The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

ตำบลหลุมข้าว

ตำบลหลุมข้าว



บทนำ

จากคาเล่าของผู้เฒ่าผู้แก่เล่าให้ฟังว่า....ชาวไทยพวนบ้านหลุมข้าว
ต้นทางบรรพบุรุษได้อพยพมาจากประเทศลาว เมืองเชียงขวาง การอพยพ
ของเผ่าไทยพวนมาจากฝั่งลาวสไู่ ทย ตามทถ่ี กู บันทกึ ไวร้ วม ๕ ครั้ง ด้วยกัน

การอพยพครั้งที่ ๑ เมื่อ พ.ศ. ๒๓๒๑ สมัยแผ่นดินพระเจ้าตากสิน
มหาราช เป็นการอพยพคร้ังแรกโปรดให้ตั้งถ่ินฐาน อยู่ตามหัวเมือง
คือ เมอื งสระบุรี เมืองสุพรรณบรุ ี เมอื งเพชรบุรี และเมอื งจันทบรุ ี

การอพยพครัง้ ท่ี ๒ เมอ่ื พ.ศ.๒๓๓๘ สมัยพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก
มหาราช รัชการท่ี 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ โปรดให้ต้ังถ่ินฐานอยู่ที่
จงั หวดั สระบุรี จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

การอพยพคร้ังท่ี ๓ สมัยพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชการท่ี ๒
โปรดให้ต้งั ถ่ินฐาน ท่ีพนสั นิคม

การอพยพคร้ังท่ี ๔ พ.ศ. ๒๓๗๒ สมัยพระนั่งเกล้า รัชกาลท่ี ๓
โปรดเกล้าให้ต้ังถิ่นฐานที่ จังหวัดสุพรรณบุรี และจังหวัดอ่างทอง และมี
จานวนมากท่ีสุดโปรดให้ต้ังถ่ินฐานท่ี อาเภอเมือง อาเภอบ้านหมี่
อาเภอโคกสาโรง จงั หวัดลพบุรี จงั หวัดสระบุรี จังหวดั สพุ รรณบรุ ี

การอพยพครั้งท่ี ๕ พ.ศ. ๒๓๗๘ สมัยรัชกาลท่ี ๓ ครั้งท่ีเป็นการ
เก็บครัวเรือนที่ ได้ตั้งถ่ินฐานอยู่ท่ี หล่มเก่า เมืองหล่มสัก อาเภอวิเชียร
จงั หวัดเพชรบูรณ์

การอพยพเคล่ือนย้ายในคร้ังสุดท้ายถึงจุดหมายปลายทางคือบ้าน
หลุมข้าวเห็นว่ามีชัยภูมิอันเหมาะสมจะเป็นด้วยเหตุบังเอิญหรือไม่ ผู้นา
กลุม่ ไดเ้ หลอื บแลไปพบต้นข้าวท่ีขึ้นชอุ่มหนองน้าใหญ่ จึงเกิดความปิติดีใจ
เรียกหนองน้ันว่าหนองใหญ่หรือสระหลวงและเรียกหมู่บ้านนั้นว่า
“บ้านขุมข้าว”ในกาลต่อมา ก็เรียกเป็นภาษาไทยพวนว่าบ้านหลุมข้าว
คาว่า ขุมข้าว เป็นท่ีมาแห่งช่ือๆ เดียวกันน่ันเอง แต่ออกสาเนียงในการ



พูดผิดเพ้ียนกันออกไปบ้าง หนองน้ีมีความใหญ่โตประมาณ 8 ไร่เศษ
มีน้าอุดมสมบูรณ์ไม่แห้งตลอดปีนับเป็นมิตรหมายอันดีของผู้ท่ีอพยพ
เคลื่อนย้ายคร้ังนั้นเป็นอย่างย่ิง บ้านหลุมข้าวหรือขุมข้าวมีผู้เรียกขานกัน
มาไม่ต่ากวา่ 150 ปี มาแล้วมีประวตั คิ วามเป็นมานา่ สนใจอยา่ งย่งิ

ชาวไทยพวนบ้านหลมุ ข้าว นอกจากจะนับถอื และยึดมั่นในศาสนา
พุทธแล้ว ชาวพวนยังมีขนบธรรมเนียมและประเพณีอันดีงาม ซ่ึงเป็น
เอกลักษณ์ของตนมาแต่โบราณ เคร่งครัดต่อขนบธรรมเนียมและประเพณี
ของตนมากซ่ึงได้ถือปฏิบัติมาตามแบบอย่าง บรรพบุรุษในรอบปีหน่ึง
ประเพณขี องชาวพวนยังยึดถอื และปฏบิ ัติกันมีดังนี้ คือ

เดอื นอ้ายบุญข้าวจี่ เดอื นยบ่ี ญุ ขา้ วหลาม
เดอื นสามบุญกาฟา้ เดือนหา้ บุญสงกรานต์
เดอื นหกบุญหมบู่ ้าน เดอื นแปดบญุ เข้าพรรษา
เดอื นเก้าบญุ ห่อข้าว เดอื นสบิ เอด็ บญุ ตักบาตรเทโว
เดือนสิบสองใสก่ ระจาดเทศนม์ หาชาติ สนกุ แลฯ
ความเร้นลับมีจริงหรือไม่ นักวิทยาศาสตร์ยังค้นไม่พบพิสูจน์ไม่ได้
ส่ิงศักดิ์สิทธ์ิมีจริงหรือเปล่า เราท่านทุกคนกาลังถามถึง ผู้เขียนเองก็ยังงม
งายเช่ืออยู่เช่นเดิมว่า มีจริงแน่ๆ และมีจริงๆด้วย ใครว่าไม่มีจริงก็เป็น
เรื่องของท่าน เราเช่ือของเราอย่างน้ัน ความเร้นลับมองไม่เห็นคนรุ่นใหม่
ไม่คอ่ ยเช่อื ถอื นัก
คุณคารณ เอี่ยมสะอาด ชาวบ้านหลุมข้าว ไปเก็บผักบุ้งกลางทุ่ง
นา ขณะน้ันฝนตกหนัก ก็เลยเข้าพักอาศัยอยู่โคนต้นกระทุ่ม โดยเอนหลัง
พิงต้นกระทุ่ม ขณะน้ันเองสายอสุนีบาตก็ฟาดเปรี้ยงลงมาที่ต้นกระทุ่มและ
ถกู ที่สะบกั ซา้ ย หนา้ อกไหมท้ ะลวงลงล่างมากระทบทีแ่ หวนของหลวงปู่ด้าน
ซา้ ยมอื รอยไหม้จะผา่ นเข้ามาข้างขวามาดา้ นซา้ ย กางเกงเสื้อผ้าป่นป้ีข้ีฝอย
หมดเลย คงว่างเว้นมือท่ีใส่แหวน (มือท่ีล้วงกระเป๋า) ตุ๊กแกที่โพรงไม้ตาย
17 ตวั มีผนู้ บั ได้คือเจา้ ของนาทช่ี ่อื นายสุวรรณ ศรเี งนิ ว่ิงมาเห็นนายคารณ



สลบอยู่ ก็วิ่งมาตามบิดามารดามารับลูก (พบในตัวลูกมีแหวนหลวงปู่ภูมิมี
รุ่นผูกพัทธสีมาโบสถ์) ใส่น้ิว 1 วง มีลักษณะเป็นรูปของพระศรีอาริย์
เร่ืองน้ีเป็นเรื่องจริงท่ีสามารถยืนยันได้เพราะเจ้าตัวยังมีชีวิตอยู่ ที่สามารถ
กลา่ วอ้างได้อย่างภมู ใิ จ

หลวงปู่ภูมิมีท่านมีดีสมช่ือ มีคนเล่ือมใสศรัทธามากท่านมิได้
โอ้อวดสรรพคุณหรืออวดวิเศษแต่อย่างใดคนท่ีนาวัตถุมงคลของท่านไปใช้
ต่างหากท่ีใช้แล้วเห็นผลประจักษ์ได้ว่าวัตถุมงคลของหลวงปู่ดีจริงและเด็ด
ด ว ง ยิ่ ง นั ก ห ล ว ง ปู่ ท่ า น ป ลุ ก เ ส ก เ ด่ี ย ว แ ล ะ ป ลุ ก เ ส ก ร ว ม กั บ พ ร ะ ลู ก วั ด
ในอุโบสถครบไตรมาส แล้วนาเอาออกจาหน่ายแจกจ่ายแก่ญาติโยม
ทั้งหลายโดยไมค่ ดิ มูลค่าแต่ประการใด คนท่ีรับวัตถุมงคลจากมือท่าน ท่าน
จะปลุกเสกให้เป็นพิเศษเมื่อรับไปแล้ว ได้เกิดปรากฏการณ์อันเหลือเช่ือ
มาแล้วหลายต่อหลายราย นี้ก็เป็นแค่บางส่วนที่สิ่งที่ชาวบ้าน เคารพนับ
ถือเป็นจานวนมาก แสวงหาวัตถุมงคลของหลวงพ่อมาเป็นไว้บูชาเพ่ือเป็น
ศริ ิมงคลแตก่ ห็ าได้น้อยมาก

ซ่ึงขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงาม ที่สืบทอดต่อกันมาเป็นเวลา
ช้านานทม่ี หี ลากหลายประเพณี ยังคงอนุรักษ์คงอยู่ให้ลูกหลานได้เรียนรู้สืบ
ตอ่ ไป ไดเ้ ขยี นลงไว้ในหนงั สอื เลม่ น้อี าจจะไม่สมบรู ณ์เท่าท่ีควรแต่ ผู้จัดทา
มีคว ามตั้งใจ ที่จ ะถ่ายทอดขนบธ รรมเนียมประเพณีของช าว ไทยพ ว น
บ้านหลุมข้าว ที่ยังคงมีเอกลักษณ์ที่ดีไว้ให้เยาวชนและผู้ท่ีสนใจได้ศึกษา
เรียนรู้ ตลอดจนเกิดความภาคภูมใิ จต่อบรรพบุรุษของชาวไทยพวน

ผู้จัดทาขอขอบพระคุณผู้ที่ให้ข้อมูลเรื่องเล่าจากปากทุกท่าน
ไดน้ ามาลงในหนังสอื ฉบับน้ี

คณะผู้จัดทา



สำรบญั

เรื่อง หน้ำ

ส่วนที่ 1 ข้อมูลทอ้ งถน่ิ ตาบลหลมุ ข้าว 1

- ขอ้ มูลท่วั ไปของตาบลหลุมข้าว 2

สว่ นที่ 2 ประวตั คิ วามเปน็ มาและวถิ ีชวี ติ ตาบลหลมุ ขา้ ว 9

- ประวัติและความเป็นมาของท้องถ่นิ 10

- ขนมธรรมเนยี มและประเพณี 20

- การละเล่น 35

- การแต่งกาย 43

- บา้ นเรือน 45

- ภาษาทอ้ งถิน่ 46

- สถานที่สาคญั 50

- บุคคลสาคญั 77

สว่ นท่ี 3 บารมีปู่ภูมิมีกบั ความศรทั ธาของชาวตาบลหลมุ ข้าว 92

- ประวตั ิหลวงปู่ภมู มิ ี 93

- อภินิหารเรื่องเลา่ บารมีหลวงป่ภู มู มิ ี 103

- บทสมั ภาษณ์ 105



ส่วนที่ 1

ขอ้ มูลทอ้ งถน่ิ ตำบลหลมุ ขำ้ ว



ข้อมลู ทั่วไปของตำบลหลมุ ข้ำว

ตาบลหลุมข้าว มีระยะทางห่างจากอาเภอโคกสาโ รง
ประมาณ 13 กิโลเมตร และห่างจากจังหวัดลพบุรีระยะทาง
ประมาณ 32 กโิ ลเมตร มีเน้ือที่ทั้งหมดประมาณ 48 ตารางกิโลเมตร หรือ
ประมาณ 30,000 ไร่ มีพ้ืนที่ทาการเกษตร 24,624 ไร่ (ที่มา :
สานักงานโยธาและผังเมืองจังหวัดลพบุรี ได้คานวณคิดลักษณะพื้นที่
องค์การบริหารสว่ นตาบลหลุมข้าว ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เร่ือง
การกาหนดเขตตาบลในท้องท่ี อาเภอโคกสาโรง จังหวัดลพบุรี โดยวัดค่า
พกิ ดั และคานวณพนื้ ทีด่ ้วยคอมพิวเตอร์ โปรแกรม Auto Cad )



อำณำเขตติดต่อ
ทศิ เหนอื ติดกบั ตาบลถลงุ เหลก็ อ.โคกสาโรง จังหวัดลพบรุ ี
ทิศใต้ ติดกับ ตาบลห้วยโปง่ อ.โคกสาโรง และตาบล

