The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

รวมงานวิจารณ์ของนักศึกษาชั้นปีที่ ๓ สาชาวิชาภาษาไทย

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by manita1202, 2022-11-06 13:01:12

นัยวิจารณ์ กาลวรรณกรรม

รวมงานวิจารณ์ของนักศึกษาชั้นปีที่ ๓ สาชาวิชาภาษาไทย

จ๋ิว กบั น้อย

ผ้แู ตง่ : วีรศลิ ป์ วิฬาร
รางวัลที่ไดร้ บั : นยิ ายสำหรับเยาวชน รางวลั เเว่นแกว้ รองชนะเลิศ
อนั ดบั ๑
ผวู้ ิจารณ์ : นายจริ วัฒน์ หา้ วเจริญ

รางวัลเเว่นแก้ว เป็นนิยายสำหรับเยาวชน เพื่อส่งเสริมให้
คนไทยอ่านวรรณกรรมที่เขียนโดยคนไทยมากขึ้น ส่งเสริม
บรรยากาศการอา่ นและการเขียนวรรณกรรมให้เกิดข้ึนในสังคมไทย
อย่างต่อเนื่อง โครงการประกวดวรรณกรรมรางวัล "แว่นแก้ว" จัด
ขึ้นครั้งแรกในปี พ.ศ. ๒๕๔๓ โดย บริษัท นานมีบุค๊ ส์ จำกัด ในการ
ประกวดครั้งแรกมีวรรณกรรมประเภทเดียวคือ "นวนิยายสำหรับ
เยาวชน"

หนังสื่อเรื่อง จิ๋ว กัน น้อย เป็นนวนิยายที่ได้รับรางวัลเเวน่
เเก้ว รองชนะเลิศอันดับ ๑ ประเภทนวนิยายสำหรับเยาวชน เเต่
เป็นนวนิยายที่เเตกต่างจากนวนิยายสำหรับเยาวชนเรื่องอ่ืน

นยั วจิ ารณ์ กาลวรรณกรรม | ๔๖

เนอ่ื งจากผเู้ ขียนมคี วามคิดว่านวนยิ ายเด็ก ไมจ่ ำเปน็ ต้องโลกสวยฟ้า
ใสตลอดไป นวนิยายเด็กก็สามารถ drak ได้ ซึ่งทำให้มีความความ
เเปลกใหม่ในเเวดวงนวนิยายสำหรับเด็ก ซึ่งนวนิยายเรื่องนี้มีการ
ดำเนนิ เรื่องโดยการใช้ตัวละคร ที่สมมุติขึ้น ไมใ่ ช่ผี ไมใ่ ชเ่ ทวดา เป็น
การเปิดให้ผู้อ่านจินตนาการ เป็นการเล่าเรื่องราวชีวิตของน้อย ที่
เกิดมาในครอบครัวสมบูรณ์ เเต่กลับกัน ชีวิตของน้อยนั้นต้องเจอ
เรือ่ งราวอันโหดร้ายจากผูเ้ ป็นพระในบ้านทั้งสอง

เนื้อเรื่องเเบ่งเป็นตอน โดยชื่อของเเต่ละตอนนั้นจะสื่อถึง
เรือ่ งราว สถานการณท์ ี่เกี่ยวขอ้ งกนั เชน่ ในตอนท่ี 2 ชอ่ื ตอนว่า ช่าง
ตัดผมมือใหม่ มีส่วนเกี่ยวข้องกันคือ สถานการณ์ที่คนผู้เป็นพ่อ ทำ
การตดั ผมให้กับลูกๆ ถ้าสังเกตการดำเนินเร่อื ง กลการเลา่ เรือ่ ง เเละ
จุดพีคของเร่ือง จะเเสดงความเป็นตัวตนของผู้เเต่ง เนื่องจากว่านว
นิยายเรื่อง จิ๋ว กับ น้อย เเต่งโดยสุณริศร เเก้วม่วง นามปากกาที่ใช้
ในเรื่องใช้นามปากกาว่า วีรศิลป์ วิฬารศิลป์ จบการศึกษาจาก
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ คณะมนุษศาสตร์ สาขาสื่อสารมวลชน ผู้เเต่
งมองเห็นถึงความเเตกต่างในการเเตง่ นวนิยาย ที่เเปลกไปจากเร่อื ง
อื่น มีการสอดเเทรกความเป็นเรื่องราวใหม่ๆในสังคมปัจจุบันคือ
การทนี่ อ้ ยไม่ใชเ้ ด็กผู้ชาย เเตน่ ้อยเปน็ LGBTQ ซ่ึงส่ิงนี้เเสดงให้เห็น
วา่ ผู้เขียนมีความคดิ ทเ่ี ปิดรับสงิ่ ใหมๆ่ ในสงั คมปัจจบุ ัน

เน่ืองเรื่องเปิดเรื่องโดยการบรรยาย ความเป็นมาของ
ครอบครัวของน้อย ตั้งเเต่สมัยรุ่นปู่ รุ่นย่า ว่ามีการอพยพมาจาก
อำเภอบางบาล จังหวัดพระนครศรีอยุธยา มาที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ท่ี
ปัจจุบัน คือบางกอก(ชุมชนริมน้ำ) การบรรยายถึงการเดินทางมา
ทางเรือ การสร้างบ้านสร้างที่อยู่อาศัย การปลุกข้าว การหากุ้งหอย

นยั วิจารณ์ กาลวรรณกรรม | ๔๗

ปูปลาสามารถสังเกตได้จากตอนที่ 10 ตอนเรือบึ่งของพ่อ(หน้า
50) สะท้อนให้เห็นว่าการอยู่ชุมชนริมน้ำต้องเตรียมการก่อนหน้า
น้ำท่วม คอื การต่อเรอื และสะท้อนสังคมของคนท่ยี ้อนกลับไปหลาย
สบิ ปี วา่ ใช้การเดนิ ทางทางน้ำมากกว่าทางบก

จิ๋วได้เล่าชีวิตของนอ้ ยตั้งแต่เริ่มกส็ ามารถมองเห็นถึงความ
ทกุ ข์ของนอ้ ย เห็นไดจ้ ากเหตุการณท์ ี่พ่อตัดผมใหก้ ับพี่ใหญ่ นิดและ
นอ้ ยดังนี้

พ่อพดู กับพใี่ หญ่ “ผมทรงนกั เรยี นก็คือผมทรงนักเรียนแหละพ่อ”

“จะไมด่ ใู ห้ดีอกี หน่อยรึ เผอ่ื พ่อตดั แหว่งจะได้แกใ้ ห”้

“พอ่ ตัดใหท้ งั้ ทยี ังไงกต็ ้องสวยอยแู่ ลว้ ใหญ่ไปอ่าน
หนังสือตอ่ นะ” (หน้า 12 )

จากบทความข้างต้นแสดงให้เห็นวา่ พ่อมีความเอ็นดูพี่ใหญ่
กับนิด(การตัดผมของนิดใช้เวลาตัดเร็วและง่ายเนื่องจากเป็นเด็ก
เล็ก) แต่ต่างจาการกระทำของพ่อท่ีทำเหมือนกบั นอ้ ยเป็นเด็กท่ีไม่ดี
สังเกตได้จากการใช้ภาษาในการพูดของพ่อ “จะก้มอะไรหนักหนา
อ่านอะไรอยนู่ อ้ ย”

“อา่ น..อา่ นการ์ตนู ครับ”

“อา่ นทำไมไรส้ าระ เอามานี่ซ”ิ

จากนั้นพ่อเอื้อมมือมาหยับหนังสือในน้อย แล้ทำท่าเหมือ
จะฉีกทิ้ง “พ่ออย่าฉีกนะ นั้นการ์ตูนของพี่ใหญ่” พ่อทำท่าทางไม่
พอใจแล้วเหวี่ยงมันลงพื้น (หน้า 14) ซึ่งตัวของข้าพเจ้ามีวาม

นยั วจิ ารณ์ กาลวรรณกรรม | ๔๘

คิดเห็นวา่ ผ้เู ขยี นจะแสดงให้เห็นว่าบางคร้ังบา้ นทแ่ี สนจะมีความสุข
ของใครหลายๆคน อาจเป็นฝันร้ายของบางคน ซึ่งก็สอดคล้องกับ
เหตุการณ์ต่างในชีวติ ประจำวันทีเ่ ห็นได้ทวั่ ไป ซึง่ ตรงกับส่ิงท่ีผู้ต้ออง
การจะสื่อ

นวนิยายเรื่องจิ๋ว กับ น้อย สะท้อนการไม่เปิดรับเรื่องเพศ
ทางเลือกในสมัย แน่นอนว่าคนเป็นพ่อเป็นแม่ย่อมรู้ทุกอย่างแต่ไม่
พูด สังเกตได้จากตอนที่ 17 ตอนวันปิดภาคเรียน (หน้า 82) น้อย
เป็นคนที่ชอบร้องเพลง ในตอนนี้น้อยได้ทำการบันทึกเสียงร้องของ
ตนลงเทป ในช่วงที่พ่อเห็นน้อยร้องเพลงไม่ค่อยสนับสนุน แต่
กลับกัน พ่อเป็นคนที่สอนให้น้อยใช้เครื่องบันทึกเทปแทน ซึ่งแอบ
แฝงถึงการกระทำของคนผู้เป็นพ่อเป็นที่ลึกแล้วล้วนแต่รักลูกของ
ตนเอง

สิ่งที่สำคัญและเป็นจุดพีคของนวนิยายเรื่องจิ๋ว กับ น้อย
การที่ผู้เขียนได้สอดแทรกให้ตัวละครมีบทที่แสงออกถึงความเป็น
เพศทางเลอื ก LGBTQ สังเกตได้จากข้อความดังนี้

น้อยร้องเพลงโดยแต่งตัวเป็นผู้หญิง เขานำผาปูเตียงสีขาว
มาพันตัวจนแลคล้ายชุดราตรียาว บนหัวใช้ผ้าพันคอสีดำพันไว้
เหมือนวิกผม ที่ปลายผ้าพันคอมีโบสีแดงผูกอยู่ ใบหน้าของเขาขาว
วอกด้วยแป้งเด็กขับสีกุหลาบของสีลปิ สติกใหเ้ ด่นขึ้น (หน้า 118 -
119)

จากข้อความข้างต้น จะสังเกตการกระทำของน้อย ที่ทำ
การแต่งองค์ทรงเครื่องอย่างเต็มยศ ก่อนทำการร้องเล่นเต้นรำจัก
เห็นได้ว่านวนิยายเรื่องนี้มีการสะท้อนสังชคมในสมัยก่อนในเรื่อง

นยั วจิ ารณ์ กาลวรรณกรรม | ๔๙

ของการยอมรบั เพศสภาพ ชายรักชาย มคี วามปดิ กั้นทุกทาง การทา
แป้งหน้าขาวปากแดงก็ตีตราวา่ เปน็ ตุ๊ด เพศทางเลือก LGBTQ ต้อง
ต่อสู้กับเหตการณ์ร้ายแรงต่างอยา่ งมากมาย โดยเฉพาะการพูดจาก
เสียดสี กระทำร้ายร่างกายรวมไปถึงจิตใจ ซึ่งในนวนิยายเรื่องจิ๋ว
กบั น้อยกแ็ สดงออกมาจากบทความเหลา่ นี้

“กะเทย อีกะเทยทำไมมึงเป็นกะเทยแบบนี้” พ่อจิกหัว
น้อยไว้มั่นแล้วตบหน้าเขาไม่ย้ัง (หนา้ 119)

“ตอแหล กะเทยอย่างมึงมีแต่ตอแหล ออกไปให้พ้นจาก
บา้ นกูเด๋ยี วน”้ี น้อยโดนพ่อด่าจนตัวสัน่ เขาหันไปหาแม่พยายามจะ
เอาจดหมายไปใหแ้ มด่ ูแต่แมก่ ลบั มือเขาทิ้ง

“คนโง่อย่างแกจะมีปัญญาไปเข้าที่นั้นได้ยังไง วันๆเอาแต่
สร้างปัญหา อีเด็กสารเลวไร้ค่า มีแต่เลือดชั่วเหมือนพ่อแกน้ัน
แหละ” (หน้า 146 )

จากข้อความข้างต้น แสดงให้เห็นถึงการทำร้ายร่างกาย
การทำร้ายจิตใจของเด็กตัวน้อยๆ บางทีการที่มีครอบครัวไม่พร้อม
ที่คอยเลี้ยงดทู ีด่ ี อาจทำให้เดก็ โตไปเป็นผู้ใหญท่ ่ีทำตวั มปี ัญหาได้

ในบางครั้งการเจอสถานการณ์แบบน้อย อาจทำให้คนๆ
หน่งึ ที่มีอนาคตทีด่ ี มกี ารมงี านทำเปน็ หลกั เปน็ แหลง่ ตอ้ งมาจับชวี ิต
จากคำพูดของผูเ้ ปน็ บิดรมารดาของตน แต่ว่าในนวนยิ ายแสดงออก
แอบแฝงในเชิงการไมย่ อมแพ้ การตอ่ สเู้ ห็นไดจ้ ากทนี่ ้อยไม่ย่อท้อใน
ชวี ติ

นยั วิจารณ์ กาลวรรณกรรม | ๕๐

การใช้ภาษา ข้าพเจ้าคิดเห็นว่ามีการใช้ภาษาที่ค่อนข้าง
แรง เนื่องจากเปน็ หนงั สือนวนยิ ายทไ่ี ดร้ บั รางวนั สำหรบั เด็กและเยา
วน แต่ก็เข้าใจได้ว่าผู้แต่งต้องการที่จะแต่งให้ไปในทางนวนิยาย
drak

