รหัสวิชา 20204-2005 คำอธบิ ายรายวิชา 2-2-3
ชอื่ วิชา เครือข่ายคอมพวิ เตอร์เบอื้ งตน้
(Introduction to computer Networks)
จดุ ประสงค์รายวิชา (เพ่ือให้)
1. เข้าใจเก่ียวกับหลักการทำงานและองค์ประกอบของระบบเครือข่ายคอมพวิ เตอร์
2. สามารถเลือกใชอ้ ุปกรณแ์ ละเชอื่ มต่อระบบเครือข่ายคอมพิวเตอรเ์ บือ้ งตน้
3. สามารถใช้งานเครือข่ายคอมพวิ เตอร์ในองค์กร
4. มเี จตคตแิ ละกิจนิสยั ทด่ี ีในการปฏบิ ตั งิ านคอมพิวเตอร์ด้วยความละเอยี ด รอบคอบ ถูกต้อง
สมรรณะรายวิชา
1. แสดงความร้เู ก่ียวกบั หลกั การทำงานและกระบวนการของระบบเครือขา่ ยคอมพวิ เตอร์
2. ใชอ้ ุปกรณ์และเช่ือมต่อระบบเครือข่ายคอมพวิ เตอร์เบ้ืองต้นในการปฏิบัตงิ าน
3. ประยกุ ต์ใชใ้ นงานเครือขา่ ยคอมพิวเตอร์ในการปฏบิ ตั ิงานขององค์กร
คำอธบิ ายรายวิชา
ศึกษาและปฏิบัตเิ ก่ียวกบั หลกั การทำงานและองคป์ ระกอบของระบบเครอื ขา่ ยคอมพวิ เตอรป์ ระเภทของ
เครอื ข่ายคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ระบบเครือข่ายคอมพวิ เตอร์ ตวั กลางการเช่ือต่อเครือข่ายคอมพิวเตอร์ โปรโตคอล
รปู แบบการเช่อื มตอ่ เครอื ขา่ ยคอมพิวเตอร์ การตดิ ต้ังระบบปฏิบัติการเครอื ข่ายคอมพิวเตอร์ ใช้โปรแกรมประยกุ ต์
และโปรแกรมยูทลิ ติ ีบ้ นเครือขา่ ยคอมพิวเตอร์
คำนำ
เครือข่ายคอมพิวเตอร์เบื้องต้นรหัสวิชา 20204-2005 จัดทำขั้นตอน ตามหนังสือของวิชา เครือข่าย
คอมพิวเตอร์เบื้องต้น เป็นหลักสูตรใหม่ของพุทธศักราช 2562 เป็นหลักสูตรระดับมัธยมศึกษาตอนต้นหรือ
เทยี บเท่ากับดา้ นวิชาชพี ทีส่ อดคลอ้ งกบั แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสงั คมแห่งชาตแิ ผนกการศกึ ษาแห่งชาติเป็นไป
ตาม กรอบคุณวุฒิ แห่งชาติมาตรฐานการศึกษาของชาติและเกาะคุณวุฒิอาชีวศึกษาแห่งชาติโดยเน้นการ
เรียนรู้สูตรการปฏิบัติเพื่อผลิตและพัฒนากำลังคนระดับฝีมือให้มีสมรรถนะมีคุณธรรมจริยธรรมจรรยาบรรณ
วิชาชีพและกิจนิสัยที่เหมาะสมในการทำงาน ดังนั้นเราจึงนำวิชาเล่มนี้มาทำเป็นวิชา โครงงานในรูปแบบ
หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ E-Book ที่เลือกทำรายวิชานี้เพราะ สามารถค้นหาได้ เราสามารถให้นักเรียนศึกษาได้
ง่ายว่าในวิชาเล่มนี้มีอะไรบ้างเนื้อหาสอดคล้องอะไรบ้าง เพื่อพัฒนาเด็กที่อยากค้นคว้าและศึกษาตนเองให้มี
ความก้าวหน้ามากขึน้
การใช้ในยุคคปัจจุบันเพิ่มมากขึ้นในการเรียนการสื่อการเรียนสอนที่มากเพิ่มขึ้นและค้นคว้าหาข้อมูล
ในหนังสือ e-book วิชา เครือข่ายคอมพิวเตอร์เบื้องต้น รหัสวิชา 20204-2005 การใช้อิเล็กทรอนิกส์ในการ
ใช้ขอ้ มูลเพ่อื ใชก้ ารเรียนการสอนหรือการเรียนรู้ดว้ ยตนเองท่มี ีประสิทธภิ าพเข้าใจง่ายและสะดวกตอ่ การเรียนรู้
ของนักเรยี นหรอื ผู้สนใจทวั่ ไปลและการใชง้ านเพิ่มมากขึน้
ท้ายนี้หนังสือออิเล็กทรอนิกส์ e-book วิชา เครือข่ายคอมพิวเตอร์เบื้องต้น รหัสวิชา 20204 -2005
การศึกษาได้ความรู้มาใช้ในการเรียนผ่านอิเล็กทรอนิกส์ได้เครือข่ายสามารถใช้คอมพิวเตอร์การเชื่อมต่อผ่าน
ต่างๆไดป้ ระโยชนม์ ากกมายเพอ่ื เปน็ ความรู้เขา้ กับยุคปจั จุบนั น้ีได้
หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 1 พนื้ ฐานระบบเครือข่าย 1
พ้ืนฐานระบบเครือข่าย ความรู้พนื้ ฐานเกี่ยวกบั ระบบเครือขา่ ย
3
มาตรฐานการเชือ่ มตอ่ ระบบเครอื ข่าย 9
เลขทีอ่ ยู่ไอพี 15
ประโยชน์ของระบบเครอื ข่าย 18
กิจกรรมตรวจสอบความเข้าใจ 22
กจิ กรรมส่งเสริมการเรียนรู้ 23
แบบทดสอบ 24
หน่วยการเรียนที่ 2 ประเภทของเครือข่ายคอมพิวเตอร์ 28
ประเภทของเครือข่ายคอมพวิ เตอร์ ประเภทของเครือขา่ ยคอมพวิ เตอรแ์ บง่ ตามลักษณะภมู ิศาสตร์ 30
ประเภทของเครอื ขา่ ยคอมพวิ เตอรแ์ บ่งตามลักษณะความเป็นเจ้าของ 38
ประเภทของเครือข่ายคอมพวิ เตอร์แบง่ ตามลักษณะการทำงาน 41
ประเภทของเครือข่ายคอมพวิ เตอร์แบง่ ตามลกั ษณะเทคโนโลยปี ระมวลผล 43
กจิ กรรมตรวจสอบความเขา้ ใจ 47
กิจกรรมส่งเสริมการเรยี นรู้ 48
แบบทดสอบ 50
หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ 3 อปุ กรณ์เครอื ขา่ ย 54
อุปกรณเ์ ครือขา่ ย
การด์ เลน 56
โมเดม็ 58
อปุ กรณร์ วมสัญญาน 60
เครือ่ งทวนสัญญา 64
อุปกรณ์เชื่อมต่อเครือขา่ ยผ่านสายไฟ 65
อปุ กรณ์รักษาความปลอยภยั เครอื ขา่ ย 66
กจิ กรรมตรวจสอบความเข้าใจ 70
กจิ กรรมสง่ เสรมิ การเรียนรู้ 71
แบบทดสอบ 72
หน่วยการเรยี นรทู้ ี่ 4 ตวั กลางการเชือ่ มต่อเครือขา่ ยและโพรโทคอล 76
78
ตัวกลางการเชอื่ มตอ่ เครือขา่ ยและโพรโทคอล ตัวกลางเชอื่ มต่อ
89
โพรโทคอล
93
กิจกรรมตรวจสอบความเขา้ ใจ
94
กจิ กรรมส่งเสริมการเรียนรู้ 95
แบบทดสอบ
หนา้
หน่วยการเรยี นรทู้ ี่ 5 รูปแบบการเชือ่ มต่อเครือขา่ ย 99
101
รูปแบบการเชื่อมตอ่ เครอื ข่าย รปู แบบการเช่ือมต่อเครือข่ายคอมพิวเตอร์ 102
112
-โทโพลโลยี โทโพลยี 113
114
กจิ กรรมตรวจสอบความเขา้ ใจ
กิจกรรมสง่ เสริมการรู้
แบบทดสอบ
หน่วยการเรยี นรู้ที่ 6 แนวโนม้ เทคโนโลยีของระบบสื่อสารข้อมลู แบะระบบเครือข่าย 118
แนวโนม้ เทคโนโลยีของ
ระบบสอ่ื สารขอ้ มลู และ เทคโนโลยีไรส้ าย 120
ระบบเครือข่าย
เทคโนโลยเี ชื่อมโยงสรรพสง่ิ 129
กจิ กรรมตรวจสอบความเขา้ ใจ 137
กิจกรรมส่งเสรมิ การเรียนรู้ 138
แบบทดสอบ 139
หน่วยการเรยี นรูท้ ่ี 7 การเลอื กใช้และติดต้ังระบบปฏิบตั กิ ารเครอื ข่าย หนา้
การเลือกใชแ้ ละตดิ ตัง้ ระบบปฏิบตั ิการเครือข่าย 143
ระบบปฏบิ ัติการเครือขา่ ย การเลอื กใชร้ ะบบปฏบิ ัติการเครือขา่ ย 145
การติดต้งั ระบบปฏิบตั ิการเครือขา่ ย 155
156
กจิ กรรมตรวจสอบความเข้าใจ 166
167
กจิ กรรมส่งเสริมการเรียนรู้ 168
169
ใบงาน
แบบทดสอบ
หนว่ ยการเรียนรทู้ ี่ 8 การใช้โปรแกรมประยุกต์และโปรแกรมยูทิลิต้ี 173
การใช้โปรแกรมประยกุ ต์ การใชโ้ ปรแกรมประยกุ ตบ์ นเครอื ข่าย
และโปรแกรมยูทิลติ ้ี การใชโ้ ปรแกรมยูทิลิต้ีบนเครือขา่ ย 175
กิจกรรมตรวจสอบความเขา้ ใจ 187
กจิ กรรมส่งเสรมิ การเรยี นรู้ 208
209
ใบงาน 210
แบบทดสอบ 212
หน่วยการเรียนรู้ที่
พืน้ ฐานระบบเครือขา่ ย
สาระสำคญั
ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ (Computer network System) คือการนำเครื่องคอมพิวเตอร์
ตั้งแต่ 2 เครื่องขึ้นไปมาเชื่อมต่อเข้าด้วยกันโดยอาศัยช่องทางการสื่อสารข้อมูลทั้งแบบมีสายและ
แบบไร้สาย เพื่อให้คอมพิวเตอร์สามารถรับ-ส่งข้อมูลระหว่างกันได้มีการประมวลผลเก็บรักษาและ
สื่อสารข้อมูลร่วมกัน แต่ทั้งนี้เครื่องคอมพิวเตอร์และอปุ กรณ์ในเครือข่ายมีหลากหลายชนิดดังน้ันใน
การเชอื่ มตอ่ เครอื ข่ายน้นั จงึ จำเป็นต้องมขี ้อกำหนดหรือขอ้ ตกลงที่เป็นมาตรฐานในการส่ือสารเพื่อให้
สามารถสื่อสารกันได้อย่างถูกต้องมปี ระสทิ ธภิ าพและเกิดประโยชน์หลายประการ เช่น การใช้ข้อมูล
หรอื อุปกรณ์ร่วมกันช่วยใหป้ ระหยัดค่าใชจ้ ่ายอีกท้ังยงั ชว่ ยใหส้ ามารถทำงานไดส้ ะดวก
สาระการเรียนรู้
1. ความรพู้ ื้นฐานเก่ยี วกบั ระบบเครอื ข่าย
2. มาตรฐานการเชอ่ื มตอ่ ระบบเครือขา่ ย
3. เลขทีอ่ ยู่ไอพี
4. ประโยชนร์ ะบบเครือขา่ ย
2 เครอื ข่ายคอมพิวเตอร์เบื้องต้น
สมรรถนะประจำหน่วย
1. แสดงความรู้เก่ียวกับพื้นฐานระบบเครือขา่ ย
2. ประยุกต์ความรู้เก่ยี วกับพืน้ ฐานระบบเครือขา่ ยมาใช้ในชีวิตประจำวนั และการประกอบอาชีพ
จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้
1. บอกองค์ประกอบพื้นฐานของเครอื ข่ายคอมพวิ เตอรไ์ ด้
2. บอกมาตรฐานการเช่ือมตอ่ ของระบบเครอื ข่ายได้
3. บอกเลขท่อี ย่ไู อพีได้
4. บอกประโยชน์ของเครือขา่ ยคอมพิวเตอรไ์ ด้
ผงั สาระการเรยี นรู้ 4. บอกประโยชนข์ องเครือข่ายคอมพวิ เตอรไ์ ด้
ความรูพ้ น้ื ฐานเก่ยี วกับระบบเครอื ข่าย
พนื้ ฐานระบบเครอื ขา่ ย มาตรฐานการเชือ่ มต่อระบบเครอื ข่าย
เครอื ข่าย
เลขที่อยไู่ อพี
ประโยชน์ของระบบเครือข่าย
พื้นฐานระบบเครือขา่ ย 3
1. ความรู้พืน้ ฐานเกยี่ วกบั ระบบเครือข่าย
1.1 ความหมายของเครอื ขา่ ยคอมพวิ เตอร์
เครือข่ายคอมพิวเตอร์ (Computer network) หมายถึงการนำเครื่องคอมพิวเตอร์ตั้งแต่ 2 เครื่อง
ขึ้นไปมาเชื่อมต่อเข้าด้วยกันโดยอาศัยช่องทางการสื่อสารข้อมูลไม่ว่าจะเป็นแบบมีสายหรือแบบไร้สาย
เพือ่ ให้คอมพิวเตอรส์ ามารถตดิ ต่อสอ่ื สารแลกเปล่ยี นขอ้ มูลข่าวสารรวมถึงการใช้อุปกรณ์ทรพั ยากรตา่ งๆ
ในเครือข่ายร่วมกันได้เช่นเครื่องพิมพ์ (printer) เครื่องกราดภาพหรือสแกนเนอร์ (Scanner) ซ่ึง
เครือข่ายคอมพิวเตอร์มีหลายขนาดตั้งแต่ขนาดเล็กจนถึงขนาดใหญ่โดยมีการเชื่อมโยงกันทั่วโลกหรือท่ี
เรียกว่าเครือขา่ ยอินเทอร์เน็ต
1.2 ความเป็นมาของระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์
เครือข่ายคอมพิวเตอร์เกิดจากความต้องการที่จะแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่าง กันก่อนที่จะมี
เครือข่ายคอมพิวเตอร์นั้นการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารระหว่างกันจะใช้การส่งเอกสารที่เป็นกระดาษ
หรือการบันทึกข้อมูลลงในอุปกรณ์เก็บข้อมูลเช่นแผ่นบันทึกหรือฟล็อปปี้ดิสก์ (floppy disk) แผ่นซีดี
(Compact Disc, CD) แล้วนำอุปกรณ์เก็บข้อมูลดังกล่าวสง่ ให้กับผู้รับซึ่งหากเป็นการแลกเปลี่ยนข้อมูล
ระหวา่ งผู้ทอี่ ยู่ไกลกนั เชน่ อย่คู นละจงั หวดั หรือคนละประเทศก็จะสง่ ผลทำใหก้ ารทำงานลา่ ชา้ ออกไปดว้ ย
เหตุนี้จึงนำเทคโนโลยที างดา้ นคอมพิวเตอร์และการสื่อสารโทรคมนาคมผสมผสานเขา้ ด้วยกันทําใหเ้ กดิ
การใช้งานในลักษณะที่เรียกว่าระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ (Computer network system) เพื่อ
