การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยใช้ใบกิจกรรมฝึกทักษะ รายวิชาการออกแบบและเทคโนโลยีระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 DEVELOPMENT OF ACADEMIC ACHIEVEMENT WITH SKILL TRAINING ACTIVITY SHEET DESIGN AND TECHNOLOGY FOR MATHAYOM 1 นางสาวณัฐวดี ลียะวงศ์ วิจัยในชั้นเรียนนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตร ครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี 2566 การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยใช้ใบกิจกรรมฝึกทักษะ
รายวิชาการออกแบบและเทคโนโลยี ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 DEVELOPMENT OF ACADEMIC ACHIEVEMENT WITH SKILL TRAINING ACTIVITY SHEET DESIGN AND TECHNOLOGY SUBJECT OF THE STUDENTS MATHAYOM 1 นางสาวณัฐวดี ลียะวงศ์ วิจัยในชั้นเรียนนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตร ครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี 2566
ก ชื่อเรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยใช้ใบกิจกรรมฝึกทักษะ รายวิชา การออกแบบและเทคโนโลยีระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ผู้วิจัย ณัฐวดี ลียะวงศ์ อาจารย์ที่ปรึกษา ผู้ช่วยศาสตราจารย์ไพศาล ดาแร่ อาจารย์ที่ปรึกษาร่วม นางสาวปิยวรรณ มาตย์เทพ ปริญญา ครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ศึกษา ปีการศึกษา 2566 บทคัดย่อ รายงานนี้มีวัตถุประสงค์คือ เพื่อ 1.) พัฒนาใบกิจกรรมฝึกทักษะในรายวิชาการออกแบบและ เทคโนโลยี ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่พัฒนาขึ้นมี ประสิทธิภาพตามเกณฑ์ที่กำหนด 80/80 2.) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน ในรายวิชาการออกแบบและเทคโนโลยี ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 3.) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนในการใช้สื่อการสอน ใบกิจกรรมฝึกทักษะ รายวิชาการออกแบบและเทคโนโลยี ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนกุดจับประชาสรรค์อำเภอกุดจับ จังหวัดอุดรธานีภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 11 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 1.) ใบกิจกรรม ฝึกทักษะในรายวิชาการออกแบบและเทคโนโลยี ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 2.) แบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน เป็นแบบทดสอบก่อน – หลังการจัดการเรียนรู้มีลักษณะเป็นแบบทดสอบปรนัยชนิด 4 ตัวเลือก จำนวน 20 ข้อ 3.) แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่1 ที่เรียนโดยใช้ใบ กิจกรรมฝึกทักษะในรายวิชาการออกแบบและเทคโนโลยี ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มีลักษณะเป็นแบบ ประเมินแบบประมาณค่า 5 ระดับ จำนวน 15 ข้อ ผลการวิจัยพบว่า 1.) การเรียนโดยใช้ใบกิจกรรมฝึกทักษะในรายวิชาการออกแบบและเทคโนโลยี ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มีประสิทธิภาพ 85.45/87.27 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้คือ 80/80 2.) ใบกิจกรรมฝึกทักษะในรายวิชาการออกแบบและเทคโนโลยี ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มีผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 3.) นักเรียนมีความพึง พอใจต่อใบกิจกรรมฝึกทักษะในรายวิชาการออกแบบและเทคโนโลยี ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยรวม อยู่ในระดับพอใจมาก ( ̅= 4.41, S.D. = 0.77) คำสำคัญ: ใบกิจกรรมฝึกทักษะ,การออกแบบและเทคโนโลยี,ประสิทธิภาพ
ข Thesis title : Development of academic achievement with skill training activity sheet design and technology subject of the students mathayomsuksa 1 Researcher : Nattawadee Leeyawong Thesis advisors : Asst. Prof. Phaisan Darae Co-homeroom Teacher Miss Piyawan Matthep Degree : Bachelor of Education ( Computer Education ) Year : 2023 Abstract The purposes of this report is to 1. ) develop a skill training activity sheet in the design and technology mathayomsuksa 1 developed effective in accordance with the criteria set by 8 0 / 8 0 ; 2 . ) compare academic achievements pretest -posttest in the design and technology mathayomsuksa 13.) Study on the satisfaction of 11students in using teaching materials 1. ) Skill training activity certificate in mathayomsuksa 1 Kutchaprachasan School, Kutchap District, UdonThani Province, 2nd semester of 2023 B.E., research tools 1.) Skill training certificate in mathayomsuksa 1 2th grade. 2.)The academic achievement test is a pre-test - posttest management. It is characterized by 4 options, 20 choices, 3.) the satisfaction questionnaire of students in mathayomsuksa 1 using the skill training certificate in design and technology. mathayomsuksa 1has 15 levels of estimation. The research found that 1.) Learning by using theskill worksheet in mathayomsuksa 1 Design and Technology Level has an effectiveness of 85.45/87.27, which is higher than the required criteria of 80/80 2. )The skill training certificate in mathayomsuksa 1 has a statistically higher after-school achievement than before.05 and 3.)Students were satisfied with the skill worksheet in design and technology of design and technology class. Overall, it was very satisfied (x = 4.41, S.D. = 0.77) Keywords : worksheet, design and technology, efficiency
ค กิตติกรรมประกาศ วิจัยในชั้นเรียน ฉบับนี้สำเร็จลุล่วงได้อย่างสมบูรณ์ ด้วยความกรุณาและความช่วยเหลืออย่างดี จากท่านอาจารย์ที่ปรึกษา ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ไพศาล ดาแร่ และนางสาวปิยวรรณ มาตย์เทพ ที่กรุณาให้คำปรึกษาแนะนำ และตรวจสอบแก้ไขข้อบกพร่องต่าง ๆ อย่างละเอียดจนเสร็จสมบูรณ์ ตลอดจนให้ข้อคิดที่เป็นประโยชน์และดูแลเอาใจใส่ให้กำลังใจแก่ผู้วิจัยอย่างดียิ่งเสมอมา ผู้วิจัยรู้สึกซาบซึ้ง ในความกรุณาและขอกราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูง ณ โอกาสนี้ ผู้วิจัยขอขอบพระคุณนางสาวศศิวิมล ศรีแก่บ้าน และนางสุลาวัลย์ มาชัย ผู้เชี่ยวชาญ และคณาจารย์สาขาคอมพิวเตอร์ศึกษารวมถึงครู โรงเรียนกุดจับประชาสรรค์ ทุกท่านที่ให้ความกรุณา ตรวจสอบเครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา คอยชี้แนะ แนะนำแนวทางการทำวิจัย ขั้นตอนการทำวิจัยและให้ ความรู้ต่าง ๆ ในการทำวิจัยจนสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี ขอขอบพระคุณผู้อำนวยการ โรงเรียนกุดจับประชาสรรค์ ที่สนับสนุนและอำนวยความสะดวกให้ ความร่วมมือเป็นอย่างดีในการเก็บรวบรวมข้อมูลและทดลองใช้เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา และขอขอบใจ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ปีการศึกษา 2566 ที่ให้ความร่วมมือในการศึกษาครั้งนี้เป็นอย่างดี ขอขอบคุณบิดา มารดา เพื่อนทุกคน ตลอดจนผู้ที่เกี่ยวข้องทุกท่านที่ไม่ได้กล่าวนามไว้ ณ ที่นี้ ที่ได้ให้กำลังใจและมีส่วนช่วยเหลือให้วิจัยฉบับนี้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดีคุณและประโยชน์ใดใดที่อาจเกิด จากโครงงานฉบับนี้ผู้ศึกษาขออุทิศเพื่อบูชาแด่ บิดามารดา และผู้มีพระคุณสูงสุดครูอาจารย์ที่ให้ปัญญา และผู้มีพระคุณทุกท่าน ณัฐวดี ลียะวงศ์
ง สารบัญ เรื่อง หน้า บทคัดย่อ….………………………..………………………………………………………………..…….………….….…..…..ก กิตติกรรมประกาศ........................................................................................................................... .ข สารบัญ............................................................................................................................. ................ค สารบัญตาราง............................................................................................................................. .....จ สารบัญรูป............................................................................................................................. ...........ฉ บทที่ 1 บทนำ............................................................................................................................. .....1 ความสำคัญและความเป็นมาของปัญหา.......................................................................................1 วัตถุประสงค์ของการวิจัย...................................................................................................... ........3 สมมุติฐานของการวิจัย......................................................................................................... .........3 ขอบเขตของการวิจัย............................................................................................................ .........4 นิยามคำศัพท์เฉพาะ............................................................................................................ ..........5 ประโยชน์ที่ได้รับ............................................................................................................ ...............5 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง.........................................................................................6 หลักสูตรการเรียนรู้รายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์............................6 การสร้างใบกิจกรรมฝึกทักษะ.................................................................................................... ...9 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน........................................................................................................ ........12 แผนการจัดการเรียนรู้.................................................................................................... ...............16 แนวคิดเกี่ยวกับความพึงพอใจ................................................................................................... ...18 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง........................................................................................................ ...............20 บทที่ 3 วิธีดำเนินการวิจัย............................................................................................................ ...22 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง...................................................................................................... .....22 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย................................................................................................... ............22 การสร้างและการหาคุณภาพเครื่องมือ.........................................................................................23
จ สารบัญ(ต่อ) เรื่อง หน้า การวิเคราะห์ข้อมูล........................................................................................................... ...........28 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล.............................................................................................. ......28 บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล......................................................................................................30 สัญลักษณ์ที่ใช้ในการเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล………………………………………………………………30 ลำดับขั้นตอนในการเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล……………………………………………………………….30 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล……………………………………………………………………………………………….…..33 บทที่ 5 การสรุปผล การอภิปรายผล และข้อเสนอแนะ...............................................................36 วัตถุประสงค์ของการศึกษา...................................................................................................... ...36 สมมติฐานของการศึกษา........................................................................................... ..................36 สรุปผลการศึกษา............................................................................................................... .........37 อภิปรายผล……………………………………………………………………………………………………………..……37 ข้อเสนอแนะ................................................................................................................... ............40 บรรณานุกรม............................................................................................................................. ....42 ภาคผนวก…………………………………….…………………………………………………………………………………47 ภาคผนวก ก เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล……………………………………..………………….48 ภาคผนวก ข แบบประเมินและผลการหาค่าคุณภาพเครื่องมือ………………………..………………….90 ภาคผนวก ค ภาพการเก็บรวบรวมข้อมูล…………………………………………………………………...…...105 ภาคผนวก ง รายชื่อผู้เชี่ยวชาญ……………………………………………………………………………….……..110 ภาคผนวก จ หนังสือราชการ....……………………………………………………………………………….……..112 ประวัติย่อผู้วิจัย............................................................................................................................ .117
