10. การวัดและประเมินผล เครอ่ื งมอื เกณฑ์
แบบประเมินผลงาน
วิธีการ คณุ ภาพอยใู่ นระดบั ดี
แบบประเมนิ พฤติกรรมกลุม่ ผา่ นเกณฑ์
ตรวจใบงานท่ี 2.2
กระบวนการของการคิดเชงิ คณุ ภาพอยใู่ นระดับ ดี
ออกแบบ ผา่ นเกณฑ์
ประเมินพฤตกิ รรมกลุม่
จากการทาใบงานที่ 2.2
แบบบนั ทึกหลงั แผนการสอน ชั้นมัธยมศึกษาปที ี่ 2
จานวน 8 ชัว่ โมง
เทคโนโลยี การออกแบบและเทคโนโลยี
หนว่ ยการเรยี นร้ทู ี่ 2 การคิดเชิงออกแบบ เวลาเรียน 2 ชวั่ โมง
แผนการจัดการเรียนร้ทู ี่ 5 กระบวนการของการคดิ เชงิ ออกแบบ
ผลการเรยี นรู้
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ปญั หาอุปสรรค
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ขอ้ เสนอแนะแนวทางแก้ไข
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงชื่อ…………………….…………….ผสู้ อน
(…………………………………)
ตาแหนง่ ………………………………………
………………/…………....../……………
ความคดิ เห็นของผ้บู ริหารสถานศกึ ษา
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงชอื่ …………………………….ผูบ้ รหิ ารสถานศึกษา
(…………………..…………………………)
ตาแหนง่ ………………………………………
………………/…………....../……………
แผนการจัดการเรียนร้ทู ่ี 6
กลมุ่ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ชัน้ มธั ยมศึกษาปีที่ 2
เทคโนโลยี การออกแบบและเทคโนโลยี จานวน 8 ช่วั โมง
หนว่ ยการเรียนร้ทู ่ี 2 การคดิ เชิงออกแบบ
เวลาเรียน 4 ช่ัวโมง
แผนการจดั การเรียนรูท้ ่ี 6 กระบวนการออกแบบเชงิ วิศวกรรม
1. มาตรฐานการเรยี นรู้
มาตรฐาน ว 4.1 เขา้ ใจแนวคดิ หลกั ของเทคโนโลยเี พ่อื การดารงชีวติ ในสงั คมทีม่ ีการเปลีย่ นแปลง
อย่างรวดเรว็ ใช้ความรแู้ ละทักษะทางด้านวิทยาศาสตร์ คณติ ศาสตร์ และศาสตรอ์ นื่ ๆ เพอื่ แกป้ ัญหา
หรอื พัฒนางาน อย่างมคี วามคิดสรา้ งสรรค์ด้วยกระบวนการออกแบบเชงิ วิศวกรรม เลอื กใชเ้ ทคโนโลยี
อยา่ งเหมาะสม โดยคานึงถึงผลกระทบตอ่ ชีวิต สงั คม และสิง่ แวดลอ้ ม
2. สาระสาคัญ/ความคดิ รวบยอด
กระบวนการอออกเชิงวิศวกรรม เปน็ กระบวนการสาคญั ที่ทางานอย่างเปน็ ระบบ ถูกนามาใช้ในการ
แก้ปัญหาความตอ้ งการของมนษุ ย์ และสรา้ งสรรค์ผลงานทไ่ี ม่เคยมมี ากอ่ น หรอื นาเทคโนโลยีมาพฒั นาตอ่ ยอดให้มี
ประสิทธิภาพมากยิง่ ข้ึน แบง่ ออกเปน็ 6 ข้นั ตอนหลกั ประกอบดว้ ย
ขัน้ ที่ 1 ระบุปญั หา (Problem Identification)
ขนั้ ที่ 2 รวบรวมข้อมลู และแนวคดิ ท่ีเก่ียวขอ้ งกับปัญหา (Related Information Search)
ขั้นท่ี 3 ออกแบบวิธกี ารแก้ปญั หา (Solution Design)
ข้นั ท่ี 4 วางแผนและดาเนนิ การแก้ปัญหา (Planning and Development)
ขั้นที่ 5 ทดสอบ ประเมนิ ผล และปรับปรงุ แกไ้ ขวธิ กี ารแก้ปัญหาหรือช้ินงาน (Testing, Evaluation and
Design Improvement)
ข้ันที่ 6 นาเสนอวิธีการแกป้ ญั หา ผลการแก้ปัญหาหรอื ชน้ิ งาน (Presentation)
3. ตัวชวี้ ัด/จุดประสงค์การเรยี นรู้
ตวั ชีว้ ัด
ว 4.1 ม.2/2 ระบุปัญหาหรือความต้องการในชุมชนหรอื ท้องถน่ิ สรปุ กรอบของปัญหา รวบรวม
วิเคราะหข์ อ้ มลู และแนวคิดที่เก่ยี วข้องกบั ปัญหา
จดุ ประสงค์
1. อธิบายข้นั ตอนของกระบวนการออกแบบเชงิ วิศวกรรมได้ (K)
2. ใชก้ ระบวนการออกแบบเชงิ วิศวกรรมเพือ่ แกป้ ญั หาในชีวติ ประจาวันได้ (P)
3. เห็นประโยชน์ของการใชก้ ระบวนออกแบบเชงิ วศิ วกรรมเพือ่ แก้ปญั หาในชวี ติ ประจาวนั (A)
4. สาระการเรยี นรู้
1. ปญั หาหรอื ความตอ้ งการในชมุ ชนหรอื ทอ้ งถิ่นมีหลายอย่าง ขึ้นกบั บริบทหรือสถานการณ์ท่ีประสบ เชน่
ดา้ นพลังงาน สิง่ แวดลอ้ มการเกษตร การอาหาร
2. การระบปุ ญั หาจาเปน็ ต้องมีการวเิ คราะห์ สถานการณข์ องปญั หาเพือ่ สรุปกรอบของปญั หาแล้วดาเนินการ
สืบค้น รวบรวมข้อมลู ความรู้ จากศาสตรต์ า่ ง ๆ ที่เกย่ี วขอ้ ง เพอื่ นาไปสกู่ ารออกแบบแนวทางการ
แก้ปัญหา
5. สมรรถนะสาคัญ
1. ความสามารถในการสอ่ื สาร
2. ความสามารถในการคิด
3. ความสามารถในการแกป้ ญั หา
4. ความสามารถในการใช้ทกั ษะชวี ติ
5. ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี
6. คุณลักษณะอันพึงประสงค์
1. มวี ินยั
2. ใฝ่เรียนรู้
3. มงุ่ มน่ั ในการทางาน
7. ภาระงาน
1. ใบงานท่ี 2.3 FISHBONE DIAGRAM
2. ใบงานที่ 2.4 กระบวนการออกแบบเชงิ วศิ วกรรม
3. กิจกรรมออกแบบวธิ กี ารนาเสนอ
8. การจัดกิจกรรมการเรียนรู้
1. วิธกี ารสอนแบบสรา้ งสรรคเ์ ปน็ ฐาน (Creativity-Based Learning : CBL)
2. ทกั ษะการเรยี นรู้และนวัตกรรม (Learning and Innovation Skills)
ชว่ั โมงที่ 1
ขนั้ นาเขา้ สูบ่ ทเรยี น
1. ผู้สอนถามผเู้ รียนเพือ่ เปน็ การกระตุน้ ให้เกิดการเรยี นรู้ เช่น “เม่ือนักเรียนพบเจอปัญหาใน
ชวี ิตประจาวนั นกั เรยี นมีวธิ ีการแกป้ ญั หาอยา่ งไร มีขัน้ ตอนอยา่ งไรบ้าง”
แนวคาตอบ :
ปรึกษาเพ่อื น ผู้ปกครอง คณุ ครู หรือผมู้ ีประสบการณ์เพือ่ แกป้ ญั หา
ใชห้ นทางอนื่ ในการแก้ปญั หา แบบลองผดิ ลองถูก
ขน้ั สอน
2. ผสู้ อนเปดิ SLIDE ส่ือการสอน กระบวนการออกแบบเชงิ วศิ วกรรม พร้อมอธิบาย ว่า
กระบวนการอออกเชิงวิศวกรรม เป็นกระบวนการสาคัญท่ีทางานอยา่ งเป็นระบบ ถูกนามาใช้ใน
การแก้ปัญหาความตอ้ งการของมนษุ ย์ และสรา้ งสรรคผ์ ลงานที่ไม่เคยมมี าก่อน หรอื นาเทคโนโลยมี า
พัฒนาตอ่ ยอดให้มปี ระสิทธภิ าพมากยง่ิ ขน้ึ แบ่งออกเป็น 6 ขัน้ ตอนหลกั ประกอบด้วย
ขั้นท่ี 1 ระบปุ ญั หา (Problem Identification)
เป็นการทาความเขา้ ใจปัญหา หรือความตอ้ งการท่ีเกดิ ขน้ึ การระบปุ ัญหา สาคญั กวา่ การ
แก้ปัญหา เพราะการระบปุ ัญหาทด่ี แี ละชดั เจน จะทาให้เข้าใจและมองเห็นแนวทางของการคน้ หา
คาตอบ การระบุปัญหา เปน็ การกาหนดนยิ ามเพอ่ื บอกขอบเขตของปัญหา โดยการระบุปญั หาควร
เขยี นข้อความสน้ั ๆ กะทัดรดั ใหเ้ หน็ แนวทางของการแก้ปญั หา
ขั้นที่ 2 รวบรวมข้อมูลและแนวคิดทีเ่ กี่ยวข้องกับปญั หา (Related Information Search)
เปน็ การค้นควา้ หาขอ้ มูลและแนวทางที่ใชใ้ นการแก้ปญั หาจกาสอื่ และแหลง่ เรียนรู้ตา่ งๆ เชน่ การ
สอบถามผู้รู้ การคน้ คว้าจากงานวิจัย การรวบรวมข้อมูลและแนวคิดทีเ่ ก่ยี วข้องกับปัญหา จะศกึ ษา
ความร้จู ากวทิ ยาศาสตรแ์ ละคณิตศาสตร์ เทคโนโลยี และศาสตร์อื่นๆ ท่ีเกยี่ วขอ้ งทีเ่ คยมกี ารทาไว้
จากนัน้ นาข้อมูลทีร่ วบรวมได้ มาวเิ คราะหแ์ ละสรุปเปน็ วิธกี ารแกป้ ญั หาหรอื สนองความตอ้ งการ แล้ว
จงึ ประเมิน และเลือกวธิ กี รแกป้ ัญหา หรือสนองความต้องการท่เี หมาะสมและสอดคล้องกับปัญหา
หรือความต้องการมากทส่ี ุด รวมท้ังพจิ ารณาข้อดี ข้อเสยี ที่เกดิ ขน้ึ
ขน้ั ที่ 3 ออกแบบวธิ กี ารแก้ปัญหา (Solution Design)
เป็นการนาทางเลอื กท่ใี ช้ในการแก้ปญั หามาออกแบบชน้ิ งานหรอื วิธกี ารในการแกป้ ญั หา โดยการ
สรา้ งแบบจาลอง (Model) ที่ชว่ ยให้ผ้อู ืน่ เขา้ ใจได้ พร้อมคาอธิบายความสามารถของชิ้นงานที่
