(ค่าเฉล่ีย 3.51-4.00)และประชุมสนทนากลุ่ม ครู วารสารการวิจัยการศึกษาขน้ั พืน้ ฐาน
ผู้บริหารโรงเรียน มีความคิดเห็นสอดคล้องกันว่า
รูปแบบการพัฒนาคุณภาพครูมีความเหมาะสม ฉบบั ปฐมฤกษ์ (กรกฎาคม - ธนั วาคม 2564)
เป็นไปไดใ้ นการนาไปใชใ้ นโรงเรียนสังกดั สานักงาน
คณะกรรมการการศึกษาข้ันพ้ืนฐานทุกระดับ และ กระบวนการใชเ้ ทคโนโลยเี พือ่ การสื่อสาร และการ
ผลการดาเนนิ งานตามข้ันตอนของรปู แบบทาให้ครู ปฏบิ ตั ิภารกิจอยา่ งเหมาะสม
พัฒนาตนเองให้มีความรู้ ทักษะและคุณลักษณะ
เป็นครูมืออาชีพ เปล่ียนแปลงการจัดการเรียนรู้ อภิปรายผล
ใชส้ อ่ื เทคโนโลยใี หผ้ ู้เรยี นเรยี นรจู้ ากการปฏบิ ัติและ 1. รูปแบบการพัฒนาคุณภาพครูให้
เรียนรู้ร่วมกันมากขึ้น วัฒนธรรมองค์กรของ
โรงเรียนเกิดการเปล่ียนแปลงเป็นการร่วมมือแบบ เป็นมืออาชีพเพ่อื ผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 โดยใช้
กัลยาณมิตร ผู้บริหารและครูร่วมกันพัฒนา สถานศึกษาเป็นฐาน พัฒนาตามแนวคิดหลักการ
คุณภาพการศึกษา ทบทวน ปรับเปลี่ยนวิสัยทัศน์ พัฒนารูปแบบของจอยซ์และเวลล์ (Joyce and
พันธกิจของโรงเรียนสอดคล้องกับศตวรรษท่ี 21 weil : 2000) และสังเคราะห์องค์ประกอบของ
ครูรุ่นเก่าและรุ่นใหม่ไม่มีช่องว่างระหว่างกัน รูปแบบจากแนวคิดนักวิชาการประกอบด้วย
สามารถทางานร่วมกันได้ และผู้เรียนมีการพัฒนา 6 องค์ประกอบได้แก่ 1) หลักการของรูปแบบ
ทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรม ทักษะชีวิตและการ 2) วัตถุประสงค์ของรูปแบบ 3) โครงสร้างเชิงระบบ
ประกอบอาชีพ และทักษะด้านข้อมูลข่าวสาร 4) แผนการพัฒนาคุณภาพครู 5) กระบวนการ
การสื่อสารเทคโนโลยีในระดบั ดี ปฏิบัติการเพื่อพัฒนาคุณภาพครู 6) เงื่อนไข
ความสาเรจ็ นาเสนอรปู แบบเปน็ 4 สว่ น สว่ นที่ 1
3. ผลการประเมินและปรบั ปรงุ รูปแบบ หลักการและแนวคิดพื้นฐานของรูปแบบ ส่วนที่ 2
การพัฒนาคุณภาพครูให้เปน็ มอื อาชีพเพ่อื ผูเ้ รียน โครงสร้างเชงิ ระบบ ส่วนที่ 3 การนารปู แบบไปใช้
ในศตวรรษที่ 21 โดยใชส้ ถานศกึ ษาเปน็ ฐาน จาก ส่วนที่ 4 เง่ือนไขความสาเร็จ เพ่ือให้ง่ายต่อการ
การประชมุ ผ้รู ู้ สรปุ ว่ารปู แบบมคี ุณภาพ มีความถูก นาไปใช้บนพื้นฐานประสบการณ์และงานประจา
ตอ้ ง (Accuracy) เหมาะสม (Propriety) เป็นไปได้ ของครูและผู้บริหาร รูปแบบน้ีเป็นรูปแบบการ
(feasibility) ใน ก าร น าไ ปใช้ใน ร ะ ดั บ ม า ก พัฒนาตนเองตามความต้องการของครูแต่ละคน
สอดคล้องตามทิศทางการปฏิรูปการศึกษา และ ใ ห้ พั ฒ น า ก า ร จั ด ก า ร เ รี ย น รู้ เ พ่ื อ พั ฒ น า เ ป็ น
นโยบายท่ีไม่ให้ครูท้ิงห้องเรียน สนับสนุนให้ครู ครูมืออาชีพตามมาตรฐานวิชาชีพครู มีอุดมการณ์
พัฒนาตนเองให้ได้มาตรฐานวิชาชีพที่โรงเรียน ความเป็นครูมีคุณลักษณะในศตวรรษท่ี 21 และ
รวมท้ังการให้ความสาคัญกับเทคโนโลยีและ เป็นผู้นาการเปลี่ยนแปลงการจัดการเรียนรู้ในการ
เป็นผเู้ อ้อื อานวยให้ผเู้ รียนเกดิ การเรยี นรู้ตลอดชีวิต
ด้วยการนาผลการสังเคราะห์นวัตกรรมจากการ
ปฏิรปู การศึกษาทีน่ านาประเทศใช้เป็นเครอ่ื งมือใน
การสร้างการรวมตวั กันของครูเพอื่ การทางานอย่าง
สร้างสรรค์เป็นชุมชนการเรียนรเู้ พื่อพฒั นาวิชาชีพ
( Professional Learning Community: PLC) ”
เพ่ือใช้เป็นแนวทางพัฒนาครูจากมุมมองระดับ
144
ปฏบิ ัติในโรงเรียน สู่ระดบั นโยบาย โดยใช้โรงเรียน วารสารการวิจัยการศึกษาขัน้ พื้นฐาน
เป็นฐาน มีผู้บริหารสถานศึกษาให้การสนับสนุน ฉบบั ปฐมฤกษ์ (กรกฎาคม - ธนั วาคม 2564)
และควบคุมคุณภาพการพัฒนาครูอย่างเป็นระบบ ใช้กระบวนการคิดในส่ิงท่ีทา (Active Learning)
และเรียนรู้ร่วมกันมากขึ้น เกิดการเปลี่ยนแปลง
ด้วยวงจรคุณภาพเดมม่ิง (Deming Cycle:PDCA) ของวัฒนธรรมองค์กรในโรงเรียนเป็นการร่วมมือ
กนั แบบกลั ยาณมิตร ผูบ้ รหิ ารและครูรว่ มกนั พฒั นา
สอดคล้องกับสิรินภา กิจเก้ือกูล (2553) และ การศกึ ษา ทบทวน ปรับเปล่ยี นวสิ ัยทัศน์ พันธกิจของ
โรงเรียนให้สอดคล้องกับศตวรรษท่ี 21 ครูรุ่นเก่า
สธุ รรม วาณิชเสนี (2556) เน้นเงื่อนไขความสาเร็จ และครูรุ่นใหม่ไม่มีช่องว่างสามารถทางานร่วมมือ
กันได้ สอดคล้องกับรูปแบบของมาร์กาเร็ตท์ และ
ของการปฏิรูปการศึกษาในรอบ 2 ท่ีให้มองใน สตีฟ (Magarete Kedzior and Steve Fifield,
2004) เสนอว่ารูปแบบการพัฒนาวิชาชีพครูแบบ
เชิงระบบ และสอดคล้องตามแผนแม่บทภายใต้ ให้คาปรึกษาจากผู้ท่ีมีประสบการณ์ที่เป็นท่ีเชอ่ื ถือ
(Mentoring) เป็นการเปิดโอกาสแก่ท้ังครูใหมแ่ ละ
ยุทธศาสต์ชาติ (พ.ศ. 2561-2580) ประเด็นการ ครูท่ีมีประสบการณ์ ได้เรียนรู้ซ่ึงกันและกัน ซึ่งช่วย
ให้ ครูใหม่เรียนรู้งานสอน พัฒนาทัศนคติ และ
ปฏิรูปการเรียนรู้ที่ตอบสนองต่อการเปล่ียนแปลง ยุทธวิธีการสอนของครูอย่างมาก และจากผลการ
ประเมินทักษะผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 นักเรียน
ในศตวรรษที่ 21 ในการเปล่ียนโฉมบทบาทครูให้ พัฒนาทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรม ทักษะชีวิต
แ ล ะ ก า ร ป ร ะ ก อ บ อ า ชี พ แ ล ะ ทั ก ษ ะ ด้ า น ข้ อ มู ล
เป็นครูยุคใหม่ และการเพิ่มประสิทธิภาพ ระบบ ข่าวสาร การสื่อสารเทคโนโลยีในร ะ ดั บดี
สอดคล้องกับ วิจารณ์ พานิช (2555) ศักดิ์ไทย สุร
บรหิ ารจดั การศกึ ษาในทกุ ระดบั ทุกประเภท กิจบวร (2559) พิณสุดา สิริรังธศรี (2557) และ
David Cooper (2016) ว่าการพัฒนาคุณภาพครู
2. ผลการใช้รูปแบบพัฒนาคุณภาพครู ให้เป็นครูเช่ียวชาญในวิชาชีพ ต้องปฏิบัติตามและ
ให้เป็นครูมืออาชีพเพื่อผู้เรียนในศตวรรษท่ี 21 รักษามาตรฐานวิชาชีพ ต้องมีคุณลักษณะครูมือ
โ ด ย ใ ช้ ส ถ า น ศึ ก ษ า เ ป็ น ฐ า น ส อ ด ค ล้ อ ง อาชีพ คือ ต้องมีความรู้ เจตคติท่ีดีต่อวิชาชีพและ
วัตถุประสงค์ ข้อ 2 ผู้วิจัยศึกษาผลการใช้รูปแบบ มีทักษะที่เหมาะสมต่อวิชาชีพน้ันๆ และเน้นการ
พัฒนาคุณภาพครูไปทดลองใช้ในโรงเรียนสังกัด เป็นครใู ฝ่รู้ใฝ่เรียน แสวงหาความรอู้ ยา่ งต่อเน่อื ง
สานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
จานวน 3 โรงเรียน เป็นโรงเรียนประถมศึกษา 3. ผลการประเมินและปรับปรุงรูปแบบ
1 โรงเรียน โรงเรียนมัธยมศึกษา 1 โรงเรียน และ
โรงเรียนขยายโอกาส 1 โรงเรียน พบว่า ความ พัฒนาคุณภาพครูให้เป็นครูมืออาชีพเพื่อผู้เรียน
คดิ เห็นของครู ผู้บรหิ ารในโรงเรยี นสังกดั สานักงาน
คณะกรรมการการศึกษาขัน้ พ้ืนฐาน ทัง้ 3 โรงเรียน ในศตวรรษที่ 21 โดยใช้สถานศึกษาเป็นฐาน
มีความคิดเห็นสอดคล้องกันว่า รูปแบบพัฒนา
คุณภาพครูให้เป็นมอื อาชพี เพอื่ ผ้เู รียนในศตวรรษท่ี สอดคล้องวัตถุประสงค์ ข้อ 3 ผลการประเมิน
21 โดยใชส้ ถานศึกษาเป็นฐาน มีคณุ ภาพด้านความ
เป็นไปได้ (Feasibility) ความเหมาะสม (Propriety) และปรับปรุงรูปแบบการพัฒนาคุณภาพครูให้เป็น
และความเปน็ ไประโยชน์ (Utility) ของรปู แบบ อยูใ่ น
ระดับมาก หมายถึงรูปแบบการพัฒนาครูน้ีมี มืออาชีพเพื่อผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 โดยใช้
คุณภาพทาให้ครูมีคุณภาพ พัฒนาตนเองให้มี
ความรู้ ทักษะและคณุ ลักษณะการเปน็ ครมู ืออาชีพ โ ร ง เ รี ย น เ ป็ น ฐ า น โ ด ย ก า ร ป ร ะ ชุ ม ผู้ รู้
เปลี่ยนแปลงการจัดการเรียนการสอน สามารถใช้
สื่อเทคโนโลยีให้นักเรียนเรียนรจู้ ากการปฏิบัติโดย (Connoisseurship) จากผู้ทรงคุณวุฒิจานวน 9 ท่าน
145
พบว่า มีผลการประเมินความเป็นไปได้ (Feasibility) วารสารการวิจัยการศึกษาขนั้ พื้นฐาน
ความเหมาะสม (Propriety) และความเปน็ ประโยชน์
(Utility) ของรูปแบบการพัฒนาคุณภาพครู จาก ฉบับปฐมฤกษ์ (กรกฎาคม - ธนั วาคม 2564)
ความคิดเห็นของผู้ทรงคุณวุฒิทุกท่าน แสดงความ
คิดเห็นว่า รูปแบบที่พัฒนาข้ึนนี้มีคุณภาพด้าน รู ป แ บ บ ก า ร พั ฒ น า ค รู มี ค ว า ม เ ห ม า ะ ส ม
ค ว า ม ถู ก ต้ อ ง ( accuracy) ส อ ด ค ล้ อ ง ต า ม (Propriety) กับนโยบายท่ีไม่ให้ครูทิ้งห้องเรียน
ทิศทางการปฏิรูปการศึกษาภายใต้การประยุกต์ใช้ สนับสนุนใหค้ รูพฒั นาตนเองให้ไดม้ าตรฐานวิชาชีพ
แนวคิดกรอบทฤษฎีการพัฒนาครูให้เป็นมืออาชีพ ท่ีโรงเรียน โดยให้พัฒนาจากภายในตนเองตาม
เพ่ือผู้เรียนในศตวรรษท่ี 21 โดยใช้โรงเรียน ความต้องการของครูแต่ละคน สู่คุณลักษณะและ
เป็นฐาน รูปแบบพัฒนาคุณภาพครูเป็นแนวคิด ทักษะของครูในศตวรรษท่ี 21 ร่วมกับกลุ่มชุมชน
ก า ร พั ฒ น า เ ชิ ง ร ะ บ บ ที่ มี ค ว า ม เ ป็ น ไ ป ไ ด้ กัลยาณมิตรภายนอก รวมท้ังให้ความสาคัญกับ
(feasibility) ระบบหลักคือการควบคุมวงจร เ ท ค โ น โ ล ยี แ ล ะ ก ร ะ บ ว น ก า ร ใ ช้ เ ท ค โ น โ ล ยี เ พื่ อ
คุ ณ ภ า พ เ ด ม มิ่ ง ( Deming cycle : PDCA) การสือ่ สารและการปฏิบตั ิภารกจิ อยา่ งเหมาะสม
สอดคล้องกับระบบพัฒนาคุณภาพครูของ สปาร์ค
(Sparks (2002) วา่ กระบวนการพัฒนาวชิ าชพี ครูสู่ ขอ้ เสนอแนะเชิงนโยบาย
การนาไปใช้ที่ความสาเร็จ เน้นกระบวนการวิจัย 1. นโยบายการการพฒั นาคุณภาพครูของ
ปฏิบัติการ และ แนวคิดการ พัฒนา ชุ มชน
การเรียนรู้เพื่อพัฒนาวิชาชีพ (Professional หน่วยงานต้นสังกัดจาเป็นต้องให้ความสาคัญกับ
Learning Community : PLC) ซึ่งเป็นการรวมตัว ม า ต ร ฐ า น วิ ช า ชี พ ท้ั ง ม า ต ร ฐ า น ค ว า ม รู้ แ ล ะ
การเรียนรู้จากการทาหน้าที่ครู สอดคล้องกับ ประสบการณ์วิชาชีพ มาตรฐานการปฏิบัติงาน
วิจารณ์ พานิช (2555) และกระทรวงศกึ ษาธิการ และมาตรฐานการปฏบิ ัตติ น
จัดทาโครงการพิเศษต่างๆ เข้าไปส่งเสริม
(empower) ให้ครู ผู้บริหารสถานศึกษา สานักงาน 2. การพฒั นาคุณภาพครูให้มคี ุณภาพ ควร
เขตพ้ืนท่ีการศึกษา ส่งเสริมการเรียนรู้ของครูให้เป็น ให้ความสาคัญกับศาสตร์ทางความคิดคือกระตุ้น
ครูในศตวรรษที่ 21 โดยกระทรวงศึกษาธิการ ต้อง อุดมการณ์ความเป็นครูให้เป็นพลังขับเคล่ือน
ยกเลิกการพัฒนาครูท่ีจับครูเข้าหลักสูตรฝึกอบรม ภายในให้ฝันฝ่าอุปสรรคเพื่อทางานให้บรรลุตาม
เน้นนวัตกรรมการพัฒนาคุณภาพครูท่ีได้รับการ เปา้ หมาย
ยอมรับจากนกั วชิ าการ เอกสารและผลงานวิจัยท้งั
ในประเทศไทยและต่างประเทศว่า สามารถพัฒนา 3. รูปแบบพัฒนาคุณภาพครูต้องเป็น
คุณภาพครูให้เป็นครูในศตวรรษที่ 21 (Linda ระบบที่นาไปปฏิบัติง่าย สอดคล้องกับความ
Darling-Hammond, etc :2010) นอกจากนี้ ต้องการพัฒนาของครูแต่ละคน ให้ความสาคัญใน
การเรียนการสอนให้ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติ และ
ร่วมมือกันทางานมากขึ้นโดยมุ่งพัฒนา ท่ีใช้
โรงเรยี นเปน็ ฐาน
4. ส่งเสริมให้ครูพัฒนาศักยภาพตนเอง
แ ล ะ เ รี ย น รู้ ทั ก ษ ะ ก า ร จั ด ก า ร เ รี ย น รู้ ที่ เ ป็ น ผู้
เอื้ออานวยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้และวิทยาการ
ใหม่ๆ สอดคล้องกับทิศทางการปฏิรูปการศึกษา
ของประเทศ เป็นนโยบายสาคัญ ในการพัฒนา
ประเทศส่ปู ระเทศไทย 4.0
146
5. ผู้บริหารโรงเรียนมีบทบาทสาคัญท่ีจะ วารสารการวิจยั การศึกษาขน้ั พืน้ ฐาน
ส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาคุณภาพของครู
ดังนั้นรูปแบบพัฒนาคุณภาพครูต้องเป็นรูปแบบ ฉบับปฐมฤกษ์ (กรกฎาคม - ธันวาคม 2564)
ท่ีสามารถเช่ือมโยงระบบบริหารจัดการคุณภาพ
โรงเรียนและระบบพัฒนาคุณภาพครูทั้งโรงเรียน ท ด ล อ ง ก า ร วิ จั ย ค ร้ั ง ต่ อ ไ ป ค ว ร ข ย า ย ผ ล
ซ่ึงจะช่วยให้ผู้บริหารและครูปฏิบัติภารกิจตาม (Expansion Phase) โดยนารูปแบบไปทดลองใช้
บทบาทหน้าที่ได้ดีขึ้น อย่างมีข้ันตอนง่าย และ ในโรงเรียนระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษา และ
สะดวกขน้ึ ขยายโอกาสทางการศึกษา เพ่ิมจานวนโรงเรียน
และให้มคี วามแตกต่างของท้องท่ี ที่ต้งั ของโรงเรยี น
ขอ้ เสนอแนะในการวจิ ยั ตอ่ ไป มากขนึ้ และขยายระยะเวลาทดลองในโรงเรียน ให้
ครบรอบ 1 ปีการศึกษา เพื่อปฏิบัติการวิจัย PLC
1. วิจัยครั้งนี้เป็นวิจัยพัฒนารูปแบบโดยมี เป็นวงจรหลายรอบเพ่ือยืนยันคุณภาพผลการวิจัย
ขั้นตอนของการวิจัยพัฒนารูปแบบจากสังเคราะห์ และเห็นพฒั นาการของผูเ้ รยี นอย่างยั่งยนื
เ อ ก ส า ร วิ จั ย พั ฒ น า รู ป แ บ บ จ า ก ก า ร ท ด ล อ ง ใ ช้
รูปแบบในโรงเรียน และวิจัยพัฒนาปรับปรุง 2. การวิจัยครั้งต่อไปอาจใช้ระเบียบวิธี
คุณภาพจากการประ ชุมผู้รู้ในข้ัน ตอน ขอ ง วิ จั ย เ ชิ ง ป ริ ม า ณ ใ น รู ป แ บ บ ก า ร วิ เ ค ร า ะ ห์
การทดลองใช้รูปแบบในโรงเรียน มีข้อจากัด องค์ประกอบของรูปแบบการพัฒนาคุณภาพครูให้
ใ น เ รื่ อ ง จ า น ว น โ ร ง เ รี ย น แ ล ะ ร ะ ย ะ เ ว ล า ใ น ก าร เป็นครูมืออาชีพเพื่อได้สารสนเทศ องค์ประกอบ
ด้านอื่นๆ ท่ีเก่ียวข้องกับการพัฒนารูปแบบ และ
พัฒ น าคุณภาพ ครูให้เป็ น ครูมือ อ าชีพ ใ ห้ มี
ประสทิ ธิภาพและมีประสทิ ธิผลมากขนึ้
เอกสารอ้างอิง
พณิ สดุ า สริ ิรังธศรี. (2557). การยกระดบั คุณภาพครูไทยในศตวรรษที่ 21. เอกสารประกอบการประชุม
วิชาการ อภิวฒั น์การเรยี นร้.ู ...สู่จุดเปลีย่ นประเทศไทย.(6-8 พฤษภาคม 2557). กรงุ เทพฯ :
สานกั งานสง่ เสรมิ สังคมแหง่ การเรยี นรแู้ ละคณุ ภาพเยาวชน.
ยุทธศาสตร์ชาติ (พ.ศ. 2561-2580). ราชกจิ จานุเบกษา. ประกาศ ณ วันท่ี 8 ตุลาคม 2561
วิจารณ์ พานิช. (2555). วถิ สี รา้ งการเรียนรเู้ พ่ือศิษยใ์ นศตวรรษที่ 21. กรุงเทพฯ: มลู นิธสิ ดศรี สฤษดิว์ งษ์.
ศกั ดไ์ิ ทย สรุ กิจบวร. (2559) ครมู ืออาชีพ : สงิ่ จาเป็นทค่ี วรมแี ละควรเป็น. ศนู ย์ศกึ ษาพฒั นาครู
มหาวิทยาลยั มหาวทิ ยาลัยราชภัฏสกลนคร. สืบคน้ 8 มกราคม 2559, จาก
http://www.tdc.snru.ac.th/userfiles/br.doc
สริ นิ ภา กจิ เกอ้ื กูล (2553) (พฤษภาคม – สงิ หาคม). การสังเคราะห์รปู แบบการพัฒนาครตู าม
แนวปฏริ ปู : ประสบการณ์จากวิทยานพิ นธ์ พุทธศกั ราช 2543 – 2551.วารสารศึกษาศาสตร์
มหาวทิ ยาลยั นเรศวร,12 (2).
147
วารสารการวิจยั การศึกษาข้นั พืน้ ฐาน
ฉบับปฐมฤกษ์ (กรกฎาคม - ธนั วาคม 2564)
สุธรรม วาณชิ เสน.ี (2556). เหลยี วหลัง แลหนา้ มองหาอนาคต : ปัจจัยและเงื่อนไขความสาเรจ็
การจัดการการศกึ ษาขน้ั พื้นฐานบทเรยี นจากอดีตในทศวรรษทผี่ า่ นมาและความเปน็ ไปได้สาหรับ
อนาคต. เอกสารประกอบการเสวนามองอดตี เพอื่ กาหนดอนาคต : ปจั จัยและเงื่อนไขความสาเรจ็ ของ
การจดั การการศึกษาขนั้ พน้ื ฐานในโอกาสครบรอบ 1 ทศวรรษ. สานกั งานคณะกรรมการการศึกษา
ข้ันพน้ื ฐาน. (29 มกราคม 2558).
สานกั งานเลขาธกิ ารสภาการศกึ ษา. (2552). ขอ้ เสนอการปฏริ ูปการศกึ ษาในทศวรรษที่สอง (พ.ศ. 2552 – 2561)
กรงุ เทพฯ : พริกหวานกราฟฟคิ จากดั .
David Cooper (2016) Professional Development: An Effective Research Base-Model,
Houghton Mifflin Harcourt Publishing Company. Accessed on February 2, 2016.
Printed in the U.S.A. UM06/09 Z-1413752. from Website
http://www.greatsourcerigbypd.com.
Joyce, B.R., and Weil, M. (2000), Models of Teaching. Sixth edition. Needham Heights,
Massachusetts: Allyn & Bacon.
Linda Darling-Hammond, Ruth Chung Wei, and Alethea Andree, (2010). How High-Achieving
Countries Develop Great Teacher. Stanford University School of Education Barnum
Center, 505 Laseum Mall, Stanford, CA 94305.
Magarete Kedzior and Steve Fifield. (2004).Teacher Professional Development. Education
Policy Brief. University of Delaware Education Research and Development Center.
V.15 may 2004
Sparks, D. (2002). Designing powerful staff development for teachers and principals.
Oxford, OH: National Staff Development Council.
148
วารสารการวิจยั การศึกษาขนั้ พืน้ ฐาน
ฉบบั ปฐมฤกษ์ (กรกฎาคม - ธันวาคม 2564)
การศึกษาผลการพฒั นากิจกรรมการเรยี นร้ดู ว้ ยกระบวนการ QSCCS โดยใช้ส่ือสังคมออนไลน์
เพอื่ พฒั นาทกั ษะการแกป้ ัญหาของนักเรยี นระดบั ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 5
The study of the development result of learning activities with the QSCCS process using
social media to develop problem-solving skills of secondary school students M 5.
อรวรรณ กองพลิ า*
Orawun Kongpila
บทคัดย่อ
การวิจัยคร้ังน้ีมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนากิจกรรมการเรียนรู้ด้วยกระบวนการ QSCCS โดยใช้
สื่อสงั คมออนไลน์ 2) ศึกษาผลการใช้กจิ กรรมการเรยี นรดู้ ว้ ยกระบวนการ QSCCS โดยใชส้ ื่อสังคมออนไลนเ์ พ่ือ
พัฒนาทักษะการแก้ปัญหาของนักเรียนระดับช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 5 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการพัฒนากิจกรรม
การเรียนรู้ด้วยกระบวนการ QSCCS โดยใช้สื่อสังคมออนไลน์ เป็นนกั เรียนมัธยมศึกษาปีที่ 5/5 ท่ีกาลงั ศึกษาอยู่
ในภาคเรียนที่ 2 ปกี ารศกึ ษา 2560 โรงเรียนนครขอนแก่น อาเภอเมือง จังหวดั ขอนแก่น โดยท่ีจานวน 3 คน สาหรับ
ใช้ทดสอบแบบหนึ่งต่อหนง่ึ จานวน 12 คน สาหรบั ทดสอบแบบกลุ่มเลก็ และจานวน 28 คน สาหรับการทดสอบ
ภาคสนาม ซ่ึงได้มาโดยการสุ่มอย่างง่าย กลุ่มตัวอย่างท่ีใช้ในการศึกษาผลการพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้ด้วย
กระบวนการ QSCCS โดยใช้ส่ือสังคมออนไลน์เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/1 ที่กาลังศึกษาอยู่ใน
ภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2561 จานวน 37 คน ซ่ึงได้มาโดยการสุ่มอย่างง่าย เคร่ืองมือท่ีใช้ในการวิจัย
1) กิจกรรมการเรียนรู้ด้วยกระบวนการ QSCCS โดยใช้สื่อสังคมออนไลน์ เพ่ือพัฒนาทักษะการแก้ปัญหา ของ
นักเรียนระดับช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 5 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทาง
การเรยี นเป็นแบบปรนัย 4 ตวั เลอื ก จานวน 30 ข้อ ทมี่ คี า่ ความยากง่าย (p) ระหว่าง 0.27- 0.68 ค่าอานาจจาแนก (r)
ระหว่าง 0.27-0.85 และมีค่าความเชื่อม่ันและมีค่าความเช่ือมั่นของแบบทดสอบทั้งฉบับ เท่ากับ 0.82
3) แบบวัดความสามารถในการแก้ปัญหาของนักเรียน จานวน 20 ข้อ ท่ีมีค่าความยากง่าย (p) 0.27-0.67
ค่าอานาจจาแนก (r) 0.27–0.79 และคา่ ความเชื่อม่ันของแบบทดสอบท้งั ฉบับ 0.75 4) แบบสอบถามความพงึ พอใจ
ของนักเรียนท่ีมีกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยกระบวนการ QSCCS โดยใช้สื่อสังคมออนไลน์ เพื่อพัฒนาทักษะการ
แก้ปัญหาของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 5 ที่สร้างตามกรอบคาถาม 3 ด้าน เป็นแบบสอบถาม
มาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) สถิติท่ีใช้ในการวิจัย คือ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉล่ียและ
ส่วนเบ่ยี งเบนมาตรฐาน สถิตทิ ่ใี ชใ้ นการทดสอบสมมตฐิ าน คือ t-test Dependent ผลการวิจยั พบวา่
*ครูชานาญการพเิ ศษ. โรงเรยี นนครขอนแกน่ , สานกั งานเขตพน้ื ทีก่ ารศกึ ษามัธยมศกึ ษาขอนแก่น.