ฉ สารบัญตาราง ตารางที่ หน้า 3.1 แบบแผนการวิจัย.....………………………………………………………………..……………………….………...27 4.1 ผลการวิเคราะห์ประสิทธิภาพของการใช้ใบกิจกรรมฝึกทักษะ รายวิชาการออกแบบและเทคโนโลยี…………………………………………………...…………….……..….33 4.2 ผลการวิเคราะห์เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน................................................................................................33 4.3 ผลการวิเคราะห์ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อนักเรียน ใบกิจกรรมฝึกทักษะ……………..…..34 ก.1 ตารางความพึงพอใจต่อกิจกรรมการเรียนรู้..............................................................................88 ข.1 แบบประเมินความสอดคล้องของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน...............................91 ข.2 ผลการประมินความสอดคล้องของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน………………..…......92 ข.3 ผลค่าความยากง่าย และค่าอำนาจจำแนกแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน.................94 ข.4 ผลการวิเคราะห์หาค่าความเชื่อมั่นแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน............................96 ข.5 แบบประเมินความสอดคล้องของแบบสอบถามความพึงพอใจ................................................98 ข.6 ผลการประเมินความสอดคล้องของแบบสอบถามความพึงพอใจ............................................100 ข.7 ผลการหาประสิทธิภาพของใบกิจกรรมฝึกทักษะ....................................................................101 ข.8 ผลการหาประสิทธิภาพของใบกิจกรรมฝึกทักษะ....................................................................102 ข.9 ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน..........................103
ช สารบัญรูป รูปที่ หน้า ค.1 เก็บข้อสอบนักเรียนเพื่อหาคุณภาพข้อสอบ…………………………………………….………………………106 ค.2 นักเรียนทำข้อสอบเพื่อหาคุณภาพข้อสอบ…………………………………………………………………......106 ค.3 นักเรียนทำข้อสอบเพื่อหาคุณภาพข้อสอบ…………………………………………………….……….……….107 ค.4 นักเรียน เรียนโดยใช้ใบกิจกรรมฝึกทักษะ…………………………………..…………..….………….….……108 ค.5 นักเรียน เรียนโดยใช้ใบกิจกรรมฝึกทักษะ………………………………………………………………….……108 ค.6 นักเรียน เรียนโดยใช้ใบกิจกรรมฝึกทักษะ………………..……………………………………….……….……109
บทที่ 1 บทนำ ความสำคัญและความเป็นมาของปัญหา การเรียนการสอนในห้องเรียนเป็นวิธีการที่ใช้กันมานาน มีเทคนิคการสอนมากมาย ที่เป็น ประโยชน์แก่ผู้เรียน ไม่ว่าจะเป็นการบรรยาย อภิปราย สาธิต หรือวิธีการอื่นๆ แต่อย่างไรก็ตาม การเรียนการสอนในห้องเรียนที่มีผู้เรียนจำนวนมากก็เป็นการยากที่จะให้ผู้เรียนทุกคนสามารถเรียนรู้ได้ทัน กัน พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พุทธศักราช 2542 ได้กำหนดแนวทางการจัดการศึกษาไว้ว่า “การจัดการศึกษาต้องยึดหลักว่าผู้เรียนทุกคนมีความสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ และถือว่าผู้เรียน มีความสำคัญอย่างที่สุด กระบวนการจัดการศึกษาต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตามธรรมชาติและ เต็มตามศักยภาพโดยต้องคำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล” (สำนักงานคณะกรรมการการศึกษา แห่งชาติ, 2542) การจัดการศึกษาให้มีประสิทธิภาพนั้น ปัจจัยสำคัญประการหนึ่ง คือ การนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วย เทคโนโลยีการศึกษาจึงเข้ามามีบทบาท และความสำคัญในฐานะเป็นสื่อเครื่องช่วยที่ดีทำให้ครูสามารถ ถ่ายทอดความรู้ แนวคิด ทฤษฎี ข้อเท็จจริงได้ดียิ่งขึ้นและทำให้ผู้เรียนมีความรู้ความสามารถทักษะ ทางวิทยาศาสตร์และมีเจตคติที่ดีต่อการเรียน ให้ผู้เรียนมองเห็นคุณค่าในเนื้อหาที่ครูสอน อันเป็นรากฐาน ที่จะทำให้เกิดความข้าใจและความจำอย่างถาวร ความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยี การสื่อสาร และ จิตวิทยาการศึกษามีส่วนช่วยทำให้วิธีการถ่ายทอดความรู้ เปลี่ยนแปลงไปจากอดีตที่ผ่านมา กล่าวคือ ใน อดีตนั้น ครูมีบทบาทในการถ่ายทอดความรู้ไปสู่ผู้เรียน แต่ในปัจจุบัน มีการสอนผ่านวิทยุ โทรทัศน์และ คอมพิวเตอร์ โดยเฉพาะเครื่องคอมพิวเตอร์นั้น มีส่วนทำให้การถ่ายทอดความรู้และการสอนกว้างขวาง ออกไป การนำคอมพิวเตอร์มาใช้งานจึงก่อให้เกิดประโยชน์ทางด้านการศึกษามากมาย เพราะคอมพิวเตอร์ สามารถกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดความสนใจสามารถทบทวนได้ทุกเวลา (นภพินธ อนันตศิริ, 2558) ทำให้การเรียนการสอนสามารถโต้ตอบกันได้ระหว่างผู้เรียนกับคอมพิวเตอร์ เช่นเดียวกับการสอนระหว่าง ครูกับนักศึกษาที่อยู่ในห้องเรียนตามปกติ คอมพิวเตอร์ จึงมีความสามารถในการนำเสนอกิจกรรม การเรียนการสอน ในลักษณะของการปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนกับบทเรียนดีกว่าบทเรียนโปรแกรมหรือ บทเรียนชุดฝึกทักษะ (ฉลอง ทับศรี, 2558) ซึ่ง
2 สามารถแก้ปัญหาเกี่ยวกับผู้เรียนที่มี พื้นฐานความรู้ไม่เท่ากันและมีความเข้าใจในบทเรียนไม่ พร้อมกันได้ด้วย นอกจากนี้คอมพิวเตอร์ยังมี ความสามารถและมีประสิทธิภาพในการนำเสนอค่อนข้างเร้า ใจเพลิดเพลินตลอดเวลาขณะใช้บทเรียน (ทัศนีย์ ชื่นบาน, 2559) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อต้องการให้ผู้เรียน เกิดการเรียนรู้สามารถนำความรู้ไป ประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้ แต่เนื่องจากเนื้อหาวิชาความรู้ใน ปัจจุบันมีมาก บางครั้งผู้สอนไม่สามารถ สอนได้หมดในระยะเวลาที่จำกัด คอมพิวเตอร์สามารถช่วยให้ ผู้เรียน เรียนรู้เนื้อหาได้ด้วยตนเองและช่วย ลดภาระของการสอน ซึ่งเป็นแนวทางที่จะช่วยแก้ปัญหาได้ (ศักดา ไชกิภิญโญ และคณะ, 2559) จากการจัดการเรียนการสอนวิชาการออกแบบและเทคโนโลยี ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ทำให้ ทราบปัญหาโดยภาพรวม คือ ผู้เรียนขาดทักษะที่สำคัญต่อการคิดเชิง ออกแบบเพื่อการแก้ปัญหา ที่ประกอบด้วย การวิเคราะห์ปัญหา การรวบรวมข้อมูล การออกแบบ แนวความคิด การเขียนผังงาน ซึ่งส่งผลกระทบต่อชั้นตอนการคิดเชิงออกแบบเพื่อการแก้ปัญหาที่เป็น หัวใจสำคัญ ในการคิดออกแบบการ แก้ปัญหา ผู้เรียนจะต้องทำการ วิเคราะห์ปัญหาเพื่อหาสิ่งที่โจทย์ ต้องการ ข้อมูล วิธีการดำเนินการ จากนั้นจะทำการเขียนผังงานเพื่อแก้ปัญหา นำไปสู่การสร้างชิ้นงาน การทดสอบชิ้นงานและจัดทำเอกสาร ประกอบ เป็นชั้นตอนสุดท้าย ถ้าชั้นตอนการออกแบบไวิได้ดี ถูกต้อง จะทำให้สร้างชิ้นงานออกมา มีคุณภาพ จากการศึกษาแนวคิด ทฤษฎี หลักการ สภาพปัญหา และความ จำเป็นดังกล่าวนั้น ครูควรใช้ เทคนิคหลายๆ ประการ เพื่อไม่ให้เด็กเกิดความคับข้องใจ หรือขาดแรงจูงใจ ในการแก้ปัญหา การสอน ให้นักเรียนคิด ทำให้นักเรียนมีความเห็นชอบ และรู้จริง การสอนให้นักเรียน เห็นชอบ ทำให้นักเรียน แก้ปัญหาได้และทำให้นักเรียนเติบโตชิ้นอย่างมีอิสรภาพ และหากนักเรียนมี โอกาสฝึกทักษะหลายๆ ข้อ แล้วนักเรียนจะมีความชำนาญและเฉลียวฉลาดชิ้น ทำให้ผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนของนักเรียนดีชิ้น การใช้ ใบกิจกรรมฝึกทักษะเป็นเครื่องมือ ที่ใช้ฝึกทักษะในการเรียน ช่วยให้ผู้เรียน เข้าใจเนื้อหาดียิ่งชิ้น และ สามารถหาคำตอบได้ถูกต้อง ใบกิจกรรมฝึกทักษะที่สร้างสามารถช่วยในการ แก้ปัญหาของนักเรียนโดยใช้ ใบกิจกรรมฝึกทักษะ เรื่องความรู้และการคิดเชิงออกแบบเพื่อการแก้ปัญหา ล่งผลให้ผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนหลังเรียน ด้วยใบกิจกรรมฝึกทักษะสูงกว่า ก่อนเรียนด้วยใบกิจกรรมฝึก ทักษะ เสริมทักษะอย่างมีนัย ทางสถิติที่ดีชิ้น ชุดฝึกทักษะช่วยสอนสามารถสนองความต้องการในการเรียนรู้ที่คำนึงถึงความแตกต่างระหว่าง บุคคลได้อย่างดี และเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้เรียนตามเวลาที่สะดวก ตามความสนใจของผู้เรียน และที่สำคัญที่สุด คือ ชุดฝึกทักษะช่วยสอนมีการประเมินผลในตนเอง เพื่อให้ผู้เรียนเห็นผลสำเร็จ เห็นความ เจริญก้าวหน้าของตนในการเรียนรู้ในแต่ละตอนแต่ละหน่วยการเรียนสามารถเรียนได้ด้วย
3 ตนเอง นอกจากนี้ชุดฝึกทักษะสอนยังสามารถช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลนผู้สอนได้ด้วย เพราะสามารถใช้ สอน แทนครูและสอนผู้เรียนได้จำนวนมาก ๆ ในเวลาเดียวกัน (บูรณะ สมชัย, 2558) ดังนั้น ผู้วิจัยจึงเห็นว่าการนำเอาใบกิจกรรมฝึกทักษะมาเป็นสื่อการสอนจะทำให้เกิดการเรียนรู้ ตามความสามารถของผู้เรียน โดยไม่ต้องรอหรือเร่งให้ทันเพื่อน และล้าผู้เรียนไม่เข้าใจในส่วนใด ของบทเรียนก็สามารถกลับไปเรียนซ้ำได้ ซึ่งในฐานะที่ผู้วิจัยการพัฒนาใบกิจกรรมฝึก เป็นการยากที่จะให้ ผู้เรียนทุกคนสามารถเรียนรู้ได้ทันกัน โดยเฉพาะการทำกิจกรรมการเรียนรู้ในบทเรียนที่มักจะมีปัญหาใน การเรียน เนื่องจากทำความเข้าใจได้ยาก จากเหตุผลที่กล่าวมาจึงทำให้ผู้วิจัยสนใจสร้างและพัฒนา ใบกิจกรรมฝึกทักษะ รายวิชาการออกแบบและเทคโนโลยี ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 เพื่อเป็นการ แก้ปัญหาดังที่กล่าวมาข้างด้นที่จะส่งผลให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนทั้งร่างกาย สติปัญญา อารมณ์และสังคม วัตถุประสงค์ของการวิจัย 1. เพื่อพัฒนาใบกิจกรรมฝึกทักษะในรายวิชาการออกแบบและเทคโนโลยี ระดับชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 1 ที่พัฒนาขึ้นมี ประสิทธิภาพตามเกณฑ์ที่กำหนด 80/80 2. เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน ในรายวิชาการออกแบบ และเทคโนโลยี ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 3. เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนในการใช้สื่อการสอน ใบกิจกรรมฝึกทักษะ รายวิชาการ ออกแบบและเทคโนโลยี ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 สมมติฐานของการศึกษา 1. ใบกิจกรรมฝึกทักษะในรายวิชาการออกแบบและเทคโนโลยี ระดับชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่พัฒนาขึ้นมี ประสิทธิภาพตามเกณฑ์ที่กำหนด 80/80 2. นักเรียนที่เรียนโดยใช้ใบกิจกรรมฝึกทักษะ รายวิชาการออกแบบและเทคโนโลยี ระดับชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน 3. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มีความพึงพอใจต่อการใช้ใบกิจกรรมฝึกทักษะ รายวิชาการ ออกแบบและเทคโนโลยีอยู่ในระดับมาก
4 ขอบเขตของการวิจัย 1. ประชากร ประชากรที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้เป็นนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนกุดจับประชาสรรค์ จำนวน 250 คน 2. กลุ่มตัวอย่าง กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้ได้แก่ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/3 โรงเรียน กุดจับประชาสรรค์ จำนวน 11 คน ได้มาจากกำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างโดยใช้ ได้มาโดยการคัดเลือก กลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง (Purposive sampling) 2.1 ตัวแปรที่ศึกษา 2.1.1 ตัวแปรต้น ได้แก่ ใบกิจกรรมฝึกทักษะ รายวิชาการออกแบบและเทคโนโลยี ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 2.1.2 ตัวแปรตามได้แก่ 2.1.2.1 ประสิทธิภาพของใบกิจกรรมฝึกทักษะ รายวิชาการออกแบบและ เทคโนโลยี ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 2.1.2.2 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้วยใบกิจกรรมฝึกทักษะ รายวิชาการ ออกแบบและเทคโนโลยี ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนกุดจับประชาสรรค์ จำนวน 11 คน 2.1.2.3 ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อใบกิจกรรมฝึกทักษะ รายวิชาการ ออกแบบและเทคโนโลยี 3. เนื้อหาสาระ เนื้อหาสาระที่นำมาใช้ในการพัฒนาใบกิจกรรมฝึกทักษะ รายวิชาการออกแบบและ เทคโนโลยี ประกอบด้วย 1 หน่วย คือ หน่วยที่ 1 เทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน กิจกรรมที่ 1.1 เศรษฐกิจพอเพียง กิจกรรมที่ 1.2 เป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน กิจกรรมที่ 1.3 การปฏิบัติตนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง 4. ระยะเวลา ระยะเวลาในการวิจัยอยู่ในภาคเรียนที่ 1-2 ปีการศึกษา 2566
