The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

คู่มือครู ประวัติ ม.2

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by รพินทร์ ไพรวัลย์, 2021-07-14 23:24:50

คู่มือครู ประวัติ ม.2

คู่มือครู ประวัติ ม.2

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Expand Evaluate
Explain

กระตนุ ความสนใจ Engage

ครนู ําวีดิทัศนสารคดเี ก่ยี วกบั เหตุการณส ําคัญ เสน เวลา
ทางประวตั ศิ าสตรของทวีปเอเชยี มาใหน ักเรียนดู เเสดงเหตกุ ารณส าํ คญั ทางประวตั ศิ าสตรข องทวปี เอเชยี เเละไทย
เชน จกั รวรรดิมองโกล การสาํ รวจทางทะเลของ
เจิ้ง เหอ สงครามเกาหลี เปน ตน จากนัน้ ครสู มุ ๗๙๔ ๑๒๗๙ - ๑๓๖๘ เ๑จ๔ง้ิ ๐ เ๕หอ 4
นักเรียนสรุปความรทู ไี่ ดจ ากการชมสารคดีดงั กลาว ญปี่ ่ุนสรา้ งเมืองเฮอนั (เกยี วโต) จนี สมยั ราชวงศห์ ยวน
เรม่ิ สาํ� รวจ
เป็นเมืองหลวง ถกู ปกครองโดย ทางทะเล
ชาวมองโกล
๔๐๐ อาณาจักรซ๖ลิ ๖ล๘า2 ๘๐๒
สาํ รวจคน หา Explore ราชวงศย์ ะมะโตะ อาณาจักรขอม
ปกครองเกาหลี ท่ีนครวดั
ปกครองญีป่ ่นุ

ครใู หน กั เรียนศึกษาเสน เวลา (Timeline) แสดง ทวีปเอเชีย ค.ศ. ๔๐๐ ๖๐๐ ๘๐๐ ๑๐๐๐ ๑๒๐๐ ๑๔๐๐
เหตุการณส ําคญั ทางประวตั ศิ าสตรข องทวปี เอเชีย
และไทยสมัยอยธุ ยาและธนบรุ ี จากหนังสือเรยี น นบีมฮุ มั มัดอพยพจากเมอื งเม๖ก๒ก๒ะ1 ๑๐๐๐
หนา 142-143 จีนประดษิ ฐด์ ินปน
ไปยงั เมอื งเมดนิ ะ เร่มิ ฮ.ศ. ๑
อธบิ ายความรู Explain โปรตุเกสยึด๑ค๕ร๑อ๑ง
ญ่ีปนุ่ สรา้ งเมืองหลทวี่เงมแอื หงง่น๗แา๑รร๐กะ3 มะละกาในมาเลเซียปจั จุบัน

1. ครขู ออาสาสมัครนกั เรยี น 2 คน ออกมาสรปุ ๖๑๘ - ๙๐๗ ๑๕๒๖
เหตกุ ารณส าํ คญั ทางประวตั ศิ าสตรข องทวปี เอเชยี จนี สมยั ราชวงศ์ถ ัง พระเจา้ บาบรู ส์ ถาปนาจกั รวรรดิ
และไทยสมัยอยุธยาและธนบุรีทีห่ นาชั้นเรียน เปน็ ยคุ ทองของจีน
โมกลุ หรือมคุ ัลในอินเดีย
2. ครตู ้ังคําถามใหนกั เรยี นชวยกนั ตอบ เชน
• ชว งเวลาท่ีเจิ้ง เหอ สาํ รวจทางทะลตรงกบั ๑๒๗๙ ๑๓๔๕
ประวัติศาสตรไทยชวงใด พ่อขุนรามค�ําแหงมหาราช พระมหาธรรมราชาที ่ ๑ (ลิไทย)
(แนวตอบ เจงิ้ เหอ เริ่มสํารวจทะเลใน ค.ศ.
1405 หรือ พ.ศ. 1948 ตรงกบั รัชสมยั สมเดจ็ ขึน้ เสวยราชย์ พระราชนพิ นธ์ไตรภมู พิ ระรว่ ง
พระรามราชาธิราช สมยั อยุธยา)
๑๒๔๙ ๑๓๕๐
พ่อ ขนุ ศรีอินทราทิตย์ พระเจ้า อท่ู องทรง
สถาปนากรุงสโุ ขทยั เป็น ราชธานี สถาปนากรุงศรีอยธุ ยา
เปน็ ราชธานี

สุโไขททยัยส-มธนยั บรุ ี ค.ศ. ๔๐๐ ๖๐๐ ๘๐๐ ๑๐๐๐ ๑๒๐๐ ๑๔๐๐

๑๒๘๓ ๑๕๑๑
พ่อ ขนุ รามคาํ� แหงมหาราช โปรตุเกส
เขา้ มา
ทรงประดิษฐ์ลายสือไทย เจรญิ สมั พนั ธ-
๑๔๕๔ ไมตรกี บั
อยุธยา
สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ
โปรดใหต้ รากฎหมายศกั ดนิ า

๑๔๖๓
สุโขทยั ถูกผนวกเข้ากบั อยุธยา

๑๔๒

นกั เรียนควรรู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNดิ ET
การเรียนรเู ก่ยี วกบั เรอื่ งราว เหตุการณทางประวัติศาสตรในภูมิภาคตา งๆ
1 เมกกะ ชาวมสุ ลมิ ถอื วา เมืองเมกกะเปน เมืองที่ศกั ด์ิสทิ ธ์ิอนั ดบั ที่ 1 อนั ดบั 2 คือ ของทวปี เอเชยี มีความสาํ คัญอยา งไร
เมืองเมดนิ ะ และอันดับ 3 คอื เมอื งเยรซู าเลม แนวตอบ ทาํ ใหเรารูวาในแตละภมู ิภาคของทวีปเอเชยี มีประวัตคิ วามเปนมา
2 อาณาจักรซิลลา ในชว งนีเ้ กาหลรี บั วัฒนธรรมจากจีนมาปรบั ใช เชน ลัทธิขงจื๊อ อยา งไร มเี หตกุ ารณหรือปญ หาสาํ คญั อะไรเกดิ ข้ึนบาง ท้ังทางดานการเมือง
พระพทุ ธศาสนา ตัวอกั ษร และรปู แบบการปกครอง สมยั อาณาจกั รซิลลาถอื เปน การปกครอง เศรษฐกจิ สังคมและวฒั นธรรม ทําใหเราเห็นถึงความพยายาม
ยคุ แหง ความสงบสุขและเจริญรงุ เรืองของเกาหลี ของบรรพบรุ ุษในการแกปญหา ซึง่ จะเปนแนวทางใหแ กคนรนุ หลงั นาํ ไปศกึ ษา
3 เมืองนาระ เปนเมืองหลวงแหงแรกของญปี่ ุน มีการวางผงั เมอื งเลียนแบบ เปน ตัวอยางสําหรบั นําไปใชในการแกป ญหาและพฒั นาสงั คมทต่ี นดําเนนิ
กรงุ ฉางอาน (ซอี านในปจ จุบนั ) เมอื งหลวงของจนี สมยั ราชวงศถ ัง สมยั นาระ ชวี ิตอยู นอกจากนยี้ ังทําใหเราเห็นวา บางเหตกุ ารณท เี่ กดิ ขนึ้ ในภมู ภิ าคหน่ึง
พระพทุ ธศาสนาในญ่ีปุนมคี วามเจริญรงุ เรอื งมาก และญป่ี ุนผลติ งานเขียนเปนครง้ั แรก มีความเกีย่ วของเชอ่ื มโยง หรือมีอทิ ธพิ ลตอภูมิภาคใกลเ คยี งหรือไทยอยา งไร
ในสมัยนี้ เชน การปฏริ ูปสมัยเมจิของญ่ปี นุ ทําใหญ ป่ี นุ มีการปรับปรงุ ประเทศให
4 เจ้ิง เหอ เปนขันทีชาวมสุ ลิมในสมยั จกั รพรรดหิ ยงเลอ แหงราชวงศห มงิ และเปน ทันสมัยตามแบบตะวนั ตก เพื่อลดแรงกดดันของลทั ธิจกั รวรรดนิ ยิ ม ซึ่งเมือ่
ผนู ํา “กองเรือมหาสมบตั ”ิ ออกสํารวจทางทะเลถึง 7 ครั้ง เดินทางมากกวา 50,000 เทยี บกบั ไทยจะอยูใ นสมยั รชั กาลท่ี 5 ซ่งึ เปน ชวงที่ไทยกไ็ ดร บั การคกุ คามจาก
กโิ ลเมตร ไดเดินทางมายงั เอเชยี ตะวนั ออกเฉียงใตแ ละไปถงึ แอฟริกาตะวนั ออก มหาอํานาจตะวันตก และพระองคก ็เลง็ เหน็ ถึงความจาํ เปน ท่ีจะตอ งปฏิรปู
เริ่มครง้ั แรกใน ค.ศ. 1405 ตรงกบั สมยั สมเดจ็ พระรามราชาธริ าชแหง อยธุ ยา ประเทศใหท นั สมัยดวยเชน กัน เพื่อรกั ษาความเปนเอกราชของชาตไิ ว เปนตน

142 คมู อื ครู

กระตุนความสนใจ สาํ รวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล
Engaae Expore Explain Expand Evaluate

ขยายความเขา ใจ Expand

๑๕๔๐ ๑๗๖๕ ญ๑๙่ปี ๐นุ่ ๔ชน- ๑ะ2ใ๙น๐ส๕งครามรสั เซีย-ญ่ีปนุ่ 1. ครใู หนักเรยี นสรุปเหตกุ ารณส ําคัญทาง
โปรตเุ กสเดนิ ทาง บริษทั อินเดยี ตะวันออก ประวัตศิ าสตรข องทวีปเอเชียและไทยสมัย
มาถึงมาเก๊าของจนี ขององั กฤษ ๑๙๑๐ อยธุ ยาและธนบุรี จากเสน เวลา (Timeline)
มอี าํ� นาจปกครองอินเดยี ญี่ปนุ่ ยึดครองเกาหลี ในหนังสือเรยี น ลงกระดาษ A4 สงครผู ูส อน
๑๕๗๑
สเปนยดึ ครอง ๑๘๕ไ๑ทเผ่ -กิง๑ดิ 1ใ๘กนบ๖จ๔ฏีน ๑๙๓๗ 2. ครทู ดสอบความรูท ี่เรียนมา โดยใหน ักเรียนทํา
ฟลิปปนส์ กจิ กรรมท่ี 5.1 จากแบบวดั ฯ ประวตั ศิ าสตร ม.2
๑๘๐๐ ญ่ปี ุ่น ส๑รง๙กุ ค๕รรา๐านม-จเ๑นีก๙า๕ห๓ลี3
๑๖๐๐ ๑๖๔๔ ใบงาน ✓ แบบวดั ฯ แบบฝกฯ
ชาวแมนจู ๑๙๙๗ ประวัติศาสตร ม.2 กจิ กรรมที่ 5.1
ตงั้ ราชวงศช์ ิงปกครองจีน เกิดวิกฤตเศรษฐกจิ
ในเอเชีย
๒๐๐๐ หนวยท่ี 5 ท่ตี ั้งและสภาพภูมิศาสตร
ทมี่ ีผลตอ พฒั นาการของทวีปเอเชีย

๑๖๐๓ ๑๘๓๙ - ๑๘๔๒ เ๑ว๙ยี ๕ด๔นามประกาศเอกราช4 กิจกรรมตามตัวชีว้ ดั คะแนนเตม็ คะแนนทีไ่ ด
โชกุนโทะกงุ ะวะปกครองญปี่ นุ่ เกดิ สงครามฝน
ระหวา่ งจนี กบั อังกฤษ จากฝรง่ั เศส กจิ กรรมที่ ๕.๑ ใหนกั เรียนดูแผนที่ตอ ไปน้ี แลว ตอบคาํ ถามใหถ กู ตอง ñð
๑๙๔๗
๑๓๖๘ - ๑๖๔๔ ๑๘๕๓ อนิ เดยี ไดเ้ อกราช ปากีสถาน (ส ๔.๒ ม.๒/๑)
จนี สมัยราชวงศ์หมงิ สหรัฐอเมรกิ าบังคับญ่ปี ่นุ เปด ประเทศ แยกตัวออกจากอนิ เดยี

๑๘๖๘ - ๑๙๑๒ ๔
ญี่ปุน่ สมัยเมจิ ๓
เร่ิมพฒั นาประเทศแบบตะวนั ตก



๑๕๓๘ ๑๗๖๗ ๒๐๐๐ ๑. หมายเลข ๑ และ ๒ เปนทีต่ ้งั ของประเทศใด อยูในภูมภิ าคใด และภูมภิ าคน้ีมีพฒั นาการ เฉฉบลบั ย
อยุธยารบกับพมา่ เป็น ครั้งเเรก เสียกรุงศรอี ยธุ ยาคร้ังที่ ๒ ดานสงั คมอ๑ยางไร ๒ห....ม....า...ย...เ..ล....ข......................ป....ร...ะ...เ..ท....ศ....อ....ิน.....เ..ด....ีย........ห....ม....า...ย...เ..ล....ข......................ป....ร...ะ...เ..ท....ศ....ป....า...ก....ีส.....ถ....า...น.........ต....้ัง...อ....ย...ู.ใ..น.....ภ....ูม....ิภ....า...ค....เ..อ...เ..ช...ี.ย...ใ...ต...
เมือ่ พมา่ ตเี มืองเชียงกราน ซ...งึ่....เ.ป....น.....ด....ิน....แ...ด....น.....ท....ม่ี...ีป....ร....ะ..ช...า...ก....ร....อ...า...ศ....ยั ...ม....า..น.....า...น....ต....ั้ง...แ...ต....ส....ม....ัย...ก....อ....น....ป....ร....ะ..ว...ัต....ิศ....า...ส....ต....ร......ม....คี ....ว...า..ม....เ..จ...ร....ิญ....ท....า...ง...อ....า...ร...ย...ธ....ร...ร....ม..
๑๗๘๒ ท....าํ...ใ..ห....ม...ชี...น.....ช...า...ต....ติ ...า...ง...ๆ......อ....พ....ย...พ....เ..ข...า..ม....า...อ...า...ศ....ยั ...อ....ย...เู..ส....ม...อ.......ภ...มู....ภิ...า...ค....น.....จี้ ...งึ...ม....ปี....ร...ะ...ช...า..ก....ร....จ...าํ...น....ว...น.....ม...า...ก....โ..ด....ย....เ.ฉ....พ....า...ะ...ป...ร....ะ..เ..ท....ศ...
๑๕๖๙ สิ้นสดุ สมยั ธนบรุ แี ละเริม่ ตน้ สมัยรัตนโกสินทร์ อ...นิ.....เ..ด....ยี ...ท....ีม่....ีป...ร....ะ..ช....า..ก....ร....ม...า...ก....เ..ป....น ....อ....ัน....ด....บั....ท....่ี...๒.......ข...อ...ง...โ...ล....ก.......แ...ล....ะ..ม....ีป....ร...ะ...ช...า...ก....ร...ห....ล....า...ก....ห....ล...า...ย....เ.ช...ื้อ....ช...า...ต....ิ ...ศ....า..ส.....น....า......ภ...า...ษ....า..
เสียกรุงศรีอยธุ ยาครง้ั ท่ ี ๑ ภายใตร้ าชวงศ์จ กั รี ซ...ง่ึ....ต....อ ...ม....า..ไ...ด....ก....ล....า..ย....เ..ป....น....ป....ญ.....ห....า..ค.....ว..า...ม....ข...ดั ...แ....ย...ง...แ...ล....ะ...เ..ป....น ....อ....ุป...ส.....ร...ร....ค....ต...อ....ก....า...ร...พ....ัฒ.....น.....า...ป....ร...ะ...เ.ท....ศ....ใ...น....ภ....มู....ภิ ...า...ค....น.....ี้ด....ว..ย............

๑๖๐๓ ๑๘๐๐ ................................................................................................................................................................................................................................................
ทูตฮอลนั ดาเข้า มาเจรจา
การค้ากบั อยธุ ยาเป็นคร้ังแรก ๒. หมายเลข ๓ และ ๔ เปน ทีต่ ้งั ของประเทศใด อยูในภมู ิภาคใด และภูมิภาคนีม้ ีพัฒนาการ
๑๖๐๐ ทางดา นเศร๓ษฐกิจอยางไร ๔ห....ม....า..ย....เ..ล....ข.....................ป....ร....ะ..เ..ท....ศ....ค....า...ซ....ัค....ส....ถ....า...น.........ห....ม....า..ย....เ..ล....ข.....................ป....ร....ะ..เ..ท....ศ....เ..ต....ิร....ก....เ..ม...น.....ิส....ถ....า...น.........ต....ั้ง...อ....ย...ู.ใ..น.....ภ....ูม...ิภ....า...ค...
เ..อ...เ..ช...ีย...ก....ล....า...ง........เ..ป...น.....ภ....ูม...ิภ....า...ค....ท....่ีเ..ค....ย...ม....ีค....ว..า...ม....ส....ํา...ค....ัญ.....ท....า..ง....ด....า..น.....เ..ศ...ร....ษ....ฐ....ก....ิจ........เ.พ....ร....า...ะ..ใ...น....อ....ด....ีต....เ.ค....ย....เ..ป....น....ส....ว...น.....ห....น....ึ่ง...ข...อ....ง..
๑๗๖๘ เ..ส....น.....ท....า...ง....ส....า...ย...แ....พ....ร....ไ..ห....ม.........ต....อ....ม...า...เ..ม...ื่.อ...เ..ส.....น....ท.....า..ง....ก....า...ร....ค....า...เ..ป....ล....่ีย...น.....เ..ป....น.....เ..ส....น.....ท....า...ง....ท....า...ง...ท....ะ...เ..ล.........ค....ว...า...ม...ส....ํ.า...ค....ัญ.....ท....า...ง..
กสมอบเดก็จูเ้ พอกระรเาจช้า จตาากกพสมินา่มแหลาะรสาถชาปนากรงุ ธนบุรเี ปน็ ราชธานี เ..ศ....ร...ษ.....ฐ...ก....ิจ....ข...อ....ง...ภ....ูม....ิภ....า...ค....น....้ีจ....ึง...ไ...ด....ม....ีบ....ท....บ.....า...ท....น.....อ...ย....ล....ง........ส....ว...น.....ป....ร...ะ...ช...า...ช....น....ส.....ว...น....ใ...ห....ญ.....ป....ร....ะ..ก.....อ...บ.....อ...า...ช...ีพ.....เ.ล....้ีย....ง...ส.....ัต....ว..
เ..ช...น.......แ...ก....ะ......แ...พ....ะ.....ม....า.....เ..ป....น....ต....น........เ.น.....่อื...ง....จ...า...ก....ม...ลี....กั....ษ.....ณ.....ะ..ภ....มู....ปิ ....ร...ะ...เ.ท....ศ....ท....่ีเ..ป....น.....ท....ุง...ห....ญ.....า....................................................................

๕๙

๑๖๘๕ ๑๗๖๖ 3. ครใู หนักเรยี นตอบคําถามประจาํ หนว ย
อยุธยาส่ง ออกพรเะปวน็สิ ุทหธัวหสนุนธา้ รค ณ(ปะาทนตู ) ๑๖๘๗ ทัพพมา่ ตีคา่ ยบางระจนั การเรียนรู
อยธุ ยาประกาศสงคราม
ไปเจรญิ สัมพนั ธไมตรกี ับฝร่งั เศส กบั บริษทั อนิ เดียตะวนั ออกขององั กฤษ

ตรวจสอบผล Evaluate

แนวขอ สNอบTเนน Oก-าNรคETิด 1. ครตู รวจสรปุ เหตกุ ารณส าํ คญั ทางประวตั ศิ าสตร
๑๔๓ ของทวีปเอเชียและไทยสมยั อยุธยาและธนบรุ ี
“ทวปี เอเชียมคี วามแตกตางในหลายดาน ท้งั อารยธรรม ศาสนา ระบอบ
การปกครอง และวถิ ีชีวติ ” นักเรียนเหน็ ดวยกบั คาํ กลาวนีห้ รือไม จงยกเหตผุ ล 2. ครูสังเกตพฤตกิ รรมความมสี วนรว มในการ
ประกอบ ตอบคําถามและการแสดงความคิดเห็นของ
แนวตอบ เห็นดวย โดยทวปี เอเชยี เปน แหลง กําเนดิ อารยธรรมที่เกา แก นักเรยี น
ของโลก ซ่งึ อยใู นภูมิภาคตา งๆ เชน อารยธรรมเมโสโปเตเมยี ในอริ กั
อารยธรรมลุมแมน า้ํ สนิ ธุในปากีสถาน อารยธรรมหวางเหอในจีน และเปน นักเรียนควรรู
แหลง กาํ เนิดศาสนาทส่ี าํ คญั ของโลก เชน ศาสนาพราหมณ-ฮินดู ศาสนาสขิ
พระพทุ ธศาสนาในอินเดยี ศาสนาอสิ ลามในซาอดุ ีอาระเบีย ศาสนายดู าห 1 กบฏไทผ ิง ผูนํากบฏ คอื หง ซฉี วาน นับถือคริสตศ าสนา เขาเรยี กอาณาจักร
คริสตศ าสนาในอสิ ราเอล ซึง่ ศาสนาดงั กลา วก็ไดมอี ิทธพิ ลตอ คนสวนใหญ ของเขาวา ไทผ งิ หรอื อาณาจกั รสันตสิ ุขแหงสวรรค มนี โยบายตอตา นราชวงศชงิ
ของทวีปเอเชีย และยงั เผยแผไ ปยงั ทวีปอน่ื ดว ย สว นการปกครอง ในภูมิภาค ตอตานการสบู ฝน และความไมเ ทาเทยี มกนั ของสังคมจีน
ตางๆ สวนใหญจะมีการปกครองในระบอบสมบูรณาญาสทิ ธิราชย ภายหลัง
ถูกชาติตะวันตกเขา มาปกครอง และหลงั จากไดร บั เอกราชก็มรี ปู แบบการ 2 ญี่ปุนชนะ การที่ญปี่ ุน มีชยั ชนะในสงครามกบั รัสเซีย ทาํ ใหเปนชาตแิ รกในเอเชยี
ปกครองทแ่ี ตกตา งกนั ไป เชน ในเอเชยี ตะวนั ออก มกี ารปกครองในระบอบ ที่รบชนะชาติตะวนั ตก ทั้งนีเ้ ปน ผลมาจากการปฏิรปู ประเทศในสมัยเมจิ และการเกิด
คอมมวิ นสิ ต (จนี เกาหลเี หนอื ) ระบอบประชาธปิ ไตย (ญปี่ นุ เกาหลใี ต) เปน ตน พลงั ชาตินยิ มของชาตติ า งๆ ในเอเชยี

3 สงครามเกาหลี สงครามครงั้ แรกทเี่ ปน การเผชญิ หนา กนั ระหวา งฝา ยคอมมวิ นสิ ต
กบั ฝา ยเสรปี ระชาธปิ ไตยในสมยั สงครามเยน็ โดยเปน ความขดั แยง ระหวา งเกาหลเี หนอื
ท่ปี กครองในระบอบคอมมวิ นสิ ต กับเกาหลีใตที่ปกครองในระบอบประชาธิปไตย
โดยเกาหลีเหนอื ไดรบั การสนบั สนุนจากจนี และสหภาพโซเวียต สว นเกาหลใี ตไ ดรบั
ความชว ยเหลอื และสนบั สนนุ จากสหประชาชาติ โดยเกดิ ขนึ้ ระหวา ง ค.ศ. 1950-1953

4 เวียดนามประกาศเอกราช ซงึ่ เปน ผลมาจากการทเี่ วยี ดนามรบชนะฝรง่ั เศส
ทเี่ ดยี นเบยี นฟู
คูมือครู 143

กระตุนความสนใจ สํารวจคน หา อธิบายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล
Engaae Expore Explain Elaborate
Evaluate Evaluate
ตรวจสอบผล

ครูตรวจสอบความถูกตองจากการตอบคาํ ถาม ค าํ ถามประจ าํ หนว่ ยการเรยี นรู้
ประจําหนว ยการเรียนรู
๑. ทตี่ ั้งและสภาพภูมิศาสตรข์ องภมู ิภาคตา่ งๆ ในทวีบเอเชยี มีลักษณะอยา่ งไร
หลกั ฐานแสดงผลการเรียนรู ๒. สภาพภูมิศาสตรข์ องภมู ิภาคต่างๆ ในทวปี เอเชียมีอิทธิพลต่อการต้ังถิน่ ฐานของประชากร
ในภมู ิภาคหรอื ไม่ อย่างไร
1. แผนพบั “แนะนาํ เอเชียตะวันออก” ๓ . พฒั นาการทางประวตั ศิ าสตร์ในแตล่ ะดา้ นของภมู ภิ าคตา่ งๆ ในทวปี เอเชยี มลี กั ษณะอยา่ งไร
2. เสน เวลา (Timeline) แสดงเหตกุ ารณสาํ คญั จงอธิบายมาพอสงั เขป
๔. แ มว้ า่ จนี และญปี่ นุ่ ถกู ชาตติ ะวนั ตกยดึ ครองมากอ่ น แตก่ ส็ ามารถพฒั นาประเทศจนมคี วาม
ทางประวัตศิ าสตรของภูมิภาคเอเชยี ใต
3. รายงานพฒั นาการดานสงั คมของภมู ภิ าค เจรญิ ก้าวหนา้ รวดเร็วกวา่ ภูมภิ าคอ่นื ๆ เปน็ เพราะปัจจัยใด
๕ . ปญั หาความขัดแยง้ ของประชากรในภมู ภิ าคเอเชียใต้เกดิ จากสาเหตุใดบา้ ง
เอเชียตะวนั ตกเฉียงใต ๖. ภมู ภิ าคเอเชยี ตะวันตกเฉียงใต้มคี วามมัง่ คง่ั ทางเศรษฐกิจเน่อื งจากปจั จยั ใด
4. ใบงานขอ มลู ประเทศในภมู ิภาคเอเชยี กลาง ๗. ก ารท่ีที่ตั้งของภูมิภาคเอเชียกลางค่อนข้างเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจ

เนือ่ งมาจากมีลกั ษณะเแบบใด

กิจกรรมสรา้ งสรรคพ์ ฒั นาการเรยี นรู้

กจิ กรรมท่ี ๑ ให้นักเรียนแบ่งกลุ่มออกเป็น ๔ กลุ่ม เพ่ือสืบค้นข้อมูลเก่ียวกับหัวข้อท่ี
ก�าหนดใหต้ ่อไปน้ ี แลว้ ส่งตัวแทนออกมาน�าเสนอหน้าช้นั เรยี น

๑. ทต่ี งั้ และสภาพภมู ศิ าสตรท์ ม่ี ผี ลตอ่ พฒั นาการการตง้ั ถนิ่ ฐานของประชากร
๒. พัฒนาการดา้ นการเมืองการปกครอง เศรษฐกิจ สงั คม
โดยแต่ละกลมุ่ ศกึ ษาภูมภิ าคตา่ งๆ ดังนี้
กลุ่มท ี่ ๑ ภมู ิภาคเอเชียตะวนั ออก กลมุ่ ท่ ี ๒ ภูมิภาคเอเชียใต ้
กลมุ่ ท่ ี ๓ ภูมภิ าคเอเชยี ตะวนั ตกเฉยี งใต ้ กล่มุ ที ่ ๔ ภมู ภิ าคเอเชียกลาง
กิจกรรมท่ี ๒ ใหน้ กั เรยี นไปศกึ ษาคน้ ควา้ ประเทศในทวปี เอเชยี ทตี่ นชน่ื ชอบมา ๑ ประเทศ

ภายใต้หัวข้อสภาพภูมิศาสตร์ พัฒนาการด้านการเมืองการปกครอง
เศรษฐกิจ สังคม โดยจัดท�าเปน็ สมุดภาพ แลว้ น�ามาเสนอหนา้ ชั้นเรียน

1๔๔

แนวตอบ คาํ ถามประจําหนวยการเรยี นรู
1. ทวปี เอเชยี มีดนิ แดนทตี่ อ เนื่องกับทวีปยโุ รปและแอฟรกิ า เปนทวปี ทีใ่ หญท ่สี ดุ ในโลก ลกั ษณะภูมิประเทศแบง ได 5 เขต ไดแก เขตทร่ี าบตา่ํ ตอนเหนือ เขตที่ราบลมุ แมนา้ํ

เขตเทือกเขาสูง เขตทร่ี าบสูงตอนกลางทวปี และเขตทร่ี าบสูงตอนใตแ ละตะวนั ตกเฉยี งใต
2. สภาพภมู ศิ าสตรมอี ทิ ธพิ ลตอ การต้ังถิน่ ฐานและสรางแหลง อารยธรรมทสี่ ําคญั เชน อารยธรรมเมโสโปเตเมียในบรเิ วณลมุ น้าํ ไทกรสิ -ยเู ฟรทีส อารยธรรมจนี ในบริเวณ

ลุมแมน า้ํ หวางเหอ อารยธรรมอินเดียในบรเิ วณลุมแมน้ําสนิ ธุ เปนตน
3. ดา นการเมืองการปกครอง ในอดีตสว นใหญประเทศในทวปี เอเชยี มีการปกครองระบอบกษัตริย ตอ มาเม่ืออิทธพิ ลตะวนั ตกเขามา หลายประเทศจงึ ไดรับรูปแบบการ

ปกครองจากตะวันตก ดา นเศรษฐกิจ ในระยะแรกภมู ภิ าคตา งๆ ของทวปี เอเชียมพี ื้นฐานทางดานเกษตรกรรมเปน หลัก ตอมาเม่ือชาติตะวนั ตกเขามา บางประเทศได
พฒั นาทางดา นอตุ สาหกรรม เชน ญป่ี ุน อินเดยี เปนตน ดา นสงั คม ทวปี เอเชยี เปนแหลงกําเนดิ อารยธรรมทีส่ ําคญั เชน อารยธรรมจีนในเอเชียตะวนั ออก อารยธรรม
อนิ เดียในเอเชยี ใต เปน ตน
4. จนี เปน ประเทศทม่ี ที รัพยากรและแรงงานจํานวนมาก และการมีรฐั บาลทีม่ ีเสถยี รภาพ ทาํ ใหก ารพฒั นาประเทศเปน ไปอยา งตอเนือ่ ง สว นญ่ปี ุนภายหลงั การปฏิรูปสมัยเมจิ
ไดม นี โยบายมงุ พฒั นาเศรษฐกิจเปนหลกั ทาํ ใหเศรษฐกจิ ของประเทศเจรญิ กาวหนา จนกลายเปนประเทศอตุ สาหกรรมทส่ี าํ คัญของโลกมาจนถึงปจจุบนั
5. ความแตกตางทางดานศาสนา ระหวางชาวฮินดูกบั ชาวมุสลมิ ในอนิ เดีย ความแตกตา งทางดา นเช้ือชาติ ระหวา งชาวสิงหลกบั ชาวทมฬิ ในศรลี ังกา เปน ตน
6. เพราะภมู ิภาคเอเชียตะวันตกเฉยี งใตมแี หลง น้ํามนั ดบิ แหลง ใหญของโลก ซ่งึ เปนทต่ี อ งการของชาติตางๆ
7. เอเชียกลางไมมีทางออกทะเล จึงเปนอุปสรรคในการพัฒนาทางดา นเศรษฐกจิ

144 คมู อื ครู

กระตนุ้ ความสนใจ ส�ารวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Expore Explain
Engage Expand Evaluate
เปาหมายการเรียนรู
๖หน่วยการเรยี นรทู้ ี่
1. ระบทุ ตี่ งั้ และความสาํ คญั ของแหลง อารยธรรม
แหลงอารยธรรม โบราณในภูมิภาคเอเชยี ได
ในทวีปเอเชยี
2. บอกทตี่ งั้ และความสาํ คญั ของแหลง มรดกโลก
ในภมู ิภาคเอเชยี ได

3. วเิ คราะหอ ทิ ธพิ ลของอารยธรรมโบราณ
ที่มตี อภมู ิภาคเอเชยี ในปจ จุบันได

ตวั ชวี้ ัด สมรรถนะของผเู รยี น

● ระบุความสําคัญของแหลงอารยธรรมโบราณ 1. ความสามารถในการส่อื สาร
ในภมู ภิ าคเอเชยี (ส ๔.๒ ม.๒/๒) 2. ความสามารถในการคิด
3. ความสามารถในการใชทกั ษะชีวิต
สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง
คุณลักษณะอันพึงประสงค
● ที่ตั้งและความสําคัญของแหลงอารยธรรม
ตะวันออกและแหลงมรดกโลกในประเทศ 1. มวี นิ ยั
ตางๆ ในภมู ภิ าคเอเชีย 2. ใฝเรยี นรู
3. ซ่อื สัตยส จุ ริต
● อิทธิพลของอารยธรรมโบราณท่ีมีตอภูมิภาค 4. มงุ ม่นั ในการทํางาน
เอเชยี ในปจ จบุ นั
ถาํ้ หลงเหมิน มณฑลเหอหนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน กระตนุ้ ความสนใจ Engage

·ÇÕ»àÍàªÕÂä´ŒÁÕ»ÃÐÇѵÔÈÒʵÏ·ÕèÂÒǹҹáÅÐ໚¹áËÅ‹§ ครูใหน ักเรียนดภู าพหนาหนว ย แลว ตง้ั คําถาม
ÍÒøÃÃÁà¡‹Òá¡‹¢Í§âÅ¡ àÍàªÂÕ à»¹š áËÅ‹§¡íÒà¹´Ô ÈÒʹҷÊèÕ Òí ¤ÞÑ ใหน ักเรยี นชวยกนั ตอบ เชน
¢Í§âÅ¡·ÁèÕ ¤Õ ¹¹ºÑ ¶Í× ¡¹Ñ ໹š ¨Òí ¹Ç¹ÁÒ¡ µÅÍ´¨¹à»¹š àʹŒ ·Ò§µ´Ô µÍ‹
ÃÐËNjҧÀÙÁÔÀÒ¤áÅСѺ·ÇÕ»Íè×¹ ¤×Í àÊŒ¹·Ò§ÊÒÂá¾ÃäËÁ áÅÐ • ภาพอะไร ตงั้ อยทู ่ีไหน และมคี วามสําคัญ
àʹŒ ·Ò§à¤ÃÍè× §à·È ·Ç»Õ àÍàªÂÕ ¨§Ö ÁáÕ Ëŧ‹ ÍÒøÃÃÁ·àÕè »¹š Áô¡âÅ¡ อยางไร
¨Òí ¹Ç¹ÁÒ¡ áÅÐä´ÃŒ ºÑ Í·Ô ¸¾Ô Ũҡ¤ÇÒÁà¨ÃÞÔ ¢Í§ÍÒøÃÃÁâºÃÒ³ (แนวตอบ พระพุทธรูปองคใหญทสี่ ดุ แหง
ã¹ËÅÒ´ŒÒ¹ ถํา้ ผาหลงเหมนิ เมอื งล่วั หยาง ประเทศจนี
มคี วามสงู ถึง 17.4 เมตร ถํ้าแหง นี้
มอี ายุประมาณ 1,500 ป มกี ารแกะสลกั
พระพทุ ธรูปจาํ นวนมาก ซงึ่ แสดงใหเ ห็นถึง
ความศรัทธาและความเจรญิ รงุ เรอื งของ
พระพทุ ธศาสนาในจนี ถ้ําผาหลงเหมนิ
ไดร ับการขน้ึ ทะเบยี นใหเ ปน มรดกโลก
เมือ่ ค.ศ. 2000)

เกรด็ แนะครู

ครูควรจัดกิจกรรมการเรยี นรโู ดยเนนการพฒั นาทักษะกระบวนการตางๆ เชน
ทักษะการคิด ทักษะการนําเสนอขอ มลู และกระบวนการกลุม เพื่อใหน ักเรยี น
สามารถระบคุ วามสาํ คญั ของแหลง อารยธรรมโบราณในภูมิภาคเอเชยี ได ดงั ตัวอยา ง
ตอ ไปน้ี

