The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

เครือข่ายคอมพิวเตอร์เบื้องต้น

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by diwep645828, 2022-04-14 04:19:28

เครือข่ายคอมพิวเตอร์เบื้องต้น

เครือข่ายคอมพิวเตอร์เบื้องต้น

ตัวกลางเชอ่ื มตอ่ เครอื ขา่ ยและโพรโทคอล 93

กิจกรรมตรวจสอบความเข้าใจ

คำชแี้ จง กิจกรรมตรวจสอบความเขา้ ใจเปน็ กิจกรรมฝกึ ทกั ษะเฉพาะดา้ นความรคู้ วามจำเพอื่ ใชใ้ น
การตรวจสอบความเขา้ ใจตามจดุ ประสงค์การเรยี นรู้

คำส่ังจงตอบคำถามตอ่ ไปน้ี
1. สายโคแอก็ ซส์ ำหรบั ใช้เชอ่ื มโยงในเครอื ขา่ ยแบ่งเปน็ แบบอะไรบ้าง
2. สายตเี กลยี วคู่มกี ี่ชนดิ อะไรบา้ ง
3. ตวั กลางในการเชือ่ มตอ่ แบบไร้สายมีอะไรบา้ ง
4. จงอธิบายความหมายและหนา้ ทขี่ องโพรโทคอล
5. จงอธิบายความแตกตา่ งระหวา่ ง TCP กบั UDP

94 เครือข่ายคอมพวิ เตอร์เบอ้ื งต้น

กิจกรรมสง่ เสริมการเรยี นรู้

คำชี้แจง กิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้ประกอบด้วยกิจกรรมที่ฝึกทักษะทุกด้านตามจุดประสงค์เชิง
พฤตกิ รรมเพอ่ื ให้เกิดสมรรถนะในการเรยี นรู้สามารถปฏิบตั ิกิจกรรมท้งั ในและนอกสถานท่ีตามความ
เหมาะสมกบั ผเู้ รยี นและส่งิ แวดล้อมของสถานศึกษา
1. ให้ผู้เรียนแบ่งเป็น 2 กลุ่มร่วมกันศึกษาค้นคว้าตามหัวข้อที่กำหนดจากแหล่งการเรียนรู้ต่างๆเช่น
อินเทอร์เน็ตหนังสือวารสาร ฯลฯ และจัดทำสรุปผลการเรียนรู้พร้อมส่งตัวแทนกลุ่มนำเสนอหน้าชั้น
เรยี นกลุ่มละ 5-10 นาที
กลมุ่ ที่ 1 ตวั กลางการเชือ่ มตอ่
กลมุ่ ท่ี 2 โพรโทคอล
2. ใหผ้ ้เู รียนเขียนผงั ความคิดเกยี่ วกบั ตวั กลางการเชอ่ื มตอ่ เครือข่ายและโพรโทคอล

สรุปผลการทำกจิ กรรม ตามความคดิ เหน็

คำชแ้ี จง ใหผ้ เู้ รียนประเมินผลการทำกิจกรรม โดยเขยี นเคร่อื งหมายลงใน

หมายเหตุ: เกณฑ์การประเมนิ ผลการทำกจิ กรรมมวี ตั ถุประสงคเ์ พอื่ ประเมนิ ว่าผูเ้ รยี นเกิดสมรรถนะจาก
การเรียนรู้ตามบริบทต่างๆหรือไม่โดยแบ่งเป็น 3 ด้านคือความรู้หรือพุทธิพิสัย = Knowledge (1)
ทักษะหรือ Van-Pantice (P) คุณลักษณะหรอื จิตพสิ ยั = Amatuide Al

ตวั กลางเชือ่ มต่อเครือข่ายและโพรโทคอล 95

แบบทดสอบ

คำสัง่ จงเลอื กคำตอบทถ่ี ูกตอ้ งท่ีสดุ เพียงคำตอบเดยี ว

1. ขอ้ ใดไมใ่ ชช่ อ่ งทางการสอ่ื สารสำหรับเช่ือมโยงเครอื ขา่ ย

1. โมเต็ม
2. คล่นื สัญญาณไมโครเวฟ
3. สายโคแอ็กซ์
4. สายตเี กลยี วคู่
5. เคเบิลเสน้ ใยนำแสง

2. สายสญั ญาณชนดิ ใดทีส่ ง่ ข้อมูลได้ไกลทีส่ ดุ โดยไมต่ อ้ งใชเ้ ครื่องทวนสญั ญาณ

1. สายตเี กลียวคู่ชนิดทม่ี ี
2. สายตีเกลยี วชนดิ เอสทพี
3. สายโคแอก
4. เคเบิลเสน้ ใยนำแสงแบบทดสอบ
5. สายสัญญาณทกุ ข้อไม่จำเปน็ ตอ้ งใชเ้ ครอ่ื งทวนสญั ญาณ

3 การต่อสายสัญญาณด้วยสายยทู พี ่ีสามารถใชไ้ ด้ยาวสูงสดุ ไม่เกินกีเ่ มตร (ตอ่ ทอ่ น)

1. 50 เมตร
2. 100 เมตร
3. 150 เมตร
4. 200 เมตร
5. 250 เมตร

96 เครอื ขา่ ยคอมพิวเตอร์เบ้อื งต้น

4. สายสัญญาณชนดิ ใดเหมาะสำหรับการเชอ่ื มต่อระหวา่ งประเทศ

1. เคเบิลเสน้ ใยนําแสงแบบโหมดเดียว
2. เคเบลิ เสน้ ใยนำแสงแบบหลายโหมด
3. สายโคแอก็ ซแ์ บบบาง
4. สายโคแอก็ แบบหนา
5. สายตีเกลยี วคู่

5. ชอ่ งทางการสื่อสารแบบไรส้ ายประเภทใดทไ่ี ม่สามารถส่งผ่านวตั ถุทบึ แสงได้

1. คลน่ื สัญญาณไมโครเวฟ
2. คล่นื สัญญาณอนิ ฟราเรด
3. วิทยุเซลลูลาร์
4. บลทู ูท
5. ความถว่ี ทิ ยุ

6. การเชอ่ื มต่อสอื่ สารกับเครอื ข่ายอนิ เทอร์เนต็ ด้วยโทรศัพท์มือถอื นัน้ ผา่ นชอ่ งทางการสื่อสารแบบไร้
สายชนิดใด

1. คลื่นสัญญาณไมโครเวฟ
2. ความถ่วี ทิ ยุ
3. วทิ ยุเซลลูลาร์
4. บลูทูท
5. คลน่ื สัญญาณอนิ ฟราเรด

7. ช่องทางการสอ่ื สารแบบไรส้ ายประเภทใดทส่ี ามารถรบั -สง่ ขอ้ มลู ได้ในระยะทางไมเ่ กิน 48 กิโลเมตร
คลื่นสัญญาณไมโครเวฟ

1. คลื่นสญั ญาณไมโครเวฟ
2. ความถ่ีวทิ ยุ
3. คลื่นสญั ญาณอนิ ฟราเรด
4. บลทู ูท
5. วทิ ยเุ ซลลูลาร์

ตัวกลางเชือ่ มตอ่ เครือข่ายและโพรโทคอล 97

8. โพรโทคอลชนดิ ใดทท่ี ำหนา้ ที่เกย่ี วกับการถา่ ยโอนไฟลข์ ้อมูลระหวา่ งคอมพิวเตอร์

1. FTP (File Transfer Protocol)
2. TCP (Transmission Control Protocol)
3. UDP (User Datagram Protocol)
4. HTTP (HyperText Transport Protocol)
5. DHCP (Dynamic Host Configuration Protocol)

9. โพรโทคอลชนิดใดทำหนา้ ทเ่ี กีย่ วกับการแสดงผลข้อมลู ในบรกิ ารเวลิ ดไ์ วด์เว็บ

1. FTP (File Transfer Protocol)
2. TCP (Transmission Control Protocol)
3. UDP (User Datagram Protocol)
4. HTTP (HyperText Transport Protocol)
5. DHCP (Dynamic Host Configuration Protocol)

10 ข้อใดคือหนา้ ที่ของ DHCP

1. ควบคุมดแู ลการทำงานของเครอื่ งแมข่ ่าย
2. แจก IP ให้กบั เครือ่ งลูกขา่ ยโดยอตั โนมตั ิ
3. แปลง IP address ใหเ้ ป็น Mac address
4. แปลง Mac address ใหเ้ ปน็ IP address
5. แจง้ เตอื นเม่ือเกิดปญั หาในการรับสง่ ขอ้ มลู

98 เครอื ข่ายคอมพวิ เตอรเ์ บ้อื งต้น

แบบประเมินตนเอง

คำชี้แจง ตอนที่ 1 : ใหผ้ เู้ รียนประเมนิ ผลการเรยี นรู้ โดยเขียนเครอ่ื งหมายลงในชอ่ งระดบั คะแนน
และเติม ข้อมลู ตามความเปน็ จรงิ

ระดบั คะแนนตอนที่1 5: มากทสี่ ดุ 4 : มาก 3: ปานกลาง 2:น้อย 1:ควรปรบั ปรบั ปรงุ
ตอนที่ 2 : ให้ผู้เรยี นนำคะแนนจากแบบทดสอบมาเติมลงในช่องว่างและเขียนเครอ่ื งหมายลงในช่อง
สรุปผล

หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี

รปู แบบการเช่ือมตอ่ เครอื ขา่ ย-โทโพโลยี

สาระสำคัญ

การนำเครื่องคอมพิวเตอร์หลาย ๆ เครื่องมาเชื่อมต่อ กันเพื่อต้องการให้เครื่องคอมพิวเตอร์
เหล่านั้นสามารถส่งหรือแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกันได้เป็นเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ลักษณะของการ
เชื่อมโยงสายสื่อสารเข้ากับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ ภายในเครือข่ายด้วยกัน เรียกว่าโทโพโลยีหรือ
โครงรูปเครือข่าย ซึ่งมีหลายรูปแบบ แต่ละแบบมีความเหมาะสมในการใช้งานแตกต่างกัน ดังนั้นจึง
จำเป็นต้องศึกษาลักษณะและการใช้งาน ข้อดีและข้อเสียของโทโพโลยีแต่ละแบบ เพื่อนำไปใช้ในการ
พิจารณาออกแบบเครือข่ายให้เหมาะสมกับการใช้งาน รูปแบบการเชื่อมต่อเครือข่ายและการวาง
เครอื ข่ายคอมพวิ เตอร์ตอ่ ไป

สาระการเรียนรู้

1. รูปแบบการเชอ่ื มตอ่ เครอื ข่ายคอมพวิ เตอร์
2. โทโพโลยี

100 เครือขา่ ยคอมพิวเตอร์เบ้ืองตน้

สมรรถนะประจําหนว่ ย

1. แสดงความร้เู ก่ยี วกบั รปู แบบการเช่ือมตอ่ เครือข่าย-โทโพโลยี
2. ประยุกตค์ วามรูเ้ ก่ียวกับรูปแบบการเชือ่ มต่อเครอื ข่าย-โทโพโลยีมาใชใ้ นชีวิตประจำวนั และการ

ประกอบอาชพี

จุดประสงค์การเรยี นรู้

1. บอกความหมายของรูปแบบการเชือ่ มตอ่ เครอื ขา่ ยได้
2. บอกความหมายของโทโพโลยีได้
3. จำแนกอุปกรณ์และหลกั การรับ-ส่งข้อมลู ของโทโพโลยีแต่ละแบบได้
4. ระบขุ อ้ ดี-ข้อเสียของโทโพโลยีแต่ละแบบได้
5. จำแนกลกั ษณะและรปู แบบของโทโพโลยีได้
6. เชื่อมโยงเครือขา่ ยตามโทโพโลยไี ดอ้ ยา่ งเหมาะสม

ผงั สาระการเรียนรู้

รูปแบบการเชอ่ื มตอ่ เครือข่าย

รปู แบบการเช่อื มตอ่
เครือขา่ ย-โทโพโลยี

โทโพโลยี

รูปแบบการเช่อื มตอ่ เครอื ข่าย-โทโพโลยี 101

1. รปู แบบการรเชอ่ื มตอ่ เครือข่ายคอมพิวเตอร์

รูปแบบในการเชื่อมต่อเครือข่ายคอมพิวเตอร์จะกำหนดโดยโทโพโลยี (network topology ซึ่ง
เป็นรูปแบบการจัดวางคอมพิวเตอร์ การเดินสายสัญญาณ ช่องทางการสื่อสารในเครือข่าย รวมถึง
หลกั การไหลเวียนข้อมูลในเครอื ขา่ ยดว้ ย โดยแบง่ โทโพโลยอี อกเปน็ 2 ระดบั ดงั น้ี
1.1 ระดบั กายภาพ (physical level)

โทโพโลยีระดับกายภาพ คือลักษณะวิธีการเชื่อมต่อของอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ทั้งหมดในเครือข่าย
ไม่ว่าจะเป็นคอมพิวเตอร์ สายสัญญาณ หรืออุปกรณ์เชื่อมต่อ ส่วนใหญ่รูปแบบการเชื่อมต่อระบบ
เครือข่ายจะใช้สายสัญญาณเป็นเส้นทางในการรับ-ส่งข้อมูล เนื่องจากมีราคาไม่แพง ติดตั้งง่ายและมี
ความเร็วในการรับ-ส่งข้อมูลสูง แต่บางครั้งก็อาจมีการผสมผสานสื่ออื่น ๆ เข้าไปในระบบด้วย เช่น
ความถีว่ ิทยุ เพ่อื แก้ไขปญั หาในจดุ ทไ่ี ม่สามารถเชือ่ มตอ่ ได้ด้วยสายสญั ญาณ
1.2 ระดับตรรกะ (logical level)

โทโพโลยีระดับตรรกะคือลักษณะวิธีการเดินทางของข้อมูลภายในเครือข่ายโทโพโลยีระดับ
ตรรกะแบบหนึ่งอาจจะรับ-ส่งไฟล์ขนาดใหญ่ได้ดี แต่อีกแบบหนึ่งอาจจะเหมาะในการรับ-ส่งไฟล์ขนาด
เล็กที่เดินทางไป-มาบ่อยๆ ได้ดี การติดต่อสื่อสารระหว่างคอมพิวเตอร์จะใช้สัญญาณทางไฟฟ้าโดย
สัญญาณน้ีจะว่ิงบนสอื่ กลางท่ีเช่อื มต่อคอมพิวเตอรเ์ ข้าดว้ ยกัน แตส่ ัญญาณอาจจะใชเ้ ส้นทางแตกต่างกัน
ไปขน้ึ อยกู่ บั การเช่อื มต่อเครอื ขา่ ยวา่ เป็นอยา่ งไร