อำนวยความสะดวกทำให้สามารถแลกเปลี่ยนข้อมลู กันไดอ้ ย่างรวดเรว็ และมปี ระสทิ ธิภาพมากยิง่ ขน้ึ
จุดกำเนิดของเครือข่ายคอมพิวเตอร์เริ่มจากในปี พ.ศ. 2505 ลีโอนาร์ดไคลน์รอก ( Leonard
Kleinrock) ได้คิดค้นรูปแบบการส่งข้อมูลที่เรียกว่าการสลับกลุ่มข้อมูลหรือแพ็กเก็ตสวิตชิง ( packet
Switching) เป็นการแบ่งข้อมูลออกเป็นชิ้นเล็ก ๆ เรียกว่ากลุ่มหรือแพ็กเก็ต (packet) แล้วทำการส่ง
แพ็กเก็ตแต่ละชิ้นไปตามเส้นทางที่สะดวกหลาย ๆ เส้นทางเมื่อถึงปลายทางก็จะรวมแพ็กเก็ตเข้าเป็น
ข้อมูลชิ้นเดิมและในช่วงปีเดียวกันนั้นเอง เจ ซี อาร์ ลิกไลเดอร์ (J. C. R. Licklider) กับเวลเดน อี
คลาร์ก (Welden E. Clark) ได้นำเสนอหลกั การเครอื ข่ายคอมพวิ เตอรซ์ งึ่ จากแนวคดิ และทฤษฎดี งั กลา่ ว
ในช่วงปี พ.ศ. 2508 ได้มีการทดลองนําเครื่องคอมพิวเตอร์ 2 เคร่ือง มาเชื่อมโยงและสื่อสารกันด้วย
ระบบแพ็กเก็ต จึงถือว่าเป็นการเชื่อมโยงเครือข่ายคอมพิวเตอร์ขึ้นเป็นครั้งแรกของโลก ทำให้เกิดการ
แลกเปลยี่ นข้อมูลผา่ นเครอื ขา่ ยคอมพวิ เตอร์
4 เครอื ข่ายคอมพิวเตอร์เบ้ืองต้น
1.3 องคป์ ระกอบของระบบเครือขา่ ยคอมพวิ เตอร์
การแลกเปลี่ยนข้อมูลหรือการส่งผ่านข้อมูล (transmission) หรือการสื่อสารข้อมูล (data
communications) ภายในเครอื ขา่ ยคอมพวิ เตอร์ระหว่างตน้ ทางกบั ปลายทาง โดยใช้อุปกรณ์ทาง
อิเลก็ ทรอนกิ สห์ รือเครอ่ื งคอมพิวเตอร์ โดยมีองคป์ ระกอบดังน้ี
ภาพที่ 1.1 องค์ประกอบของเครือข่าย
1.3.1 คอมพิวเตอร์ เป็นอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่ในการรับ-ส่ง แลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารในเครอื ข่าย โดยมี
คอมพิวเตอร์ในเครือข่ายอย่างน้อย 2 เครื่อง เพื่อทำหน้าที่เป็นผู้รับผู้ส่งข้อมูลหากจำแนกตามลักษณะ
การทำงานจะแบ่งเปน็ 2 ประเภทดงั น้ี
1) คอมพิวเตอร์แม่ข่ายหรือเซิร์ฟเวอร์ (server) เป็นคอมพิวเตอร์ที่ทำหน้าที่ให้บริการ
ทรัพยากรตา่ งๆเช่น ซอฟต์แวร์ ข้อมูล
2) คอมพวิ เตอรล์ กู ขา่ ยหรือไคลเอนต์ (client) เปน็ อปุ กรณห์ รือเคร่ืองคอมพิวเตอรท์ ่เี ชื่อมต่อ
กับเครือขา่ ยคอมพิวเตอร์ ทำหนา้ ทเี่ ป็นสถานปี ลายทางหรือสถานที่รบั บริการจากเคร่อื งคอมพิวเตอรแ์ ม่
ขา่ ย
1.3.2 อุปกรณ์เชื่อมโยง เป็นอุปกรณ์สำหรับเชื่อมโยงเครือข่ายเข้าด้วยกัน เพื่อรับ-ส่งข้อมูลข่าวสาร
เช่น แผ่นวงจรต่อประสานเครือข่าย (Network Interface Card; NIC) ฮับ (hub) อุปกรณ์จัดเส้นทาง
หรือเราเตอร์ (router) โมเด็ม (Modulator-demodulator; Modem)
1.3.3 ช่องทางการสื่อสาร เป็นสื่อกลางหรือเส้นทางแบบมีสายและแบบไร้สาย เพื่อใช้เป็นสื่อกลางใน
การรับ-ส่งข้อมูลระหว่างผู้รับและผู้ส่งข้อมูล เช่น สายตีเกลียวคู่ (Twisted Pair, TP) ไมโครเวฟ
(microwave) อนิ ฟราเรด (Infrared)
พ้นื ฐานระบบเครือข่าย 5
1.3.4 ข้อมูลข่าวสาร เป็นข้อมูลข่าวสารในการรับ-ส่งหรือแลกเปลี่ยนในเครือข่าย ซึ่งข้อมูลท่ี
ส่งผ่านระบบเครือขา่ ยอาจอยู่ในรูปแบบต่างๆ เชน่ ข้อความอยู่ในรูปของเอกสารหรืออักขระท่ีมีรูปแบบ
ไม่แน่นอนรูปภาพอยู่ในรูปของภาพกราฟกิ หรือเสียงอยใู่ นรปู ของเสียงพูด เสียงดนตรี
1.3.5 ซอฟต์แวร์เครือข่าย เป็นสื่อกลางเพื่อให้คอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่อกับเครือข่ายสามารถ
ติดต่อส่อื สารแลกเปลีย่ นขอ้ มูลกันได้อย่างถกู ต้องและมปี ระสทิ ธิภาพซอฟต์แวร์เครอื ข่ายแบง่ ออกเป็น 2
ประเภท ดงั น้ี
1) ซอฟต์แวร์เครือข่ายหรือโปรแกรมประยุกต์เครือข่าย เป็นโปรแกรมที่มีความสามารถ
จัดการกับงานเฉพาะด้าน โดยแต่ละโปรแกรมจะเหมาะสมและใช้งานได้ดีกับงานเฉพาะ ตัวอย่าง
โปรแกรมประยุกตส์ ําหรับเครือข่ายอนิ เทอร์เน็ต เช่น Internet Explorer, Google Chrome, Firefox,
Safari, Opera
2) ระบบปฏิบตั ิการเครือขา่ ย เปน็ ซอฟต์แวร์ทท่ี ำหนา้ ท่จี ัดการระบบเครอื ขา่ ยของคอมพิวเตอร์
รวมทั้งทำหน้าที่จัดการด้านการรักษาความปลอดภัยภายในระบบเครือข่าย เช่น ระบบปฏิบัติการ
Windows, Linux, Solaris, Unix, NetWare
1.3.6 โพรโทคอล (Protocol) เป็นข้อกำหนดหรือข้อตกลงในการสือ่ สารระหว่างคอมพวิ เตอร์
เพื่อให้สามารถสื่อสารกันได้อย่างเข้าใจ เนื่องจากการใช้งานในระบบเครือข่ายมีการเชื่อมต่อหลาย ๆ
เครือข่ายเข้าด้วยกัน แต่ละเครือข่ายมีกระบวนการและการทำงานที่แตกต่างกัน ดังนั้นจึงต้องมี
กฎระเบยี บเป็นตัวกลางในการสอ่ื สารเพ่ือให้ผรู้ ับและผสู้ ง่ เข้าใจกันได้
1.4 ชนดิ ของสัญญาณข้อมูล
1.4.1 สัญญาณแอนะล็อก (analog signal) เป็นสัญญาณมีการเปลี่ยนแปลงของระดับ
สัญญาณอย่างต่อเนอ่ื ง ถกู รบกวนไดง้ า่ ย ดังนน้ั การแปลความหมายของสญั ญาณกเ็ กดิ ข้อผิดพลาดไดง้ า่ ย
เช่นกัน สัญญาณแอนะล็อกใช้เป็นสัญญาณพื้นฐานในการสื่อสาร เช่น สัญญาณโทรศัพท์ โดยช่อง
ทางการสอ่ื สารทใ่ี ช้กับสัญญาณแอนะล็อก เรยี กว่า แถบความถ่ีกวา้ งหรอื บรอดแบนด์ (broadband) ซึ่ง
สามารถสง่ สัญญาณได้หลายความถีใ่ นเวลาเดยี วกนั และสามารถส่งสัญญาณไดใ้ นระยะไกล
หน่วยวัดที่ใช้ในการวัดความถี่ของสัญญาณแอนะล็อก คือเฮิรตซ์ (Hertz; Hz) โดยวิธีการวัด
ความถี่จะนับจากจำนวนรอบของสัญญาณที่เกิดขึ้นภายใน 1 วินาทีเช่น 40 Hz หมายถึง มีความถี่ของ
สญั ญาณอยทู่ ี่ 40 รอบตอ่ 1 วินาที
6 เครือข่ายคอมพวิ เตอรเ์ บื้องต้น
ภาพท่ี 1.2 แบบแอนะลอ็ ก
1.4.2 สญั ญาณดจิ ิทลั (digital signal) เปน็ สญั ญาณทม่ี ีการเปลี่ยนแปลงของระดับสญั ญาณเพียงสอง
ระดบั คอื 0 กบั 1 เทา่ นนั้ โดยสัญญาณดจิ ทิ ัลเปน็ สัญญาณทีค่ อมพวิ เตอร์ใช้ในการประมวลผลชอ่ งทาง
การสื่อสารท่ีใชก้ ับสญั ญาณดจิ ิทัล เรยี กวา่ แถบความถฐี่ านหรอื เบสแบนด์ (baseband) ซง่ึ สามารถสง่
สัญญาณไดเ้ ร็วกวา่ สัญญาณแอนะลอ็ กโดย ไมม่ ปี ญั หาเรอื่ งสัญญาณรบกวน อกี ท้งั ยงั มีความแมน่ ยำ
และความนา่ เช่อื ถอื สงู อยา่ งไรกต็ ามสัญญาณดจิ ิทลั ไมเ่ หมาะสำหรับการสง่ ระยะไกลเพราะอาจทำให้
สญั ญาณผดิ เพย้ี นได้
สำหรับอัตราความเร็วในการส่งข้อมูลแบบดิจิทัลจะวัดจากจำนวนข้อมูลที่สามารถส่งได้ใน
ระยะเวลา 1 วินาที หรอื บิตตอ่ วนิ าที (bit per second; bps) ซง่ึ เรยี กวา่ อตั ราบติ (bit rate) เช่น 256
bps หมายถึงมีความเร็วในการส่งข้อมูลจำนวน 256 บิตต่อ 1 วินาที ในขณะที่อัตราบอด (baud rate)
จะวดั จากจำนวนของสญั ญาณทเ่ี ปลยี่ นภายใน 1 วินาที (baud per second)
ภาพที่ 1.3 สญั ญาณแบบดิจทิ จั
การรับ-ส่งหรือเคลื่อนย้ายข้อมูลในระบบเครือข่าย โดยข้อมูลปกติที่ใช้งานอยู่ไม่ได้อยู่ใน
รูปแบบที่สามารถส่งผ่านไปยังเครือข่ายได้โดยตรง เช่น ข้อมูลที่เป็นรูปภาพจะไม่สามารถนำรูปภาพ
เหลา่ นัน้ ส่งไปยงั ตัวกลางส่งขอ้ มลู เพอ่ื ส่งผา่ นไปยังเครอื ขา่ ยไดใ้ นทันที แตข่ อ้ มูลจะได้รบั การจดั เก็บให้อยู่
ในรูปแบบของแฟ้มข้อมลู ฐานสองหรอื ไบนารไี ฟล์ (binary file) หรือดจิ ิทัล จากนัน้ จงึ นำขอ้ มลู ดิจิทัลมา
เขา้ รหัสให้อยใู่ นรูปแบบของสญั ญาณคลน่ื แม่เหล็กไฟฟา้ เพื่อส่งผา่ นไปยังตัวกลางส่งข้อมูลต่อไป
พ้ืนฐานระบบเครอื ขา่ ย 7
ภาพท่ี 1.4 รูปแบบการสง่ ขอ้ มูลผ่านชนดิ สัญญาณข้อมลู
1.5 ชอ่ งทางการสือ่ สารผา่ นส่ือกลาง
1.5.1 แบบบรอดแบนด์ (broadband) เป็นการสื่อสารข้อมูลที่ใช้ตัวกลางในการส่งผ่าน
สัญญาณ สามารถส่งสัญญาณได้พร้อมกันหลายช่อง โดยใช้วิธีแบ่งช่องความถ่ีออกจากกันทำให้อปุ กรณ์
ต่างๆสามารถสื่อสารกันโดยใช้ช่องความถี่ของตนเองผ่านตัวกลางเดียว เช่น ระบบเครือข่ายเคเบิลทีวี
(cable TV) ซึง่ สามารถสง่ สญั ญาณมาพร้อมกันหลาย ๆ ช่อง บนสายส่ือสารเสน้ เดยี วและผู้รบั กส็ ามารถ
เลอื กช่องความถี่ท่ตี อ้ งการรบั ชมได้
1.5.2 แบบเบสแบนด์ (baseband) เป็นการสื่อสารข้อมูลที่สายสัญญาณหรือตัวกลางในการ
ส่งผ่านสายสัญญาณสามารถส่งได้เพียงหนึง่ สญั ญาณในเวลาขณะใดขณะหนึ่งเท่านั้น กล่าวคืออุปกรณท์ ี่
ใช้งานสายสัญญาณในขณะนั้นจะครอบครองช่องสัญญาณทั้งหมด โดยอุปกรณ์อื่นจะไม่สามารถใช้งาน
ร่วมกันได้ เช่น ระบบโทรศัพท์ ซึ่งการสื่อสารระหว่างคอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่จะเป็นการสื่อสารแบบ
เบสแบนด์
1.6 การส่งสญั ญาณข้อมูล
เป็นการส่งข้อมูลหรือข่าวสารต่างๆจากอุปกรณ์สำหรับส่งผ่านทางตัวกลางหรือสื่อกลางไปยัง
อปุ กรณ์รบั ซ่งึ ข้อมูลหรือข่าวสารท่สี ่งไปอาจจะอยใู่ นรปู ของสัญญาณเสยี ง คลน่ื แมเ่ หลก็ ไฟฟา้ หรอื แสง
1.6.1 ชนดิ ของสอ่ื กลางหรอื ตัวกลางของสญั ญาณ แบ่งเปน็ 2 ชนดิ ดงั นี้
1) ชนดิ ทส่ี ามารถกำหนดเสน้ ทางสญั ญาณได้ เชน่ สายตีเกลยี วคู่ สายโทรศพั ท์ สายโคแอก็ ซ์
(Coaxial cable) เคเบิลเสน้ ใยนำแสง (fiber optic cable)
2) ชนดิ ทไ่ี ม่สามารถกำหนดเสน้ ทางของสญั ญาณได้ เช่น ชนั้ บรรยากาศ กลา่ วคือเป็นการส่ง
ขอ้ มลู แบบไรส้ าย
8 เครือข่ายคอมพิวเตอร์เบื้องต้น
1.6.2 รูปแบบของการส่งสัญญาณขอ้ มูล สามารถแบง่ ไดเ้ ปน็ 3 รปู แบบดังน้ี
1) การส่งสญั ญาณทางเดียว (one-way transmission) มักจะเรียกการส่งสัญญาณลักษณะ
นี้ว่า สื่อสารทางเดียวหรือซิมเพล็กซ์ (Simplex) หมายถึงในช่วงเวลาเดียวกันจะส่งได้เพียงทางเดียว
ถึงแม้ว่าตัวสง่ จะมีสัญญาณหลายชอ่ งทางก็ตาม ผู้ส่งสญั ญาณจะส่งได้ทางเดยี ว โดยที่ผู้รับจะไม่สามารถ
โต้ตอบได้ กล่าวคือมีอุปกรณ์เพียงตัวเดียวเท่านั้นที่ทำหน้าที่ส่งข้อมูล อุปกรณ์ตัวอื่น ๆ จะทำหน้าที่รับ
ข้อมูลเพียงอย่างเดียว เชน่ การสง่ สัญญาณวิทยกุ ระจายเสยี ง การแพรภ่ าพโทรทัศน์
ภาพที่ 1.5 การส่งสญั ญาณทางเดยี ว
2) การส่งสัญญาณกึ่งทางคู่ (either way transmission) การส่งสญั ญาณแบบน้ีเมื่อผู้ส่งได้ทำการ