นยั วจิ ารณ์ กาลวรรณกรรม | ๕๑

ตอน : เริ่มไปโรงเรียน
ผ้แู ตง่ : ปญั จมา
รางวัลที่ได้รบั : รางวลั รองชนะเลิศสารคดสี ำหรับเยาวชน แว่นแก้ว
ประจำปี ๒๕๔๖
ผวู้ ิจารณ์ : นางสาวณิชยา อาจอาสา

การตั้งชื่อหนังสือ วันวารของแม่ เป็นสารคดีเรื่องยาวที่
บอกเล่าเรื่องราวในอดีตของผู้เป็นแม่โดยเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงกับ
ผู้เขียน ผู้เขียนได้ถ่ายทอดชีวิตของตนในอดีตต้ังแต่วัยเด็ก วัยเรียน
วัยทำงานตลอดจนแต่งงานมีครอบครัว นำเสนอเป็นเรื่องสั้น ๆ จบ
ในตอน สะท้อนให้เห็นถึงวิถีชีวิตในชนบทและภูมิปัญญาพื้นบ้าน
เพื่อให้ผู้เป็นลูกได้นำประสบการณ์และคำสั่งสอนของแม่ไปเป็น
แนวทางในการดำเนินชวี ติ

การใช้ภาษา เป็นภาษาระดับกันเอง มีการใช้ภาษาที่เรียบ
ง่ายและง่ายต่อการเข้าใจ เลือกใช้คำที่สอดคล้องกับเนื้อเรื่องและ

นยั วจิ ารณ์ กาลวรรณกรรม | ๕๒

ฐานะของตัวละครที่มีการใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายในชนบท ก่อให้เกิด

จินตภาพ อรรถรสในภาษา

ผู้เขียนใช้การบรรยายโวหารเพื่อบรรยายถึงเหตุการณ์ต่าง

ๆอยา่ งเปน็ ข้นั ตอน เช่น การลากกาบหมาก

ลากกาบหมาก คือ เอาใบหมากที่หล่นจากต้นมา

รูดใบทกี่ า้ นออกใหห้ มด แลว้ คนหนงึ่ ลาก

กาบหมากไปตามพื้นบนร่องสวน อีกคนนั่งบนกาบหมาก

ผลัดเปลย่ี นกนั ลากไปมา

อกี ท้งั มีถ้อยคำภาษาถนิ่ พร้อมคำอธิบาย เช่นคำวา่

กระดานชนวน คือ กระดานที่ทำจากหินชนวน สี

ดำ กว้างยาวหนงึ่ ฟุตใชเ้ ปน็ ทร่ี องเขียนกับ

ดนิ สอหนิ เมอ่ื ไมต่ อ้ งการขอ้ ความจึงลบดว้ ยผ้า

จึงทำให้ผู้อ่านมคี วามเข้าใจในภูมิปัญญาพื้นบ้าน เนื้อเรื่องบางตอน

แฝงความสะเทือนอารมณ์ด้วยการพรรณนาโวหารที่สะท้อนถึง

ความมุ่งมั่น ให้ผู้อ่านเกดิ อารมณ์คล้อยตาม อันเป็นข้อคิด บทเรียน

ใหก้ ับคนรุ่นใหมไ่ ด้

ฉากและสถานที่ สถานที่ที่ปรากฏในเรื่องคอื ลุ่มแม่น้ำบาง

ประกง อำเภอบางคล้า เมืองแปดริ้วหรือจังหวัดฉะเชิงเทรา เริ่ม

ตัง้ แต่ พ.ศ. ๒๕๐๓

คุณค่าด้านสังคม สะท้อนให้เห็นถึงวิถีชีวิตและภูมิปัญญา

ของคนในอดีต รวมถึงการละเลน่ ต่างๆ ซึ่งในปัจจุบันนั้นวิธีชีวิต ภูมิ

ปัญญา และการละเล่นเหล่านี้ล้วนหาได้ยากเนื่องจากสังคมใน

ปัจจุบันมีการพัฒนาขึ้นในหลายๆ ด้าน เช่น ด้านเทคโนโลยี จึงทำ

ให้เด็กรุ่นใหม่หันมาใช้โทรศัพท์มากกว่าการรวมกลุ่มเพื่อเล่ม

นยั วจิ ารณ์ กาลวรรณกรรม | ๕๓

การละเล่นต่าง ๆ จึงทำให้ในอนาคตการละเล่นเหล่านี้อาจสูญ
หายไปได้

สารคดีเรื่อง วันวารของแม่ เห็นได้ว่า ผู้แต่งมีความรู้และ
ความเข้าใจทั้งในด้านวิถีชีวิตและภูมปิ ัญญาพื้นบา้ น ของผู้คนริมฝง่ั
แม่น้ำบางประกงเป็นอย่างดี รวมถึงการนำเรื่องราวต่าง ๆ ที่ได้พบ
เจอมาถ่ายทอดเป็นตัวอักษร โดยมีการเลือกใช้ภาษาเพื่อนำเสนอ
เรื่องราวได้อย่างเหมาะสม ทำให้ผู้อา่ นสามารถเข้าใจเกิด จินตภาพ
คล้อยตาม

อีกทั้งยังถือเป็นเรื่องที่ผู้อ่านได้รับความรู้เกี่ยวกับวิถีชีวิต
และภูมิปัญญาของผู้คนในอดีต รวมถึงการละเล่นต่าง ๆ ที่มี
สอดแทรกอยู่ในเนื้อเรื่องทุกตอน ทั้งยังมีการเปรียบเทียบอดีตและ
ปัจจุบันในเรื่องต่าง ๆ อาทิ เรื่องความไพเราะของการแต่งบทเพลง
ซ่งึ เพลงในอดตี และเพลงในปัจจุบันมีความแตกตา่ งกัน เป็น
อย่างมาก ผู้เขียนสามารถนำมาเปรียบเทียบเพื่อให้ผู้อ่านได้เห็นถึง
ความสำคัญของคุณค่าของภาษามากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นการสอดแทรก
ข้อคิดในเนื้อหาได้อย่างลงตัว ทั้งน้ียังนับได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งในการ
อนรุ ักษ์ ภมู ิปญั ญาพน้ื บา้ น โดยการสรา้ งสรรคผ์ า่ นงานเขียนอีกทาง
หนง่ึ ไดเ้ ป็นอย่างดี

นยั วิจารณ์ กาลวรรณกรรม | ๕๔

ใบไม้ในทุ่งหญ้า

ตอน : มนุษยเ์ กิดจากต้นหญ้าชนิดเดยี วกนั
ผ้แู ตง่ : วันทนีย์ วบิ ูลกิรติ
รางวัลทไี่ ดร้ บั : นวนยิ ายสำหรับเยาวชน รางวลั ชมเชย แวน่ แก้ว
ประจำปี ๒๕๔๔
ผูว้ ิจารณ์ : นางสาวพมิ ผกา พิทกั ษช์ าตคิ ีรี
เคา้ โครงและเนื้อหาโดยสงั เขป

หนังสือเล่มนี้แต่งโดย วันทนีย์ วิบูลกิรติเป็นนวนิยายของ
เยาวชน ซึ่งเป็นเรื่องราวของเด็กวัย สิบสาม ปี ในวัยนั้นซ่ึงกำลังจะ
พ้นจากความเป็นเด็ก แต่เขากำลังสับสนกับสิ่งต่าง ๆรอบตัวที่
เกิดข้นึ ในชวี ิต ทง้ั พ่อแม่ แยกทางกนั การเรียน ความรักความเข้าใจ

นยั วิจารณ์ กาลวรรณกรรม | ๕๕

จากคนรอบข้าง ตอนเด็กคนนี้อยู่กรุงเทพฯพ่อแม่ไม่ค่อยอยู่บ้าน
ครอบครัวไม่เคยรับประทานอาหารร่วมกัน และไม่เคยเล่าเรื่อง
ส่วนตัวให้กันและกัน เด็กคนนี้ต้องอยู่กับโลก อินเตอร์เน็ต เกม
ออนไลน์ เขาไม่ค่อยมีเพื่อน สอบวิชาบังคับตกทั้งที่เขาชอบอ่าน
หนงั สือ เขาชอบงานฝีมอื ประดิษฐส์ ่งิ ของต่าง ๆ

ผู้เขียนบรรยายถงึ เด็กกับจิตนาการเป็นของคู่กัน แต่แปลก
เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่หลายๆคนกลับเดิน แยกคนละทางกับจิตนาการ
ผู้ใหญ่บางคนยังจำภาพตอนเด็กได้จึงเข้าถึงและสื่อสารกับคนรุ่น
หลังเป็นอย่างดี ผู้วิจารณ์เห็นว่า หนังสือเล่มนี้เหมาะสำหรับเด็ก
และเยาวชน ผู้เขียนอยากให้เด็กทุกคนที่กำลังเติบโตไปเป็น ผู้ใหญ่
ที่สมบรู ณ์

มีขั้นตอนการดำเนินเรื่องเป็น ตอน บรรยายถึงเหตุการณ์
ต่าง ๆเป็นตอนผู้เขียนใช้ภาษาเรียบง่าย เข้าใจง่าย ตัวละครเป็นตวั
ละครเดิมมีตัวละครที่เป็นใบไม้ และมีตัวละครที่เป็นคน ฉากและ
สถานที่ส่วนมากจะ เกี่ยวกับการผจญภัยในดินแดนแห่งความ
เหมอื น คณุ คา่ ด้านสงั คม สังคมในตอนนนั้ มีอินเตอรเ์ น็ตจึงปล่อยให้
ลูกอยู่กับโลกออนไลน์ สะท้อนให้เห็นถึง สังคมในปัจจุบันที่พ่อแม่
ออกไปทำงานไม่มีเวลาดูลูกปล่อยให้ลูกอยู่กับโทรศัพท์มากกว่าใช้
เวลาอยู่กับลูก จึงมี เด็กบางคนมีพัฒนาการที่ผิดปกติและมีความ
ปกติทางดา้ นอารมณจ์ ิตใจ หนังสือเลม่ น้ีมีคุณค่าทงั้ ต่อการอ่านและ
การครอบครองไว้ได้และเยาวชนอ่านแล้วชื่นชอบมากรวมทั้ง ได้
เรียนรู้ ซึมซาบสิ่งต่าง ๆต่อการพัฒนาการของตนเอง ผู้เขียนมี

นยั วจิ ารณ์ กาลวรรณกรรม | ๕๖

จุดประสงค์ส่งเสริมให้คนไทยอ่านวรรณกรรม ที่เขียนโดยคนไทย
มากขึ้น และส่งเสริมบรรยากาศการอ่านและการเขียนวรรณกรรม
ให้เกิดขึ้นในสังคมไทย อย่างต่อเนื่อง ผู้เขียนคาดว่าคนไทยหันมา
อ่านและสนับสนุนวรรณกรรมโดยนักเขียนไทยมากขึ้น และ
พัฒนาการเขยี นวรรณกรรมของคนไทยให้ก้าวหนา้ ยิง่ ข้นึ

นยั วจิ ารณ์ กาลวรรณกรรม | ๕๗

ม้าน้ำสีทอง

เร่อื ง : มา้ นำ้ สีทอง
ผ้แู ตง่ : เอกอรณุ
รางวัลท่ีได้รับ : ไดร้ ับรางวัลชมเชยวรรณกรรมเยาวชนรางวัลแว่น
แกว้ คร้ังท่ี 13 ปี 2559
ผ้วู ิจารณ์ : นายณฐั ภาส สังข์วรรณะ

นยิ ายเรอ่ื ง “มา้ น้ำสีทอง” แตง่ โดย เอกอรุณ เปน็ หนังสือ
ประเภทเรอ่ื งจรงิ องิ นยิ าย เนอ้ื เรอ่ื งผเู้ ขยี นไดเ้ ขยี นสะท้อนถึงสภาพ
ความเป็นอยู่วิถีชีวิตของชาวประมงและและวิธีชีวิตของม้าน้าที่จะ
ถูกนำมาขายในท้องตลาดบรรยายภาพให้เห็นถึงสภาพแวดล้อมของ
การใช้ชีวิตแบบยากจนของลูกหลานชาวประมงและการออกไปจับ
ปลาในแตล่ ะครั้ง

หน้าปกหนังสือเหมือนเป็นรูปเด็กที่อยู่ใต้น้ำไม่ใช้การเลี้ยง
มาน้ำในตู้ทำให้ผู้อ่านเห็นแล้วคิดว่าเป็นการลงไปดูม้าน้าในท้อง

นยั วจิ ารณ์ กาลวรรณกรรม | ๕๘

ทะเลแต่พออ่านแล้วถึงทำให้รู้ว่าเป็นการเลี้ยงม้าน้ำของเด็ก 2 คน
ในการหาเลี้ยงชีพด้วยชีวิตที่อยากจนเพื่อที่จะหารายได้มาซื้อ
กางเกงทข่ี าดจึงทำให้ตอ้ งไปหารายได้

คำนำของเร่ืองม้าน้ำสีทองเปน็ การบอกถึงม้าน้ำว่าสามารถ
เลี้ยงได้เป็นเรื่อที่บางคนไม่เคยรู้แต่ไม่ได้บ่งบอกถึงเรื่องราวของ
เด็กชาย 2 คนที่พยามยามหาเลี้ยงชีพของตนเองโดยการทำทุก
อย่างเพอ่ื หาเงนิ ไปซือ้ กางเกงตัวใหมแ่ ทนกางเกงกน้ ปะ