โดยส่วนใหญ่การตดิ ตงั้ เครือขา่ ยมักจะใช้รูปแบบโทโพโลยรี ะดบั กายภาพกับระดบั ตรรกะที่
สอดคลอ้ งกนั แตก่ ส็ ามารถใชแ้ ตกตา่ งกนั ได้ กลา่ วคอื โทโพโลยีระดับทางกายภาพใชเ้ ปน็ แบบหนงึ่ ใน
ขณะทร่ี ะดบั ทางตรรกะการเดนิ ทางของขอ้ มลู ภายในใชเ้ ปน็ อกี แบบหน่งึ

102 เครอื ขา่ ยคอมพวิ เตอร์เบ้ืองต้น

2. โทโพโลยี

โทโพโลยีของเครือข่าย คือรูปแบบการเชื่อมโยงคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์เครือข่ายเข้าด้วยกัน
โทโพโลยีแต่ละแบบมีความเหมาะสมในการใช้งานแตกต่างกัน อีกทั้งยังมีผลต่ออุปกรณ์ในเครือข่าย
ความสามารถในการขยายเครือข่าย วิธีการดูแล การจัดการเครือข่าย และโทโพโลยีซึ่งเป็นตัวกำหนด
ลกั ษณะการส่อื สารกนั ระหวา่ งคอมพวิ เตอร์

ดังนั้นจึงต้องรู้จักและทำความเข้าใจโทโพโลยีแต่ละแบบ เพราะมีการใช้สายสัญญาณ ระบบปฏิบัติการ
เครือขา่ ย อุปกรณ์เช่อื มต่อเครือข่าย และรูปแบบการรบั -สง่ ข้อมูลทแ่ี ตกตา่ งกัน

Star Partial-Mesh Ring

Full Mesh Bus

รปู แบบการเชอ่ื มตอ่ เครอื ขา่ ย-โทโพโลยี 103

tree Line

ปจั จบุ นั โทโพโลยีท่ีนยิ มใช้งานท่ีอยู่ 4 ประเภท ประกอบด้วย
• โทโพโลยแี บบบัส ( Bus topology)
• โทโพโลยแี บบดาว ( star topology)
• โทโพโลยแี บบวงแหวน (ring topology)
• โทโพโลยแี บบตาขา่ ย (mesh topology)

2.1 โทโพโลยแี บบบสั
โทโพโลยีแบบบัส (bus topology) หรือเรียกว่า linear bus เป็นโทโพโลยีที่ได้รับความนิยมใน

ยุคเริ่มแรก เนื่องจากสามารถติดตั้งระบบและดูแลรักษาง่าย ใช้สายสัญญาณเพียงเส้นเดียวในการ
เชื่อมโยงคอมพวิ เตอร์และอุปกรณ์ทัง้ หมดเข้าดว้ ยกัน ลักษณะการทำงานของเครอื ขา่ ยโทโพโลยแี บบบัส
คืออุปกรณ์ทุกชิ้นหรือโหนด (node) ทุกโหนดในเครือข่ายจะต่อเชื่อมโยงเข้ากับสายสื่อสารหลักท่ี
เรยี กว่า บสั

ภาพที่ 5.1 ลักษณะของโทโพโลยแี บบบัส

104 เครอื ข่ายคอมพิวเตอรเ์ บ้ืองต้น

2.1.1 ลักษณะของการรับส่งข้อมูล โทโพโลยีแบบบัสจะมีคอมพิวเตอร์เพียงเครื่องเดียวที่
สามารถส่ง-ข้อมูลได้ในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง ไม่สามารถส่งพร้อมกันได้ เมื่อทำการส่งข้อมูลออกไปบน
สายสัญญาณนัน้ เครื่องคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องในเครือข่ายจะได้รับข้อมลู ทุกเคร่ือง แต่จะมีเฉพาะเคร่ือง
ที่ระบุว่าเป็นปลายทางเท่านั้นที่จะสามารถนำข้อมูลไปใช้ได้ ด้วยเหตุนี้จำนวนเครื่องที่เชื่อมต่อใน
เครอื ข่ายจึงมผี ลตอ่ ประสิทธิภาพในการรบั -ส่งข้อมูลดว้ ยเช่นกัน กลา่ วคอื ยิ่งมเี คร่ืองคอมพิวเตอร์จำนวน
มากก็จะทำให้ใช้เวลานานส่งผลทำให้เครือข่ายทำงานล่าช้า และการใช้สายสัญญาณเพียงเส้นเดียวใน
การเชื่อมต่อจึงทำให้มีจุดอ่อนคือหากมีเครื่องคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์ใดมีปัญหากับสายสัญญาณก็จะ
สง่ ผลทำให้เสยี หายไปท้งั ระบบด้วยเชน่ กัน
2.1.2 อุปกรณท์ ีใ่ ชใ้ นการตดิ ตง้ั

1) สายโคแอก็ ซ์ (coaxial cable) เป็นสายสัญญาณท่ใี ชใ้ นการเชื่อมต่อ
2) ตัวเชื่อมต่อรูปตัวที (BNC T-connector) เป็นตัวเชื่อมต่อระหว่างสายโคแอ็กซ์กับ
แผ่นวงจรตอ่ ประสานเครอื ข่าย (Network Interface Card, NIC) ของเคร่อื งคอมพิวเตอร์
3) ตัวต่อปลายสาย (terminator) ใช้สำหรับปิดปลายสัญญาณทั้งสอนข้างเพื่อหยุดสัญญาณ
ไม่ให้สะท้อนกลับมายังสายสัญญาณ เพราะถ้ามีสัญญาณสะท้อนกลับ จะส่งผลทำให้เครื่องอื่นไม่
สามารถส่งขอ้ มูลต่อได้

ภาพท่ี 5.2 ตวั เชอ่ื มตอ่ รปู ที (BNC T - connector)

ภาพท่ี 5.3 ตัวตอ่ ปลายสาย ( terminator)

รปู แบบการเชื่อมตอ่ เครอื ขา่ ย-โทโพโลยี 105

ตาราง 5.1 ข้อดีและขอ้ เสยี ของโทโพโลยแี บบบสั

ข้อดี ขอ้ เสีย

1. การใชส้ ายสง่ ขอ้ มลู รว่ มกนั จะชว่ ยลดคา่ ใชจ้ า่ ย 1. เนื่องจากการควบคมุ ของระบบไมม่ ีศนู ย์กลางอยู่

ในการติดตัง้ และการบำรงุ รกั ษา ท่ีจุดใดจดุ หน่ึง ดังนั้นการตรวจสอบหาขอ้ ผิดพลาด

2. สะดวกในการเพิ่มจุดใช้บริการใหม่ เพราะใน ตอ้ งตรวจสอบหลาย ๆ จดุ ในระบบ

ระบบจุดใหม่สามารถใช้สายส่งข้อมูลที่มีอยู่เดิมได้ 2. หากเกดิ ความเสียหายภายในสายส่งขอ้ มูลจะทำ

และยังอาจสามารถขยายระบบออกไปโดยเพิ่ม ใหล้ ม่ ท้ังระบบไม่สามารถทำงานได้

เซกเมนต์ (segment) ที่ต่อออกมาด้วยการใช้ 3. เม่อื จะขยายระบบเครือข่ายแบบบัสโดยใชเ้ ครื่อง

เครอ่ื งทวนสัญญาณ (repeater) ทวนสัญญาณ อาจจะต้องมีการจัดโครงสร้างของ

ระบบใหม่

2.2 โทโพโลยีแบบดาว

โทโพโลยีแบบดาว (star topology) มีรูปแบบการเชื่อมโยงเครือข่ายคล้ายรูปดาวโดยมี
ศูนย์กลางในการเชื่อมต่อคือฮับหรือสวิตช์ซึ่งทำหน้าที่ในการรับข้อมูลจากผู้ส่งเพื่อส่งไปยังปลายทาง
ตามที่ต้องการ ในการติดตั้งเครือข่ายระยะห่างระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์อื่น ๆ กับฮับไม่
ควรเกิน 100 เมตร

ภาพท่ี 5.4 ลกั ษณะของโทโพโลยแี บบดาว

106 เครอื ข่ายคอมพิวเตอร์เบอ้ื งตน้

2.2.1 ลักษณะของการรับส่งข้อมูล คอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์แต่ละเครื่องในเครือข่ายจะ
เชื่อมต่อกับฮับหรือสวิตช์ซึ่งเป็นศูนย์กลางของเครือข่าย ดังนั้นการรับ-ส่งข้อมูลของคอมพิวเตอร์จาก
เคร่อื งหนึง่ ไปยังอกี เคร่ืองหน่งึ จะต้องผา่ นอปุ กรณ์รวมสายสัญญาณเสมอ

ทั้งนี้หากใช้ฮับเป็นอุปกรณ์รวมสายสัญญาณก็จะมีหลักการทำงานเหมือนกับโทโพโลยีแบบบัส
แมว้ ่ารปู แบบทางกายภาพนัน้ เหมอื นแบบดาวก็ตาม โดยหลักการทำงานของฮับเมอ่ื มีการสง่ ขอ้ มูลเครือ่ ง
คอมพิวเตอร์ต้นทางจะส่งสัญญาณข้อมูลมายังฮับ ซึ่งฮับจะทำหน้าที่ส่งกระจายข้อมูลไปยังเครื่อง
คอมพิวเตอร์ปลายทางโดยทำการส่งออกไปยังทุกเครื่องที่เชื่อมต่ออยู่ในเครือข่าย แต่เครื่องที่จะนำ
ข้อมูลไปใช้ได้คือเครื่องคอมพิวเตอร์ปลายทาง และในช่วงเวลาเดียวกันนั้นเครื่องอื่นๆ ก็ไม่สามารถส่ง
ข้อมูลออกไปได้จนกว่าเครื่องปลายทางจะได้รับข้อมูลเป็นที่เรียบร้อย ฉะนั้นจึงไม่สามารถรับ-ส่งขอ้ มูล
ในชว่ งเวลาเดยี วกันได้

แต่หากใชส้ วิตชเ์ ป็นอปุ กรณร์ วมสายสญั ญาณจะสามารถส่งข้อมลู ไปยังผรู้ ับปลายทางได้โดยตรง
ด้วยเหตนุ ี้จึงทำให้สามารถรบั -สง่ ขอ้ มูลในช่วงเวลาเดยี วกันได้และไม่มปี ญั หาเรื่องการชนกนั ของขอ้ มูล

2.2.2 อุปกรณ์ทใี่ ชใ้ นการเชอ่ื มต่อ
1) สายตเี กลยี วคู่ เปน็ สายสญั ญาณท่ใี ชใ้ นการเชอ่ื มตอ่
2) ตัวเชื่อมตอ่ RJ-45 ใช้เชือ่ มต่อระหวา่ งสายสัญญาณกับแผ่นวงจรต่อประสานเครอื ข่าย (NIC) ของ

คอมพิวเตอร์หรอื อุปกรณใ์ นเครือข่ายไปสูอ่ ุปกรณ์รวมสายสัญญาณในเครือข่ายกไ็ ด้

3) อุปกรณ์รวมสายสญั ญาณ อาจใชฮ้ บั หรือสวติ ซเ์ ปน็ อุปกรณร์ วมสายสญั ญาณ

ภาพท่ี 5.5 ตัวเชอ่ื มตอ่ RJ-45

รปู แบบการเช่ือมตอ่ เครือขา่ ย-โทโพโลยี 107

ตารางท่ี 5.2 ข้อดแี ละขอ้ เสียของโทโพโลยีแบบดาว

ข้อดี ขอ้ เสีย

1. การติดต้งั ระบบเครือขา่ ยและการดูแลรักษา 1. ถ้าเกิดความเสียหายขึ้นกับอุปกรณ์รวม

ไดง้ า่ ยข้นึ สายสัญญาณ ระบบทั้งหมดก็จะไม่สามารถ

2. หากมีเครื่องใดเกิดความเสียหายข้ึน ทํางานได้

สายสัญญาณระหว่างเครื่องกับอุปกรณ์ รวม 2. ค่าใช้จ่ายในการลงทุนกับเครือข่ายแบบน้ี

สายสัญญาณเส้นใดเกิดความเสียหายจะไม่ ค่อนข้างสูงกว่าแบบอื่น เพราะว่าจะใช้

ส่งผลกระทบกับระบบทัง้ หมด และงา่ ยต่อการ คอมพิวเตอรท์ ุกเครือ่ งเชื่อมตอ่ กบั อปุ กรณ์รวม

ตรวจสอบ สายสัญญาณจึงต้องใช้สายสัญญาณเป็น

3. การเพิม่ เตมิ เครอื่ งลกู ขา่ ยเขา้ ในเครือขา่ ย จำนวนมาก

ทําไดง้ ่าย

2.3 โทโพโลยีแบบวงแหวน

โทโพโลยีแบบวงแหวน (ring topology) มีรูปแบบการส่งข่าวสารที่ส่งผ่านไปในเครือข่ายแบบ
ไหลวนไปในทิศทางเดียวเหมือนวงแหวนเดินทางผา่ นคอมพิวเตอรแ์ ตล่ ะเคร่ืองซงึ่ ทำหน้าท่ที วนสญั ญาณ
ในตัวแล้ว ค่อยส่งผ่านไปยังเครื่องต่อไป แต่หากมีเครื่องใดเครื่องหนึ่งในระบบเสียหายหรือหยุดการ
ทํางานกจ็ ะส่งผลทาํ ใหล้ ่มท้งั ระบบ

ภาพท่ี 5.6 ลกั ษณะของโทโพโลยแี บบวงแหวน

108 เครอื ขา่ ยคอมพวิ เตอร์เบ้อื งต้น

2.3.1 ลกั ษณะของการรบั สง่ ข้อมูล การเดนิ ทางของขอ้ มลู ในโทโพโลยแี บบวงแหวนจะเป็นไป
ในทศิ ทางเดยี วเท่าน้นั โดยลกั ษณะการรับ-ส่งข้อมูลของโทโพโลยแี บบวงแหวนน้ีเรียกว่า การสง่ ตอ่ โท
เคน็ (token passing) ซึง่ เมอ่ื คอมพวิ เตอร์เครอ่ื งหน่งึ ต้องการสง่ ขอ้ มลู ดงั แสดงในภาพท่ี 5.7

