ม.4
แผนการจัดการเรยี นรู้
วชิ า เคมี ว31221
กล่มุ สาระการเรียนรู้ วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 1 ความปลอดภัยและทักษะในปฏบิ ตั ิการเคมี
ระดับช้ันมธั ยมศกึ ษาปที ี่ 4 โรงเรียนหนองหานวทิ ยา
นายวทิ ยา น่าชม
รหัสประจำตัวนักศึกษา 61100141103
สาขาวิชาวิทยาศาสตร์ (เน้นเคม)ี
การฝึกปฏบิ ัตกิ ารสอนในสถานศกึ ษา 1
รหัสวชิ า ED18501 (INTERNSHIP IN SCHOOL 1)
คณะครุศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยราชภฏั อดุ รธานี
ภาคเรยี นท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2565
คำนำ
แผนการจัดการเรียนรู้ รายวิชาเคมี ว31221 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 เล่มที่ 1 จัดทำขึ้นเพื่อใช้
เป็นแนวทางในการจัดการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพ และให้นักเรียนบรรลุตามผลการเรียนรู้
ที่กำหนดไว้ในหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง 2560)
ผู้จัดทำจึงได้ศึกษาสาระการเรียนรู้เพิ่มเติม เทคนิค วิธีการสอน การวัดและประเมินผล มาจัดทำ
แผนการจดั การเรยี นรู้ในครั้งนี้
แผนการจัดการเรียนรู้เล่มที่ 1 ประกอบไปด้วย ความสำคัญของวิทยาศาสตร์ เป้าหมายของ
การจัดการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ เรยี นรู้อะไรในวิทยาศาสตรเ์ พ่ิมเติม สาระวิทยาศาสตร์เพ่ิมเติม
คุณภาพผู้เรียน สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน คุณลักษณะอันพึงประสงค์ ผลการเรียนรู้และสาระการ
เรียนรู้เพิ่มเติม ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 รายวิชาเคมี คำอธิบายรายวิชา สัดส่วนคะแนน การวัดและ
ประเมินผล โครงสร้างหลักสูตร โครงสร้างกำหนดการสอน และแผนการจัดการเรียนรู้ หน่วยการ
เรียนรู้ที่ 1 เรื่อง ความปลอดภัยและทักษะในปฏิบัติการเคมี เพื่อให้ผู้เรียนบรรลมุ าตรฐานการเรียนรู้
ไดเ้ ตม็ ศักยภาพอยา่ งแทจ้ ริง
จึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่า แผนการจัดการเรียนรู้ฉบับนี้ จะสามารถนำไปใช้ประกอบการจัดการ
เรยี นการสอนรายวิชาเคมี นำไปสู่การพฒั นาท่ถี กู ต้องและเกดิ ผลแก่ผูเ้ รยี นเปน็ อยา่ งดี
วิทยา น่าชม
18 ตลุ าคม 2565
สารบัญ
เรอ่ื ง หนา้
คำนำ ก
สารบัญ ข
หลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาขั้นพนื้ ฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบบั ปรบั ปรุง พ.ศ. 2560) 1
กลุม่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) 1
ความสำคัญของวิทยาศาสตร์ 1
เปา้ หมายของการจัดการเรยี นการสอนวิทยาศาสตร์ 1
เรยี นร้อู ะไรในวทิ ยาศาสตร์เพ่มิ เตมิ 2
สาระวทิ ยาศาสตร์เพิม่ เตมิ 2
คณุ ภาพผเู้ รยี น 4
สมรรถนะสำคญั ของผ้เู รยี น 8
คณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงค์ 9
ผลการเรยี นร้แู ละสาระการเรยี นรูเ้ พิม่ เตมิ ชน้ั มธั ยมศึกษาปีท่ี 4 รายวชิ าเคมี 10
คำอธิบายรายวิชา 17
สัดสว่ นคะแนน การวัดและประเมนิ ผล 20
โครงสรา้ งหลักสตู ร 21
โครงสร้างกำหนดการสอน 30
แผนการจดั การเรยี นรู้หน่วยการเรยี นร้ทู ี 1 ความปลอดภยั และทกั ษะในปฏบิ ตั ิการเคมี 32
แผนการจดั การเรียนรทู้ ่ี 1 เรื่อง ความปลอดภัยในการทำงานกับสารเคมี 33
แผนการจดั การเรียนร้ทู ่ี 2 เร่อื ง อบุ ัตเิ หตุจากสารเคมี 50
แผนการจดั การเรยี นรู้ท่ี 3 เร่อื ง การวัดปริมาณสาร 65
แผนการจัดการเรยี นรู้ที่ 4 เร่อื ง หน่วยวัด 92
1
หลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาข้นั พน้ื ฐาน พุทธศกั ราช 2551 (ฉบับปรับปรงุ พ.ศ. 2560)
กลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์ (ฉบบั ปรบั ปรุง พ.ศ. 2560)
1. ความสำคญั ของวิทยาศาสตร์
วิทยาศาสตร์มีบทบาทสำคัญยิ่งในสังคมโลกปัจจุบันและอนาคต เพราะวิทยาศาสตร์เกี่ยวข้องกับ
ชีวิตของทุกคน ทั้งในการดำรงชีวิตประจำวันและในงานอาชีพต่าง ๆ เครื่องมือเครื่องใช้ ตลอดจน
ผลผลิตต่าง ๆ ที่ใช้เพื่ออำนวยความสะดวกในชีวิตและในการทำงาน ล้วนเป็นผลของความรู้
วิทยาศาสตร์ผสมผสานกับความคิดสร้างสรรค์และศาสตร์อื่น ๆ ความรู้วิทยาศาสตร์ช่วยให้เกิดการ
พัฒนาเทคโนโลยีอย่างมาก ในทางกลับกันเทคโนโลยีก็มีส่วนสำคัญมากที่จะให้มีการศึกษาค้นคว้า
ความรู้ทางวิทยาศาสตร์เพิ่มขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง วิทยาศาสตร์ทำให้คนได้พัฒนาวิธีคิดทั้งความคิดเป็น
เหตเุ ปน็ ผล คิดสรา้ งสรรค์ คดิ วเิ คราะห์ วิจารณ์ มที กั ษะสำคัญในการคน้ ควา้ หาความรู้มีความสามารถ
ในการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ สามารถตัดสินใจโดยใช้ข้อมูลหลากหลาย และมีประจักษ์พยานที่
ตรวจสอบได้
วิทยาศาสตร์เป็นวัฒนธรรมของโลกสมัยใหม่ซึ่งเป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ (knowledge based
society) ทุกคนจงึ จำเปน็ ตอ้ งได้รับการพัฒนาใหร้ วู้ ทิ ยาศาสตร์ (scientific literacy for all) เพ่อื ที่จะ
มีความรู้ความเข้าใจโลกธรรมชาติและเทคโนโลยีที่มนุษย์สร้างสรรค์ขึ้น และนำความรู้ไปใช้อย่างมี
เหตุผล สรา้ งสรรค์ มคี ณุ ธรรม
ความรู้วิทยาศาสตร์ไม่เพียงแต่นำมาใช้ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดี แต่ยังช่วยให้คนมีความรู้
ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการใช้ประโยชน์ การดูแลรักษา ตลอดจนการพัฒนาสิ่งแวดล้อมและ
ทรัพยากรธรรมชาติอย่างสมดุลและยั่งยืน และที่สำคัญอย่างยิ่งคือ ความรู้วิทยาศาสตร์ช่วยเพิ่ม
ความสามารถในการพัฒนาเศรษฐกิจสามารถแข่งขันกับนานาประเทศและดำเนินชีวิตอยู่ร่วมกันใน
สงั คมโลกไดอ้ ย่างมีความสุข
2. เป้าหมายของการจดั การเรียนการสอนวิทยาศาสตร์
วิทยาศาสตร์เป็นเรื่องของการเรียนรู้เกี่ยวกับธรรมชาติโดยมนุษย์ใช้กระบวนการสังเกต สำรวจ
และการทดลองเกี่ยวกับปรากฏการณ์ธรรมชาติและนำผลมาจัดระบบ หลักการ แนวคิด และทฤษฎี
ดงั นั้นการเรยี นการสอนวิทยาศาสตรจ์ ึงมุ่งเนน้ ให้ผู้เรียนไดเ้ ป็นผูเ้ รียนรู้และคน้ พบด้วยตนเองมากท่ีสุด
นั่นคือให้ได้ทั้งกระบวนการและองค์ความรู้ ตั้งแต่วัยแรกเริ่มก่อนเข้าเรียน เมื่ออยู่ในสถานศึกษา
และเมื่อออกจากสถานศึกษาไปประกอบอาชีพแล้ว การจัดการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์
ในสถานศึกษามีเปา้ หมายสำคัญ ดงั นี้