การเล่าเรื่อง"กว่าจะเจอม้าน้ำสีทองก็ปาไปครึ่งเรื่อง..."ทำ
ให้ผู้อ่านเกือบไม่เขา้ ใจว่ามาน้ำอยู่ตรงไหนของเรื่องกว่าจะอ่านจนรู้
ว่าไมใช้เรื่องม้าน้ำแต่เป็นเรื่องการหาเลี้ยงชีพของเด็กชาย 2 คน
คอื สนและโต้
ดว้ ยความยากจนและอยากได้กางเกงนักเรียนใหม่ ทำให้ "สน" และ
"โต้" ต้องหารายได้เสริม ทั้งสองคนได้ติดตาม "ชิต" และได้เรียนรู้
การเก็บปลาที่หล่นจากเรือประมงมาขายและได้รู้จักกับ "ม้าน้ำสี
ทอง" จนนำไปสู่ภารกิจครั้งใหญ่คือการเพาะเลี้ยงม้าน้ำเพราะทำ
รายได้ดีจึงทำให้เด็กทั้ง 2 สนใจในการเลี้ยงม้าน้ำเป็นอย่ามากจน
เพราะเลี้ยงสำเร็จและได้ทนุ ในการเพราะเล้ียงมาน้ำเพือ่ ปล่อยคืนสู้
ทะเลของโรงเรียน

การเลา่ วธิ ีชาวประมงทำใหเ้ ราเห็นว่าลกู หลานชาวประมงก็
ไมจ่ ำเปน็ ต้องว่าน้ำได้แต่ก็มนั ก็ขดั แย้งกับการท่ีลูกหลานชาวประมง
วา่ ยน้ำไม่เป็นละการเก็บการของเรือชาวประมงท่ีลำใหญโ่ ตมโหฬาร
แต่ใช้สวิงตักปากขึ้นมาได้ถึงตลาดปลาตอนเช้าจะคึกคักและมีคน
มากมายทำการซื้อขายปลาต่างที่จับมาได้เป็นการเห็นสิ่งที่แปลก
ใหม่ท่ไี ดเ้ ห็นของการเลา่ เรื่อง

นยั วิจารณ์ กาลวรรณกรรม | ๕๙

เมอ่ื วานน้ี

เรือ่ ง : เมอ่ื วานน้ี
ผแู้ ต่ง : ศรี เกศมณี
รางวัลที่ได้รับ : ได้รับเป็นวรรณกรรมเยาวชนรางวัลแว่นแก้ว
ประจำป2ี 546
ผ้วู ิจารณ์ : นายอภญิ ญา ลาเขต

นวนิยายเรื่องเมื่อวานนี้แต่งโดย ศรี เกศมณี วรรณกรรม
เรื่องเมื่อวานนี้มีทั้งหมด 12 ตอน เป็นหนังสือนวนิยายวรรณกรรม
เยาวชน แว่นแก้ว เหมาะกับเยาวชนทุกเพศทุกวัยผู้เขียนได้เขียนไว้
เกี่ยวกับการรักชาติบ้านเมืองที่ได้เล่าถึงประสบการณ์ชีวิตช่วงหนึ่ง
ของวัยเด็กที่มตี ่อพ่อแม่ ครอบครัวและประเทศชาติ เรื่องนี้เกดิ ขึ้น

นยั วจิ ารณ์ กาลวรรณกรรม | ๖๐

จรงิ ในประเทศไทย ทีไ่ ดเ้ กดิ สงครามโลกครง้ั ท่ี2 ทำให้ผ้คู นชาวบ้าน
ที่เคยอยู่อย่างสงบแต่ต้องมาแตกแยกพรากแม่พรากลูกกันเพราะ
สงครามที่เกิดขึ้นทำให้สถานการณ์บ้านเมืองตกต่ำเพราะได้รับ
ผลกระทบทุกหย่อมหญ้ากล่าวได้คือ….ช่วงชีวิตวัยเด็กคนหน่ึง
ชื่อ "ก้อย" คือความทรงจำถึงช่วงชีวิตที่เธอ แม่ พี่ชาย และพี่สาว
ต้องฟันฝ่าในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง จากชีวิตลูกผู้ดีเก่าที่สุข
สบาย ต้องระหกระเหินหนีการทิ้งระเบิด เมื่อฝรั่งเศสเริ่มรุกราน
แผน่ ดนิ ไทยกอ่ นเม่ือเชา้ วนั ท่ี28พฤศจิกายน 2438ได้นำเคร่ืองบิน
มาทิ้งระเบิดที่จังหวัดนครพนมสงครามอินโดจีนได้เริม่ ขึ้น แม่ได้ทำ
ตามที่รัฐบาลประกาศคือพลางแสงในบ้านโดยการใช้กระดาษสีดำ
ทำเป็นกรวยแล้วครอบโคมไฟอีกทีชาวบ้านต้องรีบตื่นแต่หัวค่ำเพอ่ื
ตื่นมาทำกับข้าวส่วนกลางคืนให้ใช้ไฟน้อยดวงเพื่อลดความสว่าง
ของแสงในยามค่ำคืน....พอสงครามอินโดจนี ไดย้ ตุ ิรบกันได้เพียง92
วันญี่ปุ่นได้อ่างว่าเยอรมันขอให้มาไกล่เกลี่ยข้อพิพาทเยอรมันกับ
ญป่ี ่นุ เป็นฝ่ายเดยี วกนั ในสงครามโลกครั้งทส่ี องด้วยกันอยู่แล้วคงจะ
เห็นผลประโยชน์ร่วมกันอะไรบางอย่างญี่ปุ่นเข้ามาไกล่เกลี่ยครั้งนี้
แล้วบอกไทยว่าจะช่วยให้ไทยคืนดินแดนตามที่ต้องการเม่ื อเสร็จ
งานจะไม่ขอรางวัลอันใดเป็นอันขาด....สงครามไทยกับฝรั่งเศสใน
อินโดจีนจึงได้ยุติจรงิ โดยทหารทั้งสองฝ่ายถ่อยออกจากที่ตั้งเทา่ ๆ
กัน เมื่อวันท่ี28กุมภาพันธ์ 2484 เป็นการศึกที่มีระยะสั้นๆเพียง
92วันแต่เป็นการสร้างวีรกรรมที่ไม่อาจลืมเลือนได้... เพราะ
ครอบครัวพลัดพรากไม่รู้จะได้พบกันอีกเมื่อใด ก้อยต้องเรียนรู้และ
เปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อเอาตัวรอด จนกว่าภัยสงครามจะผ่านพ้น

นยั วิจารณ์ กาลวรรณกรรม | ๖๑

และเร่ืองท้ังหมดกลายเป็นเพียงส่งิ ทเี่ กดิ ขึน้ "เมื่อวานน้ี" เป็นความ
ทรงจำที่ทั้งทุกข์ สุข เศร้า ตื่นเต้น ผิดหวัง และสมหวัง แต่เหนือส่ิง
อื่นใด "เมื่อวานนี้" คือบทเรียนที่ช่วยเตือนใจให้ระลึกเสมอว่า
ความสามคั คี การช่วยเหลือกนั และความรว่ มมือรว่ มใจกนั คือส่ิงที่
จะช่วยทุกคนให้อยู่รอดปลอดภัย ทำทำให้มีการรักชาติบ้านเมือง
และรู้จักการสามัคคีกันแล้วจะผ่าน อุปศักดิ์ต่างๆได้ ทั้งนี้ยังมี
เพลงปลุกใจหลายเพลงให้มีการรักชาติและคนที่แต่นั้นคือ จอมพล
ป. พบิ ูลสงครามโดยมรหลวงวิจติ รวาทการเปน็ ท่ีปรึกษาให้และยังมี
ละครอกี มากมายทอ่ี อกมาเรอ่ื ยๆเก่ยี วกับการรักชาติบ้านเมือง
สรปุ
นวนิยายเรื่อง เมื่อวานนี้ ผู้แต่งทำให้เกิดความรักแผนพื้นดินของ
ประเทศของเราไว้ถา้ เราสามัคคีกันกไ็ ม่มผี ู้ใดสามารถยึดแผ่นดินเรา
ไปได้ดังนั้นเราจึงต้องสามัคคีกันร่วมมือกันช่วยกันทุกๆฝ่ายทุกคน
ตางร่วมมือกันจะทำให้แผนดินของเราคงอยู่ต่อไปได้ดังนั้น จอมพล
ป. พิบูลสงคราม จึงแต่งเพลงปลุกใจขึ้นมาเพื่อเป็นกุศโลบายให้ทุก
คนรักชาติรักแผนดนิ ของตวั เองและยงั มลี ะครอีกมากมายท่ีเก่ียวกับ
การรักชาติแต่งขึ้นมาตามหลังกนั มาเพื่อปลกุ ใจใหท้ ุกคนเกิดการรัก
ชาติใหม้ ากท่สี ุดเท่าทีจ่ ะทำได้

นยั วจิ ารณ์ กาลวรรณกรรม | ๖๒

ครอบครวั กลางถนน

เร่ือง : ครอบครวั กลางถนน
ผ้แู ตง่ : ศลิ า โคมฉาย
รางวลั ทไ่ี ด้รับ : ปี ๒๕๓๕ รวมเรอ่ื งส้นั “ครอบครวั กลางถนน”
(รางวัลดเี ดน่ งานสปั ดาหห์ นงั สอื แห่งชาติ ปี ๒๕๓๖ และรางวลั ซี
ไรต์ในปีเดียวกัน)
ผวู้ จิ ารณ์ : นางสาวณฐั วรรณ บญุ กอ

หนังสือรวมเรื่องสั้น ครอบครัวกลางถนน เรื่องสั้นสะท้อน
ภาพชีวิตคนเมืองในสังคมปัจจุบันซึ่งกำลังเผชิญปัญหาครอบครัว

นยั วิจารณ์ กาลวรรณกรรม | ๖๓

เศรษฐกิจ และการเมือง จำนวน ๑๓ เรื่อง คือ ขาซ้ายของแม่ ถ้าผม
เป็นพ่อ ด่าน คืนเหน็บหนาว ดอกเลือด ผู้เข้าใจ ครอบครัวกลาง
ถนน อิสรภาพ มีดของนาย มโนกรรม เทพธิดา เสียหมา เด็กหัวข้ี
เลื่อยกับกระดาษห่อหนังสือ ส่วนใหญ่แสดงภาพชีวิตของคนช้ัน
กลางในเมืองหลวง ที่กำลังต่อสู้ดิ้นรนท่ามกลางความผันแปรของ
สังคมปัจจุบัน โดยดึงปัญหาหลากหลายแง่มุมมาผูกร้อยเรื่องราว
เช่น ความสัมพันธ์ ความขัดแย้งของคนในครอบครัว การดิ้นรน
เพื่อความอยู่รอด ความเครียดที่ถูกสังคมบีบคั้นและเร่งรัด และ
ความกดดันรนุ แรงท่ีไม่มีทางออก ผเู้ ขียนได้สรา้ งสรรค์ภาพชีวิตจาก
ความเขา้ ใจชีวติ และสังคมรอบตัว

ศิลา โคมฉายใช้ลีลาการเขียน การถ่ายทอดคมคาย ภาษา
สละสลวย เล่นกับตัวอักษรได้อย่างถึงอารมณ์ ใช้สำนวนโวหารท่ี
สร้างบรรยากาศและจินตภาพ ทำให้ผู้อ่านสามารถสัมผัสอารมณ์
ความรู้สึกนึกคิดของตัวละครได้อย่างแนบเนียน ตัวอย่างเช่น
“ตัวหนังสือโย้เย้แนวยาวคล้ายรั้วไม้ผุๆ กันวัวกันควาย หมึกลูกลื่น
ซึมแข็งเป็นก้อนตรงหัวตัว ง. และเปื้อนเป็นคราบสีน้ำเงินหลาย
แห่ง” และ “ปิดประตูห้องปัง! ทิ้งตัวลงนอนหงายพาดขวางที่นอน
ปล่อยให้ขาห้อยไรเ้ รี่ยวแรง สองมือประสานรองรับท้ายทอย ตาลืม
โพลงจ้องจับเพดาน”จากตัวอย่างข้างต้น จะเห็นได้ว่าผู้เขียนใช้
ภาษาบรรยายทำให้เกิดภาพ แต่ละบทละครแฝงข้อคิดและปรัชญา
ผ่านบทบาทของครอบครัวในสังคมเมืองกรุงที่อยู่ในระดับรวยและ

นยั วิจารณ์ กาลวรรณกรรม | ๖๔

ฐานะปานกลางมีบางบทท่ีอ่านแล้วยังไม่คอ่ ยเขา้ ใจต้องอา่ นทวนซำ้
หลายๆรอบ เพราะใชภ้ าษาถา่ ยทอดได้ถงึ อารมณ์

หนังสือเรื่อง ครอบครัวกลางถนน ได้เสนอปัญหาและ
ประเด็นหลากหลาย ซึ่งล้วนแต่เป็นปัญหาที่ชวนให้ผู้อ่านหันมา
ตระหนักและแก้ไข แสดงให้เห็นถึงวิถีชีวิตของคนเมือง ท่ามกลาง
ความวุ่นวาย เอารัดเอาเปรียบ การแข่งขันทางธุรกิจ ทั้งเรื่องของ
คนชนชั้นกลางซึ่งเป็นผู้เสียเปรียบในสังคม แล้วยังสะท้อนให้เห็น
ปัญหาของชนชั้นกลางกับสภาพสังคมในเมืองหลวงซึ่งล้วนเป็น
ปญั หาที่กำลังเป็นอยู่และจะเปน็ ไปในอนาคต