ข้อมูล AD

1. เครื่อง A ทำการจองชอ่ งสายสัญญาณ 2. เครือ่ ง A ใสท่ ีอ่ ย่ขู องเครอ่ื ง D ไปพร้อมกับข้อมูล
ขอ้ มลู AD
ขอ้ มลู

ข้อมลู AD

3. เครือ่ ง B และ C ทำการตรวจสอบขอ้ มลู 4. เคร่ือง D ตรวจสอบขอ้ มลู พบว่าเปน็
เมื่อพบวา่ ขอ้ มลู ไมใ่ ชข่ องตน ก็จะทำการสง่ ของตนจึงทำการประมวลผลขอ้ มลู

ตอ่

ข้อมูล A D

5. เคร่อื ง D สง่ ข้อมลู ตอบกลับไปยงั เครอื่ ง 6. เครอื่ ง A ส่งข้อมลู แจ้งใหเ้ ครือ่ งอืน่ ๆ
A ทราบวา่ สายสัญญาณวา่ ง

ภาพที่ 5.7 แสดงขั้นตอนการรบั -ส่งขอ้ มลู แบบโทเค็น

รปู แบบการเชื่อมตอ่ เครอื ข่าย-โทโพโลยี 109

โดยมรี ายละเอยี ดลำดบั ขน้ั ตอนในการสง่ ดงั น้พี ร้อมสง่ ขอ้ มลู ชดุ ใหม่

1) ทำการจองช่องสายสัญญาณเพ่ือปอ้ งกนั การชนกันของขอ้ มลู

2) จากนั้นใสท่ ่อี ยู่ของเครื่องผู้รับปลายทางแลว้ จงึ ส่งข้อมูลไปยังคอมพิวเตอร์เครือ่ งถดั ไป

3) โดยแต่ละเครื่องเมื่อรับข้อมูลเข้ามาจะทำการตรวจสอบหากข้อมูลที่รับมานั้นไม่ใช่ของตนก็
จะทวนและขยายสัญญาณแลว้ สง่ ต่อไปยังคอมพิวเตอรเ์ ครือ่ งถัดไปซึง่ จะเป็นแบบน้ีไปเรอ่ื ยจนกวา่ ข้อมูล
จะถงึ เครอื่ งคอมพิวเตอร์ที่เป็นผรู้ ับปลายทางท่แี ท้จรงิ

4) เมือ่ เครอ่ื งปลายทางได้รบั ขอ้ มูลแลว้ กจ็ ะทำการประมวลข้อมูล

5) แล้วทำการส่งข้อมูลตอบกลับไปยังเครื่องผู้ส่งโดยส่งไปตามเส้นทางวงแหวนแบบวนเป็น
ทิศทางเดียวไม่ใชก่ ารส่งย้อนกลบั ) เพื่อให้เครื่องผู้ส่งทราบว่าเครือ่ งผู้รบั ปลายทางได้รับข้อมูลเรียบร้อย
แลว้

6) เครอื่ งผ้สู ่งจะทำการสง่ ข้อมลู แจ้งไปยังเครอ่ื งอน่ื ๆ วา่ ช่องสายสัญญาณข้อมูลวา่ งพร้อมสง่ ข้อ
มมูลรนุ่ ใหม่

2.3.2 อุปกรณท์ ี่ใชใ้ นการเชื่อมตอ่

1) เครื่องทวนสัญญาณหรือรีพีตเตอร์ (repeater) โดยแต่ละเครื่องจะมีรีพีตเตอร์เครื่องทำ
หนา้ ทท่ี วนสญั ญาณเพือ่ ทำใหส้ ามารถสง่ ตอ่ สญั ญาณได้ไกลออกไป

2) สายสัญญาณจะพิจารณาจากรูปแบบทใ่ี ช้ในการเช่อื มตอ่ เครือข่ายซงึ่ มี 2 รูปแบบดงั น้ี

(1) แบบวงแหวนโทเค็นไอบเี อม็ (IBM token ring) จะใช้สายสัญญาณแบบสาย (UTP) หรือ
ชนดิ เอสทีพี (STP) ก็ไดโ้ ดยใชต้ ัวเชือ่ มตอ่ แบบ IBM Type-1

(2) แบบระบบต่อประสานข้อมูลแบบกระจายใช้เส้นใยนำแสงหรือเอฟดีดีไอ ( Fiber
Distributed Data Interface, FDDI) จะใช้สายสญั ญาณแบบเคเบิลเส้นใยนำแสง (fiber optic cable)

110 เครือข่ายคอมพวิ เตอรเ์ บือ้ งตน้

ตารางท่ี 5.3 ขอ้ ดแี ละข้อเสยี ของโทโพโลยแี บบวงแหวน

ขอ้ ดี ขอ้ เสยี

1. ใช้สายส่งข้อมูลน้อยความยาวของสาย 1. หากสัญญาณ สัญญาณ เครื่องคอมพิวเตอร์ หรือ

ส่งข้อมูลที่ใช้ในโทโพโลยีแบบวงแหวนจะ อุปกรณ์ใดในวงแหวนเกิดความเสียหายจะส่งผลต่อ

ใกล้เคียงกับแบบบัสทำให้เพิ่มความ ระบบท้ังหมดและยากในการตรวจสอบข้อผิดพลาด

น่าเช่ือถอื 12 ของระบบได้มากขน้ึ 2. การขยายเครือข่ายโดยการเพิ่มคอมพิวเตอร์เข้ามา

2. แต่ละเครื่องในโทโพโลยีแบบวงแหวนมี ในระบบค่อนข้างยุ่งยาก เพราะทุกครั้งที่เพิ่มเครื่อง

ความเท่าเทยี มกัน คอมพิวเตอร์ก็จะต้องมีการตัดต่อสายสัญญาณเข้ากับ

คอมพิวเตอร์ใหม่ ซึ่งจะต้องปิดเครือข่ายจนกว่าจะ

เชอื่ มตอ่ เสร็จ

3. มีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง เนื่องจากคอมพิวเตอร์ทุกตวั

ในวงแหวนจะต้องเช่อื มต่อเขา้ กับสายสญั ญาณวงแหวน

เสน้ เดยี ว ดังนน้ั หากเครื่องคอมพวิ เตอรแ์ ตล่ ะเคร่อื งวาง

ห่างกันจะตอ้ งใช้สายยาวมากขน้ึ ตามไปด้วย

2.4 โทโทโลยีแบบตาขา่ ย

โทโพโลยีแบบตาข่าย (mesh topology) เป็นการเชื่อมโยงแบบเชื่อมต่อพร้อมกันหลายจุดจนเป็น
ลักษณะตาข่ายโยงใยการเชื่อมต่อเครือข่ายรูปแบบนี้มักใช้กับระบบเครือข่ายแวน (WAN) หรือเครือข่าย
อินเทอร์เน็ตด้วยลักษณะการเชื่อมต่อสายแบบจุดต่อจุดจึงทำให้มีทางเดินของข้อมูลหลายเส้นและปลอดภัย
หากมสี ายเส้นใดเสน้ หนึ่งขาดกย็ ังคงมีสายเสน้ ทางอื่นท่ีสามารถสง่ ข้อมูลได้

ภาพที่ 5.8 ลักษณะของโทโพโลยีแบตาข่าย

รูปแบบการเชอื่ มตอ่ เครือข่าย-โทโพโลยี 111

อยา่ งไรกต็ ามถึงแมโ้ ทโพโลยีแบบตาขา่ ยจะมคี วามสมบรู ณ์มากท่ีสดุ แต่กม็ คี า่ ใช้จ่ายมากกว่าแบบอนื่ ๆ
เพราะตอ้ งใชส้ ายสญั ญาณเปน็ จำนวนมาก
ตารางที่ 5.4 ข้อดแี ละข้อเสยี ของโทโพโลยแี บบตาขา่ ย

ข้อดี ข้อเสีย

กรณีเกิดความเสียหายของเส้นทางใดเส้นทาง 1. ความยุง่ ยากในการเดนิ สาย
หนึ่งการเชื่อมต่อระหว่างเครือข่ายยังคงสามารถ 2. ค่าใช้จ่ายสูง
ดำเนินการต่อไปได้โดยใช้เส้นทางอ่นื ท่ีเหลอื อยู่

สรุป

รูปแบบการเชื่อมต่อเครือข่ายที่ใช้ในการเชื่อมต่อเครือข่ายคอมพิวเตอร์จะกำหนดโดย
โทโพโลยี (network topology) ซึ่งเป็นรูปแบบการจัดวางคอมพิวเตอร์ การเดินสายสัญญาณ
ช่องทางการสือ่ สารในเครือข่ายรวมถงึ หลักการไหลเวียนข้อมูลในเครอื ข่ายด้วย โดยแบ่งโทโพโลยี
ออกเป็น 2 ระดับคือระดบั กายภาพซ่ึงเป็นลักษณะวธิ กี ารเช่อื มตอ่ ของอุปกรณฮ์ ารด์ แวรท์ ั้งหมดใน
เครอื ขา่ ย และระดับตรรกะเปน็ ลักษณะวธิ กี ารเดนิ ทางของขอ้ มลู ภายในเครอื ข่าย

โทโพโลยี (network topology) คือรูปแบบการเชื่อมโยงคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์เครือข่ายเข้า
ด้วยกันโดยโทโพโลยีแต่ละแบบมีความเหมาะสมในการใช้งานแตกต่างกัน อีกทั้งยังมีผลต่อ
อุปกรณ์ในเครือข่าย ความสามารถในการขยายเครือข่ายวธิ ีดแู ลและจัดการเครือข่าย ซ่ึงโทโพโลยี
เปน็ ตัวกำหนดลักษณะการส่ือสารกันระหว่างคอมพวิ เตอร์โทโพโลยีท่นี ิยมใชง้ านในปจั จุบนั มีอยู่ 4
รูปแบบ ประกอบด้วยโทโพโลยีแบบบัส (bus topology) โทโพโลยีแบบดาว (Star topology)
โทโพโลยีแบบวงแหวน (ring topology และโทโพโลยีแบบตาข่าย (mesh topology) โดยแต่ละ
แบบจะใช้อปุ กรณใ์ นการเชื่อมตอ่ รวมถงึ มีข้อดีและข้อเสยี ท่ีแตกต่างกัน

112 เครอื ข่ายคอมพวิ เตอรเ์ บือ้ งตน้

กิจกรรมตรวจสอบความเข้าใจ

คำช้แี จง กจิ กรรมตรวจสอบความเขา้ ใจเปน็ กจิ กรรมฝกึ ทักษะเฉพาะดา้ นความรคู้ วามจำเพ่อื ใช้ใน

การตรวจสอบความเขา้ ใจตามจดุ ประสงค์การเรียนรู้
คำสง่ั จงตอบคำถามต่อไปน้ี
1. การเช่ือมต่อเครือข่ายแบ่งออกเป็นท่ีระดับอะไรบ้าง
2. หากตอ้ งการเช่ือมตอ่ เครือขา่ ยด้วยโทโพโลยแี บบดาวต้องใช้อุปกรณ์ใดบา้ งในการเชือ่ มตอ่
3. จงสรุปข้อดแี ละขอ้ เสยี ของโทโพโลยีทง้ั 4 รปู แบบ

รปู แบบการเชอ่ื มตอ่ เครือขา่ ย-โทโพโลยี 113

กิจกรรมส่งเสรมิ การเรยี นรู้

คำชแ้ี จง กิจกรรมสง่ เสริมการเรยี นรปู้ ระกอบดว้ ยกิจกรรมท่ฝี กึ ทักษะทกุ ดา้ นตามจดุ ประสงค์เชิง
พฤตกิ รรม เพื่อใหเ้ กดิ สมรรถนะในการเรยี นรสู้ ามารถปฏบิ ัติกิจกรรมทั้งในและนอกสถานท่ี
ตามความเหมาะสมกับผเู้ รยี นและสงิ่ แวดลอ้ มของสถานศึกษา

1. ให้ผู้เรียนแบ่งเป็น 4 กลุ่มร่วมกันศึกษาค้นคว้าตามหัวข้อที่กำหนดจากแหล่งการเรียนรู้ต่างๆเช่น
อินเทอร์เน็ตหนังสือวารสาร ฯลฯ และจัดทำสรุปผลการเรียนรู้พร้อมส่งตัวแทนกลุ่มนำเสนอหน้าชั้น
เรียนกลุ่มละ 5-10 นาที

กลมุ่ ที่ 1 โทโพโลยแี บบบัส (bus topology)
กล่มุ ที่ 2 โทโพโลยแี บบดาว (Star topology)
กลุ่มที่ 3 โทโพโลยแี บบวงแหวน (ring topology)
กลุม่ ที่ 4 โทโพโลยแี บบตาขา่ ย (mesh topology)
2. ใหผ้ ูเ้ รียนเขียนผงั ความคดิ เก่ียวกับรปู แบบการเช่ือมต่อเครอื ขา่ ย-โทโพโลยี

สรุปผลการทำกิจกรรม

คำชี้แจง ให้ผู้เรียนประเมินผลการทำกิจกรรม โดยเขียนเครื่องหมาย ลงใน ตามความคิดเห็น

หมายเหตุ: เกณฑ์การประเมินผลการทำกิจกรรมมีวตั ถุประสงคเ์ พอ่ื ประเมินว่าผเู้ รียนเกิดสมรรถนะจาก
การเรียนรู้ตามบริบทต่างๆหรือไม่โดยแบ่งเป็น 3 ด้านคือความรู้หรือพุทธิพิสัย = Knowledge (1)
ทกั ษะหรอื Van-Pantice (P) คุณลักษณะหรอื จติ พสิ ยั = Amatuide Al

114 เครือขา่ ยคอมพวิ เตอรเ์ บื้องต้น

แบบทดสอบ

คำสั่ง จงเลอื กคำตอบทถ่ี ูกตอ้ งที่สดุ เพียงคำตอบเดียว

1. ขอ้ ใดกลา่ วถึงรปู แบบการเช่ือมตอ่ เครอื ขา่ ยได้ถกู ต้อง

1. โทโพโลยแี บง่ ออกเปน็ 3 ระดับคอื ระดบั กายภาพระดับตรรกะและระดับพน้ื ฐาน
2. ระดบั กายภาพหมายถงึ ลักษณะการเชือ่ มตอ่ ของอปุ กรณฮ์ ารด์ แวรท์ ้งั หมดในเครือข่าย
3. ระดบั กายภาพหมายถงึ ลกั ษณะการวิง่ ของข้อมูลภายในเครอื ขา่ ย
4. รปู แบบการเชอื่ มตอ่ เครอื ข่ายถูกกำหนดโดยมาตรฐาน ISO
5. โทโพโลยีระดบั ตรรกะไม่เหมาะกบั การสง่ ไฟลข์ อ้ มูลขนาดใหญ่