หนองทรายขาว อ.บ้านหม่ี จังหวดั ลพบรุ ี
ทศิ ตะวันออก ตดิ กับ ตาบลวงั ขอนขวา้ ง และ ตาบลห้วยโปง่

อ.โคกสาโรง จังหวดั ลพบรุ ี
ทศิ ตะวันตก ติดกับ ตาบลดงพลับ และตาบลบางกระพี้ อ.บ้านหม่ี

จังหวดั ลพบรุ ี

กำรปกครอง
ตาบลหลุมข้าว แบ่งออกเป็น 11 หมู่บา้ น ช่ือหม่บู ้าน จานวน
หลงั คาครัวเรือน จานวนปะชากร และผู้ใหญ่บ้าน ดงั น้ี

หมทู่ ่ี ชอื่ บา้ น จานวน จานวนประชากร ชื่อผูใ้ หญบ่ า้ น
ครัวเรอื น ชาย หญงิ

1 บ้านเนนิ ส้มกบ 34 31 62 นายวนั ชยั มกี ารณุ

2 บ้านเนินส้มกบ 33 51 67 นายพงษศ์ กั ด์ิ เอยี่ มสะอาด

3 บา้ นโคกพรม 66 80 78 นายสวงษ์ เผา่ น้อย

4 บา้ นหลุมขา้ ว 26 37 35 นายนุกลู ทองพรอ้ มพันธ์

5 บา้ นหลุมขา้ ว 108 132 141 นายสันติ พิมพา

6 บ้านหลุมขา้ ว 121 164 192 นางทเุ รียน ทาแปง้

7 บ้านหลมุ ขา้ ว 86 98 122 นายวเิ ศษ แกเ่ กิด

8 บ้านหลุมขา้ ว 95 119 123 นายประกาศ ทองลพ

9 บา้ นวังเวนิ 18 24 22 นายชนิ กร แยม้ ชมุ พร

10 บ้านพรหมทนิ เหนือ 92 102 111 นายเฉลิมเกียรติ บญุ ประดษิ ฐ์

11 บ้านพรหมทินใต้ 140 251 256 นายประยงค์ ย่ังยืน

หมายเหตุ : ข้อมูล จปฐ. ณ เดือนสิงหาคม 2565 รวมประชากรทั้งหมด

2,318 คน



ภูมิประเทศ
ลักษณะภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นที่ราบลุ่ม การใช้ประโยชน์จาก
ทีด่ นิ ส่วนใหญ่ใชใ้ นการเกษตรกรรม ไมม่ ีป่าไมแ้ ละภูเขา

ศำสนำ
ประชาชนในตาบลหลมุ ขา้ วนับถือศาสนาพทุ ธ โดยในแต่ละ
หมบู่ า้ นจะมวี ัดเป็นของตนเอง

วฒั นธรรม
ชาวตาบลหลมุ ขา้ วมีวฒั นธรรมทด่ี ีที่สืบทอดมาจากปู่ย่าตายายและ
สู่รุ่นลูกหลานโดยเฉพาะทางด้านภาษา ในตาบลหลุมข้าวมีชุมชนหลาย
ชุมชนที่มีความแตกต่างกันทางด้านภาษา เช่น ภาษาพวนที่บ้านหลุมข้าว
ภาษาลาวท่ีบ้านพรหมทินใต้ เป็นต้น นอกจากน้ียังมีประเพณีที่ดีและความ
เช่ือสืบทอดมาจากบรรพบุรุษหลายอย่างเช่น ประเพณีกาฟ้า ประเพณีแห่
นางแมว นางกวัก บูชาผปี ูผยี ่า สารทพวนและสารทลาวอกี ดว้ ย

อำชีพ
ประชาชนส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม และเลี้ยงสัตว์
บางส่วนนอกฤดูกาล ทานาจะออกไปทางานนอกพ้ืนท่ีทางานรับจ้างทั่วไป
บางส่วนก็ประกอบอาชีพเสริมที่เกิดจากการรวมกลุ่มกัน ในหมู่บ้าน เช่น
กลมุ่ ทอผา้ สตรีกลุ่มเย็บผ้า กลุ่มมัดหม่ี กลุ่มแปรรูปอาหาร กลุ่มส่งเสริม
อาชพี ฯลฯ



ตลำดชุมชน
ตลาดชุมชนของตาบลหลุมข้าว มีเพียง 1 แห่ง ตั้งอยู่บริเวณ
ลานวัดธัญญะนิตยาราม (วัดหลุมข้าว) ช่วงเวลาตอนเช้า เวลาประมาณ
05.30 -09.00 น. ของทุกวัน โดยเฉพาะวันโกนกับวันพระจะมีสินค้ามา
ขายมากกว่าปกติ สว่ นใหญจ่ ะเป็นพ่อค้าแมค่ ้าในชมุ ชน และมีจากข้างนอก
บางส่วน สินค้าที่ขาย เช่น พืชผักสวนครัว อาหารสดหรืออาหาร
สาเร็จรปู ขนมไทย ของเบ็ดเตลด็

ไปรษณยี ์ย่อยประจำตำบล
ไปรษณีย์ย่อยประจาตาบล มีท่ีการไปรษณีย์ต้ังอยู่บริเวณ
หมู่ท่ี 7 ยงั ใชท้ าการอยู่ มีบรุ ุษไปรษณยี ์ 1 คน ท่ที าหน้าท่ีรับ-ส่ง จดหมาย
พัสดุ ธนาณัติ จาหน่ายแสตมป์ เคร่ืองเขียนของการไปรษณีย์ ทาการทุก
วนั ตามเวลาราชการ

สถำบันและองคก์ รศำสนำวัด

สถาบันและองค์กรศาสนาวัด 5 แหง่

1. วัดเนินสม้ กบ ตั้งอยู่หมู่ท่ี 1 บ้านเนนิ สม้ กบ

2. วัดโคกพรม ตง้ั อยู่หมู่ที่ 3 บา้ นโคกพรม

3. วัดธัญญะนิตยาราม ต้งั อยหู่ มู่ที่ 7 บา้ นหลุมข้าว

4. วัดวงั เวนิ (ธรรมยตุ ิกนกิ าย)ตงั้ อยหู่ มทู่ ่ี 9 บ้านวนั เวนิ

5. วัดพรหมทินเหนือ ตง้ั อย่หู มทู่ ่ี 10 บา้ นพรหมทนิ เหนอื

6. วดั พรหมทินใต้ ต้ังอยู่หมู่ท่ี 11 บา้ นพรหมทินใต้

๑๐

สถำนศกึ ษำ
1.ศูนย์พฒั นาเดก็ เลก็ 2 แหง่

- ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กวัดธัญญะนิตยาราม ถ่ายโอนกรมการ
ศาสนา ปัจจบุ ันทีท่ าการองคก์ ารบริหารสว่ นตาบลหลุมข้าว

- ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กบ้านพรมทิน ตั้งอยู่โรงเรียนบ้านพรมทิน
ตง้ั อยูห่ ม่ทู ่ี 11

2. โรงเรียนประถมศกึ ษา 2 แห่ง
- โรงเรียนบ้านหลมุ ข้าว ตง้ั อยู่ หมทู่ ่ี 8 บา้ นหลุมขา้ ว
- โรงเรียนบ้านพรมทิน ต้งั อยู่ หม่ทู ่ี 11 บา้ นพรมทินใต้

3. ศนู ย์การศกึ ษานอกโรงเรียนประจาตาบลหลมุ ขา้ ว 1 แห่ง

กำรคมนำคม
1. ถนนสายหลักเป็นถนนลาดยาง เส้นทางแยกจากทางหลวง
แผ่นดินหมายเลข 1 บริเวณตาบลห้วยโป่ง เข้าตาบลหลุมข้าว ระยะทาง
ประมาณ 5 กิโลเมตร และได้เชื่อมต่อถนนเส้นหลักจากอาเภอโคกสาโรง
อาเภอบ้านหม่ี ถนนลาดยางเส้นทางแยกจากทางหลวงแผ่นดินหมายเลข
1 บริเวณตาบลห้วยโป่ง เข้าบ้านพรหมทิน ระยะทางประมาณ 4.9
กโิ ลเมตร
2. ถนนภายในหมู่บ้านเป็นถนนลูกรัง ถนนดิน ถนนลาดยาง และ
ถนนคอนกรตี เสริมเหล็ก

องคก์ ำรบรหิ ำรส่วนตำบลหลมุ ข้ำว
องค์การบริการส่วนตาบลหลุมข้าว 1 แห่ง สถานที่ตั้ง หมู่ท่ี 8
ตาบลหลมุ ขา้ ว อาเภอโคกสาโรง จงั หวดั ลพบรุ ี

๑๑

หนว่ ยสำธำรณสขุ
โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพชุมชนตาบลหลุมข้าว 1 แห่ง
สถานท่ีตั้ง หมูท่ ี่ 8 ตาบลหลุมขา้ ว อาเภอโคกสาโรง จงั หวัดลพบุรี

แหล่งนำธรรมชำติ
ลานา้ ลาห้วย คลอง 1 สาย (ลาคลองโพนทอง)

แหล่งนำท่สี ร้ำงขึน

ฝาย 13 แหง่

บ่อน้าต้นื 16 แห่ง

บอ่ โยก 4 แห่ง

ประปาหมู่บ้าน(กรมโยธา) 2 แหง่

ประปาหมบู่ า้ น(กรมอนามยั ) 1 แหง่

ฝ. 33 6 แห่ง

สระน้า 6 แหง่

ประปาหมบู่ ้าน (อบต.) 2 แห่ง

๑๒

๑๓

ส่วนที่ 2

ประวตั คิ วำมเป็นมำ
และวิถชี วี ิตตำบลหลุมขำ้ ว

๑๔

1
ประวัติและควำมเป็นมำของท้องถ่ิน

จากคาเล่าของผู้เฒ่าผู้แก่เล่าให้ฟังว่า.....อาเภอโคกสาโรง
เป็นอาเภอหนง่ึ ท่มี คี วามสาคัญย่ิงของจังหวัดลพบุรี มีระยะทางห่างจากตัว
จังหวัดไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือประมาณ 30 กิโลเมตร ตามถนน
พหลโยธินอาเภอโคกสาโรงแห่งน้ีเป็นอาเภอท่ีมีการเกษตรกรรมเป็นหลัก
อาทเิ ชน่ การทาไร่ ทานา และเลีย้ งสัตว์

ในหมู่บ้านและในแต่ละตาบลยังไม่เจริญเท่าท่ีควร คงเป็นถิ่น
ชนบทท่ีมคี วามกันดารอยู่เช่นเดิมจะมีบ้างในแต่ละหมู่บ้านหรือแต่ละตาบล
เท่าน้ันท่ีมีความเจริญบ้างพอสมควร พูดถึงความเป็นอยู่ของชาวบ้าน
โคกสาโรงแล้วไซร้โดยท่ัวๆ ไปชอบความสงบร่มเย็นมากกว่าอย่างอ่ืน
ประชาชนส่วนใหญม่ ีอยดู่ ้วยกันหลายเชอ้ื สายและหลายอาชีพท่ีมีวัฒนธรรม
และประเพณีคลา้ ยคลึงกนั ไทยพวนกเ็ ป็นชนส่วนหนึ่งที่รวมอยู่ในเขตอาเภอ
โคกสาโรงแห่งนี้

๑๕

มีอยู่หลายกลุ่มและหลายหมู่บ้านท่ีแยกย้ายกันไปหลายแห่ง
แ ต่ ล ะ แ ห่ ง นั้ น ส่ ว น ใ ห ญ่ ไ ด้ อ พ ย พ เ ค ลื่ อ น ย้ า ย ม า จ า ก น ค ร เ วี ย ง จั น ท ร์
และหัวเมืองใกล้เคียงเข้ามาตั้งแต่สมัยกรุงธนบุรี เข้ามายังประเทศไทย
จานวนหนึ่งทั้งที่ถูกกวาดต้อนมาและมาด้วยความสมัครใจ ลาวเหล่าน้ี
ประกอบด้วยสามราชอาณาจักรคือกรุงศรีสัตนาคนหุล (ล้านช้างหรือลาน
ช้าง) มีเมืองหลวงอยู่ที่เวียงจันทน์ ราชอาณาจักรหน่ึง กรุงศรีสัตนาคนหุล
(ลานช้างหรือล้านช้าง) มีเมืองหลวงอยู่ท่ีหลวงพระบางอีกราชอาณาจักร
หน่ึงและนครจาปาศักด์ิอีกแห่งหนึ่ง ซึ่งล้วนเป็นประเทศราชข้ึนตรงต่อ
กรุงธนบุรีด้วยกันทั้งหมดโดยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชโปรดให้
สมเดจ็ เจ้าพระยามหากษัตริยศ์ กึ (สมเดจ็ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช)
กับเจ้าพระยาสุรสีห์ยกทับไปตีเวียงจันทน์ ในเดือนอ้าย พ.ศ.2531
กองทัพธนบุรีล้อมอยู่ได้ 4 เดือนก็ตีได้เวียงจันทน์และหัวเมืองต่างๆ
ในแคว้นลาวจนจดแคว้นตงั เก๋ยี