• ครูแบงกลุมนกั เรยี นเพือ่ ใหช วยกนั ศึกษาคน ควา อิทธพิ ลของอารยธรรมโบราณ
ทมี่ ีตอทวปี เอเชียดานตางๆ ในปจ จุบนั จากแหลงการเรียนรูอ่นื เพม่ิ เติมจาก
หนังสือเรียน แลวชว ยกันจัดทาํ สมุดภาพทม่ี เี นือ้ หาประกอบนาํ เสนอตอ
ช้นั เรียน จากนน้ั จัดทําตารางแสดงศลิ ปวิทยาการและภมู ปิ ญ ญาของ
อารยธรรมโบราณในทวีปเอเชยี แลวสงตัวแทนกลมุ นาํ เสนอผลงานท่ีหนา
ช้ันเรยี น

คมู่ ือครู 145

กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา อธิบายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Elaborate Evaluate

กระตนุ้ ความสนใจ Engage

1. ครนู าํ ภาพแหลงอารยธรรมทีส่ าํ คัญในทวปี ñ. ·èµี ังé áÅะความสÓคÞั ¢ÍงáหÅ่งÍารย¸รรมµะวนั ÍÍกãน·วปี  
เอเชียมาใหนักเรียนดู แลวตง้ั คาํ ถามใหนกั เรียน   เÍเªยี
ชว ยกันตอบ เชน
• ภาพน้เี กยี่ วของกับแหลงอารยธรรมใด อารยธรรมตะวันออก หมายถึง อารยธรรมที่เจริญรุ่งเรืองอยู่ในซีกโลกตะวันออกหรือทวีป
และตงั้ อยทู ี่ไหน เอเชยี อารยธรรมตะวันออกประกอบด้วยอารยธรรมสา� คัญ ๔ อารยธรรม ไดแ้ ก ่ อารยธรรมจนี
• แหลง อารยธรรมดังกลาวมีความสําคญั อารยธรรมอนิ เดยี อารยธรรมเมโสโปเตเมยี และอารยธรรมอสิ ลาม อารยธรรมเหลา่ นเ้ี ปน็ รากฐาน
อยา งไร ความเจริญรุ่งเรืองทางด้านความคิด ความเช่ือ ศาสนา ภูมิปัญญา วัฒนธรรม ศิลปวิทยาการ
อักษรศาสตร ์ รวมทงั้ ชวี ติ ความเป็นอยู่ของประชาชนในโลกตะวนั ออก
2. ครใู หน กั เรยี นศกึ ษาเสน เวลา (Timeline)
แสดงอารยธรรมจนี สมยั กอนประวตั ิศาสตร อ1า.ร1ยธทรรีต่ มงั้จแนี มลแี ะหคลง่วกาา� มเนสดิ ําในคบญั รเิ วขณอลงมุ่ อแามรน่ ยา้� หธวรารงเมหจอ ีน(ฮวงโหหรอื แมน่ า�้ เหลอื ง1) จงึ เรยี ก
จากหนงั สือเรยี น หนา 146 แลวขออาสาสมคั ร
นกั เรยี นมาสรปุ ใหเ พอื่ นฟง หนาช้ันเรียน กันวา่ อารยธรรมลุมแมนาํ้ หวางเหอ ซงึ่ มอี ิทธพิ ลต่อญป่ี นุ เกาหล ี เวยี ดนาม ทง้ั ในดา้ นภาษา ลทั ธิ
ขงจ๊ือ ศลิ ปวฒั นธรรม เป็นตน้
สา� รวจคน้ หา Explore
๑) อารยธรรมจีนสมัยก่อนประวัติศาสตร์ อารยธรรมจีนเป็นอารยธรรมส�าคัญ
1. ครชู วนนกั เรยี นสนทนาเกยี่ วกบั แหลง อารยธรรม
ในทวีปเอเชียวา ทวีปเอเชียมีแหลง อารยธรรม ของโลกและเป็นแหลง่ อารยธรรมทีม่ พี ัฒนาการอยา่ งตอ่ เนอ่ื ง โดยมคี วามเจรญิ มาตั้งแต่สมัยกอ่ น
ทีส่ ําคัญอยหู ลายแหง แลว ใหน ักเรยี นชวยกัน ประวตั ศิ าสตร์ ดังจะเห็นไดจ้ ากหลกั ฐานการตั้งชมุ ชนและการประดษิ ฐ์เคร่ืองป้ันดนิ เผาที่สวยงาม
บอกวามีแหลง อารยธรรมใดบาง เชน่ วัฒนธรรมหยางเชาในมณฑลเหอหนาน อายปุ ระมาณ ๗,๐๐๐ - ๕,๐๐๐ ปีกอ่ นครสิ ต์ศักราช
(แนวตอบ อารยธรรมจีน อารยธรรมอนิ เดีย วัฒนธรรมหลงซานในมณฑลชานตง อายุประมาณ ๕,๐๐๐ - ๔,๐๐๐ ปีก่อนคริสต์ศักราช และ
อารยธรรมเมโสโปเตเมีย และอารยธรรมอิสลาม) เครื่องมอื เคร่ืองใชจ้ ากโลหะในสมัยราชวงศเ์ ซ่ยี (๒,๒๐๕ - ๑,๗๖๖ ปีก่อนครสิ ตศ์ ักราช)

2. ครใู หนักเรียนแบง ออกเปน 4 กลุม เพอื่ ศกึ ษา เสน เวลา
คนควาเกีย่ วกบั แหลง อารยธรรมของทวปี เอเชีย เเสดงอารยธรรมจนี สมยั กอ นประวตั ศิ าสตร
ดงั น้ี
กลมุ ที่ 1 อารยธรรมจีน ยุคหนิ เกา่ คโปคอืรระ งมมกานรณุษะด ย๑กู์ห,มย๗นว๐นุษ๐โย,ห๐ป์ ม๐ักว่๐ก2ท งิ่ ป่ีมทมีณีถ่ า้�าฑแโจลลวว้ยโ นูขพน่วบเาตหน้ยี ล นัก 3ฐาน ยคุ หินใหม่ ประมาณ ๖,๐๐๐ - ๔,๐๐๐ ปมี าแล้ว
กลมุ ท่ี 2 อารยธรรมอนิ เดยี ปก อ่ น ค.ศ. มนษุ ย์ต้งั หลักแหลง่ เป็นชมุ ชน
กลมุ ที่ 3 อารยธรรมเมโสโปเตเมีย กรงุ ปักกิ่ง มนุษย์ใช้ชีวิตเร่รอ่ น เกบ็ ของปา เชน่ ชมุ ชนปานโพในเมอื งซอี าน
กลุมท่ี 4 อารยธรรมอิสลาม และลา่ สตั ว ์ ใช้ขวานหนิ แบบกะเทาะหนา้ เดยี ว รู้จกั เพาะปลูกขา้ วฟาง เล้ียงสัตว ์
ครใู หน กั เรยี นแตล ะกลมุ ไปศกึ ษาคน ควา เกยี่ วกบั ทอผ้า ปลกู บา้ นมหี ลงั คา ผนงั
ทต่ี ้ังและความสาํ คญั ของแตละอารยธรรม ๑๐,๐๐๐ ๘,๐๐๐ ๖,๐๐๐ ท�าเคร่อื งป้นั ดนิ เผาที่สวยงาม
แลวจัดทําเปน แผนปายโปสเตอรเพื่อเตรียมตัว ๔,๐๐๐ ๒,๐๐๐
รายงานหนา ชนั้ เรียน โดยมภี าพหรอื แผนท่ี
ประกอบ พรอ มทั้งตกแตงใหส วยงาม ยุคหินกลาง ประมาณ ๔,๐๐๐ - ๑,๗๖๖ ปี ยคุ โลหะ
ประมาณ ๑๐,๐๐๐ - ๖,๐๐๐ ปี มดี มทาอแงลแ้วด พงทบม่ี หณลกั ฑฐลากนา นคซือู
มาแล้ว มนษุ ย์ใชช้ วี ติ กึง่ เร่ร่อน และยังพบส�ารดิ ซงึ่ นา� มาใช้
ตั้งหลักแหไลด่ง้แถกาว ่ หร นิ ใชสบั้เค รขื่อดู ง มหอื วั หธนิน ู ท�าภาชนะตา่ งๆ เช่น

146 ท่บี รรจุเหล้า กระถาง เปน็ ต้น

นักเรียนควรรู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNดิ ET
เหตุใดจึงกลา วกันวา “อารยธรรมจนี มคี วามเจรญิ รุงเรืองมาตง้ั แตส มัย
1 แมน ํ้าเหลอื ง ที่เรียกวา แมนํ้าเหลืองน้ัน เรยี กตามชอ่ื ฝนุ ทรายสีเหลืองท่ี กอ นประวตั ิศาสตร”
ลมพายพุ ัดพามาจากทางทิศตะวันตกของจีนเปน ประจาํ ทุกป แมน้ําเหลืองมี แนวตอบ จากหลักฐานทางโบราณคดที ่ีขุดพบ ซงึ่ แสดงใหเห็นวา ไดมีผูคน
ชอื่ เรียกอกี ชื่อหนงึ่ วา แมน ้าํ วปิ โยค เพราะนํา้ ทว มบอ ย ซง่ึ สรางความเสยี หายใหแก อาศยั อยบู นแผน ดินจีนมาเปนเวลานานกวา 1 ลานปแลว ดงั พบโครงกระดูก
ชวี ิตและทรพั ยสินของผูคนทอ่ี าศัยอยูตามสองฟากฝง ของแมน า้ํ อยางไรก็ดี บริเวณ มนษุ ยโ บราณ คอื มนุษยห ยวนโหมว อายปุ ระมาณ 1.7 ลานปมาแลว และ
ลุม แมน ้าํ แหง นี้นับเปนบอ เกิดแหงประวัตศิ าสตรและวัฒนธรรมของจนี มาแตโบราณ มนุษยป กก่งิ ทถ่ี ้าํ โจวโขวเตี้ยน ใกลกรงุ ปก ก่ิง อายุประมาณ 5 แสนปมาแลว
2 มนษุ ยห ยวนโหมว ไดข ุดพบฟน 2 ซีข่ องมนุษยหยวนโหมว (ต้ังช่อื ตามเมอื ง สําหรบั หลักฐานท่ีแสดงใหเหน็ ถงึ ความเจริญเร่มิ แรก คือ วฒั นธรรมหยางเชา
ทค่ี น พบ) ท่เี มอื งหยวนโหมว มณฑลหยุนหนาน เมอื่ ค.ศ. 1965 ถอื เปน มนษุ ยย ืน มอี ายปุ ระมาณ 7,000-5,000 ปม าแลว พบมากในแถบมณฑลเหอหนาน ผูคน
ตวั ตรงทเี่ กา แกทีส่ ดุ ซึ่งถูกคน พบที่ประเทศจนี ในวฒั นธรรมน้ีทําการเพาะปลกู ทําเคร่อื งมอื จับปลา เคร่อื งปน ดินเผาแบบ
3 โครงกระดกู มนษุ ยปกก่ิงทีถ่ ้าํ โจวโขว เตยี้ น โดยใน ค.ศ. 1929 มีการขดุ พบ ลายเขยี นสี และวัฒนธรรมหลงซาน มีอายปุ ระมาณ 5,000-4,000 ปมาแลว
กระดกู กะโหลกศรี ษะช้ินแรกของมนษุ ยปกกง่ิ ท่ถี า้ํ โจวโขวเต้ยี นหรือถํา้ มนุษยว านร เปนวัฒนธรรมในยุคโลหะ-สาํ ริด โดยแหลง สาํ คัญพบใกลเมืองเฉิงจื่อใหย
มนษุ ยปก ก่งิ จะมใี บหนา ส้ัน ปากยน่ื และคางหุบเขา เดินและว่ิงตรงไดแ ตห ลงั คอ ม (Chengziyai) ในมณฑลชานตง ผูคนในวัฒนธรรมนี้ทําเครือ่ งปนดินเผา
สาํ หรบั แหลง ขดุ คน ทางโบราณคดีมนุษยปกกง่ิ โจวโขว เตยี้ นไดรบั การขึน้ ทะเบียน แบบรมดําที่สวยงาม รูจ ักทําเคร่อื งมือเครอ่ื งใชด วยสํารดิ นาํ หยกมาทาํ เปน
ใหเ ปน มรดกโลกเม่อื ค.ศ. 1987 เครอื่ งมอื เชน ขวานหยก เปน ตน ดว ยเหตนุ จ้ี งึ กลา ววา อารยธรรมจนี มี
พฒั นาการมาอยางตอ เนื่องนับตง้ั แตส มยั กอ นประวัตศิ าสตร
146 คูม่ ือครู

กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Engaae Expore Evaluate
Explain Expand Explain

อธบิ ายความรู้

๒) อารยธรรมจีนสมยั ประวัติศาสตร์ แบง่ ออกได้ ดงั นี้ 1. ครใู หนกั เรยี นกลมุ ท่ี 1 สง ตวั แทนออกมา
นําเสนอเกี่ยวกบั อารยธรรมจีนท่ีหนา ช้นั เรียน
อารยธรรมจีน ราชวงศ์ชาง (๑,๗๖๖ - ๑,๑๒๒ ปีก่อนคริสต์ศักราช)
สมัย 2. ครยู กตวั อยา งชือ่ ราชวงศส มยั ประวัติศาสตร
เป็นราชวงศ์แรกในประวัติศาสตร์จีน ต้ังอยู่ในบริเวณลุ่มแม่น้�า ของจีน แลวใหน ักเรยี นชวยกันบอก
ประวตั ศิ าสตร์ หวางเหอ สมยั น้จี ีนได้ประดิษฐต์ ัวอกั ษรแบบรปู ภาพ น�าสา� รดิ ความสําคัญ เชน
มาทา� เปน็ เครอ่ื งมอื เครอื่ งใชท้ ี่ใหญโ่ ตและสวยงาม ทา� ปฏทิ นิ ซงึ่ • ราชวงศชาง
มคี วามสา� คญั ตอ่ การกา� หนดฤดกู าล การเพาะปลกู และเกบ็ เกย่ี ว (แนวตอบ เปนราชวงศแ รกในประวัติศาสตร
จนี )
1 • ราชวงศโ จว
(แนวตอบ เปนราชวงศท ี่ปกครองจีนยาวนาน
ราชวงศโ์ จว (๑,๑๒๒ - ๒๒๑ ปกี อ่ นครสิ ตศ์ กั ราช) เปน็ ทีส่ ดุ )
ราชวงศ์ที่ปกครองจีนยาวนานที่สุด สมัยน้ีมีแนวความคิด • ราชวงศฉิน
ส�าคัญทางการปกครองเกิดขึ้น คือ กษัตริย์เป็นโอรสแห่ง (แนวตอบ เปน สมยั ทีเ่ ร่มิ มกี ารปกครอง
สวรรค ์ และสวรรคม์ อบอา� นาจหรอื อาณตั ิใหม้ าปกครองมนษุ ย์ ในระบอบจกั รพรรดิ)
เรยี กวา่ อาณตั แิ หง สวรรค  ในปลายสมยั ราชวงศ์โจวมสี งคราม • ราชวงศฮ นั่
(แนวตอบ เปน สมัยที่มกี ารสาํ รวจเสนทาง
เกดิ ขนึ้ มากมาย และมนี กั ปรชั ญาหลาย2สา� นกั ปรชั ญาทส่ี า� คญั ไปทางตะวนั ตก ทรี่ จู ักกันในช่ือ เสนทาง
สายแพรไหม)
ไดแ้ ก ่ ลัทธิขงจือ๊ และลัทธเิ ตา้ หรือเตา๋ • ราชวงศถงั
(แนวตอบ เปน สมยั ทีเ่ ปนยุคทองของจีน
ราชวงศ์ฉนิ หรือจิน๋ (๒๒๑ - ๒๐๖ ปีก่อนคริสต์ศักราช) พระพทุ ธศาสนาเจรญิ รุง เรอื ง)

สมยั นีถ้ ือวา่ ผู้ปกครอง คอื จกั รพรรดิ จักรพรรดพิ ระองคแ์ รก
คือ ฉินส่ือหวงต้ีหรือจิ๋นซีวั่งตี่ การปกครองระบอบจักรพรรดิ
ใชก้ นั ตอ่ มาถงึ ๒,๐๐๐ ปจี นถงึ ราชวงศ์ชิง นอกจากน้ ี สมัยน้ีได้
เร่ิมสร้างเชื่อมก�าแพงเมืองจีนให้เป็นแนวเดียวกัน มีระบบชั่ง
ตวง วัด และการใช้ตัวอักษรจีนทีเ่ ปน็ มาตรฐานเดยี วกนั

ราชวงศฮ์ น่ั (๒๐๖ ปกี อ่ นครสิ ตศ์ กั ราช - ค.ศ. ๒๒๑) เปน็ 147

สมัยที่จีนขยายเขตแดนออกไปกว้างขวาง พระพุทธศาสนา
เร่ิมเผยแผ่เข้าสู่จีน ท�าให้มีอิทธิพลต่อศิลปวัฒนธรรมจีนมาก
มกี ารสา� รวจเสน้ ทางไปทางตะวนั ตก เสน้ ทางนร้ี จู้ กั ตอ่ มาในชอ่ื
เสนทางสายแพรไหม ซึ่งมีความส�าคัญทางการค้า การแลก
เปลย่ี นวัฒนธรรม การเผยแผ่ศาสนา เป็นเวลากวา่ ๑,๐๐๐ ปี
และเป็นสมัยท่ีเร่ิมมีการสอบคัดเลือกเป็นข้าราชการที่เรียกว่า
สอบจอหงวน

ราชวงศถ์ ัง (ค.ศ. ๖๑๘ - ๙๐๗) เป็นยุคทองของจนี ซง่ึ

จีนมีเขตแดนกว้างใหญ่มากอีกคร้ัง พระพุทธศาสนารุ่งเรือง
โดยพระถังซ�าจ๋ังเดินทางไปอินเดียเพื่อสืบหาพระไตรปิฎก
วรรณกรรม การศึกษาเจริญรุ่งเรือง และมีการจัดระบบการ
สอบคัดเลือกเปน็ ข้าราชการ (สอบจอหงวน) ให้ดขี นึ้

แนวขอสNอบTเนนOก-าNรคE Tิด เกรด็ แนะครู

ความเชอ่ื เร่ืองอาณตั แิ หงสวรรคสง ผลตอชาวจีนโบราณอยางไร ครูอธิบายใหน กั เรียนเขาใจเพิ่มเตมิ วา ตามโบราณราชประเพณี ผปู กครอง
1. ชาวจีนขาดความกระตอื รอื รน และรอความชว ยเหลอื จากสวรรค แผนดนิ จนี คือ บรุ ุษ มใิ ชอิสตรี อยางไรกด็ ี ในประวตั ศิ าสตรจ นี ไดม จี ักรพรรดินี
2. เกดิ การลุกฮือของราษฎรเพื่อลมลางราชวงศเดิมแลว ต้งั ราชวงศใ หม ทท่ี รงครองราชย คอื จักรพรรดนิ อี ู (Wu) หรอื ที่รูจักกันดีวา อูเจอ เทียนหรือ
3. ชาวจนี อยูอ ยา งสนั ติสุขเพราะทกุ คนยอมรบั ผปู กครองท่สี วรรคเ ลอื กให บเู ช็คเทียนแหง ราชวงศโ จว (โดยเปลยี่ นช่ือราชวงศถงั วา ราชวงศโ จว)
4. เกิดการเลอื กผนู ําดวยวิธีการเสย่ี งทายเพื่อจะไดผ นู ําตามทสี่ วรรคตอ งการ
นักเรยี นควรรู
วเิ คราะหคําตอบ ตอบขอ 2. ชาวจนี โบราณมคี วามเชอ่ื เกย่ี วกบั อาณตั แิ หง
1 ราชวงศโ จว เปน สมัยทม่ี กี ารปกครองแบบศกั ดนิ าหรือฟว ดลั กษตั รยิ จ ะ
สวรรคแ ละโอรสแหง สวรรคม านบั ตง้ั แตร าชวงศโ จว โดยเชอื่ กนั วา สวรรค แตงตั้งเชือ้ พระวงศแ ละผทู ่ีมีความจงรกั ภกั ดีไปปกครองยังบรเิ วณตา งๆ เรยี กวา
หรอื ฟา จะมอบอาณตั ิหรืออํานาจใหแกก ษัตริยผปู กครอง ซง่ึ ถือวา เปน โอรส ผูครองรัฐ แมวา จะมีอํานาจเด็ดขาดในแควน แตกต็ อ งยอมรับอาํ นาจของกษัตรยิ 
แหง สวรรค โดยมเี งอื่ นไขวา จะตอ งปกครองบา นเมอื งใหเ กดิ สนั ตสิ ขุ ถา ผปู กครอง
ไรค ณุ ธรรม ทาํ ใหร าษฎรเดอื ดรอ น สวรรคก จ็ ะเตอื นโดยทาํ ใหเ กดิ ภยั ธรรมชาติ 2 ลทั ธิเตาหรือเตา ผใู หก าํ เนดิ คอื เหลาจื่อหรือเลา จ๊อื ซง่ึ คาํ สอนสาํ คัญอยใู น
โรคระบาด เพอ่ื ใหผ ปู กครองเปลยี่ นพฤตกิ รรม ถา หากไมเ ปลย่ี น สวรรคจ ะถอน หนังสือเตา เตอ จงิ หรอื วิถีแหงคุณธรรม ลัทธิเตาสอนใหคนทาํ ตวั กลมกลืนกบั
อาณตั แิ ละมอบใหบ คุ คลอน่ื ทมี่ คี ณุ ธรรมมาปกครองแทน ดงั นนั้ หากผปู กครอง ธรรมชาติ และมีอทิ ธพิ ลตอการวาดภาพของจนี
ไรค ณุ ธรรมกส็ ามารถถกู ลม ลา ง แลว เลอื กผทู ม่ี คี วามสามารถมาปกครอง คู่มือครู 147
และตง้ั ราชวงศใ หมไ ด

กระต้นุ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Engaae Expore Expand Evaluate
Explain Explain
อธบิ ายความรู้

ครูยกตวั อยา งเหตกุ ารณส าํ คัญที่เกดิ ขน้ึ ใน ราชวงศซ์ ง่ หรอื ซอ้ ง (ค.ศ. ๙๖๐ - ๑๒๗๙) จนี ถกู ชนเผา่
ประวตั ิศาสตรจีน แลว ใหน กั เรียนชวยกนั บอกวา
ตรงกบั ราชวงศใด เชน ทางเหนอื รกุ รานจนตอ้ งยา้ ยเมอื งหลวงจากไคเฟงิ ลงมาทางใต้
ทเ่ี มอื งหางโจว ในสมยั นมี้ กี ารประดษิ ฐด์ นิ ปนื เพอื่ ใชท้ า� ดอกไมไ้ ฟ
• เปนสมัยทม่ี ีการประดษิ ฐดนิ ปนเพือ่ ใชท าํ ส่วนงานศิลปะที่โดดเด่น ได้แก ่ ภาพวาดและเครือ่ งกระเบอ้ื ง
ดอกไมไฟ
(แนวตอบ ราชวงศซ งหรอื ซอ ง) ราชวงศห์ ยว1นหรือหงวน (ค.ศ. ๑๒๗๙ - ๑๓๖๘) จีน

• เปน สมยั ทม่ี ีการสงกองเรอื ขนาดใหญออก ถูกชนเผ่ามองโกลยึดครอง และก่อตั้งราชวงศ์หยวนข้ึน
สํารวจทางทะเลไปจนถึงแอฟรกิ าตะวนั ออก ปกครอง มีเมืองหลวง คือ เมืองต้าตู (เปย์จิงหรือปักก่ิงใน
(แนวตอบ ราชวงศห มิง) ปัจจุบัน) พระราชวัง ตวั เมือง ถนนหนทาง ไดร้ ับการปรบั ปรุง
และสรา้ งขนึ้ ใหม่หลายแห่งจนกลายเปน็ เมืองใหญ่
• เปน สมยั ท่ีจนี ถกู ชนเผา มองโกลยดึ ครอง
(แนวตอบ ราชวงศหยวน) ราชวงศ์หมิง (ค.ศ. ๑๓๖๘ - ๑๖๔๔) ในช่วงต้นได้ต้ัง

• เปน ราชวงศข องชนกลุมนอ ยแมนจู มีการ เมืองหลวงทางใต้ท่ีเมืองหนานจิง ต่อมาย้ายไปอยู่ท่ีเปย์จิง
สรา งพระราชวงั ฤดรู อ นทสี่ วยงาม สมยั นม้ี กี ารสง่ กองเรอื ขนาดใหญอ่ อกสา� รวจทางทะเลไปจนถงึ
(แนวตอบ ราชวงศชงิ ) แอฟริกาตะวันออก ตอ่ มาชาวตะวันตกเร่ิมเข้ามาตดิ ต่อกบั จนี
โดยตรงโดยเสน้ ทางทางทะเลหรอื เสน้ ทางเครอ่ื งเทศ สนิ คา้ จนี
ท่ีเป็นท่ีต้องการ ได้แก่ ใบชา เคร่ืองกระเบื้องสีน้�าเงิน - ขาว
ผ้าไหม ในสมัยน้ีนักประพันธ์จีนได้แต่งวรรณกรรมและมีการ
พิมพ์เผยแพร่ เช่น เรือ่ งสามก๊ก ไซอวิ๋ เป็นตน้

ราชวงศ์ชิง (ค.2ศ. ๑๖๔๔ - ๑๙๑๒) เป็นราชวงศ์ของ

ชนกลุ่มน้อยชาวแมนจู ในช่วงต้นราชวงศ์ จีนสามารถขยาย
อ�านาจออกไปได้กว้างขวาง ราชวงศ์ชิงสืบทอดอารยธรรม

ดั้งเดิมของชาวจีน3และรักษาวฒั นธรรมแมนจูไว้ มกี ารสรา้ ง

พระราชวงั ฤดรู ้อนทส่ี วยงาม และสรา้ งพระราชวังทผ่ี สมผสาน
ระหวา่ งศลิ ปะจนี และแมนจ ู ภายหลงั เสอื่ มอา� นาจลงจากความ
ออ่ นแอภายในและการรุกรานของชาตติ ะวันตก

เมอ่ื สน้ิ สดุ ระบอบจกั รพรรด ิ จนี เปลยี่ นการปกครองเปน็ ระบอบสาธารณรฐั ประชาธปิ ไตย
(ค.ศ. ๑๙๑๒ - ๑๙๔๙) แต่เป็นช่วงแห่งความวุ่นวายทางการเมือง ต่อมาพรรคคอมมิวนิสต์จีน
เปลี่ยนแปลงการปกครองสู่ระบอบคอมมิวนิสต์ใน ค.ศ. ๑๙๔๙ ปัจจุบันเมืองหลวงของจีน คือ
กรุงเปย์จิง ยังคงเป็นศูนย์กลางของอารยธรรมจีน รวมท้ังมีเมืองใหญ่หลายแห่งท่ีเป็นศูนย์รวม
ความเจริญรุ่งเรืองทางศลิ ปวัฒนธรรม วิทยาการและเทคโนโลยี

14๘

นกั เรยี นควรรู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNิดET
ทกุ ขอกลาวถงึ ลักษณะเดนของอารยธรรมจีนไดถ ูกตองยกเวน ขอใด
1 ชนเผามองโกล ผูกอ ตั้งราชวงศหยวน คอื กบุ ไลขา นหรือคบู ไิ ลขา น ซึง่ พชิ ิต 1. ชื่นชมในธรรมชาติ
จนี ไดท้งั หมด ทรงสงกองเรือรบไปโจมตีญป่ี ุน ถึง 2 ครงั้ แตไ มสาํ เร็จ สมัยนี้เรม่ิ มี 2. คํานึงถงึ แตโ ลกปจจุบัน
การตดิ ตอ กบั อาณาจกั รสโุ ขทัย 3. ยึดถอื ความเปนหนึง่ เดียว
2 ชาวแมนจู ในสมัยที่ราชวงศแมนจปู กครองจนี ทางดานสงั คมไดมกี าร 4. ถอื วาจนี ยิง่ ใหญรองจากยโุ รป
กาํ หนดขอ หา มเพม่ิ เตมิ ทงั้ นเ้ี พื่อเปน มาตรการปอ งกันความปลอดภัย รวมท้งั วเิ คราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 4. จีนมคี วามภาคภมู ใิ จในความยงิ่ ใหญของ
ตอ งการรักษาเอกลักษณข องชาวแมนจทู ีส่ ําคัญ เชน บงั คับใหใ ชภาษาแมนจูเปน ตนเอง จนกอใหเ กิดแนวคดิ ทว่ี า จนี เปนศูนยก ลางของโลก ท่แี วดลอ มไปดวย
ภาษาของทางราชการ บงั คับใหค นจีนโกนผม เหลือไวแ คก ลางศีรษะ ปลอ ยใหยาว อนารยชนซง่ึ ตอ งมาออ นนอ มและเรยี นรคู วามเจรญิ ตา งๆ จากจนี ซงึ่ ความคดิ
และถักเปย อีกทัง้ ยังหามชาวแมนจูแตงงานกบั ชาวจีนดว ย เปนตน ดังกลา วปรากฏใหเ หน็ ชดั เจนในรปู ของการคาแบบบรรณาการ ซ่ึงมมี าตงั้ แต
3 พระราชวงั ฤดูรอ น เดมิ สรา งในสมัยจกั รพรรดเิ ฉียนหลงแหงราชวงศช ิง สมยั ราชวงศฮ่นั โดยประเทศท่ีตองการตดิ ตอคาขายกบั จีนจะตองยอมรบั วา
ปจจบุ ันสิ่งกอ สรางเหลือเพียงบางสวน เพราะถกู ทาํ ลายไปในชวงสงครามฝน เปนประเทศราชของจนี และนาํ บรรณาการมาถวาย (ท่เี รยี กวา จ้ิมกอง)
คร้งั ที่ 2 ตอ มาในสมัยพระนางซสู ไี ทเฮา ทรงสรางพระราชวงั ฤดูรอนข้นึ ใหม จกั รพรรดิจนี และจักรพรรดกิ จ็ ะพระราชทานของขวญั และอนุญาตใหคาขาย
เสร็จสมบรู ณใน ค.ศ. 1888 พระราชวงั ใหมน เ้ี ปน ท่รี ูจกั กนั ในชือ่ อว้ีเหอหยวน กบั จนี ได ดงั ปรากฏหลกั ฐานวา มปี ระเทศตา งๆ ทส่ี ง บรรณาการแกจ นี มากมาย
และไดร บั การขนึ้ ทะเบียนใหเปน มรดกโลกเม่อื ค.ศ. 1982 เชน เกาหลี ญปี่ ุน ทิเบต ไทย เขมร ชวา ลงั กา ฟล ิปปน ส เปนตน

148 คู่มือครู

กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล
Engaae Expore Evaluate
Explain Expand Explain

อธบิ ายความรู้

กล่าวได้ว่า ตลอดประวัติศาสตร์อันยาวนานของจีน ชาวจีนได้สร้างสรรค์อารยธรรม 1. ครแู ละนกั เรียนรวมกันสนทนาเกี่ยวกบั
จ�านวนมาก ทั้งด้านอกั ษรศาสตร์ วรรณกรรม การพิมพ ์ ศิลปะ ปรชั ญา ความเชื่อ สถาปัตยกรรม ความสาํ คญั ของอารยธรรมจนี โดยใหน ักเรยี น
และภมู ปิ ญั ญาแขนงตา่ งๆ ความเจรญิ หลายอยา่ งของจนี ไดถ้ กู ถา่ ยทอดไปยงั ชาติในเอเชยี และยโุ รป ชว ยกนั บอกวา ชาวจนี ไดส รา งสรรคอ ารยธรรม
และมผี ลส�าคญั อยา่ งย่ิงต่อพัฒนาการของชาติทีร่ บั อารยธรรมจนี ไปใช้และพัฒนาต่อ ดานใดไวใ หก บั โลกบา ง
(แนวตอบ ดานอักษรศาสตร เชน ตัวอักษร
ล�าดับเหตุการณ์ส�าคญั ทางประวตั ิศาสตรข์ องจนี ซง่ึ บันทึกลงบนกระดกู สัตวห รือกระดองเตา
ในสมัยราชวงศโ จว หนังสือสอื่ จข้ี องซือหมา
สมยั ช่วงเวลา / เหตุการณ์สา� คญั เชียนในสมัยราชวงศฮนั่ ดานวรรณกรรม
ราชวงศ์ชาง ๑,๗๖๖ - ๑,๑๒๒ ปกี อ่ น ค.ศ. รจู้ ักประดษิ ฐต์ ัวหนังสอื ท�าเคร่ืองส�ารดิ โดยกวีคนสาํ คญั เชน หลี่ไป ตฝู ใู นสมัย
ราชวงศ์โจว ราชวงศถ ัง หรือนวนยิ ายเรื่องความฝน ใน
๑,๑๒๒ - ๒๒๑ ปกี ่อน ค.ศ. เกิดแนวคิดโอรสแห่งสวรรค์ อาณัตแิ หง่ สวรรค ์ หอแดงในสมยั ราชวงศช ิง ดานปรชั ญา เชน
รราาชชววงงศศฉ์์ฮัน่ิน1 ลัทธิขงจอ๊ื ลัทธเิ ตา๋ ลทั ธิขงจอ๊ื ลทั ธเิ ตา ดานศิลปกรรม เชน
๒๒๑ - ๒๐๖ ปีกอ่ น ค.ศ. เริ่มสรา้ งเชอ่ื มกา� แพงเมืองจนี เขา้ ด้วยกนั กาํ แพงเมอื งจีน ซ่ึงสรางเช่ือมเขาดว ยกนั
ช่วงแตกแยก ๒๐๖ ปกี อ่ น ค.ศ. - ค.ศ. ๒๒๑ พระพทุ ธศาสนาเขา้ สจู่ นี มกี ารสา� รวจเสน้ ทาง ในสมัยราชวงศฉ นิ พระพุทธรูปองคใ หญ
ราชวงศ์สุย ทถ่ี า้ํ หลงเหมนิ สรา งในสมยั ราชวงศถ งั และ
ปสารยะเแทพศรแไตหกมแยกออกเป็นสมัยสามกก๊ 2และอาณาจักรตา่ งๆ กวา่ ๓๐๐ ปี ดานภมู ิปญญาแขนงตางๆ เชน การพิมพ
ราชวงศ์ถงั เขม็ ทิศ กระดาษ ดนิ ปน การฝงเขม็ เปน ตน)
ค.ศ. ๕๘๙ - ๖๑๘ เร่ิมขุดคลองหลวงเชอื่ มแม่นา้� หวางเหอกบั แมน่ า�้ ฉางเจียง
ช่วงแตกแยก (แยงซ)ี 2. ครูใหน ักเรยี นแตล ะกลมุ นาํ เสนอลาํ ดบั
ราชวงศ์ซง่ หรือซ้อง ค.ศ. ๖๑๘ - ๙๐๗ มคี วามรงุ่ เรอื งทางพระพทุ ธศาสนา วรรณกรรม การศกึ ษา เหตุการณสาํ คัญทางประวตั ิศาสตรของจนี
ราชวงศห์ ยวนหรอื หงวน เขตแดนกวา้ งขวาง ในตารางหนา 149 ใหม ในรปู แบบเสนเวลา
ราชวงศ์หมงิ ประเทศแตกแยกออกเป็นหลายอาณาจกั ร (Timeline) โดยใชกระดาษโปสเตอรมีภาพ
ค.ศ. ๙๖๐ - ๑๒๗๙ รจู้ กั ประดษิ ฐ์ดินปนื เร่มิ การรดั เทา้ สตรี ประกอบ พรอมตกแตง ใหส วยงามนาํ สง
ราชวงศ์ชิง ค.ศ. ๑๒๗๙-๑๓๖๘ พวกมองโกลปกครองจีน กบุ ไลข่านทา� การขยายอา� นาจ ครูผสู อน
ค.ศ. ๑๓๖๘ - ๑๖๔๔ มีการส�ารวจทางทะเล ชาตติ ะวนั ตกเร่ิมตดิ ตอ่ กบั จีน
สาธารณรฐั โดยเส้นทางเคร่ืองเทศ
ประชาธปิ ไตย ค.ศ. ๑๖๔๔ - ๑๙๑๒ พวกแมนจปู กครองจีน มีการท�าสงครามฝ่นิ กบั อังกฤษ
สาธารณรฐั ประชาชน ทา� ใหจ้ นี ออ่ นแอ
(คอมมิวนิสต)์ ค.ศ. ๑๙๑๒ - ๑๙๔๙ เปลย่ี นการปกครองเปน็ ระบอบสาธารณรฐั ประชาธปิ ไตย
บ้านเมืองแตกแยก