พัฒนาข้นึ เช่น การรา่ งเป็นภาพพร้อมคาอธบิ ายสว่ นประกอบตา่ งๆของช้ินงาน ส่งิ ท่ีสาคญั ใน
กระบวนการออกแบบ คอื การคานงึ ถงึ ทรัพยากรท่ีมอี ยู่ หรือจัดหามาได้
ข้ันที่ 4 วางแผนและดาเนนิ การแกป้ ัญหา (Planning and Development)
เป็นการวางลาดบั ขนั้ ตอนในการสรา้ งชน้ิ งานหรอื วิธกี ารแก้ปัญหา จากน้นั จึงลงมือสร้างหรอื
พัฒนาชน้ิ งานและวธิ ีการตามลาดับท่ีวางไว้
ข้นั ที่ 5 ทดสอบ ประเมินผล และปรับปรุงแก้ไขวธิ ีการแกป้ ัญหาหรอื ชนิ้ งาน (Testing,
Evaluation and Design Improvement)
เปน็ การนาช้ินงานหรือวธิ กี ารมาทดสอบการใช้งาน เพอ่ื ประเมินวา่ ได้ช้ินงานหรือวธิ ีการให้ผล
ตามท่กี าหนดไว้หรอื ไม่ ถา้ ไมเ่ ป็นไปตามที่กาหนดให้หาแนวทางเพือ่ ปรบั ปรงุ ชน้ิ งานหรอื วิธีการ แล้ว
จึงปรบั ปรุงจนบรรลเุ ปา้ หมายที่ตง้ั ไว้
ขัน้ ที่ 6 นาเสนอวธิ กี ารแกป้ ัญหา ผลการแก้ปัญหาหรอื ชิ้นงาน (Presentation)
เปน็ การนารายละเอยี ดของชิ้นงานมานาเสนอแกผ้ ู้เกย่ี วขอ้ งไดร้ ับทราบ ไดแ้ ก่ แนวคดิ การพัฒนา
ข้นั ตอนการพฒั นา ความสามารถของชิน้ งาน หรือกระบวนการ และข้อเสนอแนะจากขอ้ บกพร่องท่ี
เกดิ ข้นึ รวมถงึ ข้อเสนอแนะเพือ่ การพัฒนาให้ชน้ิ งานมคี ุณภาพทด่ี ีขึน้
3. ผสู้ อนเปดิ คลิปวิดีโอ ร้จู กั กระบวนการออกแบบเชงิ วศิ วกรรม : let's get acquainted
จากลงิ ค์ https://www.youtube.com/watch?v=6ZHpkeJl0uo&t=228s
เพอ่ื ชว่ ยให้ผ้เู รียนเข้าใจกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรมมากยิ่งขน้ึ
ชั่วโมงท่ี 2
ขน้ั สอน (ต่อ)
1. ผู้สอนธิบายว่า Fishbone Diagram หรอื แผนภูมกิ ้างปลา คือ เครอ่ื งมอื ในการคน้ หาสาเหตุและ
ผลกระทบที่เกิดขึ้น ชว่ ยให้หาสาเหตุของขอ้ บกพร่องและความลม้ เหลวในกระบวนการตา่ งๆ ชว่ ย
วเิ คราะหส์ าเหตทุ ่แี ท้จริงของปญั หา เป็นกระบวนการท่ีมีโครงสร้างชว่ ยในการช่วยระบุปัจจัยพื้นฐาน
หรอื สาเหตุของเหตกุ ารณไ์ ม่พึงประสงค์ การทาความเข้าใจถงึ ปัจจยั ตา่ งๆทีเ่ อ้ือตอ่ การทางานทเ่ี ปน็
สาเหตุของความลม้ เหลวของระบบสามารถชว่ ยพฒั นาการดาเนนิ การทส่ี นบั สนนุ การแก้ไขได้
2. ผ้สู อนเปิดภาพตวั อย่าง การใชแ้ ผนภูมิก้างปลา ในการค้นหาสาเหตุและผลกระทบทเ่ี กิดขึน้ จากกรณี
เครอ่ื งจักรหยดุ ทางานบอ่ ย
ภาพตวั อยา่ ง การใช้แผนภูมิกา้ งปลา
https://www.goodmaterial.co/fishbone-diagram/
3. ผสู้ อนแบ่งกลุ่มผู้เรียน กลุ่มละ 5 คน และแจกใบงานท่ี 2.3 FISHBONE DIAGRAM ใหแ้ ตล่ ะกลุ่ม
โดยให้สมาชิกแต่ละกลุ่มช่วยกันระดมความคิดเพ่ือคน้ หาสาเหตแุ ละผลกระทบท่ีเกิดข้นึ เพอื่ แก้ปัญหา
ในชีวติ ประจาวนั
4. ผู้สอนให้เวลาผู้เรียนในการทาใบงานโดยที่ผูส้ อนคอยดูแลความเรียบรอ้ ยและคอยให้คาแนะนา
เพม่ิ เตมิ
5. ผู้สอนให้ผู้เรยี นแตล่ ะกลมุ่ ออกมานาเสนอใบงาน โดยให้เวลากล่มุ ละ 10 นาที โดยใหก้ ลุ่มอื่นๆร่วม
เสนอแนะ แสดงความคิดเห็น รวมทง้ั ผสู้ อนคอยใหค้ าแนะนาเพมิ่ เตมิ
6. ผู้สอนอธิบายเพ่ิมเตมิ วา่ เม่ือกาหนดขอบเขตของปญั หา ซง่ึ เป็น ขนั้ ที่ 1 ระบุปญั หา (Problem
Identification) ของกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม โดยใช้ FISHBONE DIAGRAM แล้ว ใน
ขนั้ ตอนตอ่ ไป คอื ขั้นท่ี 2 รวบรวมข้อมลู และแนวคิดทีเ่ กีย่ วข้องกับปญั หา (Related Information
Search)
ช่ัวโมงท่ี 3
ขัน้ สอน (ตอ่ )
1. ผู้สอนเปิดคลิป กรณีศึกษา ตัวอยา่ งกระบวนการออกแบบเชิงวศิ วกรรม : Series 2 Ex
จากลิงค์ https://www.youtube.com/watch?v=3Cr0-ukRIY8&t=206s
2. ผูส้ อนให้แต่ละกลมุ่ (กลุ่มเดมิ จากช่วั โมงท่ี 2) ทากิจกรรม ใบงานท่ี 2.4 กระบวนการออกแบบเชิง
วศิ วกรรม พรอ้ มอธบิ ายวธิ ีการทาใบงาน คือ ให้ผู้เรยี นนาปญั หาท่ไี ด้จาก ใบงานที่ 2.3 FISHBONE
DIAGRAM มาแก้ปญั หาโดยใช้ กระบวนการออกแบบเชงิ วิศวกรรม
3. ผู้สอนใหเ้ วลาผู้เรียนในการทาใบงาน โดยที่ผสู้ อนคอยดูแลความเรียบร้อย และคอยให้คาแนะนาเพม่ิ เตมิ
4. ผู้สอนอธิบายเพิม่ เตมิ วา่ ขน้ั ที่ 3 ออกแบบวธิ ีการแกป้ ัญหา (Solution Design) สามารถใช้ Flowchart
เพือ่ แสดงขน้ั ตอน หรอื กระบวนการทางาน ทาใหเ้ หน็ กระบวนการทางานในภาพรวม สะดวกต่อการ
พจิ ารณาลาดับข้ันตอนในการทางาน การตรวจสอบความถูกตอ้ ง และการปรับปรุงขน้ั ตอนของ
กระบวนการอย่างเปน็ ระบบ และในขั้นท่ี 4 วางแผนและดาเนินการแกป้ ญั หา (Planning and
Development) สามารถสร้างตาราง เพ่ือกาหนดขนั้ ตอนของการทางาน โดยกาหนดเป้าหมายและ
ระยะเวลาในแตล่ ะส่วน
และในส่วนข้นั ตอนท่ี 5 ทดสอบ ประเมินผล และปรับปรุงแกไ้ ขวธิ ีการแกป้ ัญหาหรือชน้ิ งาน (Testing,
Evaluation and Design Improvement) ทาได้โดยสรา้ งแบบประเมิน กาหนดข้อคาถามเพ่อื ตรวจสอบ
ว่าสามารถแกไ้ ขปัญหาไดต้ ามที่ระบหุ รือไม่ มีข้อบกพร่องอยา่ งไร ผลทไ่ี ดจ้ ากการทดสอบ จะนามาใช้
ปรบั ปรุงพฒั นางานใหม้ ปี ระสทิ ธภิ าพมากยงิ่ ข้นึ ต่อไป
ตัวอย่างแบบประเมิน
จากโครงการ นวัตกรรมสิ่งประดิษฐก์ รอบรูป DIY ดอกไม้จากผ้ากระสอบ
ชั่วโมงที่ 4
ขน้ั สอน (ตอ่ )
1. ผ้สู อนอธิบายวา่ ข้นั ที่ 6 นาเสนอวธิ ีการแก้ปญั หา ผลการแกป้ ัญหาหรอื ชิ้นงาน (Presentation) ซึ่งเปน็
ขั้นตอนสดุ ท้าย ผูเ้ รยี นสามารถนาเสนอ ในรูปแบบท่ีต้องการได้ เช่น โปสเตอร์ หรือ งานนาเสนอ ด้วย
โปรแกรม Microsoft PowerPoint โดยมีหัวขอ้ ท่ีควรมีในการนาเสนอ คือ แนวคดิ การพัฒนา ขนั้ ตอน
การพัฒนา ความสามารถของชน้ิ งาน หรอื กระบวนการ และขอ้ เสนอแนะจากขอ้ บกพร่องทีเ่ กดิ ขน้ึ รวมถงึ
ข้อเสนอแนะเพื่อการพฒั นาให้ชิ้นงานมีคณุ ภาพท่ีดขี ้ึน
2. ผสู้ อนให้แต่ละกลุ่มทากิจกรรมออกแบบวธิ ีการนาเสนอ โดยวธิ กี ารทากิจกรรม คือ ให้สมาชิกเลือก
วธิ ีการนาเสนอที่เหมาะสม และสรปุ ผลตามหัวข้อเพ่อื นาเสนอ โดยที่ผสู้ อนคอยดแู ลความเรยี บรอ้ ยและ
คอยให้คาแนะนาเพมิ่ เติม
3. ผู้สอนให้แต่ละกลุ่มนาเสนอผลงาน โดยใหก้ ลมุ่ อนื่ ๆ รว่ มเสนอแนะ แสดงความคดิ เห็น
4. ผสู้ อนอธิบายเพม่ิ เติม ว่า กระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม เป็นขนั้ ตอนท่นี ามาใชใ้ นดาเนนิ การเพื่อ
แก้ปัญหาหรอื สนองความตอ้ งการ โดยเรมิ่ จากการระบุปญั หาที่พบแล้วกาหนดเปน็ ปญั หาท่ีต้องการแก้ไข
จากนน้ั จงึ ทาการค้นหาแนวคดิ ที่เก่ียวขอ้ งและทาการวิเคราะห์เพ่ือเลือกวิธกี ารท่เี หมาะสมสาหรบั การ
แก้ไข เมื่อไดว้ ิธีการท่ีเหมาะสมแลว้ จงึ ทาการวางแผนและพัฒนา เม่อื สร้างชนิ้ งานหรือวธิ กี ารเรียบรอ้ ยแลว้
จงึ นาไปทดสอบ หากมขี ้อบกพรอ่ งก็ให้ทาการปรับปรงุ แก้ไข ดาเนนิ การประเมนิ ผลว่าสามารถใช้
แก้ปญั หาหรอื สนองความตอ้ งการไดต้ ามท่ีกาหนดไว้หรือไม่
ขัน้ สรุป
5. ผ้สู อนถามผู้เรยี นเพือ่ เป็นการประเมนิ ความเข้าใจของผ้เู รียน เชน่ “กระบวนการออกแบบเชงิ วิศวกรรมมีก่ี
ขน้ั ตอน มีขนั้ ตอนใดบ้าง?
