The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

รวมงานวิจารณ์ของนักศึกษาชั้นปีที่ ๓ สาชาวิชาภาษาไทย

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by manita1202, 2022-11-06 13:01:12

นัยวิจารณ์ กาลวรรณกรรม

รวมงานวิจารณ์ของนักศึกษาชั้นปีที่ ๓ สาชาวิชาภาษาไทย

นยั วจิ ารณ์ กาลวรรณกรรม
สาขาวิชาภาษาไทย รหัส ๖๓๑๒๑๓๘๐๒

พิมพ์ครงั้ แรก พฤศจิกายน ๒๕๖๕
จำนวนพิมพ์ ๑ เลม่
จำนวนหน้า ๑๐๙ หนา้
ท่ีปรึกษา อาจารยม์ ธรุ ส คมุ้ ประสิทธิ์
บรรณาธิการ มานติ า ปรุ สิ มา
ป่นิ กมล หอมบานเยน็
ออกแบบปก จันทนยี ์ ไทรสังขดำรงสนิ
รูปเล่ม ปนิ่ กมล หอมบานเย็น
ปิน่ กมล หอมบานเยน็
จดั ทำโดย มานิตา ปรุ สิ มา
นกั ศกึ ษาชนั้ ปีท่ี ๓ หอ้ ง ๒
คณะครุศาสตร์ สาขาวชิ าภาษาไทย

คำนำ

รายงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชา วิจารณ์วรรณกรรม ซ่ึง
คณะผู้จัดทำได้จัดทำขึ้นเพื่อศึกษาวิเคราะห์ วิจารณ์เนื้อหาในด้าน
สุนทรียศาสตร์ ในองค์ประกอบด้านเนื้อหาและองค์ประกอบด้าน
รูปแบบ จากเนื้อเรื่อง ที่ทำให้เกิดภาพพจน์ไปตามจินตนาการของ
ผ้เู ขียน

คณะผู้จัดทำไดเ้ ลือกวิจารณต์ ามแนวสุนทรยี ศาสตร์ เพราะ
การวิจารณ์แนวน้ีเป็นการวิจารณ์ที่ทำให้ผู้อ่านเกิดความรู้สึก เกิด
อารมณ์ ขอบเขตในการวิจารณ์ครั้งนี้ เน้นไปที่ในองค์ประกอบ
ดา้ นเน้ือหาและองคป์ ระกอบดา้ นรปู แบบ องคป์ ระกอบด้านเนื้อหา
ที่วิจารณ์อันประกอบด้วย สุนทรียภาพในคำ เช่นเสียงของคำ การ
เล่นคำและจังหวะและลีลาของคำ สุนทรีภาพในความประกอบด้วย
ภาพพจน์ รสวรรณคดโี วหาร และสญั ลกั ษณ์

คณะผู้จัดทำขอขอบคุณ อาจารย์มธุรส คุ้มประสิทธิ์ ที่ให้
คำปรึกษา แนะนำในรายวิชาวิจารณ์วรรณกรรมและหวังเป็นอย่าง
ยิ่งว่ารายงานนี้คงจะเป็นประโยชน์แก่ผู้จะศึกษาการวิจารณ์แนว
สุนทรยี ศาสตร์ต่อไป

คณะผู้จดั ทำ
นกั ศึกษาชนั้ ปีที่ ๓ ห้อง ๒
คณะครุศาสตร์ สาขาวิชาภาษาไทย

สารบัญ หนา้

เรื่อง ๕
ใบไม้ท่ีหายไป ๘
เจ้าหงญิ ๑๙
ความสขุ ของกะทิ ๒๔
บา้ นเกา่ ๒๘
ครูบา้ นนอก ๓๓
มา้ ก้านกล้วย ๓๗
สิงโต นอกคอก ๔๐
ขุนทองเจา้ จะกลับมาเม่ือฟา้ สาง ๔๓
ครอบครวั ของผม (ในสังคมสองสี) ๔๖
ระหวา่ งทางกลบั บ้าน ๕๒
จิว๋ กบั น้อย ๕๕
วนั วารของแม่ ๕๘
ใบไม้ในทงุ่ หญา้
มา้ นำ้ สที อง

สารบัญ (ตอ่ ) หนา้
๖๐
เรอ่ื ง ๖๓
เมื่อวานน้ี ๖๖
ครอบครัวกลางถนน ๗๐
เดฟัน่ ๗๒
รมิ ฝง่ั ...ชานชรา ๘๒
ลูกอีสาน ๘๖
กอ่ กองทราย ๘๙
เจา้ หงญิ ๙๔
ประชาชนคอื ตน้ ทาง ๑๐๐
ทงุ่ หญา้ ปา่ ขา้ ว เจา้ เขากางและผม ๑๐๔
ขอบคุณท่ีอยดู่ ว้ ยกัน
เสนห่ านสุ รณ์

ใบไม้ที่หายไป

ตอน : อหงั การของดอกไม้
ผ้แู ตง่ : จิระนนั ท์ พิตรปรชี า
ประเภท : กวนี พิ นธ์
รางวัลที่ได้รับ : วรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งเอเซียน
ประจำปี ๒๕๓๒ THE S.E.A. WRITE AWARD (พมิ พค์ รั้งท่ี ๓๖)
ผู้วจิ ารณ์ : นาสาวปนิ่ กมล หอมบานเยน็

หนังสือ “ใบไม้ที่หายไป” เป็นหนังสือที่ได้รับการตีพิมพ์
ครั้งแรกจากสำนักพิมพ์อ่านไทย กวีนิพนธ์เล่มนี้มีจำนวน ๑๘๑
หนา้ ดยไดแ้ บ่งเนื้อหาไวเ้ ป็นตอน ๆ ซ่ึงถ่ายทอดเร่ืองราวชีวติ ของ
จีระนันท์ พิตรปรีชา ตั้งแต่ยังเป็นนักศึกษาเมื่อวัยรุ่นที่มีพลังแห่ง
อุดมการณ์ จนกระทั่งได้เรียนรู้เรื่องราวของชีวิตที่ตนเองต้อง
ประสบพบเจอ ที่ต้องเป็นไปตามธรรมชาติในช่วงระยะเวลาตั้งแต่
พ.ศ. ๒๕๑๓ ถงึ พ.ศ. ๒๕๒๘ ตามลำดับ

นยั วิจารณ์ กาลวรรณกรรม | ๑

“ใบไมท้ หี่ าย” เปน็ การนำเอาเรอ่ื งของชีวิตขบวนนักศึกษาที่
ต้องวายชีวีเพื่อต้องการเรียกร้องความยุติธรรมกลับมาคืนสู่
สังคมไทย จึงได้นำ “ใบไม้” มาเปรียบกับเหตุการณ์ทีเ่ กดิ ข้ึน คำวา่
“ท่ีหายไป” หมายถึงนกั ศึกษาทว่ี ายชวี ใี นเหตกุ ารณค์ รั้งนั้น

ว่าด้วย อหังการของดอกไม้ เป็นกวีนิพนธ์ประเภทกาพย์
ยานี ๑๑ มีทั้งหมด ๖ บท จิระนันท์ พิตรปรีชาได้ตีพิมพ์บทกวีนี้
ภายหลังเหตุการณ์ ๑๔ ตลุ าคม ๒๕๑๖ เพ่อื บอกเล่าวิถี การกระทำ
และมุมมองของผู้หญิงจำนวนหนึ่งที่มีต่อเผด็จการในช่วงก่อนที่จะ
เกิดเหตุการณ์ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ ได้ตีพิมพ์อีกครั้งในนิตยสาร
ประชาธิปไตยเม่อื ๔ พฤศจกิ ายน ๒๕๑๖

สำนวนภาษาที่ใช้สื่อความหมายชัดเจน ประพันธ์ซึ้งกินใจ
ใช้ภาษาที่มีความเข้าใจง่าย ภาษาในการสื่ออาราณ์ออกมาผ่านบท
กวไี ด้อยา่ งลงตวั

จากบทที่หนึ่งมีการเปรียบเทียบที่จะแสดงให้เห็นว่าผู้หญิง
ก็มีสองมือเหมือนกับผู้ชาย ที่จะสามารถทำงานได้เหมือนผู้ชาย
ไม่ใช่เพียงหลงใหลไปกับความสวยงามตลอดเวลา“มิใช่ร่านหลง
แพรพรรณ”

นยั วจิ ารณ์ กาลวรรณกรรม | ๒

สตรมี ีดวงใจ

เป็นดวงไฟไมผ่ นั ผวน

สรา้ งสมพลงั มวล

ด้วยเธอล้วนก็คอื คน

จากกวบี ทนี้ “ด้วยเธอล้วนก็คือคน” ซึ่งจะแสดงใหเ้ ห็น
อยา่ งชดั เจนวา่ จริ ะนนั ท์ พิตรปรีชา ตอ้ งการที่จะสลายเส้นแบ่ง
ความเป็นเพศออกไป และให้มองวา่ ไมว่ า่ จะเปน็ ผหู้ ญงิ หรือผู้ชาย
ล้วนเป็นคนเสมอกัน

ภาพพจน์ใหม่ของผู้หญิงศักดิ์เสรีของผู้หญิงในฐานะมนุษย์
ไมใ่ ชเ่ พศท่สี องรองจากชาย ดงั บทกวที วี่ ่า

“สตรมี ีดวงใจ เป็นดวงไฟไมผ่ ันผวน
สรา้ งสมพลังมวล ดว้ ยเธอลว้ นกค็ อื คน”

ดอกไม้มหี นามแหลม
มใิ ชแ่ ย้มคอยคนชม
บานไว้เพื่อสะสม
ความอดุ มแหง่ แผ่นดิน

จากบทกวีนี้ มีการใช้สัญลักษณ์ กวีใช้ “ดอกไม้” เป็น
สัญลักษณ์แทนสตรี หรือความเป็นหญิง แต่ดอกไม้นี้แทนสตรียุค
ใหม่ ผู้ปรารถนาจะประกาศคุณค่าของผู้หญิงว่าไม่ใช่เป็นเพียง

นยั วจิ ารณ์ กาลวรรณกรรม | ๓

เครื่องประดับโลกแต่เป็นผู้มีพลังสร้างสรรค์โลกด้วย หนุ่มสาวคือ
พลังศรัทธา บริสุทธิ์ กล้าหาญ เป็นจิตสำนึกที่ถูกปลุกขึ้นมาในยาม
สงั คมมดื มนผูค้ นหมกั หมม

จริ ะนนั ท์ พิตรปรีชาต้องการสอื่ โดยรวมกค็ ือ ความต้องการท่ี
จะบอกว่าผู้หญิงกับผู้ชายนั้นมีความเท่าเทียมกัน เพราะผู้หญิงและ
ผู้ชายมีมือ มีเท้า มีหัวใจ มีวิสัยทัศน์ และมีการใช้เหตุผลได้
เหมือนกัน แต่สิ่งที่หล่อหลอมให้ผู้หญิงมีความแตกต่างกับผู้ชายก็
คือโครงสรา้ งทางสังคมทที ทำให้เกดิ การแบ่งแยกชนชั้นขึน้ นน่ั เอง

ทั้งนี้จากหนงั สือ “ใบไม้ที่หายไป ตอน อหังการของดอกไม้”
ผู้วิจารณม์ องว่า ผู้แต่งมกี ารใช้ฉันทลักษณ์ได้ยอดเย่ียม หากแต่บาง
บทกวี ก็ดูเหมือนจะไม่เคร่งมากนัก แต่ก็มีเนื้อหาที่ลึกซึ้ง ชวนให้
ตระหนักคิดสอดแทรกเอาไว้ ซึ่งจะมองผ่านไปมิได้ นอกจากนี้ ยังมี
ข้อคิดบางข้อ มีประสบการณ์บางอย่าง ที่ผู้วิเคราะห์ในเวลานี้ ยังมิ
อาจตระหนักรู้หรือเข้าถึงได้ ทว่าโดยส่วนตัวแล้ว ผู้วิเคราะห์รู้สึก
ยินดีที่ได้หยิบหนังสือเร่ือง “ใบไม้ทีห่ ายไป” ขนึ้ มาอ่าน และมองว่า
หนังสือเล่มนี้ ควรข้าแก่การที่จะเรียกได้ว่า “หนังสือที่ดี และมี
คณุ ภาพ” ได้อย่างเตม็ ภาคภมู ิ