ค.ศ. ๑๙๔๙ - ปัจจุบัน เปล่ียนการปกครองเปน็ ระบอบคอมมิวนิสต์ ในสมยั
เตงิ้ เสย่ี วผงิ เปลยี่ นระบบเศรษฐกจิ เปน็ แบบทนุ นยิ มหรอื เศรษฐกจิ การตลาด

149

กจิ กรรมสรา งเสรมิ เกร็ดแนะครู

ครใู หนักเรยี นยกตวั อยา งความเจรญิ ทางอารยธรรมจีนมา 3 เรื่อง ครูอาจนาํ วดี ิทัศนส ารคดีเกย่ี วกบั จกั รพรรดอิ งคสาํ คญั หรอื สถานท่ีสาํ คญั ของ
แลว อธบิ ายวาแสดงใหเ หน็ ถึงความเจริญรงุ เรอื งของอารยธรรมจนี อยางไร อารยธรรมจีนโบราณ เชน สารคดีเจงกสิ ขาน จกั รพรรดิโลกจารึก หรอื สารคดี
โดยเขยี นลงสมุดจดงานนําสงครผู สู อน พระราชวงั ตองหา ม มาใหนกั เรยี นดูประกอบการเรียนการสอน เพื่อท่ีนกั เรยี นจะได
เขา ใจในเรื่องราวทางประวัติศาสตรจนี ไดแจมชัดมากข้ึน
กจิ กรรมทาทาย
นกั เรยี นควรรู
ครใู หนักเรียนคน ควาขอมูลเกยี่ วกบั ราชวงศตา งๆ ทีป่ กครองแผนดนิ จีน
แลวนาํ ขอ มลู จดั ทําเปน เสน เวลา (Timeline) แสดงเหตุการณส าํ คัญทาง 1 ราชวงศฮ นั่ ผกู อ ตั้งราชวงศฮั่น คอื หลวิ ปง เปนชาวนา และการที่ชาวจีน
ประวัตศิ าสตรจ นี ตง้ั แตเ ริม่ ตนราชวงศช างจนกระทงั่ เปล่ียนแปลงการ เรียกตนเองวา ชาวฮั่น กม็ ีทม่ี าจากชอื่ ของราชวงศนัน่ เอง เปนสมยั ทเ่ี ริ่มมีขันทีใน
ปกครองเปนระบอบคอมมวิ นสิ ตใน ค.ศ. 1949 พรอมทั้งติดภาพประกอบ ราชสํานัก รวมทั้งมนี ักประวตั ิศาสตรทีม่ ชี ่ือเสยี งมาก คือ ซือหมา เชยี น
ใหสวยงาม แลวนาํ เสนอผลงานทีห่ นาช้ันเรยี น 2 สมยั สามกก หรือซานกวอ (Sanguo) ซึง่ จนี แบงออกเปน 3 กก คือ กกเวย
(Wei) กก สู (Shu) และกก อู (Wu) สมยั นม้ี กี ารสรางสรรคน วนยิ ายและบทละครขึน้
มากมาย ทโี่ ดง ดงั คือ สามกก ซง่ึ ตอมาไดร ับการพมิ พเปนภาษาตางๆ ทว่ั โลก

คู่มอื ครู 149

กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Engaae Expore Expand Evaluate
Explain Explain
อธบิ ายความรู้

1. ครูสนทนากบั นักเรยี นเก่ียวกับอารยธรรมใน 1.2 ทีต่ งั้ และความสําคัญของอารยธรรมอินเดยี
ทวีปเอเชยี วา นอกจากมอี ารยธรรมจีนเปน อารยธรรมอินเดียมีแหล่งก�าเนิดในบริเวณลุ่มแม่น�้าสินธุทางตอนเหนือของอินเดียในอดีต
แหลง อารยธรรมทส่ี ําคัญแลว กย็ งั มีอารยธรรม (ปจั จบุ นั อยู่ในประเทศปากสี ถาน) มคี วามเจรญิ รงุ่ เรอื งอยู่ในชว่ งประมาณ ๒,๕๐๐ - ๑,๕๐๐ ปกี อ่ น
อินเดียซ่งึ เปน แหลงอารยธรรมทม่ี ีบทบาท คริสต์ศักราช และได้มีพัฒนาการต่อเน่ืองมา
ความสําคญั ทง้ั ตอโลกและตอ ไทย จากนั้น ฮารปั ปา โดยตลอด
ครสู ุมนักเรียนยกตวั อยางอารยธรรมอนิ เดีย
ทม่ี ีอทิ ธิพลตอ โลกปจจุบนั โมเฮนโจ - ดาโร แมนํ้าสินธุ ๑) อารยธรรมอินเดียสมัย
(แนวตอบ อารยธรรมอินเดียไดสรางสรรค เอมริ ก่อนประวัติศาสตร์ พัฒนาการความเจริญ
สิ่งตางๆ ไวมากมาย โดยเฉพาะทางดานศาสนา กอท ดีจิ
เชน ศาสนาพราหมณ- ฮนิ ดู พระพุทธศาสนา ชานฮ ู ดาโร อินเดยี ของอนิ เดยี เรมิ่ ขน้ึ ตงั้ แตส่ มยั กอ่ นประวตั ศิ าสตร์
ศลิ ปะ วรรณกรรม และกฎหมาย เปน ตน ) เมื่อประมาณ ๔๐๐,๐๐๐ ปีมาแล้ว โดยพบ
หลักฐานโบราณคดีสมัยหินเก่าในลุ่มแม่น้�าโซน
2. ครใู หนกั เรียนกลุม ที่ 2 สง ตวั แทนออกมา (Soan) แคว้นปัญจาบ เรียกว่า วัฒนธรรม
นําเสนอเกยี่ วกับอารยธรรมอนิ เดยี ที่หนา สามเหลีย่ ม ลุมแมน้ําโซน ในสมยั อารยธรรมลมุ่ แมน่ า�้ สนิ ธุ 1
ชน้ั เรียน ปากแมน ้ําสินธุ

3. ครสู มุ นักเรียนอธิบายความสาํ คญั ของเมอื ง ทะเลอาหรบั โมมีเมเฮือนงโสจ�า-คดัญา โรค 2ือเม ือเมงือทง้ังฮสาอรงัปมปีคาว ามแโลดะดเมเดือ่นง
ฮารัปปาและเมืองโมเฮนโจ-ดาโร ซึ่งเปน แผนทแ่ี สดงทต่ี ้ังของอารยธรรมลมุ แมนา้ํ สนิ ธุ เรอ่ื งสถาปัตยกรรมและการวางผงั เมอื ง มีปอ ม
เมืองสําคัญของอารยธรรมอินเดยี สมัยกอ น
ประวตั ิศาสตร เตอลเาชดยี กเขลตางทไอี่ ดยอ้ ูอ่ พายศพยั ม ศาายสงั นตสอถนาเนห นตอือ่ ขมอางเมอนิ่ือปเดรยี ะแมลาะณข บั๑ไ,๕ลพ่๐๐วก ปดกี ร่อาวนเิคดรยี ิสนต3 ศ์ซกังึ่ เรปาน็ช ชชนาพวอนื้ าเมรยอื นั งจเดามิก
(แนวตอบ เมอื งฮารัปปาและเมอื งโมเฮนโจ-ดาโร ให้ถอยลงไปอยทู่ างใต้
เปนเมอื งสําคัญท่แี สดงใหเ หน็ ถงึ รองรอย
ความเจรญิ รุง เรืองของอารยธรรมลุม แมน ้ําสนิ ธุ
ซ่ึงมคี วามโดดเดนในเรื่องสถาปตยกรรม
และการวางผังเมอื งทเ่ี ปน ระเบยี บ)

เมืองโมเฮนโจ - ดาโร ประเทศปากีสถาน สันนิษฐานวาถูกสรางข้ึนโดยชาวดราวิเดียน จากลักษณะการวางผังเมืองอยาง
เปนระเบียบ มีการแบงเขตภายในเมืองออกเปนสัดสวน ประกอบดวย อาคารบานเรือน ปอมปราการ ถนนท่ีตัดตรง
สระอาบนา้ํ สาธารณะ แสดงใหเ ห็นถึงความเจริญรุง เรอื งของอารยธรรมลมุ แมน าํ้ สินธไุ ดเ ปนอยา งดี

150

นกั เรียนควรรู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNิดET
ความเจรญิ ของอารยธรรมลมุ แมนาํ้ สินธุท่ยี งั หลงเหลือใหเ ห็นในปจจบุ ัน
1 อารยธรรมลมุ แมนํา้ สนิ ธุ เปน อารยธรรมกึง่ กอ นประวตั ศิ าสตร เพราะแมจะพบ มอี ะไรบา ง จงอธิบายมาพอสังเขป
ตราประทบั เปนรปู คลา ยตวั อักษร แตย งั อานไมได สนั นษิ ฐานวา ชาวทราวิฑ แนวตอบ อารยธรรมลุมแมนา้ํ สินธเุ ริม่ เม่ือประมาณ 5,000 ปมาแลว โดยเปน
หรือดราวเิ ดยี น หรอื ทมิฬ ซง่ึ เปน ชนพน้ื เมอื งเปนผูใหกําเนดิ อารยธรรมลมุ แมนํา้ สนิ ธุ อารยธรรมสมัยกอนประวตั ศิ าสตรข องชาวอินเดยี ด้ังเดมิ ที่เรียกวา ทราวิฑ
2 เมืองฮารปั ปา และเมอื งโมเฮนโจ-ดาโร ผูทําการขุดคนพบ คือ เซอรจอหน หรอื ดราวิเดยี น (Dravidian) หรือทมิฬ ซ่ึงอาศยั อยใู นอินเดียมากอนทีช่ าว
มารแ ชล นักโบราณคดีชาวอังกฤษ ในบริเวณซากเมืองโบราณยงั พบตราประทบั อินโด-ยโู รเปย น (พวกอารยนั ) จะอพยพเขา มา แหลง อารยธรรมลุมแมนาํ้
จํานวนมากซึ่งมีรูปสลักแตกตา งกนั มที งั้ รูปคน สตั ว เชน ววั ควาย เสือ แตยังอาน สินธอุ ยทู ี่เมอื งโมเฮนโจ-ดาโร และเมืองฮารัปปา (ปจจบุ นั อยูใ นปากสี ถาน)
ไมไ ด นอกจากน้ียังพบตราประทับของอารยธรรมลุมแมน าํ้ สนิ ธุในเมโสโปเตเมยี สําหรบั ความเจรญิ ทอี่ ารยธรรมลมุ แมน าํ้ สินธหุ ลงเหลือไวใ นปจจุบนั เชน
และตราประทับรปู เรอื คลา ยกบั เรอื ของอียปิ ตด ว ย รปู ปน ดินเผาของชายมีเครายาว สันนิษฐานวา นา จะเปน บรรพบุรษุ ของพวก
3 พวกดราวิเดียน หรือทราวิฑ หรือทมิฬ มผี วิ ดํา ริมฝปากหนา จมกู แบน ซง่ึ อยู ทราวฑิ ดวงตราประทับซึ่งมมี ากกวา 2,000 ชนิ้ และทส่ี าํ คัญ คอื ซากเมือง
อาศัยในอินเดยี กอนท่ีพวกอารยนั ซ่งึ มรี ูปรา งสูงใหญ ผวิ ขาว จมกู โดง จะอพยพ โมเฮนโจ-ดาโรและฮารัปปา ทีม่ รี ะบบการวางผงั เมอื งอยางดี เชน การตดั ถนน
เขา มา ชาวอารยันไดย ดึ ครองและใหชาวทมิฬเปนผรู บั ใช ถกู เรียกวา ทาส ซึง่ เปน เปน ระเบยี บเรียบรอ ย มีทอ ระบายนาํ้ มกี ารสรางอาคารบานเรอื น ท่ีแสดง
ทมี่ าของการเกิดระบบวรรณะในสังคมอนิ เดีย ใหเหน็ วา ชาวเมอื งมีความรูค วามสามารถทางวิศวกรรมและเรขาคณิตเปน
อยางดี เปนตน
150 คมู่ อื ครู

กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล
Engaae Expore Evaluate
Explain Expand Explain

อธบิ ายความรู้

เสน เวลา 1. ครสู ุมนักเรยี นออกมาสรุปเกี่ยวกับอารยธรรม
เเสดงอารยธรรมอนิ เดยี สมยั กอ นประวตั ศิ าสตร อนิ เดียสมัยกอ นประวัติศาสตรท ห่ี นาชั้นเรยี น
โดยใชเ สนเวลา (Timeline) ในหนา 151
ยคุ หินเกา่ ยุคหนิ ใหม่ ประมาณ ๗,๐๐๐ - ๔,๐๐๐ ปีมาแล้ว มนษุ ยป์ ลกู ประกอบ
ประมาณ ๔,๐๐๐,๐๐๐ - ๑๕๐,๐๐๐ ปีมาแลว้ ขา้ วสาลี ข้าวบาร์เลย์ ขา้ วเจา้ เลย้ี งสตั ว์ อยู่รวมกนั
ทดงัาพงใบตเ้ขคอรงอ่ื องนิมเือดหียิน มหนลาุษยยแ์ดหา� ง่ร งเชชพี ่นด ทว้ ยมกฬิ านราดู เปน็ ชุมชน สร้างบ้านด้วยดินเหนยี ว พบในแคว้น 2. ครใู หน กั เรยี นดูภาพสถปู สาญจจี าก
เกบ็ ของปา ล่าสตั ว์ อาศัยอยู่ในถ้�า บาลจู ิสถานและตอนเหนือของแควน้ ซนิ ด์ หนงั สือเรยี น หนา 151 แลวใหน ักเรียนรวมกนั
อภิปรายวา ภาพดงั กลา วสามารถบอกเก่ยี วกบั
๑๐,๐๐๐ ๘,๐๐๐ ๖,๐๐๐ ๔,๐๐๐ ๒,๐๐๐ อารยธรรมอินเดียในสมยั ประวตั ิศาสตรได
ยคุ หนิ กลาง อยา งไรบา ง
ปก่อน ค.ศ. (แนวตอบ สถูปสาญจเี ปนศาสนสถานทาง
พระพทุ ธศาสนา สรางข้นึ ในสมยั พระเจา อโศก
ประมาณ ๔๐,๐๐๐ - ๑๐,๐๐๐ ปี ยคุ โลหะ ประมาณ ๔,๕๐๐ - ๓,๐๐๐ ปี มหาราชแหงราชวงศเมารยะ จากความย่ิงใหญ
มาแล้ว มนุษย์ใชเ้ คร่ืองมือหิน มาแลว้ เปน็ ยคุ แหง่ ความรงุ่ เรอื ง และลกั ษณะเฉพาะของสถาปตยกรรม แสดง
เทชี่เน่ล็ก ใแนลแะคเบว้นา มพธั บยใปนรหะเลทาศย บรเิ วณ ขอาอรงยอธนิ รเรดมยี ลโบมุ่ รแามณน่ า้� ทสเ่ีนิรธยี ุกวา่ ใหเหน็ วา พระพทุ ธศาสนาเปนศาสนาสําคญั
รู้จกั เขยี นภาพบนผนงั ถ้า� ของอารยธรรมอนิ เดยี เน่ืองจากไดรับ
การอปุ ถัมภจ ากองคจ ักรพรรดแิ ละไดรับ
พวกอารยันเป็นพวกเร่ร่อนจึงไม่มีการบันทึกประวัติศาสตร์ไว้ หลักฐานที่ใช้ศึกษา การสนับสนนุ ใหมกี ารเผยแผพระพทุ ธศาสนา
อารยธรรมของอารยนั ได้จากคัมภีร์พระเวท คมั ภีร์ศักดส์ิ ทิ ธิข์ องชาวอารยันซ่งึ บันทกึ ขึน้ ภายหลัง ไปยังดินแดนตา งๆ จนมีความเจรญิ รุง เรอื ง)
กสมอ่ นัยทครพี่ สิ วตก์ศอัการรายชัน)อ แพลยะพ สเขม้าัยมมาหแาลกะาสพรา้ยง 1อ(๙า๐รย๐ธ-ร๕ร๐ม๐น ี้ ปจึงีกเ่อรนียกควรา่สิ ตสศ์ มักยั รพาชระ)เวท (๑,๕๐๐ - ๙๐๐ ปี

๒) อารยธรรมอนิ เดยี สมยั ประวตั ศิ าสตร ์ หลงั สมยั พระเวท เรยี กวา่ สมยั พทุ ธกาล

(ประมาณ ๕๖๓-๓๐๐ ปกี อ่ นครสิ ตศ์ กั ราช) สมยั นเ้ี กดิ ศาสนาสา� คญั ๒ ศาสนา คอื พระพทุ ธศาสนา
และศาสนาเชน ต่อมาอินเดยี ถกู เปอร์เซยี และกรกี สมยั พระเจา้ อะเลก็ ซานเดอร์มหาราชรกุ ราน
คร้ันถึง ๓๒๑ ปีก่อนครสิ ต์ศกั ราช พระเจ้าจันทรคุปต์ ผ้ตู ้งั ราชวงศ์เมารยะ ไดข้ ยาย
อ�านาจออกไปทางเหนือของอินเดีย นับเป็นราชวงศ์แรกของอินเดีย จักรพรรดิองค์ส�าคัญ คือ
พระเจ้าอโศกมหาราช ในระยะแรกได้ขยาย
ดินแดนให้กว้างใหญ่ย่ิงข้ึน ต่อมาได้
เปล่ียนไปนับถือพระพุทธศาสนา
และเผยแผ่พระพุทธศาสนาไปยัง
ดนิ แดนต่างๆ

2

สถปู สาญจี สรางขน้ึ ในสมัยพระเจาอโศก
มหาราชแหงราชวงศเมารยะ มีลักษณะ
เปน รปู โอควาํ่ หรอื ขนั ควา่ํ ทเี่ รยี กวา ศลิ ปะ
แบบสาญจี

แนวขอ สNอบTเนนOก-าNรคETิด นกั เรยี นควรรู

ชาวอารยันที่อพยพเขา มายังอินเดียไดสรางสรรคค วามเจรญิ ในเร่อื งใด 1 สมยั มหากาพย เปน สมยั ท่ชี าวอารยนั ขยายเขามาในอนิ เดยี เตม็ ท่ี บางพวกลง
ใหแ กอินเดยี บา ง จงยกตวั อยา ง มาทางตะวันออกเฉยี งเหนอื บางพวกลงมาทางใตแถบลมุ แมนํา้ คงคา บางพวกไป
แนวตอบ ความเจรญิ ของชาวอารยันท่สี ําคญั เชน การแตงบทสรรเสริญ อยแู ถบรฐั เบงกอลปจ จบุ นั โดยเรอื่ งราวของชาวอารยนั จะปรากฏอยใู นมหากาพยท ่ี
พระผูเปน เจา ในพิธีบูชายัญโดยพวกนักบวช และบทสรรเสริญนไี้ ดถายทอด ยิง่ ใหญข องอินเดยี 2 เร่ือง คอื มหาภารตะ ซ่ึงเปน เรื่องมหาสงครามของราชวงศ
ตอกันมาโดยการทอ งจํา คร้นั ถงึ ประมาณ 1,000 ปกอนคริสตศ ักราช จงึ มี 2 ราชวงศทข่ี ัดแยงกนั ทที่ ุงกรุ เุ กษตร (ใกลเ มืองเดลี) กบั รามายณะ (รามเกียรต)์ิ
การรวบรวมแตยงั ไมมีการจดบันทึก จนกระทัง่ ราวศตวรรษท่ี 8 หรือศตวรรษ ซึ่งเปนเรื่องการสงครามระหวา งความดีกบั ความชัว่ โดยมพี ระรามหรอื พระนารายณ
ที่ 7 กอนคริสตศกั ราช จึงเรม่ิ มีการประดิษฐตัวอกั ษรและมีการจดบันทกึ ท่อี วตารลงมาเกิดบนโลกมนษุ ยเ ปนตวั แทนแหง ความดี กบั ทศกัณฐ ซึ่งเปน ยักษ
คัมภีรขึน้ เรียกวา พระเวท นอกจากนี้ยังมคี วามเช่อื เก่ยี วกับระบบวรรณะ เปนตัวแทนแหงความชัว่ ทมี่ าแยงนางสดี า มเหสขี องพระราม
(แปลวา สหี รอื สีผวิ ) เพอ่ื แยกชนช้นั ของชาวอารยนั จากทราวิฑ การนบั ถอื 2 สถูปสาญจี ตงั้ อยใู นเขตหมูบ า นสาญจี แควนมธั ยประเทศ เช่ือวาพระเจา
เทพเจาหลายองค ซง่ึ ภายหลังไดพ ฒั นามาเปน ศาสนาพราหมณ-ฮินดู อโศกมหาราชทรงสรา งสถูปไวใ นอินเดยี และอฟั กานิสถานมากถงึ 84,000 องค
ในปจจุบัน ตอมาในยคุ มหากาพยไดเกดิ มหากาพยย ่งิ ใหญ 2 เรื่อง คอื แตถ ูกทําลายเสยี หมด บางองคไดร บั การตอเติมในสมยั หลงั สถปู สาญจไี ดรบั การ
มหาภารตะและรามายณะ (รามเกยี รติ์) ซึ่งเปน หลักฐานสาํ คัญท่ีทําใหรเู รอื่ ง ประกาศจากองคก ารยเู นสโกใหเ ปนมรดกโลกเมื่อ ค.ศ. 1989
ของชาวอารยันหลังสมัยพระเวท เปนตน
ค่มู อื ครู 151

กระตนุ้ ความสนใจ ส�ารวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล
Engaae Expore Expand Evaluate
Explain Explain
อธบิ ายความรู้

1. ครูใหนักเรยี นศึกษาเรื่องนา รเู กย่ี วกบั เสาหนิ เรอื่ งนา รู
พระเจา อโศกมหาราชจากหนงั สอื เรียน
หนา 152 แลวใหน ักเรียนอธบิ ายวา เสาหิน เสาหินพระเจา อโศกมหาราช
พระเจาอโศกมหาราชสรางขึ้นเพอ่ื
จุดมงุ หมายใด และมีความสาํ คญั อยางไร เสาหินพระเจาอโศกมหาราชจัดเปนประติมากรรมเน่ืองในพระพุทธศาสนาที่มีความงดงามท่ีสุดท่ียัง
(แนวตอบ เสาหนิ พระเจา อโศกมหาราชเปน หลงเหลืออยูในปจจุบัน ในสมัยพระเจาอโศกมหาราชเม่ือขยายอาณาเขตไปถึงบริเวณใด
ประติมากรรมเนอ่ื งในพระพุทธศาสนาที่ ก็จะสรางเสาหินปกไวเพ่ือแสดงขอบเขตพระราชอํานาจ เสาหินโดยทั่วไปสราง
พระเจา อโศกมหาราชทรงสรางขนึ้ เพือ่ แสดง ดวยหินทรายขัดมัน มีลักษณะเปนเสากลม บนหัวเสาเปนรูปดอกบัว เหนือ
ขอบเขตพระราชอํานาจ ตอ มาอนิ เดียไดน าํ รูป ขนึ้ ไปเปน รปู สตั วช นดิ ตา งๆ ทพ่ี บมาก คอื
ของหวั เสาหนิ นี้เปน ตราประจําชาติ และนํา ราชสหี  ชา ง ววั จากบรรดาเสาหนิ ทงั้ หลาย
ตราธรรมจักรไปประดบั ไวก ลางธงชาตอิ นิ เดีย เสาหินท่ีสารนาถนับวามีความสวยงามและ
มาจนถงึ ปจ จบุ ัน) มีชื่อเสียงท่ีสุด ซ่ึงหัวเสาทําเปนรูปสิงโต
๔ ตัว หันหลังชนกันยืนอยูบนแทนที่สลัก
2. ครูใหน ักเรียนรวมกนั วเิ คราะหวา เพราะเหตใุ ด เปนรูปชาง มา วัว และราชสีห และค่ันดวย
ศาสนาอสิ ลามจึงสามารถเขามาเผยแผจ นทัว่ ธรรมจักรเล็กๆ ปจจุบันเสาหินเหลาน1้ีถูก
อินเดยี เก็บรักษาไวท่ีพิพิธภัณฑที่เมืองสารนาถใน
(แนวตอบ หลังส้ินสุดราชวงศค ุปตะ อนิ เดียเกิด รัฐอตุ ตรประเทศ ธงชาตอิ นิ เดีย
ความแตกแยกและออ นแอ ดนิ แดนทางเหนอื
ถูกตางชาตริ ุกราน ศาสนาอิสลามจึงเริม่ เผยแผ ภายหลงั จากทอี่ นิ เดยี ไดร บั เอกราชจากองั กฤษ นายกรฐั มนตรใี นขณะนนั้ คอื
เขา สูอินเดยี ทางเหนือ และตอมาในตน ครสิ ต- ยวาหรล าล เนหร ู ไดน าํ รปู ของหวั เสาหนิ นเี้ ปน ตราประจาํ ชาติ และนาํ ตราธรรมจกั ร
ศตวรรษที่ 13 ถงึ ตนครสิ ตศ ตวรรษท่ี 16 อินเดยี หัวเสาอโศกที่สารนาถ ไปประดับไวกลางธงชาตอิ ินเดียมาจนถึงปจ จุบัน
ถูกปกครองโดยสลุ ตานแหงเดลี หรอื ราชวงศ
มมั ลกู ศาสนาอสิ ลามจงึ ไดเผยแผไ ปทั่วอนิ เดยี ) เมื่อราชวงศเ์ มารยะหมดอา� นาจ อินเดยี ถกู ต่างชาติรกุ ราน ท�าใหอ้ นิ เดียแตกแยกและ
ออ่ นแอ จนกระท่งั ค.ศ. ๓๒๐ พระเจา้ จนั ทรคปุ ตท์ ่ี ๑ แหง่ ราชวงศค์ ปุ ตะ (ค.ศ. ๓๒๐ - ๕๕๐) เรม่ิ
ฮรวินมดปู รแะตเท่พศรแะพละุทขธยศาายสอน�าานกา็ยจังอคองกเจไปริญจารกุ่งแเรคือวง้น มมคีพธร ะสจมีน2ัยเดนิน้ีศทาสานงไาปพศรึกาหษมาพณร์ไะดพ้พุทัฒธศนาาสเปน็นาศแาลสะนนา�า
พระไตรปิฎกไปจนี นอกจากน้ียงั เปน็ สมัยแห่งความรุง่ เรืองทางด้านวทิ ยาศาสตรแ์ ละคณิตศาสตร์
โดยเปน็ ผเู้ ร่ิมใชเ้ ลขอารบกิ และเลข ๐ (เลขศนู ย)์
ระหว่างคริสตศ์ ตวรรษท่ี ๒ - ๑๐ อารยธรรมอินเดยี ทั้งด้านศาสนา ศลิ ปะ วรรณกรรม
กฎหมาย ไดแ้ พร่หลายไปยงั อาณาจักรตา่ งๆ เช่น ลังกา พมา่ ทวารวดี เขมร อัฟกานสิ ถาน จนี
หลงั การสนิ้ สดุ ของราชวงศค์ ปุ ตะ อนิ เดยี แตกแยกและออ่ นแอ ทางเหนอื ถกู ตา่ งชาตริ กุ ราน ศาสนา
อสิ ลามเริม่ เผยแผ่เขา้ สอู่ นิ เดียทางเหนือ แตท่ างอินเดียใตร้ ะหว่างคริสต์ศตวรรษท ่ี ๙ - ๑๓ ศาสนา
พราหมณ์ - ฮินดูยังคงเจริญรุ่งเรืองภายใต้อาณาจักรโจฬะ นอกจากนี้ยังมีความรุ่งเรืองทางด้าน
การคา้ ด้วย
โ ดยสุล ต่านแใหน่งรเะดหลว3ีห่ารงือตร้นาคชรวิสงตศ์ศ์มตัมวลรูรกษ ทในี่ ส๑ม๓ัย นถ้ีศึงาตส้นนคารอิสิสตล์ศาตมวไรดร้เษผทย่ี แ๑ผ๖่อ ออกินไปเดทีย่ัวถอูกินปเดกียคแรอลงะ
มีการน�าวิธีการท�ากระดาษ ดนิ ปืน เคร่ืองกระเบอื้ งจากจีนมาเผยแพร่ในอินเดีย

152

นกั เรยี นควรรู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNดิ ET
เพราะเหตใุ ดในสมยั ราชวงศคุปตะจงึ ไดชอ่ื วา “ยุคทองของอนิ เดียโบราณ”
1 เมืองสารนาถ เปนเมอื งสาํ คัญทางพระพทุ ธศาสนา เปนสถานทท่ี ีพ่ ระพุทธเจา แนวตอบ เพราะราชวงศค ปุ ตะไดส รา งสรรคค วามเจรญิ ดา นศลิ ปวทิ ยาการ
แสดงปฐมเทศนาแกป ญจวัคคียท ป่ี าอิสปิ ตนมฤคทายวัน แขวงพาราณสี (ปจจุบนั ตา งๆ ขึน้ มากมาย เชน ดานวรรณคดี สมยั นี้ไดชอื่ วา เปน ยุคทองของ
เรยี ก สารนาถ) ดวยเหตนุ ี้ สารนาถจึงเปน 1 ในสงั เวชนยี สถาน 4 แหง ขององค วรรณคดสี นั สกฤต เพราะกษตั รยิ ท รงสนบั สนนุ ใหน กั ปราชญใ ชภ าษาสนั สกฤต
พระสมั มาสมั พทุ ธเจา ศาสนสถานในสารนาถถูกทําลายไปเกอื บหมดในสมยั ที่ ในการเขียนผลงาน กวเี อกทส่ี าํ คัญ คอื กาลิทาส ไดแตง บทละครเรอ่ื ง
สลุ ตา นแหงเดลคี รองอินเดยี นอกจากพระสถปู เจดยี ทย่ี ังหลงเหลือใหเห็นแลว ศกนุ ตลาอนั โดง ดงั ดา นการศกึ ษา ในสมยั คปุ ตะไดม มี หาวทิ ยาลยั ตา งๆ
ยังมบี างสว นของเสาอโศกเหลืออยู ซ่งึ ในอดตี เปนเสาทมี่ ีความสงู ถึง 15 เมตร เกิดขน้ึ เชน มหาวิทยาลยั นาลันทา เปนตน ซ่งึ เปนแหลง รวมของวทิ ยาการ
2 พระจีน ซ่งึ เปน ท่ีรจู ักกนั ดี คอื พระซวนจางหรือพระถังซาํ จง๋ั ทีถ่ ูกกลาวถึง แขนงตางๆ ดา นคณิตศาสตร สมยั นไ้ี ดม กี ารประดิษฐตัวเลขอารบิก (ตวั เลข
ในวรรณกรรมจนี เร่อื งไซอิ๋ว โดยวัดหา นปา ใหญทน่ี ครฉางอาน เปน ท่ีแปล 1-9 และ 0 (เลขศนู ย) ) และระบบทศนยิ มขนึ้ ทําใหก ารคาํ นวณมคี วาม
พระไตรปฎกของพระถังซําจ๋ังเม่อื กลับมาจากอินเดยี สะดวกขนึ้ ตอ มาชาวอาหรบั ไดน าํ ตวั เลขจากอนิ เดยี ไปใช และชาวยโุ รปกร็ บั
3 สลุ ตา นแหงเดลี สมัยสลุ ตา นแหง เดลี (ค.ศ. 1206-1526) เปนสมัยที่อินเดีย จากอาหรบั อกี ตอหนง่ึ ดว ยเหตนุ ีจ้ งึ เรยี กวา เลขอาหรับ ดา นการแพทย
ตอนเหนอื อยใู ตอ ิทธพิ ลของอารยธรรมอิสลาม ในสมยั นี้อนิ เดียกลบั เขา สกู าร มกี ารเร่ิมวิธกี ารรกั ษาแผนใหม รูจ กั ผาตัด รูจ กั การใชย าหลายขนานกอน
ปกครองแบบรวมศนู ยอ กี ครงั้ หนึ่งหลงั จากทีเ่ กิดความแตกแยกเปน อาณาจักรเลก็ ๆ ชาวยโุ รป ดา นศลิ ปกรรม จดั เปน ยคุ ทองของศลิ ปะอินเดยี มกี ารสราง
มาตั้งแตราชวงศค ุปตะเสือ่ มอาํ นาจ พระพุทธรปู ท่งี ดงาม มีการวาดภาพจติ รกรรมบนผนงั ถํ้าอชันตา เปนตน

152 คูม่ อื ครู

กระต้นุ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Engaae Expore Evaluate
Explain Expand Explain

อธบิ ายความรู้

ราชวงศ์สุดท้ายที่ปกครองอินเดีย คือ ราชวงศ์โมกุลหรือมุคัลในต้นคริสต์ศตวรรษท ี่ 1. ครูใหน กั เรียนในช้นั เรียนชวยกนั ยกตัวอยา ง
๑๖ ถึงกลางครสิ ตศ์ ตวรรษท่ ี ๑๙ ผ้ตู ั้งจักรวรรดิ จกั รพรรดิองคส าํ คัญของอินเดีย พรอมทง้ั
โมกุล คือ พระเจ้าบาบูร์ และจักรพรรดิที่มี บอกบทบาททส่ี าํ คัญของจกั รพรรดพิ ระองคน้ัน
ชอื่ เสียง คอื พระเจา้ อกั บารม์ หาราช พระองค์ มาพอสงั เขป
สททา�รัชคงมสัญงา่ อเฮสกี ัลรพ2มิ รใอะหอนม้ งุสขีครนั์หณตนธิ์แงึ่ ร หรคม่อืงทค ชาวางาหศม ์าจรสะักนฮทาา ่ีสนสว 1ลุ ผยตูส้ งา่ รนาา้ มทง ี่ (แนวตอบ เชน พระเจา อักบารมหาราช ทรงเปน
จักรวรรดิโมกุลหมดอ�านาจลงใน ค.ศ. ๑๘๕๘ จกั รพรรดทิ ่ีปกครองอนิ เดียจนมีความเจริญ
โดยอังกฤษเข้ายึดครองอินเดีย จนถึง ค.ศ. รุง เรอื งในทกุ ดาน และทรงใหเ สรีภาพใน
๑๙๔๗ อินเดียจึงได้รับเอกราช อารยธรรม การนบั ถือศาสนาแกร าษฎรอยา งเทา เทียมกนั
อนิ เดยี ได้สร้างสรรค์ความเจรญิ ตา่ งๆ มากมาย พระเจาชาห จะฮาน เปนผสู รา งทชั มาฮลั
ซงึ่ มผี ลสา� คญั ตอ่ พฒั นาการและการเปลย่ี นแปลง อนุสรณแหงความรักทยี่ ่ิงใหญแ ละสวยงามท่ีสดุ
ของภูมิภาคเอเชียใต้และภูมิภาคอื่นๆ ท่ีรับ พระเจาอักบารมหาราช กษัตริยผูทรงปกครองอินเดียใหมี ในโลก จนไดร บั การกลา วขานวา เปน
อารยธรรมอนิ เดยี อทิ ธพิ ลทางอารยธรรมทสี่ า� คญั ความเจริญรุงเรืองในทุกดาน และทรงใหเสรีภาพในการ สง่ิ มหัศจรรยของโลกยุคใหม)
คอื ดา้ นศาสนา เช่น ศาสนาพราหมณ์ - ฮนิ ดู นบั ถือศาสนาแกร าษฎร
พระพุทธศาสนา และดา้ นภมู ปิ ญั ญาแขนงต่างๆ (ดูรายละเอยี ดเพิ่มเตมิ ในหวั ขอ้ ที่ ๒ อิทธพิ ลของ 2. ครสู มุ นกั เรยี นสรปุ เกย่ี วกบั อารยธรรมอนิ เดยี วา
อารยธรรมโบราณทม่ี ีตอ่ ทวีปเอเชยี ในปจั จบุ นั ) ไดส รา งสรรคค วามเจรญิ ในดา นใดบางทีม่ ผี ล
ตอ พัฒนาการและการเปล่ยี นแปลงของ
ทชั มาฮลั เปน ผลงานทางสถาปต ยกรรมทพี่ ระเจา ภูมิภาคเอเชยี ใตแ ละภูมิภาคอืน่ ๆ
ชาห จะฮาน โปรดใหส รา งขึ้นเพือ่ เปน ทร่ี ะลกึ ถงึ (แนวตอบ อารยธรรมที่สาํ คัญ เชน ดา นศาสนา
พระนางมุมทัชมาฮลั พระมเหสขี องพระองค โดยเฉพาะศาสนาพราหมณ-ฮนิ ดู พระพุทธ-
ศาสนา ดา นวิทยาศาสตร และคณติ ศาสตร
โดยเปนผรู เิ ริม่ ใชเ ลขอารบกิ และระบบทศนยิ ม
เปนตน)