5 นิยามศัพท์เฉพาะ 1. ใบกิจกรรมฝึกทักษะ หมายถึง สื่อการเรียนที่ใช้สำหรับฝึกทักษะ ในรายวิชาการออกแบบ และเทคโนโลยี ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 2. วิชาการออกแบบและเทคโนโลยี หมายถึง รายวิชา ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษา ชั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 และมาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัดฯ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) กระทรวงศึกษาธิการ 3. นักเรียน หมายถึง ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 4. ประสิทธิภาพของใบกิจกรรมฝึกทักษะ หมายถึง เกณฑ์ของใบกิจกรรมฝึกทักษะที่ผู้วิจัย สร้าง ขึ้น โดยใช้เกณฑ์ 80/80 ดังนี้ 80 ตัวแรก หมายถึง ร้อยละของคะแนนเฉลี่ยที่นักเรียนทำแบบทดสอบย่อย ระหว่างใช้ ใบกิจกรรมฝึก ทักษะ เรื่อง ความรู้และการคิดเชิงออกแบบเพื่อการแก้ปัญหา 80 ตัวหลัง หมายถึง ร้อยละของคะแนนเฉลี่ยที่นักเรียนทำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทาง คณิตศาสตร์หลัง ใช้ใบกิจกรรมฝึกทักษะ เรื่อง ความรู้และการคิดเชิงออกแบบเพื่อการแก้ปัญหา ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 1. ได้ใบกิจกรรมฝึกทักษะรายวิชาการออกแบบและเทคโนโลยีระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 2. นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาการออกแบบและเทคโนโลยี ระดับชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 เพิ่มขึ้น 3. นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการเรียนโดยใช้ใบกิจกรรมฝึกทักษะ รายวิชาการออกแบบและ เทคโนโลยี ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ในการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ศึกษาเอกสารต่าง ๆ ตลอดจนผลงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ต่อไปนี้ 1. หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 และมาตรฐานการเรียนรู้และ ตัวชี้วัดฯ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) 2. การสร้างใบกิจกรรมฝึกทักษะ 3. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 4. แผนการจัดการเรียนรู้ 5. แนวคิดเกี่ยวกับความพึงพอใจ 6. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 และมาตรฐานการเรียนรู้และ ตัวชี้วัดฯ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) การจัดการเรียนรู้และการสอนแบ่งออกเป็น 3 หัวข้อหลัก ได้แก่ ความรู้และ ความเข้าใจเกี่ยวกับ เทคโนโลยีกระบวนการออกแบบ และความรู้และทักษะพื้นฐานเฉพาะด้าน หัวข้อหลักที่ 1 ความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับเทคโนโลยี ประกอบด้วยหัวข้อย่อย ต่อไปนี้ 1) ความหมายของเทคโนโลยี 2) ระบบทางเทคโนโลยี 3) การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี 4) ความสัมพันธ์ระหว่างเทคโนโลยีกับศาสตร์อื่น 5) ผลกระทบของเทคโนโลยี หัวข้อหลักที่ 2 กระบวนการออกแบบ กระบวนการออกแบบ (design process) ในสาระเทคโนโลยี (การออกแบบและเทคโนโลยี) เป็น กระบวนการแก้ปัญหาหรือพัฒนางานอย่างเป็นขั้นตอน โดยใช้ความรู้และทักษะรวมทั้งความคิด สร้างสรรค์ ซึ่งในที่นี้ใช้กระบวนการที่เรียกว่า กระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม (engineering design process)
7 ความรู้และทักษะพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับการแก้ปัญหาหรือพัฒนางานในสาระเทคโนโลยี (การ ออกแบบและเทคโนโลยี) ได้แก่ 1) วัสดุ อุปกรณ์ และเครื่องมือพื้นฐาน 2) กลไก ไฟฟ้า และอิเล็กทรอนิกส์ มาตรฐานการเรียนรู้ มาตรฐาน ว 4.1 เข้าใจแนวคิดหลักของเทคโนโลยีเพื่อการดำรงชีวิตในสังคมที่มีการเปลี่ยนแปลง อย่างรวดเร็ว ใช้ความรู้และทักษะทางด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และศาสตร์อื่น ๆ เพื่อแก้ปัญหาหรือ พัฒนางานอย่างมีความคิดสร้างสรรค์ด้วยกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม เลือกใช้เทคโนโลยี อย่างเหมาะสมโดยคำนึงถึงผลกระทบต่อชีวิต สังคม และสิ่งแวดล้อม มาตรฐาน ว 4.2 เข้าใจและใช้แนวคิดเชิงคำนวณในการแก้ปัญหาที่พบในชีวิตจริงอย่างเป็นขั้นตอนและ เป็นระบบ ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในการเรียนรู้การทำงาน และการแก้ปัญหาได้อย่างมี ประสิทธิภาพ รู้เท่าทัน และมีจริยธรรม ทักษะสำคัญของสาระเทคโนโลยี (การออกแบบและเทคโนโลยี) การจัดการเรียนรู้สาระเทคโนโลยี (การออกแบบและเทคโนโลยี) เพื่อพัฒนา ความสามารถของผู้เรียนในการแก้ปัญหาหรือพัฒนางานอย่างสร้างสรรค์ ผู้เรียนจะได้รับการพัฒนาทักษะ และกระบวนการที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตผ่านการจัดการเรียนรู้ที่เน้นการลงมือปฏิบัติ ซึ่งทักษะและ กระบวนการสำคัญของสาระเทคโนโลยี (การออกแบบและเทคโนโลยี) ได้แก่ 1) กระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม เป็นกระบวนการแก้ปัญหาหรือพัฒนา งาน ประกอบไปด้วยขั้นตอนดังนี้ ขั้นระบุปัญหา (problem identification) เป็นการทำความเข้าใจปัญหาหรือ ความต้องการ วิเคราะห์เงื่อนไขหรือข้อจำกัดของสถานการณ์ปัญหา เพื่อกำหนดขอบเขตของปัญหา ซึ่งจะ นำไปสู่การสร้างชิ้นงานหรือพัฒนาวิธีการในการแก้ปัญหาขั้นรวบรวมข้อมูลและแนวคิดที่เกี่ยวข้อง กับ ปัญหา (related information search) เป็นการรวบรวมข้อมูลและแนวคิดทางวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ เทคโนโลยี หรือศาสตร์อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับแนวทางการแก้ปัญหา เพื่อนำไปสู่การออกแบบ แนวทางการ แก้ปัญหา ขั้นออกแบบวิธีการแก้ปัญหา (solution design) เป็นการนำข้อมูลที่ได้มา วิเคราะห์ เปรียบเทียบ และตัดสินใจเลือกข้อมูลที่จำเป็นสำหรับการแก้ปัญหา โดยคำนึงถึงเงื่อนไขหรือ ทรัพยากรที่มีอยู่ แล้วออกแบบแนวทางการแก้ปัญหา โดยอาจร่างภาพ เขียนเป็นแผนภาพ หรือผังงาน
8 ขั้นวางแผนและดำเนินการแก้ปัญหา (planning and development) เป็น การกำหนดลำดับขั้นตอนของการแก้ปัญหาและเวลาในการดำเนินงานแต่ละขั้นตอน แล้วลงมือ แก้ปัญหา ตามที่ออกแบบและวางแผนไว้ ขั้นทดสอบ ประเมินผล และปรับปรุงแก้ไขวิธีการแก้ปัญหาหรือชิ้นงาน (testing, evaluation and design improvement เป็นการทดสอบและประเมินการทำงานของชินงาน หรือวิธีการโดยผลที่ได้อาจนำมาใช้ในการปรับปรุงและพัฒนาการแก้ปัญหาให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ขั้นนำเสนอวิธีการแก้ปัญหา ผลการแก้ปัญหาหรือชิ้นงาน (presentation) เป็นการนำเสนอแนวคิดและขั้นตอนการสร้างชิ้นงานหรือการพัฒนาวิธีการให้ผู้อื่นเข้าใจ ทั้งนี้ในการแก้ปัญหาตามกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรมนั้นไม่ได้มีลำดับขั้นตอนที่แน่นอน โดยขั้นตอนทั้งหมดสามารถย้อนกลับไปมาได้ และอาจมีการทำงานซํ้า (iterative cycle) ในบางขั้นตอน หากต้องการพัฒนาหรือปรับปรุงให้ดีชิ้น 2) การคิดเชิงระบบ เป็นการคิดถึงสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่มองภาพรวมเป็นระบบ โดยมีหลักการและเหตุผล มีการจัดระเบียบข้อมูลหรือความสัมพันธ์ขององค์ประกอบต่าง ๆ ให้เป็นแบบ แผน หรือกระบวนการที่ชัดเจน 3) ความคิดสร้างสรรค์ ใช้เทคนิคในการสร้างสรรค์มุมมองอย่างหลากหลายและ แปลกใหม่ ซึ่งอาจจะพัฒนาจากของเดิมหรือคิดใหม่ วิเคราะห์และประเมินแนวคิดเพื่อพัฒนาความคิด สร้างสรรค์ให้ได้มากที่สุด นำไปสู่การลงมือปฏิบัติตามความคิดสร้างสรรค์ให้ได้ผลสำเร็จที่เป็นรูปธรรม ความคิดสร้างสรรค์ประกอบด้วย 4 ลักษณะ คือ (1) ความคิดริเริ่ม เป็นความสามารถในการคิดที่แปลกใหม่ แตกต่าง จากความคิดเดิม ประยุกต์ให้เกิดสิ่งใหม่ ไม่ซํ้ากับของเดิม (2) ความคิดคล่อง เป็นความสามารถในการคิดหาคำตอบได้อย่าง คล่องแคล่ว รวดเร็ว และมีปริมาณมากในเวลาจำกัด (3) ความคิดยืดหยุ่น เป็นความสามารถในการคิดหาคำตอบได้หลาย ประเภทและหลายทิศทาง ดัดแปลงจากสิ่งหนึ่งไปเป็นหลายสิ่งได้ (4) ความคิดละเอียดลออ เป็นความสามารถในการคิดรายละเอียดหรือ ขยายความคิดหลักให้สมบูรณ์ และรวมถึงการเชื่อมโยงความสัมพันธ์ของสิ่งต่าง ๆ อย่างมีความหมาย 4) การคิดอย่างมีวิจารณญาณ เป็นการคิดโดยใช้เหตุผลที่หลากหลายเหมาะสม กับสถานการณ์ มีการวิเคราะห์และประเมินหลักฐานและข้อคิดเห็นด้วยมุมมองที่หลากหลาย สังเคราะห์ แปลความหมาย และลงข้อสรุปได้อย่างสมเหตุสมผล รวมทั้งสะท้อนความคิดโดยใช้ประสบการณ์และ กระบวนการเรียนรู้
9 5) การสื่อสาร เป็นการเรียบเรียงความคิดและสื่อสารแนวคิดในการแก้ปัญหาให้ ผู้อื่นเข้าใจอย่างชัดเจน สามารถใช้วิธีการสื่อสารเพื่อให้บรรลุเป้าหมายได้หลายรูปแบบ เช่น การพูด การเขียนบรรยาย การร่างภาพ และการใช้สื่อมัลดิมีเดีย 6) การทำงานร่วมกับผู้อื่น เป็นความสามารถในการทำงานร่วมกับผู้อื่น มีความ ยืดหยุ่น มีความรับผิดชอบร่วมกัน เคารพในความคิด เห็นคุณค่า และเข้าใจบทบาทของผู้อื่น เพื่อทำงาน ให้บรรลุเป้าหมายร่วมกัน การสร้างใบกิจกรรมฝึกทักษะ 1. ความหมายของแบบฝึกทักษะ จากการศึกษาความหมายของแบบฝึกทักษะ ได้มีผู้ให้ความหมายไว้ต่าง ๆ กัน ดังนี้ ศฤงคาร แป้นกลาง (2560) ได้สรุปความหมายของแบบฝึกทักษะไว้ว่า แบบฝึก ทักษะ เป็นเครื่องมือในการแก้ปัญหาเฉพาะทักษะ ช่วยพัฒนาผู้เรียนให้เกิดความชำนาญและเสริมสร้าง ความ เข้าใจในเนี้อหาที่เรียน มีลักษณะคล้ายแบบทดสอบย่อย แต่มีลักษณะที่เฉพาะ เจาะจงมากกว่า ลักษณะ ปัญหาในแบบฝึกทักษะจะเรียงลำดับจากง่ายไปยากและต้องเป็นปัญหาที่เสริมทักษะพื้นฐาน สุนันทา สุนทรประเสริฐ (2558) ได้ให้ความหมายของแบบฝึกไว้ว่า แบบฝึกหรือ แบบฝึกหัด คือ สื่อการเรียนการสอนชนิดหนึ่ง ที่ใช้ฝึกทักษะให้กับผู้เรียน หลังจากเรียนจบเนี้อหาใน ช่วงหนึ่ง ๆ เพื่อฝึกฝนให้เกิดความรู้ความเข้าใจ รวมทั้งเกิดความชำนาญในเรื่องนั้น ๆ อย่างกว้างขวางมาก ขึ้น สุพรรณไชยเทพ (2558)ยังได้ให้ความหมายของแบบฝึกไว้ว่า แบบฝึกเสริม ทักษะ หมายถึง เอกสารหรือแบบฝึกหัดที่ใช้เป็นสื่อประกอบการเรียนการสอนเพื่อให้ผู้เรียนได้ฝึกปฏิบัติ เป็นการ ช่วยเสริมให้นักเรียนมีทักษะสูงยิ่งขึ้น ไพบูลย์ มูลดี (2559) ให้ความหมายของแบบฝึกทักษะว่า แบบฝึกทักษะเป็น ชุดการ เรียนรู้ที่ครูจัดทำขึ้น ให้ผู้เรียนได้ทบทวนเนี้อหาที่เรียนรู้มาแล้วเพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจจะช่วย เพิ่มทักษะความชำนาญ และช่วยฝึกทักษะการคิดให้มากขึ้น ทั้งยังมีประโยชน์ในการลดภาระให้กับครู อีก ทั้งพัฒนาความสามารถของผู้เรียนทำให้ผู้เรียนมองเห็นความก้าวหน้าจากผลการเรียนรู้ของตนเองได้ พินิจ จันทร์ซ้าย (2560) ได้ให้ความหมายของแบบฝึกทักษะว่า แบบฝึกทักษะ หมายถึง งานกิจกรรม หรือประสบการณ์ที่ผู้สอนจัดให้ผู้เรียนได้ฝึกปฏิบัติ เพื่อทบทวนความรู้ที่เรียน มาแล้ว ให้สามารถนำความรู้ที่ไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน
10 ปราณี จิณฤทธิ์ (2558) ได้กล่าวว่า แบบฝึก หมายถึง งานที่ครูมอบหมายให้ นักเรียนทำ ด้วยตนเองภายหลังจากได้เรียนบทเรียน เพื่อเป็นการทบทวนและฝึกทักษะในเรื่องที่เรียนผ่านมาแล้ว ดังนั้น แบบฝึกทักษะจึงเป็นเครื่องมือที่ช่วยพัฒนาทักษะในเรื่องที่เรียนรู้ให้มากขึ้น โดย อาศัยการฝึกฝนหรือปฏิบัติด้วยตนเองของผู้เรียน ลักษณะปัญหาในแบบฝึกทักษะจะเป็นปัญหาที่เสริม ทักษะพื้นฐานโดยกำหนดขึ้นให้ผู้เรียนตอบเรียงลำดับจากง่ายไปยาก ปริมาณของปัญหาต้องเพียงพอ ที่สามารถตรวจสอบและพัฒนาทักษะ กระบวนการคิด กระบวนการเรียนรู้ของผู้เรียน ที่เรียนไปแล้ว เพื่อนำไปใช้ในการแก้ปัญหา รวมทั้งในแบบฝึกทักษะจะทำให้ผู้เรียนสามารถตรวจสอบความเข้าใจ บทเรียนด้วยตนเองได้ เพื่อให้เกิดทักษะ เกิดความรู้ ความเข้าใจ ความชำนาญในเนี้อหาที่ผู้เรียนได้เรียนไป ในเรื่องนั้น ๆ อย่างมีประสิทธิภาพ 2. ลักษณะของแบบฝึกทักษะที่ดี ในการสร้างแบบฝึกสำหรับเด็ก มีองค์ประกอบหลายประการ ซึ่งได้มีนักการศึกษาหลาย ท่านให้ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับลักษณะของแบบฝึกที่ดี ไว้ดังนี้ กุลยา แสงเดช (2559) ได้กล่าวแนะนำผู้สร้างแบบฝึกให้ยึดลักษณะแบบฝึกที่ดีดังนี้ 1) แบบฝึกที่ดีควรความชัดเจนทั้งคำสั่งและวิธีทำ คำสั่งหรือตัวอย่างแสดงวิธีทำ ที่ใช้ไม่ควรยากเกินไป เพราะจะทำความเข้าใจยาก ควรปรับให้ง่ายและเหมาะสมกับผู้ใช้ เพื่อนักเรียน สามารถเรียนด้วยตนเองได้ 2) แบบฝึกที่ดีควรมีความหมายต่อผู้เรียนและตรงตามจุดหมายของการฝึก ลงทุนน้อย ใช้ได้นาน ทันสมัย 3) ภาษาและภาพที่ใช้ในแบบฝึกเหมาะกับวัยและพื้นฐานความรู้ของผู้เรียน 4) แบบฝึกที่ดีควรแยกฝึกเป็นเรื่อง ๆ แต่ละเรื่องไม่ควรยาวเกินไป แต่ควรมี กิจกรรมหลายแบบเพื่อเร้าความสนใจ และไม่เบื่อในการทำและฝึกทักษะใดทักษะหนึ่งจนชำนาญ 5) แบบฝึกที่ดีควรมีทั้งแบบกำหนดคำตอบในแบบและให้ตอบโดยเสรี การเลือกใช้คำ ข้อความ รูปภาพในแบบฝึก ควรเป็นสิ่งที่นักเรียนคุ้นเคยและตรงกับความสนใจของ นักเรียน ก่อให้เกิดความเพลิดเพลินและพอใจแก่ผู้ใช้ ซึ่งตรงกับหลักการเรียนรู้ว่า นักเรียนจะเรียนได้เร็ว ในการ กระทำที่ทำให้เกิดความพึงพอใจ 6) แบบฝึกที่ดีควรเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ศึกษาด้วยตนเอง ให้รู้จักค้นคว้า รวบรวมสิ่งที่พบเห็นบ่อย ๆ หรือที่ตัวเองเคยใช้ จะทำให้ผู้เรียนเข้าใจเรื่องนั้น ๆ มากยิ่งขึ้น และรู้จักนำ ความรู้ไปใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างถูกต้อง มีหลักเกณฑ์และมองเห็นว่าสิ่งที่ได้สกนั้นมีความหมายต่อเขา ตลอดไป