นยั วจิ ารณ์ กาลวรรณกรรม | ๔

เจา้ หงิญ

ตอน : เจา้ หญิงเสียง เศรา้ แหง่ ดาวดวงที่

ส่ี

ผ้แู ตง่ : บนิ หลา สนั กาลาคีรี

รางวลั ทไี่ ดร้ บั : รางวัลวรรณกรรมสร้างสรรคย์ อดเยย่ี มแห่ง

อาเซียน ประจำปี พ.ศ.๒๕๔๘

ผวู้ ิจารณ์ : นางสาวภริ มยร์ ตั น์ กุณรกั ษ์

การตั้งชื่อหนังสือ “เจ้าหงิญ” ผู้เขียนได้ใช้เทคนิค “การเล่น

คำ” มาใช้ในการตั้งชื่อหนังสือ คำว่า “เจ้าหงิญ” ก็หมายถึง “เจ้า

หญิง” ซึ่งคำว่า “เจ้าหงิญ” ให้ความรู้สึกว่าเจ้าหญิงที่ปรากฏใน

หนังสือ ต้องพิเศษ ไม่ใช่เจ้าหญิงธรรมดา ถ้าหากอ่านหนังสือเล่มน้ี

จนจบ จะพบว่ามี “เจ้าหญิง” เป็นตัวละครในเรื่องนี้ทุกตอน และ

ในส่วนของเนือ้ เรื่องผู้เขียนไดน้ ำเอาโลกในจนิ ตนาการมาผสมผสาน

กบั โลกแหง่ ความเปน็ จริง

นยั วิจารณ์ กาลวรรณกรรม | ๕

การใช้ภาษาเป็นภาษาระดับไม่เป็นทางการ ซึ่งเป็น
เรื่องราวเกี่ยวกับเจ้าหญิง-เจ้าชาย จึงมีการใช้คำราชาศัพท์
สอดแทรกเข้ามาดว้ ย และยังมกี ารใช้คำไวพจน์ เชน่ คำวา่ “สกุณา”
ท่ีหมายถึง “นก” ผูเ้ ขียนเลือกใช้คำทีส่ อดคล้องกบั เนื้อเร่ืองซึ่งทำให้
เกดิ จินตภาพ

ผู้เขียนใช้การพรรณนาโวหาร เพื่อพรรณนาฉากและ
บรรยากาศ เชน่

“เงยมองจากดาวอังคาร ดาวฤกษ์นับล้านประดับฟ้า ดาว
เคราะหบ์ ริวารลอยเบียดเสียด สอ่ งสะท้อนแสงนวลใย”

ผู้เขียนยังใช้การอุปมาโวหาร เพื่อเปรียบเทียบสิ่งหนึ่งว่า
เหมอื นอีกส่ิงหนึง่ เชน่

“โลกเป็นดวงดาวสีน้ำเงินงดงามและอ่อนโยนดังหญิงสาว”
จงึ ทำให้ผูอ้ า่ นเกิดอารมณ์ร่วมไปกับเนื้อเรื่องด้วย ประหน่ึงได้สัมผัส
กับสถานการณห์ รือบรรยากาศนน้ั จริงๆ

คุณค่าด้านสังคม ผู้เขียนได้ให้ข้อคิด ซึ่งเรื่องนี้สอนให้เรารู้
ว่าไม่ควรย่อท้อต่อความยากลำบาก ดังเช่น ต่อให้เจ้าชายจะเจอ
อปุ สรรค หรือความยากลำบากเพียงใด แตส่ ุดทา้ ยเจา้ ชายก็สามารถ
ฟันฝ่าสิ่งเหล่านั้น จนได้พบกับเจ้าหญิงในที่สุด นอกจากนี้ยัง
สะท้อนให้เห็นทัศนคติของผู้คนในปัจจุบัน ที่พร้อมจะเหยียบย่ำ
ผู้อื่นที่ทำผิดพลาด แม้ว่าสิ่งเหล่านั้นจะเป็นสิ่งที่ตนได้เคยกระทำ

นยั วิจารณ์ กาลวรรณกรรม | ๖

เช่นกัน เพียงเพราะมันทำให้เขาเหล่านั้นรู้สึกว่าตนไม่ได้ผิดพลาด
เพียงคนเดียว
เช่น ในตอนทีเ่ จา้ ชายเดินทางมาถงึ ดาวดวงที่ส่ี แตก่ ลับไม่พบกับเจ้า
หญิง จึงถูกเหล่าเจ้าชายที่มายังดาวดวงนี้ หัวเราะเยาะ ซึ่งเจ้าชาย
เหล่านน้ั กไ็ มพ่ บกบั เจ้าหญงิ เช่นเดยี วกัน

เรื่องสั้นเรื่อง เจ้าหงิญ จะเห็นได้ว่าผู้เขียนมีประสบการณ์
ด้านการใช้ชีวิตและการเดินทางเป็นอย่างดี เพราะเรื่องราวส่วน
ใหญ่ของผู้เขียนจะเป็นเรื่องที่เก็บเกี่ยวจากการเดินทาง ซึ่งจะ
มองเห็นปัญหาที่เกิดขึ้นของคนในสังคมปัจจุบัน จึงนำเรื่องราวต่าง
ๆ มานำเสนอในรูปแบบนิทาน ซึ่งมีการนำเสนอเรื่องราวได้อย่าง
เหมาะสม ทำให้ผูอ้ ่านสามารถเกิดความเข้าใจและเกดิ จนิ ตภาพ

อีกทั้งยังถือเป็นเรื่องที่ผู้อ่านได้รับข้อคิดต่างๆสามารถ
นำไปประยุกต์ใชใ้ นชวี ิตประจำวนั ทำใหผ้ ู้อา่ นมองเหน็ ความเห็นแก่
ตัวของคนในสังคม ซ่ึงเปน็ การสอดแทรกข้อคิดในเนื้อหาได้อย่างลง
ตวั

นยั วิจารณ์ กาลวรรณกรรม | ๗

“ความสขุ ของกะทิ”

ผู้แตง่ : งามพรรณ เวชชาชีวะ
ประเภท : นวนิยายบนั เทิงคดี
รางวัลที่ได้รับ : รางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่ง
อาเซียน (ซไี รต์)
ผูว้ ิจารณ์ : นายพีรพล ใจซอ่ื กุล

ความสุขของกะทิ เป็นนวนิยายจากปลายปากกาของ คุณงาม
พรรณ เวชชาชีวะ ซึ่งได้รับรางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยม
แห่งอาเซียนหรือซีไรต์ ซึ่งเนื้อเรื่องนั้นได้กล่าวถึงเด็กหญิงวัย ๙
ขวบที่กำลังจะต้องสูญเสียแม่ จากอาการป่วยด้วยโรคกล้ามเนื้อ
อ่อนแรงและทำให้แม่ของกะทิตัดสินใจที่จะต้องฝากกะทิไว้กับตา
ยายใหเ้ ลยี้ งดูอย่ทู บ่ี ้านริมคลอง เนอื่ งจากแม่น้นั รับรู้ไดว้ ่าไมส่ ามารถ

นยั วจิ ารณ์ กาลวรรณกรรม | ๘

เลี้ยงดูกะทิให้เติบโตได้อย่างเต็มที่แน่นอน เพราะตนเองมีอาการ
ป่วยอยู่ แต่กระนั้นกะทิก็เติบโตขึ้นมาด้วยความอบอุ่นจากความรัก
และดูแลเอาใจใส่ของตาและยายเป็นอย่างดี และเป็นที่รักกับคน
รอบข้าง ทั้งตา ยาย และพี่ทอง เมื่อแม่ของกะทิเสียชีวิตลง น้าฎา
น้ากันต์ และลุงตอง ก็พากะทิไปที่บ้านกลางเมือง ซึ่งเต็มไปด้วย
ความทรงจำต่างๆของแม่และกะทิ และยังได้จดหมายจากพ่ออีก
ด้วย แต่กะทิตัดสินใจที่จะไม่ไปอยู่กับพ่อแต่กลับไปอยู่กับตาและ
ยายที่บ้านริมคลองแบบเดิม ใช้ชีวิตในแบบที่กะทิต้องการ
เหมือนเดิม ไปอยู่กับคนที่รักและคอยดูแลเหมือนเดมิ จึงทำให้กะทิ
เปน็ เด็กท่มี ีพรอ้ มดา้ นความรกั ความหว่ งใยจากคนอ่ืนเหมอื นกับเด็ก
ทั่วๆไป

ผู้แต่งได้นำเสนอเนื้อหาที่สะท้อนสังคม ทั้งในด้านวิถีการใช้ชีวิต
ของคนไทยทรี่ ิมคลองและวิถีชีวติ ในเมืองแบบท่ีสังคมไทยท่ีปัจจุบัน
ก็ยังพบเห็นได้อยู่ทั่วไป อีกทั้งยังมีการตีแผ่ในเรื่องของวัฒนธรรม
และคติความเชื่อต่างๆรวมไปถึงวิธีพุทธของคนไทยอีกด้วย ซึ่งการ
สะทอ้ นสังคมของผู้แต่งนัน้ ยังสะท้อนสถานบนั ครอบครัวในปัจจุบัน
ที่มีทั้งครอบครัวที่สมบูรณ์และครอบครัวท่ีมีปญั หาแตกแยก ทำให้
ผู้อ่านตระหนักถึงชีวิตความเป็นจริงของมนุษย์ ได้รับข้อคิดที่ปลุก
จิตสำนึกที่ถูกต้องและดีงามทำให้ผู้อ่านได้ซึมซับแนวคิดที่มีคุณค่า
ต่างๆของความเป็นไทย ผ่านตัวละครและเหตุการณ์ในเรื่องเพื่อนำ
แนวคดิ จากเน้ือเรือ่ งไปใช้ประโยชน์ในชวี ิตประจำวันได้ ซึง่ ผูว้ ิจารณ์
ได้นำแนวคิดวิถีการใช้ชีวิตของคนไทย ทั้งในชนบทและในเมืองมา

นยั วจิ ารณ์ กาลวรรณกรรม | ๙

วจิ ารณแ์ ละวิเคราะห์ใหผ้ อู้ า่ นไดเ้ ห็นภาพและเข้าใจในคติของการใช้
ชีวติ มากขึน้ ดงั การใช้ชีวิตของกะทิที่ผา่ นรอ้ นผ่านหนาวมามากมาย
น่ันเอง

บทท่ี ๑ บ้านรมิ คลอง

เนอื้ เรื่องน้ันได้มีการพูดถึงเด็กหญิงวัย ๙ ขวบท่ชี ่ือวา่ “กะทิ” ผู้
แต่งไดน้ ำเสนอเร่อื งราวการใชช้ ีวิตทีบ่ า้ นริมคลองของกะทิผ่านบทน้ี
ได้อย่างดี เนื่องจากมีการตีแผ่วิถีชีวิตของเด็กหญิงคนหนึ่งที่อาศัย
อยู่กับตาและยายโดยปราศจากสิ่งอำนวยความสะดวกและ
เทคโนโลยที ท่ี ันสมัย และกล่าวถงึ วิถชี วี ิตของคนไทยได้อย่างชัดเจน
ไม่ว่าจะเป็นสังคมหรือความเป็นอยู่ วัฒนธรรมและคติความเช่ือ
ต่างๆของศาสนาพทุ ธอกี ดว้ ย

“เสียงกระทะกับตะหลิวปลุกกะทิให้ตื่นขึ้นเหมือนวันก่อนๆ ที่จริง
แล้วกลิ่นหอมกรุ่นๆ ของข้าวสุกก็มีส่วนด้วย แต่เสียงตะหลิวเคาะ
กระทะต่างหากที่ดึงกะทิให้ตื่นจากภวังค์นิทราและภาพฝันสู่วัน
ใหม”่

(งามพรรณ เวชชาชวี ะ. ๒๕๔๙:๑)

จากเนื้อความข้างต้นเป็นเนื้อความที่เกริน่ นำเข้าสู้เนื้อเรื่อง ทำ
ให้เห็นได้ว่าวิถีการใช้ชีวิตของกะทินั้นเป็นวิถีการใช้ชีวิตที่เรียบง่าย
และไม่ยุ่งยากอย่างแน่นอน เนื่องจากการตื่นนอนของกะทิไม่ใช่

นยั วจิ ารณ์ กาลวรรณกรรม | ๑๐

เสียงของนาฬิกาปลุกหรือเสียงแตรของรถราแบบในเมืองแต่อย่าง
ใด แต่กลับเป็นเสียงตะหลิวของยายทีก่ ำลงั ทำกบั ข้าวเพื่อให้กะทิกิน
ถอื วา่ เปน็ การปลุกกะทขิ องยายโดยไม่ต้องขนึ้ ไปปลุกด้วยตนเอง