Senior Professional Level Teachers. Nakhonkhonkaen School, The Secondary Educational
Service Area Office Khon Kaen
149
วารสารการวิจัยการศึกษาข้ันพื้นฐาน
ฉบบั ปฐมฤกษ์ (กรกฎาคม - ธนั วาคม 2564)
1. ผลการพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้ด้วยกระบวนการ QSCCS โดยใช้ส่ือสังคมออนไลน์กิจกรรม
การเรียนรู้ด้วยกระบวนการ QSCCS โดยใช้สื่อสังคมออนไลน์เพื่อพัฒนาทักษะการแก้ปัญหาของนักเรียนระดับ
ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 5 มี 5 ขัน้ ตอน ได้แก่ 1) การต้ังคาถาม (Learning to Question) 2) การสบื คน้ ความรู้และ
สารสนเทศ (Learning to Search) 3) การสร้างองค์ความรู้ (Learning to Construct) 4) การสื่อสารและ
นาเสนอ (Learning to Communicate) และ 5) การบริการสังคมและจิตสาธารณะ (Learning to Service)
ที่มีประสิทธิภาพของกิจกรรมการจัดการเรียนรู้ด้วยกระบวนการ QSCCS โดยใช้สื่อสังคมออนไลน์ มีค่า
เทา่ กบั 85.32/89.06 เปน็ ไปตามเกณฑ์ที่ตั้งไว้
2. ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของนักเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ
0.05
3. ความสามารถในการแก้ปัญหาของนักเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ ที่
ระดบั 0.01
4. ความพึงพอใจของนักเรียนต่อกิจกรรม การเรียนรู้ด้วยกระบวนการ QSCCS โดยใช้
ส่อื สงั คมออนไลนเ์ พื่อพัฒนาทักษะการแกป้ ญั หาของนกั เรียนระดบั ชั้นมธั ยมศกึ ษาปที ี่ 5 อยใู่ นระดบั มากที่สดุ
คาสาคญั : กระบวนการ QSCCS / สือ่ สังคมออนไลน์ / ทักษะการแก้ปัญหา
ABSTRACT
This research aims 1) to develop learning activities with the QSCCS process using social
media, 2) to study the result of using learning activities with the QSCCS process using social
media to develop the problem-solving skills of students in secondary school M.5. The sample
group is a secondary school students M. 5/ 5 who are studying the second semester the
academic year 2017, at Nakhon Khon Kaen School, Muang District, Khon Kaen Province. There
are 3 students used a one- to- one testing, 12 students used a small group testing, and 28
students used a field testing which is obtained by simple random. The sample group used to
the study of the model is 35 students of a secondary school student M.5/1 who are studying
the second semester the academic year 2018 which is obtained by simple random. The
research tools are 1) learning activities with the QSCCS process using social media with
a secondary school students M. 5, 2) the achievement test which is a multiple choice,
4 options, and 30 items, 3) Problem- Solving Ability test of students, 20 items, and
4) satisfaction questionnaire of students with learning activities with the QSCCS process using
social media to develop the problem- solving skills of students in secondary school student
M.5. The statistics used in research are a frequency value, a percentage value, and a standard
deviation. The statistic used to test the hypothesis is t-test dependent. The results of the
150
วารสารการวิจยั การศึกษาขนั้ พืน้ ฐาน
ฉบบั ปฐมฤกษ์ (กรกฎาคม - ธันวาคม 2564)
research showed that; learning activities with the QSCCS process using social media to develop
the problem-solving skills of students in secondary school students M.5 had 5 steps including;
1) learning to questions, 2) learning to search, 3) learning to construct, 4) learning to
communicate and, 5) learning to serve that had effective learning management activities with
the QSCCS process using social media equal to 85. 32/ 89. 06 which met the set criteria.
2) The achievement of students who post-study was significantly higher than pre-study at 0.05
level. 3 . Problem- solving ability of students that post- study was significantly higher than
pre-study at 0.01 level. And 4) Satisfaction of students with learning activities with the QSCCS
process using social media to develop the problem-solving skills of students in secondary school
students M.5 was at a high level.
Keywords : QSCCS Process/ Social Media/ Problem Solving Skills
บทนา การอ่าน (Reading) การเขียน (Writing) และ
Arithmetic เลขคณิต ( Arithmetic) และ 7 C
ปัจจุบันสังคมไทยมีการเปล่ียนแปลง อย่าง ประกอบด้วย ทักษะด้านการคิดอย่างมีวิจารณญาณ
รวดเร็ว โดยเฉพาะการก้าวเข้าสู่โลกยุคดิจิตอล และทักษะในการแก้ปญั หา (Critical Thinking &
อย่างเต็มตัว ประกอบกับรัฐบาลได้ประกาศ Problem Solving) ในทักษะด้านการสร้างสรรค์
นโยบาย Thailand 4.0 ซึ่งมีหัวใจสาคัญคือ การ และนวัตกรรม (Creativity & Innovation) ทักษะ
ปรับเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจไปสู่เศรษฐกิจ ท่ี ด้านความเข้าใจต่างวัฒนธรรม ต่างกระบวนทัศน์
ขั บ เ ค ล่ื อ น ด้ ว ย น วั ต ก ร ร ม ( Value – Based ( Cross- Culture Understanding) ทั ก ษ ะ ด้ า น
Economy) มีการขับเคลื่อนประเทศด้วยเทคโนโลยี ความร่วมมือ การทางานเป็นทีมและภาวะผู้นา
ความคิดสร้างสรรค์ และนวัตกรรม และเปลี่ยน ( Collaboration, Teamwork & Leadership)
จากการเน้นภาคการผลิตไปสู่ภาคบริการมากข้ึน ทักษะด้านการสื่อสารสารสนเทศและด้านการรู้
(กนก จันทร์ทอง, 2559) การจัดการเรียนรู้ เท่าทันสื่อ (Communications, Information &
สัง คมศึก ษาใน บริบทท่ี มีก ารเปลี่ยน แปลง Media Literacy) ทักษะด้านคอมพิวเตอร์และ
อย่างรวดเร็ว ต้องคานึงถึงทักษะการเรียนรู้ใน เ ท ค โ น โ ล ยี ส า ร ส น เ ท ศ แ ล ะ ก า ร ส่ื อ ส า ร
ศตวรรษที่ 21 ซง่ึ เรม่ิ ต้นในประเทศสหรฐั อเมริกาที่ (Computing & ICT literacy) ทักษะอาชีพและ
มแี นวคิด เรื่อง ทักษะแห่งอนาคตใหม่ : การเรยี นรู้ ทักษะการเรียนรู้ (Career & Learning Skills)
ในศตวรรษที่ 21 พัฒนาโดยเครือข่ายองค์กร (กระทรวงศึกษาธกิ าร, 2557)
ความร่วมมอื เพ่อื ทักษะการเรียนรใู้ นศตวรรษท่ี 21
(Partnership for 21st Century Skills: P21) ที่ 151
ตอ้ งการเหน็ เยาวชนมีทักษะ 3R ประกอบด้วย
วารสารการวิจัยการศึกษาข้นั พื้นฐาน
ฉบับปฐมฤกษ์ (กรกฎาคม - ธันวาคม 2564)
วิ ช า สั ง ค ม ศึ ก ษ า มี บ ท บ า ท ห น้ า ท่ี ส า คั ญ ท่ี การแก้ปัญหา และการปรับตัวให้เข้ากับสภาพการ
จะตอ้ งพฒั นานักเรียนให้คดิ เปน็ เนื่องจากนักเรียน เปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อม ซึ่งสิ่งเหล่าน้ีเกิดจาก
การทค่ี รูมกี ระบวนการสอนทไ่ี ม่เหมาะสม (อังคณา
จะต้องเผชิญปัญหาที่ซับซ้อนในสังคม ดังน้ัน ตุงคะสมิต และลัดดา ศลิ าน้อย, 2558) ในการกา้ ว
กระบวนการเรียนการสอนจึงต้องจัดให้สอดคล้อง เข้าสยู่ ุค Thailand 4.0 การคิดแก้ปญั หาถอื ว่าเป็น
พ้ืนฐานท่ีสาคัญท่ีสุดของการคิดท้ังมวลการคิด
กับเป้าหมายความเป็นพลเมืองดีมีคุณภาพ ท้ังใน แก้ปญั หาเป็นสง่ิ สาคญั ต่อวิถีการดาเนนิ ดาเนินชีวิต
ปัจจุบันและอนาคต และสามารถดารงชีวิตใน ในสังคมของมนุษย์ ซ่ึงจะต้องใช้การคิดเพื่อ
สังคมท่ีเปลี่ยนแปลงได้อย่างเป็นสุข จากสภาพ แก้ปัญหาที่เกิดข้ึนตลอดเวลา ทักษะการคิด
แก้ปัญหาเป็นทักษะท่ีเก่ยี วข้องและมีประโยชนต์ ่อ
สังคมท่ีมีการเปล่ียนแปลงอยู่ตลอดเวลาและอย่าง การดารงชีวิตท่ีวุ่นวายสับสนได้เป็นอย่างดี ผู้ที่มี
รวดเร็ว ทาให้สิ่งท่ีเราสอนในวันนี้กลายเป็นเรื่อง ทักษะการคดิ แก้ปัญหาจะสามารถเผชิญกับสภาวะ
สังคมทเ่ี ครง่ เครียดไดอ้ ย่างเป็นคนท่ีเข้มแข็ง ทกั ษะ
ล้าสมัยในวันต่อมา ด้วยเหตุนี้ นักเรียนจึงต้อง การคิดแก้ปัญหา จึงมิใช่เป็นเพียงการรู้จักคิดและ
เรียนรู้วิธีการหาความรู้ด้วยตนเอง เป็นผู้มี รู้ จั ก ก า ร ใ ช้ ส ม อ ง ห รื อ เ ป็ น ทั ก ษ ะ ท่ี มุ่ ง พั ฒ น า
ความสามารถ เลือกสรรแหล่งความรู้ เข้าถึงแหล่ง สติปัญญาเท่าน้ัน แต่ยังเปน็ ทกั ษะทสี่ ามารถพัฒนา
ทัศนคติ วิธีคิด ค่านิยม ความรู้ ความเข้าใจใน
ความรู้ ซึ่งการได้รับความร้อู ยา่ งถูกต้องและเขา้ ถึง สภาพการณ์ของสังคมได้ดีอีกด้วย (สุวิทย์ มูลคา,
สาระของความรู้นั้น สามารถนาความรู้ไปใช้ 2547) ทักษะการแก้ปัญหาเป็นทักษะท่ีมีความ
สาคัญยิ่ง ประเทศชาติจะไม่สามารถพัฒนาหรือ
ประโยชน์ มีความสามารถในการคิดและคิดเป็น สรา้ งนวัตกรรมของตนข้นึ มาได้ ถา้ ทรพั ยากรบุคคล
คณะกรรมการระหว่างชาติว่าด้วยการศึกษาท่ีเนน้ ไม่มีทักษะในการแก้ปัญหา โดยเฉพาะอย่างย่ิง ในตัว
การเรยี นร้ตู ลอดชีวติ เป็นหวั ใจสาคญั ของการศึกษา ผู้เรียนจาเป็นจะต้องได้รับการพัฒนาและฝึกฝนให้
มีทักษะน้ี ด้วยวิธีการจัดการเรียนรู้ ท่ีหลากหลาย
ในยุคศตวรรษที่ 21 การสอนสังคมศึกษาในยุค เช่น การใช้บทบาทสมมติ โครงงาน การสืบสวน
โลกาภิวัฒน์ได้มุ่งเน้นการสอนที่ไม่ใช่การใช้เน้ือหา สอบสวน และการศึกษานอกสถานที่ เป็นต้น
อย่างไรก็ตามไม่มีวิธีการจัดการเรียนรู้หรือวิธีการ
เพียงอย่างเดียว แต่เน้นการสอนให้นักเรียนไดร้ จู้ กั สอนใดที่ดีท่ีสุดท่ีจะสอนให้ผู้เรียนมีทักษะในการ
คิดและนาความรู้ไปประยุกต์ให้เกิดประโยชน์ใน แก้ปัญหาได้ นอกเสียจากการเปิดโอกาสให้ผู้เรยี น
ชีวิตของนักเรียนเอง เน้นการสอนให้เกิดความคิด ได้ฝึกการแก้ปัญหาด้วยตนเอง ครูผู้สอนควรให้
ผู้เรียนได้เรียนรู้ ได้คิด อธิบาย อภิปราย และ
รวบยอดเป็นพ้ืนฐานมากข้ึน โดยค่อย ๆ ขยายให้ เปรียบเทียบแนวคิดท่ีหลากหลาย จนเกิดเป็น
กว้างและลึกข้ึนตามลาดับ ส่งเสริมให้นักเรียน กระบวนการแก้ปัญหาของตัวผู้เรียนเอง (ไมตรี
อินทร์ประสิทธ์ิ, 2558) การคิดแก้ปัญหาจึงถือ
ค้นพบนัยทั่วไป หรือกฎเกณฑ์ในสังคมได้ด้วย
ตนเอง ส่งเสริมให้นักเรียนรู้วิธีการค้นคว้าหา 152
ความรู้ใหม่ ๆ เพ่ือความก้าวหน้าทางความรู้และ
วิทยาการต่างๆ แต่ที่ผ่านมาพบว่า การเรียน
ก า ร ส อ น วิ ช า สั ง ค ม ศึ ก ษ า ยั ง ไ ม่ ส อ ด ค ล้ อ ง กั บ
สภาพแวดลอ้ มที่มีผลการดารงชีวิต กลา่ วคือไม่ทัน
ต่อก าร เปล่ียน แป ลง ข อง สัง คม แ ละ ค ว า ม
เจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
เน่ืองจากในการสอนจะเน้นแต่ทฤษฎีและความรู้
จึงทาใหน้ กั เรียนขาดกระบวนการคิด การวเิ คราะห์
วารสารการวิจยั การศึกษาขั้นพืน้ ฐาน
ฉบับปฐมฤกษ์ (กรกฎาคม - ธันวาคม 2564)
ได้ว่า เป็นทักษะการคิดที่ จะนาไปสู่ทักษะการคิด การคิดแก้ปัญหาของนักเรียนให้นักเรียนได้พัฒนา
ขั้นอื่น ๆ แต่จากบริบทของเด็กไทยยังคงประสบ อย่างเต็มตามศักยภาพ เพือ่ ให้นกั เรียนได้พฒั นาทงั้
ความรู้ความสามารถและทักษะการคิด แก้ปัญหา
ปัญหานี้อยู่ เม่ือเด็กยังไม่สามารถคิดในข้ันพ้ืนฐาน ควบคู่ ไปด้วยกัน ซึ่งสอดคล้องกับการสอน โดยใช้
ได้ก็ยากทีจ่ ะมที กั ษะการคิดในขนั้ ตอ่ ๆ ไป วิธีการจัดการเรยี นรู้แบบกระบวนการ QSCCS ซ่ึง
เป็นวธิ ีสอนทม่ี งุ่ ให้นกั เรยี นเรยี นร้ดู ว้ ยตนเอง โดยมี
กระบวนการส่งเสริมให้ผู้เรียนเป็นบุคคล ท่ีมี จุดเด่นที่ครอบคลุมเป้าหมายการพัฒนานักเรียน
คุณภาพ ตามคุณลักษณะที่พึงประสงค์ของผู้เรียน ให้มีความสามารถในการแก้ปัญหาเพ่ือพัฒนาให้
ในศตวรรษท่ี 21 สอดคล้องกับหลักสูตรแกนกลาง นั ก เ รี ย น ไ ด้ คิ ด แ ก้ ปั ญ ห า อ ย่ า ง ส ม บู ร ณ์ แ ล ะ มี
ประสิทธิภาพอันจะสามารถพัฒนาผลสัมฤทธ์ิทาง
พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง 2560) การเรียนของนักเรียนได้ ซึ่ง มี 5 ขั้นตอน
(กระทรวงศึกษาธิการ, 2560) และเป็นไปตาม ประกอบด้วย ขั้นที่ 1 การเรียนรู้ตั้งคาถาม
(Learning to Question) เป็นการให้ผู้เรียนฝึก
ปฏิญญาว่าด้วยการจัดการศึกษาของ UNESCO สังเกตสถานการณ์ต่างๆ จนเกิดความสงสัย
ปฏญิ ญาโลกว่าดว้ ยการศกึ ษาเพอื่ ปวงชนทต่ี ้องการ จากนัน้ ฝึกให้ผ้เู รยี นตัง้ คาถามสาคัญซึ่งจะก่อให้เกิด
ให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ดังต่อไปนี้ 1) การเรียน ความสามารถในการตีความ การไตร่ตรอง การ
ถ่ายทอดความคิด กระทั่งสามารถนาไปสู่ การ
เพื่อให้มีความรู้ในสิ่งต่างๆ อันจะเป็นประโยชน์ เปลี่ยนแปลงและปรับปรุงการจัดการเรียนรู้ได้เป็น
ต่อไป ได้แก่ การรู้จักแสวงหาความรู้ การต่อยอด อย่างดี ขั้นท่ี 2 การเรียนรู้แสวงหาสารสนเทศ
(Learning to search) เป็นขั้นตอนการออกแบบ/
ความรู้ที่มีอยู่ และรวมถึงการสร้างความรู้ข้ึนใหม่ วางแผนเพอื่ รวบรวมข้อมูล สารสนเทศ จากแหล่ง
2) การเรียนรู้เพื่อการดาเนินชีวิตอยู่ร่วมกับผู้อ่ืน เรียนรูต้ า่ งๆ โดยผสู้ อนเป็นผู้ออกแบบการเรยี นรู้ใน
ได้อย่างมีความสุข ทั้งชีวิตการเรียน ครอบครัว ห้องเรียนให้ส่งเสริมกระบวนการคิดผ่านรูปแบบ
กิจกรรมที่หลากหลาย ข้ันท่ี 3 การเรียนรู้เพอื่ สร้าง
สังคมและการทางาน 3) การเรียนรู้ เพื่อให้รู้จัก องค์ความรู้ (Learning to construct) เป็นข้นั ตอน
ศักยภาพของตัวเอง และใช้ความสามารถของ ท่ีผู้เรียนมีการคิดวิเคราะห์ ข้อมูลเชิงปริมาณและ
เชิงคุณภาพ การสื่อความหมายข้อมูลด้วยแบบ
ตนเองให้เกิดประโยชน์ต่อสังคม จากการศึกษา ต่างๆ หรือด้วยผังกราฟิก การแปลผล จนถึงการ
บริบทการจัดการเรียนการสอนโรงเรียนนครขอนแก่น สรุปผล หรือการสร้างคาอธิบาย ขน้ั ที่ 4 การเรยี นรู้
ในระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายด้วยการสังเกต เพื่อการส่ือสาร (Learning to communicate)
เป็นขั้นนาเสนอความรู้ด้วยการใช้ภาษาที่ถูกต้อง
และการสมั ภาษณ์พบวา่ วชิ าสงั คมศกึ ษาเป็นวิชาที่ ชัดเจน และเป็นท่ีเข้าใจ อาจเป็นการนาเสนอ
มีสาระการเรียนรู้ 5 สาระการเรียนรู้ ซ่ึงในเน้ือหา ภาษา และนาเสนอด้วยวาจา ข้ันที่ 5 การเรียนรู้เพื่อ
ตอบแทนสังคมและจิตสาธารณะ (Learning to
แต่ละสาระการเรียนรู้มีจานวนมากและเนื้อหา
ค่อนข้างกว้าง ทาให้นักเรียนเข้าใจเน้ือหา 153
ไม่ครอบคลุม ทาให้เกิดความเบ่ือหน่าย และ
ครูผสู้ อนไดใ้ ห้ข้อมูลของนกั เรยี น ในแง่ทักษะตา่ งๆ
ว่านักเรียนยังต้องได้รับการส่งเสริมในเรื่องทักษะ
การคดิ แก้ปญั หา เพราะเปน็ ทกั ษะพืน้ ฐานในการที่
จะนาไปสู่ทักษะการคิดขั้นสูงต่อไป ดังน้ันเพ่ือให้
การพฒั นาคุณภาพผเู้ รยี นใหม้ ีประสิทธิภาพจะต้อง
มีการจัดการเรียนรู้ และพัฒนาวิธีการสอนให้มี
ความน่าสนใจและมีส่วนช่วยในการพัฒนาทักษะ
วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน
ฉบบั ปฐมฤกษ์ (กรกฎาคม - ธันวาคม 2564)
service) ซึ่งเป็นขัน้ ตอนการฝกึ ให้ผูเ้ รียนนาความรู้ กิจกรรมการแข่งขัน มีรางวัล จะทาให้ผู้เรียน
ท่ีเขา้ ใจ นาการเรียนรไู้ ปใชป้ ระโยชน์ เพื่อส่วนรวม กระตือรือร้นในการเรียนรู้และครูต้องปรับตัวให้
เข้ากับเจเนอเรชัน แซด โดยการพัฒนาตนเอง ให้
หรือเห็นต่อประโยชน์ส่วนรวม ด้วยการทางาน เป็น เจเนอเรชัน ซี (สวทช. , 2560) ท่ีสามารถใช้
เป็นกลุ่ม ร่วมสร้างผลงานท่ีได้จากการแก้ปัญหา สมาร์ทโฟน อินเทอร์เน็ต และโซเชียลมีเดีย โดย
เ ป็ น ผู้ แ บ่ ง ปั น ค ว า ม รู้ แ ล ะ ข้ อ มู ล ข่ า ว ส า ร
สังคมอย่างสร้างสรรค์ ซ่ึงอาจเป็นความรู้ แนวทาง แอพพลิเคช่ัน “Google classroom” ซึ่งเป็นสว่ น
ส่ิงประดิษฐ์ ซึ่งอาจเป็นนวัตกรรม ด้วยความ หน่ึงของ Google Apps for Education จึงเป็น
รับผิดชอบต่อสังคม อันเป็นการแสดงออกของการ เครื่องมือที่ช่วยอานวยความสะดวกด้านการศึกษา
เพิ่มประสิทธิภาพการทางาน เพ่ือให้ผู้สอนมีเวลา
เกอื้ กูล และแบ่งปันใหส้ งั คมมีสันติอย่างยงั่ ยนื (พมิ ท่ีติดต่อสื่อสารกับผู้เรียนมากขึ้น ในขณะเดียวกัน
พั น ธ์ ผู้เรียนก็มีเวลาค้นหาข้อมูลเพ่ือการเรียนรู้มากข้ึน
ด้วยเช่นกัน เน่ืองจากเป็นชุดเครื่องมือท่ีมีการ
เดชะคุปต์ และพเยาว์ ยินดีสุข, 2558) นับว่าเปน็ ผสานรวมแอพพลิเคช่ันของ Googleไว้หลากหลาย
วธิ กี ารท่มี ีประสิทธภิ าพวธิ ีหนึ่งในการพฒั นาผู้เรียน อาทิ Google Doc, Google drive, Google slide
ให้เกิดการศึกษาค้นคว้าอย่างอิสระ ในเร่ืองที่ และ Gmail ไว้ด้วยกัน ผู้สอนจึงสามารถสร้างและ
รวบรวมงาน โดยไม่ตอ้ งส้นิ เปลืองกระดาษ และใช้
ตนเองสนใจ เร่ิมต้ังแต่การกาหนดประเด็นปัญหา งานนนั้ ในชน้ั เรยี นตา่ งๆ โดยสามารถเลือกว่าจะให้
และการดาเนินการค้นคว้า แสวงหาความรู้ จาก ผู้เรียนทางานอย่างไร ทาเป็นรายกลุ่มหรือ
รายบุคคล เพ่ิมช่องทางการส่ือสารระหวา่ งครแู ละ
แหล่งข้อมูลท่ีหลากหลาย มีการคิดวิเคราะห์ นักเรยี น และผูส้ อนสามารถติดตามวา่ ผู้เรียนคนใด
สังเคราะห์ การอภิปรายแลกเปล่ียนความคิดเห็น ทางานเสร็จแล้วบ้าง และใครยังทางานไม่เสร็จ
เพื่อนาไปสู่การสรุปความรู้ และหาวิธีการท่ี ตลอดจนแสดงความคดิ เห็น ใหค้ าแนะนาแก่ผู้เรียน
แต่ละคนได้ตลอดเวลา แม้จะไม่ได้อยู่ในห้องสอน
เหมาะสมในการสื่อสารนาเสนอ ให้ผู้อ่ืนได้รับ หรือมหาวิทยาลัย และผู้เรียนสามารถดูรายการ
ทราบและสามารถ นาความรู้ท่ีได้จากการศึกษา งานของช้ันเรียนท่ีกาลังทาอยู่และที่ทาเสร็จแล้ว
แสดงความเห็นปรับเปลี่ยน และทางานร่วมกัน
ค้นคว้าไปทาประโยชน์แก่สาธารณชนต่อไปได้ เป็นทีม มองเห็นภาวะผู้นาและผู้ตามของผู้เรียน
กระบวนการศึกษาค้นคว้า ในยุคปัจจุบันไม่ถูก ในช้ันเรียน ท่ีสาคัญผู้สอนสามารถวัดประเมิน
จากัดเพียงการสืบค้นในห้องสมุดเท่าน้ัน หากแต่ ช้ินงานตามสภาพจริง สามารถดูคะแนนท้ังหมด
ของงาน ส่วนผู้เรียนสามารถดูคะแนนของตนเอง
เราอยูใ่ นยุคทเี่ ทคโนโลยีสามารถเชื่อมโยงเครือข่าย สาหรับงานท่ีทาเสรจ็ แล้ว
ทั้งโลกเขา้ ไว้ดว้ ยกัน ดังน้นั ในการจัดกระบวนการ
จากความสาคัญที่กล่าวข้างต้น ในปี 2011 มี
เรียนการสอน สามารถใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วย นักศึกษา 16 ล้านคน จาก 146 ประเทศ ได้ใช้
เพ่ือให้ก้าวทันยุคของข้อมูล ท่ีมีการเปลี่ยนแปลง
ตลอดเวลาทาให้เกิดเครือข่ายท่ีหลากหลาย บคุ คล 154
สามารถพูดคุย แลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึง่ กนั และ
กันโดยไม่จากัดด้วยเวลาหรือระยะทาง ท่ีเรา
เรียกว่า Social Media หรือสื่อสังคมออนไลน์
(วณิชชา แม่นยา และ ทพิ รัตน์ สทิ ธิวงศ์, 2557)
ดังนั้น ครูสังคมศึกษาในยุคน้ีจึงต้องให้
ความสาคัญในการจัดห้องเรียนที่นาเอาเทคโนโลยี
มาเสริมกับกิจกรรมการเรียนรู้ให้แรงจูงใจ มี
วารสารการวิจัยการศึกษาขัน้ พืน้ ฐาน
ฉบบั ปฐมฤกษ์ (กรกฎาคม - ธันวาคม 2564)
Google Apps for Education ส่วนในประเทศ 4) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มี
ไทยเริ่มที่มหาวิทยาลัยขอนแกน่ เป็นมหาวิทยาลยั ต่อกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยกระบวนการ QSCCS
แรกทีใ่ ช้ Google Apps for Education น้ี (สานัก โดยใช้ส่ือสังคมออนไลน์เพื่อพัฒนาทักษะการ
วิทยบริการและเทคโนโลยีสารสนเทศมหาวิทยาลัย แก้ปญั หาของนักเรยี น ระดบั ช้นั มธั ยมศกึ ษา ปที ่ี 5
ราชภัฏวไลยอลงกรณ์ฯ, 2015)
ขอบเขตการวจิ ยั
จากเหตุผลดังกล่าวครูผู้วิจัยจึงได้ตระหนักถงึ เน้ือหา เน้ือหาท่ีนามาใช้ในการพัฒนาเป็น
ภาระหน้าท่ขี องครูผูส้ อน และความสาคญั ของวิชา
สังคมศึกษา ได้ปรับการเรียนเปล่ียนการสอน เนื้อหาในรายวิชา สังคมศึกษา ศาสนา และ
เพื่อให้นักเรียนมีทักษะสาคัญและผลสัมฤทธ์ิ วัฒนธรรม สาระการเรียนรู้ภูมิศาสตร์ เร่ือง การ
ทางการเรียนวิชาสังคมให้สูงข้ึน และเพ่ือจะเป็น อนุรักษ์พัฒนาแก้ไขปัญหาทรัพยากรส่ิงแวดล้อม
แนวทางในการพฒั นาการจดั การเรียนรู้ให้นา่ สนใจ ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน
นักเรียนมีความสุขในการเรียนให้เข้ากับยุคสมัย พทุ ธศกั ราช 2551
จึงสนใจท่ีนาสื่อสังคมออนไลน์มาประยุกต์ใช้ใน
การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ด้วยกระบวนการ ประชากรกลุ่มตัวอย่างท่ีใช้ในการพัฒนา
QSCCS เพ่ือพัฒนาทักษะการแก้ปัญหาของ กิจกรรมการเรียนรู้
นักเรยี นระดับชัน้ มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 5
ประชากร เป็นนกั เรียนระดับชั้นมัธยมศกึ ษาปีที่
วตั ถุประสงคก์ ารวิจัย 5 โรงเรยี นนครขอนแก่น ภาคเรียนท่ี 2 ปีการศกึ ษา
1 ) พัฒ น า กิ จก ร ร มก าร เรียน รู้ด้ว ย 2560 จานวน 6 ห้องจานวน 207 คน
กระบวนการ QSCCS โดยใช้สื่อสังคมออนไลน์ กลุ่มตัวอย่างท่ีใช้ในการพฒั นากิจกรรมการ
เ พ่ื อ พั ฒ น า ทั ก ษ ะ ก า ร แ ก้ ปั ญ ห า ข อ ง นั ก เ รี ย น เรียนรู้
ระดับชั้นมธั ยมศกึ ษาปีท่ี 5 ให้มีประสทิ ธภิ าพไม่ต่า
กว่า 80/80 และมีค่าดัชนีประสิทธิผลไม่ต่ากว่า 1) เป็นนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 5/5
.05 ภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2560 โรงเรียน
นครขอนแก่น อาเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น
2) ศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่เรียน จานวน 3 คน ได้มาโดยการสุ่มอย่างง่าย(Simple
จากกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยกระบวนการ QSCCS Random Sampling) แบ่ง ก ลุ่มนัก เรียน เ ป็ น
โดยใช้สื่อสังคมออนไลน์เพ่ือพัฒนาทักษะการแก้ปัญหา กลุ่มเก่ง จานวน 1 คน กลุ่มปานกลาง จานวน 1
ของนกั เรียน ระดับชั้นมัธยมศกึ ษา ปที ี่ 5 คน และกลุ่มอ่อน จานวน 1 คน สาหรบั ใช้ทดสอบ
แบบหนึ่งตอ่ หนึ่ง
3) ศึกษาทักษะแก้ปัญหาของนักเรียนท่ี
เรียนจากกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยกระบวนการ 2) เป็นนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 5/5
QSCCS โดยใช้สื่อสังคมออนไลน์เพื่อพัฒนาทักษะ ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2560 โรงเรียน
การแก้ปัญหาของนักเรียน ระดับช้ันมัธยมศึกษา นครขอนแก่น อาเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น
ปีท่ี 5 จานวน 12 คน ซ่ึงได้มาโดยการสุ่มอย่างง่าย
(Simple Random Sampling) แบ่งกลุ่มนักเรียน
เปน็ กลมุ่ เก่ง จานวน 4 คน กลุม่ ปานกลาง จานวน
155
วารสารการวิจัยการศึกษาข้นั พืน้ ฐาน
ฉบบั ปฐมฤกษ์ (กรกฎาคม - ธันวาคม 2564)
4 คน และกลุ่มอ่อน จานวน 4 คน สาหรับใช้ แ ล ะ ส า ร ส น เ ท ศ ( Learning to Search) แ ละ
ทดสอบแบบกลุม่ เล็ก 3) การสรา้ งองคค์ วามรู้ (Learning to Construct)
4) ก า ร สื่ อ ส า ร แ ล ะ น า เ ส น อ ( Learning
3) เป็นนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 5/5 ภาค to Communicate) และ 5) การบริการสังคม
เรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2560 โรงเรียนนคร และจิตสาธารณะ (Learning to Serve)
ขอนแก่น อาเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น จานวน
28 คน เป็นนักเรียนที่เหลือท้ังหมด สาหรับใช้ 2) สื่อสังคมออนไลน์ หมายถึง ลักษณะ
ทดสอบแบบภาคสนามกลุ่มตัวอย่างท่ีใช้ในการ ชุมชนนักปฏิบัติที่มีการติดต่อ ส่ือสาร การแบ่งปนั
ศึกษาผล การพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้ เป็น ข้อมูลร่วมกันสร้างข้อมูล ข่าวสาร ความรู้ ผู้เรียน
นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 5/1 โรงเรียนนครขอนแก่น รู้จักการสร้างความรู้ด้วยตนเอง โดยผ่านการ
อาเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น ภาคเรียนท่ี 2 ปี อภิปราย (Forum Discussion) ผ่านเหตุการณ์
การศึกษา 2561 จานวน 37 คน ได้มาโดยการสุ่ม ตา่ งๆ (Events) การเขียนบล็อก(Blog) การสนทนา
อย่างงา่ ย โดยวิธกี ารจับสลาก (Chat) รวมถึงการสร้าง Clip VDO เว็บไซต์และ
รวบรวมแหล่งความรู้ที่เป็น Clip VDO จาก
ตัวแปรที่ศกึ ษา YouTube ตามกิจกรรมท่ีกาหนดให้ในห้องเรียน
ตั ว แ ป ร ต้ น กิ จ ก ร ร ม ก า ร เ รี ย น รู้ ด้ ว ย (https://classroom.google.com) รวมไปถึง
การติดต่อพูดคยุ ในกลมุ่ Facebook
กระบวนการ QSCCS โดยใชส้ ือ่ สังคมออนไลน์เพ่ือ
พัฒนาทักษะการแก้ปัญหาของนักเรียนระดับ 3) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง
ชัน้ มัธยมศึกษาปีท่ี 5 คะแนนการทาแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการ
ตวั แปรตาม เรียนก่อนเรียนและหลังเรียน เร่ือง การอนุรักษ์
พัฒนาแก้ปัญหาทรัพยากรและสิ่งแว ดล้อม
1) ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของนักเรียน ช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 5 เป็นข้อสอบ แบบปรนัย
ระดบั ช้นั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 5 จานวน 30 ขอ้
2) ความสามารถในการแกป้ ัญหาของนักเรียน 4) ความสามารถในการแก้ปัญหา
ระดบั ชั้นมัธยมศึกษาปที ี่ 5 หมายถึง ความสามารถในการนาความรู้ ทักษะ
และประสบการณ์ที่มีอยู่ หรือสร้างองค์ความรู้
3) ค ว า ม พึ ง พ อ ใ จ ข อง นัก เ รียน ร ะ ดับ ข้ึนมาใหม่ ไปประยุกต์ใช้ในการกาหนดปัญหา
ช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่มีต่อกิจกรรมการเรียนรู้ วิเคราะห์สาเหตุของปัญหา กาหนดวัตถุประสงค์
ด้วยกระบวนการ QSCCS โดยใชส้ อ่ื สงั คมออนไลน์ ของการแก้ปัญหา และการกาหนดวิธีแก้ปัญหา
โดยใช้แบบทดสอบวัดทักษะการแก้ปัญหาของ
นยิ ามศพั ทเ์ ฉพาะ ผูเ้ รยี น จานวน 20 ขอ้
1) กิจกรรมการเรียนรู้ด้วยกระบวนการ
กรอบแนวคดิ การวจิ ยั
QSCCS โดยใช้ส่ือสังคมออนไลน์ หมายถึง การวิจัยเรื่อง การศึกษาผลการพัฒนา
กิจกรรมการเรียนรู้ด้วยกระบวนการ QSCCS โดย
การประยุกต์ใช้ส่ือสังคมออนไลน์ https:// กิจกรรมการเรียนรู้ด้วยกระบวนการ QSCCS โดย
classroom.google.com ในการจัดการเรียนรู้
ประกอบด้วย 5 ขั้น ได้แก่ 1) การตั้งคาถาม 156
(Learning to Question) 2) การสืบค้นความรู้
วารสารการวิจยั การศึกษาขน้ั พืน้ ฐาน
ฉบบั ปฐมฤกษ์ (กรกฎาคม - ธันวาคม 2564)
ใช้สือ่ สังคมออนไลน์เพ่ือพัฒนาทกั ษะการแกป้ ัญหา การประยุกต์ใช้ส่ือสังคมออนไลน์ในการเรียน
ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 5 ผู้วิจัย การสอนจากแนวคิดของ ชัยยงค์ พรหมวงศ์
ได้ศึกษาทฤษฎี หลักการ เอกสาร และงานวิจัย (2555) จารุณี มณีกุล ( 2550) Chih-Hsiung
ท่ีเก่ียวข้อง นาเสนอดังน้ี ( 2004) , Bradon, D. P. & Hollingshead, A. B.