แนวคาตอบ :
กระบวนการออกแบบเชงิ วิศวกรรม แบง่ ออกเป็น 6 ขนั้ ตอนหลัก ประกอบด้วย
ขนั้ ที่ 1 ระบปุ ญั หา (Problem Identification)
ขนั้ ที่ 2 รวบรวมขอ้ มูลและแนวคิดทเ่ี กี่ยวข้องกบั ปัญหา (Related Information Search)
ขัน้ ท่ี 3 ออกแบบวิธกี ารแก้ปัญหา (Solution Design)
ขั้นที่ 4 วางแผนและดาเนนิ การแก้ปญั หา (Planning and Development)
ข้นั ท่ี 5 ทดสอบ ประเมินผล และปรับปรุงแกไ้ ขวิธกี ารแกป้ ญั หาหรอื ช้ินงาน (Testing,
Evaluation and Design Improvement)
ขั้นที่ 6 นาเสนอวิธีการแก้ปญั หา ผลการแก้ปญั หาหรือชน้ิ งาน (Presentationผสู้ อนเปดิ โอกาส
ให้ผเู้ รยี นสอบถามเพมิ่ เติม
9. สื่อการเรียนรู้
1. SLIDE สอื่ การสอน กระบวนการออกแบบเชงิ วศิ วกรรม
2. https://www.youtube.com/watch?v=6ZHpkeJl0uo&t=228s
3. https://www.youtube.com/watch?v=3Cr0-ukRIY8&t=206s
4. ใบงานที่ 2.3 FISHBONE DIAGRAM
5. ใบงานท่ี 2.4 กระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม
6. กิจกรรมออกแบบวิธกี ารนาเสนอ
0
10. การวัดและประเมินผล
วธิ กี าร เคร่ืองมอื เกณฑ์
แบบประเมนิ ผลงาน
ตรวจ ใบงานที่ 2.3 แบบประเมินผลงาน คุณภาพอยู่ในระดับ ดี
FISHBONE DIAGRAM ผ่านเกณฑ์
แบบประเมนิ พฤตกิ รรมกล่มุ
ตรวจ ใบงานท่ี 2.4 คุณภาพอยู่ในระดบั ดี
กระบวนการออกแบบเชิง ผา่ นเกณฑ์
วศิ วกรรม
คุณภาพอยใู่ นระดบั ดี
ประเมินพฤติกรรมกลุ่ม ผา่ นเกณฑ์
จากการทากิจกรรมออกแบบ
วิธีการนาเสนอ
แบบบนั ทกึ หลงั แผนการสอน ชน้ั มัธยมศกึ ษาปที ี่ 2
จานวน 8 ชว่ั โมง
เทคโนโลยี การออกแบบและเทคโนโลยี
หนว่ ยการเรียนรูท้ ี่ 2 การคิดเชิงออกแบบ เวลาเรียน 4 ชั่วโมง
แผนการจดั การเรยี นรูท้ ี่ 6 กระบวนการออกแบบเชงิ วิศวกรรม
ผลการเรียนรู้
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ปัญหาอุปสรรค
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ขอ้ เสนอแนะแนวทางแกไ้ ข
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงชือ่ …………………….…………….ผู้สอน
(…………………………………)
ตาแหน่ง………………………………………
………………/…………....../……………
ความคิดเหน็ ของผบู้ รหิ ารสถานศึกษา
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงชื่อ…………………………….ผบู้ ริหารสถานศึกษา
(…………………..…………………………)
ตาแหน่ง………………………………………
………………/…………....../……………
แผนการจดั การเรียนรทู้ ี่ 7
กลมุ่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 2
เทคโนโลยี การออกแบบและเทคโนโลยี จานวน 8 ชั่วโมง
หนว่ ยการเรียนรูท้ ี่ 3 วสั ดุ อุปกรณท์ างเทคโนโลยี
เวลาเรยี น 2 ชว่ั โมง
แผนการจดั การเรียนรู้ที่ 7 ความรเู้ ก่ียวกบั วัสดุ
1. มาตรฐานการเรยี นรู้
มาตรฐาน ว 4.1 เข้าใจแนวคดิ หลักของเทคโนโลยเี พ่อื การดารงชีวติ ในสังคมท่มี กี ารเปลี่ยนแปลง
อยา่ งรวดเร็ว ใช้ความรูแ้ ละทักษะทางด้านวิทยาศาสตร์ คณติ ศาสตร์ และศาสตรอ์ ื่น ๆ เพ่อื แก้ปัญหา
หรอื พฒั นางาน อย่างมคี วามคดิ สร้างสรรค์ดว้ ยกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม เลอื กใช้เทคโนโลยี
อย่างเหมาะสม โดยคานึงถึงผลกระทบต่อชวี ติ สงั คม และส่งิ แวดลอ้ ม
2. สาระสาคญั /ความคดิ รวบยอด
วสั ดแุ บ่งออกเป็น 2 ประเภท คอื โลหะ และ อโลหะ
โลหะ (Metal) เป็นวสั ดุทไ่ี ดจ้ ากการถลุงแรต่ า่ งๆ เชน่ เหลก็ ดบี ุก อลูมเิ นียม นกิ เกิล
อโลหะ (Non Metal) เปน็ วสั ดุท่มี ีสมบตั ิเปน็ ฉนวนไฟฟา้ (ยกเว้นแกรไฟต์) ฉนวนความร้อน
3. ตวั ชี้วัด/จุดประสงคก์ ารเรียนรู้
ตัวชวี้ ัด
ว 4.1 ม.2/5 ใช้ความรู้และทกั ษะเกยี่ วกับวัสดอุ ุปกรณเ์ ครอ่ื งมือ กลไก ไฟฟ้า และอิเลก็ ทรอนิกส์
เพอ่ื แก้ปัญหาหรือพัฒนางานไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ งเหมาะสม และปลอดภัย
จดุ ประสงค์
1. อธิบายลกั ษณะของวสั ดแุ ตล่ ะประเภทได้ (K)
2. แยกประเภทของวสั ดทุ ี่พบเจอในชีวติ ประจาวนั ได้ (P)
3. เห็นความสาคญั ของการเลือกใช้วัสดุให้เหมาะสมกับงาน (A)
4. สาระการเรียนรู้
1. วัสดุแตล่ ะประเภทมีสมบัตแิ ตกตา่ งกัน เชน่ ไมโ้ ลหะ พลาสติก จงึ ต้องมกี ารวเิ คราะหส์ มบัติเพือ่ เลอื กใช้ให้
เหมาะสมกบั ลกั ษณะของงาน
2. การสรา้ งชน้ิ งานอาจใช้ความรูเ้ รือ่ งกลไก ไฟฟา้ อเิ ลก็ ทรอนิกส์ เชน่ LED มอเตอร์ บัซเซอร์ เฟอื ง รอก ล้อ
เพลา
3. อุปกรณแ์ ละเครื่องมอื ในการสร้างชิน้ งาน หรอื พฒั นาวธิ ีการมีหลายประเภท ต้องเลือกใชใ้ ห้ถูกต้อง
เหมาะสม และปลอดภยั รวมท้ังรู้จกั เก็บรกั ษา
5. สมรรถนะสาคัญ
1. ความสามารถในการส่ือสาร
2. ความสามารถในการคดิ
3. ความสามารถในการแกป้ ญั หา
4. ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต
5. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี
6. คุณลกั ษณะอนั พึงประสงค์
1. มวี นิ ัย
2. ใฝเ่ รียนรู้
3. มุ่งมน่ั ในการทางาน
7. ภาระงาน
1. ใบงานท่ี 3.1 ประเภทของวสั ดุ
8. การจดั กิจกรรมการเรียนรู้
1. วิธกี ารสอนแบบสรา้ งสรรคเ์ ป็นฐาน (Creativity-Based Learning : CBL)
2. ทกั ษะการเรียนรู้และนวตั กรรม (Learning and Innovation Skills)
ชั่วโมงท่ี 1
ข้ันนาเข้าส่บู ทเรยี น
1. ผสู้ อนเปดิ คลิปวดี โิ อ Fight Scene - Pacific Rim (2013) Movie Clip HD เพอ่ื เปน็ การกระตนุ้
ความสนใจของผู้เรียน จากลงิ ค์ https://www.youtube.com/watch?v=dLptjP1RKmQ
2. ผู้สอนถามผู้เรยี นเพ่อื เป็นการทบทวนความร้เู ดิมของผู้เรยี น เช่น “นักเรียนคดิ ว่าเพราะอะไร หุ่นยนต์
ทเี่ ราเหน็ ตามภาพยนตส์ ว่ นใหญถ่ ึงตอ้ งสรา้ งมาจากเหลก็ ?”
แนวคาตอบ : เพราะเหลก็ เปน็ วสั ดทุ ี่มีความแข็งแรง
ขน้ั สอน
3. ผู้สอนอธิบายวา่ ในสมัยโบราณ มนษุ ยใ์ ช้วัสดทุ ที่ ามาจากธรรมชาติ เชน่ การนาหินมาสรา้ งเปน็ อาวุธ
นาหนังสตั ว์มาทาเครื่องนุ่งหม่ แตป่ จั จุบนั วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยพี ัฒนาและกา้ วหน้าอย่าง
รวดเรว็ จึงได้มกี ารนาความร้เู หล่าน้ีมาพฒั นาและปรบั ปรุงวัสดุตา่ งๆ เพ่อื ตอบสนองต่อความต้องการ
ทห่ี ลากหลายโดยผา่ นกระบวนการทางเทคโนโลยี
4. ผสู้ อนแจกใบความรูท้ ี่ 3 ประเภทของวสั ดุ พรอ้ มอธบิ ายวา่ โดยท่ัวไป วัสดแุ บ่งออกเป็น 2 ประเภท
คือ โลหะ และอโลหะ
1. วสั ดุประเภทโลหะ (Metals)
คือวัสดุที่ได้จากการถลงุ สนิ แรต่ ่าง ๆ อันไดแ้ ก่ เหล็ก ทองแดง อลูมิเนยี ม นิเกิล ดีบุก สังกะสี
ทองคา ตะกวั่ เปน็ ตน้ โลหะเม่ือถลงุ ไดจ้ ากสนิ แรใ่ นตอนแรกนนั้ ส่วนใหญ่จะเป็นโลหะเน้ือ
ค่อนข้างบริสุทธ์ิ โลหะเหลา่ นม้ี ักจะมีเนอื้ ออ่ นไมแ่ ข็งแรงเพยี งพอทจี่ ะนามาใชใ้ นงานอุตสาหกรรม
โดยตรง ส่วนมากจะนาไปปรบั ปรงุ คณุ สมบตั ิก่อนการใชง้ าน
วสั ดปุ ระเภทโลหะ แบง่ ออกได้เปน็ 2 ชนดิ คอื
วัสดุโลหะประเภทเหล็ก (Ferrous Metals) หมายถึง โลหะที่มีพน้ื ฐานเปน็ เหล็กประกอบ
อยู่ ไดแ้ ก่ เหลก็ เหนยี ว เหลก็ หล่อ เหลก็ กลา้ ฯลฯ เป็นวัสดโุ ลหะที่ใชก้ นั มากท่ีสดุ ในวงการ
อุตสาหกรรม เน่อื งจากเปน็ วสั ดุท่ีมคี วามแข็งแรงสงู สามารถปรบั ปรุงคุณภาพและเปล่ียนแปลง
รูปทรงไดห้ ลายวิธี เช่น การหลอ่ การกลงึ การอดั รดี ขึ้นรปู เป็นตน้
วัสดุโลหะประเภทไม่ใชเ่ หลก็ (Non-Ferrous Metals) หมายถึง โลหะทไี่ มม่ ีสว่ น
เกย่ี วข้องกบั เหลก็ เลยในขณะท่ีเป็นโลหะบริสทุ ธ์ิ ได้แก่ ดบี ุก อลูมิเนยี ม สงั กะสี ตะกั่ว ทองแดง
ทองคา เงนิ ทองคาขาว แมกนีเซยี ม พลวง เปน็ ต้น วัสดโุ ลหะประเภททีไ่ ม่ใช่เหล็กนี้ บางชนดิ
ราคาสูงกว่าเหลก็ มาก จึงตอ้ งกาหนดใช้กับงานทางอตุ สาหกรรมบางประเภทท่เี หมาะสมเทา่ นนั้
เช่น ทองแดงใชก้ ับงานไฟฟ้า ดีบุกใชก้ ับงานท่ีตอ้ งการทนตอ่ การกัดกรอ่ นเปน็ สนิม อลมู ิเนยี มใช้