2.1 เพอ่ื ใหเ้ ข้าใจหลักการ ทฤษฎที ี่เปน็ พ้นื ฐานวทิ ยาศาสตร์
2
2.2 เพื่อให้เข้าใจขอบเขต ธรรมชาติ และขอ้ จำกัดของวทิ ยาศาสตร์
2.3 เพ่ือให้มีทักษะสำคัญในการศึกษาคน้ คว้าทางวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
2.4 เพื่อพัฒนากระบวนการคิดและจินตนาการ ความสามารถในการแก้ปัญหา และการจัดการ
ทกั ษะในการส่ือสาร และความสามารถในการตดั สนิ ใจ
2.5 เพื่อให้ตระหนักถึงความสัมพันธ์ระหว่างวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี มวลมนุษย์และ
สภาพแวดลอ้ มในเชงิ ทมี่ อี ิทธิพลและผลกระทบซง่ึ กนั และกัน
2.6 เพื่อนำความรู้ความเข้าใจในเรื่องวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อสังคม
และการดำรงชีวิต
2.7 เพ่ือใหเ้ ปน็ คนมีจิตวิทยาศาสตร์ มีคุณธรรม จรยิ ธรรม และคา่ นิยม ในการใชว้ ิทยาศาสตร์และ
เทคโนโลยีอย่างสรา้ งสรรค์
3. เรยี นรูอ้ ะไรในวิทยาศาสตร์เพ่ิมเติม
วิทยาศาสตร์เพ่มิ เตมิ ผู้เรยี นจะได้เรียนรูส้ าระสำคญั ดังนี้
3.1 ชีววิทยา เรียนรู้เกี่ยวกับการศึกษาชีววิทยา สารที่เป็นองค์ประกอบของสิ่งมีชีวิต เซลล์ของ
สิ่งมีชีวิต พันธุกรรมและการถ่ายทอด วิวัฒนาการความหลากหลายทางชีวภาพ โครงสร้างและการ
ทำงานของส่วนต่าง ๆ ในพืชดอก ระบบและการทำงานในอวัยวะต่าง ๆ ของสัตว์และมนุษย์
และสงิ่ มีชีวติ และสิง่ แวดล้อม
3.2 เคมี เรียนรู้เกี่ยวกับปริมาณสาร องค์ประกอบและสมบัติของสาร การเปลี่ยนแปลงของสาร
ทักษะและการแก้ปัญหาทางเคมี
3.3 ฟิสิกส์ เรียนร้เู กี่ยวกบั ธรรมชาตแิ ละการคน้ พบทางฟิสิกสแ์ รงและการเคลื่อนทแี่ ละพลังงาน
3.4 โลก ดาราศาสตร์ และอวกาศ เรียนรเู้ ก่ียวกับโลกและกระบวนการเปล่ียนแปลงทางธรณีวิทยา
ข้อมูลทางธรณีวิทยาและการนำไปใช้ประโยชน์การถ่ายโอนพลังงานความร้อนของโลกการ
เปลี่ยนแปลงลักษณะลมฟ้าอากาศกับการดำรงชีวิตของมนุษย์ โลกในเอกภพ และดาราศาสตร์กับ
มนษุ ย์
4. สาระวทิ ยาศาสตรเ์ พม่ิ เติม
สาระชีววทิ ยา
1. เข้าใจธรรมชาติของสิ่งมีชีวิต การศึกษาชีววิทยาและวิธีการทางวิทยาศาสตร์สารที่เป็น
องค์ประกอบของสิ่งมีชีวิต ปฏิกิริยาเคมีในเซลล์ของสิ่งมีชีวิต กล้องจุลทรรศน์ โครงสร้างและหน้าท่ี
ของเซลลก์ ารลำเลยี งสารเข้าและออกจากเซลลก์ ารแบง่ เซลล์และการหายใจระดับเซลล์
3
2. เข้าใจการถ่ายทอดลกั ษณะทางพันธุกรรม การถ่ายทอดยีนบนโครโมโซม สมบัติและหน้าท่ีของ
สารพันธุกรรม การเกิดมิวเทชัน เทคโนโลยีทางดีเอ็นเอ หลักฐานข้อมูลและแนวคิดเกี่ยวกับ
วิวัฒนาการ ของสิ่งมีชีวิต ภาวะสมดุลของฮาร์ดี-ไวน์เบิร์ก การเกิดสปีชีส์ใหม่ ความหลากหลายทาง
ชีวภาพ กำเนิดของสิ่งมีชีวิต ความหลากหลายของสิ่งมีชีวิต และอนุกรมวิธาน รวมทั้งนำความรู้ไปใช้
ประโยชน์
3. เข้าใจส่วนประกอบของพืช การแลกเปลี่ยนแก๊สและคายน้ำของพืช การลำเลียงของพืชการ
สังเคราะห์ด้วยแสง การสืบพันธุ์ของพืชดอกและการเจริญเติบโต และการตอบสนองของพืช รวมทั้ง
นำความร้ไู ปใช้ประโยชน์
4. เข้าใจการย่อยอาหารของสัตว์และมนุษย์การหายใจและการแลกเปลี่ยนแก๊ส การลำเลียงสาร
และการหมุนเวียนเลือด ภูมิคุ้มกันของร่างกาย การขับถ่าย การรับรู้และการตอบสนองการเคลื่อนท่ี
การสืบพันธุ์และการเจริญเติบโต ฮอร์โมนกับการรักษาดุลยภาพ และพฤติกรรมของสัตว์รวมทั้งนำ
ความรู้ไปใชป้ ระโยชน์
5. เขา้ ใจแนวคดิ เกย่ี วกบั ระบบนิเวศ กระบวนการถา่ ยทอดพลังงานและการหมนุ เวยี นสารในระบบ
นเิ วศ ความหลากหลายของไบโอม การเปลีย่ นแปลงแทนท่ขี องส่งิ มีชวี ติ ในระบบนิเวศ ประชากร และ
รูปแบบการเพิ่มของประชากร ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ปัญหาและผลกระทบที่เกิดจาก
การใชป้ ระโยชน์และแนวทางการแก้ไขปญั หา
สาระเคมี
1. เข้าใจโครงสร้างอะตอม การจัดเรียงธาตุในตารางธาตุ สมบัติของธาตุ พันธะเคมี และสมบัติ
ของสาร แก๊สและสมบัติของแก๊ส ประเภทและสมบัติของสารประกอบอินทรีย์และพอลิเมอร์รวมทั้ง
การนำความรู้ไปใช้ประโยชน์
2. เข้าใจการเขยี นและการดุลสมการเคมีปริมาณสมั พันธ์ในปฏิกริ ยิ าเคมีอัตราการเกดิ ปฏิกิริยาเคมี
สมดุลในปฏิกิริยาเคมีสมบัติและปฏิกิริยาของกรด-เบส ปฏิกิริยารีดอกซ์และเซลล์เคมีไฟฟ้า รวมทั้ง
การนำความรไู้ ปใช้ประโยชน์
3. เข้าใจหลักการทำปฏิบัติการเคมีการวัดปรมิ าณสาร หน่วยวัดและการเปลี่ยนหนว่ ยการคำนวณ
ปริมาณของสาร ความเข้มข้นของสารละลาย รวมทั้งการบูรณาการความรู้และทักษะในการอธิบาย
ปรากฏการณ์ในชวี ิตประจำวันและการแกป้ ัญหาทางเคมี
สาระฟิสกิ ส์
1. เข้าใจธรรมชาติทางฟิสิกส์ ปริมาณและกระบวนการวัด การเคลื่อนที่แนวตรง แรงและกฎการ
เคลื่อนที่ของนิวตัน กฎความโน้มถ่วงสากล แรงเสียดทานสมดุลกลของวัตถุ งานและกฎการอนุรักษ์
4
พลังงานกล โมเมนตัมและกฎการอนุรักษ์โมเมนตัม การเคลื่อนที่แนวโค้ง รวมทั้งนำความรู้ไปใช้
ประโยชน์
2. เข้าใจการเคลื่อนที่แบบฮาร์มอนิกส์อย่างง่าย ธรรมชาติของคลื่น เสียงและการได้ยิน
ปรากฏการณ์ทีเ่ ก่ยี วขอ้ งกับเสยี ง แสงและการเห็น ปรากฏการณ์ท่ีเก่ียวขอ้ งกับแสง รวมทงั้ นำความรู้
ไปใชป้ ระโยชน์
3. เข้าใจแรงไฟฟ้าและกฎของคูลอมบ์สนามไฟฟ้า ศักย์ไฟฟ้า ความจุไฟฟ้า กระแสไฟฟ้าและกฎ
ของโอห์ม วงจรไฟฟ้ากระแสตรง พลังงานไฟฟ้าและกำลังไฟฟ้า การเปลี่ยนพลังงานทดแทนเป็น
พลังงานไฟฟ้า สนามแม่เหล็ก แรงแม่เหล็กที่กระทำกับประจุไฟฟ้าและกระแสไฟฟ้า การเหนี่ยวนำ
แม่เหล็กไฟฟ้าและกฎของฟาราเดย์ ไฟฟ้ากระแสสลับ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าและการสื่อสาร รวมทั้งนำ
ความรู้ไปใชป้ ระโยชน์
4. เข้าใจความสัมพันธ์ของความร้อนกับการเปลี่ยนอุณหภูมิและสถานะของสสาร สภาพยืดหยุ่น
ของวัสดแุ ละมอดุลัสของยัง ความดนั ในของไหล แรงพยงุ และหลกั ของอาร์คิมีดีสความตึงผิวและแรง
หนืดของของเหลว ของไหลอุดมคติและสมการแบรน์ ูลลีกฎของแก๊ส ทฤษฎีจลน์ของแก๊สอุดมคติและ
พลังงานในระบบ ทฤษฎีอะตอมของโบร์ ปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริก ทวิภาวะของคลื่นและอนุภาค
กัมมันตภาพรังสแี รงนิวเคลียร์ ปฏิกิริยานิวเคลียร์ พลังงานนิวเคลยี ร์ ฟิสิกส์อนุภาค รวมทั้งนำความรู้
ไปใชป้ ระโยชน์
สาระโลก ดาราศาสตร์ และอวกาศ
1. เข้าใจกระบวนการเปลี่ยนแปลงภายในโลก ธรณีพิบัติภัยและผลต่อสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม
รวมทง้ั การศึกษาลำดับชั้นหิน ทรัพยากรธรณแี ผนทแี่ ละการนำไปใช้ประโยชน์
2. เข้าใจสมดุลพลังงานของโลก การหมุนเวียนของอากาศบนโลก การหมุนเวียนของน้ ำใน
มหาสมุทร การเกิดเมฆ การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศโลกและผลต่อสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม รวมทั้ง
การพยากรณอ์ ากาศ
3. เข้าใจองค์ประกอบ ลักษณะ กระบวนการเกิด และวิวัฒนาการของเอกภพกาแล็กซีดาวฤกษ์
และระบบสุริยะ ความสัมพันธ์ของดาราศาสตร์กับมนุษย์จากการศึกษาตำแหน่งดาวบนทรงกลมฟ้า
และปฏิสมั พนั ธภ์ ายในระบบสรุ ิยะ รวมท้งั การประยุกตใ์ ชเ้ ทคโนโลยีอวกาศในการดำรงชวี ิต
5. คุณภาพผ้เู รยี น
ผู้เรียนที่เรียนครบทกุ ผลการเรียนรู้ มีคุณภาพดังน้ี
5
1. เขา้ ใจวิธีการทางวิทยาศาสตร์ในการคน้ หาคำตอบเกี่ยวกับส่ิงมีชีวิต สารที่เปน็ องค์ประกอบของ
สิ่งมีชีวิต และปฏิกิริยาเคมีภายในเซลล์ การใช้กล้องจุลทรรศน์ โครงสร้างและหน้าที่ของเซลล์การ
ลำเลยี งสารเข้าและออกจากเซลล์การแบ่งเซลลแ์ ละการหายใจระดบั เซลล์
2. เข้าใจหลักการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิต การถ่ายทอดยีนบนออโตโซมและ
โครโมโซมเพศ โครงสร้างและองค์ประกอบทางเคมีของดีเอ็นเอ การจำลองดีเอ็นเอ กระบวนการ
สังเคราะห์โปรตีน การเกิดมิวเทชันในสิ่งมีชีวิต หลักการและการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีทางดีเอ็นเอ
หลกั ฐานและขอ้ มูลทใ่ี ชใ้ นการศึกษาววิ ฒั นาการของสิง่ มชี วี ิต แนวคิดเก่ยี วกับววิ ัฒนาการของสงิ่ มีชีวิต
เง่ือนไขของภาวะสมดุลของฮาร์ดี-ไวน์เบิร์ก กระบวนการเกิดสปีชีส์ใหม่ของสิ่งมีชีวิต ความ
หลากหลายทางชีวภาพ กำเนิดของสิ่งมีชีวิต ลักษณะสำคัญของสิ่งมีชีวิตกลุ่มแบคทีเรีย โพรทิสต์ พืช
ฟังไจ และสตั วก์ ารจำแนกสง่ิ มชี วี ิตออกเป็นหมวดหมู่และวธิ ีการเขยี นชื่อวิทยาศาสตร์
3. เข้าใจโครงสร้างและส่วนประกอบของพืชทั้งราก ลำต้น และใบ การแลกเปลี่ยนแก๊ส การคาย
น้ำ การลำเลียงน้ำและธาตุอาหาร การลำเลียงอาหาร การสังเคราะห์ด้วยแสงของพืช กระบวนการ
สร้างเซลล์สืบพันธุ์และการปฏิสนธิของพืชดอก การเกิดผลและเมล็ด บทบาทของสารควบคุมการ
เจรญิ เติบโตของพืชและการประยกุ ตใ์ ชแ้ ละการตอบสนองของพืช
4. เข้าใจกลไกการรักษาดุลยภาพของสงิ่ มีชวี ติ โครงสรา้ ง หนา้ ท่ี และกระบวนการต่าง ๆ ของสัตว์
และมนุษย์ได้แก่ การย่อยอาหาร การแลกเปลี่ยนแก๊ส การเคลื่อนที่ การกำจัดของเสียออกจาก
รา่ งกายของสิ่งมีชวี ติ ระบบหมนุ เวียนเลือด ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายของมนุษยก์ ารทำงานของระบบ
ประสาทและอวัยวะรับความรู้สึก ระบบสืบพันธุ์การปฏิสนธิการเจริญเติบโต ฮอร์โมนและพฤติกรรม
ของสัตว์
5. เข้าใจกระบวนการถ่ายทอดพลังงานและการหมุนเวียนสารในระบบนิเวศความหลากหลาย
ของไบโอม การเปลี่ยนแปลงแทนที่แบบต่าง ๆ ในระบบนิเวศ การเปลี่ยนแปลงจำนวนประชากร
มนุษย์ในระดับท้องถิ่น ระดับประเทศ และระดับโลก แนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหา
ทรัพยากรธรรมชาตแิ ละส่ิงแวดลอ้ ม
6. เข้าใจการศึกษาโครงสร้างอะตอมของนักวิทยาศาสตร์การจัดเรียงอิเล็กตรอนในอะตอมสมบัติ
บางประการของธาตุและการจัดเรียงธาตุในตารางธาตุ พันธะเคมีสมบัติของสารที่มีความสัมพันธ์กับ
พันธะเคมีกฎต่าง ๆ ของแก๊ส และสมบัติของแก๊ส ประเภทและสมบัติของสารประกอบอินทรีย์
และประเภทและสมบัตขิ องพอลิเมอร์
7. เข้าใจการเขียนและการดุลสมการเคมีการคำนวณปริมาณสารต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับปฏิกิริยา
เคมอี ัตราการเกดิ ปฏิกริ ยิ าเคมีและปัจจัยทีม่ ีผลต่ออัตราการเกิดปฏกิ ริ ยิ าเคมสี มดุลในปฏกิ ริ ยิ าเคมีและ
6
ปัจจัยที่มีผลต่อสมดุลเคมีทฤษฎีกรด-เบส สมบัติและปฏิกิริยาของกรด-เบสสารละลายบัฟเฟอร์
ปฏิกริ ิยารีดอกซแ์ ละเซลล์เคมไี ฟฟา้
8. เข้าใจข้อปฏิบัติเบื้องต้นเกี่ยวกับความปลอดภัยในการทำปฏิบัติการเคมีการเลือกใช้อุปกรณ์
หรือเครื่องมือในการทำปฏิบัติการ หน่วยวัดและการเปลี่ยนหน่วยวัดด้วยการใช้แฟกเตอร์เปลี่ยน
หน่วย การคำนวณเกี่ยวกับมวลอะตอม มวลโมเลกุล และมวลสูตร ความสัมพันธ์ของโมล จำนวน
อนุภาค มวล และปริมาตรของแก๊สที่ STP การคำนวณสูตรอย่างง่ายและสูตรโมเลกุลของสารความ
เข้มข้นของสารละลาย การเตรียมสารละลาย และการบูรณาการความรู้และทักษะในการอธิบาย
ปรากฏการณใ์ นชวี ิตประจำวันและการแกป้ ญั หาทางเคมี
9. เข้าใจธรรมชาติของฟิสิกส์กระบวนการวัด ความสัมพันธ์ระหว่างปริมาณที่เกี่ยวข้องกับการ
เคลื่อนที่ การเคลื่อนที่ในแนวตรง แรงลัพธ์กฎการเคลื่อนที่ แรงเสียดทาน กฎความโน้มถ่วงสากล
สนามโน้มถ่วง งาน กฎการอนุรักษ์พลังงานกล สมดุลกลของวัตถุ เครื่องกลอย่างง่าย โมเมนตัมและ
การดล กฎการอนุรักษโ์ มเมนตัม การชน และการเคลื่อนทใ่ี นแนวโคง้
10. เข้าใจการเคลื่อนที่แบบคลื่น ปรากฏการณ์คลื่น การสะท้อน การหักเห การเลี้ยวเบนและ
การแทรกสอด หลักการของฮอยเกนส์ การเคลื่อนที่ของคลื่นเสียง ปรากฏการณ์ที่เกี่ยวข้องกับเสียง
ความเข้มเสียงและระดับเสียง การได้ยิน ภาพที่เกิดจากกระจกเงาและเลนส์ปรากฏการณ์ที่เกี่ยวข้อง
กับแสงและการมองเหน็ แสงสี
11. เข้าใจสนามไฟฟ้า แรงไฟฟ้า กฎของคูลอมบ์ศักย์ไฟฟ้า ตัวเก็บประจุตัวต้านทาน และกฎของ
โอห์ม พลังงานไฟฟ้า การเปลี่ยนพลังงานทดแทนเป็นพลังงานไฟฟ้า เทคโนโลยีด้านพลังงาน
สนามแม่เหล็ก ความสัมพันธ์ระหว่างสนามแม่เหล็กกับกระแสไฟฟ้า การเหนี่ยวนำแม่เหล็กไฟฟ้า
ไฟฟา้ กระแสสลบั คลน่ื แมเ่ หล็กไฟฟา้ และประโยชนข์ องคล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้า
12. เขา้ ใจผลของความร้อนต่อสสาร สภาพยดื หย่นุ ความดนั ในของไหล แรงพยุงของไหล อุดมคติ
ทฤษฎจี ลน์ของแก๊ส แนวคิดควอนตมั ของพลังงาน ทฤษฎอี ะตอมของโบรป์ รากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริก
ทวิภาวะของคลื่นและอนุภาค การสลายของนิวเคลียสกัมมันตรังสีกัมมันตภาพ ปฏิกิริยานิวเคลียร์
พลังงานนิวเคลียร์ความสัมพันธ์ระหว่างมวลและพลังงานแรงภายในนิวเคลียส และการค้นคว้าวิจัย
ดา้ นฟสิ ิกสอ์ นุภาค
13. เขา้ ใจการแบง่ ช้ันและสมบัติของโครงสร้างโลก สาเหตุ และรูปแบบการเคล่ือนท่ีของแผ่นธรณี
ที่สมั พนั ธก์ ับการเกิดลักษณะธรณีสัณฐานและธรณีโครงสร้างแบบต่าง ๆ หลกั ฐานทางธรณีวิทยาท่ีพบ