แนวขอ สNอบTเนนOก-าNรคETิด เกรด็ แนะครู

พระเจา อกั บารแ หง ราชวงศโ มกลุ ทรงบาํ เพญ็ พระราชกรณยี กจิ ในดา นใดบา ง ครูแนะนําใหน ักเรียนดูวดี ทิ ัศนภาพยนตรเ ร่อื ง Jodhaa Akbar : อัศวินราชา
จึงไดรบั การถวายพระราชสมัญญานามวา “มหาราช” บปุ ผาสวรรครานี เพอื่ ที่จะไดเกิดความเขา ใจในเรื่องราวทางประวัติศาสตรส มยั
แนวตอบ พระเจา อกั บารท รงเปน กษตั รยิ ม สุ ลมิ ราชวงศโ มกลุ พระองคเ ดยี ว พระเจาอกั บารมหาราชแหงราชวงศโ มกลุ วา ถึงแมจะเปนราชวงศท ี่นับถือศาสนา
ทไี่ ดร บั การเฉลมิ พระเกยี รตวิ า “มหาราช” ทง้ั นเ้ี ปน ผลมาจากพระราชกรณยี กจิ อิสลาม แตกป็ กครองบานเมืองจนไดร ับการยอมรบั และเคารพจากชาวฮินดู
ในดา นตา งๆ ท่ที รงปฏบิ ตั ิ เชน ดา นการปกครอง ทรงคัดเลือกบคุ คลท่ีมี
ความสามารถเขา รับราชการโดยไมค าํ นงึ ถงึ เช้ือชาตแิ ละศาสนา ทรงใหความ นักเรียนควรรู
เสมอภาคแกช าวฮนิ ดทู ัง้ ดานการเมือง เศรษฐกจิ และสังคม ดา นเศรษฐกิจ
ทรงลดภาษกี ารคา ใหแ กพอคา เพื่อสนบั สนนุ การคาและปอ งกนั การเล่ยี งภาษี 1 ชาห จะฮาน นอกจากทัชมาฮลั แลว พระองคโปรดใหส รา งสถาปตยกรรม
ของพอคา ทรงเพิ่มพื้นทสี่ ําหรบั การทําเกษตรกรรมมากข้นึ ทรงใหต ดั ถนนท่ัว ท่ีสวยงามหลายแหง เชน ปอมแดง มัสยดิ จามา ภายหลังพระองคทรงถกู
พระราชอาณาจกั รเพอื่ การคมนาคมท่รี วดเร็ว ดานศาสนา ทรงใหเ สรีภาพ พระราชโอรส ช่อื ออรงั เซบ ยึดอํานาจและจบั ขังไวในปอมอคั ระจนสวรรคต
ในการนบั ถือศาสนาแกช นทุกช้นั ดานศลิ ปวทิ ยาการ โปรดใหสรางหอสมุด
ขนาดใหญ บรรจุหนงั สอื ไดถ ึง 24,000 เลม รวมทั้งโปรดใหแปลตําราเปอรเ ซยี 2 ทชั มาฮัล ต้ังอยูบ นฝง ตะวนั ออกของแมน า้ํ ยมุนาทเี่ มอื งอัคระ โดยเร่มิ สราง
พงศาวดารเตริ ก และคัมภรี ข องครสิ ตศ าสนาบางตอนทบ่ี าทหลวงนํามาสู ใน ค.ศ. 1631 และเสร็จสมบูรณใ น ค.ศ. 1648 ใชเงินมากถึง 5 ลานรปู  ทัชมาฮัล
ราชสํานัก เปน ตน นบั เปน 1 ใน 7 สง่ิ มหศั จรรยของโลกยุคใหม และไดรับการประกาศจากองคการ
ยูเนสโกใหเปนมรดกโลกเมือ่ ค.ศ. 1983
คู่มอื ครู 153

กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล
Engaae Expore Expand Evaluate
Explain Explain
อธบิ ายความรู้

1. ครูใหนกั เรยี นศกึ ษาตารางลาํ ดับเหตุการณ ลา� ดับเหตกุ ารณ์สา� คัญทางประวัตศิ าสตรข์ องอนิ เดยี
สําคัญทางประวัตศิ าสตรข องอนิ เดีย แลว ให
นกั เรียนตอบคาํ ถามตอไปนี้ สมัย ชว่ งเวลา/เหตกุ ารณ์ส�าคัญ
• ราชวงศแ รกของอนิ เดยี คือราชวงศอ ะไร อารยธรรมลมุ่ แมน่ า้� สนิ ธุ
และมีจักรพรรดทิ ่ีสําคัญพระองคใ ดบาง สมัยพระเวทและมหา ๒,๕๐๐ - ๑,๕๐๐ ปีกอ่ น ค.ศ. เมอื งฮารปั ปาและโมเฮนโจ -ดาโรเจริญรุง่ เรือง
(แนวตอบ ราชวงศแรกของอนิ เดยี คอื ราชวงศ กาพย์
เมารยะ จกั รพรรดิที่สาํ คญั เชน พระเจา พระพทุ ธเจา้ ๑,๕๐๐ - ๕๐๐ ปีก่อน ค.1ศ. พวกอารยนั อพยพเข้าสอู่ นิ เดยี รวบรวมคัมภีร์
จนั ทรคุปต พระเจาอโศกมหาราช เปนตน ) อะเล็กซานเดอร์
• วิทยาศาสตรและคณติ ศาสตรม คี วามเจรญิ มหาราช ฤคเวท แตง่ คมั ภรี ์อปุ นิษัท ก�าเนิดศาสนาพราหมณ ์ เกดิ ระบบวรรณะ
กา วหนา มากในสมยั ใด ราชวงศเ์ มารยะ ๕๖๓ - ๔๘๓ ปีก่อน ค.ศ. พระพทุ ธเจ้าประสตู ิ - ปรินิพพาน
(แนวตอบ สมัยราชวงศค ุปตะ) ๓๒๗ ปกี อ่ น ค.ศ. พระเจา้ อะเลก็ ซานเดอรม์ หาราช กษตั รยิ ก์ รกี รกุ รานอนิ เดยี
• บุคคลใดบางทมี่ บี ทบาทในการเรียกรอง ราชวงศค์ ปุ ตะ ทางเหนอื
เอกราชของอนิ เดียจากอังกฤษ ๓๒๑ - ๑๘๕ ปกี อ่ น ค.ศ. ราชวงศ์แรกของอินเดยี มีจักรพรรดทิ สี่ �าคัญ คอื
(แนวตอบ ทส่ี าํ คัญ เชน มหาตมาคานธี แตกแยกและออ่ นแอ พระเจ้าจันทรคุปต์ พระเจ้าอโศกมหาราช ทรงเผยแผ่พระพุทธศาสนาไปยัง
และยวาหรล าล เนหร)ู ประเทศตา่ งๆ รวมทง้ั เอเชียตะวันออกเฉยี งใต้
สลุ ต่านแหง่ เดลีหรอื ค.ศ. ๓๒๐ - ๕๕๐ มศี ูนย์อา� นาจทแี่ ควน้ มคธ แม่น�้าคงคา ศาสนาพราหมณ์
2. ครใู หแ ตล ะกลมุ นาํ เสนอลาํ ดบั เหตกุ ารณส าํ คญั ราชวงศ์มมั ลูก มกี ารพฒั นาเปน็ ศาสนาฮนิ ด ู แตพ่ ระพทุ ธศาสนายงั คงเจรญิ รงุ่ เรอื ง วทิ ยาศาสตร์
ทางประวตั ศิ าสตรข องอินเดียในตารางหนา และคณิตศาสตรม์ ีความเจริญก้าวหน้ามาก
154 ใหม ในรูปแบบเสน เวลา (Timeline) จกั รวรรดโิ มกลุ หรอื มคุ ลั คริสต์ศตวรรษที่ ๖ - ๑๐ หลังสมัยคุปตะ ทางเหนือถูกต่างชาติรุกรานและ
โดยใหใชก ระดาษโปสเตอรมภี าพประกอบ ตั้งอาณาจักร ศาสนาอิสลามเร่ิมเผยแผ่เข้าสู่อินเดียทางเหนือ ในช่วงกลาง
พรอมตกแตง ใหสวยงามนําสงครูผสู อน องั กฤษปกครองอินเดีย คริสต์ศตวรรษท่ี ๙ ถึงกลางคริสต์ศตวรรษท่ี ๑๓ อาณาจักรโจฬะทางใต้
ของอินเดยี นับถือศาสนาพราหมณ์-ฮนิ ดูมีความเจรญิ รุ่งเรอื งทางการคา้
อนิ เดยี ได้เอกราช ค.ศ. ๑๒๐๖ - ๑๕๒๖ ตั้งโดยผูน้ า� มสุ ลมิ เชือ้ สายเตริ ์ก เรยี กว่า ราชวงศม์ มั ลกู
แบง่ เปน็ ๒ ประเทศ แต่เนื่องจากต้ังเมืองหลวงที่เดลี จึงมักเรียกว่า สุลต่านแห่งเดลี มีการรับ
154 บังกลาเทศ วิธีการท�ากระดาษ ดินปืน เครื่องกระเบอื้ งจากจีน ใน ค.ศ. ๑๔๙๘ โปรตเุ กส
เดินทางถงึ อนิ เดยี ทางเรอื
ค.ศ. ๑๕๒๖ - ๑๘๕๘ ตงั้ โดยบาบูร์ เช้อื สายพวกมองโกล สลุ ต่านที่ยง่ิ ใหญ ่
คอื อกั บาร์มหาราช (ค.ศ. ๑๕๕๖-๑๖๐๕) สง่ เสรมิ ให้มขี นั ติธรรมทางศาสนา
เพ่ือให้คนท่ีนับถือศาสนาแตกต่างกันอาศัยอยู่ร่วมกันได้ และชาห์ จะฮาน
(ค.ศ. ๑๖๒๘ - ๑๖๕๘) ผสู้ รา้ งทชั มาฮลั ตน้ ครสิ ตศ์ ตวรรษท ี่ ๑๘ ราชวงศ์โมกลุ
เสอ่ื มอา� นาจ ชาตติ ะวนั ตกขยายอา� นาจในอนิ เดยี
ค.ศ. ๑๘๕๘ - ๑๙๔๗ อินเดยี อยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษ โดยสมเดจ็

เใพรหรยี ญะกรห่รา้อรชอืงนิ เออนี ปุ การถราาวชชกิ เ ตปผอ็นู้นเผรา� ยู้ปีทเกี่สปค�าน็ ครจอัญกั ง ร ไพใดนร้แปรกดล ่นิามยขี หคอารงตสิอมตนิ าศ์ เคดตายีวน รรรธฐั2ษี บยทาวี ่ลา๑อห๙งัร กล์ ชฤาาลษว ตอเง้ันินขหเา้ดร์ หียู ลเรวิม่ ง

ค.ศ. ๑๙๔๗ อนิ เดยี ได้รับเอกราช แต่ประเทศแบง่ เป็น ๒ ส่วน คอื อนิ เดีย
ซึง่ ประชากรสว่ นใหญ่เป็นฮินดู กบั ปากีสถานซึง่ ประชากรสว่ นใหญ่เปน็ มสุ ลมิ
ทง้ั ๒ ประเทศมีความขัดแยง้ เรอื่ งแคว้นแคชเมยี รม์ าจนถึงปจั จบุ นั
ค.ศ. ๑๙๗๑ ปากสี ถานตะวันออกแยกออกจากประเทศปากสี ถานเปน็ ประเทศ
ใหม ่ คือ บงั กลาเทศ

เกร็ดแนะครู กจิ กรรมสรา งเสรมิ

ครูแนะนาํ ใหน ักเรียนดูวดี ทิ ัศนภาพยนตรเ ร่อื ง Asoka : อโศกมหาราช เกีย่ วกบั ครใู หนกั เรียนสืบคนขอมลู เกย่ี วกับอารยธรรมอนิ เดยี สมัยประวัตศิ าสตร
เร่ืองราวการทําสงครามของพระเจาอโศกมหาราช จนทาํ ใหในที่สดุ ทรงหนั มานบั ถือ เรม่ิ ตงั้ แตร าชวงศเ มารยะเขา มามอี าํ นาจจนถงึ สนิ้ สดุ ราชวงศโ มกลุ ซงึ่ ขอ มลู
พระพทุ ธศาสนาและเผยแผพระพุทธศาสนาไปยงั ดินแดนตางๆ ประกอบดว ย ผปู กครองสาํ คญั ในแตล ะราชวงศ การสรา งสรรคค วามเจรญิ
ในดา นตา งๆ โดยนาํ ขอ มลู จัดทําเปน รายงานสง ครผู ูสอน
นักเรยี นควรรู
กิจกรรมทาทาย
1 คมั ภรี อปุ นิษัท มีวิวฒั นาการมาจากคมั ภรี ฤ คเวท โดยเปน คาํ สอนเก่ียวกับ
ปรมาตมนั ซง่ึ ชาวฮนิ ดถู อื วาเปนความจริงทีเ่ ที่ยงแทเ พยี งอยางเดียว วิญญาณของ ครูใหน กั เรียนจดั ทําตารางแสดงพฒั นาการของอารยธรรมอินเดีย
บุคคลแตละคนเปนสวนหนงึ่ ของปรมาตมนั โดยจะเวียนวา ยตายเกิดไปตามกรรม สมัยประวัติศาสตรก บั อารยธรรมจีนสมยั ประวัติศาสตร นําเสนอหนา
เมือ่ หมดกรรมแลวจงึ จะกลบั คืนสูปรมาตมัน ชนั้ เรยี น แลว อธบิ ายวา แตล ะราชวงศท ปี่ กครองอนิ เดยี และจนี เกดิ เหตกุ ารณ
2 มหาตมาคานธี นักชาตนิ ิยมท่ตี อ สเู พอ่ื เอกราชของอนิ เดีย โดยใชวิธกี ารตอ สู สําคัญอะไรข้ึนบาง และสรางสรรคผ ลงานสาํ คัญในเรอ่ื งใดใหเปน มรดก
ดวยความสงบ ทเี่ รยี กวา อหงิ สา ซงึ่ มีอยูหลายวิธี เชน การอดอาหาร การหยุด ตกทอดมาจนถึงปจจุบัน
ทาํ งาน การเลิกใชผาที่ทอในโรงงานอตุ สาหกรรม เปน ตน

154 คูม่ อื ครู

กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล
Engaae Expore Evaluate
Explain Expand Explain

อธบิ ายความรู้

1เม.โ๓สโปทเตต่ี เมงั้ ียแ1เลป็นะแคหวลา่งมอาสรยาํ ธครญัรมขทอี่มงีควอาามรเกย่าธแรกร่ทม่ีสุดเแมหโ่งสหโนป่ึง เตเมเโมสโยี ปเตเมีย แปลว่า 1. ครนู ําแผนทท่ี วีปเอเชียหรือแผนท่แี สดงทีต่ ง้ั
อารยธรรมเมโสโปเตเมียมาใหน กั เรยี นดู
ดินแดนระหวา่ งแมน่ ้า� ๒ สาย คือ แม่น้า� ไทกรสิ และแมน่ า้� ยูเฟรทีส (ปจั จุบันคอื ดินแดนส่วนใหญ่ แลวใหแ ตละกลุมสงตัวแทนออกมาอธบิ าย
เกยี่ วกับทต่ี ้ังของอารยธรรมเมโสโปเตเมีย
ของประเทศอิรัก) ระหว่างสองฝั่งแม่น้�าท้ัง ๒ ท่หี นา ชั้นเรียน
สายเป็นพ้ืนดินที่มีความอุดมสมบูรณ์เหมาะ
แก่การเพาะปลูก ความอุดมสมบูรณ์น้ีท�าให้ เอสนนุ นา 2. ครูใหน กั เรยี นกลุม ท่ี 3 สง ตัวแทนออกมา
กลมุ่ ชนตา่ งๆ ทอี่ ยโู่ ดยรอบเขา้ มาทา� มาหากนิ และ นาํ เสนอเกีย่ วกบั อารยธรรมเมโสโปเตเมยี
สรา้ งอารยธรรมขน้ึ รวมทง้ั ถา่ ยทอดอารยธรรม แมน ้าํ ยเู ฟรทสี ซูเมอร์แมน ํา้ ไทกริส เทอื กเขาซากรอส ซูซา
จากกลุ่มหน่ึงสู่กลุ่มหน่ึง ท�าให้เกิดอารยธรรม 3. ครใู หน ักเรียนชวยกนั อธิบายวา แมนํา้ ไทกรสิ
แบบผสม อุมมาลากาสซ์ และแมน าํ้ ยเู ฟรทสี มีความสําคญั ตออารยธรรม
ใ นเมโสสโ�าปหเรตับเมแียห ลค่งือก �าบเนริดิเวอณารซยูเมธรอรรม์ 2แ(Sหu่งmแeรrก) อูรุก เมโสโปเตเมียอยา งไร
และผู้สร้างสรรค์อารยธรรมเร่ิมแรกในบริเวณนี้ เทล อัลเ-อออูเบริดดู อูร์ (แนวตอบ ระหวางสองฝง แมนํา้ ทง้ั สองสาย
เปนพื้นทีท่ ีม่ ีความอดุ มสมบูรณ เหมาะแกการ
ดินแดนอาหรับ เปออราเวซีย เพาะปลกู ทําใหชนชาตติ างๆ ทอี่ ยโู ดยรอบ
เขา มาอยอู าศยั และสรา งสรรคอารยธรรมข้ึน
คอื ชาวซูเมเรยี เมือ่ ประมาณ ๔,๐๐๐-๒,๕๐๐ แผนที่แสดงทีต่ ง้ั ของอารยธรรมเมโสโปเตเมีย รวมท้งั ถายทอดอารยธรรมจากกลมุ หน่ึงสู
ปกี ่อนคริสตศ์ ักราช กลุมหน่ึง ทําใหเ กิดอารยธรรมแบบผสม)

บริเวณซเู มอรเ์ ป็นบรเิ วณทีม่ คี วามอุดมสมบูรณ์จากดินตะกอนท่ที บั ถมอย่บู นฝั่งแม่น�้า แตม่ ี
ฝนตกนอ้ ย พน้ื ทท่ี ีอ่ ยู่ห่างแมน่ ้า� จะแห้งแล้ง แต่บรเิ วณสองฝ่ังแมน่ ้า� จะมีน้า� เออ่ ท่วม ทา� ให้มคี วาม
ชุ่มชื้น บางแห่งมีน�้าขัง สภาพเช่นน้ีเป็นปัจจัยส�าคัญที่ท�าให้เกิดการสร้างสรรค์อารยธรรมข้ึน
เพราะชาวซูเมเรียได้คิดค้นหาวิธีแก้ปัญหาและ
เอาชนะธรรมชาต ิ โดยสรา้ งทา� นบกนั้ นา�้ บรเิ วณ
สองฝั่งแม่น�้า ขุดคลองระบายน�้า ท�าประตูน�้า
ใสนรก้าางรอท่าา�งเเกกษ็บตนร�้ากแรลระมเข 3ก่ือลนา่ กวไั้นดนว้ �้าา่ เเพปื่อน็ ประรบะโบยกชานร์
ชลประทานครั้งแรกของโลก
นอกจากน ้ี ชาวซเู มเรยี ยงั รจู้ กั ประดษิ ฐล์ อ้
ท�าให้การขนส่งสินค้าไปแลกเปล่ียนกับดินแดน
ใกลเ้ คยี งมคี วามสะดวกรวดเรว็ มากยงิ่ ขนึ้ ทงั้ ยงั
สร้างวงล้อท่ีประกอบกับเพลาเพ่ือใช้กับเกวียน
และรถศึก ท�าให้นักรบบนรถศึกสามารถสู้รบ รถศกึ ใชล าลากของนกั รบแหง อรู  แสดงใหเ หน็ วา ชาวซเู มเรยี
ไดอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพ เปน ชนเผา แรกท่รี ูจกั ประดษิ ฐว งลอ

155

แนวขอ สNอบTเนน Oก-าNรคETิด นกั เรยี นควรรู

เหตุใดบรเิ วณทรี่ าบลมุ แมนํ้าจึงเปน แหลง สําคัญในการใหก าํ เนดิ อารยธรรม 1 เมโสโปเตเมีย เปน คําภาษากรกี แปลวา ระหวางแมน ้าํ ดินแดนทช่ี าวกรีก
1. เพราะเปน บรเิ วณทม่ี ีความสงบรม เย็น เรียกวาเมโสโปเตเมียนต้ี งั้ อยูในบริเวณลมุ แมน้ําไทกรสิ และยูเฟรทีส ซ่ึงเปน สว นหนง่ึ
2. เพราะเปน ศูนยก ลางในการติดตอคา ขาย ของดินแดนรูปพระจนั ทรเส้ียวอนั อดุ มสมบรู ณท ี่ทอดโคง ขนึ้ ไปจากฝงทะเล
3. เพราะมีความอุดมสมบรู ณในการดาํ รงชพี เมดเิ ตอรเรเนียนและอาวเปอรเ ซีย
4. เพราะอารยธรรมตอ งอาศยั น้าํ ในการสรา ง 2 บริเวณซเู มอร เปน บริเวณทน่ี ักประวตั ิศาสตรใหค วามสําคัญวา เปนจุดเริ่มตน
ของเมืองแหง แรกของโลกและเปนจุดเรม่ิ ตน ของสมัยประวัตศิ าสตร เนอื่ งจาก
วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 3. จะเห็นไดวา บริเวณชมุ ชนทเี่ ปนแหลง ชาวซเู มเรียเปน ชนชาตแิ รกท่ปี ระดษิ ฐต ัวอักษรเพอื่ บนั ทึกเรอื่ งราวตางๆ
3 เกษตรกรรม ชาวเมโสโปเตเมียไดป ระดิษฐคดิ คน วิธชี วยเพมิ่ ผลผลิตทาง
อารยธรรมโบราณของทวีปเอเชียท้ัง 3 แหลง (ยกเวนภูมภิ าคเอเชียตะวนั ออก เกษตรกรรมในพืน้ ทีแ่ ถบน้ี เชน การประดษิ ฐคนั ไถสํารดิ สําหรับไถนาและนาํ ววั คู
เฉยี งใต) ไดแก อารยธรรมเมโสโปเตเมียในภมู ิภาคเอเชียตะวันตกเฉยี งใต มาเทียมคันไถ การประดิษฐวงลอ เพอ่ื ใชกบั เกวยี นและรถศกึ การขดุ คคู ลองสง น้ํา
อารยธรรมอนิ เดยี ในภมู ภิ าคเอเชยี ใต อารยธรรมจนี ในภมู ภิ าคเอเชยี ตะวนั ออก ขนาดเล็กตอ จากแมน ํา้ เพื่อระบายไปยงั พน้ื ทเ่ี พาะปลูก เปนตน
ลวนตัง้ อยใู นบริเวณท่รี าบลุมแมนา้ํ เพราะเปน บริเวณที่มีความอุดมสมบรู ณ
ท่ีสดุ ซึง่ มีดนิ ทเี่ กดิ จากการทับถมของตะกอนทีแ่ มนา้ํ พดั พามา จึงเหมาะแก คู่มอื ครู 155
การเพาะปลูก อกี ท้งั สะดวกในการคมนาคมติดตอกบั ดินแดนตา งๆ
ดวยความอดุ มสมบูรณด งั กลาวทาํ ใหมกี ลมุ ชนตา งๆ เขา มาต้ังถ่นิ ฐาน
และสรางสรรคอารยธรรมข้ึน

กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล
Engaae Expore Expand Evaluate
Explain Explain
อธบิ ายความรู้

1. ครใู หนกั เรยี นชวยกนั บอกวา ชาวซูเมเรยี ซิกกแู รตแหงนครอูร (Ur) เปนส่ิงกอสรางของช1าวซูเมเรยี เพอ่ื ใชประกอบพิธีกรรมทางศาสนา สรา งดวยดินเหนยี วตากแหง
มีความสําคญั ตอ อารยธรรมเมโสโปเตเมยี
อยา งไร บนยอดสงู สดุ ทําเปน วหิ ารสําหรับบชู าเทพเจา
(แนวตอบ ชาวซูเมเรยี เปน ผูสรางสรรคอ ารยธรรม
เร่มิ แรกในบริเวณซเู มอร เปนผคู ิดคน หาวธิ ี ชาวซูเมเรียมกี ารปกครองแบบนครรัฐ (City States) แต่ละนครรฐั ประกอบดว้ ยบรเิ วณเมือง
แกป ญหาและเอาชนะธรรมชาติ โดยการสรา ง พื้นที่เกษตรกรรม และหมู่บ้านท่ีอยู่รอบๆ บริเวณส�าคัญของเมือง คือ วัดหรือสถานท่ีศักดิ์สิทธิ์
ทํานบกัน้ นา้ํ ขุดคลองระบายนํ้า ทาํ ประตนู ้าํ ซ่ึงเป็นท่ีประทับของเทพเจ้า เรยี กว่า ซิกกูแรต (Ziggurat) ซ่งึ มีรปู ร่างคล้ายพรี ะมดิ (Pyramid)
สรา งอางเก็บนา้ํ เข่ือนกั้นนํ้า เพื่อประโยชนใ น ของอียิปต์ ชาวซูเมเรียเป็นชนชาติแรกที่รู้จักประดิษฐ์ตัวอักษร โดยพระได้คิดค้นวิธีการเขียน
การทาํ เกษตรกรรม ซึง่ ถือเปน ระบบชลประทาน เปน็ ภาพบนแผ่นดนิ เหนยี ว โดยเขยี น
คร้ังแรกของโลก ท้ังยังรจู กั ประดษิ ฐว งลอ ทาํ ให ดว้ ยปากกาทท่ี า� จากตน้ ออ้ ตรงปลาย
การขนสง สนิ คา ทาํ ไดส ะดวกและรวดเรว็ เปน ตน ) ท�าเป็นรูปสามเหล่ียม เมื่อเขียน
ลงบนแผ่นดินเหนียวจะท�าให้เกิด
2. ครนู าํ ภาพเกีย่ วกบั สิ่งประดิษฐหรอื ส่งิ กอสราง ลักษณะคล้ายรูปลิ่ม จึงเรียกว่า
ของชาวซเู มเรียมาใหนักเรยี นดู แลวใหน กั เรยี น อักษรคูนิฟอรม (Cuneiform) หรือ
ชว ยกนั บอกวา เปน ภาพอะไร และมคี วามสาํ คญั อักษรล่ิม เม่ือเขียนเสร็จแล้วจึงน�า
อยางไร เชน แผน่ ดนิ เหนยี วไปผงึ่ แดดหรอื เผาไฟ
• ซิกกูแรต
(แนวตอบ เปน ส่ิงกอ สรา งของชาวซเู มเรยี
สรางดวยดินเหนียวตากแหง บนยอดสูงสดุ
ทาํ เปนวิหารสาํ หรับบูชาเทพเจา และใช
ประกอบพธิ กี รรมทางศาสนา)
• อกั ษรคนู ิฟอรม
(แนวตอบ ชาวซูเมเรีย เปนชนชาตแิ รก
ทรี่ ูจ ักประดิษฐตัวอักษร ซึง่ มลี ักษณะ
คลายรปู ลิ่ม จึงเรียกวา อักษรคูนิฟอรม
โดยจารกึ ลงบนแผน ดินเหนยี ว เมอื่ ชนชาตอิ น่ื
เขา มาอาศยั อยใู นเมโสโปเตเมยี ก็ไดใ ชอ ักษร
คนู ิฟอรมของชาวซูเมเรยี นสี้ ืบมา)

ให้แห้ง และเม่ือชนชาติอื่นเข้ามา
อาศัยอยู่ในเมโสโปเตเมียก็ได้ใช้
อักษรคูนิฟอรม จารึกลงบนแผนดินเหนยี ว มอี ายปุ ระมาณ ๗๐๐ ปก อน อักษรคูนิฟอร์มของชาวซูเมเรียสืบ
คริสตศักราช พบท่เี มืองนิเนเวหใ นเมโสโปเตเมยี แสดงขอ ความเกีย่ วกับ ต่อมา
ความรทู างดา นดาราศาสตร

156

เกร็ดแนะครู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNดิ ET
ซกิ กูแรตในอารยธรรมเมโสโปเตเมยี ถูกสรางขึน้ ดว ยวตั ถปุ ระสงคในขอใด
ครูใหน กั เรียนศกึ ษาเพ่ิมเติมเกย่ี วกบั กลมุ ชนตา งๆ ของอารยธรรมเมโสโปเตเมยี 1. บูชาเทพเจา
ไดแก ชาวซเู มเรีย ชาวอคั คาเดียน ชาวอะมอไรต ชาวคัสไซต ชาวอัสซเี รยี น 2. ฝงพระศพกษัตริย
ชาวแคลเดียน แลว ใหนกั เรียนบนั ทึกลักษณะสาํ คญั ของแตล ะกลมุ ชนลงสมดุ นาํ สง 3. ติดตอกับเพ่อื นบาน
ครผู ูสอน 4. แสดงความย่ิงใหญ
วเิ คราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 1. ซกิ กูแรต (ziggurat) จดั เปน ผลงาน
นักเรียนควรรู ดานสถาปตยกรรมของชาวซเู มเรยี ซึง่ เปน ชนชาตแิ รกท่เี ขามาตัง้ ถน่ิ ฐานใน
เมโสโปเตเมยี เพ่ือใหเปน เทวสถานในการบชู าเทพเจา เพอ่ื ไมใ หพ ระองคท รง
1 เทพเจา ชาวเมโสโปเตเมียมีความเช่อื วาเทพเจาสูงสงกวามนษุ ยแ ละเปน อมตะ ขนุ เคอื งและลงทณั ฑมนษุ ยด วยภยั ตา งๆ รวมทั้งเปนทีส่ อนหนงั สือใหแก
ทรงมีฤทธานุภาพแผป กคลุมไปท่วั ทกุ หนทกุ แหง ทั้งดวงอาทิตย ดวงจนั ทร นกั บวชรุนเยาวเพ่อื ใหม คี วามรตู างๆ และอานออกเขียนได ซิกกแู รตมกั จะ
ลมฟาอากาศ หรือทองไรท องนา จะมีเทพเจาสถติ อยู นอกจากนยี้ ังเช่อื วาภูตผีปศาจ สรา งดวยอิฐ โดยมีฐานที่ยกสูงจากพ้ืนดนิ ขางบนทําเปน วหิ ารของเทพเจา
มอี ํานาจดลบนั ดาลใหเ กดิ เภทภัยตางๆ เชน เกดิ โรคภัยไขเ จ็บ พายุ เปน ตน โดยมบี ันไดทอดยอดขน้ึ ไป
ดังนัน้ ชาวเมโสโปเตเมยี จงึ ตองสวดออนวอนเทพเจาเพอ่ื ไมใหพระองคทรงขุนเคอื ง
และลงทณั ฑม นษุ ย

156 คมู่ อื ครู

กระต้นุ ความสนใจ ส�ารวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Engaae Expore Evaluate
Explain Expand Explain

อธบิ ายความรู้

ชาวซูเมเรียนับถือเทพเจ้าหลายองค์ 1ในแต่ละนครรัฐต่างๆ มีการบูชาเทพเจ้าของตัวเอง 1. ครูสนทนากบั นกั เรยี นวา เมอื่ ชาวซเู มเรียเส่ือม
มแลหะาไกมา่เพชยื่อกเรลิ ื่อกงาวเิญมชญ2า(Gณilเgปa็นmอeมsตhะ) ซคง่ึ วเาปม็นเวชรื่อรทณากงรศรามสเนรา่ือถงูกแถรก่ายขทองอโดลอกอกมาทางวรรณกรรมเร่ือง อํานาจลง ชนชาติทม่ี บี ทบาทตอมา คอื
จ นั ทรคผตลิ ง๑าน ปกมีารี ส๑ร๒้า งเสดรือรนค์ ท๑่ีส �าเคดัญอื ขนอมงี ช๒า๖วซ๒๑ูเม วเนั ร ียกยาังรมคีอดิ ีกคหน้ ลวาธิ ยีกเารร่ือคงดิ เเลชข่นด ว้ ทย�าวปิธฏีบิทวกิน เปลบ็น แคบณูบ ชาวอคั คาเดียน จากนน้ั ครูใหนกั เรียนชว ยกนั
รู้จักน�าดินเหนียวมาตากแดดและเผาไฟให้แห้งเพ่ือน�ามาใช้ก่อสร้าง เพราะบริเวณที่ชาวซูเมเรีย ยกตวั อยางกษัตรยิ ท่ีสาํ คญั ของชาวอัคคาเดยี น
อาศยั อย่ขู าดแคลนหนิ และไมส้ า� หรับก่อสรา้ ง แต่ดินเหนียวมอี ยู่ทกุ ท่ ี ชาวซูเมเรยี จึงนา� ดินเหนียว และผลงานทส่ี าํ คัญของกษัตริยพ ระองคน น้ั
มาใช้ประโยชน์ เชน่ สรา้ งบ้าน วัด ก�าแพง เป็นตน้ (แนวตอบ เชน พระเจา ฮมั มรู าบี ไดต งั้ อาณาจกั ร
เม่อื ชาวซูเมเรียเสอื่ มอา� นาจ ผู้ทส่ี บื ทอดอา� นาจต่อมา คอื พวกอัคคาเดียน มีกษตั รยิ ์ คือ บาบิโลนขึ้นเมือ่ 1,760 ปกอนครสิ ตศกั ราช
พระเจา้ ซาร์กอนท่ ี ๑ (Sargon I) และตอ่ มากถ็ ูกพวกอะมอไรต์เข้าครอบครอง กษตั ริยท์ ส่ี �าคญั คอื พระองคไดส รา งประมวลกฎหมายฮัมมรู าบีขนึ้
พระเจ้าฮัมมูราบี (Hammurabi) ตั้งอาณาจักรบาบิโลนข้ึนเม่ือ ๑,๗๖๐ ปีก่อนคริสต์ศักราช ซึง่ นบั เปนประมวลกฎหมายทเ่ี กาแกทีส่ ดุ
มีเมืองหลวงอยู่ที่กรุงบาบิโลน และมีอ�านาจปกครองพื้นที่ทั้งหมดทางตอนใต้ของเมโสโปเตเมีย ของโลก)
ผลงานสา� คญั ทพี่ ระเจา้ ฮมั มรู าบที รงสรา้ งไว ้ คอื ประมวลกฎหมายฮมั มรู าบ ี (Code of Hammurabi)
น บั เปน็ หปลรงั ะจมาวกลสกมฎยั หพมระาเยจทา้ เ่ีฮกมั ่ามแรูกา่ทบ่สี ี ุดอาขณองาโจลกั กรเกดิ ความแตกแยก เพราะมชี นกลมุ่ ใหม3ร่ กุ รานเพอื่ 2. ครใู หนักเรียนศึกษาเรอ่ื งนา รเู กีย่ วกบั ประมวล
ยดึ ครองดนิ แดนเมโสโปเตเมยี แตอ่ ารยธรรมของชาวซเู มเรยี และชาวบาบโิ ลนยงั คงสบื ทอดตอ่ เนอื่ ง กฎหมายฮมั มรู าบจี ากหนงั สือเรยี น หนา 157
กันมา แลว ใหน กั เรยี นชว ยกันวิเคราะหว า ประมวล
เรื่องนา รู กฎหมายฮมั มรู าบมี ีลกั ษณะสาํ คญั อยา งไร
และมผี ลตออารยธรรมเมโสโปเตเมยี อยา งไร
ประมวลกฎหมายฮมั มรู าบี (แนวตอบ ประมวลกฎหมายฮัมมูราบียดึ หลกั
ประมวลกฎหมายฮมั มรู าบจี ารกึ ลงบนศลิ าสดี าํ ทรงกระบอก บนยอดหวั เสา ตอบแทน หรือตาตอ ตา ฟน ตอ ฟน เชน ผูใ ด
ลักขโมยสิง่ ของจากวดั หรือบา นผูอ ืน่ ผนู ้ันตอ ง
สลักรูปเทพเจามารดุก (Marduk) กําลังประทานกฎหมายใหแกพระเจาฮัมมูราบี ถูกประหารชวี ติ เปนตน ประมวลกฎหมายนี้
ประมวลกฎหมายนย้ี ดึ หลกั ตอบแทน หรอื ตาตอ ตา ฟน ตอ ฟน และเปน กฎหมายท่ี ทาํ ใหประชาชนเกรงกลัว สงั คมจึงสงบสุข
เกย่ี วขอ งกบั ชวี ติ ของผคู นทอ่ี ยใู นจกั รวรรดิ เชน ถา ผใู ดลกั ขโมยสง่ิ ของจากวดั หรอื บา น และอาณาจกั รเจริญรุงเรอื ง)
ผอู น่ื ผนู น้ั ตอ งถกู ประหารชวี ติ ผใู ดรบั ทรพั ยส นิ ทล่ี กั ขโมยมา ผรู บั ตอ งถกู ประหารชวี ติ
เปน ตน กฎหมายฮมั มรู าบยี งั สะทอ นใหเ หน็ สภาพสงั คมในสมยั นน้ั วา เปน สงั คมทม่ี ี
ชนชน้ั ประกอบดว ย ๓ ชนชน้ั ไดแ ก ชนชน้ั ผดู ี มตี าํ แหนง ทางศาสนาและการเมอื ง
ชนชน้ั กลาง ไดแ ก ประชาชนทว่ั ไป ชา งฝม อื พอ คา ชนชน้ั กรรมกรและทาส ซง่ึ กฎหมาย
ไดก าํ หนดบทลงโทษโดยใหอ ภสิ ทิ ธแ์ิ กช นชน้ั สงู เชน ถา ทาํ ผดิ แบบเดยี วกนั ชนชน้ั สงู
ไดรับโทษปรับ แตคนธรรมดาตองไดรับโทษตามท่รี ะบุในกฎหมาย แตกฎหมาย
ฮมั มรู าบไี ดใ หค วามเหน็ ใจชนชน้ั ลา งดว ยเชน กนั เชน อนญุ าตใหค นจนจา ยคา รกั ษา
พยาบาลนอ ยกวา คนรวย เปน ตน การมปี ระมวลกฎหมายทาํ ใหป ระชาชนเกรงกลวั
ไมก ลา ทาํ ผดิ สง ผลใหส งั คมสงบสขุ และอาณาจกั รเจรญิ รงุ เรอื ง