กับงานทตี่ อ้ งการนา้ หนักเบา
2. วสั ดุประเภทอโลหะ (Non Metallic)
เป็นวสั ดทุ ีม่ ีสมบัติเป็นฉนวนไฟฟา้ (ยกเว้นแกรไฟต์) ฉนวนความร้อน มีอตั ราการนดื ตวั ตา่
ไม่
สามารถตีแผ่เป็นแผ่นบางได้ วัสดุประเภทอโลหะ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คอื
วัสดุจากธรรมชาติ (Natural Materials) คือ วสั ดทุ ีเ่ กิดมากจากธรรมชาติ ทีถ่ กู
นามาใช้ โดยอาจอยู่ในสภาพเดิมหรอื ต้องผ่านกระบวนการปรบั ปรงุ คุณภาพ เช่น ไม้ ยาง ผ้า
วัสดสุ งั เคราะห์ (Synthetic Materials) คือ วสั ดุทีส่ ร้างขน้ึ ใหม่จากการผสมกนั ของ
วัสดุหรือสารตง้ั แต่ 2 ชนดิ ข้ึนไป ดว้ ยกระบวนการทางเคมใี นห้องทดลอง การหลอม การกดข้นึ
รปู การอบดว้ ยความรอ้ น ซ่ึงวัสดทุ ่สี รา้ งขึน้ ใหม่จะมีคุณสมบตั ิทเี่ ปลี่ยนแปลงไปจากเดมิ มแี รงยดึ
เหน่ียวระหวา่ งโมเลกุลแนน่ กวา่ เดิม เชน่ ไม่สงั เคราะห์ พลาสติก เซรามิก แก้ว
5. ผู้สอนให้ผเู้ รียนดภู าพแผนผงั วัสดุช่าง ในใบความรู้ที่ 3 พรอ้ มอธิบายแผนผัง
ชว่ั โมงท่ี 2
ขัน้ สอน (ตอ่ )
1. ผูส้ อนแจกใบงานที่ 3.1 ประเภทของวสั ดุ พรอ้ มอธบิ ายวธิ กี ารทาใบงาน คือ ให้ผู้เรียน เขยี นช่ือของ
สิ่งของรอบตวั โดยแยกตามประเภทของวัสดุให้ได้มากทสี่ ุด
2. ผสู้ อนให้เวลาผู้เรียนในการทาใบงานโดยท่ีผู้สอนคอยดแู ลความเรยี บรอ้ ยและคอยให้คาแนะนา
เพมิ่ เตมิ
3. ผู้สอนให้ผู้เรียนทีเ่ ขยี นชอื่ ของสิ่งของรอบตวั ไดม้ ากท่สี ดุ 3 อันดับแรก ออกมาอ่านชอ่ื ของสงิ่ ของท่ี
เขียนได้ โดยใหน้ ักเรยี นคนอ่นื ๆเพ่ิมเติมช่อื ท่ตี นเองเขยี นได้
4. ผสู้ อนอธิบายเพมิ่ เติมวา่ ในชวี ิตประจาวัน มนษุ ย์นาวสั ดุจากธรรมชาตแิ ละวัสดทุ มี่ นุษย์สร้างขึ้นมาใช้
ประโยชน์มากมายในการดารงชวี ติ และนอกจากวสั ดุที่กล่าวมาแล้ว ปจั จุบันยงั มีวัสดุประเภทอืน่ ๆ ท่ี
เกิดขึ้นโดยผ่านกระบวนการทางเทคโนโลยี เช่น
1. วัสดุฉลาด (Smart materials) เป็นวัสดทุ ส่ี ามารถรบั ร้กู ารเปล่ยี นแปลงของสภาพแวดล้อมท่ี
มนั ทางานอยู่ และตอบสนองตอ่ การเปล่ียนแปลงเหล่านั้นตามรปู แบบทม่ี ีการกาหนดไวก้ อ่ น
ลว่ งหน้าเหมือนพฤติกรรมของสง่ิ มชี วี ิตประกอบดว้ ยส่วนประกอบสาคญั 2 ส่วน คือ เซนเซอร์
(sensors) คอื ตัวท่ที าหน้าที่รบั แรงกระตุน้ จากส่งิ แวดลอ้ ม และ แอคทเู อเตอร์ (actuator) คือ
ส่วนที่มหี น้าท่ตี อบสนองและปรบั เปลย่ี นรูปร่าง ตาแหนง่ ความถ่ีธรรมชาติ หรือลกั ษณะเฉพาะ
ทางกลอ่ืนๆ เพ่อื ตอบสนองการเปลยี่ นแปลงของอุณหภมู ิ สนามไฟฟ้า และหรือสนามแม่เหล็ก
2. วสั ดชุ ีวภาพ (bio materials) วสั ดุทสี่ ามารถใช้แทนสว่ นหนึ่งสว่ นใดของเน้ือเยอ้ื ในอวัยวะ สว่ น
หนึ่งสว่ นใดในรา่ งกายมนษุ ย์ทีเ่ ส่อื มสภาพโดยไมเ่ กดิ ปฏิกิริยาจากรา่ งกายมนษุ ย์ เชน่ ขาเทยี ม
3. เส้นใยแกว้ นาแสง (Fiber Optic) คอื สายนาสญั ญาณท่ผี ลติ ด้วยใยแกว้ บริสุทธิ์ ทาหน้าที่เปน็
ตวั กลางในการส่งสญั ญาณ แสงได้ในระยะทางไกลการสูญเสยี สญั ญาณต่า สามารถสง่ ข้อมลู
ไดใ้ นขนาดมากๆ (Bandwidth) และไมม่ ผี ลกระทบกบั คลื่นสญั ญาณรบกวนทางไฟฟา้ และขอ้ มูล
รั่วไหลได้ยาก
ขนั้ สรปุ
5. ผสู้ อนและผ้เู รียนรว่ มกนั สรุปว่า วสั ดมุ ีหลายประเภท การเลอื กวสั ดุให้เหมาะสมกบั งานจาเป็นต้อง
ศกึ ษาหรอื พจิ ารณาจากสมบัติของวัสดุนน้ั ใหต้ รงกบั งานท่ีออกแบบหรือผลิตภัณฑ์ เพอื่ ใหส้ ามารถ
สรา้ งชน้ิ งานไดต้ รงกบั ความตอ้ งการ มีความปลอดภัย และใช้ทรัพยากรไดอ้ ยา่ งคมุ้ คา่
6. ผสู้ อนเปดิ โอกาสให้ผเู้ รียนสอบถามเพมิ่ เติม
9. ส่อื การเรยี นรู้
1. https://www.youtube.com/watch?v=dLptjP1RKmQ
2. ใบความรทู้ ี่ 3 ประเภทของวัสดุ
3. ใบงานที่ 3.1 ประเภทของวสั ดุ
0
10. การวัดและประเมินผล
วธิ กี าร เครอื่ งมือ เกณฑ์
แบบประเมนิ ผลงาน
ตรวจใบงานท่ี 3.1 ประเภท คณุ ภาพอยใู่ นระดับ ดี
ของวสั ดุ แบบประเมินพฤติกรรม ผ่านเกณฑ์
รายบุคคล
ประเมนิ พฤตกิ รรมรายบุคคล คณุ ภาพอยู่ในระดบั ดี
จากการทากจิ กรรม ผา่ นเกณฑ์
ในห้องเรียน
แบบบนั ทกึ หลังแผนการสอน ชน้ั มัธยมศึกษาปีท่ี 2
จานวน 8 ชวั่ โมง
เทคโนโลยี การออกแบบและเทคโนโลยี
หนว่ ยการเรยี นร้ทู ่ี 3 วัสดุ อปุ กรณ์ทางเทคโนโลยี เวลาเรยี น 2 ชั่วโมง
แผนการจดั การเรยี นรทู้ ี่ 7 ความรูเ้ กย่ี วกับวัสดุ
ผลการเรยี นรู้
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ปัญหาอุปสรรค
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ข้อเสนอแนะแนวทางแก้ไข
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงชือ่ …………………….…………….ผูส้ อน
(…………………………………)
ตาแหนง่ ………………………………………
………………/…………....../……………
ความคดิ เหน็ ของผู้บรหิ ารสถานศกึ ษา
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงชอื่ …………………………….ผบู้ ริหารสถานศึกษา
(…………………..…………………………)
ตาแหนง่ ………………………………………
………………/…………....../……………
แผนการจัดการเรียนรู้ท่ี 8
กลมุ่ สาระการเรยี นรูว้ ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ชน้ั มัธยมศกึ ษาปีที่ 2
เทคโนโลยี การออกแบบและเทคโนโลยี จานวน 8 ชั่วโมง
หน่วยการเรยี นรทู้ ่ี 3 วสั ดุ อปุ กรณ์ทางเทคโนโลยี
เวลาเรียน 2 ชั่วโมง
แผนการจดั การเรียนรู้ที่ 8 เครอ่ื งกลและเคร่อื งมือในการสร้างชน้ิ งาน
1. มาตรฐานการเรยี นรู้
มาตรฐาน ว 4.1 เข้าใจแนวคดิ หลกั ของเทคโนโลยเี พอื่ การดารงชีวติ ในสงั คมท่ีมกี ารเปลีย่ นแปลง
อย่างรวดเร็ว ใชค้ วามร้แู ละทักษะทางด้านวทิ ยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และศาสตร์อืน่ ๆ เพ่ือแก้ปัญหา
หรอื พฒั นางาน อย่างมีความคดิ สร้างสรรค์ด้วยกระบวนการออกแบบเชงิ วิศวกรรม เลอื กใช้เทคโนโลยี
อย่างเหมาะสม โดยคานึงถงึ ผลกระทบต่อชีวติ สังคม และสิง่ แวดลอ้ ม
2. สาระสาคญั /ความคิดรวบยอด
เครอ่ื งกล (Mechanical) เป็นเครือ่ งมอื ทีส่ ร้างข้ึนมาเพอ่ื ชว่ ยผอ่ นแรงหรืออานวยความสะดวกในการ
ทางาน โดยออกแรงเพียงเลก็ น้อย กส็ ามารถยกของที่มีนา้ หนักมากๆ ได้ โดยเครอื่ งกลอยา่ งงา่ ย มี 5 ประเภท
ประกอบด้วย
1. รอก (Pulley)
2. คาน (Lever)
3. ลอ้ และเพลา (Wheel and Axle)
4. พืน้ เอยี ง (Inclined Plane)
5. ลมิ่ (Wedge)
6. สกรู (Screw)
เครอ่ื งมือ (Tool) ช่วยใหส้ รา้ งชนิ้ งานได้ละเอียด แมน่ ยา และรวดเรว็ ขนึ้ แบ่งออกเป็น
1. เครอ่ื งมอื วดั
2. เครื่องมือตดั
3. เครื่องมือสาหรบั ยึดติด
4. เครอื่ งมือสาหรบั เจาะ
3. ตัวชว้ี ัด/จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้
ตวั ชว้ี ัด
ว 4.1 ม.2/5 ใช้ความรู้และทกั ษะเก่ียวกบั วสั ดอุ ุปกรณเ์ ครอื่ งมือ กลไก ไฟฟา้ และอเิ ลก็ ทรอนกิ ส์
เพอื่ แก้ปัญหาหรอื พฒั นางานไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ งเหมาะสม และปลอดภยั
จุดประสงค์
1. อธิบายลักษณะการทางานของเครือ่ งกลแต่ละประเภทได้ (K)
2. เลอื กใช้เคร่ืองมอื ให้เหมาะสมกับงานได้ (P)
3. เห็นความสาคญั ของการเลอื กใช้เคร่ืองมอื ให้เหมาะสมกับงาน (A)
4. สาระการเรียนรู้
1. วัสดแุ ตล่ ะประเภทมีสมบัติแตกตา่ งกัน เช่น ไม้โลหะ พลาสติก จึงตอ้ งมีการวเิ คราะหส์ มบัติเพอื่ เลือกใช้ให้
เหมาะสมกบั ลักษณะของงาน
2. การสร้างชนิ้ งานอาจใช้ความรู้เรอ่ื งกลไก ไฟฟ้าอิเล็กทรอนกิ ส์ เชน่ LED มอเตอร์ บซั เซอร์ เฟือง รอก ล้อ
เพลา
3. อปุ กรณ์และเครือ่ งมือในการสร้างชนิ้ งาน หรือพฒั นาวิธกี ารมีหลายประเภท ตอ้ งเลอื กใช้ให้ถกู ตอ้ ง
เหมาะสม และปลอดภัย รวมทั้งร้จู กั เก็บรกั ษา
5. สมรรถนะสาคัญ
1. ความสามารถในการสอ่ื สาร
2. ความสามารถในการคิด
3. ความสามารถในการแก้ปญั หา
4. ความสามารถในการใช้ทกั ษะชีวติ
5. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี
6. คณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงค์
1. มีวนิ ยั
2. ใฝ่เรียนรู้
3. มุง่ มนั่ ในการทางาน
7. ภาระงาน
1. กจิ กรรมนาเสนอขอ้ มลู เกยี่ วกับเครือ่ งกล (Mechanical)
2. ใบงานที่ 3.2 เคร่อื งมอื (Tools)
8. การจัดกิจกรรมการเรยี นรู้
1. วิธกี ารสอนแบบสร้างสรรคเ์ ป็นฐาน (Creativity-Based Learning : CBL)
2. ทกั ษะการเรียนรู้และนวตั กรรม (Learning and Innovation Skills)
ชว่ั โมงที่ 1
ข้ันนาเข้าสูบ่ ทเรยี น
1. ผู้สอนเปิดคลิปวดี ิโอ CGI Animated Short Film: "Mechanical" เพอ่ื เป็นการกระตุน้ ความ
สนใจของผูเ้ รยี น จากลิงค์ https://www.youtube.com/watch?v=B2e0VM5v9eU
2. ผูส้ อนถามผู้เรียนเพ่ือเปน็ การทบทวนความรู้เดมิ ของผเู้ รียน เช่น “นกั เรียนคิดว่าเคร่อื งกลต่างๆมี
หลกั การทางานอย่างไร"
ข้ันสอน
3. ผสู้ อนอธบิ ายวา่ เคร่ืองกล (Mechanical) เปน็ เครอื่ งมอื ทสี่ รา้ งขนึ้ มาเพอ่ื ชว่ ยผอ่ นแรงหรอื อานวย
ความสะดวกในการทางาน โดยออกแรงเพียงเล็กน้อย กส็ ามารถยกของทมี่ นี ้าหนักมากๆ ได้ โดย
เคร่อื งกลอย่างงา่ ย มี 6 ประเภท ประกอบดว้ ย
1. รอก (Pulley)
2. คาน (Lever)
3. ล้อและเพลา (Wheel and Axle)
4. พน้ื เอยี ง (Inclined Plane)
5. ล่มิ (Wedge)
6. สกรู (Screw)
4. ผู้สอนแบง่ กลุ่มผู้เรียน ออกเป็น 6 กลุ่ม เพ่ือทากิจกรรมนาเสนอข้อมลู เก่ยี วกบั เครอ่ื งกล
(Mechanical) พร้อมอธบิ ายวิธกี ารทากจิ กรรม คอื ผู้สอนมอบหมายให้แต่ละกลมุ่ หาข้อมูลของ
เครอื่ งกลแต่ละประเภท เพ่อื นามาจัดทางานนาเสนอ โดยใช้โปรแกรม Microsoft PowerPoint
กาหนดให้แต่ละกลุ่มมีงานนาเสนอไมเ่ กนิ 10 Slide
5. ผู้สอนให้เวลาผู้เรียนในการทากจิ กรรม 30 นาที โดยที่ผู้สอนคอยดูแลความเรียบรอ้ ย และคอยให้
คาแนะนาเพ่ิมเติม
6. เมอ่ื ครบกาหนดเวลา ผู้สอนใหแ้ ต่ละกลุม่ ออกมานาเสนอผลงาน โดยใหก้ ล่มุ อื่นๆ รว่ มเสนอแนะแสดง
ความคดิ เหน็ และตั้งคาถาม
7. ผู้สอนอธบิ ายเพิ่มเตมิ วา่ เครื่องกลอย่างง่าย หรือเครื่องผอ่ นแรง ในทางฟิสกิ ส์ เปน็ อุปกรณ์ท่ีใชแ้ รง
เพียงอยา่ งเดียวในการทางาน เมอ่ื แรงหน่ึงมากระทากบั วตั ถุทาให้เกิดการเคลอื่ นย้ายทีข่ องวตั ถุ โดย
แรงทก่ี ระทาผา่ นทางระบบจะใชแ้ รงน้อยกว่าแรงท่กี ระทาโดยตรง โดยอตั ราส่วนระหว่างแรงทงั้ สองนี้
ถือวา่ เปน็ ขอ้ ได้เปรยี บเชิงกล
ชวั่ โมงท่ี 2
ขน้ั สอน (ต่อ)
1. ผ้สู อนเปิด Slide สอื่ การสอน เครอ่ื งมือทีใ่ ชใ้ นการสรา้ งชิ้นงาน พรอ้ มอธบิ าย
ประเภทของเครือ่ งมอื ทีใ่ ชใ้ นการสรา้ งชนิ้ งาน สามารถแบ่งตามประเภทการใช้งานได้ ดังนี้
เครือ่ งมือวัด
เป็นเครื่องมอื ทีใ่ ช้ในการวดั เพอ่ื บอกระยะหรือขนาดในการกาหนดตาแหน่ง ตรวจสอบระยะหรือ
ขนาดความกวา้ ง ความยาว ความสูง หรอื ความหนาของวัสดชุ น้ิ งาน
ไมบ้ รรทัดเหลก็
การใช้งาน เปน็ เครื่องมอื สาหรับวดั ความยาวของวัตถุในแนวระนาบและช่วยในการขีดเส้นใหต้ รง
ทาจากวสั ดุหลายประเภท เชน่ พลาสตกิ ไม้ อะลูมเิ นียม เหล็ก และมหี ลายขนาด ตั้งแต่ 14
เซนตเิ มตรจนถงึ 100 เซนติเมตรในหน่งึ ไม้บรรทัด
ขอ้ ควรระวัง ควรเลือกใช้ไมบรรทัดให้ตรงกับประเภทของงาน
ตลับเมตร
การใชง้ าน เป็นเครือ่ งมอื ใชส้ าหรบั วัดระยะทางหรอื วตั ถุทมี่ ขี นาดต้ังแต่ 0-10 เมตร สายวัดทา
จากแผ่นเหลก็ บาง สามารถม้วนเกบ็ ได้ปลายสายมีขอเกย่ี วสาหรบั เกย่ี วให้ติดกบั วัตถุท่ีตอ้ งการวดั
ข้อควรระวัง การม้วนสายเข้าเกบ็ ในตลบั ควรใช้มือจับช่วยผ่อนแรงไมใ่ ห้สายวัดหมนุ เข้าตลับ
เรว็ จนเกินไป เพราะอาจทาให้เกดิ อันตรายต่อผู้ใช้ได้
เวอรเ์ นียร์คาลิเปอร์
การใชง้ าน ใช้สาหรับวัดช้นิ งานทีต่ ้องการความละเอยี ด วัดไดท้ ้งั ระยะภายนอก ภายใน และวัด
ความลกึ
ขอ้ ควรระวัง ตอ้ งทาความสะอาดและลบคมชิน้ งานก่อนใช้เครอ่ื งมอื วดั ทุกคร้งั ตรวจสอบความ
สมบรู ณ์ของปากเวอร์เนยี รก์ ่อนวดั อยา่ วัดชิน้ งานขณะทชี่ ้นิ งานกาลังหมุนอยู่
เคร่ืองมอื ตดั
เปน็ เครอื่ งมือทใี่ ช้ในการตัดช้ินงานใหแ้ ยกออกจากกนั
กรรไกร
การใชง้ าน ใช้สาหรับการตัดวัสดุให้เป็นเส้นตรงเส้นโค้ง หรือเสน้ หยกั กรรไกรมหี ลายประเภท
ข้ึนอยกู่ ับลกั ษณะของงานเชน่ ตดั กระดาษ ตดั ผ้า ตัดเหล็ก ตัดพลาสตกิ
ขอ้ ควรระวัง ในปฏบิ ตั งิ านจาเป็นต้องเลือกใช้กรรไกรให้เหมาะสมกับประเภทของวสั ดุ
เช่น กรรไกรตดกระดาษ กรรไกรตัดผ้า กรรไกรตดั โลหะ
คตั เตอร์
การใชง้ าน เป็นเครอื่ งมือสาหรับตดั ปอก ขูด เหมาะสาหรับตดั กระดาษ พลาสติกลูกฟูก
ไมบ้ ลั ซา ทีเ่ ปน็ ลกั ษณะของการตัดตรง ขดู ลับความคมของดินสอ
ข้อควรระวัง คัตเตอรเ์ ป็นของมีคม ควรใชงานอย่างระมดั ระวงั หากวสั ดุเป็นแผ่นหนา ไม่ควรใช้
แรงกดมากเกินไปเพื่อใหว้ ัสดุขาดจากกนั ในครัง้ เดยี ว ควรกรีดหรอื ตัดซ้ารอยเดมิ
หลาย ๆ ครง้ั เพ่ือความปลอดภัย
เลอื่ ยฉลุ
การใชง้ าน เป็นเครือ่ งมอื สาหรบั งานไม้เหมาะสาหรบั งานตัดโคง้ ทาลวดลายกบั ชิ้นงานไม้
ทไ่ี ม่หนาและใหญม่ าก
ขอ้ ควรระวัง เมอื่ เลิกใชง้ านควรถอดใบเล่ือยออกจากโครงเล่ือยฉลุทนั ที
เล่อื ยลนั ดา
การใช้งาน เหมาะสาหรบั ตัดไมท้ ่วั ไป ตัวเล่อื ยทาจากเหล็ก ส่วนมือจับทาด้วยไมห้ รอื พลาสตกิ
ขอ้ ควรระวัง ใบเลื่อยเปน็ ของมคี ม ดงั นนั้ ควรใชง้ านด้วยความระมัดระวัง ทงั้ ตอ่ ตนเองและผอู้ ืน่
คมี ตัด
การใช้งาน ใช้สาหรับงานตดั ปอกวสั ดุชน้ิ เลก็ ทไี่ มแ่ ขง็ มากนัก เช่น สายไฟ เสน้ ลวด
ขอ้ ควรระวัง ไม่ควรใช้คีมตัดโลหะที่มีขนาดใหญห่ รอื หรอื แข็งเกินไป เมอ่ื เลิกใชง้ านควร
ทาความสะอาดเก็บเขา้ ทแี่ ละหยอดน้ามนั เสมอ
เครือ่ งมือสาหรับยดึ ตดิ
เปน็ เคร่อื งมอื ทใี่ ช้ยึดตดิ อปุ กรณ์
กาวลาเท็กซ์
การใช้งาน เหมาะสาหรับยดึ ตดิ วัสดุประเภทไมก้ ระดาษผา้ กาวชนิดนี้แหง้ ช้า ควรทงิ้ ไว้
สักระยะหนึ่ง โดยเฉพาะไมค้ วรทิง้ ไวข้ ้ามคืน เมอ่ื กาวแห้งแล้ว จะยึดตดิ วัสดไุ ดแ้ น่นมาก
กาวชนดิ นไี้ ม่เปน็ อันตรายมาก ผูใ้ ช้งานท่ีเป็นเดก็ สามารถใช้งานได้
ขอ้ ควรระวัง ใชง้ านเสรจ็ ควรปิดฝาเพ่ือป้องกนั การแหง้ ของกาว
กาวร้อน
การใชง้ าน ยดึ ติดวัสดุต่าง ๆ ไดเ้ กอื บทุกชนิด แห้งเรว็ มากเหมาะสาหรบั วัสดุประเภทยาง
พลาสติก โลหะ เซรามกิ
ขอ้ ควรระวัง ตอ้ งระวงั ไม่ใหส้ มั ผสกั ับผวิ หนงั หากถกู สัมผสั ให้ล้างออกโดยเรว็ ดว้ ยนา้
และไขมนั
เมอ่ื ใช้งานเสร็จควรปิดฝาเก็บให้มิดชิด
กาวยาง
การใชง้ าน ใช้ยึดติดวัสดุตา่ ง ๆ ไดเ้ กอื บทุกประเภทเนือ้ กาวมลี กั ษณะเป็นของเหลวมที ง้ั ที่
เป็นสีเหลอื งและสใี ส เมือ่ ทากาวแลว้ ควรทิ้งไวอ้ ยา่ งน้อย 1 ช่วั โมง เหมาะสาหรับงานเฟอรน์ เิ จอร์
หรอื งานซอ่ มแซมต่าง ๆ
ขอ้ ควรระวัง กาวชนิดน้ีละลายํนา้ ได้จึงไม่เหมาะกบั งานทีต่ อ้ งใช้กลางแจง้ หรือท่ตี อ้ งสมั ผัสกับนา้
กาวแท่ง
การใช้งาน ใช้ยดึ ติดวัสดุประเภทกระดาษเน้ือกาวมลี กั ษณะเป็นของแข็งแฉะ เนื้อกาวตดิ เรียบ
ไม่เลอะเทอะ ไมท่ าให้กระดาษย่น
ข้อควรระวัง ใชง้ านเสรจ็ ควรปดิ ฝาเกบ็ ให้เรยี บรอ้ ย
ปืนกาว
การใช้งาน ใช้สาหรับงานยึดตดิ วสั ดุประเภทกระดาษไม้ยาง พลาสตกิ
ขอ้ ควรระวัง การใชง้ านควรระวงั ไม่ใหส้ ัมผสั กบั กาวเนอ่ื งจากมคี วามร้อนค่อนขา้ งสูง
สกรแู ละนอต
การใช้งาน ใช้ยดึ ชนิ้ งานทเี่ ป็นโลหะเข้าด้วยกัน โดยตอ้ งเจาะรูชิ้นงานขนาดพอดีกบั สกรูแลว้ จึง
ขนั กรูและนอตสามารถถอดและยึดเพ่ือประกอบช้นิ งานใหม่ได้
ขอ้ ควรระวัง การขนั เขา้ สกรกู บั นอต ต้องวางตาแหน่งให้ตรงกันกอ่ นขนั เพราะอาจทาให้
เกลยี วชารุดได้
ไขควง
การใช้งาน เป็นเคร่ืองมือชา่ งท่ใี ชส้ าหรบั ขนั หรือคลายสกรูโดยลักษณะของไขควงน้นั