สาหรับกรุงศรี สัตนาคนหุต เวียงจันทน์นั้น มีเจ้าอนุว งศ์
เป็นผู้ปกครองและแสดงคนเป็นผู้ซื่อตรงต่อกรุงธนบุรีมาตลอด ต้ังแต่
รัชกาลท่ี 1-2 มาขึ้นกับกรุงเทพฯต้ังแต่น้ันมา นี่คือเหตุการณ์ที่ชาวลาว
อพยพเคล่ือนย้ายมาสู่ดินแดนถิ่นสยาม (ประเทศไทย) ชาวลาวเหล่าน้ีเอง

๑๖

อาจจะมีโดยสมัครใจ เพราะถือว่าแผ่นดินถิ่นสยามแห่งนี้อุดมสมบูรณ์
ไปทุกสิ่งทุกอย่างจึงได้ย่างเท้าเข้ามาเพื่อหวังจะได้พระบรมโพธิสมภาร
เพ่ือความสุขของครอบครัวในอนาคตกาลจะด้วยเหตุผลประการใดก็ตาม
ชาวลาวและชาวไทยมิใชอ่ นื่ ไกลพ่ีน้องกัน

ภายหลังที่ชาวลาวหลายสายได้เข้ามาสู่ในประเทศไทยหลาย
จุดหลายแห่งมีอิสระตั้งแต่แหล่งถิ่นฐานทามาหากินตามภูมิประเทศ
ที่เอื้ออานวยแล้ว ประชาชนกลุ่มน้อยๆ ก็กลับกลายเป็นกลุ่มใหญ่ขึ้น
จงึ ต้องแยกยา้ ยกนั ออกไปทามาหากินในหลายๆจังหวัดของประเทศไทย

เมื่อคร้ังพระบาทสมเด็จเลิศหล้านภาลัยเสด็จสวรรคต เจ้าอนุวงศ์
ผู้ครองเวียงจันทน์ได้มาเฝ้าถวาย
บังคมพระศพ แล้วเลยกราบ
บังคมทูลต่อพระบาทสมเด็จพระ
นั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 3
(พ.ศ.2367 ถึง พ.ศ. 2394)
ขอพระราชทานละครผู้หญิงในวัง
ไป เ ล่น ท่ี เ วี ย ง จั นท น์ ซึ่ ง ไ ม่
พ ร ะ ร า ช ท า น ใ ห้ เ จ้ า อ นุ ว ง ศ์ ไ ม่
พอใจ แต่ก็ยังกราบบังคมทูลขอ
พ ร ะ ร า ช ท า น ช า ว เ วี ย ง จั น ท น์
ซ่ึงถูกกวาดต้อนมาต้ังแต่สมัย
กรุงธนบุรี กลับไปสู่บ้านเกิดเมือง
เดิม พระบาทสมเด็จพระน่ังเกล้า
เจา้ อยู่หวั ทรงมพี ระราชดารัสตอบ
วา่ ไม่เป็นสมควรพระราชทานให้เพราะคนเก่าคนแก่ที่ถูกกวาดต้อนมานั้น
กต็ ามไปส้ินแล้ว ผู้ยงั มชี วี ิตอย่เู ปน็ ชัน้ ลูกหลานทีเ่ กิดและเติบโตในเมืองไทย
มฐี านะเป็นคนไทยส้ินแล้ว

๑๗

ชาวไทยพวนหรือไทยพวนท่ีอพยพเคล่ือนย้ายมาจากประเทศลาว
ตามหลกั แหล่งเดิมคือเชียงขวาง เชียงงา กอแมน หนองบัวชุม แรกเริ่มเดิม
ทไี่ ดอ้ พยพมาต้งั แต่บ้านเรอื นอย่ทู ห่ี ลงั เขาสามยอดอยู่ห่างทิศตะวันออกของ
เขา ห่างจากเขาประมาณ 50 เส้น ท่ีพวกเขาเหล่าน้ันพากันเลือกชัยภูมิ
แบบน้เี หน็ ทีพวกเขาเหล่านั้นเคยอยู่ดอยมาก่อน แต่สภาพภูมิประเทศขาด
แคลนน้าและเป็นสถานที่กันดารมาก ถึงหน้าแล้งน้าไม่พอใช้ ต่อมาจึงได้
ย้ายออกจากสถานท่นี ั้นมาสร้างบา้ นเรอื นอยู่ท่ีโนนสักหรือโพนสัน (ปัจจุบัน
เรยี กวา่ บ้านปา่ สกั ) อย่ทู ต่ี าบลกกโก อาเภอเมอื ง จงั หวัดลพบรุ ี

ชาวลาวดังกล่าว แยกย้ายกันไปอยู่ท่ีหลายแห่ง เช่น ย้ายไปอยู่
ท่ีบา้ นแป้ง เรยี กวา่ ลาวบ้านแปง้ (อ.พรหมบรุ )ี ย้ายไปอยู่ท่ีบ้านหมี่เรียกว่า
ไทยพวนบ้านหม่ี ย้ายไปอยู่ตาบลหาดแตงโม จังหวัดพิจิตร ก็ล้วนแต่เป็น
ชาวไทยพวนท้ังตาบลประธานชมรมไทยพวนแห่งประเทศไทย คือ
พลเอกสายหยุด เกิดผล อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุดขณะน้ีก็ยังเป็น
ประธานอยู่ท่านเป็นบุคคลท่ีน่าเคารพชาวไทยพวนท้ังมวลให้ความเลื่อมใส
ศรทั ธายิง่ นัก

จากเหตุการณ์ดังกล่าวท่ีเล่ามาให้ฟังน้ี ก็ถึงคิวของชาวไทยพวน
บ้านหลุมข้าว ท่ีมีหัวหน้าทีมหรือหัวหน้าหมู่บ้านเป็นผู้นาพาอพยพผู้คน

๑๘

จานวนหนึ่งหลังได้แยกย้ายกับชาวลาวด้วยกันเพ่ือมาตั้งถิ่นฐานประกอบ
อาชีพยังถ่ินอ่ืนอีกต่อไปในครั้งนั้นมีหัวหน้ากลุ่มคนหน่ึง ได้นาพวกพี่น้อง
เพ่ือนพ้องมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออก ของอาเภอบ้านหม่ีเพื่อจะได้ไป
ยงั จดุ หมายปลายทางท่อี ุดมสมบูรณ์ดว้ ยประการทัง้ ปวง

ขณะท่ีหัวหน้าหรือผู้นาอพยพเคลื่อนย้ายถึงจุดหมายปลายทาง
คือบ้านหลุมข้าว เห็นว่ามีชัยภูมิอันเหมาะสมจะเป็นด้วยเหตุบังเอิญหรือไม่
ผนู้ ากลุ่มได้เหลือบแลไปพบต้นขา้ วทข่ี ึ้นชอุ่มหนองน้าใหญ่ จึงเกิดความปิติ
ดีใจเรียกหนองนั้นว่าหนองใหญ่หรือสระหลวงและเรียกหมู่บ้านน้ันว่า
“บา้ นขมุ ขา้ ว”

ในกาลต่อมา ก็เรียกเป็นภาษาไทยพวนว่า บ้านหลุมข้าว
คาวา่ “ขุมข้าว” เป็นทีม่ าแห่งช่อื ๆ เดยี วกนั น่ันเอง แต่ออกสาเนียงในการ
พูดผิดเพ้ียนกันออกไปบ้าง หนองน้ีมีความใหญ่โตประมาณ 8 ไร่เศษ
มีน้าอุดมสมบูรณ์ไม่แห้งตลอดปีนับเป็นมิตรหมายอันดีของผู้ที่อพยพ
เคลื่อนย้ายครั้งน้ันเป็นอย่างย่ิง บ้านหลุมข้าวหรือขุมข้าวมีผู้เรียกขานกัน
มาไม่ต่ากว่า 150 ปี มาแล้วมีประวัติความเปน็ มาน่าสนใจ

ก่อนที่ยังไม่ได้สร้างวัดมีคลองน้าไหลผ่านอยู่ก่อน ชาวบ้านมา
ช่วยกันก้ันบ่อในภายหลังพี่ชายของพ่อลุงสาริด เป็นผู้นาสร้างวัดหลุมข้าว

๑๙

ข้นึ เป็นคนแรก คือหลวงพ่อยา (พระครูยา) ท่านเป็นชาวไทยพวนแถวบาง
น้าเชยี ว อาเภอพรหมบรุ ี จังหวดั สิงห์บุรี แตท่ ่านมิไดเ้ ป็นเจ้าอาวาสวดั น้ี

เจ้าอาวาสวัดหลุมขา้ ว (ธัญญะนติ ยาราม) มีท้งั หมด 7 รูป คอื

๑. หลวงพ่อยา (รปู แรก)

๒. หลวงพอ่ จนั ทรา (รปู ที่ 2)

๓. หลวงพอ่ บวั ภา (รูปที่ 3)

๔. พระครูนยิ ุตพรหมจรรย์ (รูปท่ี 4)

๕. พระครสู ุกติ ยาภิวฒั น์ (รปู ท่ี 5)

๖. พระครูศีลสาร (รปู ที่ 6)

๗. พระมหาพยนต์ สทธฺ าธโิ ก (รูปปัจจบุ ัน)

ณ โอกาสนี้ผู้เขียนขอแนะนาให้ท่านได้รู้จักกับพระคณาจารย์รูป

หน่ึงซึ่งมีเช้ือสายมาจากไทยพวน 100 % เช้ือสายอันแท้จริงมาจากลาว

บ้านแป้ง อาเภอพรหมบุรี หมู่บ้านโภคา (โภคาภิวัฒน์) และได้อพยพ

เคลื่อนย้ายตามบิดามารดาอยู่ยังหมู่บ้านหลุมข้าวแห่งน้ี คร้ังแรกเป็น

หมู่บ้านเล็กๆ แต่ต่อมาประชากรเพ่ิมข้ึน จนกระทั้งปัจจุบันน้ีมีถึง

5 หมู่บา้ น คือ หมู่ที่ 4-หมู่ที่ 8 มีบ้านเรือนมากกว่า 700 หลังคาเรือน ใน

บรเิ วณเดียวกันมหี มู่บ้าน เนนิ ส้มกบ,โคกพรม,วังเวิน,พรหมทินเหนือ,พรหม

๒๐

ทินใต้ ประเพณีนิยมโดยทั่วๆ ไป มีพิธีทางศาสนาและประเพณีกาฟ้า
ตลอดจนงานบญุ และงานเทศกาลตา่ งๆ เชน่ งานสงกานต์

ของชาวไทยพวน
บา้ นหลุมข้าว ต้นทางบรรพ
บุ รุ ษ ไ ด้ อ พ ย พ ม า จ า ก
ประเทศลาว เมืองเชียง
ขวาง การอพยพของเผ่า
ไทยพวนมาจากฝ่ังลาวสู่
ไทย ตามท่ีถูกบันทึกไว้รวม
๕ ครง้ั ดว้ ยกนั

การอพยพคร้ังท่ี ๑ เม่ือ พ.ศ. ๒๓๒๑ สมัยแผ่นดินพระเจ้าตากสิน
มหาราช เป็นการอพยพคร้ังแรกโปรดให้ต้ังถิ่นฐาน อยู่ตามหัวเมือง
คือ เมืองสระบรุ ี เมืองสุพรรณบรุ ี เมืองเพชรบรุ ี และเมอื งจันทบรุ ี

การอพยพครั้งท่ี ๒ เม่ือ พ.ศ.๒๓๓๘ สมยั พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก
มหาราช รัชการที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ โปรดให้ต้ังถิ่นฐานอยู่ท่ี
จังหวัดสระบรุ ี จังหวัดพระนครศรีอยธุ ยา

การอพยพครั้งที่ ๓ สมัยพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชการท่ี ๒
โปรดให้ตงั้ ถนิ่ ฐาน ท่ีพนสั นิคม

การอพยพคร้ังท่ี ๔ พ.ศ. ๒๓๗๒ สมัยพระน่ังเกล้า รัชกาลท่ี ๓
โปรดเกล้าให้ต้ังถิ่นฐานที่ จังหวัดสุพรรณบุรี และจังหวัดอ่างทอง
และมีจานวนมากที่สุดโปรดให้ตั้งถ่ินฐานท่ี อาเภอเมือง อาเภอบ้านหม่ี
อาเภอโคกสาโรง จังหวัดลพบรุ ี จังหวดั สระบุรี จังหวัดสุพรรณบรุ ี