2. รปู แบบการเช่อื มต่อในระดับใดท่ีบง่ บอกว่าการเชอ่ื มต่อแบบใดควรใช้สายสญั ญาณชนดิ ใด

1. ระดบั กายภาพ
2. ระดบั ตรรกะ
3. ระดบั พืน้ ฐาน
4. ถูกท้ังขอ้ 1. และขอ้ 2.
5. ถกู ทุกข้อ

3. โทโพโลยหี มายถึงข้อใด

1. การออกแบบก่อนการตดิ ตง้ั ระบบเครอื ขา่ ยเพ่ือความถกู ตอ้ งในการเช่ือมโยง
2. รปู แบบการเชอ่ื มโยงเครอื ขา่ ยเข้ากบั อปุ กรณอ์ เิ ลก็ ทรอนิกสต์ า่ งๆภายในเครอื ข่ายเข้าดว้ ยกนั
3. รปู แบบการเชอื่ มตอ่ คอมพวิ เตอรก์ ับอปุ กรณต์ ัง้ แต่ 2 ตวั ข้ึนไปเพอื่ การแลกเปลยี่ นขอ้ มูล
4. การออกแบบการเดินสายสญั ญาณภายในอาคาร
5. รูปแบบการทำงานของระบบเครอื ขา่ ย

รูปแบบการเชอื่ มตอ่ เครอื ข่าย-โทโพโลยี 115

4. โทโพโลยแี บบใดทตี่ ้องมตี ัวตอ่ ปลายสาย (terminator) ปิดต้นทางและปลายทาง

1. bus topology
2. Star topology
3. Ring topology
4. Mesh topology
5. Hybrid topolo

5. ฮับเปน็ อปุ กรณ์สำหรบั เชอื่ มโยงโทโพโลยแี บบใด

1. Bus topology
2. Star topology
3. Ring topology
4. Mesh topology
5. Hybrid topolo

6. โทโพโลยีแบบใดทตี่ อ้ งใช้สายสัญญาณในการเช่อื มตอ่ เป็นจำนวนมาก

1. bus topology
2. Star topology
3. Ring topology
4. Mesh topology
5. Hybrid topology

7. โทโพโลยีแบบใดที่สง่ ขอ้ มูลไดร้ วดเร็วและไมเ่ กดิ ปญั หาการชนกันของขอ้ มลู

1. Bus topology
2. Star topology
3. Ring topology
4. Mesh topology
5. ถูกทุกขอ้

116 เครอื ข่ายคอมพิวเตอร์เบ้อื งต้น

8. หากสายสญั ญาณขาด ณ จดุ ใดจดุ หนง่ึ คอมพวิ เตอรภ์ ายในระบบยังสามารถส่งขอ้ มูลตดิ ตอ่ สอ่ื สารกนั
ไดเ้ พราะขอ้ มูลสามารถเดนิ ทางไดส้ องทางเปน็ ขอ้ ดขี องโทโพโลยแี บบใด

1. bus topology
2. Star topology
3. Ring topology
4. Mesh topology
5. ไมม่ ขี ้อใดถกู

9. โทโพโลยแี บบใดหากสายสญั ญาณขาด ณ จดุ ใดจดุ หน่ึงส่งผลทำให้ไมส่ ามารถใชง้ านไดท้ งั้ ระบบ

1. bus topology
2. Star topology
3. Ring topology
4. Mesh topology
5. Hybrid topology

10. โทโพโลยแี บบใดทีอ่ ุปกรณ์ทกุ ชนิ้ ในเครอื ขา่ ยเช่ือมโยงเขา้ กบั สายสญั ญาณหลักโดยใชส้ ายสญั ญาณ
เพียงเส้นเดียวในการเชอ่ื มตอ่ และมจี ุดเรมิ่ ตน้ จดุ สน้ิ สดุ ของสาย

1. bus topology
2. Star topology
3. Ring topology
4. Mesh topology
5. Hybrid topology

รูปแบบการเช่อื มตอ่ เครอื ขา่ ย-โทโพโลยี 117

แบบประเมินนตนเอง

คำชี้แจง ตอนท่ี 1 ให้ผู้เรียนประเมนิ ผลการเรยี นรู้ โดยเขียนเครื่องหมาย ลงในช่องระดบั คะแนน
และ เติมขอ้ มูลตามความเปน็ จรงิ

ระดบั คะแนนตอนท่1ี 5: มากทีส่ ดุ 4 : มาก 3: ปานกลาง 2:น้อย 1:ควรปรบั ปรบั ปรงุ
ตอนท่ี 2 ใหผ้ ้เู รียนนำคะแนนจากแบบทดสอบมาเติมลงในชอ่ งว่างและเขยี นเครอื่ งหมายลงในช่อง
สรุปผล

หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี แนวโน้มเทคโนโลยขี องระบบสื่อสารขอ้ มลู และระบบเครอื ข่าย

6

สาระสำคญั

เทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้ามามีบทบาทในชวี ิตประจำวนั มากยิ่งขึ้นช่วยอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ไม่
เพียง แต่ในเรื่องของการติดต่อสื่อสารข้อมูล ปัจจุบันยังช่วยให้ผู้ใช้สามารถตรวจสอบตดิ ตามตรวจสอบ
ความปลอดภยั ของบา้ นได้จากสมาร์ตโฟน หรือควบคมุ รถยนต์ผ่านแอปพลิเคชนั่ บนมือถอื หรอื แมก้ ระทง่ั
ควบคุมการเปิด-ปิดประตูโรงจอดรถระยะไกลจากที่ใดในโลกก็ได้ ด้วยเทคโนโลยีไร้สายเชื่อมโยงเข้า
ด้วยกันจนเทคโนโลยีนี้กลายเป็นส่วนหนึ่งที่เรียกว่า เทคโนโลยีเชื่อมโยงสรรพสิ่ง Internet of Things
(IoT) ซึ่งหมายถึงการเชอ่ื มตอ่ ของวัตถใุ นชวี ิตประจำวนั กับเครือข่ายอินเทอรเ์ น็ต

สาระการเรียนรู้

1. เทคโนโลยีไรส้ าย
2. เทคโนโลยีเชอ่ื มโยงสรรพสิ่ง

แนวโนม้ เทคโนโลยขี องระบบส่ือสารข้อมูลและระบบเครอื ขา่ ย 119

สมรรถนะประจาํ หน่วย

1. แสดงความรู้เก่ยี วกับแนวโน้มเทคโนโลยีของระบบสื่อสารขอ้ มลู และระบบเครือข่าย
2. ประยุกต์ความรู้เกี่ยวกับแนวโน้มเทคโนโลยีของระบบสื่อสารข้อมูลและระบบเครือข่ายมาใช้ใน

ชีวิตประจำวนั และการประกอบอาชพี

จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้

1. บอกความหมายของเทคโนโลยเี ชอื่ มโยงสรรพส่ิงได้
2. เขา้ ใจความเปล่ืยนแปลงและแนวโน้มของเทคโนโลยไี ร้สายที่จะเกดิ ขนึ้
3. บอกคณุ สมบตั ิของเทคโนโลยีไร้สายสมัยใหม่ได้
4. สามารถยกตวั อย่างการประยุกต์ใชเ้ ทคโนโลยีเชือ่ มโยงสรรพสิ่งได้

ผังสาระการเรยี นรู้ เทคโนโลยไี ร้สาย
เทคโนโลยีเชื่อมโยงสรรพพส่งิ
แนวโนม้ เทคโนโลยี
ของระบบส่ือสาร
ข้อมลู และระบบ

เครอื ข่าย

120 เครอื ข่ายคอมพิวเตอรเ์ บ้ืองตน้

เทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันมากยิ่งขึ้นช่วยอำนวยความสะดวกต่างๆไม่
เพียง แต่ในเรือ่ งของการติดต่อสื่อสารข้อมูล ปัจจุบันยังช่วยให้ผู้ใช้สามารถตรวจสอบติดตามตรวจสอบ
ความปลอดภัยของบ้านไดจ้ ากสมารต์ โฟน หรือควบคุมรถยนตผ์ ่านแอปพลเิ คชันบนมือถอื หรอื แม้กระทงั่
ควบคุมการเปิด-ปิดประตูโรงจอดรถระยะไกลจากที่ใดในโลกก็ได้ ด้วยเทคโนโลยีไร้สายเชื่อมโยงเข้า
ด้วยกันจนเทคโนโลยีนี้กลายเป็นส่วนหนึ่งที่เรียกว่า เทคโนโลยีเชื่อมโยงสรรพสิ่ง Internet of Things
(IoT) ซึ่งหมายถึงการเชื่อมต่อของวัตถุในชีวิตประจำวันกับเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ในหน่วยการเรียนรู้ท่ี
จะนำเสนอเสนอเทคโนโลยีใหม่ที่เกิดข้นึ จากระบบสอ่ื สารข้อมูลและระบบเครอื ข่ายคือเทคโนโลยีไร้สาย
และเทคโนโลยเี ชื่อมโยงสรรพสงิ่ ทีม่ แี นวโนม้ การนำมาใชม้ ากขนึ้ ในอนาคต

1. เทคโนโลยไี รส้ าย

เทคโนโลยีไร้สายที่ได้รับความนิยมในการนำมาใช้เพื่อรับ-ส่งข้อมูลระยะใกล้มี 4 ชนิด คืออินฟ
ราเรต์ (Infrared Data Association; IrDA) บูลทูท (Bluetooth) เทคโนโลยีคลื่นความถี่วิทยุ(Radio
Frequency Identification tags, RFID) และเทคโนโลยีการสื่อสารไร้สายระยะสั้น (Near Pa
Communication, NFC) สามารถสรุปคณุ สมบัติของเทคโนโลยีไร้สายทัง้ 4 ชนดิ ได้ดงั น้ี

1. IrDA คา่ ใชจ้ า่ ยต่ำระยะการรับ-ส่งสญั ญาณตอ้ งในระยะใกล้ แต่ยังมีปญั หาบางสว่ น

2. Bluetooth การแลกเปลี่ยนข้อมูลสามารถทำได้โดยที่อุปกรณ์รับ-ส่งสัญญาณไม่จำเป็นต้องอยู่
ใกลก้ นั ดังน้ันจงึ เกดิ ปญั หาเรอื่ งความปลอดภัย

3. RFID (Radio Frequency Identification) การรบั -สง่ สัญญาณดมี คี วามปลอดภัย แต่ตน้ ทุนสงู

4. NFC (Near Field Communication) มีต้นทุนต่ำมีความปลอดภัยในเรื่องของการที่จะแอบอ้าง
ข้อมูลหรือการจับข้อมูลหรือทำซ้ำสูงเนื่องระยะการรับ-ส่งสัญญาณจากอุปกรณ์อยู่ในระยะ 5-10
เซนตเิ มตร

เทคโนโลยีไรส้ ายใหม่ทไี่ ดม้ กี ารนำมาใช้กนั อย่างแพรห่ ลายในปัจจุบนั และมแี นวโนม้ จะถกู นำมาใช้
มากขน้ึ ในอนาคต คอื เทคโนโลยีคลื่นความถวี่ ิทยุ (RFID) และเทคโนโลยกี ารสอื่ สารไรส้ ายระยะ (Near
Field Communication, NFC) โดยมีรายละเอยี ดดงั นี้

แนวโนม้ เทคโนโลยีของระบบสอื่ สารขอ้ มูลและระบบเครอื ขา่ ย 121

1.1 เทคโนโลยีคลืน่ ความถ่ีวิทยุ (RFID)

เทคโนโลยคี ลืน่ ความถ่ีวทิ ยุ (RFID) เป็นระบบท่ีพัฒนามาตั้งแตป่ พี . 2523 มีวัตถุประสงค์หลักใน
การใช้งานทีร่ ะบบฉลากแบบบาร์โคดไม่สามารถใช้การได้ โดยจุดเด่นของเทคโนโลยคี ลื่นความถี่วิทยุคือ
ความสามารถในการอ่านข้อมูลของฉลากได้โดยที่ไม่ต้องมีการสัมผัส สามารถอ่านค่าได้แม่นยำแม้ใน
สภาพท่ที ัศนวิสัยไมด่ ี ทนตอ่ ความเปียกชนื้ แรงสั่นสะเทอื น การกระทบกระแทก และสามารถอ่านขอ้ มลู
ได้ด้วยความเร็วสงู

ปจั จบุ นั มกี ารนำเทคโนโลยีคลน่ื ความถวี่ ทิ ยุมาใชง้ านอย่างหลากหลายไมว่ า่ จะเป็นในบัตรชนิด
ต่างๆ เช่น บัตรประจำตัวประชาชน บัตรเอทีเอ็ม (ATM) บัตรเข้าออกสำนักงานหรืออาคารที่พักอาศยั
บัตรจอดรถ ฉลากของสินค้า หรือแม้แต่การฝัง RFID ลงในตัวสัตว์เพื่อบันทึกประวัติการนำเทคโนโลยี
คลื่นความถี่วิทยุมาใช้งานก็เพื่อประโยชน์ในการตรวจสอบการผ่านเข้า-ออกบริเวณใดบริเวณหนึ่ง เพื่อ
อ่านหรือเพื่อเก็บข้อมูลบางอย่าง เช่น ในกรณีที่เป็นฉลากสินค้า เทคโนโลยีคลื่นความถี่วิทยุจะถูก
นำมาใชใ้ นการเกบ็ บนั ทึกข้อมลู เกีย่ วกับสนิ คา้ เพอื่ ให้สามารถทราบถึงทมี่ าของสนิ ค้าชน้ิ นั้นได้