157

แนวขอ สNอบTเนน Oก-าNรคETิด นกั เรยี นควรรู

ประมวลกฎหมายฮัมมรู าบมี ีความสําคัญตอ อาณาจักรบาบิโลนอยางไร 1 เทพเจา หลายองค เชน เทพเจา แหง ทอ งฟา เทพเจาแหงดวงอาทติ ย เทพเจา
แนวตอบ ประมวลกฎหมายฮมั มรู าบจี ารกึ ลงบนศลิ าดาํ ทรงกระบอก บนยอด แหงพ้นื ดิน เทพเจา แหงพนื้ นํ้า เปนตน
หวั เสาสลกั รปู เทพเจา มารด กุ กาํ ลงั ประทานกฎหมายใหแ กพ ระเจา ฮมั มรู าบี 2 มหากาพยกลิ กาเมช เปนมหากาพยทีเ่ กาแกเรื่องหน่งึ ของโลก เขยี นลงบน
นบั เปน ประมวลกฎหมายทเี่ กา แกท ส่ี ดุ ของโลก โดยยดึ หลกั ตอบแทนหรอื แผนดนิ เผาขนาดใหญ จาํ นวน 12 แผน กลา วถงึ การผจญภยั ของกิลกาเมช
ตาตอ ตา ฟน ตอ ฟน เชน กฎหมายระบวุ า “ถา บคุ คลใดทาํ ลายดวงตาของอกี ประมุขและวีรบรุ ษุ แหงอูรุก กลิ กาเมชพยายามแสวงหาชีวิตอมตะแตล มเหลว
ผหู นง่ึ ดวงตาของบคุ คลนนั้ จะถกู ทาํ ลายเชน กนั ” เปน ตน นอกจากนี้ กฎหมาย ไมอ าจเอาชนะความตายได มแี ตเ ทพเจา เทา นนั้ ทเ่ี ปน อมตะ นอกจากน้ี ในมหากาพย
ฮมั มรู าบยี งั สะทอ นใหเ หน็ สภาพสงั คมในสมยั นนั้ วา เปน สงั คมทมี่ ชี นชน้ั ยงั ปรากฏเรื่องราวเกี่ยวกบั น้ําทวมคร้ังใหญ ดงั ท่ีเกิดขึน้ ในพนั ธสัญญาเกาของพวก
ทปี่ ระกอบดว ย 3 ชนชนั้ ไดแ ก ชนชนั้ ผดู ี มตี าํ แหนง ทางศาสนาและการเมอื ง ฮิบรูดว ย
ชนชน้ั กลาง ไดแ ก ประชาชนทว่ั ไป ชา งฝม อื พอ คา และชนชน้ั กรรมกรและ 3 ชนกลมุ ใหม เชน พวกฮิตไตต พวกอัสซีเรยี นซ่ึงมีศนู ยกลางการปกครองที่
ทาส แมว า กฎหมายฮมั มรู าบไี ดก าํ หนดบทลงโทษโดยใหอ ภสิ ทิ ธแ์ิ กช นชนั้ สงู เมอื งนเิ นเวห พวกคาลเดยี นซ่งึ ตง้ั อาณาจักรคาลเดียนหรือบาบโิ ลนใหม กษัตริย
แตก ฎหมายกไ็ ดใ หค วามเหน็ ใจชนชนั้ ลา งดว ยเชน กนั เชน อนญุ าตใหค นจน องคส าํ คญั ไดแ ก พระเจา เนบูคัดเนซซาร โปรดใหสรา งสวนลอยแหง บาบโิ ลน
จา ยคา รกั ษาพยาบาลนอ ยกวา คนรวย เปน ตน การมปี ระมวลกฎหมายทาํ ให นบั เปน 1 ใน 7 ส่ิงมหศั จรรยข องโลกยุคโบราณ หอคอยแหงบาเบล อาณาจกั ร
ประชาชนเกดิ ความเกรงกลวั ไมก ลา ทาํ ผดิ สง ผลใหส งั คมมคี วามสงบสขุ บาบโิ ลนใหมตอ มาถูกเปอรเซยี ยึดครอง
และอาณาจกั รเจรญิ รงุ เรอื ง
คมู่ อื ครู 157

กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล
Engaae Expore
Explain Explain Expand Evaluate
อธบิ ายความรู้

1. ครถู ามนกั เรยี นในชน้ั เรยี นวา มใี ครนบั ถอื ศาสนา อ1า.ร4ยธรทรี่ตมอ้ังิสแลลามะ คคือว าอมารสยาํธครรัญมทข่ีเปอน็ งผอลามรายจาธกรอรทิ มธิพอลิสขลองาศมาสนาอสิ ลาม 1แม้ว่าศาสนา
อิสลามบาง หรอื นกั เรยี นรูจักคนทน่ี บั ถอื ศาสนา
อิสลามบา งหรอื ไม และนกั เรยี นรหู รือไมวา อิสลามมีแหล่งก�าเนิดในภูมิภาคเอเชียตะวันตกเฉียงใต้ และชาวอาหรับมีบทบาทส�าคัญในการให้
ศาสนาอิสลามมแี หลงกาํ เนิดที่ใด ก�าเนิดศาสนาอิสลามและสร้างสรรค์อารยธรรม แต่ศาสนาอิสลามได้รับการนับถือจากชาวมุสลิม
(แนวตอบ ศาสนาอสิ ลามมีแหลงกําเนดิ ในภูมิภาค ชนชาตอิ ืน่ ๆ จา� นวนมากและตา่ งมบี ทบาทในการสร้างสรรค์อารยธรรมอิสลาม
เอเชียตะวันตกเฉียงใต) อารยธรรมอสิ ลามมแี หลง่ ก�าเนิดในคาบสมทุ รอาระเบีย ต่อมาได้ถกู เผยแผ่ไปยังภูมิภาคอน่ื
ของทวีปเอเชีย แอฟริกา และยโุ รป ผ่านการคา้ การทา� สงคราม และการเผยแผศ่ าสนาอสิ ลามโดย
2. ครูใหน ักเรยี นกลมุ ท่ี 4 สง ตัวแทนออกมา พวกนกั สอนศาสนาท่เี ดินทางไปยงั ดินแดนตา่ งๆ อารยธรรมอสิ ลามท่สี �าคญั เช่น สถาปตั ยกรรม
นําเสนอเก่ียวกับอารยธรรมอิสลามทหี่ นา จติ รกรรม วิทยาการความรแู้ ขนงตา่ งๆ ทัง้ คณิตศาสตร ์ แพทยศาสตร ์ ภูมิศาสตร์ อักษรศาสตร ์
ชัน้ เรยี น ปรัชญา เป็นตน้ (ดูรายละเอียดเพ่ิมเติมในหวั ข้อท ่ี ๒ อิทธิพลของอารยธรรมโบราณฯ)

3. ครูสมุ นักเรยี นสรุปเก่ียวกบั ความสาํ คัญของ ò. Íิ·¸พิ Å¢ÍงÍารย¸รรมâºรา³·èมี ีµ่Í·วปี เÍเªยี ãนป˜จจºØ นั
อารยธรรมอิสลาม
(แนวตอบ อารยธรรมอสิ ลามไดร บั การเผยแพร อารยธรรมโบราณทัง้ อารยธรรมจนี อินเดีย เมโสโปเตเมยี และอิสลาม ไดม้ ีการสรา้ งสรรค์
ทง้ั ในทวีปเอเชีย แอฟรกิ า และยุโรป ผานการคา และด�าเนินมาอย่างต่อเน่ืองท้ังภายในภูมิภาคนั้นๆ และในหมู่ผู้นับถือศาสนาอิสลาม รวมท้ังได้
การทําสงคราม และนักสอนศาสนา มรดกทาง ถูกถ่ายทอดไปยังภูมิภาคอ่ืนในทวีปเอเชียด้วยกัน ส�าหรับตัวอย่างอิทธิพลของอารยธรรมโบราณ
อารยธรรมอสิ ลามทสี่ าํ คญั เชน สถาปต ยกรรม ทีม่ ตี อ่ ทวีปเอเชียในปัจจบุ นั มดี งั น้ี
จติ รกรรม วิทยาการแขนงตา งๆ ท้ังคณติ ศาสตร
แพทยศาสตร ภมู ิศาสตร อกั ษรศาสตร เปน ตน) 2.1 ดา นศาสนาและลทั ธคิ วามเชอ่ื

ขยายความเขา้ ใจ Expand ทวีปเอเชยี เป็นแหล่งกา� เนดิ ศาสนาส�าคัญขอฮงโนิ ลดก ู ศเาชส่นน าพยรดู ะาพหุท2 ์ คธศรสิาตสศ์นาาส ศนาาส ศนาาสพนราาอหสิ มลณาม์ -

ครูใหนกั เรียนแตละกลุมจัดปา ยนเิ ทศเกย่ี วกบั รวมท้ังมีลัทธิความเช่ือที่ได้รับการนับถือ เช่น
แหลงอารยธรรมในทวีปเอเชียตามท่ีไดไ ปศึกษา ลทั ธขิ งจอ๊ื ลทั ธิเต๋า เปน็ ตน้
คนควา โดยมีภาพหรือแผนทป่ี ระกอบ หรืออาจใช ๑) อิทธิพลของอารยธรรมจีน
แผน ปา ยโปสเตอรทใี่ ชในการรายงานหนา ช้ันเรยี น ด้านศาสนาและลัทธิความเชื่อ ได้แก่ ลัทธิ
ประกอบดว ยก็ได พรอมตกแตง ใหสวยงามเพ่ือเปน ขงจ๊ือและลัทธิเต๋า ทั้งสองลัทธิมีอิทธิพลอย่าง
แหลง เรียนรใู นช้นั เรยี น กว้างขวาง ท้ังทางด้านการเมืองการปกครอง

ตรวจสอบผล Evaluate ธรรมเนียมประเพณี ปรัชญา ความเชื่อ การ
ศึกษา ศลิ ปะ การดา� เนินชวี ิตประจา� วัน และมี
1. ครตู รวจโปสเตอรท่ีตัง้ และความสําคัญของ อทิ ธพิ ลตอ่ ประเทศเพอ่ื นบา้ น เชน่ เกาหล ี ญป่ี นุ
แหลง อารยธรรมในทวีปเอเชียและปา ยนิเทศ วดั วนั เหมยี ว ประเทศเวียดนาม สรางขึน้ เม่ือ ค.ศ. ๑๐๗๐ เวียดนาม และคนจีนท่ีอพยพไปท�ามาหากิน
เกีย่ วกับแหลงอารยธรรมในทวปี เอเชีย เพ่ืออุทิศใหแกขงจ๊ือ ปราชญชาวจีนผูยึดม่ันในคุณธรรม ในประเทศตา่ งๆ รวมทั้งในประเทศไทย
มนุษยธรรม
2. ครูสังเกตพฤติกรรมความมีสวนรว มในการ
ตอบคําถามและการแสดงความคิดเห็นของ 15๘
นกั เรียน

เกรด็ แนะครู ขอ สอบ O-NET
ขอ สอบป ’52 ออกเกยี่ วกับอิทธิพลของอารยธรรมตะวนั ออกท่ีมีตอ ไทย
ครูอธบิ ายเพ่มิ เติมเก่ียวกับลัทธเิ ตา (Taoism) และสญั ลกั ษณห ยนิ -หยางวา อารยธรรมตะวันออกขอใดทมี่ ผี ลตอประเทศไทยในดานเศรษฐกจิ
หยิน-หยางเปนกฎแหงความสมดลุ ของธรรมชาติ เปน ปรชั ญาของลทั ธิเตาทเี่ ชอื่ วา 1. การใชป ฏิทนิ
สรรพส่งิ บนโลกจะตอ งมีสง่ิ คูก นั เสมอ หากขาดสิง่ ใดส่ิงหน่งึ หรอื มสี ิง่ ใดสง่ิ หนึง่ 2. การทําเครอ่ื งสงั คโลก
มากเกินไปหรือนอยเกนิ ไป ก็จะเกิดภาวะไมส มดุลซ่ึงจะนาํ หายนะมาให 3. การปกครองระบอบประชาธปิ ไตย
4. พระมหากษตั รยิ ตามแบบธรรมราชา
นักเรยี นควรรู วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 2. การทําเคร่ืองสงั คโลกสมัยสุโขทัยไดร ับ
อิทธิพลทางเทคนิควิธกี ารผลิตจากจนี จดั เปน งานหัตถกรรมที่สรางรายได
1 ศาสนาอสิ ลาม เปน ศาสนาทน่ี ับถอื พระเปน เจา เพยี งองคเ ดียว คือ อัลลอฮ ใหแ กส ุโขทัยเปนอยางมาก
มมี ฮุ ัมมัดเปนศาสดา หลังจากศาสดามุฮมั มัดสนิ้ พระชนมแลว ศาสนทายาทของ
พระองค คอื เคาะลฟี ะหห รอื กาหลบิ หรอื สลุ ตา น ไดท าํ หนา ทเี่ ผยแผศ าสนาอสิ ลามตอ

2 ศาสนายูดาห เปนศาสนาด้งั เดิมของชาวฮิบรหู รอื ชาวยิว นบั ถอื พระเจา
เพยี งองคเ ดยี ว คอื พระยาหเ วห เปน พื้นฐานสําคัญของคริสตศ าสนาและศาสนา
อสิ ลามในเวลาตอมา

158 คมู่ อื ครู

กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Evaluate
Explain Expand Engage

กระตนุ้ ความสนใจ

หลกั ค�าสอนของลัทธิขงจ๊ือ1ท่ีเนน้ เร่อื งมนุษยธรรม ความกตัญูกตเวท ี การเซ่นไหว้ ครูนําภาพหรือยกตวั อยา งเกี่ยวกบั อิทธพิ ล
บชู าบรรพบรุ ษุ ทล่ี ว่ งลบั ไปแลว้ ทา� ใหค้ นจนี และผทู้ นี่ บั ถอื ลทั ธขิ งจอ๊ื ยดึ ถอื เรอื่ งความกตญั กู ตเวที ของอารยธรรมโบราณที่มตี อทวปี เอเชยี หรอื ตอ
และกราบไหวบ้ รรพบรุ ษุ ในโอกาสสา� คญั เชน่ วนั ชงิ หมงิ หรอื เชง็ เมง้ วนั ตรษุ จนี วนั สารทจนี เปน็ ตน้ ประเทศไทยในปจ จุบนั แลว ใหนักเรียนบอกวา
เปน อิทธิพลของอารยธรรมโบราณใด

ประเพณีเหล่าน้เี หน็ ได้ในหมชู่ าวจนี และคนเชื้อสายจนี รวมท้ังในประเทศไทย สา� รวจคน้ หา Explore

ส่วนลัทธิเต๋ามีค�าสอนที่ส�าคัญ คือ ให้คนปฏิบัติตนสอดคล้องกับสภาพธรรมชาติ
ไม่เปลี่ยนแปลงแก้ไขธรรมชาติ ลัทธิเต๋ามีอิทธิพลต่องานศิลปะของจีน ในภาพจิตรกรรมจีนจึง
มักเปน็ ภาพธรรมชาต ิ ภูเขา ปา ไม้ ตน้ ไม ้ กอไผ่ นก และไม่นยิ มวาดภาพคน หากมีกจ็ ะเป็นภาพ 1. ครแู ละนักเรยี นรวมกันสนทนาเก่ยี วกับ
คนเล็กๆ ทา่ มกลางธรรมชาติ ในดา้ นดนตรกี เ็ นน้ เสยี งธรรมชาต ิ เช่น ขลุ่ย พิณ เป็นตน้ อารยธรรมโบราณทง้ั อารยธรรมจีน อินเดีย
เมโสโปเตเมีย และอิสลาม วา อารยธรรม
๒) อทิ ธพิ ลของอารยธรรมอนิ เดยี ดา้ นศาสนาและลทั ธคิ วามเชอ่ื ทสี่ า� คญั ไดแ้ ก ่ เหลา น้ีนอกจากจะมอี ิทธพิ ลในภูมิภาคซ่ึงเปน
ศาสนาพราหมณ์-ฮนิ ด ู และพระพทุ ธศาสนา ซง่ึ มอี ทิ ธพิ ลตอ่ ผนู้ บั ถอื ทง้ั ในดา้ นการดา� เนนิ ชวี ติ ศลิ ปะ แหลงกําเนิดแลว ยงั ไดถกู ถายทอดไปยัง
และวรรณกรรม ภูมิภาคอื่นๆ ในทวปี เอเชียดวย
ด�าเนินชีวิตน้ัน เ๒ช.่๑น) กศาารสสนรา้าพงรราูปหเคมาณร์พ- ฮเทินพดูเ จอ้าิท2ในธิพศลาสขนอางศหารสือนสาัญพลรักาษหมณณ์แ์ท-นฮินเทดพูในเจด้า้า นเกชา่นร
ศาลพระพรหม ศิวลึงค์ การประกอบพิธีกรรมตามความเชื่อในศาสนา และการมีความเชื่อว่า 2. ครใู หน ักเรียนรวมกลมุ กัน 3 กลุม เพ่อื ศกึ ษา
โคเปน็ สัตวศ์ กั ดสิ์ ิทธ์ ิ ท�าให้ผู้นบั ถือศาสนาน้ีนับถือและไมท่ า� รา้ ยโค ในด้านวรรณกรรม วรรณกรรม คน ควาเกย่ี วกับอิทธิพลของอารยธรรมโบราณ
ของศาสนาพราหมณ์ - ฮินดูที่ส�าคัญ ได้แก่ มหากาพย์มหาภารตะและมหากาพย์รามายณะ ท่มี ตี อ ทวปี เอเชียในปจจุบันในดานตา งๆ ดงั นี้
(รามเกียรติ์) ทั้งสองเร่ืองเป็นวรรณกรรมในศาสนาพราหมณ์ - ฮินดูลัทธิไวษณพนิกาย ซึ่งนับถือ กลุมที่ 1 ดา นศาสนาและลทั ธิความเช่ือ
พระวิษณุหรือพระนารายณ์ โดยเฉพาะในเรื่องมหาภารตะมีเนื้อหาส�าคัญตอนหนึ่ง เรียกว่า กลมุ ที่ 2 ดานอักษรศาสตร
ภควทั คตี า เป็นส่วนท่กี ล่าวถงึ ปรชั ญา ศาสนา กลมุ ท่ี 3 ดา นศลิ ปวทิ ยาการและภมู ปิ ญ ญา
และจริยธรรมในการด�าเนินชีวิตของชาวฮินดู ครใู หนกั เรยี นแตล ะกลมุ ไปศึกษาคนควา
ซง่ึ ชาวฮนิ ดถู อื วา่ เปน็ สว่ นทส่ี า� คญั ทสี่ ดุ สว่ นเรอ่ื ง ตามหัวขอ ท่ไี ดร ับมอบหมายจากหนังสอื เรยี น
รามายณะ ชาวฮินดูนับถือ พระราม ซ่ึงเป็น หนา 158-164 หรือจากแหลง การเรียนรตู า งๆ
ผู้มีความประพฤติดี มีคุณธรรม เป็นตัวอย่าง เพ่มิ เตมิ จากน้นั ใหแ ตล ะกลุม จดั ทาํ เปน
ท่ีควรปฏิบัติตาม วรรณกรรมเรื่องรามายณะน้ี สมดุ ภาพพรอ มมเี น้อื หาประกอบ เพอ่ื นาํ เสนอ
หนาช้ันเรยี น

ไดร้ บั ความนยิ มแพรห่ ลายในดนิ แดนตา่ งๆ ทรี่ บั อธบิ ายความรู้ Explain
วฒั นธรรมอนิ เดยี เชน่ ไทย กมั พชู า อนิ โดนเี ซยี
ท�าให้มีผลต่อการสร้างสรรค์อารยธรรมด้าน 1. ครทู บทวนความรโู ดยใหน กั เรยี นชว ยกนั บอกวา
ศจิตลิ ปรกะขรรอมงชฝนาชผานตังเิ3 หแลลา่ นะกดี้ าว้ รยแ เสชดน่ ง กโาขรนวใานดเภรา่ือพง มศี าสนาและลทั ธคิ วามเชอื่ ใดบา งที่มี
รามเกียรติ ์ เป็นตน้ จิตรกรรมฝาผนังเร่ืองรามเกียรต์ิในวัดพระเจดียเงิน แหลง กาํ เนดิ ในทวปี เอเชีย
กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา แสดงใหเห็นถึงการไดรับ
อิทธิพลทางศาสนาพราหมณ - ฮนิ ดูจากอินเดยี 2. ครใู หต วั แทนกลมุ ที่ 1 นาํ สมดุ ภาพอทิ ธพิ ลของ
อารยธรรมโบราณทม่ี ตี อทวีปเอเชยี ในปจ จุบัน
159 ดานศาสนาและลัทธิความเชอื่ มานาํ เสนอ
หนา ช้ันเรยี น

แนวขอสNอบTเนนOก-าNรคE Tดิ นกั เรยี นควรรู

ศาสนาพราหมณ-ฮนิ ดู และพระพุทธศาสนามอี ทิ ธพิ ลตอผคู นในทวีปเอเชยี 1 ลทั ธิขงจอ๊ื นอกจากเนน เรื่องมนษุ ยธรรมแลว ยังเนนความสาํ คัญในเรอ่ื งการ
อยางไร ปฏิบัติตนตามฐานะความสมั พันธท ้ัง 5 ไดแ ก ความสัมพนั ธร ะหวา งผูป กครองกบั
แนวตอบ ศาสนาพราหมณ-ฮินดแู ละพระพุทธศาสนาเปน ศาสนาทีม่ อี ทิ ธพิ ล ผูอ ยูใตป กครอง ความสัมพันธร ะหวา งบิดากับบตุ ร ความสมั พันธระหวางพ่กี ับนอง
ตอ วถิ กี ารดาํ เนนิ ชวี ติ ของประชาชนในทวปี เอเชยี โดยศาสนาพราหมณ- ฮนิ ดนู น้ั ความสมั พนั ธร ะหวางสามกี ับภรรยา และความสมั พันธร ะหวางมติ รสหาย
ผนู บั ถอื ไดม กี ารสรา งรปู เคารพเทพเจา เชน พระพรหม พระนารายณ พระศวิ ะ 2 รปู เคารพเทพเจา ซง่ึ มีทั้งเทพเจา ทเ่ี ปนบุรุษและสตรี เชน พระศิวะ
เพอ่ื กราบไหวบ ชู า การมคี วามเชอื่ ในเรอ่ื งโคเปน สตั วศ กั ดส์ิ ทิ ธ์ิ เพราะเปน พาหนะ หรอื พระอิศวร พระนารายณห รือพระวิษณุ พระพรหม พระอมุ า พระแมกาลี
ของพระศวิ ะ ทาํ ใหผ ทู นี่ บั ถอื ศาสนานน้ี บั ถอื และไมท าํ รา ยโค หรอื ระบบวรรณะ (ภาคอวตารหน่ึงของพระอมุ า) เปนตน
ท่ีถือวากําเนิดมาจากอวยั วะของพระพรหม ก็ยงั มกี ารยดึ ถอื กันอยูในอนิ เดีย 3 ภาพจติ รกรรมฝาผนงั เชน ภาพจิตรกรรมฝาผนงั รอบพระระเบียง
ปจ จบุ ันโดยเฉพาะแถบชนบท วรรณกรรมในศาสนาพราหมณ- ฮนิ ดเู รื่อง วดั พระศรรี ตั นศาสดารามหรือวัดพระแกว เปนเรือ่ งเกย่ี วกับพระนารายณปางตา งๆ
มหากาพยม หาภารตะและมหากาพยรามายณะ (รามเกียรติ)์ นอกจากจะมี และเร่ืองรามเกียรตติ์ ัง้ แตตนจนจบ วาดข้นึ ครง้ั แรกในรชั สมัยพระบาทสมเด็จ
อิทธิพลตอ เอเชยี ใตแ ลวกย็ ังมีอิทธพิ ลตอเอเชียตะวนั ออกเฉยี งใตด วยเชน กัน พระพุทธยอดฟาจฬุ าโลกมหาราช โดยโปรดเกลา ฯ ใหเขยี นภาพรอบพระระเบียง
สว นพระพทุ ธศาสนาก็มีอิทธพิ ลตอ การดําเนนิ ชวี ติ ของผูคน เชน ประเพณี ตามบทละครเรือ่ งรามเกียรต์ิ ที่พระองคท รงพระราชนพิ นธเองใน พ.ศ. 2325
การบวช รวมถงึ หลักคําสอนทีส่ อนใหค นทาํ ความดี ละเวนความช่วั และทํา
จิตใจใหบริสุทธ์ิ ความเชอ่ื เรอ่ื งกรรม การเวียนวายตายเกิด ซ่งึ ผูค นในทวปี คู่มอื ครู 159
เอเชียทีน่ บั ถือศาสนานก้ี ็ยังคงยึดถือปฏิบตั ิกันอยูใ นปจ จบุ ัน

กระตุน้ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล
Engaae Expore Expand Evaluate
Explain Explain
อธบิ ายความรู้

ครูใหนกั เรียนแตละกลุมชวยกันยกตัวอยา ง ๒.๒) พระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนามีก�าเนิดในอินเดีย โดยผู้ให้ก�าเนิด คือ
อิทธพิ ลของอารยธรรมโบราณทม่ี ผี ลตอ ทวีปเอเชยี พระพุทธเจ้า พระพุทธศาสนามีอิทธิพลต่อผู้ท่ีนับถือมากในด้านการด�าเนินชีวิต เช่น ประเพณี
ในปจจบุ ันทางดา นศาสนาและความเช่ือ เก่ยี วกบั การเกิด การตาย การบวช การเรียนหนังสือที่วดั รวมทั้งมีการนา� หลกั คา� สอนมาประยกุ ต์
ใช้ในการด�าเนินชีวิต เชน่ การท�าความดี ละเว้นความชว่ั ทา� จิตใจให้บริสุทธ์ ิ การมีความเช่ือเรอ่ื ง
(แนวตอบ กรรม การเวียนว่ายตายเกิด การใช้ปัญญาใน
• อารยธรรมจีน เชน ลทั ธขิ งจ๊อื ทเ่ี นน เร่อื งความ การแก้ไขปัญหา นอกจากนี้ยังมีการสร้างสถูป
เจดยี ์ พระพุทธรูปทมี่ ีรปู แบบศิลปะแตกต่างกัน
กตญั กู ตเวที จงึ มีการกราบไหวบรรพบรุ ษุ ไปในแตล่ ะแหง่ แตล่ ะยคุ สมยั ซงึ่ สะทอ้ นใหเ้ หน็
ในโอกาสตางๆ เชน วันเช็งเมง วนั ตรษุ จนี ถงึ การสรา้ งสรรคอ์ ารยธรรมทางดา้ นภมู ปิ ญั ญา
วันสารทจีน เปน ตน และลทั ธเิ ตาทเ่ี นนเร่อื ง และศิลปะของมนุษยชาติ พระพุทธศาสนามี
ธรรมชาติ ซง่ึ มีอทิ ธพิ ลตองานจติ รกรรม ความเจริญรุ่งเรืองในอินเดียเป็นเวลาประมาณ
และดนตรี เปนตน ๑,๐๐๐ ป ี กอ่ นจะเสือ่ มความนิยม ในช่วงเวลา
• อารยธรรมอนิ เดยี เชน ศาสนาพราหมณ- ฮนิ ดู 1 ที่รุ่งเรืองน้ัน พระพุทธศาสนาได้เผยแผ่ไปยัง
ทีห่ ลายประเทศไดร ับอิทธิพลจากเร่อื ง
รามายณะ พระพทุ ธศาสนาทม่ี อี ทิ ธิพลตอ พระพทุ ธรปู ไดบทุ ซทึ ว่ี ดั โคะโตะคอุ นิ เมอื งคะมะกรุ ะ ประเทศ ประเทศต่างๆ ท่ัวทวีปเอเชีย เช่น จีน เกาหลี
ประเพณีและวัฒนธรรมของประเทศตางๆ ญ่ีปุน สรางดวยสาํ รดิ เปนพระพทุ ธรปู ในพระพทุ ธศาสนา ญี่ปุน เวียดนาม ศรีลังกา พม่า ไทย ลาว
เชน การเกดิ การบวช การเรียนหนังสือท่วี ัด นกิ ายมหายาน กมั พชู า เปน็ ตน้
เปน ตน
• อารยธรรมอิสลาม เชน ศาสนาอิสลาม ๓) อทิ ธพิ ลของอารยธรรมเมเสโปเตเมยี ดา้ นศาสนาและลทั ธคิ วามเชอ่ื แมว้ า่
ทหี่ ลายประเทศไดน าํ หลักคาํ สอนทางศาสนา
มาใชในการปกครองและการดาํ เนินชีวติ ดนิ แดนเอเชยี ตะวนั ตกเฉยี งใตซ้ ง่ึ เคยเปน็ ทต่ี ง้ั ของอารยธรรมเมโสโปเตเมยี จะมคี วามเจรญิ รงุ่ เรอื ง
เปนตน ) ทางดา้ นศาสนาและความเชอื่ ในเทพเจา้ หลายองคม์ าตง้ั แตส่ มยั โบราณ แตอ่ ทิ ธพิ ลดา้ นศาสนาและ
ความเชอ่ื ของอารยธรรมเมโสโปเตเมยี ก็ไมม่ ผี ลมาถงึ ชาวเอเชยี ในปจั จบุ นั เพราะปจั จบุ นั ประชากร
ส่วนใหญ่ในภูมิภาคนี้นับถือศาสนาอิสลาม ศาสนายูดาห์ และคริสต์ศาสนา ซ่ึงมีความเช่ือเร่ือง
พระเจา้ องคเ์ ดียว

๔) อทิ ธพิ ลของอารยธรรมอสิ ลามดา้ นศาสนาและลทั ธคิ วามเชอ่ื ศาสนาอสิ ลาม

ไดร้ บั การเผยแผไ่ ปยงั ภมู ภิ าคตา่ งๆ ของเอเชยี หลายประเทศนบั ถอื ศาสนาอสิ ลามเปน็ ศาสนาหลกั
เชน่ ประเทศสว่ นใหญ่ในภมู ภิ าคเอเชยี ตะวนั ตกเฉยี งใต ้ ประเทศปากสี ถาน บงั กลาเทศ อนิ โดนเี ซยี
มาเลเซยี เป็นตน้ หลักศาสนาอิสลามถกู นา� มาใช้เปน็ หลกั ในการปกครอง โดยคา� สอนของศาสนา
อสิ ลามมงุ่ ในเรือ่ งการปฏิรปู สังคม การสร้างความเปน็ เอกภาพและสนั ติสุขในสงั คม
ค�าสอนที่สา� คัญของศาสนาอสิ ลาม ไดแ้ ก่ การเน้นเรือ่ งความเทา่ เทียมกนั ในสงั คม
มุสลิม ทุกคนเป็นพี่น้องกัน ให้ความช่วยเหลือกันทางสังคมโดยการบริจาคทรัพย์หรือซะกาต

160

นกั เรยี นควรรู ขอสอบ O-NET
ขอสอบป ’52 ออกเกี่ยวกบั ศาสนาในทวีปเอเชีย
1 พระพุทธรูปไดบุทซึ สงู 11.4 เมตร หนัก 122 ตัน เปนพระพทุ ธรปู ปางสมาธิ ศาสนาในขอใดเปนศาสนาประเภทเอกเทวนยิ ม
ประทับนัง่ อยกู ลางแจง เนือ่ งจากวหิ ารไมไ ดถูกทําลายโดยคล่นื ยกั ษสึนามิ และ 1. พทุ ธ-พราหมณ
การทีเ่ รามองเห็นพระพุทธรูปเปนสีเขยี วนน้ั เพราะเกิดจากการที่สาํ รดิ ทาํ ปฏิกริ ิยาเคมี 2. อิสลาม-พุทธ
กบั สภาพอากาศ นอกจากนี้ ภายในบรเิ วณวดั ยงั มตี น สนทพี่ ระบาทสมเดจ็ พระปกเกลา 3. สิข-ครสิ ต
เจา อยหู วั ทรงปลูกในวโรกาสที่เสดจ็ พระราชดาํ เนินพรอ มดวยสมเดจ็ พระนางเจา 4. ครสิ ต- อสิ ลาม
ราํ ไพพรรณี พระบรมราชินี เสด็จเยอื นวัดโคโตคอุ นิ เมื่อ พ.ศ. 2474 วิเคราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 3. และขอ 4. ศาสนาประเภทเอกเทวนิยม
คือ ศาสนาท่มี ีการนบั ถอื พระเปนเจา เพียงพระองคเดียว ไดแ ก ศาสนายดู าห
มมุ IT ครสิ ตศ าสนา ศาสนาอสิ ลาม และศาสนาสิข โดยคริสตศาสนามตี นกาํ เนดิ
มาจากศาสนายดู าห นบั ถอื พระเปน เจา องคเ ดยี ว คอื พระยะโฮวาห ศาสนา
ศึกษาคน ควาขอมูลเพิม่ เติมเกีย่ วกบั พระพุทธศาสนา ไดที่ http://www.onab. ยดู าหน บั ถอื พระยาหเ วห ศาสนาอสิ ลามนับถอื อลั ลอฮเ ปนพระเจาสูงสดุ
go.th เวบ็ ไซตส ํานักงานพระพทุ ธศาสนาแหง ชาต,ิ http://www.newweb.bpct. และศาสนาสิขนบั ถืออกาลปรุ ษุ
org เวบ็ ไซตศนู ยพ ทิ ักษพ ระพทุ ธศาสนาแหง ประเทศไทย, http://www.dra.go.th
เว็บไซตก รมการศาสนา เปน ตน