การอพยพคร้ังท่ี ๕ พ.ศ. ๒๓๗๘ สมัยรัชกาลท่ี ๓ ครั้งท่ีเป็นการ
เก็บครัวเรือนท่ี ได้ต้ังถ่ินฐานอยู่ที่ หล่มเก่า เมืองหล่มสัก อาเภอวิเชียร
จังหวัดเพชรบรู ณ์

๒๑

การอพยพนอกจากสมัครใจเข้ามาเองแล้ว ยังมีตามเกณฑ์แม่ทัพ
ใหญ่ พระสงฆเ์ ปน็ ผ้นู าทาง อนึ่ง ขนบธรรมเนียมประเพณีของชาวไทยพวน
เน่ืองมาจากการอพยพมาปะปนกับไทยภาคกลาง ท่านจึงมีการ
เปลย่ี นแปลง ไปตามสภาพเศรษฐกจิ สงั คมและวฒั นธรรม

ประวตั ิหมบู่ ำ้ นของตำบลหลุมข้ำว
ประวัตขิ องบำ้ นเนินสม้ กบ หม่ทู ี่ 1-2

มีประวัติความเป็นมาท่ีเล่าต่อกันมาว่า มีนายสี และนายย่อม
ได้อพยพครอบครัวมาจากบ้านพุคา อาเภอบ้านหม่ี มาตั้งรกรากท่ีหมู่บ้าน
น้ี เพราะเห็นว่ามีความอุดมสมบูรณ์เป็นท่ีเนิน แต่มีลาห้วยไหลผ่านเม่ือ
มีฝนตกลงมา จึงชักชวนญาติพี่น้องและคนรู้จักมาอยู่ด้วยกัน จนมี
ครวั เรอื นเพ่ิมมากขึ้นเรื่อยๆ จงึ ตั้งช่ือวา่ “บา้ นเนินส้มกบ” และเรียกกันมา
จนถึงปัจจุบัน แต่ก่อนบ้านเนินส้มกบนั้นเป็นหมู่บ้านขนาดใหญ่กว่า
ปัจจบุ นั

๒๒

ประวตั ขิ องบ้ำนโคกพรม หมู่ท่ี 3
เม่ือประมาณ 200 ปีท่ีผ่านมา สภาพพื้นท่ีบ้านโคกพรมเป็นป่า

ดงดิบ มีน้าท่วมอยู่รอบๆบริเวณบ้าน ต่อมามีนายพรม ได้เดินทางเข้ามา
บุกเบิกป่าเพอ่ื จบั จองเปน็ ทอ่ี ยอู่ าศัยและที่ทามาหากิน เมื่อเห็นว่าที่ตรงน้ีมี
ความอุดมสมบูรณ์ นายพรมก็ได้ชักชวนญาติพี่น้องของตนเองมาอยู่
ด้วยกนั หลายครอบครัว จงึ ทาใหม้ ปี ระชากรเพ่มิ มากขึ้น ต่อมาชาวบ้านจึง
ตงั้ ชอื่ หม่บู า้ นว่า “บ้านโคกพรม” เพอื่ เปน็ เกียรติแก่นายพรมผู้ที่มาอาศัยอยู่
เป็นคนแรก

ประวตั ขิ องบำ้ นหลุมข้ำว หมทู่ ่ี 4- 8
“บ้านหลุมข้าว” เล่ากันว่า สมัยก่อนในฤดูฝน น้าจะท่วมมาก

ทาให้น้าท่วมข้าว มีข้าวไม่พอกิน เม่ือการทามาหากินลาบาก จึงคิดหาที่ทา
กนิ ใหม่ ชาวบา้ นจึงนาเกวียนมงุ่ หนา้ มาทางบ้านดอน พอถึงหนองเกวียนหัก
แล้วหยุดกินข้าว พอกินอ่ิมออกหาแหล่งน้ากินท่ีอยู่ใกล้ๆ แต่เกิดอาเพศมี
แร้งมารุมกินห่อข้าวท่ีเหลือ ชาวบ้านเชื่อกันว่าแร้งกาไม่เป็นมงคล
จึงเดินทางกลับบ้านไป แล้วออกหาท่ีทากินใหม่ จนมาถึงบ้านหลุมข้าว
เห็นห้วยใหญ่ปลาชุม พอย้ายมาอยู่จึงขุดสระเพิ่มเติม ขุดไปเรื่อยๆ ในสระ
พบแกลบเปลือกหรือข้าวเปลือก จึงเรียกว่าบ้าน "หลุมข้าว" ตานานนี้ได้รับ
การบอกเล่าจากคนเฒา่ คนแก่ ชาวหลุมขา้ วจาและเล่าตอ่ กันมา

ประวัตขิ องบ้ำนวงั เวนิ หมู่ท่ี 9
บา้ นวงั เวิน ในอดตี บา้ นวังเวิน นัน้ มชี ื่อเรยี กวา่ บ้านวังลิง เพราะมี

ลิงอาศัยอยู่เป็นจานวนมาก และบริเวณหมู่บ้านนั้นมีความอุดมสมบูรณ์
ด้วยลาคลองมีน้าไหลผ่าน คือคลองโพนทอง ชาวบ้านโคกกระเทียม
ช่ือพ่อเฒ่าอา หอมขจร ได้ย้ายมาจากบ้านมะขามเฒ่า เข้ามาปลูกสร้าง
บา้ นเรือนอยู่เปน็ ครอบครัวแรก เมื่อประมาณ 100 ปีท่ีผ่านมา ต่อมามี
คนยา้ ยมาอยูเ่ พ่มิ

๒๓

ประวตั ิของบำ้ นพรหมทินเหนอื หมู่ท่ี10 และบ้ำนพรหมทินใต้ หมู่ท่ี11
บา้ นพรหมทนิ เปน็ หมบู่ ้านท่กี อ่ ต้ังข้ึนมาประมาณ 150 ปีมาแล้ว

ประชาชนส่วนใหญ่สืบเช้ือสายมาจากไทยพวนท่ีอพยพมาจากภาคอีสาน
และแหล่งอ่ืนๆ เพื่อมาหาท่ีทากินใหม่ ภาษาพ้ืนบ้านท่ีใช้กันคือภาษาลาว
อสี าน และภาษาไทยพวน อาชีพหลักคือการทานาปลูกข้าว ว่างจากการ
ทานาก็รับจ้างทาเหมืองแร่เหล็กที่เขาทับควาย ซ่ึงปัจจุบันเหมืองแห่งนี้ได้
ปดิ กจิ การไปแล้ว

สาหรับที่มาของชื่อบ้านพรหมทินใต้นั้น มาจากตาพรมกับยายทิน
ซึ่งเล่ากันว่าเป็นผู้เข้ามาบุกเบิกสร้างบ้านเรือนเป็นหลังแรก จึงตั้งช่ือ
หมูบ่ ้านว่าพรหมทนิ ตอ่ มามีคนเข้ามาอาศัยอยู่เป็นจานวนมากขึ้น จึงแบ่ง
ออกเป็น 2 หมู่ คือ บ้านพรหมทินเหนือและบ้านพรหมทินใต้ โดยบ้าน
พรหมทินเหนือซึ่งตั้งอยู่ทางทิศเหนือของหมู่บ้าน และบ้านพรหมทินใต้ซ่ึง
ต้งั อยูท่ างทิศใตข้ องหมู่บา้ น

๒๔

2
ขนมธรรมเนยี มและประเพณี

ชาวไทยพวนนอกจากจะนับถือและยึดมั่นในศาสนาพุทธแล้ว
ชาวพวนยังมีขนบธรรมเนียมและประเพณีเป็นเอกลักษณ์ของตนมา
แต่โบราณ ชาวพวกนั้นเคร่งครัดต่อขนบธรรมเนียมและประเพณีของตน
มากซ่ึงได้ถือปฏิบัติมาตามแบบอย่าง บรรพบุรุษในรอบปีหนึ่งประเพณีของ
ชาวพวนยังยดึ ถือและปฏิบัติกันมดี ังนค้ี ือ

เดือนอา้ ยบุญขา้ วจ่ี เดอื นย่ีบุญข้าวหลาม
เดือนสามบุญกาฟ้า เดอื นห้าบญุ สงกรานต์
เดอื นหกบญุ หมบู่ ้าน เดือนแปดบุญเขา้ พรรษา
เดอื นเกา้ บุญห่อข้าว เดอื นสบิ เอ็ดบุญตักบาตรเทโว
เดอื นสิบสองใสก่ ระจาดเทศนม์ หาชาติ สนุกแลฯ
นอกจากนี้ยังมีประเพณีท่ียึดถือปฏิบัติอีกหลายอย่าง เช่น
การสู่ขวัญข้าว ประเพณีกวนข้าวทิพย์ ประเพณีเส่อกระจาด สารทพวน
ประเพณีห่อข้าวยามดิน ฯลฯ ในปัจจุบันประเพณีต่าง ๆ ของชาวพวน
ส่วนมากยังคงยึดถือปฏิบัติกันอยู่ บางประเพณีก็ได้เลิกไปแล้ว
บางประเพณีก็ได้ทาแบบไม่ต่อเน่ืองกันกระทาเป็นบางคร้ังบางคราวบาง
ประเพณกี ็มีปฏิบัติกัน ส่วนตาบลหลุมข้าวขนมธรรมเนียมท่ียังถือปฏิบัติอยู่
มดี ังน้ี

๒๕

ประเพณีกำฟ้ำ
เป็นประเพณีสาคัญตั้งแต่สมัยโบราณ ซ่ึงเกี่ยวกับวิถีชีวิตของชาว

ไทยพวน ท่ีอาศัยกระจายไปอยู่ในหลายภูมิภาคแม้การรวมตัวในแต่ละถิ่น
เช่น สระบุรี ลพบุรี สิงห์บุรี สุพรรณบุรี ฉะเชิงเทรา นครนายก
ปราจีนบุรี อุดรธานี หนองคาย แพร่ สุโขทัย อุตรดิตถ์ และพิจิตร เป็นต้น
ไม่มากนัก แต่ทุกแห่งต่างก็สามารถรักษาวิถีชีวิต และขนบธรรมเนียม
ดั้งเดิมไว้ได้อย่างดี เป็นประเพณีที่สาคัญของชาวไทยพวน คาว่า”กา”
ใ น ภ า ษ า พ ว น ห ม า ย ถึ ง
การนับถือสักการะ คาว่า
“ฟ้า” หมายถึง เจ้าฟ้า
เจ้าแผ่นดิน ผู้อยู่สูงเทียม
ฟ้า หรือเทวดาและส่ิง
ศักดิ์สิทธ์ิท่ีมองไม่เห็น คา
ว่า “กาฟ้า” จึงหมายถึง
การนับถือการบูชาฟ้า มี
ตานานเล่าต่อ ๆ กันมาว่าสาเหตุที่เกิดวันกาฟ้า เนื่องจากสมัยหน่ึงเมือง
พวนขึ้นอยู่กับนครเวียงจันทน์ และมีเจ้าชมพูเป็นกษัตริย์เมืองพวน นาทัพ
ร่วมกับนครเวียงจันทน์ไปตีเมืองหลวงพระบาง แต่เจ้าชมพูได้ประกาศเอก
ราชไม่เป็นเมืองข้ึนของเวียงจันทน์ ทาให้เจ้านนท์แห่งนครเวียงจันทน์โกรธ

มาก ยกทัพมาปราบเมืองพวน
และจับเจ้าชมพูได้ จึงส่ังให้
ประหารชีวิต ขณะที่ทาพิธี
ประหาร ฟ้าผ่าถูกด้ามหอกท่ี
จ ะ ใ ช้ ป ร ะ ห า ร ท ห า ร
เวียงจันทน์ไปกราบ ทูล เจ้า
นนท์ให้ทราบเหตุอัศจรรย์นั้น

๒๖

เจ้านนท์จึงรับส่ังให้นาเจ้าชมพูกลับไปครองเมืองพวนตามเดิม ต้ังแต่
เหตกุ ารณ์ครง้ั นั้น จึงทาให้เกิดประเพณีกาฟ้าสืบมาจนถึงปัจจุบัน ประกอบ