นยั วจิ ารณ์ กาลวรรณกรรม | ๖๕

เดฟ่ัน

เรอื่ ง : เดฟน่ั
ผู้แตง่ : ศริ ิวร แก้วกาญจน์
รางวัลที่ได้รับ : รางวัลวรรณกรรมสรา้ งสรรค์ยอดเย่ยี มแห่ง
อาเซียน ประจำปี พ.ศ.2564
ผู้วิจารณ์ : นางสาวสดุ ารัตน์ ชูแกว้ ไม้
นวนิยาย “เดฟั่น เรื่องเล่าของตระกูลคนเฆี่ยนเสือจากไทรบุรี”
ผลงานชนะเลศิ นวนยิ ายรางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเย่ียมแห่ง
อาเซียน (ซีไรต์) ประจำปี พ.ศ.2564 ผลงานจากปลายปากกาของ
ศิริวร แกว้ กาญจน์ กวี นกั เขยี น ผกู้ อ่ ตัง้ สำนกั พมิ พผ์ จญภยั กับเพื่อน
นักเขียน และนักกิจกรรมเชิงวัฒนธรรม บรรณาธิการผู้ก่อต้ัง
นิตยสารวรรณกรรม (รายสะดวก) ชื่อ BOOKMARX มีผลงาน บท
กวี เรื่องส้นั นวนยิ าย บทความ ความเรียง และหนงั สือสารคดี
เดฟ่นั การก่อต้ังชุมชนท้องถนิ่ ในอดีตเช่ือมโยงกับการต้ังถ่ินฐานของ
คนภาคใต้ในบริเวณเทือกเขาบรรทัดและลุ่มทะเลสาบ วงเวียนหอ

นยั วจิ ารณ์ กาลวรรณกรรม | ๖๖

นาฬกิ า มมุ ถนนบรุ วี านิชจังหวัดสตูล แสดงใหเ้ ห็นความหลากหลาย
ทางวัฒนธรรมของผู้คนส่งสารสำคัญว่าด้วยความทรงจำบาดแผลท่ี
ถกู ลบเลือน เป็นเสมอื นประวัติศาสตร์ท้องถ่ินท่ีเขยี นตอบโต้ประวัติ
ศาสกระแสหลัก

เดฟั่นตำนานวีรบุรุษเล่ากันในท้องถิ่นภาคใต้ ตัวเดินเรื่อง
ให้สอดร้อยกับเหตุการณ์เกิดขึ้นจริงในสังคม ศิริวร แก้วกาญจน์ ใช้
ตัวละคร เดฟั่นเป็นตัวกลางที่สูญเสียความทรงจำ ใช้วิธีตัดตอ่ อย่าง
กระชับฉับไว ทาบเทียบประสบการณ์ของตนเข้ากับการล่มสลาย
ของชุมชนท้องถิ่นที่เกิดจากโครงสร้างอำนาจที่ไม่ยุติธรรม เกิด
อารมณ์สะเทือนใจต่อชะตากรรมของมนุษย์ ประวัติศาสตร์ที่เล่า
ไม่ได้และไม่ได้เล่า ความเชื่อจากเรื่องเล่า เป็นตัวเปลี่ยน
ประวตั ศิ าสตรห์ รือประวัตศิ าสตร์ทำใหเ้ กิดความเช่ือ ประวัติศาสตร์
ที่เกิดจากบุคคลธรรมดา ไม่มีอำนาจ ถูกเปลี่ยนแปลงหรือไม่ได้รับ
ความสนใจ ใครมีอิทธิพล ใครผู้กำหนดประวัติศาสตร์ แต่
ประวัติศาสตร์ไม่เคยห่างหายจากเรื่องเล่าที่เล่าผ่านรุ่นสู่รุ่น เรื่อง
เล่าจึงเปรียบเสมือน เป็นตัวเรียกฟื้นความจำประวัติศาสตร์เล่านั้น
ให้กลับมา เปน็ เร่อื งราวท่ีให้คนรุน่ หลังไดร้ ู้

เดฟั่นเดินทางหวนคืนแผ่นดินเกิดที่กลายเป็นหมู่บ้าน
กระสุนแสนห่าอย่างน่าหดหู่ กระเซอะกระเซิงบนคาเมรอน ไฮ
แลนด์ เป็นส่วนหนึ่งของพื้นที่บนเขาที่กว้างใหญ่ที่สุดของประเทศ
มาเลเซีย มีอาณาเขตติดต่อกับจังหวัดนราธิวาสประเทศไทย และ
ทางตะวันตกมีพื้นที่บางส่วนอยู่ในเขตรัฐเปรัก (ติดกับจังหวัดยะลา
ของประเทศไทย) จากชุมชนแสนสุขสงบแต่ผ่านการเปลี่ยนแปลง
ของสังคมการเมือง เผชิญหน้ากับอำนาจรัฐทีม่ ีการลอบทำร้ายผูน้ ำ

นยั วจิ ารณ์ กาลวรรณกรรม | ๖๗

ชุมชน สร้างความแตกแยกทำลายผู้คนตัวเล็กตัวน้อย ชุมชนล่ม
สลาย จิตวิญญาณเดฟั่นล่มสลายตามไป ชาวโอรังอัสลี (โอรังอัส
ลี เปน็ ภาษามาลายู โอรัง แปลว่า คน อัสลี แปลวา่ ดัง้ เดมิ โอรังอัส
ลี คือ คนดั้งเดิมที่เป็นชาวบกู ิต หรือชาวป่า จังหวัดยะลา) เคี่ยวค้ัน
รากไม้ศักดิ์สิทธิ์ หลังจากฟื้น เรือนร่างเดฟั่นเริ่มเปลี่ยนไปหลังจาก
ฟื้นขึ้นมา ริ้วรอยยับย่น ค่อยๆจางหาย หนวดเคราเผ้าผมขาวราว
ม่านหมอก ค่อยๆเปลี่ยนสีเข้มจรดำขลับ ดวงตาผ้าฟางค่อยๆเปล่ง
ประกาย ดวงหน้าค่อยๆผุดผ่อง หลังตั้งฉากกับพื้น ชีวิตคือความ
หลอนหลอกยอกย้อน และตำนานอันย่ิงใหญ่ของคนเฆี่ยนเสือก็ไม่มี
ใครแนใ่ จอีกแล้วว่าเคยมีอยูจ่ ริงหรอื ไม่

“เดฟั่นจำไม่ได้” วลีที่กล่าวซํ้า ๆ ตลอดการเดินทาง เขาทั้งเคว้ง
คว้างและตัวตนแตกกระจายไปกับการสูญเสียความทรงจำที่เป็น
เพราะถูกกระทำซํ้า ๆ ร่างกายจิตใจทั้งหมู่บ้านและเดฟั่นกลายเปน็
ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นไม่ใช่เพราะกาลเวลาแต่เป็นการบังคับให้ลบ
ลืมไปอย่างโหดร้าย ถูกบิดเบือนจากผู้กุมอำนาจ จนประวัติศาสตร์
ชำรุดและบิดเบ้ยี วไม่มีทีส่ ้ินสดุ

สังเกตได้ว่า ศิริวร แก้วกาญจน์ แฝงความเป็นประวัติศาสตร์ท่ี
เกิดข้ึนจริงผ่านสถานการณ์ ดงั ขอ้ ความตอ่ ไปนี้

“ เดฟั่นจำไม่ได้ ตั้งแต่ถูกเหวี่ยงออกมาจากหมู่บ้านคนเฆี่ยนเสือใน
ค่ำคืนของเดือนตุลาคมปีนั้น เขากระเซอกรัเซิงเปิงเปิดไปใน
วงเขากตลี้ลับ เร่รอนไปในผืนป่าเหมือนอุรังอุตังเสียสติ ” (เดฟั่น
เรื่องเล่าของตระกลู คนเฆีย่ นเสือจากไทรบรุ ี 2564 : หนา้ 21)

นยั วจิ ารณ์ กาลวรรณกรรม | ๖๘

“ ห้าสิบกว่าปีนานพอที่ทำให้เรื่องเล่าเกี่ยวกับการอพยพบางส่วน
ขาดหาย บางความหมายล้นเกิน บึงเสือผ่านเลยกลายเป็นบึงเสือ
เผ่น ชายชราคนหนึ่งเลา่ ว่าเขาเปน็ คนรนุ่ แรกของหมูบ่ ้าน ปีนั้นพวก
เขาฆ่าคนอังกฤษตายไปคนหนึ่งที่ไทรบุรี จึงชวนกันอพยพหลบหนี
การไล่ล่าของพวกอังกฤษ เขานำขบวนมาบนหลังเสือขาวตัวหนึ่ง
ครั้นเดินทางมาถึงบึงแหง่ นี้ อยู่ ๆ เจ้าเสือก็สะบัดเขาตกลงจากหลงั
ของมัน เผ่นหายไปในภูเขามีพรรคพวกเขากลุ่มหนึ่งไล่ตามเสือตัว
นั้น เขาเห็นใครบางคนกระโดดขึ้นขี่หลังเสือขาว จากนั้นทั้งคนท้ัง
เสือก็หายไปในผืนป่าของเทือกเขาบรรทัด ” (เดฟั่น เรื่องเล่าของ
ตระกลู คนเฆย่ี นเสอื จากไทรบรุ ี 2564 : หน้า 58)

จากข้อความข้างต้น สังเกตได้ว่า ศิริวร แก้วกาญจน์ กล่าวตำนาน
หมู่บา้ นคนเฆี่ยนเสือ ท่มี ลี ักษณะเดน่ คือ คนเลี้ยงเสอื คนในหมู่บ้าน
คุ้นชินกับเสือ หมู่บ้านคนเฆี่ยนเสือ จากการอพยพย้ายถิ่นฐานหนี
จากเจ้าอาณานิคมอย่างอังกฤษจากไทรบุรี มาลงหลักปักฐานใน
แถบเทือกเขาบรรทดั

เดฟั่นประวัตศิ าสตร์ท่ีซอ่ นตัวอยคู่ ่อย ๆ เปิดฉากออกมาผา่ นการเล่า
เร่ือง ผา่ นบทสนทนา ผา่ นตวั ละคร การถา่ ยทอดประวตั ศิ าสตร์ผ่าน
เรื่องเล่าเป็นเรื่องที่สืบต่อกันมารุ่นสู่รุ่น ศิริวร แก้วกาญจน์ ได้นำ
ประวัติศาสตร์มาเช่ือมโยงกับเรื่องแต่งไดอ้ ย่างต่อเน่ือง ทั้งนี้รวมไป
ถึงวิถีชีวิตความเป็นอยู่ ของผู้คนในบริเวณภาคใต้ในพืน้ ที่ต่าง ๆ ซ่ึง
มี อัตลักษณ์แตกต่างกัน สิ่งเหล่านี้เดฟั่นเจ้าของเรื่องเล่าได้เล่าไว้
อยา่ งชัดเจน แตเ่ ดฟัน่ จำไม่ได้

นยั วจิ ารณ์ กาลวรรณกรรม | ๖๙

รมิ ฝัง่ ...ชานชรา

เรอ่ื ง : รมิ ฝ่งั ชานชรา
ผแู้ ต่ง : ปกาศติ แมนไทยสงค์
ประเภท : สารคดชี วี ติ
รางวัลท่ีไดร้ บั : รางวัลชมเชย แว่นแกว้ ประจำปี 2556
ผู้วิจารณ์ : นางสาวนัฐธิดา ศรีพ่มุ

"ริมฝั่ง...ชานชรา" ผลงานของ "ปกาศิต แมน
ไทยสงค"์ เป็นการเล่าประสบการณ์ระหว่างทางกลับบ้านของชายคน
หนึ่งที่กำลังกลับไปหาแม่ ด้วยเนื้อหาที่สะท้อนให้เห็นสภาพสังคม
ในปัจจุบันที่คนเป็นลูกต้องมุ่งมั่นฟันฝ่ากับการงาน จนอาจหลงลืม
คนเป็นพ่อเป็นแม่ ทิ้งให้ท่านใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวลำพัง หรือ
บางครั้งอาจเกิดความขัดแย้งในจิตใจว่า ระหว่างหน้าที่การงานกับ
การดูแลพ่อแม่ ลูกจะเลือกอย่างไหนก่อน แม้เรื่องราวในเรื่องจะ
สะทอ้ นภาพวถิ ีชวี ติ คนปกั ษ์ใตท้ ีม่ าใช้ชวี ิตในเมืองหลวง แต่เชอ่ื ว่าใน

นยั วจิ ารณ์ กาลวรรณกรรม | ๗๐

ฐานะคนเป็นลกู คงมีความคิดความรู้สึกอย่างเดยี วกนั ว่า อยากดูแล
พ่อแม่ของตัวเองไปจนถึงลมหายใจสุดท้าย เพียงแต่วิธีการความ
ละเมียดละไมของแต่ละคนคงไม่เหมือนกัน และสิ่งเหล่านี้ไม่มีใคร
มาบอกหรือสอนได้ เพราะเป็นสิ่งที่ออกมาจาก "ใจ" ของลูกแต่ละ
คนเรือ่ งน้ีถ่ายทอดใหเ้ หน็ ว่าชีวิตก็ไม่ต่างจากการเดินทางเพียงแต่ว่า
ตัวละครในเรื่องซ่งึ เปน็ แม่กำลังเดนิ ทางสู่บน้ั ปลายของชีวิตเทา่ น้ัน