ในปัจจุบันและการลำดับเหตุการณ์ทางธรณีวิทยาในอดีต สาเหตุ กระบวนการเกิดแผ่นดินไหว ภูเขา
ไฟระเบิด สึนามิผลกระทบ แนวทางการเฝ้าระวัง และการปฏิบัติตนให้ปลอดภัย สมบัติและการ
7
จำแนกชนิดของแร่ กระบวนการเกิดและการจำแนกชนิดหิน กระบวนการเกิดและการสำรวจแหล่ง
ปิโตรเลียมและถ่านหิน การแปลความหมายจากแผนที่ภูมิประเทศและแผนที่ธรณีวิทยา และการนำ
ข้อมูลทางธรณวี ทิ ยาไปใชป้ ระโยชน์
14. เขา้ ใจปจั จยั สำคัญทีม่ ผี ลต่อการรับและปลดปลอ่ ยพลงั งานจากดวงอาทติ ยก์ ระบวนการท่ีทำให้
เกดิ สมดลุ พลงั งานของโลก ผลของแรงเนอ่ื งจากความแตกต่างของความกดอากาศ แรงคอริออลสิ แรง
สู่ศูนย์กลางและแรงเสียดทานท่ีมีต่อการหมุนเวียนของอากาศ การหมุนเวียนของอากาศตามเขต
ละติจูด และผลที่มีต่อภูมิอากาศ ปัจจัยที่ทำให้เกิดการแบ่งชั้นน้ำและการหมุนเวียนของน้ำใน
มหาสมุทร รูปแบบการหมุนเวียนของน้ำในมหาสมุทร และผลของการหมุนเวียนของน้ำในมหาสมุทร
ที่มีต่อลักษณะลมฟ้าอากาศ สิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม ความสัมพันธ์ระหว่างเสถียรภาพอากาศและ
การเกดิ เมฆ การเกิดแนวปะทะอากาศแบบตา่ ง ๆ และลักษณะลมฟา้ อากาศที่เกยี่ วข้องปจั จยั ตา่ ง ๆ ที่
มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศของโลก รวมทั้งการแปลความหมายสัญลักษณ์ลมฟ้าอากาศและ
การพยากรณ์ลักษณะลมฟา้ อากาศเบื้องตน้ จากแผนท่อี ากาศและขอ้ มูลสารสนเทศ
15. เข้าใจการกำเนิดและการเปลี่ยนแปลงพลังงาน สสาร ขนาดอุณหภูมิของเอกภพหลักฐานท่ี
สนับสนุนทฤษฎีบิกแบง ประเภทของกาแล็กซีโครงสร้างและองค์ประกอบของกาแล็กซีทางช้างเผือก
กระบวนการเกดิ ดาวฤกษแ์ ละการสร้างพลงั งานของดาวฤกษ์ ปัจจยั ทสี่ ่งผลต่อความส่องสว่างของดาว
ฤกษ์และความสัมพันธ์ระหว่างความส่องสว่างกับโชติมาตรของดาวฤกษ์ความสัมพันธ์ระหว่างสี
อุณหภูมิผิว และสเปกตรัมของดาวฤกษ์วิธีการหาระยะทางของดาวฤกษ์ด้วยหลักการแพรัลแลกซ์
วิวัฒนาการและการเปลี่ยนแปลงสมบัติบางประการของดาวฤกษ์กระบวนการเกิดระบบ สุริยะ
การแบ่งเขตบริวารของดวงอาทิตย์ลักษณะของดาวเคราะห์ที่เอื้อต่อการดำรงชีวิต การโคจรของดาว
เคราะห์รอบดวงอาทิตย์ด้วยกฎเคพเลอร์และกฎความโน้มถ่วงของนิวตัน โครงสร้างของดวงอาทิตย์
การเกิดลมสุริยะ พายุสุริยะและผลที่มีต่อโลก การระบุพิกัดของดาวในระบบขอบฟ้าและระบบศูนย์
สูตร เส้นทางการขึ้นการตกของดวงอาทิตย์และดาวฤกษ์ เวลาสุริยคติและการเปรียบเทียบเวลาของ
แต่ละเขตเวลาบนโลก การสำรวจอวกาศและการประยกุ ตใ์ ชเ้ ทคโนโลยีอวกาศ
16. ระบุปัญหา ตั้งคำถามที่จะสำรวจตรวจสอบ โดยมีการกำหนดความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร
ต่าง ๆ สืบค้นข้อมูลจากหลายแหล่ง ตั้งสมมติฐานที่เป็นไปได้หลายแนวทาง ตัดสินใจเลือกตรวจสอบ
สมมติฐานทีเ่ ป็นไปได้
17. ตั้งคำถามหรือกำหนดปัญหาที่อยู่บนพื้นฐานของความรู้และความเข้าใจทางวิทยาศาสตร์ที่
แ ส ด ง ให ้ เ ห ็น ถึง กา รใช้ ควา มคิด ระด ั บสู งที ่ส า มา ร ถส ำ รวจ ต รวจ สอบ หร ือศึ กษา ค้น คว้ าได ้ อย่าง
ครอบคลุมและเชื่อถือได้สร้างสมมติฐานที่มีทฤษฎีรองรับหรือคาดการณ์สิ่งที่จะพบ เพื่อนำไปสู่การ
8
สำรวจตรวจสอบ ออกแบบวิธีการสำรวจตรวจสอบตามสมมติฐานที่กำหนดไว้ได้อย่างเหมาะสมมี
หลักฐานเชงิ ประจกั ษ์ เลอื กวสั ดุ อปุ กรณ์ รวมท้ังวธิ ีการในการสำรวจตรวจสอบอยา่ งถูกต้อง ท้ังในเชงิ
ปริมาณและคุณภาพ และบันทกึ ผลการสำรวจตรวจสอบอยา่ งเปน็ ระบบ
18. วิเคราะห์แปลความหมายข้อมูล และประเมินความสอดคล้องของข้อสรุป เพื่อตรวจสอบกับ
สมมติฐานที่ตั้งไว้ให้ข้อเสนอแนะเพื่อปรับปรุงวิธีการสำรวจตรวจสอบ จัดกระทำข้อมูลและนำเสนอ
ขอ้ มูลดว้ ยเทคนคิ วธิ ีทเ่ี หมาะสม ส่อื สารแนวคดิ ความรูจ้ ากผลการสำรวจตรวจสอบ โดยการพดู เขียน
จัดแสดงหรือใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศ เพื่อให้ผ้อู น่ื เขา้ ใจ โดยมีหลักฐานอ้างอิงหรือมที ฤษฎีรองรบั
19. แสดงถึงความสนใจ มุ่งมั่น รับผิดชอบ รอบคอบ และซื่อสัตย์ ในการสืบเสาะหาความรู้โดยใช้
เครอื่ งมอื และวิธกี ารทีใ่ ห้ได้ผลถกู ตอ้ ง เชอื่ ถอื ได้มีเหตผุ ลและยอมรับได้วา่ ความรู้ทางวิทยาศาสตร์อาจ
มีการเปลี่ยนแปลงได้
20. แสดงถึงความพอใจและเห็นคุณค่าในการค้นพบความรู้พบคำตอบ หรือแก้ปัญหาได้ ทำงาน
รว่ มกบั ผ้อู นื่ อย่างสร้างสรรค์แสดงความคิดเหน็ โดยมีข้อมลู อ้างอิงและเหตผุ ลประกอบเกี่ยวกับผลของ
การพัฒนาและการใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอย่างมีคุณธรรมต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม
และยอมรับฟงั ความคดิ เห็นของผู้อ่นื
21. เข้าใจความสัมพันธ์ของความรู้วิทยาศาสตร์ที่มีผลต่อการพัฒนาเทคโนโลยีประเภทต่าง ๆ
และการพัฒนาเทคโนโลยที ส่ี ่งผลให้มกี ารคดิ ค้นความรูท้ างวทิ ยาศาสตร์ทีก่ ้าวหน้า ผลของเทคโนโลยี
ตอ่ ชีวิต สงั คม และสงิ่ แวดลอ้ ม
22. ตระหนักถึงความสำคัญและเห็นคุณค่าของความรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ใช้ใน
ชีวิตประจำวัน ใช้ความรู้และกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในการดำรงชีวิตและการ
ประกอบอาชีพ แสดงความชื่นชม ภูมิใจ ยกย่อง อ้างอิงผลงาน ชิ้นงานที่เป็นผลมาจากภูมิปัญญา
ท้องถิน่ และการพฒั นาเทคโนโลยีทท่ี ันสมยั ศึกษาหาความรเู้ พิ่มเติม ทำโครงงานหรือสรา้ งชิ้นงานตาม
ความสนใจ
23. แสดงความซาบซึ้ง ห่วงใย มีพฤติกรรมเกี่ยวกับการใช้และรักษาทรัพยากรธรรมชาติและ
สิ่งแวดล้อมอย่างรู้คุณค่า เสนอตัวเองร่วมมือปฏิบัติกับชุมชนในการป้องกัน ดูแลทรัพยากรธรรมชาติ
และส่ิงแวดล้อมของท้องถ่ิน
6. สมรรถนะสำคญั ของผเู้ รยี น
หลักสตู รแกนกลางการศึกษาขั้นพน้ื ฐาน มงุ่ ให้ผ้เู รยี นเกิดสมรรถนะสำคญั 5 ประการ ดงั นี้
1. ความสามารถในการส่ือสาร เปน็ ความสามารถในการรับและส่งสาร มีวัฒนธรรมในการใช้ภาษา
ถ่ายทอดความคิด ความรู้ความเข้าใจ ความรู้สึก และทัศนะของตนเองเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร
9
และประสบการณ์อันจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาตนเองและสังคม รวมทั้งการเจรจาต่อรองเพื่อ
ขจดั และลดปญั หาความขัดแยง้ ตา่ ง ๆ การเลอื กรบั หรือไมร่ ับข้อมลู ข่าวสารดว้ ยหลักเหตุผลและความ