การเรียนการสอนด้วยรูปแบบการเรียนรู้ (1999). โดยนาหลักการ แนวคิดที่สอดคล้องกัน
QSCCS สังเคราะห์จากแนวคดิ ของ วจิ ารณ์ พานิช มากาหนดเป็นองคป์ ระกอบของสอ่ื สงั คมออนไลน์
(2557) พิมพันธ์ เดชะคุปต์ และพเยาว์ ยินดีสุข,
การแก้ปัญหา สังเคราะห์แนวคิดของ
( 2557) Limbach,B. , Duron,R. , Limbach,B. ,
& Waugh, W., (2006) สาเริง บุญเรืองรัตน์ (2549), วีระ ไทยพานิช
(2551), พระพรหมคุณาภรณ์ (2555) Facione
P.A. (2007) และSternberg (2008)
สามารถสรา้ งเปน็ กรอบแนวคดิ สาหรับการวิจัยครั้งนี้ ไดด้ งั ภาพท่ี 1
กิจกรรมการเรียนรกู้ ระบวนการ การประยกุ ต์ใช้ส่อื สงั คมออนไลน์ การแกป้ ญั หา
QSCCS ในการเรยี นการสอน
สังเคราะหแ์ นวคดิ ของ
สงั เคราะหจ์ ากแนวคิดของ วิจารณ์ พานชิ สังเคราะหจ์ ากแนวคิดของ ชยั ยงค์ สาเรงิ บญุ เรอื งรัตน์ (2549)
(2557) (พมิ พนั ธ์ เดชะคปุ ตแ์ ละพเยาว์ พรหมวงศ์ (2555) จารณุ ี มณีกุล (2550) วรี ะ ไทยพานิช (2551)
ยินดีสุข, (2557) Limbach และคณะ, Chih-Hsiung (2004), พระพรหมคุณาภรณ์ (2555)
(2006) 5 ขัน้ ประกอบดว้ ย Chris (2009), และ Bradon, Facione (2007) และ
1) การต้งั คาถาม (Learning to D.P. & Hollingshead, A.B. (1999). Sternberg (2008) กาหนดเปน็
question) 1.การร่วมมอื (Collaboration) ความสามารถของการแก้ปญั หา 4
2) การสืบค้นความรแู้ ละสารสนเทศ 2.การสื่อสาร (Communication) ประการ คอื
(Learning to search) 3.บรบิ ททางสงั คม (Social context) 1. สามารถกาหนดปัญหา
3) การสรา้ งองค์ความรู้ (Learning to 4.เทคโนโลยี (Technologies) 2. สามารถวเิ คราะห์สาเหตุ
construct) 5.การแบง่ ปนั (Sharing) ของปัญหา
4) การสื่อสารและนาเสนอ (Learning to 6.ความสัมพันธ์ (Connections) 3. สามารถกาหนดวัตถปุ ระสงค์
Communicate) 7.การใช้เครอ่ื งมือรว่ มกนั สรา้ งเน้ือหา ของการแก้ปัญหา
5) การบริการสงั คมและจติ สาธารณะ (Content co-creation Tools) 4. สามารถกาหนดวธิ ีการ
(Learning to service) แก้ปญั หา
กิจกรรมการเรียนรดู้ ว้ ยกระบวนการ QSCCS
โดยใช้สือ่ สงั คมออนไลน์
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ความสามารถในการแก้ปญั หา ความพงึ พอใจของนักเรยี น
ภาพท่ี 1 กรอบแนแวกคป้ ิดญั กหาารวจิ ัย 157
วารสารการวิจัยการศึกษาข้นั พืน้ ฐาน
ฉบบั ปฐมฤกษ์ (กรกฎาคม - ธันวาคม 2564)
ระเบยี บวธิ ีวิจัย 3) เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 5/5
การวจิ ยั ที่ใช้ในคร้งั นเี้ ป็นการวจิ ัยกง่ึ ทดลอง ภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2560 โรงเรียน
นครขอนแก่น อาเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น
(Quasi Research) โดยวัดผลก่อนการทดลอง จานวน 28 คน เป็นนักเรียนท่ีเหลือท้ังหมด
และหลังการทดลอง (One Group Pre test – สาหรับใช้ทดสอบแบบภาคสนาม
Post test Design)
1.2 เครือ่ งมอื ที่ใช้ในการวิจัย
วิธกี ารดาเนนิ การวจิ ัย 1) กิจกรรมการเรียนรู้ด้วยกระบวนการ
1. การพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้ด้วย
QSCCS โดยใช้ส่ือสังคมออนไลน์ฯ มี 5 ขั้น
กระบวนการ QSCCS โดยใช้สื่อสังคมออนไลน์ มีขนั้ ตอนในการสร้างดงั นี้
เ พ่ื อ พั ฒ น า ทั ก ษ ะ ก า ร แ ก้ ปั ญ ห า ข อ ง นั ก เ รี ย น
ระดบั ช้ันมธั ยมศึกษาปีท่ี 5 (1 ) ศึก ษาสาร ะ ก าร เรียน รู้แ ล ะ
มาตรฐานการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้ สังคม
1.1 ประชากรและกลุ่มตัวอย่างสาหรับ ศึกษาศาสนาและวัฒนธรรมระดับชั้นมัธยมศึกษา
การหาประสิทธภิ าพเคร่ืองมอื วิจัย ปีท่ี 4-6 ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน
พุทธศักราช 2551 เก่ียวกับมาตรฐานการเรียนรู้/
ประชากร เป็นนักเรียนระดับช้ันมัธยมศึกษา ตัวช้ีวดั และสมรรถนะสาคญั ของผู้เรยี น
ปที ่ี 5 ภาคเรยี นท่ี 2 ปีการศึกษา 2560 จานวน 6
หอ้ งเรียน จานวนนักเรยี น 207 คน (2) ศึกษาหลักการจัดการเรียนรู้แบบ
บันได 5 ขั้น (QSCCS) ร่วมกับเครือข่ายสังคม
กลุม่ ตัวอย่าง ออนไลน์จากเอกสารและงานวจิ ัยท่ีเกี่ยวข้อง
1) เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/5
ภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2560 โรงเรียน (3) พัฒนากิจกรรมการเรียนรู้ด้วย
นครขอนแก่น อาเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น กระบวนการ(QSCCS) โดยใช้ส่ือสังคมเรียน
จานวน 3 คน ได้มาโดยการสุ่มอย่างงา่ ย (Simple ออนไลน์ เรื่อง การอนุรักษ์พัฒนาแก้ไขปัญหา
Random Sampling) แบ่ง ก ลุ่มนัก เรียน เ ป็ น ทรัพยากรสิ่งแวดล้อม โดยติดต้ังเนื้อหา กิจกรรม
กลุ่มเก่ง จานวน 1 คน กลุ่มปานกลาง จานวน แบบฝึกหัด กิจกรรมกลุ่มกิจกรรมเด่ียวและสื่อ
1 คน และกลุ่มอ่อน จานวน 1 คน สาหรับใช้ ก า ร เ รี ย น ก า ร ส อ น อ อ น ไ ล น์ ใ น เ ว็ บ ไ ซ ต์
ทดสอบแบบหน่งึ ตอ่ หนงึ่ https: / / classroom. google. com ไ ด้ แ ก่
2) เป็นนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 5/5 (1) แบบทดสอบก่อนเรียน-หลังเรียน (2) คู่มือ
ภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2560 โรงเรียนนคร การใช้งาน (3) มาตรฐานและตัวช้ีวัด (4) เว็บไซต์
ขอนแก่น อาเภอเมือง จังหวดั ขอนแก่น จานวน 12 สื่อสังคมออนไลน์เช่น Facebook.com และ
คน ได้มาโดยการสุ่มอย่างงา่ ย (Simple Random Youtube.com (6) เน้ือหาการอนุรักษ์พัฒนา
Sampling) แบ่งกลุ่มนักเรียนเป็นกลุ่มเก่ง จานวน แก้ปัญหาทรัพยากรและส่ิงแวดล้อม (6) แบบฝึก
4 คน กลุ่มปานกลาง จานวน 4 คน และกลุ่มอ่อน กิจกรรมการเรียนรู้ (7) ทากิจกรรมกลุ่มออนไลน์
จานวน 4 คน สาหรับใชท้ ดสอบแบบกล่มุ เล็ก ประกอบด้วย 5 ขัน้ กิจกรรม ได้แก่ (1) กจิ กรรม
158
วารสารการวิจัยการศึกษาข้ันพื้นฐาน
ฉบับปฐมฤกษ์ (กรกฎาคม - ธันวาคม 2564)
ก า ร ต้ั ง ค า ถ า ม ( Learning to Question) ปีการศึกษา 2560 โรงเรียนนครขอนแกน่ อาเภอ
(2) กิจกรรมการสืบค้นความรู้และสารสนเทศ เมือง จังหวัดขอนแก่น ได้ค่าความยากง่าย (p)
ระหวา่ ง 0.27-0.68 คา่ อานาจจาแนก ( r) ระหวา่ ง
(Learning to search) (3) กิจกรรมการสร้าง 0.27-0.85 และมีค่าความเชื่อม่ันของแบบทดสอบ
องคค์ วามรู้(Learning to construct) (4) กิจกรรม ทัง้ ฉบับ เทา่ กับ 0.82
ก า ร ส่ื อ ส า ร แ ล ะ น า เ ส น อ ( Learning to 3) แบบวัดทักษะในการแก้ปัญหาจานวน 20
communicate) และ (5) การบริการสังคมและ ข้อ นาข้อสอบที่พัฒนาขึ้นไปเสนอต่อผู้เช่ียวชาญ
จิตสาธารณะ (Learning to service) เพื่อตรวจสอบความสอดคล้อง (IOC) และนาไป
ทดลองใช้กับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 5/5
(4) นากิจกรรมการเรียนรู้ด้วยกระบวนการ ภาคเรยี นที่ 2 ปีการศึกษา 2560 โรงเรยี นนครขอนแก่น
(QSCCS) โดยใช้ส่ือสังคมเรียนออนไลน์ เรื่อง อาเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น ได้ค่าความยากง่าย
(p) 0.27 - 0.67 ค่าอานาจจาแนก (r) 0.27 – 0.79
การอนุรักษ์พัฒนา แก้ไขปัญหาเร่ืองทรัพยากร และคา่ ความเช่ือมน่ั ของแบบทดสอบท้งั ฉบับ 0.75
สิ่งแวดล้อม https:// classroom.google.com
เสนอต่อผู้เช่ียวชาญ จานวน 7 ท่าน ผู้เช่ียวชาญ 4) แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนท่ีมีต่อ
กิจกรรมการเรียนร้ดู ้วยกระบวนการ QSCCS โดย
ด้านหลักสตู รและการจดั การเรียนรู้ จานวน 2 ท่าน ใช้ส่ือสังคมออนไลน์ฯ จานวน 20 ข้อ ผู้วิจัยนา
ผ้เู ชยี่ วชาญในด้านเนื้อหาวชิ าสงั คมศึกษาฯ จานวน แบบสอบถามความพึงพอใจนักเรียน เสนอต่อ
ผูเ้ ชี่ยวชาญดา้ นวัด และประเมินผล จานวน 3 ทา่ น
2 ท่าน ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีทางการศึกษา เพ่ือตรวจสอบความตรงของแบบสอบถามความ
จานวน 2 ท่าน และ ผู้เชี่ยวชาญด้านการวัดผล พึงพอใจ (IOC) มีค่าเทา่ กับ 0.66-1.00
ประเมินผล จานวน 1 ท่าน เพ่ือตรวจสอบ
2. กา รศึกษ า ผล กา รพัฒน ากิจกรรม
คว ามสอดคล้อง (Index of item objective การเรียนรู้ด้วยกระบวนการ QSCCS โดยใช้สื่อ
congruence: IOC) ของกิจกรรมการเรียนรู้กับ สังคมออนไลน์เพื่อพัฒนาทักษะการแก้ปัญหา
ของนกั เรยี นระดบั ชัน้ มัธยมศึกษาปีที่ 5
การคิดแก้ปัญหา มาตรฐานการเรียนรู้ / ตัวช้ีวัด
และจดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ 2.1 ประชากรและกลุ่มตวั อย่าง
ประชากร เป็นนักเรียนระ ดับ ช้ั น
( 5 ) ป รั บ ป รุ ง ต า ม ค า แ น ะ น า ข อ ง
มัธยมศึกษาปีที่ 5 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2561
ผู้เช่ียวชาญ แล้วนาไปทดลองใช้กับนักเรียนช้ัน โรงเรยี นนครขอนแก่น อาเภอเมอื ง จังหวดั ขอนแก่น
มัธยมศึกษาปีที่ 5/5 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา จานวน 7 หอ้ งเรยี น จานวนนักเรียน 270 คน
2560 โรงเรยี นนครขอนแก่น อาเภอเมือง จงั หวัด ก ลุ่ ม ตั ว อ ย่ า ง ที่ ใ ช้ ใ น ก า ร วิ จั ย เ ป็ น
ขอนแก่น ในการทดลองแบบหน่ึงต่อหน่ึงการทดลอง นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 5/1 ภาคเรียนที่ 2
แบบกลุ่มเล็กและการทดลองภาคสนาม ได้ ปีการศึกษา 2561 โรงเรียนนครขอนแก่น อาเภอ
ค่าประสิทธิภาพ E1/E2 เท่ากับ 85.80/83.22 159
ค่าดชั นปี ระสทิ ธิผลเทา่ กบั 0.69
2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนเป็น
แบบปรนยั 4 ตวั เลือก จานวน 30 ข้อ และนาข้อสอบ
ที่พัฒนาข้ึน ไปเสนอต่อผู้เช่ียวชาญเพ่ือตรวจสอบ
ความสอดคล้อง (IOC) และนาไปทดลองใช้กับ
นักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/5 ภาคเรียนท่ี 2
วารสารการวิจยั การศึกษาขัน้ พืน้ ฐาน
ฉบบั ปฐมฤกษ์ (กรกฎาคม - ธันวาคม 2564)
เมือง จังหวัดขอนแก่น จานวนนักเรียน 37 คน 3) ทดสอบวัดทักษะในการแกป้ ัญหา
ไดม้ าโดยการสุม่ อย่างงา่ ยโดยใชว้ ิธีการจับสลาก ของนักเรียนก่อนเรียน จานวน 20 ข้อ ทดสอบ
กอ่ นการทดลอง 1 สัปดาห์
2.2 เครอื่ งมอื ที่ใช้ในการวจิ ยั
1) กิจกรรมการเรยี นรู้ด้วยกระบวนการ 4) สารวจความพร้อมของสถานที่
ป ฏิ บั ติ ก า ร ท า ง ค อ ม พิ ว เ ต อ ร์ / ค ว า ม พ ร้ อ ม ข อ ง
QSCCS โดยใช้สื่อสังคมออนไลน์ฯ มี 5 ข้ัน โดยมี แผนการจัดการเรียนรู้ คู่มือการปฏิบัติสาหรับครู
ประสิทธิภาพ E1/E2 เท่ากับ 85.80/83.22 และ และนกั เรียน
คา่ ดัชนีประสิทธิผลเทา่ กับ 0.64
5) ผวู้ จิ ยั ให้นกั เรียนศึกษาคมู่ ือการใช้งาน
2) แบบทดสอบวั ดผลสัมฤทธิ์ ใ ห้ นั ก เ รี ย น ด า เ นิ น กิ จ ก ร ร ม ก า ร เ รี ย น รู้ ด้ ว ย
ทางการเรียนเป็นแบบปรนัย 4 ตัวเลือก จานวน กระบวนการ QSCCS โดยใช้ส่ือสังคมออนไลน์ท่ี
30 ข้อ ท่ีมีค่าความยากง่าย (p) ระหว่าง 0.27-0.68 พัฒนาข้ึน ซึ่งใช้เวลาในการทดลอง 2 ช่ัวโมง/
ค่าอานาจจาแนก ( r) ระหว่าง 0.27-0.85 และมีค่า สัปดาห์ จานวน 12 สัปดาห์ และใช้เวลาพิเศษ
ความเชอ่ื มัน่ ของแบบทดสอบทัง้ ฉบับ เท่ากบั 0.82 ใ น ช่ ว ง พั ก เ ที่ ย ง แ ล ะ ห ลั ง เ ลิ ก เ รี ย น ใ ห้ บ ริ ก า ร
อนิ เทอร์เนต็ เพอ่ื ใช้ทากจิ กรรมการเรยี นร้ไู ด้
3) แบบวัดทักษะในการแก้ปัญหา
จานวน 20 ขอ้ ท่มี ีคา่ ความยากง่าย (p) 0.27 - 0.67 6 ) ท ด ส อ บ วั ด ผ ล สั ม ฤ ท ธ์ิ ท า ง
ค่าอานาจจาแนก (r) 0.27 – 0.79 และ การเรยี นหลังเรียน/ วัดทกั ษะในการแก้ปัญหาของ
ค่าความเชอื่ ม่นั ของแบบทดสอบท้ังฉบบั 0.75 นักเรียนหลังเรียน/ สอบถามความพึงพอใจของ
นกั เรยี น
4) แบบสอบถามความพงึ พอใจ ของ
นักเรยี นท่ีมตี อ่ กิจกรรมการเรยี นรดู้ ้วยกระบวนการ 7) นาข้อมลู ทไ่ี ด้มาวเิ คราะห์ข้อมูล
QSCCS โดยใช้สื่อสังคมออนไลน์ จานวน 20 ข้อ
IOC มีคา่ เทา่ กับ 0.66-1.00 สถติ ิและการวิเคราะห์ขอ้ มลู ในการวิจัย
1. การหาประสิทธิภาพกระบวนการ
2.3 การทดลองกับกลุ่มตวั อยา่ ง
1) การวางแผนก่อนดาเนินการ ต่อ ปร ะ สิทธิ ภาพขอ งผลลัพธ์ของ กิจกรรม
การเรียนรู้ด้วยกระบวนการ QSCCS โดยใช้สื่อ
ทดลอง/ความพร้อมของสถานที่ปฏิบัติการทาง สังคมออนไลน์ฯ โดยใช้สูตร E1/E2 คานวณจาก
คอมพิวเตอร์/ ความพร้อมของแผนการจัดการ สูตร (ชัยยงค์ พรหมวงศ,์ 2556)
เรียนรู้ คูม่ ือการปฏิบตั สิ าหรบั ครูและนักเรยี น และ
เคร่อื งมอื สาหรบั เกบ็ รวบรวมขอ้ มูล 2. วิเคราะห์ ข้อมูลเพื่อเปรียบเทียบ
ความแตกต่างระหว่างการทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์
2 ) ท ด ส อ บ วั ด ผ ล สั ม ฤ ท ธิ์ ท า ง ทางการเรียนและทักษะแกป้ ญั หาของนักเรียนกอ่ น
การเรียนก่อนเรียน โดยใช้แบบทดสอบวัดผล และหลังการเรียนโดยใช้ค่า t โดยใช้ t-test
สัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การอนุรักษ์พัฒนา Dependent
แก้ปัญหาทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม จานวน
30 ข้อ ทดสอบกอ่ นการทดลอง 1 สัปดาห์ 3. วิเคราะห์ข้อมูลความพึงพอใจของ
นักเรียนต่อกิจกรรมการเรียนรู้ ด้วยกระบวนการ
160
วารสารการวิจัยการศึกษาข้นั พื้นฐาน
ฉบับปฐมฤกษ์ (กรกฎาคม - ธนั วาคม 2564)
QSCCS โดยใช้ส่ือสังคมออนไลน์โดยใช้ค่าใช้เฉล่ีย
และสว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐาน
สรุปผลการวิจยั
1. ผลการพฒั นากจิ กรรมการเรยี นรู้ด้วยกระบวนการ QSCCS โดยใช้ส่ือสังคมออนไลน์ฯ
1.1 ผลการทดสอบหาประสทิ ธิภาพกิจกรรมการจัดการเรยี นรูด้ ว้ ยกระบวนการ QSCCS โดยใช้สอื่
สังคมออนไลนฯ์ ตามเกณฑ์ 80/80 สรุปดงั แสดงในตารางที่ 1
ตารางท่ี 1 ผลการทดสอบหาประสิทธิภาพกจิ กรรมการเรียนรู้ด้วย กระบวนการ QSCCS โดยใช้
สอื่ สังคมออนไลน์ฯ ตามเกณฑ์ E1/E2
คะแนนแบบฝกึ หดั และกิจกรรมกลมุ่ คะแนนทดสอบหลังเรยี นและกิจกรรม
จานวนนักเรยี น (100 คะแนน) กลุ่ม (38 คะแนน)
X S.D. E1 X S.D. E2
37 85.32 3.16 85.32 34.22 1.67 89.06
จากตารางท่ี 1 พบว่า ประสิทธิภาพของกระบวนการ (E1) และประสิทธิภาพของผลลัพธ์ (E2) มีค่า
เทา่ กบั 85.32/89.06 เปน็ ไปตามเกณฑท์ ตี่ ้ังไว้
1.2 ผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี นของนักเรยี นกลุ่มตวั อย่าง สรปุ ผลดังแสดงในตารางที่ 2
ตารางที่ 2 แสดงผลต่างระหว่างคะแนนการทดสอบวัดผลสัมฤทธิท์ างการเรยี นก่อนเรียนหลังเรยี น
เรอื่ ง การอนรุ ักษพ์ ฒั นาแกไ้ ขปัญหาทรัพยากรส่ิงแวดล้อม
ก่อนเรียน หลังเรยี น
N X S.D. X S.D. t p
37 11.50 3.32 27.32 1.57 -31.98 .024*
*P < 0.05
จากตารางท่ี 2 นกั เรียนมผี ลสัมฤทธทิ์ างการเรียนหลังเรยี นสงู กวา่ ก่อนเรียนอย่างมนี ัยสาคญั ทางสถิติ
ทร่ี ะดับ .05
1.3 ผลการทดสอบทกั ษะในการแก้ปญั หา สรุปผลดังแสดงในตารางที่ 3
161
วารสารการวิจยั การศึกษาขั้นพืน้ ฐาน
ฉบับปฐมฤกษ์ (กรกฎาคม - ธันวาคม 2564)
ตารางท่ี 3 แสดงผลตา่ งระหวา่ งคะแนนการทดสอบวดั ทกั ษะในการแก้ปัญหาก่อนเรียนและหลงั เรียน
ของนกั เรียนกลมุ่ ตวั อย่าง
ก่อนเรยี น หลังเรยี น
N X S.D. X S.D. t p
37 10.62 2.29 21.12 3.11 -18.59 0.00
*P < 0.01
จากตารางท่ี 3 นักเรยี นมีทักษะในการแกป้ ญั หาหลังเรียนสูงกว่ากอ่ นเรยี นอย่างมนี ยั สาคญั ทางสถิติ
ที่ระดับ .01
1.4 ผลการศึกษาความพงึ พอใจของกลุ่มตวั อย่าง ดงั แสดงในตารางที่ 4
ตารางท่ี 4 สรปุ ค่าเฉลีย่ และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของคะแนนความพึงพอใจของนกั เรยี นท่ีมีต่อ
กิจกรรมการเรียนรู้ดว้ ยกระบวนการ QSCCS โดยใชส้ ่อื สังคมออนไลน์ฯ
รายการสอบถาม X S.D. แปลผล
ดา้ นเนื้อหา 4.39 0.71 มาก
ด้านกิจกรรมการเรยี นการเรียนรู้ 4.65 0.66 มากที่สดุ
ดา้ นประโยชน์ของกิจกรรมการเรียนร้ดู ว้ ยกระบวนการ QSCCS 4.63 0.46 มากทสี่ ดุ
โดยใชส้ ่ือสงั คมออนไลน์ฯ
รวม 4.55 0.61 มากท่สี ุด
จากตารางที่ 4 พบว่า ความพึงพอใจของนักเรียนทมี่ ีตอ่ กิจกรรมการเรยี นรู้ด้วยกระบวนการ
QSCCS โดยใช้ส่ือสังคมออนไลน์ฯภาพโดยรวมอยู่ในระดับมากท่สี ุด ( X = 4.55, S.D. = 0.61)
การอภปิ รายผลการวิจยั ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนกลุ่มตัวอย่าง
หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสาคัญทาง
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การอนุรักษ์
พัฒนาแก้ไขปัญหาทรัพยากรสิ่งแวดล้อม พบว่า สถิติท่ีระดับ .05 ที่เป็นเช่นน้ีอาจเป็นเพราะใน
162
วารสารการวิจัยการศึกษาข้ันพืน้ ฐาน
ฉบับปฐมฤกษ์ (กรกฎาคม - ธันวาคม 2564)
ร ะ ห ว่ า ง เ รี ย น นัก เ รี ย น ไ ด้ ศึ ก ษ า เ นื้ อ ห า ส า ร ะ ใน 2) การสืบค้นความรู้และสารสนเทศ 3) การสร้าง
กิจกรรมออนไลน์อย่างละเอียด มีการนาชุด องค์ความรู้ 4) การส่ือสารและนาเสนอ และ
5) การบรกิ ารสงั คมและจิตสาธารณะ โดยครผู ูส้ อน
เคร่ืองมือของ Google app เป็นเคร่ืองมือสืบค้น สามารถนาเอาส่ือสังคมออนไลน์ (Social Media)
ข้อมูลสารสนเทศ และใช้สร้างเครื่องมือสาหรับลง ท่ีมีอยู่อย่างหลากหลายมาประยุกต์เป็นเครื่องมือ
ในการจัดกิจกรรม และเลือกใช้สื่อสังคมออนไลน์
มือแก้ปัญหา เป็นระบบอย่างต่อเนื่องเข้าใจง่าย เช่นเฟสบุ๊ค (Facebook) กูเก้ิลไดร์ (Google
เช่ือมโยงไปเว็บไซต์อ่ืน ๆ รวมทั้ง มีสื่อการเรียนรู้ Drive) สไลด์แชร์ (Slide Share) ยูทูป (You
ในรูปแบบของ คลิป VDO ทาให้นักเรียนเกิด Tube) ส่ือเหลา่ น้ีจะช่วยเพิม่ ประสทิ ธิภาพของการ
จัดการเรียนสอนให้ดีมากย่ิงขึ้น และทิพรัตน์
ความรู้ความเข้าใจในเนื้อหาสาระการเรียนรู้อย่าง สทิ ธิวงศ์ และทะเนศ วงศ์นาม (2557) ไดศ้ กึ ษาผล
ละเอียดครบถ้วนและเนื้อหาสอดคล้องกับปัญหา การใช้กิจกรรมการเรียนการสอนด้วยบันได 5 ขั้น
(QSCCS) สาหรับนิสิตปริญญาโท สาขาเทคโนโลยี
ส่ิงแวดล้อมท่ีเกิดขึ้นในโรงเรียนหรือชุมชนของ และสื่อสารการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์
ตนเอง ดงั ที่ วภิ าวรรณ ถิน่ จนั ทร์ และคณะ (2560) มหาวิทยาลัยนเรศวร พบว่า 1) นิสิตปริญญาโท
กลา่ วว่า การใช้ส่อื สังคมออนไลน์เพอ่ื การเรียนการ สาขาเทคโนโลยแี ละสอื่ สารการศึกษา มผี ลสมั ฤทธ์ิ
ทางการเรยี นรายวิชาบูรณาการเทคโนโลยีเพ่ือการ
สอนสามารถจูงใจให้ผู้เรียนเรียนรู้ด้วยตนเอง จัดการเรียนรู้หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมี
เสรมิ สรา้ งการเรยี นรู้แบบมีส่วนร่วม ทั้งน้เี พราะว่า นัยสาคญั ทางสถิตทิ ร่ี ะดบั .05 2) พฤตกิ รรมการใช้
กิจกรรมการเรียนรู้กระบวนทัศน์บันได 5 ขั้น
ส่ือสังคมออนไลน์ ประกอบด้วยช่องทางท่ีอานวย
คว ามสะ ดว ก ให้ผู้ใช้สาม าร ถ สร้ าง เ นื้ อ ห า QSCCS ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก ( =2.85,
เกร็ดความรู้ต่างๆ ทั้งในรูปแบบข้อความ ประกอบด้วย
= .09) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า
ภาพและเสียง รวมทั้งภาพเคลื่อนไหว แล้วนาไป ด้านการสืบค้นความรู้และสารสนเทศ (Learn to
โพสต์แบง่ ปนั เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และการแสดง Search: S) โ ด ย ภ า พ ร ว ม อ ยู่ ใ น ร ะ ดั บ ม าก
ความคิดเห็นได้ดี สอดคล้องกับงานวิจัยของ ( =3.00, = .00) ด้านการสร้างองค์ความรู้
วณิชชา แม่นยา และทิพรัตน์ สิทธิวงศ์ (2557) (Learn to Construct: C) โดยภาพรวมอยู่ใน
ท่ีศึกษาการจัดการเรียนรู้ตามเป้าหมายบันได
ระดบั มาก ( =2.88, = .14) ในดา้ นการสื่อสาร
5 ข้ัน (QSCCS) ดว้ ยสื่อสังคมออนไลน์ สาหรบั การ และนาเสนออย่างมีประสิทธิภาพ (Learn to
เสริมสร้างศกั ยภาพเพอ่ื การเรยี นรู้ในศตวรรษท่ี 21 Communicate: C) โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก
พบว่า ในปัจจุบันควรจัดกระบวนการเรียนรู้ให้ ( =2.92, = .13) ด้านการบริการสังคมและ
ผู้เรียนเกิดทักษะการเรียนรู้ท่ีสอดคล้องกับยุค จิตสาธารณะ (Learn to Serve: S) โดยภาพรวม