การผลติ สินคา้ การจดั ระบบการ การกระจายสนิ ค้า
ดำเนินงานหรือโลจสิ ตกิ ส์

การตดิ ตามการ การตามสนิ ค้าคงคลงั ตำแหนง่ รายการ
ผลติ / การควบคมุ สนิ ค้า

ภาพ

122 เครือข่ายคอมพวิ เตอรเ์ บอื้ งตน้

การตรวจสอบการจดั ส่งสินคา้ การติดตามการจดั สง่ การเต็มสนิ คา้ ใหเ้ ตม็

ภาพที่ 6.1 การนำเทคโนโลยคี ลืน่ ความวทิ ยุ (RFiD) ไปประยกุ ต์ใช้ในด้านต่างๆ

1.1.1 หลักการทำงานของเทคโนโลยีคลื่นความถี่วิทยุ การทำงานของเทคโนโลยีคลื่นความถ่ี
วทิ ยุจะมีโหมดการทำงาน 2 สว่ นคือ

1) ปา้ ย RFID เปน็ ปา้ ยระบุ (tag) หรอื ชอ่ งรับ-สง่ ผ่านสญั ญาณ (transponder) จะออกแบบให้
มีรูปแบบและขนาดต่างๆ ตามความเหมาะสมของแต่ละงานประยุกต์ เพื่อให้สามารถยึดติดหรือผูกอยู่
กับวัตถุหรือสินค้าทีต่ ้องการบ่งชี้ตัวตน ติดตาม หรือตรวจนับด้วยเทคโนโลยีคลื่นความถี่วทิ ยุ โดยทั่วไป
ป้าย RFID ประกอบไปด้วยส่วนประกอบที่สำคัญคือสายอากาศ (antenna) ซึ่งเป็นขดลวดตัวนำขนาด
เล็กทำหน้าที่สง่ สัญญาณคล่ืนความถ่ีวิทยุ และไมโครชปิ (microchip) ทำหน้าที่เก็บบนั ทึกข้อมูล

2) เครื่องอ่าน (reader or interrogator) ทำหน้าที่ในการติดต่อสื่อสารกับป้าย RFID โดย
เคร่อื งอ่านสามารถอา่ นหรอื เขยี นข้อมลู เพิม่ เขา้ ไปในป้าย RFID ไดโ้ ดยใชค้ ล่นื ความถีว่ ทิ ยุและส่ือสารกับ
ผู้ใช้งานผ่านจุดเชื่อมต่อหรือตัวต่อประสาน (interface) แบบต่างๆเช่น RS-232 RS-485 หรือยูเอสบี
(USB)

ภาพท่ี 6.2 ป้ายและเครื่องอ่าน RFD

แนวโนม้ เทคโนโลยขี องระบบส่อื สารข้อมูลและระบบเครอื ข่าย 123

1.1.2 ชนิดของป้าย RFID โดยทั่วไปป้าย RFID จําแนกออกได้เป็นหลายประเภทตาม
ความสามารถในการโปรแกรมขอ้ มลู และตามแหล่งพลังงานทใ่ี ช้

1) จำแนกตามความสามารถในการโปรแกรมข้อมูล มี 2 แบบคอื เชน่ หมายเลขรหสั

(1) ป้าย RFID ที่ไม่สามารถโปรแกรมได้โดยข้อมูลต่างๆ ที่อยู่ภายในป้ายนี้ เช่น หมายเลขรหัส
จะถกู บันทกึ มาตง้ั แต่การผลติ โดยไมส่ ามารถเปลย่ี นแปลงหรอื แก้ไขขอ้ มูลเหล่าน้ีได้

(2) ป้าย RFID ที่สามารถโปรแกรมได้ โดยสามารถอ่านและเขียนข้อมูลผ่านทางเครื่องอ่านได้
ภายในป้ายจะประกอบดว้ ยหนว่ ยความจำอ่านอยา่ งเดยี วชนิดโปรแกรมและลบได้ด้วยกระแสไฟฟ้าหรือ
ออี ีพร็อม (Electrically Erasable PROM; EEPROM) ซง่ึ นยิ มใช้มากทสี่ ุดในปา้ ย RFID

2) จําแนกตามตามลักษณะของแหล่งจ่ายพลงั งาน มี 2 แบบคอื

(1) แบบแพสซีฟ (passive) เป็นป้าย RFID แบบที่ไม่ต้องมีแหล่งจ่ายพลังงานบรรจุไว้ภายใน
ป้าย แต่จะอาศยั การแปลงสญั ญาณพลังงานไฟฟา้ ทส่ี ง่ ออกมาจากเครอ่ื งอา่ นเปน็ ไฟเล้ียงเพยี งอยา่ งเดียว
มีข้อดคี ือไม่ตอ้ งมกี ารเปลย่ี นแหล่งพลังงาน แต่มขี อ้ เสียคือระยะทางในการสื่อสารระหว่างปา้ ย RFID กับ
เครอ่ื งอา่ นไดไ้ ม่ไกล

(2) แบบแอ็กทีฟ (active) เป็นป้าย RFID แบบที่มีแหล่งจ่ายพลังงานบรรจุไว้ภายในเพื่อใช้เป็น
ไฟเลี้ยงใหก้ ับชปิ ประมวลผลท่ตี ิดต้ังอย่ภู ายใน มีข้อดีคือสามารถสอื่ สารกบั เครือ่ งอ่านได้ในระยะไกล แต่
มีข้อเสยี คอื ต้องเปลี่ยนแหล่งจา่ ยพลงั งานเปน็ ระยะ ๆ เมอ่ื หมดอายกุ ารใช้งาน

1.1.3 ย่านความถี่ใช้งาน (operating frequency) ถือเป็นคุณสมบัติที่สำคัญอีกประการหนึ่งใน
การเลือกใช้อุปกรณ์คลื่นความถี่วิทยุ RFID โดยความถี่ใช้งาน หมายถึงคลื่นความถี่วิทยุที่เครื่องอ่านทำ
การส่งออกไปเทา่ น้ันโดยไมต่ อ้ งคำนงึ ถึงปา้ ย RFID วา่ จะสง่ คลืน่ ความถใี่ นยา่ นใดตอบกลบั มาในบางกรณี
ป้าย RFID อาจจะส่งคลื่นความถี่เดิมกลับไปหาเครื่องอ่านก็ได้ โดยอาศัยเทคนิคการกสัญญาณแบบ
load modulation โดยท่ัวไปย่านความถใ่ี ช้งานของอุปกรณ์ RFID แบง่ ออกเปน็ 3 ย่านความถห่ี ลกั คอื

1) ย่านความถี่ต่ำ (Low Frequency; LF) มีความถี่ตั้งแต่ 30-300 กิโลเฮิรตซ์ (KHz) นิยม
นำมาใช้กบั งานปศสุ ตั ว์หรอื งานประยุกตท์ เ่ี ก่ยี วขอ้ งกบั สง่ิ มีชวี ิต

2) ย่านความถี่สูง (High Frequency; HF) หรือความถี่วิทยุ (Radio Frequency RF) มี
ความถต่ี ้งั แต่ 3-30 เมกะเฮิรตซ์ (MHz) นยิ มนำมาใชก้ บั งานควบคมุ การเขา้ -ออกบตั รรถโดยสารบัตรเงนิ
สดอิเลก็ ทรอนิกส์ โดยมีระยะการสอ่ื สารระหว่างเครอ่ื งอา่ นกับบัตรอยใู่ นชว่ งประมาณ 5-15 เซนตเิ มตร

124 เครือขา่ ยคอมพวิ เตอรเ์ บอื้ งตน้

3) ย่านความถ่ีสงู ยิ่ง (Ultra High Frequency: UHF) มคี วามถต่ี ้ังแต่ 300 เมกะเฮริ ตซ์ถงึ 3
กิกะเฮิรตซ์ (GHz) และย่านความถี่ไมโครเวฟ (microwave) ซึ่งมีความถี่ตั้งแต่ 3 กิกะเฮิรตซ์ขึ้นไปนิยม
นำมาใช้กับงานทางด้านโลจิสติกส์ เช่น ระบบขนย้ายตู้บรรจุสินค้า ระบบคลังสินค้า โดยการสื่อสาร
ระหว่างเครื่องอา่ นกับบัตรในระบบโลจิสติกส์จะกระทำในขณะที่อุปกรณม์ ีการเคลือ่ นไหว ดังนั้นเพ่อื ให้
เกิดความรวดเร็วในการสื่อสารป้าย RFID ในย่านความถี่สูงยิ่งนี้จึงถูกออกแบบมาให้มีพื้นที่สำหรับเก็บ
ข้อมูลจำนวนไม่มาก โดยทั่วไปการสื่อสารระหว่างเครื่องอ่านกับป้าย RFID มีระยะทางได้มากกว่า 2
เมตร (สามารถใช้ในระยะทางท่ีไกลกวา่ น้ีได้ เมือ่ ใชง้ านรว่ มกบั ป้าย RFID แบบแอก็ ทีฟ)

โดยในแต่ละยา่ นความถี่ใชง้ านก็ยงั มีมาตรฐานหลายมาตรฐานให้เลือกใช้งานซ่ึงแต่ละมาตรฐานก็
ยังไม่สามารถใช้งานร่วมกันได้ในปัจจุบัน เช่น ย่านความถี่ 13.56 MHz มีมาตรฐาน ISO / IEC 14443
ISO 15693 uaz ISO / IEC 18000-3

1.1.4 การนำเทคโนโลยคี ลนื่ ความถ่วี ทิ ยุไปประยกุ ตใ์ ช้

1) ระบบขนส่งมวลชน เป็นการใช้บัตร RFID แทนเงินสดในการผ่านประตูเข้า-ออกเรียกว่า
ETC (Electronic Toll Collection) เช่น รถไฟฟา้ รถไฟใตด้ ิน รถยนต์ที่ผ่านช่องการชำระเงินช่องทาง
ด่วนทเี่ รยี กว่า easy pass บัตรทีใ่ ช้ในระบบเก็บค่าผ่านทางพเิ ศษอตั โนมัตเิ ป็นระบบเก็บค่าผ่านทางโดย
ไม่ต้องใช้เงินสดหรือคูปอง แต่ใช้บัตร easy pass ซึ่งเป็นอุปกรณ์ติดที่กระจกหน้ารถใช้เป็นสื่อในการ
ชำระค่าผ่านทางระบบเก็บค่าผ่านทางพิเศษอัตโนมัตมิ รี ูปแบบในการเก็บค่าผ่านทางพิเศษแบ่งออกเปน็
2 ระบบ คอื ระบบเปดิ และระบบปดิ โดยระบบเปิดคอื การเกบ็ เงนิ อัตราเดยี วที่ดา่ นทางเขา้ สว่ นระบบปิด
คือการเก็บเงินตามระยะทางที่ด่านขาออก เมื่อรถวิ่งผ่านช่องเก็บค่าผ่านทางแบบ easy pass
สายอากาศที่ชอ่ งทางจะสง่ สัญญาณตดิ ตอ่ กับบัตร easy pass เพือ่ ชำระคา่ ผ่านทางอตั โนมัตกิ ารเก็บเงิน
จะไม่ใช้พนักงานเก็บค่าผ่านทางพิเศษ ซึ่งผู้ใช้บริการไม่ต้องเปิดกระจกรถ ไม่ต้องรอคิวยาว ไม่ต้อง
เตรยี ม

เงินสด โดยสามารถระบายปรมิ าณจราจรผ่านชอ่ งเกบ็ คา่ ผ่านทางพิเศษอัตโนมตั ไิ ด้สูงสุดถึง 1,200 คัน /
ชั่วโมงในขณะที่ประสิทธิภาพของการให้บริการในระบบเก็บค่าผ่านทางแบบเงินสดสามารถระบาย
ปรมิ าณจราจรไดเ้ พยี ง 450 คนั / ชวั่ โมง จึงทำใหผ้ ู้ใชไ้ ด้รบั ความสะดวกรวดเรว็ และช่วยสง่ เสริมคณุ ภาพ
ชีวิต นอกจากนี้จากสถิติพบว่ามแี นวโนม้ การใชบ้ ริการนี้เพมิ่ มากข้นึ ในทกุ ๆปี

แนวโนม้ เทคโนโลยีของระบบสอื่ สารข้อมลู และระบบเครอื ข่าย 125

ภาพที่ 6.3 การประยุกต์ใช้ RIF กับระบบขนส่งมวลชน

2) ด้านธุรกิจและการตลาด เช่น การนำป้ายระบุหรือแท็ก (tag) ติดไว้ที่ตัวสินค้าซึ่งมีข้อดีกว่าการใช้บาร์โคด
แบบเดิมโดย RFID สามารถชำระเงินค่าสินค้าได้ทันทีเมื่อนำมาผ่านเครื่องอ่านนอกจากนี้ยังช่วยป้องกันการ
ขโมยสินค้าได้อีกทางหนึ่ง หรือการนำ RFID มาประยุกต์ใช้ในร้านเสื้อผ้าโดยใช้ในการแนะนำชุดเสื้อผ้าให้กับ
ลูกค้า เพียงแค่นำป้าย RFID บนเสื้อผ้ามาแตะเครื่องอ่านในห้องลองเสื้อจอแอลซีดี (LCD) สำหรับแสดงผล
เสือ้ ผา้ จะปรากฏภาพเสมอื นวา่ ลูกค้าได้ทำการสวมใสเ่ ส้ือผา้ พรอ้ มกับรายละเอียดของชดุ นนั้ ๆ บนจอภาพโดย
ที่ไม่ตอ้ งเสยี เวลาในการทดลองสวมใสจ่ ริงๆ

ภาพพที่ 6.4 การประยกุ ตใ์ ช้ RFID ในร้านเสื้อผ้า
3) ดา้ นการเกษตร เชน่ ระบบจัดการฟาร์มโคนมด้วย RFID เป็นระบบท่ีใชใ้ นการจดั การฟาร์มโค
นมโดยระบบสามารถบันทึกข้อมูลของโคแต่ละตัว เช่น บันทึกประวัตสิ ัตว์ บันทึกปริมาณการให้นมของ
แต่ละตวั รายวนั บนั ทกึ การผสมเทียม บันทกึ การรกั ษาโรค และสามารถแสดงข้อมลู ของโคแต่ละตวั เช่น
ข้อมูลประวัติสัตว์ขอ้ มูลประวัตกิ ารชั่งน้ำหนัก ข้อมูลการคลอด ข้อมูลการผสมเทียม ข้อมูลปริมาณการ
ให้นมรวมถึงสามารถแสดงงบประมาณค่าใช้จ่ายต่างๆ ในการทำฟาร์มเลี้ยงโคนมสามารถตรวจสอบ
พันธุกรรมของโคแต่ละตัว อีกทั้งระบบยังสามารถแจ้งเตือนให้ทราบว่าขณะนี้มีโคตัวใดบ้างที่ถึงเวลาใน
การทำกิจกรรมทางด้านสขุ ภาพต่างๆ เชน่ แจ้งเตือนโคท่ีใกล้คลอด โคที่ต้องผสมเทียมโคทต่ี ้องชง่ั นำ้ หนัก