“กะทิคดข้าวใส่ขัน สีขาวๆ ของข้าวสวยเข้ากันดกี ับอากาศสด
ชื่นยามเช้าแบบนี้ เมื่อกะทิวิ่งออกไปท่าน้ำ ตานั่งอ่านหนังสือพิมพ์
รออยู่แล้วกับถาดอาหารเหมือนเคย ไม่นานก็มีเรอื ของหลวงลุงเพ่มิ
ลอยมาและมีพี่ทองนั้นพาพายเรือมาตาบอกว่าพี่ทองน่าไปอยู่คณะ
ตลกเชิญยิ้ม ยิ้มของพี่ทองเหมือนโรคติดต่อเมื่อคนอื่นมองก็จะย้ิม
ตาม ตากรวดน้ำใต้ต้นโพใหญ่ กะทอิ นุโมทนากบั ตาและอธิษฐานใน
ใจ สำรับกับข้าวรออยู่แล้ว มื้อใหญ่แบบนี้ทุกเช้า จะมีผักต้มกับ
น้ำพริกเป็นหลัก ผัดผักกับปลาทอดเป็นของกะทิเกือบคนเดียว ตา
จะเลี่ยงของทอดน้ำมนั ทกุ ชนิด”

(งามพรรณ เวชชาชวี ะ. ๒๕๔๙:๑)

เนื้อความข้างต้น ทำให้เห็นได้ว่า ผู้แต่งได้นำเสนอการดำเนิน
ชีวิตและวิถีชีวิตของกะทิได้อย่างชัดเจน และเป็นวิถีชีวิตที่คนไทย
ส่วนใหญ่มักดำเนินกัน เห็นได้จากการตื่นนอนของกะทิเมื่อทำ
กิจวัตรในตอนเช้าเสร็จก็คดข้าวตักบาตรกับหลวงลุงเพิ่มตอนเช้า
และยงั มีการอธิบายถึงกับข้าวและอาหารท่ีใช้ในการตักบาตร ทำให้
วัฒนธรรมของคนไทยในชนบทที่มักกินข้าวกับน้ำพริกผักต้ม หรือ
ปลาทอดไทยและอีกท้ังยังทำให้เห็นถึงการตีแผ่ของผู้แต่งที่นำเสนอ
วิถไี ทยได้อย่างชดั เจน

นยั วิจารณ์ กาลวรรณกรรม | ๑๑

“เรือพ้นจากคลองรม่ ครึ้มสู่ทุ่งขวา้ ง เหน็ ทุ่งนาสเี ขียวสด ตาลอยเรือ
กลางทงุ่ แลว้ ลงมอื ถอนสายบวั ผัน สายบัวกรอบสดจ้ิม นำ้ พริกท่ยี าย
ห่อใบบัวมาพร้อมข้าวใหม่ บางทีก็มีกระจับข้ึนมาเป็นแพ กะทิชอบ
กินมากกว่าแห้ว ตาจะเก็บใส่เรือเอาไว้ไปต้มกินที่บ้าน เมื่อกลับตา
พายเรืออย่างสบายอารมณ์ ตากบั กะทิแทบไม่ส่งเสียงพูดกัน ปล่อย
ให้เรือกับผืนน้ำทักทายกันก็พอ เรือ ย่อมมุ่งหน้าไปอย่างไม่ถึง
จุดหมายไม่ได้ แม้การเดินทางจะชวนหฤหรรษเ์ พียงใดก็ตาม”

(งามพรรณ เวชชาชวี ะ. 2549: 23)

จากเนื้อความข้างต้น เป็นเนื้อหาที่กะทิกับตาพายเรือไปเก็บ
สายบัวในหมู่บ้านริมคอลงผู้แต่งได้นำเสนอถึงฉากและบรรยากาศ
ซึ่งได้มีการเขียนพรรณนาถึงสภาพแวดล้อมของบ้านริมคลองและ
ชนบทได้อย่างชัดเจน เห็นได้จากการบรรยายถึง พายเรือแล้วเห็น
ทุ่งนาสีเขียวสด เห็นสายบัว เห็นกระจับ พืชพันธุ์ต่างๆ ทำให้ผู้อ่าน
เกดิ อารมณค์ วามร้สู ึกตามและเหน็ ภาพได้อย่างชดั เจน

“ยายร้องทักพี่ทองที่เดินเข้ามาในครัว เมื่อตอนสาย ยายแกงหมู
เทโพหม้อใหญโ่ ตไปถวายเพล ถอื เป็นการทำบุญปใี หม่ ทง้ั ๆที่ตาท้วง
ว่า คนแถวนี้เขามักจะทำบุญใหญ่กันตอนสงกรานต์ ยายยังพูด
ลอยๆ ตอบกลับไปวา่ มศี รทั ธาตอนนใี้ ครจะทำไม”

(งามพรรณ เวชชาชวี ะ. 2549: 33)

นยั วิจารณ์ กาลวรรณกรรม | ๑๒

จากตวั อย่างเน้ือความข้างต้นเห็นไดว้ ่า ผแู้ ต่งนำเสนอวิถีของ
คนไทยได้ค่อนข้างชัดเจน เพราะคนไทยส่วนใหญ่นั้นนับถือศาสนา
พุทธ และนำเสนออีกวา่ คนไทยนั้นชอบทำอาหารไปถวายพระในวัน
ใหญ่ๆหรือเทศกาลที่สำคัญๆ เช่น ปีใหม่ สงกรานต์ มาฆบูชา
เขา้ พรรษา เปน็ ต้น และผู้แต่งยังให้แงค่ ิดจากคำพูดของยายที่วา่ “มี
ศรัทธาตอนนี้ใครจะทำไม” ทำให้เห็นว่า ผู้แต่งต้องการให้แง่คิดกับ
ผู้อา่ นในเรอ่ื งของการทำบุญที่สังคมไทยในปจั จบุ ันน้นั ยังมีอยู่ จริงๆ
แล้วการทำบุญนั้นไม่จำเป็นที่จะต้องเลือกโอกาสหรือวันสำคัญๆใน
การทำบญุ ขอแคม่ ีความศรทั ธาท่ีจะทำบุญก็พอแลว้

“พี่ทองเอาหม้อจากวัดมาส่งคืนอย่างนอบน้อม ยายชี้มือไปท่ี
กระต่ายขูดมะพร้าวที่มมุ ครัว มีมะพร้าวผ่าซีกวางรออยู่แล้ว พี่ทอง
คว้ากระต่ายขูดมะพร้าวกับกะละมังได้ก็เดินพรวด ๆลงไปใต้ถุน
เสียงยายบอกว่าขูดละเอียดไว้คลุกขนมต้มขาวสองฝา ที่เหลือ
จะคั้นกะทิทำแกงบวด”

(งามพรรณ เวชชาชวี ะ. 2549:33)

เนื้อหาข้างต้นมีการพูดถึงการใช้กระต่ายพูดมะพร้าวในการ
ขดู มะพรา้ ว ซึ่งในสมัยปัจจบุ นั อาจมกี ารใชอ้ ุปกรณ์ชนิดนี้ลดน้อยลง
แลว้ เนอื่ งจากมีเทคโนโลยีต่างๆเข้ามามากมาย ผูแ้ ต่งไดน้ ำเสนอวิถี
ไทยในผ่านการใช้ใช้กระต่ายขูดมะพร้าวทำให้ผู้อ่านได้รับรู้ถึงวิถี
ไทยสมัยก่อนที่ยังมีการใช้กระต่ายขูดมะพร้าวอยู่ เป็นการตีแผ่

นยั วิจารณ์ กาลวรรณกรรม | ๑๓

วัฒนธรรมอีกอย่างหนึ่งที่เกือบจะสูญหายของไทยออกมาได้อย่าง
ชดั เจน

บทที่ 2 บา้ นชายทะเล

“หนูเกิดหลังเที่ยงคืน ก็เลยวันแห่งความรักพอดีลุงตองดีใจมาก ไม่
รู้ไปหากุหลาบสีแดงมาจากไหนเต็มห้องไป หมด จนทะเลาะกับ
พยาบาล แต่ก็สวยจริงๆ มองไปทางไหนก็เห็นแต่สีแดงสลับขาว”
ตาตั้งชื่อให้หนูว่า ณกมล แห่งหัวใจ ตาชอบ ณ เณร ชื่อแม่ก็มี ณ
เณร ตาตั้งให้เหมือนกัน แม่ชื่อ ณภัทร ตาบอกแปลว่า แห่งความดี
ความงาม ดูเหมอื นจะเข้ากันดีกบั แม่ ตอนนั้นตากับยายยังไม่ได้ย้าย
ไปอยู่บ้านริมคลองตาเห่อหนูมาก รูปนี้ตัดผมไฟให้หนู ครบเดือน
พอดี แล้วน่กี ็ใบตง้ั ช่ือของหนู ตาลงมอื เขียนใส่กรอบโก้เชียว”

(งามพรรณ เวชชาชีวะ. 2549:62)

เนื้อความข้างต้น เป็นเนื้อความที่แม่พูดกับกะทิ เกี่ยวกับการ
ตง้ั ชอ่ื ของแม่และกะทิ จะเห็นได้วา่ ผูแ้ ต่งไดน้ ำเสนอว่า คนไทยน้ันมี
ความผูกพันกับการมีชื่อ ซึ่งวัฒนธรรมการตั้งชื่อก็เป็นสัญลักษณ์วา่
เราเป็นใครมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย ในสมัยต่อมาเริ่มมีคำในภาษาบาลี
และสันสกฤตมาปนแต่คงเป็น 2 พยางค์ สมัยรัชกาลที่ 4 จะมี
ภาษาบาลีสันสกฤตเข้ามามากขึ้นเริ่มมีภาษาบาลีสันสกฤตล้วนๆ
หรือไทยผสมบาลสี ันสกฤต (วยิ ะดา วรธนานนั ท.์ 2557: 3) ผู้แต่ง
ต้องการนำเสนอค่านิยมที่เกิดจากความเชื่อส่วนใหญ่ถ้าตั้งชื่อที่มี

นยั วิจารณ์ กาลวรรณกรรม | ๑๔

ความหมายว่าดีแสดงว่าเรามีความเชื่อว่าอะไรที่เป็นสิ่งดีๆเหลา่ นน้ั
ควรมาเป็นชื่อจะเป็นคำไทยจะเป็นบาลีสันสกฤตก็ต้องเป็นชื่อ จะ
เป็นชอื่ จรงิ ชื่อเลน่ เราจะเลือกคำความหมายดีๆมาใช้ ทำให้ผู้อ่านได้
เรียนรู้ถึงคติวัฒนธรรมและความเชื่อของไทยที่มีมาตั้งสมัยโบราณ
จนถึงปจั จบุ นั

“ห้องพักของแม่หันหน้าออกทะเล ผนังด้านข้างเป็นบานหน้าต่าง
ตลอดแนว มองออกไปเห็นต้นลั่นทมใหญ่ดอกสีขาวเหลือง ส่งกลิ่น
หอม ยายไม่ชอบเลย บอกว่าคนโบราณถือ ห้ามปลูกในเขตบริเวณ
ร้ัวบา้ น หรือหน้าบ้าน”

(งามพรรณ เวชชาชีวะ. 2549:63)

ตน้ ลลี าวดหี รอื ต้นลน่ั ทมนนั้ ตามคติความเชือ่ ของคนไทยน้ันคิด
ว่า ถ้าหากปลูกต้นลั่นทมจะเป็นอัปมงคลหรือเป็นสิ่งที่ไม่ดีนั่นเอง
แต่อีกความหมายที่ทำให้ต้นลั่นทมเป็นต้นไม้ที่ห้ามปลูกใน
บ้าน เพราะคำว่า ลั่นทม มีลักษณะคำใกล้เคียงกับคำว่า
ระทม ที่แปลว่า ทุกข์หรือโศก คนไทยเชื่อว่าจะทำให้คนในบ้านนั้น
เกิดความทุกข์ใจเศร้าโศกได้ แถมยางสีขาวขุ่นของลั่นทม ยังมีพิษ
ทำให้เกิดผื่นคันตามผิวหนัง กิ่งเปราะหักง่าย จึงไม่ควรปลูกในบ้าน
ที่มีเด็ก ควรปลูกในสวนหย่อม ห่างจากตัวบ้านมากกว่า แต่กระนนั้
ผู้แต่งต้องการที่จะนำเสนอเรื่องของคติความเชื่อของคนไทย ที่ยัง
เชื่อมโยงไปถึงเรื่องเคราะห์ร้ายต่างๆ ซึ่งในเนื้อเรื่อง ต้นลั่นทมก็ถือ

นยั วิจารณ์ กาลวรรณกรรม | ๑๕

ว่าเป็นสัญญาณอีกอย่างหนึ่งที่สอดคล้องกับความเชื่อนี้ ว่าอาจจะ
เกดิ ความโศกเศร้าขน้ึ และแมข่ องกะทิกจ็ ากไปอย่างสงบนั่นเอง