160 คูม่ ือครู

กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Engaae Expore Evaluate
Explain Expand Explain

อธบิ ายความรู้

สอนในเร่ืองของคุณธรรม เช่น ความสุภาพ ถ่อมตัว มีความซื่อสัตย์สุจริต อดทน รู้จักให้ 1. ครูยกตัวอยางอกั ษรโบราณ แลวใหน ักเรยี น
เกียรตติ นเองและผ้อู ืน่ แต่งกายใหเ้ รียบร้อยเพอ่ื ลดความฟมุ เฟือย สอนใหค้ า� นึงถงึ สุขภาพอนามยั บอกวา เปนของอารยธรรมใด
ลเชะน่ห มหาา้ดม1 เรปบั ็นปตรน้ะท านเนื้อสุกร ห้ามด่ืมเคร่อื งดืม่ มนึ เมา ใหช้ า� ระลา้ งร่างกายให้สะอาดกอ่ นท�าพิธี • อักษรจีน
นอกจากน้ียังมีข้อห้ามต่างๆ ท่ี (แนวตอบ อารยธรรมจนี )
ศาสนาอสิ ลามบญั ญตั ไิ ว้ เชน่ ความโกรธ ความ • อกั ษรคูนฟิ อรม
อจิ ฉารษิ ยา ความตระหน ี่ ความโลภ การโออ้ วด (แนวตอบ อารยธรรมเมโสโปเตเมยี )
การลกั ขโมย การฟมุ เฟอื ย การคา้ กา� ไรเกนิ ควร
การรบั ดอกเบยี้ การกกั ตุนสินคา้ เปน็ ต้น 2. ครูใหตวั แทนกลมุ ที่ 2 นําสมดุ ภาพอิทธพิ ล
หลักค�าสอนของศาสนาอิสลาม ของอารยธรรมโบราณที่มีตอทวปี เอเชยี
ที่เน้นเรื่องความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันใน ในปจ จบุ ันดานอักษรศาสตร มานาํ เสนอ
หมชู่ าวมสุ ลมิ การมคี วามเกอื้ กลู กนั การมนี า�้ ใจ หนาชน้ั เรยี น
ตอ่ กนั เพอื่ สงั คมทส่ี งบสุข และหลกั ปฏิบัติอน่ื ๆ
ทเี่ กย่ี วขอ้ งกบั ชวี ติ ของผคู้ น ทา� ใหศ้ าสนาอสิ ลาม ชาวมุสลิมกําลังทําพิธีละหมาดภายในมัสยิดในประเทศ 3. ครูใหนักเรยี นทาํ กจิ กรรมที่ 6.2 จากแบบวัดฯ
ไดร้ บั การยอมรบั นบั ถอื ในภมู ภิ าคเอเชยี ตะวนั ตก- ซาอุดอี าระเบีย ประวัตศิ าสตร ม.2
เฉียงใต้และภูมภิ าคอน่ื เรอ่ื ยมาจนถงึ ปัจจุบัน
ใบงาน ✓ แบบวดั ฯ แบบฝก ฯ
2.2 ๑ด)า นอิทอธักิพษลรขศองาอสาตรยรธ รรมจีนดา้ นอกั ษรศาสตร ์2จีนเปน็ ชาติท่ีใหค้ วามสา� คญั กับ ประวัติศาสตร ม.2 กจิ กรรมท่ี 6.2
หนว ยท่ี 6 แหลง อารยธรรมในทวีปเอเชยี
ประวัตศิ าสตร์มาก มกี ารจดบันทกึ ทางประวัติศาสตรม์ านานกวา่ ๒,๐๐๐ ปี โดยมีการบนั ทกึ ไว้บน
วัสดุตา่ งๆ เช่น กระดกู สตั ว ์ กระดองเตา่ ไม้ไผ่ ผ้าไหม กระดาษ เปน็ ตน้ สา� หรบั นกั ประวัติศาสตร์ กจิ กรรมท่ี ๖.๒ ใหน ักเรียนทําเคร่ืองหมาย ✓ ลงในตารางทางขวาเพอื่ ให คะแนนเต็ม คะแนนที่ได
จนี คนแรก คือ ซอื หมา่ เชยี น (Sima Qian) มีชวี ิตอยู่ระหว่าง ๑๔๕ - ๙๐ ปกี ่อนครสิ ต์ศกั ราช สมั พนั ธก บั ขอความดานซา ยมอื (ส ๔.๒ ม.๒/๒)
ผลงานของเขา คือ สื่อจ้ี (Shi Ji) หรือบันทึกของนักประวัติศาสตร์ มีความยาวถึง ๑๓๐ บท ñõ
หนังสือเล่มนี้ได้ใช้เป็นหลักฐานอ้างอิงส�าหรับนักประวัติศาสตร์ในช่วงเวลานั้นและก่อนหน้านั้น
ได้อย่างดยี งิ่ ขอความ จีน อารยธรรม
หลังสมัยของซือหม่า เชียน ได้มีการรวบรวมช�าระประวัติศาสตร์ของราชวงศ์ต่างๆ อนิ เดยี เมโสโปเตเมีย อสิ ลาม
จนถงึ ราชวงศ์สดุ ท้าย คอื ราชวงศ์ชิงของพวกแมนจูทปี่ กครองจนี ทา� ให้จนี มีหลกั ฐานและข้อมูล ๑. ไมรับดอกเบย้ี ✓
ทางประวตั ศิ าสตรท์ สี่ มบรู ณม์ าก นอกจากน ้ี จนี ยงั ไดบ้ นั ทกึ เรอื่ งราวของตา่ งชาต ิ เชน่ ญปี่ นุ เกาหล ี ๒. อักษรคูนิฟอรม ✓ ✓
รวิ กวิ และรฐั ในเอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใต ้ รวมทงั้ รฐั โบราณในดนิ แดนประเทศไทยในอดตี เปน็ ตน้ ทา� ให้ ๓. การนาํ ดนิ เหนียวมาตากแดดและ ✓ ✓
หลายชาติได้ใชข้ อ้ มูลจากเอกสารประวตั ิศาสตรข์ องจีนในการศกึ ษาประวัติศาสตรข์ องชาติตนด้วย ✓
เผาไฟใหแ หง เพ่ือใชใ นการกอสรา ง ✓
161 ๔. ความกตญั ูกตเวที การเซน ไหว ✓

บูชาบรรพบุรุษท่ลี วงลับไปแลว
๕. ทชั มาฮัล ✓
เฉฉบลบั ย ๖. ประมวลกฎหมายฮัมมูราบี
๗. มหากาพยรามายณะ ✓
๘. สามกก ✓
๙. การฝงเขม็ ✓
๑๐. การชาํ ระรา งกายใหส ะอาดกอ นทาํ ✓

การละหมาด ✓
๑๑. เขื่อนกัน้ นํ้าเพอื่ ประโยชนทางการ

เกษตรคร้งั แรกของโลก
๑๒. การสรา งรูปเคารพเทพเจา
๑๓. วรรณกรรมเรื่องมหากาพยก ลิ กาเมช
๑๔. ลทั ธขิ งจอ๊ื เนนเรื่องมนษุ ยธรรม
๑๕. มัสยดิ ทเ่ี มืองอซิ ฟาฮานในอหิ ราน

๗๔

แนวขอ สNอบTเนนOก-าNรคETดิ นกั เรยี นควรรู

“จีนมกี ารจดบนั ทึกทางประวตั ิศาสตรมาเปน เวลายาวนานกวา 2,000 ป” 1 พิธีละหมาด เปน การปฏบิ ัตศิ าสนกิจอยางหนง่ึ ในศาสนาอิสลาม เพื่อเปน การ
นกั เรยี นมีความคิดเหน็ เชน ไรกับคาํ กลาวนี้ แสดงความเคารพภกั ดตี อ อัลลอฮ มสุ ลมิ ทุกคนจะตอ งละหมาดวนั ละ 5 เวลา ไดแก
แนวตอบ เห็นดว ย โดยจนี ใหค วามสําคญั กบั การบันทกึ ประวัตศิ าสตรมาก เวลารงุ อรณุ เวลาบาย เวลาเยน็ เวลาพลบคา่ํ และเวลากลางคนื และในการทาํ พิธี
ซง่ึ มกี ารจดบันทึกมานานกวา 2,000 ปล งบนวสั ดุตา งๆ เชน กระดกู สัตว ละหมาด จะตองหันหนา ไปทางทศิ ทีต่ ั้งของอลั กะอบ ะฮ ในประเทศซาอุดีอาระเบยี
กระดองเตา ไมไ ผ ผาไหม สาํ หรบั นกั ประวตั ศิ าสตรจนี คนแรก คือ ซือหมา 2 ดา นอักษรศาสตร ตัวอกั ษรจนี ไดถ กู กาํ หนดใหเ ขียนเปนรูปแบบเดยี วกันทวั่ ท้งั
เชยี น มีชีวติ อยใู นสมัยราชวงศฮ่นั ตะวันตก ไดเ ขยี นหนังสือสื่อจี้ หรอื บันทกึ ราชอาณาจกั รในสมยั ของจกั รพรรดฉิ นิ ส่ือหวงต้ี (จ๋ินซฮี องเต) ถือเปนงานศิลปะ
ของนกั ประวัตศิ าสตร ซง่ึ มีความยาวถึง 130 บท เกีย่ วกบั สภาพการเมอื ง ประเภทหนึ่ง โดยใชเ ปนภาพประดับตามอาคารบานเรอื นใหเ กดิ ความสวยงามไดดว ย
เศรษฐกิจ วัฒนธรรม และประวตั ศิ าสตรในระยะเวลา 3,000 ปน ับต้ังแต
บรรพกาลจนถงึ ราชวงศฮ น่ั ตะวันตก และไดร ับการยกยองใหเ ปน บิดาวชิ า มุม IT
ประวัติศาสตรข องโลกตะวนั ออก ภายหลังตอมาไดมกี ารรวบรวมชาํ ระ
ประวตั ศิ าสตรข องราชวงศต า งๆ จนถึงราชวงศชงิ ซึ่งเปนราชวงศสดุ ทาย ศกึ ษาคน ควา ขอ มูลเพม่ิ เตมิ เกี่ยวกับศาสนาอิสลาม ไดที่ http://www.cicot.
ที่ปกครองจีน ทําใหจ นี มหี ลักฐานและขอมลู ทางประวตั ิศาสตรทส่ี มบูรณมาก or.th เวบ็ ไซตส ํานักงานคณะกรรมการกลางอสิ ลามแหง ประเทศไทย
รวมทั้งยงั ไดบันทึกเร่อื งราวของตางชาติ เชน ญ่ปี ุน เกาหลี รวิ กวิ และรัฐใน
เอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใต รวมทั้งรฐั โบราณในดินแดนประเทศไทยดวย เปน ตน ค่มู ือครู 161

กระตุ้นความสนใจ สา� รวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Engaae Expore Expand Evaluate
Explain Explain
อธบิ ายความรู้

ครูใหนักเรยี นยกตัวอยางอิทธพิ ลดา น จนี ยงั มกี ารเขยี นและรวบรวมตา� ราความร้แู ขนงต่างๆ จ�านวนมาก เชน่ ต�ารา
อกั ษรศาสตรข องอารยธรรมโบราณตา งๆ ในทวปี ค�าสอนของขงจ๊ือ ต�าราแพทย์ ดาราศาสตร์ เป็นต้น ในสมัยจักรพรรดิ
เอเชยี หยง่ เลอ่ แหง่ ราชวงศห์ มงิ ไดม้ กี ารรวบรวมความรสู้ มยั โบราณของจนี มา
จดั ทา� เปน็ สารานกุ รม เรยี กวา่ หยง เลอ ตา เตย่ี นหรอื สารานกุ รมหยง เลอ
(แนวตอบ ผลงานดานอกั ษรศาสตร เชน นบั เป็นคลังความรขู้ นาดใหญข่ องจีน นอกจากน้ ี วรรณกรรมของจีน
• อารยธรรมจีน เชน ตําราคําสอนของขงจอ๊ื ยังได้รไับซกอาิว๋ร 1ถซ่า้อยงทกอง๋ั ด สอาอมกกเปก๊ ็น 2ไภซา่ฮษนั่ า ตเป่างน็ ๆต ้นรวมทั้งภาษาไทย เช่น

หนงั สือสือ่ จี้หรือบันทกึ ของนักประวัติศาสตร ๒) อทิ ธิพลของอารยธรรมอินเดยี
โดยซือหมา เชียน วรรณกรรมเรือ่ งไซอ๋วิ ดา้ นอกั ษรศาสตร ์ อารยธรรมอนิ เดยี ดา้ นอกั ษรศาสตร์
สามกก เปน ตน ส่วนใหญ่มีความเกี่ยวเนื่องกับศาสนา เช่น คัมภีร์
• อารยธรรมอินเดยี เชน คัมภรี พระเวท พระเวทในศาสนาพราหมณ์ - ฮินดู ซึ่งถือเป็นทั้ง
ในศาสนาพราหมณ-ฮินดู วรรณกรรมเรือ่ ง บันทึกประวัติศาสตร์ของชาวอารยันและคัมภีร์
มหากาพยม หาภารตะและมหากาพย ซือหมา เชียน ผูเขียนหนังสือสื่อจี้หรือบันทึกของนัก พทารงะศไตารสปนิฎาทก3เี่ใกน่าพแรกะท่พสีุ่ทุดธขศอางสอนินาเ ดวยี ร รณหรกอื รชรามดในก
รามายณะ เปนตน ประวัติศาสตร ซึ่งมีอิทธิพลตอการคนควาประวัติศาสตร คติของศาสนาพราหมณ์ -ฮนิ ด ู เชน่ มหากาพย์
• อารยธรรมเมโสโปเตเมีย เชน อักษรคนู ิฟอรม สมยั หลงั และไดร บั การยกยอ งใหเ ปน บดิ าวชิ าประวตั ศิ าสตร
หรอื อักษรลมิ่ เปน ตน ของโลกตะวนั ออก
• อารยธรรมอสิ ลาม เชน คมั ภรี อัลกุรอาน
วรรณกรรมเรอ่ื งอาหรบั ราตรี ซนิ แบดผจญภยั มหาภารตะ และมหากาพยร์ ามายณะ (รามเกยี รต)ิ์ เปน็ ตน้ ซง่ึ เรอื่ งรามายณะน้ีไดร้ บั ความนยิ มใน
เปนตน )

ภมู ภิ าคเอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใต ้ โดยเฉพาะกมั พชู า ไทย และมอี ทิ ธพิ ลตอ่ การสรา้ งสรรคง์ านศลิ ปะ
ทั้งดา้ นจติ รกรรมและนาฏศลิ ป์

๓) อิทธิพลของอารยธรรม
เมโสโปเตเมียด้านอักษรศาสตร์ แม้ว่าชาว
ซูเมเรียในเมโสโปเตเมียจะเป็นชนกลุ่มแรก
ที่ประดิษฐ์ตัวอักษรคูนิฟอร์มหรืออักษรลิ่มเพื่อ
บนั ทกึ เรือ่ งราว แตไ่ มม่ ีหลักฐานแน่ชัดวา่ ความ
เจรญิ ทางดา้ นอกั ษรศาสตรข์ องชาวเมโสโปเตเมยี
มอี ทิ ธิพลมาจนถงึ ปจั จุบัน

อย่างไรก็ตาม ท้ังการประดิษฐ์ตัว
หนงั สอื การรจู้ กั จดบนั ทกึ ของชาวเมโสโปเตเมยี
ก็ท�าให้ความรู้ด้านต่างๆ ในอดีตได้รับสืบทอด
คัมภีรพระเวท เปนคัมภีรท่ีสําคัญของชาวอารยันเพื่อใช และพัฒนาตอ่ มา
ประกอบพิธกี รรมทางศาสนา

162

นกั เรยี นควรรู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNดิ ET
อารยธรรมอนิ เดยี ทางดา นอักษรศาสตรที่มีอิทธิพลตอทวีปเอเชียมอี ะไรบาง
1 ไซอิว๋ แตงโดย อูเจงิ เอิน ในสมัยราชวงศห มิง เปน เรอ่ื งราวการเดินทางไปยงั แนวตอบ อารยธรรมอนิ เดยี ดา นอกั ษรศาสตรส วนใหญม ีความเกี่ยวขอ งกบั
ชมพูทวีป (อนิ เดยี โบราณ) เพื่ออัญเชิญพระไตรปฎ กของพระจีน ชื่อ พระถังซาํ จงั๋ ศาสนา เชน คัมภรี พระเวท ซ่งึ เปน คัมภีรศกั ดิส์ ทิ ธิ์ของศาสนาพราหมณ-ฮินดู
พรอ มกบั สานุศิษยซ ่งึ เปน สตั ว 3 ตวั วรรณกรรมเรอ่ื งนีถ้ ูกแปลเปนภาษาไทยครั้งแรก ทมี่ คี วามสาํ คญั ตอ ชาวฮนิ ดมู ากตงั้ แตส มยั โบราณมาจนถงึ ปจ จบุ นั คมั ภรี พ ระเวท
ใน พ.ศ. 2349 แตไดร ับการตพี มิ พครง้ั แรกในสมยั รชั กาลท่ี 5 โดยโรงพิมพของ ในระยะแรกมี 3 เลม เรียกวา ตรเี วท ไดแ ก ฤคเวท ยชรุ เวท และสามเวท
หมอบรัดเลย ตอมามคี มั ภรี อ ถรรพเวทเกิดขน้ึ ในภายหลัง นอกจากนี้ ยังมพี ระไตรปฎก
2 สามกก แตง โดย หลอกวา นจง ในสมัยราชวงศห มิง เนอื้ เรอ่ื งเปนเหตุการณ ในพระพุทธศาสนา ซง่ึ จารึกพระธรรมคําสอนเปนภาษาบาลี แบง ออกเปน
การสรู บในชว งปลายสมัยราชวงศฮ ่ัน ซ่งึ บานเมอื งแตกออกเปนกก ใหญๆ 3 กก คือ 3 หมวด ไดแ ก พระวินยั ปฎ ก พระสตุ ตันตปฎ ก และพระอภธิ รรมปฎ ก
กกเวยของโจโฉ กก สูของเลาป และกกอูข องซุนกวน แตล ะกก ตางรวบรวมไพรพลท้ัง รวมทง้ั มหากาพยร ามายณะและมหากาพยม หาภารตะ โดยเฉพาะมหากาพย
ดานบุน และบู และมกี ารวางอบุ ายกลศกึ หลายรูปแบบเขา ตอ สูกัน วรรณกรรมเร่ืองน้ี มหาภารตะทีไ่ ดมีอิทธิพลตอภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต เชน กัมพูชา
มกี ารแปลเปน ภาษาไทยคร้งั แรกใน พ.ศ. 2345 โดยเจาพระยาพระคลัง (หน) ไทย ดงั จะเหน็ ไดจากการสรา งสรรคผ ลงานดา นจติ รกรรมและนาฏศิลป
3 พระไตรปฎก สมยั พทุ ธกาลยังไมม คี าํ วา “พระไตรปฎก” มีแตค าํ วา “ธรรมวินยั ”
คาํ วา “พระไตรปฎ ก” เกดิ ขน้ึ ภายหลังการทําสงั คายนาแลว โดยเปนท่รี วบรวม
คาํ สอนของพระพทุ ธเจา ไวเปน หมวดหมู

162 คู่มอื ครู

กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Engaae Expore Evaluate
Explain Expand Explain

อธบิ ายความรู้

๔) อิทธิพลของอารยธรรมอิสลามด้านอักษรศาสตร์ คัมภีร์อัลกุรอานเป็นทั้ง 1. ครใู หน กั เรยี นชว ยกนั ยกตวั อยา งศลิ ปวทิ ยาการ
คคือัม ภภีรา์สษ�าาคอัญาทหารงบั ศ าปสจั นจาุบแันลคะมัเปภ็นรี วอ์ รัลรกณุรกอรารนม1ไดท้รรับงคกุณารคแ่าปขลอเงปอน็ าภรายษธารรตมา่ งอๆิส ลจาา� มน วภนามษาากท ที่ใชั้ง้ในนเ้ี คพัมอ่ื ภใหีร้ ์ และภูมิปญ ญาของอารยธรรมโบราณในทวีป
ชาวมุสลมิ ทุกเช้อื ชาต ิ ทกุ ภาษา ได้มีโอกาสอ่านคัมภีร์ดว้ ยตนเอง เอเชยี พรอมท้งั บอกวา เปน อิทธิพลของ
ในด้านวรรณกรรม มวี รรณกรรมประเภทนิทานซึ่งเปน็ ทีน่ ยิ ม เชน่ เร่อื งอาหรบั ราตรี อารยธรรมใด
ซนิ แบดผจญภัย กวชี าวมุสลมิ คอื โอมาร ์ คายมั ได้แตง่ วรรณกรรมท่ีมชี ือ่ เสยี ง คอื เรื่องรไุ บยาด (แนวตอบ เชน
• เข็มทิศ : อารยธรรมจีน
2.๓ ดา นศลิ ปวิทยาการและภูมิปญญา • ระบบตัวเลข 1-9 : อารยธรรมอินเดยี
• 1 วันแบงออกเปน 24 ชั่วโมง : อารยธรรม
๑) อิทธิพลของอารยธรรมจีนด้าน เมโสโปเตเมยี
ศิลปวิทยาการและภูมิปัญญา อารยธรรมจีน • การสรา งมสั ยิด : อารยธรรมอสิ ลาม)
ด้านศิลปวิทยาการและภูมิปัญญาที่มีอิทธิพลต่อ
พัฒนาการของจีนและโลก เช่น เขม็ ทศิ กระดาษ 2. ครใู หต วั แทนกลมุ ที่ 3 นาํ สมดุ ภาพอทิ ธพิ ลของ
ดินปืน การพมิ พ์ เปน็ ตน้ โดยจีนประดิษฐเ์ ข็มทิศ อารยธรรมโบราณทมี่ ีตอทวีปเอเชียในปจ จบุ นั
2 ดา นศลิ ปวิทยาการและภูมิปญ ญา มานาํ เสนอ
ได้เปน็ ชาตแิ รกในโลกต้ังแต่ศตวรรษท่ี ๔ ก่อน หนาช้ันเรยี น
คริสต์ศักราช โดยใช้ในการประกอบพิธีกรรม เข็มทิศจีน ซึ่งในระยะแรกจะใชในพิธีกรรมและตอมาได
หรอื การทา� นาย จนกระทงั่ ครสิ ตศ์ ตวรรษท ี่ ๓-๖ พัฒนาจนนํามาใชบ อกทศิ ทางในการเดินทาง 3. ครใู หนักเรียนทาํ กิจกรรมท่ี 6.4 จากแบบวัดฯ
ประวัตศิ าสตร ม.2

จงึ พฒั นาเปน็ เขม็ ทศิ เพอื่ ใชบ้ อกทศิ ทาง ซง่ึ ในระยะแรกใชเ้ พอ่ื หาทศิ ทางทเ่ี หมาะสมในการกอ่ สรา้ ง ใบงาน ✓ แบบวดั ฯ แบบฝกฯ
บ้านหรือสร้างเมือง หรือการดูระบบลมน้�า (เฟิงสุ่ยหรือฮวงจุ้ย) ต่อมาจึงพัฒนาเป็นเข็มทิศเพื่อ ประวัติศาสตร ม.2 กิจกรรมที่ 6.4
ใชใ้ นการเดนิ ทาง การเดนิ เรอื เมอ่ื ชาวอาหรบั เขา้ มาตดิ ตอ่ กบั จนี กน็ า� ความรเู้ รอ่ื งเขม็ ทศิ ไปใชแ้ ละ หนวยที่ 6 แหลง อารยธรรมในทวีปเอเชีย

ชาวยโุ รปก็ได้รบั จากชาวอาหรบั อกี ตอ่ หนง่ึ กจิ กรรมท่ี ๖.๔ ใหน กั เรยี นศกึ ษาแผนทแี่ หลง อารยธรรม แลว เตมิ หมายเลข คะแนนเตม็ คะแนนท่ไี ด
ก วา้ งข วางมากกรขะน้ึดา ษโดเปยจ็นีนสปิ่งประรดะดิษิษฐก์ฐร์ขะอดงาจษีน3ขทน้ึ ่ีมีความส�าคัญต่อการพัฒนาและเผยแพร่ความรู้ให้ และขอความในชองวา งใหถกู ตอ ง (ส ๔.๒ ม.๒/๒)
ñð

ในสมยั ราชวงศฮ์ นั่ เม่ือ ค.ศ. ๑๐๕ การประดิษฐ์
กระดาษนา� ไปสกู่ ารพมิ พห์ นงั สอื หนงั สอื ทพี่ มิ พ์
ข้ึนเก่าแก่ท่ีสุดเท่าที่มีหลักฐานอยู่ คือ คัมภีร ๔ ๒
วชั รสูตร พมิ พเ์ มอ่ื ค.ศ. ๘๖๘ สงิ่ ประดิษฐ์อีกสงิ่ ๑
ท่ีมีอิทธิพลต่อโลก คือ ดินปืน จีนผลิตดินปืน



เฉฉบลับย

ไดใ้ นครสิ ตศ์ ตวรรษท ่ี ๑๓ เพอ่ื ใช้ทา� ดอกไม้ไฟ คมั ภรี ว ชั รสตู ร เปน หนงั สอื ทใี่ ชเ ทคนคิ การพมิ พด ว ยแมพ มิ พ ๑. หแหมลายง อเลาขรย....ธ...ร...ร....ม....ใ...น....ภ....มู.....ภิ..๒..า...ค....เ...อ....เ..ช....ยี....ต....ะ...ว...นั.....อ....อ....ก... ชอ่ื .....อ...า...ร....ย...ธ...ร....ร...ม....ล....มุ ...แ...ม....น....้ํา...ห....ว...า..ง....เ.ห....อ..........................................
ต่อมาชาวอาหรับและชาวยุโรปได้น�าไปใช้และ แกะไม เมื่อ ค.ศ. ๘๖๘ ปจจุบันถูกเก็บรักษาไวท่ีหอสมุด
พฒั นาเปน็ อาวธุ ในการสงครามมาจนถงึ ปจั จบุ นั องั กฤษ ๒. หแหมลายงอเลาขรยธรรมในภมู ิภ๓าคเอเชยี ใต ช่ือ........................................................................................ .....อ...า...ร....ย...ธ...ร....ร...ม....ล....มุ ...แ...ม....น ....ํ้า...ส....ิน.....ธ...ุ................................................

๓. แหหมลายง อเลาขรย....ธ...ร...ร....ม....ใ...น....ภ....มู.....ภิ...๑.า...ค....เ...อ....เ..ช....ยี....ต....ะ...ว...นั.....ต....ก....เ..ฉ. ียงชใต่อื .....อ...า...ร....ย...ธ...ร....ร...ม....เ.ม....โ..ส.....โ..ป....เ..ต....เ.ม....ยี....................................................

16๓ ๔. หภมูมาิภยาเคลทขเ่ี .ก....ิด....ข....ึ้น.....ใ..ห.....ม.......เ..ป...๔.น.....ด....นิ....แ....ด....น.....ข....อ....ง...ก....ล....มุ ....ป. ระชเทอ่ื ศ...ส..ภ..า..มู..ธ.ิภ..า..า.ร..ค..ณ..เ..อ.ร..เ..ฐัช...ยีอ...ก.สิ...ล.ร...ะา...ง..................................................................
๕. ภหมูมาิภยาเคลทขี่เ.ป.....น....แ....ห....ล....ง...ผ.....ส....ม..๕..ผ....ส....า...น.....ร...ะ...ห....ว....า...ง...อ....า...ร....ย...ธรรชมือ่ จ..นี ...ภ.แ...ูม.ล..ภิ..ะ..า.อ..ค..นิ..เ..อเ..ด.เ..ช..ยี .ีย...ต....ะ...ว...ัน....อ....อ...ก....เ..ฉ....ีย...ง....ใ..ต.....................................

๗๖

แนวขอ สNอบTเนน Oก-าNรคETิด นกั เรียนควรรู

ขอใดเปนส่งิ ประดิษฐข องชาวจีนท่มี ีอิทธพิ ลตอโลกมากท่ีสดุ 1 คมั ภีรอ ัลกุรอาน เปน คัมภีรศักด์สิ ทิ ธ์ิของชาวมสุ ลิม การทพ่ี อ คาชาวมสุ ลมิ
1. เขม็ ทศิ เดินทางไปคาขายยงั ทีต่ า งๆ ท่ัวโลก นอกจากจะเพอ่ื เผยแผศ าสนาอสิ ลาม
2. นาฬก า ทางออมแลว ภาษาอาหรบั ท่ีใชในคมั ภีรอัลกุรอานยังไดรับการเผยแพรดวย
3. ตะเกยี บ 2 เข็มทศิ จนี มที ง้ั เข็มทิศท่ใี ชใ นพิธีกรรม โดยใชช อ นหรือทัพพีท่ีทาํ มาจากเหล็ก
4. เรือสินคา วางไวบนแผนส่ีเหลี่ยมที่ทํามาจากทองแดง ตรงกลางแผนสีเ่ หลีย่ มมรี ูปวงกลม
อยูต รงกลาง หมายถงึ สวรรค นอกวงกลมเปน รูปส่ีเหลยี่ ม หมายถงึ โลก ตอ มาใน
วเิ คราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 1. โดยชาวจีนเปนชาติแรกในโลกทปี่ ระดิษฐ คริสตศ ตวรรษท่ี 3-6 จงึ มีเขม็ ทิศเพอื่ ใชชบี้ อกทศิ ทาง โดยเปน เขม็ ทิศท่ีมหี นาปด
เปนรปู วงกลม มีตวั หนงั สอื ตัวเลขบอกตาํ แหนงตางๆ มีเขม็ อยตู รงกลาง ถา เข็มชี้
เข็มทศิ ขนึ้ เมื่อศตวรรษที่ 4 กอนคริสตศกั ราช เพ่ือใชในการประกอบพธิ กี รรม ไปยงั ตัวหนงั สือหรือตัวเลขใดกแ็ สดงถงึ ทศิ ทกี่ าํ หนดไว
หรือการทํานาย จนกระท่งั คริสตศตวรรษที่ 3-6 จงึ พฒั นาเปนเข็มทศิ เพ่อื ใช 3 กระดาษ ผปู ระดิษฐกระดาษของจนี ช่ือ ไช หลุน เปน ขุนนาง การประดษิ ฐ
บอกทศิ ทาง ซงึ่ ในระยะแรกใชเ พอ่ื หาทิศทางทเ่ี หมาะสมในการกอสรางบาน กระดาษทําใหก ารจดบนั ทกึ เรอื่ งราวตา งๆ สะดวกข้ึนมาก
หรือเมอื ง หรือการดรู ะบบลมนา้ํ (ฮวงจุย ) ตอมาจึงพฒั นาเปนเขม็ ทิศเพือ่ ใช
ในการเดินทาง การเดนิ เรอื เม่ือชาวอาหรบั เขามาตดิ ตอ กับจีนกไ็ ดนาํ ความรู
เรือ่ งเข็มทศิ ไปใช และชาวยุโรปก็รับจากชาวอาหรบั อีกตอหน่งึ

คูม่ ือครู 163

กระตนุ้ ความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล
Engaae Expore
Explain Explain Expand Evaluate
อธบิ ายความรู้

1. ครใู หนักเรยี นยกตัวอยางศลิ ปวทิ ยาการและ ภมู ปิ ญั ญาดา้ นการแพทย1ข์ องจนี กม็ คี วามเจรญิ กา้ วหนา้ และไดร้ บั การสบื ทอดมาจนถงึ
ภูมปิ ญญาของอารยธรรมโบราณท่ยี งั คง ปัจจุบนั เชน่ การฝงั เขม็ การจบั ชพี จรเพื่อตรวจและรักษาโรค รวมถงึ การใชส้ มนุ ไพร เชน่ โสม
มอี ิทธพิ ลและปรากฏใหเ ห็นไดใ นปจ จบุ ัน เพือ่ ฟน้ื ฟูสุขภาพ เปน็ ตน้
(แนวตอบ เชน การสรา งสถปู เจดยี  พระพุทธรปู
เนือ่ งในพระพุทธศาสนาทไ่ี ดร ับอทิ ธิพลจาก ๒) อทิ ธพิ ลของอารยธรรมอนิ เดยี ดา้ นศลิ ปวทิ ยาการและภมู ปิ ญั ญา ทมี่ อี ทิ ธพิ ล
อารยธรรมอนิ เดยี เปน ตน)
มาจนถงึ ปจั จบุ นั ประการแรก ไดแ้ ก ่ งานศลิ ปะประเภทสถาปตั ยกรรมและประตมิ ากรรม โดยเฉพาะ
2. ครูตงั้ คาํ ถามใหนักเรียนชว ยกันตอบ เชน ท่ีเกยี่ วเน่อื งกับศาสนา เชน่ สถปู เจดีย ์ พระพุทธรปู ท่ีมีรปู แบบศลิ ปะตา่ งๆ เทวาลยั เทวรปู ใน
• ภมู ิปญ ญาดานการแพทยของจนี ทีม่ ีการ ศาสนาพราหมณ์ - ฮนิ ดู ซ่ึงมอี ทิ ธพิ ลท้ังในอินเดียและดินแดนที่รบั อารยธรรมอินเดีย
สบื ทอดมาจนถงึ ปจ จุบนั มอี ะไรบา ง ภูมิปัญญาด้านวิชาการแขนงต่างๆ เช่น ดาราศาสตร์ แพทยศาสตร์ คณิตศาสตร ์
(แนวตอบ เชน การฝงเขม็ การจบั ชพี จร เป็นต้น ก็มีความโดดเด่นและมีอิทธิพลต่อโลก ในด้านการค�านวณ อินเดียได้คิดค้นระบบตัวเลข
เพือ่ ตรวจและรกั ษาโรค การใชสมุนไพรตา งๆ 1- 9 แทนเลขโรมนั ท่ีใชข้ ีด เช่น 1 (I) 2 (II) 3 (III) 4 (IV) 5 (VI) ซง่ึ ไมส่ ะดวกเมื่อจ�านวนเพิม่ ข้นึ
เชน โสม เพอื่ ฟนฟูสขุ ภาพ เปนตน ) ตัวเลขท่ีชาวอินเดียคิดข้ึน เรียกว่า เลขอารบิก เพราะชาวอาหรับได้น�าไปใช้และเผยแพร่ไปสู่
• ภมู ปิ ญ ญาดา นวชิ าการแขนงตา งๆ ของอนิ เดยี ชาวยุโรป ตัวเลขไทยก็ได้รับอิทธิพลจากตัวเลขที่อินเดียคิดค้นข้ึน ดังมีการก�าหนดเคร่ืองหมาย
เผยแพรไปสชู าวยโุ รปไดอยางไร แทนตวั เลข เชน่ หนงึ่ (๑) สอง (๒) เปน็ ตน้ นอกจากน ี้ ชาวอนิ เดยี โบราณยงั ไดค้ ดิ คน้ ระบบทศนยิ ม
(แนวตอบ เพราะชาวอาหรับนาํ ไปใชแ ละได ข้ึนมาใช้ในการค�านวณด้วย ท�าให้การค�านวณทุกชนิดมีความสะดวกขึ้น และมีการใช้ก�าลังที่สอง
เผยแพรไปสูช าวยุโรปอกี ตอ หนึ่ง) (a2) รากท่ีสอง (√) เคร่ืองหมายพาย (¶) ซ่ึงนา� ไปสคู่ วามก้าวหน้าในวิชาเรขาคณติ เช่น การหา
พ้ืนท่ขี องสามเหลย่ี ม ส่เี หลีย่ มผนื ผ้า สีเ่ หลีย่ มจัตุรสั เปน็ ตน้
ขยายความเขา้ ใจ Expand
๓) อิทธิพลของอารยธรรมเมโสโปเตเมียด้านศิลปวิทยาการและภูมิปัญญา
ครใู หน กั เรยี นแตล ะกลมุ สรา งตารางแสดง
ศลิ ปวิทยาการและภูมปิ ญญาของอารยธรรมโบราณ มีความรู้ของอารยธรรมเมโสโปเตเมียหลายอย่างที่มีอิทธิพลต่อคนรุ่นหลัง เช่น ความรู้ทางด้าน
ในทวปี เอเชีย ดงั น้ี คณิตศาสตร์ โดยใช้ความรู้เรขาคณิตในการค�านวณที่ดินและการก่อสร้างอาคาร ความรู้ทางด้าน
ดาราศาสตร ์ โดยชาวซูเมเรยี แบง่ วันออกเปน็ ๒๔ ชว่ั โมง แบง่ ชวั่ โมงออกเป็น ๖๐ นาท ี ท�าตาราง
1. อารยธรรมจนี กลมุ่ ดาว ทา� ปฏิทนิ แบบจนั ทรคติท่ีก�าหนดให ้ ๑ ปีมี ๑๒ เดือน เป็นตน้
2. อารยธรรมอินเดยี
3. อารยธรรมเมโสโปเตเมยี ๔) อทิ ธพิ ลของอารยธรรมอสิ ลามดา้ นศลิ ปวทิ ยาการและภมู ปิ ญั ญา อารยธรรม
4. อารยธรรมอิสลาม
จากนนั้ แตละกลมุ สงตวั แทนออกมานําเสนอ อสิ ลามในระยะแรกได้รับการสรา้ งสรรค์โดยชาวอาหรบั ท้ังการรับความรจู้ ากภายนอก เช่น กรีก
หนาชน้ั เรียน และนําผลงานสงครูผสู อน โรมัน อินเดีย และการสรา้ งสรรค์ข้ึนจากประสบการณ ์ เชน่ การเป็นนักเดนิ ทางของชาวอาหรับ
ทท้ัา�งตให�าม้ราคี ตวรารมกรวูด้ ิทา้ ยนาด าปรารศัชาญสาต รฟ ์ ภิสูมิกิศสา์ สเตครม ์ ี น2คกั ณปริตาศชาญส์ชตารว์ มดสุนลตมิ รอี าแหพรทับยไดศส้าสรา้ตงรส์ 3รธรรคร์คมวชาามตริวตู้ ิทา่ ยงๆา
ตรวจสอบผล Evaluate ดาราศาสตร์ ภมู ศิ าสตร ์ ตัวอยา่ งผลงาน เชน่ การนา� ตัวเลขอารบิกจากอนิ เดยี มาใช ้ การทดลอง
ผสมสารเคมีจนได้สารเคมีใหม่ๆ การมีความรู้ด้านการผ่าตัดรักษาโรค เป็นต้น ในด้านศิลปะ
ครูตรวจสมุดภาพเกี่ยวกบั อทิ ธิพลของ อารยธรรมอิสลามมีการสร้างสรรค์งานศิลปะท่ีมีเอกลักษณ์ ทั้งสถาปัตยกรรมและจิตรกรรม เช่น
อารยธรรมโบราณทมี่ ตี อทวปี เอเชยี ในปจ จุบนั ทัชมาฮลั ในอินเดีย มัสยดิ ทเ่ี มอื งอิสฟาฮานในอหิ ร่าน เป็นตน้
และตารางแสดงศลิ ปวิทยาการและภูมิปญญาของ
อารยธรรมโบราณในทวปี เอเชีย 164