11 7) แบบฝึกที่ดีควรตอบสนองความแตกต่างระหว่างบุคคล ผู้เรียนแต่ละคน มีความแตกต่างกันในหลาย ๆ ด้าน เช่น ความต้องการ ความสนใจ ความพร้อม ระดับสติปัญญา และ ประสบการณ์ เป็นด้น ฉะนั้น การทำแบบฝึกแต่ละเรื่องควรจัดทำให้มากพอและมีทุกระดับตั้งแต่ ง่าย ปานกลาง จนถึงระดับค่อนข้างยาก เพื่อว่าทั้งนักเรียนเก่ง ปานกลาง และอ่อน จะได้เลือกทำได้ตาม ความสามารถ ทั้งนี้เพื่อให้นักเรียนทุกคนได้ประสบความสำเร็จในการทำแบบฝึก 8) แบบฝึกที่จัดทำเป็นรูปเล่ม นักเรียนสามารถเก็บรักษาไว้เป็นแนวทางเพื่อ ทบทวนด้วยตนเองต่อไป 9) การที่นักเรียนได้ทำแบบฝึก ช่วยให้ครูมองเห็นจุดเด่นหรือปัญหาต่าง ๆ ของนักเรียนได้ชัดเจน ซึ่งจะช่วยให้ครูดำเนินการปรับปรุงแก่ไขปัญหานั้น ๆ ได้ทันท่วงที 10) แบบฝึกที่จัดขึ้น นอกจากมีในหนังสือเรียนแล้ว จะช่วยให้นักเรียนได้ฝึกฝน อย่างเต็มที่ 11) แบบฝึกที่จัดพิมพ์ไว้เรียบร้อยแล้ว จะช่วยให้ครูประหยัดแรงงานและเวลา ในการที่จะต้องเตรียมแบบฝึกอยู่เสมอ ในด้านผู้เรียนไม่ต้องเลียเวลาในการลอกแบบฝึกจากตำราเรียนหรือ กระดานดำ ทำให้มีเวลาและโอกาสได้ฝึกฝนทักษะต่าง ๆ ได้มากขึ้น 12) แบบฝึกช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย เพราะการพิมพ์เป็นรูปเล่มที่แน่นอน ลงทุน ตํ่าแทนที่จะใช้พิมพ์ลงกระดาษไขทุกครั้งไป นอกจากนี้ยังมีประโยชน์ในการที่ผู้เรียนสามารถบันทึกและ มองเห็นความก้าวหน้าของตนได้อย่างมีระบบและมีระเบียบ จริยภรณ์ รุจิโมระ (2558) ได้เสนอหลักเกณฑ์การฝึกทักษะ สรุปได้คือ แบบฝึกทักษะควรกำหนด นิยามของแต่ละขึ้นตอนให้ซัดเจน ให้สามารถนำไปปฏิบัติได้แจกแจงทักษะใหญ่ ออกเป็นทักษะย่อยโดย ละเอียด นักเรียนจะต้องฝึกทักษะในขึ้นย่อย ๆ เหล่านั้นทีละขึ้นจนเกิดทักษะแล้ว จึงฝึกทักษะที่ยากขึ้น ให้ นักเรียนฝึกทักษะที่แจกแจงเป็นทักษะย่อยแล้วหลายครั้ง จนมีความชำนาญ เน้นการฝึกซํ้า ๆ มีการวัด และประเมินผล หรือสังเกตพฤติกรรมเด็กอย่างสม่ำเสมอเพื่อประเมินว่า เด็กมีทักษะเกิดขึ้นแล้วโดยสรุป ลักษณะของแบบฝึกที่ดีคือ ต้องมีจุดประสงค์และคำสั่งที่ซัดเจน เข้าใจง่าย มีความเหมาะสมกับวัยของ ผู้เรียน มีรูปแบบที่ทันสมัย สามารถดึงดูดความสนใจของผู้เรียนให้เกิดความ ต้องการที่จะฝึกปฏิบัติเพื่อให้ เกิดการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ
12 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 1. ความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน (Learning Achievement) เป็นผลที่เกิดจากปัจจัยต่างๆ ในการ จัดการศึกษานักศึกษาได้ให้ความสำคัญกับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและเนื่องจากผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนเป็น ดัชนีประการหนึ่งที่สามารถบอกถึงคุณภาพการศึกษา ดังที่ อนาตาขี (Anastasi. 1976:107 อ้างถึงใน ปริยทิพย์ บุญคง, 2560) กล่าวไว้พอสรุป ได้ว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน มีความสัมพันธ์กับองค์ประกอบด้านสติปัญญาและองค์ประกอบด้านที่ไม่ใช้ สติปัญญาได้แก่องค์ประกอบด้านเศรษฐกิจสังคมแรงจูงใจและองค์ประกอบที่ไม่ใช้สติปัญญาด้านอื่น ไอแซงค์ อาโนลด์และไมลื (Eysenck, Arnold and Meili.1972 อ้างถึงใน ปริยทิพย์ บุญ คง, 2558) ให้ความหมายของคำว่าผลสัมฤทธิ์หมายถึงขนาดของความสำเร็จที่ได้จากการทำงาน ที่ต้อง อาศัยความพยายามอย่างมากซึ่งเป็นผลมาจากการกระทำที่ต้องอาศัยทั้งความสามารถทั้งทาง ร่างกายและ ทางสติปัญญา ดังนั้นผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนจึงเป็นขนาดของความสำเร็จที่ได้จากการเรียน โดยอาศัย ความสามารถเฉพาะตัวบุคคลผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนอาจได้จากกระบวนการที่ไม่ต้องอาศัย การทดสอบ เช่น การสังเกตหรือการตรวจการบ้านหรืออาจได้ในรูปของเกรดจากโรงเรียนซึ่งต้องอาศัย กระบวนการที่ ซับซ้อนและระยะเวลานานพอสมควรหรืออาจได้จากการวัดแบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ทั่วไปซึ่ง สอดคล้องกับ ไพศาล หวังพานิช (2558 อ้างถึงใน ปริยทิพย์ บุญคง, 2558) ที่ให้ความหมาย ผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนว่า หมายถึง คุณลักษณะและความสามารถของบุคคลอันเกิดจากการเรียนการสอน เป็นการ เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและประสบการณ์การเรียนที่เกิดขึ้นจากการฝึกอบรมหรือการสอบจึงเป็น การตรวจสอบระดับความสามารถของบุคคลว่าเรียนแล้วมีความรู้เท่าใดสามารถวัดได้โดยการใช้ แบบทดสอบ ต่างๆเช่นใช้ข้อสอบวัดผลสัมฤทธิ์ข้อสอบวัดภาคปฏิบัติสามารถวัดได้ 2 รูปแบบ ดังนี้ 1) การวัดด้านปฏิบัติเป็นการตรวจสอบระดับความสามารถในการปฏิบัติโดย ทักษะของผู้เรียนโดยมุ่งเน้นให้ผู้เรียนแสดงความสามารถดังกล่าวในรูปของการกระทำจริงให้ออกเป็น ผลงานการวัดต้องใช้ข้อสอบภาคปฏิบัติ 2) การวัดด้านเนี้อหาเป็นการตรวจสอบความสามารถเกี่ยวกับเนี้อหาซึ่งเป็น ประสบการณ์เรียนรวมถึงพฤติกรรมความสามารถในด้านต่างๆสามารถวัดได้โดยใช้แบบวัดผลสัมฤทธิ์ จากความหมายข้างด้น สรุปได้ว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ผลการวัด การเปลี่ยนแปลงและ ประสบการณ์การเรียนรู้ในเนี้อหาสาระที่เรียนมาแล้วว่าเกิดการเรียนรู้เท่าใด มีความสามารถชนิดใดโดย
13 สามารถวัดได้จากแบบทดสอบวัดสัมฤทธิ์ในลักษณะต่างๆ และการวัดผลตาม สภาพจริงเพื่อบอกถึง คุณภาพการศึกษาความหมายของการวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 2. ความหมายของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน นักการศึกษาหลายท่านได้ให้ความหมายของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเพื่อ ใช้ เป็นเกณฑ์ในการประเมินผลไว้ ดังนี้ สมนึก ภัททิยธนี (2559) ได้ให้ความหมายของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียน ว่าหมายถึงแบบทดสอบวัดสมรรถภาพทางสมองต่างๆ ที่นักเรียนได้รับการเรียนรู้ผ่านมาแล้ว ซึ่งแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ แบบทดสอบที่ครูสร้างกับแบบทดสอบมาตรฐานแต่เนื่องจากครูต้อง ทำหน้าที่วัดผลนักเรียนคือเขียนข้อสอบวัดผลสัมฤทธิ์ที่ตนได้สอนซึ่งเกี่ยวข้องโดยตรงกับแบบทดสอบที่ครู สร้างและมีหลายแบบแต่ที่นิยมใช้มี 6 แบบ ดังนี้ 1) ข้อสอบแบบอัตนัยหรือความเรียง ลักษณะทั่วไปเป็นข้อสอบที่มีเฉพาะ คำถามแล้วให้นักเรียนเขียนตอบอย่างเสรีเขียนบรรยายตามความรู้และข้อคิดเห็นแต่ละคน 2) ข้อสอบแบบกาถูก - ผิด ลักษณะทั่วไปถือได้ว่าข้อสอบแบบกาถูก-ผิดคือ ข้อสอบแบบเลือกตอบที่มี 2 ตัวเลือก แต่ตัวเลือกดังกล่าวเป็นแบบคงที่และมีความหมายตรงกันข้าม เช่น ถูก-ผิดใช่-ไม่ใช่จริง-ไม่จริงเหมือนกัน-ต่างกันเป็นต้น 3) ข้อสอบแบบเดิมคำ ลักษณะทั่วไปเป็นข้อสอบที่ประกอบด้วยประโยคหรือ ข้อความที่ยังไม่สมบูรณ์ให้ผู้ตอบเดิมคำหรือประโยคหรือข้อความลงในช่องว่างที่เว้นไว้นั้นเพื่อให้มีใจความ สมบูรณ์และถูกต้อง 4) ข้อสอบแบบตอบสั้นๆ ลักษณะทั่วไปข้อสอบประเภทนี้คล้ายกับข้อสอบแบบ เดิมคำแต่แตกต่างกันที่ข้อสอบแบบตอบสั้นๆเขียนเป็นประโยคคำถามสมบูรณ์ (ข้อสอบเดิมคำเป็น ประโยคที่ยังไม่สมบูรณ์) แล้วให้ผู้ตอบเป็นคนเขียนตอบคำตอบที่ต้องการจะสั้นและกะทัดรัดได้ ใจความ สมบูรณ์ไม่ใช่เป็นการบรรยายแบบข้อสอบอัตนัยหรือความเรียง 5) ข้อสอบแบบจับคู่ ลักษณะทั่วไปเป็นข้อสอบเลือกตอบชนิดหนึ่งโดยมีคำหรือ ข้อความแยกจากกันเป็น 2 ชุดแล้วให้ผู้ตอบเลือกจับคู่ว่าแต่ละข้อความในชุดหนึ่ง (ตัวยืน) จะคู่กับคำหรือ ข้อความใดในอีกชุดหนึ่ง (ตัวเลือก) ซึ่งมีความสัมพันธ์กันอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่ผู้ออกข้อสอบกำหนดไว้ 6) ข้อสอบแบบเลือกตอบลักษณะทั่วไปข้อสอบแบบเลือกตอบนี้ จะประกอบด้วย 2 ตอน ตอนนำหรือคำถามกับตอนเลือกในตอนเลือกนี้จะประกอบด้วยตัวเลือกที่เป็น
14 คำตอบถูกและตัวเลือกที่เป็นตัวลวงปกติจะมีคำถามที่กำหนดให้นักเรียนพิจารณาแล้วหาตัวเลือกที่ถูกต้อง มากที่สุดเพียงตัวเลือกเดียวจากตัวเลือกอื่น ๆ และคำถามแบบเลือกตอบที่ดินยมใช้ตัวเลือกที่ ใกล้เคียงกัน ดูเผินๆ จะเห็นว่าทุกตัวเลือกถูกหมด แต่ความจริงมีน้ำหนักถูกมากน้อยต่างกัน พวงรัตน์ ทวีรัตน์ (2558 อ้างถึงใน ปริยทิพย์ บุญคง,2558) ได้กล่าวถึง แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนในทำนองเดียวกันว่า หมายถึงแบบทดสอบที่วัดความรู้ของ นักเรียนที่ได้เรียนไปแล้วซึ่งมักจะเป็นข้อ คำถามให้นักเรียนตอบด้วยกระดาษและดินสอกับให้นักเรียนปฏิบัติจริง จากความหมายของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่กล่าวมาแล้ว สรุปได้ว่า แบบทดสอบวัด ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหมายถึงแบบทดสอบที่วัดความรู้ความสามารถทางการเรียนด้านเ นี้อหา ด้านวิชาการและทักษะต่างๆของวิชาต่างๆ 3. หลักเกณฑ์ในการสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ในการสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนผู้วิจัยได้วิเคราะห์จากนักการศึกษา หลายๆ ท่าน ที่กล่าวถึงหลักเกณฑ์ไว้สอดคล้องกันและได้ลำดับเป็นขั้นตอน ดังนี้ 1) เนี้อหาหรือทักษะที่ครอบคลุมในแบบทดสอบนั้นจะต้องเป็นพฤติกรรมที่ สามารถทำการวัดผลสัมฤทธิ์ได้ 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่ใช้แบบทดสอบวัดนั้นถ้านำไปเปรียบเทียบกัน จะต้องให้ทุกคนมีโอกาสเรียนรู้สิ่งต่างๆเหล่านั้นได้ครอบคลุมและเท่าเทียมกัน 3) วัดให้ตรงกับจุดประสงค์การสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนควร จะวัดตามวัตถุประสงค์ทุกอย่างของการสอนและจะต้องมั่นใจว่าได้วัดสิ่งที่ต้องการจะวัดได้จริง 4) การวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเป็นการวัดความเจริญงอกงามของนักเรียนซึ่ง เป็นการเปลี่ยนแปลงและความก้าวหน้าไปสู่วัตถุประสงค์ที่วางไว้ ดังนั้นครูควรจะทราบว่าก่อนเรียน นักเรียนมีความรู้ความสามารถอย่างไรเมื่อเรียนเสร็จแล้วมีความรู้แตกต่างจากเดิมหรือไม่ โดยการ ทดสอบ ก่อนเรียนและทดสอบหลังเรียน 5) การวัดผลเป็นการวัดผลทางอ้อมเป็นการยากที่จะใช้ข้อสอบแบบเขียนตอบ วัดพฤติกรรมตรงๆ ของบุคคลได้สิ่งที่วัดได้คือการตอบสนองต่อข้อสอบดังนั้นการเปลี่ยนวัตถุประสงค์ให้ เป็น พฤติกรรมที่จะสอบจะต้องทำอย่างรอบคอบและถูกต้อง
15 6) การวัดการเรียนรู้เป็นการยากที่จะวัดทุกสิ่งทุกอย่างที่สอนได้ภายในเวลา จำกัด สิ่งที่วัดได้เป็นเพียงตัวแทนของพฤติกรรมทั้งหมดเท่านั้นดังนั้นต้องมั่นใจว่าสิ่งที่วัดนั้นเป็นตัวแทน แท้จริงได้ 7) การวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเป็นเครื่องช่วยพัฒนาการสอนของครูและเป็น เครื่องช่วยในการเรียนของเด็ก 8) ในการศึกษาที่สมบูรณ์นั้นสิ่งสำคัญไม่ได้อยู่ที่การทดสอบแต่เพียงอย่างเดียว การทบทวนการสอนของครูก็เป็นสิ่งสำคัญยิ่ง 9) การวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนควรจะเน้นในการวัดความสามารถในการใช้ ความรู้ให้เป็นประโยชน์หรือการนำความรู้ไปใช้ในสถานการณ์ใหม่ ๆ 10) ควรใช้คำถามให้สอดคล้องกับเนี้อหาวิชาและวัตถุประสงค์ที่วัด 11) ให้ข้อสอบมีความเหมาะสมกับนักเรียนในด้านต่างๆ เช่น ความยากง่าย พอเหมาะ มีเวลาพอสำหรับนักเรียนในการทำข้อสอบจากที่กล่าวข้างด้นสรุปได้ว่าในการสร้างแบบทดสอบ ให้มีคุณภาพวิธีการสร้างแบบทดสอบ ที่เป็นคำถามเพื่อวัดเนี้อหาและพฤติกรรมที่สอนไปแล้วต้องตั้ง คำถามที่สามารถวัดพฤติกรรมการเรียน การสอนได้อย่างครอบคลุมและตรงตามจุดประสงค์การเรียนรู้ 4. ชนิดของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ล้วน สายยศและอังคณา สายยศ (2558 อ้างถึงใน ปริยทิพย์ บุญคง,2559) ได้ให้ความหมายของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไว้ว่าเป็นแบบทดสอบที่วัดความรู้ของ นักเรียนหลังจากที่ได้เรียนไปแล้วซึ่งมักจะเป็นข้อคำถามให้นักเรียนตอบด้วยกระดาษและดินสอกับ ให้ นักเรียนปฏิบัติจริงซึ่งแบ่งแบบทดสอบประเภทนี้เป็น 2 ประเภทคือ 1) แบบทดสอบของครู หมายถึง ชุดของข้อคำถามที่ครูเป็นผู้สร้างขึ้นเป็นข้อ คำถามที่เกี่ยวกับความรู้ที่นักเรียนได้เรียนในห้องเรียนเป็นการทดสอบว่านักเรียนมีความรู้มากแค่ไหน บกพร่องในส่วนใดจะได้สอนซ่อมเสริมหรือเป็นการวัดเพื่อดูความพร้อมที่จะเรียนในเนี้อหาใหม่ขึ้นอยู่กับ ความต้องการของครู 2) แบบทดสอบมาตรฐาน หมายถึง แบบทดสอบที่สร้างขึ้นจากผู้เชี่ยวชาญใน แต่ละสาขาวิชาหรือจากครูที่สอนวิชานั้นแต่ผ่านการทดลองหาคุณภาพหลายครั้งจนมีคุณภาพดีจึงสร้าง เกณฑ์ปกติของแบบทดสอบนั้นสามารถใช้หลักและเปรียบเทียบผลเพื่อประเมินค่าของการเรียนการสอน ในเรื่องใดๆก็ได้แบบทดสอบมาตรฐานจะมีคู่มือดำเนินการสอบบอดถึงวิธีการและยังมีมาตรฐานในด้านการ แปลคะแนนด้วยทั้งแบบทดสอบของครูและแบบทดสอบมาตรฐานจะมีวิธีการในการสร้างข้อคำถามที่
16 เหมือนกันเป็นคำถามที่วัดเนี้อหาและพฤติกรรมในด้านต่างๆทั้ง 4 ด้าน คังนี้1) ด้านการนำไปใช้ 2) ด้านการวิเคราะห์ 3) ด้านการสังเคราะห์ และ 4) ด้านการประเมินค่า แผนการจัดการเรียนรู้ 1. ความหมายของการวางแผนการจัดการเรียนรู้ ระวิวรรณ ศรีคร้ามครัน (2559) ในการวางแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้แก่ นักเรียนนั้น สิ่งสำคัญที่ผู้สอน (อาจารย์แนะแนว) จะต้องพิจารณาก็คือ การเรียนรู้.... การวางแผนกิจกรรม การเรียนรู้ที่ดี จะสามารถทำให้ผู้สอนสามารถควบคุมชั้นเรียน และทำให้กิจกรรมในชั้นเรียนดำเนินไป ด้วยดี สุวิทย์ มูลคำ (2559) ให้ความหมายไว้ว่า แผนการจัดการเรียนรู้ คือ แผนการเตรียมการ สอนหรือกำหนดกิจกรรมการเรียนรู้ไว้ล่วงหน้าอย่างเป็นระบบและจัดทำไว้เป็นลายลักษณ์อักษร โดยมีการ รวบรวมข้อมูลต่าง ๆ มากำหนดกิจกรรมการเรียนการสอน เพื่อให้ผู้เรียนบรรลุจุดมุ่งหมายที่กำหนดไว้ วัฒนาพร ระงับทุกข์ (2558) ให้ความหมายของแผนการจัดการเรียนรู้ว่าแผนการจัดการ เรียนรู้ หมายถึง แผนการหรือโครงการที่จัดทำเป็นลายลักษณ์อักษร เพื่อใช้ในการปฏิบัติการสอนใน รายวิชาใดวิชาหนึ่ง เป็นการเตรียมการสอนอย่างมีระบบและเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ครูพัฒนาการจัดการ เรียนการสอนไปสู่จุดประสงค์การเรียนรู้ และจุดหมายของหลักสูตรได้อย่างมีประสิทธิภาพ กรมวิชาการ (2560) ได้ให้ความหมายของแผนการจัดการเรียนรู้ไว้ว่า แผนการจัดการ เรียนรู้ หมายถึง แผนซึ่งครูเตรียมการจัดการเรียนรู้ให้แก่นักเรียน โดยวางแผนการจัดการเรียนรู้ แผนการ ใช้สื่อการเรียนรู้หรือแหล่งเรียนรู้ แผนการวัดผลประเมินผลโดยการวิเคราะห์จากคำอธิบายรายวิชาหรือ หน่วยการเรียนรู้ ซึ่งยึดผลการเรียนรู้ที่คาดหวังและสาระการเรียนรู้ที่กำหนด อันสอดคล้อง กับมาตรฐาน การเรียนรู้ อาภรณ์ ใจเที่ยง (2558) ได้ให้ความหมายของแผนการจัดการเรียนรู้ว่า แผนการสอน คือ แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ การใช้สื่อการสอน การวัดผล ประเมินผลให้สอดคล้องกับเนื้อหาและ จุดประสงค์ที่กำหนดไว้ในหลักสูตร จากความหมายของแผนการจัดการเรียนรู้ที่กล่าวมาข้างต้น สรุปได้ว่า แผนการจัดการ เรียนรู้หมายถึง กิจกรรมการเรียนรู้ภายใต้คำแนะนำ และการดูแลของผู้สอน ที่ให้ผู้เรียนได้เป็นผู้ปฏิบัติ ให้ผู้เรียนเป็นผู้ค้นพบคำตอบหรือกระทำด้วยตนเอง เพื่อให้ดำเนินการสอนเป็นไปตามขั้นตอน โดยมีการ เตรียมข้อมูลต่าง ๆ ไว้ล่วงหน้าอย่างเป็นระบบ จัดทำไว้เป็นลายลักษณ์อักษรและนำมาใช้ในการจัด กิจกรรมการเรียนรู้เพื่อให้ผู้เรียนบรรลุจุดมุ่งหมายหรือเป็นหมายที่ได้กำหนดไว้