กับชาวไทยพวนมีอาชีพทานา
อยู่แล้ว จึงมีวิถีชีวิตผูกพันกับ
ฟ้า ไม่กล้าทาให้ฟ้าพิโรธ
เพราะกลัวฟ้าฝนฟ้าจะไม่ตก
ต้องตามฤดูกาล การจัดงาน
บุญกาฟ้านี้ ก็เพ่ือให้ผีฟ้า
เทวดามีความพึงพอใจ อีกทั้ง
ยั ง เ ป็ น ก า ร แ ส ด ง ค ว า ม
ขอบคุณผีฟ้าทปี่ ระทานฝนให้ตกตอ้ งตามฤดูกาลอีกด้วย
ประเพณีกาฟ้าของชาวไทยพวนในจังหวัดลพบุรีน้ัน ตามประเพณี
จะจัดตัง้ แต่วนั ขึ้น 2 ค่า เดือน 3 ซึ่งเป็นวันเตรียมงานหรือวันสุกดิบ คนใน
หมู่บ้านหรือสมาชิกในครัวเรือนจะช่วยกันทาข้าวปุ้น (ขนมจีน) ข้าวหลาม
ข้าวจี่ (ข้าวเหนียวป้ันยัด
ไส้หวาน ไส้เค็ม ชุบไข่
และปิ้งไฟจนแห้งเกรียม)
เพื่อนาส่งิ ของดังกล่าวไป
เซ่นไหว้ผีฟ้า นอกจากน้ี
ยั ง มี ก า ร ส ร้ า ง ป ะ ร า
สาหรับทาพิธีที่วัด ตอน
เยน็ จะนิมนต์พระสงฆ์มา
เจริญพระพทุ ธมนต์ ผอู้ าวุโสของหมู่บ้านจะประกอบพิธีเบิกบายศรี อัญเชิญ
เทพยดาผีฟ้ามารับเครื่องสังเวยและมีการราขอพร กล่าวคาขอให้ผีฟ้า
ผบี า้ น ผีเรอื น มาปกปักรกั ษาคนในครอบครัวให้อยู่ดีกินดี มีข้าวปลาอาหาร

๒๗

บริบูรณ์ ส่ิงสาคัญท่ีสุดของงานบุญนี้คือทุกคนต้องหยุดทางานท้ังหลาย
ทงั้ ปวง เพราะมีความเชอ่ื วา่ หากผใู้ ดฝ่าฝืนไม่ปฏบิ ัตติ ามจะถูกฟา้ ผ่าตายได้

สาหรับในวันขึ้น 3 ค่า เดือน 3 จะเป็นวันกาฟ้า ซึ่งเป็นวันสาคัญ
ท่ีสดุ ชาวบ้านจะต่ืนแต่เช้าตรู่เพ่ือเตรียมอาหารคาวหวานไปถวายพระและ
ร่วมกันใส่บาตรข้าวหลามข้าวจ่ี ตอนบ่ายจนถึงกลางคืนจะมีการละเล่น
พื้นบ้าน เช่น เตะหม่าเบ้ีย ต่อไก่ ไม้อื่อคร่อมเส้า ช่วงชัย มอญซ่อนผ้า
และในช่วงเวลากาฟ้านั้น คนเฒ่าคนแก่ในครอบครัวจะคอยฟังเสียงฟ้าร้อง
ซง่ึ เป็นการพยากรณ์เกี่ยวกับความเป็นอยู่และการประกอบอาชีพของคนใน
หมู่บ้าน โดยมีคาทานายดังน้ี เสียงฟ้าร้อง หมายถึง ฟ้าเปิดประตูน้า

๒๘

ฟ้าร้องทางทิศเหนือหรือทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ทานายว่าฝนจะตกดี
ทานาจะได้ข้าวดี ฟ้าร้องทางทิศใต้ ทานายว่า ฝนจะแล้งข้าวกล้าในนา
จะเสียหาย ชาวบ้านจะอดเกลือ ฟ้าร้องทางทิศตะวันตก ทานายว่าฝน
จะน้อย เกิดความแห้งแล้ง ทานาไม่ค่อยได้ผล นาในที่ลุ่มดี นาในที่ดอน
จะเสียหาย ข้าวยากหมากแพง ชาวบ้านจะเดือดร้อน เกิดเร่ืองทะเลาะ
วิวาท รบล่าฆ่าฟันกัน ฟ้าร้องทางทิศตะวันออก ทานายว่าชาวบ้านจะอยู่
ด้วยความร่มเย็นเป็นสุข ไม่มีการรบราฆ่าฟันกัน ไม่มีโจรผู้ร้าย หลังจากกา
ฟ้า 1 สัปดาห์ จะไปทาบุญท่ีวัดอีกคร้ังหนึ่งโดยนาดุ้นฟืนท่ีติดไฟ 1 ดุ้น
ไปท้ิงตามแม่น้าลาคลองให้ไหลไปตามสายน้า เพื่อเป็นการบูชาราลึกถึง
เทพยดาสง่ิ ศกั ด์สิ ทิ ธติ์ ่าง ๆ และเป็นการบอกกลา่ วแก่เทวดาผีฟา้ ว่าหมดเขต
กาฟ้าแล้ว

ปัจจุบันงานกาฟ้าเปลี่ยนแปลงไปมากเพราะบ้านเมืองเจริญข้ึน
การทาบุญต่าง ๆ ได้รวบรัดตัดรายละเอียดของพิธีลงไปบ้างปัจจุบันทาง
ชาวบ้าน ได้จัดให้ชาวบ้านมาร่วมกันจัดงานทาบุญกาฟ้าท่ี โดยให้แต่ละ
บ้านทาข้าวจี่มาถวายพระหลังจากตักบาตรเช้าท่ีวัดใกล้บ้านแล้ว ในช่วง
บา่ ยกแ็ ขง่ ขนั กฬี าพ้ืนบ้าน ตอนเยน็ จัดใหม้ ีงานสังสรรค์นอกจากนี้บางปีก็ยัง
มกี ารเสง็ กลอง หรอื การแข่งขันตกี ลอง ซง่ึ เปน็ การละเล่นทห่ี าดไู ด้ยาก

๒๙

ประเพณกี วนขำ้ วทพิ ย์
ประเพณีกวนข้าวทิพย์ เป็นประเพณีท่ีสืบเนื่องมาตั้งแต่สมัย

พุทธกาล ก่อนท่ีพระพุทธเจ้าจะตรัสรู้ โดยนางสุชาดาธิดาของเศรษฐี
หมู่บ้านเสนานิคม ได้นาอาหารซึ่งเป็นข้าวมธุปายาส ไปบวงสรวงเทพยดา
ท่ีใต้ต้นนิโครธ ในวันเพ็ญข้ึน 14 ค่า เดือน 6 นางได้พบพระพุทธองค์
ประทับอยู่ใต้ต้นนิโครธ ก็เข้าใจว่าเป็นเทพยดา เมื่อพระพุทธองค์เสวยแล้ว
ได้ทรงนาถาดทองท่ีใส่ข้าวมธุปายาสนั้นไปลอยน้า และทรงอธิษฐานว่า
หากพระองค์จะได้ตรัสรู้ขอให้ถาดทองน้ันลอยข้ึนเหนือน้า เมื่อพระพุทธ
องค์ทรงวางถาดลงในน้า ปรากฏว่าถาดทองน้ันลอยข้ึนเหนือน้าดังคา
อธิษฐาน พระพุทธองค์ทรงถือว่าภัตตาหารมื้อนั้นได้มีส่วนทาให้พระพุทธ
องคไ์ ด้สาเร็จและ ตรสั รูอ้ รยิ สจั สไ่ี ด้

ประเพณีกวนข้าวทิพย์ หรือข้าวมธุปายาส ชาวบ้านหลุมข้าวยังมี
การสืบสานประเพณี โดยกระทากันเป็นประจาทุกปี ในวันข้ึน 14 ค่า
เดอื น 6 และจะนาไปถวายพระในวันขึน้ 15 ค่า เดอื น 6

พิธีกวนข้าวทิพย์ จะเริ่มต้นด้วยพิธีพราหมณ์ แล้วจึงตั้งบายศรี
บวงสรวงเทพยดา เครอื่ งประกอบในการตั้งบายศรี มีไตรจีวร 1 ชุด ถาดใส่
อาหารมีข้าว ขนมต้มแดง ขนมต้มขาว และผลไม้ จากนั้นพราหมณ์จะสวด

๓๐

ชุมนมุ เทวดา แลว้ จึงเริ่มพิธีกวนข้าวทิพย์ โดยการนาเอาข้าวที่ยังเป็นน้านม
หมายถึง ข้าวที่เพ่ิงออกรวงใหม่ท่ีเมล็ดยังเป็นแป้งอยู่ นามาเอาเปลือกออก
นอกจากนั้นยังมีนม เนย ถ่ัว น้าอ้อย น้าตาล น้าผ้ึง ตลอดจนผลไม้ต่าง ๆ
ใส่รวมกันไปแล้วกวนให้สุกจนเหนียว พิธีการกวนข้าวทิพย์ จะต้องใช้สาว
พรหมจารีย์นุ่งขาวห่มขาวอย่างน้อย 4 คน เป็นผู้กวน พอถึงวันข้ึน 15 ค่า
เดือน 6 พวกทายก ทายิกา จะช่วยกันปั้นข้าวทิพย์เป็นก้อน ๆ ถวายแด่
พระภิกษุภายในวัด และจัดแบ่งไปถวายพระภิกษุตามวัดต่าง ๆ ท่ีอยู่
ใกล้เคียง นอกนั้นที่เหลือจะแจกจ่ายให้แก่ประชาชนที่ไปร่วมทาบุญใน
วันนั้นเพอื่ เปน็ การให้ทาน

๓๑

ประเพณีเส่อกระจำด
ประเพณีใส่กระจาด ตามภาษาพวนเรียกว่า เส่อกระจาด

เป็นประเพณีของชาวไทยพวน มีการกระทากันในตาบลหลุมข้าว และมัก
จัดขึ้นในงานเทศน์มหาชาติ กาหนดในฤดูกาลออกพรรษา คือวันข้างแรม
เดือน 11 เม่ือหมู่ใดกาหนดให้มีการเทศน์มหาชาติแล้ว ทางวัดจะส่ง
หนังสือกัณฑ์เทศไปตามวัดต่างๆ เพื่อให้ส่งพระเข้ามาร่วมเทศน์ก่อน
วันเทศน์ 1 วัน ซึ่ง
เ รี ย ก ว่ า วั น ต้ั ง คื อ
วันเส่อ (ใส่) กระจาด
นั่นเอง ก่อนจะถึงวันใส่
กระจาดหนึ่งวัน เรียกว่า
“วันต้อนสาว” คาว่า
“ต้อนสาว” เป็นภาษา
ท้องถ่ิน คือ บ้านไหนจะ
ชวนลูกสาวของเพ่ือนบ้านท่ีคุ้นเคยมาช่วยทาขนม ห่อข้าวต้ม ตาข้าวปุ้น
(ขนมจีน) และช่วยกันต้อนรับแขกที่จะมาใส่กระจาด เพ่ือเป็นการเปิด
โอกาสให้หนุ่มสาวที่ชอบพอกันได้พบปะพูดคุยและช่วยเตรียมอาหาร
สาหรับเล้ียงแขกตลอดคืน พอรุ่งข้ึนเป็นวันใส่กระจาด ชาวบ้านอื่นๆจะนา
ของ เช่น กล้วย ออ้ ย สม้ ธูปเทยี น หรอื ของอืน่ ๆมาใสก่ ระจาดตามบ้านของ
คนทีต่ นร้จู กั จากน้ันเจ้าของบ้านจะนาอาหารท่ีเตรียมไว้มาเลี้ยงรับรองแขก
เมื่อแขกกนิ เสรจ็ แลว้ จะบอกลากลบั เจ้าของบ้านจะเอาข้าวต้มมัดฝากไปให้
คนที่บ้าน 1 มัด เป็นของฝาก ซึ่งเรียกว่า คืนกระจาด วันให้ของเส่อ
กระจาดและของคืนกระจาด ตลอดจนการจัดหาอาหารคาวหวานให้
รับประทาน นับเป็นความสุขท้ังผู้บริการและผู้รับบริการ แขกท่ีไปใส่
กระจาดจะต้องกินอาหารของเจ้าของบ้านทุกบ้านอย่างละเล็กละน้อยเพ่ือ
ไมใ่ ห้เกดิ การน้อยใจและปีต่อไปจะได้ไปตอบแทนกัน วันรุ่งขึ้นเป็นวันเทศน์

๓๒

มหาชาติ เจ้าของบ้านจะรวบรวมสิ่งของท่ีเพื่อนบ้านนามาใส่กระจาด ทา
เป็นกณั ฑ์เทศนไ์ ปถวายพระที่วัด โดยถือว่าการทาบุญเทศน์มหาชาตินี้ เป็น
การทาบุญคร้ังยิ่งใหญป่ ระจาปีท่ีได้มาร่วมการกุศลกัน