ส่งสัญญาณไปแล้ว ผู้รับก็จะรับสัญญาณ หลังจากนั้นผู้รับจงึ จะเปน็ ผู้ส่งสัญญาณได้ในขณะที่ผู้ส่งเดิมก็ปรับมา
เป็นผู้รับ แต่ภายในเวลาเดียวกันไม่สามารถรับ-ส่งสัญญาณพร้อมกันได้จึงเรียกการส่งสัญญาณลักษณะนี้ว่า
สื่อสารสองทางครึ่งอัตราหรือฮาล์ฟดูเพลก็ ซ์ (half duplex) เช่น วิทยุสื่อสารแบบผลัดกันพูด การส่งข้อความ
แชต (chat) ผ่านแพลตฟอร์ม (platform) ต่างๆ ไมว่ า่ จะเปน็
Facebook หรอื แอปพลเิ คชนั LINE ในโทรศพั ท์มอื ถอื แบบสมารต์ โฟนหรอื ในเครอ่ื งคอมพวิ เตอร์ทเ่ี วลา
พดู คยุ ตอ้ งผลดั กนั พิมพข์ อ้ ความรบั -สง่ ผ่านระบบเครอื ขา่ ย
ภาพที่ 3.6 การสง่ สัญญาณกึง่ ทางคู่
พนื้ ฐานระบบเครือข่าย 9
3) การส่งสัญญาณทางคู่ (both way transmission) การส่งสัญญาณลักษณะนี้สามารถส่ง
ข้อมูลได้พร้อมกันทั้งสองทางในเวลาเดียวกัน เช่น การโทรศัพท์หรือการวิดีโอคอล ผู้ใช้สามารถพูด
โต้ตอบพร้อม ๆ กันได้ทันที ด้วยเหตุนี้จึงเรียกว่า สื่อสารสองทางเต็มอัตราหรือฟูลดูเพล็กซ์ (full
duplex)
ภาพท่ี 1.7 การสง่ สญั ญาณทางคู่
2. มาตรฐานการเชอ่ื มตอ่ ระบบเครือขา่ ย
2.1 องค์กรที่เก่ยี วข้องกบั การกำหนดมาตรฐานระบบเครือขา่ ย
2.1.1 สถาบันมาตรฐานแห่งชาติของสหรัฐอเมริกาหรือแอนซี (American National
Standard Institute; ANSI) เป็นองค์กรอาสาสมัครที่ไม่มีผลกำไรจากการดำเนินงาน ประกอบด้วย
กลุ่มนักธุรกิจและกลุ่มอุตสาหกรรมในประเทศสหรฐั อเมรกิ า ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2461 มีสำนักงานใหญ่อยู่
ที่นิวยอร์ก แอนซีทำหน้าที่พัฒนามาตรฐานต่างๆ ของอเมริกาให้เหมาะสม จากนั้นจะรับรองขึ้นไปเปน็
มาตรฐานสากล แอนซียังเป็นตัวแทนของอเมริกาในองค์กรมาตรฐานสากลคือไอโซ (International
Organization for Standardization; ISO) และคณะกรรมาธิการระหว่างประเทศว่าด้วยมาตรฐาน
สาขาอิเล็กทรอนิกส์ (International Electrotechnical Commission; IEC) แอนเป็นที่รู้จักในการ
เสนอภาษาการเขียนโปรแกรม ได้แก่ ANSIC และยังกำหนดมาตรฐานเทคโนโลยีระบบเครือข่ายอีก
หลายแบบ เช่น ระบบเครือขา่ ยความเรว็ สูงที่ใช้เคเบลิ เส้นไยนำแสง โครงขา่ ยเชิงแสงประสานเวลาหรอื
โซเนต็ (Synchronous Optical Network; SONET)
10 เครือข่ายคอมพิวเตอร์เบ้ืองต้น
2.1.2 สถาบันวิชาชีพวิศวกรไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (Institute of Electrical and
Eletronics Engineers; IEEE) เป็นสมาคมผู้เชี่ยวชาญด้านเทคนิค ก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2427 ตั้งอยู่ใน
ประเทศสหรัฐอเมริกา มีสมาชิกจากประเทศต่างๆ ทั่วโลกกว่า 175 ประเทศ IEEE มุ่งสนใจทางด้าน
ไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ วิศวกรรม และวิทยาการคอมพิวเตอร์ มีชื่อเสียงในด้านการกำหนดคุณลักษณะ
เฉพาะของระบบเครือข่าย เกณฑ์การจัดตั้งเครือขา่ ยต่างๆ กำหนดเป็นกลุ่มย่อยของคณุ ลักษณะเฉพาะ
มาตรฐาน 802 ตัวอย่างที่รู้จักกันดีเช่น IEEE 802.3 กำหนดคุณลักษณะเฉพาะของระบบเครือข่าย
อีเทอร์เน็ต (Ethernet) IEEE 802.4 กำหนดคุณลักษณะเฉพาะของระบบเครือข่ายแบบโทเค็นบัส
(token bus) IEEE 802.5 กำหนดคุณลักษณะเฉพาะของระบบเครือข่ายแบบวงแหวนโทเค็น (token
ring)
2.1.3 องค์การระหว่างประเทศว่าด้วยมาตรฐานหรือไอโช (International Organization
of Standardization ; ISO) เป็นองค์กรที่รวบรวมองค์กรมาตรฐานจากประเทศต่างๆกว่า 130
ประเทศคำว่า ISO มาจากภาษากรีก หมายถึงความเท่าเทียมกันหรือความเป็นมาตรฐาน
(Standardization) ไอโซไม่ใช่องค์กรของรัฐ มีจุดมุ่งหมายในการส่งเสริมให้มีมาตรฐานสากลซึง่ ไม่เพยี ง
แต่ในเร่ืองท่ีเกีย่ วกับเทคโนโลยแี ละการส่ือสาร แต่ยังรวมไปถงึ การค้า การพาณิชย์ และผลิตภัณฑ์อืน่ ๆ
สำหรับในส่วนของระบบเครือข่ายนั้น ไอโซได้กำหนดมาตรฐานสากลสำหรับการติดต่อสื่อสารในระบบ
เครือข่ายระหว่างคอมพิวเตอร์และประกาศใช้ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2527 โดยมีชื่อว่า Open System
Interconnection reference model หรอื แบบจําลองโอเอสไอ (OSI reference model) จดุ ประสงค์
หลักของโอเอสไอ (OSI) เพื่ออนุญาตให้ระบบที่มีสถาปัตยกรรมแตกต่างกันให้สามารถสื่อสารกันได้โดย
ปราศจากข้อจำกัด และสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในระบบการสื่อสารระดับสากลภายใต้มาตรฐาน
เดยี วกันท่วั โลกได้
2.2 รปู แบบของมาตรฐานการเชอื่ มตอ่ ระบบเครือข่าย
2.1 มาตรฐานโอเอสไอ (Open System Interconnection; OSI) มีการแบ่งรูปแบบการสื่อสารออกเป็น
ชนั้ การสื่อสาร (layers) ท้ังหมด 7 ชัน้ โดยช้ันบนสดุ ทเ่ี ชอื่ มต่อโดยตรงกับคอมพิวเตอร์เรียกว่าการเช่ือมต่อทาง
ตรรกะ (logical Connection) ส่วนชั้นที่มีการเชื่อมต่อระหว่างคอมพิวเตอร์ กล่าวคือทำให้คอมพิวเตอร์ท้ัง
สองฝั่งระหว่างผู้รับกับผู้ส่งสามารถติดต่อสื่อสารกันได้ ซึ่งเรียกว่า การเชื่อมต่อทางกายภาพ (physical
connection) มีรปู แบบการส่ือสารดงั ภาพที่ 1.8 ซึง่ การส่อื สารแต่ละชั้นมหี นา้ ทแี่ ละหลักการทำงานดงั นี้
พืน้ ฐานระบบเครอื ขา่ ย 11
ภาพที่ 1.8 รปู แบบการส่ือมาตรฐานโอเอสไอ
1) ในการประยุกต์ (Application layer) ทำหน้าที่ติดต่อกับผู้ใช้โดยตรงการทำงานชั้นนี้จะ
เกี่ยวข้องกับแอปพลิเคชัน โปรแกรมท่ีใช้งาน เช่น การส่งไฟล์ข้อมูล โปรแกรมค้นดูหรือเบราว์เซอร์
(browser) นอกจากนี้ยังทำหน้าที่กำหนดแบบมาตรฐานของเครื่องปลายทางหรือเทอร์มินัล (terminal
เพอ่ื ให้เครอื่ งปลายทางทุกชนดิ แสดงผลตรงกัน เชน่ ขนาดของการแสดงผล การแสดงอกั ษร ณ จุดตา่ งๆ
บนจอภาพ
2) ชั้นนำเสนอ (presentation layer) ทำหน้าที่แปลงรหัสหรือแปลงรูปแบบของข้อมูลให้
เป็นรูปแบบการสื่อสารและทำหน้าที่รับผิดชอบเกี่ยวกับการเข้ารหัสและถอดรหัสข้อมูล เช่น แปลง
ข้อมูล ด้วยรหัสมาตรฐานของสหรัฐอเมริกาเพื่อการสับเปลี่ยนสารสนเทศหรือเเอสกี (American
Standard Code for Information Interchange ASCII wiequin (Unicode)
3) ชั้นกำหนดหน้าต่างการสื่อสาร (Session layer) ทำหน้าที่ควบคุมการเชื่อมต่อระหว่าง
ผู้รบั -ผ้สู ่งขอ้ มูลต้งั แตเ่ ร่มิ ตน้ จนสิ้นสดุ การสอ่ื สาร ดแู ลเกย่ี วกบั วิธีการส่งขอ้ มลู ว่าเปน็ รปู แบบใด เช่น การ
ส่งข้อมูลแบบทางเดียว (mimplex) หรือสง่ แบบผลดั กันสง่ ข้อมูล (half duplex) นอกจากนี้ยังทำหน้าที่
แก้ปัญหาทีอ่ าจเกิดขนึ้ ในการส่งขอ้ มลู เมอ่ื เกดิ ข้อผิดพลาดขึ้นจะทำการตรวจสอบคน้ หาจุดผิดพลาดแลว้
แจง้ ใหผ้ ูส้ ่งดำเนนิ สง่ ขอ้ มลู ใหม่เฉพาะจุดท่ีผดิ พลาดโดยไม่ตอ้ งเสียเวลาส่งใหม่ทง้ั หมด
4) ชั้นการนำส่งขอ้ มลู (transport layer) ทำหน้าทแี่ บ่งขอ้ มลู ออกเปน็ กลมุ่ ยอ่ ยเรยี กวา่ แพก็
เก็ต (packet) โดยแบง่ ออกเป็นหลายแพ็กเก็ตและให้บริการตรวจสอบแกไ้ ขปญั หาเม่อื เกดิ ขอ้ ผดิ พลาด
ระหว่างการสง่ (error recovery) พรอ้ มตรวจสอบวา่ ขอ้ มูลสง่ ไปถึงเครอ่ื งปลายทางหรือไม่ สว่ นผูร้ ับใน
ชั้นน้จี ะเปน็ ผูร้ วบรวมและประกอบชนิ้ สว่ นยอ่ ยใหก้ ลับเข้ามารวมกันเปน็ ข้อมูลชุดเดมิ พร้อมยนื ยันว่า
ได้รบั ข้อมลู ถกู ตอ้ งเรยี บรอ้ ยแล้ว
12 เครือข่ายคอมพิวเตอรเ์ บื้องต้น
5) ช้ันเครอื ขา่ ย (network layer) ทำหนา้ ที่กำหนดเส้นทางการเดินทางของขอ้ มลู ทง้ั รบั -สง่
ระหวา่ งตน้ ทางและปลายทาง โดยเลอื กเส้นทางท่ีใชเ้ วลานอ้ ยและใชร้ ะยะทางทีส่ ้นั ทส่ี ุดการสง่ ขอ้ มูลใน
ชน้ั นีจ้ ะใช้หลกั การทเี่ รียกว่า hop by hop โดยจะสง่ ข้อมลู จากจดุ ๆ หนึ่งไปยงั จดุ ตอ่ ไป (next hop)
โดยอาศยั จากตารางการจัดเสน้ ทาง (routing table) ของอุปกรณ์จดั เส้นทางหรือเราเตอร์ (router) ซง่ึ
อาจจะตอ้ งสง่ ผา่ นหลายจดุ กวา่ จะไปถึงจดุ หมายปลายทางได้
6) ชั้นเชื่อมโยงข้อมูล (data link layer) ทำหน้าที่ควบคุมการไหลของข้อมูลตรวจสอบความ
ผิดพลาดของข้อมูลระหว่างการรับ-ส่ง ซึ่งภายในชั้นนี้จะมีตัวควบคุมการทำงาน 2 ระดับ คือ Logical Link
Control (LLC) ควบคุมการเข้าใช้สื่อกลางหรือสายสัญญาณในการรับ-ส่งข้อมูลและ Media Access Control
(MAC) รับผิดชอบในการรับ-ส่งข้อมูลให้สำเร็จและถูกต้อง โดยจะแบ่งหน้าทีอ่ อกเป็น 2 ส่วน คือการส่งข้อมูล
และการรับข้อมูล MAC จะทำหน้าท่ีห่อหุ้มข้อมลู ที่ส่งผ่านจากชั้น LLC และทำให้อยูใ่ นรูปแบบเฟรมข้อมลู ซึ่ง
เฟรมข้อมูลนี้จะประกอบด้วยที่อยู่ (address) และข้อมูลต่างๆที่จำเป็นสำหรับการส่งข้อมูลให้ถึงปลายทาง
และ MAC ยังรับผิดชอบในการสร้างกลไกสำหรับตรวจสอบข้อผิดพลาดของข้อมูลในเฟรมนั้น ๆ ในระหว่าง
การรบั -ส่งเฟรมอีกดว้ ย หากตรวจพบขอ้ ผิดพลาดระบบจะทาํ การส่งซ้ำ
7) ชั้นกายภาพ (physical layer) ทำหน้าที่รับผิดชอบดูแลเก่ียวกับรายละเอียดการส่งข้อมลู
ในลักษณะสัญญาณทางไฟฟ้าและทางกายภาพของการเชื่อมต่อ เช่น ฮับ สายตีเกลียวคู่แบบไม่ป้องกนั
สัญญาณรบกวนหรือยทู ีพี (Unshielded Twisted Pair; UTP) สวิตช์ (Switch)
ชน้ั การสอ่ื สารทง้ั 7 ช้นั ของโอเอสไอมีหนา้ ทต่ี า่ งกนั โดยแตล่ ะชนั้ การส่ือสารจะมโี พรโทคอลทำ
หนา้ ทค่ี วบคมุ การทำงานและอปุ กรณ์ทใี่ ชเ้ ชื่อมตอ่ เครือขา่ ยแตกต่างกนั ดงั ตารางตอ่ ไปน้ี
ตารางที่ 1.1 แสดงการทำงานและอปุ กรณเ์ ชอื่ มต่อในแต่ละช้นั การส่ือสาร
พืน้ ฐานระบบเครอื ขา่ ย 13
upper osi layer โพรโทคอลหรอื บรกิ ารทเ่ี กยี่ วขอ้ ง อุปกรณ์เชอ่ื มต่อ
layer application
Teinet,HTTP,FTP,SMTP,POP3 firewall,iDS
session Asll, EECDIC, JPEG, PNG, (รหัสขอ้ ความ, รปู ภาพ)
transport TCP, UDP -
network IP router
lower clata link
Ethernet (IEEE, 802. 3), HDLC, frame relay, Wireless,