นอกจากน้ีฉากและบรรยากาศต่างๆในเนื้อเร่ืองกผ็ ู้แต่งสามารถ
บรรยายออกมาได้เป็นอย่างดี ซึ่งผู้แต่งใช้วิธีการสร้างฉากและ
บรรยากาศที่สมจริง แสดงให้เห็นความรู้ และประสบการณ์ของผู้
แต่ง ฉากและบรรยายกาศในนวนิยายช่วยเสริมให้เร่ืองราวดูสมจริง
มากยิ่งขึ้น และสร้างอารมณ์ให้ผู้อ่านคล้อยตามอยา่ งเหมาะสมตาม
เนื้อเรื่องตัวอย่างฉากที่แม่ของกะทิเสียชีวิต เป็นบรรยากาศท่ี
โศกเศร้า ผูแ้ ตง่ ไม่ได้เลา่ เรอ่ื งโดยตรง เช่นดงั เนื้อความตอ่ ไปนี้

ดวงจันทร์เหลือเพียงเสี้ยวเล็ก ๆ อยู่กลางฟ้า เงาต้นสนริมรั้วลู่เอน
ตาม แรงลมน้อย ๆ นาทีเหมือนหยุดนิ่ง นิ่งจนกว่าดวงตะวันจะขึ้น
อีกครั้งอย่างสดชื่น สวยงามพ้นจากขอบฟ้าเหนือทะเล ปลุกทุก
สรรพชีวิตบนโลกให้ตื่นขึ้น แต่ไม่มีแม่ รวมอยู่ด้วยอีกต่อไป (งาม
พรรณ เวชชาชวี ะ. 2549: 74)

ผู้แต่งได้ใช้สัญลักษณ์ดวงจันทร์ เป็นตัวแทนของแม่กะทิ สังเกต
ได้จากคำว่า “เหลือเพียงเสี้ยวเล็กๆ” เปรียบดังเสมือนแม่ ที่กำลัง
จะจากกะทิไป การสร้างบรรยากาศโดยการใช้ลมพัดแสดงถึงความ
ไมแ่ นน่ อนและความไมม่ ่ันคง ตอ่ ไปมีการใชค้ ำวา่ “นาทีเหมอื นหยุด
นิ่ง” เป็นการพูดถึงความโศกเศร้าโดยทางอ้อม ทำให้ผู้อ่านเข้าถึง
อารมณแ์ ละความรู้สกึ ของตวั ละครที่สญู เสียแม่ได้อยา่ งสมจรงิ

นยั วิจารณ์ กาลวรรณกรรม | ๑๖

บทที่ 3 บา้ นกลางเมอื ง

บทนีเ้ ป็นบททผ่ี ู้แต่งตอ้ งการจะเลน่ กับความร้สู กึ กบั ผู้อ่านให้รู้สึก
กดดันไปพร้อมกับกะทิ ในเนื้อเรื่องนั้น นาฎา น้ากันต์ และลุงตอง
พากะทิมาที่บ้านกลางเมืองของแม่ ที่นี่มีทุกอย่างเกี่ยวกับแม่ความ
ทรงจำต่างๆมากมาย มีหลายสิ่งหลายอย่างที่แม่อยากให้กะทิดู
กะทิได้เรียนรู้ชีวติ ของแม่มากขึ้นผ่านสิ่งเหล่าน้ี รวมไปถึง เรื่องของ
พ่อกะททิ ีฝ่ ากจดหมายไว้ให้กบั แม่ของกะทิ และใหก้ ะทิตัดสินใจเอง
ว่าจะติดต่อพ่อของจนหรือไม่ ผู้แต่งนั้นต้องการให้ผู้อ่านเข้าใจ
ความรสู้ ึกของตัวละครมากขึ้นในบทน้ี ความรูส้ กึ ของเด็กหญิงวัย 9
ขวบที่ต้อง สูญเสียแม่ และจะต้องเลือกว่าจะกลับไปอยู่กับพ่อ
หรือไม่ แต่กะทกิ ็ติดสินใจกลับไปอยู่กบั ตายายที่บา้ นริมคลองดังเดิม
ซึ่งแสดงให้เห็นว่ากะทิเลือกที่จะอยู่กับความสุขถึงแม้ว่าตัวเองจะ
ขาดพอ่ และแม่ก็ตาม แต่กะทกิ ็ยังมีความรักจากครอบครัวอีกส่วนก็
ของความรักจากตายาย ที่ยังรักและคอยดูแลกะทิเสมอ ดัง
เน้อื ความดังต่อไปนี้

..กะทิกราบพระก่อนนอน พรุ่งนี้ต้องตื่นเช้าไปโรงเรียน ทุกอย่าง
เหมือนเดมิ

ไมม่ ีอะไรเปลย่ี นแปลง แลว้ เสยี งตะหลิวของยายกจ็ ะปลุกให้กะทิตื่น
ขึน้ พบกับโลกใบนอ้ี กี ครง้ั …

(งามพรรณ เวชชาชีวะ. 2549. 112)

นยั วิจารณ์ กาลวรรณกรรม | ๑๗

ความสุขของกะทิ จึงเกดิ ข้นึ เม่ือกะทิอยู่กบั ปจั จุบัน ไม่อาลัยกับ
อดีตที่เธอต้องเสียแม่ไป และไม่โหยหาอนาคตเพื่อตามหาพ่อ แต่
เธอกลับเลือกชีวิตที่เป็นสุขอย่างทีเ่ คย และการเลือกอยู่กับปัจจบุ ัน
ไม่ต้องไขว่ควา้ ให้เกนิ แรง คงจะเป็นความสุขในแบบทีก่ ะทิเลือกแล้ว

สรุปการวิจารณ์โดยรวมของนวนิยายเรื่องความสุขของกะทิ
จะเห็นได้วา่ ผู้แต่งตอ้ งการจะส่ือเรื่องราวความสุขในรูปแบบของวิถี
การใช้ชีวติ ต่างๆผ่านตวั ละครกะทิ แม้กะทิจะผ่านเรื่องราวต่างๆมา
อย่างหนักหนา ทำให้เกิดความรู้สึกอุ่นใจในมุมมองของผู้อ่าน
ความสุขนั้น ไม่จำเป็นต้องมอี นาคตทีร่ ุ่งโรจน์ ไม่จำเป็นต้องเป็นคน
มีชื่อเสียง รำรวยเงินทอง แต่งคนเราจะมีความสุขได้เพียงแค่เรา
เลือกที่จะอยู่กับความสุขในปัจจุบันตามวิถีการดำเนินชีวิตแบบ
ไทยๆ อยู่กับคนที่เรารักและรักเรา ดังเด็กผู้หญิงที่มีชื่อว่า “กะทิ”
ได้เช่นกนั

นยั วิจารณ์ กาลวรรณกรรม | ๑๘

บ้านเก่า

ตอน : บ้านเกา่
ผแู้ ตง่ : โชคชยั บัณทิต
ประเภท : กวนี พิ นธ์
รางวลั ทไี่ ด้รบั : วรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยย่ี มแหง่ อาเซียน(ซี
ไรต์) ประจำปี 2544
ผวู้ ิจารณ์ : วชั รินทร์ ทองเปราะ

บ้านเก่า เป็นหนังสือบทกวีนิพนธ์ของโชคชัย บัณฑิต ที่
ไดร้ บั รางวลั วรรณกรรมสร้างสรรคย์ อดเยีย่ มแหง่ อาเซียนหรือรางวัล
ซีไรต์ เป็นการรวมเรื่องของกวีนิพนธ์ ผ่านมุมมอง ของผู้เขียนได้
ผ่านไปพบเจอ ในด้านความหลากหลาย มีลักษณะร่วม ที่กวี
มองเห็นเป็นกลุ่มก้อนแสดงความคิดเห็นที่เด่นชัด เป็นภาพที่รวม
ผลงาน ในการตั้งคำถามระหว่างคุณค่าของยุคสมัยเก่ากับคุณค่า
ของยุคสมัยใหม่ อันเกิดจากการสร้างสรรค์ ระหว่างยุคสมัยเก่ากับ

นยั วจิ ารณ์ กาลวรรณกรรม | ๑๙

ยุคสมัยใหม่ ระหว่างเมืองกับชนบท ผ่านมุมมองชวนคิดจาก
เหตุการณ์ในการใช้ชีวิตประจำวัน ของคนเมืองและคนชนบท ใน
การสื่อสารและแลกเปลี่ยนประสบการณ์มองเห็นคุณค่าที่แท้จริง
ของการใชช้ ีวิตของผอู้ ่าน และเปน็ การตอบคำถามของกวีอีกด้วย

ผู้เขียนได้สร้างกลวิธีการเล่าเรื่อง โดยการใช้มุมมองท่ี
เด่นชัด พิจารณาตรวจสอบและการตั้งคำถาม กับสังคมสมัยเก่ากับ
สังคมสมยั ใหม่ ท่กี วีปฏสิ มั พนั ธ์ โดยใช้ มุมมอง โดยสื่อความหมาย
ของกวีนั้นโดยเรียบเรียงประสบการณ์หรือสิ่งธรรมชาติ โดยคน
ทั่วไปอาจมองข้ามแต่กวีมีการสังเกตสังคมสัมผัสละเอียดอ่อน
มุมมองเฉพาะตัวที่มีความโดนเด่น โดยภาพบ้านเก่า แสดงวิถีชีวิต
ดังเดมิ เป็นฉาก โดยสงั คมมคี วามเปลี่ยนแปลงของสังคม โดยเฉพาะ
กระแสบรโิ ภคนยิ ม และนำเทคโนโลยสี มยั ใหมเ่ ข้ามิลบภาพบ้านเก่า
ไปทีละน้อย บทกวีนิพนธ์บ้านเก่ามีความโดนเด่นในกลวิธีทาง
วรรณศลิ ป์ โดยมกี ารนำส่ิงตรงข้ามหรือส่งิ ท่ีมีความคล้ายคลึงมาเชื่อ
ยมโยง

ชั่วป่อู ยมู่ าชว่ั ปา้ ฉัน มรดกปางบรรพช์ น้ั ทวดอยู่
ไล่ยอ้ นยง่ิ ยาวเก่าเกนิ รู้ ลมกรมู ากล่อมหอมลมเย็น
วันหนึ่งนา้ ชายได้งานใหม่ อนาคตสดใสลว้ นไดเ้ ห็น
ขายแรงเล่นเลน่ เหน็ เงนิ ตรา
เกษตรกรรมแสนลำเค็ญ

นยั วิจารณ์ กาลวรรณกรรม | ๒๐

ตำแหน่งแห่งที่มมี ากเหลอื โรงงานซ้ำเออ้ื ทง้ั เสือ้ ผ้า

งานใหมแ่ ฟลตใหญค่ ล่องไปมา เพือ่ นบา้ นทง้ิ ป่ามุ่งหางาน

ตวั ฉันน้นั หรอื หนงั สอื คล่อง เขาเรยี ก‘สมองล่อง’ตอ้ งไกลบ้าน

ปลาบปลื้มลมื ส้ินกลิ่นสงกรานต์ มนตเ์ มอื งอฬารกว่าบา้ นเรา

บ้านหนอรอเก้อชะเงอ้ เงา ลืมทัง้ โคตรเหง้าทิง้ เหลา่ กอ

สรา้ งทำตามทางรสู้ ร้างสรรค์ คล่องผนั เงนิ ผอ่ นเงนิ ฟ่อนต่อ

เงินย่งิ แตกเงินย่ิงเกินพอ วิถีซอมซอ่ ตอ้ งขอลา

บัดนี้เรามีวิถีใหม่ ห่างไกลกนิ อย่แู บบปู่ย่า

เกินย่ำกรำไถอยใู่ ต้ฟา้ วิถเี งินตรายอดอารยะ

วันหนง่ึ บ้านเกา่ จะเอาขาย ปยู่ ่าตายายกลายขยะ

ทีด่ ินผนื ใหมใ่ ห้ฐานะ แตแ่ ลว้ ภาระกม็ าเยือน

บา้ น รถ ท่ดี ิน ทรัพย์สนิ เนา่ ธนาคารยังเขาแล่นเขา้ เฉอื น

ไฟแนนซ์เนา่ เหม็นเป็นการเตอื น ตกงานตามเพือ่ นก่ีเดือนแล้ว

เจา้ หน้ีปรีดาเข้ามาพบ หลบสบู่ า้ นนอกเผ่นออกแน่ว

ถนนชนบทปรากฏแนว ตีนแผว่ กลับบ้านซานซม

บา้ นเกา่ ใกลร้ า้ งเสาครางสน่ั กระดานเรือนรอ้ งลั่นนอกชานถล่ม
ยุ้งข้าวกราวกระจายพังพ่ายลม้ ฝาเรอื นราวขยม่ ด้วยลมพยุห์