ประเพณบี ุญข้ำวจ่ี
ข้าวจ่ี ที่เป็นอาหารพ้ืนถิ่น ท่ีเมื่อก่อนจะต้องทาเฉพาะในงานกาฟ้า

ซ่งึ เป็นงานบุญประเพณีประจาปขี องชาวบา้ นไทยพวน เท่าน้ัน จึงหาทานได้
ยาก และมีลักษณะ
แข็ง แบบดั่งเดิมไส้มี
เพียงไส้ถ่ัวเพียงอย่าง
เดียวห่อใบตอง จึงไม่
ค่อยเป็นที่นิยมของคน
ในยุคปัจจุบัน เพื่อทา
ใ ห้ ผู้ บ ริ โ ภ ค ท่ี มี
ห ล า ก ห ล า ย ก ลุ่ ม ที่
อยากลองชิมอาหาร
พ้นื บ้านและเกดิ ความพงึ พอใจ จึงมแี นวคดิ จัดการนวัตกรรมในการทาข้าวจี่
รูปแบบใหม่ ท่ียังคงเอกลักษณ์ด่ังเดิมไว้ ข้าวจี่ เป็นอาหารพื้นบ้าน ทาจาก
ข้าวเหนียวน่ึงทาเกลือ ป้ันเป็นรูปกลมหรือเสียบไม้นาไปย่างบนเตาถ่านไฟ
ออ่ นพอเกรยี มนามาชุบไข่ แล้วนาไปย่างใหม่จนเหลือง ดึงไม้ท่ีเสียบไว้ออก
ยัดน้าตาลอ้อยเข้าไปแทน น้าตาลจะละลายเป็นไส้ และนิยมทากันมาก
ในชว่ งเดอื นสามของทกุ ปี ซ่งึ จะมีการทาข้าวจ่ไี ปทาบุญในงานประเพณบี ญุ

ประวัติความเป็นมา "ข้าวจี่” เป็นอาหารชนิดหน่ึงตามประเพณีท่ี
ชาวไทยพวน จะจัดทาขึ้นเพื่อทาบุญถวายพระสงฆ์ในวันกาฟ้า ซึ่งตรงกับ
วันขึ้น 3 ค่าเดือน 3 ของทุกปี ตามความเชื่อและยึดถือปฏิบัติกันมาตาม
ประเพณี สืบต่อกันมาจนถึงปัจจุบันถือเป็นเอกลักษณ์อันโดดเด่นของ

๓๓

ชาวไทยพวน ในประเทศไทย ซ่ึงในปัจจบุ นั น้ีการทอ่ งเทย่ี วชมุ ชนเชิงอนุรักษ์
ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ จนเกิดการขยายตัวจากเมืองใหญ่สู่หมู่บ้าน
ชุมชุน ดังนั้นเพื่อเป็น
การอนุรั กษ์รักษ า
วัฒนธรรม ประเพณี
และเพ่ือให้เข้ากับยุค
สมัยในปัจจุบัน จึงได้
น า ข้ า ว จี่ ซึ่ ง เ ป็ น
อาหารพ้ืนบ้านชาว
ไทยพวน มาทาการ
ดัดแปลง ปรับปรุง
สร้างนวัตกรรมใหม่ เพ่ือให้เกิดจุดขายใหม่แต่ยังคงเอกลักษณ์ของข้าวจี่
โบราณไว้คือยังใช้ถ่านถ่านป้ิงข้าวจี่อยู่เหมือนเดิมซ่ึงความหอมของการใช้
เตาถ่านนั้นจะมีความหอมต่างจากเตาไฟฟ้าหรือใช้แก็ส และจะอร่อย
ต่างกัน ได้มีการปรับปรุงให้มีความนุ่มของข้าวเหนียว คิดทาไส้ชนิดต่างๆ
และแบบของบรรจุภณั ฑ์ให้ตรงตามความต้องการของแต่ละกลุ่มได้ใช้ชื่อว่า
" ขา้ วจี่ ยนื พืน้ ” อร่อย หอมกรุ่น นุ่มนาน

ส่วนผสม
1. ขา้ วเหนียวนงึ่ ร้อนๆ
2. กะทิ
3. เกลอื ปน่
4. ไข่ไก่
สว่ นผสมไสข้ า้ วจี่
1. ถว่ั ลสิ งค่วั
2. น้าตาลปบี๊
3. เกลอื ป่น

๓๔

ขันตอนกำรทำ
1. ผสมกะทิและเกลือ คนให้เกลือละลาย ใส่ลงในชามข้าวเหนียว

นวดใหเ้ ขา้ กัน
2. ป้ันขา้ วเหนยี ว แลว้ ใสไ่ สต้ รงกลาง ป้นั เป็นทรงกลมรรี ปู ไข่
3. นาไปย่างไฟอ่อนๆ ให้เกรียมเล็กน้อย
4. ตีไข่ไก่ใหเ้ ขา้ กนั นาข้าวจช่ี ุปไข่
5. นาไปยา่ งไฟอ่อนๆ บนเตาถา่ นใหเ้ กรยี มเล็กน้อย
6. จดั จานเสรฟิ / จดั ใส่บรรจุภณั ฑ์

สำรทพวน
พวนหรือชาวไทยพวน เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ท่ีมีถิ่นฐานเดิมอยู่ทางฝั่ง

ซ้ายแม่น้าโขง ในบริเวณเมืองซาเหนือ เมืองเชียงขวาง และเมืองพวน
ในประเทศลาว
ต่อมาได้อพยพเข้า
ม า สู่ ป ร ะ เ ท ศ ไ ท ย
ด้ ว ย เ ห ตุ ห ล า ย
ประการคือ หนีภัย
ส ง ค ร า ม ถู ก ก ว า ด
ต้ อ น ม า เ ป็ น เ ช ล ย
ถูกชักจูงเข้ามาด้วย
ความสมคั รใจ

ชาวไทยพวนมีการอพยพเข้ามาตั้งถ่ินฐานในประเทศไทย 3 คร้ัง
คือ ครั้งท่ี 1 ราวปี พ.ศ.2322 ในสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าตากสิน
มหาราช พระองค์ทรงโปรดฯ ให้สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก และ
เจ้าพระยาสุรสีห์ ยกทัพไปตีเมืองลาว แล้วนาชาวลาวมาด้วย ซ่ึงน่าจะมี
พวนในเมืองพวนปะปนมาด้วย คร้ังที่ 2 ใน พ.ศ. 2335 เจ้านันทเสน

๓๕

ซึ่งเป็นเจ้าเมืองเวียงจันทน์ ได้นาพวนและโซ่งส่งมายังกรุงเทพฯ เพื่อเป็น
เครื่องราชบรรณาการต่อกษัตริย์ไทย และคร้ังท่ี 3 ระหว่างปี พ.ศ. 2376
ถึง พ.ศ. 2378 พระบาทสมเดจ็ พระนงั่ เกล้าเจ้าอยู่หัว(รัชกาลท่ี 3) โปรดฯ
ใหเ้ จา้ พระยาธรรมาธิบดีเป็นแม่ทัพไปตีเมืองต่าง ๆ ในลาว ท่ีญวนเข้าครอง
และไดน้ าพวนมากรุงเทพฯ ดว้ ย อย่างไรก็ตาม นอกจากการเข้ามาประเทศ
ไทยด้วยเหตุผลทางสงครามแล้ว ยังมีพวนบางส่วนที่อพยพเข้ามา
เพอ่ื แสวงหาแหล่งทามาหากินดว้ ย

ปัจจุบันมีชาวไทยพวนต้ังรกรากอยู่ในพ้ืนที่หลายจังหวัดของภาค
กลาง ภาคตะวันออก ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ชาวไทยพวนส่วนใหญ่
นอกจากมคี วามเช่ือถือในเรื่องธรรมชาติและนับถือผีบรรพบุรุษของตนแล้ว
ยังเป็นพุทธศาสนิกชนมีประเพณีสาคัญท่ีเกี่ยวข้องกับพุทธศาสนา คือ
ประเพณีสารทพวน ซ่ึงมีลักษณะเฉพาะของตัวเองตามแต่ละท้องถ่ิน คล้าย
กับเป็นการผสานระหว่างประเพณีบุญข้าวห่อหรือบุญข้าวประดับดิบ บุญ
ข้าวสากของกลุ่มชาติพันธ์ุลาว และประเพณสี ารทไทย

ชาวไทยพวน ตาบลหลุมข้าว อาเภอโคกสาโรง จังหวัดลพบุรี
เริ่มเตรียมงานตั้งแต่คืน
ก่อนวันแรม 15 ค่า
เดือน 9 โดยจะทาข้าว
ห่อ ที่
ประกอบด้วยอาหารคาว

๓๖

หวาน ขนม แล้วนาไปวางบนธาตุหรือเจดีย์บรรจุอัฐิบรรพบุรุษ เพื่ออุทิศ
อาหารน้ันแก่บรรพบุรุษผู้ล่วงลับ จากนั้นจะไปปลูกหรือปักตาเหลวในท้อง
นาพร้อมห่อข้าว เพื่อบูชาแม่โพสพ ขอให้นาข้าวท่ีเริ่มต้ังท้องให้ผลผลิตท่ี
สมบูรณ์ จากนั้นในวันแรม 15 ค่า จึงนาภัตตาหารพร้อมกระยาสารทไป
ทาบุญท่ีวัด โดยมักนิมนต์พระสงฆ์จากวัดอ่ืนท่ีอยู่ใกล้เคียงมารับถวาย
อาหารและกระยาสารท สุดท้ายจะแลกกระยาสารท อาหารผลไม้จากการ
ทาบุญระหว่างชุมชนหรอื ตา่ งกลุ่มชาตพิ นั ธ์ทุ อ่ี ย่เู ปน็ ชมุ ชนใกลเ้ คียงกนั

ประเพณลี งขว่ ง
เป็นประเพณีของชาวไทยพวนที่อยู่ในตาบลหลุมข้าว คาว่า “ข่วง”

หมายถึงท่ีโล่งแจ้งซึ่งกว้างพอสมควร พอจะมีที่สาหรับรวมคนได้ประมาณ
๓๗

20 – 30 คน เพ่ือที่จะได้ร่วมกันทางาน งานที่นามาทาขณะลงข่วงน้ัน
ส่วนใหญ่เป็นประเภทเบ็ดเตล็ด เช่น กรอฝ้าย(ทาเส้น) ทอผ้า ป่ันด้าย
ตาขา้ ว ฝัดข้าว กะเทาะเปลอื กถว่ั ลสิ ง (เตรียมไว้ปลกู )

ประเพณีลงข่วง จะเป็นการนัดหมายเพื่อนบ้านออกมาทางาน
พร้อมกนั และเปน็ การพบปะสังสรรคข์ องหนมุ่ สาวชาวพวนอีกวิธีหนึ่ง ซ่ึงอยู่
ในขอบเขตสายตาผู้ใหญ่ ส่วนมากจะมารวมกันเป็น ล้อง ๆ คาว่า “ล้อง”
หมายถึง บ้านใกล้เคียงกัน เช่น ล้องบ้านด่าน ล้องบ้านเซิง ล้องบ้านใหญ่
เป็นต้น ก่อนการลงข่วงจะมีการเก็บหลัว (เศษไม้ใบไม้หรือฟืน) เพื่อนามา
ก่อให้เกิดแสงสว่าง พอตอนเย็นสาวจะเดินเก็บหลัวเพื่อเป็นการบอกให้
หนุ่มทราบว่าวันน้ีจะมีการลงข่วง โดยเก็บหลัวมากองรวมไว้บริเวณที่จะลง
ข่วง แล้วข้ึนบ้านประกอบอาหารเพื่อรับประทานอาหารก่อนท่ีจะมาลงข่วง
หลังรับประทานอาหารและอาบน้าแต่งตัวเสร็จแล้วก็จะช่วยกันก่อกองไฟ
และนางานที่จะทาลงมาจากบ้าน ช่วยกันทาอย่างสนุกสนาน จากน้ันหนุ่ม
ๆ ในละแวกบ้านก็จะเดินมาเท่ียวเป็นกลุ่ม ๆ การมาของหนุ่มอาจจะเป่า
แคน เป่าขลุ่ย เป่าปาก ร้องเพลง เป็นการให้เสียงล่วงหน้าเพื่อสาว ๆ
จะได้เตรียมตัวต้อนรับ โดยนาน้าด่ืมมาวางไว้บริเวณงาน หรืออาจมี
ขนมหวานมาวางไว้ให้ด้วย หนุ่มที่สนใจสาวคนใดอาจจะแยกเป็นคู่ ๆ และ
จะมีบางกลุ่มร้องเพลง ร่วมคุยตลกขบขัน เป็นท่ีน่าสนุกสนานจนถึงเวลา
พอสมควร หนมุ่ กจ็ ะไปสง่ สาวกลับบ้าน แตใ่ นบางทอ้ งทกี่ ารลงข่วงจะทากัน
ท่บี ้านของสาวนน่ั เอง