ประกอบดว้ ยดา้ มจับ ลาตัวหรอื ก้าน และปากไขควง โดยสามารถแยกประเภทของไขควงได้
2 ประเภท คือ ไขควงปากแบน และไขควงปากแฉก
ขอ้ ควรระวัง เลอื กขนาดไขควงให้เหมาะสมกับหวั สกรู
เครือ่ งมือสาหรับเจาะ
เป็นการเครื่องมอื ทีใ่ ช้สาหรบั เจาะชิน้ งาน เพอื่ ใหไ่ ด้รตู ามทต่ี ้องการ
ท่ีเจาะกระดาษ
การใช้งาน เปน็ เคร่ืองมือใชส้ าหรบั ในการเจาะกระดาษมหี ลายขนาด ทามาจากเหลก็ ใชเ้ จาะ
รูขนาดเล็กเหมาะสาหรับเจาะกระดาษ
ขอ้ ควรระวัง ไม่ควรเจาะกระดาษที่หนาจนเกนิ ไป
สวา่ นมอื
การใช้งาน เปน็ เครื่องมือเจาะรทู ี่ใชร้ ว่ มกับดอกสวา่ นมเี ฟอื งเป็นเครื่องผ่อนแรงช่วยขับดอก
สวา่ นให้หมนุ เจาะรู ปลายดอกสว่านจะเป็นตัวเจาะวัสดุและนาเศษวสั ดุท่ถี ูกเจาะออกไปจากรู
ใชเ้ จาะรูขนาดเล็ก เหมาะสาหรบงานไม้ งานโลหะ งานพลาสติก ท่ีมีชน้ิ งานไม่หนามาก
ข้อควรระวัง การใสด่ อกสว่านควรจับยดึ ให้ดีถา้ ใส่ดอกสวา่ นไม่ดจี ะหลุดหรอื หกั ไดง้ า่ ย
สว่านไฟฟ้า
การใช้งาน เป็นเคร่อื งมือเจาะทใ่ี ชร้ ่วมกบั ดอกสว่าน ใช้กาลังขับจากมอเตอร์ไฟฟ้า ใชใ้ นการเจาะ
รใู นงานโลหะหรอื งานไม้ ปจั จบุ ันสวา่ นไฟฟา้ เป็นที่นิยมใช้กันมากกวา่ สว่านชนดิ อื่น ๆ
เพราะมีความสะดวก รวดเรว็ ประหยดั เวลา ประสิทธภิ าพ
ขอ้ ควรระวัง ไม่ควรใช้ดอกสว่านผิดประเภท เช่น ดอกสว่านเจาะคอนกรีตไมค่ วรนาไปเจาะเหล็ก
8. ผู้สอนอธบิ ายเพม่ิ เติมว่า การเลือกใช้วัสดุใหเ้ หมาะสมกับงานจะตอ้ งใช้ความรู้เร่ืองสมบตั ิของวสั ดุ
และในการลงมือสร้างชิ้นงานต้องเลอื กใช้อปุ กรณ์ หรอื เครื่องมืออยา่ งเหมาะสมกับประเภทของวัสดุ
ใช้อย่างถูกตอ้ ง และคานงึ ถึงความปลอดภัยในการใชง้ าน
9. ผูส้ อนแจกใบงานที่ 3.2 เครือ่ งมือ (Tools) พรอ้ มอธิบายวิธกี ารทาใบงาน คอื ให้ผู้เรียนหาข้อมูล
เกย่ี วกับเครอ่ื งมอื แล้วนาชื่อเครอื่ งมอื พร้อมวธิ กี ารใช้งาน มาใส่ลงในชอ่ งท่ตี รงกบั ประเภท
ของเครื่องมือน้นั ๆ
10. ผู้สอนให้เวลาผู้เรียนในการทาใบงาน โดยที่ผสู้ อนคอยดูแลความเรยี บรอ้ ย และคอยให้คาแนะนา
เพิม่ เติม
11. ผู้สอนส่มุ ผู้เรียนออกมานาเสนอใบงาน โดยให้ผ้เู รียนคนอน่ื ๆ ช่วยกันเสนอแนะ แสดงความคิดเห็น
ขน้ั สรุป
12. ผูส้ อนและผู้เรียนรว่ มกันสรุปว่า เครอ่ื งกลหรอื กลไก เปน็ สง่ิ สาคญั ท่ีทาใหร้ ะบบมีการขบั เคลื่อนหรือ
ดาเนนิ การอยไู่ ด้ การทางานของกลไก จะตอ้ งเปน็ การทางานทีส่ มั พันธ์กนั ของอปุ กรณแ์ ตล่ ะชิน้ ใน
ระบบน้นั ๆ การเลือกใชเ้ คร่ืองกลใหเ้ หมาะสมกับงาน จะทาให้การทางานเป็นไปอย่างมีประสทิ ธภิ าพ
ตรงตามวัตถปุ ระสงค์ และการสรา้ งชน้ิ งานตอ้ งเลือกใช้อปุ กรณ์ หรือเคร่ืองมอื อย่างเหมาะสมกับ
ประเภทของวัสดุ ใช้อยา่ งถูกตอ้ ง และคานึงถงึ ความปลอดภยั ในการใช้งาน
13. ผสู้ อนเปิดโอกาสให้ผเู้ รียนสอบถามเพม่ิ เตมิ
9. สือ่ การเรียนรู้
1. https://www.youtube.com/watch?v=B2e0VM5v9eU
2. Slide สื่อการสอน เคร่ืองมือทใี่ ชใ้ นการสร้างช้ินงาน
3. กิจกรรมนาเสนอข้อมลู เกย่ี วกับเครื่องกล (Mechanical)
4. ใบงานที่ 3.2 เครื่องมือ (Tools)
0
10. การวัดและประเมินผล
วิธกี าร เครอื่ งมือ เกณฑ์
แบบประเมนิ ผลงาน
ตรวจใบงานที่ 3.2 เครอื่ งมือ คุณภาพอยู่ในระดับ ดี
(Tools) แบบประเมนิ พฤตกิ รรมกลมุ่ ผ่านเกณฑ์
ประเมินพฤตกิ รรมกลมุ่ คณุ ภาพอยใู่ นระดับ ดี
จากการทากิจกรรม ผา่ นเกณฑ์
นาเสนอขอ้ มลู เกี่ยวกบั
เครื่องกล (Mechanical)
แบบบันทึกหลังแผนการสอน ชั้นมัธยมศึกษาปที ี่ 2
จานวน 8 ชวั่ โมง
เทคโนโลยี การออกแบบและเทคโนโลยี
หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี 3 วสั ดุ อปุ กรณท์ างเทคโนโลยี เวลาเรยี น 2 ช่วั โมง
แผนการจัดการเรยี นรทู้ ี่ 8 เครือ่ งกลและเคร่อื งมือในการสร้างช้ินงาน
ผลการเรียนรู้
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ปัญหาอปุ สรรค
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ขอ้ เสนอแนะแนวทางแกไ้ ข
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงชือ่ …………………….…………….ผู้สอน
(…………………………………)
ตาแหนง่ ………………………………………
………………/…………....../……………
ความคิดเห็นของผู้บรหิ ารสถานศกึ ษา
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงชื่อ…………………………….ผบู้ ริหารสถานศึกษา
(…………………..…………………………)
ตาแหนง่ ………………………………………
………………/…………....../……………
แผนการจัดการเรียนร้ทู ่ี 9
กล่มุ สาระการเรยี นรูว้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชัน้ มัธยมศกึ ษาปีที่ 2
เทคโนโลยี การออกแบบและเทคโนโลยี จานวน 8 ช่วั โมง
หน่วยการเรยี นรู้ท่ี 3 วัสดุ อุปกรณ์ทางเทคโนโลยี
เวลาเรียน 2 ชวั่ โมง
แผนการจัดการเรียนรทู้ ี่ 9 เสียงและอปุ กรณ์ทท่ี าให้เกิดเสยี ง
1. มาตรฐานการเรยี นรู้
มาตรฐาน ว 4.1 เข้าใจแนวคิดหลักของเทคโนโลยเี พ่อื การดารงชีวติ ในสงั คมท่มี ีการเปล่ยี นแปลง
อย่างรวดเร็ว ใชค้ วามร้แู ละทกั ษะทางด้านวทิ ยาศาสตร์ คณติ ศาสตร์ และศาสตร์อน่ื ๆ เพ่อื แก้ปัญหา
หรอื พฒั นางาน อยา่ งมคี วามคิดสร้างสรรค์ด้วยกระบวนการออกแบบเชงิ วิศวกรรม เลอื กใช้เทคโนโลยี
อยา่ งเหมาะสม โดยคานงึ ถึงผลกระทบตอ่ ชีวิต สงั คม และสิ่งแวดล้อม
2. สาระสาคัญ/ความคดิ รวบยอด
เสยี ง เกิดจากการสนั่ ของวัตถุทาให้เกดิ พลงั งานท่ีวตั ถถุ ่ายเทไปยังตัวกลางแล้วเดินทางไปจนถึงผ้รู ับเสียง
เสียงเปน็ คลื่นกลตามยาวทเ่ี กิดจากการสัน่ ของแรงกาเนิดเสียง พลงั งานของการสั่นจะถกู ถา่ ยโอนใหแ้ ก่โมเลกลุ ของ
ตัวกลางทอ่ี ยรู่ อบๆ ส่งผลให้โมโลกลุ ของตัวกลางเกิดการอัดตวั ขยายตัว แล้วเกิดการถ่ายทอดพลงั งานไปโดย
อนุภาคตวั กลาง ส่ันไปมาอยทู่ ี่เดิม
3. ตวั ชวี้ ัด/จดุ ประสงค์การเรียนรู้
ตัวชีว้ ัด
ว 4.1 ม.2/5 ใช้ความรแู้ ละทกั ษะเกี่ยวกับวสั ดอุ ปุ กรณ์เครอ่ื งมอื กลไก ไฟฟา้ และอิเล็กทรอนิกส์
เพือ่ แก้ปญั หาหรอื พัฒนางานได้อย่างถกู ต้องเหมาะสม และปลอดภยั
จุดประสงค์
1. อธบิ ายได้วา่ เสยี งเกดิ จากอะไร (K)
2. เลือกใช้งานอปุ กรณท์ ่ที าใหเ้ กดิ เสยี งไดอ้ ย่างเหมาะสม (P)
3. เห็นความสาคญั ของการใชเ้ สียงเพอ่ื การสอ่ื สาร (A)
4. สาระการเรยี นรู้
1. วสั ดแุ ต่ละประเภทมีสมบตั แิ ตกต่างกัน เชน่ ไม้โลหะ พลาสติก จึงต้องมกี ารวเิ คราะหส์ มบัติเพื่อเลอื กใช้ให้
เหมาะสมกบั ลักษณะของงาน
2. การสร้างช้ินงานอาจใชค้ วามร้เู รอ่ื งกลไก ไฟฟ้าอิเล็กทรอนกิ ส์ เช่น LED มอเตอร์ บัซเซอร์ เฟือง รอก ล้อ
เพลา
3. อุปกรณแ์ ละเครอ่ื งมือในการสรา้ งชิน้ งาน หรอื พัฒนาวธิ กี ารมีหลายประเภท ต้องเลอื กใช้ให้ถูกต้อง
เหมาะสม และปลอดภยั รวมทั้งรู้จักเก็บรกั ษา
5. สมรรถนะสาคัญ
1. ความสามารถในการสือ่ สาร
2. ความสามารถในการคดิ
3. ความสามารถในการแก้ปญั หา
4. ความสามารถในการใช้ทกั ษะชวี ิต
5. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี
6. คณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค์
1. มีวินยั
2. ใฝเ่ รียนรู้
3. มุ่งม่ันในการทางาน
7. ภาระงาน
1. กิจกรรม ประดษิ ฐ์ลาโพงจากกระปอ๋ งและขวดน้าอดั ลม
2. ใบงานท่ี 3.3 ลาโพง
8. การจัดกิจกรรมการเรียนรู้
1. วิธกี ารสอนแบบสร้างสรรค์เป็นฐาน (Creativity-Based Learning : CBL)
2. ทกั ษะการเรยี นรแู้ ละนวัตกรรม (Learning and Innovation Skills)
ช่วั โมงที่ 1
ขั้นนาเขา้ สู่บทเรยี น
1. ผู้สอนเปดิ คลิปวิดโี อ LISA - 'LALISA' M/V เพื่อเป็นการกระตนุ้ ความสนใจของผเู้ รยี น
จากลงิ ค์ https://www.youtube.com/watch?v=awkkyBH2zEo
2. ผสู้ อนถามผเู้ รยี นเพอื่ เปน็ การทบทวนความร้เู ดิมของผเู้ รยี น เช่น “นกั เรียนทกุ คน คงเคยฟังเพลง
คงเคยได้ยนิ เสียงสง่ิ ตา่ งๆรอบตวั และนกั เรียนรู้หรอื ไม่วา่ เสียงเกดิ จากอะไร?"