ศตวรรษท่ี 21 ซึ่งกระบวนการเรียนรู้ เป้าหมาย
อยู่ในระดับมาก ( =3.00, = .00) และ
บันไดห้าขั้น (QSCCS) เป็น การเรียนรู้ประยุกต์ ด้านการต้ังคาถาม (Learn to Question : Q)
เอาทักษะท่ีสาคัญทางวิทยาศาสตร์ ในด้านการตั้ง
163
คาถาม การให้ความสาคัญกับหลักฐาน การสร้างคา
อธิบายจากข้อมูล หรือหลักฐานที่มีเชื่อมโยง
คาอธิบายไปสู่องค์ความรู้ และการส่ือสารองค์
ความรู้ไปยงั บคุ คลอนื่ อย่างมเี หตุผล ซ่งึ มลี าดับการ
จัดการเรียนการสอน 5 ขัน้ ไดแ้ ก่ 1) การตั้งคาถาม
วารสารการวิจยั การศึกษาขนั้ พืน้ ฐาน
ฉบบั ปฐมฤกษ์ (กรกฎาคม - ธนั วาคม 2564)
โดยภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง ( =2.46, และกันในการสืบค้นประเด็นปัญหาที่นักเรียน
สนใจโดยใช้เครื่องมือของชุด Google app ทาให้
= .37) นั ก เ รี ย น เ กิ ด ค ว า ม ช า น า ญ ใ น ก า ร ป ร ะ ยุ ก ต์ ใ ช้
ผ ล ก า ร ท ด ส อ บ ทั ก ษ ะ ใ น ก า ร แ ก้ ปั ญ ห า เครื่องมือต่างๆ ไปใช้ ในการจัดกิจกรรมแก้ปัญหา
ได้อยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพเพิ่มมากขน้ึ
พบว่า ทักษะในการแก้ปัญหาของนักเรียนหลัง
เรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ี ความพึงพอใจต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้
ระดับ .01 ทาให้สามารถพัฒนาความสามารถในการ ในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ท้ังนี้อาจเป็น
แก้ปัญหาของนักเรียนได้ และสามารถนาไปใช้ เพราะส่ือสังคมออนไลน์อาศัยคุณสมบัติของ
จดั การเรียนการสอนได้จรงิ เปน็ ผลให้กจิ กรรมการ เทคโนโลยีเว็บ 2.0 ในยุคปัจจุบันส่งผลให้เกิดการ
เรียนรู้ด้วยกระบวนการ QSCCS โดยใช้ส่ือสังคม สนบั สนุน สง่ เสริม และสามารถประยุกต์คณุ สมบัติ
ออนไลน์ บรรลุผลตามวัตถุประสงค์ตามท่ีต้ังไว้ เหลา่ น้ันมาใชใ้ นการเรยี นการสอนให้เกิดประโยชน์
สอดคล้องกับ รูปแบบการเรียนบนเว็บแบบ สูงสุดได้ โดยกิจกรรมการเรียนการสอนท้ังหมด
ผสมผสานดว้ ยวิธกี ารเรียนออนไลน์และในช้ันเรียน ดาเนินการผ่านส่ือสังคมออนไลน์ ในลักษณะของการ
ของ คชากฤษ เหล่ียมไธสงค์ (2554) รูปแบบ มี ส่ ว น ร่ ว ม ใ น ก า ร แ ล ก เ ป ลี่ ย น เ รี ย น รู้ ภ า ย ใ น ก ลุ่ ม
การเรียนการสอนบนเว็บแบบลดภาระทางปัญญา ระหว่างกลุ่ม และมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างสมาชิก
ของ วิลาวัณย์ จินวรรณ (2554) ระบบการเรียนรู้ ท้ังหมดในเครือข่าย สอดคล้องกับ Safran (2010)
ภควันตภาพแบบสร้างศกั ยภาพ โดยใช้ปัญหาเป็น ที่ได้ทาการสารวจการใช้สื่อสังคมออนไลน์ พบว่า
หลัก ของ นพดล ผู้มีจรรยา (2557) อยู่ในระดับ การใช้เว็บเป็นส่ือในการจัดการเรียนการสอนที่
เหมาะสมมากท่ีสุด ที่เป็นเช่นน้ีอาจเป็นเพราะว่า สนับสนุน การมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคม การเรียนรู้
แบบทดสอบวัดทักษะในการแก้ปัญหา ท่ีผู้วิจัย แบบร่วมมือ และการสร้างเครือข่าย ผู้เรียน
พัฒนาข้ึน ได้ผ่านกระบวนการประเมินคุณภาพ สามารถกาหนดเน้ือหาการเรียนได้ด้วยตนเอง ทา
จากผู้เช่ียวชาญด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ด้าน ให้การสื่อสารและการเรยี นร้รู ่วมกันระหวา่ งผู้เรียน
เนื้อหา และด้านการวัดผลประเมินผล คาถามที่ ผ่านสอื่ สงั คมออนไลน์มีประสิทธภิ าพเพิ่มมาก และ
นามาใช้จะเป็นสถานการณ์ท่ีเก่ียวข้องในชีวิตของ สอดคล้องกับงานวิจัยของ ทิพรัตน์ สิทธิวงศ์ และ
ผู้เรียนที่ประสบ ในการอธิบายปัญหา สาเหตุของ ศศิธร นาม่วงอ่อน (2560) ที่ได้พัฒนารูปแบบ
ปัญหา วัตถุประสงค์และแนวทางการแก้ไขปัญหา การเรียนการสอนตามแนวคิดการศึกษาอิงสถานที่
ท่ีเกิดขึ้นในชุมชนของตนเอง มาทดสอบกับผู้เรียน ร่วมกับกระบวนการ QSCCS สาหรับหลักสูตร
จึงทาให้ผู้เรียนเข้าใจได้ง่าย นอกจากน้ีการเรียน สถานศึกษาเพอื่ ส่งเสริมการเรียนรู้ในศตวรรษท่ี 21
ก า ร ส อ น บ น เ น้ื อ ห า อ อ น ไ ล น์ ( https: / / ของนักเรยี นในระดับมัธยมศึกษาผลการวิจัยพบว่า
classroom.google.com) ซึ่งจะมีกิจกรรมให้ นักเรียนมีความพึงพอใจต่อรูปแบบการเรียนการ
ผู้เรียนได้ศึกษาภาคทฤษฎีและลงมือปฏิบัติจริง สอนตามแนวคิดการศึกษาอิงสถานที่ร่วมกับ
ด้วยการทากิจกรรมกลุ่ม แก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมใน
โ ร ง เ รี ย น ห รื อ ชุ ม ช น ท่ี นั ก เ รี ย น ไ ด้ ร่ ว ม มื อ กั น 164
แบ่งบทบาทหน้าท่ี รับผิดชอบและช่วยเหลือซ่งึ กัน
วารสารการวิจยั การศึกษาขัน้ พื้นฐาน
ฉบับปฐมฤกษ์ (กรกฎาคม - ธนั วาคม 2564)
กระบวนการ QSCCS โดยรวมอยูใ่ นระดับมากทีส่ ุด ไปใช้ ควรมีการประชุม ชี้แจง และทาความเข้าใจ
ขอ้ เสนอแนะ เก่ียวกับวิธีการและรูปแบบ การเรียนการสอนให้
ครูและผูท้ เี่ กีย่ วข้องเห็นถงึ ประโยชน์ท่ีจะไดร้ ับจาก
1) สถานศึกษาท่ีนากิจกรรมการเรียนรู้ดว้ ย
กระบวนการ QSCCS โดยใช้สื่อสังคมออนไลน์ฯ การนากิจกรรมการเรียนรู้ไปใช้ซ่ึงจะทาให้เกิด
ไปใช้ ควรมกี ารเตรียมความพร้อม ทีจ่ าเปน็ ตอ่ การ ประสิทธภิ าพสงู สุดแกผ่ ู้เรยี นโดยตรง
จัดการเรียนการสอน เช่น มีห้องปฏิบัติการ
คอมพิวเตอร์ มีระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต และ 3) ควรมกี ารศกึ ษาวิจัยถงึ การพัฒนาการคิด
ค ว ร ฝึ ก อ บ ร ม ใ ห้ นั ก เ รี ย น มี ค ว า ม รู้ ค ว า ม เ ข้ า ใ จ
ในการใช้เครอื่ งมอื ทางเทคโนโลยสี ารสนเทศ ในลักษณะอ่ืนๆ เช่น การคิดอย่างมีวิจารญาณ
การคิดสร้างสรรค์ โดยเฉพาะการคิดเกี่ยวกับ
2) สถานศึกษาท่ีจะนากิจกรรมการเรียนรู้
ด้วยกระบวนการ QSCCS โดยใช้สือ่ สังคมออนไลน์ การรู้คิด (Metacognition) ของผู้เรียนที่เรียนโดย
ใช้กิจกรรมการเรียนรู้ด้วยกระบวนการ QSCCS
โดยใชส้ อ่ื สงั คมออนไลน์
เอกสารอ้างองิ
กระทรวงศกึ ษาธกิ าร. (2551). หลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551.
กรุงเทพฯ : โรงพมิ พช์ มุ นมุ สหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย.
กนก จันทร์ทอง. (2559). การสอนสงั คมศึกษาในศตวรรษท่ี 21 ค้นเม่อื 25 กนั ยายน 2560, จาก
https://doi.nrct.go.th//ListDoi/listDetail?Resolve_DOI=10.14456/asj-psu.2017.40
คชากฤษ เหลี่ยมไธสง. (2554). การพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนบนเว็บแบบผสมผสานโดยใช้
กระบวนการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์เพื่อพัฒนาความคิดสร้างสรรค์และการคิดแก้ปัญหาของนิสิต
ระดับอุดมศึกษา. วิทยานิพนธป์ ริญญาปรัชญาดษุ ฎบี ัณฑิต สาขาวชิ าเทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม.
จารณุ ี มณกี ุล. (2550). ไฮไฟว์ระบบเครือข่ายทางสังคมสาหรับชมุ ชนแหง่ ความรู้.
เชียงใหม่ : คณะศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เชียงใหม.่
ทิพรัตน์ สิทธิวงศ์ และทะเนศ วงศ์นาม. (2557). การใช้กิจกรรมการเรียนการสอนด้วยบันได 5 ขั้น
(QSCCS). สาขาเทคโนโลยีและส่ือสารการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร.
วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลยั นเรศวร, 18 (4).
ทพิ รัตน์ สิทธวิ งศ์ และศศิธร นาม่วงอ่อน. (2560). การพัฒนารูปแบบการเรยี นการสอนตามแนวคดิ
การศกึ ษา อิงสถานท่ีร่วมกับกระบวนการ QSCCS สาหรับหลกั สตู รสถานศกึ ษาเพื่อสง่ เสรมิ
การเรียนรใู้ นศตวรรษท่ี 21 ของนักเรยี นในระดับมธั ยมศึกษา. พษิ ณโุ ลก: คณะศกึ ษาศาสตร์
มหาวทิ ยาลัยนเรศวร.
165
วารสารการวิจัยการศึกษาขนั้ พื้นฐาน
ฉบับปฐมฤกษ์ (กรกฎาคม - ธนั วาคม 2564)
นภดล ผูม้ ีจรรยา. (2557). ระบบการเรียนรู้ภควันตภาพแบบสร้างศักยภาพโดยใชป้ ญั หาเปน็ หลกั
เพือ่ ส่งเสริมทกั ษะการแกป้ ญั หาและการรับรบู้ รบิ ท. วทิ ยานพิ นธ์ปรญิ ญาปรัชญาดุษฎบี ัณฑิต
สาขาวิชาเทคโนโลยเี ทคนคิ การศึกษา บัณฑติ วทิ ยาลัย มหาวิทยาลยั เทคโนโลยพี ระเจ้าเกล้า
พระนครเหนือ.
พระครูพรหมเขตคณารกั ษ.์ (2556). การพัฒนาครูเพือ่ ออกแบบจดั กิจกรรมพฒั นาผู้เรียนด้านการคิด
แบบโยนิโสมนสกิ ารตามหลกั อรยิ สัจ 4 ของโรงเรยี นพระปริยัตธิ รรม แผนกสามญั ศึกษา.
วทิ ยานพิ นธป์ รญิ ญาศกึ ษาศาสตรดุษฎบี ณั ฑิต สาขาวิชาการบรหิ ารการศกึ ษา คณะศกึ ษาศาสตร์
มหาวทิ ยาลยั วงษ์ชวลิตกุล.
พมิ พพ์ ันธ์ เตชะคุปต.์ (2557). การจดั การเรียนร้ใู นศตวรรษท่ี 21. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์แหง่ จุฬาลงกรณ์
มหาวทิ ยาลัย.
พิมพันธ์ เดชะคปุ ต์ และพเยาว์ ยินดีสขุ . (2558). การจดั การเรยี นรใู้ นศตวรรษที่ 21. (พมิ พค์ รงั้ ที่ 2).
กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยั .
วณชิ ชา แม่นยา และ ทิพรตั น์ สิทธวิ งศ์. (2557). การจัดการเรยี นรู้ตามเปา้ หมายบนั ได 5 ขน้ั (QSCCS)
ด้วยสอ่ื สงั คม ออนไลน์ สาหรบั การเสรมิ สรา้ งศกั ยภาพเพอื่ การเรียนรู้ในศตวรรษท่ี 21.
วารสารศกึ ษาศาสตร์ มหาวิทยาลยั ศิลปากร, 11(1,2).
วิจารณ์ พานิช. (2557). การสร้างการเรียนรสู้ ู่ศตวรรษท่ี 21 (พมิ พ์ครง้ั ท่ี 2). กรงุ เทพฯ : ส เจริญ การพมิ พ.์
วิลาวัณย์ จนิ วรรณ. (2554). รูปแบบการเรียนการสอนบนเวบ็ แบบลดภาระทางปญั ญา โดยใชเ้ ทคนิค
การแก้ปญั หาเชิงสรา้ งสรรค์ที่มีต่อการร้คู ิดและความคดิ สร้างสรรคข์ องนกั ศกึ ษาระดับปริญญาตร.ี
วิทยานิพนธ์ปรญิ ญาปรชั ญาดุษฎีบณั ฑติ สาขาวชิ าเทคโนโลยีเทคนคิ การศึกษา บณั ฑิตวิทยาลัย
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยพี ระจอมเกล้าพระนครเหนือ.
วีระ ไทยพานิช. (2551). 57 วธิ กี ารสอน. กรงุ เทพฯ : มหาวทิ ยาลยั รามคาแหง.
สาเรงิ บุญเรือง. (2549). การบริหารตามหลกั อริยสจั ส่ี. กรงุ เทพฯ: Sun printing.
สุวทิ ย์ มลู คา. (2547). กลยุทธ์...การสอนคดิ สร้างสรรค์. กรงุ เทพฯ : ภาพพมิ พ์.
สวทช. (2560). คลังศพั ท์ไทย. ค้นเมื่อ 25 กันยายน 2560, จาก http://dict.londo.com/
Search/Generation.
อังคณา ตุงคะสมิตและลัดดา ศิลาน้อย. (2558 ). การพัฒนารปู แบบกระบวนการศกึ ษาช้ันเรยี น (Lesson
Study) ดว้ ยการจดั การเรียนรู้แบบเปดิ (Open Approach) ในกลุ่มสาระการเรียนรู้ สงั คมศึกษา
ศาสนา และวฒั นธรรม ของนกั ศึกษาปฏบิ ตั กิ ารสอนใน สถานศึกษา สาขาวชิ าสังคมศึกษา คณะ
ศกึ ษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแกน่ . ค้นเม่อื 23 กันยายน 2560, จาก สบื คน้ จาก
https://rtt.kku.ac.th/ejournal/pa_upload_pdf/170020.pdf.
Bradon, D.P. & Hollingshead, A.B. (1999). Collaborative learning: theory and practice.
(S.R.Timothy). Pennsylvania: Information Science Publishing.
Chih-Hsiung, T. (2004). Online Collaborative Learning Communities: Twenty-One Designs
to Building Online. London: Libraries Unlimited.
166
วารสารการวิจัยการศึกษาขน้ั พื้นฐาน
ฉบับปฐมฤกษ์ (กรกฎาคม - ธันวาคม 2564)
Facione, P.A. (2007). Six steps to effective thinking and problem-solving. Retrieved June
13, 2012, from http://www.telacommunications.com/nutshell/cthinking7. htm
Limbach, B., Duron, R., Limbach, B., & Waugh, W. (2006). Critical thinking framework for any
discipline. International Journal of Teaching and Learning in Higher Education,
17(2), 160-166.
Safran, C. (2010). Social media in education. Ph.D. Dissertation, Institute for Information.
Sternberg, R.J. (2008). Cognitive Psychology. 5th ed. California : Wads Worth.
167
วารสารการวิจัยการศึกษาขนั้ พืน้ ฐาน
ฉบบั ปฐมฤกษ์ (กรกฎาคม - ธันวาคม 2564)
การวิจยั และพฒั นาโปรแกรมพัฒนาสมรรถนะครูดา้ นการสร้างบทเรยี นอเิ ล็กทรอนิกส์
ระดับชั้นมธั ยมศึกษาตอนตน้ ในโรงเรยี นขยายโอกาสทางการศกึ ษา
สังกัดสานักงานเขตพ้ืนท่กี ารศกึ ษาประถมศึกษาหนองบัวลาภู เขต 2
Research and development of teacher competency development programs
in creating electronic lessons Junior high school level in educational opportunity expansion schools
under the office of NongbaulamphuPrimary Educational Service Area 2
อดศิ ร โคตรนรินทร์*
เจยี มพล บญุ ประคม*
Adisorn Khotnarin
Jiampol Boonprakom
บทคดั ยอ่
การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมายเพอื่ 1) เพ่ือศึกษาสมรรถนะของครดู ้านการสรา้ งบทเรียนอิเล็กทรอนกิ ส์
2) เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพอันพึงประสงค์และความต้องการจาเป็นในการพัฒนาสมรรถนะครู
ด้านการสร้างบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ 3) เพื่อพัฒนาโปรแกรมพัฒนาสมรรถนะครูด้านการสร้างบทเรียน
อิเล็กทรอนิกส์ 4) เพื่อศึกษาประสิทธิผลของการนาโปรแกรมพัฒนาสมรรถนะครูด้านการสร้างบทเรียน
อิเล็กทรอนิกส์ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ครูผู้สอนระดับช้ันมัธยมศึกษาตอนต้น จานวน 66 คน เคร่ืองมือท่ีใช้วิจัย
คร้ังนี้ แบ่งออกเป็น 1) เครื่องมือที่เป็นนวัตกรรม ได้แก่ โปรแกรมพัฒนาสมรรถนะครูด้านการสร้างบทเรยี น
อเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ และ 2) เคร่ืองมอื ทใ่ี ช้เก็บรวบรวมขอ้ มูล ได้แก่ แบบสอบถาม และแบบประเมนิ แบบสอบถาม
สภาพปัจจุบัน สภาพ อันพึงประสงค์ของคุณลักษณะและตัวบ่งชี้สมรรถนะครูด้านการสร้างบทเรียน
อิเล็กทรอนิกส์ แบบประเมินความเหมาะสมคุณลักษณะและตัวบ่งชี้ของสมรรถนะครูด้านการสร้างบทเรียน
อิเล็กทรอนิกส์ โปรแกรมพฒั นาสมรรถนะครูดา้ นการสร้างบทเรียนอเิ ล็กทรอนิกส์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ
คา่ เฉลยี่ ร้อยละ สว่ นเบี่ยงเบนมาตรฐาน
ผลการวิจัยพบว่า 1) ครูผู้สอนระดับมัธยมศึกษาตอนต้นในโรงเรียนขยายโอกาส มีสมรรถนะ 3 ด้าน
30 ตวั บง่ ช้ี คือ ดา้ นความรู้มี 10 ตัวบง่ ชี้ ดา้ นการแสดงออกมี 10 ตวั บง่ ชี้ และดา้ นความสามารถมี 10 ตัวบ่งช้ี
2) ครูผู้สอนระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ในโรงเรียนขยายโอกาส มีสภาพปัจจุบันเก่ียวกับสมรรถนะครู
ด้านการสร้างบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ ด้านความรู้ ด้านการแสดงออก และด้านความสามารถ โดยรวมอยู่ใน
ระดับปานกลาง มีสภาพที่พึงประสงค์เก่ียวกับสมรรถนะครูด้านการสร้างบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ ด้านความรู้
ด้านการแสดงออกและด้านความสามารถ โดยรวมอยู่ในระดับมาก มีความต้องการจาเป็นในการพัฒนา
สมรรถนะครูด้านการสร้างบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ เรียงลาดับความต้องการจาเป็นจากมากไปหาน้อย ได้แก่
ดา้ นความสามารถด้านความรู้ และดา้ นการแสดงออก 3) โปรแกรมพัฒนาสมรรถนะครูดา้ นการสร้างบทเรียน
อิเล็กทรอนิกส์ประกอบดว้ ย ความเปน็ มาของโปรแกรม หลักการของโปรแกรม จุดหมายของโปรแกรม สาระ
* ศึกษานิเทศก์ชานาญการพิเศษ, สานักงานเขตพ้ืนท่ีการศกึ ษาประถมศึกษาหนองบวั ลาภู เขต 2
Senior Professional Level Supervisor. Nongbaulamphu Primary Educational Service Area Office 2
168
วารสารการวิจยั การศึกษาข้นั พืน้ ฐาน
ฉบบั ปฐมฤกษ์ (กรกฎาคม - ธนั วาคม 2564)
ที่ใช้ในการพัฒนา 4) ผลของการนาโปรแกรมพัฒนาสมรรถนะครูด้านการสร้างบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ไปใช้
พบว่าครูผู้สอนระดับมัธยมศึกษาในโรงเรียนขยายโอกาส มีคะแนนก่อนพัฒนา ได้คะแนนเฉลี่ย 23.36 จาก
คะแนนเต็ม 40 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 58.41 และมีคะแนนหลังการพัฒนาได้คะแนนเฉล่ีย 33.83
จากคะแนนเต็ม 40 คะแนน คิดเป็นรอ้ ยละ 84.58 แสดงว่าครผู ู้สอนระดบั มธั ยมศกึ ษาในโรงเรยี นขยายโอกาส
มีคะแนนหลังการพัฒนาสูงกว่าก่อนการพัฒนา ผลการประเมินทักษะการสอนหลังการพัฒนาสมรรถนะครู
ดา้ นการสร้างบทเรยี นอเิ ล็กทรอนกิ ส์ ระดับมัธยมศกึ ษาตอนต้นในโรงเรยี นขยายโอกาสโดยรวมอยใู่ นระดบั มาก
และผลการวัดเจตคติของครูต่อโปรแกรมพัฒนาสมรรถนะครู ด้านการสร้างบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ โดยรวม
อยู่ในระดับมากทีส่ ดุ
คาสาคัญ : โปรแกรมพัฒนา/ สมรรถนะคร/ู บทเรยี นอเิ ล็กทรอนกิ ส์
Abstract
This research aims 1) to study teacher competencies in creating electronic lessons
2) to study current conditions the desirable condition and the need for teacher competency
development in the creation of electronic lessons 3) to develop a program for developing
teacher competency and 4) to study the effectiveness of implementing a teacher competency
development program in creating electronic lessons. The sample consisted of 66 lower
secondary school teachers. “ Research tools included a questionnaire of current condition,
desirable condition and indicators of teacher competency in creating electronic lessons, an
evaluation form for teacher competency and indicators of teacher competency in creating
electronic lessons, and teacher competency development programs in creating electronic
lessons”. The data was analyzed by means, standard deviation and percentage.
The results of the research showed that 1) the lower secondary school teachers had
3 competencies, 30 indicators were knowledge had 10 indicators, expression had 10 indicators
and competency had 10 indicators. 2) lower secondary school teachers, there was a current
state of the teacher competency in the creation of electronic lessons, knowledge and
expression and ability overall was at a moderate level. There was a desirable condition about
teacher competency in creating electronic lessons, knowledge and expression and ability
overall was at a high level. There was a need for the development of teacher competency in
creating electronic lessons sort the needs in descending order: competence, knowledge, and
expression. 3) The teacher competency development program for creating electronic lessons
consisted of the background of the program. Principles program destination substance used
in development 4) The results of the implementation of the teacher competency
development program for creating electronic lessons were found that secondary school
169
วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน
ฉบบั ปฐมฤกษ์ (กรกฎาคม - ธนั วาคม 2564)
teachers study in school, expand opportunities and have points before development which
the average score was 23. 36 out of 40 points, representing 58. 41 percent and the post-
development score was 33.83 out of 40 points, representing 84.58 percent. The scores after
were higher than before development. The results of teaching skills evaluation after teacher
competency development in creating electronic lessons were the lower secondary school
level in the school broadened the overall opportunities to a large extent. And the results of
measuring teachers attitudes towards teacher competency development programs in creating
electronic lessons overall at the highest level
Keywords : Development program / Teacher Competencies/ Electronic lessons.