ถูกต้อง ตลอดจนการเลือกใช้วิธีการสื่อสาร ที่มีประสิทธิภาพโดยคำนึงถึงผลกระทบที่มีต่อตนเอง
และสังคม
2. ความสามารถในการคิด เป็นความสามารถในการคิดวิเคราะห์ การคิดสังเคราะห์ การคิดอย่าง
สร้างสรรค์ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ และการคิดเป็นระบบ เพื่อนำไปสู่การสร้างองค์ความรู้
หรอื สารสนเทศเพอื่ การตัดสนิ ใจเกย่ี วกบั ตนเองและสงั คมได้อย่างเหมาะสม
3. ความสามารถในการแก้ปัญหา เป็นความสามารถในการแก้ปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ ที่เผชิญ
ได้อย่างถูกต้องเหมาะสมบนพื้นฐานของหลักเหตุผล คุณธรรมและข้อมูลสารสนเทศ เข้าใจ
ความสัมพันธ์และการเปลี่ยนแปลงของเหตุการณ์ต่าง ๆ ในสังคม แสวงหาความรู้ ประยุกต์ความรู้มา
ใช้ในการป้องกนั และแกไ้ ขปญั หา และมีการตัดสินใจทีม่ ีประสิทธิภาพโดยคำนึงถงึ ผลกระทบที่เกิดข้นึ
ตอ่ ตนเอง สงั คมและสิ่งแวดล้อม
4. ความสามารถในการใช้ทกั ษะชีวิต เป็นความสามารถในการนำกระบวนการต่าง ๆ ไปใชใ้ นการด
ดำเนินชีวิตประจำวัน การเรียนรู้ด้วยตนเอง การเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง การทำงาน และการอยู่ร่วมกัน
ในสังคมดว้ ยการสรา้ งเสรมิ ความสัมพนั ธ์อันดีระหวา่ งบุคคล การจดั การปัญหาและความขดั แย้งต่าง ๆ
อย่างเหมาะสม การปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมและสภาพแวดล้อมและการรู้จัก
หลีกเลี่ยงพฤติกรรมไม่พงึ ประสงคท์ ่สี ่งผลกระทบต่อตนเองและผู้อ่ืน
5. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยีเป็นความสามารถในการเลือก และใช้ เทคโนโลยีด้านต่าง ๆ
และมีทักษะกระบวนการทางเทคโนโลยีเพื่อการพฒั นาตนเองและสังคม ในดา้ นการเรียนรู้การส่ือสาร
การทำงาน การแก้ปัญหาอยา่ งสร้างสรรค์ ถกู ต้อง เหมาะสม และมีคณุ ธรรม
7. คุณลักษณะอันพงึ ประสงค์
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณลักษณะอันพึงประสงค์เพื่อให้
สามารถอย่รู ่วมกับผูอ้ ืน่ ในสังคมไดอ้ ย่างมีความสุข ในฐานะเป็นพลเมอื งไทยและพลโลก ดงั นี้
1. รักชาตศิ าสน์ กษตั รยิ ์
2. ซ่ือสัตย์สจุ ริต
3. มวี นิ ยั
4. ใฝ่เรยี นรู้
5. อยูอ่ ยา่ งพอเพยี ง
6. มงุ่ ม่ันในการทำงาน
10
7. รกั ความเป็นไทย
8. มจี ติ สาธารณะ
นอกจากนี้ สถานศึกษาสามารถกำหนดคุณลักษณะอันพึงประสงค์เพ่ิมเติมใหส้ อดคล้องตามบริบท
และจุดเน้นของตนเอง
8. ผลการเรียนรู้และสาระการเรียนรเู้ พิ่มเตมิ ชน้ั มธั ยมศึกษาปที ่ี 4 รายวิชาเคมี
ผลการเรียนรู้ สาระการเรยี นรเู้ พ่มิ เติม
สาระเคมี
3. เข้าใจหลักการทำปฏิบัติการเคมี การวัดปริมาณสาร หน่วยวัดและการเปลี่ยนหน่วย การ
คำนวณปรมิ าณของสาร ความเข้มข้นของสารละลาย รวมทง้ั การบรู ณาการความรู้และทกั ษะในการ
อธบิ ายปรากฏการณใ์ นชีวิตประจำวันและการแกป้ ัญหาทางเคมี
1. บอกและอธิบายข้อปฏิบัติ - การทำปฏิบัติการเคมีต้องคำนึงถึงความปลอดภัยและความ
เบื้องต้น และปฏิบัติตนที่แสดง เป็นมิตรต่อสิ่งแวดลอ้ ม ดังนั้นจึงควรศึกษาข้อปฏิบัติของการทำ
ถึงความตระหนักในการทำ ปฏิบัติการเคมี เช่น ความปลอดภัยในการใช้อุปกรณ์และ
ปฏิบัติการเคมีเพื่อให้มีความ สารเคมีการป้องกันอุบัติเหตุระหว่างการทดลองการกำจัด
ปลอดภัย ทั้งต่อตนเอง ผู้อ่ืน สารเคมี
และสิง่ แวดลอ้ ม และเสนอ แนว
ทางแกไ้ ขเมอ่ื เกิดอบุ ัตเิ หตุ
2. เลือกและใช้อุปกรณ์หรือ - อปุ กรณ์และเคร่อื งมือชั่ง ตวง วดั แต่ละชนิดมีวิธกี ารใช้งานและ
เครื่องมือในการทปฏิบัติการ การดูแลแตกต่างกัน ซึ่งการวัดปริมาณ ต่าง ๆ ให้ได้ข้อมูลที่มี
และวัดปริมาณต่าง ๆ ได้อย่าง ความเท่ียงและความแมน่ ในระดบั นยั สำคัญท่ีต้องการ ต้องมีการ
เหมาะสม เลือกและใช้ อปุ กรณ์ในการทำปฏบิ ัตกิ ารอย่างเหมาะสม
3. นำเสนอแผนการทดลอง - การทำปฏิบัติการเคมีต้องมีการวางแผนการทดลอง การทำ
ทดลองและเขียนรายงานการ การทดลอง การบันทึกข้อมูลสรุปและวิเคราะห์นำเสนอข้อมูล
ทดลอง และการเขียนรายงานการทดลองที่ถูกต้อง โดยการทำปฏิบัตกิ าร
เคมีต้องคำนึงถึงวิธีการทางวิทยาศาสตร์ ทักษะกระบวนการทาง
วทิ ยาศาสตร์และจติ วิทยาศาสตร์
4. ระบุหน่วยวัดปริมาณต่าง ๆ การทำปฏิบัติการเคมีต้องมีการวัดปริมาณต่าง ๆ ของสาร การ
ของสารและเปลี่ยนหน่วยวัดให้ บอกปริมาณของสารอาจระบุอยู่ในหน่วยต่าง ๆ ดังนั้นเพื่อให้มี
เป็นหน่วยในระบบเอสไอด้วย มาตรฐานเดียวกัน จึงมีการกำหนดหน่วยในระบบเอสไอให้เป็น
การใชแ้ ฟกเตอรเ์ ปล่ยี นหน่วย หนว่ ยสากล ซงึ่ การเปล่ียนหนว่ ยเพื่อให้เปน็ หน่วยสากล สามารถ
ทำไดด้ ้วยการใช้แฟกเตอร์เปลี่ยนหน่วย
11
ผลการเรยี นรู้ สาระการเรยี นรู้เพิม่ เติม
สาระเคมี
1.เข้าใจโครงสร้างอะตอม การจัดเรียงธาตุในตารางธาตุ สมบัติของธาตุ พันธะเคมีและสมบัติ
ของสาร แก๊สและสมบัติของแก๊ส ประเภทและสมบัติของสารประกอบอินทรีย์และพอลิเมอร์
รวมทง้ั การนำความรไู้ ปใชป้ ระโยชน์
1. สืบค้นข้อมูลสมมติฐาน - นักวิทยาศาสตร์ศึกษาโครงสร้างของอะตอมและเสนอ
การทดลองหรือ ผลการทดลอง แบบจำลองอะตอมแบบต่าง ๆ จากการศึกษาข้อมูล การสังเกต
ที่เป็นประจักษ์พยานในการ การต้งั สมมตฐิ าน
เสนอแบบจำลองอะตอมของ - นักวิทยาศาสตร์ศึกษาโครงสร้างของอะตอมและเสนอ
นักวิทยาศาสตร์และอธิบาย แบบจำลองอะตอมแบบต่าง ๆ จากการศึกษาข้อมูล การสังเกต
วิวัฒนาการของแบบจำลอง การตง้ั สมมตฐิ าน และผลการทดลอง
อะตอม - แบบจำลองอะตอมมีวิวัฒนาการ โดยเริ่มจากดอลตันเสนอว่า
ธาตุประกอบด้วยอะตอมซึ่งเป็น อนุภาคขนาดเล็กไม่สามารถ
แบง่ แยกได้ ต่อมาทอมสันเสนอว่าอะตอมประกอบด้วยอนุภาคท่ี
มีประจุลบ เรียกว่าอิเล็กตรอน และอนุภาคประจุบวก
รัทเทอร์ฟอร์ดเสนอว่าประจุบวก ที่เรียกว่า โปรตอน รวมตัวกัน
อยู่ตรงกึ่งกลางอะตอม เรียกว่า นิวเคลียส ซึ่งมีขนาดเล็กมาก
และมีอิเล็กตรอนอยู่รอบนิวเคลียสโบร์เสนอว่าอิเล็กตรอน
เคลื่อนที่เป็นวงรอบนิวเคลียส โดยแต่ละวงมีระดับพลังงาน
เฉพาะตวั ในปัจจบุ นั นักวทิ ยาศาสตรย์ อมรับว่าอิเล็กตรอนมีการ
เคลอ่ื นทรี่ วดเรว็ รอบนิวเคลียส
2. เขียนสัญลักษณ์นิวเคลียร์ - สญั ลักษณ์นวิ เคลียรข์ อง ธาตุ ประกอบดว้ ยสัญลกั ษณธ์ าตุ เลข
ของ ธ า ต ุ แ ล ะร ะบ ุ จ ำ นวน อะตอมซึ่งแสดงจำนวน โปรตอน และเลขมวลซึ่งแสดงผลรวม
โ ป ร ต อ น น ิ ว ต ร อ น แ ล ะ ของจำนวนโปรตอนกับนวิ ตรอนอะตอมของธาตุชนิดเดียวกัน ท่ี