นยั วิจารณ์ กาลวรรณกรรม | ๗๑

ลกู อสี าน

เร่อื ง : ลูกอสี าน วรรณกรรมสรา้ งสรรค์ยอดเย่ียมแหง่ อาเซยี น
(ซีไรต)์ ประจำปี พ.ศ. 2522
ผ้แู ตง่ : คำพูน บญุ ทวี
ผ้วู ิจารณ์ : นายธีระพัฒน์ รูก้ จิ

นวนิยายเรื่อง “ลูกอีสาน” แต่งโดย คำพูน บุญทวี เป็น
หนงั สอื ประเภทเรื่องจริงอิงนิยาย ตีพิมพค์ รงั้ แรกเมื่อ พ.ศ. 2519
ที่สำนักพิมพ์บรรณกิจ ความหนา 290 หน้า เนื้อเรื่องผู้เขียนได้
เขียนสะท้อนถึงสภาพความเป็นอยู่วิถีชีวิตของชาวอีสานและ
บรรยายภาพให้เหน็ ถึงสภาพแวดล้อมแบบชนบทของอีสานเมื่อ 40
ปีก่อนได้อย่างสมจริงจนทำให้ผู้อ่านเกิดมโนภาพ โดยการนำเอา
ประสบการณ์และเกร็ดชีวิต เมื่อสี่สิบกว่าปีก่อนของผู้เขียนซึ่งเป็น

นยั วจิ ารณ์ กาลวรรณกรรม | ๗๒

ชาวอีสานโดยกำเนดิ ได้นำออกมาเขียนเล่าชีวิตช่วงเด็กในแผ่นดินที่
ราบสูงสะท้อนออกมาเปน็ เร่ืองราว ชวี ิตชนบทแสดงให้เห็นถึงความ
เป็นอยู่ สภาวะธรรมชาติ ความสุข ความทุกข์ และการต่อสู้อย่าง
ทรหดแต่แฝงไปด้วยความสุข การปรับตัวให้เข้ากับแปรปรวนของ
ธรรมชาติ ซึ่งนับได้ว่า นวนิยายเรื่อง ลูกอีสาน เป็นงานเขียนและ
เป็นเรื่องที่มีคุณค่า มีประโยชน์ต่อการศึกษาสภาพสังคมความ
เป็นอตั ลักษณข์ องทอ้ งถ่ินอีสานไดเ้ ปน็ อยา่ งดี

ประวตั ชิ ีวติ ของ คำพนู บุญทวี สู่เรอื่ งจรงิ อิงนวนิยาเรอ่ื ง
ลกู อสี าน

คำพูน บุญทวี เดิมชื่อ คูน เกิดเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน
พ.ศ. 2471 ที่บ้านทรายมูล ตำบลทรายมูล อำเภอยโสธร จังหวัด
อุบลราชธานี (ปัจจุบันเป็นตำบลทรายมูล อำเภอทรายมูล จังหวัด
ยโสธร) เป็นบุตรคนโตจากทัง้ หมด 7 คน ของนายสนิทและนางลุน
บุญทวี คำพูนเรียนหนังสือที่บ้านเกิดจนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6
จากโรงเรยี นปรชี าบณั ฑิต อำเภอเมือง จงั หวดั ยโสธร

จากประวัติส่วนตัวของผู้แต่ง นายคำพูน บุญทวี ที่มีชื่อ
เลน่ วา่ คณู ตรงตามช่อื ตัวละครใน เรื่อง ลูกอีสาน นัน้ ทำใหเ้ รา
ทราบได้ว่าผู้แต่งกำลังเล่าเรื่องราวจากประสบการณ์วิถีชีวิตวัยเด็ก
ของตนเอง มาถ่ายทอดเป็นนวนยิ ายโดยไม่ได้นำเอาพนี่ อ้ งท้งั 7 เข้า
มามีบทบาทในเรื่อง เปลยี่ นเปน็ นอ้ งสาว 2 คนในเรอ่ื งแทน อาจจะ
เพือ่ การดำเนนิ เรือ่ งทีน่ า่ จะงา่ ยกว่า

นยั วจิ ารณ์ กาลวรรณกรรม | ๗๓

ลูกอีสาน ถ่ายทอดในรูปของนิยาย โดยการเขียนเป็น
ตอนๆ ทั้งหมดประมาณ 36 ตอน เพื่อตีพิมพ์ลงในนิตยสารฟ้า
เมืองไทย ผู้เขียนใช้วิธีการเล่าเรื่องราวโดยผ่านเด็กชายคูน ก็คือตัว
ของผู้เขียนนั่นเอง ซึ่งใช้ชีวิตอยู่ในถิ่นชนบท จังหวัดยโสธร ภาค
อีสานในปัจจุบัน ดินแดนแห่งที่ราบสูงที่จัดได้ว่าเป็นถิ่นที่แห้งแล้ง
ทีส่ ุดแห่งหนง่ึ ในประเทศไทย
ชีวิตความเป็นอยู่ของครอบครัวเด็กชายคูน อันประกอบด้วยพ่อแม่
และลูกอีกจำนวน 3 คน รวมทั้งเพื่อนบ้านในละแวกเดยี วกันน้ัน ท่ี
ไม่ได้มีความแตกต่างกันนักนั่นก็ คือ ความยากจนต้องอาศัยการหา
อาหารตามธรรมชาติ ตามฤดูกาล ทุกอย่างทกี่ ินได้จนเมื่อความแห้ง
แล้งอย่างรุนแรงมาเยือนจนยากที่จะสู้ทนกับความโหดร้ายของภัย
แล้งได้ หลายครอบครัวเพื่อนบ้านก็เริ่มอพยพออกไป ครอบครัว
ของเด็กชายคูนและกลมุ่ ทส่ี นิทชิดเช้ือก็ได้ออกจากหมู่บ้านเป็นกลุ่ม
สุดท้าย ในการอพยพไปหาอาหารที่ลำนำ้ ชอี ันอุดมสมบูรณ์ไปด้วย
เหล่าสัตว์น้ำนาๆชนิด ด้วยสภาพของของความแห้งแล้งของ
ธรรมชาติส่งผลให้การดำรงชีวิตการหาอาหารของชาวชนบทอีสาน
ที่ส่วนใหญ่นั่นจะอาศัยการหาอาหารจากแหล่งธรรมชาติไม่ว่าจะ
เป็นจากปา่ และแหล่งหนองน้ำ ในความทกุ ขย์ ากลำบาก ความขาด
แคลนเรื่องอาหาร สภาพของธรรมชาติที่แห้งแล้ง สภาพของ
ธรรมชาติทไี่ มเ่ อ้อื อำนวยต่อการหาอาหารเพื่อประทงั ชวี ิตเชน่ นี้ จึง
ทำให้ชาวบ้านจำเป็นต้องมีการอพยพย้ายไปอยู่ที่อื่นท่ีอุดมสมบูรณ์
กว่า ซึ่งจะเห็นได้จากครอบครอบของลุงสีที่กำลังจะพาครอบครัว
อพยพย้ายไปอยู่ ยังหมู่บ้านที่ “ดินดำน้ำชุ่ม ปลากุ่มบ้อนคือแข่
แกวง่ หาง” ดงั ข้อความ

นยั วจิ ารณ์ กาลวรรณกรรม | ๗๔

“พวกลุงน้ันจะไปอยทู่ ่ีไหนละ่ แม่”
“ไปอยูบ่ ้านดินดำน้ำชมุ่ ปลากมุ่ บ้อนคอื แขแ้ กว่งหาง” แม่วา่

ข้อความที่ว่า “ดินดำน้ำชุ่ม ปลากุ่มบ้อนคือแข้แกว่ง
หาง” จากที่ข้าพเจ้าเป็นคนอีสานขนานแท้ข้าพเจ้าขอให้
ความหมายไว้วา่ ดนิ ดำน้ำซ่มุ คือ ดินที่อดุ มไปสารอาหาร แร่ธาตุที่
เหมาะแก่การทำเกษตร และมีน้ำเพียงพอในการจะปลูกพืชเพื่อ
การเกษตร ข้อความที่กล่าวว่า ปลากุ่มบ้อน หมายถึง ปลาขึ้นมา
หายใจบนผิวน้ำหรือการกินอาหารของปลาช่อนหรือปลาชะโดซึ่ง
เปน็ ปลานกั ล่าขึ้นมากดั สตั ว์เล็กบนบิวนำ้ ขอ้ ความทว่ี า่ คอื แขแ้ กว่ง
หาง “แข้” ในที่นี้หมายวามว่า จระเข้ แสดงให้เห็นว่า เหมือน
จระเข้แกว่งหาง ทำให้เราเหน็ ภาพว่าปลาที่น้ันมขี นาดตัวที่ใหญ่มาก
เพราะแคข่ ้นึ มาหายใจก็เหมือนจระเข้แกวง่ หางแลว้

ภมู ิปญั ญาเกี่ยวกับการแปรรูปและถนอมอาหาร
จากนวนิยายเรื่อง ลูกอีสานได้สะท้อนให้เห็นถึงภูมิปัญญา
ความสามารถในด้านการถนอมอาหารการแปรรูปอาหารของชาว
อีสานไว้อย่างเด่นชัด ด้วยเหตุที่ว่าภาคอีสานเป็นพื้นที่แห่งความ
แห้งแล้ง การหาปลาจึงมีเฉพาะบางพื้นที่ โดยในนวนิยายเรื่องลูก
อีสานจะเป็นการเดินทางไป ซึ่งเป็นการเดินทางของชาวบ้าน
สมัยก่อนคอื การเดนิ ทางด้วยเกวยี น ซ่งึ การเดนิ ทางไปกลับแต่ละทีมี
การใช้เวลาเป็นแรมเดือน ไม่เหมือนสมัยปัจจุบันที่เดินเหินสะดวก
รวดเร็ว ทางผู้เขียนจึงได้เขียนแสดงภูมิปญั ญาชาวบา้ นผา่ นการเกบ็

นยั วจิ ารณ์ กาลวรรณกรรม | ๗๕

รกั ษาปลาทห่ี ามาได้ให้สามารถเกบ็ และถนอมไว้ให้ได้นานๆ จนผ่าน
ฤดูแล้งให้ได้ เช่น
การทำปลาแห้ง ปลาเค็ม ปลายา่ ง การทำหม่ำไข่ปลา (หนองบวั ลำภู
บ้านผู้วิจารณ์เรียกว่า ส้มไข่ปลา) การทำปลาร้า การทำปลา
สม้ ตัวอยา่ งทปี่ รากฏในเนือ้ เรื่องบางตอนของลูกอีสาน
“ แม่เทปลาในข้องลงใส่กระด้งใบหนึ่ง วิ่งไปหยิบกระดานเขยี งกบั
มีดตอกเล่มหนึ่งจากในเกวียนมาวางลงแล้วเอาสันมีดตอกทุบหัว
ปลากดจนตายทีละตัวพลางพูดว่าปลาพวกนี้จะทำปลาแห้งตาก
แดดได้ ส่วนไข่ในท้องของมันจะทำหม่ำไว้กิน หม่ำที่แม่ว่า คูนเคย
กินแตไ่ ม่เคยเห็นแม่ทำสกั ที ”

“ แม่ทำปลาเคม็ ก่อนทำหม่ำคอื แมเ่ อากะลามะพร้าว
ตักเกลือมาเต็มกะลาหนึ่งแล้วโรยลงไปในกองปลาก่อน จึงเอามือ
ซาวปลาอยูพ่ ักหน่ึงจึงกอบปลาใสใ่ นไหจนหมด คูนถามแม่ว่าทำไม
ไม่เอาเครือไม้ร้อยแขวนผึ่งแดดผึ่งลมไว้บนต้นไม้ แม่ก็บอกว่าต้อง
หมกั เกลือไว้สกั หน่ึงคืนก่อนจึงเอาออกตากแดด มันกินอร่อย

ที่นี้แม่ก็ทำหม่ำไข่ปลา แม่ทำไม่ยากเลย และทำ
เหมือนกันกับส้มปลาน้อยที่แม่ทำมาแล้ว แม่เทไข่ปลาในใบตองใส่
ถ้วยฝาละมี ซ่งึ ทำดว้ ยหินขนาดเท่ากบั จานใสข่ าวแต่กน้ ลกึ ขยำไข่
ปลาให้แตกจนทั่วถึงโรยด้วยข้าวคั่วและเกลือสักสามช้อนลงไปแล้ว
ขยำ อกี สักครู่แม่ก็ตำหวั หอมและกระเทียมแห้งลงในครกจนแหลก
แล้วเทลงไปจึงขยำไข่ปลาอีกเสียงพลวกพราก สักครู่แม่ก็บิข้าว
เหนยี วนงึ่ โรยลงไปอีกสกั คร่ึงกลอ่ งไม้ขีดไฟจึงขยำๆ และซาวไปมา

นยั วจิ ารณ์ กาลวรรณกรรม | ๗๖

แม่ทำหม่ำไวมาก กลิ่นคาวของไข่ปลาปนกับเครื่อง
ชวนอยากให้กินเหลือเกิน แม่หยิบไข่ปลาขึ้นแตะปากนิดหนึ่ง พูด
เบาๆวา่ “พอด”ี
คูนจงึ ถามว่า “พอดยี งั ไง” แมก่ ็บอกว่า ไมเ่ คม็ ไม่จืดเกินไป
“อีกจกั ม้ือกนิ ได้” คูนถามแม่ “เจด็ มอื้ ขนึ้ ไป” แมบ่ อก