บทนา ส่งผลให้มีการนาการจัดการเรียนการสอนรูปแบบใหม่
อย่างอีเลิร์นนิง (E-learning) หรือที่เรียกว่า
การปฏิรูปเพ่อื พฒั นาคุณภาพครูยุคใหม่ให้มี บทเรียน อิเล็กทรอนิกส์ เข้ามาใช้เพ่ือให้ผู้เรียน
บทบาทช่วยเสริมสร้างให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ สามารถเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซ่ึงการ
ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพ่ือการเรียน
สามารถจัดการเรียนการสอนได้อย่างมีคุณภาพ การสอนในรูปแบบนี้จะช่วยให้ผู้เรียนมีความต่ืนตัว
และสามารถพัฒนาตนเองและแสวงหาความรู้ กระตือรือร้นในการแสวงหาความรู้อยู่ตลอดเวลา
อย่างต่อเนื่อง ดังนั้น มาตรการและแนวทาง (พงษ์ศักดิ์ ผกามาศ, 2553 : 111) สภาพการณ์
ทางการจัดการเรียนรู้ท่ีผ่านมาพบว่า การพัฒนา
ของ ก าร ยก ร ะ ดับก าร พัฒ น าคุณภา พ แ ล ะ สมรรถนะวิชาชีพครูยังต้องมีการพัฒนาอีกมาก
ประสิทธิภาพของวิชาชีพแห่งความเป็นครูจึงถูก กล่าวกันว่าการพัฒนาครูน้ันนอกจากจะพิจารณา
บรบิ ทสงั คมที่เปลี่ยนแปลงแล้วจะตอ้ งมีการพัฒนา
กาหนดขึ้นในหลากหลายกลยุทธ์ เพ่ือนามา สมรรถนะครูด้วย สภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป
ซง่ึ ความสาเรจ็ ของการปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษ อย่างรวดเร็วในปัจจุบันทาให้ครูต้องพัฒนาตนเอง
ท่ีสองในปัจจุบัน โดยเฉพาะการกาหนดสมรรถนะ ใหม้ ีสมรรถนะทีส่ ูงขึ้น
เชิงวิชาชีพในระดับต่าง ๆ จะเป็นประเด็นสาคัญ สานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา
ของการสร้างประสิทธิภาพ ในการพัฒนาศาสตร์ หนองบัวลาภู เขต 2 มีการกาหนดแนวทางพฒั นา
สมรรถนะครูโดยการอบรมสรา้ งความรู้ความเข้าใจ
แห่งความเป็นครูใหบ้ รรลผุ ลสอดรบั กบั สถานการณ์ ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศอย่างต่อเน่ือง แต่จาก
และบริบททางสังคมที่เปลี่ยนแปลงในปัจจุบัน การนิเทศติดตาม ด้านการจัด การเรียนรู้ โดยใช้
ท้ังนี้ เพื่อสร้างและพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้ก้าว เทคโนโลยีสารสนเทศ พบว่า ครูยังไม่สามารถนา
เทคโนโลยีมาใช้ในการจัดการเรียนการสอนได้
ไปในสังคมแห่งการเรยี นรู้ยุคใหม่ได้อยา่ งมีศักดศ์ิ รี
(เมธี คชาไพร, 2558 : 3 – 4 ) 170
ปัจจุบันมีการนาเทคโนโลยีสารสนเทศและ
การส่ือสารมาช่วยในการพัฒนาการศึกษา โดยใช้
สนับสนุนการศึกษา นาเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาเป็น
ส่ือกลาง อาทิ เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ เทคโนโลยี
สารสนเทศ เทคโนโลยีการสื่อสาร เทคโนโลยดี จิ ิทัล
วารสารการวิจัยการศึกษาขน้ั พื้นฐาน
ฉบบั ปฐมฤกษ์ (กรกฎาคม - ธันวาคม 2564)
อย่างเป็นรูปธรรม และมีบทบาทในกระบวนการเรียน ระยะท่ี 1 การศึกษาคุณลักษณะของครู
การสอนและมีประสิทธิภาพเพิ่มมากข้ึน ดังนั้น ดา้ นการสรา้ งบทเรยี นอเิ ลก็ ทรอนิกส์ ประกอบดว้ ย
ผู้วิจัยจึงสนใจที่จะวิจัยโปรแกรมพัฒนาสมรรถนะ 2 ขนั้ ตอน ดังนี้
ครูด้านการสร้างบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ในการ
จัดการเรียนการสอน ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ขั้นตอนที่ 1 สังเคราะห์เอกสารและ
สาหรับโรงเรียนขยายโอกาส สานักงานเขตพื้นที่ งานวิจัยท่ีเก่ียวข้องกับคุณลักษณะและตัวบ่งช้ี
การศึกษาประถมศึกษาหนองบัวลาภู เขต 2 ของครู ด้านการสร้างบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์
ระดับมธั ยมศึกษาตอนต้นในโรงเรยี นขยายโอกาส
วตั ถุประสงค์การวจิ ยั
1. เพอื่ ศึกษาสมรรถนะของครดู า้ นการสร้าง ข้ันตอนที่ 2 ผู้ทรงคุณวุฒิประเมิน
ความเหมาะสมคุณลักษณะและตัวบ่งชี้ท่ีต้องการ
บทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ ระดับมัธยมศึกษาตอนตน้ ของครู ดา้ นการสร้างบทเรยี นอเิ ลก็ ทรอนิกส์ระดับ
ในโรงเรียนสังกัดสานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษา มัธยมศึกษาตอนต้นในโรงเรียนขยายโอกาส
ประถมศึกษาหนองบวั ลาภู เขต 2
ระยะท่ี 2 ศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพอัน
2. เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพอัน พึงประสงค์และความต้องการพัฒนาสมรรถนะครู
พึงประสงค์ และความต้องการจาเปน็ ในการพัฒนา ดา้ นการสรา้ งบทเรียนอเิ ล็กทรอนิกส์ ประกอบดว้ ย
สมรรถนะครูด้านการสร้างบทเรียนอิเล็กทรอนกิ ส์ 2 ขั้นตอน ดงั น้ี
ร ะ ดั บ มั ธ ย ม ศึ ก ษ า ต อ น ต้ น ใ น โ ร ง เ รี ย น สั ง กั ด
สานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึก ษา ข้นั ตอนที่ 1 นาขอ้ มลู ท่ไี ด้จากการศึกษา
หนองบัวลาภู เขต 2 ในระยะท่ี 1 มาสร้างแบบสอบถามความต้องการ
ในการพัฒนาสมรรถนะครูด้านการสร้างบทเรียน
3. เพื่อพัฒนาโปรแกรมพัฒนาสมรรถนะครู อิเล็กทรอนิกส์
ด้านการสร้างบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ ระดับมัธยม
ศึกษาตอนต้น ในโรงเรียนสังกัดสานักงานเขตพ้นื ที่ ขั้นตอนที่ 2 ศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพ
การศกึ ษาประถมศึกษาหนองบวั ลาภู เขต 2 อันพึงประสงคแ์ ละความต้องการพฒั นาตนเอง
4. เพื่อศึกษาประสิทธิผลของการนา ระยะท่ี 3 การพัฒนาโปรแกรมพัฒนา
โ ป ร แ ก ร ม พั ฒ น า ส ม ร ร ถ น ะ ค รู ด้ า น ก า ร ส ร้ า ง สมรรถนะครูด้านการสร้างบทเรียนอิเล็กทรอนกิ ส์
บทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ประกอบดว้ ย 2 ข้ันตอน ดงั นี้
ในโรงเรียนสังกัดสานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษา
ประถมศึกษาหนองบวั ลาภู เขต 2 ขั้น ตอ น ท่ี 1 ร่าง โ ปร แกรมพัฒนา
สมรรถนะครูด้านการสร้างบทเรียนอิเล็กทรอนกิ ส์
วิธดี าเนนิ การวจิ ัย และรา่ งค่มู อื โปรแกรมพัฒนาสมรรถนะครู
การวิจัยคร้ังน้ีเป็นการวิจัย และพัฒนา
ขั้นตอนที่ 2 ตรวจสอบความเหมาะสม
( Research and Development) ก า ร วิ จั ย และความเป็นไปไดข้ องโปรแกรมพฒั นาสมรรถนะ
แบง่ ออกเป็น 4 ระยะ ตามลาดบั ดังน้ี ครู โดยผู้ทรงคุณวุฒิ จานวน 10 คน ตรวจสอบ
ความเหมาะสมและความเป็นไปได้
ขั้นตอนท่ี 3 ปรับปรุงร่างโปรแกรมและ
คู่มือโปรแกรมพัฒนาสมรรถนะครูด้านการสร้าง
บทเรียนอิเลก็ ทรอนกิ ส์
171
วารสารการวิจยั การศึกษาขัน้ พืน้ ฐาน
ฉบับปฐมฤกษ์ (กรกฎาคม - ธนั วาคม 2564)
ระยะที่ 4 การศึกษาประสิทธิผลขอ ง 1. เคร่ืองมือท่ีเป็นนวัตกรรม ได้แก่
โ ป ร แ ก ร ม พั ฒ น า ส ม ร ร ถ น ะ ค รู ด้ า น ก า ร ส ร้ า ง
โ ป ร แ ก ร ม พั ฒ น า ส ม ร ร ถ น ะ ค รู ด้ า น ก า ร ส ร้ า ง บทเรียนอิเล็กทรอนิกส์และคู่มือโปรแกรมพัฒนา
บทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ ท่ีพัฒนาขึ้นไปใช้ประกอบ สมรรถนะครูด้านการสร้างบทเรียนอิเล็กทรอนกิ ส์
ดว้ ย 2 ขัน้ ตอน ดังนี้ โดยแบ่งเป็น 7 หน่วย ได้แก่ หน่วยท่ี 1 การจัด
การเรียนการสอนแบบ E-Learning และการ
ขั้นตอนท่ี 1 กาหนดกลุ่มตัวอย่าง ปรับปรุงการพัฒนา หน่วยท่ี 2 โปรแกรม LMS
ใ น ก า ร น า โ ป ร แ ก ร ม พั ฒ น า ส ม ร ร ถ น ะ ค รู ด้ า น Moodle หน่วยที่ 3 การใช้งาน LMS Moodle
สาหรับผู้ดูแลระบบ หน่วยที่ 4 การใช้งาน LMS
การสรา้ งบทเรยี นอเิ ลก็ ทรอนิกส์ ระดบั มธั ยมศกึ ษา Moodle สาหรับครู-อาจารย์ หน่วยที่ 5 การใช้
ตอนต้นในโรงเรียนขยายโอกาส ไปใช้กับครูผู้สอน งาน LMS Moodle สาหรับผู้เรียน หน่วยที่ 6
ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ในโรงเรยี นขยายโอกาส การ Download Program และการใช้งาน LMS
Moodle บนอปุ กรณส์ ่ือสารแบบพกพา หน่วยท่ี 7
สังกัดสานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาประถมศึกษา การจัดการเรียนการสอนแบบ E-Learning และ
หนองบัวลาภู เขต 2 จานวน 33 โรงเรียน โรงเรียนละ การปรบั ปรุงพัฒนา
2 คน รวมทั้งสนิ้ 66 คน โดยเลอื กแบบเจาะจง 2. เคร่ืองมือท่ีใช้ในการเก็บรวบรวม
ข้ันตอนท่ี 2 ประเมินผลการนาโปรแกรม ขอ้ มลู ได้แก่
พั ฒ น า ส ม ร ร ถ น ะ ค รู ด้ า น ก า ร ส ร้ า ง บ ท เ รี ย น 2.1 แบบประเมินความเหมาะสม
คุณลัก ษณะ และ ตัว บ่ง ชี้ขอ ง สมร ร ถ น ะ ค รู
อิเล็กทรอนิกส์ ในโรงเรียนขยายโอกาส สังกัด ดา้ นการสร้างบทเรยี นอิเลก็ ทรอนิกส์
สานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึก ษา
2. 2 แ บ บ ส อ บ ถ า ม ส ภ า พ ปั จ จุ บั น
หนองบัวลาภู เขต 2 ไปใช้ สภาพอันพึงประสงค์ของคุณลักษณะและตัวบ่งช้ี
ประชากรในงานวิจัยครั้งน้ี ได้แก่ ครูผู้สอน สมรรถนะครูด้านการสรา้ งบทเรยี นอิเล็กทรอนกิ ส์
ระดับช้ันมัธยมศึกษาตอนต้น สังกัดสานักงาน 2.3 แบบประเมินสมรรถนะครูด้านการ
สรา้ งบทเรยี นอิเลก็ ทรอนกิ ส์
เขตพ้ืนที่การศึกษาประถมศึกษาหนองบัวลาภู เขต 2
ปีการศึกษา 2561 ภาคเรียนที่ 2 จานวน 140 คน 2.4 แบบวัดเจตคติของครูต่อโปรแกรม
พั ฒ น า ส ม ร ร ถ น ะ ค รู ด้ า น ก า ร ส ร้ า ง บ ท เ รี ย น
กลุ่มตัวอย่างในงานวิจัยคร้ังน้ี ได้แก่ ครูผู้สอน อิ เล็ก ทร อ นิก ส์ ร ะ ดับมัธยมศึก ษาตอนต้น
ระดับช้ันมัธยมศึกษาตอนต้น สังกัดสานักงาน ในโรงเรียนขยายโอกาส
เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาหนองบัวลาภู เขต 2
2. 5 แ บ บ ป ร ะ เ มิ น ทั ก ษ ะ ก า ร จั ด
ปีการศึกษา 2561 ภาคเรียนท่ี 2 จานวน 66 คน การเรียนรูโ้ ดยการใช้บทเรียนอเิ ลก็ ทรอนกิ ส์
ได้มาโดยการเลอื กแบบเจาะจง โดยมเี กณฑใ์ นการ
1) แบบประเมินความเหมาะสม
คัดเลือก คือ ครูผู้สอนประจาชั้นระดับมัธยมศกึ ษา คุณลัก ษณะ และ ตัว บ่ง ช้ีขอ ง สมร ร ถ น ะ ค รู
ตอนต้น โรงเรียนละ 2 คน ในการวิจัยแต่ละ ด้านการสร้างบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ ตรวจสอบ
ขนั้ ตอนมีผู้ให้ขอ้ มูลดงั นี้
172
1) ผทู้ รงคุณวฒุ ิ จานวน 10 คน
2) ผู้บริหารสถานศกึ ษา จานวน 33 คน
3) ครูหวั หน้าวิชาการ จานวน 33 คน
เครอ่ื งมอื ที่ใช้ในการวิจัยครง้ั นี้ ประกอบดว้ ย
วารสารการวิจัยการศึกษาขน้ั พื้นฐาน
ฉบบั ปฐมฤกษ์ (กรกฎาคม - ธนั วาคม 2564)
ความเท่ียงตรงของเนื้อหา การหาค่า IOC (Index มธั ยมศึกษาตอนตน้ ในโรงเรียนขยายโอกาส สงั กัด
สานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึก ษา
of Item Objective Congruence) ค่ า ดั ช นี หนองบัวลาภู เขต 2 โดยได้ดาเนินการตาม
ความสอดคล้องระหว่าง 0.60 – 1.00 ลาดบั ขั้น ดังนี้
2) แบบสอบถามสภาพปัจจุบัน 1) ข้ันตอนท่ี 1 สังเคราะห์เอกสารและ
งานวิจัยที่เกย่ี วข้องกับคุณลักษณะและตัวบ่งชีข้ อง
สภาพอันพึงประสงค์ของคุณลักษณะและตัวบ่งชี้ ครูด้านการสร้างบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ ระดับ
สมรรถนะครูด้านการสร้างบทเรียนอิเล็กทรอนกิ ส์ มัธยมศึกษาตอนต้นในโรงเรยี นขยายโอกาส ผู้วิจัย
ได้นากรอบคุณลักษณะของสมรรถนะครูด้านการ
ตรวจสอบความเท่ียงตรงของเนื้อหา การหาค่า สร้างบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ ระดับมัธยมศึกษา
IOC (Index of Item – Objective Congruence 3 ด้าน คือ ด้านความรู้ ด้านการแสดงออก และ
) คา่ ดชั นคี วามสอดคลอ้ งระหวา่ ง 0.60 – 1.00 ด้านความสามารถในการพัฒนาสมรรถนะของครู
ตลอดจนศึกษาแนวคิด ทฤษฎตี า่ ง ๆ มาวเิ คราะห์
3) แบบปร ะ เมิน สม ร ร ถ น ะ ค รู
ด้านการสร้างบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ ตรวจสอบ 2) ข้ันตอนที่ 2 วิเคราะห์คุณลักษณะ
และตัวบ่งชีท้ ต่ี ้องการของครูดา้ นการสร้างบทเรียน
ความเท่ียงตรงเชิงเนื้อหาโดยวิเคราะห์ค่าดัชนี อิเล็กทรอนิกส์ ระดับมัธยมศึกษาตอนต้นใน
ความสอดคล้อง (IOC) ค่าดัชนีความสอดคล้องอยู่ โรงเรียนขยายโอกาส นาไปสร้างเปน็ แบบสอบถาม
ระหว่าง 0.66 – 1.00 ค่าความเชื่อมั่นขอ ง นาไปสอบถามผู้ทรงคุณวุฒิ เพื่อประเมินความ
เหมาะสมคุณลักษณะและตัวบ่งชี้ที่ต้องการของครู
แบบประเมินสมรรถนะครูด้านการสร้างบทเรียน ด้านการสร้างบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ ระดับ
อิเล็กทรอนกิ ส์ท้งั ฉบบั 0.85 มั ธ ย ม ศึ ก ษ า ต อ น ต้ น ใ น โ ร ง เ รี ย น ข ย า ย โ อ ก า ส
จานวน 10 คน เพื่อยืนยันคุณลักษณะและตัวบ่งช้ี
4) แบบวดั เจตคติของครตู อ่ โปรแกรม ข อ ง ส ม ร ร ถ น ะ ค รู ด้ า น ก า ร ส ร้ า ง บ ท เ รียน
พั ฒ น า ส ม ร ร ถ น ะ ค รู ด้ า น ก า ร ส ร้ า ง บ ท เ รี ย น อิเล็กทรอนิกส์ ระดับมัธยมศึกษาตอนต้นใน
อิเล็ก ทร อนิก ส์ ร ะ ดับมัธยมศึก ษาตอนต้น โรงเรียนขยายโอกาส 3 ด้าน คือ ด้านความรู้
ด้านการแสดงออก และด้านความสามารถในการ
ในโรงเรียนขยายโอกาส พฒั นาคุณภาพของครู
5) แบบปร ะ เมิน ทัก ษะ ก าร จั ด
ระยะที่ 2 ศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพอนั
ก า ร เ รี ย น รู้ โ ด ย ก า ร ใ ช้ บ ท เ รี ย น อิ เ ล็ ก ท ร อ นิ ก ส์ พึงประสงค์ และความต้องการพฒั นาสมรรถนะครู
พิจาร ณาคว ามเหม าะ สมแ ละ ปร ะ เ มิ น ค่ า ด้านการสร้างบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ ระดับ
ความสอดคล้องของโปรแกรมพัฒนาสมรรถนะครู มธั ยมศึกษาตอนตน้ ในโรงเรยี นขยายโอกาส
ด้านการสร้างบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ ระดับ 1) ขั้นตอนที่ 1 นาข้อมูลท่ีไ ด้จาก
มธั ยมศกึ ษาตอนต้นในโรงเรยี นขยายโอกาส โดยให้ การศึกษาในระยะที่ 1 มาสร้างแบบสอบถาม
ผเู้ ชยี่ วชาญตรวจสอบเพื่อพิจารณาความเหมาะสม 173
และความชัดเจนของข้อคาถามแล้วนามาหาค่า
ดัชนีความสอดคล้อง (IOC) มีค่าอยู่ระหว่าง 0.60
ถึง 1.00
การเก็บรวบรวมข้อมูล มีการดาเนินการ
เป็น 4 ระยะ ดังนี้
ระยะท่ี 1 การศึกษาคุณลักษณะของครู
ด้ า น ก า ร ส ร้ า ง บ ท เ รี ย น อิ เ ล็ ก ท ร อ นิ ก ส์ ร ะ ดั บ
วารสารการวิจัยการศึกษาขน้ั พืน้ ฐาน
ฉบับปฐมฤกษ์ (กรกฎาคม - ธนั วาคม 2564)
ความต้องการในการพัฒนาสมรรถนะครูด้านการ อิเล็กทรอนิกส์ ท่ีพัฒนาข้ึนไปใช้ โดยมีการ
ดาเนนิ การ 2 ขัน้ ตอน ดังน้ี
สรา้ งบทเรียนอเิ ล็กทรอนิกส์
2) ขั้นตอนที่ 2 ศึกษาสภาพปัจจุบัน 1) ข้ันตอนท่ี 1 กาหนดกลุ่มตัวอย่าง
ใ น ก า ร น า โ ป ร แ ก ร ม พั ฒ น า ส ม ร ร ถ น ะ ค รู ด้ า น
สภาพอันพึงประสงค์ และความต้องการพัฒนา การสรา้ งบทเรียนอิเล็กทรอนกิ ส์ ไปใช้กบั ครูผู้สอน
ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น สังกัดสานักงาน
ตนเอง ด้านการสร้างบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาหนองบัวลาภู เขต 2
โดยศึกษาจากผู้บริหารสถานศึกษา ท่ีเป็นโรงเรยี น จานวน 33 โรงเรียน โรงเรียนละ 2 คน รวมทง้ั ส้นิ
66 คน โดยเลือกแบบเจาะจง
ขยายโอกาสในสัง กัด จานวน 33 คน และ
ครูหัวหน้าวชิ าการในโรงเรียนขยายโอกาสในสังกัด 2) ข้ันตอนที่ 2 ประเมินผลการนา
จานวน 33 คน โ ป ร แ ก ร ม พั ฒ น า ส ม ร ร ถ น ะ ค รู ด้ า น ก า ร ส ร้ า ง
บทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ ในโรงเรียนขยายโอกาส
ระยะที่ 3 การพัฒนาโปรแกรมพัฒนา สังกัดสานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา
สมรรถนะครูด้านการสร้างบทเรียนอิเล็กทรอนกิ ส์ หนองบัวลาภู เขต 2 ไปใช้
ระดับมัธยมศึกษาตอนต้นในโรงเรียนขยายโอกาส ผลการวิจัย
ในระยะน้ีสร้างโปรแกรมพัฒนาสมรรถนะครู 1. ผลการศึกษาสมรรถนะครูด้านการสร้าง
ด้านการสร้างบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ ฉบับร่าง
บทเรยี นอิเล็กทรอนิกส์
โดยใช้แนวคิดและทฤษฎีระบบ แนวคิดและทฤษฎี สมร ร ถน ะ ครูด้านการ สร้างบทเรียน
การจัดการเรียนรู้และแนวคิดวิธีการพัฒนาครู
อิเลก็ ทรอนิกส์ อยูใ่ นกรอบคณุ ลักษณะ 3 ดา้ น คอื
มกี ารดาเนินการ ดงั นี้ ด้านความรู้ ด้านการแสดงออก และด้านความ
1) ข้ันตอนที่ 1 ผู้วิจัยนาข้อมูลที่ได้จาก สามารถ โดยสงั เคราะหเ์ ป็นตวั บง่ ชไี้ ด้ 30 ตวั บง่ ช้ี
ผลการศึกษาคุณลักษณะและตัวบ่งชี้ที่ต้องการ 2. โปรแกรมพัฒนาสมรรถนะ ครูด้านการ
สร้างบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ระดับมัธยมศึกษา
ของครูผู้สอน ในระยะท่ี 1 มาเป็นแนวทางการร่าง ตอนต้น ในโรงเรียนขยายโอกาส สังกัดสานักงาน
โ ป ร แ ก ร ม พั ฒ น า ส ม ร ร ถ น ะ ค รู ด้ า น ก า ร ส ร้ า ง เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาหนองบัวลาภู
เขต 2 จากการดาเนินการวิจัยอย่างเป็นข้ันตอน
บทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ และจัดทาร่างคู่มือ โดย โดยศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพอันพึงประสงค์
ก า ห น ด อ ง ค์ ป ร ะ ก อ บ ข อ ง โ ป ร แ ก ร ม คื อ และความต้องการพัฒนาสมรรถนะครู พัฒนา
1) หลักการของโปรแกรม 2) จุดหมายของ โ ป ร แ ก ร ม พั ฒ น า ส ม ร ร ถ น ะ ค รู ด้ า น ก า ร ส ร้ า ง
บทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น
โปรแกรม 3) สมรรถนะที่ต้องการให้เกิดขึ้นตาม ในโรงเรียนขยายโอกาส และศกึ ษาประสทิ ธิผลของ
จุดหมายของโปรแกรม 4) สาระท่ีใช้ในการพัฒนา โ ป ร แ ก ร ม พั ฒ น า ส ม ร ร ถ น ะ ค รู ด้ า น ก า ร ส ร้ า ง
บทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ ในการจัดการเรียน
5) กิจกรรมการพัฒนา 6) แนวทางการวัดและ
ประเมินผล 174
2) ข้ันตอนท่ี 2 ปรับปรุงร่างโปรแกรม
พั ฒ น า ส ม ร ร ถ น ะ ค รู ด้ า น ก า ร ส ร้ า ง บ ท เ รี ย น
อเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ และคมู่ ือโปรแกรมพฒั นาสมรรถนะ
ครดู ้านการสร้างบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์
ระยะที่ 4 ศึกษาประสิทธิผลของโปรแกรม
พั ฒ น า ส ม ร ร ถ น ะ ค รู ด้ า น ก า ร ส ร้ า ง บ ท เ รี ย น
วารสารการวิจัยการศึกษาขน้ั พื้นฐาน
ฉบับปฐมฤกษ์ (กรกฎาคม - ธันวาคม 2564)
การสอน ระดับมัธยมศึกษาตอนต้นที่พัฒนาขึ้นไป ผลการประเมินความเหมาะสมโดยผู้ทรงคุณวุฒิ
ใ ช้ สั ง เ ค ร า ะ ห์ ผ ล ก า ร ศึ ก ษ า ใ น ร ะ ย ะ ท่ี 1 และผลการประเมินความต้องการในการพัฒนา
จากการสังเคราะห์ เอกสารและงานวจิ ัยที่เก่ียวข้อง สมรรถนะครูด้านการสร้างบทเรียนอิเล็กทรอนกิ ส์
ดงั ภาพท่ี 1
ภาพที่ 1 โปรแกรมพฒั นาสมรรถนะครูดา้ นการสร้างบทเรยี นอิเล็กทรอนกิ ส์ในการจดั การเรยี นการสอน
ระดบั มัธยมศกึ ษาตอนต้น
175
วารสารการวิจยั การศึกษาขน้ั พื้นฐาน
ฉบบั ปฐมฤกษ์ (กรกฎาคม - ธันวาคม 2564)
สรุปผลการวิจัย อภิปรายผลการวิจัย และ จากมากไปหาน้อย ได้แก่ ด้านความสามารถ
ข้อเสนอแนะ ดา้ นความรู้ และดา้ นการแสดงออก
สรปุ ผลการวจิ ยั 3. โปรแกรมพัฒนาสมรรถนะครูด้านการ
1. ผลการศึกษาสมรรถนะของครูด้าน สร้างบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ระดับมัธยมศึกษา
การสร้างบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ ระดับมัธยม ตอนต้นในโรงเรียน สังกัดสานักงานเขตพื้นท่ี
ศกึ ษาตอนตน้ ในโรงเรยี นสงั กดั สานกั งานเขตพื้นที่ การศึกษาประถมศึกษาหนองบัวลาภู เขต 2
การศึกษาประถมศึกษาหนองบัวลาภู เขต 2 พบว่า ประกอบด้วย 1) ความเป็นมาของโปรแกรม 2)
ครูผู้สอน ร ะ ดับมัธ ยม ศึก ษา ตอน ต้น ใน โร ง เ รี ย น หลักการของโปรแกรม 3) จุดหมายของโปรแกรม
ขยายโอกาส มีสมรรถนะ 3 ด้าน 30 ตัวบ่งช้ี คือ 4) สาระที่ใช้ในการพัฒนา ได้แก่ หน่วยท่ี 1 การ
ด้านความรู้มี 10 ตัวบ่งช้ี ด้านการแสดงออก มี จัดการเรียนการสอนแบบ E-Learning และการ
10 ตวั บ่งชี้ และด้านความสามารถมี 10 ตวั บง่ ชี้ ปรับปรุงพัฒนา หน่วยท่ี 2 โปรแกรม LMS
2. ผลการศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพ Moodle หน่วยที่ 3 การใช้งาน LMS Moodle
อันพึงประสงค์และความต้องการจาเป็นในการ สาหรับผู้ดูแลระบบ หน่วยที่ 4 การใช้งาน LMS
พั ฒ น า ส ม ร ร ถ น ะ ค รู ด้ า น ก า ร ส ร้ า ง บ ท เ รี ย น Moodle สาหรับครู-อาจารย์ หน่วยท่ี 5 การใช้
อิเล็ก ทร อนิก ส์ ร ะ ดับมัธยมศึก ษาตอนต้น งาน LMS Moodle สาหรับผ้เู รียน หน่วยท่ี 6 การ
ในโรงเรียนสังกัดสานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษา Download Program แ ล ะ ก า ร ใ ช้ ง า น LMS
ประถมศกึ ษาหนองบัวลาภู เขต 2 พบวา่ Moodle บนอุปกรณ์สือ่ สารแบบพกพา หน่วยท่ี 7