17 2. องค์ประกอบที่สำคัญของแผนการจัดการเรียนรู้ แผนการจัดการเรียนรู้ มีหลายรูปแบบอาจอยู่ในรูปของความเรียงหรือตาราง หรือทั้งความ เรียงและตารางรวมกันก็ได้ ซึ่งผู้สอนสามารถเลือกรูปแบบได้ตามความเหมาะสม จะเห็นว่าแผนการจัดการ เรียนรู้ควรประกอบด้วยส่วนประกอบสำคัญ 3 ส่วน คือ (อาดัม ยูโซะ, 2557 อ้างถึงใน สุวิทย์มูลคำ และ คณะ, 2558) ส่วนที่ 1 ส่วนนำหรือหัวแผนการจัดการเรียนรู้ เป็นส่วนประกอบที่แสดงให้เห็นภาพรวมของแผนการจัดการเรียนรู้ว่าเป็นแผนการจัดการ เรียนรู้ของกลุ่มสาระการเรียนรู้ใด ใช้กับผู้เรียนในระดับชั้นใด เรื่องอะไร ใช้เวลาในการจัดกิจกรรมนาน เท่าใด ส่วนที่ 2 ตัวแผนการจัดการเรียนรู้ (องค์ประกอบที่สำคัญ) 1. สาระ 2. มาตรฐานการเรียนรู้ 3. มาตรฐานการเรียนรู้ช่วงชั้น 4. ผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง 5. สาระสำคัญ 6. จุดประสงค์การเรียนรู้ ประกอบด้วย 6.1 จุดประสงค์ปลายทาง 6.2 จุดประสงค์นำทาง 7. สาระการเรียนรู้/เนื้อหา 8. กิจกรรม/กระบวนการ 9. สื่อ/นวัตกรรม/แหล่งเรียนรู้ 10. การวัดและประเมินผล ประกอบด้วย 10.1 วิธีการประเมิน 10.2 เครื่องมือที่ใช้ในการประเมิน 10.3 เกณฑ์ที่ใช้ในการประเมิน 11. เอกสารประกอบการจัดการเรียนรู้ 12. บันทึกผลหลังการจัดการเรียนรู้ ส่วนที่ 3 ท้ายแผนการจัดการเรียนรู้ ประกอบด้วยบันทึกผลการใช้แผนการจัดการเรียนรู้ซึ่งเป็นส่วนที่ผู้สอนบันทึกข้อสังเกตที่ พบจากการนำแผนไปใช้เช่น ปัญหาและแนวทางแก้ไข กิจกรรมเสนอแนะ และข้อมูลอื่น ๆ เพื่อประโยชน์
18 ในการปรับปรุงแผนการจัดการเรียนรู้ ในการนำไปใช้ต่อไป อีกส่วนหนึ่งของท้ายแผนการจัดการเรียนรู้ ได้แก่ เอกสารประกอบการสอน เช่น ใบงาน แบบทดสอบที่ใช้ในการจัดการเรียนรู้ตามแผนนั้น ๆ เป็นต้น แนวคิดเกี่ยวกับความพึงพอใจ ราชบัณฑิตยสถาน (2559) ได้ให้ความหมายของความพึงพอใจ หมายถึง รักชอบใจ ขณะที่นักการ ศึกษาหลาย ๆ ท่านได้ให้ความหมายของความพิงพอใจ กิตติมา ปรีดิลก (2558) กล่าวคือ เป็นความรู้สึกที่ ชอบหรือพอใจที่มีองค์ประกอบและสิ่งจูงใจในด้านต่าง ๆ และได้รับการ ตอบสนองต่อความต้องการนั้น นอกจากนี้อรทัย บุญช่วย (2560) กล่าวว่า ความพึงพอใจเป็นเรื่อง ที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์ ความรู้สึกและ ทัศนะของบุคคลอันเนื่องมากจากสิ่งเร้าและแรงจูงใจซึ่งจะปรากฏ ออกมาทางพฤติกรรม โดยแสดงออกมา ในลักษณะของความชอบ สรุปได้ว่าความพิงพอใจในการเรียนและผลการเรียนจะมีความสัมพันธ์กันในทางบวก ทั้งนี้ผู้เรียน ได้รับการตอบสนองความต้องการทางด้านร่างกายและจิตใจ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้เกิดความ สมบูรณ์ของชีวิต นั้นคือ สิ่งที่ครูผู้สอนจะคำนึงถึงองค์ประกอบต่าง ๆในการเสริมสร้างความพิงพอใจใน การเรียนรู้ให้กับผู้เรียน ทฤษฎีสำหรับการสร้างความพึงพอใจ พงษ์พันธ์ พงษ์โสภา (2560) ได้กล่าวสรุป ทฤษฎีสำหรับการสร้างความพิงพอใจมีอยู่ หลายทฤษฎี แต่ทฤษฎีที่ได้รับการยอมรับ ได้แก่ ทฤษฎีความต้องการตามลำดับขั้นของมาสโลว์ (Maslow’s Hierarchy of Needs) กล่าวคือ มนุษย์ทุกคนมีความต้องการเหมือนกัน แต่ความ ต้องการขั้นเป็นลำดับขั้น ที่เกี่ยวกับ ความต้องการของมนุษย์ไว้ดังนี้ มนุษย์มีความต้องการอยู่เสมอและไม่มีที่สิ้นสุด ขณะที่ความต้องการสิ่งใดได้รับการตอบสนอง แล้ว ความต้องการอย่างอื่นก็จะเกิดขึ้นอีกไม่มีวันจบสิ้น ความต้องการที่ได้รับการตอบสนองแล้วจะไม่เป็นสิ่งจูงใจสำหรับพฤติกรรมอื่นต่อไปความต้องการ ที่ได้รับ การตอบสนองเท่านั้นที่เป็นสิ่งจูงใจของพฤติกรรม ความต้องการของมนุษย์จะเรียงเป็นลำดับขั้นตามลำดับความสำคัญ กล่าวคือ เมื่อความต้องการ ในระดับตํ่าได้รับการตอบสนองแล้ว ความต้องการระดับสูงจะเรียกร้องให้มีการตอบสนอง ซึ่งลำดับขั้น ความต้องการของมนุษย์มี 5 ขั้น ตามลำดับขั้นจากตํ่าไปสูง ดังนี้
19 1) ความต้องการด้านร่างกาย (physiological needs) เป็นความต้องการเบื้องด้นเพื่อ ความอยู่รอดของชีวิต เช่น ความต้องการในเรื่องของอาหาร นี้า อากาศ เครื่องบุ่งห่ม ยารักษาโรค ที่อยู่อาศัย และความต้องการทางเพศ ความต้องการทางด้านร่างกายจะมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของคน ก็ต่อเมื่อความต้องการทั้งหมดของคนยังไม่ได้รับการตอบสนอง 2) ความต้องการด้านความปลอดภัยเพื่อความมั่นคง (security of safety needs) ล้าความต้องการทางด้านร่างกายได้รับการตอบสนองตามสมควรแล้ว มนุษย์จะต้องการในขั้นสูงต่อไป คือ เป็นความรู้สึกที่ต้องการความปลอดภัย หรือความมั่นคงในปัจจุบันและอนาคตซึ่งรวมถึง ความก้าวหน้า และความอบอุ่นใจ 3) ความต้องการทางด้านสังคม (social or belonging needs) หลังจากที่มนุษย์ ได้รับ การตอบสนองในสองขั้นดังกล่าวแล้วก็จะมีความต้องการสูงขึ้นอีก คือ ความต้องการทางสังคม ซึ่งเป็น ความต้องการที่จะเข้าร่วมและได้รับการยอมรับในสังคม ความเป็นมิตรและความรักจากเพื่อน 4) ความต้องการที่จะได้รับการยอมรับนับถือ (esteem needs) เป็นความต้องการให้ คนอื่นยกย่อง ให้เกียรติและเห็นความสำคัญของตนเอง อยากเดินในสังคม รวมถึงความสำเร็จ ความรู้ ความสามารถ ความเป็นอิสระและเสรีภาพ 5) ความต้องการความสำเร็จในชีวิต (self-actualization) เป็นความต้องการระดับ สูงสุดของมนุษย์ ส่วนมากจะเป็นการอยากจะเป็น อยากจะได้ตามความคิดของตนหรือต้องการจะเป็น มากกว่าที่ตัวเองเป็นอยู่ในขณะนี้ จากสาระสำคัญของทฤษฎีความต้องการตามลำดับขั้นของมาสโลว์ สรุปได้ว่ามนุษย์ทุกคนมีความ ต้องการเหมือนกันแต่มีความแตกต่างกันไป และความต้องการในแต่ละขั้นของมนุษย์จะมีความสำคัญแก่ บุคคลมากน้อยเพียงใด ย่อมขึ้นอยู่กับความพึงพอใจที่ได้รับจาการตอบสนองความต้องการในลำดับนั้น ๆ โดยความต้องการของมนุษย์มี 5 ขั้น ตามลำดับขั้นจากตํ่าไปสูง ได้แก่ ความต้องการด้านร่างกาย ความ ต้องการด้านความปลอดภัยหรือความมั่นคง ความต้องการทางด้านสังคม ความต้องการที่จะได้รับการ ยอมรับนับถือ และความต้องการความสำเร็จในชีวิต ตามลำดับ
20 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ทำการศึกษาค้นคว้างานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาและผู้สนในทำการ วิจัยไว้หลายท่าน จนสามารถนำมาเป็นข้อมูลเพื่อการศึกษาและการตัดสินใจที่จะทำการวิจัยดังต่อไปนี้ กนกพร พั่วพันธ์ศรี (2558) ทำการวิจัยเรื่องผลการใช้แบบฝึกทักษะการแก่โจทย์ ปัญหาเรื่อง เศษส่วนที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ ของนักเรียนขั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านคำ สร้อย จังหวัดมุกดาหาร ผลการวิจัยพบว่า (1) แบบฝึกทักษะการแก่โจทย์ปัญหาเรื่อง เศษส่วน มีประสิทธิภาพเท่ากับ 83.95/82.67 (2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังการจัดกิจกรรมการเรียน คณิตศาสตร์โดยใช้แบบฝึกทักษะการแก่โจทย์ปัญหาเรื่องเศษส่วน สูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทาง สถิติที่ระดับ .05 และ (3) ความพึงพอใจของนักเรียนที่เรียนคณิตศาสตร์โดยใช้แบบฝึกทักษะการแก้โจทย์ ปัญหาเรื่องเศษส่วนมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก จริยา พงษ์คิริรักษ์ (2559) ได้วิจัยการพัฒนาชุดฝึกทักษะการคิดแบบองค์รวมของนักศึกษาช่าง อุตสาหกรรม ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มตัวอย่างเป็นนักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพขั้นสูง (ปวส.) สาขาวิชาไฟฟ้ากำลัง จำนวน 30 คน มีคะแนนเฉลี่ย ผลสัมฤทธิ์กลุ่มทดลองหลังการฝึก กิจกรรมพัฒนา ทักษะการคิดแบบองค์รวมสูงกว่าก่อนฝึกกิจกรรม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 ชูคักด สุระประวัติวงศ์ (2558) ได้วิจัยการพัฒนาชุดฝึกทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ขั้นประถมศึกษาปีที่ 5 จำนวน 19 คน ที่โรงเรียนบ้าน หนองไฮ ในเขตพื้นที่การศึกษาบุรีรัมย์ เขต 1 ผลการวิจัยพบว่า ชุดฝึกทักษะมีประสิทธิภาพเท่ากับ 87.04/86.84 คะแนนทดสอบหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนร้อยละ 20 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 นภัสวรรณ นุชชม. (บทคัดย่อ : 2555). การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องระบบต่อมไร้ท่อ โดยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ผังมโนภาพ ของนักเรียนขั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนวังข่อยพิทยา. งานวิจัยในขั้นเรียน. โรงเรียนวังข่อยพิทยา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 42. ประภาวดี แก่นจันทร์หอม (2559) การพัฒนาชุดฝึกทักษะการอ่านจับใจความสำคัญ ภาษาไทยสำหรับ นักศึกษาขั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ผลการวิจัยพบว่าชุดฝึกทักษะการอ่านจับใจความสำคัญ ภาษาไทยสำหรับ นักศึกษาขั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มีประสิทธิภาพรวมอยู่ในเกณฑ์ 85.90/85.38 ผลสัมฤทธิ์ ด้านทักษะการอ่านจับใจความสำคัญภาษาไทยก่อนเรียนกับหลังเรียนของนักศึกษากลุ่มที่เรียน โดยการ สอนแบบปกติในทุกด้าน มีคะแนนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .01 มณฑา นิระทัย (บทคัดย่อ : 2559 ) ได้ศึกษาการใช้ชุดการสอนทักษะกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์ที่มีผลต่อผลสัมฤทธิ์ด้านทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐานของนักเรียนระดับ ประถมศึกษาปีที่ 5 พบว่า ผลสัมฤทธิ์ด้านทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ของกลุ่มทดลองที่ใช้ชุดการ สอนสูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
21 ราตรี นางาม (2560: บทคัดย่อ) ได้วิจัยการพัฒนาชุดฝึกทักษะการอ่านภาษาไทยเพื่อจับใจความ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย สำหรับนักศึกษาชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ผลการวิจัยพบว่ากลุ่มตัวอย่างที่ใช้ ในการวิจัยครั้งนี้ เป็นนักศึกษาชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนบ้านหนองไฮ กลุ่มเครือข่ายโพนทองหนอง ไฮ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาอำนาจเจริญ จังหวัดอำนาจเจริญ จำนวน 42 คนมีผลสัมฤทธิ์ทางการอ่าน จับใจความสูงกว่าก่อนใช้ชุดฝึกทักษะอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 คิริวรรณ โพธสุวรรณ (บทคัดย่อ : 2558) ได้ศึกษาประสิทธิภาพของชุดการเรียนการสอนเพื่อ สอนซ่อมเสริมการวิเคราะห์และบวกเลข ลบเลข ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 พบว่า มีความบกพร่องในเรื่องการ ลบเลข 15 คน และบวกเลข 15 คน จากนั้นให้นักเรียนเรียนจากชุดการสอนซ่อมเสริม ตามประเภทที่ นักเรียนมีความบกพร่อง ผลปรากฏว่า คะแนนเฉลี่ยจากการทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยชุดการ สอนในแต่ละชุดการเรียนการสอน แตกต่างกันที่ระดับ 0.5 โศภิต วงศ์คูณ (2559, บทคัดย่อ) ทำการวิจัยเรื่องการพัฒนาชุดฝึกทักษะการแก่โจทย์ปัญหา คณิตศาสตร์ เรื่อง การบวก การลบ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ผลการวิจัยพบว่า (1) ชุดฝึกทักษะการแก้โจทย์ ปัญหาคณิตศาสตร์ เรื่อง การบวก การลบ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นมีประสิทธิภาพเท่ากับ 77.43/78.00 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ 75/75 ที่ตั้งไว้ (2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปี ที่ 2 ที่ได้รับการสอนโดยใช้ชุดฝึกทักษะการแก่โจทย์ปัญหาการบวก การลบ หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 สุคนธ์ ยั่งยืน (2559: บทคัดย่อ) ได้วิจัยการพัฒนาชุดฝึกทักษะวิชาคณิตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษา ปีที่ 5 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 ผลการวิจัยพบว่ากลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ เป็นนักศึกษาชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนดำรงสินอุทิศ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาอุบลราชธานี เขต 5 ที่ศึกษาในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2548 จานวน 30 คนมีประสิทธิภาพเท่ากับ 82.67/83.25 2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์เรื่อง เศษส่วนของนักศึกษาชั้นประถมศึกษาปีที่ 5ที่เรียน โดย ใช้ชุดฝึกทักษะหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 สุฐิพร สอนอ่อน (บทคัดย่อ: 2558) ซึ่งได้ทำการวิจัยเกี่ยวกับ การพัฒนาชุดกิจกรรมวิชา คณิตศาสตร์ เรื่องการแก้โจทย์ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ผลการ เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ ของนักเรียนที่ได้รับการสอนโดยใช้ชุดกิจกรรมวิชา คณิตศาสตร์ เรื่องการแก้โจทย์ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ก่อนเรียนและหลังเรียนแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ ทางสถิติที่ระดับ .05 อุษา รัตนบุปผา (บทคัดย่อ : 2559) ได้พัฒนาชุดการเรียนรู้เรื่องรูปแบบและความสัมพันธ์ สำหรับ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 จำนวน 4 ชุด ผลการวิจัยพบว่า ประสิทธิภาพของชุดการสอนเรื่อง รูปแบบ และความสัมพันธ์สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 มีประสิทธิภาพ 82.05/82.20 ซึ่งเป็นไป ตาม เกณฑ์ที่ตั้งไว้ คือ 80/80