นยั วิจารณ์ กาลวรรณกรรม | ๒๑

จากเน้อื ความขา้ งตน้ ทำใหเ้ ห็นได้ บทวจิ ารณข์ อง โชคชยั
บัณฑิต อาศัยพลังวรรณศิลป์กระตุ้นให้ผู้อ่านตระหนักและรับรู้ถึง
ปญั หาของสมยั ปจั จุบนั ท่มี ีสาเหตุมาจากผลของการพัฒนาทางวัตถุ
จนขาดความเข้าใจแก่นแท้ของชีวิต และการยึดมั่นค่านิยมแบบ
ปลอมที่ส่งผลเสยี ต่อชีวิต ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาที่สอดคล้องกบั
ยุคสมัยและจำเป็นต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร็ว กวียังคาดหวังว่า
การช้ใี ห้เหน็ ภัยของปัญหาจะนำไปสู่การเปลย่ี นแปลง และส่ิงสำคัญ
ในการกอบกู้สังคมที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง กวีชี้แนะไว้ก็คือ
คุณค่า ของความเป็นมนุษย์อันประกอบด้วยความรู้ความเข้าใจใน
ความจริงอย่างไม่หลงในสิ่งลวง มีความพินิจพิจารณาประกอบกับ
การสังเกตในประสบการณ์การเก็บรับ ประสบการณ์ทางอารมณ์ท่ี
คงความงามในจิตใจไว้ระหว่างการดำเนินชีวิต ถึงแม้ต้องเผชิญกับ
ปัญหาของโลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วเพียงใด กล่าวได้ว่า
การชใ้ี ห้เหน็ ภัยของปัญหานับวา่ เปน็ การช้ีทางออกไปในตวั จากการ
ตกเป็นทาสของวัฒนธรรมบริโภคนิยมและวัตถุนิยม ด้วยการใช้
ปัญญาเรียนรู้และตระหนักในภัยของปัญหาดังกล่าวควบคู่กับการ
เรียนรู้สัจธรรมในการดำรงอยู่ ของธรรมชาติอีกทั้งเก็บรับ
ประสบการณ์ในการสัมผัสสิ่งสร้างสรรค์ทางวัฒนธรรมที่สืบจาก
โบราณและทส่ี ร้างข้ึนมาใหม่

กวมี คี วามสำนึกในความรับผิดชอบต่อสังคมที่จะกระตุ้นเตือนการ
พินิจพจิ ารณาและวพิ ากษว์ ิจารณ์พฤตกิ รรมสงั คม และตรวจสอบวิธี
คิดท่ีดำรงอยู่ ทั้งที่สืบต่อจากอดีตและสร้างใหม่ โดยเฉพาะค่านิยม

นยั วจิ ารณ์ กาลวรรณกรรม | ๒๒

หรือความเชื่อท่ีทำให้เกดิ ความสับสนทางคุณคา่ แสดงความเปล่ียน
แปรซึ่งเป็นคุณค่าอันพึงประสงค์ โดยนำข้อบกพร่องที่ ประสิทธิผล
ในการสร้างสรรค์บทประพันธ์ที่สามารถสื่อความหมายที่มีคุณค่า
ทางปัญญาดังกล่าวนี้เกิดขึ้นได้ด้วยการใช้ประโยชน์จากขนบวรรณ
ศิลป์ไทย คือการปรับใช้ฉันทลักษณ์เพื่อสื่อความหมายที่เหมาะกับ
บริบท ใชร้ ะดับภาษาในชีวติ ประจำวนั ประสานกับคำทำเนียบกวีใน
รากวัฒนธรรมทางวรรณศิลป์ที่เทียบเคียงได้กับงานสมัยก่อน
โวหารและสัญลักษณ์ รวมทั้งสร้างความประสานด้วยองค์ประกอบ
ทีข่ ัดกนั เพ่ือสอ่ื สารความหมายซอ่ นเร้น

นยั วจิ ารณ์ กาลวรรณกรรม | ๒๓

ครบู า้ นนอก…

เร่ือง : “ครบู ้านนอก”
ผ้แู ตง่ : คำหมาน คนไค
ประเภท : นวนยิ าย
รางวัลท่ีได้รบั : จดหมายจากครูคำหมาน คนไค เปน็ หนังสอื เล่ม
แรกของ คำหมาน คนไค ตอ่ มาในปี 2519 สำนกั พิมพบ์ รรณกจิ เท
รดดงิ้ ได้พิมพ์รวมเร่ืองสน้ั ชือ่ บนั ทกึ ของครูประชาบาล เป็นหนังสอื
เลม่ ทส่ี องของคำหมาน คนไคหนังสอื เลม่ นี้ได้รบั รางวัลชมเชย
ประเภทนวนิยายในงานสัปดาห์หนังสอื แห่งชาติ พ.ศ.๒๕๑๙ และ
ต่อมากลายเปน็ ตน้ เค้าของนยิ ายเร่ือง ครูบ้านนอก

นยั วิจารณ์ กาลวรรณกรรม | ๒๔

ผู้วจิ ารณ์ : นางสาวกมลวรรณ ขุนเพ็ง

ครูบ้านนอก เป็นนวนิยายที่กล่าวถึง ปิยะ
นักศึกษาที่สำเร็จ ป.กศ. สูง ที่ตั้งใจจะไปเป็นครูที่บ้านเกิดที่อยู่ใน
ชนบท และ ปิยะได้ไปบรรจุที่โรงเรียนบ้านหนองหมาว้อ ตำบลผัก
อีฮี จังหวัดอุบลราชธานี เนื้อเรื่องของนวนิยายเรื่องนี้จะเป็นการ
สะท้อนวิถีชีวิตการเป็นอยู่ ประเพณี วัฒนธรรม แบบเก่าของชาว
อีสานในหมู่บ้านหนองหมาว้อ และแสดงให้เห็นถึงการเป็นครูที่ดี
ของปิยะที่ทำหน้าที่เป็นครูที่ดีที่คอยช่วยเหลือพัฒนาเด็ก พัฒนา
ชมุ ชน เพือ่ ชาวบา้ นทุกคนในหมบู่ ้านหนองหมาว้อ ถึงแม้ว่าช่วงแรก
จะไม่ค่อยราบร่ืนเท่าไหร่นักแต่ปิยะก็ผ่านมาจนได้ในเรื่องจะ
นำเสนอการเป็นครูท่ีดีผา่ นตัวครปู ิยะ และได้สะท้อนภาพของครูใน
สังคมสมัยนั้นได้อย่างดีว่าความเชื่อของคนในสมัยนั้นอาชีพ
ข้าราชการครูเป็นอาชีพที่มีเกียรติมาก คนที่ได้เป็นครูจะได้รับการ
ยกย่องว่ามีความรู้ มีเงินเดือนเยอะ ไม่จำเป็นต้องทำงานหนักอื่นๆ
ทำแค่งานสอนหนังสือก็เพียงพอ แต่ครูปิยะนั้นได้ต่างออกไป เขา
ไม่ได้เพียงแค่สอนหนังสือแต่เขานั้นได้สอนคน และในเรื่องปิยะน้ัน
ได้เจอกับการทุจริตคดโกง การกระทำผิดของผู้มีอิทธิพลใหญ่ใน
หมูบ่ า้ น และปยิ ะนน้ั เขาได้ต่อสู้เพ่ือความถูกต้องจนถึงวนิ าทีสุดท้าย
ของชวี ติ อีกหน่ึงเรอื่ งที่สะท้อนมาในเน้ือหาก็คือการต้อสู้กับความอ
ยุติธรรม ในสมัยก่อนนั้นผู้คนต่างก็เกรงกลัวไม่กล้าสู้กับความไม่
ยุติธรรมเนื่องจากกลัวผู้มีอิทธิพลต่างๆ ที่ใช้เงินและอำนาจกดขี่ผ้ทู ่ี
ด้อยกว่า เหมือนกับข้าราชการชั้นผู้น้อยที่ต้องเกรงกลัวต่อ

นยั วิจารณ์ กาลวรรณกรรม | ๒๕

ข้าราชการที่มีชั้นสูงกว่า สั่งอะไรมาก็ต้องทำ ห้ามมีข้อสงสัยหรือ
ข้อยกเว้นใดๆ แต่ก็มีการสะท้อนถึงความกล้าที่จะต่อสู้กับผู้มี
อิทธิพลที่กระทำความผิดโดยไม่เกรงกลัวผ่านตัวครูปิยะ ซึ่งในเรื่อง
มกี ารเล่าถึงตอนทคี่ รปู ยิ ะสอนนักเรียนเรือ่ งความสามัคคี เปน็ นทิ าน
ที่เหล่านกน้อยร่วมใจกันต่อสูจ้ นสามารถชนะพญานกอินทรีได้ ซึ่งก็
เป็นส่วนที่ผูกกับท้ายเรื่อง เมื่อครูปิยะถูกคนของเสี่ยมังกรใส่ร้าย
จารย์เคนก็มาพูดปลุกใจคนในชุมชนไม่ให้เชื่อในสิ่งที่ลูกน้องเส่ีย
มังกรพูดให้เช่ือในความดีของครูปิยะ และทุกคนในชุมชนก็มีใจเปน็
หนึ่งเดียวกันพร้อมที่จะสู้กับความยุติธรรม แต่ว่าครูปิยะก็มา
เสียชีวิตไปเสียก่อน แต่สิ่งที่ผู้เขียนต้องการนำเสนอหลักๆ ก็คือ
วัฒนธรรมของชาวอีสานในชนบท และบทบาทการเป็นครูที่ดีของ
ครูปิยะที่มีการนำเสนอสองประเด็นนี้เกือบทั้งเรื่อง แต่ก็มีอีก
ประเด็นหนึ่งที่ได้สอดแทรกมาระหว่างดำเนินเรื่อง คือประเด็นของ
การต่อสู้กับอำนาจอยุติธรรมของผู้มีอิทธิพลโดยที่ไม่เกรงกลัว และ
ประเด็นนี้จะนำเสนอชัดขึ้นในช่วงท้ายของเรื่องเป็นการสะท้อนให้
เห็นว่า การจะต่อสู้เพื่อสิ่งที่ถูกต้องนั้นจะทำสำเร็จด้วยตัวคนเดียว
นั้นเป็นไปได้ยาก ต้องอาศัยความสามัคคีร่วมใจของคนทุกคน
เพอ่ื ที่จะกำจดั อำนาจอยตุ ธิ รรมของผู้มีอทิ ธพิ ลนนั้ ได้ และสิ่งพบเห็น
ได้บ่อยมากคือการเล่าอธิบายความหมายเพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจ
เนื่องจากเป็นภาษาและคำศัพท์เฉพาะของถิน่ อีสานจึงมีการอธิบาย
ให้ความหมายไว้มากในเรื่อง

นยั วจิ ารณ์ กาลวรรณกรรม | ๒๖

ตัวอยา่ งบทในนวนิยาย
“ ในขณะที่ครูใหญ่กำลังเพลินอยู่กับบุหรี่มวนเองซ่ึง

ชาวบา้ นเรียกว่ายาปาฏิโมกข์ มผี ู้ใหเ้ หตุผลวา่ ยาสบู ชนดิ นต้ี ิดไฟยาก
กวา่ จะจุดไฟติดกก็ นิ เวลานานเท่ากบั พระสวดปาติโมกข์ บางคนก็ว่า
ยาสูบชนิดนี้จะเมานานเท่ากับเวลาพระสวดปาติโมกข์ ยังไม่รู้
เหตุผลของใครถูกแต่ชาวบ้านเรียกบุหรี่ที่มวนเองด้วยใบตองว่ายา
ปาติโมกข์ ” (ครบู ้านนอก 2559 , หนา้ 116)

“ สอนคนหมายความว่า ทำทุกอย่างที่ช่วยให้คนเป็นคนดี
มีความรู้ ความสามารถ มีความคิด และมีประโยชน์ต่อตนเองและ
ผู้อื่น สอนหนังสือหมายความว่าสอนให้รู้หนังสือ ท่องจำตามตำรา
แต่ปฏบิ ัตจิ ริงไม่ได้ ” (ครูบา้ นนอก 2559 , หนา้ 113)

"อยากให้ครูต่อยซุงมากกว่าเป่าแคน" คำว่าต่อยซุง
หมายถึง ดีดพิณ ต่อยคือการดีดด้วยนิ้วมือ ซุง ก็คือซึงหรือพิณ 3
สาย รูปร่างคล้ายเมโลเดียนของฝรั่ง (ครูบ้านนอก 2559 , หน้า
105)