การจัดการเรียนการสอนแบบ E-Learning และ
2.1 ครูผู้สอนระดับมัธยมศึกษาตอนต้น การปรับปรุงพัฒนาโดยมีกระบวนการพัฒนา
ในโรงเรียนขยายโอกาส มีสภาพปัจจุบันเก่ียวกับ วิชาชีพครูด้วยการนเิ ทศกากับติดตาม 5) กิจกรรม
สมรรถนะครูด้านการสร้างบทเรียนอิเล็กทรอนกิ ส์ การพัฒนาตามโปรแกรมพัฒนาสมรรถนะครูด้าน
ด้านความรู้ ด้านการแสดงออก และด้าน การสร้างบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ 6) ส่ือ/แหล่ง
ความสามารถ โดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง เรียนรู้ในการอบรมพัฒนา 7) แนวทางการวัดและ
ประเมินผล
2.2 ครูผู้สอนระดับมัธยมศึกษาตอนต้น
ในโรงเรียนขยายโอกาส มีสภาพที่พึงประสงค์ 4. ผลการศึกษาประสิทธิผลของการนา
เ ก่ี ย ว กั บ ส ม ร ร ถ น ะ ค รู ด้ า น ก า ร ส ร้ า ง บ ท เ รี ย น โ ป ร แ ก ร ม พั ฒ น า ส ม ร ร ถ น ะ ค รู ด้ า น ก า ร ส ร้ า ง
อิเล็กทรอนิกส์ ด้านความรู้ ด้านการแสดงออก บทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ ระดับมัธยมศึกษาตอนตน้
และดา้ นความสามารถ โดยรวมอยใู่ นระดับมาก ในโรงเรียนขยายโอกาส สังกัดสานักงานเขตพื้นท่ี
การศึกษาประถมศึกษาหนองบัวลาภู เขต 2 ไปใช้
2.3 ครูผู้สอนระดับมัธยมศึกษาตอนต้น
ในโรงเรียนขยายโอกาส มีความต้องการจาเป็น 176
ในการพัฒนาสมรรถนะครูด้านการสร้างบทเรียน
อิเล็กทรอนิกส์ เรียงลาดับความต้องการจาเป็น
วารสารการวิจัยการศึกษาขน้ั พื้นฐาน
ฉบบั ปฐมฤกษ์ (กรกฎาคม - ธันวาคม 2564)
พบว่า ครูผู้สอนระดับมัธยมศึกษาในโรงเรียน ไ ด้ทาวิ จัยเพื่อ พัฒนาโ ปร แกร มก ารพัฒนา
ขยายโอกาส มคี ะแนนก่อนพัฒนา ไดค้ ะแนนเฉล่ีย สมรรถนะการบริหารงานวิชาการของผู้บริหาร
23.36 จากคะแนนเตม็ 40 คะแนน คิดเป็นรอ้ ยละ สถานศึกษาสังกัดสานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษา
58.41 และมีคะแนนหลังการพัฒนาได้คะแนน ประถมศึกษาอุดรธานี เขต 1 ผลการวิจัยพบว่า
เฉลี่ย 33.83 จากคะแนนเต็ม 40 คะแนน คิดเป็น สภาพและความต้องการพัฒนาสมรรถนะการ
ร้อยละ 84.58 แสดงว่าครูผู้สอนระดับมธั ยมศึกษา บริหารงานวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา
ในโรงเรียนขยายโอกาส มีคะแนนหลัง การพัฒนา สังกัดสานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษาประถมศึกษา
สูงกว่าก่อนการพัฒนา ผลการประเมินทักษะ อุดรธานี เขต 1 โดยรวมและรายด้านทุกด้าน
การสอนหลังการพฒั นาสมรรถนะครูด้านการสร้าง อยใู่ นระดับมาก นอกจากนสี้ อดคลอ้ งกับปรารถนา
บทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ ระดับมัธยมศึกษาตอนตน้ เพชรฤทธ์ิ (2559) ได้ทาการวิจัยการพัฒนา
ในโรงเรียนขยายโอกาสโดยรวมอยู่ในระดับม าก โปรแกรมพัฒนาครูผู้สอนกลุ่มสาระการเรียนรู้
และผลการวัดเจตคติของครูต่อโปรแกรมพัฒนา วิทยาศาสตร์ ในโรงเรียนมัธยมศึกษา โดยใช้
สมรรถนะครูด้านการสร้างบทเรียนอิเล็กทรอนกิ ส์ โ ร ง เ รี ย น เ ป็ น ฐ า น ผ ล ก า ร วิ จั ย ส รุ ป ไ ด้ ว่ า
โดยรวมอยใู่ นระดับมากท่ีสุด ผลการศึกษาคุณลักษณะและตัวบ่งช้ีของครูผู้สอน
กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ในโรงเรียน
อภปิ รายผลการวิจยั มัธยมศึกษา พบว่า ครูผู้สอนกลุ่มสาระการเรียนรู้
1. จากการศึกษาสมรรถนะ 3 ด้าน 30 วิทยาศาสตร์ ในโรงเรียนมัธยมศกึ ษามีคุณลักษณะ
3 ด้าน 58 ตัวบ่งชี้ คือ ด้านความรู้ มี 23 ตัวบ่งช้ี
ตัวบ่งชี้ คือ ด้านความรู้ 10 ตัวบ่งชี้ ด้านการแสดง ด้ า น ก า ร แ ส ด ง อ อ ก มี 15 ตั ว บ่ ง ช้ี แ ล ะ
ออก มี 10 ตัวบ่งช้ี และด้านความสามารถ ด้านความสามารถมี 20 ตัวบ่งช้ี ผลการประเมิน
มี 10 ตัวบ่งช้ี ผลการประเมินความเหมาะสม ค ว า ม เ ห ม า ะ ส ม โ ด ย ผู้ ท ร ง คุ ณ วุ ฒิ พ บ ว่ า
โดยผู้ทรงคุณวุฒิ พบว่า มีความเหมาะสมอยู่ใน มคี วามเหมาะสมอยู่ในระดับมาก
ระดับมาก การที่ผลวิจัยเป็นเช่นน้ีอาจเป็นเพราะ
สมรรถนะดังกล่าว เป็นสมรรถนะท่ีสาคัญของ 2. ผลการศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพ
ครูผู้สอนระดับมัธยมศึกษา ซ่ึงสอดคล้องกับ อันพึงประสงค์และความต้องการจาเป็นในการ
งานวิจัยของยอดอนงค์ จอมหงษ์พิพัฒน์ (2553) พั ฒ น า ส ม ร ร ถ น ะ ค รู ด้ า น ก า ร ส ร้ า ง บ ท เ รี ย น
ได้ทาการวิจัยการพัฒนาโปรแกรมพัฒนาครูผู้นา อิ เล็ก ทร อ นิก ส์ ร ะ ดับมัธยมศึก ษาตอนต้น
การจัดการเรียนรู้ตามแนวทางปฏิรูปการศึกษา ในโรงเรียนขยายโอกาส สังกัดสานักงานเขตพ้ืนที่
ข้ันพ้ืนฐาน ผลการวิจัยพบว่า โปรแกรมพัฒนา ครู การศกึ ษาประถมศกึ ษาหนองบวั ลาภู เขต 2 พบวา่
ผู้นาการจัดการเรียนรู้ตามแนว ทาง ป ฏิรูป
การศึกษาขั้นพื้นฐาน มีองค์ประกอบท่ีสาคัญ 2.1 ครูผู้สอนระดับมัธยมศึกษาตอนต้น
7 ประการ คือ (1) วิสัยทัศน์ (2) หลักการ ในโรงเรียนขยายโอกาส มีสภาพปัจจุบันเก่ียวกับ
(3) วัตถุประสงค์ (4) เน้ือหา (5) กระบวนการ สมรรถนะครูด้านการสร้างบทเรียนอิเล็กทรอนกิ ส์
(6) โครงสร้าง และ (7) การวัดและประเมินผล ด้านความรู้ ด้านการแสดงออก และด้าน
สอดคล้องกบั งานวจิ ยั ของนรศิ รา เหล่าสาย (2556) ความสามารถ โดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง
มีสภาพท่ีพึงประสงค์เก่ียวกับสมรรถนะ ครู
177
วารสารการวิจยั การศึกษาข้ันพื้นฐาน
ฉบับปฐมฤกษ์ (กรกฎาคม - ธนั วาคม 2564)
ด้านการสร้างบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ ด้านความรู้ จากมากไปหาน้อย ได้แก่ ด้านความสามารถ
ด้านการแสดงออก และด้านความสามารถ โดยรวม ด้านความรู้ และด้านการแสดงออก ทั้งนี้เนื่องจาก
ความจาเป็นในการพัฒนาสมรรถนะครู ด้านการ
อ ยู่ ใ น ร ะ ดั บ ม า ก ก า ร แ ส ด ง ค่ า ใ ห้ เ ห็ น ว่ า สร้างบทเรียนอิเล็กทรอนกิ ส์ ในด้านความสามารถ
ค่าระดบั สภาพอันพงึ ประสงคม์ ีค่ามากกวา่ คา่ ระดับ ด้านความรู้ และด้านการแสดงออก มีความสาคัญ
อย่างย่ิงในการพัฒนาสมรรถนะครูผู้สอนระดับ
สภาพ ปัจจุบัน ซึ่ง แสดง ให้เห็น ว่ าสภาพ ท่ี มัธยมศึกษาตอนต้น ในโรงเรียนขยายโอกาส
พึงประสงค์ในการพัฒนาสมรรถนะครูด้านการ เพราะจะสามารถปฏิบัติงานด้านการสอนได้
สร้างบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ ระดับมัธยมศึกษา อย่างมปี ระสิทธภิ าพเพิ่มข้ึน เพอ่ื รองรับการพัฒนา
ของเทคโนโลยีด้านการศกึ ษาต่อไปในอนาคต และ
ตอนต้นในโรงเรียนขยายโอกาสยังต้องการพัฒนา สอดคล้องกับงานวิจัยของวราภรณ์ บุญเจียม
สมรรถนะครูด้านการสร้างบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ (2559) ได้ทาการวิจัยการพัฒนาโปรแกรมพัฒนา
ครู ร ะ ดับปร ะ ถมศึก ษาด้าน ก าร คิดอ ย่างมี
เพ่ือรองรับกระแสการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น วิจารณญาณ พบว่า สภาพปัจจุบันการคิดอย่างมี
ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของพิมพ์พร พิมพ์เกาะ วิจารณญาณของครูระดับประถมศึกษาโดยรวมอยู่
(2557) ได้ทาวิจัยเพ่ือพัฒนาโปรแกรมเสริมสร้าง ในระดับมาก ส่วนสภาพท่ีพึงประสงค์การคิดอย่าง
มีวิจารณญาณของครู ระดับประถมศึกษาโดยรวม
ภาวะผู้นาเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารโรงเรียน อยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณาความต้องการ
สังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผลการวิจัย จ า เ ป็ น ใ น ก า ร พั ฒ น า ด้ า น ก า ร คิ ด อ ย่ า ง มี
วิจารณญาณของครูระดับประถมศึกษา โดย
พบว่า ผลการศึกษาสภาพปัจจุบันและความ เรียงลาดับความต้องการจาเป็นจากมากไปหาน้อย
ต้องการในการเสริมสร้างภาวะผู้นาเชิงสร้างสรรค์ คือ ความสามารถด้านการคิดอย่างมีวิจารณญาณ
ของผู้บริหารโรงเรียน สังกัดองค์กรปกครอง ของครูระดบั ประถมศกึ ษา และคณุ ลกั ษณะของครู
ระดับประถมศึกษามีการคิดอย่างมีวิจารณญาณ
ส่วนท้องถิ่นมากท่ีสุดคือ ด้านการมีความยืดหยุ่น โดยใชว้ ิธีการพัฒนา ไดแ้ ก่ การฝึกอบรม การศึกษา
(PNI = 0.501) รองลงมาคอื ด้านการมีจนิ ตนาการ ด้วยตนเองการศึกษาดูงาน การบูรณาการแบบ
สอดแทรกกับการปฏิบัติงาน และการนิเทศ
(PNI = 0.498) และด้านการมีวิสัยทัศน์ (PNI = ตดิ ตามแบบมสี ว่ นรว่ ม
0.478) เป็นลาดับสุดท้าย สอดคล้องกับงานวิจัย
ของยุวลี โพยนอก (2559) ได้ทาการวิจัยพัฒนา 3. โ ป ร แ ก ร ม พั ฒ น า ส ม ร ร ถ น ะ ค รู
ด้านการสร้างบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ ระดับ
โปรแกรมพัฒนาครูผู้ช่วยด้านการจัดการเรียนรู้ใน มัธยมศึกษาตอนต้นในโรงเรียน สังกัดสานักงาน
สถานศึกษาสังกัดองคก์ ารบริหารสว่ นจังหวัดชัยภูมิ เขตพื้นท่ีการศึกษาประถมศึกษาหนองบัวลาภู
เขต 2 ประกอบด้วย 1) ความเปน็ มาของโปรแกรม
ผลการวิจัยพบว่า ผลการศึกษา สภาพปัจจุบัน 2) หลักการของโปรแกรม 3) จุดหมายของ
สภาพทีพ่ ึงประสงค์ และวิธีการพฒั นาครผู ูช้ ่วยดา้ น
การจัดการเรียนรู้ในสถานศึกษาสังกัดองค์การ 178
บริหารส่วนจังหวัดชัยภูมิ พบว่า สภาพปัจจุบัน
โดยรวมอยู่ในระดับมาก สภาพที่พึงประสงค์
โดยรวมอยู่ในระดบั มากที่สุด
2.2 ครูผู้สอนระดับมัธยมศึกษาตอนต้น
ในโรงเรียนขยายโอกาส มีความต้องการจาเป็น
ในการพัฒนาสมรรถนะครูด้านการสร้างบทเรียน
อิเล็กทรอนิกส์ เรียงลาดับความต้องการจาเป็น
วารสารการวิจัยการศึกษาขนั้ พืน้ ฐาน
ฉบับปฐมฤกษ์ (กรกฎาคม - ธันวาคม 2564)
โปรแกรม 4) สาระที่ใช้ในการพัฒนา ได้แก่ หน่วย จากที่กล่าวมาจะเห็นได้ว่า โปรแกรมพัฒนา
ท่ี 1 การจัดการเรียน การสอนแบบ E-Learning สมรรถนะครูด้านการสร้างบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์
ในการจัดการเรียนการสอนดังกล่าว ได้รับการ
และการปรับปรงุ พฒั นา หน่วยท่ี 2 โปรแกรม LMS พัฒนาอย่างเป็นระบบ โดยมีแนวคิด ทฤษฎี และ
Moodle หน่วยท่ี 3 การใช้งาน LMS Moodle งานวิจัยเป็นแนวทางการพัฒนา และได้ผ่านการ
ตรวจสอบจากผู้เชยี่ วชาญ ทาใหโ้ ปรแกรมพัฒนามี
สาหรับผู้ดูแลระบบ หน่วยที่ 4 การใช้งาน LMS ประสิทธิภาพและประสิทธิผลสนองจุดมุ่งหมาย
Moodle สาหรับครู-อาจารย์ หน่วยที่ 5 การใช้ เฉพาะของโปรแกรมท่ีมุ่งเสริมสร้างความรู้ความ
งาน LMS Moodle สาหรับผู้เรียน หน่วยที่ 6 เขา้ ใจและทักษะของครู ในการพัฒนาสมรรถนะครู
ดา้ นการสร้างบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ ซ่ึงสอดคล้อง
การ Download Program และการใช้งาน LMS กับงานวิจยั ของทองไส เทยี บดอกไม้ (2556) ไดท้ า
Moodle บนอุปกรณ์สื่อสารแบบพกพา หนว่ ยที่ 7 การวิจัยโปรแกรมพัฒนาครูด้วยการบรู ณาการ ICT
เพ่ือ ก าร จัดก าร เรียนก าร สอ นในโ รงเรียน
การจัดการเรียนการสอนแบบ E-Learning และ ประถมศึกษา ผลการวิจยั แบง่ เป็น 2 สว่ น ส่วนท่ี 1
การปรับปรุงพัฒนาโดยมีกระบวนการพัฒนา ผลการสร้างและพัฒนาโปรแกรม พบว่า ได้
วิชาชีพครูด้วยการนิเทศกากบั ติดตาม 5) กิจกรรม โปรแกรมพัฒนาครูด้วยการบูรณาการ ICT เพื่อ
การจัดการเรียนการสอนในโรงเรียนประถมศกึ ษา
การพัฒนาตาม โปรแกรมพัฒนาสมรรถนะครู ที่ประกอบด้วยชุดโครงการพัฒนาครูด้วยรูปแบบ
ดา้ นการสร้างบทเรยี นอิเลก็ ทรอนิกส์ 6) สื่อ/แหล่ง การเรียนรู้ด้วยตนเอง รูปแบบการฝึกปฏิบัติ และ
รูปแบบการนาความรู้และทักษะไปใช้จัดการเรียน
เรียนรู้ในการอบรมพัฒนา 7) แนวทางการวัดและ การสอน ส่วนท่ี 2 หลังการพัฒนาครูพบว่า ครูมี
ประเมินผล ความรู้เก่ียวกับการบูรณาการ ICT ในการจัด
การเรียนการสอนมากข้ึน ครูมีเจตคติเชิงบวกต่อ
การท่ีผลวิจัยเป็นเช่นน้ี อาจเป็นเพราะ โปรแกรมที่สร้างและพัฒนาข้ึนอยู่ในระดับมาก
และครูมีทักษะการบูรณาการ ICT ในการจัด
การสร้างและพัฒนาโปรแกรมพัฒนาที่สร้างขึ้น การเรียนการสอน ประเมินได้จากการใช้บัญชีผู้ใช้
ผู้วิจัยดาเนินวิเคราะหข์ ้อมลู พื้นฐานเกย่ี วกับสภาพ ลงช่ือเช้าใช้โปรแกรมประยุกต์บนเว็บผ่านเว็บ
บราวเซอร์ เพื่อการติดต่อส่ือสาร เพื่อการค้นหา
ปัญหาของการพัฒนาสมรรถนะครูในโรงเรียน ความรู้ และเพ่ือการสร้าง นาเสนอ และเผยแพร่
ขยายโอกาส และการพัฒนาครูเพ่ือระบุประเด็นที่ ผลงาน
ต้องการพัฒนา ได้ศึกษาแนวคิด ทฤษฎีและ
4. ผลการศึกษาประสิทธิผลของการนา
งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาสมรรถนะครู โ ป ร แ ก ร ม พั ฒ น า ส ม ร ร ถ น ะ ค รู ด้ า น ก า ร ส ร้ า ง
ด้านการสร้างบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ โดย บทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น
ในโรงเรียนขยายโอกาส สังกัดสานักงานเขตพื้นที่
สังเคราะห์ตัวบ่งชี้ท่ีได้ นาไปสร้างแบบสอบถามให้
ครูผู้สอนระดับมัธยมศึกษาตอนต้นในโรงเรียน 179
ขยายโอกาส ได้ลงความคิดเห็นต่อสมรรถนะท้ัง 3
ด้าน เมื่อได้สมรรถนะที่ต้องการพัฒนาแล้วก็นา
สมรรถนะของการพัฒนาครูมาสร้างโปรแกรมการ
พัฒนาสมรรถนะครูมาสร้างโปรแกรมพัฒนาครู
จั ด ท า โ ป ร แ ก ร ม ฉ บั บ ร่ า ง แ ล ะ คู่ มื อ โ ป ร แ ก ร ม
นาเสนอผู้เชี่ยวชาญ จานวน 5 คน ตรวจสอบ
คุ ณ ภ า พ แ ล้ ว น า ผ ล ก า ร ต ร ว จ ส อ บ ม า พิ จ า ร ณ า
ปรับปรุงแก้ตามข้อเสนอแนะ แล้วนาไปทดลองใช้
วารสารการวิจัยการศึกษาขน้ั พืน้ ฐาน
ฉบับปฐมฤกษ์ (กรกฎาคม - ธันวาคม 2564)
การศึกษาประถมศึกษาหนองบัวลาภู เขต 2 ที่ร ะ ดับ . 01 ท้ัง โ ดยร ว มและร ายด้านและ
จากการนาโปรแกรมท่ีพฒั นาขน้ึ ไปใช้พบวา่ ผ่านเกณฑ์ ร้อยละ 75 ทุกคน ผลการประเมิน
การคดิ อย่างมวี ิจารณญาณทงั้ โดยรวมและรายด้าน
4. 1 ค รู ผู้ ส อ น ร ะ ดั บ มั ธ ย ม ศึ ก ษ า ก่อนพัฒนา อยู่ในระดับดี ส่วนหลังพัฒนาโดย
ในโรงเรียนขยายโอกาสมีคะแนนก่อนพัฒนา ได้ รวมอยู่ในระดบั ดีมาก
คะแนนเฉล่ีย 23.36 จากคะแนนเต็ม 40 คะแนน 4. 2 ผ ล ก า ร วั ด เ จ ต ค ติ ข อ ง ค รู ต่ อ
คดิ เปน็ รอ้ ยละ 58.41 และมีคะแนนหลังการพฒั นา โ ป ร แ ก ร ม พั ฒ น า ส ม ร ร ถ น ะ ค รู ด้ า น ก า ร ส ร้ า ง
ได้คะแนนเฉลยี่ 33.83 จากคะแนนเตม็ 40 คะแนน บทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ โดยรวมอยู่ในระดับ
มากที่สุด ท่ีเป็นเช่นนี้เพราะว่าเน้ือหาในแต่ละ
คิดเป็นร้อยละ 84.58 แสดงว่าครูผู้สอนระดับ หั ว ข้ อ ข อ ง โ ป ร แ ก ร ม พั ฒ น า ส ม ร ร ถ น ะ ค รู เ ป็ น
มั ธ ย ม ศึ ก ษ า ใ น โ ร ง เ รี ย น ข ย า ย โ อ ก า ส สมรรถนะท่ีครูต้องใช้ในการจัดการเรียนรู้ ครูได้
มีส่วนร่วมในกจิ กรรมการฝกึ อบรมพฒั นา มโี อกาส
มีคะแนนหลังการพัฒนาสูงกว่าก่อนการพัฒนา ได้แสดงความคิดเห็น วิธีการฝึกอบรมพัฒนาเป็น
ผ ล ก า ร ป ร ะ เ มิ น ทั ก ษ ะ ก า ร ส อ น ห ลั ง ก า ร พั ฒ น า การฝึกปฏิบัติจริง มีการวัดผลและประเมินผล
สมรรถนะครู ดา้ นการสรา้ งบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ ในแต่ละหัวข้อ ซ่ึงสอดคล้องกับงานวิจัยของ
ปรารถนา เพชรฤทธิ์ (2559) ได้ทาการวิจัยการ
ระดับมัธยมศึกษาตอนต้นในโรงเรียนขยายโอกาส พัฒนาโปรแกรมพัฒนาครูผู้สอนกลุ่มสาระการ
โดยรวมอยู่ในระดับมาก ท่ีเป็นเช่นนี้เพราะว่า เรียนรู้วิทยาศาสตร์ในโรงเรียนมัธยมศึกษาโดยใช้
โรงเรียนเป็นฐาน พบว่า ครูผู้สอนกลุ่มสาระ
โ ป ร แ ก ร ม พั ฒ น า ส ม ร ร ถ น ะ ค รู ด้ า น ก า ร ส ร้ า ง การเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ในโรงเรียนมัธยมศึกษา
บทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ จัดทาขึ้นอย่างเป็นระบบ มีความพึงพอใจโปรแกรมพัฒนาครูผู้สอนกลุ่ม
มขี ้ันตอน เร่มิ ตัง้ แตก่ ารให้ครไู ด้ศกึ ษาความเป็นมา สาร ะ ก าร เรียน รู้วิ ทยา ศาสตร์ใน โ ร ง เรียน
มธั ยมศึกษาโดยรวมอยู่ในระดบั มาก
ของโปรแกรม หลักการของโปรแกรม จุดหมาย
ของโปรแกรม และสาระท่ีใช้ในการพัฒนา เป็น ขอ้ เสนอแนะในการนาผลการวิจัยไปใช้
1. ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย
สาร ะ ที่ครูสามาร ถน าไ ปใช้สร้าง บท เ รี ย น 1.1 ผู้บริหารมีหน้าที่เก่ียวข้องในการ
อิเล็กทรอนิกส์เพ่ือใช้จัดการเรียนรู้ ครูได้รับการ
พัฒนาตามกิจกรรมในโปรแกรมพัฒนาสมรรถนะ พั ฒ น า คุ ณ ภ า พ ก า ร ศึ ก ษ า แ ล ะ พั ฒ น า ค รู
ทุกระดับช้ัน ควรส่งเสริมให้มีการนาโปรแกรม
ครูด้านการสร้างบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ มีส่ือ/ พั ฒ น า ส ม ร ร ถ น ะ ค รู ด้ า น ก า ร ส ร้ า ง บ ท เ รี ย น
แหล่งเรียนรู้ในการอบรมพัฒนา และมีแนวทาง อิเล็กทรอนิกส์ที่พัฒนาข้ึน ซึ่งได้ผ่านข้ันตอน การ
พัฒนาอย่างเป็นระบบระเบียบมีการตรวจสอบ
การวัดและประเมินผล สอดคล้องกับงานวิจัยของ คุณภาพโดยผู้เชี่ยวชาญและผ่านการทดลองจริง
ว ร าภร ณ์ บุญ เจียม ( 2559) ไ ด้ทาก าร วิจัย แ ล ะ ป รั บ ป รุ ง แ ก้ ไ ข จ น เ ป็ น โ ป ร แ ก ร ม ท่ี มี
การพัฒนาโปรแกรมพัฒนาครูระดับประถมศึกษา
180
ด้านการคิดอย่างมีวิจารณญาณ พบว่า ผลการนา
โปรแกรมพัฒนาครูระดับประถมศึกษาด้านการคิด
อย่างมีวิจารณญาณไปใช้ ครูระดับประถมศึกษา
มีคะแนนการคิดอย่างมีวิจารณญาณโดยรวมก่อน
การพัฒนาได้คะแนนรอ้ ยละ 52.23 หลังการพฒั นา
ได้คะแนนร้อยละ 85.24 พบว่าคะแนนหลังการ
พัฒนาสูงกว่ากอ่ นพัฒนาอย่างมีนยั สาคัญทางสถิติ
วารสารการวิจัยการศึกษาขน้ั พืน้ ฐาน
ฉบับปฐมฤกษ์ (กรกฎาคม - ธนั วาคม 2564)
ประสิทธิภาพไปใช้ในการพัฒนาครูเป็นผู้มีความรู้ จ ะ ช่ ว ย ใ ห้ ค รู ส า ม า ร ถ น า ค ว า ม รู้ ไ ป ใ ช้ ไ ด้
ความสามารถในการพัฒนาการเรียนการสอน อย่างมีประสทิ ธิภาพ และม่นั ใจ
ในระดบั ชั้นอื่น ๆ ตอ่ ไป
2.2 หน่วยงานที่จะนาโปรแกรมพัฒนา
2. ข้อเสนอแนะเพื่อการวิจัยคร้ังตอ่ ไป สมรรถนะครูด้านการสร้างบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์
2.1 การนาโปรแกรมพัฒนาสมรรถนะ
ระดับมัธยมศึกษาตอนต้นไปใช้ จะต้องมีการให้
ครูด้านการสร้างบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ ระดับ ความรู้เพิ่มเติมแก่ครูให้มีความรู้มากขึ้นเก่ียวกับ
มัธยมศึกษาตอนต้นในโรงเรียนขยายโอกาส ท่ี “ทฤษฎีการสอนและรูปแบบการสอนใหม่ ๆ
พัฒนาขนึ้ ไปใชใ้ หเ้ กดิ ประสิทธิผลตามวัตถุประสงค์
ของโปรแกรม ควรมีความต่อเน่ืองในการดาเนิน เพ่ือการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ได้อย่างเหมาะสม
กิจกรรมโปรแกรมท้ังส่วนของโปรแกรมพัฒนา เป็นไปตามศักยภาพของผู้เรียน” เพ่ือช่วยให้ครู
สมรรถนะครูด้านการสร้างบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์
ระดับมัธยมศึกษาตอนต้นในโรงเรียนขยายโอกาส มีสมรรถนะด้านการสร้างบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์
ซึ่งเป็นโปรแกรมท่ีใช้ในการพัฒนาสมรรถนะครใู น ดา้ นความรเู้ พม่ิ ขึน้
การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ฝึกอบรม ท่ีเป็นการ
ปฏิบัติในสถานการณ์สอนจริง เพราะกระบวนการ 2.3 หน่วยงานท่ีจะนาโปรแกรมพัฒนา
ดังกลา่ ว จะช่วยทาใหค้ รูผู้รับการพฒั นาสามารถนา
ค ว า ม รู้ แ ล ะ ป ร ะ ส บ ก า ร ณ์ ที่ ไ ด้ จ า ก ก า ร เ รี ย น รู้ สมรรถนะครูด้านการสร้างบทเรียนอิเล็กทรอนกิ ส์
เช่ือมโยงสู่การปฏิบัติไต้อย่างเป็นระบบ ซึ่งจะต้อง ระดับมัธยมศึกษาตอนต้นไปใช้ ต้องให้ครูมีการฝึก
มีการนิเทศติดตามให้ความช่วยเหลือช้ีน า
เสนอแนะแนวทาง ให้คาปรึกษาแก่ครูทุกระยะ ปฏิบัติมากข้ึนเกี่ยวกับ “การจัดบรรยากาศ
ทส่ี ่งเสรมิ การเรียนรู้โดยการปฏิบัตกิ ิจกรรมตา่ ง ๆ
ตามความถนัด และความสนใจของผู้เรียน
และการเลือกและจัดเรียงเน้ือหาหน่วยการจัด
การเรียนรู้อย่างมีระบบ” เพ่ือช่วยให้ครูมี
สมรรถนะด้านการสร้างบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์
ด้านการแสดงออกเพิม่ ขนึ้
เอกสารอา้ งอิง
ทองไส เทยี บดอกไม้. (2556). โปรแกรมพัฒนาครดู ้วยการบรณู าการ ICT เพ่อื การจดั การเรยี นการสอนใน
โรงเรยี นประถมศึกษา. วิทยานิพนธ์ปริญญาการศกึ ษาดุษฎบี ัณฑิต มหาวทิ ยาลยั ขอนแกน่ .
นริศรา เหลา่ สาย. (2556). การพฒั นาโปรแกรมการพัฒนาสมรรถนะการบริหารงานวิชาการของผ้บู ริหาร
สถานศึกษา สงั กดั สานกั งานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาประถมศึกษาอดุ รธานี เขต 1. การศกึ ษาคน้ ควา้
อิสระ การศกึ ษามหาบัณฑิต. มหาสารคาม : มหาวทิ ยาลัยมหาสารคาม.