126 เครือข่ายคอมพิวเตอรเ์ บ้อื งต้น

โคที่ต้องตรวจโรคหรือฉีดวัคซีน เพื่อช่วยให้เกษตรกรทราบได้ว่าขณะนี้มีโคตัวใดที่ถึงเวลาในการทำ
กิจกรรมด้านสุขภาพบ้าง จะทำให้โคแต่ละตัวทำกิจกรรมได้ทันเวลา ส่งผลให้มสี ุขภาพดีและสามารถให้
นมท่ีมคี ณุ ภาพและปริมาณมาก ทำให้ผปู้ ระกอบการเกดิ ผลกำไรมากยิ่งขนึ้

ภาพที่ 6.5 การประยุกต์ใช้ RIF ในฟาร์มเล้ียงโคนม
1.2 เทคโนโลยสี ื่อสารไร้สายระยะสนั้ (NFC)

เทคโนโลยสี ่อื สารไรส้ ายระยะส้ัน (Near Field Communication, NFC) เป็นเทคโนโลยีส่ือสาร
ไร้สายระยะสั้นที่มีวิวัฒนาการมาจากการผสมผสานระหว่างการระบุเอกลักษณ์ตัวตนแบบไร้สัมผสั
(contactless Identification) กบั เทคโนโลยีการเช่ือมต่อโครงขา่ ยเพื่อโอนถ่ายข้อมลู ระยะใกลแ้ บบ
ไร้สายเข้าด้วยกัน เทคโนโลยีสื่อสารไร้สายระยะสั้นเป็นเทคโนโลยีที่มีอยู่ในโทรศัพท์มือถือแบบ
สมาร์ตโฟน (Smartphone) แท็บเล็ต (tablet) และด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีนี้จึงได้
การศึกษาปัจจัยการยอมรับนวัตกรรมและเทคโนโลยี (Technology Acceptance Model, TAM)
ของเทคโนโลยีสื่อสารไร้สายระยะสั้นในประเทศฝรั่งเศส ซึ่งจากการศึกษาพบว่าผู้ใช้งานมีความ
พร้อมใช้เทคโนโลยีให้เกดิ ประโยชนส์ ูงสดุ แมก้ ระท่งั ในยุโรปเทคโนโลยสี ื่อสารไร้สายระยะสน้ั มอี ตั รา
การใช้งานเพิ่มขึ้นและมีการทดลองใช้งาน มีการขยายตัวอย่างรวดเร็วเนื่องจากเป็นเทคโนโลยีที่มี
ต้นทุนต่ำมีความรวดเร็วในการสื่อสารและมีความปลอดภัยสูง จะเห็นได้ว่าเทคโนโลยีสือ่ สารไรส้ าย
ระยะสน้ั มีการนำมาใช้แทนบัตรเงินสดหรอื บตั รเครดิตในการชำระเงินอย่างแพร่หลายทั่วโลก อีกท้ัง
ยงั มแี นวโน้มการขยายตวั ทง้ั ในด้านการพัฒนาและการนำไปใชม้ ากยง่ิ ขึ้น

แนวโนม้ เทคโนโลยีของระบบส่อื สารข้อมูลและระบบเครือข่าย 127

ภาพท่ี 6.6 การนำเทคโนโลยีสือ่ สารไรส้ ายระยะส้ันไปประยกุ ตใ์ ชใ้ นด้านตา่ งๆ
1.2.1 หลักการทำงานของเทคโนโลยีสื่อสารไร้สายระยะสั้น เป็นเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นโดย
บรษิ ทั โซนี่ (Sony) และ บริษทั ฟิลิปส์ (Philips) ซงึ่ มรี ะยะทางการส่ือสารไม่เกนิ 10 เซนตเิ มตรใช้คลื่น
ความถี่ 13.56 MHz โอนถ่ายข้อมูลได้ที่ความเร็ว 424 kbps มีวัตถุประสงค์เพื่อความสะดวกในการใช้
งาน การต้งั ค่าไดง้ า่ ย และใชพ้ ลังงานตำ่ มมี าตรฐานการทำงานท้งั แบบแพสซีฟ (passive) และแบบแอ็ก
ทฟี (active) มลี กั ษณะการทำงาน 3 โหมดดังน้ี
1) card emulation mode เป็นการทำงานในส่วนของบัตรสมาร์ตการ์ด (smart card) เพื่อ
การแลกเปลี่ยนขอ้ มูลหรอื ชำระเงนิ แทนบัตรจริงดว้ ยการแตะหรือสัมผัส โดยเรียกว่าบตั รเครดติ แตะและ
ไป (tap and go)
2) reader / writer mode เป็นโหมดที่สามารถอ่านและเขียนขอ้ มลู ได้ โดยผา่ น NFC tag ทำ
ใหส้ ามารถจัดเก็บการเปลี่ยนแปลงขอ้ มูลได้
3) peer to peer mode เป็นการแลกเปล่ียนขอ้ มูลระหวา่ งอุปกรณ์ NFC 2 เคร่อื งเมือ่ อยใู่ กล้
หรอื สัมผสั กนั

128 เครอื ขา่ ยคอมพวิ เตอรเ์ บื้องตน้

1.2.2 การนำเทคโนโลยสี อื่ สารไร้สายระยะสัน้ ไปประยกุ ต์ใช้
1) ดา้ นการศึกษาเทคโนโลยสี อื่ สารไร้สายระยะสนั้ นำมาประยุกต์ใชใ้ นด้านการศกึ ษาโดยการใช้

แทนบัตรประจำตวั นักศึกษา ไม่เพียงเพื่อความสะดวกในการพกพา ยังสะดวกต่อการจัดการในชั้นเรยี น
อีกดว้ ยเช่น

• ระบบติดตามผลของผู้เรียนด้วย NFC mobile โดยพัฒนาแอปพลิเคชันเพื่อใช้ในการบริหาร
จัดการข้อมูลนักศึกษาเกี่ยวกับผลการเรียน โดยระบบสามารถตรวจสอบจำนวนการเข้าเรียน
และผลการเรียน

• การใช้บัตรนักศึกษากับ NFC mobile ซึ่งมหาวิทยาลัยในประเทศจีนได้ศึกษาและพัฒนาแอป
พลิเคชัน NFC mobile phone และ smart campus card โดยเชื่อมโยงการทำงานของ
สมารต์ การด์ ให้สามารถใช้งานรว่ มกบั NFC mobile ได้ เพอื่ ส่งเสริมและพฒั นามหาวทิ ยาลัยกบั
วิทยาเขตให้ก้าวสู่ intelligent campus โดยกำหนดให้ทุกคนในมหาวิทยาลัยใช้งานเพ่ือให้เกดิ
ความครอบคลมุ ของเครอื ขา่ ยภายในวทิ ยาเขตท้งั หมด เพ่ือสง่ เสริมให้การทำงานในมหาวทิ ยาลยั
ทำให้สามารถเขา้ ถงึ ขอ้ มลู ได้ง่าย สะดวก และรวดเร็วขน้ึ

ภาพท่ี 6.7 การประยุกต์ NFC ในการศกึ ษา
2) ด้านธุรกิจและการตลาด ในส่วนนีก้ ารประยุกต์ใช้ทางธรุ กิจหรอื การตลาดน้ันจะใช้ NFC ใน
โหมด reader / writer ทำหน้าที่เสมือนเครื่องอ่านเขียน contactless smart card โดยจะสามารถ
อ่านข้อมูลจากป้ายระบุ (tag) ที่ติดอยู่บนป้ายโฆษณาอัจฉริยะ (Smart poster) หรือตามจุดให้บริการ
ข้อมูลต่างๆ เช่น การแจกคปู องสว่ นลดของสินคา้ ซ่ึงมจี ำนวนจำกดั ใหก้ ับลกู ค้าท่พี บเหน็ จากป้ายโฆษณา
อัจฉริยะที่ติดอยู่บริเวณต่างๆหากลูกค้ามีโทรศัพท์มือถือที่มี NFC ก็สามารถแตะโทรศัพท์มือถือลงบน
ปา้ ยโฆษณาอจั ฉรยิ ะเพอ่ื รบั คปู องสว่ นลดไดท้ ันที เชน่ บรษิ ทั ผลติ อาหารชัน้ นำแหง่ หนง่ึ ไดน้ ำเทคโนโลยี
สอื่ สารไร้สายระยะส้ันมาใช้ในการส่งเสริมการขายซง่ึ เป็นการโฆษณาผลติ ภัณฑ์โดยนำเครื่องอ่าน NFC

แนวโนม้ เทคโนโลยขี องระบบสื่อสารขอ้ มูลและระบบเครือข่าย 129
ไปติดที่ป้ายโฆษณา ณ จุดซื้อของสินค้า จากนั้นเมื่อผู้ใช้หยิบมือถือมาแตะก็จะแสดงรายการอาหารท่ี
สามารถใช้วตั ถดุ บิ จากผลติ ภณั ฑข์ อง บรษิ ัทฯ ในการประกอบอาหารไดท้ ันที รวมถงึ การแนะนำและแชร์
ขอ้ มลู บนสอ่ื สงั คมออนไลนไ์ ดอ้ ีกดว้ ย

ภาพท่ี 6.8 การประยกุ ตใ์ ช้ NFC ในด้านธุรกิจและการตลาด
3) ด้านสุขภาพ มีการนำเทคโนโลยีสื่อสารไร้สายระยะสั้นมาใช้การจัดการข้อมูลสุขภาพด้วย
อุปกรณ์มือถือที่ใช้ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ (android) เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกในการเข้าถึง
ขอ้ มลู ความปลอดภยั ของจดั เก็บข้อมูลประจำตัว ข้อมลู สขุ ภาพของผ้ปู ่วย และยังสามารถค้นหาตำแหนง่
ของผปู้ ่วยในกรณฉี กุ เฉินผ่านบรกิ ารตำแหนง่ บนอปุ กรณ์มอื ถือซึ่งเปน็ ประโยชน์ในทางการแพทยอ์ ย่างยิ่ง

2. เทคโนโลยีเชื่อมโยงสรรพส่ิง

เทคโนโลยเี ช่ือมโยงสรรพส่งิ หรืออนิ เตอร์เนต็ ในทกุ ส่งิ (Internet of Things, IoT) เปน็ การ
เชอ่ื มต่อสื่อสารระหวา่ งอปุ กรณผ์ า่ นเครือขา่ ยอนิ เทอรเ์ นต็ รูปแบบใหมท่ ท่ี ำให้ผใู้ ชง้ านสามารถสงั่ การ

130 เครือขา่ ยคอมพวิ เตอรเ์ บื้องตน้

และควบคุมผา่ นอปุ กรณ์ในเครอื ขา่ ยอินเทอรเ์ นต็ ไดซ้ ึง่ มวี ิวฒั นาการมาจากการหลอมรวมกันของ
เทคโนโลยีตา่ งๆดงั นี้

1.เทคโนโลยีไร้สาย (wireless technology) เป็นเทคโนโลยีที่มีการรับส่งข้อมูลผ่าน
กระบวนการผสมสัญญาณคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าหรือคลื่นความถี่วิทยุ (Radio Frequency RF) เป็นคล่ืน
พาหะและคลื่นอินฟราเรด (Infrared) เป็นตัวกลางในการรับ-ส่งข้อมูลระหว่างคอมพิวเตอร์กับ
คอมพวิ เตอร์หรอื ระหว่างคอมพวิ เตอรก์ บั อุปกรณ์อื่น ๆ

2. ไมโครเทคโนโลยี (Micro Electro-Mechanical Systems, MEMS) เป็นเทคโนโลยีที่
เกี่ยวข้องกับสิ่งที่มีขนาดเล็กมาก ๆ ไมโครเทคโนโลยีประกอบด้วยชิ้นส่วนที่มีขนาดระหว่าง 0.001 ถึง
0.1 มิลลิเมตรและมหี นว่ ยประมวลผลกลาง รวมทง้ั อปุ กรณอ์ ่ืน ๆ และไมโครโพรเซสเซอร์

3. ไมโครเซอร์วสิ (microservices) เปน็ การออกแบบสถาปตั ยกรรมการออกแบบซอฟตแ์ วรโ์ ดย
จะแยกออกเป็นบริการหรือหน่วยย่อย ๆ แยกส่วนเป็นกระบวนการทำงาน จัดเก็บแก้ไข ประมวลผล
ขอ้ มลู ตามความเหมาะสมของหนว่ ยน้ัน ๆ โดยสามารถเชอื่ มตอ่ หรอื สื่อสารกบั หน่วยยอ่ ยอ่นื ๆ ได้

4. อินเทอร์เน็ต (internet) เป็นสื่อกลางในการสื่อสารรับ-ส่งข้อมูลระหว่างเครือข่ายจำนวน
มากจากทว่ั โลก

ทั้งนี้แนวคิดหลักของเทคโนโลยีเช่ือมโยงสรรพสิ่งเกิดจากการผสมผสานกันของ 3 เทคโนโลยีหลกั
คอื Internet oriented visions, Things oriented visions, และ Semantic oriented visions

ภาพท่ี 6.9 แนวคดิ หลกั ของเทคโนโลยที ่กี ่อให้เกิด internet of things
IoT สามารถชว่ ยอำนวยความสะดวกในการตรวจสอบการรักษาความปลอดภัยหรือการควบคุมอุปกรณ์
ต่างๆตามต้องการ แม้กระทั่งอุปกรณ์ที่ช่วยควบคุมและติดตามข้อมูลในการออกกำลังกาย IoT ก็
สามารถเชื่อมต่อและแชร์ข้อมูลได้ รวมไปถึงการทำงานเกี่ยวกบั วัตถุที่ไมม่ ีชีวติ และการใช้ชีวิต อุปกรณ์
ทางการแพทย์และเครือ่ งใช้ในครวั เรอื นก็มีการเช่ือมตอ่ และกลายเปน็ สว่ นหนง่ึ ของ IoT