layer
PPP, ATM Access
Point,Modem,
bridge, switch
physical Ethernet (IEEE, 802. 3 ) Hub, repater
หมายเหตุ รายละเอียดของอปุ กรณก์ ารเชอ่ื มตอ่ เครอื ขา่ ยจะนำเสนอในหนว่ ยการเรยี นรูท้ ่ี 3 และหนา้ ทก่ี าร
ทำงานของโพรโทคอลแตล่ ะชนดิ จะกล่าวถงึ ในหน่วยการเรยี นรทู้ ี่ 4
ปัจจุบันมาตรฐานโอเอสไอได้รับความนิยมลดลง เมื่อเทียบกับที่ซีพีไอพี (TCP / IP) เนื่องจาก
ระบบเครือขา่ ยท้ังหมดใช้ทีซพี ี/ไอพีเปน็ มาตรฐานในการติดต่อสื่อสาร
2.2.2 มาตรฐานที พีซี/ไอพี (Transmission Control Protocol / Internet Protocol;
TCP / IP) มีวตั ถปุ ระสงค์หลกั คอื แกไ้ ขปญั หาทีเ่ กดิ ข้นึ ในเครอื ขา่ ย เชน่ กรณที ีผ่ รู้ ับ-ผู้ส่งอยู่ระหวา่ งการ
ติดต่อสื่อสารแต่สื่อกลางหรืออุปกรณ์ในการเชื่อมโยงเครือข่ายเกิดความเสียหายขึ้น ทีซีพี/ไอพีจะ
ดำเนนิ การจดั หาเสน้ ทางในการรับ-ส่งข้อมูลเสน้ ทางอื่นเพื่อให้การสอื่ สารดำเนนิ ต่อไปได้ นอกจากนี้ยังมี
ความยืดหยุ่นในการสื่อสารสามารถสื่อสารข้อมูลได้หลายชนิดทั้งแบบเร่งด่วนและแบบไม่เร่งด่วน เช่น
การสอ่ื สารแบบโทรศัพท์
มาตรฐานทีซีพี/ไอพีจะมีลักษณะคล้ายกับโอเอสไอ เนื่องจากมีพื้นฐานมาจากแนวคิดเดียวกนั
คือการสร้างชั้นการสื่อสารที่เป็นอิสระต่อกัน รวมทั้งหน้าที่การทำงานของแต่ละชั้นการสื่อสารมีความ
ใกลเ้ คียงกนั มาก โดยโอเอสไอแบ่งชั้นการสื่อสารออกเป็น 7 ชนั้ ในขณะทที่ ซี พี /ี ไอพีแบง่ ออกเป็น 4 ช้ัน
การสือ่ สาร ดังภาพท่ี 1.9
14 เครอื ข่ายคอมพิวเตอรเ์ บื้องต้น
ภาพท่ี 1.9 เปรียบเทียบชนั้ การสอื่ สารระหวา่ ง OSI กับ TCP/IP
1) ชน้ั การประยุกต์ (application layer) เน่อื งจากชั้นนำเสนอและช้นั กำหนดหน้าตา่ งการส่ือสาร
ของไอเอสไอเมื่อนำไปใช้งานจริงพบว่ามีประโยชน์น้อยมาก ดังนั้นในชั้นการประยุกต์ของทีซีพี/ไอพีจึง
นำหน้าที่ที่จำเป็นของทั้งสองชั้นดังกล่าวมารวมไว้ในส่วนน้ี ทำหน้าที่จัดการระหว่างผู้ใช้กับการทำงาน
ของโปรแกรม เช่น กรณีท่ีผู้ใช้ตอ้ งการสง่ ไฟลข์ ้อมลู ดว้ ยอเี มล (e-mail) จงึ เรยี กใชโ้ ปรแกรมค้นดเู วบ็ หรอื
เวบ็ เบราวเ์ ซอร์ (web browser) การส่อื สารในช้นั นีจ้ ะดำเนนิ การบรหิ ารจัดการกบั เว็บเบราวเ์ ซอร์ทเี่ ปดิ
ใช้งาน มีการเรยี กใช้กฎระเบียบข้อตกลงในการสือ่ สารที่จำเปน็ เช่น เอชทีทีพี (HyperText Transport
Protocol: HTTP)
2) ชั้นการนำส่งข้อมูล (transport layer) ทำหน้าที่บริการส่งข้อมูลระหว่างผู้ส่งกับผู้รับข้อมูล
พร้อมทั้งรักษากระบวนการเชื่อมต่อและแบ่งข้อมูลออกเป็นแพ็กเก็ต ในกรณีที่ข้อมูลมีปริมาณเกินไป
โดยผู้รับปลายทางในชั้นการนำส่งข้อมูลนี้จะทำหน้าที่รวบรวมจัดลำดับ แพ็กเก็ตข้อมูลให้กลับมาเป็น
ขอ้ มูลชดุ เดิม
3) ชั้นสื่อสารอินเทอร์เน็ต (Internet layer) ทำหน้าที่ในการค้นหาเส้นทางและเลือกเส้นทางใน
การรับ-ส่งข้อมูล การสื่อสารในชัน้ น้ีมีการกำหนดรปู แบบของแพ็กเกต็ ข้อมูลและกฎการส่ือสาร เรียกวา่
ไอพี (Internet Protocol. IP) โดยใช้เครือข่ายแบบสลับกลุ่มข้อมูล (Packet Switching Network
PSN) กลา่ วคอื ข้อมูลท่ีถูกแบง่ เปน็ แพก็ เก็ตแมจ้ ะเปน็ แพก็ เกต็ ของขอ้ มลู ชุดเดียวกนั การปลอ่ ยข้อมลู แพก็
เก็ตไปยงั จุดหมายปลายทางจะเปน็ แบบอิสระ แตล่ ะแพ็กเกต็ อาจถูกสง่ ไปคนละเสน้ ทางดังนน้ั แพ็กเก็ตท่ี
ส่งถึงผู้รับอาจมาถึงโดยไม่ได้เรียงตามลำดับของแพ็กเก็ต ด้วยเหตุนี้ชั้นการนำส่งข้อมูลจึงทำหน้าที่
ตรวจสอบและจัดลำดับแพ็กเก็ตข้อมูลดว้ ย
พน้ื ฐานระบบเครือข่าย 15
4) ชัน้ แมข่ า่ ย-เครอื ขา่ ย (host to network layer) ทำหนา้ ทร่ี บั ข้อมูลจากช้ันส่ือสารอนิ เทอรเ์ นต็
แล้วส่งไปยังสถานเี ชือ่ มโยงหรือโหนด (node) ที่ระบุไว้ในเส้นทางการเดินข้อมูลส่วนทางด้านผ้รู ับจะทํา
หน้าท่ีรับข้อมลู จากสายสือ่ สารแลว้ ส่งใหก้ ับชัน้ สอื่ สารอินเทอร์ เนต็ โดยไมม่ ี
การกำหนดรายละเอียดใด ๆ เนื่องจากเทคโนโลยีการรับ-ส่งข้อมูลผ่านสื่อประเภทต่างๆมีการ
เปล่ยี นแปลงอยเู่ สมอ และอุปกรณส์ ือ่ สารแตล่ ะชน้ิ มีมาตรฐานสากลรองรับอยู่แล้ว ดงั น้นั จึงไม่เก่ียวข้อง
กับโครงสร้างข้อมูลในระดับบน การทำงานในระดับชั้นการสื่อสารมีการติดต่อกับอุปกรณ์สื่อสารข้อมูล
โดยตรง การส่งข้อมูลจะอยู่ในระดับกระแสข้อมูลบิต (bit stream) การสื่อสารของมาตรฐานทซี พี ี / ไอ
พแี ตล่ ะชน้ั มโี พรโทคอลท่คี วบคุมแตกตา่ งกันโดยมรี ายละเอียดดงั ตาราง
ตารางท่ี1.2 แสดง โพรโทคอลท่คี วบคุมในแต่ละช้นั การสื่อสาร
TCP/IP โพโทรคอลหรือบรกิ ารทเ่ี กย่ี วขอ้ ง
Application layer Telnet, HTTP,FTP,SMTP, POP 3
Transport layer TCP, UDP
Internet layer IP, ICMP, IGMP
host to network layer Ethernet (IEEE 802 3), HDLC, frame
relay, PPP ATM, ISDN, DSL
หมายเหตุ รายละเอยี ดหนา้ ทก่ี ารทำงานของโพรโทคอลแตล่ ะชนดิ จะกลา่ วถึงในหนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี 4
3. เลขทอ่ี ย่ไู อพี
การติดต่อสื่อสารไม่ว่าจะด้วยวิธีการใดจำเป็นต้องมีชื่อหรือหมายเลขประจำตัว เช่น หาก
ต้องการติดต่อเพื่อนด้วยโทรศัพท์ก็จำเป็นต้องมีหมายเลขโทรศัพท์ หรือติดต่อด้วยการส่งจดหมายผ่าน
ทางไปรษณีย์ก็ต้องมีเลขที่บ้านและทีอ่ ยู่ของผู้รบั ปลายทาง ดังนัน้ การตดิ ต่อส่ือสารในระบบเครือข่ายจึง
จำเป็นต้องมีหมายเลขประจำเครื่องคอมพิวเตอร์ที่อยู่บนเครือข่าย ซึ่งหมายเลขประจำเครื่องเรียกว่า
เลขที่อยู่ ไอพีหรือไอพีแอดเดรส (IP address) ควบคุมโดย InterNIC (Inter Network Information
Center) เป็นหน่วยงานกลางที่ทำหน้าที่กำหนดมาตรฐานเลขที่อยู่ไอพี และจัดสรรเลขที่อยู่ไอพีให้กับ
ผใู้ ชท้ ่ัวโลก
16 เครือข่ายคอมพวิ เตอร์เบ้ืองต้น
3.1 ความแตกตา่ งของ Ipv4 กบั Ipv6
ปัจจุบันเลขที่อยู่ไอพีที่ใช้งานเป็นเวอร์ชัน 6 (Ipv6) แต่เดิมใช้เป็นเวอร์ชัน 4 (Ipv4) เนื่องจาก
การขยายตัวของระบบเครือขา่ ยในช่วงท่ีผ่านมามอี ัตราการเติบโตอยา่ งรวดเร็ว ส่งผลใหจ้ ำนวนเลขท่อี ยู่
ไอพีเวอร์ชัน 4 ไม่เพียงพอกับการใชง้ านในอนาคต เพราะมกี ารใช้ระบบเครือข่ายในการทำงานหรือการ
ดำเนินชีวิตมากขึ้น เช่น การให้บริการเครือข่ายผ่านสมาร์ตโฟน การใช้แอปพลิเคชันแบบการสื่อสาร
ระดับเดียวกนั (peer to peer Communications) จึงทำให้เลขที่อยู่ไอพเี วอรช์ นั 4 ไม่เพยี งพอสำหรับ
การใช้งานจึงจำเป็นต้องใช้เวอร์ชัน 6 เพื่อรองรับการทำงานดังกล่าวอย่างไรก็ตามเลขที่อยู่ไอพีเวอร์ชนั
4 กบั 6 ยังคงสามารถใชง้ านรว่ มกนั ได้
เลขทอี่ ยู่ไอพีเวอรช์ ัน 4 เปน็ ตวั เลขขนาด 32 บติ ในขณะที่เวอรช์ นั 6 มขี นาด 128 บติ ความแตกตา่ ง
ของจำนวนเลขทอ่ี ยไู่ อพมี มี ากถึง 296 เท่า
ตารางท่ี 1.3 รูปแบบของเลขท่ีอยู่ไอพี
เลขทีอ่ ยไู่ อพี
รายละเอยี ด IPV 4 IPV 6
ขนาด 32 บิต 128 บิต
hhhh hhhh hhhh hhhh hhhh hhhh hhhh
รูปแบบการเขียน ddd ddd ddd hhhh
(h คือ เลขฐานสิบหก)
(d คอื 2001. 085b:1f1:0.0.0ff:321
เลขฐานสบิ )
ตวั อย่างการเขียน 192. 1 GB
3.2 ประเภทของเลขท่อี ยไู่ อพเี ลขทอี่ ยู่ไอพี
แบ่งออกเปน็ 2 ประเภทดงั นี้
3.2.1 เลขที่อยู่ไอพีที่ใช้บนอินเทอร์เน็ต (public IP address) ซึ่งเป็นเลขที่อยู่ไอพีที่ใช้กันอยู่บน
อินเทอร์เน็ตจริง เลขที่อยู่ไอพีนี้จะไม่ซ้ำกัน ซึ่งไอพีเหล่านี้จะได้มาจากผู้ให้บริการเครือข่ายที่ทําการ
เชื่อมต่อเขา้ กบั ระบบอินเทอร์เน็ต
พนื้ ฐานระบบเครือขา่ ย 17
3.2.2 เลขท่ีอยูไ่ อพีใช้เฉพาะเครือข่ายภายในองค์กร (private IP address) เป็นเลขที่อย่ไู อ
ภายในองคก์ ร (Local Area Network LAN) หรือไอพปี ลอมซ่ึงภายในกลุ่มเครือขา่ ยเดียวกันไม่สามารถ
ใชซ้ ้ำกันได้ แตห่ ากอยคู่ นละกลุ่มเครอื ข่าย (คนละวงแลน) สามารถเหมอื นกนั ได้ แตจ่ ะไมส่ ามารถเรยี กดู
ผา่ นระบบอินเทอร์เนต็ ได้ เน่ืองจากเป็นไอพที ใ่ี ชเ้ ฉพาะภายในกลมุ่ เท่านนั้
3.3 การกำหนดเลขทอ่ี ยู่ไอพี
การกำหนดเลขท่อี ยไู่ อพีใหก้ บั เครอ่ื งคอมพิวเตอร์ในกลมุ่ เครอื ขา่ ยสามารถแบ่งได้ 2 แบบ ดงั น้ี
3.3.1 แบบ Dynamic เปน็ วธิ กี ารขอรบั เลขท่ีอยู่ไอพีจากคอมพิวเตอรท์ ท่ี ำหนา้ ทแ่ี จกจา่ ยเลขท่ี
อยู่ไอพี (DHCP server) หากไม่ได้รับไอพีระบบปฏิบัติการจะสุ่มเลขที่อยู่ไอพีขึ้นมาให้เองเรียกว่า
automatic private IP addressing
3.3.2 แบบ Static เป็นวิธีการกำหนดเลขที่อยู่ไอพีแบบคงที่ตามความต้องการของผู้ใช้โดย
จะตอ้ งกำหนดใหส้ อดคล้องกบั ระบบเครือข่าย เพราะถา้ กำหนดผิดจะไม่สามารถเขา้ ส่รู ะบบเครือข่ายได้
ซึ่งการกำหนดเลขที่อยู่ได้ด้วยตนเองนี้เหมาะกับเครือข่ายขนาดเล็กและขนาดกลางโดยแต่ละคลาส
(Class) จะมชี ว่ งเลขท่อี ยูไ่ อพีทีแ่ ตกตา่ งกันดังแสดงในตารางที่ 1.4
ตารางท่ี 1.4 แสดงชว่ งเลขท่ีอย่ไู อพขี องแตล่ ะคลาส
คลาส ช่วงเลขทีอ่ ยู่ไอพี จำนวน จำนวนโฮสต์ หมายเหตุ
บลิ สงู สดุ
A 0.0.0.0 ถงึ 127.255.255.255 8
16,777,216 เหมาะสำหรบั ใช้งานใน
B 128 0.0.0 ถงึ 191 255 255 16 65,535 เครือข่ายขนาดใหญม่ าก
255 254 เหมาะสำหรับองค์กรขนาด
24 กลาง
C 192 0.0.0 ถงึ 223 255 255 เหมาะสำหรบั องค์กรขนาดเลก็
255
- - สำหรบั เครอื ข่ายมลั ติคลาส
D 224 0.0.0 ถึง 239. 255 255
255 - - สำรองไว้ใช้ในอนาคต
E 240 0.0.0 ถงึ 255 255 255
255
18 เครอื ข่ายคอมพวิ เตอรเ์ บ้ืองต้น
จากตารางแสดงช่วงเลขที่อยู่ไอพีของแต่ละคลาสซึ่งมีจำนวนทั้งหมด 5 คลาสโดยและคลาสจะ
แบ่งตามขนาดของเครือข่าย ซึ่งที่ใช้งานโดยทั่วไปจะมีเพียง 3 คลาส คือคลาส A คลาส B และคลาส C
แตท่ ัง้ นเ้ี ลขชดุ 127.0.0.0 ถงึ 127.255.255.255 ในคลาส A เป็นชดุ เลขที่อยู่ไอพพี ิเศษทกี่ ำหนดขึ้นเพ่ือ
ใช้ในการทดสอบระบบภายในเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ไม่ติดต่อกับเครือข่ายหรือเครื่องคอมพิวเตอร์อื่น ๆ
เช่น ตรวจสอบการทำงานของแผ่นวงจรต่อประสานเครือข่าย หรือการ์ดแลน หรือทดสอบการทำงาน
ของเว็บเชิร์ฟเวอร์ที่ติดตั้งบนเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้งาน โดยเลขที่อยู่ไอพีพิเศษนี้ เรียกว่า ลูปแบ็ก
แอดเดรส (Ioop back address) เลขที่อยู่ไอพีที่ใช้ คือ 127.0.0.1 ดังนั้นชุดเลขที่อยู่ไอพี 127 จัดอยู่
คลาส A จะไม่นำมากำหนดใหก้ ับเคร่อื งคอมพิวเตอรใ์ ดในเครือขา่ ย
นอกจากนใี้ นแต่ละชว่ งของเลขทอ่ี ยูไ่ อพขี องแตล่ ะคลาส จะมีหมายเลขพิเศษอีก 2 ค่า เป็นเลขท่ี
อย่ไู อพีสำหรบั เครอื ขา่ ย (network adidress) และสำหรับบรอดคาสตแ์ อดเดรส (broadcast address)
โดยไอพีทัง้ สองคา่ ดังกลา่ วหา้ มนำไปใช้กำหนดใหก้ บั คอมพวิ เตอรห์ รืออปุ กรณใ์ ดในเครอื ข่าย
เลขที่อยไู่ อพสำหรบั เครอื ขา่ ย คือเลขทีอ่ ย่ไู อพตี ัวแรกสดุ ของช่วงชดุ ไอพที ่ใี ช้ในเครือข่ายเป็นไอ
พที ใ่ี ช้สำหรับการอา้ งองิ เครือข่าย
เลขที่อยู่ไอพสี ำหรับบรอดคาสต์แอดเดรส คือเลขที่อยู่ไอพีตัวสดุ ทา้ ยของช่วงชุดไอพีในคลาสท่ี
ใช้ในเครอื ข่าย เป็นไอพีทใ่ี ชส้ ำหรบั สง่ ข้อมูลกระจายให้กบั คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ท้ังหมดในเครอื ขา่ ย
4. ประโยชน์ของระบบเครือขา่ ย
ระบบเครอื ขา่ ยคอมพวิ เตอร์มกี ารทำงานร่วมกันเป็นกลุ่ม สามารถประยุกต์ใชง้ านได้อยา่ งกว้างขวาง
โดยประโยชนท์ ี่ไดร้ ับจากระบบเครอื ข่ายคอมพิวเตอร์มดี งั น้ี
4.1 การใช้ทรพั ยากรร่วมกนั
การเชือ่ มต่อคอมพิวเตอร์ในเครือข่ายเพื่อการใช้งานทรัพยากรคอมพิวเตอร์รว่ มกัน แบ่งเป็น 2
ประเภท คือ
4.1.1 การใช้อุปกรณร์ ่วมกนั (sharing of peripheral devices) เครือขา่ ยคอมพวิ เตอรท์ ำ
ใหผ้ ใู้ ช้สามารถใช้อุปกรณต์ อ่ พว่ งกบั ระบบคอมพิวเตอรร์ ่วมกนั ไดอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพ ซึ่งชว่ ยประหยดั
พ้นื ฐานระบบเครือข่าย 19
ค่าใช้จ่าย ไม่ต้องซอ้ื อุปกรณท์ ี่มีราคาแพง โดยสามารถเชอ่ื มต่อกบั คอมพิวเตอรไ์ ดห้ ลายเคร่อื งภายใน
เครอื ขา่ ย เชน่ เคร่ืองพิมพ์ สแกนเนอร์ โมเด็ม
นอกจากนก้ี ารประมวลผลข้อมลู ยงั สามารถกระจายงานให้คอมพิวเตอร์เครอื่ งอื่นในเครอื ข่าย
ช่วยกันประมวลผล เรยี กวา่ การคอมพวิ เตอร์แบบกระจาย (distributed computing) เพื่อชว่ ยแบ่ง
ภาระการทำงานและทำใหป้ ระมวลผลไดร้ วดเร็วขน้ึ
4.1.2 การใช้โปรแกรมและข้อมูลร่วมกัน (sharing of program and data) เครือข่าย
คอมพิวเตอร์ทำให้ผู้ใช้สามารถใช้โปรแกรมและข้อมูลร่วมกันได้โดยจัดเก็บโปรแกรมไว้ในแหล่งเก็บ
ข้อมูลที่เป็นศูนย์กลาง เช่น ฮาร์ดดิสก์ของเครื่องบริการแฟ้ม (file server) ที่ผู้ใช้สามารถใช้โปรแกรม
รว่ มกนั ได้จากแหล่งเดยี วกนั ไมต่ อ้ งเก็บโปรแกรมไวใ้ นแตล่ ะเครอื่ งใหซ้ ำ้ ซอ้ นกนั และยงั สามารถรวบรวม
ข้อมูลต่างๆจัดเก็บเป็นฐานข้อมูล ผู้ใช้สามารถใช้สารสนเทศจากฐานข้อมูลกลางผ่านระบบเครือข่าย
คอมพิวเตอร์ที่ใช้งานได้อย่างสะดวกสบาย ไม่ต้องเดินทางไปสำเนาข้อมลู ด้วยตนเอง โดยใช้การเรียกใช้
ขอ้ มูลผ่านระบบเครือขา่ ยคอมพวิ เตอร์
4.2 ลดต้นทนุ ดา้ นงบประมาณรายจ่าย
เครือข่ายคอมพิวเตอร์สามารถเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ทั้งระยะใกล้และ
ระยะไกลได้ จึงเป็นการช่วยลดตน้ ทุนด้านค่าใช้จา่ ยในการติดต่อส่ือสารระหว่างเครื่องคอมพวิ เตอร์และ
ลดต้นทุนด้านการจัดซื้อทรัพยากรที่สามารถใช้งานร่วมกันได้ เช่น ประหยัดต้นทุนค่าจัดส่งเอกสารทาง
ไปรษณีย์หรือลดต้นทุนในการจัดหาอุปกรณ์ทางคอมพิวเตอร์ในสํานักงาน เช่น เครื่องพิมพ์เพราะ
สามารถใช้งานรว่ มกันไดภ้ ายในเครือขา่ ย
ภาพท่ี 1.9 การใชท้ รัพยากรร่วมกันเพือ่ เปน็ การลดคา่ ใชจ้ ่าย
จากภาพจะเหน็ ไดว้ ่า มกี ารเชอ่ื มต่อคอมพิวเตอรจ์ ำนวน 3 เคร่ืองเข้ากบั เครื่องพมิ พ์ 1 เครอ่ื งซึ่ง
เครื่องคอมพิวเตอร์ทั้งหมดสามารถสั่งพิมพ์งานได้ด้วยเครื่องพิมพ์ที่เชื่อมต่อในระบบเครือข่ายที่มีอยู่
20 เครือขา่ ยคอมพวิ เตอร์เบื้องต้น
เพียงเครื่องเดียว ไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องพิมพ์ 1 เครื่องต่อคอมพิวเตอร์ 1 เครื่องแสดงให้เห็นว่าการ
เชื่อมต่อเครือข่ายนั้นนอกจากจะสามารถใช้ทรัพยากรร่วมกันแล้ว ยังช่วยลดต้นทุนและงบประมาณ
รายจ่ายได้อีกทางหนึง่
4.3 ความสะดวกในดา้ นการสื่อสาร
การเช่อื มตอ่ คอมพวิ เตอร์เป็นเครอื ขา่ ยทำให้คอมพิวเตอร์สามารถสื่อสารแลกเปล่ียนข้อมูลได้ไม่
ว่าในระยะใกล้หรือระยะไกล โดยใชซ้ อฟต์แวร์ประยกุ ต์ทางด้านการตดิ ต่อสื่อสาร โดยเฉพาะอย่างยิง่ ใน
ระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตมีบริการต่างๆ เช่น การโอนย้ายไฟล์ข้อมูล การใช้อีเมล การสืบค้นข้อมูล
การโอนเงินหรอื ชำระค่าสินค้าด้วยระบบออนไลน์ ส่งผลให้ผู้ใช้มีเวลามากขน้ึ ทำให้สามารถปฏิบัติงานได้
มากขึน้ เชน่ การโอนเงนิ หรอื ชำระค่า สินคา้ โดยไม่ต้องเสียเวลาในการเดินทาง
ภาพที่ 1.10 การทำธุรกรรมทางการเงินแบบออนไลน์ โดยไมต่ ้องไปท่ธี นาคาร
4.4 ความนา่ เช่อื ถือและความปลอดภยั
ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์นอกจากจะมีประโยชน์ต่อองค์กรหรือหน่วยงานแล้ว ยังเป็น
การสร้างความมั่นคงทางด้านข้อมูลและสารสนเทศ เพราะในเครือข่ายคอมพิวเตอร์มีการกำหนด
สิทธิ์ในการเข้าถึงของผู้ใช้งานหรือการทำธุรกรรมต่างๆ เพื่อให้เป็นไปตามนโยบายการรักษาความ
มั่นคงของข้อมูลและสารสนเทศทำให้องค์กรเกิดความน่าเชื่อถือ มีการสื่อสารและประมวลผลบน
เครอื ข่ายคอมพวิ เตอร์อย่างเปน็ ระบบ
พืน้ ฐานระบบเครอื ข่าย 21
สรุป
เครือข่ายคอมพิวเตอร์มีองค์ประกอบสำคัญ 6 ส่วนประกอบด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ท่ีทำหน้าท่เี ป็นแม่ข่าย-ลูก
ข่ายอุปกรณ์เชื่อมโยงช่องทางการสื่อสารข้อมูลข่าวสารซอฟต์แวร์เครือข่ายและโพรโทคอลที่เป็นข้อกำหนดใน
การสื่อสารระหว่างคอมพิวเตอร์เพื่อให้สามารถสื่อสารกันได้อย่างเข้าใจโดยการสื่อสารข้อมูลและระบบ
เครือข่ายคอมพิวเตอร์มีชนิดสัญญาณข้อมูล 2 ชนิด คือสัญญาณแอนะล็อกซึ่งใช้ช่องทางการสื่อสารที่เรียกวา่
บรอดแบนด์ มีหน่วยวัดเป็นเฮิรตซ์ และสัญญาณดิจิทัลซึ่งใช้ช่องทางการสื่อสารที่เรียกว่าเบสแบนด์หน่วยวัด
เป็น bps-ผ่านสื่อกลาง 2 ชนิดได้แก่ ชนิดที่สามารถกำหนดเส้นทางสัญญาณไ ด้ เช่น สายตีเกลียวคู่
สายโทรศพั ท์ สายโคแอก็ ซ์ เคเบิลเส้นใยนำแสง และชนิดที่ไม่สามารถกำหนดเส้นทางของสญั ญาณได้ เช่น ชั้น
บรรยากาศโดยใช้การส่งสัญญาณข้อมูลใน 3 รปู แบบ คอื การสง่ สญั ญาณทางเดยี ว การสง่ สญั ญาณก่ึงทางคแู่ ละ
การสบ่งทสทัญ1่ี ญหานณ้า1ท8างคู่ ทั้งนี้การเชื่อมต่อของเครือข่ายจำเป็นต้องมีข้อกำหนดที่เป็นมาตรฐานในการสื่อสาร
เพ่อื ใหกิจ้สการมรามรตถรสว่อื จสสาอรบกคันวไาดมอ้ เขย้า่าใงจถกู ตอ้ งและมปี ระสิทธภิ าพโดยใช้ TCP / IP เปน็ มาตรฐานในการตดิ ตอ่ ส่ือสาร
ซ่งึ การตดิ ต่อสอื่ สารในในการติดต่อส่ือสารซ่งึ การติดต่อสอ่ื สารในระบบเครอื ข่ายจำเปน็ ต้องมีเลขที่อยู่ไอพีหรือ
ไอพแี อดเดรส (IP address) ซึ่งจากเดมิ เปน็ เวอรช์ ัน 4 (Ipv4) เพ่ือเป็นการรองรบั การเตบิ โตของระบบเครือขา่ ย
และอุปกรณ์ที่หลากหลายจงึ พัฒนาเป็นเวอร์ชัน 6 (Ipv6) ปัจจุบันระบบเครอื ขา่ ยคอมพวิ เตอร์เข้ามามบี ทบาท
ในชีวิตประจำวันมากยิ่งขึ้นไม่เพียงช่วยอำนวยความสะดวกในการติดต่อสื่อสารและยังช่วยลดต้นทุนค่าใช้จ่าย
ไดอ้ ีกด้วย เชน่ การแชรข์ อ้ มูลการใช้ทรัพยากรอปุ กรณ์รว่ มกนั
22 เครือข่ายคอมพวิ เตอรเ์ บ้ืองต้น
กจิ กรรมตรวจสอบความเขา้ ใจ
คำชี้แจง กจิ กรรมตรวจสอบความเข้าใจเป็นกิจกรรมฝกึ ทกั ษะเฉพาะดา้ นความร้คู วามจำเพื่อใชใ้ นการ
ตรวจสอบความเขา้ ใจตามจุดประสงคก์ ารเรียนรู้คำส่ังจงตอบคำถามต่อไปนี้
คำส่งั จงตอบคำถามต่อไปนี้
1. จงอธิบายความหมายของระบบเครือข่ายคอมพวิ เตอร์
2. การเช่อื มโยงเครือขา่ ยคอมพวิ เตอรเ์ กิดขึน้ ได้อย่างไร
3. องค์ประกอบของระบบเครือข่ายคอมพวิ เตอรม์ อี ะไรบา้ ง
4. ช้ันการสื่อสารระหวา่ งมาตรฐาน OSI กบั มาตรฐาน TCP / IP แตกต่างกนั อย่างไร
5. เพราะเหตุใดเลขที่อยไู่ อพเี วอรช์ นั 4 จงึ ปรบั เปล่ยี นมาเป็นเลขที่อยู่ไอพเี วอร์ชั่น
6. จงยกตัวอยา่ งประโยชน์ที่ผู้เรียนไดร้ บั จากการใชง้ านระบบเครือข่า
พน้ื ฐานระบบเครือขา่ ย 23
กิจกรรมส่งเสรมิ การเรยี นรู้
คำชี้แจง กิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้ประกอบด้วยกิจกรรมที่ฝึกทักษะทุกด้านตามจุดประสงค์เชิง
พฤติกรรมเพื่อให้เกิดสมรรถนะในการเรียนรู้สามารถปฏิบัติกิจกรรมทั้งในและนอกสถานท่ี
ตามความเหมาะสมกบั ผเู้ รียนและสิ่งแวดล้อมของสถานศกึ ษา
1. ให้ผู้เรียนแบ่งเป็น 4 กลุ่มร่วมกันศึกษาค้นคว้าตามหัวข้อที่กำหนดจากแหล่งการเรียนรู้ต่างๆเช่น
อินเทอร์เน็ตหนังสือวารสาร ฯลฯ และจัดทำสรุปผลการเรียนรู้พร้อมส่งตัวแทนกลุ่มนำเสนอหน้าช้ัน
เรียนกลุ่มละ 5-10 นาทีกลมุ่ ที่ 1 ความรู้พื้นฐานเก่ียวกับระบบเครอื ข่าย
กลมุ่ ที่ 2 มาตรฐานการเช่ือมตอ่ ระบบเครือขา่ ย
กลมุ่ ท่ี 3 เลขทอ่ี ยู่ไอพี
กลุ่มที่ 4 ประโยชนข์ องระบบเครือขา่ ย
2. ใหผ้ ู้เรยี นเขยี นผังความคดิ เกีย่ วกบั พืน้ ฐานระบบเครอื ขา่ ย
สรุปผลการทำกิจกรรม
คำชี้แจง ใหผ้ ้เู รยี นประเมนิ ผลการทำกิจกรรม โดยเขียนเคร่ืองหมาย ลงในชอ่ ง ตามความคิดเหน็
หมายเหตุ เกณฑก์ ารประเมนิ ผลการทำกจิ กรรมมวี ตั ถปุ ระสงคเ์ พ่ือประเมนิ วา่ ผูเ้ รียนเกดิ สมรรถนะจาก