ประเพณหี ่อขำ้ วยำมดนิ
ประเพณีห่อข้าว

ยามดิน หรือ ประเพณี

๓๘

กาเกียง เป็นประเพณี ที่กระทากันในวันข้ึน 11 ค่า เดือน 9

ซ่ึงเป็นประเพณีท่ีทาขึ้นเพื่อเป็นการทาบุญอุทิศส่วนกุลให้กับผีที่อดอยาก

เพอื่ จะได้ไมม่ ารบกวนคนในหมูบ่ ้านลักษณะเชิงปฎิบัติของประเพณีกาเกียง

จะนิยมทากัน 2 อย่าง คือ อิงศาสนา และ ไม่อิงศาสนา

แบบไม่อิงศาสนา เรียกว่า “ กาเกียง” แบบอิงศาสนา เรียกว่า “ ห่อข้าว

ยามดิน” ทั้งสองกิจกรรมนี้ เปน็ ประเพณีทท่ี ากันทัง้ หมบู่ ้าน

ประเพณีห่อข้าวยามดิน ขาวบ้านจะปฏิบัติกันโดยเอาของกิน เช่น

ฟักแฟง แตง ข้าวโพด มาแลกกันตามบ้านเพ่ือประกอบอาหาร แล้วนามา

นึ่งรวมกันกลางลานบ้าน ของท่ีนึ่งได้ด้วยกันจะมีพืชผลดังกล่าวรวมท้ังข้าว

และเน้ือ เม่ือน่ึงเข้ากันดีแล้ว ก็จะนาของท่ีน่ึงมาป้ันเป็นก้อน แล้วนามาห่อ

ด้วยใบตอกล้วย และนาไปท้ิงไว้ท่ีตีนโบสถ์ที่วัด บริเวณกาแพงวัด เพ่ือว่าผี

จะได้มากินอาหารที่วางท้ิงไว้นั้น บางคร้ังนิยมการทาบุญตักบาตรด้วย

ประเพณีหอ่ ข้าวยามดินยงั นยิ มทาสืบทอดและยดึ ถือกนั มาจนถึงปัจจบุ ันน้ี

3
กำรละเล่น

ลำพวน
การลาพวนนั้นเป็นศิลปะการแสดง การละเล่นพื้นบ้านไทยพวน

เพื่อวัดภูมิปัญญาในการใช้ภาษา และคาพูดและปฏิภาณไหวพริบของผู้ขับ
ลานาที่สืบทอดต่อกันมาจากชาวไทยพวน ประวัติไทยพวน น้ันเดิมถ่ินฐาน

๓๙

อยู่ท่ีเมืองเชียงขวาง ในราชอาณาจักรลาว มีนิสัยชอบอยู่กับเหย้าเฝ้ากับ
เรือนตามแบบ เย่ียงอย่างหญิงไทยโบราณในสมัยก่อน ส่วนใหญ่รักในเช้ือ
ชาติ เป็นผ้รู กั ความสงบไม่เปน็ พษิ เปน็ ภยั กับใคร หญงิ สาวส่วนมากมักเป็นผู้
รักนวลสงวนตัว ท่ัวไปมีบุคลิกลักษณะค่อนข้างดี ผิวพรรณขาวสะอาด
ศลิ ปะการแสดงน้ัน จะเป็นการขับรอ้ งลา เก้ยี วพาราสี ของหนุ่มสาว เล่นได้
ในทุกโอกาสหรอื เมื่อ เสรจ็ จากงานอาชีพ โดยมีภาษาร้องพูดของตนเองเป็น
ภาษาไพเราะเสนาะหู พูดจาเนิบๆ ร้องเนิบๆ ไม่เร็ว โดยในคณะสามารถ
ท่องจาบทร้องท่ีกล่าวถึงตัวหนุ่ม
หรือสาว ที่ร้องเกี้ยว มีการ
โต้ตอบกันไปมาบ้าง ประกอบ
ท่าทางการลา เคลื่อนไหวย่าง
ก้าวไม่เร็วนัก โดยมีเคร่ืองดนตรี
เพยี งช้ินเดยี ว คอื แคน ผู้เป่าคือ
ผ้ชู าย เมื่อได้ฟังบทร้องจะพบว่า
จะบอกเล่าเร่ืองราวที่เกี่ยวพัน
แฝงไว้ด้วยวิถีชีวิต การประกอบ
อาชีพ อาหารการกิน ดินฟ้า
อากาศ เป็นต้น สาหรับโอกาสที่
ใช้ในการจัดแสดงน้ันสามารถ
แสดงได้ในทุกโอกาส หรือได้รับ
เชญิ จากหน่วยงานต่างๆ หรือใน
ป ร ะ เ พ ณี ส า คั ญ เ ช่ น ง า น
ประเพณีกาฟ้า ในช่วงขึ้น ๓ ค่า เดือน ๓ ของทุกปี งานแต่งงาน
(งานดอง) งานบวช งานศพ ซ่ึงแต่ละงานก็จะเอาราพวนมาแสดงเพื่อความ
บันเทิงและสนุกสนาน ผ่อนคลายจากความโศกเศร้า ถึงแม้ว่าคณะลาพวน
ของตาบลหลุมข้าวจะมีอายุเยอะแต่ก็ยังคงการขับร้องซึ่งเป็นภาษาพวน

๔๐

ซึ่งจะเห็นได้ว่ากลุ่มชาวไทยพวนยังมคี วามเหน่ียวแน่นเก่ียวดองกัน สืบทอด
การวิถขี องบรรพบรุ ุษเพือ่ มิให้ลบเลอื นไป โดยมเี นือ้ เพลง ดงั นี้

เพลงเกยี่ วข้ำว
(สร้อย) เอ้า เก่ยี ว เก่ยี ว เกย่ี ว ช๊ะ ช๊ะ เกยี่ ว เกี่ยว เกย่ี ว

ข้าวมันเหลืองทุ่งนา ขอเชิญเจ้ามาลงเค่ยี ว
ขา้ วมันเหลืองทุ่งนา ขอเชิญเจ้ามาลงเคี่ยว
นอ้ งไปเกยี่ วนาพ่ี แลว้ พไ่ี ปเกย่ี วนานอ้ ง
เรามารว่ มปรองดองเหมือนข้าวทตี่ ้องดานา
ช่วยกนั ลงแรงเกบ็ เกี่ยว ชว่ ยกันลงเคยี วตรงหนา้
รักกนั ให้มน่ั เถดิ หนา เพราะเราชาวด้วยกัน
(สรอ้ ย) เอ้า เก่ยี ว เกี่ยว เกีย่ ว ชะ๊ ชะ๊ เกยี่ ว เก่ยี ว เกีย่ ว
ข้าวมนั เหลืองทุ่งนา ขอเชิญเจ้ามาลงเคี่ยว
ข้าวมนั เหลอื งทุ่งนา ขอเชญิ เจ้ามาลงเคี่ยว
ถึงคราวตอ้ งเกบ็ เกี่ยว พ่ีจงึ มาเท่ียวเชญิ ช้ัน

แมว้ า่ เสรจ็ ลืมกนั ซา้ ลมื คามน่ั นานา
พ่ไี ปลงแรงที่อน่ื ไม่มีวนั คืนเหมือนว่า
ฉนั จงึ ไม่ปรารถนา เพราะเราชาวด้วยกนั
(สร้อย) เอ้า เกย่ี ว เก่ยี ว เก่ยี ว ชะ๊ ชะ๊ เกีย่ ว เกยี่ ว เกีย่ ว
ข้าวมันเหลืองทุ่งนา ขอเชญิ เจ้ามาลงเคย่ี ว
ข้าวมันเหลืองทุ่งนา ขอเชิญเจ้ามาลงเค่ียว
โธใ่ จเจา้ ยังโกรธ พี่ขอโทษเจ้าเอย้ แมว้ ่าเสรจ็ ดงั เคย
น้องเอยเจา้ อย่างอนไป จะไปคนื แรงสิบเท่าทีน่ านงเยาวจ์ นได้
แถมทองห้าบาทหมัน้ ไว้ ขอเพียงดวงใจไม่คลาย
(สร้อย) เอ้า เกีย่ ว เกย่ี ว เกีย่ ว ชะ๊ ชะ๊ เกย่ี ว เกยี่ ว เก่ียว
ขา้ วมนั เหลืองทุ่งนา ขอเชิญเจ้ามาลงเคยี่ ว

๔๑

ข้าวมนั เหลืองทุ่งนา ขอเชิญเจ้ามาลงเค่ยี ว
๔๒

เพลง พำข้ำวทิพย์
(สรอ้ ย) หนอย หนอ่ ย หน้อย หน้อย หน่อย หนอย หนอย

เชิญจอมขวัญจงพากนั แหนแห่ ตามผู้เฒา่ ผู้แก่
พอ่ แมน่ าพา ข้าวทิพยท์ ีเ่ อ็ดเต็มพา
ได้มากด็ ว้ ยการทา ไดจ้ ี่ไดจ้ า

เพ้ินเวา้ วา่ เปน็ ของพวน เฮาจงึ ได้ชวนกนั มา
(สร้อย) หนอย หน่อย หน้อย หน้อย หน่อย หนอย หนอย

เพลเจ้าหวั และจัว่ น้อยแสนไกล ยงั บไ่ ดฮ้ อดวดั ฮอดวา
เสยี งกองตีบอกเวลา จ่ึยากหลวงตา บ่มีทส่ี นั อึดเพล ขอ้ ยฮู้กรรมเวรเตม็ ตัว

(สร้อย) หนอย หน่อย หน้อย หน้อย หน่อย หนอย หนอย
นมิ นตเ์ จา้ หวั และจว่ั นอ้ ยสันเพล บ่แม่นพาเวรแตเ่ ป็นพาข้าวทพิ ย์
ไทยพวนมีแตน่ า้ ใจ ถวายให้ด้วยจิตศรทั ธา ได้โปรดโมทนาสนั เพล

เพราะอยูแ่ สนไกล สนั แล้วจึงไปอาราม
(สรอ้ ย) หนอย หน่อย หน้อย หน้อย หนอ่ ย หนอย หนอย

๔๓

เพลง ลงข่วงเข็นฝำ้ ย
ลงข่วง ยามหนาว หนุ่มสาวเก็บดอกฝ้ายบาน เป็นทสี่ ุขสาราญ ซอ้ ยกัน

เข็นกงลงข่วง หนมุ่ ซอ้ ยสาว อิ้วฝ้ายบไ่ ดแ้ หนหวง
เฮาบไ่ ดเ้ ดนิ ควง นั่งคุยกนั กลางใตไ้ ฟ

เหล่าไทยพวนควรจื่อจา ถ้อยคาเว้าวอนพ่อแม่ ผเู้ ฒ่าเฝา้ สอน
เมอ่ื ตอนเฮายงั เยาว์วยั หีบฝ้ายปัน่ ฝา้ ย
เสอ่ ไวใ้ นใจ ภาษาไทยพวนเว้าวา่ น่าเอน็ ดู

อว้ิ เอาปุย ยิงถยุ ใหป้ ยุ ฝา้ ยงาม แลว้ ปนั้ ใยฝา้ ยตาม ด้ามกงเป็นวงไฉน
เส้นฝา้ ยยาวๆ สาวไปไดไ้ กลไกลคอื สายใจไทยพวน ล้วนรักและฮักผกู พนั

ลงข่วงคราใด ด้วยใจหมูเ่ ฮดคะนอง
ป่นั ฝ้ายดว้ ยกงทอง สองมือถือกวัก
กวกั กนั เปลีย่ นเส้นใย ฝา้ ยให้เป็นสายสัมพันธ์
สร้อยผูกมือเฮานนั้ สัมพันธก์ ันดว้ ยดวงใจ
ไทยพวนเจา้ เอย เฮาเคยฮักกันม่ันคง
ฝันฝ่ามาจากฝง่ั โขง ไหลลงมาสแู่ ดนไทย
ดว้ ยความร่มเย็น น้นั เป็นด่งั ร่มโพธิ์ไทร
จะเตอื นใหเ้ จ้าจาตามประเพณีพวน

๔๔

กำรละเลน่ นำงกวักกำรละเลน่ นำงดง้
เปน็ การละเล่นพ้ืนบ้านที่สาคัญคือชาวบ้านจะมารวมตัวกันบริเวณ

กลางลานวัด เป็นการละเล่นที่ชาวบ้านนิยมเล่นกันในช่วงประเพณีกาฟ้า
เพ่ือเป็นการเส่ียงทายสิ่งต่างๆในหมู่บ้าน และชีวิต เช่น โชคชะตาราศี
ดวงของหม่บู า้ น