แนวโนม้ เทคโนโลยขี องระบบสือ่ สารขอ้ มูลและระบบเครอื ข่าย 131

2.1 องค์ประกอบของเทคโนโลยเี ช่ือมโยงสรรพส่ิง

การนำเทคโนโลยีเชื่อมโยงสรรพสิ่งมาใช้เพื่อสื่อสารควบคุมระหว่างอุปกรณ์มีองค์ประกอบ 5
สว่ นดงั น้ี

2.1.1 เครื่องรับรู้หรือเซนเซอร์ (Sensor) เป็นหน่วยรับข้อมูลซึ่งอาจจะติดตั้งเพิ่มเติมใน
ผลติ ภัณฑท์ ่ีเคยมีอย่แู ลว้ หรือเปน็ ผลิตภัณฑ์ชิ้นใหม่ เช่น อปุ กรณ์ตรวจจบั อุณหภูมิ การเคลื่อนไหวกล้อง
วดิ ีโอ หรอื กลมุ่ อุปกรณ์เซนเซอร์ไร้สาย (Wireless Sensor networks) เชน่ RFID NFC Bluetooth

2.1.2 การเชื่อมต่อเครือข่าย เพื่อให้เซนเซอร์สามารถรับ-ส่งข้อมูลไปยังระบบประมวลผลได้
อาจจะเป็นเครือข่ายภายในหรือเครือข่ายสาธารณะก็ได้เช่นกัน ซึ่งถือว่าเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดที่ทำให้
เทคโนโลยีเช่อื มโยงสรรพสงิ่ สามารถเชื่อมโยงส่อื สารกนั ได้

2.1.3 ระบบประมวลผล สำหรับข้อมูลจากเซนเซอร์ชนิดเดียวกันหลาย ๆ ตัว หรือหลาย ๆ
ชนิดหลาย ๆ ตัวกไ็ ดเ้ พ่อื นำมาประมวลผลและสง่ ผลการวเิ คราะห์ข้อมูลใหก้ ับผ้ใู ช้งาน

2.1.4 ระบบบริหารจัดการสำหรบั การเพิม่ อปุ กรณเ์ ซนเซอรแ์ ละระบบประมวลผลเขา้ มาภายใน
ระบบและการตดิ ตามการทำงาน การดแู ลรักษา การกำหนดค่าตา่ งๆ

2.1.5 อุปกรณ์ควบคุมอ่ืน ๆ เป็นอุปกรณท์ ี่ไม่ได้ทำหน้าที่เป็นเซนเซอร์ แต่ทำการรบั คำส่งั จาก
ระบบประมวลผลหรือเป็นตัวเชื่อมต่อระหว่างอุปกรณ์เซนเซอร์ เช่น แผงควบคุมรีโมตคอนโทรล
โทรศัพท์มอื ถือ คอมพิวเตอร์

2.2 ประโยชนข์ องเทคโนโลยเี ชือ่ มโยงสรรพสง่ิ

ประโยชน์ของเทคโนโลยีเชื่อมโยงสรรพสิ่งสามารถอธิบายได้เป็น 3 ระดับโดยแบ่งตาม
ผลกระทบทเี่ กดิ ขน้ึ มรี ายละเอียดดังน้ี

2.2.1 ระดับบุคคล (personal use) โดยเทคโนโลยีเชื่อมโยงสรรพสิ่งจะเปลี่ยนแปลงวิถีการ
ดำเนินชวี ิตของผู้ใช้งาน การสื่อสารกับอุปกรณต์ ่างๆ สามารถทำได้ง่าย ขอ้ มลู จำนวนมากจะส่งตรงไปยัง
ผู้ใช้การอำนวยความสะดวกในการใช้งานและบริการการต่างๆ จะเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเช่นสามารถ
ส่งข้อมูลความดันโลหติ ระดบั นำ้ ตาลในเลอื ดหรอื ข้อมูลอืน่ ๆ ทแี่ พทย์ตอ้ งการซ่งึ ได้จากการเครื่องวัดท่ี
เป็นอุปกรณ์คอยติดตามและรายงานความเปลี่ยนแปลงทางสุขภาพต่างๆ ของแต่ละบุคคลได้หรือ
เซนเซอร์ทต่ี ดิ อยบู่ นรถเมื่อประสบอบุ ัตเิ หตจุ ะส่งขอ้ มูลไปยังรถฉกุ เฉนิ เพอ่ื แจง้ เตอื นการเกดิ อบุ ัตเิ หตแุ ละ
ค้นหาผ่านระบบกำหนดตำแหน่งบนโลก (Global Positioning System; GPS) เทคโนโลยีเชื่อมโยง

132 เครอื ขา่ ยคอมพวิ เตอรเ์ บอื้ งต้น

สรรพสิ่งจะนำไปสู่บ้านอัจฉริยะหรือสมาร์ตโฮม (Smart home) ที่สามารถปรับอุณหภูมิ เปิด-ปิดไฟ
ภายในบ้าน เปิด-ปิดประตูโรงรถผ่านโทรศัพท์มือถือ หรือตู้เย็นที่สามารถติดตามและรายงานผลข้อมลู
อาหารท่อี ยใู่ นตู้เย็นได้

ภาพที่ 6.10 ตเู้ ย็น smart fridge ทส่ี ามารถตดิ ตามและรายงานข้อมูลอาหารในตูเ้ ย็น
2.2.2 ระดับรัฐบาล (government use) การเข้ามาของเทคโนโลยีเชื่อมโยงสรรพสิง่ นำไปสู่แผนและ
กลยุทธ์ในการพัฒนาประเทศของหลาย ๆ ประเทศ ที่ต้องปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์หรือนโยบายโดยนำ
แนวคิด Internet of Things มาเป็นเครื่องมือในการนำประเทศไปสู่ Smart Cities เพื่อช่วยให้การ
บริหารจัดการทรัพยากรต่างๆด้วยสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดค่าใช้จ่าย ใช้ทรัพยากร
อย่างคุ้มคา่ เช่น ประเทศสิงคโปร์ไดน้ ำไปใชใ้ นการเชื่อมตอ่ อุปกรณอ์ ัจฉริยะกับรถแท็กซี่ เพื่อใหร้ ถแทก็ ซ่ี
ส่งข้อมูลรายงานสภาพการจราจรบนท้องถนน โดยมีเซนเซอร์ที่คอยจัดส่งข้อมูลไปยังศูนย์กลางของ
เครือข่ายเพื่อการวิเคราะห์และทำนายรูปแบบการจราจรรวมถึงควบคุมสัญญาณไฟจราจรเพ่ือ
ปรับเปลี่ยนเส้นทางให้สอดคล้องกับสภาพการจราจร สำหรับประเทศไทยกำลังมีการปรับเปลี่ยน
โครงสร้างเศรษฐกิจไปสู่เศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม (value-based economy) เปลี่ยนการ
ผลิตสินคา้ โภคภัณฑไ์ ปส่สู นิ คา้ เชิงนวัตกรรม เปล่ียนจากการขบั เคล่อื นประเทศดว้ ยอตุ สาหกรรมไปสกู่ าร
ขับเคลอื่ นดว้ ยเทคโนโลยี

2.2.3 ระดับโลก (global use) เป็นผลจากพฤติกรรมการใช้อินเทอร์เน็ตของคนทั่วโลกส่งผลให้
การพัฒนาเทคโนโลยีเชื่อมโยงสรรพสิ่งมีพัฒนาการอย่างรวดเร็วคนทั่วโลกสามารถเข้าถึงบริการ
Internet of Things ได้จากเครือข่ายซึ่งครอบคลุมทั่วโลก ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง 3 ลักษณะหรือ

แนวโน้มเทคโนโลยีของระบบสอื่ สารขอ้ มลู และระบบเครือขา่ ย 133
3Vs ประกอบด้วยปริมาณของข้อมูลจำนวนมาก (Volume) ความหลากหลายของข้อมูล (Variety)
ความรวดเร็วในการประมวลผลข้อมูล (Velocity) ดังนั้นเมื่อปริมาณการใช้งานและปริมาณข้อมูล
สารสนเทศบนอินเทอร์เน็ตที่เพิ่มขึ้น ทั้งปริมาณผู้ใช้งานและประสิทธิภาพความเร็วในการรับ-ส่งข้อมลู
ยอ่ มเป็นปจั จยั ทีจ่ ะเกือ้ หนุนแนวคดิ เทคโนโลยเี ช่อื มโยงสรรพสง่ิ สามารถเกิดขึ้นไดร้ วดเร็วมากข้ึน
2.3 การนำเทคโนโลยเี ชอ่ื มโยงสรรพสิ่งไปประยกุ ตใ์ ช้

ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีระบบการสื่อสารข้อมูล ระบบเครือข่าย โดยเฉพาะอย่างย่ิง
เครือขา่ ยอินเทอร์เน็ตทำให้เกดิ การเชือ่ มโยงอย่างรอบด้านจนเรยี กได้วา่ เป็นเทคโนโลยีเชอ่ื มโยงสรรพสิ่ง
การเช่อื มโยงการสื่อสารระหว่างเทคโนโลยีไรส้ ายกบั เครอื ขา่ ยเขา้ ดว้ ยกัน มีการออกแบบและประยกุ ต์ใช้
งานเทคโนโลยีเชื่อมโยงสรรพสิ่งอย่างกว้างขวาง ทำให้เกิดระบบอัจฉริยะ (Smart) มากมาย เช่น กริด
ไฟฟ้าอัจริยะ (Smart grid) บ้านอัจฉริยะ (Smart home) ระบบขนส่งอัจฉริยะ (Smart / intelligent
transportation) ห้องเรียนอัจฉริยะ (Smart classroom) เมืองอัจฉริยะ (Smart city) วัตถุแต่ละชิ้น
สามารถถกู ระบไุ ดโ้ ดยไม่ซำ้ กนั ผ่านระบบคอมพวิ เตอรฝ์ งั ตัว (embedded computer)

2.3.1 กริดไฟฟ้าอัจริยะ (Smart grid) หรือโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ เป็นโครงข่ายไฟฟ้าที่ใช้
เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารมาบริหารจัดการควบคุมการผลิต ส่งและจ่ายพลังงานไฟฟ้า
สามารถรองรับการเชื่อมต่อระบบไฟฟ้าจากแหล่งพลังงานทางเลือกที่สะอาดที่กระจายอยู่ทั่วไป
(Distributed Energy Resource, DER) และระบบบริหารการใช้สินทรัพย์ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
รวมทั้งให้บริการกับผู้เชื่อมต่อกับโครงข่ายผ่านมิเตอร์อัจฉริยะได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีความมั่นคง
ปลอดภัย เชื่อถือได้คุณภาพไฟฟ้าได้มาตรฐานสากลซึ่งเกิดจากการเชื่อมโยงระบบไฟฟ้า ระบบ
สารสนเทศ และระบบการสือ่ สาร เข้าดว้ ยกันเปน็ โครงข่าย โดยโครงข่ายดังกลา่ วจะสนับสนุนการทำงาน
ซ่ึงกนั และกนั อย่างเป็นระบบ

ภาพท่ี 6.11 กรดิ ไฟฟ้า

134 เครอื ขา่ ยคอมพิวเตอร์เบอื้ งตน้

2.3.2 บ้านอัจฉริยะ (smart home) เป็นการรวมโครงข่ายการสื่อสารของที่อยู่อาศัยรวมเขา้
ด้วยกันเพื่อเชื่อมต่อเครื่องใช้ไฟฟ้า การบริการการตรวจตราดูแล รวมทั้งสามารถเข้าถึงการควบคุม
อุปกรณ์ต่างๆได้ทั้งจากภายในและภายนอกบ้าน ทั้งนี้ในเชิงโครงสร้างจะเป็นบ้านอัจฉริยะได้ต้องมี
องค์ประกอบ 3 ส่วนคืออุปกรณ์ที่เป็น smart device ที่สามารถเชื่อมโยงเป็นเครือข่ายเรียกว่า smart
home network และส่วนควบคุมหลกั ท่เี ป็นมันสมองของบ้าน โดยใชก้ ารเขียนโปรแกรมตามทตี่ ้องการ
หรอื เรยี กว่า intelligent control system จงึ จะรวมกันเป็น smart home

ภาพที่ 6.12 บ้านอัจฉริยะ
2.3.3 ระบบขนสง่ อัจฉริยะ (Smart / intelligent transportation) เปน็ ระบบท่กี ารพัฒนา
เพ่ือป้องกันและลดอบุ ัตเิ หตจุ ากการเดินทางบนทอ้ งถนนให้เกดิ ความสญู เสยี นอ้ ยทสี่ ดุ โดยการให้บริการ
ข้อมูลแก่ผู้ขับขี่ เช่น ร้านอาหาร ที่จอดรถ เส้นทางการเดินทาง หรือระบบ easy pass ซึ่งช่วยอำนวย
ความสะดวกและลดการคบั คง่ั ของจราจรบนทางพเิ ศษ
2.3.4 ห้องเรียนอัจฉริยะ (Smart classroom) เปน็ หอ้ งเรียนหรอื แหล่งการเรียนรู้ทจี่ ัดทำข้นึ
ในลักษณะพิเศษแตกต่างจากห้องเรียนโดยทั่วไป เพื่อใช้สำหรับการเสริมสร้างประสบการณ์ทางการ
เรียนการสอน การฝึกอบรม รวมทั้งการฝึกทักษะความรู้ในด้านต่างๆ โดยมุ่งเน้นการสร้างปฏิสัมพันธ์
ทางการเรียนร่วมกนั จากเทคโนโลยที ี่หลากหลาย ท้ังสอื่ ในระบบภาพและเสยี งก่อใหเ้ กิดการเรยี นรู้ทั้งใน
ชั้นเรียนปกติและนอกช้นั เรียน หรือการเรียนแบบทางไกลทมี่ ปี ระสิทธภิ าพ

