียนบันทึกสิ่งท่ี
สงั เกตไดใ้ น แตล่ ะระยะและจดั ลำดับการแบง่ เซลล์ในระยะตา่ งๆ เปรียบเทยี บกับรูปในหนังสอื

3.2 ครูให้นักเรียนร่วมกันอภิปรายการเปลี่ยนแปลงของนิวเคลียสในแต่ละระยะที่สังเกตได้ และ
ร่วมกันสรปุ การเปลยี่ นแปลงของนิวเคลยี ส และการแบ่งไซโทพลาซีม พรอ้ มตอบคำถามในแต่ละประเด็น ดังน้ี

- จากภาพที่สังเกตได้ โครโมโซมมีลักษณะอย่างไรบ้าง (คําตอบที่ได้นักเรียนจะได้จากการ
สงั เกตการทาํ กิจกรรมและการสบื ค้น)

- เพราะเหตใุ ดจงึ เลอื กดอกกยุ ช่ายขนาดเล็กและไม่เลือกดอกท่ีบานแล้ว (เพราะดอกกุยช่าย
หาง่าย และมหี ลายดอกในหนึง่ ชอ่ื ดอก แตล่ ะดอกเปน็ ดอกตมู ยงั ไมบ่ านซ่งึ จะยงั คงมีการแบ่ง เซลล์แบบไมโอซิ
สอยเู่ หมาะตอ่ การศึกษา และไม่เลือกดอกท่ีบานแล้วเพราะดอกแก่จะแบ่งไมโอซิสเสรจ็ แล้วและจะ

3.3 ครูให้นักเรียนศึกษารายละเอียดของระยะต่างๆ หรืออาจใช้สื่อวีดิทัศน์เรื่องไมโอซิส แล้วให้
นกั เรยี นรว่ มกนั เจริญไปเปน็ เรณู) สรุปเหตุการณส์ ำคัญต่างๆ ของแต่ละระยะการแบง่ เซลล์แบบไมโอซิสลงใน
ตารางกิจกรรมรวบยอด
ข้นั ท่ี 4 ขยายความรู้

4.1 ครอู าจใหน้ กั เรียนทำตารางแสดงการเปรยี บเทียบการแบง่ เซลลแ์ บบไมโทซิส และไมโอซิส
ขั้นท่ี 5 ประเมนิ ผล

5.1 ครูให้นกั เรียนรว่ มกนั ตอบคำถามชวนคดิ ในหนังสอื เรียน หรอื ทำกิจกรรมเสนอแนะเพอื่ ใหน้ กั เรยี น
มคี วาม เข้าใจการเปลย่ี นแปลงของนิวเคลียสในการแบ่งเซลลแ์ บบไมโทซิส และไมโอซิสได้ดียิ่งขึ้น จากคำถาม
ชวนคิด ดงั น้ี

- ถ้าการแบง่ เซลล์เพอื่ สรา้ งเซลล์สบื พันธุ์ มคี วามผิดปกตใิ นการแยกฮอมอโลกัสโครโมโซม ใน
ระยะแอนาเฟส | หรือซสิ เตอร์โครมาทิดในระยะแอนาเฟส II จะสง่ ผลอย่างไรกับเซลล์สืบพันธ์ุ และหากเซลล์
สบื พันธุน์ น้ั เกิดการ ปฏสิ นธจิ ะสง่ ผลอย่างไรกับไซโกต (เซลลส์ ืบพนั ธุ์ทไ่ี ดม้ จี ำนวนโครโมโซมมากหรือน้อยกว่า
ปกติ ทำใหไ้ ซโกตมี จำนวนโครโมโซมผดิ ปกตไิ ปด้วย ตัวอย่างเช่น กลมุ่ อาการดาวนซ์ ินโดรมท่ีมีโครโมโซมคู่ที่
21 เกนิ มา 1 โครโมโซม จัดเป็น trisomy 21)

8. สอื่ อุปกรณ์แหลง่ เรยี นรู้
1. หนงั สอื เรียนรายวชิ าเพิ่มเติม ชีววทิ ยา เล่ม 1 ชัน้ มธั ยมศึกษาปที ่ี 4
2. สมุดบนั ทึกประสบการณ/์ ตอบคำถาม
3. กลอ้ งจุลทรรศน์

9. ภาระช้นิ งาน
- สืบค้นขอ้ มูลจากใบความรู้ ส่อื และแหล่งเรยี นรู้
- ตอบคําถามในแบบฝกึ หดั
- กจิ กรรม ทดลอง สังเกตระยะต่างๆของการแบ่งเซลล์แบบไมโทซิสและไมโอซสิ
- กจิ กรรมสร้างแบบจำลองระยะต่างๆของการแบ่งเซลลแ์ บบไมโทซิสและไมโอซิส
- สมุดบันทกึ ประสบการณก์ ารเรยี นรู้
- แบบบันทกึ กิจกรรม การแบง่ เซลล์แบบไมโทซิสและไมโอซสิ
- แบบจำลองระยะต่างๆของการแบง่ เซลลแ์ บบไมโทซสิ และไมโอซิส

10. การวัดและประเมินผล

จดุ ประสงค์การเรียนรู้ วิธีการประเมนิ เกณฑก์ ารประเมนิ

ดา้ นความรู้ (K) - สังเกตจากการตอบคำถามตลอด ผ่านเกณฑก์ าร
ประเมินไม่น้อย
1. นกั เรยี นสามารถระบุชนิดของการแบง่ เซลลแ์ ละ กิจกรรมการเรียนรู้ กวา่ ร้อยละ 70