จากตวั อย่างข้อความท่ียกมาแสดงใหเ้ หน็ ถงึ ภูมปัญญาด้าน
การถนอมอาหารของชาวอีสาน การจัดการกับปัญหาของเน่าเสีย
และการกักตุนอาหารไว้กินในช่วงที่หาอาหารยาก เพราะคนอีสาน
เป็นคนกินง่ายอยู่ง่าย ความสุขของคนอีสานจึงไม่มีอะไรเยอะแยะ
มากมาย

ภาษาถนิ่ อสี าน อัตลักษณ์ทีช่ าวอีสานภมู ใิ จ

จากเรื่อง ลูกอีสานพบว่า การสนทนาแทบทุกบท
พยายามมจะให้เป็นภาษาถิ่นอีสาน แต่เนื่องด้วยภาษาอีสานขนาน
แท้อาจทำให้ผู้อ่านในภาคอื่นๆเข้าใจลำบาก ผู้เขียนจึงใช้ภาษาถ่ิน
ผสมกับภาษากลางบางคำเพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจง่ายยิ่งขึ้นดังตัวอย่าง
บทสนทนา

“ เปน็ หยัง ” คนู ถามทันที
“เว้ากับแกวมันบอ่ แลว้ จก๊ั เทือ คือมนั หวั หมอ”
“อยา่ จมุ่ บ่อยนกั มนั จะหมด ออ้ มไปทางหนองน้ำหานกยงิ ดกี วา่ ”
“บ้านดนิ ดำน้ำชมุ่ ”
“อย่ากดั คำใหญ่ๆซ”ิ ยสี่ นุ่ ต้องกินข้าวมากๆ กวา่ ไข”่

นยั วจิ ารณ์ กาลวรรณกรรม | ๗๗

“ เอา้ ตกลงมาใหน้ ากูห่งใหซ้ ่งกเู ปยี ก”
“พ่อว่าเท่านั้น กม็ เี ออ้ื ยคำกองลูกลุงใหญซ่ ่ึงเปน็ พชี่ ายของ

พ่อหาบครุสำหรบั ใส่น้ำตรงมา ถึงเอื้อยคำกองจะมีผิวคลำ้ ก็ดูเต่งตึง
ทุกส่วน ทรงผมเซียงเกิ้ลเห็นจอนผมบางๆ รับกันกับตุ้มหูสีเหลือง
ลูกเล็กๆ สองข้าง ทำให้ดูเอื้อยคำกองสวยขึ้นกว่าเก่า ผ้าซิ่นหมี่ท่ี
นุ่งถึงจะเก่าไม่เห็นลายดอกก็กลมกลืนกันกับผ้าขาวม้าเก่าๆ ที่รัด
หน้าอกอยู่ คูนเห็นเออิ้ ยคำกองทใ่ี ดก็ไม่เคยเหน็ ใสเ่ สอ้ื สกั ที”
“แม่นแล้วลูกเอ๋ย เปน็ ผู้สาวแล้วตอ้ งมผี บู้ า่ ว”
“กก็ ถู ามซือๆ มันสิเปน็ อีหยัง”

จากบทสนทนาตัวอย่างที่ยกมา สำเนียงที่ใช้พูดอาจจะ
ไม่ใช่อีสานขนานแท้ แต่ผู้เขียนพยายามแสดงถึงอัตลักษณ์ทาง
ภาษาของชาวอีสาน ซงึ่ เป็นความภูมใิ จของชาวอสี านและได้อนุรักษ์
สบื สานมาจนถงึ ปจั จุบนั

ภูมิปัญญาภาษาถิน่ อีสานสู่บทผญาเกีย้ วพาราสี

“ผญา” เป็นศิลปะการใช้ภาษาของคนอีสานในอดีต
เป็นมรดกทางวัฒนธรรมอันล้ำค่า ผญา หรือ คำผญา เป็นบทร้อย
กรองแบบอีสานที่ใช้พูดโต้ตอบกันมีจังหวะทำนองเฉพาะตัว เป็น
การพูดทตี่ อ้ งใช้
ไหวพริบ สตปิ ญั ญา มีเชาวน์ มีอารมณค์ มคาย พูดส้ันแต่กินใจความ
มาก

การพูด “ผญา” เป็นการพูดที่กินใจ การพูดคุยด้วย
คารมคมคาย ซึ่ง “ผญา” มีบทบาทและความสำคัญเป็นอย่างย่ิง
ต่อวิถีดำเนินชีวิตของคนชนบทอีสาน ในการใช้สำหรับสั่งสอน

นยั วิจารณ์ กาลวรรณกรรม | ๗๘

ลูกหลาน ใช้สำหรับการเกี้ยวพาราสีกันระหว่างหนุ่มสาวหรือ
กิจกรรมอื่น ๆ เช่น การทำนา เกี่ยวข้าวหรือกิจกรรมตามประเพณี
พื้นบ้านทสี่ ืบทอดกันมาอย่างยาวนาน

ผญาเกี้ยว เป็นผญาพูดคุยโต้ตอบกันระหว่างหนุ่มสาว ท่ี
เรียกกนั วา่ “จา่ ยผญาน้นั เอง” หรือ
“เว้าโตงโตย” การเกี้ยวสาวมักจะเป็นเวลากลางคืนที่ว่างจากงาน
กลางวัน หรือการทำงานเล็ก ๆ น้อย ๆ บริเวณลานบ้านที่เรียกว่า
“ข่วง” หรือ “ลงข่วง” ผญาเกย้ี วมจี ุดม่งุ หมายเพือ่ ค่อนแคะ เสียดสี
ตัดพ้อ ต่อว่า ต่อว่าโดยไม่นิยมพูดออกมาตรง ๆ เช่น ในช่วงจาก
การเก็บเกี่ยวข้าวแล้ว โดยจะมีการชุมนุมระหว่างบ่าวสาว
และฝ่ายหญิงจะมีกิจกรรม เช่น ดีดฝ้าย เข็นฝ้าย สาวไหม
ขณะเดียวกันฝ่ายชายก็จะมีการร่วมวงโดยมีการ “เล่นสาว” หรือ
“เว้าสาว” โดยดีดพิณและเป่าแคนเป็นทำนองพ้ืนเมืองของชาว
อีสาน พร้อมทั้งสนทนาเกี้ยวพาราสีกันด้วยภาษาเฉพาะท่ี
เรียกว่า “ผญาเครือ” หรือ “ผญาเกี้ยว” ( คมคาย จินโจ ,
๒๕๕๕ : ออนไลน์)

จากเรื่องลูกลูกอีสาน เป็นการสะท้อนภมู ิปัญญาทางภาษา
ท่สี ืบทอดกันมาแตช่ ้านาน ซึง่ เข้าใจกนั ดใี นหม่ชู าวอีสาน ซึง่ เป็นการ
พดู ให้ฝ่ายตรงข้ามประทบั ใจ ถ้าของภาคกลางกจ็ ะเปรียบได้กับการ
พูดเกีย้ วโดยคำกลอนหรือคำคม ซ่งึ ปรากฏในเรือ่ งบางตอนวา่

นยั วจิ ารณ์ กาลวรรณกรรม | ๗๙

“ คำกองเอ๋ย ความมักความฮักมากลุ้มคือสุ่มงุมกระ
ทอ ความฮักมาพอๆ คือกระทองุมไว้ คันอ้ายได้น้องสิพาล่อง
โขงไปเวียงจัน เอาผ้าแพรไหมสมี ันๆ แลกงวั มาแกข่ า้ ว ”
จากคำผญาที่ปรากฏในเรื่อง ตีความได้ว่า “คำกองเอ๋ย ความรัก
มันมีมากจนใจกลุ้ม เหมือนสุ่มคลุมเข่ง ความรักมาพอๆเหมือน
เข็งคลุมไว้ ถ้าพี่ได้รักกับน้อง พี่จะพาล่องลำน้ำโขงไปเวียงจัน
เอาผ้าแพรมีมันวาว ไปแลกววั มาไว้ขนข้าว”

จากข้อความข้างต้นที่ปรากฏในเรื่อง ทำให้เราได้เห็นถึง
ความสามารถในการใช้ศิลปะผ่านคำและภาษาเพื่อสร้างความ
ประทับใจให้ฝ่ายตรงข้ามและผู้ได้รับฟัง นับว่าเป็นมรดกทาง
วัฒนธรรมอันล้ำค่าของชาวอีสานที่ควรค่าแก่การอนุรักษ์ แต่ใน
ปัจจุบันการใช้ผญาลดน้อยลงอย่างมากเนื่องจากไม่ได้รับความ
สนใจจากเยาวชนรุ่นหลังเท่าไหร่นัก ดังนั้นเราควรจะอนุรักษ์มรดก
อันลำ้ คา่ ไม่ไปตามกาลเวลา

นยั วิจารณ์ กาลวรรณกรรม | ๘๐

สรุป
นวนยิ ายเรือ่ งลกู อีสาน เปน็ นวนิยายสะท้อนสังคม วิถีชีวิต

วัฒนธรรมของชาวอีสานเมื่อประมาณ 80 ปีก่อนนับย้อนจากปี
2565 เป็นการเล่าเรื่องจริงของวิถีชีวิตวัยเด็กในมุมมองผู้แต่งที่ใช้
ชีวิตกับวิถีอีสานที่ไม่ได้มองว่าสิ่งที่เขาเห็นและเขาทำเป็นความ
ลำบากแตม่ องในมุมท่เี ปน็ ความสนุก ความสขุ มากกว่าความลำบาก
ที่ผู้วิจารณ์บางท่านได้วิจารณ์ไว้ เพราะคนเรามองความลำบาก
แตกต่างกัน บางคนไปปากซอย ไปเซเว่นก็ถือเป็นความลำบากแล้ว
สำหรับบางคนได้ออกไปหาของป่า ใช้ชีวิตโลดโผน ได้อยู่กับ
ธรรมชาติ กลับมองเป็นเรื่องสนุก ในเร่ืองลกู อีสานนี้ผู้แต่งได้แต่งให้
ผู้อ่านได้มองอีสานในอีกรปู แบบหนึง่ เพราะบางกลุ่มคนอาจมองวา่
อีสานแห้งแล้ง ลำบาก น่าจะมีแต่เสียงสะอื้น เสียงร้องไห้ แต่ที่จริง
แล้วบนความแห้งแล้งยังมีความสุข เสียงหัวเราะที่ก่อตัวอยู่ใน
รูปแบบต่างๆอบอวนอย่ใู นพ้นื ทีท่ ร่ี าบสงู น้ัน

นยั วจิ ารณ์ กาลวรรณกรรม | ๘๑

กอ่ กองทราย

ตอน : คนบนสะพาน
ผูแ้ ตง่ : ไพฑรู ย์ ธัญญา
รางวัลท่ไี ดร้ ับ : รวมเรื่องสน้ั รางวลั วรรณกรรมสร้างสรรคย์ อดเย่ยี ม
แห่งอาเซยี น (ซไี รต์) ประจำปี พ.ศ.2530
ผวู้ ิจารณ์ : นายอลงกรณ์ สมโภชน์

การตั้งช่อื ตอน คนบนสะพาน เปน็ เรือ่ งสนั้ ทเี่ ลา่ เรื่องราว
เป็นเรื่องราวของชายคนหนึ่ง ซึ่งมีอาชีพเลี้ยงวัวชน โดยในทุกเช้า
เขาจะพาวัวชนออกกำลังกาย เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับวัวชน
และจะต้องสัญจรผ่านสะพานไม้ธรรมดาที่ทอดข้ามแม่น้ำ ซึ่งมี
ความกว้างพอจะรับวัวได้เพียงตัวเดียว วันหนึ่ง เขาทำภารกิจ
เหมือนเดิมทุกเช้า เมื่อจูงวัวมาถึงสะพานไม้ดังกล่าว เขาพาวัวขึ้น
สะพาน แต่รู้สึกแปลกไป เพราะรู้สึกว่า น้ำหนักบนสะพาน จะมี
มากกว่าปกติ จนเขาต้องสะดุ้ง เมื่อเห็นชายอีกคน กำลังจูงวัวเดิน
ขึ้นมาบนสะพานแคบ ๆ ในขณะท่ีเขากับวัวกำลังอยู่กลางสะพานไม้