บทที่ 3 วิธีดำเนินการวิจัย การวิจัยเรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยใช้เทคนิคการใช้ใบกิจกรรมฝึกทักษะ รายวิชาการออกแบบและเทคโนโลยี ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มีวิธีการดำเนินการ ดังนี้ 1. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 2. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 3. การสร้างและการหาคุณภาพเครื่องมือ 4. การวิเคราะห์ข้อมูล 5. สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 1. ประชากรที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้เป็นนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนกุดจับประชา สรรค์ จำนวน 250 คน 2. กลุ่มตัวอย่าง ที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้ได้แก่ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/3 โรงเรียนกุด จับประชาสรรค์ จำนวน 11 คน ได้มาจากกำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างโดยใช้ ได้มาโดยการคัดเลือกกลุ่ม ตัวอย่างแบบเจาะจง (Purposive sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เครื่องมือที่ใช้ในในการวิจัยครั้งนี้คือ 1. ใบกิจกรรมฝึกทักษะ รายวิชาการออกแบบและเทคโนโลยี ประกอบด้วย1 หน่วย หน่วยที่ 1 เทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน กิจกรรมที่ 1.1 เศรษฐกิจพอเพียง กิจกรรมที่ 1.2 เป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน กิจกรรมที่ 1.3 การปฏิบัติตนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
23 2. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน รายวิชาการออกแบบและเทคโนโลยี ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 20 ข้อ 3. แบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการใช้ใบกิจกรรมฝึกทักษะ รายวิชา การออกแบบและเทคโนโลยี นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่1 เป็นแบบสอบถามชนิดมาตราส่วนประมวลคำ (Rating Scale) จำนวน 1 ชุด มี 15 ข้อ 4. แบบประเมินเครื่องมือสำหรับผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งมีรายนามผู้เชี่ยวชาญดังนี้ 1) นางสาวศศิวิมล ศรีแก่บ้าน 2) นางสาวปิยวรรณ มาตย์เทพ 3) นางสุลาวัลย์ มาชัย การสร้างและการหาคุณภาพเครื่องมือ ในการสร้างเครื่องมือ ใบกิจกรรมฝึกทักษะ รายวิชาการออกแบบและเทคโนโลยี ระดับชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 ครั้งนี้ผู้วิจัยได้ดำเนินการ ดังนี้ 1.การสร้างใบกิจกรรมฝึกทักษะ 1.1 ศึกษารายละเอียดเกี่ยวกับหลักการและวิธีการสร้างชุดฝึกทักษะจาก เอกสาร ตำรา หนังสือ คู่มือการสร้างชุดฝึกทักษะ หลักการสร้างแบบฝึกทักษะของกรมวิชาการ เพื่อเป็น แนวทางในการจัดเนื้อหาและสร้างใบกิจกรรมฝึกทักษะ 1.2 ศึกษาหลักสูตร คู่มือการจัดการเรียนรู้ หนังสือเรียน แผนการจัดการ เรียนรู้ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ตามหลักสูตรการศึกษาชั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 เพื่อกำหนดขอบเขต และความครอบคลุมเนื้อหาในบทเรียน 1.3 เลือกเนื้อหาที่จะนำมาพัฒนาใบกิจกรรมฝึกทักษะในครั้งนี้ แล้วแบ่ง เนื้อหา ที่จะสอนออกเป็นตอนย่อย ๆ โดยกำหนดจุดมุ่งหมายทั่วไป จุดมุ่งหมายเชิงพฤติกรรม เพื่อเป็น แนวทาง ในการดำเนินการสร้างใบกิจกรรมฝึกทักษะ โดยแบ่งตามกิจกรรมได้ ดังนี้ หน่วยที่ 1 เทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน กิจกรรมที่ 1.1 เศรษฐกิจพอเพียง กิจกรรมที่ 1.2 เป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน กิจกรรมที่ 1.3 การปฏิบัติตนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
24 1.4 ดำเนินการพัฒนาใบกิจกรรมฝึกทักษะ รายวิชาการออกแบบและ เทคโนโลยี ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 1.5 นำใบกิจกรรมฝึกทักษะ รายวิชาการออกแบบและเทคโนโลยี ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่สร้างและพัฒนาขึ้นเสนอต่อผู้เชี่ยวชาญ เพื่อตรวจสอบ ความถูกต้องด้าน เนื้อหา สำนวนภาษา ตลอดจนรูปแบบการนำเสนอ 1.6 นำผลการประเมินใบกิจกรรมฝึกทักษะของผู้เชี่ยวชาญมาวิเคราะห์ ความเหมาะสม ด้วยการหาค่าเฉลี่ย 1.7 ปรับปรุง แก่ไขใบกิจกรรมฝึกทักษะตามข้อเสนอแนะของผู้เชี่ยวชาญ ได้แก่ ด้านการใช้สำนวนภาษาที่เหมาะสม มีความกะทัดรัดชัดเจน ด้านรูปแบบในการนำเสนอที่ หลากหลาย และดึงดูดความสนใจของผู้เรียน 2. การสร้างและพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้ วิชาการออกแบบและเทคโนโลยี ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่ผู้ศึกษาได้ดำเนินการสร้างและพัฒนาตามชั้นตอน ดังนี้ 2.1 ศึกษาหลักสูตรการศึกษาชั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2551 และเอกสารอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับวิชาการออกแบบเทคโนโลยี เพื่อเป็นแนวทางในการกำหนดจุดประสงค์การเรียนรู้ เนื้อหา กิจกรรมการเรียนรู้ การวัดประเมินผล สื่อและแหล่งเรียนรู้ โครงสร้างของวิชา ตำราและเอกสารต่าง ๆ 2.2 ศึกษาการจัดกระบวนการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ตามหลักสูตร การศึกษาชั้นพื้นฐาน พุทธคักราช 2551 เพื่อให้ทราบแนวทางของหลักการเขียนแผนการจัดการเรียนรู้ ที่สอดคล้องกับทฤษฎีเกี่ยวกับการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน 2.3 วิเคราะห์หลักสูตรสถานศึกษา หลักสูตรภูมิปัญญาท้องถิ่นของ สถานศึกษา และเนื้อหา โดยทำความเข้าใจมาตรฐานการเรียนรู้และผลการเรียนรู้ที่คาดหวังของแต่ละ เนื้อหาของราย วิชาการออกแบบและเทคโนโลยี ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 2.4 ศึกษาแผนการจัดการเรียนรู้ หลักสูตรรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี (การออกแบบและเทคโนโลยี) ตามหลักสูตรการศึกษาชั้นพื้นฐาน เกี่ยวกับองค์ประกอบต่าง ๆ เช่น สาระสำคัญ จุดประสงค์การเรียนรู้ การจัดกิจกรรมการเรียนการสอน สื่อการเรียนหรือแหล่งเรียนรู้ การวัดผลและประเมินผล เพื่อให้ถูกต้องตามหลักการชั้นตอนการสร้างและพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้ 2.5 จัดทำแผนการจัดการเรียนรู้โดยยึดรูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่เน้น ผู้เรียนเป็นสำคัญ รายวิชาการออกแบบและเทคโนโลยี ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
25 2.6 นำแผนการจัดการเรียนรู้ที่จัดทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว เสนอต่อที่ปรึกษา ได้แก่ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ไพศาล ดาแร่ ตำแหน่ง อาจารย์สาขาคอมพิวเตอร์ศึกษาและ นางสาวปิยวรรณ มาตย์เทพ ตำแหน่งครูชำนาญการพิเศษ เพื่อตรวจสอบความถูกต้อง ข้อบกพร่อง และให้คำแนะนำที่สมควรปรับปรุงแก่ไขในองค์ประกอบต่าง ๆ ของแผนการจัดการเรียนรู้ 2.7 นำแผนการจัดการเรียนรู้ที่ปรับปรุงแล้วเสนอต่อผู้เชี่ยวชาญชุดเดิม เพื่อ ประเมินคุณภาพของแผนการจัดการเรียนรู้ 2.8 นำผลการประเมินของผู้เชี่ยวชาญมาหาค่าเฉลี่ย แล้วเทียบกับเกณฑ์ที่ตั้งไว้ โดยมีค่าเฉลี่ยตั้งแต่ 3.50 - 5.00 จึงถือว่าใช้ได้พบว่า แผนการจัดการเรียนรู้ ใบกิจกรรมฝึกทักษะ รายวิชาการออกแบบและเทคโนโลยี ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้ใบกิจกรรมฝึกทักษะ ที่ผู้ศึกษา สร้างและพัฒนาขึ้น ซึ่งอยู่ในเกณฑ์เหมาะสมมากที่สุด ถือเป็นแผนการจัดการเรียนรู้ที่มีคุณภาพ และ สามารถนำไปใช้ทดลองได้ 3.การสร้างแบบทดสอบวัดผสสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบบทดสอบวัดผสสัมฤทธิ์ทางการเรียน เป็นแบบทดสอบที่ใช้วัดผสสัมฤทธิ์ทางการเรียนทั้งก่อนเรียนและ หลังเรียน ด้วยใบกิจกรรมฝึกทักษะ รายวิชาการออกแบบและเทคโนโลยี นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่1 ซึ่งเป็นแบบปรนัย 4 ตัวเลือก จำนวน 20 ข้อ โดยการสร้างและหาคุณภาพ ของแบบทดสอบวัดผสสัมฤทธิ์ ทางการเรียนตามชั้นตอน ดังนี้ 3.1 ศึกษาวิธีการสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนแบบอิงเกณฑ์ การเขียนข้อสอบ การหาค่าอำนาจจำแนก ค่าความเชื่อมั่น ค่าความเที่ยงตรง และการวัดผล เพื่อนำมาใช้ เป็นแนวทางในการสร้างแบบทดสอบวัดผสสัมฤทธิ์ทางการเรียน 3.2 วิเคราะห์เนื้อหาสาระการเรียนรู้ มาตรฐานตัวชี้วัด รายวิชาการออกแบบ และเทคโนโลยี นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 3.3 สร้างแบบทดสอบวัดผสสัมฤทธิ์ทางการเรียน รายวิชาการออกแบบ และเทคโนโลยี นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ให้ครอบคลุมเนื้อหาและสอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้ ซึ่งเป็นแบบปรนัย ชนิดเลือกตอบ (Multiple Choice) 4 ข้อจำนวน 30 ข้อเพื่อนำมาใช้จริงจำนวน 20 ข้อ 3.4 นำแบบทดสอบที่พิมพ์ขึ้นเสนอต่อผู้เชี่ยวชาญชุดเดิม เพื่อพิจารณา ตรวจสอบความถูกต้องด้านเนื้อหา สำนวนภาษา และความสอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้กับข้อ คำถามและครอบคลุมเนื้อหาหรือไม่ แล้วปรับปรุงแก้ไขตามข้อเสนอแนะ
26 3.5 นำแบบทดสอบวัดผสสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่ปรับปรุง แก้ไขตาม ข้อเสนอแนะของผู้เชี่ยวชาญ พร้อมแบบประเมินแบบทดสอบวัดผสสัมฤทธิ์ทางการเรียน เพื่อตรวจสอบ ความเที่ยงตรงของเนื้อหากับจุดประสงค์ โดยใช้ IOC ดัชนีความสอดคล้องระหว่างข้อสอบกับจุดประสงค์ การเรียนรู้ มีเกณฑ์การให้คะแนน ดังนี้ ให้คะแนน +1 เมื่อแน่ใจว่าข้อสอบนั้นวัดตามจุดประสงค์เชิงพฤติกรรม ให้คะแนน 0 เมื่อไม่แน่ใจว่าข้อสอบนั้นวัดตามจุดประสงค์เชิงพฤติกรรม ให้คะแนน -1 เมื่อแน่ใจว่าข้อสอบนั้นไม่ได้วัดตามจุดประสงค์เชิงพฤติกรรม 3.6 นำข้อมูลมาวิเคราะห์หาค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่างข้อสอบของ แบบทดสอบกับจุดประสงค์การเรียนรู้ โดยใช้สูตร IOC ซึ่งเลือกข้อสอบที่มีค่า IOC ตั้งแต่ 0.5 ถึง 1.00 ทั้ง 20 ข้อ ซึ่งแสดงว่าข้อสอบวัดจุดประสงค์นั้นได้ครอบคลุมสาระการเรียนรู้ 3.7 นำแบบทดสอบวัดผสสัมฤทธิ์ทางการเรียน รายวิชาการออกแบบและ เทคโนโลยี ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่าง เพื่อนำผลมาวิเคราะห์โดยใช้วิธีการทางสถิติ 3.8 จัดพิมพ์ข้อสอบและทำสำเนาข้อสอบที่ผ่านการตรวจสอบคุณภาพแล้ว เพื่อเตรียมไปใช้กับกลุ่มตัวอย่างจริงต่อไป 4. การสร้างแบบสอบถามความพึงพอใจ การสร้างแบบทสอบถามความพิงพอใจของนักเรียนต่อการจัดการเรียนการสอน โดยใช้ใบกิจกรรม ฝึก ทักษะ รายวิชาการออกแบบและเทคโนโลยี นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ได้ดำเนินการสร้างและพัฒนา ตามชั้นตอน ดังนี้ 4.1 ศึกษาการสร้างแบบสอบถามความพิงพอใจจากหนังสือการวิจัยเบื้องด้น และการวิจัยการศึกษา 4.2 ศึกษารูปแบบ ตัวอย่างแบบสอบถามความพึงพอใจของนักศึกษาที่มีต่อ ชุดฝึกทักษะ จากเอกสารงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 4.3 สร้างแบบสอบถามความพึงพอใจของเรียนในการใช้ใบกิจกรรมฝึกทักษะ รายวิชาการออกแบบและเทคโนโลยี ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ร ที่มีลักษณะเป็นแบบมาตราส่วนประมาณ ค่า (Rating Scale) ตามวิธีของลิเคอร์ท (Likert) ซึ่งมี 5 ระดับ คือ มากที่สุด มาก ปานกลาง น้อย น้อยที่สุด จำนวน 1 ชุด 15 ข้อ
27 4.4 นำแบบสอบถามความพึงพอใจที่ผู้ศึกษาค้นคว้าสร้างขึ้น เสนอต่อคณะ ผู้เชี่ยวชาญชุดเดิม เพื่อพิจารณาความเหมาะสมของภาษา สำนวนภาษา และความสอดคล้องกับ จุดประสงค์การเรียนรู้กับข้อคำถาม แล้วนำไปปรับปรุงแก่ไขตามข้อเสนอแนะ 4.5 จัดพิมพ์และทำสำเนาแบบสอบถามความพึงพอใจที่ผ่านการตรวจสอบ แล้วไปใช้กับกลุ่มตัวอย่างนักเรียน 5. วิธีการดำเนินการศึกษา ผู้ศึกษาได้ใช้แบบแผนการศึกษาค้นคว้าแบบ One Group Pre-test Post-test Design ตารางที่ 3.1 แบบแผนการวิจัย สอบก่อนเรียน ทดลองสื่อ สอบหลังเรียน T1 X1 T2 สัญลักษณ์ที่ใช้ในแบบแผนการทดลอง T1 หมายถึง การทดสอบก่อนเรียน (Pretest) X1 หมายถึง การใช้สื่อการเรียนรู้ T2 หมายถึง การทดสอบหลังเรียน (Posttest) การดำเนินการศึกษาค้นคว้าในครั้งนี้ ผู้ศึกษาค้นคว้าได้ใช้รูปแบบ One Group PretestPosttest Design กับกลุ่มตัวอย่างคือ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/3 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 11 คน โดยดำเนินตามชั้นตอน ดังนี้ 5.1 ทดสอบก่อนเรียน (Pre - test) โดยใช้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนกับกลุ่มตัวอย่างคือ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 11 คน ที่ผู้ศึกษาสร้างขึ้น จำนวน 20 ข้อ ตรวจแล้วเก็บคะแนนไว้ ก่อนที่จะดำเนินการเรียนการสอนด้วย การใช้ใบกิจกรรมฝึกทักษะ รายวิชาการออกแบบและเทคโนโลยี นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 5.2 ดำเนินการทดลองสอนโดยใช้แผนการจัดการเรียนรู้ และใบกิจกรรมฝึก ทักษะ รายวิชาการออกแบบและเทคโนโลยี ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 จำนวน 2 แผน โดยทดลองสอน ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 ระหว่างช่วงเดือนพฤษจิกายน 2566 ถึงเดือนมกราคม 2566 ทั้งนี้ ไม่รวม ระยะเวลาของทดสอบก่อนเรียนและทดสอบหลังเรียน 5.3 ทดสอบหลังเรียน (Post-test) เมื่อสิ้นสุดการดำเนินการทดลองสอน ด้วยแผนการจัดการเรียนรู้ครบ 1 แผน และใบกิจกรรมฝึกทักษะครบทุกใบกิจกรรม โดยใช้แบบทดสอบ