นำงกวกั
ความเชื่อ การเข้าทรงนางด้ง หรือผีนางด้ง เป็นภูมิปัญญาด้ังเดิม

ท่ีสาคัญของคนไทย มิใช่เรื่องไร้สาระกิจกรรมทุกกิจกรรม ล้วนแฝงไว้ด้วย
ความลกึ ซงึ้ ของสงั คมและวัฒนธรรม ในเกือบทุกภาค ท่ีมีอาชีพทาไร่ ทานา
ประชาชนในหมู่บา้ นไดร้ อ้ื ฟ้ืนประเพณี การละเล่นพื้นบ้านที่หายสาบสูญไป
นบั ครง่ึ ศตวรรษ กับคนื มาด้วยความรัก และความสามัคคีของคนในหมู่บ้าน
ได้อย่างนา่ ชน่ื ชม

ผู้ที่จะเล่นนางกวักจะต้องเตรียมอุปกรณ์ในการเล่น ซึ่งได้แก่
การทาตัวนางกวักและเครื่องเซ่น ตัวนางกวักน้ันจะนาเอาตัวกวัก ซึ่งเป็น
เครื่องมือท่ีใช้ในการทอผ้าช้ินหนึ่ง มีรูปร่างลักษณะเป็นตัวจักสานรูปกลม
โปรง่ เปน็ ลายเหมอื นตาชะลอม ปกติใช้สาหรับพันด้าย หรือเส้นไหมก่อนจะ
นามาต้ังลายกบั หกู หลงั จากไดต้ ัวนางกวักแล้ว ก็นากะลามะพร้าวด้านที่มีรู
มารอ้ ยเชอื กมดั กับตวั กวกั เพ่อื สมมตุ ใิ หด้ ูมลี ักษณะเป็นรูปศรีษะคน แล้วนา
ไม้บงหรือไม้รวก ที่เป็นไม้เหยียบก่ี ซึ่งเป็นเครื่องมือท่ีใช้ในการทอผ้าอีกชิ้น
หนึ่ง ทีมีความยาวประมาณ 1 วา เพื่อนามาเสียบกลางตัวกวัก สมมุติให้

๔๕

เป็นแขนนางกวัก ต่อจากนั้นก็นานางกวักที่มีหัว มีแขนมาใส่เส้ือ เสื้อที่ใช้
กใ็ ช้เสอ้ื ชาวนาสดี าสวมลงบนตัวนางกวักท่เี ตรยี มไว้

การเตรียมเครื่องเซ่น เพ่ือจะทาพิธีเชิญผีนางกวักลงมาน้ัน ก็นา
กระด้งมา 1 อัน ในกระด้งก็ใส่กระจก หวี ช้องผม เสร็จแล้วนากระด้งไป
วางทโ่ี คนกน้ ไมใ้ หญ่ตน้ หนึง่ โดยนาไม้ไผย่ าวๆ วางพาดกับต้นไม้ใหญ่น้ัน ให้
ปลายของไม้ยาวน้ีด้านหนึ่งอยู่ใกล้กระด้ง สมมุติว่าเป็นบันไดให้นางกวักลง
มาจากต้นไม้เพอ่ื มาเข้าตวั กวัก

เมือ่ เตรีมอปุ กรณ์เรียบร้อยแล้ว ก็ลงมือเลน่ วธิ เี ล่นน้ันหนุ่มๆ สาวๆ
กจ็ ะพากนั นัง่ ล้อมวงรอบตัวนางกวักท่ีทรงเคร่ือง และมีผู้หญิงสองคนนั่งจบ
นางกวักท่ีทรงเครื่อง และน่ังอยู่บนสากตาข้าวคู่หนึ่งที่วางลาบบนพ้ืนดิน
โดยคนละข้างของนางกวัก คนอนื่ ๆ ก็นง่ั ล้อมร้องเพลง ( ซ้ิง ) นางกวัก เพื่อ
เชิญวิญญานนางกวกั ลงมาเข้าตวั กัวก เพลงทีร่ ้องมีเน้อื เพลงดังนี้

“ นางกวักเอย นางกวักเจ้าแม่กวัก อี่พ่อยักแย่ อ่ีแม่แย่ยอ คนยก
คนยอเจ้าสูงเพียงข้าง เจ้าอวดอ้างต่าหูกเดือนหงาย ตกดินตกทรายเดือน
แจง้ เจา้ แอง้ แมง้ นางฟา้ ลงมา นางสดี าแกว่งแขนตอ๊ งแตง๊ ตอ๊ งแต๊ง ”

เมื่อร้องเพลงนางกวักกลับกลับมา ผีนางกวักก็จะมาเข้ากวัก
ท่ีทรงเคร่ืองไว้ เมื่อเข้าแล้วก็จะสามารถทาสิ่งท่ีคนล้อมรอบขอให้ทา เช่น
ทายช่ือคน ทายเน้ือคู่ เป็นต้น วิธีทายของนางกวักก็คือใช้แขนไม้ข้างหนึ่ง
เขียนตัวหนังสือ หรืออักษรย่อบนพ้ืนดิน โดยที่หญิงท่ีถือนางกวัก
ในสมัยก่อนน้ันไม่รู้ตัวหนังสือเลย แต่นางกวักก็เขียนให้คนท่ีล้อมวงอ่านได้
เปน็ ท่ีสนกุ สนานอยา่ งยิ่ง
นำงดง้

นางด้งเป็นการเล่นท่ีนิยมเล่นในเวลากลางคืนเช่นกัน ชายหนุ่ม
หญิงสาว ที่จะเล่นนางด้ง จะต้องเตรียมอุปกรณ์ในการเล่น คือกระด้งฟัด
ข้าว บรรจุเคร่ืองบวงสรวงสาหรับผีนางด้ง เครื่องเซ่นก็ใช้แบบเดียวกัน
กับเคร่ืองเซ่นนางกวัก ได้แก่ หวี กระจก ซ้องผม ต่อจากน้ันก็จะให้

๔๖

ผู้หญิง 2 คน เป็นคนทรงโดยถือกระด้งคนละข้าง คนที่เหลือจะน่ังล้อมวง
และรอ้ งเพลง ( เซิ้ง ) เพอ่ื ให้ผนี างด้งเข้าทรง เพลงทร่ี ้องมีเนื้อเพลงดงั นี้

“ นางด้งเอย กะทงไม้หมาก กะทากไม้แดง ตะแคงแมงเม่า กระด้ง
ฟัดเขา้ ออกมาคายคาย ออกมาคายคาย คนหญิงคนชายไม่ว่า ลงไม่ได้ไต่ไม้
ลงมานางสีดาไกวแขวนตอ๊ นแตน๊ ต๊อนแต๊น ”

เม่ือผีนางด้งเข้าทรงแล้ว ก็จะเอากระด้งออกไป คนทรง 2 คน
ก็จะแสดงทา่ ราตามคาขอรอ้ งของคนทีน่ ั่งล้อมรอบอยู่ การราก็จะแสดงท่าที่
กอ่ ใหเ้ กดิ ความตลกขบขันและสนุกสนานแกผ่ ู้อยลู่ ้อมรอบ เช่นมีการบอกให้
นางด้งราพวงมาลยั คนทรงกจ็ ะราออกไปมาสร้างความคร้ืนเครงให้กับคนที่
นั่งลอ้ มอยู่

๔๗

4
กำรแต่งกำย

การแต่งกายไทยพวน ซึ่งได้ปฏิบัติตามขนบธรรมเนียมท่ีสืบทอด
กันมา ในอดีตผู้หญิงใช้ผ้าคาดอกแทนการสวมเส้ือ นุ่งซ่ินตีนจก หรือ สีพ้ืน
แทรกลายขวาง บางท้องถ่นิ นยิ มน่งุ ซิ่นมัดหมี่ ผู้ชายนุ่งกางเกงขาก๊วยสีดาใส่
เสื้อสีดา และผ้านุ่งจูงกระเบน ผ้าขาวม้าพาดบ่า หรือคาดเอว ผู้หญิงนุ่ง
ผา้ ซิน่ ผา้ ขาวมา้ รัดนม เรยี กว่า แห้งตู้ ท้ังชายหญิงไม่สวมเส้ือ แต่เวลาไปไร่
นาต้องสวมเส้ือสีดา หรือสีคราม หญิงสวมเส้ือรัดตัวแขนยาวถึงข้อมือ
กระดุมเสื้อใช้เงินกลมติดเรียงลงมาต้ังแต่คอถึงเอว เด็กผู้ชายก็จะใส่กาไล
เท้า เด็กผู้หญิงใส่ทั้งกาไลมือกาไลเท้า ในปัจจุบันผู้หญิงนิยมสวมเสื้อตาม
สมัยนิยม ส่วนคนสูงอายุมักสวมเส้ือคอกระเช้า ผู้ชายยังแต่งเหมือนเดิม
ยงั มบี างท้องถน่ิ แต่งแบบไทย-ลาว

ลกั ษณะการแต่งกายทเ่ี ป็นเอกลักษณ์ของผูห้ ญงิ ไทยพวน คอื
การแตง่ กายของผ้หู ญิงชาวไทยพวน ผ้หู ญิงจะใส่ซ่ินแหล้ เสื้อหม้อ
ห้อมแขนยาว สวมสไบสีขาว โดยซ่ินแหล้ มีคุณลักษณะ 2 อย่างท่ีสามารถ
บ่งบอกถงึ สถานภาพของผูส้ วมใส่ได้ คือ

๔๘

1. ผู้หญิงท่ีแต่งงาน หรือมีสามี
ออกบ้านออกเรือนไปแล้วน้ัน จะใส่ซิ่น
แหล่ท่ีมีแถบแดงบริเวณผ้าซิ่น 1 แถบ
และเอวอีก 1 แถบ หรือในภาษาไทยพวน
จะเรยี กผ้าซิน่ แบบนี้ว่า “ซน่ิ แหล้ 2 คว้ิ ”

2. สาหรับผู้หญิงท่ียังไม่ได้
แต่งงาน หรือยังไม่มีสามีจะใส่ซ่ินแหล้ท่ีมี
แถบแดงเฉพาะบริเวณชายผ้าซิ่น 1 แถบ
เท่านั้น ซ่ึงชาวไทยพวนจะเรียกว่า “ซ่ิน
แหล้ 1 คิว้ ”

ผู้หญิงไทยพวนมักจะใส่ซ่ินแหล้
เสื้อหม้อห้อมแขนยาวในงานทุกๆ เทศกาล ไม่ว่าจะเป็นงานบุญ งานแต่ง
งานศพหรืองานอ่ืนๆ จนกลายเป็นเอกลักษณ์โดดเด่นท่ีไม่เหมือนใคร
นอกจากซ่ินแหล้ท่ีได้กล่าวถึงในขั้นต้นแล้วยังมีผ้าซ่ินประเภทอื่นๆ อีก
เชน่ ซ่ินตาตอบ ซน่ิ ซิว ซ่ินตาหมู่ ซ่นิ ตามะนาว เปน็ ตน้

๔๙

5

บ้ำนเรือน

บ้านเรือนของชาวพวน ลักษณะเป็นเรือนสูง นิยมปลูกเป็นเรือนที่
มีห้องต้ังแต่ ๓ ห้องขึ้นไป ใต้ถุนเรือนใช้ทาประโยชน์หลายอย่าง เช่น
ทาคอกวัวควาย เล้าเป็ดเล้าไก่
ต้ังเคร่ืองสาหรับผูกหูกทอผ้า
หลังคาทรงมะนิลา ไม้เครื่องบน
ผูกมัดด้วยหวายแทนการตอก
ตะปู แต่ถ้าเป็นบ้านเจ้านาย
หรือผมู้ ฐี านะดีและวดั จะใช้ตะปู
ซ่งึ ทาขน้ึ เอง และหลังคามุงด้วย
หญ้าคา ถ้าเป็นบ้านผู้มีฐานะดีมุงด้วยกระเบ้ืองไม้เรียกว่าไม้แป้นเก็ด หรือ

กระ เบ้ืองดินเผา พื้นและฝา
เรือนปูด้วยกระดาน ไม้ไผ่สีสุก
สับแผ่ออกเป็นแผ่นๆ เรียกว่า
ฟาก แล้วมีเสื่อสานด้วยหวาย
ทับอีกช้ันหนึ่ง มีห้องครัวอยู่
บนเรือน มีชานยื่นออกมาจาก
ตัวเรือน และมีบันไดข้ึนลง
พาดท่ีนอกชานด้านทิศเหนือ ส่วนเสาเรือนน้ันอาจใช้ไม้ท้ังต้นหรือใช้อิฐก่อ
เปน็ เสาขนาดใหญ่

6
ภำษำท้องถ่ิน

๕๐


Click to View FlipBook Version