บอกความสำคัญของการแบง่ เซลลแ์ บบไมโทซสิ และไม -ตรวจใบผลบนั ทกึ กิจกรรม

โอซสิ ได้

2. นกั เรยี นสามารถอธบิ ายความหมายของฮอมอโลกสั

โครโมโซม เซลล์ดพิ ลอยด์ เซลลแ์ ฮพลอยด์ได้

3. นักเรยี นสามารถอธิบายวัฏจกั รเซลลไ์ ด้

4. นักเรียนสามารถอธบิ ายการเปลีย่ นแปลงของ

นิวเคลยี สในการแบง่ เซลลแ์ บบไมโทซิสได้

5. นกั เรยี นสามารถอธบิ ายการเปลีย่ นแปลงของ

นวิ เคลยี สในการแบ่งเซลล์แบบไมโอซิสได้

ทักษะกระบวนการ (P) - ตรวจใบบนั ทกึ ผลกิจกรรม

6. นกั เรยี นสามารถสงั เกต บันทกึ และอธิบาย - การนำเสนอผลการปฏบิ ตั งิ าน

โครงสรา้ งของเซลล์ท่แี บง่ แบบไมโทซสิ ภายใตก้ ล้อง และสรปุ ผลหน้าชนั้ เรียน

จลุ ทรรศน์ได้

7. นักเรยี นสามารถทําการทดลองเพ่อื เปรยี บเทียบการ

แบง่ เซลล์ในระยะตา่ งๆ ทเ่ี หน็ ในกล้องจุลทรรศนก์ ับรปู

ในบทเรยี นได้

8. นกั เรียนสามารถเตรียมสไลด์เพอื่ ศกึ ษาการ

เปลี่ยนแปลงโครโมโซมในนวิ เคลียสของการแบ่งเซลล์

แบบไมโอซิสของเซลลพ์ ืชได้

คณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ (A) - สังเกตพฤตกิ รรมระหวา่ งเรียน

9. นกั เรยี นกระตอื รือรน้ แสดงความคิดเหน็ และ โดยใช้แบบสังเกตพฤติกรรมการ

ทำงานร่วมกบั เพอื่ นอย่างสรา้ งสรรค์ ทำงานกลมุ่

11. บันทึกหลังสอน
ผลการจดั การเรียนรู้

1.1 ด้านความรู้ (K) ……………………………………………………………………………………………………………….
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

1.2 ด้านทักษะ/กระบวนการ (P) …………………………………………………………………………………………….
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

1.3 ดา้ นคุณลกั ษณะ (A) …………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

ปญั หาท่ีเกิดขน้ึ ระหว่างการจัดการเรยี นรู้
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

วิธี/แนวทางการแกป้ ญั หา
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

ลงชอ่ื ……………………………………………
(นางสาวณชิ ากร นามวงษา)
ครูผู้สอน

ความคดิ เหน็ ของครพู ่ีเลยี้ ง
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

ลงช่ือ……………………………………………
(นางสานิต กรเี ทพ)
ครูพ่เี ลย้ี ง

ความคิดเหน็ ของบรหิ ารวชิ าการ
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

ลงชอื่ ……………………………………………
(นางสายชล ดวงบุปผา )
ฝ่ายบริหารวิชาการ

ความคดิ เหน็ ของผบู้ ริหารสถานศกึ ษา
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

ลงชื่อ……………………………………………
(……………………………………………)
ผูบ้ รหิ ารสถานศกึ ษา

ภาคผนวก

แบบประเมนิ คุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค์
คำชี้แจง : ให้ผู้สอนสังเกตพฤตกิ รรมของนกั เรียนในระหวา่ งเรยี นและนอกเวลาเรยี น แล้วขีด / ลงใน

ชอ่ งท่ีตรงกับระดบั คะแนน
ชอื่ .................................................................................ชัน้ .................เลขท่.ี ..............กลมุ่ ..............

คุณลักษณะอนั พึง รายการประเมนิ ระดบั คะแนน
ประสงค์ 43 21
ปฏบิ ตั ติ ามข้อตกลง กฎเกณฑ์ ระเบยี บ ขอ้ บังคบั ของ
มีวินยั รบั ผิดชอบ ครอบครัวและโรงเรยี นตรงตอ่ เวลาในการปฏิบัตกิ จิ กรรมใน
ชวี ิตประจำวัน และรับผิดชอบในการทำงาน
ใฝ่เรยี นรู้ แสวงหาข้อมลู จากแหล่งการเรยี นรู้
มกี ารจดบันทึกความรูอ้ ยา่ งเป็นระบบ
มุ่งม่นั ในการทำงาน มคี วามตงั้ ใจและพยายามในการทำงานที่ได้รับมอบหมาย
มีความอดทนและไมท่ ้อแท้ตอ่ อุปสรรคเพื่อใหง้ านสำเรจ็

ลงช่ือ………………………………………………………….. ผูป้ ระเมนิ
…………………/…………………../……………….

เกณฑ์การให้คะแนน ให้ 4 คะแนน เกณฑ์การตดั สนิ คุณภาพ
เตรยี มปัดเรอื เพอื่ แสดงพฤติกรรมอย่างสม่ำเสมอ ให้ 3 คะแนน
ปฏบิ ัตหิ รือแสดงพฤตกิ รรมบ่อยครั้ง ให้ 2 คะแนน ช่วงคะแนน ระดบั คุณภาพ
ปฏิบัตหิ รือแสดงพฤตกิ รรมบางครงั้ ให้ 1 คะแนน 12-10 ดมี าก
ปฏบิ ัติหรือแสดงพฤตกิ รรมนอ้ ยคร้งั
9-6 ดี

5-3 พอใช้
ต่ำกว่า 3 ปรบั ปรงุ


Click to View FlipBook Version