ปรารถนา เพชรฤทธิ.์ (2559). การพฒั นาโปรแกรมพัฒนาครูผูส้ อนกลมุ่ สาระการเรียนร้วู ทิ ยาศาสตร์ใน
โรงเรียนมัธยมศึกษาโดยใชโ้ รงเรียนเป็นฐาน. วิทยานพิ นธก์ ารศึกษาดุษฎบี ณั ฑิต. มหาสารคาม :
มหาวิทยาลยั มหาสารคาม.
181
วารสารการวิจยั การศึกษาขนั้ พื้นฐาน
ฉบับปฐมฤกษ์ (กรกฎาคม - ธันวาคม 2564)
พงษ์ศกั ดิ์ ผกามาศ. (2553). เทคโนโลยีสารสนเทศคุณภาพ : ทฤษฎี วิธวี ิจยั และการนาไปใช้. กรงุ เทพฯ :
วิตตีก้ รุป๊ .
พมิ พ์พร พมิ พเ์ กาะ. (2557). การพัฒนาโปรแกรมเสริมสร้างภาวะผู้นาเชิงสร้างสรรคข์ องผ้บู รหิ ารโรงเรยี น
สงั กัดองค์กรปกครองสว่ นทอ้ งถ่ิน. วิทยานิพนธ์การศึกษาดษุ ฎบี ัณฑติ (สาขาวิชาการบรหิ ารและ
พัฒนาการศึกษา). มหาวิทยาลยั มหาสารคาม.
เมธี คชาไพร. (2558). การพฒั นารปู แบบการเรียนการสอนแบบผสมผสานเพ่ือเสรมิ สร้างความรู้และ
สมรรถนะด้านนวตั กรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศทางการศึกษา สาหรบั นิสิตหลักสูตรการศึกษา
บณั ฑติ มหาวทิ ยาลยั ศรีนครนิ ทรวโิ รฒ. ปรญิ ญานพิ นธก์ ารศึกษาดษุ ฎีบัณฑติ (สาขาเทคโนโลยี
การศึกษา). กรุงเทพฯ : บณั ฑติ วทิ ยาลัย มหาวทิ ยาลยั ศรนี ครนิ ทรวโิ รฒ, กรงุ เทพฯ.
ยอดอนงค์ จอมหงษพ์ ิพัฒน.์ (2553). การพัฒนาโปรแกรมพฒั นาครผู ้นู าการจดั การเรยี นรู้ตามแนวทาง
ปฏิรปู การศึกษาข้นั พ้ืนฐาน. วิทยานิพนธป์ รชั ญาดษุ ฎบี ณั ฑิต. สกลนคร : มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏ
สกลนคร.
ยวุ ลี โพยนอก. (2559). การพฒั นาโปแกรมพฒั นาครูผู้ช่วยด้านการจดั การเรียนรใู้ นสถานศกึ ษาสงั กดั
องคก์ ารบริหารส่วนจงั หวัดชยั ภูมิ. วทิ ยานิพนธก์ ารศึกษาดุษฎบี ัณฑติ มหาสารคาม : มหาวทิ ยาลยั
มหาสารคาม.
วราภรณ์ บุญเจยี ม. (2559). การพฒั นาโปรแกรมพัฒนาครูระดบั ประถมศึกษาด้านการคิดอย่างมี
วิจารณญาณ.วทิ ยานิพนธก์ ารศึกษาดุษฎีบัณฑิต. มหาสารคาม : มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม.
182
วารสารการวิจัยการศึกษาขนั้ พืน้ ฐาน
ฉบบั ปฐมฤกษ์ (กรกฎาคม - ธนั วาคม 2564)
สภาพการขอมหี รือขอเลื่อนวทิ ยฐานะที่มตี อ่ การปฏิบตั งิ านของขา้ ราชการครู
สานกั งานเขตพน้ื ท่กี ารศกึ ษามัธยมศกึ ษา เขต 42
The condition of requesting to have or to promote academic standing Towards the performance of
teacher civil servants Secondary Education Service Area Office District 42
อภเิ ชษฐ์ ฉิมพลสี วรรค์*
Apichate Chimpaleesawan
บทคดั ยอ่
การศึกษาในคร้ังน้ีมีวัตถปุ ระสงคเ์ พอ่ื ศึกษาสภาพการขอมหี รือขอเลือ่ นวิทยฐานะทม่ี ีตอ่ การปฏบิ ัติงาน
ของขา้ ราชการครู สานกั งานเขตพ้นื ที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 42 สงั กัดสานักงานคณะกรรมการการศึกษา
ขั้นพ้ืนฐาน ซ่ึงเป็นการวิจัยเชิงปริมาณ และใช้รูปแบบการสารวจ (Survey Research) ประชากรที่ใช้
ในการศึกษาครั้งนี้ คือ ข้าราชการครู สานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 42 สังกัดสานักงาน
คณะกรรมการการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน จานวน 2,483 คน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ ข้าราชการครู
สานักงานเขตพ้ืนทีก่ ารศึกษามัธยมศึกษา เขต 42 สงั กัดสานกั งานคณะกรรมการการศึกษาขัน้ พ้ืนฐาน โดยการ
เปดิ ตารางของเครซี่และมอร์แกน ได้กลุม่ ตวั อยา่ ง จานวน 333 คน ในการศกึ ษาทคี่ วามเชอื่ มั่น 95 เปอรเ์ ซน็ ต์
และใช้การสุ่มอย่างงา่ ย เพ่ือให้ไดจ้ านวนตามขนาดของกลุ่มตัวอยา่ งท่ตี อ้ งการไม่น้อยกวา่ ตามทตี่ ารางของเครซี่
และมอรแ์ กนกาหนดไว้ท่ีความเชอ่ื ม่นั 95 เปอร์เซ็นต์ การศกึ ษาในครั้งนมี้ บี ุคลากรขา้ ราชการครขู องสานักงาน
เขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 42 เป็นกลุ่มตัวอย่าง ในการศึกษา จานวน 637 คน ซึ่งมากกวา่ เกณฑท์ ่ี
กาหนดไว้ท่ีความเชื่อมั่น 95 เปอร์เซ็นต์ เครื่องมือท่ีใช้ในการวิจัย ครั้งนี้เป็นแบบสอบถาม มีค่าความเช่ือมั่น
คานวณโดยใช้สูตรสัมประสิทธ์ิแอลฟาของครอนบาค ได้ค่าความเช่ือมั่นทั้งฉบับ เท่ากับ 0.9237 วิเคราะห์
ข้อมูลโดยใช้การวิเคราะห์สภาพการขอมีหรือขอเล่ือนวิทยฐานะที่มีต่อการปฏิบัติงานของข้าร าชการครู
สานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษามัธยมศึกษา เขต 42 วิเคราะห์โดยการหาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบน
มาตรฐาน และแปลความหมายของกลุ่มของค่าเฉลยี่ ผลการศกึ ษา พบวา่ ขา้ ราชการครูมีความต้องการอบรม
เพ่ือสร้างความรู้ ความเข้าใจหลักเกณฑ์ และวิธีการพัฒนาให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา
มีวิทยฐานะและเล่ือนวทิ ยฐานะท่ีสูงขึ้น ในภาพรวม อยู่ในระดับมากทุกข้อ โดยข้อที่มีค่าเฉล่ียสูงสุดคือ ข้อ 3
ตวั ช้วี ัดและเกณฑก์ ารตดั สิน ขอ้ ท่มี คี า่ เฉลีย่ ต่าท่สี ดุ คือ ข้อ 7 แนวปฏบิ ัตกิ ารขอมวี ทิ ยฐานะและเล่ือนวิทยฐานะ
ในชว่ งระยะเวลาเปลยี่ นผ่าน
คาสาคัญ วทิ ยฐานะ/ การปฏิบตั งิ านของขา้ ราชการครู
*รองผู้อานวยการสานกั งานเขตพ้นื ที่การศกึ ษา ดร. สานกั งานเขตพ้ืนท่กี ารศกึ ษามัธยมศกึ ษา เขต 42
The deputy director Secondary Education Service Area Office District Dr., Secondary Education Service Area Office District 42
183
วารสารการวิจยั การศึกษาข้ันพื้นฐาน
ฉบบั ปฐมฤกษ์ (กรกฎาคม - ธนั วาคม 2564)
ABSTRACT
The objective of this survey research was to study the condition of applying for or
requesting to promote academic standing towards the performance of government teachers Office
of the Secondary Education Service Area 42, the Office of the Basic Education Commission which
was a quantitative research. The population used in this study was 2,483 teachers in the Office of
Secondary Education Service Area 42 , the Office of the Basic Education Commission classified as
government teachers in Nakhon Sawan province of 1,762 people and in Uthai Thani province of
721 people the Fiscal Year 2020 Plan. The samples used in the study were government teachers,
Office of Secondary Education Service Area 42, the Office of the Basic Education Commission by
opening the table of Crazy and Morgan. A sample of 333 people in the study at 95 percent and
using simple random sampling in order to obtain a number of the desired sample size, not less
than the tables of Crazy and Morgan set at 95 percent confidence. In this study, there were 637
government teachers of the Secondary Education Service Area Office 42, which was more than the
95 percent confidence threshold. The instrument used in this research was a questionnaire has
reliability, calculated using Cronbach's Alpha Coefficient, was 0.9237. The data was analyzed using
condition analysis of requesting to have or request for an academic standing towards the
performance of government teachers Office of the Secondary Education Service Area 42, analyzed
by finding the Percentage, Mean, and Standard Deviation, and interpreted the group's mean.
The study found that the government teachers needed training to create knowledge, Knowledge
of Criteria and methods of development for government teachers and educational personnel to
have academic standing and promote higher academic standing. The overall was at a high level
(\bar{x}= 4.03). When classified by item, it was found that the level of training needs to create
knowledge, Knowledge of Criteria and methods of development for government teachers and
educational personnel have academic standing and promote higher academic standing was a high
level in every item. The item with the highest mean was Item 3, Indicators and Judging Criteria
(\bar{x}= 4.07). The item with the lowest mean was Item 7. Guidelines for requesting to have or
request to postpone academic standing during the transition period there was an average value
(\bar{x}= 3.99).
Keywords : Academic standing/ performance of teacher civil servants
184
วารสารการวิจยั การศึกษาขั้นพืน้ ฐาน
ฉบบั ปฐมฤกษ์ (กรกฎาคม - ธันวาคม 2564)
บทนา เพราะครูเป็นผู้ให้การศึกษา อบรม และปลูกฝัง
ค่านิยมต่างๆ แก่เด็กและเยาวชนอย่างใกล้ชิด ครู
การศึกษาเป็นเครื่องมือสาคัญในการพัฒนาคน เป็นผู้ที่มีอิทธิพลต่อการพัฒนาคุณลักษณะของ
ให้สามารถพัฒนาประเทศท้ังในด้านเศรษฐกิจ
สงั คม และการเมืองให้เหมาะสมกบั สภาพแวดล้อม ประชากรไทยซึ่งเป็นทรัพยากรที่สาคัญท่ีสุดซึ่งจะ
ภายในและภายนอกประเทศ ผลผลิตของระบบ กาหนดอนาคตของประเทศ สานักงานคณะกรรมการ
การศึกษา คือ พลเมืองของประเทศที่สามารถ
ปรับตัว แก้ไขปัญหาท่ีมีความหลากหลายใน ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.)
สถานการณ์ท่ีมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ในฐานะองค์กรกลางการบริหารงานบุคคลสาหรับ
และสามารถริเริ่มพัฒนาตนเอง ครอบครัว ชุมชน ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาจึงได้
ตลอดจนประเทศชาติ ให้พฒั นาและก้าวหน้าไปได้
บนพ้ืนฐานของความเข้าใจในเหตุและผล ความ กาหนดให้มีระบบส่งเสริมให้ข้าราชการครูมีความ
ถูกต้อง ความดีงาม และความเหมาะสมกับ เจริญก้าวหน้าในอาชีพ เพื่อจะได้มีกาลังใจท่ีจะ
สภาพแวดล้อม การศึกษาไทยในยุคปัจจุบัน เป็น
การศึกษาในยุคสังคมแห่งการเรียนรู้ การศึกษา มุ่งมั่นพัฒนาการเรียนการสอนซ่ึงจะส่งผลต่อ
ช่วยพัฒนาศักยภาพหรือเสริมสร้างพลังท่ีมีอยู่ใน คุณภาพของผู้เรียนในท่ีสุด โดยการจัดทาผลงาน
ตัวมนุษย์ทุกคน ซ่ึงสามารถทาได้ต้ังแต่จุดแรกเริ่ม ทางวิชาการเสนอเพ่ือขอปรับปรุงตาแหน่งและ
และตลอดชั่ววัยของชีวิต ซ่ึงเป็นการอบรมบม่ นสิ ัย
ในมนุษย์สามารถประพฤติตน เพื่อที่จะอยู่ร่วมกับ การให้ได้รับเงินเดือนในระดับท่ีสูงข้ึน ซ่ึงเมื่อผ่าน
บุคคลอ่ืนในสังคม ดารงชีวิตและการประกอบ การประเมินแล้วก็จะได้รับการตอบแทน ท้ัง
อาชีพในอนาคต และสามารถร่วมสร้างประโยชน์
ให้กับสังคมท่ีตนอาศัยอยู่ จึงถือได้ว่าการพัฒนา ตาแหน่ง วิ ชาการ และ เงินประจาตาแหน่ง
คุณภาพมนุษย์ทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านร่างกาย ( ส า นั ก ง า น ค ณ ะ ก ร ร ม ก า ร ข้ า ร า ช ก า ร ค รู แ ล ะ
ด้านจิตใจ ด้านสติปัญญา คุณธรรม ค่านิยม บคุ ลากรทางการศกึ ษา, 2552)
ความคดิ ครกู ็เป็นคนสาคญั ในการสร้างเยาวชนที่ดี
และสร้างอนาคตของชาติด้วย พระราชบัญญัติ ก าร ท่ีข้าร าชก ารครูและ บุคลากรทาง
การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ฉบับปรับปรุง การศึกษาจะมีวิทยฐานะ ใดและ เล่ือ น เป็น
พ.ศ. 2545 ได้กาหนดความมุ่งหมายในการจัด
การศึกษาไว้ว่า ต้องเป็นไปเพื่อพัฒนาคนไทยให้ วิทยฐานะใดน้นั พระราชบัญญตั ริ ะเบยี บข้าราชการ
เป็นมนุษย์ท่ีสมบูรณ์ทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ ครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2547 มาตรา
สติปัญญา ความรู้ และคุณธรรม มีจริยธรรมและ 54 กาหนดให้ต้องผ่านการประเมินด้านความ
วัฒนธรรมในการดารงชวี ติ สามารถอยูร่ ว่ มกบั ผู้อื่น
ได้อย่างมีความสุข (กระทรวงศึกษาธิการ, 2546 : ประพฤติด้านวินัย คุณธรรม จริยธรรม และ
3) ครูจึงเป็นผู้ท่ีมีบทบาทหน้าที่สาคัญในอันท่ีจะ จรรยาบรรณ วิชาชีพด้านคุณภาพการปฏิบัติงาน
ผลักดันให้เจตนารมณ์ดังกล่าวบรรลุเป้าหมาย
และมีผลงานท่ีเกิดจากการปฏิบัติหน้าที่ในด้าน
การเรียนการสอน เม่อื ผลการประเมินผ่านเกณฑ์ท่ี
ทางสานักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและ
บุคลากรทางการศึกษากาหนด ครูก็จะได้รับการ
แต่งต้งั ใหด้ ารงตาแหนง่ วทิ ยฐานะตามระดับความรู้
ความสามารถ ความชานาญการหรือความเชี่ยวชาญ
ของครูเอง โดยท่ีตาแหน่งวิทยฐานะ ได้แบ่งออกเป็น
4 ระดับคือ วิทยฐานะครูชานาญการ วิทยฐานะ
185
ครูชานาญการพิเศษ วิทยฐานะครูเชี่ยวชาญ และ วารสารการวิจยั การศึกษาขัน้ พืน้ ฐาน
วิทยฐานะครูเชี่ยวชาญพิเศษ การแต่งต้ังให้ดารง ฉบับปฐมฤกษ์ (กรกฎาคม - ธันวาคม 2564)
ตาแหน่งวิทยฐานะ โดยที่วิทยฐานะครูชานาญการ
ในปัจจุบันการให้ข้าราชการครูและบุคลากร
ได้รับเงินประจาตาแหน่ง จานวน 3,500 บาท วิทย ทางการศึกษามีวิทยฐานะใดและการเลื่อนเป็น
ฐานะ วิทยฐานะใด ต้องเป็นไปตามมาตรฐานวิทยฐานะ
ครูชานาญการพิเศษได้รับเงินประจาตาแหน่ง ตามมาตรา 42 ซึ่งผ่านการประเมิน ท้ังนี้ ให้
คานึงถึงความประพฤติด้านวินัย คุณธรรม
จานวน 11,200 บาท วิทยฐานะครูเชี่ยวชาญ จริยธรรม จรรยาบรรณวิชาชีพ ประสบการณ์
ได้รับเงินประจาตาแหน่งจานวน 19,800 บาท และ คุณภาพการปฏิบัติงาน ความชานาญ ความ
เช่ียวชาญ ผลงานที่เกิดจากการปฏิบัติหน้าท่ีใน
วิทยฐานะครูเช่ียวชาญพิเศษไดร้ ับเงินประจาตาแหน่ง ด้านการเรียนการสอน ตามหลักเกณฑ์และวิธีการ
จานวน 26,000 บาท การท่ีครูได้รับการเล่ือน ที่ ก.ค.ศ. กาหนด” ก.ค.ศ. จึงประกาศใช้
วิทยฐานะ ครูจาเป็นต้องพัฒนาตนเพ่ือให้เท่าทัน ห ลั ก เ ก ณ ฑ์ แ ล ะ วิ ธี ก า ร ใ ห้ ข้ า ร า ช ก า ร ค รู แ ล ะ
บุคลากรทางการศึกษา ตาแหน่งครู มีวิทยฐานะ
กับการเปลี่ยนแปลงที่เป็นไปอย่างต่อเนื่องโดยมี และเลื่อนวิทยฐานะ ตามหนังสือสานักงาน ก.ค.ศ.
ทักษะการเปล่ียนแปลงที่สาคัญ คือ การสร้าง ที่ ศธ 0206.3/ว 21 ลงวันที่ 5 กรกฎาคม 2560
โดยมีหลักการและเหตุผล ประการสาคัญในการ
บรรยากาศให้เกิดความรู้สึกหรือทัศนคติทางบวก ป ร ะ ก า ศ ใ ช้ เ พ่ื อ ใ ห้ เ กิ ด คุ ณ ภ า พ ก า ร ศึ ก ษ า แ ล ะ
ในการจัดการกับการเปลี่ยนแปลง การแสวงหา สามารถพัฒนาผูเ้ รยี นใหม้ ีคุณภาพ มีความสามารถ
ความรู้เก่ียวกับการเปลี่ยนแปลงตนเอง และการ และสมรรถนะทเ่ี หมาะสม ประกอบกบั ยุทธศาสตร์
การพัฒนาประเทศได้กาหนดให้มีการพัฒนา
ปรับปรุงตนเอง โดยแสวงหาการสนับสนุนจาก ทรัพยากรบุคคลใหม้ ีความสามารถและสมรรถนะท่ี
บุคคลในอาชีพเดียวกัน จุดเริ่มต้นของการพัฒนา เหมาะสมรองรับการพัฒนาประเทศไทย 4.0 โดย
ครูเป็นกลไกสาคัญสูงยิ่ง ในการเตรียมผู้เรียนตาม
ตนของผู้ประกอบวชิ าชีพครู คือ การประเมนิ ความ ยุทธศาสตร์ดังกล่าว ก.ค.ศ. จึงกาหนดมาตรฐาน
สามารถของตนเอง เพื่อนาไปสู่การวางแผนการ ตาแหน่ง มาตรฐานวิทยฐานะ หลักเกณฑ์และ
พัฒนาอย่างรอบด้าน (อรรณพ จีนะวัฒน์, 2559) วิธีการให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศกึ ษา
ตาแหน่งครู มีวิทยฐานะและเลื่อนวิทยฐานะ และ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ครูนั้นจะต้องมีการพัฒนาใน หลักเกณฑ์และวิธีการพัฒนาข้าราชการครู และ
ด้านต่างๆ อย่างต่อเนื่อง ทั้งน้ีเพราะการพัฒนา บุคลากรทางการศึกษา สายงานการสอน ให้มี
ความสอดคล้องเช่ือมโยงกัน ท้ังระบบ โดยในส่วน
ตนเองอย่างต่อเนื่องของครูจะช่วยให้ครูได้รับการ ของหลักเกณฑ์และวิธีการให้ข้าราชการครูและ
พฒั นาศกั ยภาพของความเปน็ ครอู ย่างเพยี งพอและ บุคลากรทางการศึกษา ตาแหน่งครู มีวิทยฐานะ
มีประสิทธิภาพ ซึ่งสอดคล้องกับ ณัฐพล อินต๊ะเสนา และเลื่อนวิทยฐานะ ซ่ึงได้ประกาศใช้ตามหนังสือ
สานักงาน ก.ค.ศ. ท่ี ศธ 0206.3/ว 21 ลงวันที่
(2552) ได้ศึกษาผลกระทบของการเลื่อนวิทยฐานะ 5 กรกฎาคม 2560 เป็นหลักเกณฑ์และวิธีการที่มี
ท่ีมีต่อการปฏิบัติงานของครู พบว่า เมื่อครูได้เลื่อน การปรับเปลี่ยนระบบการประเมินวิทยฐานะท่ี
แตกต่างไปจากเดิม โดยมุ่งเนน้ ให้ครไู ด้มกี ารสัง่ สม
วิทยฐานะมีการพัฒนาตนเองในการหาความรู้เพ่ือ
เพ่ิมพูนทักษะ ความรู้ความสามารถของตนเอง
ให้มากยิ่งขึ้น ด้านการพัฒนาวิชาชีพครู การเล่ือน
วิทยฐานะของครูทาให้วิชาชีพครูเป็นวิชาชีพที่มี
เกียรติและเป็นท่ียอมรับของสังคมมากข้ึนเม่ือ
เทียบกบั วชิ าชพี อน่ื ๆ และยังส่งผลไปยังภาพลักษณ์
ตอ่ ความนา่ เชื่อถือของสงั คมอกี ด้วย
186
ประสบการณ์ มคี วามชานาญและเชี่ยวชาญในการ วารสารการวิจัยการศึกษาขัน้ พืน้ ฐาน
จัดการเรียนการสอน มีการพัฒนาตนเอง และ
พัฒนาวิชาชีพอย่างต่อเนื่อง นาผลงานที่เกิดจาก ฉบับปฐมฤกษ์ (กรกฎาคม - ธันวาคม 2564)
การปฏิบตั หิ น้าที่และการพัฒนาตนเองมาใช้ในการ
ขอมีวิทยฐานะหรือเลื่อนวิทยฐานะ ดังน้ัน เพ่ือให้ ข้ า ร า ช ก า ร ค รู แ ล ะ บุ ค ล า ก ร ท า ง ก า ร ศึ ก ษ า มี
การดาเนนิ การตามหลักเกณฑแ์ ละวธิ กี ารที่ ก.ค.ศ. วทิ ยฐานะและเล่อื นวทิ ยฐานะที่สูงข้นึ
ก า ห น ด เ ป็ น ไ ป อ ย่ า ง มี ป ร ะ สิ ท ธิ ภ า พ แ ล ะ เ ป็ น
มาตรฐานเดียวกัน ซึ่งที่ผ่านมาข้าราชการครูใน ขอบเขตด้านตัวแปร
สังกัดสานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษามัธยมศึกษา ตัวแปรที่ศึกษา ได้แก่ สภาพการขอมีหรอื
เขต 42 ยังมีจานวนผู้ท่ีได้รับการเล่ือนวิทยฐานะ
ได้น้อยมาก ตามเกณฑ์การเลื่อนวิทยฐานะ ตาม ข อ เ ล่ื อ น วิ ท ย ฐ า น ะ ที่ มี ต่ อ ก า ร ป ฏิ บั ติ ง า น ข อ ง
หนังสือสานักงาน ก.ค.ศ. ท่ี ศธ 0206.3/ว 21 ข้าราชการครู สานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษา
ลงวันที่ 5 กรกฎาคม 2560 เมื่อเทียบกับจานวน มธั ยมศึกษา เขต 42 ปกี ารศึกษา 2563
ข้าราชการครูทม่ี ีอยู่ในสังกดั
ขอบเขตดา้ นสถานที่
จากความเป็นมาและความสาคัญดังกล่าว ก าร วิ จัยคร้ั ง น้ีคร อ บคลุมพ้ืนท่ีของ
ผวู้ ิจยั จึงมคี วามสนใจทจ่ี ะศกึ ษาสภาพการขอมีหรือ
ข อ เ ล่ื อ น วิ ท ย ฐ า น ะ ที่ มี ต่ อ ก า ร ป ฏิ บั ติ ง า น ข อ ง สานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษามัธยมศึกษา เขต 42
ข้าราชการครู สานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษา คน โดยจาแนกเป็นข้าราชการครู ในจังหวัด
มธั ยมศึกษา เขต 42 สังกัดสานกั งานคณะกรรมการ นครสวรรค์ จานวน 1,762 คน และในจังหวัด
การศึกษาขั้นพื้นฐานตามหลักเกณฑ์ ตามหนังสือ อุทัยธานี จานวน 721 คน
สานักงาน ก.ค.ศ. ท่ี ศธ 0206.3/ว 21 ลงวันที่
5 กรกฎาคม 2560 วา่ มสี ภาพเป็นอยา่ งไร ขอบเขตด้านระยะเวลา
ระยะเวลาทใี่ ช้ในการศึกษาคร้งั น้ี
วตั ถปุ ระสงคข์ องการวจิ ัย
เพื่อศึกษาสภาพการขอมี หรือขอเลื่อน ปกี ารศึกษา 2563
วิทยฐานะท่ีมีต่อการปฏิบัติงานของข้าราชการครู
สานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษามัธยมศึกษา เขต 42 นยิ ามศัพท์เฉพาะ
สัง กั ดสานัก ง าน คณะ ก ร ร มก าร ก าร ศึก ษา วิทย ฐ า น ะ หมายถึง ตาแหน่งคว ามรู้
ขั้นพื้นฐาน ตามหลักเกณฑ์ ตามหนังสือสานักงาน ความสามารถ ความชานาญการหรือความ
ก.ค.ศ. ท่ี ศธ 0206.3/ว 21 ลงวันที่ 5 กรกฎาคม เช่ียวชาญของข้าราชการครูและบุคลากรทางการ
2560 ศึกษาในการปฏิบัติงานวิชาชีพการเลื่อนวทิ ยฐานะ
ของครู หมายถึง การทค่ี รมู กี ารเปลี่ยนแปลงระดับ
ขอบเขตของการวิจยั ข อ ง ต า แ ห น่ ง วิ ท ย ฐ า น ะ ต า ม ท่ี ส า นั ก ง า น
คณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการ
ขอบเขตด้านเนอื้ หา ศึกษากาหนด โดยเป็นผลมาจากการปฏิบัติงาน
ความต้องการอบรมเพ่ือสร้างความรู้ ของครู ซึ่งในการวิจัยน้ีศึกษาทั้งหมด 3 ระดับ คือ
วิทยฐานะครูชานาญการ วิทยฐานะครูชานาญการ
ความรู้ความเข้าใจหลักเกณฑ์และวิธีการพฒั นาให้ พเิ ศษ และวทิ ยฐานะครูเช่ยี วชาญ
ส ภ า พ ก า ร ข อ มี ห รื อ ข อ เ ล่ื อ น วิ ท ย ฐ า น ะ
หมายถึง ความต้องการในการขอมีหรือขอเล่ือน
วิทยฐานะ ความรู้ความเข้าใจหรือพฤติกรรมท่ี
เกิดขึ้นต่อตนเองผู้เรียน และวิชาชีพครูอันเป็นผล
จากการเลื่อนวิทยฐานะของครู ซ่ึงผลกระทบที่
เกิดข้ึนเป็นผลกระทบตามความคิดเห็นของครูทไ่ี ด้
187
เลื่อนวิทยฐานะครูชานาญการ วิทยฐานะครู วารสารการวิจยั การศึกษาขนั้ พื้นฐาน
ชานาญการพเิ ศษ และวิทยฐานะครูเช่ียวชาญ
ฉบบั ปฐมฤกษ์ (กรกฎาคม - ธนั วาคม 2564)
การปฏิบัติงานของครู หมายถึง พฤติกรรม
การทางานของครูหลังจากได้เลื่อนวิ ทยฐานะ การพฒั นาผู้เรยี น หมายถงึ การที่ครใู ช้ความ