ขน้ั สอน
3. ผู้สอนชวนผ้เู รียนพดู คยุ วา่ การสอื่ สารในชีวิตประจาวันเกิดข้นึ อยูต่ ลอดเวลา และเสยี งเปน็ การ
สอื่ สารทรี่ วดเรว็ และเกดิ ความชัดเจนมากกวา่ การสอ่ื สารท่ีรวดเร็วและเกิดความชดั เจนมากกวา่ การ
ส่อื สารในรูปแบบอนื่ ๆ ทาใหม้ กี ารคดิ คน้ เทคโนโลยีตา่ งๆ ท่จี ะทาใหก้ ารตดิ ต่อส่อื สารนั้นมที ง้ั ภาพและ
เสยี งเพ่ือการพูดคุยได้ชดั เจนและเป็นการลดปัญหาเกีย่ วกบั การพูดคุย
4. ผู้สอนแจกใบความร้ทู ี่ 4 เสียง พร้อมอธิบายใบความรู้
เสยี ง (sound) เกิดจากการส่ันของวัตถแุ ละเกิดการถ่ายเทพลังงานไปยังตัวกลาง แล้วเดินทางไป
จนถงึ ผู้รับเสียง
ปจั จัยท่ีมผี ลตอ่ ความเรว็ ของเสยี ง
1. ชนิดของตัวกลาง เสียงอาศัยตัวกลาง เมอื่ เปล่ียนตัวกลางจากอากาศเป็นของแข็ง หรอื ของเหลว
จาทาให้มีอตั ราเร็วของเสียงท่ีเดินทางไปตามตัวกลางท่อี ณุ หภมู เิ ดยี วกัน จะแตกต่างกัน
อัตราเรว็ ของเสยี งในตวั กลางตา่ งๆ ที่อุณหภูมิ 25 องศาเซลเซียส
อัตราเร็วของเสยี ง เมตรต่อวนิ าที (m/s)
2. อณุ หภมู ิ อตั ราเรว็ เสียงขณะอุณหภูมิสงู จะมากกว่าอตั ราเร็วเสยี งทอี่ ุณหูมติ ่า เนอ่ื งจาก อณุ หภูมิ
สูงขึ้น พลังงานจลนม์ ากข้ึน ทาใหเ้ กิดการอัดและขยายตัวเรว็ ทาให้เสียงเคล่อื นท่ไี ดเ้ ร็วข้นึ
5. แบ่งกลมุ่ ผูเ้ รยี น กลมุ่ 3 คน เพอ่ื ทากิจกรรม ประดิษฐ์ลาโพงจากกระป๋องและขวดนา้ อัดลม พร้อม
อธบิ ายวิธีการทากิจกรรม คอื ให้ผเู้ รียนศึกษาวิธกี ารทาลาโพงจาก คลิปวิดีโอ DIY ลาโพง ทาจาก
กระป๋อง และขวดนา้ อัดลม จากลงิ ค์ https://www.youtube.com/watch?v=SGB7rBJuuyU
6. ผู้สอนใหเ้ วลาผู้เรยี นในการทากจิ กรรม 30 นาที โดยทผ่ี ู้สอนคอยดแู ลความเรยี บร้อย และคอยให้
คาแนะนาเพมิ่ เติม
7. เม่ือครบกาหนดเวลา ผู้สอนให้แต่ละกลมุ่ ออกมานาเสนอผลงาน โดยให้กลมุ่ อืน่ ๆ ร่วมเสนอแนะแสดง
ความคิดเห็น และต้งั คาถาม
8. ผสู้ อนอธิบายเพมิ่ เติมวา่ หลักการของลาโพงจากกระปอ๋ งและขวดนา้ อัดลม คือ เมื่อเสียงจากลาโพง
โทรศัพท์มือถือเข้าไปในกระปอ๋ ง เสียงกจ็ ะถกู อดั อยู่ในกระปอ๋ ง ทาให้อากาศทีอ่ ยใู่ นกระป๋องส่ันตาม
เสยี ง ทาใหเ้ กดิ เปน็ เสยี ง โดยที่เสียงออกทางชอ่ งขยายเสยี ง
ช่วั โมงที่ 2
ข้นั สอน (ตอ่ )
1. ผ้สู อนแจกใบงานที่ 3.3 ลาโพง พรอ้ มอธิบายวธิ ีการทาใบงาน คอื ให้ผู้เรียนกลุ่มเดมิ หาขอ้ มลู
เก่ยี วกบั ลาโพง และวาดภาพเพ่อื แสดงสว่ นประกอบของลาโพง พร้อมอธบิ ายหลักการทางาน
2. ผสู้ อนให้เวลาผู้เรียนในการทาใบงาน โดยท่ีผู้สอนคอยดแู ลความเรยี บร้อย และคอยให้คาแนะนา
เพม่ิ เติม
3. ผสู้ อนให้แต่ละกลุ่มออกมานาเสนอผลงาน โดยให้กลมุ่ อน่ื ๆ รว่ มเสนอแนะแสดงความคิดเหน็
4. ผ้สู อนอธิบายส่วนประกอบ และหลกั การทางานของลาโพง
บาสเค็ท / เฟรม / เซสซี (Basket / Frame / Chassis)
คือ โครงสร้างของลาโพง ซ่งึ นยิ มทามาจากวสั ดุต่างๆเชน่ เหลก็ กล้า อลูมเิ นียม และพลาสติก
โดยมีความแข็งแรง เพอื่ ให้สว่ นประกอบของลาโพงอยู่ในตา่ แหนง่ ท่ีบาลานซเ์ หมาะสม
สไปเดอร์ (Spider)
เป็นส่วนประกอบของดอกลาโพงทมี่ คี วามยดื หยนุ่ ลักษณะเหมือนลกู ฟกู ทาหนา้ ที่รองรับการ
เคล่ือนทีข่ อง Voice Coil (วอยทค์ อยล์) ให้อยใู่ นตาแหน่งท่สี มดุลบาลานซ์
โคน (Cone) / ไดอะแฟรม (Diaphragm) หรอื กรวยลาโพง
เป็นสว่ นประกอบโครงสรา้ งของลาโพงทม่ี กี ารเคลือ่ นที่คลา้ ยๆลูกสบู เม่อื มีสญั ญาณเขา้ มา
การเคล่ือนทน่ี ั้นจะทาให้อากาศรอบๆ Cone มีการบีบอัด และเกดิ ขึน้ มาเป็นเสียง
ดสั แคป็ (Dust Cap) / โดม (Dome)
เปน็ สว่ นประกอบท่มี ีหน้าทีห่ ลักในการป้องกนั สง่ิ สกปรก เศษต่างๆ ไมใ่ ห้เข้าไปสู่ Voice Coil ซึ่ง
ถา้ หากไม่มโี ดมหรอื ดสั แคป็ น้ี ฝนุ่ ก็จะสามารถเข้าไปจบั ท่วี อยทค์ อยล์ได้ ซง่ึ จะสง่ ผลกระทบตอ่
ความเพีย้ นของเสยี งทจ่ี ะเกดิ ขึ้นได้
วอยซ์คอยล์ (Voice Coil) / ขดลวด
ขดลวดซึง่ ปกตทิ าจากทองแดงและอลูมิเนยี มพันรอบ Former ปลายของ Voice Coil จะติดอยู่
กบั Cone โดยกระแสจะไหลผ่านเขา้ มาทาง Voice Coil และเกดิ การสร้างสนามแม่เหล็กขน้ึ มา
แมค็ เนท (Magnet) / แมเ่ หล็ก
แมก็ เนทหรือแม่เหลก็ ของดอกลาโพง ซึง่ เป็นแมเ่ หลก็ ถาวรท่มี ีการสร้างสนามแม่เหลก็ ไฟฟา้ ตัด
กับสนามแมเ่ หลก็ ท่ีเกดิ จาก Voice Coil ซง่ึ การตดั กนั ทาใหเ้ กิดการขยับของ Cone ขึ้น – ลง
9. ผู้สอนอธิบายเพมิ่ เติมวา่ ผู้เรยี นสามารถศกึ ษาหาข้อมลู เพมิ่ เตมิ เก่ียวกับลาโพงได้ จากลิงค์
https://www.sounddd.shop/parts-of-speaker/
10. ผู้สอนอธบิ ายเพมิ่ เติมวา่ นอกจากลาโพง ยงั มีบซั เซอร์ (Buzzer) คอื ลาโพงแบบแมเ่ หล็กหรอื แบบ
เปยี โซทมี่ ีวงจรกาเนิดความถี่ (oscillator ) อยู่ภายในตวั สามารถสร้างเสยี งเตือนหรอื ส่งสัญญาณท่ี
เปน็ รูปแบบต่างๆ เชน่ เสียง ป๊ีบที่อย่ใู นคอมพิวเตอรก์ ็ใช้บลัซเซอร์ในการส่งสญั ญาณให้ทราบสถานะ
ของคอมพิวเตอร์ใหท้ ราบว่ามีปัญหาอะไร
ขั้นสรปุ
11. ผูส้ อนและผเู้ รยี นรว่ มกนั สรุปวา่ เสียง เป็นคลื่นเชิงกลทีเ่ กิดจากการสัน่ สะเทอื นของวตั ถุ เม่ือวัตถุ
ส่นั สะเทือน กจ็ ะทาให้เกิดการอัดตัวและขยายตัวของคลนื่ เสียง และถูกส่งผ่านตัวกลาง เชน่ อากาศ
ไปยงั หู แตเ่ สยี งสามารถเดินทางผ่านสสารในสถานะกา๊ ซ ของเหลว และของแข็งกไ็ ด้
12. ผู้สอนเปิดโอกาสให้ผู้เรียนสอบถามเพมิ่ เตมิ
9. ส่ือการเรียนรู้
1. https://www.youtube.com/watch?v=awkkyBH2zEo
2. https://www.youtube.com/watch?v=SGB7rBJuuyU
3. ใบความรทู้ ่ี 4 เสียง
4. กิจกรรม ประดษิ ฐ์ลาโพงจากกระปอ๋ งและขวดน้าอัดลม
5. ใบงานท่ี 3.3 ลาโพง
6. https://www.sounddd.shop/parts-of-speaker/
0
10. การวัดและประเมนิ ผล เครื่องมอื เกณฑ์
วิธกี าร แบบประเมินผลงาน
คณุ ภาพอยูใ่ นระดับ ดี
ตรวจใบงานที่ 3.3 ลาโพง ผา่ นเกณฑ์
ประเมนิ พฤตกิ รรมกลุ่ม แบบประเมินพฤติกรรมกล่มุ คณุ ภาพอยใู่ นระดับ ดี
จากการทากิจกรรม ผา่ นเกณฑ์
ประดิษฐล์ าโพงจากกระปอ๋ ง
และขวดน้าอดั ลม
แบบบนั ทึกหลังแผนการสอน ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 2
จานวน 8 ช่ัวโมง
เทคโนโลยี การออกแบบและเทคโนโลยี
หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 3 วสั ดุ อุปกรณท์ างเทคโนโลยี เวลาเรียน 2 ช่ัวโมง
แผนการจดั การเรยี นรทู้ ่ี 9 เสยี งและอปุ กรณ์ทีท่ าใหเ้ กิดเสยี ง
ผลการเรยี นรู้
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ปัญหาอุปสรรค
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ข้อเสนอแนะแนวทางแก้ไข
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงช่อื …………………….…………….ผสู้ อน
(…………………………………)
ตาแหน่ง………………………………………
………………/…………....../……………
ความคิดเห็นของผบู้ รหิ ารสถานศึกษา
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงชื่อ…………………………….ผู้บริหารสถานศึกษา
(…………………..…………………………)
ตาแหนง่ ………………………………………
………………/…………....../……………
เ
แผนการจัดการเรียนร้ทู ่ี 10
กลุม่ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ชัน้ มธั ยมศึกษาปที ่ี 2
เทคโนโลยี การออกแบบและเทคโนโลยี จานวน 8 ชัว่ โมง
หน่วยการเรยี นรู้ท่ี 3 วัสดุ อุปกรณ์ทางเทคโนโลยี
เวลาเรียน 2 ช่ัวโมง
แผนการจดั การเรียนรู้ท่ี 10 ไฟฟา้ และอปุ กรณท์ ่ีทาให้เกดิ แสง
1. มาตรฐานการเรยี นรู้
มาตรฐาน ว 4.1 เขา้ ใจแนวคิดหลักของเทคโนโลยเี พือ่ การดารงชีวติ ในสังคมที่มกี ารเปลี่ยนแปลง
อย่างรวดเร็ว ใชค้ วามรูแ้ ละทกั ษะทางด้านวทิ ยาศาสตร์ คณติ ศาสตร์ และศาสตรอ์ น่ื ๆ เพอ่ื แก้ปญั หา
หรอื พฒั นางาน อยา่ งมคี วามคิดสรา้ งสรรค์ด้วยกระบวนการออกแบบเชิงวศิ วกรรม เลอื กใช้เทคโนโลยี
อย่างเหมาะสม โดยคานึงถงึ ผลกระทบต่อชีวิต สงั คม และสิ่งแวดลอ้ ม
2. สาระสาคัญ/ความคิดรวบยอด
ไฟฟา้ (Electricity) เปน็ พลงั งานรูปแบบหนึ่งที่เกิดจากการแยกตัวออกมา หรือการเคล่อื นทีข่ อง
อิเล็กตรอน (Electron ; e) เป็นอนภุ าคประจลุ บ หรอื โปรตอน (Proton ; p) เปน็ อนุภาคประจุบวก ใช้ประโยชน์
ในการสรา้ งพลังงานอ่ืน เชน่ พลงั งานความรอ้ น พลงั งานกล
3. ตัวช้ีวัด/จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้
ตวั ชวี้ ัด
ว 4.1 ม.2/5 ใช้ความรูแ้ ละทกั ษะเกีย่ วกับวัสดอุ ปุ กรณเ์ คร่ืองมอื กลไก ไฟฟ้า และอเิ ลก็ ทรอนิกส์
เพอ่ื แกป้ ัญหาหรือพฒั นางานไดอ้ ยา่ งถกู ต้องเหมาะสม และปลอดภัย
จุดประสงค์
1. อธบิ ายได้ว่าไฟฟ้าคอื อะไร (K)
2. แสดงข้นั ตอนการทางานของวงจรไฟฟ้าแบบเปิดและแบบปิดได้ (P)
3. เห็นประโยชน์ของการใชไ้ ฟฟา้ ในชวี ติ ประจาวนั (A)
4. สาระการเรียนรู้
1. วัสดแุ ต่ละประเภทมีสมบตั แิ ตกตา่ งกัน เชน่ ไมโ้ ลหะ พลาสตกิ จึงต้องมกี ารวเิ คราะห์สมบตั เิ พอ่ื เลอื กใช้ให้
เหมาะสมกบั ลกั ษณะของงาน
2. การสรา้ งชน้ิ งานอาจใช้ความรเู้ รื่องกลไก ไฟฟ้าอเิ ลก็ ทรอนิกส์ เชน่ LED มอเตอร์ บัซเซอร์ เฟือง รอก ล้อ
เพลา
3. อุปกรณแ์ ละเคร่อื งมอื ในการสร้างช้ินงาน หรือพัฒนาวิธีการมีหลายประเภท ต้องเลอื กใชใ้ ห้ถกู ต้อง
เหมาะสม และปลอดภยั รวมทงั้ ร้จู ักเก็บรกั ษา
5. สมรรถนะสาคัญ
1. ความสามารถในการสื่อสาร
2. ความสามารถในการคดิ
3. ความสามารถในการแก้ปัญหา
4. ความสามารถในการใช้ทกั ษะชีวติ
5. ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี
6. คณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค์
1. มีวินยั
2. ใฝ่เรียนรู้
3. ม่งุ มัน่ ในการทางาน
7. ภาระงาน
1. ใบงานที่ 3.4 เครือ่ งใช้ไฟฟา้
2. ใบงานที่ 3.5 วงจรไฟฟา้
8. การจดั กิจกรรมการเรยี นรู้
1. วธิ ีการสอนแบบสร้างสรรค์เปน็ ฐาน (Creativity-Based Learning : CBL)
2. ทกั ษะการเรยี นรแู้ ละนวตั กรรม (Learning and Innovation Skills)
ชวั่ โมงที่ 1
ขน้ั นาเข้าสูบ่ ทเรยี น
1. ผู้สอนเปิดคลิปวิดโี อ รวมคลิปฟา้ ผ่าเพือ่ เป็นการกระตนุ้ ความสนใจของผู้เรยี น
จากลิงค์ https://www.youtube.com/watch?v=i36kuPO4GKc
2. ผูส้ อนถามผ้เู รียนเพ่ือเปน็ การทบทวนความรูเ้ ดมิ ของผู้เรียน เช่น “นกั เรียนทุกคน คงเคยเห็นผ้าแล่บ
ฟ้าผ่า แล้วนกั เรยี นรหู้ รอื ไมว่ า่ เกิดจากอะไร?"