นยั วิจารณ์ กาลวรรณกรรม | ๘๒

ท่มี สี ภาพเป็นสะพานลิง โดยถกู แขวนดว้ ยลวดขนาดใหญ่ ช า ย
เล้ียงววั ชนทงั้ สองคน ประจนั หน้ากนั แตล่ ะฝ่ายถอื เชือกวัวไว้ในมือ
ในขณะที่วัวส่งเสียงและทำท่ากระฟัดกระเฟียด พร้อมจะ
ประจัญบานกัน ชายเลี้ยงวัวคนแรก ตะโกน บอกชายเลี้ยงวัวคนท่ี
สองให้พาวัวถอยลงไป แต่ชายเลี้ยงวัวคนที่สอง ไม่มีทีท่า
ลดราวาศอก พร้อมกับพูดว่า เขาก็มีสิทธิ์จะใช้สะพานแห่งน้เี ช่นกัน
ในขณะที่ทั้งสองถกเถียง ไล่ส่งกัน มีชายคนหนึ่ง หาบถังใส่น้ำยาง
เดินเสไปเสมา จนน้ำยางสดเริ่มกระฉอกเรี่ยราดบนสะพาน และ
ชายหาบน้ำยางสด ก็ไม่ยอมหันหลังลงจากสะพาน เพราะกลัวน้ำ
ยาง จะหกไปมากกว่านี้ ครู่ต่อมา มีหญิงสาววัยกลางคน วิ่งกระหืด
กระหอบมา บนสะพาน บอกว่า จะรีบไปซื้อยาที่ตลาด เพราะลูก
กำลงั ป่วยอยา่ งหนัก จึงไมไ่ ด้ยนิ เสยี งรอ้ งหา้ มของผคู้ นในอีกฟาก ซ่ึง
เหตุการณ์บนสะพานในตอนนี้ มีคนจำนวน 4 คน ถกเถียงกัน
เพราะยังหาข้อตกลงไม่ได้ จนกระทั่ง มีพระภิกษุ เพิ่งกลับมาจาก
บิณฑบาต เห็นคนทั้ง 4 กำลังถกเถียงกัน จึงเดิน ขึ้นไปบนสะพาน
เพื่อไกล่เกลี่ยให้ทุกคนถอยออกจากสะพาน จนกระทั่งคู่กรณีอื่น
ถอยหลงั ลงจากสะพาน คงเหลือแตช่ ายเลีย้ งวัวค่กู รณีทัง้ สอง ท่ี
ไม่ยอมลงจากสะพานเมื่อบนสะพาน เหลือเพียงชายเลี้ยงวัวทัง้ สอง
คน ซ่งึ ไมส่ ามารถตกลงกนั ได้ และไม่สามารถพาววั ของตนให้ข้ามไป
สะพานอีกฝั่งได้ ชาวบ้านที่อยู่ข้างล่างสะพาน จึงโห่ร้องด้วยความ
ไม่พอใจ จึงทำให้วัวของทั้งคู่ละลนละลาน จนไม่สามารถบังคับได้
จึงทำให้วัววิ่งเข้ากัน ในที่สุด สะพานไม้ลิง ได้ขาดผึงลงในทันที ทำ
ให้ร่างของชายทั้งสองและวัวทัง้ สองตัว ตกลงไปในแม่น้ำ พร้อมกับ

นยั วิจารณ์ กาลวรรณกรรม | ๘๓

เสียงร้องอันเจ็บปวดของชายทั้งสองคน ที่เคยหยิ่ง ในศักดิ์ศรีและ
ไมค่ ดิ ประนีประนอมกนั

ผู้แต่งต้องการให้ผู้อ่านอ่านแล้วเห็นภาพจึงแต่งแบบ
พรรณนาโวหาร ดำเนินเรื่องโดยใช้บทสนทนาของตัวละครเพราะ
อยากให้ผู้อ่านได้เข้าใจความรู้สึกของตัวละคร ใช้ภาษาที่เรียบง่าย
อา่ นแลว้ เขา้ ใจได้ง่าย

คุณค่าด้านวรรณศิลป์ คือ ความไพเราะของบทประพันธ์
ความงดงามของภาษาที่ผู้แต่งเรียงร้อยไว้ อันจะทำให้ผู้อ่านเกิด
อารมณ์หรือความรู้สึกร่วม และสามารถจินตนาการตามที่นักเขียน
ต้องการได้ เรื่องคนบนสะพาน ใช้การประพันธ์เป็นร้อยแก้ว มีการ
พรรณนาโวหาร ใชค้ ำทที่ ำใหเ้ ห็นภาพ

คุณค่าด้านเนื้อหาสาระ คือ ประโยชน์ในด้านการให้
ความรู้ หรืออาจเป็นข้อคดิ สำหรบั เตือนใจผูอ้ า่ น

เป็นบทเรียนที่เป็นประสบการณ์ โดยอ้อมแก่บุคคลได้
เพราะหากแต่ละฝ่าย ยังคิดถึงแต่ประโยชน์ของตน และมองข้าม
ประโยชน์ของผู้อื่น ความขัดแย้ง จะยังดำเนินอยู่เรื่อยไป จะให้พูด
อย่างไร ก็ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ เพราะหากคิดถึงแต่ว่าตนเองเป็น
ใหญ่ ตนเองสำคัญ คิดเอาแต่ใจตนเอง คิดว่าตนเองถูกต้อง หรือ
ตนเองดีที่สุด ผู้อื่นก็ไม่มีความหมาย ทำให้กิจกรรมสาธารณะ
กิจกรรมเพื่อส่วนรวม หรือการใช้พื้นที่สาธารณะ จะมีปัญหา เรื่อง
ความร่วมมือ ความสามัคคี เพราะสิ่งเหล่านั้น มีเงื่อนไขสำหรับผู้
คิดถงึ แตต่ นเอง

นยั วิจารณ์ กาลวรรณกรรม | ๘๔

คุณคา่ ด้านสังคม คอื การใช้ชีวติ ของผูค้ นที่ตา่ งคนต่างเห็น
ถงึ เร่ืองส่วนตัวของตนเอง ดังสถานการณต์ ่าง ๆ ท่เี กิดขน้ึ นัน้ ก็ส่งผล
ใหเ้ กิดปญั หาอ่ืน ๆตามมา รวมไปถงึ ดา้ นอารมณ์ของแต่ละตัวละคร
ที่ปรากฏ ที่ต่างไม่มีใครยอมใครก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดเรื่อง
ตา่ ง ๆ ตามมาเช่นกัน

นยั วิจารณ์ กาลวรรณกรรม | ๘๕

เจ้าหงิญ

ตอน : ‘ลกู หาม’ กบั สามสหาย
ผแู้ ต่ง : บนิ หลา สนั กาลาคีรี
รางวลั ทไ่ี ดร้ บั : รางวลั วรรณกรรมสรา้ งสรรคย์ อดเยี่ยมแห่ง
อาเซียน (ซีไรต์) ประจำปี พ.ศ. 2548
ผวู้ ิจารณ์ : นางสาวอารยี า อังเปรม

หนังสือเล่มนี้ประกอบไปด้วยเรือ่ งสั้น 8 เรื่อง แยกกันเป็น
เรื่องๆ แต่ผู้เขียนมีกลวธิ ีเทคนิคต่างๆที่เรียบเรียงเน้ือหาเข้าดว้ ยกัน
ทำให้เรื่องสั้นมคี วามสัมพันธ์กัน กลายเป็นเรื่องสั้นในเรื่องยาว เป็น
นิทานซ้อนนิทาน มีการวางโครงเรื่องที่แตกต่างกันในแต่ละเรื่อง
เช่น การเล่าตามลำดบั เวลา เล่ายอ้ นอดีต หรือการเลา่ ด้วยการเกร่ิน
ตั้งคำถาม เมื่ออ่านแล้วจะทำให้รู้สึกว่า ทั้ง 8 เรื่องนี้เป็นเรื่อง
เดียวกัน

นยั วจิ ารณ์ กาลวรรณกรรม | ๘๖

การตั้งชื่อเรื่องว่า “เจ้าหงิญ” ผู้เขียนมีการใช้เทคนิคใน
การเล่นคำ ซึ่งคำว่า “เจ้าหงิญ” ก็มาจาก “เจ้าหญิง” นั่นเอง
“เจ้าหงิญ” มีความหลายนัยและอารมณ์ขัน มีลีลาภาษาที่รุ่มรวย
ดว้ ยโวหารเร้าจินตนาการและความคิด ซึง่ เมื่ออา่ นจบแล้วจะทำให้รู้
ว่ามีเจ้าหญิงในเรื่องทุกตอน และเจ้าหญิงที่ปรากฏในเรื่องไม่ใช่เจา้
หญิงธรรมดา

ในส่วนเนื้อเรื่องผู้เขียนได้เอาโลกจินตนาการมาผสมผสาน
กับโลกความเป็นจริง และได้สอดแทรกข้อคิดและสะท้อนปัญหา
ต่างๆสังคมในปัจจบุ ัน ซ่ึงในเรอื่ งสั้น 8 เร่ืองนก้ี ็มปี ระเด็นปญั หาการ
สะท้อนสังคมและข้อคิดที่แตกต่างกัน ซึ่งในความคิดเห็นของผู้
วิจารณ์นั้นสิ่งที่ผู้เขียนต้องการบอกหรือสื่อให้ผู้อ่านได้รับรู้
ตอน‘ลูกหาม’ กับสามสหาย มดี งั น้ี

ประโยคที่ว่า “…จำนวนคนจนมีมากกว่าคนรวยหลาย
เท่าด้วยซ้ำ แต่ก็นั่นแหละ ไม่ค่อยมีใครได้เห็นพวกเขาหรอก ว่า
กันว่าเป็นเพราะนางฟา้ องค์หน่ึงเคยสาปพวกคนรวยไว้ ไม่ใหเ้ หน็
พวกคนจนอยู่ในสายตา” ซึ่งสะท้อนปัญหาสังคมในปัจจุบันที่
เกิดขึ้นมายาวนาน การดูถูกเสียดสีของคนรวยที่มีต่อคนจน ผู้ที่มี
โอกาสมากกว่าไมย่ ่ืนโอกาสให้กบั ผู้ทีน่ ้อยกว่า ทำให้เหน็ ความไมเ่ ท่า
เทียมกัน สื่อให้เห็นปัญหาการแบ่งชนชั้นภายในสังคม และเรื่องน้ี
ยังให้ข้อคิดในการแก้ปัญหาต่างๆที่ไม่ต้องเก่งหรือมีความสามารถ
มากมาย แค่มคี วามคดิ และมสี ตเิ รากจ็ ะสามารแก้ปัญหาเหล่าน้ันได้
เหมอื นอยา่ งทพ่ี วกเจ้าลูกหาม และสามสหาย ที่มเี พยี งแค่ 6 ตัว แต่
สามารถปราบงูยักษ์ที่มี 7 ตัวได้ และตอนที่พวกเขาปราบงูยักษ์ได้

นยั วิจารณ์ กาลวรรณกรรม | ๘๗

แล้วพระราชาก็ให้ของขวัญเป็นจำนวนมาก แต่พวกลูกหามกับสาม
สหายก็ไม่เอา เพราะพวกเขาต้องการเพียงแค่พอประมาณ และ
สะท้อนใหเ้ หน็ ถงึ การไมโ่ ลภมากด้วย

ฉากและสถานที่ สถานที่ปรากฏในเรื่อง คือ ลูกหาม ที่ยืน
อยู่ตรงกลางจตุรัสซึ่งรายล้อมด้วยอาคารร้านรวงอันแสนวิจิตร สูง
ใหญ่หลายสิบชัน้ มีพระราชวังอยู่ตรงหน้าซึ่งกว้างขวางย่ิงกว่าวังใด
ในพื้นพิภพ ประกอบด้วยปราสาทเจ็ดหลังด้วยกัน และสร้างด้วย
ทองคำประดับทับทมิ กบั มรกต

คุณค่าด้านสังคม การสะท้อนปัญหาภายในสังคม การแบ่ง
ชนชั้น ความไม่เท่าเทียม และความโลภมากที่เกิดขึ้นในสังคม
ปัจจุบัน เปน็ ตน้

การเล่าเนื้อเรื่อง ผู้เขียนใช้การเล่าแบบเกริ่นนำตั้งคำถาม
เช่น เด็กๆทั้งหลาย เธอเคยโดนอย่างนี้ไหม? และมีการเล่นคำ วา่
‘ลูกหาม’ที่มาจากคำว่า ‘ลูกหมา’ และเหล่าสหายท้ังสามทีช่ ือ่ ‘ลกู
หีม’ ก็มาจาก ‘ลูกหมี’ และ ‘ลูกหูน’ ก็มาจาก ‘ลูกหนู’ และ ‘ลูก
หูม’ ที่มาจาก ‘ลูกหมู’ เหมือนกับชื่อเรื่อง ‘เจ้าหงิญ’ ที่มีการ
เล่นคำมาจาก ‘เจ้าหญงิ ’ นนั่ เอง

นิทาน เรื่อง “เจ้าหงิญ” เล่าเรื่องด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน
และอ่อนโยนให้เรารู้ว่าในโลกความเป็นจริง ชีวิตไม่ได้เป็นอย่างท่ี
หวังเสมอไป หากดำรงอยู่ได้อย่างสันติและความดีงาม ก็จะกระตุ้น
จติ ใต้สำนึกของผู้อา่ นให้มองโลกในแงด่ ี มีความเข้าใจ และรักเพื่อน
มนษุ ยด์ ว้ ยกนั เอง

นยั วจิ ารณ์ กาลวรรณกรรม | ๘๘

ประชาชนคือต้นทาง

ผแู้ ตง่ : อภชิ าติ ดำดี
ประเภท : บทกวี
รางวลั ที่ไดร้ บั : รางวลั ชมเชยวรรณกรรมรางวัลพานแว่นฟ้า
ประจำปี ๒๕๖๑
ผู้วจิ ารณ์ : มานิตา ปรุ ิสมา

ประชาชนคือต้นทาง เป็นบทกวีที่อยู่ในหนังสือ “เสื้อคลุม
ของผ้พู นั ” เปน็ หนงั สือรวมวรรณกรรมรางวลั พานแว่นฟ้า ประจำปี
๒๕๖๑ ซึ่งในหนังสือประกอบไปด้วยผลงานที่ได้รับรางวัลประเภท
เรื่องสั้น ๑๓ ผลงาน และประเภทบทกวี ๑๓ ผลงาน การตั้งช่ือ
หนังสือมาจากเรื่องสัน้ ที่รับรางวัลชนะเลิศประจำปี เพื่อเป็นการให้
เกยี รติผ้ทู ไี่ ดร้ ับรางวลั ใหญ่ประจำปนี ัน้

นยั วจิ ารณ์ กาลวรรณกรรม | ๘๙

“ประชาชนคือต้นทาง” เป็นผลงานประเภทบทกวีที่ได้รับ
รางวัลชมเชยวรรณกรรมรางวัลพานแว่นฟ้า ผู้แต่งได้นำเสนอ
เกี่ยวกับการสะท้อนและตีแผ่ถึงสังคมการเมือง สะท้อนถึง
ความสำคัญของประชาชน และความหวัง ความต้องการทวงคืน
ความยุตธิ รรมของรฐั ธรรมนญู ทเี่ ป็นกฎหมายสูงสดุ ของการปกครอง
ประเทศไทยทอ่ี ยู่ในระบอบประชาธิปไตย