28 วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน รายวิชาการออกแบบและเทคโนโลยี ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ซึ่งเป็นฉบับ เดียวกับที่ใช้ทดสอบก่อนเรียน ทำการตรวจให้คะแนนแล้วนำข้อมูลไปวิเคราะห์ทางสถิติต่อไป การวิเคราะห์ข้อมูล 1. วิเคราะห์หาประสิทธิภาพของการจัดการเรียนรู้โดยใช้ใบกิจกรรมฝึก ทักษะ รายวิชาการ ออกแบบและเทคโนโลยี ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 โดยใช้สูตรการหา ค่าประสิทธิภาพกระบวนการ (E1 ) และประสิทธิภาพผลลัพธ์ (E2 ) 2. วิเคราะห์เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ของนักเรียนก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้ด้วย โดยใช้ใบกิจกรรมฝึก ทักษะ รายวิชาการออกแบบและเทคโนโลยี ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้ ค่าเฉลี่ย (̅) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และสถิติทดสอบค่าที (t-test) แบบกลุ่มตัวอย่างไม่เป็นอิสระ จากกัน (Dependent Samples) 3. วิเคราะห์แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่เรียนโดยใช้ใบกิจกรรม ฝึกทักษะ รายวิชาการออกแบบและเทคโนโลยี ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้ค่าเฉลี่ย (̅) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) โดยกำหนดเกณฑ์การวัดความพึงพอใจ ไว้ดังนี้ ค่าเฉลี่ย 4.50 – 5.00 หมายถึง พอใจมากที่สุด ค่าเฉลี่ย 3.50 – 4.49 หมายถึง พอใจมาก ค่าเฉลี่ย 2.50 – 3.49 หมายถึง พอใจปานกลาง ค่าเฉลี่ย 1.50 – 2.49 หมายถึง พอใจน้อย ค่าเฉลี่ย 0.50 – 1.49 หมายถึง พอใจน้อยที่สุด สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล 1. สถิติที่ใช้ในการหาคุณภาพของเครื่องมือ 1.1 ตรวจสอบความเที่ยงตรงตามเนื้อหา (Content Validity) โดยหาค่าดัชนีความสอดคล้อง ระหว่างข้อคำถามแต่ละข้อกับจุดประสงค์ของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังการ จัดการเรียนรู้ โดยใช้ใบกิจกรรมฝึกทักษะ รายวิชาการออกแบบและเทคโนโลยี ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ใช้สูตรดังนี้ (วิชัย นภาพงศ์, 2552) IOC = ∑ เมื่อ IOC คือ ดัชนีความสอดคล้อง R คือ คะแนนการพิจารณาของผู้เชี่ยวชาญ ∑R คือ ผลรวมคะแนนพิจารณาของผู้เชี่ยวชาญทั้งหมด N คือ จำนวนผู้เชี่ยวชาญทั้งหมด
29 = − 1 2 1.2 หาค่าความยากง่ายของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังการจัดการ เรียนรู้โดยใช้ใบกิจกรรมฝึก ทักษะ รายวิชาการออกแบบและเทคโนโลยี ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ใช้สูตรดังนี้ (พรสันต์ เลิศวิทยาวิวัฒน์, 2556) = เมื่อ P แทน ค่าดัชนีความยากง่าย R แทน จำนวนนักเรียนที่ทำข้อนั้นถูก N แทน จำนวนนักเรียนทั้งหมดที่ทำข้อสอบข้อนั้น 1.3 หาค่าอำนาจจำแนกของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังการจัดการ เรียนรู้โดยใช้ใบกิจกรรมฝึก ทักษะ รายวิชาการออกแบบและเทคโนโลยี ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้ สูตร (วิชัย นภาพงศ์, 2552) เมื่อ Ru คือ จำนวนนักเรียนในกลุ่มสูงที่ตอบถูก R1 คือ จำนวนนักเรียนในกลุ่มต่ำที่ตอบถูก N คือ จำนวนผู้สอบทั้งหมด 1.4 หาค่าความเชื่อมั่นของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังการจัดการ เรียนรู้โดยใช้ใบกิจกรรมฝึก ทักษะ รายวิชาการออกแบบและเทคโนโลยี ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้ สูตร KR-20 ดังนี้ (วิชัย นภาพงศ์, 2552) = − 1 [1 − 2 ] เมื่อ คือ ความเชื่อมั่นของแบบทดสอบ N คือ จำนวนของข้อสอบทั้งหมด P คือ สัดส่วนผู้ที่ทำได้ในข้อหนึ่ง ๆ ของคนทำถูกกับคนทำทั้งหมด q คือ สัดส่วนของผู้ทำผิดในข้อหนึ่ง ๆ (1 - p)
30 คือ คะแนนความแปรปรวนของเครื่องมือฉบับนั้น 1.5 การวิเคราะห์หาประสิทธิภาพกระบวนการและประสิทธิภาพผลลัพธ์ของใบกิจกรรมฝึก ทักษะ รายวิชาการออกแบบและเทคโนโลยี ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ตามเกณฑ์ที่ตั้งไว้ ใช้สูตรดังนี้ (ชัยยงค์ พรหมวงศ์ ,2556) เมื่อ E1 แทน ประสิทธิภาพของกระบวนการ แทน คะแนนรวมของแบบฝึกหัด หรือของแบบทดสอบย่อย N แทน จำนวนนักเรียนทั้งหมด A แทน คะแนนเต็มของแบบฝึกหัดทุกชุดรวมกัน เมื่อ E2 แทน ประสิทธิภาพของของผลลัพธ์ แทน คะแนนรวมของทุกคนที่ได้จากการทำแบบทดสอบหลังเรียน N แทน จำนวนนักเรียนทั้งหมด B แทน คะแนนเต็มของแบบทดสอบหลังเรียน 2. สถิติที่ใช้ในการทดสอบสมมติฐาน 2.1 ค่าเฉลี่ย (Arithmetic Mean) ของคะแนน (วิชัย นภาพงศ์, 2552) ̅= เมื่อ ̅ คือ ตัวกลางคณิตศาสตร์ คือ ผลบวกของคะแนนทั้งหมด N คือ จำนวนคะแนนทั้งหมด
31 2.2 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) ใช้สูตรดังนี้ (พิชิต ฤทธิ์จรูญ, 2552) S.D = √∑ 2− 2 −1 เมื่อ S.D. แทน ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ∑ แทน ผลรวมขอข้อมูลหรือคะแนนแต่ละตัว N แทน จำนวนข้อมูล 2.3 การทดสอบที (t-test) ชนิดกลุ่มตัวอย่างไม่เป็นอิสระแก่กัน (Dependent Samples) เพื่อทดสอบความแตกต่างของคะแนนแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังการจัดการ เรียนรู้ โดยใบกิจกรรมฝึก ทักษะ รายวิชาการออกแบบและเทคโนโลยี ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้ สูตร (ล้วน สายยศ และอังคณา สายยศ, 2553) = ∑ √ ∑2− ∑ 2 −1 ;df = N-1 เมื่อ t คือ การแจกแจงของข้อมูล D คือ คะแนนหลังลบด้วยคะแนนครั้งแรก N คือ จำนวนนักเรียน df คือ ระดับขั้นความเสรี
บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล การจัดการเรียนรู้โดยการใช้ใบกิจกรรมฝึกทักษะ รายวิชาการออกแบบและเทคโนโลยี ระดับชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 ครั้งนี้ มีลำดับขั้นตอนในการนำเสนอข้อมูลดังนี้ 1. สัญลักษณ์ที่ใช้ในการเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล 2. ลำดับขั้นตอนในการเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล 3. ผลการวิเคราะห์ข้อมูล 1. สัญลักษณ์ที่ใช้ในการเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล n แทน จำนวนกลุ่มตัวอย่าง ̅ แทน ค่าเฉลี่ย S.D แทน ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) E1 แทน ประสิทธิภาพกระบวนการจากการทำแบบฝึกหัดระหว่างเรียน E2 แทน ประสิทธิภาพผลลัพธ์จากการทำแบบทดสอบหลังเรียน t แทน สถิติทดสอบที่ใช้เปรียบเทียบค่าวิกฤติเพื่อทราบความมีนัยสำคัญ แทน ผลรวม 2. ลำดับขั้นตอนในการเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล ตอนที่ 1 ผลการวิเคราะห์ประสิทธิภาพสื่อการเรียนรู้ โดยการใช้ใบกิจกรรมฝึกทักษะ รายวิชาการ ออกแบบและเทคโนโลยี ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ตามเกณฑ์ 80/80 ตอนที่ 2 ผลการวิเคราะห์เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน ของกลุ่มตัวอย่างด้วยใบกิจกรรมฝึกทักษะ รายวิชา การออกแบบและเทคโนโลยี ระดับชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 1 ตอนที่ 3 ผลการวิเคราะห์ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อใบกิจกรรมฝึกทักษะรายวิชา การออกแบบและเทคโนโลยี ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
33 3. ผลการวิเคราะห์ข้อมูล ตอนที่ 1 ผลการวิเคราะห์ประสิทธิภาพการใช้ใบกิจกรรมฝึกทักษะ รายวิชาการออกแบบและ เทคโนโลยี นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ตามเกณฑ์ 80/80 แสดงผลดังตารางที่ 4.1 ตารางที่ 4.1 ผลการวิเคราะห์ประสิทธิภาพของการใช้การใช้ใบกิจกรรมฝึกทักษะ รายวิชาการออกแบบ และเทคโนโลยี นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 การ ทดลอง แบบฝึกหัดระหว่างเรียน แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ประสิทธิภาพ คะแนนเต็ม (A) คะแนน เฉลี่ย (̅) E1 คะแนน เต็ม (A) คะแนน เฉลี่ย (̅) E2 E1 /E2 กลุ่ม ตัวอย่าง 20 18.09 85.45 20 17.45 87.27 90.45/87.27 จากตารางที่ 4.1 พบว่า ผลจากการเรียนโดยใช้เทคนิคการใช้ใบกิจกรรมฝึกทักษะ รายวิชาการ ออกแบบและเทคโนโลยี ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่1 ของผู้เรียน ได้ค่าร้อยละของคะแนนเฉลี่ยจากการทำ แบบฝึกหัดระหว่างเรียน (E1 ) เท่ากับ 85.45 และค่าร้อยละของคะแนนเฉลี่ยจากการทำแบบทดสอบหลัง เรียน (E2 ) เท่ากับ 87.27 ดังนั้นจึงสรุปได้ว่าประสิทธิภาพ E1/E2 เท่ากับ 85.45/87.27 แสดงให้เห็นว่า ประสิทธิภาพของโดยใช้เทคนิคการใช้ใบกิจกรรมฝึกทักษะ รายวิชาการออกแบบและเทคโนโลยี ระดับชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 เป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ (ดูรายละเอียดในภาคผนวก ตารางที่ ข.7) ตอนที่ 2 ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียนของกลุ่ม ตัวอย่างด้วยเทคนิคการใช้ใบกิจกรรมฝึกทักษะ รายวิชา การออกแบบและเทคโนโลยี ระดับชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 1 แสดงผลดังตารางที่ 4.2 ตารางที่ 4.2 ผลการวิเคราะห์เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน กลุ่มตัวอย่าง N X S.D. df t Sig. ก่อนเรียน 11 10 2.49 10 9.92 .05* หลังเรียน 11 17.45 1.57 *ค่าวิกฤติของ t ที่ระดับนัยสำคัญ .05, df =10 มีค่าเท่ากับ 1.0324 จากตารางที่ 4.2 ผลการศึกษาเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนของ กลุ่มตัวอย่างที่เรียนด้วยเทคนิคการใช้ใบกิจกรรมฝึกทักษะ รายวิชาการออกแบบและเทคโนโลยี ระดับชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 พบว่าก่อนเรียนเฉลี่ย 10 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 50 และมีผลสัมฤทธิ์หลังเรียนเฉลี่ย 17.45 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 87.27 เมื่อเปรียบเทียบกันด้วยการวิเคราะห์ค่าที (t-test) แบบไม่อิสระ ผล
34 ปรากฏว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (ดูรายละเอียดในภาคผนวก ค ผลการวิเคราะห์ข้อมูล ตารางที่ ข.9) ตอนที่ 3 ผลการวิเคราะห์ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการใช้ใบกิจกรรมฝึกทักษะรายวิชา การออกแบบและเทคโนโลยี ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 แสดงผลดังตารางที่ 4.3 ตารางที่ 4.3 ผลการวิเคราะห์ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการใช้ใบกิจกรรมฝึกทักษะรายวิชาการ ออกแบบและเทคโนโลยี ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่ รายการประเมิน ̅ S.D เกณฑ์ประเมิน อันดับ ที่ 1 ความสอดคล้องของเนื้อหากับวัตถุประสงค์ 4.23 0.89 พอใจมาก 9 2 ความถูกต้องของเนื้อหา 4.71 0.67 พอใจมากที่สุด 1 3 ลำดับเนื้อหามีความชัดเจนเข้าใจง่าย 4.54 0.68 พอใจมากที่สุด 4 4 มีการเชื่อมโยงเนื้อหาได้อย่างเหมาะสม 4.00 0.78 พอใจมาก 12 5 ภาพ และขนาดของภาพมีความเหมาะสม 4.32 0.54 พอใจมาก 8 6 ความคมชัดของเสียง 4.18 0.85 พอใจมาก 11 7 ความเหมาะสมของสีตัวอักษร 4.21 0.72 พอใจมาก 10 8 ความเหมาะสมในการใช้ขนาดตัวอักษร 4.50 0.73 พอใจมาก 5 9 การใช้ภาษาถูกต้องเหมาะสม 4.57 0.94 พอใจมากที่สุด 3 10 การออกแบบมีความน่าสนใจ 4.36 0.77 พอใจมาก 7 11 ปุ่มควบคุมบทเรียนใช้งานง่าย และสื่อความหมาย ได้ชัดเจน 4.39 1.01 พอใจมาก 6 12 สะดวกต่อการเรียนรู้ด้วยตนเอง 4.39 0.82 พอใจมาก 6 13 ความเหมาะสมของเวลาเรียนกับเนื้อหา 4.32 0.71 พอใจมาก 8 14 เนื้อหามีความกระชับเหมาะสมกับเวลา 4.36 0.72 พอใจมาก 7 15 การนำเสนอเนื้อหามีความชัดเจนเหมาะสมกับเวลา 4.61 0.67 พอใจมากที่สุด 2 โดยภาพรวม 4.41 0.77 พอใจมาก จากตารางที่ 4.3 ผลการวิเคราะห์ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการใช้ใบกิจกรรมฝึกทักษะ รายวิชา การออกแบบและเทคโนโลยี ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยภาพรวมมีความพึงพอใจอยู่ในระดับ พอใจมาก (̅= 4.41, S.D = 0.77) สำหรับผลการประเมินรายข้อ พบว่าข้อ 2) ความถูกต้องของเนื้อหา (̅=4.71, S.D=0.67) มีผลการประเมินสูงกว่าข้ออื่น คือ มีผลการประเมินอยู่ในระดับพอใจมากที่สุด
35 และข้อ 4) มีการเชื่อมโยงเนื้อหาได้อย่างเหมาะสม มีผลการประเมินต่ำกว่าข้ออื่น ๆ คือมีผลการประเมิน อยู่ในระดับพอใจมาก (̅=4.00, S.D=0.78)
บทที่ 5 สรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ การจัดการเรียนรู้โดยใช้การใช้ใบกิจกรรมฝึกทักษะ รายวิชาการออกแบบและเทคโนโลยีระดับชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 ครั้งนี้ มีประเด็นสำคัญสรุปได้ ดังนี้ 1. วัตถุประสงค์ของการศึกษา 2. สมมติฐานของการศึกษา 3. สรุปผลการศึกษา 4. อภิปรายผล 5. ข้อเสนอแนะ 1. วัตถุประสงค์ของการศึกษา 1.1 เพื่อพัฒนาใบกิจกรรมฝึกทักษะในรายวิชาการออกแบบและเทคโนโลยี ระดับชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 1 ที่พัฒนาขึ้นมี ประสิทธิภาพตามเกณฑ์ที่กำหนด 80/80 1.2 เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน ในรายวิชาการออกแบบ และเทคโนโลยี ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 1.3 เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนในการใช้สื่อการสอน ใบกิจกรรมฝึกทักษะ รายวิชาการออกแบบและเทคโนโลยี ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 2. สมมติฐานของการศึกษา 2.1 ใบกิจกรรมฝึกทักษะในรายวิชาการออกแบบและเทคโนโลยี ระดับชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่พัฒนาขึ้นมี ประสิทธิภาพตามเกณฑ์ที่กำหนด 80/80 2.2 นักเรียนที่เรียนโดยใช้ใบกิจกรรมฝึกทักษะ รายวิชาการออกแบบและเทคโนโลยี ระดับชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 5 มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน 2.3 นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มีความพึงพอใจต่อการใช้ใบกิจกรรมฝึกทักษะ รายวิชาการออกแบบและเทคโนโลยีอยู่ในระดับมาก