แนวคาตอบ :
เกิดจากภายในก้อนเมฆจะมีการไหลเวยี นของกระแสอากาศอย่างรวดเรว็ และรนุ แรง ทาให้หยดนา้
และก้อนน้าแข็งในเมฆเสียดสีกันจนเกดิ ประจุไฟฟ้า โดยพบว่าประจบุ วกมักจะอยบู่ ริเวณยอดเมฆ
ส่วนประจลุ บอยบู่ ริเวณฐานเมฆ ซ่งึ ประจุลบทฐ่ี านเมฆอาจจะเหนีย่ วนาใหพ้ ้ืนผวิ ของโลกท่อี ยู่ใต้เงา
ของมันมีประจเุ ปน็ บวกดว้ ย
ข้นั สอน
3. ผู้สอนชวนผ้เู รยี นพดู คยุ เก่ยี วกบั ความสาคญั ของไฟฟา้ เนือ่ งจากไฟฟา้ เป็นสง่ิ ทข่ี าดไม่ได้เลยในการ
ดารงชีวติ ในปจั จุบนั เพราะอปุ กรณ์ทกุ ช้นิ จาเปน็ ต้องมีไฟฟา้ เป็นแหลง่ พลังงาน
4. ผู้สอนแจกใบความรทู้ ี่ 5 ไฟฟ้า พร้อมอธิบายใบความรู้
ไฟฟ้า (Electricity) เปน็ พลงั งานรปู แบบหน่งึ ที่เกิดจากการแยกตวั ออกมา หรอื การเคลื่อนท่ี
ของอิเลก็ ตรอน (Electron ; e) เปน็ อนภุ าคประจลุ บ หรือโปรตอน (Proton ; p) เป็นอนภุ าคประจุ
บวก ใชป้ ระโยชนใ์ นการสร้างพลงั งานอนื่ เช่น พลังงานความร้อน พลังงานกล
วงจรไฟฟา้ (Electrical circuit) เกดิ ขึน้ ได้เมื่อมีกระแสไฟฟ้าไหลผา่ น ซ่งึ แบง่ กระแสไฟฟา้ ได้
เปน็ 2 ชนิด คือ ไฟฟา้ กระแสตรง และไฟฟ้ากระแสสลับ ในบา้ นทกุ บ้านท่ใี ช้ไฟฟ้าจะเปน็ ไฟฟา้
กระแสสลับ การนาไฟฟา้ มาใช้ จาเปน็ ตอ้ งมีอุปกรณท์ ่รี องรับไฟฟา้ กระแสสลับ ซง่ึ ตัวอุปกรณ์ไฟฟ้าแต่
ละชนิดมีสิ่งหนึง่ ท่ีเหมือนกันติดตัง้ ในวงจรไฟฟ้าอยู่ เพอ่ื ให้สามารถนามาใช้กับไฟฟ้าภายในบ้านไดก้ ็
คือ ตัวต้านทาน (Resistor)
อปุ กรณแ์ ตล่ ะชนดิ ต้องการกระแสไฟฟ้าท่ีแตกต่างกัน วงจรไฟฟา้ ต่างๆ จึงมีวิธกี ารตอ่ ตัวตา้ นทาน
ได้ 2 แบบ คอื แบบอนุกรม และ แบบขนาน
จากรูปวงจรไฟฟ้า มสี ว่ นประกอบทสี่ าคญั 3 ส่วน คือ
1. แหล่งกาเนดิ ไฟฟา้ (Power Source) แหล่งจา่ ยแรงดันไฟฟ้าไปท้ังวงจร เช่น ถ่านไฟฉาย
2. ตัวนาไฟฟ้า (Conductor) วสั ดุท่ียอมให้กระแสไฟฟ้าไหลผา่ น เช่น สายไฟ ทองแดง เงนิ
3. เครื่องใช้ไฟฟา้ หรือโหลด (Electric Appliances or Load) คือ เคร่อื งใชไ้ ฟฟา้ ที่เปลยี่ น
แรงดนั ไฟฟ้าท่ไี ดร้ บั ให้เป็นพลงั งานรูปแบบอน่ื เช่น เตารดี เปลย่ี นพลังงานไฟฟา้ เป็นพลังงาน
ความรอ้ น
5. ผสู้ อนแจกใบงานท่ี 3.4 เครอื่ งใชไ้ ฟฟา้ พรอ้ มอธบิ ายวธิ ีการทาใบงาน คอื ให้ผเู้ รียน หาขอ้ มูล
เกย่ี วกบั วงจรของเครอื่ งใช้ไฟฟ้าภายในบา้ น คนละ 1 ช้ิน วาดภาพแสดงแผนผังวงจร พรอ้ มอธบิ าย
หลักการทางาน
6. ผู้สอนให้เวลาผู้เรียนในการทาใบงาน โดยท่ีผสู้ อนคอยดแู ลความเรยี บรอ้ ย และคอยให้คาแนะนา
เพ่มิ เติม
7. เมอื่ ครบกาหนดระยะเวลา ผู้สอนสุม่ ผู้เรยี นออกมานาเสนอใบงาน โดยที่ใหผ้ ู้เรียนคนอนื่ ๆ เสนอแนะ
แสดงความคิดเหน็
8. ผสู้ อนอธบิ ายเพิม่ เตมิ โดยยกตวั อย่างหลักการทางานของเตารดี คอื เม่อื ปลอ่ ยกระแสไฟฟา้ ผ่าน
ขดลวดตวั นาท่ีมีความต้านทานสงู ๆ ลวดตัวนานนั้ จะร้อน จนสามารถนาความร้อนไปใช้ประโยชน์ได้
หรอื พัดลมมกี ารเปลีย่ นรปู แรงดนั ไฟฟา้ เป็นพลังงานกล โดยอาศยั หลกั การเหนีย่ วนาแมเ่ หล็กไฟฟา้
ดว้ ยอุปกรณท์ ่เี รียกวา่ มอเตอร์และเครือ่ งควบคุมความเรว็
ช่วั โมงท่ี 2
ขัน้ สอน (ต่อ)
1. ผู้สอนอธบิ ายเพิม่ เติมว่า วงจรไฟฟา้ อย่างง่าย เป็นวงจรที่ประกอบดว้ ยแหล่งกาเนิดไฟฟา้ และ
อปุ กรณไ์ ฟฟา้ และสายไฟ เมื่อเปิดสวติ ชก์ ระแสไฟฟ้าจะออกจากแหล่งกาเนดิ ไฟฟา้ (ถ่านไฟฉาย)
ทางขวั้ บวกผ่านอปุ กรณ์ไฟฟา้ ในวงจรไปยงั ขั้วลบของแหลง่ กาเนดิ ไฟฟ้าเปน็ การเคลือ่ นที่ครบวงจร
ของกระแสไฟฟา้ เรียกวงจรไฟฟา้ นี้ว่า วงจรไฟฟ้าปดิ แตถ่ ้าวงจรไฟฟา้ นี้ไม่มีกระแสไฟฟา้ ไหลออก
จากขวั้ บวกของแหลง่ กาเนดิ ไฟฟา้ ผา่ นอปุ กรณ์ไฟฟ้าไปยงั ขว้ั ลบ ซงึ่ อาจเกิดจากส่วนใดส่วนหนง่ึ
ของวงจรไฟฟา้ ขาดหรือไมส่ ัมผัสกนั เรยี กวงจรไฟฟ้านวี้ า่ วงจรไฟฟ้าเปดิ
2. แจกใบงานท่ี 3.5 วงจรไฟฟ้า พรอ้ มอธิบายวธิ กี ารทาใบงาน คอื ใหผ้ ู้เรยี นตอบคาถามใหถกู ตอ้ ง
3. ผู้สอนใหเ้ วลาผู้เรยี นในการทาใบงาน โดยท่ีผู้สอนคอยดแู ลความเรยี บร้อย และคอยให้คาแนะนา
เพิ่มเติม
4. ผสู้ อนเฉลยคาตอบและให้ผเู้ รียนตรวจคาตอบให้ถูกตอ้ ง
5. ผู้สอนอธบิ ายเพมิ่ เตมิ ว่า เซลล์แสงอาทิตย์ หรอื โซลาร์ เซลล์ (Solar Cell) เป็นสงิ่ ประดษิ ฐ์
อิเลก็ ทรอนกิ ส์ที่เปล่ียนพลงั งานแสงอาทติ ยเ์ ป็นพลังงานไฟฟา้ ได้โดยตรง เซลล์แสงอาทิตยท์ ามาจาก
สารกึ่งตัวนา ซ่ึงดูดกลนื พลังงานแสงอาทิตยแ์ ล้วเปลี่ยนเปน็ พลงั งานไฟฟา้ โดยไฟฟา้ ท่ไี ดจ้ ะเปน็
ไฟฟา้ กระแสตรง
ขั้นสรปุ
9. ผสู้ อนและผเู้ รียนร่วมกนั สรุปว่า ไฟฟ้า (Electricity) เป็นพลงั งานรูปแบบหนึ่งทเ่ี กิดจากการแยกตวั
ออกมา หรอื การเคล่อื นท่ีของอเิ ล็กตรอน (Electron ; e) เปน็ อนภุ าคประจุลบ หรอื โปรตอน
(Proton ; p) เปน็ อนุภาคประจุบวก ใช้ประโยชน์ในการสรา้ งพลงั งานอ่ืน เชน่ พลงั งานความรอ้ น
พลังงานกล อปุ กรณ์ทกุ ช้นิ จาเป็นตอ้ งมีไฟฟ้าเป็นแหล่งพลังงาน และในปัจจบุ นั มกี ารใชพ้ ลงั งาน
แสงอาทิตยใ์ นการผลิตไฟฟา้
10. ผู้สอนเปิดโอกาสให้ผู้เรยี นสอบถามเพิ่มเตมิ
9. ส่อื การเรยี นรู้
1. https://www.youtube.com/watch?v=i36kuPO4GKc
2. ใบความรทู้ ่ี 5 ไฟฟา้
3. ใบงานท่ี 3.4 เคร่อื งใช้ไฟฟ้า
4. ใบงานท่ี 3.5 วงจรไฟฟ้า
0
10. การวัดและประเมนิ ผล
วธิ กี าร เครอ่ื งมือ เกณฑ์
แบบประเมนิ ผลงาน
ตรวจใบงานที่ 3.4 คณุ ภาพอยใู่ นระดับ ดี
เครอื่ งใช้ไฟฟา้ แบบประเมนิ ผลงาน ผา่ นเกณฑ์
ตรวจใบงานที่ 3.5 แบบประเมนิ พฤตกิ รรม คุณภาพอยู่ในระดับ ดี
วงจรไฟฟา้ รายบคุ คล ผา่ นเกณฑ์
ประเมนิ พฤตกิ รรมรายบคุ คล คณุ ภาพอยู่ในระดบั ดี
จากการทากิจกรรม ผา่ นเกณฑ์
ในหอ้ งเรียน
แบบบนั ทกึ หลังแผนการสอน ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 2
จานวน 8 ชว่ั โมง
เทคโนโลยี การออกแบบและเทคโนโลยี
หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี 3 วัสดุ อุปกรณ์ทางเทคโนโลยี เวลาเรียน 2 ชั่วโมง
แผนการจัดการเรยี นรู้ที่ 10 ไฟฟา้ และอปุ กรณท์ ท่ี าให้เกดิ แสง
ผลการเรียนรู้
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ปญั หาอุปสรรค
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ขอ้ เสนอแนะแนวทางแกไ้ ข
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงชื่อ…………………….…………….ผู้สอน
(…………………………………)
ตาแหนง่ ………………………………………
………………/…………....../……………
ความคดิ เห็นของผู้บรหิ ารสถานศึกษา
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงชือ่ …………………………….ผบู้ ริหารสถานศึกษา
(…………………..…………………………)
ตาแหนง่ ………………………………………
………………/…………....../……………