แนวโน้มเทคโนโลยขี องระบบส่ือสารข้อมลู และระบบเครือขา่ ย 135

ภาพท่ี 6.13 ห้องเรียอจั ฉริยะ
2.3.5 เมืองอัจฉริยะ (smart city) เป็นเมืองที่ได้รับการออกแบบโดยให้ความสำคัญใน
องค์ประกอบหลักคือการพัฒนารูปแบบโครงสร้างของเมืองที่สอดรับกับแนวคิดของเมืองอัจริยะการ
ส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานและส่ิงแวดล้อม รวมทั้งการส่งเสริมการใช้พลงั งานทดแทนประกอบกบั การ
นำเทคโนโลยีสารสนเทศและข้อมูลมาช่วยในการบริหารจัดการทรพั ยากรของเมืองเพ่ือให้เกดิ ประโยชน์
สงู สดุ เช่นระบบบรหิ ารจัดการเครอื ขา่ ยพลงั งานอจั ฉริยะ ระบบมิเตอร์อัตโนมตั ิ ระบบควบคุมการจราจร
อจั ฉริยะระบบควบคมุ อาคารอัจฉรยิ ะ และระบบตรวจวดั มลภาวะ
ในปัจจุบันเมืองอัจฉริยะเป็นกระแสที่กำลังมีพัฒนากันทั่วโลกเพราะเป็นเรื่องของการนำ
เทคโนโลยีดิจิทัลมาปรับใช้กับเมืองเพื่อให้มีความน่าอยู่มากขึ้น ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการ
สาธารณะของเมืองได้อย่างรวดเร็วการเชื่อมโยงข้อมูลถึงกันเพื่อช่ วยพัฒนาระบบบริการให้มี
ประสิทธิภาพสูงสุดในพื้นที่ ทำให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น มีความปลอดภัยได้มากขึ้น ซึ่งแนวคิดในการนำ
เทคโนโลยีมาพัฒนาเมืองให้เป็นเมืองอัจฉริยะจะต้องมีความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาคธุรกิจ
รัฐบาลรวมถงึ ประชาชนในพ้ืนที่รว่ มกันพัฒนา ซึง่ ในหลายประเทศก็ได้มกี ารลงทนุ รว่ มกันระหวา่ งภาครฐั
และภาคธุรกิจ เช่น สิงคโปร์ เกาหลีใต้ สเปน โดยมีบริษัทเทคโนโลยีชัน้ นำระดบั โลกได้เขา้ มาร่วมมือกับ
รัฐบาลในการนำเทคโนโลยีสารสนเทศและการส่อื สารหรอื ไอซที ี (Information and Communication
Technology, ICT) เข้ามาช่วยบริหารจัดการเมืองและชุมชนให้มีความเป็นอัจฉริยะมากขึ้นจนประสบ
ความสำเรจ็ ในการเปน็ ตน้ แบบให้กบั ประเทศอื่น ๆ

136 เครือขา่ ยคอมพวิ เตอรเ์ บอื้ งตน้

สรุป

ด้วยความก้าวหน้าในเทคโนโลยีไร้สายนั้นทำให้อุปกรณ์ทุกอย่างจะสามารถเชื่อมต่อเข้าห าแนวโน้ม
เทคโนโลยีของระบบสอ่ื สารข้อมลู และระบบเครอื ข่ายเทคโนโลยีไรส้ ายทไ่ี ดร้ บั ความนิยมและมีแนวโน้มที่จะ
มีการใช้แพร่หลายมากยิ่งขึน้ ในอนาคต คือเทคโนโลยีคล่ืนความถีว่ ทิ ยุ (RFID) และเทคโนโลยีสื่อสารไรส้ าย
ระยะสั้น (NFC) เนื่องจากมีการพัฒนาเพื่อช่วยอำนวยความสะดวกทั้งในเรื่องความรวดเร็วในการสื่อสาร
การจัดเก็บข้อมูล และขนาดเล็กกะทัดรัดสะดวกในการพกพาซึ่งมีการนำมาใช้มากยิ่งขึ้นไม่ว่าจะเป็นด้าน
การศึกษาการตลาดทางธุรกจิ ด้านการเกษตร หรอื แมก้ ระท่งั ด้านการแพทยท์ งั้ น้เี ทคโนโลยที ง้ั สองน้ันจะต้อง
มีเคร่ืองอา่ นและตัวรับ-ส่งสัญญาณโดยลกั ษณะการใชง้ านเรยี กว่า แทก็ (tag) เป็นการนำตัวรบั สัญญาณแนบ
กบั เครื่องอ่านในระยะใกล้ ซง่ึ ระยะจะขึ้นอยกู่ ับย่านสญั ญาณท่ีเลือกใช้

ด้วยความก้าวหน้าหน้าในเทคโนโลยีไร้สายทำให้อุปกรณ์ทุกอย่างจะสามารถเชื่อมต่อเข้าหากันได้ทั้งหมด
กลายเป็นเทคโนโลยีเชื่อมโยงสรรพสิง่ หรอื Internet of Things ทำให้เกดิ ระบบอัจฉริยะ (Smart) เช่นกริด
ไฟฟา้ อัจริยะบา้ นอัจฉริยะ ระบบขนสง่ อจั ฉรยิ ะ ห้องเรยี นอัจฉริยะ เมืองอจั ฉรยิ ะซ่ึง IoT ทำใหร้ ะบบจัดเก็บ
ขอ้ มลู ที่กระจดั กระจายเชื่อมต่อกนั เปน็ เครือขา่ ยสามารถเช่อื มโยงถงึ กนั ทำใหก้ ารประมวลผลเป็นไปอย่างมี
ประสิทธภิ าพ และชว่ ยใหเ้ กดิ การทำงานแบบเรียลไทม์ สามารถแชร์ข้อมลู ได้อย่างราบร่นื ไมว่ า่ ข้อมูลจะเก็บ
ไวท้ ใ่ี ดก็ตามกส็ ามารถควบคมุ และสงั่ การได้ไมว่ ่าจะอยทู่ ใี่ ด

แนวโน้มเทคโนโลยขี องระบบส่อื สารขอ้ มลู และระบบเครอื ขา่ ย 137

กจิ กรรมกรรมตรวจสอบความเข้าใจ

คำชแี้ จง กิจกรรมตรวจสอบความเขา้ ใจเป็นกิจกรรมฝกึ ทกั ษะเฉพาะดา้ นความรู้-ความจำเพื่อใช้
ในการตรวจสอบความเข้าใจตามจดุ ประสงค์การเรยี นรู้

คำส่ัง จงตอบคำถามตอ่ ไปนี้
1. จงอธิบายความแตกตา่ งระหว่างเทคโนโลยไี รส้ ายแบบ RFIDกบั NFC
2. องค์ประกอบของ RFID และ NFC มีอะไรบ้างจงอธิบาย
3. จงยกตวั อย่างการนำเทคโนโลยี RFID มาประยุกต์ใช้
4. จงยกตัวอย่างการนำเทคโนโลยี NFC มาประยกุ ตใ์ ช้
5. ผเู้ รียนคิดว่าแนวโน้มของเทคโนโลยไี ร้สายในอนาคตจะมีการเปลย่ี นแปลงไปอยา่ งไร
6. จงบอกความหมายของเทคโนโลยเี ชอ่ื มโยงสรรพสง่ิ
7. จงอธบิ ายประโยชน์ที่เกดิ ข้ึนจากเทคโนโลยีเชอื่ มโยงสรรพส่ิง
8. ห้องเรียนอัจฉริยะมอี งคป์ ระกอบอะไรบา้ งจงอธิบาย
9. หากผเู้ รียนตอ้ งการทำให้บ้านของตนเองกลายเป็นบ้านอจั ฉรยิ ะจะต้องทำอยา่ งไรและตอ้ งใช้
อุปกรณ์หรือเทคโนโลยอี ะไรบา้ งจงอธบิ าย
10. จงยกตัวอย่างเทคโนโลยไี รส้ ายหรือเทคโนโลยเี ช่ือมโยงสรรพสิง่ ทีผ่ ้เู รียนเคยเห็นหรือได้ใชใ้ น
ชวี ติ ประจำวนั

138 เครือขา่ ยคอมพิวเตอร์เบื้องตน้

กิจกรรมส่งเสริมการเรยี นรู้

คำชแ้ี จง กิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้ประกอบด้วยกิจกรรมที่ฝึกทักษะทุกด้านตามจุดประสงค์เชิง
พฤติกรรมเพื่อให้เกิดสมรรถนะในการเรียนรู้สามารถปฏิบัติกิจกรรมทั้งในและนอกสถานที่ตาม
ความเหมาะสมกบั ผเู้ รยี นและสิง่ แวดล้อมของสถานศึกษา

1. ใหผ้ ูเ้ รยี นแบง่ เปน็ 3 กลมุ่ รว่ มกันศึกษาค้นคว้าตามหวั ข้อทก่ี ำหนดจากแหลง่ การเรยี นรตู้ า่ งๆเชน่
อินเทอร์เนต็ หนงั สือวารสาร ฯลฯ และจดั ทำสรปุ ผลการเรยี นรู้พรอ้ มส่งตัวแทนกลุ่มนำเสนอหน้าชนั้
เรยี นกลมุ่ ละ 5-10 นาที

กลมุ่ ที่ 1 RFID
กลมุ่ ที่ 2 NFC
กลมุ่ ท่ี 3 IoT

2. ใหผ้ เู้ รยี นเขียนผงั ความคิดเก่ียวกบั แนวโนม้ เทคโนโลยขี องระบบสือ่ สารขอ้ มลู และระบบเครือขา่ ย

สรปุ ผลการทำกิจกรรม

คำช้แี จง ใหผ้ เู้ รียนประเมินผลการทากจิ กรรม โดยเขียนเครื่องหมายลงใน ตามความคิดเหน็

หมายเหต:ุ เกณฑก์ ารประเมินผลการทำกจิ กรรมมวี ัตถปุ ระสงค์เพื่อประเมนิ ว่าผเู้ รยี นเกดิ สมรรถนะจาก
การเรียนรตู้ ามบรบิ ทต่างๆหรอื ไมโ่ ดยแบง่ เปน็ 3 ดา้ นคอื ความรหู้ รอื พุทธพิ สิ ยั = Knowledge (1)
ทักษะหรอื Van-Pantice (P) คณุ ลกั ษณะหรอื จติ พสิ ยั = Amatuide Al

แนวโน้มเทคโนโลยีของระบบส่อื สารขอ้ มูลและระบบเครอื ขา่ ย 139

แบบทดสอบ

คำสง่ั จงเลอื กคำตอบทถ่ี ูกตอ้ งท่ีสดุ เพียงคำตอบเดียว

1. เทคโนโลยไี รส้ ายสำหรบั ส่งข้อมูลระยะใกลม้ ีกี่ชนิด

1. 2 ชนิด
2. 3 ชนดิ
3. 4 ชนิด
4. 5 ชนดิ
5. 6 ชนดิ

2. เทคโนโลยไี รส้ ายชนิดใดไม่เขา้ พวก

1. IrDA
2. Bluetooth
3. RFID
4. NFC
5. Microwave

3. ข้อใดคอื ชอื่ เตม็ ของสญั ญาณ RFID

1. Radio Frequency Identification
2. Radio Frequency Information
3. Radio Frequency Internal
4. Radio Frequency Internet
5. Radio Frequency Identity

140 เครือข่ายคอมพิวเตอรเ์ บ้อื งต้น

4. เทคโนโลยไี ร้สายระยะสนั้ ชนดิ ใดต่อไปนเ้ี หมาะสำหรับนำไปประยกุ ต์ใช้ทางดา้ นการเงินมากท่สี ดุ

1. IrDA
2. Bluetooth
3. RFID
4. NFC
5. Mmicrowave

5. ข้อใดต่อไปนี้อธิบายความแตกตา่ งระหวา่ งสญั ญาณ RFID กบั NFC ไดถ้ กู ตอ้ งทส่ี ุด

1. RFID มคี วามปลอดภัยสงู กวา่ NFC
2. RFID มตี น้ ทนุ ทต่ี ่ำกว่า NFC
3. NFC มคี วามปลอดภยั สงู กวา่ RFID
4. NFC สง่ สญั ญาณไดไ้ กลกว่า RFID
5. RFID และ NFC มีความปลอดภยั และตน้ ทุนอยู่ในระดบั เดียวกนั แตแ่ ตกต่างกนั ในเรือ่ งของการ

ใช้พลังงาน

6. บตั รสมารต์ การด์ ใชโ้ หมดการทำงานของ NFC โหมดใด

1. Card emulation mode
2. Reader / writer mode
3. Peer to peer mode
4. Tap and go mode
5. ไม่สามารถระบโุ หมดไดท้ งั้ นข้ี ึ้นอยู่กบั วตั ถปุ ระสงคก์ ารใช้งานของบัตร

7. Easy pass ใชเ้ ทคโนโลยใี ด

1. IrDA
2. Bluetooth
3. RFID
4. NFC
5. Microwave

แนวโนม้ เทคโนโลยีของระบบส่อื สารขอ้ มูลและระบบเครอื ข่าย 141

8. ข้อใดตอ่ ไปนไี้ ม่ใชส่ ว่ นหน่งึ ของเทคโนโลยีเชือ่ มโยงสรรพสิ่ง

1. เทคโนโลยไี ร้สาย
2. ไมโครเทคโนโลยี
3. ไมโครเซอรว์ ิส
4. เทคโนโลยีคอมพวิ เตอร์
5. อินเทอร์เนต็

9. เทคโนโลยเี ชอ่ื มโยงสรรพส่งิ มีองค์ประกอบทส่ี ่วน

1. 2 สว่ น
2. 3 สว่ น
3. 4 ส่วน
4. 5 สว่ น
5. 6 ส่วน

10. ขอ้ ใดเปน็ องค์ประกอบท่ีสำคัญท่สี ดุ ทท่ี ำใหเ้ ทคโนโลยีเชอื่ มโยงสรรพสงิ่ สามารถเชอ่ื มโยงสื่อสารกนั
ได้

1. เซนเซอร์
2. การเชอ่ื มตอ่ เครอื ข่าย
3. ระบบประมวลผล
4. ระบบบรหิ ารจดั การ
5. อปุ กรณค์ วบคมุ ต่างๆ

142 เครอื ขา่ ยคอมพวิ เตอร์เบอ้ื งตน้

แบบประเมนิ ตนเอง

คำชแ้ี จง ตอนท่ี 1 ให้ผเู้ รียนประเมนิ ผลการเรียนรู้ โดยเขยี นเคร่อื งหมายลงในช่องระดับคะแนนและ
เติม ขอ้ มูล ตามความเปน็ จรงิ

ระดบั คะแนนตอนที่1 5: มากทีส่ ดุ 4 : มาก 3: ปานกลาง 2:นอ้ ย 1:ควรปรบั ปรบั ปรงุ
ตอนที่ 2 ให้ผู้เรยี นนำคะแนนจากแบบทดสอบมาเติมลงในช่องว่างและเขยี นเครอื่ งหมายลงในชอ่ ง
สรปุ ผล


Click to View FlipBook Version