การเรียนรตู้ ามบรบิ ทต่างๆหรอื ไมโ่ ดยแบง่ เปน็ 3 ด้านคอื ความร้หู รอื พุทธิพิสัย = Knowledge (1)
ทกั ษะหรอื Van-Pantice (P) คณุ ลกั ษณะหรอื จติ พิสัย = Amatuide Al
24 เครือข่ายคอมพวิ เตอร์เบื้องต้น
แบบทดสอบ
คำส่ัง จงเลอื กคำตอบทถ่ี ูกต้องทสี่ ดุ เพียงคำตอบเดยี ว
1 .ขอ้ ใดไม่ใช่องค์ประกอบของการสอื่ สารข้อมลู
1. ผ้รู บั -ผู้สง่
2. ขอ้ มลู
3. สายสญั ญาณ
4. โพรโทคอล
5. โปรแกรมรบั -ส่งข้อมูล
2. คอมพิวเตอร์จัดเปน็ องคป์ ระกอบใดของการส่อื สารขอ้ มูล
1. ผู้รับ-ผสู้ ง่
2. ข้อมูล
3. สายสญั ญาณ
4. โพรโทคอล
5. โปรแกรมรบั -ส่งข้อมูล
3. สัญญาณข้อมูลแบบใดเปน็ สัญญาณทคี่ อมพวิ เตอร์ใช้ในการประมวลผล
1. แบบแอนะล็อก
2. แบบดจิ ิทัล
3. แบบบรอดแบนด์
4. แบบเบสแบนด์
5. แบบใดก็ได้
พน้ื ฐานระบบเครอื ขา่ ย 25
4. การกระจายเสียงของสถานีวิทยเุ ปน็ การสง่ สัญญาณแบบใด
1. Sim duplex
2. Simplex
3. Half duplex
4. Full duplex
5. Fullplex
5. วทิ ยสุ ่อื สารหรอื วิทยมุ อื ถอื จัดเปน็ การสง่ สญั ญาณแบบใด
1. Sim duplex
2. Simplex half duplex
3. Half duplex
4. Full duplex
5. Fullplex
6. ข้อใดเปน็ การสือ่ สารแบบสองทางเตม็ อตั รา
1. จอมทพั เปิดฟงั เพลงจากวิทยุชมุ ชนอยา่ งเพลดิ เพลนิ
2. จอมใจแชตกับเพ่ือนดว้ ยโทรศัพทม์ ือถอื
3. จอมพลสง่ จดหมายทางไปรษณยี ์ไปหาเพ่อื นรกั ดว้ ยความคดิ ถงึ
4. จอมขวญั ดูโทรทัศนอ์ ยา่ งสบายใจ
5. จอมยุทธ์คุยโทรศัพทก์ บั คุณแม่อย่างมีความสขุ
7. องคก์ รใดทที่ ำหน้าท่กี ำหนดมาตรฐานสำหรบั การตดิ ต่อสอ่ื สารในระบบเครือข่ายระหวา่ ง
คอมพิวเตอรเ์ พ่อื อนญุ าตใหร้ ะบบทม่ี ีสถาปตั ยกรรมตา่ งกันสามารถสอื่ สารกนั ไดโ้ ดยปราศจากข้อจำกดั
1. EEE
2. TCP/IP
3. .ISO
4. OSI
5. ANSI
26 เครอื ขา่ ยคอมพวิ เตอรเ์ บ้ืองต้น
8. จำนวนชนั้ การสอ่ื สารของมาตรฐาน OSI มีจำนวนทง้ั หมดกีช่ นั้
1. 4 ชั้น
2. 5 ชั้น
3. 6 ชั้น
4. 7 ชั้น
5. 8 ชั้น
9. จำนวนช้ันการสอื่ สารของมาตรฐาน TCP/IP มจี ำนวนทั้งหมดกีช่ ้ัน
1. 4 ชนั้
2. 5 ชั้น
3. 6 ชั้น
4. 7 ชนั้
5. 8 ช้ัน
10. ในมาตรฐาน TCP / IP ชั้นมาตรฐานใดท่รี วม presentation layer กบั Samsunsion iyer ไว้ดว้ ยกัน
1. application layer
2. Transport layer
3. Internet layer
4. Data link layer
5. Physical layer
พน้ื ฐานระบบเครือข่าย 27
แบบประเมินตนเอง
คำชี้แจง ตอนที่ 1 ให้ผู้เรยี นประเมนิ ผลการเรยี นรู้ โดยเขยี นเครื่องหมายลงในชอ่ งระดบั คะแนน
เตมิ ขอ้ มลู ตามความเปน็ จรงิ
ระดบั คะแนนตอนท1่ี 5: มากท่ีสุด 4 : มาก 3: ปานกลาง 2:นอ้ ย 1:ควรปรบั ปรบั ปรงุ
ตอนที่ 2 ให้ผูเ้ รยี นนำคะแนนจากแบบทดสอบมาเตมิ ลงในช่องวา่ งและเขียนเครอ่ื งหมายลง
ในช่องสรปุ ผล
หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี
ประเภทของเครอื ข่ายคอมพวิ เตอร์
สาระสำคัญ
ระบบเครือขา่ ยคอมพวิ เตอรม์ หี ลายชนดิ หลายลกั ษณะ โดยมีเกณฑ์ในการพจิ ารณาการแบ่งประเภทซ่ึง
สามารถแบง่ ได้เป็น 4 ประเภท ไดแ้ ก่ แบ่งตามลกั ษณะภมู ศิ าสตร์ แบง่ ตามลักษณะความเป็นเจ้าของ แบ่งตาม
ลกั ษณะการทำงาน และแบ่งตามลกั ษณะเทคโนโลยีการประมวลผล
สาระการเรยี นรู้
1. ประเภทของเครอื ขา่ ยคอมพิวเตอรแ์ บง่ ตามลกั ษณะภูมศิ าสตร์
2. ประเภทของเครอื ข่ายคอมพวิ เตอร์แบ่งตามลกั ษณะความเป็นเจ้าของ
3. ประเภทของเครอื ข่ายคอมพวิ เตอรแ์ บง่ ตามลกั ษณะการทํางาน
4. ประเภทของเครือขา่ ยคอมพวิ เตอร์แบง่ ตามลักษณะเทคโนโลยีประมวลผล
ประเภทของเครอื ขา่ ยคอมพิวเตอร์ 29
สรรถนะประจำหน่วย
1. แสดงความรู้เก่ยี วกบั ประเภทของเครือข่ายคอมพวิ เตอร์
2. ประยุกต์ความรู้เกย่ี วกับประเภทเครือขา่ ยคอมพิวเตอร์มาใช้ใน ชวี ติ ประจำวัน
และการประกอบอาชพี
จุดประสงค์การเรียนรู้
1 .บอกความหมายของประเภทเครอื ขา่ ยแต่ละประเภทได้
2. จำแนกหนา้ ทแี่ ละลักษณะของเครอื ข่ายแต่ละประเภทได้
3. ใช้งานเครือขา่ ยประเภทตา่ งๆได้อยา่ งเหมาะสม
แผนผงั การเรียนรู้ ประเภทของเครือขา่ ยคอมพิวเตอรแ์ บ่ง
ตามลกั ษณะภมู ศิ าสตร์
ประเภทของ
เครือขา่ ย ประเภทของเครอื ข่ายคอมพิวเตอร์แบง่ ตาม
คอมพิวเตอร์ ลักษณะความเปน็ เจ้าของ
\ ประเภทของเครือขา่ ยคอมพวิ เตอร์แบง่ ตาม
ลักษณะการทำงาน
ประเภทของเครือข่ายคอมพวิ เตอร์แบง่
ตามลกั ษณะเทคโนโลยกี ารประมวลผล
30 เครอื ข่ายคอมพวิ เตอรเ์ บอื้ งต้น
1. ประเภทของเครอื ข่ายคอมพวิ เตอร์แบง่ ตามลกั ษณะภมู ิศาสตร์
เมื่อแบ่งประเภทของเครือข่ายคอมพิวเตอร์ลักษณะภูมิศาสตร์ (geographic span) พื้นท่ี
ครอบคลุม โดยคำนึงถึงระยะทางหรือปริมาณของพื้นที่ที่ให้บริการว่ามากน้อยหรือกว้างไกลแค่ไหนซึ่ง
สามารถแบง่ ได้ 3 ระดับดังน้ี
1.1 เครือขา่ ยระดบั ท้องถิน่
เครือข่ายระดับท้องถิ่น หรือแลน (Local Area Network; LAN) คือเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่
เช่อื มโยงคอมพวิ เตอรแ์ ละอุปกรณส์ ่อื สารภายในบริเวณเดียวกนั เขา้ ด้วยกนั การเชอื่ มต่อมักอยใู่ นอาคาร
สำนักงาน ภายในองค์กร เชื่อมโยงคอมพิวเตอร์ตั้งแต่ 2 เครื่องขึ้นไปภายในในห้องเดียวกัน ตอลจน
เชื่อมโยงระหว่างห้อง ระหว่างตึกอาคาร โดยมีระยะทางการเชื่อมต่อไม่เกิน 10 กิโลเมตร ทั้งนี้หากมี
ระยะทางเชื่อมต่อเกินว่า 10 กิโลเมตร ควรใช้รีพีตเตอร์เพื่อทวนสัญญา อย่างใรก็ตามควรคำนึงถึง
ระยะทางสงู สุดในการเชื่อมตอ่ รวมทง้ั จำนวนของรีพตี เตอรท์ ีส่ ามารถนำมาใชง้ านในเครอื ขา่
ภาพท่ี 2.1 เครือขา่ ยระดับทอ้ งถน่ิ หรือเครือขา่ ยแล
รูปแบบเทคโนโลยีการเชื่อมต่อของเครือข่ายแลนมี เครอื ข่ายแลน
หลายรูปแบบ แต่รูปแบบเทคโนโลยีท่ีนิยมใช้และเปน็ ที่
ยอมรับอยู่ในปัจจุบนั คือ เครือข่ายแลนแบบมีสัญญาณ มีสาย ไรส้ าย สายไฟ เคบิล
หรือแบบอินเทอร์เน็ต ( Ethernet) เครือข่ายแลนไร้ ภาพที่
สาย (Wireless LAN) และ แบบสายไฟ (power line)
ภาพที่ 2.2 ประเภทของรปู แบบเทคโนโลยกี ารเชื่อมตอ่
ประเภทของเครอื ขา่ ยคอมพิวเตอร์ 31
1.1.1 เครือข่ายแลนแบบมีสายสัญญาณหรืออีเทอร์เน็ต (Ethernet) ซึ่งเป็นมาตรฐานที่เข้า
มาช่วยในการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ โดยอีเทอร์เน็ตมีวัตถุประสงค์เพื่อระบุสายสัญญาณที่ใช้ในการ
เช่อื มตอ่ ว่าสายชนดิ ใดเช่อื มตอ่ อยา่ งไรแล้วข้อมูลนัน้ จะเคลอื่ นท่ีผา่ นสายสญั ญาณไดอ้ ย่างไร
อีเทอร์เน็ตเป็นเทคโนโลยีสำหรับเครือข่ายแบบแลน ที่คิดค้นโดย บริษัท ซีร็อกซ์ (Xerox) ตาม
มาตรฐาน IEEE 802.3 การเชื่อมเครอื ขา่ ยแลนแบบอเี ทอรเ์ น็ตสามารถใชส้ ายสัญญาณเช่อื มตอ่ ไดท้ ้ังสาย
โคแอก็ ซ์และสายยูทีพโี ดยทุกเครอื่ งจะใชส้ ายสัญญาณชุดเดียวกนั ในการตดิ ต่อสื่อสารระหวา่ งกัน
ระบบการส่งข้อมูลแบบอีเทอร์เน็ต (Ethernet) จะใช้ระบบการส่งด้วยวิธีการเข้าถึงหลายทาง
แบบตรวจรู้พาหะและตรวจหาการชนหรือซีเอสเอ็มเอซีดี (Carrier Sense Multiple Access with
Collision Detection, CSMA / CD) ซึ่งกลไกในการจัดการการส่งข้อมูลบนสายในช่วงเวลาหนึ่งจะมี
ข้อมูลเพยี งชุดเดียวเท่านั้นที่สามารถส่งผ่านสายสญั ญาณได้เพื่อป้องกันการชนกนั ของข้อมูล (collision
detection) หลักการทำงานของซเี อสเอ็มเอ / ซีดี (CSMA / CD) มีดังนี้
กระบวนการ ขน้ั ตอนการทำงาน
Carrier
Multiple Access 1. ก่อนส่งข้อมูลตน้ ทางจะมีการสญั ญาณเพอื่ ตรวจสอบวา่ มี
สญั ญาณของอน่ื ใชง้ านอยหู่ รอื ไม่
Collison Detection
2. ถา้ สญั ญาณวา่ ง สง่ ขอ้ มลู ออกไดท้ นั ที
3. หากพบว่ามสี ญั ญาณอน่ื ใช้งานอยู่ จะรอจนกวา่
ช่องสัญญาณวา่ งจึงจะสง่ ขอ้ มลู ออกไป
กรณีหากเกิดการชนกันของข้อมูลขึ้น จะมีการแจ้งเตือนทุก
4. สถานีหรือเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ส่งข้อมูลจะหยุดการส่งจากนั้น
ทำการสุ่มช่วงเวลาเพื่อส่งข้อมูลออกไปใหม่ แต่หากส่งแล้วยัง
เกิดการชนซ้ำอีกจะหยุดและใช้เวลารอเพิ่มเป็นสองเทา่ เพ่อื ลด
การชนกันของข้อมูล จะทำเช่นน้ีจนกว่าข้อมูลจะถูกส่งไดอ้ ย่าง
สมบรู ณ์
32 เครอื ขา่ ยคอมพิวเตอรเ์ บื้องตน้
ทั้งนี้มาตรฐานในการเชื่อมตอ่ ของอเี ทอร์เนต็ มหี ลายแบบ เชน่ 10 Base 2 10 Base 5 10 Base- T 10
Base- F 100Base-TX 100Base-T4 และ 100Base-FX ซง่ึ มาตรฐานแตล่ ะรูปแบบจะขนึ้ อยู่กบั
ความเรว็ ในการรับ-สง่ ขอ้ มลู อปุ กรณ์ทีใ่ ชแ้ ละระยะทางที่สามารถสง่ ได้
การเรียกชื่ออเี ทอร์เนต็ ตามท่สี ถาบนั IEEE ไดก้ ำหนดการเรยี กชือ่ อเี ทอรเ์ น็ตประเภท
ต่างๆไว้เพ่ือให้สะดวกตอ่ การอ้างองิ ถึงมาตรฐานน้ันมรี ปู แบบดงั นี้
ขนาดของแบนด์วดิ ท์ ช่องสัญญาณที่ใช้
ใสร่ ูป บอกอัตราเรว็ ทใี่ ช้ Base แทนชอ่ งสญั ญาณ
ในการรับ-สง่ ข้อมูล แบบ Baseband
สว่ นสอง หมายถึงลกั ษณะของ
สว่ นแรก เปน็ ตัวเลขทบ่ี อกขนาดของ ชอ่ งสัญญาณทใ่ี ชใ้ นการเชอื่ มตอ่
แบนดว์ ดิ ที่ใช้ในเครือข่ายเชน่ 10 หมายถงึ สามารถแบง่ ได้เป็น 2 กลุ่มคอื
10 Mbps ซ่งึ ตอ่ มาไดร้ ับการพัฒนาใหม้ คี วามเรว็ Base ยอ่ มาจาก Baseband
เพิ่มขนึ้ มาเปน็ 100 Mbps เรยี กวา่ ฟาสตอ์ เี ทอรเ์ น็ต เปน็ ชอ่ งสญั ญากแบบดจิ ิทัล
(fast Ethernet) และ 1,000 Mbps หรือเรียกวา่ Broad ย่อมาจาก Broadband
กกิ ะบติ อีเทอรเ์ นต็ (gigabit Ethernet) โดย เปน็ ช่องสัญญาณแบบแอนะลอ็ ก
ในปจั จบุ นั ได้รบั การพฒั นาเพิ่มมากขนึ้ จนสามารถ
รับ-สง่ ขอ้ มลู ไดใ้ นระดบั ความเรว็ 10,000 Mbps สายสญั ญาณท่ีใช้
ท้งั น้ีอตั ราความเรว็ ในการสง่ ขอ้ มูลขึน้ อยกู่ ับสาย บอกประเภทของสายสัญญาณ
สัญญาณและอปุ กรณ์ท่นี ำมาใชใ้ นการเชื่อมตอ่
เครือข่ายดว้ ยเชน่ กันอย่างไรกต็ ามเทคนิคทีใ่ ช้ ทใ่ี ช้ในการเช่ือมต่อ