อิเล็กตรอนของ อะตอมจาก มีจำนวนโปรตอนเท่ากัน แต่มีจำนวนนิวตรอน ต่างกันเรียกว่า
สัญลักษณ์นิวเคลียร์รวมทั้งบอก ไอโซโทป
ความหมายของไอโซโทป
3. อธิบาย และ เขียนการ - การศึกษาสเปกตรัมการเปล่งแสงของอะตอมแก๊ส ทำให้ทราบ
จัดเรียง อิเล็กตรอน ในระดับ ว่าอิเล็กตรอน จัดเรียงอยู่รอบ ๆ นิวเคลียสในระดับ พลังงาน
พลงั งานหลกั และระดับพลังงาน หลักต่าง ๆ และแต่ละระดับพลังงานหลักยังแบ่งเป็นระดับ
ย่อย พลังงานย่อย ซ่งึ มบี ริเวณที่จะพบอิเล็กตรอน
12
ผลการเรยี นรู้ สาระการเรยี นรู้เพิม่ เติม
เมอ่ื ทราบเลขอะตอมของธาตุ เรียกว่า ออร์บิทัล ได้แตกต่างกัน และอิเล็กตรอนจะจัดเรียงใน
ออร์บทิ ัลใหม้ ีระดับพลังงานตำ่ ทส่ี ุดสำหรบั อะตอมในสถานะพืน้
4. ระบุหมู่คาบ ความเป็นโลหะ - ตารางธาตุในปัจจุบันจัดเรียงธาตุตามเลขอะตอม และสมบัติที่
อโลหะ และกึ่งโลหะ ของธาตุ คล้ายคลึงกันเป็นหมู่และคาบ โดยอาจแบ่งธาตุใน ตารางธาตุ
เรพรเี ซนเททฟี และธาตุ แทรน เป็นกลุม่ ธาตุโลหะ ก่ึงโลหะ และอโลหะ กลุ่มธาตุเรพรีเซนเททีฟ
ซิชันในตารางธาตุ และกลุม่ ธาตแุ ทรนซชิ ัน
5. วิเคราะห์และ บอกแนวโน้ม - ธาตุเรพรเี ซนเททฟี ในหมู่เดยี วกนั มีจำนวนเวเลนซอ์ เิ ล็ก
สมบัติของธาตุเรพรีเซนเททีฟ ตรอนเท่ากันและ ธาตุที่อยูใ่ นคาบเดียวกัน มีเวเลนซ์อิเลก็ ตรอน
ตามหมู่และตามคาบ ในระดับพลังงานหลัก เดียวกัน ธาตุเรพรีเซนเททีฟมีสมบัติทาง
เคมีคล้ายคลึงกันตามหมู่และมีแนวโน้มสมบัติบางประการ
เป็นไปตามหมู่และตามคาบ เช่น ขนาดอะตอม รัศมีไอออน
พลังงานไอออไนเซชัน อิเล็กโทรเนกาติวิตี สัมพรรคภาพ
อเิ ล็กตรอน
6. บอกสมบัติของธาตุโลหะแท - ธาตแุ ทรนซชิ ันเป็นโลหะที่สว่ นใหญ่มีเวเลนซอ์ เิ ล็กตรอนเท่ากับ
รนฃซิชัน และเปรียบเทียบ 2 มีขนาดอะตอมใกล้เคียงกัน มีจุดเดือด จุดหลอมเหลว และ
สมบัติกับธาตุโลหะในกลุ่มธาตุ ความหนาแน่นสูง เกิดปฏิกิริยากับนำ้ ได้ช้ากว่าธาตุโลหะในกลมุ่
เรพรเี ซนเททฟี ธาตุเรพรเี ซนเททีฟ เมือ่ เกดิ เป็นสารประกอบส่วนใหญจ่ ะมีสี
7. อธิบายสมบัติ และคำนวณ - ธาตแุ ตล่ ะชนิดมีไอโซโทป ซ่ึงในธรรมชาติบางธาตุมไี อโซโทปที่
ครึ่งชีวิต ของไอโซโ ทป แผ่รังสีได้ เนื่องจากนิวเคลียสไม่เสถียร เรียกว่า ไอโซโทป
กมั มนั ตรงั สี กัมมันตรังสี สำหรับธาตุกัมมันตรังสีเป็นธาตุที่ทุกไอโซโทป
สามารถแผ่รังสีได้รังสีที่เกิดขึ้น เช่น รังสีแอลฟา รังสีบีตา รังสี
แกมมา โดยครึ่งชีวิตของไอโซโทปกัมมันตรังสีเป็นระยะเวลาที่
ไอโซโทปกัมมันตรังสีสลายตัวจนเหลือคร่ึงหนึง่ ของปรมิ าณ เดิม
ซึง่ เป็นคา่ คงท่เี ฉพาะของแต่ละไอโซโทปกัมมนั ตรงั สี
8. สืบคน้ ข้อมูล และยกตัวอย่าง - สมบัติบางประการของธาตุแต่ละชนิดทำให้สามารถนำธาตุไป
การนำธาตุ มาใช้ประโยชน์ ใช้ประโยชน์ในด้านต่าง ๆ ได้อย่างหลากหลาย ทั้งนี้การนำธาตุ
รวมทั้งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิต ไปใช้ต้องตระหนกั ถึงผลกระทบท่ีมตี ่อ สง่ิ มชี ีวติ และ สงิ่ แวดล้อม
และ สิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะสารกัมมันตรังสี ซึง่ ต้องมีการจดั การอยา่ งเหมาะสม
13
ผลการเรยี นรู้ สาระการเรียนรูเ้ พ่ิมเติม
9. อธิบายการเกิดไอออนและ - สารเคมเี กดิ จากการยึดเหน่ียวกนั ด้วยพนั ธะเคมี ซ่งึ เกี่ยวข้อง
การเกิดพันธะไอออนิก โดยใช้ กับเวเลนซ์ อิเล็กตรอนทแี่ สดงไดด้ ้วยสัญลักษณแ์ บบจดุ ของลิว
แผนภาพหรือสญั ลักษณ์แบบจุด อสิ โดยการเกิดพันธะเคมสี ว่ นใหญ่เป็นไปตามกฎออกเตต
ของลวิ อสิ - พันธะไอออนิกเกิดจากการยึดเหนี่ยวระหว่างประจุไฟฟ้าของ
ไอออนบวกกับไอออนลบ ส่วนใหญ่ไอออนบวกเกดิ จากโลหะเสีย
อิเล็กตรอน และไอออนลบเกิดจากอโลหะรับอิเล็กตรอน
สารประกอบท่ีเกิดจากพันธะไอออนิก เรียกว่า สารประกอบไอ
ออนกิ สารประกอบไอออนิกไม่อยู่ในรูปโมเลกุลแต่เป็นโครงผลึก
ที่ประกอบ ด้วยไอออนบวกและไอออนลบ จัดเรียงตัว
ต่อเนอ่ื งกนั ไปทั้งสามมติ ิ
10. เขยี นสตู ร และเรยี กชื่อ - สารประกอบไอออนิก เขียนแสดงสูตรเคมีโดยให้สัญลักษณ์
สารประกอบไอออนกิ ธาตุที่เป็นไอออนบวกไว้ข้างหน้าตามด้วยสัญลักษณ์ธาตุที่เป็น
ไอออนลบ โดยมีตัวเลขแสดงอัตราส่วนอย่างต่ำของจำนวน
ไอออนทเ่ี ปน็ องค์ประกอบ การเรยี กช่อื สารประกอบไอออนิกทำ
ได้โดยเรียกชื่อไอออนบวกแล้วตามด้วยชื่อไอออนลบสำหรับ
สารประกอบไอออนิกที่เกดิ จากโลหะทม่ี ีเลขออกซิเดชันได้หลาย
คา่ ตอ้ งระบเุ ลขออกซิเดชันของโลหะด้วย
11. คำนวณ พลังงานท่เี กยี่ วข้อง - ปฏิกิริยาการเกิดสารประกอบไอออนิกจากธาตุเกี่ยวข้องกับ
ก ั บ ป ฏ ิ ก ิ ร ิ ย า ก า ร เ กิ ด ปฏิกิริยาเคมีหลายขั้นตอน มีทั้งที่เป็นปฏิกิริยาดูดพลังงานและ
สารประกอบไอออนิกจากวัฏ คายพลังงานซึ่งแสดงได้ด้วยวัฏจักรบอร์นฮาเบอร์และพลังงาน
จักรบอรน์ ฮาเบอร์ ของปฏิกิริยาการเกิดสารประกอบไอออนิกเป็นผลรวมของ
พลงั งานทกุ ขั้นตอน
12. อธิบายสมบัติสารประกอบ - สารประกอบไอออนิกส่วนใหญ่มีลักษณะเป็นผลึกของแข็ง
ไอออนกิ เปราะ มีจุดหลอมเหลวและจุดเดือดสูง ละลายน้ำแล้วแตกตัว
เปน็ ไอออนเรียกว่า สารละลายอิเล็กโทรไลต์ เม่อื เปน็ ของแข็งไม่
นำไฟฟ้า แต่ถ้าทำใหห้ ลอมเหลวหรอื ละลายในนำ้ จะนำไฟฟา้
- สารละลายของสารประกอบไอออนิกแสดงสมบัติความเป็น
กรด-เบส ต่างกัน สารละลายของสารประกอบคลอไรด์มีสมบัติ
เป็นกลาง และสารละลายของสารประกอบออกไซด์มีสมบัตเิ ป็น
เบส
14
ผลการเรยี นรู้ สาระการเรยี นรู้เพ่มิ เติม
13. เขียนสมการไอออนิกและ - ปฏิกิริยาของสารประกอบไอออนิก สามารถเขียนแสดงด้วย
สมการไอ ออนกิ สุทธิ สมการไอออนิกหรือสมการไอออนิกสุทธิโดยที่สมการไอออนิก
แสดงสารตั้งต้นและผลิตภัณฑ์ทุกชนิดที่แตกตัวได้ในรูปของ
ไอออนส่วนสมการไอออนิกสุทธิแสดงเฉพาะไอออนที่ทำ
ปฏกิ ริ ยิ ากนั และผลติ ภัณฑท์ ่ีเกดิ ขนึ้
14. อธิบายการเกิดพันธะโคเว - พันธะโคเวเลนต์เป็นการยึดเหนยี่ วท่ีเกิดข้ึนภายในโมเลกุลจาก
เลนต์แบบพันธะเดี่ยวพันธะคู่ การใช้เวเลนซ์อิเล็กตรอนร่วมกันของธาตุซึ่งส่วนใหญ่เป็นธาตุ
และพันธะสาม ด้วยโครงสร้าง อโลหะ โดยทั่วไปจะเป็นไปตามกฎออกเตต สารที่ยึดเหนี่ยวกัน
ลวิ อิส ด้วยพันธะโคเวเลนต์เรียกว่า สารโคเวเลนต์พันธะโคเวเลนต์เกดิ
ได้ทั้งพันธะเดี่ยว พันธะคู่และพันธะสาม ซึ่งสามารถเขียนแสดง
ได้ด้วยโครงสร้างลิวอิส โดยแสดงอิเล็กตรอนคู่ร่วมพันธะดว้ ยจุด