37 3. สรุปผลการศึกษา การจัดการเรียนรู้โดยใช้ใบกิจกรรมฝึกทักษะในรายวิชาการออกแบบและเทคโนโลยี ระดับชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 สรุปผลการศึกษาได้ ดังนี้ 3.1 ใบกิจกรรมฝึกทักษะในรายวิชาการออกแบบและเทคโนโลยี ระดับชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 มีประสิทธิภาพ (E1/E2 ) เท่ากับ 85.45/87.27 3.2 นักเรียนที่เรียนด้วยใบกิจกรรมฝึกทักษะในรายวิชาการออกแบบและเทคโนโลยี ระดับชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ .05 3.3 นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการเรียนโดยใช้สื่อการเรียนรู้ วิชาการออกแบบและ เทคโนโลยี สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยภาพรวมมีความพึงพอใจอยู่ในระดับพอใจมาก (̅=4.41, S.D= 0.77) 4. อภิปรายผล 4.1 จากผลการทดลองภาคสนาม พบว่า การเรียนโดยใบกิจกรรมฝึกทักษะใน รายวิชา การออกแบบและเทคโนโลยี ระดับชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 มีประสิทธิภาพ E1/E2 เท่ากับ 85.45/87.27 สูง กว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้ คือ 80/80 เป็นไปตามสมมติฐานที่ตั้งไว้ ทั้งนี้เนื่องจากผู้ศึกษาได้สร้างใบกิจกรรมฝึก ทักษะในรายวิชาการออกแบบและเทคโนโลยี ระดับชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 ตามหลักการสร้างของ ADDIE Model (2560) โดยในขั้นตอนการวิเคราะห์ (A: Analysis) ได้มีการศึกษาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้น พื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระวิทยาศาสตร์ศึกษาสาระและมาตรฐานการเรียนรู้ของหลักสูตรกลุ่ม สาระวิทยาศาสตร์ระดับชั้นมัธยมสึกษาปีที่ 1 และกำหนดจุดประสงค์การเรียนรู้เชิงพฤติกรรมให้ สอดคล้องกับคำอธิบายรายวิชาและจุดประสงค์ การเรียนรู้ในหลักสูตร จากนั้นศึกษาหลักการ วิธีการ ทฤษฎี และเทคนิควิธีการสร้างสื่อการเรียนรู้ วิชา การออกแบบและเทคโนโลยีสำหรับนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 จากตำรา เอกสารต่าง ๆ และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง นำไปปรึกษาอาจารย์ที่ปรึกษาตรวจ และเห็นชอบจึงดำเนินการขั้นต่อไป ในขั้นการออกแบบ (D: Design) โดยมีการศึกษาโปรแกรมที่ใช้ในการ พัฒนาใบกิจกรรมฝึกทักษะใน รายวิชา การออกแบบและเทคโนโลยี ระดับชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 ออกแบบสร้างแผ่นสัญลักษณ์ (Marker) และตรวจสอบการทำงานของใบกิจกรรมฝึกทักษะในรายวิชาการ ออกแบบและเทคโนโลยี ระดับชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 แล้วนำไปปรึกษาอาจารย์ที่ปรึกษาตรวจพิจารณา และเห็นชอบ ส่วนในขั้นการพัฒนา (D: Development) หลังจากได้รับคำเสนอแนะจากอาจารย์ที่ปรึกษา แล้วผู้ศึกษาได้พัฒนาใบกิจกรรมฝึกทักษะในรายวิชาการออกแบบและเทคโนโลยี ระดับชั้นมัธยมศึกษา
38 ปีที่ 1 ตามที่ออกแบบไว้ แล้วนำเสนอต่อกรรมการพิจารณาโครงงานวิจัย จำนวน 3 ท่าน เพื่อตรวจสอบ คุณภาพบทเรียน โดยใช้แบบประเมินใบกิจกรรมฝึกทักษะในรายวิชาการออกแบบและเทคโนโลยี ระดับชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 และนำมาปรับปรุงแก้ไข้ตามคำแนะนำ และในขั้นการทดลองใช้ (I: Implementation) ผู้ศึกษานำใบกิจกรรมฝึกทักษะในรายวิชาการออกแบบและเทคโนโลยี ระดับชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 ไปทดลองใช้รายบุคคลกับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/2 โรงเรียน กุดจับประชาสรรค์ อำเภอกุดจับ จังหวัดอุดรธานี โดยทดลองกับนักเรียน จำนวน 10 คน (เก่ง 3 คน ปานกลาง 4 คน และอ่อน 3 คน) ที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่าง และบันทึกข้อบกพร่องเพื่อนำไปแก้ไข ให้สมบูรณ์ก่อนนำไปใช้จริง จึงมีความเหมาะสมที่จะนำเป็นสื่อการเรียนรู้ ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ให้แก่นักเรียนได้เป็น อย่างดี จึงส่งผลให้ใบกิจกรรมฝึกทักษะในรายวิชา การออกแบบและเทคโนโลยี ระดับชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่สร้างและออกแบบตามแนวคิดทฤษฎี ADDIE Model มีประสิทธิภาพสูง กว่าเกณฑ์ที่กำหนด ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของ กาญจนา ทับผดุง(2556)ได้ทำวิจัยเรื่อง การพัฒนาชุด กิจกรรมเพื่อพัฒนาทักษะทางคณิตศาสตร์ เรื่อง การสังเกต การจำแนก และการเปรียบเทียบ โดยใช้เกม การศึกษาสำหรับนักเรียนระดับชั้นอนุบาลปีที่ 3 ผู้วิจัยสร้างบทเรียนขึ้นมามีประสิทธิภาพที่ 82.65/82.87 ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ที่ตั้งไว้คือ 80/80 สอดคล้องกับงานวิจัยของ สุเมธ ราชประชุม(2562)ได้ทำวิจัยเรื่อง การพัฒนาแอปพลิเคชันเพื่อการเรียนรู้บนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ วิชาวิทยาการคำนวณ เรื่อง แนวคิดเชิงคำนวณ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ผู้วิจัยสร้างบทเรียนขึ้นมามีประสิทธิภาพที่ 81.60/81.33 ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ที่ตั้งไว ้คือ 80/80 และสอดคล้องกับงานว ิจัยข อ ง ศิริลักษณ์ เลิศหิรัญทรัพย์(2562)ได้ทำวิจัยเรื่อง บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนเรื่องการเขียนโปรแกรม แพลตฟอร์มการเรียนรู้ Coding : เกมปริศนา Minecraft my Hero ผู้วิจัยสร้างบทเรียนขึ้นมามี ประสิทธิภาพที่ 79.30 / 90.00 ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ที่ตั้งไว้คือ 80/80 4.2 ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระหว่างก่อนและหลังเรียนจากการเรียนโดยใช้ใบ กิจกรรมฝึกทักษะใน รายวิชา การออกแบบและเทคโนโลยี ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/3 โรงเรียนกุดจับประชาสรรค์อำเภอกุดจับ จังหวัดอุดรธานี ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 มีผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ ระดับ .05 เป็นไปตามสมมติฐานที่ตั้ง ไว้ทั้งนี้อาจเป็นเพราะมีการนำเทคโนโลยีใบกิจกรรมฝึกทักษะใน รายวิชา การออกแบบและเทคโนโลยี ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 เข้ามาใช้กับรูปแบบเดิมทำให้ดูไม่น่าเบื่อและดึงดูดความสนใจของนักเรียน เป็นสื่อโปรแกรมและแอปพลิเคชันทำให้ภาพประกอบในหนังสือสามารถเคลื่อนไหวได้ มีความตื่นตาตื่นใจ กับตัวละครและฉากที่เคลื่อนไหวที่ดูน่าสนใจ พร้อมกับมีเสียงบรรยายและเสียงดนตรีซึ่งจะช่วยกระตุ้น การเรียนรู้ของนักเรียนให้มีมากขึ้นกว่าการอ่านหนังสือทั่วไป โดยมุ่งหวังว่าเมื่อมีการสอนโดยใช้
39 ใบกิจกรรมฝึกทักษะใน รายวิชา การออกแบบและเทคโนโลยี ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 แล้วจะช่วย พัฒนาความคิดรวบยอดเกี่ยวกับการออกแบบและเทคโนโลยีซึ่งเป็นทักษะในการเรียนชั้นสูงต่อไป รวมทั้ง เพื่อไม่ให้นักเรียนเกิดความเบื่อหน่ายในการเรียน เป็นการพัฒนาการสอนการออกแบบและเทคโนโลยีให้มี ประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ตลอดจนทำให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้น และนักเรียนมีความพึงพอใจต่อการ เรียนการออกแบบและเทคโนโลยีขึ้นด้วย โดยผลการศึกษาครั้งนี้ ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของ นภวิชญ์ ขำเกลี้ยง และสุนีตา โฆษิตชัยวัฒน์(2558) ได้ทำวิจัยเรื่อง การพัฒนาและหาประสิทธิภาพของชุด กิจกรรมการเรียนรู้ที่เน้นเกมคอมพิวเตอร์เพื่อเสริมสร้างทักษะการอ่านภาษาอังกฤษสำหรับนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 5 นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนสูงกว่า ก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 สอดคล้องกับงานวิจัยของ กรวรรณ สืบสม และนพรัตน์ หมีพลัด(2562) ได้ทำวิจัยเรื่อง การพัฒนานวัตกรรมการสอนด้วยไอซีทีนักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนหลังเรียนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ ระดับ .05 และสอดคล้องกับงานวิจัยของ ประภัสสร สำลี(2564)ได้ทำวิจัยเรื่องThe Development Of Unplugged Coding Set Of Activities To Enhance Computational Thinking Skills For Student In Kindergarten 3 นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนสูงกว่า ก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 4.3 ความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่1 โรงเรียนกุดจับประชาสรรค์อำเภอกุดจับ จังหวัดอุดรธานี ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 หลังเรียนด้วยใบกิจกรรมฝึกทักษะใน รายวิชาการออกแบบและเทคโนโลยี ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยภาพรวมมีความพึงพอใจ อ ย ู ่ ใ น ร ะ ด ั บ พ อ ใ จ ม า ก (̅=4.41, S.D= 0.77) ส ำ ห ร ั บ ผ ล ก า ร ป ร ะ เ ม ิ น ร า ย ข ้ อ พ บ ว่ า ข้อ 2) ความถูกต้องของเนื้อหา (̅=4.71, S.D=0.45) มีผลการประเมินสูงกว่าข้ออื่น คือ มีผลการประเมิน อยู่ในระดับพอใจมากที่สุด และข้อ 4) มีการเชื่อมโยงเนื้อหาได้อย่างเหมาะสม มีผลการประเมินต่ำกว่าข้อ อื่น ๆ คือมีผลการประเมินอยู่ในระดับพอใจมาก (̅=4.00, S.D=0.78) ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของ กิตติพงศ์ ม่วงแก้ว(2562)ได้ทำวิจัยเรื่อง การพัฒนาเกมเพื่อการศึกษา รายวิชาคอมพิวเตอร์ เรื่อง โครงงาน คอมพิวเตอร์ สำหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนยางตลาดวิทยาคาร พบว่านักเรียนมีความพึง พอใจต่อบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนอยู่ในระดับมาก สอดคล้องกับงานวิจัยของ อภิเชษฐ์ ขาวเผือก (2559)ได้ทำวิจัยเรื่อง การพัฒนาเกมการศึกษาบนแท็บเล็ตโดยใช้เทคนิคช่วยจำเพื่อส่งเสริมความคงทนใน การจำ คำศัพท์ภาษาอังกฤษ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนวัดสะแกงาม พบว่าความพึง พอใจที่มีต่อเกมการศึกษาบนแท็บเล็ตเพื่อส่งเสริมความคงทนในการจำคำศัพท์ภาษาอังกฤษ ของนักเรียน
40 ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนวัดสะแกงาม อยู่ในระดับมาก และสอดคล้องกับงานวิจัยของ จิระพงศ์ ฉันทพจน์(2564) ได้ทำวิจัยเรื่อง การพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนออนไลน์ รายวิชา วิทยาการคำนวณ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 พบว่านักเรียนมีความพึงพอใจต่อบทเรียน คอมพิวเตอร์ช่วยสอนออนไลน์ในระดับมาก จากผลการศึกษาสรุปได้ว่า การจัดการเรียนรู้โดยใช้ใบกิจกรรมฝึกทักษะในรายวิชา การออกแบบและเทคโนโลยี ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มีประสิทธิภาพสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้คือ 90.45/87.27 ซึ่งผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมี นัยสำคัญทางสถิติและนักเรียน มีความพึงพอใจต่อใบกิจกรรมฝึกทักษะใน รายวิชา การออกแบบและเทคโนโลยี ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 อยู่ในระดับพอใจมาก (̅=4.41, S.D= 0.77) แสดงว่าสามารถนำใบกิจกรรมฝึกทักษะใน รายวิชา การออกแบบและเทคโนโลยี ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มาใช้ในการจัดการเรียนการสอนได้ เพราะนอกจากนักเรียนจะเรียนในชั้นเรียนแล้ว นักเรียนยังสามารถหาความรู้เพิ่มเติมจากโดยใช้ ใบกิจกรรมฝึกทักษะใน รายวิชา การออกแบบและเทคโนโลยี ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 จึงถือได้ว่าเป็น อีกทางเลือกหนึ่งที่นักเรียนจะได้พัฒนาความรู้ด้วยตนเอง 5.ข้อเสนอแนะ 5.1 ข้อเสนอแนะเพื่อการนำไปใช้ 5.1.1 ใบกิจกรรมฝึกทักษะใน รายวิชา การออกแบบและเทคโนโลยี ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 เป็นสื่อการเรียนรู้ที่ผู้พัฒนาสร้างเป็นใบงานที่มีการออกแบบเพิ่มความน่าสนใจ ซึ่งทำให้ผู้เรียนเกิด ความกระตือรือร้นที่จะเรียนช่วยลด ปัญหานักเรียนการขาดแคลนวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ประกอบในการจัด กิจกรรมการเรียนการสอนได้เป็นอย่างดี 5.1.2 ใบกิจกรรมฝึกทักษะใน รายวิชา การออกแบบและเทคโนโลยี ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 เหมาะที่จะนำไปใช้ในการเรียนการสอนแบบรายบุคคล โดยให้เรียนนำไปศึกษาเพิ่มเติมนอกเวลา และนำมาใช้ในห้องเรียนได้หากอุปกรณ์เพียงพอต่อผู้เรียน แต่การที่มีผู้เรียนจำนวนมากอาจทำให้เกิดการ รบกวนซึ่งกันและกัน เพราะมีผู้เรียนบางคนชอบมาชวนเพื่อนพูด ทำให้เพื่อนไม่มีสมาธิในการเรียน เพราะต้องหันไปพูดกับเพื่อน ทำให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่ปรากฏออกมาไม่ตรงกับสภาพความเป็นจริง 5.1.3 ครูควรอธิบายวิธีการใช้ใบกิจกรรมฝึกทักษะแก่ผู้เรียน รวมไปถึงข้อควรระวังต่าง ๆ ในการใช้
41 5.2 ข้อเสนอแนะเพื่อทำการศึกษาครั้งต่อไป 5.2.1 ควรนำเนื้อหาที่ยาก และซับซ้อน ในรายวิชาที่ยังไม่มีการสร้างหรือวิจัยมาสร้างเป็น ใบกิจกรรมฝึกทักษะใน รายวิชา การออกแบบและเทคโนโลยี 5.2.2 ควรสร้างสื่อหรือนวัตกรรมประเภทสื่อการสอนที่เกี่ยวกับเทคนิคอื่น ๆ ซึ่งจะช่วยให้มี ความหลากหลาย และเพื่อดึงดูดความสนใจแก่นักเรียนมากขึ้น