นักเรยี นควรรู ขอ สอบ O-NET
ขอสอบป ’52 ออกเกี่ยวกบั อิทธพิ ลของอารยธรรมโบราณ
1 ภูมิปญ ญาดานการแพทย ผทู ไี่ ดรบั การยกยอ งวา เปนบดิ าของการแพทยจ ีน คือ อารยธรรมใดเปนรากฐานทส่ี ําคัญที่สุดของดนิ แดนเอเชียตะวนั ออกเฉียงใต
หวงต้ี (Huangdi - จกั รพรรดเิ หลือง) ซึ่งเปน จักรพรรดใิ นตาํ นานของจนี เช่อื วา มีชวี ิต 1. จนี
อยูระหวาง 2,697-2,597 ปก อนครสิ ตศ ักราช ไดรวบรวมตาํ ราการแพทยข้ึนในสมัยน้ัน 2. อินเดีย
ซง่ึ เปน แหลง ความรทู างการแพทยข องจนี ในสมยั ตอ มา รวมทงั้ การฝง เขม็ ดว ย ปจ จบุ นั 3. อสิ ลาม
ภมู ปิ ญญาดานการแพทยแ ผนโบราณของจนี ไดรับการอนุรักษแ ละพัฒนาโดยมีการสอน 4. กรีก-โรมัน
การแพทยแ ผนโบราณในระดบั มหาวิทยาลยั ทง้ั ในประเทศจนี และตางประเทศ วเิ คราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 2. เพราะจากหลกั ฐานท่พี บในดนิ แดนเอเชยี
2 เคมี ความรูทางดานเคมี เชน การผสมสารตางๆ เพ่อื คน ควาทดลองทาง ตะวันออกเฉยี งใตสวนใหญเ ปน หลักฐานที่เกี่ยวของกบั ศาสนาทีร่ ับมาจาก
วิทยาศาสตร เปน ตน อนิ เดยี ท้งั ศาสนาพราหมณ-ฮินดู เชน ศวิ ลงึ ค เทวรปู พระวษิ ณุ พระนารายณ
3 แพทยศาสตร ความรดู านการแพทยทีน่ า สนใจ เชน การใชย าสลบในการผาตัด และพระพุทธศาสนา เชน พระพุทธรูป วัด เจดีย เทวรูปพระโพธิสตั ว-
เปน ตน อวโลกิเตศวร เปนตน

164 คู่มือครู

กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Evaluate
Explain Expand Engage

กระตนุ้ ความสนใจ

ó. áหÅ่งมร´กâÅกãน·วีปเÍเªีย 1. ครใู หน ักเรยี นยกตวั อยา งแหลง มรดกโลกทาง
วฒั นธรรมในทวีปเอเชียทนี่ กั เรยี นรูจัก
ทวีปเอเชียเป็นแหล่งก�าเนิดอารยธรรมโบราณและมีแหล่งที่ได้รับการยกย่องเป็นมรดกโลก พรอมท้ังบอกท่ีต้ังของแหลง มรดกโลกดังกลา ว
จากองคก์ ารศกึ ษา วทิ ยาศาสตร ์ และวฒั นธรรมแหง่ สหประชาชาตหิ รอื ยเู นสโก (UNESCO) หลาย (แนวตอบ เชน
แหง่ ทงั้ แหลง่ มรดกโลกทางวฒั นธรรม ทางธรรมชาต ิ และแหลง่ มรดกโลกทผ่ี สมทงั้ แหลง่ วฒั นธรรม • กําแพงเมอื งจีน : ประเทศจนี
และแหล่งธรรมชาต ิ ในทีน่ จ้ี ะกล่าวรายละเอียดเฉพาะแหลง่ มรดกโลกทางวฒั นธรรม ซึง่ หมายถงึ • อนสุ รณสถานสันตภิ าพที่เมอื งฮโิ ระชิมะ :
อนสุ าวรยี ์ กลมุ่ อาคารสง่ิ ปลกู สรา้ งและสมบตั ทิ ม่ี คี ณุ คา่ ทางประวตั ศิ าสตร ์ สนุ ทรยี ศาสตร ์ โบราณคด ี ประเทศญป่ี ุน
วิทยาศาสตร์ ชาตพิ นั ธ์วุ ทิ ยา หรอื มานษุ ยวทิ ยา • วิหารยองเมยี ว : ประเทศเกาหลีใต
• ศาสนสถานทีเ่ มืองสาญจี : ประเทศอินเดีย
๓.1 ตัวอยางแหลงมรดกโลกทางวัฒนธรรมในเอเชยี ตะวนั ออก • เมืองเพตรา : ประเทศจอรแดน)
พระราชวงั ห๑ล) วจง1สีนมัยราชวงศห์ มิงและราชวงศช์ ิงทีน่ ครปักกิง่
2. ครูขออาสาสมัครนกั เรยี นทเ่ี คยไปเท่ยี ว
พระราชวงั ของจนี ท่ีใหญแ่ ละสมบรู ณท์ สี่ ดุ มศี ลิ ปะการกอ่ สรา้ งแบบโบราณ แหลงมรดกโลกในทวีปเอเชีย หรอื แหลง
ปัจจบุ นั มอี ายปุ ระมาณ ๕๘๐ ปี ส่ิงกอ่ สร้างและการประดับตกแตง่ เต็มไปดว้ ย ทอ งเที่ยวทางประวัตศิ าสตรในประเทศไทย
งานศลิ ปะแขนงตา่ งๆ ของจนี นบั เปน็ สถาปตั ยกรรมชนิ้ เอกของจนี และของโลก มาเลา ประสบการณใหเ พื่อนฟง หนา ชน้ั เรียน
เคยเป็นท่ีประทับของจักรพรรดิจีนต้ังแต่คริสต์ศตวรรษที่ ๑๕ - ๒๐ รวม ๒๔
พระองค ์ ปัจจุบนั พิพิธภณั ฑ์ในพระราชวงั เป็นแหลง่ รวมและจัดแสดงของมีค่า สา� รวจคน้ หา Explore
ของจนี ตลอด ๒,๐๐๐ ปี ตั้งแต่สมัยราชวงศ์ชางถึงราชวงศ์ชิง
ครใู หน กั เรยี นแบง ออกเปน 4 กลมุ เลอื ก
สสุ านทหารดินเผาท่เี มอื งซอี าน 2มณฑลฉา่ นซี แหลง มรดกโลกทางวฒั นธรรมทสี่ าํ คญั ๆ ในทวปี
สรา้ งในสมยั จกั รพรรดฉิ นิ สอื่ หวงต ี้ (จนิ๋ ซฮี อ่ งเต)้ ประกอบดว้ ย รปู ปน้ั ทหาร เอเชยี จากหนงั สอื เรยี น หนา 165-169 หรือจาก
รถศกึ และม้า จ�านวนกว่า ๘,๐๐๐ ตวั หนา้ ของรูปปัน้ ทหารแตล่ ะตวั มลี กั ษณะ แหลง การเรยี นรตู า งๆ แลว สรา งเปน เสน ทาง
แตกต่างกันและมีการแต่งกายที่เหมือนจริงตามต�าแหน่งของทหาร สุสานนี้ อารยธรรมแสดงทต่ี งั้ เสน ทางการเดนิ ทางไป
สะท้อนความย่ิงใหญ่ของจกั รพรรดฉิ นิ ส่ือหวงตี้ไดเ้ ปน็ อย่างดี ทองเทยี่ ว หรือขอ มลู เฉพาะของสถานทีน่ น้ั ๆ
โดยจดั เปน ปายนทิ รรศการแบงเปน 4 ปา ย ดงั น้ี
กา� แพงเมืองจีน 3
สรา้ งขน้ึ ครงั้ แรกเมอื่ ศตวรรษท ่ี ๗ กอ่ นครสิ ตศ์ กั ราช เพอื่ ปอ งกนั พรมแดน 1. แหลง มรดกโลกทางวัฒนธรรมในเอเชยี
ของแตล่ ะแควน้ ในสมยั ทบ่ี า้ นเมอื งแตกแยกในปลายราชวงศ์โจว ตอ่ มาถกู สรา้ ง ตะวันออก
เช่ือมให้เป็นแนวเดียวกันจากด้านตะวันออกไปยังตะวันตก มีความยาวกว่า
๘,๘๐๐ กโิ ลเมตร กา� แพงเมอื งจนี เปน็ สัญลักษณ์อยา่ งหนงึ่ ของจนี เปน็ สงิ่ ทจี่ นี 2. แหลง มรดกโลกทางวัฒนธรรมในเอเชยี ใต
ใชแ้ บง่ อารยธรรมจนี กบั ตา่ งชาต ิ เปน็ ๑ ใน ๗ สง่ิ มหศั จรรยข์ องโลกยุคกลาง และ 3. แหลง มรดกโลกทางวัฒนธรรมในเอเชีย
เปน็ สิง่ เดียวที่มนษุ ยอ์ วกาศสามารถมองเหน็ ไดเ้ ม่อื อยู่ในอวกาศ
ตะวนั ตกเฉียงใต
4. แหลง มรดกโลกทางวฒั นธรรมในเอเชยี กลาง

อธบิ ายความรู้ Explain

ขอสอบ O-NET 165 ครแู ละนกั เรียนรวมกันอภิปรายเกีย่ วกับ
มรดกโลก โดยใหนักเรียนชวยกันบอกความหมาย
ขอสอบป ’52 ออกเกี่ยวกับองคก ารยเู นสโก ของมรดกโลก
องคการยูเนสโก (UNESCO) เปน หนวยงานภายใตส หประชาชาติ
นกั เรียนควรรู
มจี ุดมงุ หมายในการสรางความรวมมือระหวา งประเทศสมาชกิ ในดานใด
มากทสี่ ุด 1 พระราชวงั หลวง เรมิ่ สรางตง้ั แต ค.ศ. 1406 แลวเสร็จใน ค.ศ. 1421 ถือเปน
สุดยอดสถาปต ยกรรมของจนี สมยั ราชวงศห มงิ นิยมเรยี กวา พระราชวังตองหา ม
1. การเมือง หรอื นครตองหาม เพราะผชู ายหามเขา ไปอยู จะเขาไดเ ฉพาะองคจักรพรรดิ (ผชู ายอืน่
2. เศรษฐกิจ จะเขามาไดตองถูกตอนเปนขันทกี อน) พระมเหสี นางสนม และนางกํานัล
3. สังคม 2 สุสานทหารดนิ เผาท่เี มืองซอี าน ถูกคน พบโดยบงั เอญิ เมอื่ ค.ศ. 1974 ตามประวตั ิ
4. ความม่ันคง สสุ านแหง นใี้ ชเ วลากอ สรา งประมาณ 38 ป ตง้ั แต 246-208 ปกอ นคริสตศักราช ภายใน
สุสานใชบรรจุพระบรมศพของจ๋ินซฮี องเต ทรพั ยส มบัติ นางสนมและนางกํานลั รถมา
วิเคราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 3. โดยองคก ารยูเนสโกเปน องคก ารชํานาญ และขุนพลทหารท่ีสรา งจากดินเผาจาํ นวนมาก สสุ านจิ๋นซีฮอ งเตไดรบั การข้ึนทะเบยี น
ใหเปนมรดกโลกเมอ่ื ค.ศ. 1987
พเิ ศษแหง หนง่ึ ของสหประชาชาติ กอ ตัง้ ขน้ึ เมื่อ ค.ศ. 1946 โดยมีจดุ มงุ หมาย 3 กําแพงเมอื งจนี ในภาษาจีน เรยี กวา วานหล่ีฉางเฉิง หรอื กําแพงหมื่นลี้
เพ่อื สงเสรมิ ความรว มมอื ของนานาชาติทางดานสงั คมโดยรวม ไมวา จะเปน (1 ลี้ มคี วามยาวประมาณ 1 ไมล) ในการกอสรา งกําแพงเมอื งจีนใชแ รงงานนกั โทษ
การศกึ ษา วทิ ยาศาสตร และวัฒนธรรม จากสงครามและทาสมากกวา 1 ลานคน โดยสวนมากเสยี ชีวติ ลงเนอ่ื งจาก
ความเหนอ่ื ยและหิวโหย ซึง่ ศพของผูเ สยี ชวี ติ จะถกู ฝงไวข างใตก าํ แพง

ค่มู ือครู 165

กระต้นุ ความสนใจ สา� รวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Engaae Expore Expand Evaluate
Explain Explain
อธบิ ายความรู้

1. ครซู กั ถามนกั เรยี นวา แหลง มรดกโลกทาง ๒) ญ่ีปนุ
วฒั นธรรมมีคณุ คา และความสําคญั อยางไร
(แนวตอบ เปน สง่ิ ท่ีมนุษยสรา งขึน้ ซง่ึ มคี ณุ คา อนุสรณสถานเมอื งโบราณเกยี วโต
ควรแกก ารช่ืนชม ดแู ลและเกบ็ รกั ษาไวเ พอ่ื ให สรา งใน ค.ศ.๗๙๔ ตามแบบเมอื งฉางอาน เมอื งหลวงของจนี สมยั ราชวงศถ งั
เปน มรดกตกทอดไปสูคนรนุ หลัง นอกจากนี้
ยงั เปน แหลง ดงึ ดูดนกั ทองเทย่ี วใหเ ขามาเท่ียวชม เกียวโตจัดเปนเมืองหลวงเกาของญี่ปุนนับตั้งแตกอสรางจนถึงกลางคริสต
ซง่ึ ชว ยสรา งรายไดเ ขา ทอ งถิ่นและประเทศ) ศตวรรษที่ ๑๙ เปน ศนู ยก ลางวฒั นธรรมของญปี่ นุ มากกวา ๑,๐๐๐ ป แสดงถงึ
พฒั นาการของสถาปต ยกรรมไมของญี่ปุนโดยเฉพาะสถาปตยกรรมทางศาสนา
2. ครนู าํ ภาพแหลง มรดกโลกทางวฒั นธรรม และการจัดสวนแบบญป่ี ุน ซง่ึ มีอิทธพิ ลตอการจัดพนื้ ที่สวนทว่ั โลก
ในทวีปเอเชยี มาใหนักเรียนดู แลวใหน กั เรียน
ตอบวาตัง้ อยทู ี่ใด จากน้นั ครูและนักเรียน อนสุ รณส ถานเมอื งโบราณนาระ
รว มกนั สนทนาถงึ ความสําคัญของ นาระเปนเมืองหลวงถาวรแหง แรกของญ่ีปนุ ในระหวาง ค.ศ. ๗๑๐ - ๗๘๔
แหลงมรดกโลกดงั กลา ว
(แนวตอบ เชน สสุ านทหารดินเผาทเ่ี มืองซีอาน มเปีคน วเามมอื เงจปรริญะใวนตั ฐศิ าานสะตเรป นซศง่ึ ปูนรยะกกลอาบงดววัฒยนวธดั รใรนมพโดระยพเฉทุ พธศาะาดสานนา1หพลราะยพแุทหธงศาวสดั นในา
มณฑลฉานซี ประเทศจีน เปน สสุ านทสี่ รางขน้ึ ศาสนาชินโต และพระราชวังหลวง สะทอนภาพชีวิตในเมืองนาระในคริสต
ในสมยั จักรพรรดฉิ ินสื่อหวงตี้ ประกอบดวย ศตวรรษที่ ๘ ซง่ึ เปน ชว งเวลาแหง การเปลยี่ นแปลงทางวฒั นธรรมและการเมอื ง
รปู ปน ทหาร รถศึกและมา จํานวนมากกวา
8,000 ตวั หนา ตาของรปู ปน ทหารแตล ะตัว อนสุ รณส ถานสนั ตภิ าพทเ่ี มอื งฮโิ ระชมิ ะ
มลี ักษณะแตกตา งกนั และมีการแตง กายที่ ส่ิงกอสรางแหงเดียวท่ีหลงเหลืออยูในบริเวณพื้นท่ีท่ีถูกทิ้งระเบิดปรมาณู
เหมือนจริงตามตาํ แหนงของทหาร สสุ านน้ี
สะทอนใหเหน็ ถึงความยง่ิ ใหญของจกั รพรรดิ ในวนั ที่ ๖ สงิ หาคม ค.ศ. ๑๙๔๕ ในสงครามโลกครง้ั ท่ี ๒ เปน อนสุ รณส ถานทเ่ี ปน
ฉินสอ่ื หวงต้ไี ดเ ปนอยางดี) สญั ลกั ษณข องการทาํ ลายลา งรา ยแรงทถี่ กู สรา งขน้ึ โดยมนษุ ยชาติ รวมทงั้ ยงั เปน
สญั ลกั ษณแ หง ความหวงั ของความสงบสขุ ของโลกและการกาํ จดั อาวธุ นวิ เคลยี ร

๓) เกาหลีใต

วหิ ารยองเมยี ว
ศาสนสถานท่ีเกาแกที่สุดในลัทธิขงจ๊ือของราชสํานักเกาหลี สรางข้ึนเพื่อ

อทุ ศิ แดบ รรพบรุ ษุ ของราชวงศโชซอน(ChosonDynasty, ค.ศ. ๑๓๙๒- ๑๙๑๐)
มีความสําคัญในฐานะเปนที่ศึกษาเลาเรียนของสมาชิกราชสกุล และสถานท่ี
ประกอบพธิ กี รรม

เขตประวตั ศิ าสตรจ ยองจู
จยองจเู คยเปน เมืองหลวงของอาณาจักรชลิ ลา (Shilla Kingdom) ปจจบุ ัน

เก็บรักษาของมีคาทางวัฒนธรรมจํานวนมาก สิ่งกอสรางสําคัญอีกแหง คือ
หอดดู าว สรา งดวยศิลาใน ค.ศ. ๖๓๔ ถอื เปน หอดูดาวทีเ่ กา แกท สี่ ุดของโลก

๑๖๖

นักเรยี นควรรู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNดิ ET
แหลง มรดกโลกทางวฒั นธรรมมคี วามสําคญั ตอ โลกอยางไร
1 วดั ในพระพุทธศาสนา วดั ที่มชี อื่ เสียง คอื วดั โทไดจิ ซง่ึ ประดิษฐานพระพุทธรปู แนวตอบ แหลงมรดกโลกทางวัฒนธรรมมที ัง้ อนสุ รณส ถาน กลมุ อาคาร
สํารดิ ขนาดใหญท่ีมคี วามสงู ถงึ 16.2 เมตร ถอื เปน สัญลกั ษณของเมืองนาระ วิหาร รวมทงั้ ผลงานการกระทาํ ของมนุษยห รอื ผลงานท่ีผสมผสานของธรรมชาติ
ของวัดทป่ี ระดิษฐานพระพทุ ธรปู สรา งดวยไม ถกู บันทึกวามีขนาดใหญท สี่ ุดในโลก และมนุษย และแหลง โบราณคดี ซงึ่ มีคุณคา ความโดดเดน ทางประวตั ิศาสตร
วิหารไมนเ้ี คยถูกไฟไหมมาแลว คร้งั หนง่ึ และไดร บั การสรางข้ึนใหมอ ีกครง้ั ใน ค.ศ. สนุ ทรยี ศาสตร ชาตพิ นั ธวุ ทิ ยา หรอื มานษุ ยวทิ ยา จดั วา มคี วามสาํ คญั ในฐานะ
1706 แตมขี นาดเล็กกวา เดมิ ถึง 2 ใน 3 ทเ่ี ปน หลกั ฐานทแ่ี สดงใหเหน็ ถงึ ความเปน เอกลกั ษณ และความเจริญทาง
อารยธรรมของมนษุ ยในอดตี ทไี่ ดส รางสรรคไว ซ่งึ ยังคงหลงเหลอื อยหู รอื อาจ
เบศูรณรากษารฐกจิ พอเพยี ง สูญหายไปแลว ดังนั้น จึงควรคาแกการอนรุ ักษมรดกอันทรงคุณคานี้ใหค งอยู
และตกทอดไปยังชนรุน หลงั ตอ ไป สําหรับแหลง มรดกโลกทางวฒั นธรรม
ครูใหนักเรยี นแบงกลมุ กลมุ ละเทา ๆ กนั เพ่อื ไปสืบคน เก่ียวกับการจดั การ ของทวปี เอเชียในปจจุบนั มีมากกวา 100 แหง กระจดั กระจายอยตู ามประเทศ
แหลง มรดกโลกของประเทศญปี่ นุ หรอื เกาหลใี ต จากนั้นใหแ ตละกลมุ สงตวั แทน ตา งๆ ในทวีปเอเชยี
มานาํ เสนอขอ มลู ทห่ี นา ช้นั เรยี น แลว ใหนักเรยี นรวมกันแสดงความคิดเหน็ วา
การจัดการดังกลา วสอดคลอ งกับหลกั ปรชั ญาเศรษฐกจิ พอเพยี งหรือไม และ

จะสามารถนํามาปรบั ใชในประเทศไทยไดอยา งไร

166 ค่มู ือครู

กระตนุ้ ความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล
Engaae Expore Evaluate
Explain Expand Explain

อธบิ ายความรู้

๓.2 ตวั อยา งแหลงมรดกโลกทางวฒั นธรรมในเอเชยี ใต 1. ครูใหนักเรียนในชน้ั เรยี นชว ยกันยกตัวอยา ง
ถ้า� อสชรัน้าตงาโด 1๑รยฐัก)ม าอรหเนิาจรเาดาะษภยี ฏูเขราะ2ใ นศตวรรษที่ ๒-๑ ก่อนคริสต์ศักราช ภายในถ้�า แหลง มรดกโลกทางวัฒนธรรมในเอเชียใต
จากน้นั ครูและนกั เรียนสนทนารวมกนั ถงึ
จา� นวนมากประดบั ประดาดว้ ยภาพวาดและรปู ปน้ั ชนั้ เยย่ี ม ทงั้ ศลิ ปะในพระพทุ ธ ความสาํ คัญของแหลง มรดกโลกดงั กลาว
ศาสนาและศลิ ปะทางโลก
2. ครูใหนกั เรียนทาํ กจิ กรรมที่ 6.3 จากแบบวดั ฯ
ศาสนสถานทเี่ มอื งสาญจี ประวัตศิ าสตร ม.2
บรเิ วณศาสนสถานประกอบดว้ ยพทุ ธศาสนสถาน ทม่ี อี ายยุ อ้ นไปถงึ ศตวรรษท ่ี
๒ - ๑ กอ่ นครสิ ต์ศักราช เปน็ ศาสนสถานทางพระพุทธศาสนาท่เี กา่ แกท่ ่สี ุดท่ยี งั ใบงาน ✓ แบบวดั ฯ แบบฝก ฯ
เหลอื อยแู่ ละเปน็ ศนู ยก์ ลางพระพทุ ธศาสนาในอนิ เดยี จนถงึ ครสิ ตศ์ ตวรรษท ี่ ๑๒ ประวตั ศิ าสตร ม.2 กิจกรรมที่ 6.3
วดั มหาโพธิ (พทุ ธคยา) 3 หนว ยที่ 6 แหลงอารยธรรมในทวีปเอเชีย
๑ ใน ๔ สถานทศี่ กั ดสิ์ ทิ ธท์ิ เ่ี กยี่ วขอ้ งกบั พระพทุ ธเจา้ คอื เปน็ สถานทต่ี รสั ร ู้
วดั แหง่ แรกสร้างโดยพระเจ้าอโศกมหาราชเมอ่ื ศตวรรษที่ ๓ กอ่ นคริสต์ศักราช กจิ กรรมที่ ๖.๓ ใหนักเรียนดูรูปภาพแหลงอารยธรรมและเติมขอความใน คะแนนเตม็ คะแนนที่ได
วดั ทเ่ี หลอื อย่ใู นปจั จบุ นั มอี ายใุ นครสิ ตศ์ ตวรรษท ี่ ๕-๖ เปน็ หนงึ่ ในวดั พทุ ธศาสนา ชอ งวางใหถกู ตอ ง (ส ๔.๒ ม.๒/๒)
ยคุ ตน้ ทส่ี รา้ งดว้ ยอฐิ ทยี่ งั เหลอื อย่ใู นอินเดยี ñð

๒) ปากีสถาน ภาพ ประเทศ / ภมู ภิ าค ลักษณะเดน
๑.
แหล่งโบราณสถานท่ีเมอื งโมเฮนโจ-ดาโร ..จ...ีน....../....เ..อ...เ..ช...ยี ...ต....ะ...ว...ัน....อ....อ...ก...................................... .เ..ป....น ....ส....ิ่ง....ม...ห....ศั....จ....ร...ร...ย....ข...อ...ง....โ..ล....ก....ใ..น.....ย...ุค.............
เมอื งขนาดใหญใ่ นอารยธรรมลมุ่ แมน่ า�้ สนิ ธ ุ สรา้ งขน้ึ เมอ่ื ประมาณ ๓,๐๐๐ ปี กาํ แพงเมอื งจีน .ก....ล....า...ง...ท....ส่ี....า...ม...า...ร...ถ....ม....อ...ง...เ..ห....็น.....ไ..ด....เ..ม...อ่ื....อ...ย....ู .....
ก่อนคริสต์ศักราช ถกู ทิ้งรา้ งเมื่อประมาณ ๑,๗๐๐ ปีกอ่ นครสิ ต์ศักราช และถกู ๒. ....................................................................................... ในอวกาศ.......................................................................................
คน้ พบอกี ครงั้ ในทศวรรษ ๑๙๒๐ มคี วามโดดเดน่ ดา้ นสถาปตั ยกรรมทม่ี แี บบแผน .......................................................................................
และการวางผังเมืองท่เี ป็นระเบยี บ เมืองโมเฮนโจ - ดาโร
๓. ....................................................................................... .......................................................................................
ปอมและสวนซาลามาร์ ในเมอื งลาฮอร ์
ผลงานชนิ้ เอกของอารยธรรมอสิ ลามราชวงศม์ คุ ลั (โมกลุ ) ในสมยั จกั รพรรดิ อนุสรณส ถานสนั ติภาพ ....................................................................................... .......................................................................................
ชาห ์ จะฮาน ภายในปอ มมพี ระราชวงั หนิ ออ่ นและมสั ยดิ สวนซาลามารส์ รา้ งใน เมืองฮโิ ระชมิ ะ
ค.ศ. ๑๖๔๑ ตามแบบสวนเปอรเ์ ซยี ตกแตง่ ดว้ ยนา้� ตก นา�้ พ ุ และสระนา�้ ขนาดใหญ่ ๔. .ป....า...ก....ีส....ถ....า..น....../....เ..อ...เ..ช...ยี....ใ..ต....................................... .ส....ถ....า..ป....ต....ย....ก....ร...ร....ม...ท....่ีม....ีแ...บ....บ....แ...ผ....น....แ...ล....ะ...ก....า..ร....
....................................................................................... .ว...า..ง....ผ...ัง...เ..ม....ือ...ง...ท....เ่ี..ป....น....ร....ะ..เ..บ....ยี....บ.............................
๓) เนปาล เมอื งเพตรา
๕. ....................................................................................... .......................................................................................
หบุ เขากาฐมาณฑ ุ *
มรดกทางวฒั นธรรมของกาฐมาณฑ ุ คอื กลมุ่ อนสุ าวรยี แ์ ละอาคาร ๗ แหง่ สสุ านของโคจา อาหเ หมด็ ....................................................................................... .......................................................................................
ทแี่ สดงถงึ ความรงุ่ เรอื งทางศลิ ปะและประวตั ศิ าสตร ์ ประกอบไปดว้ ยศาสนสถาน ยาซาวี
ท้งั ในศาสนาพราหมณ์ - ฮนิ ดูและพระพุทธศาสนา ....................................................................................... .......................................................................................

* ปจั จบุ นั โบราณสถานแหง่ หบุ เขากาฐมาณฑบุ างแหง่ ไดร้ บั ความเสยี หายจากเหตแุ ผน่ ดนิ ไหวรนุ แรงเมอื่ เดอื นเมษายน 167 .ญ.....ี่ป....ุน....../....เ.อ....เ..ช...ยี...ต....ะ...ว...นั ....อ....อ...ก................................. .เ.ป....น.....อ...น.....ุส....ร...ณ......ใ..ห....ร....ะ..ล....กึ....ถ....ึง...ค....ว...า...ม.................. เฉฉบลับย
.ร...ุน.....แ...ร...ง...จ....า...ก....ส....ง...ค....ร....า..ม....แ...ล....ะ...ก...า...ร....ใ..ช...............
ค.ศ. ๒๐๑๕ ....................................................................................... .อ...า...ว...ุธ...น.....ิว..เ..ค....ล....ยี ...ร.... ..................................................
.......................................................................................

....................................................................................... .......................................................................................

....................................................................................... .......................................................................................

.จ....อ...ร....แ ...ด....น...../.....เ.อ....เ..ช...ยี ...ต....ะ...ว..นั.....ต....ก....เ..ฉ....ีย...ง...ใ...ต.... .... .แ...ส....ด....ง...ใ..ห....เ..ห....น็ ....ถ....งึ ...ก....า..ร....ผ...ส....ม...ผ....ส....า...น....ข...อ...ง........
.ว..ฒ.ั .....น....ธ...ร...ร....ม...ต....ะ...ว...นั ....อ....อ...ก....โ..บ.....ร...า...ณ.....ก....ับ..............
....................................................................................... .ส....ถ....า..ป....ต....ย....ก....ร...ร....ม...ก....ร...กี.......ย....ุค....เ.ฮ....เ..ล....น....สิ....ต....กิ.....
.......................................................................................

....................................................................................... .......................................................................................

....................................................................................... .......................................................................................

.ค....า...ซ...ัค....ส.....ถ...า...น....../....เ..อ...เ..ช...ีย....ก...ล....า...ง........................... .เ.ป....น.....ส....ถ....า...ป...ต....ย....ก....ร...ร....ม...แ...บ....บ.....เ.ป....อ....ร...เ..ซ....ีย..........
.ท....ย่ี ...ัง...ค....ง....ส....ภ....า..พ.....ค....ว..า...ม....ส....ม...บ.....ูร...ณ.....แ...ล....ะ.............
....................................................................................... .ใ..ห....ญ.....ท....ี่ส....ดุ....ใ...น....ส....ม....ยั...ต....ีม....รู .....................................
.......................................................................................

....................................................................................... .......................................................................................

....................................................................................... .......................................................................................