นยั วิจารณ์ กาลวรรณกรรม | ๒๗

มา้ กา้ นกลว้ ย

เรือ่ ง : “ม้ากา้ นกลว้ ย”
ผู้แตง่ : ไพวรนิ ทร์ ขาวงาม
ประเภท : กวนี พิ นธ์
รางวัลทไี่ ดร้ ับ: ออกตพี ิมพเ์ มื่อปี พทุ ธศักราช ๒๕๓๘ และได้รับ
รางวลั วรรณกรรมสรา้ งสรรค์ยอดเย่ียมแห่งอาเซียน (ซไี รต)์
ผูว้ จิ ารณ์ : นางสาววาสนา เรือนเพ็ชร

นยั วิจารณ์ กาลวรรณกรรม | ๒๘

ตอน ภาคนำ มา้ ก้านกล้วย ๑

ม้ากา้ นกลว้ ย เปน็ หนังสือรวมบทกวีนพิ นธ์ไทยรว่ มสมยั ท่ี
สะทอ้ นใหเ้ ห็นถึงพลังชวี ติ และจิตใจของคนชนบททีเ่ ข้ามาสเู่ มือง
หลวงดว้ ยความใฝ่ฝันและมคี วามหวังชวี ิตท่ดี ีกวา่ เมอื่ คนชนบทต้อง
จากลามาทำงานในเมืองหรือกรุงเทพ ก็คิดถึงทอ้ งทุ่งนา บรรยากาศ
ที่คนุ้ เคย สะท้อนภาพในเมืองท่มี ีแต่ความวนุ่ วาย เรง่ รีบ แม้คน
ชนบทจะพบกับชวี ิตทแี่ ปลกแยกในสงั คมเมือง แต่ความผูกพันโหย
หาชวี ติ ในถิน่ เดิมกเ็ ปน็ พลังให้คนชนบทยนื หยัดอยู่ได้ ซ่งึ ถ่ายทอด
อารมณ์สะเทือนใจ ให้ผ้อู า่ นได้รับร้คู วามรู้สกึ นึกคิด ตลอดจนสารที่
สอ่ื ได้อย่างสมบูรณ์งดงาม โดยแบ่งเน้อื หาออกเปน็ สี่ภาคคือ ภาค
นำ : มา้ ก้านกลว้ ย ภาคหน่งึ : แผ่นดินถิน่ ทงุ่ ภาคสอง : แผ่นดินถ่นิ
เมอื ง และภาคสาม : แผน่ ดินถ่ินใด

เมื่อพจิ ารณาบทประพนั ธ์ในหนงั สอื บทกวภี าคนำมา้ ก้าน
กล้วย๑ พบวา่ ผูแ้ ต่งมุ่งถา่ ยทอดอารมณ์ความรู้สึกการพลดั พราก
จากบา้ นเกดิ ของคนชนบทที่เข้าสูเ่ มืองมาทำตามความฝนั ในความ
ว่า เดก็ ผชู้ ายคนหนึ่งท่ไี ด้ขี่ม้ากา้ นกล้วยทพ่ี ่อทำใหข้ ้ึนมา มีปืนกลที่
เอาไวย้ งิ ศตั รูได้ ได้ข่ีม้ากา้ นกล้วยลดั เลาะไปมาตามหนองคลองบึง
เร่ิมหาความฝัน จนถงึ “เมืองแหง่ อารยธรรม” ความเจริญ ความ
ศวิ ไิ ล จนนานไม่พบกับความฝนั กบั การแสวงหา พอสดุ ท้าย พออยู่
ตา่ งบา้ นตา่ งเมอื งทำใหร้ สู้ กึ อ่อนแอทำให้ต้องพ่ายแพ้ต่อ “ยักษ์ทุร
ยคุ ”ลกู ชายจงึ เกิดความรสู้ กึ ท้อแท้สน้ิ หวังจนคิด ทำให้เกิดนำ้ ตา
ลกู ผ้ชู ายทไี่ หลออกมา “มา้ และปืน” คำสอนของพ่อและกำลังใจที่
ใช้เปน็ ส่งิ นำทางในการตอ่ สู้ อย่ทู ี่บา้ นเคยกลา้ หาญชาญชยั เพราะมี

นยั วิจารณ์ กาลวรรณกรรม | ๒๙

ครอบครัว ต่อสไู้ ด้ ทำได้ แต่พอมาอย่ตู า่ งเมือง ต่างถิน่ อยู่ไม่ได้ “มา
ถกู กักด้วยจักรกลกลางนคร” เมอื งหลวงท่ีมีแต่ความวุ่นวาย “ฝนั
จะหนีดงรกของเมอื งหลอน” ตึกผู้คนมากมาย ตวั แทนแหง่ ความ
โชคร้าย สุดท้ายแล้วอยากลบั ไปทบ่ี ้านไปกราบพ่ออีกครง้ั

รูปแบบการประพนั ธ์
ฉนั ทลกั ษณ์

จากการศึกษาการใชฉ้ นั ทลักษณใ์ น มา้ กา้ นกลว้ ย ๑ กล่าว
ไดว้ ่า ไพวรินทร์ ขาวงาม สามารถนำรูปแบบคำประพันธม์ าสอ่ื ความ
ให้เข้ากบั ยุคสมัยของวิถีชีวิตชนบทกบั ชวี ติ คนในเมอื งได้อยา่ ง
เหมาะสม โดยเฉพาะคำประพันธป์ ระเภทกลอนแปด การสร้างสรรค์
ท้ังในแงจ่ ังหวะ การแบง่ ช่องภายในวรรค อารมณ์ความรู้สึกในการ
อ่านสามารถทำให้เกดิ ความคล้อยตาม

การใช้คำ

มีการพรรณนาเรื่องราวต่างๆ ทำใหผ้ ้อู า่ นเหน็ ภาพจติ นา
การ ดงั บทกวีต่อไปน้ี

• มีโคมไฟต่างดาวดารดาษ
มีเถาวลั ย์พันพาดอยหู่ ย่งุ เหยิง
มีหรีดหร่งิ เรไรใจกระเจงิ
ดว้ ยเสียงเมืองบันเทิงบรรเทาทกุ ข์

นยั วิจารณ์ กาลวรรณกรรม | ๓๐

จากบทประพนั ธข์ า้ งต้น กลา่ วไดว้ ่า ผแู้ ตง่ มีการใชค้ ำได้สละสลวย
ในการส่ือความหมายของคำ ทผี่ แู้ ต่งได้มีการใชค้ ำที่ทำให้ผูอ้ า่ น
สามารถเกดิ จนิ ตการได้ไปตามท่ีกวตี ้องการสื่อ เชน่ เถาวลั ย์ , โคมไฟ
, จง่ิ หรดี , เมอื ง

มีการใชค้ ำไวพจน์ ทผ่ี ้แู ต่งนำมาใช้ในบทกวี

“ทัง้ ปีนกลกา้ นกล้วยก็สวยดี เหมาะมอื ทีจ่ ะสูร้ บกับ
ไพริน”
“มา้ กา้ นกลว้ ยโจนทะยานจากบ้านทุ่ง
พาขา้ มุ่งสู่พนาพฤกษาไสว
ดน้ ดงหนามระกำเกยี่ วลดั เล้ียวไป
ขา้ มบึงหนองคลองใส ไต่พนม”

จากบทประพันธข์ ้างต้น กล่าวไดว้ ่า ผู้แตง่ มีการใช้คำไวพจน์
นำมาใช้ในบทกวี เพอ่ื ให้เกิดความไพเราะและเกดิ อรรถรสในการ
อ่าน และผ้แู ต่งไดน้ ำบรรยายการเดินทางในปา่ ดงเพ่ือมุ่งสู่เมอื ง
แสดงความยากลำบากโดยใช้คำทำเนียบกวี เช่น “พนาพฤกษาไสว”

ฉากและสถานท่ี เดก็ ชนบท ธรรมชาติ , เมืองหลวง
คุณค่าด้านสงั คม สะทอ้ นใหเ้ หน็ ชีวิตของคนชนบทที่เข้า
มาทำตามความฝนั ในเมอื ง สดุ ทา้ ยก็พา่ ยแพ้กบั สถานที่ไม่คนุ้ เคย
และสะท้อนชวี ติ ในการเป็นอยู่ในปัจจุบัน

นยั วิจารณ์ กาลวรรณกรรม | ๓๑

การเล่าเนอ้ื เร่ือง ผแู้ ตง่ เกร่ินดว้ ยการใช้ชีวติ ของคน
ชนบทที่อยกู่ ับธรรมชาตแิ ละการหาความฝันท่ีต้องมุ่งเข้าสเู่ มือง ส่ือ
ให้เห็นวา่ “ม้ากา้ นกลว้ ย” ของช่อื เรอื่ ง แทนชีวิตของคนชนบท

กวนี ิพนธ์ เร่อื ง มา้ ก้านกล้วย แต่งดว้ ยกลอนแปด ที่
ความไพเราะ และรสู้ ึกคล้อยตาม จนิ ตนาการทีใ่ หเ้ หน็ ภาพไปกบั บท
กวที ผี่ แู้ ต่งสือ่ ถงึ มีการใช้คำไวพจน์ การเปรยี บเทียบชวี ติ ของคน
ชนบททเี่ ข้าเมืองเพื่อหาความฝนั และปัญหาอุปสรรคมากมาย
เหมอื นกบั ปจั จุบัน

นยั วจิ ารณ์ กาลวรรณกรรม | ๓๒

สงิ โต นอกคอก

ผูแ้ ต่ง : จิดานันท์ เหลืองเพยี รสมุทร
ประเภท : เร่อื งสน้ั
รางวลั ท่ีไดร้ ับ : THE S.E.A. WRITE AWARD
วรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเย่ียมแห่งเอเซียน ประจำปี ๒๕๖๐
ผวู้ ิจารณ์ : นางสาวธัญนก บรรเจิดเมธี

จะขอรับผดิ ทง้ั หมดแตเ่ พียงผเู้ ดียว

“ หากมสี ิ่งเดียวที่เขาจะกลา่ วโทษได้
เขาจะกลา่ วโทษความเหนบ็ หนาว ”

รวมเรื่องสน้ั สิงโตนอกคอก ของจิดานนั ท์ เหลืองเพียรสมุทร
มีเนื้อหาหลากหลาย ชวนตั้งคำถามและวิพากษ์ความเป็นมนุษย์
อำนาจนิยม มายาคติ ความรู้ความเชื่อในสังคม ท้าทายความคิด
ของผู้อ่านทำให้กลับมาใคร่ควรถึงสังคมที่เราอยู่ในปัจจุบัน ตั้งแต่
ระดับครอบครัว ชุมชน ประเทศชาติและสังคมโลก ใช้กลวิธีเล่า
เรื่องแบบอุปมานิทัศน์ (Allegory) ที่มีโครงสร้างซับซ้อนกันหลาย
ชั้นอย่างสัมพันธ์กัน การสร้างตัวละครและฉากที่ไม่อยู่ในบริบท
สังคมไทยเป็นการสร้างพรมแดนการเล่าเรื่องไปสู่ความเป็นสากล
ผ้เู ขียนใช้ภาษาในการเล่าเรอื่ งอยา่ งเรยี บง่ายทวา่ น่มุ ลกึ คมคาย

นยั วจิ ารณ์ กาลวรรณกรรม | ๓๓

จากคำประกาศรางวัลวรรณกรรมสร้างสรรคย์ อดเย่ยี มแห่ง
เอเซยี น (ซไี รต์) ประจำปี ๒๕๖๐ ทำใหเ้ หน็ วา่ รวมเรอ่ื งสั้นสิงโตนอก
คอกมีความน่าสนใจทงั้ เนอ้ื หาและกลวธิ ใี นการนำเสนอ