ในการรบั สง่ ขอ้ มูลยงั คงใช้ CSMA / CD ดงั เดมิ ส่วนสาม หมายถงึ ประเภทของ
สายสญั ญาณใชใ้ นการเช่ือมต่อ
ประเภทของเครอื ขา่ ยคอมพิวเตอร์ 33
ประเภทของสัญญาณ
สายตเี กลยี วคู่ (Twisted Pair; Tp)
เคเบลิ เสน้ ใยนำแสง (fiber optic cable)
สายโคแอก็ ซ์แบบหนา (thick coaxial cable)
สายโคแอก็ ซ์แบบบาง (thin coaxial cable)
ในช่วงแ1ร.ก1อ.2เี ทเอครรอืเ์ นขต็ ่ามยคีแสวานมไรเร้ส็วาทยี่ห1ร0ือไMวรpเ์bลsสแซล่งึ ปนัจ(จwบุ irนั eนle้ีเปss็นLยAคุ Nเท)น็ ไดจ้รีอบั เี ทคอวารม์เนน็ติยม(1เพ0ิม่ GมาEกthขeึ้นrใnนeปtจั )จุบัน
เน่ืองจากไวรเ์ ลสแลนเสปาน็ มเาทรคถโนรอโลงยรีทบั ง่ีอ่าตั ยรแาลขะ้อสมะลูดไวดก้ถรงึวด4เ0รว็ Gในbกpาsรตแิดลตะ้งั ส1า0ม0ารGถbเขpา้sถึงทรัพยากรขององคก์ ร
34 เครือขา่ ยคอมพวิ เตอรเ์ บอ้ื งต้น
1.1.2 เครือข่ายแลนไร้สายหรือไวร์เลสเเลน (wireless LAN) ได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นใน
ปจั จบุ นั เน่อื งจากไวร์เลสเป็น เทคโนโลยี ท่งี า่ ยและสะดวกรวดเร็วในการตดิ ตง้ั สามารถเขา้ ถงึ ทรพั ยากร
ขององคก์ รได้อยา่ งท่วั ถงึ เพราะในการรับและสง่ ขอ้ มลู ระหวา่ งคอมพวิ เตอรแ์ ต่ละ เครื่องไม่จำเป็นตอ้ งมี
การติดตง้ั สายสญั ญาณภายในตวั อาคาร ช่วยลดขอ้ จำกดั ในการตดิ ต้งั สายสัญญาณ
ไวร์เลสแลนใช้การส่งคลื่นความถี่วิทยุในย่านความถี่ RF และคลื่นอินฟราเรด แต่โดยส่วนมาก
นิยมใช้คลื่นความถี่วิทยุมากกว่าคลื่นอินฟราเรด เพราะคลื่นความถี่วิทยุมีความคล่องตัวในการใช้งาน
มากกว่า อีกทั้งยังสามารถกระจายสัญญาณไปได้ทุกทิศทาง และส่งสัญญาณทะลุผ่านสิ่งกีดขวางได้ แต่
ข้อเสียของคลืน่ สัญญาณวิทยุคือการถูกรบกวนจากอปุ กรณ์ไฟฟา้ และจากเครือข่ายแลนแบบไร้สายด้วย
กนั เองใช้ความถใ่ี นช่วงเวลาเดยี วกัน
การใช้งานไวร์เลสแลนประกอบด้วยอุปกรณ์สำคัญ 2 ชนิด คือแอกเซสพอยต์ (Access Point,
AP) สำหรับใช้ในการส่งสัญญาณและไวร์เลสการ์ด (wireless Card) สำหรับในการรับสัญญาณโดยใช้
การเชื่อมต่อแบบพีชีเอ็มชีไอเอ PCMCIA) แบบยูเอสบี (USB) หรือแบบพีซีไอ (Peripheral
Component Interface; PCI)
การเชื่อมตอ่ เครือข่ายแลนแบบไร้สาย IEEE 802.11 เป็นมาตรฐานควบคุมดูแลซึ่งแบ่งออกเป็น
หลายกลมุ่ การทำงานโดยแตล่ ะมาตรฐานจะมคี วามเรว็ ระยะทางและความถี่แตกตา่ งกนั
ตารางท่ี 2.1 แสดงการเช่อื มต่อเครือข่ายแลนแบบไรส้ ายตามมาตรฐานตา่ งๆ
มาตรฐาน ความเรว็ ระยะทาง ความถี่
IEEE 802.11 2 Mbps 100 M 2.4 GHz
IEEE 802.11 a 54 Mbps 120 M 5 GHz
IEEE 802.11 b 11 Mbps 140 M 2.4 GHz
IEEE 802.11 n 54 Mbps 141 M 2.4 GHz
802.11 g 300 Mbps 250 M 2.4 GHz
IEEE 802.11 ac 6,930 Mbps 250 M 5.1 GHz
ประเภทของเครอื ขา่ ยคอมพวิ เตอร์ 35
ภาพท่ี 2.3 เครอื ขา่ ยแลนแบบไรส้ าย
1.1.3 เครือข่ายแลนแบบสายไฟหรือเพาเวอร์ไลน์ (power line) เป็นการเชื่อมต่อเครือข่าย
แลนที่ใช้คู่สายไฟฟ้าที่มีอยู่แล้วภายในอาคารเป็นสายสัญญาณในการเชื่อมตอ่ เครือข่าย แทนการใช้สาย
เชื่อมต่อสัญญาณอีเทอร์เน็ตที่เป็นสายตีเกลียวคู่หรือสายโคแอ็กซ์ ซึ่งการเชื่อมต่อโดยใช้สายไฟฟ้าเปน็
สือ่ กลางจะทำให้การรบั -สง่ ขอ้ มูลมีประสิทธภิ าพและเสถียรภาพมากกว่าการเชื่อมต่อเครอื ขา่ ยแลนแบบ
ไร้สาย ซ่ึงมรี ะบบรักษาความปลอดภัยทไ่ี ด้มาตรฐาน มกี ารเข้ารหัสขอ้ มลู ทม่ี ีความน่าเช่ือถอื สูงสูง
การเชอ่ื มต่อเครอื ข่ายแลนแบบสายไฟเปน็ วธิ ีการท่ไี ดร้ ับความนยิ มเนอ่ื งจากไมต่ อ้ งเสยี ค่าใชจ้ ่าย
หรือเสียเวลาในการเดินสายสัญญาณใหม่ เพราะสามารถใช้ร่วมกับสายไฟฟ้าได้ตามปกติ ดังนั้นจึงมี
ค่าใช้จ่ายถูกกว่าการเชื่อมต่อแบบอื่นๆ ทำให้การเชื่อมต่อเครือข่ายแลนภายในบ้านหรือภายในองค์กร
สามารถดำเนินการได้สะดวกยงิ่ ข้ึน
โดยอุปกรณ์ที่ใช้ในการเชือ่ มตอ่ เครอื ขา่ ยแลนแบบสายไฟจะใชเ้ พยี ง power line network
adapter ซงึ่ เปน็ ตัวปรบั ตอ่ เครือขา่ ยเพ่ือใหส้ ามารถตดิ ตอ่ สือ่ สารระหว่างคอมพิวเตอร์กบั สายไฟฟา้ ได้
โดยมี 2 แบบคอื แบบพซี ไี อ (PCI) และแบบยูเอสบี (USB)
ภาพที่ 2.4 เครอื ข่ายแลนแบบสายไฟ
36 เครอื ขา่ ยคอมพวิ เตอร์เบือ้ งตน้
1.2 เครือขา่ ยระดบั เมืองเครอื ข่ายระดับเมือง
เครอื ข่ายระดบั เมอื งเครือขา่ ยระดบั เมอื งหรอื แมน (Metropolitan Area Network: MAN) เปน็
การนาํ เครอื ข่ายแลนหลาย ๆ เครือข่ายท่ีอยหู่ ่างกันมาเชื่อมต่อเข้าดว้ ยกัน โดยใชโ้ ครงขา่ ยของ บริษัท ที
โอที จำกัด (มหาชน) หรือ บริษัท กสท.โทรคมนาคมจํากัด (มหาชน) ผ่านช่องทางการสื่อสาร เช่น
ไมโครเวฟ (microwave) คลน่ื วิทยุ (radio wave) สายเชา่ หรอื วงจรเชา่ (leased line) สายผ้เู ช่าดิจิทัล
(Digital Subscriber Line DSL) โดยเป็นการติดตอ่ ภายในอำเภอหรือจังหวัดมีระยะทางการเชื่อมตอ่ ไม่
เกิน 100 กโิ ลเมตร
ตัวอยา่ งการเชื่อมต่อแบบเครอื ขา่ ยแมน เช่น ธนาคารในจงั หวดั เดียวกันมีสาขายอ่ ยอีก 2 สาขา
แตต่ ง้ั อยู่คนละอำเภอ หรือวทิ ยาลัยแหง่ หนงึ่ มวี ิทยาเขตยอ่ ย 2 วิทยาเขต ซึ่งอย่คู นละจังหวัด แต่ทั้งสอง
วิทยาเขตมีระยะห่างกันไม่เกิน 100 กิโลเมตร เช่น วิทยาลัยเทคนิคสอนดี วิทยาเขตสมุทรสงคราม กับวิทยา
เขตราชบรุ ีมรี ะยะห่าง 70 กิโลเมตร
ภาพท่ี 2.5 เครือขา่ ยระดบั เมอื งหรือเครือขา่ ยแมน
นอกจากนีเ้ ครอื ข่ายระดับเมืองยังสามารถใหบ้ รกิ ารรบั -ส่งขอ้ มลู และแพรภ่ าพโทรทศั นไ์ ปพรอ้ ม
กัน กล่าวคือการให้บริการเคเบิลทีวี เช่น สถานีโทรทัศน์ยูบีซี (UBC) หรือทรูวิชั่นส์ (TrueVisions) ใน
ปัจจุบัน ซึ่งเป็นเครือข่ายระดับเมืองใกล้ตัวที่รู้จักและคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี โดยระบบนี้จะใช้เพียงสาย
เคเบลิ 1-2 เส้นในการเช่ือมตอ่ โดยไม่ต้องมีอุปกรณ์สับเปลีย่ นช่องสัญญาณ
ประเภทของเครอื ขา่ ยคอมพิวเตอร์ 37
ภาพท่ี 1.6 ระบบเครอื ขา่ ยระดับเมืองแบบเคเบิล้ ทีวี
1.3 เครือข่ายระดับประเทศ
เครือข่ายระดับประเทศเครือข่ายระดับประเทศหรือแวน (Wide Area Network: WAN) คือ
เครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมโยงระหว่างเครือข่ายแลนที่อยู่ห่างไกล เช่น ระหว่างจังหวัด ระหว่าง
ประเทศ เครือขา่ ยแวน จึงเปน็ เครือขา่ ยท่ีใช้กบั องคก์ รที่มีสาขาห่างไกลและต้องการเชือ่ มสาขาเหลา่ นนั้
เขา้ ด้วยกัน ตวั อยา่ งการเชื่อมตอ่ แบบเครือขา่ ยแวน เชน่ ธนาคาร เนอ่ื งจากธนาคารมสี าขายอ่ ยต่างๆ อยู่
หลายจังหวัดหรือมสี าขาอยตู่ า่ งประเทศ
ทั้งนี้เครือข่ายแวนเป็นการเชื่อมโยงที่มีระยะทางไกลมาก จึงอาจเกิดสัญญาณรบกวนได้ง่าย
ส่งผลให้ความเร็วในการสื่อสารลดลง ด้วยเหตุนี้จึงจำเป็นต้องใช้เทคนิคพิเศษเพื่อลดปัญหาหรือ
ข้อผิดพลาดในการรับ-ส่งข้อมูล ซึ่งการเชื่อมต่อเครือข่ายแวนต้องใช้ระบบบริการสาธารณะ เช่น การใช้
สายวงจรเช่าหรอื ใช้ระบบดาวเทยี ม โดยมีระยะทางการเชอ่ื มตอ่ ไม่เกนิ 1,000 กิโลเมตร
ภาพที่ 2.7 เครือข่ายระดับประเทศหรอื เครอื ข่าย แวน
ปัจจุบันเครือข่ายแบบแมนและแวนมีการใช้เทคโนโลยีการเชื่อมต่อแบบเดียวกัน ดังนั้นหาก
พิจารณาจากเทคโนโลยีที่ใช้ในการเชื่อมต่อ เครือข่ายแมนจึงจัดได้ว่าเป็นเครือข่ายประเภทเดียวกันกบั
แวน
38 เครือขา่ ยคอมพิวเตอร์เบอ้ื งตน้
2. ประเภทของเครือข่ายคอมพวิ เตอรแ์ บง่ ตามลักษณะความเปน็ เจา้ ของ
เกณฑ์การพิจารณาเมื่อแบ่งประเภทของเครือข่ายคอมพิวเตอร์ตามลักษณะความเป็นเจ้าของ
(Ownership) ของระบบเครอื ข่าย หมายถึงระบบเครือข่ายน้ันมใี ครเปน็ ผู้ให้บริการและมีใครท่สี ามารถ
เรียกใชข้ อ้ มลู ได้ สามารถแบง่ ได้ 3 แบบดงั นี้
2.1 เครือขา่ ยอินเทอรเ์ นต็
เครือข่ายอินเทอร์เน็ต (internet) หรือเครือข่ายสาธารณะ (public network) เป็นเครือข่ายที่
ครอบคลมุ ทั่วโลกเกิดจากเครอื ขา่ ยขนาดเล็กมากมายรวมเปน็ เครือขา่ ยเดียวโดยเชื่อมตอ่ ผา่ นผู้ใหบ้ รกิ าร
อินเทอร์เน็ตหรือไอเอสพี (Internet Service Provider, ISP) ทั้งนี้คอมพิวเตอร์ที่จะเชื่อมต่อกับ
เครือข่ายอินเทอร์เน็ตจะต้องใช้มาตรฐานของรูปแบบในการสื่อสารหรือโพรโทคอล ( protocol) ท่ี
เรียกวา่ TCP / IP (Transmission Control Protocol / Internet Protocol) สำหรบั การส่งผ่านข้อมลู
ในเครอื ขา่ ยคอมพวิ เตอรท์ ้ังหมด
2.1.1 จุดเริ่มต้นของอินเทอร์เน็ตอินเทอร์เน็ต (internet) มาจากคำว่า interconnection
network หมายถึงเครือข่ายคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ที่เชื่อมต่อกันทั่วโลก โดยมีมาตรฐานการรับ-ส่ง
ข้อมูลระหว่างกันเป็นแบบเดียวกัน ซึ่งคอมพิวเตอร์ในเครือข่ายแต่ละเครื่องสามารถรับและส่งข้อมูลใน
รูปแบบต่างๆไดห้ ลายรปู แบบเช่น ตัวอกั ษร ภาพกราฟกิ เสยี ง
อินเทอร์เน็ตถือกำเนิดขึ้นในยุคสงครามเมื่อปี พ.ศ. 2512 โดยอาร์พา (Advanced Research
Projects Agency, ARPA) ซึ่งเป็นหน่วยงานในกระทรวงกลาโหมของประเทศสหรัฐอเมริกาที่ให้การ
สนับสนุนงานวิจัยแก่หน่วยงานต่างๆ เพื่อทำการวิจัยทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเครือข่าย
อินเทอร์เน็ตในช่วงแรกจะรู้จักกันในนามของเครือข่ายสำนักงานโครงการวิจัยขั้นสูงหรืออาร์พาเน็ต
(ARPANET) ซึ่งมีจุดมุ่งหมายหลักคือเพื่อให้คอมพิวเตอร์จากหน่วยหนึ่งสามารถเชื่อมต่อกับอีกหน่วย
หนึ่งได้ โดยข้อมูลท่ีรับ-ส่งระหว่างกันสามารถส่งไปยังปลายทางได้มากกว่าหนึ่งเส้นทางและระบบ
เครือข่ายยังสามารถทำงานได้ ถึงแม้ว่าคอมพวิ เตอร์ของบางหน่วยจะได้รบั ความเสยี หายหรอื ถูกทําลาย
ไป
ประเภทของเครอื ขา่ ยคอมพิวเตอร์ 39
2.1.2 อินเทอร์เน็ตเข้าสู่ประเทศไทย เครือข่ายอินเทอร์เน็ตเข้ามาในประเทศไทยเมื่อปี พ.ศ.