เมื่อพิจารณาชื่อตอน “ประชาชนคือต้นทาง” มีการใช้คำ
คล้องจองคือคำว่า ชน กับ ต้น เป็นการสัมผัสคำเพื่อให้ความ
สละสลวยของชื่อตอน ผู้แต่งต้องการสื่อถึงความสำคัญของ
ประชาชนดว้ ยคำวา่ “ตน้ ทาง” ท่ีเปรียบเสมอื นจดุ เริม่ ต้น จดุ สำคัญ
ของการกำหนดทางที่ส่งผลไปยงั ปลายทาง การท่ีทกุ สงิ่ อย่างจะก้าว
ไปถงึ จดุ หมายปลายทางได้ แนน่ อนวา่ ตอ้ งผา่ นมาจากตน้ ทางเสมอ

รูปแบบคำประพันธ์ใน ประชาชนคือต้นทาง กล่าวได้ว่า ผู้
แต่งสามารถนำรูปแบบคำประพนั ธ์มาสื่อความให้เขา้ กับเน้ือหาและ
สังคมปัจจุบันได้อย่างเหมาะสม เป็นการนำเสนอรูปแบบคำ
ประพันธ์ร้อยกรองประเภทกลอนแปด มีการใช้กลวิธีในการ
สร้างสรรค์ การใช้คำ การแบ่งวรรคตอน ให้อารมณ์และความรู้สึก
ในการอ่านสามารถทำให้เกิดความคล้อยตามและเกิดอารมณ์ร่วม
ท้งั ความหวัง ความฮกึ เหมิ ไปกับเรื่องที่ผู้แต่งตอ้ งการนำเสนอ

นยั วจิ ารณ์ กาลวรรณกรรม | ๙๐

การร้อยเรียงลำดับเรือ่ งราวใน ประชาชนคือต้นทาง กล่าว
ได้ว่า ผู้แต่งมีการลำดับเรื่องราวได้อย่างเหมาะสม สามารถแบ่งได้
เป็นสามสว่ นใหญ่ ๆ ไดแ้ ก่ สว่ นของอดีต ส่วนของปจั จบุ นั และส่วน
ของอนาคต ผแู้ ตง่ มกี ารเกร่ินโดยการกล่าวถึงอดีตที่ผ่านมาของการ
เวียนวนในการตั้งรัฐธรรมนูญ ความเป็นประชาธิปไตย และยัง
กล่าวถึงเหตุการณ์ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ ที่มีการเรียกร้องการใช้
รัฐธรรมนูญ สิ่งที่ประชาชนต้องเจอ ให้อารมณ์ความหวังและความ
ศรัทธาที่เหมือนเป็นได้แค่เพียงความฝันในขณะนั้น ต่อมาในส่วน
ของปัจจุบันที่มีการสะท้อนสังคม และตีแผ่นักการเมือง และ
ประชาชน หลังจากนั้นจึงมีการปลุกใจโดยการอธิบายถึง
ความสำคัญของสังคมรวมไปถึงความสำคัญของประชาชนให้
ประชาชนรู้สึกถึงอำนาจที่แท้จริงอยู่ที่ตัวของประชาชนเอง และใน
ส่วนสุดท้ายส่วนของอนาคตที่กล่าวถึงความหวังที่สามารถเป็นจริง
ได้หากประชาชนรว่ มมือกันเริ่มจากตนเองอยา่ งที่กล่าวปลุกใจไปใน
สว่ นของปจั จบุ ัน

กลวิธีในการประพันธ์และการใช้ภาษาใน ประชาชนคือตน้
ทาง กล่าวได้ว่า ผู้แต่งมีความสร้างสรรค์ในการใช้กลวิธีนำเสนอ
ออกมาให้ต้องคิดตาม และพาให้น่าติดตาม โดยมีการใช้สัญลักษณ์
พิราบขาว เพื่อสื่อถึงความบริสุทธิ์ สื่อถึงอิสระ เสรีและสันติภาพ
ในช่วงเปิดของเรื่อง และช่วงสรุปปิดของเรื่อง ดังคำประพันธ์
ตอ่ ไปน้ี

พิราบขาว บนิ ผา่ น พานแว่นฟา้
ฝันถึงดาว ศรัทธา มานานเน่ิน

นยั วจิ ารณ์ กาลวรรณกรรม | ๙๑

กร่ี ้อนหนาว ตรากตรำ ราชดำเนิน
ไกลเหลอื เกิน... โอ้ ประชา ธปิ ไตย

พิราบขาว บนิ ผา่ น พานแวน่ ฟ้า
ดาวศรทั ธา ทอแสง แหง่ ความหวัง
เพลงพิราบ ก่รู อ้ ง ยังก้องดงั
ปลุกพลัง ไทยทกุ เหลา่ ให้ก้าวเดนิ

จากคำประพันธ์ข้างต้น ยังมีการนำชื่อเพลงพิราบ (เพลง
เพื่อมวลชน ศิลปินกรรมาชน ปัจจุบันมีชื่อที่เป็นที่รู้จักว่าเพลง
นกพิราบขาว) มากล่าวถึง เพื่อขยายในสิ่งที่ผู้แต่งต้องการจะสื่อให้
ชดั เจนยิ่งขึ้น

มีการขึ้นต้นวรรคที่เหมือนกันแต่เพื่อเปรียบกันแล้ว
ต้องการย้ำตอนเริ่มเรื่องและตอนจบเรื่องให้ถึงอารมณ์และ
ความรู้สึกแตกต่างกันได้อย่างชัดเจน ที่เริ่มแรก เกริ่นขึ้นมาว่า
พิราบขาว บินผ่าน พานแว่นฟ้า เช่นเดียวกันกับวรรคของตอนจะ
จบเร่ือง แต่ผู้แตง่ ต้องการใหเ้ กิดความรสู้ ึกท่แี ตกต่างจงึ ตอ่ วรรคของ
ตอนเปิดเรื่องว่า ฝันถึงดาว ศรัทธา มานานเนิ่น คือต้องการให้
ความหมายว่า ยังทำไดแ้ ค่ฝันและศรัทธามาเนิ่นนาน แต่ตอนท้ายที่
ต้องการจะปิดเรื่องผู้แต่งได้แต่งต่อของวรรคที่เหมือนกันไว้ว่า ดาว
ศรัทธา ทอแสง แห่งความหวัง คือต้องการให้ความหมายว่า เมื่อ
มาถึงตรงนี้อีกรอบจากเนื้อเรื่องที่กล่าวไปทั้งหมด ที่มีการสะท้อน
สังคม มีการตีแผ่ รวมไปถึงการปลุกใจ หากประชาชนยึดมั่นใน

นยั วิจารณ์ กาลวรรณกรรม | ๙๒

ความซอ่ื สตั ย์ในอำนาจและทำได้ ท้ังหมดทีก่ ล่าวมา ส่ิงท่ีเราศรัทธา
เรมิ่ มีหวงั ทจ่ี ะเป็นจรงิ ได้

นอกจากนย้ี งั มกี ารใชส้ ำนวน “พายเรอื ในอา่ ง” เพอ่ื เปรียบ
เปรยให้เห็นภาพของการทำอะไรที่วกวน เวียนวน ไม่ได้ก้าวออกไป
ข้างหนา้ สกั ทีไดช้ ัดเจนยงิ่ ข้ึนในสง่ิ ทผี่ ้แู ต่งตอ้ งการส่ือ ดงั คำประพันธ์
ตอ่ ไปน้ี

รฐั ธรรมนูญ บนพานน้ี ก่ีฉบบั
ทต่ี อ้ งกลบั เวยี นวน ต้ังตน้ ใหม่
เหมอื นพายเรอื ในอา่ ง หมดทางไป
ถา้ เมอื งไทย ไม่แน่วแน่ แกท้ ่ีคน

จากบทกวี ตอน ประชาชนคือต้นทาง ได้ให้คุณค่าหลากหลายด้าน
ทั้งด้านสังคมที่สะท้อนให้เห็นถึงความเป็นมาในการเรียกร้อง
รฐั ธรรมนูญเพ่ือความเปน็ ประชาธปิ ไตยอย่างแท้จรงิ

สะทอ้ นให้เห็นการตีแผ่สังคมและนักการเมืองทย่ี ังมีการคด
โกงทั้งในอดีตตลอดจนถึงปัจจุบัน ให้เห็นถึงความสำคัญของ
ประชาชน ต่อมาในส่วนของด้านวรรณศิลป์มีการเรียงร้อยการ
ประพันธ์ทนี่ ่าติดตาม รวมไปถงึ การใช้คำ ใช้สำนวนที่ชวนให้ต้องคิด
ตาม จากทั้งหมดที่กล่าวมา บทกวี “ประชาชนคือต้นทาง” ที่ได้
ประพันธ์ขึ้นในปี ๒๕๖๑ หากได้ลองคิดตามว่าตลอดระยะเวลาท่ี
ผ่านมาจนมาถึงปัจจุบัน ซึ่งอยู่ในปี ๒๕๖๕ เราเริ่มใกล้กับคำว่า
“ประชาธปิ ไตยทีแ่ ทจ้ รงิ ” แล้วหรอื ยงั …..

นยั วจิ ารณ์ กาลวรรณกรรม | ๙๓

ท่งุ หญ้า ป่ าข้าว เจา้ เขากางและผม

ผแู้ ตง่ : เอกอรุณ
รางวัลทไ่ี ด้รบั : ได้รบั รางวลั ชนะเลศิ นวนยิ ายสำหรับเยาวชน
แว่นแก้ว คร้งั ที่ ๑๕
ผ้วู ิจารณ์ : นางสาวนธิ ิกานต์ เหมลี

นวนิยายเรื่อง “ทุ่งหญ้า ป่าข้าว เจ้าเขากางและผม”
นั้นเป็นผลงานการเขียนของ เอกอรุณ ตีพิมพ์โดย บริษัทนาน
มีบุ๊คส์ จำกัด เมื่อปี พ.ศ ๒๕๖๓ เอกอรุณ เกิดในจังหวัด
อุบลราชธานี เป็นชื่อที่ผู้อ่านอาจจะเคยได้ยินหรือรู้สึกคุ้นเคย
เพราะเอกอรุณเคยมีผลงานเขียนอีกมากมาย และที่ได้รับรางวัล
เช่น วรรณกรรมเยาวชนเรื่องแรกเรื่อง “ม้าน้ำสีทอง” ได้รับรางวัล
ชมเชยนวนิยายสำหรับเยาวชน รางวัลแว่นแก้ว ครั้งที่ ๑๓ และ

นยั วิจารณ์ กาลวรรณกรรม | ๙๔

รางวลั ชมเชย หนงั สือดีเด่นจาก สำนักงานคณะกรรมการการศึกษา
ขนั้ พน้ื ฐาน ปี ๒๕๖๒

ทุ่งหญ้า ป่าข้าว เจ้าเขากางและผม เป็นนวนิยายที่
อบอวลไปด้วยความรัก มิตรภาพ ทั้งระหว่างครอบครัว เพื่อน และ
สัตว์เลี้ยง รวมถึงความผูกพัน ผูเ้ ขียนตอ้ งการบรรยายใหเ้ ห็นถึงภาพ
บรรยากาศวิถกี ารใช้ชีวิต และการศึกษาในแถบภาคอีสาน ในสมัยปี
พ.ศ. ๒๕๑๓ ในยุคที่จอมพลถนอม กิตติขจร เป็นนายกรัฐมนตรี
คาดว่าผู้เขยี นได้ยกจังหวดั อุบลราชธานที ีเ่ ป็นจังหวดั บ้านเกิดมาเป็น
แรงบันดาลใจในการเขียน โดยผู้เขียนได้นำเสนอเรื่องราวผ่าน
สายตาของโขง่ ทเ่ี ปน็ ตัวเอกของเรื่อง

ทุ่งหญ้า ป่าข้าว เจ้าเขากางและผม ในการตั้งชื่อ
เรื่องมีความสอดคล้องกับเนื้อเรื่องและตัวละคร คือ “ทุ่งหญ้า ป่า
ขา้ ว” เปรียบเสมอื นบรรยากาศโดยรอบบ้านของโข่งท่มี ที ่งุ หญ้าและ
นาข้าว ดังข้อความที่วา่ “ด้านทิศตะวันออกเป็นทุง่ นาซึ่งอยูถ่ ัดจาก
เนนิ รกรา้ งเตม็ ไปดว้ ยหญ้านานาชนิด” (หน้า ๘) “เจา้ เขากาง” คือ
ควายตัวแรกที่เป็นควายของบ้านโข่งจริงๆเป็นควายที่ไม่ต้องเช่า
และคืน ส่วน “ผม” คือเด็กชายที่ชื่อว่า “โข่ง” ซึ่งเป็นตัวหลักของ
เรื่อง

ทงุ่ หญา้ ป่าข้าว เจ้าเขากางและผม เปดิ เรื่องด้วยการ
เล่าถึงวันที่โข่งเกิด โข่งเด็กชายที่เกิดมาในครอบครัวที่เป็นชาวนา
โข่งและเด็กในหมู่บ้านเกิดมาพร้อมกับคำทำนายและความเชื่อที่ว่า

นยั วจิ ารณ์ กาลวรรณกรรม | ๙๕


Click to View FlipBook Version