สังคมเป็นสิ่งกว้างและสัมพันธ์กับโครงสร้าง ระเบียบแบบ
แผนที่ถูกจัดระบบไว้ในสังคม ผู้ที่ไม่ปฏิบัติตาม หรือมีความคิด วิถี
ชีวิตท่ีแตกต่างออกไปจะถูกตัดสินว่าเป็นคนนอก “คอก” และถูก
มองว่าเป็นคนอื่น “จะขอรับผิดแต่เพียงผู้เดียว” เป็นหนึ่งในรวม
เรื่องสั้นสิงโตนอกคอก ได้รับรางวัลนางอินทร์อะวอร์ดปี ๒๕๕๘
เรื่องราวการเอาชีวิตรอดของมนุษย์ในฤดูหนาวอันโหดร้าย ขาด
แคลนเชื้อเพลิง พลังงาน และอาหาร พรากชีวิตชาวเมืองอย่าง
โหดเหี้ยม โดยมเี จา้ เมืองอย่าง มอเดร็ด ที่ต้องแบกรับชีวิตชาวเมือง
ให้รอดผ่านฤดูหนาวนี้ เรื่องราวดำเนินไปจนเชื้อเพลิงที่ให้ความ
อบอุน่ แก่ชาวเมืองหมดส้นิ ในสถานการณ์บบี บังคับ และหน้าที่ของ
เจ้าเมือง มอเดร็ดตัดสินใจเผาหนังสือที่เปรียบเสมือนขุมทรัพย์
ความรู้เพื่อรักษาเผ่าพันธุ์มนุษย์เอาไว้ แม้ว่าการตัดสินใจของ
มอเดร็ดในครั้งนั้นจะเป็นการช่วยเหลืองชาวเมืองเอาไว้ หากแต่
ชาวเมืองในปกครองกลับมองว่าเป็นการกระทำที่ผิดบาป เป็นสิ่งที่
ไม่ถูกต้อง มอเดร็ดได้ทำลายขุมทรัพย์อันมีค่าของมวลมนุษยชาติ
แม้ในตอนเผาหนังสือเพื่อให้ได้รับไออุ่นจากขุมทรัพย์นั้น กลับไม่มี
เสียงร้องห้ามจากชาวเมืองใดสักคน มอเดร็ดถูกตั้งคำถาม เขา
กลายเป็นคนผิด กลายเป็นจำเลยของเรื่องราวจากรุ่นสรู่ ุ่น

หากอ่านเนื้อเรื่องจนจบ คงเกิดคำถามที่ว่า “มันถูกแล้ว
หรอ ที่จะกล่าวโทษมอเดร็ดเพียงคนเดียว” แม้การตัดสินใจเผา
หนังสือจะเป็นการตัดสินใจที่ผดิ แต่ท้ายที่สุดแล้วคงปฏเิ สธไม่ได้ว่า

นยั วจิ ารณ์ กาลวรรณกรรม | ๓๔

น้ันเป็นการเอาชีวิตรอดอย่างหน่ึงของมนุษย์ในฤดหู นาวอันโหดร้าย
จึงของยกทฤษฎีการเอาตัวรอด ของซิกมันด์ ฟรอยด์ ที่ว่า มนุษย์
ทุกคนย่อมอยากมชี ีวติ รอด และทำทุกวิถีทางเพ่ือให้ตนมีชีวิตรอด

“มอเดร็ดเปน็ คนเกลยี ดหนงั สือ เขาสั่งทำลายห้องสมดุ ประจำเมอื ง
และทุกคนกต็ ้องทำตามคำส่ังของเขา การเผาหนงั สือทง้ั หมดเปน็

ความผดิ ของมอเดร็ดแต่เพียงผู้เดียว”

ผ้วู ิจารณ์มองว่าการที่ชาวเมืองกล่าวโทษมอเดร็ดแต่เพียงผู้
เดียว คงเปน็ การป้องกันตัวของมนุษย์อยา่ งหนึ่ง เพื่อปกปิดความผิด
ของตนและโยนความผิดให้คน ๆ หนึ่งนั้นคือ มอเดร็ด สะท้อนให้
มองย้อนกลับในโลกความเป็นจริง ความเลวร้ายของมนุษย์ไม่
จำเป็นต้องแสดงออกเป็นการกระทำ ไม่ต้องมีการฆ่าฟันก็สามารถ
สร้างรอยแผลลกึ ไว้ไดเ้ ชน่ กัน การตกเป็นเปา้ ของสงั คมในความผิดที่
ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ส่งผลกระทบโดยรวมในสังคม เมื่อคนที่กระทำ
ผิดได้รับการลงโทษเพียงคนเดียว แต่อีกหลายคนที่ผิดยังลอยนวล
อยู่ในสังคม ความจริงยังเป็นเรื่องลับ และเก็บเงียบจนลืมหายไป
ปลอ่ ยให้คน ๆ เดียวรบั ผดิ แทน

“มันง่ายเหลอื เกินทีจ่ ะลืมเร่ืองท่ตี นเปน็ คนบาป
และจำเร่อื งที่ใครสักคนรับผดิ ชอบแทน”

ผ ู ้ แ ต ่ ง น ำ เ ส น อ เ ร ื ่ อ ง ร า ว แ บ บ ด ิ ส โ ธ เ ป ี ย น ( Dystopian)
กลา่ วถงึ เร่ืองราวที่เกิดขึ้นในหลากหลายโลกสมมุตทิ ี่ผู้เขียนสร้างขึ้น

นยั วจิ ารณ์ กาลวรรณกรรม | ๓๕

อยู่ในเมือง หรือสถานที่ที่มีบางอย่างไม่เหมือนสังคมไทย ฉาก
บรรยากาศ ฤดูหนาวที่มีหิมะ เมืองที่ไม่มีอยู่จริง วัฒนธรรม
ประเพณี การใชช้ วี ติ ที่ตา่ งออกไป นำมาถา่ ยทอดเป็นเรื่องสัน้

ผู้วิจารณ์มองว่าจุดเหล่านี้คงเป็นสิ่งสำคัญที่ดึงสิ่งที่ผู้อ่าน
เขา้ ใจยาก ขบคดิ ได้ยากในโลกแหง่ ความเปน็ จรงิ ใหช้ ดั เจนยิง่ ขึ้น ทำ
ให้ผู้อ่านกล้าที่จะตั้งคำถามต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้นในโลกปัจจุบัน เป็น
เหมือนกระจกเงาที่สะท้อนภาพบิดร่างไปจากภาพความเป็นจริงใน
ปจั จุบนั เล็กน้อย แต่ยงั คงสาระสำคญั ของความเปน็ จริงนัน้ ครบถ้วน

ผ้แู ตง่ มีการเปรยี บหนังสือเหมือนขุมทรพั ย์อันมีค่าตอ่ มวล
มนษุ ย์ เปรียบความเหน็บหนาบเป็นเหมอื นมจั จุราชทีต่ ามเอาชีวิต
ของชาวเมือง แสดงใหเ้ หน็ ถึงความโหดร้ายของฤดหู นาวในเรอ่ื งส้นั
อย่างชดั เจน

นอกจากนี้ผู้แต่งยังสะท้อนถึงเรื่องภัยธรรมชาติที่มนุษย์ไม่
อาจหลีกเลี่ยงได้ ฤดูหนาวที่สร้างปัญหาให้กับชาวเมือง สร้างความ
สูญเสียใหเ้ กิดขึ้นไมเ่ พยี งแต่เป็นหนังสือหายาก หรือคนในครอบครัว
แต่รวมไปถึงความสุข และความมั่นใจในการใช้ชีวิต ผู้แต่ง
สอดแทรกสื่อให้ผู้อ่านเตรียมพร้อมรับมือกับภัยธรรมชาติอยู่เสมอ
เพอ่ื หลักเลยี่ งการสญู เสียท่ีอาจสรา้ งรอยแผลอันโหดร้ายไวใ้ นชวี ติ

“ความเหน็บหนาวนนั้ ตราอยใู่ นใจผคู้ น ทกุ คนเปลีย่ นไป
ตา่ งถกู สลกั ด้วยบาดแผลลกึ มอเดร็ดกเ็ ปล่ียนไปเชน่ กนั

เขากินน้อยเหมือนนก เตรยี มร่างกายให้เคยชนิ
กบั ความอดอยากที่อาจมาอีกครั้งในปีหนา้ ”

นยั วจิ ารณ์ กาลวรรณกรรม | ๓๖

ขุนทองเจ้าจะกลับมาเม่อื ฟา้ สาง

ตอน : เสยี แลว้ เสียไป
ผู้แต่ง : อศั ศริ ิ ธรรมโชติ ศิลปนิ แห่งชาติ
รางวัลที่ได้รบั : รวมเร่อื งสน้ั รางวลั วรรณกรรมสร้างสรรคย์ อดเย่ยี มแห่ง
อาเซียน (ซีไรต์) ๒๕๒๔
ผูว้ ิจารณ์ : นางสาววรัญญา วงศ์สนทิ

การตง้ั ชอื่ ตอน เสยี แล้ว เสยี ไป เปน็ เร่อื งสั้นท่เี ลา่ เรื่องราวของหญิง
สาวคนหนึง่ ที่ออกจากงานและเดินทางกลับมาบา้ นทอี่ ยู่ในชนบทเพราะเธอได้
เสยี ข้อมือไปใหก้ บั เครอ่ื งจักรในโรงงานที่เธอทำงาน เมือ่ กลบั มาถึงบา้ นมเี พยี ง
คุณปู่และเจ้าด่างที่ดีใจที่เธอกลับมาและเธอได้กลับบ้านมาพร้อมกับเงิน
จำนวนหนึ่งหม่ืนบาท การกลับมาอยูบ่ ้านของเธอกท็ ำให้เกิดโศกนาฏกรรมขน้ึ
จึงทำให้เธอได้รู้ว่าเธอไม่ได้เสียไปแต่เพียงข้อมือเธอยังเสียคนที่รักเธอมาก

นยั วิจารณ์ กาลวรรณกรรม | ๓๗

ที่สุดไปด้วยจึงเป็นที่มาของชื่อตอนว่า “เสียแล้ว เสียไป” และนอกจาก
เร่อื งราวของโศกนาฏกรรมยงั สะท้อนใหเ้ หน็ ถงึ ภาพของสังคมรว่ มสมัย

ผู้แต่งต้องการให้ผู้อ่านอ่านแล้วเห็นภาพจึงแต่งแบบพรรณนา
โวหาร ดำเนินเรื่องโดยใช้บทสนทนาของตัวละครเพราะอยากให้ผู้อ่านได้
เข้าใจความรู้สึกของตัวละคร ใชภ้ าษาท่ีเรียบง่ายอ่านแลว้ เขา้ ใจได้งา่ ย

คุณค่าด้านวรรณศิลป์ คือ ความไพเราะของบทประพันธ์ ความ
งดงามของภาษาที่ผู้แต่งเรียงร้อยไว้ อันจะทำให้ผู้อ่านเกิดอารมณ์หรือ
ความรู้สึกร่วม และสามารถจินตนาการตามที่นักเขียนต้องการได้ เรื่อง
ขุนทองเจ้าจะกลับมาเมื่อฟ้าสาง ตอนเสียแล้ว เสียไป ใช้การประพันธ์เป็น
ร้อยแก้ว มีการพรรณนาโวหาร ใชค้ ำท่ีทำให้เห็นภาพ

คุณค่าด้านเนือ้ หาสาระ คอื ประโยชนใ์ นด้านความรู้ หรืออาจเป็น
ขอ้ คดิ สำหรับเตือนใจผูอ้ ่าน

“เมื่อเจ้าปีศาจจักรกลตัวนั้นมันตัดข้อมือของนางให้ขาดออกจาก
กันแล้ว นางกลายเป็นคนพิการ ที่กลับบา้ นมาอย่างว้าเหว่ท้อแท้ ซ้ำเงินกอ้ น
มหึมาที่นางได้รับเป็นค่าตอบแทนมือข้างที่ขาดหายไปนั้น ยังทำให้นางได้
พบว่าได้สูญเสียทุกอย่างอันเคยมีในชีวิต ที่แท้มันคือเงาของเจ้าปีศาจร้ายท่ี
ตามมาทำลายนางจนถึงบ้าน-มันไม่ได้ทำลายมือของนาง ไม่เพียงแต่อย่าง
เดยี วเท่านน้ั ..เจ้าปศี าจจกั รกลตวั น้ี” ในบทนไ้ี ดข้ ้อคดิ เก่ียวกบั คนเป็นพ่อแม่ที่
เห็นแกต่ วั ไมไ่ ด้รกั ลกู จริง อยากไดเ้ งินลูกเอาไปใชโ้ ดยไม่ได้นึกถึงความรู้สึกท่ี
ลูกได้เสียขอ้ มือไปว่าลกู ที่ขวัญเสียกลับมาบ้านจะต้องการให้พ่อแม่ดูแลใสใ่ จ
ความรู้สกึ แมใ้ นตอนท่ีโจรฆ่าปู่ตาย ทงั้ พอ่ แม่ และนอ้ งสาวก็ยังคงลุ่มหลงอยู่
กับเงิน ผู้แต่งต้องการแต่งให้ผู้อ่านได้เห็นว่าเงินเปรียบเสมือนปีศาจที่ทำให้
เกิดโศกนาฏกรรมที่พรากชีวิต และความรักอันบริสุทธิ์จากพอ่ แม่ไปจากชีวติ
ของคนคนหน่ึงท่ีสมควรจะไดร้ บั