2529 โดยสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (Asean Institute of Technology, AIT) สร้างเครือข่าย
คอมพิวเตอร์ขึ้น ต่อมาได้เปลี่ยนไปใช้บริการไทยแพค (THAIPAK) ของการสื่อสารแห่งประเทศไทย
(กสท.) และเริ่มใช้บริการรับ-ส่งอีเมลระหว่างมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (ม.อ. กับมหาวิทยาลัย
เมลเบิร์น (University of Melbourne) หลังจากนั้นในปี พ.ศ. 2531 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์และสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชียได้ร่วมกันจัดโครงการ The
International Development Plan (IDP) เพื่อพัฒนาเครือข่ายคอมพิวเตอร์ในประเทศไทยซึ่งได้รับ
การสนับสนนุ และช่วยเหลือจากรัฐบาลออสเตรเลีย และต่อมาในปี พ.ศ. 2538 รฐั บาลไทยไดเ้ ปดิ บริการ
อินเทอร์เน็ตเชิงพาณิชย์ขึ้นจากการร่วมมือกันระหว่างองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย
การสื่อสารแห่งประเทศไทย และสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยตัง้
เปน็ บริษัท อนิ เทอร์เนต็ แหง่ ประเทศไทย จาํ กัด (มหาชน) หรือไอเน็ต (INET)
2.1.3 อินเทอร์เน็ตในปัจจุบนั เครอื ขา่ ยอนิ เทอรเ์ นต็ จดั ไดว้ า่ เปน็ เครือข่ายคอมพิวเตอร์มีขนาด
ใหญ่ที่สุด มีการเชื่อมโยงเครือข่ายคอมพิวเตอร์ย่อย ๆ และเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ตั้งกระจายอยู่ตาม
สถานที่ต่างๆ ครอบคลุมเกือบทุกพื้นที่ทั่วโลกเข้าด้วยกัน ทำให้ผู้ใช้งานสามารถติดต่อสื่อสารหรือ
แลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร ไม่ว่าจะเป็นการค้นหาข้อมูลได้อย่างสะดวกรวดเร็ว อีกทั้งยังมีค่าใช้จ่ายถูก
กว่าการติดต่อสอื่ สารในรูปแบบอนื่
จะเห็นได้ว่าอินเทอร์เน็ตเป็นเครือข่ายที่มีผู้ใช้งานทั่วโลก สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารได้
อย่างอิสระ เครือข่ายอินเทอร์เน็ตจึงไม่มีใครเป็นเจ้าของอย่างแท้จริง และไม่มีใครเป็นผู้ควบคุมดูแล
อนิ เทอรเ์ น็ตโดยตรง ดว้ ยเหตุนอ้ี ินเทอรเ์ นต็ จงึ จดั เป็นเครอื ข่ายสาธารณะ
2.2 เครอื ข่ายอินทราเนต็
เครือข่ายอินทราเน็ต (Intranet) หรือเครือข่ายส่วนบุคคล (private network) คือระบบเครือข่ายท่ี
ให้บริการข้อมูลข่าวสารและมีลักษณะการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์เฉพาะสมาชิกในองค์กรเท่านั้น
บุคคลภายนอกไม่สามารถเข้าร่วมได้ เช่น การติดต่อสื่อสารการเชื่อมโยงเครือข่ายเพื่อใช้งานภายใน
ธนาคารหรือองค์กรใดองคก์ รหน่งึ
40 เครอื ข่ายคอมพิวเตอร์เบื้องตน้
ภาพที่ 2.9 เครือขา่ ยอินทราเนต็
การเชื่อมต่อเครือข่ายอินทราเน็ตนั้นจะเชื่อมต่อผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต โดยใช้โมเด็ม
สายโทรศัพทเ์ หมอื นกบั การเชื่อมต่อเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เพียงแต่มีการกำหนดสิทธิ์การเข้าใช้ รวมทั้ง
การควบคุมการแลกเปลยี่ นขอ้ มลู
ด้วยเหตนุ ี้อนิ ทราเนต็ จึงเปน็ เครือข่ายท่ีมีเจา้ ของแนน่ อน ซึ่งถกู ควบคมุ โดยองคก์ หรือบคุ คลผู้
เปน็ เจา้ ของ เพราะฉะนนั้ อนิ ทราเนต็ จึงจัดเปน็ เครือข่ายสว่ นบคุ คล
2.3 เครือข่ายเอกซ์ทราเน็ต
เครือข่ายเอกซ์ทราเน็ต (extranet) หรือเครือข่ายภายนอกองค์กร คือระบบเครือข่ายท่ีเชื่อม
ระหว่างเครือข่ายอินทราเน็ตเข้าด้วยกัน โดยการเชื่อมต่อเครือข่ายอาจเป็นได้ทั้งการเชื่อมต่อโดยตรง
ระหวา่ ง 2 จุด หรือการเช่ือมตอ่ แบบเครือข่ายเสมือน (Virtual network) ระหว่างเครือข่ายอินทราเนต็
หลาย ๆ เครือข่าย ผ่านทางเครือข่ายอินเทอร์เน็ตก็ได้ ดังนั้นจะมีบางส่วนของเครือข่ายที่เป็นเจ้าของ
รว่ มกันระหวา่ งองค์กรหรอื บรษิ ทั
เทคโนโลยกี ารเชอ่ื มตอ่ เครือข่ายเอกซท์ ราเนต็ สามารถเชอ่ื มต่อได้อย่างอิสระแตจ่ ะถกู
จำกัดดว้ ยนโยบายท่เี กยี่ วกบั การรักษาความปลอดภยั ของข้อมลู ท้งั น้ีองคก์ รหรือบริษัทจำเปน็ ตอ้ งตกลง
รว่ มกนั ฉะนัน้ การสร้างเอกซท์ ราเนต็ จึงเน้นทร่ี ะบบการรักษาความปลอดภัยของข้อมลู รวมถงึ การตดิ ต้ัง
ไฟรว์ อลลร์ ะหว่างอินทราเนต็ และการเข้ารหัสข้อมลู
ประเภทของเครอื ขา่ ยคอมพิวเตอร์ 41
ภาพที่ 2.10 เครือข่ายเอกซ์ทราเนต็
จากภาพที่ 2.10 แสดงให้เหน็ ขอบเขตการเชอื่ มต่อเครอื ข่ายระหวา่ งหจก. คุณธรรม กบั บรษิ ทั
พอเพยี ง จำกดั ซ่งึ ทั้งสององคก์ รตา่ งกม็ ีการเชอ่ื มตอ่ เครอื ข่ายแบบอนิ ทราเนต็ ภายในองคก์ รของตนอยู่
แลว้ ดังน้นั เมื่อท้งั สององค์กรมกี ารเชื่อมต่อเข้าดว้ ยกนั การเช่ือมตอ่ จงึ เปน็ เครือขา่ ยแบบเอกซท์ ราเนต็
3. ประเภทของเครอื ข่ายคอมพิวเตอรแ์ บ่งตามลักษณะการทำงาน
เม่อื พิจารณาแบง่ ประเภทของเครอื ข่ายคอมพิวเตอร์ตามลักษณะการทำงานของระบบเครอื ขา่ ย
สามารถแบง่ ไดเ้ ปน็ 2 ประเภทดังน้ี
3.1 เครือข่ายแบบเพยี รท์ ูเพียร์
เครือข่ายแบบเพียร์ทูเพียร์ (peer to peer) หรือเรียกว่า กลุ่มร่วมงานหรือเวิร์กกรุ๊ป
Workgroup) เป็นเครือข่ายที่ไม่มเี ซิร์ฟเวอร์ (Server) เครื่องคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องมีความเท่าเทียมกนั
โดยสามารถเป็นไดท้ ั้งแมข่ า่ ยและลกู ขา่ ยในเวลาเดยี วกัน ลักษณะการเช่อื มตอ่ มีจำนวนไมเ่ กิน 10 เคร่อื ง
เหมาะสำหรับกลุ่มผู้ใช้ขนาดเล็กทั้งนี้ผู้ใช้คอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องจะเป็นผู้ กำหนดเองว่าจะแชร์ข้อมูล
หรอื ทรพั ยากรใดให้คอมพิวเตอรเ์ ครอื่ งใดบ้าง
เนือ่ งจากเครอื ขา่ ยแบบเพียรท์ ูเพยี ร์ไมม่ รี ะบบรักษาความปลอดภัยของขอ้ มูล ดังนั้นผ้ใู ช้แตล่ ะ
เคร่ืองควรจะมกี ารกำหนดรหสั ผา่ นในการเข้าใชเ้ พื่อรกั ษาความปลอดภัย ดงั นน้ั หากตอ้ งการความ
ปลอดภยั ในระบบจึงไม่ควรเชอื่ มต่อแบบเพียรท์ ูเพยี ร์
42 เครือข่ายคอมพวิ เตอร์เบ้อื งตน้
ภาพที่ 2.11 เครือข่ายแบบเพียร์ทูเพยี ร์
3.1.1 ขอ้ ดีของเครือขา่ ยแบบเพียร์ทูเพียร์
1) การติดตั้งเครือขา่ ยมคี ่าใช้จา่ ยในการลงทุนตำ่
2) ตดิ ต้งั ใชง้ านงา่ ย เหมาะสำหรบั ตดิ ตง้ั เครือขา่ ยขนาดเล็ก จำนวนไมเ่ กิน 10 เครอื่ ง
3) ไมจ่ ำเป็นตอ้ งใชร้ ะบบปฏิบัตกิ ารเครอื ข่ายโดยเฉพาะ
4) ไมจ่ ำเปน็ ต้องมผี ู้ดแู ลโดยเฉพาะ
3.1.2 ขอ้ เสียของเครอื ขา่ ยแบบเพียร์ทเพียร์
1) ขยายระบบได้ยาก ไม่เออ้ื อำนวยตอ่ การใชง้ านกบั คอมพวิ เตอรจ์ ำนวนมาก
2) ความปลอดภยั ตำ่
3) เนื่องจากทกุ เครอื่ งมสี ิทธเ์ิ ทา่ กนั การจัดเกบ็ ข้อมูลจะอยใู่ นแต่ละเครือ่ ง ไมไ่ ดม้ กี าร
รวบรวมไวท้ เี่ ดียวกนั ดังนนั้ จึงทำใหก้ ารสำรองขอ้ มูลค่อนขา้ งยุ่งยาก
3.2 เครอื ขา่ ยแบบไคลเอนตเ์ ซิร์ฟเวอร์
เครอื ขา่ ยแบบไคลเอนตเ์ ซิรฟ์ เวอร์ (client-server) หรอื เครือข่ายแบบผรู้ บั บรกิ ารกับผูใ้ ห้บริการ
หรือเซิรฟ์ เวอรเ์ บส (server base) เปน็ ระบบที่มีเครอ่ื งแมข่ า่ ย (Server) เป็นผูใ้ ห้บรกิ ารทำหนา้ ที่ดแู ล
จดั การระบบเครอื ขา่ ย เพือ่ ใหบ้ รกิ ารแก่เครือ่ งลกู ขา่ ย (client) หรอื ผรู้ บั บรกิ ารสามารถให้บริการกับผ้ใู ช้
หลาย ๆ คนในเวลาเดียวกนั ได้ อกี ทั้งในขณะเดยี วกนั ยังสามารถทำหน้าทรี่ กั ษาความปลอดภยั ในการเขา้
มาใชบ้ รกิ ารและทรพั ยากรตา่ งๆ ของผูใ้ ชไ้ ดอ้ กี ดว้ ย
ประเภทของเครอื ขา่ ยคอมพิวเตอร์ 43
ภาพที่ 2.12 เครือขา่ ยแบบไคลอนต์เซิร์ฟเวอร์
ระบบนี้เป็นระบบที่มีความปลอดภัยสูงเนื่องจากมีผู้ดูแลระบบเพียงคนเดียว ทำหน้าที่กำหนด
แผนงาน วางนโยบายการใช้งานต่างๆ ให้กับผู้ใช้งานในเครือข่าย พร้อมทั้งควบคุมการเข้าถึงข้อมูลและ
ทรัพยากรที่แชร์ในเครือข่าย การค้นหาและการจัดการในเครือข่ายทำได้ง่าย เนื่องจากข้อมูลและ
ทรัพยากรทั้งหมดถูกเก็บไวท้ ่ีเครอ่ื งแมข่ า่ ย
3.2.1 ข้อดีของเครอื ขา่ ยแบบไคลเอนตเ์ ซริ ์ฟเวอร์
1) ระบบมคี วามปลอดภัยและความนา่ เชอ่ื ถือสูง
2) การขยายเครอื ขา่ ยสามารถทำไดง้ า่ ย เหมาะสำหรับเครอื ขา่ ยขนาดใหญ่
3) เนือ่ งจากมเี ครื่องแมข่ ่ายให้บรกิ ารทำหนา้ ทดี่ แู ลจดั การระบบเครือขา่ ย ดงั นนั้ การ
สำรองขอ้ มูลจงึ ทำได้งา่ ยและสะดวก
3.2.2 ขอ้ เสยี ของเครอื ข่ายแบบไคลเอนตเ์ ซริ ฟ์ เวอร์
1) การตดิ ต้งั เครือข่ายมคี า่ ใชจ้ ่ายในการลงทุนสงู
2) จำเปน็ ตอ้ งมีผดู้ ูแลโดยเฉพาะเน่อื งจากระบบมีความซบั ซอ้ น
4. ประเภทของเครอื ขา่ ยคอมพวิ เตอรแ์ บ่งตามลกั ษณะเทคโนโลยกี ารประมวลผล
เม่ือพิจารณาแบ่งประเภทของเครอื ข่ายคอมพวิ เตอรต์ ามลกั ษณะเทคโนโลยกี ารประมวลผลของ
ระบบเครือข่ายแบง่ ไดเ้ ปน็ 2 ประเภทดงั นี้