๗๕

ขอ สอบ O-NET นกั เรียนควรรู

ขอ สอบป ’51 ออกเกยี่ วกบั แหลงมรดกโลกทางวัฒนธรรม 1 ถา้ํ อชันตา เปน ผลงานทเ่ี กี่ยวเน่อื งในพระพทุ ธศาสนา ผคู น พบถ้ํานี้ คือ
การสรางสรรคสถาปตยกรรมของชนชาตใิ ดไม สัมพันธก ัน นายทหารชาวอังกฤษ ชอื่ จอหน สมิท พบเมื่อ ค.ศ. 1819 โดยเขาไดตามลาเสอื
1. วหิ ารพารเธนอน-ตุรกี เขามาจนถึงยอดเขาแหง หนง่ึ ในบรเิ วณหมบู า นอชนั ตา และพบวัดถาํ้ จํานวนมาก
2. โคลอสเซียม-อติ าลี ซ่งึ ซอ นตัวอยทู า มกลางปารก
3. ทัชมาฮลั -อนิ เดยี
4. บโุ รพุทโธ-อนิ โดนเี ซยี 2 การเจาะภูเขา ในอินเดียมีถาํ้ ทางศาสนาหลายแหงทสี่ รา งโดยการเจาะภูเขา
หรอื สกัดหนาผาเขา ไปเปน หองโถง เปนท่พี ํานักของพระสงฆ และมกี ารสลักรูป
วเิ คราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 1. วิหารพารเ ธนอนต้งั อยบู นอะโครโพลสิ ของ พระพุทธรปู หรอื เทพเจา ในศาสนาพราหมณ- ฮนิ ดู เชน ถํ้าอชันตา ถ้าํ เอลโลรา
(ไดร บั การประกาศใหเ ปน มรดกโลกเมอ่ื ค.ศ. 1983) ถ้ําเอเลฟนตา (ไดรับการ
กรุงเอเธนส ประเทศกรซี จดั เปน ผลงานทางดา นสถาปต ยกรรมของชาวกรีก ประกาศใหเปน มรดกโลกเมือ่ ค.ศ. 1987)
สรางขน้ึ ใน 477 ปกอ นครสิ ตศ ักราช เพื่อเปน ท่ปี ระดษิ ฐานเทวรปู เทพีอะธนี า
และสรา งเสร็จใน 433 ปก อนครสิ ตศ ักราช เปนศิลปะแบบดอริก

3 พทุ ธคยา เปน คาํ เรียกกลมุ พุทธสถานสาํ คญั ในอาํ เภอคยา รัฐพิหาร ซงึ่ เปน
ทต่ี ้งั ของสถานทตี่ รสั รขู องพระพทุ ธเจา มสี ญั ลักษณสําคญั คอื องคเจดยี ส ่ีเหลี่ยม
ลอมรอบดว ยโบราณสถาน โบราณวัตถุ ทีส่ าํ คญั เชน ตน พระศรีมหาโพธ์ิ อกี ท้งั ยงั
เปนทต่ี ัง้ ของวัดพทุ ธนานาชาติ รวมทั้งวัดไทยพุทธคยา พุทธคยาไดรบั การประกาศ
ใหเ ปนมรดกโลกเมอื่ ค.ศ. 2002
คู่มือครู 167

กระต้นุ ความสนใจ สา� รวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล
Engaae Expore Expand Evaluate
Explain Explain
อธบิ ายความรู้

1. ครสู รา งสถานการณส มมตวิ า ถา นกั เรียนเปน ลมุ พนิ ี 1
นักเขียนสารคดเี กี่ยวกับการทองเทยี่ ว ไดรบั สถานทป่ี ระสตู ขิ องพระพทุ ธเจา้ ปจั จบุ นั เปน็ ศนู ยก์ ลางของชาวพทุ ธ เมอื ง
ภารกิจใหไปเกบ็ ขอมลู เกยี่ วกับแหลง มรดกโลก ลมุ พนิ ี คอื ๑ ใน ๔ เมอื งศกั ดส์ิ ิทธิ์ในพระพทุ ธศาสนา เมอื งถกู ท้งิ รา้ งนานหลาย
ทางวฒั นธรรมในทวปี เอเชยี นกั เรยี นจะเลอื กไป ศตวรรษจนกระท่ังใน ค.ศ. ๑๘๙๕ นักโบราณคดีชาวเยอรมันได้ขุดค้นพบ เช่อื
ยงั สถานทใ่ี ด เพราะเหตุผลใด จากนนั้ กันว่าวัดและสระน�า้ ทล่ี มุ พนิ ีเปน็ ของเกา่ แกต่ ้ังแต่สมัยท่ีพระพุทธเจ้าประสูติ
ครูขออาสาสมคั รนกั เรียนออกมานาํ เสนอ
หนา ชั้นเรียน ๔) ศรลี ังกา
(แนวตอบ เชน กําแพงเมอื งจีน ประเทศจีน
เน่อื งจากเปน 1 ใน 7 ส่ิงมหัศจรรยข องโลก เมอื งโบราณสคิ รี ยิ า
ยคุ กลาง และเปน สิ่งเดยี วท่มี นุษยอวกาศ สร้างขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ ๕ พื้นที่ของเมืองเป็นที่ราบสูงสลับกับภูเขา
สามารถมองเห็นไดเมอ่ื อยใู นอวกาศ นอกจากน้ี พระราชวงั ต้งั อยบู่ นยอดของเขาหนิ ทรายขนาดใหญ ่ และมสี ่ิงกอ่ สรา้ งอนื่ เช่น
ยงั เปนสิง่ กอสรางทีแ่ สดงใหเหน็ ถงึ ความยิง่ ใหญ อาคารใหญน่ ้อย อุทยาน และอ่างเกบ็ น�า้ ขนาดใหญ่บนยอดเขา
ของอารยธรรมจีนไดเปนอยางด)ี
วดั ทองแหง่ ดมั บลู ลา
2. ครทู ดสอบความรู โดยใหนกั เรยี นทาํ กจิ กรรมท่ี ดัมบูลลาเป็นสถานที่ศักด์ิสิทธิ์ต้ังแต่ศตวรรษท่ี ๒ ก่อนคริสต์ศักราช
6.4 จากแบบวดั ฯ ประวตั ิศาสตร ม.2 ประกอบดว้ ย ถา้� ตา่ งๆ ๕ ถา�้ ทง้ั ทเี่ ปน็ ถา�้ ธรรมชาตแิ ละการขดุ เจาะเพม่ิ ภายใน
ถ้�ามีภาพวาดทางศาสนาและทางโลกท่มี ีอายรุ ะหวา่ งคริสตศ์ ตวรรษที่ ๑๕-๑๖
ใบงาน ✓ แบบวัดฯ แบบฝก ฯ รวมท้ังมพี ระพทุ ธรปู แบบต่างๆ และเทวรูปในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู
ประวตั ิศาสตร ม.2 กิจกรรมที่ 6.4
หนว ยท่ี 6 แหลงอารยธรรมในทวปี เอเชยี ๓.๓ ตวั อยา งแหลง มรดกโลกทางวฒั นธรรมในเอเชยี ตะวนั ตกเฉยี งใต
๑) จอร์แดน
กจิ กรรมที่ ๖.๔ ใหน กั เรยี นศกึ ษาแผนทแี่ หลง อารยธรรม แลว เตมิ หมายเลข คะแนนเต็ม คะแนนที่ได
และขอ ความในชอ งวา งใหถ กู ตอง (ส ๔.๒ ม.๒/๒) เมอื งเพตรา
ñð เ ดดซส ีรเ้าพงตขร้ึนา2ตเชั้งือ่แมตร่สะมหัยวก่า่องอนาปรระะเบวัตียิศ อายีสปิ ตตร ์์ แตลั้งะอซยีเูร่รยีะห เวป่า็นงหทนะเ่ึงลในแเดมงือแงลโะบทระาเณล
ที่มีช่ือเสียงของโลก เป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกและเป็นสถานท่ีซ่ึงวัฒนธรรม
๔ ๒ ตะวนั ออกโบราณผสมผสานกับสถาปตั ยกรรมกรกี ยคุ เฮเลนิสติก

เมืองฮตั รา 3๒) อริ กั

เมอื งในสมยั จกั รวรรดพิ ารเ์ ทยี น (Parthian) และเปน็ เมอื งหลวงของอาณาจกั ร
๕ อาหรบั ท ่ี ๑ (The First Arab Kingdom) ระหวา่ ง ค.ศ. ๑๑๖-๑๙๘ ตอ่ มาถกู รกุ ราน
เฉฉบลบั ย จากโรมัน ซากเมืองที่เหลืออยู่ได้รับรูปแบบสถาปัตยกรรมกรีกยุคเฮเลนิสติก
และโรมัน
๑. หแหมลายงอเลาขรย....ธ...ร...ร....ม....ใ...น....ภ....ูม.....ิภ..๒..า...ค....เ...อ....เ..ช....ีย....ต....ะ...ว...นั.....อ....อ....ก... ชอ่ื .....อ...า...ร....ย...ธ...ร....ร...ม....ล....มุ ...แ...ม....น ....้ํา...ห....ว...า..ง....เ.ห....อ.......................................... 16๘

๒. หแหมลายง อเลาขรยธรรมในภูมภิ ๓าคเอเชยี ใต ช่อื........................................................................................ .....อ...า...ร....ย...ธ...ร....ร...ม....ล....มุ ...แ...ม....น ....ํ้า...ส....นิ.....ธ...ุ................................................

๓. แหหมลายง อเลาขรย....ธ...ร...ร....ม....ใ...น....ภ....มู.....ิภ...๑.า...ค....เ...อ....เ..ช....ีย....ต....ะ...ว...นั.....ต....ก....เ..ฉ. ียงชใตือ่ .....อ...า...ร....ย...ธ...ร....ร...ม....เ.ม....โ..ส.....โ..ป....เ..ต....เ.ม....ีย....................................................

๔. ภหมูมาภิ ยาเคลทข่ีเ.ก....ดิ....ข....นึ้.....ใ..ห.....ม.......เ..ป...๔.น.....ด....ิน....แ....ด....น.....ข....อ....ง...ก....ล....ุม....ป. ระชเทื่อศ...ส..ภ..า..ูม..ธ.ภิ..า..า.ร..ค..ณ..เ..อ.ร..เ..ัฐช...ียอ...ก.ิส...ล.ร...ะา...ง..................................................................

๕. หภมมู าภิ ยาเคลทข่ีเ.ป.....น ....แ....ห....ล....ง...ผ.....ส....ม..๕..ผ....ส....า...น.....ร...ะ...ห....ว....า...ง...อ....า...ร....ย...ธรรชมอ่ื จ..นี ...ภ.แ...ูม.ล..ภิ..ะ..า.อ..ค..ิน..เ..อเ..ด.เ..ช..ยี .ยี...ต....ะ...ว...ัน....อ....อ...ก....เ..ฉ....ยี...ง....ใ..ต.....................................

๗๖

นกั เรียนควรรู กจิ กรรมสรา งเสรมิ

1 ลมุ พินี หรอื ลุมพนิ ีวัน เดิมเปนสวนปาสาธารณะ ซง่ึ ตง้ั อยกู ่งึ กลางระหวา ง ครใู หน กั เรียนเขยี นเรยี งความเก่ียวกบั แหลง มรดกโลกทางวฒั นธรรม
เมอื งกบลิ พัสดกุ บั เมืองเทวทหะ ในสมยั พระเจา อโศกมหาราชโปรดใหสรา งพระอาราม ในทวีปเอเชยี ที่นกั เรียนรูสึกประทับใจและชนื่ ชอบมากทสี่ ุด ความยาว
เจดีย และเสาศลิ าจารึกไวเ ปน สญั ลกั ษณบรเิ วณที่เจา ชายสิทธัตถะประสูติ ไมเ กนิ 1 หนา กระดาษรายงาน จากน้ันออกมานาํ เสนอทีห่ นาชนั้ เรียน
และใน ค.ศ. 1997 ลุมพนิ วี นั ไดร ับการข้นึ ทะเบียนใหเ ปน มรดกโลกภายใตช่อื ลุมพินี
2 เพตรา หรอื นครศิลาสกี หุ ลาบ เปน เมืองท่แี กะสลกั ขน้ึ จากภเู ขาทง้ั ลกู เดมิ เปน กจิ กรรมทาทาย
นครแหง การคาขนาดใหญ ตอมาถูกทิง้ ใหรางเปน เวลานานกวา 700 ป จนกระทงั่
ถกู คนพบโดยนกั สาํ รวจชาวสวติ เซอรแลนดเมือ่ ค.ศ. 1812 เพตราไดร บั การข้ึน ครูใหน ักเรยี นสืบคนขอมลู เก่ียวกับแหลง มรดกโลกทางวัฒนธรรม
ทะเบยี นใหเ ปน มรดกโลกเมอ่ื ค.ศ. 1985 และใน ค.ศ. 2007 เพตราไดรบั คัดเลอื ก ในทวีปเอเชยี นอกเหนอื จากตัวอยางในหนงั สือเรียน จากน้นั ใหนักเรยี น
ใหเปน 1 ใน 7 ส่ิงมหัศจรรยของโลกยคุ ใหม จัดทําสมดุ ภาพ “มรดกโลกในเอเชีย” ซ่ึงประกอบดวย ขอ มลู ของ
3 เมอื งฮัตรา เมืองโบราณท่ลี อมรอบดวยกาํ แพง 2 ชนั้ ถัดออกไปจากกําแพง แหลงมรดกโลกทางวฒั นธรรมในแตละภมู ิภาคโดยสงั เขป พรอ มทั้งตดิ
ยังขดุ เปนคลู อมรอบอีกชน้ั หนึง่ ลกั ษณะของฮัตราคลายกับเมอื งเพตราในจอรแดน ภาพประกอบใหส วยงามนําสงครูผสู อน
ทั้งในแงก ารเปน เมอื งศูนยก ลางควบคมุ เสน ทางการคา ของกองคาราวาน และเปน
เมืองท่ีรบั รปู แบบสถาปต ยกรรมของกรีก-โรมนั

168 คมู่ ือครู

กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจค้นหา อธิบายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล
Engaae Expore Explain Expand Evaluate

ขยายความเขา้ ใจ Expand

เมอื งอัสซูร ์ 1. ครูใหน ักเรยี นกลุม เดมิ จัดทาํ แผน พบั ใหค วามรู
เมอื งโบราณอสั ซรู ์ (Ashur) ตงั้ อยบู่ นฝง่ั แมน่ า�้ ไทกรสิ เคยเปน็ เมอื งหลวง เกย่ี วกบั แหลง มรดกโลก ซงึ่ ประกอบดว ยเนอื้ หา
แหง่ แรกของจกั รวรรดอิ สั ซเี รยี เปน็ นครรฐั ทม่ี คี วามสา� คญั เปน็ ศนู ยก์ ลางการคา้ ดังน้ี
นานาชาต ิ และเปน็ เมอื งทางศาสนาของชาวอสั ซเี รยี เมอื งอสั ซรู ถ์ กู ทา� ลายโดย • ประเภทของมรดกโลก
ชาวบาบโิ ลน แตต่ อ่ มาถกู ฟน้ื ฟูโดยจกั รวรรดพิ ารเ์ ทยี นในครสิ ตศ์ ตวรรษท ี่ ๑-๒ • การขึ้นทะเบียนมรดกโลก
• มรดกโลกในทวีปเอเชีย
เมอื งโบราณสมารร์ า • วธิ กี ารอนรุ ักษม รดกโลก
เมืองหลวงของจักรวรรดิอับบาซิด ตง้ั อย่บู น ๒ ฝัง่ แมน่ �้าไทกรสิ ทางตอน จากนน้ั นาํ ไปแจกจา ยหรอื ประชาสัมพันธ
เหนอื ของกรงุ แบกแดด ความกา้ วหนา้ ทางศลิ ปะและสถาปตั ยกรรมของอสิ ลาม ตามความเหมาะสม
ไดร้ ับการพฒั นาทีเ่ มืองนแ้ี ละขยายไปยงั ดนิ แดนอิสลามท่วั โลก
2. ครใู หนักเรียนตอบคาํ ถามประจาํ หนวย
๓) อฟั กานสิ ถาน การเรยี นรู

ภมู ทิ หัศุบนเว์ขฒั าบนาธมริยรัมน1แเปล็นะโแบหรลา่งณอสาถรยาธนรแรหม่งขหอุบงเอขาาณบาามจักิยรนั บัคเตรียตั้งแต่คริสต์ ตรวจสอบผล Evaluate
ศตวรรษท ี่ ๑-๑๕ ตงั้ อยใู่ นเสน้ ทางสายแพรไหมทเ่ี ชอื่ มระหวา่ งจนี และเอเชยี กลาง
กบั อนิ เดยี และตะวนั ตก พระพทุ ธรปู จา� นวนมากถกู แกะสลกั ขน้ึ บนหนา้ ผาและภเู ขา 1. ครตู รวจปา ยนทิ รรศการแหลงมรดกโลกทาง
พระพุทธรปู ยนื องค์ส�าคญั ท่ีสุด ๒ องค ์ มคี วามสูง ๕๕ เมตร และ ๕๗ เมตร วฒั นธรรมในทวปี เอเชยี และแผน พบั ใหค วามรู
นบั เปน็ พระพทุ ธรปู ยนื แกะสลกั ใหญท่ สี่ ดุ ของโลก สรา้ งในครสิ ตศ์ ตวรรษท ่ี ๔-๕ เกีย่ วกับแหลงมรดกโลก
ใน ค.ศ. ๒๐๐๑ รฐั บาลตอลิบานของอัฟกานสิ ถานได้ระเบดิ ทา� ลายลง
2. ครูสงั เกตพฤติกรรมความมสี วนรว มในการ
๓.4 ตวั อยา งแหลงมรดกโลกทางวัฒนธรรมในเอเชียกลาง ตอบคําถามและการแสดงความคิดเห็นของ
คาซัคสถาน นักเรยี น

สสุ านของโคจา อาห์เหม็ด ยาซาว ี
สรา้ งขน้ึ สมยั ตมี รู ์ ผนู้ า� ชาวมองโกล ระหวา่ ง ค.ศ. ๑๓๓๖ - ๑๔๐๕ อาคารทยี่ งั
สรา้ งไมเ่ สรจ็ สมบรู ณห์ ลงั นเี้ ปน็ สถาปตั ยกรรมแบบเปอรเ์ ซยี ปจั จบุ นั เปน็ หนง่ึ ใน
สงิ่ กอ่ สรา้ งทใ่ี หญท่ ส่ี ดุ และยงั คงมสี ภาพสมบรู ณท์ สี่ ดุ ในบรรดาสงิ่ กอ่ สรา้ งสมยั ตมี รู ์

กลาวโดยสรุป ทวีปเอเชียเปนแหลงอารยธรรมท่ีสําคัญ ๔ อารยธรรม ซึ่งมี
ประวัติศาสตรตอเน่ืองยาวนาน แหลงอารยธรรมแตละแหงไดสรางสรรคความเจริญทาง
อารยธรรมและศาสนาไวเปนมรดกของโลกสืบทอดตอมาจนถึงปจจุบัน ตัวอยางความเจริญ
ทางอารยธรรม เชน การแพทยแผนโบราณของจนี พระพุทธศาสนา ศาสนาพราหมณ-ฮนิ ดู
เลขอารบกิ ของอนิ เดีย ความรทู างคณติ ศาสตร ดาราศาสตรข องเมโสโปเตเมีย ศาสนาอสิ ลาม
ของอารยธรรมอิสลาม เปนตน อารยธรรมดังกลาวมีอิทธิพลตอผูคนท้ังในทวีปเอเชียและ
ทวีปอ่ืนๆ ทั่วโลกดวย

169

แนวขอ สNอบTเนนOก-าNรคETดิ เกรด็ แนะครู

การดูแลรักษาแหลงมรดกโลกในทวปี เอเชีย ควรเปนหนา ทข่ี องใคร ครแู นะนาํ ใหน กั เรียนสบื คน เพิ่มเตมิ เกีย่ วกบั แหลงอารยธรรมในประเทศตา งๆ
1. เจา หนา ท่ีองคการยูเนสโก ของทวีปเอเชียทไี่ ดรับการข้ึนทะเบยี นเปน มรดกโลก จากน้ันใหนกั เรียนอภปิ ราย
2. ผูน ําประเทศตา งๆ ของทวปี เอเชยี รวมกันถงึ ความสําคัญของแหลงอารยธรรมท่ีมีตอประเทศน้นั ๆ และภมู ิภาคโดยรวม
3. รัฐบาลท่ีเปน เจา ของแหลงมรดกโลก
4. พลเมืองทกุ คนในประเทศตางๆ ของทวปี เอเชยี นกั เรียนควรรู

วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 4. แหลงมรดกโลกตา งๆ ในทวปี เอเชีย ถงึ แม 1 หุบเขาบามยิ นั แมว าพระพทุ ธรูปสลกั หนิ ขนาดใหญจะถูกทําลายลงไปแลว
แตตอมากไ็ ดม ีการคนพบคมั ภรี พระพทุ ธศาสนา ซ่ึงมีท่ีมาจากถ้าํ ตางๆ ในหบุ เขา
จะมไิ ดต งั้ อยใู นประเทศของเรา แตเ ราซง่ึ มฐี านะเปน พลเมอื งคนหนง่ึ ในประเทศ บามิยนั ทยี่ ังเหลอื รอดจากการทําลายมาจนถงึ ปจ จบุ นั โดยมีอายุถงึ 2,000 ป ถือเปน
ซึ่งอยูใ นทวีปเอเชียก็มหี นาทที่ จ่ี ะตอ งรว มมือกนั และชักชวนใหพ ลเมืองทกุ คน คัมภีรท างพระพุทธศาสนาที่เกา แกท ่ีสุดในโลก นักวิชาการสันนิษฐานวา ทง้ั พระสงฆ
ในประเทศตา งๆ ของทวปี เอเชยี ทาํ นุบํารุง ดแู ลรักษาใหคงสภาพดีไว พน้ื เมืองและพระสงฆตา งชาติท่เี ขา มาศึกษาและแลกเปล่ยี นธรรมในอัฟกานิสถาน
ตลอดไป เพ่อื จะไดเ ปนมรดกอันลาํ้ คา คงอยคู กู บั ทวปี เอเชียตราบนานเทานาน คงทําการจดจารขนึ้ เปนภาษาสันสกฤตเม่ือประมาณ พ.ศ. 540-940 โดยจารึกลงบน
วัสดุตางๆ เชน ใบลาน เปลอื กไม หนังแกะ เจาะรูแลวรอยเขา ไวด ว ยกัน

คูม่ ือครู 169

กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล
Engaae Expore Explain Elaborate
Evaluate Evaluate
ตรวจสอบผล

ครูตรวจสอบความถูกตอ งในการตอบคําถาม ค าํ ถามประจ าํ หน่วยการเรียนรู้
ประจาํ หนว ย
๑. การทอี่ ารยธรรมแตล่ ะแหง่ ในทวปี เอเชยี สามารถพฒั นาจนมคี วามเจรญิ รงุ่ เรอื งไดเ้ ปน็ เพราะ
หลักฐานแสดงผลการเรยี นรู ปัจจยั ใดบา้ ง
๒ . เพราะเหตุใดบริเวณที่ราบลุ่มแม่น้�าในทวีปเอเชีย จึงเป็นแหล่งก�าเนิดอารยธรรมที่ส�าคัญ
1. โปสเตอรทต่ี ง้ั และความสําคัญของ ของโลก
แหลง อารยธรรมในทวีปเอเชีย และปา ยนเิ ทศ ๓. ช นชาตติ า่ งๆ ทเ่ี ขา้ มาตงั้ ถน่ิ ฐานอาศยั อย่ใู นบรเิ วณลมุ่ แมน่ า้� ไทกรสิ -ยเู ฟรทสี ไดส้ รา้ งสรรค์
เก่ยี วกบั แหลง อารยธรรมในทวปี เอเชยี
อารยธรรมในเร่อื งใดไวเ้ ป็นมรดกแก่โลก
2. สมดุ ภาพเกยี่ วกบั อิทธพิ ลของอารยธรรมโบราณ ๔ . อ ารยธรรมอสิ ลามไดเ้ ผยแผไ่ ปยงั ภมู ภิ าคอืน่ โดยวธิ ีใด และมีความเจริญทางอารยธรรมใน
ที่มตี อทวีปเอเชียในปจ จุบัน และตารางแสดง
ศลิ ปวทิ ยาการและภมู ปิ ญญาของอารยธรรม เรื่องใด
โบราณ ๕. อารยธรรมจีน อินเดีย เมโสโปเตเมยี และอสิ ลาม มอี ทิ ธิพลต่อชาวเอเชียและชาวตะวนั ตก

3. ปา ยนิทรรศการแหลง มรดกโลกทางวัฒนธรรม ในเร่ืองใดบ้าง จงยกตวั อย่าง
และแผน พับใหความรเู ก่ียวกับแหลง มรดกโลก

กิจกรรมสรา้ งสรรคพ์ ฒั นาการเรยี นรู้

กิจกรรมท่ ี ๑ ให้นกั เรียนแบ่งกลมุ่ ออกเปน็ ๔ กลมุ่ เพ่ือสบื ค้นข้อมลู แหล่งอารยธรรมใน
ทวปี เอเชียที่กา� หนดใหต้ อ่ ไปน้ี แล้วนา� เสนอหน้าช้นั เรยี น
กล่มุ ท ี่ ๑ อารยธรรมจีน

กลุม่ ที่ ๒ อารยธรรมอนิ เดีย
กลมุ่ ที่ ๓ อารยธรรมเมโสโปเตเมีย
กลุม่ ท่ ี ๔ อารยธรรมอิสลาม
กจิ กรรมท่ ี ๒ ให้นักเรียนศึกษาค้นคว้าแหล่งอารยธรรมในทวีปเอเชียท่ีตนเองสนใจมา ๑

อารยธรรม แลว้ วเิ คราะหถ์ งึ อทิ ธพิ ลของอารยธรรมดงั กลา่ วทม่ี ตี อ่ ชาวเอเชยี
ในปัจจบุ นั
กิจกรรมที ่ ๓ ใหน้ กั เรยี นทา� สมดุ ภาพเกยี่ วกบั แหลง่ อารยธรรมในทวปี เอเชยี นอกเหนอื จาก
ในหนังสือเรยี น แล้วออกมาน�าเสนอหน้าชนั้ เรียน

170

แนวตอบ คาํ ถามประจาํ หนว ยการเรยี นรู
1. มีหลายปจจัย เชน ปจ จัยทางดานทต่ี งั้ ทางภูมศิ าสตร เนอ่ื งจากทวปี เอเชียมที รัพยากรดนิ และนํ้าทอี่ ดุ มสมบูรณ ดงั น้ัน อารยธรรมทีส่ าํ คัญในทวปี เอเชียจึงถอื กาํ เนิดขน้ึ

ในบริเวณทร่ี าบลมุ แมน าํ้ ตา งๆ เชน อารยธรรมอินเดยี บรเิ วณทร่ี าบลุมแมนํ้าสินธุ อารยธรรมจนี บรเิ วณทร่ี าบลมุ แมน ้ําหวางเหอหรอื ฮวงโห อารยธรรมเมโสโปเตเมยี
บริเวณทีร่ าบลุมแมน้ําไทกริส-ยูเฟรทสี เปนตน
2. เน่ืองจากบริเวณทร่ี าบลุมแมน้ําตา งๆ ในทวีปเอเชียเปนบรเิ วณทีม่ ีความอุดมสมบรู ณ มีความเหมาะสมในการเพาะปลูกและต้งั ถน่ิ ฐาน อีกทั้งสะดวกตอ การคมนาคม
ระหวา งกนั จึงมีผูคนเขา มาอยูอ าศัยและกอตั้งบา นเมอื ง พัฒนาจนเปนรฐั และอาณาจักรท่ีมขี นาดใหญ และไดสรา งสรรคอ ารยธรรมตางๆ ขน้ึ
3. ชนชาตแิ รกที่เขามา คอื ชาวซเู มเรยี รูจ ักประดิษฐต ัวอักษร เรยี กวา อกั ษรคูนิฟอรม ไดคดิ สรา งทํานบก้นั นํา้ ขดุ คลองระบายน้ํา สรา งอา งเก็บน้าํ เขื่อนกั้นน้าํ ซง่ึ ถอื เปน
ระบบชลประทานคร้ังแรกของโลก รจู กั ประดษิ ฐว งลอ ทําปฏิทนิ แบบจนั ทรคติ รูจ กั คิดคนวิธกี ารคดิ เลขดว ยวธิ ีบวก ลบ และคูณ เปนตน ตอมากม็ ชี นชาติตางๆ เขา มา
เชน ชาวอัคคาเดยี น ชาวอะมอไรตห รอื บาบโิ ลเนียน มผี ลงานทส่ี าํ คญั คือ การสรางประมวลกฎหมายฮัมมูราบี ซงึ่ เปนประมวลกฎหมายทีเ่ กา แกท ี่สดุ ในโลก เปนตน
4. อารยธรรมอสิ ลามไดเ ผยแพรไ ปสภู มู ภิ าคอนื่ ผานทางการคา การทาํ สงคราม และการเผยแผศ าสนาอสิ ลามโดยนักสอนศาสนา มรดกทางอารยธรรมอสิ ลามทีส่ ําคญั
เชน สถาปต ยกรรม วทิ ยาการความรูแขนงตา งๆ เชน คณติ ศาสตร แพทยศาสตร ภูมิศาสตร อักษรศาสตร ปรัชญา เปนตน
5. • อารยธรรมจนี เชน ลทั ธิขงจอ๊ื ลัทธิเตา เขม็ ทิศ กระดาษ ดินปน เปนตน
• อารยธรรมอินเดยี เชน ศาสนาพราหมณ- ฮินดู พระพทุ ธศาสนา วรรณกรรมเรอื่ งรามายณะ เลขอารบิก เปนตน
• อารยธรรมเมโสโปเตเมีย เชน ความรทู างดานคณติ ศาสตร ดาราศาสตร การทาํ ปฏิทินแบบจนั ทรคติทกี่ าํ หนดให 1 ปม ี 12 เดอื น เปน ตน
• อารยธรรมอิสลาม เชน ศาสนาอสิ ลาม วรรณกรรมเร่ืองอาหรับราตรี การแพทย คณิตศาสตร การสรางมสั ยดิ เปน ตน

170 คมู่ ือครู

กระตนุ้ ความสนใจ ส�ำรวจคน้ หา อธิบายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล
Engaae Expore Explain Expand Evaluate

บรรณานกุ รม

กฎหมายตราสามดวง ฉบบั ราชบัณฑติ ยสถาน. ๒๕๕๐. กรุงเทพมหานคร : ราชบัณฑติ ยสถาน.
จอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, พระบาทสมเด็จพระ. ๒๕๔๘. พระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา ๒ เล่ม.
กรุงเทพมหานคร : กรมศลิ ปากร.
ชาญวิทย์ เกษตรศิริ. ๒๕๕๑. อยุธยา : Discovering Ayutthaya. กรุงเทพมหานคร : มูลนิธิโครงการ
ตา� ราสงั คมศาสตรแ์ ละมนุษยศาสตร.์
ณรงค์ พว่ งพศิ . ๒๕๒๔. “อิทธพิ ลตะวันตกทีส่ ง่ ผลตอ่ สถานภาพของราชวงศ์ปราสาททอง” ในประวัตศิ าสตร ์
เมืองลพบรุ ี. กรุงเทพมหานคร : เรอื นแกว้ การพมิ พ์.
ด�ารงราชานุภาพ, สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยา. ๒๕๕๒. พงศาวดารเรื่องไทยรบพม่า.
กรงุ เทพมหานคร : สา� นกั พมิ พ์มติชน.
________ . ๒๕๑๖. “ลักษณะการปกครองประเทศสยามแต่โบราณ” ในประวัติศาสตร์และการเมือง.
กรงุ เทพมหานคร : โรงพิมพม์ หาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์.
ตุรแปง, ฟรังซัวส์ อังรี. ๒๕๓๐. ประวัติศาสตร์แห่งพระราชอาณาจักรสยาม. ปอล ซาเวียร์ แปล.
กรุงเทพมหานคร : กรมศิลปากร.
นิธ ิ เอียวศรวี งศ์. ๒๕๕๒. การเมืองไทยสมยั พระนารายณ์. กรงุ เทพมหานคร : ส�านักพมิ พม์ ตชิ น.
ปาริชาติ วิลาวรรณ. ๒๕๒๘. การค้าของป่าในประวัติศาสตร์อยุธยา พ.ศ. ๑๘๙๓ - ๒๓๑๐. วิทยานิพนธ์
ปริญญาอกั ษรศาสตรมหาบณั ฑติ จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั .
พระราชพงศาวดารกรุงเกา่ ฉบบั หลวงประเสรฐิ ฯ. ๒๕๔๗. กรงุ เทพฯ : มหาวิทยาลยั สุโขทยั ธรรมาธิราช.
พลับพลึง มลู ศิลป.์ ๒๕๒๓. ความสัมพนั ธ์ไทย-ฝรัง่ เศสสมยั อยุธยา. กรงุ เทพมหานคร : บรรณกิจ.
ฟาน ฟลีต (วัน วลิต). ๒๕๔๘. รวมบันทึกประวัติศาสตร์อยุธยาของฟาน ฟลีต (วัน วลิต). ฉบับปรับปรุง.
กรุงเทพมหานคร : กรมศลิ ปากร.
ราชบัณฑติ ยสถาน. ๒๕๔๙. สารานุกรมประวัติศาสตรไ์ ทย เล่ม ๑ อกั ษร ก (แก้ไขเพิ่มเติม). กรุงเทพมหานคร :
ราชบัณฑิตยสถาน.
________ . ๒๕๔๕. สารานกุ รมประวตั ศิ าสตรไ์ ทย เลม่ ๒ อกั ษร ข-จ. กรงุ เทพมหานคร : ราชบณั ฑติ ยสถาน.
ลา ลูแบร์. ๒๕๔๘. จดหมายเหต ุ ลา ลแู บร ์ ราชอาณาจกั รสยาม. สันต ์ ท. โกมลบุตร แปล. กรงุ เทพมหานคร :
สา� นกั พิมพ์ศรปี ญั ญา.
วรางคณา นพิ ทั ธส์ ขุ กจิ . ๒๕๕๐. หนงั กวาง ไมฝ้ าง ชา้ ง ของปา่ : การคา้ สมยั อยธุ ยา สมยั พทุ ธศตวรรษท ่ี ๒๒-๒๓ .
กรุงเทพมหานคร : เมอื งโบราณ.
________ . ๒๕๕๕. จากอยุธยาถึงรัตนโกสินทร์. นครปฐม : ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์
มหาวทิ ยาลยั ศลิ ปากร.

171

คู่มอื ครู 171

กระตนุ้ ความสนใจ สำ� รวจค้นหา อธิบายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล
Engaae Expore Explain Elaborate Evaluate

วิชาการและมาตรฐานการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ, ส�านัก. ๒๕๕๑. ตัวช้วี ัดและสาระการเรียนร้แู กนกลาง
กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์
ชมุ นมุ สหกรณก์ ารเกษตรแห่งประเทศไทย.
วนิ ัย พงศ์ศรีเพียร. ๒๕๕๒. วันวาร กาลเวลา แลนานาศักราช. กรงุ เทพมหานคร : ศกั ดิ์โสภาการพิมพ.์
ศิลปากร, กรม. ๒๕๑๕. ค�าให้การชาวกรุงเก่า ค�าให้การขุนหลวงหาวัด และพระราชพงศาวดารกรุงเก่า
ฉบบั หลวงประเสรฐิ อักษรนิต์.ิ พระนคร : คลังวิทยา.
________ . ๒๕๕๐. โคลงภาพพระราชพงศาวดาร พร้อมบทขยายความและบทวิเคราะห์. กรุงเทพมหานคร :
หจก. อรณุ การพิมพ.์
________ . ๒๕๑๔. เอกสารฮอลันดาสมัยกรุงศรีอยุธยา. นันทา สุตกุล แปล. พระนคร : โรงพิมพ์คุรุสภา.

ส�าเภากษัตริย์สุลัยมาน : บันทึกของคณะราชทูตเปอร์เซียเข้ามากรุงศรีอยุธยา. ๒๕๔๕.
ดเิ รก กลุ สิริสวัสด์ ิ แปล. กรงุ เทพมหานคร : ส�านักพิมพม์ ตชิ น.
สืบแสง พรหมบุญ. ๒๕๒๔. ความสัมพันธ์ในระบอบบรรณาการระหว่างจีนกับไทย. กาญจนี ละอองศรี
แปล. กรงุ เทพมหานคร : มูลนิธิโครงการต�าราสงั คมศาสตรแ์ ละมนุษยศาสตร์.
สุเนตร ชุตินธรานนท์. ๒๕๕๓. สงครามคราวเสียกรุงศรีอยุธยา ครั้งที่ ๒ พ.ศ. ๒๓๑๐. กรุงเทพมหานคร :
สา� นกั พมิ พม์ ตชิ น.
ฮูรานี, อัลเบิร์ต. ๒๕๕๐. ประวัติศาสตร์ของชนชาติอาหรับ. จรัญ มะลูลีม แปล. กรุงเทพมหานคร :
มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์.
Axworthy, Michael. 2008. A History of Iran. New York : Basic Books.
Bentley Jerry H. and Zielger, Herbert F. 2006. Tradition and Encounters, A Global Perspective
on the Past. . New York : McGraw-Hill.
Bradshaw, Michael and others. 2007. Contemporary World Regional Geography. New York :
McGraw-Hill.
Kasetsiri, Charnvit. 1975. The Rise of Ayudhya : A History of Siam in the Fourteenth and
Fifteenth Century. London : Oxford University Press.
Palmer, R.R. and others. 2007. A History of the Modern World. New York : McGraw -Hill.
Shouyi,Bai. 2002. An Outline History of China. Beijing : Foreign Language Press.
Stein, Burton. 2000. A History of India. Oxford : Blackwell Publishers.
Wyatt, David K. 2003. Thailand, A Short History. New Haven : Yale University Press.

172

172 คูม่ อื ครู

สรา้ งอนาคตเดก็ ไทย

ดว้ ยนวตั กรรมการเรยี นรรู้ ะดบั โลก

>> ราคาเลม่ นกั เรยี นโปรดดจู ากใบสง่ั ซอ้ื ของ อจท.
คู่มือคคู่มรูือบครร. ูปบรระ.วปัตริศะวาสัตติศรา์สมต.2ร์ ม.2

บรษิ ทั อกั ษรเจรญิ ทศั น์ อจท. จำกดั
142 ถนนตะนาว เขตพระนคร กรงุ เทพมหานคร 10200
โทร./แฟกซ.์ 02 6222 999 (อตั โนมตั ิ 20 คสู่ าย) 8 88 5 88 56 84 69 41923115238015581.0-5 1.-
www.aksorn.com Aksorn ACT ราคาน้ี เปน็ ของฉบบั คมู่ อื ครเู ทา่ นน้ั


Click to View FlipBook Version