นยั วิจารณ์ กาลวรรณกรรม | ๓๘

คณุ ค่าด้านสงั คม คอื การจรรโลงสังคมดว้ ยการสะทอ้ นภาพทเ่ี ปน็ ปัญหา
ของสังคม หรืออาจเสนอภาพของสังคมในอุดมคติก็ได้ ปัญหาของสังคมที่
ดิฉันพบคือ ความเหลื่อมล้ำกันของคนในสังคม สะท้อนให้เห็นว่าคนรวยไม่
ค่อยเห็นคุณค่าชีวิตของคนจน แค่เอาเงินยื่นให้เหมือนเป็นการปิดปาก ใน
ความเป็นจรงิ นางสามารถเรยี กค่าเสยี หายจากโรงงานได้มากกวา่ นน้ั มาก และ
ทางโรงงานควรมีเงินประกนั อบุ ัติเหตใุ ห้กบั ลูกจา้ ง ควรรบั ผดิ ชอบมากกวา่ น้นั

นยั วิจารณ์ กาลวรรณกรรม | ๓๙

ครอบครัวของผม

(ในสังคมสองสี)

ผแู้ ตง่ : รัชศกั ด์ิ จิรวฒั น์
รางวัลท่ีได้รับ : รางวัลชนะเลศิ วรรณกรรมทางการเมือง พานแวน่
ฟ้า ครั้งท่ี ๙
ผู้วจิ ารณ์ : นางสาวอรสิ า

รัชศักดิ์ จิรวัฒน์ เกิดที่จังหวัดลพบุรี เขาชอบอ่าน
หนังสอื มาตัง้ แต่เด็ก เพราะคณุ พ่อของเขาสะสมหนงั สือหลากหลาย
ประเภทไว้เต็มบ้าน เขาจึงเลือกหยิบมาอ่านอยู่บ่อย ๆ และทำให้
อยากสร้างงานเขียนของตัวเอง มีเรื่องสั้นได้รับการตีพิมพ์ครั้งแรก

นยั วจิ ารณ์ กาลวรรณกรรม | ๔๐

เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๙ จากนั้นก็พยายามสร้างงานเขียนอย่างต่อเนื่อง
มีเรื่องสั้นปรากฏตามหน้านิตยสารต่าง ๆ เป็นครั้งคราว และได้
รางวัลทางวรรณกรรมมาบ้างประปราย ปัจจุบันเป็นอาจารย์
ประจำภาควิชาอังกฤษ คณะมนุษยศาสตร์และการจัดการการ
ท่องเท่ยี ว มหาวิทยาลัยกรุงเทพ

ผลงานประเภทเรื่องสน้ั ทเี่ ป็นผลงานเด่น เช่น ความทรงจำ
บางอย่างช่างรางเลือน,กลับสู่โลกสมมุติ, ครอบครัวของผม (ใน
สังคมสองสี), พายุฝนบนกุฏิ ได้รับการแปลเป็นภาษาอังกฤษในชื่อ
“Rainstorm over the Kuti” โดยคุณ Marcel Barang เผยแพร่
ใน ๑๔ Thai Short Stories ๒๐๑๔, ความทรงจำบางอยา่ งชา่ งราง
เลือน ได้รับการแปลเป็นภาษาอังกฤษ และอินโดนีเซีย ในโครงการ
วรรณกรรมสัมพนั ธ์ไทย – อินโดนีเซีย โดยสำนกั งานศิลปวฒั นธรรม
ร่วมสมัย ตพี มิ พ์ในหนงั สอื “บุหลนั วรรณกรรม”

ผลงานรวมเล่ม รวมเรื่องสั้น “ความทรงจำบางอย่างช่าง
รางเลือน” (สำนักพิมพ์มติชน), รวมเรื่องสั้น “กลับสู่โลกสมมุติ”
(สำนักพิมพม์ ตชิ น)

ส่วนเรื่องสั้น “ครอบครัวของผม (ในสังคมสองสี)” ได้รับ
รางวลั ชนะเลิศพานแวน่ ฟ้า ครง้ั ที่ ๙

“ครอบครัวของผม (ในสังคมสองสี)” เป็นเรื่องที่สะท้อนความ
ขัดแย้งทางการเมืองในสังคมไทย ที่ไม่ได้หยุดอยู่แค่ความขัดแย้ง
ระหว่างพรรคตอ่ พรรค หรอื กลุม่ คนตอ่ กลมุ่ คน หากแต่ขยายไปเป็น

นยั วจิ ารณ์ กาลวรรณกรรม | ๔๑

บุคคลต่อบุคคล และโดยเฉพาะ อย่างยิ่งตัวบุคคลนั้นคือคนใน
ครอบครัวเดียวกัน ผู้เขียนสะท้อนภาพครอบครัวหนึ่งที่มีสามคน
พ่อแม่ลูก โดยมีเด็กชายวัยรุ่นเป็นตัวดำเนินเรื่องและแทนตัวเองวา่
“ผม” ซึ่งเด็กชายผู้นี้ต้องดำรงชีวิตอยู่ท่ามกลางความขัดแย้งใน
ครอบครัวอันประกอบไปด้วยพ่อและแม่ที่มีทัศนคติทางการเมือง
แตกตา่ งกัน ซ่ึงส่วนท่ดี ขี องเร่ืองสั้นเร่ืองนี้ คอื การแฝงสัญลักษณ์ไว้
ในเรื่อง คือมีการแยกสีเป็นเหลืองและแดง แม่เป็นฝ่ายสีแดง ส่วน
พอ่ ออกตวั ว่าไม่ใชส่ ีเหลือง แตก่ ็เกลยี ดแดงอย่างสุดจิตสุดใจ มีการ
บรรยายถึงบรรยากาศทางการเมืองที่ระอุอ้าว มีแต่ความบาดหมาง
จนวันหนึ่งเกิดมีการชุมนุมใหญ่ แม่ออกไปร่วมชุมนุมและหายไป
เมื่อเหตุการณ์รุนแรงขึ้น พ่อออกติดตามและพามากลับมาได้
ผ ู ้ เ ข ี ย น แ ส ด ง ใ ห ้ เ ห ็ น ว ่ า ล ึ ก ล ง ไ ป ใ น ค ว า ม ขั ด แ ย ้ ง ท า ง ก า ร เ ม ื อ ง
ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลต่อบุคคลสำคัญกว่า เพราะเมื่อ
สถานการณ์คับขันจริง พ่อก็ลืมเรื่องความขัดแย้ง และแสดงความ
รักอนั แทจ้ รงิ ท่มี ีอยูล่ กึ ซึ้งตอ่ แม่ออกมา

หากเปรียบแล้วพ่อก็คือฝ่ายสีเหลือง แม่คือฝ่ายสีแดง ซึ่งคน
ไทยทุกคนที่ไม่เข้ากับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ก็เปรียบเหมือนเด็กหนุ่มคน
นั้นที่ไม่อยากเห็นพ่อและแม่ทะเลาะกัน หวังเพียงแค่ให้ความ
ขดั แย้งผ่านไปโดยเรว็ ไมต่ า่ งกับคนไทยในปี พ.ศ.๒๕๕๓ ที่ไม่อยาก
ให้ความขัดแยง้ น้นั เกิดข้ึน

นยั วิจารณ์ กาลวรรณกรรม | ๔๒

ระหวา่ งทางกลบั
บา้ น

ผู้แต่ง : อังคาร จันทาทิพย์
รางวลั ทไี่ ด้รบั : กวนี ิพนธร์ างวัลวรรณกรรมสร้างสรรคย์ อดเย่ยี ม
แห่งอาเซยี น (ซีไรต์) ป๒ี ๕๖๒
ผวู้ จิ ารณ์ : นางสาวจนั ทนยี ์ ไทรสังขดำรงสิน

นยั วจิ ารณ์ กาลวรรณกรรม | ๔๓

กวีนิพนธ์เรื่อง ‘ระหว่างทางกลับบ้าน’ ของ ‘อังคาร จันทา
ทิพย์’ นำเสนอมิติใหม่ของความหมายคำว่า ‘บ้าน’ และ ‘การ
เดินทางกลับบ้าน’ทั้งด้านรูปธรรมและนามธรรมทั้งในระดับที่เป็น
ปจั เจกบุคคลและในระดับสากลบ้านในเมืองและบ้านในชนบท บ้าน
ในอดีตและบ้านในปัจจุบัน บ้านจึงมีความหมายที่ไม่ได้ขึ้นกับพื้นท่ี
หากแต่เป็นความรักและความผูกพัน ช่วยหลอมรวมจิตวิญญาณ
ของมนษุ ย์ องั คาร จันทาทิพย์ ยังใช้ภาพลักษณข์ องบ้านเพื่อวิพากย์
ปัญหาสังคม การเมือง สงคราม ความขัดแย้ง และความเชื่อ ด้วย
น้ำเสียงที่สุขุม ลุ่มลึก จรรโลงใจและจรรโลงสังคม ทำให้ผู้อ่าน
ตระหนักถึงความสำคัญของบ้านและความสัมพันธ์ของคนในบ้าน
ทั้งยังผสาน กวีนิพนธ์กับศิลปะเพื่อเปิดมิติคุณค่าของชีวิตที่ถูก
มองข้ามกวีใช้ท่วงทำนองกลอนสุภาพที่มีถ้อยคำ ลีลา และจังหวะ
เฉพาะตนอย่างกลมกลืนกับภาษา ศิลปะและวัฒนธรรมที่เป็นสีสัน
ท้องถิ่น สร้างจินตนาการที่สื่อผัสสารมณ์ และเปิดพื้นที่ให้ผู้อ่าน
ตีความหมายกระตุ้นให้ครุ่นคิด และทบทวนความหมายของคำว่า
‘บ้านของตนเอง’

การเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ในภาวะการณ์ของโลก เช่น บทกวี
‘เพื่อนบ้าน’ สะท้อนเรื่องราวของป่ามาเป็นหมู่บ้านที่ต้องค่อย ๆ
ผ่อนซื้อ บทกวี ‘รั้วบ้าน’ สะท้อนกำแพงสร้างแทนต้นไม้ บทกวี
‘แสง-เงาเหนอื หลังคาบ้านพักคนชรา’ สะทอ้ นการใชช้ วี ติ ของผู้เป็น
แม่ยามชราอย่างน่าสะเทือนใจ บทกวี ‘บ้านเรือนชาวซีเรีย (แขน
และขาทั้งสองของประวัติศาสตร์)’ สะท้อนโศกนาฏกรรมอุบัติซ้ำ

นยั วจิ ารณ์ กาลวรรณกรรม | ๔๔

อย่างปวดร้าว ก่อให้เกิดพลังความคิดออกมาอย่างชัดเจน และทรง
พลัง “บ้าน” จึงเป็นภาพแทนจากภาพเล็กไปสู่ภาพใหญ่ เป็น
สญั ลักษณ์ ความภาคภมู ิใจ ความศรทั ธา และตัวแทนแห่งความหวัง
เปน็ พลงั ผลกั ดนั ใหผ้ ู้อ่านไดค้ ิดการหาคำตอบดว้ ยตนเอง

การสร้างสรรค์ในบทกวี “ระหว่างทางกลับบ้าน” ใช้ประเด็น
ของ “บ้าน” เป็นแกนกลางในการดำเนินเรื่อง คำว่า “บ้าน” จึง
เป็นคำสำคัญในบทกวีแทบทุกบท เอื้อให้ผู้เขียนสามารถประกอบ
สร้างความหมายของบ้านได้หลากหลายมิติ ทั้งยังสร้างความเป็น
เอกภาพแก่เนื้อเรื่องโดยรวม แสดงให้เห็นถึงความคิดสร้างสรรค์ท่ี
แปลกใหม่ ทั้งด้านเนื้อหาและกลวิธีการนำเสนอ และวิธีการเล่า
เรื่องที่แสดงถึงความตั้งใจและพิถีพิถัน โดยเฉพาะในด้านการสร้าง
เนื้อเรื่อง อาจกล่าวได้ว่า เสน่ห์อย่างหนึ่งในกลวิธีการเล่าเรื่อง
“ระหว่างทางกลับบ้าน” ก็คือการสอดแทรกนิทานพื้นบ้าน ความ
เชื่อ มีการพล็อตเรื่องเสมือนภาพยนตร์ ให้มีฉาก มีตัวละคร มี
บรรยากาศ มีคำพดู ของตวั ละคร ดงั เช่น บทกวี ‘เม่อื รุง้ ลงกินน้ำ’ ที่
นำเรื่องเล่าและความเชื่อเรื่องรุ้งกินน้ำมาผสมผสาน สอดร้อยกับ
เนื้อหาบทกวีอย่างกลมกลืนสื่อความหมายได้อย่างลงตัวแสดงให้
เหน็ วธิ ีคดิ และวิธี “ผกู ” เรื่องได้ชดั เจน

นยั วิจารณ์ กาลวรรณกรรม | ๔๕


Click to View FlipBook Version