หรือเส้น และแสดงอิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยวของแต่ละอะตอมด้วย
จุด
15. เขียนสูตร และเรียกชื่อสาร - สูตรโมเลกุลของสารโคเวเลนต์โดยท่ัวไปเขียนแสดงด้วย
โคเวเลนต์ สญั ลักษณข์ องธาตเุ รียงลำดับตามค่าอเิ ล็กโทรเนกาตวิ ิตีจากน้อย
ไปมากโดยมีตัวเลขแสดงจำนวนอะตอมของธาตุ ที่มีมากกว่า 1
อะตอมในโมเลกลุ
16. วิเคราะหแ์ ละเปรยี บเทยี บ - ความยาวพนั ธะและพลังงานพนั ธะในสารโคเวเลนต์ข้ึนกับชนิด
ความยาวพันธะและพลังงาน ของอะตอมคู่ร่วมพันธะและชนิดของพันธะ โดยพันธะเดี่ยว
พันธะในสารโคเวเลนตร์ วมทั้ง พันธะคู่ และพันธะสาม มีความยาวพันธะและพลังงานพันธะ
คำนวณพลงั งานที่เกยี่ วขอ้ งกับ แตกตา่ งกัน นอกจากนี้โมเลกุลโคเวเลนต์บางชนิดมีค่าความยาว
ปฏกิ ริ ิยาของสารโคเวเลนตจ์ าก พันธะและพลังงานพันธะแตกต่างจากของพันธะเดี่ยว พันธะคู่
พลังงานพันธะ และพันธะสามซึ่งสารเหล่านี้สามารถเขียนโครงสร้างลิวอิสที่
เหมาะสมได้มากกว่า 1 โครงสร้าง ที่เรียกว่าโครงสร้างเร
โซแนนซ์
- พลังงานพันธะนำมาใช้ในการคำนวณพลังงานของปฏิกิริยา ซ่ึง
ได้จากผลตา่ งของพลังงานพนั ธะรวมของสารต้ังต้นกบั ผลิตภณั ฑ์
17. คาดคะเนรูปร่างโมเลกลุ - รูปร่างของโมเลกุลโคเวเลนต์อาจพิจารณาโดยใช้ทฤษฎีการ
โคเวเลนตโ์ ดยใชท้ ฤษฎีการผลกั ผลักระหว่างคู่อิเล็กตรอนในวงเวเลนซ์ (VSEPR) ซึ่งขึ้นอยู่กับ
ระหวา่ งคอู่ ิเลก็ ตรอน จำนวนพนั ธะและอเิ ลก็ ตรอนคู่โดดเด่ยี วรอบอะตอมกลาง
15
ผลการเรยี นรู้ สาระการเรยี นร้เู พิ่มเติม
ในวงเวเลนซ์ และระบุสภาพข้ัว โมเลกุลโคเวเลนต์มีทั้งโมเลกุลมีขั้ว และไม่มีขั้ว สภาพขั้วของ
ของโมเลกลุ โคเวเลนต์ โมเลกุลโคเวเลนต์เป็นผลรวมปริมาณเวกเตอร์สภาพขั้วของแต่
ละพันธะตามรปู ร่างโมเลกลุ
18. ระบุชนิดของแรงยึดเหนี่ย - แรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุลซึ่งอาจเป็นแรงแผ่กระจาย
ระหว่างโมเลกุลโคเวเลนต์และ ลอนดอน แรงระหว่างขั้วและพันธะไฮโดรเจน มีผลต่อจุด
เปรียบเทียบจุดหลอมเหลวจุด หลอมเหลวจุดเดอื ด และการละลายน้ำของสาร นอกจากน้ี สาร
เดือด และการละลายน้ำของ โคเวเลนต์ส่วนใหญ่ยังมีจุดหลอมเหลว และจุดเดือดต่ำกว่า
สารโคเวเลนต์ สารประกอบไอออนิกเนื่องจากแรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุลมี
ค่าน้อยกวา่ พนั ธะไอออนิก
- สารโคเวเลนตส์ ว่ นใหญม่ ีจดุ หลอมเหลวและจุดเดอื ดต่ำ และไม่
ละลายในน้ำ สำหรับสารโคเวเลนต์ที่ละลายน้ำมีทั้งแตกตัวและ
ไม่แตกตัวเป็นไอออน สารละลายที่ได้จากสารที่ไม่แตกตัวเป็น
ไอออนจะไม่นำไฟฟา้ เรียกว่า สารละลายนอนอเิ ล็กโทรไลต์ส่วน
สารละลายท่ีไดจ้ ากสารทแี่ ตกตวั เป็นไอออนจะนำไฟฟา้ เรียกว่า
สารละลายอิเล็กโทรไลต์สารละลายของสารประกอบคลอไรด์
และออกไซดจ์ ะมสี มบัติเป็นกรด
19. สืบค้นข้อมูล และอธิบาย - สารโคเวเลนต์บางชนิดที่มีโครงสร้างโมเลกุลขนาดใหญ่และมี
สมบัติของสารโคเวเลนต์โครง พนั ธะโคเวเลนต์ต่อเน่ืองเป็นโครงร่างตาข่าย จะมจี ุดหลอมเหลว
รา่ งตาขา่ ยชนดิ ตา่ ง ๆ และจุดเดือดสูง สารโคเวเลนต์โครงร่างตาข่ายที่มีธาตุ
องค์ประกอบเหมือนกัน แต่มีอัญรูปต่างกัน จะมีสมบัติต่างกัน
เช่น เพชร แกรไฟต์
20. อธิบายการเกิดพันธะโลหะ - พันธะโลหะเกิดจากเวเลนซ์อิเล็กตรอนของทุกอะตอมของ
และสมบัตขิ องโลหะ โลหะเคลื่อนที่อย่างอิสระไปทั่วทั้งโลหะ และเกิดแรงยึดเหนี่ยว
กับโปรตอนในนวิ เคลียสทุกทศิ ทาง
- โลหะส่วนใหญ่เป็นของแข็ง มีผิวมันวาว สามารถตีเป็นแผ่น
หรอื ดงึ เปน็ เส้นได้นำความร้อนและนำไฟฟา้ ได้ดีมีจุดหลอมเหลว
และจุดเดือดสูง
21. เปรยี บเทยี บสมบัติบาง - สารประกอบไอออนิก สารโคเวเลนต์และโลหะมีสมบัติ
ประการขอสารประกอบ เฉพาะตวั บางประการท่แี ตกตา่ งกนั เช่น จุดเดอื ด จดุ หลอมเหลว
ไอออนิก สารโคเวเลนต์ การละลายน้ำ การนำไฟฟ้า จึงสามารถนำมาใช้
16
ผลการเรยี นรู้ สาระการเรยี นรู้เพิ่มเตมิ
และโลหะ สืบค้นข้อมูลและ ประโยชน์ในดา้ นต่าง ๆ ไดต้ ามความเหมาะสม
น ำ เ ส น อ ต ั ว อ ย ่ า ง ก า ร ใ ช้
ประโยชน์ของสารประกอบไอ
ออนิก สารโคเวเลนต์และโลหะ
ไดอ้ ย่างเหมาะสม
17
คำอธิบายรายวิชา
วชิ าเคมี 1 ว31221 กลุ่มสาระการเรียนรูว้ ิทยาศาสตร์
ชน้ั มัธยมศึกษาปีที่ 4 ภาคเรียนที่ 1 เวลา 60 ชว่ั โมง จำนวน 1.5 หน่วยกิต
ศึกษาเกี่ยวกับสัญลักษณ์แสดงความเป็นอันตรายของสารเคมีในระบบ GHS และ NFPA ข้อควร
ปฏิบัติในการทำปฏิบัติการเคมี ทั้งก่อนทำปฏิบัติการ ขณะทำปฏิบัติการ และหลังทำปฏิบัติการ การ
จัดสารเคมี และการปฐมพยาบาลเมื่อได้รับอุบัติเหตุจากสารเคมี ศึกษาการพิจารณาความน่าเชื่อถือ
ของข้อมูลที่ได้จากการวัดจากความเทีย่ งและความแม่นอุปกรณ์วดั ปริมาตรและวดั มวล เลขนัยสาคัญ
หน่วยวัดในระบบเอสไอ แฟกเตอร์เปลี่ยนหน่วย รวมทั้งวิธีการทางวิทยาศาสตร์ ทักษะกระบวนการ
ทางวทิ ยาศาสตร์ และจติ วทิ ยาศาสตร์
ศึกษาแบบจำลองอะตอมของดอลตัน ทอมสัน รัทเทอร์ฟอร์ด โบร์ และแบบกลุ่มหมอก เขียนและ
แปลความหมายสัญลักษณ์นิวเคลียร์ของธาตุ เลขอะตอม เลขมวล ไอโซโทป เขียนการจัดเรียง
อเิ ลก็ ตรอนในอะตอม
ศกึ ษาความหมายของระดับพลงั งานของอเิ ล็กตรอน ออรบ์ ิทลั เวเลนซ์อิเล็กตรอน วิวัฒนาการของ
การสร้างตารางธาตุและตารางธาตุในปัจจุบัน แน้วโน้มสมบัติบางประการของธาตุในตารางธาตุตาม
หมู่และตามคาบ เก่ียวกบั ขนาดอะตอม ขนาดไอออน พลงั งานไอออไนเซชัน สมั พรรคภาพอิเล็กตรอน
อเิ ล็กโทรเนกาติวติ ี
ศึกษาสมบัติของธาตุแทรนซิชัน ธาตุกัมมันตรังสี การเกิดกัมมันตภาพรังสี การสลายตัวและ
อนั ตรายจากไอโซโทปกัมมนั ตรังสี คำนวณคร่งึ ชีวติ ของธาตุกมั มันตรังสี ศึกษาปฏิกิริยา นิวเคลียร์และ
เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการใช้สารกัมมันตรังสี การนำธาตุไปใช้ประโยชน์ รวมทั้งผลกระทบต่อ
สิง่ มีชวี ิตและส่ิงแวดลอ้ ม
ศึกษาพันธะเคมี สัญลักษณ์แบบจุดและกฎออกเตต การเกิดพันธะไอออนิก สูตรเคมีและชื่อของ
สารประกอบไอออนิก เลขออกซิเดชัน พลังงานกับการเกิดสารประกอบ ไอออนิก สมบัติของ
สารประกอบไอออนกิ สมการไอออนกิ และสมการไอออนิกสทุ ธิ การเกิดพันธะโคเวเลนต์ โครงสร้างลิว
อิส สูตรโมเลกุลและชื่อของสารประกอบโคเวเลนต์ ความยาว และพลังงานพันธะ เรโซแนนซ์ การ
คำนวณพลังงานพันธะและพลังงานของปฏิกิริยา รูปร่างและสภาพขั้วของโมเลกุลโคเวเลนต์ แรงยึด