ซ่ึงประกอบด้วยพฤติกรรมการปฏิบัติงานด้านการ พยายามอย่างเต็มความสามารถในการที่จะทาให้
พัฒนาตนเอง ด้านการพัฒนาผู้เรียนและด้าน ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามความถนัด ความสนใจ
การพัฒนาวิชาชีพครูการพัฒนาตนเอง หมายถึง และความต้องการของผู้เรียนเอง โดยมีการ
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการเรียนรู้และ วิเคราะห์ วินิจฉัยปัญหา และความต้องการท่ี
ปรับปรุงตนเองในด้านต่างๆ เพ่ือพัฒนาศักยภาพ แท้จริงของผู้เรียน มีการปรับเปล่ียนวิธีการสอน
ของตนเองให้มีคว ามเจริญก้ าว หน้าแ ละ มี เพื่อให้มีความเหมาะสมกับผู้เรียน รวมท้ังส่งเสริม
ประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน เพื่อสะสมความรู้ พัฒนาการด้านต่างๆ ตามศักยภาพของผู้เรียน
และประสบการณ์ให้มีมากข้ึน หลังจากการเลื่อน แต่ละคนอย่างเป็นข้ันตอน สามารถแบ่งออกได้
วทิ ยฐานะ ซึ่งสามารถแบ่งออกไดเ้ ป็น 2 ดา้ น คือ เป็น 2 ลักษณะ คือ การพัฒนาผู้เรียน ด้าน
ผลสมั ฤทธิท์ างการเรยี น และการพฒั นาผูเ้ รียนด้าน
ด้านที่ 1 การพัฒนาตนเองด้านวิชาการ คณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค์
หมายถึง การท่ีครูมีกระบวนการในการแสวงหา
ความรู้ในด้านต่างๆ เพ่ือเพิ่มพูนความรู้ความคิด การพัฒนาผู้เรียนด้านผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
ทักษะและความชานาญในวิชาทตี่ นเองสอนรวมทั้ง หมายถึง การพัฒนาผู้เรียนด้านระดับของความรู้
มีการพัฒนาผลงานทางวิชาการของตนเอง มีการ และความสามารถของนักเรียนอันเกิ ดจาก
สารวจและประเมินตนเองอยู่ตลอดเวลาเพื่อหา ก า ร เ รี ย น ก า ร ส อ น ข อ ง ค รู ห ลั ง จ า ก ก า ร เ ล่ื อ น
ข้อบกพร่องในการทางาน สามารถบูรณาการและ วิทยฐานะ ซ่ึงเป็นการเปล่ียนแปลงพฤติกรรมและ
สร้างองคค์ วามร้ใู หมใ่ ห้กับตนเองอยู่เสมอ ประสบการณ์การเรียนรู้ตามความสามารถของ
นั ก เ รี ย น ก า ร พั ฒ น า ผู้ เ รี ย น ด้ า น คุ ณ ลั ก ษ ณ ะ
ด้านที่ 2 การพัฒนาตนเองด้านคุณภาพ อันพึงประสงค์ หมายถึง การพัฒนาผู้เรียนด้าน
การจัดการเรียนการสอน หมายถึง การท่ีครูมี คุณลักษณะที่ต้องการให้เกิดข้ึนกับผู้เรียนอันเป็น
กระบวนการจัดการเรียนรู้เพ่ือพัฒนาคุณภาพ คุณลักษณะในด้านการมีคุณธรรม จริยธรรม
ผู้เรียนอย่างเป็นระบบ มีการวางแผนในการสอน ค่านิยมและบคุ ลิกลกั ษณะนสิ ัยทด่ี งี าม
สร้างบรรยากาศที่เอื้อต่อการเรียนรู้ ใช้กิจกรรม
การเรียนการสอนท่ีสร้างสรรค์และมีคว าม การพัฒนาวิชาชีพครู หมายถึง การท่ีครู
หลากหลาย มีการใช้ส่อื วัสดุ อปุ กรณท์ ชี่ ่วยในการ เข้าเป็นสมาชิกขององค์กรในรูปแบบต่างๆ เพ่ือให้
เรียนรู้ของนกั เรียน มีการบรู ณาการเนื้อหาวิชาที่สอน ไดม้ าซึ่งขา่ วสาร ขอ้ มูลเก่ยี วกับเรื่องราวทางวชิ าการ
และมีการวัดและประเมินผลอย่างมีประสิทธิภาพ หรือเข้าร่วมกจิ กรรมท่ีก่อให้เกดิ ความรู้ความเข้าใจ
หลังจากการได้เลื่อนวิทยฐานะ ทาให้ผู้เรียนเกิด ในองค์กรกว้างขวางมากย่ิงขึ้น หรือการได้รับเชิญ
กระบวนการเรียนรู้ได้อย่างเต็มศักยภาพ รวมทั้ง หรือได้รับมอบหมายให้ทาหน้าที่ในการให้ความรู้
ส า ม า ร ถ ก ร ะ ตุ้ น ใ ห้ ผู้ เ รี ย น เ กิ ด ค ว า ม ส น ใ จ ใ น แก่ผู้ฟังในเรื่องใดเร่ืองหนึ่ง รวมท้ังการมีความ
การเรยี น ประพฤติทดี่ แี ละมีจรรยาบรรณวชิ าชพี
ประโยชนท์ ี่ได้รบั
1. ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา
หน่วยงานการศึกษา และส่วนราชการต้นสังกัด
ได้ใช้เป็นหลักปฏิบัติสาหรับการดาเนินการขอมี
วิทยฐานะหรอื เล่ือนวิทยฐานะ
188
2. ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา วารสารการวิจยั การศึกษาขัน้ พื้นฐาน
ทราบแนวทางประเมินผลงานที่เกิดจากการปฏิบตั ิ
หน้าที่และคณะกรรมการประเมินผลงานทางวิชาการ ฉบับปฐมฤกษ์ (กรกฎาคม - ธนั วาคม 2564)
ใ ช้ เ ป็ น ห ลั ก ป ฏิ บั ติ ส า ห รั บ ก า ร ป ร ะ เ มิ น ก า ร ข อ มี
วทิ ยฐานะหรอื เลือ่ นวิทยฐานะ จานวนตามขนาดของกลุ่มตัวอย่างท่ีต้องการไม่
น้อยกว่าตามที่ตารางของ เครซี่และมอร์แกน
3. ทาให้ทราบข้อมูลสารสนเทศสาหรับ กาหนดไว้ทคี่ วามเช่ือมน่ั 95 เปอร์เซ็นต์
หน่วยงานท่ีเก่ียวข้องในการพัฒนาและปรับปรุง
บุคลากรในหนว่ ยงานให้สามารถปฏบิ ัตงิ านไดอ้ ย่าง ตวั แปรทใี่ ชใ้ นการศึกษา
เต็มความสามารถ รวมท้ังเพ่ือเป็นประโยชน์ ตัวแปรที่ศึกษา ได้แก่ สภาพการขอมีหรือ
ส า ห รั บ ผู้ ท่ี ส น ใ จ น า ผ ล ก า ร วิ จั ย ท่ี ไ ด้ ไ ป ใ ช้ เ พ่ื อ ข อ เ ลื่ อ น วิ ท ย ฐ า น ะ ท่ี มี ต่ อ ก า ร ป ฏิ บั ติ ง า น ข อ ง
ก่อใหเ้ กดิ ผลการพัฒนาในดา้ นต่างๆ ต่อไป ข้าราชการครู สานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษา
มธั ยมศึกษา เขต 42
วิธดี าเนินการวจิ ัย เคร่อื งมือที่ใช้ในการศึกษา
ในการศึกษาคร้ังน้ีมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา เ ค ร่ื อ ง มื อ ท่ี ใ ช้ ใ น ก า ร วิ จั ย ค รั้ ง น้ี เ ป็ น
สภาพการขอมีหรือขอเล่ือนวิทยฐานะ ที่มีต่อการ แบบสอบถาม (questionnaire) โดยได้ดาเนินการ
ปฏิบัติงานของข้าราชการครู สานักงานเขตพ้ืนที่ สรา้ งตามลาดับข้นั ตอนดังน้ี
การศึกษามัธยมศึกษา เขต 42 สังกัดสานักงาน
คณะกรรมการการศึกษาข้ันพื้นฐานซึง่ เป็นการวิจัย 1. ศึกษาแนวความคิด ทฤษฎี เอกสาร
เชิงปริมาณ และใช้รูปแบบการสารวจ (Survey และวรรณกรรมท่ี เก่ียว ข้องกับการก ารขอ มี หรื อ
Research) ข อ เ ลื่ อ น วิ ท ย ฐ า น ะ ท่ี มี ต่ อ ก า ร ป ฏิ บั ติ ง า น ข อ ง
ประชากรและกลุ่มตวั อย่าง ขา้ ราชการครู
ประชากรท่ีใช้ในการศึกษาครั้งนี้ คือ ข้าราชการครู
สานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษามัธยมศึกษา เขต 42 2. ศึกษาหลักเกณฑ์และวิธีการสร้าง
สั ง กั ด ส า นั ก ง า น ค ณ ะ ก ร ร ม ก า ร ก า ร ศึ ก ษ า ขั้ น แบบสอบถาม จากตารา เอกสารและวรรณกรรมท่ี
พื้นฐาน ปกี ารศึกษา 2563 จานวน 2,483 คน โดย เก่ียวข้องกับการบริหารงานบุคคล และการขอมี
จาแนกเป็นข้าราชการครู ในจังหวัดนครสวรรค์ หรือขอเล่ือนวิทยฐานะที่มีต่อการปฏิบัติงานของ
จานวน 1,762 คน และในจังหวัดอุทัยธานี จานวน ข้าราชการครู เพ่ือนามาปรับปรุงและสร้าง
721 คน (แผนประจาปีงบประมาณ 2563) แบบสอบถาม
กลมุ่ ตวั อยา่ ง
สาหรับกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ 3. สร้างแบบสอบถามตามหลักเกณฑ์ให้
ข้าราชการครู สานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษา ครอบคลุมเนื้อหา โดยศึกษาจากแบบสอบถามและ
มัธยมศึกษา เขต 42 สังกัดสานักงาน คณะ แบบทดสอบต่างๆ ทมี่ ลี ักษณะใกล้เคยี ง
กรรมการการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน ปีการศึกษา 2563
โ ด ย ก า ร เ ปิ ด ต า ร า ง ข อ ง เ ค ร ซ่ี แ ล ะ ม อ ร์ แ ก น 4. นาร่างแบบสอบถามท่ีสร้างขึ้นไปให้
ได้กลุ่มตัวอย่าง จานวน 333 คน ในการศึกษา ผทู้ รงคณุ วฒุ ิและผ้เู ช่ยี วชาญเพ่ือตรวจสอบ
ท่ีความเชื่อมั่น 95 เปอร์เซ็นต์ และใช้การสุ่ม
อย่างง่าย (Simple Random Sampling) เพื่อให้ได้ ความเท่ียงตรงเชิงเน้ือหา (Content
Validity) และการใช้ภาษาในแบบสอบถาม จานวน
3 ทา่ น คอื
1) นายสมศักดิ์ เอย่ี มดี ตาแหน่ง
ผู้ อ า น ว ย ก า ร ส า นั ก ง า น เ ข ต พ้ื น ที่ ก า ร ศึ ก ษ า
ประถมศึกษากาแพงเพชร เขต 2 วิทยฐานะ
ชานาญการพิเศษ มีความเช่ียวชาญด้านการ
บรหิ ารงานบุคคล
189
2) นางสาวกุลนิดา ศรีสิงห์ วารสารการวิจัยการศึกษาข้ันพื้นฐาน
ปฏิบัติหน้าที่ผู้อานวยการกลุ่มบริหารงานบุคคล ฉบับปฐมฤกษ์ (กรกฎาคม - ธันวาคม 2564)
สานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 42
ข้าราชการครู สานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษา
วิทยฐานะชานาญการพิเศษ มีความเช่ียวชาญดา้ น มัธยมศึกษา เขต 42 สอบถามจากแหล่งขอ้ มลู คือ
การบริหารงานบุคคล ขา้ ราชการครูในสังกัดเปน็ ผ้ตู อบแบบสอบถาม โดย
ไดด้ าเนินการดังนี้
3) นางอัญชลี วันทอง ตาแหน่ง
1. ทาหนังสือราชการ ผ่านระบบ
ผู้อานวยการกลุ่มบริหารงานบุคคล สานักงาน e-office ของสานักงานเขตพ้ื นท่ีการ ศึก ษา
ศึกษาธิการจังหวัดนครสวรรค์ วิทยฐานะชานาญ มัธยมศึกษา เขต 42
การพิเศษ มีความเช่ียวชาญด้านการบริหารงาน 2. ส่งแบบสอบถามผ่านในระบบ
บุคคล electronic from ผ่านไปยังผู้บริหารสถานศึกษา
ในสังกัดและให้ข้าราชการครูในสังกัดเป็นผู้ตอบ
โดยเลือกข้อคาถามที่มีค่า IOC ตั้งแต่ 0.67 - แบบสอบถาม และกาหนดวนั ในการรวบรวมขอ้ มูล
เพ่ือให้การตอบแบบสอบถามเป็นไปอย่างอิสระ
1.00 เพื่อนาไปปรับปรงุ เป็นแบบสอบถาม โดยใหร้ ะยะเวลาในการตอบ 2 สปั ดาห์
5. นาแบบสอบถามมาแก้ไขปรับปรุง
การวิเคราะหข์ ้อมูล
ตามที่ผู้ทรงคุณวุฒิและผู้เช่ียวชาญได้เสนอแนะ การวิเคราะห์ข้อมูลใช้การวิเคราะห์สภาพการ
แล้วนาแบบสอบถาม ไปทดลองใช้ (Tryout) กับ ขอมีหรือขอเล่ือนวิทยฐานะท่ีมีต่อการปฏิบัติงาน
กล่มุ ที่มลี กั ษณะคล้ายกับกลุ่มตัวอย่างโดยได้ศึกษา ของข้าราชการครู สานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษา
มัธยมศึกษา เขต 42 วิเคราะห์โดยการหาค่าเฉล่ีย
กับ บุคลากรทางการศึกษาของสานกั งานเขตพื้นท่ี ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และแปลความหมาย
การศึกษามัธยมศึกษา เขต 42 จานวน 30 คน ท่ี ของกลุ่ม (บุญชม ศรีสะอาด, 2545 : 99-100)
โดยใชเ้ กณฑด์ ังนี้
ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาวิจัยในคร้ังนี้
เพื่อหาค่าความเช่ือม่ัน (Reliability) โดยใช้สูตร ค่ า เ ฉ ล่ี ย 4. 51- 5. 00 ห ม า ย ถึ ง
สัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค (Cronbach’s ความต้องการมากทสี่ ดุ
Alpha Coefficient) ได้ค่าความเช่ือมั่นทั้งฉบับ ค่ า เ ฉ ล่ี ย 3. 51- 4. 50 ห ม า ย ถึ ง
เทา่ กับ 0.9237 ความต้องการมาก
6. นาแบบสอบถามที่มีคณุ ภาพตามเกณฑ์ ค่ า เ ฉ ล่ี ย 2. 51- 3. 50 ห ม า ย ถึ ง
ไปดาเนนิ การเก็บรวบรวมข้อมูล ความต้องการปานกลาง
การเก็บรวบรวมขอ้ มลู ค่ า เ ฉ ล่ี ย 1. 51- 2. 50 ห ม า ย ถึ ง
การเก็บรวบรวมข้อมูลในการศึกษาสภาพ ความตอ้ งการนอ้ ย
ก า ร ข อ มี ห รื อ ข อ เ ลื่ อ น วิ ท ย ฐ า น ะ ท่ี มี ต่ อ ก า ร
ปฏิบัติงานของข้าราชการครู สานักงานเขตพื้นท่ี ค่ า เ ฉ ล่ี ย 1. 00- 1. 50 ห ม า ย ถึ ง
การศึกษามัธยมศึกษา เขต 42 นี้ ผู้วิจัยได้ ความตอ้ งการน้อยที่สดุ
ดาเนินการวิจัยผ่านกลุ่มพัฒนาครูและบุคลากร
ทางการศึกษา และเก็บรวบรวมข้อมูลโดยผ่าน
ระบบ e-office ของสานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษา
พร้อมทั้งแจ้งผ่านในระบบ electronic from โดย
ใช้แบบสอบถามการศึกษาสภาพการขอมีหรือ
ข อ เ ล่ื อ น วิ ท ย ฐ า น ะ ท่ี มี ต่ อ ก า ร ป ฏิ บั ติ ง า น ข อ ง
190
วารสารการวิจยั การศึกษาขั้นพื้นฐาน
ฉบับปฐมฤกษ์ (กรกฎาคม - ธนั วาคม 2564)
สถติ ิทใ่ี ชใ้ นการวิเคราะห์ข้อมูล
ผวู้ ิจยั ดาเนินการวิเคราะห์ข้อมูล โดยใชโ้ ปรแกรมสาเร็จรูปทางสถติ ิ เพอ่ื หาค่าสถติ ิตา่ งๆ ดงั ตอ่ ไปน้ี
1. ค่ารอ้ ยละ (Percentage)
2. หาค่าคะแนนเฉลย่ี ของข้อมลู
3. คา่ ความเบ่ยี งเบนมาตรฐานของคะแนน
ผลการศกึ ษา
การศึกษาสภาพการดาเนินการขอมีหรือขอเลื่อนวิทยฐานะที่มีต่อการปฏิบัติงานของข้าราชการครู
สานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 42 สังกัดสานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพ้ืนฐานตาม
หลักเกณฑ์ ตามหนังสือสานกั งาน ก.ค.ศ. ที่ ศธ 0206.3/ว 21 ลงวันที่ 5 กรกฎาคม 2560 ที่รวบรวมไดจ้ าก
กลมุ่ ตัวอย่าง จานวน 637 คน ดังน้ี
ตาราง แสดงค่าเฉลีย่ คา่ เบี่ยงเบนมาตรฐานความตอ้ งการอบรมเพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจหลักเกณฑ์ และ
วธิ ีการพัฒนาให้ข้าราชการครูและบคุ ลากรทางการศึกษา มวี ทิ ยฐานะและเลื่อนวิทยฐานะทีส่ งู ข้นึ
ความตอ้ งการอบรมเพอื่ สรา้ งความรู้ความเขา้ ใจหลักเกณฑ์ ระดบั ความต้องการ
และวิธีการพฒั นาให้ข้าราชการครูและบคุ ลากรทางการศึกษา
X S.D. แปลผล
มีวทิ ยฐานะและเล่ือนวิทยฐานะที่สูงขึ้น 4.06 0.93 มาก
1. หลกั เกณฑ์คณุ สมบัตขิ องผขู้ อมวี ิทยฐานะและเล่ือนวทิ ยฐานะ
2. การประเมิน 4.02 0.94 มาก
3. ตัวชีว้ ัดและเกณฑ์การตัดสนิ 4.07 0.91 มาก
4. การประเมินผลงานท่ีเกดิ จากการปฏิบัตหิ น้าที่และผลงาน 4.04 0.93 มาก
ทางวิชาการ 4.02 0.95 มาก
4.02 0.95 มาก
5. ขั้นตอนการดาเนนิ การขอมีวทิ ยฐานะและเลื่อนวทิ ยฐานะ
สาหรับผู้ดารงตาแหนง่ ครู 3.99 0.98 มาก
4.02 0.94 มาก
6. หลกั เกณฑแ์ ละวิธีการพัฒนาข้าราชการครแู ละบุคลากร
ทางการศกึ ษา สายงานการสอนตามหนงั สอื สานักงาน
ก.ค.ศ. ท่ี ศธ 0206.3/ว 22 ลงวนั ท่ี 5 กรกฎาคม 2560
7. แนวปฏบิ ัตกิ ารขอมวี ทิ ยฐานะและเลอื่ นวิทยฐานะในชว่ งระยะเวลา
เปลยี่ นผ่าน
8. การกาหนดชว่ั โมงการปฏบิ ัตงิ านและการประเมนิ ผลงานทเี่ กดิ จาก
การปฏิบัติหน้าท่ี ตามหนังสือสานกั งาน ก.ค.ศ.ท่ี ศธ 0206.3/0635
ลงวันท่ี 10 ตุลาคม 2560
191
วารสารการวิจัยการศึกษาข้ันพื้นฐาน
ฉบบั ปฐมฤกษ์ (กรกฎาคม - ธันวาคม 2564)
ความตอ้ งการอบรมเพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจหลกั เกณฑแ์ ละ ระดับความตอ้ งการ
วิธกี ารพฒั นาใหข้ ้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา X S.D. แปลผล
มีวทิ ยฐานะและเลื่อนวิทยฐานะทีส่ งู ขนึ้ 4.04 0.95 มาก
9. กาหนดภาระงานสอนของขา้ ราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา 4.00 0.96 มาก
สายงานการสอน สงั กดั สานกั งาน คณะกรรมการการศกึ ษาขัน้ พืน้ ฐาน
ตามหนงั สือสานักงาน ก.ค.ศ. ที่ ศธ 0206.3/3724 ลงวันที่ 4.03 0.95 มาก
21 กนั ยายน 2553
10. การปรับปรงุ มาตรฐานวทิ ยฐานะของขา้ ราชการครูและบคุ ลากร
ทางการศึกษาวิทยฐานะครชู านาญการและปรับปรุงหลกั เกณฑ์
และวิธีการให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศกึ ษา มีวิทยฐานะ
ครชู านาญการ ตามหนังสือสานักงาน ก.ค.ศ.ท่ี ศธ 0206.3/ว 26
ลงวันท่ี 30 ธนั วาคม 2559
รวม
จากตาราง พบว่าข้าราชการครูและบุคลากร ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา
ทางการศึกษามีความต้องการในการอบรมเพ่ือ
สร้างความรู้ ความเข้าใจหลักเกณฑ์ และวิธีการ มี ค ว า ม ต้ อ ง ก า ร ใ น ก า ร อ บ ร ม เ พื่ อ ส ร้ า ง ค ว า ม รู้
พัฒนาให้ขา้ ราชการครแู ละบุคลากรทางการศึกษา ความเข้าใจหลักเกณฑ์ และวิธีการพัฒนาให้
มีวิทยฐานะและเล่ือนวิทยฐานะ ท่ีสูงขึ้น ใน
ภาพรวมอยใู่ นระดับมาก ( X = 4.03 S.D. = 0.95) ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษามีวิทยฐานะ
เม่ือจาแนกเป็นรายข้อพบว่า ระดับความต้องการ และเล่อื นวทิ ยฐานะท่ีสูงขน้ึ ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก
อบรมเพ่ือสร้างความรู้ความเข้าใจหลักเกณฑ์ และ ท้ังนี้แสดงให้เห็นว่าข้าราชการครูในสังกัดมีความ
วิธีการพัฒนาให้ข้าราชการครูและบุคลากรทาง
การศึกษามีวิทยฐานะและเลื่อนวิทยฐานะท่ีสูงขึ้น ต้ อ ง ก า ร ที่ จ ะ พั ฒ น า ต น เ อ ง ใ ห้ มี ค ว า ม ก้ า ว ห น้ า
อยู่ในระดับมากทุกข้อ โดยข้อที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดคอื ในวิชาชีพครู โดยใช้ระบบการประเมินเพ่ือเลื่อน
ข้อ 3 ตัวชี้วัดและเกณฑ์การตัดสิน ( X = 4.07
S.D. = 0.91) ข้อที่มีค่าเฉล่ียต่าท่ีสุดคือ ข้อ 7 วิทยฐานะ ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของ Arnold
แนวปฏิบัติการขอมีวิทยฐานะและเลื่อนวิทยฐานะ และ Feldman (1983) ได้กล่าวว่า ระบบการ
ในช่วงระยะเวลาเปลี่ยนผ่านมีค่าเฉล่ีย ( X = 3.99 ประเมินผลการปฏิบัติงานคือ ระบบที่สร้างขึ้นมา
S.D. = 0.98)
เพ่ือรวบรวมข้อมูลสารสนเทศที่เกี่ยวข้องกับ
สรุปผลการวิจัย อภิปรายผลการวิจัย และ พ ฤ ติ ก ร ร ม แ ล ะ ก า ร ป ฏิ บั ติ ง า น ข อ ง ส ม า ชิ ก ใ น
ข้อเสนอแนะ
องค์การได้อย่างถูกต้องและแม่นยา และยัง
สอดคล้องกับแนวคิดของ West และ Bolington
(1990) ที่ได้ให้ความหมายของคาว่า ระบบการ
ประเมินผลการปฏิบัติงาน หมายถึง ระบบที่
หน่วยงานออกแบบข้ึนมาสาหรับประเมินผล
การปฏิบัติงานของผู้ปฏิบัติงาน เพ่ือค้นหา
แนวทางการพัฒนาและส่งเสริมความสามารถใน
192
ด้านต่างๆ ของบุคลากรแต่ละคนให้เพิ่มมากยงิ่ ขึน้ วารสารการวิจัยการศึกษาขั้นพืน้ ฐาน
เพื่อจะสามารถนาไปใช้ในการปฏบิ ัตงิ านให้ดียิ่งขึ้น ฉบบั ปฐมฤกษ์ (กรกฎาคม - ธันวาคม 2564)
ดังน้ันการประเมินผลการปฏิบัติงานจึงทาให้ครู
ท่ีเป็นหลักเกณฑ์ และวิธีการเลื่อนวิทยฐานะของ
มีความต้องการที่จะพัฒนาตนเองเพ่ือให้ได้มา ข้าราชการครูที่ถูกกาหนดขึ้นมาใหม่ซึ่งอาจทาให้
ซึ่ ง วิ ท ย ฐ า น ะ ส อ ด ค ล้ อ ง กั บ ง า น วิ จั ยขอ ง ค รู มี ค ว า ม สั บ ส น ใ น เ ร่ื อ ง ค ว า ม รู้ ค ว า ม เ ข้ า ใ จ
ชนาธิป ทยุ้ แป (2551) ทีไ่ ด้ทาวจิ ัยเรื่อง การพัฒนา ในแนวปฏิบัติของหลักเกณฑ์ และวิธีการเล่ือน
วทิ ยฐานะแบบใหมแ่ ละแบบเดิม
ร ะ บ บ ก า ร ป ร ะ เ มิ น ผ ล ก า ร ป ฏิ บั ติ ง า น ส า ห รั บ
ครูผู้สอน ร ะ ดับก าร ศึก ษาข้ั น พื้น ฐาน ก าร ขอ้ เสนอแนะ
ประยุกต์ใช้การประเมินผลที่มุ่งเน้นผลลัพธ์ตาม ขอ้ เสนอแนะทวั่ ไปในการนาผลการประเมิน
ระดับความเช่ียวชาญ ซึ่งผลการวิจัยพบว่า ไปใช้
ส ม ร ร ถ น ะ ที่ จ า เ ป็ น ใ น ก า ร ป ฏิ บั ติ ง า น ข อ ง ค รู
1. ผลการวิจัยทาให้ทราบถงึ ความต้องการใน
ประกอบดว้ ยสมรรถนะหลัก และสมรรถนะประจา ก า ร พั ฒ น า ข อ ง ข้ า ร า ช ก า ร ค รู ที่ ต้ อ ง ก า ร
สายงาน คุณภาพในการปฏิบัติงานของครูผู้สอน ความก้าวหน้าทางวิชาชีพ พร้อมด้วยการเลื่อน
วิทยฐานะ โดยใช้การประเมินจากความสามารถ
ระดบั เช่ยี วชาญพเิ ศษมีคุณภาพไมต่ ่ากวา่ ร้อยละ 90 ปฏิบัติงานตามสภาพจรงิ เพื่อขอเลื่อนวทิ ยฐานะได้
ระดับเชี่ยวชาญ ไม่ต่ากว่าร้อยละ 80 ระดบั ชานาญการ ดังนั้นการกาหนดนโยบายในการเลื่อนวิทยฐานะ
พเิ ศษ ไม่ต่ากวา่ ร้อยละ 70 ระดับชานาญการ ไมต่ ่ากว่า ควรต้องคานึงภาระงานของข้าราชการครูและ
มาตรฐานตาแหน่งของวชิ าชพี ครู
ร้อยละ 60 ระดับปฏิบัติงานไม่ต่ากว่าร้อยละ 50
ระบบการประเมินผลการปฏิบัติงานของครูผู้สอน 2. ควรมีการออกแบบหลักเกณฑ์ และวิธีการ
เลื่อนวทิ ยฐานะ ใหม้ คี วามชดั เจนในทางปฏิบัติและ
มี 4 องค์ประกอบ ดังนี้ ด้านปัจจัยนาเข้า ด้าน ประชาสัมพนั ธใ์ หบ้ ุคลากรท่ีเกี่ยวข้อง องค์กร และ
กระบวนการ ด้านผลผลิต และด้านการให้ข้อมูล หน่วยงานในสังกัดที่เก่ียวข้องกับการขอมีหรือขอ
ป้อนกลับ นอกจากนี้ ผลการประเมินความ เล่ือนวทิ ยฐานะอย่างชดั เจน
พึงพอใจภาพรวมและรายองค์ประกอบของระบบ ขอ้ เสนอแนะในการศึกษาวจิ ยั ในครัง้ ตอ่ ไป
การประเมินผลการปฏิบัติงานพบว่า มีความพึงพอใจ 1. ควรศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการให้ความรู้
ของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา
อยู่ในระดับมาก และผลการประเมินคุณภาพตาม ในการนาหลักเกณฑ์และวิธีการเล่ือนวิทยฐานะ
มาตรฐานของระบบการประเมินพบว่าทุกมาตรฐานมี ของข้าราชการครูเพ่ือนาไปสู่การปฏบิ ตั ิ
คุณภาพอยู่ในระดับดี แต่อย่างไรก็ดีผลการศึกษา 2. การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงสารวจด้วย
การใช้แบบสอบถาม ทาให้ได้ข้อมูลในเชิงปริมาณ
ยังพบว่าข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ดังน้ัน ควรมีการเก็บข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยการลง
ยังมีความต้องการอบรม เพื่อสร้างความรู้ความ พ้ืนท่ีใช้การสัมภาษณ์หรือสนทนากลุ่มบุคลากรที่
เกี่ยวขอ้ งไมว่ า่ จะเปน็ หน่วยงานระดับนโยบาย และ
เข้าใจหลักเกณฑ์ และวิธีการพัฒนาให้ข้าราชการ หน่วยงานผู้ปฏิบัติเพื่อให้ได้ข้อมูลในเชิงลึกมากขน้ึ
ครูและบุคลากรทางการศึกษา มีวิทยฐานะและ และจะทาให้มปี ระโยชนใ์ นการปรับปรุงหลกั เกณฑ์
เล่ือนวิทยฐานะท่ีสูงข้ึน อยู่ในระดับมากทุกข้อ และวิธีการเล่ือนวิทยฐานะของขา้ ราชการครูต่อไป
ซึ่งแสดงให้เห็นว่าข้าราชการครูและบุคลากร
ทางการศึกษายังขาดความรู้ความเข้าใจในเร่ือง
หลักเกณฑ์ และวิธีการเลื่อนวิทยฐานะซ่ึงเป็นไป
ตามหลักเกณฑ์ ตามหนังสือสานักงาน ก.ค.ศ. ที่
ศธ 0206.3/ว 21 ลงวันท่ี 5 กรกฎาคม 2560
193