เหนี่ยวระหว่างโมเลกุลและสมบัติของสารโคเวเลนต์ สารโคเวเลนต์ โครงร่างตาข่าย การเกิดพันธะ
โลหะและสมบตั ขิ องโลหะ และการนำสารประกอบชนดิ ตา่ ง ๆ ไปใชป้ ระโยชน์ของสารประกอบ
18
โดยใชก้ ระบวนการทางวิทยาศาสตร์ การสืบเสาะหาความรู้ การสืบคน้ ขอ้ มลู การสงั เกต วเิ คราะห์
เปรียบเทียบ อธิบาย อภิปราย และสรุป เพื่อให้เกิดความรู้ ความ เข้าใจ มีความสามารถในการ
ตัดสินใจ มีทักษะปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์ รวมทั้งทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ในด้านการใช้
เทคโนโลยีสารสนเทศ ด้านการคิดและการแก้ปัญหา ด้านการสื่อสาร สามารถสื่อสารสิ่งที่เรียนรู้และ
นาความรูไ้ ปใชใ้ นชวี ติ ของตนเอง มีจิตวิทยาศาสตร์ จริยธรรม คณุ ธรรม และคา่ นยิ มที่เหมาะสม
ผลการเรยี นรู้
1. บอกและอธิบายข้อปฏิบัติเบื้องต้น และปฏิบัติตนที่แสดงถึงความตระหนักในการทำปฏิบัติการ
เคมีเพ่ือใหม้ คี วามปลอดภยั ทัง้ ตอ่ ตนเอง ผู้อน่ื และสงิ่ แวดลอ้ ม และเสนอ แนวทางแก้ไขเมอ่ื เกิดอุบัติเหตุ
2. เลือกและใช้อปุ กรณห์ รือเครื่องมอื ในการทาปฏบิ ัตกิ าร และวัดปริมาณตา่ ง ๆ ไดอ้ ยา่ งเหมาะสม
3. ระบุหน่วยวัดปริมาณต่าง ๆ ของสาร และเปลี่ยนหน่วยวัดให้เป็นหนว่ ยในระบบเอสไอด้วยการใช้
แฟกเตอรเ์ ปลีย่ นหนว่ ย
4. นำเสนอแผนการทดลอง ทดลองและเขยี นรายงานการทดลอง
5. สืบค้นข้อมูลสมมติฐาน การทดลองหรือผลการทดลองที่เป็นประจักษ์พยานในการเสนอ
แบบจำลองอะตอมของนักวิทยาศาสตร์ และอธบิ ายววิ ัฒนาการของแบบจาลอง อะตอม
6. เขยี นสญั ลกั ษณ์นิวเคลียร์ของธาตุ และระบุจำนวนโปรตอน นวิ ตรอน และอิเลก็ ตรอนของอะตอม
จากสัญลกั ษณน์ ิวเคลยี ร์ รวมทง้ั บอกความหมายของไอโซโทป
7. อธิบายและเขียนการจัดเรียงอิเล็กตรอนในระดับพลังงานหลักและระดับพลังงานย่อยเมื่อทราบ
เลขอะตอมของธาตุ
8. ระบหุ มู่ คาบ ความเปน็ โลหะ อโลหะ และกึ่งโลหะ ของธาตเุ รพรีเซนเททีฟ และธาตุแทรนซิชันใน
ตารางธาตุ
9. วิเคราะห์ และบอกแนวโนม้ สมบัติของธาตเุ รพรีเซนเททีฟตามหมู่และตามคาบ
10. บอกสมบัติของธาตุโลหะแทรนซิชัน และเปรียบเทียบสมบัติกับธาตุโลหะในกลุ่มธาตุเรพรี
เซนเททฟี
11. อธบิ ายสมบัตแิ ละคำนวณครง่ึ ชวี ิตของไอโซโทปกัมมันตรังสี
12. สืบค้นข้อมูลและยกตัวอย่างการนำธาตุมาใช้ประโยชน์ รวมทั้งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตและ
สงิ่ แวดลอ้ ม
19
13. อธิบายการเกิดไอออนและการเกิดพนั ธะไอออนิก โดยใช้แผนภาพหรือสัญลักษณ์แบบจุดของลิว
อสิ
14. เขยี นสตู รและเรียกชื่อสารประกอบไอออนิก
15. คำนวณพลังงานที่เก่ยี วข้องกับปฏิกิรยิ าการเกิดสารประกอบไอออนิกจากวัฏจักรบอร์น-ฮาเบอร์
16. อธบิ ายสมบัติของสารประกอบไอออนกิ
17. เขยี นสมการไอออนกิ และสมการไอออนกิ สุทธิของปฏิกริ ิยาของสารประกอบไอออนิก
18. อธิบายการเกิดพันธะโคเวเลนต์แบบพันธะเดี่ยว พันธะคู่ และพันธะสาม ด้วยโครงสร้างลิวอิส
19. เขยี นสูตรและเรยี กช่ือสารโคเวเลนต์
20. วิเคราะห์และเปรียบเทียบความยาวพันธะและพลังงานพันธะในสารโคเวเลนต์ รวมทั้งคำนวณ
พลงั งานทเี่ ก่ยี วข้องกับปฏกิ ริ ิยาของสารโคเวเลนต์จากพลังงานพันธะ
21. คาดคะเนรูปร่างโมเลกุลโคเวเลนตโ์ ดยใช้ทฤษฎีการผลักระหว่างคู่อิเล็กตรอนในวงเวเลนซ์ และ
ระบสุ ภาพขวั้ ของโมเลกุลโคเวเลนต์
22. ระบุชนิดของแรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุลโคเวเลนต์ และเปรียบเทียบจุดหลอมเหลว จุดเดือด
และการละลายนำ้ ของสารโคเวเลนต์
23. สบื คน้ ข้อมูลและอธิบายสมบตั ิของสารโคเวเลนต์โครงรา่ งตาข่ายชนิดต่าง ๆ
24. อธิบายการเกิดพันธะโลหะและสมบัติของโลหะ
25. เปรยี บเทียบสมบตั ิบางประการของสารประกอบไอออนิก สารโคเวเลนต์ และโลหะ สืบค้นข้อมูล
และนำเสนอตัวอย่างการใช้ประโยชน์ของสารประกอบไอออนิก สารโคเวเลนต์ และโลหะ ได้อย่าง
เหมาะสม
รวมทัง้ หมด 25 ผลการเรยี นรู้
20
สดั สว่ นคะแนน การวดั และประเมินผล
รายวชิ าเคมี ว31221 ช้ันมธั ยมศกึ ษาปที ่ี 4
1. คะแนนระหวา่ งภาค : คะแนนปลายภาค 70 : 30
1.1 คะแนนระหวา่ งภาค 70 คะแนน
1.1.1 คะแนนก่อนกลางภาค 25 คะแนน
1.1.2 คะแนนกลางภาค 20 คะแนน
1.1.3 คะแนนหลังกลางภาค 25 คะแนน
1.2 คะแนนปลายภาค 30 คะแนน
หนว่ ย เวลา ผล คะแนนระหวา่ งภาค คะแนน คะแนน
การ ชือ่ หนว่ ยการเรยี นรู้ (ชว่ั โมง) การ กอ่ น กลาง หลัง ปลาย เต็ม
เรียนรู้ เรยี นรู้ กลาง ภาค กลาง ภาค
ท่ี ภาค ภาค
1 ความปลอดภยั และทักษะ 7 1 - 4 15 10 - - 25
ในปฏบิ ตั กิ ารเคมี
2 อะตอมและสมบัตขิ องธาตุ 26 1 - 8 10 10 10 10 40
3 พันธะเคมี 24 9 - 21 15 20 35
รวม 60 25 20 25 30 100
21
โครงสร้างหลักสูตร
ตามหลกั สตู ร โรงเรยี นหนองหานวิทยา อำเภอหนองหาน จงั หวัดอุดรธานี
ว31221 เคมี 1 กลุม่ สาระการเรยี นรูว้ ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
ชั้นมธั ยมศกึ ษาปีที่ 4 ภาคเรยี นท่ี 1 เวลา 60 ช่ัวโมง จำนวน 1.5 หนว่ ยกติ
ชื่อหน่วย ผลการเรยี นรู้ สาระการเรยี นรู้ เวลา
การเรยี นรู้ (ช่วั โมง)
หน่วยการเรียนรทู้ ี่ 1 ความปลอดภัยและทักษะในปฏบิ ตั กิ ารเคมี
1. บอกและอธิบายข้อ - การทำปฏิบัติการเคมีต้องคำนึงถึงความ 6
ปฏิบตั เิ บอื้ งต้น และปฏิบัติ ปลอดภัยและความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
ต น ท ี ่ แ ส ด ง ถ ึ ง ค ว า ม ดังนั้นจึงควรศึกษาข้อปฏิบัติของการทำ
ต ร ะ ห น ั ก ใ น ก า ร ท ำ ปฏิบัติการเคมี เช่น ความปลอดภัยในการ
ปฏิบัติการเคมีเพื่อให้มี ใช้อุปกรณ์และสารเคมีการป้องกันอุบัติเหตุ
คว ามปลอดภ ัยทั้งต่อ ระหวา่ งการทดลองการกำจดั สารเคมี
ตนเอง ผู้อื่นและ
ส่งิ แวดลอ้ ม และเสนอแนว
ทางแกไ้ ขเมอื่ เกดิ อุบัติเหตุ
2. เลือกและใช้อุปกรณ์ - อุปกรณ์และเครื่องมือชั่ง ตวง วัดแต่ละ
หรือเครื่องมือในการทำ ชนิดมวี ธิ กี ารใชง้ านและการดูแลแตกต่างกัน
ปฏิบัติการและวัดปริมาณ ซึ่งการวัดปริมาณ ต่าง ๆ ให้ได้ข้อมูลที่มี
ตา่ ง ๆ ไดอ้ ย่าง เหมาะสม ความเที่ยงและความแม่นในระดับนัยสำคัญ
3.นำเสนอแผนการทดลอง ที่ต้องการ ต้องมีการเลือกและใช้ อุปกรณ์
ทดลองและเขียนรายงาน ในการทำปฏบิ ัตกิ ารอย่างเหมาะสม
การทดลอง
4. ระบุหน่วยวัดปริมาณ - วธิ ที างวทิ ยาศาสตรเ์ ป็นวธิ กี ารหาความรู้
ต่าง ๆ ของสารและเปลี่ยน ทางด้านวิทยาศาสตร์ที่เป็นระบบ มี 5 ข้ัน
หน่วยวัดให้เป็นหน่วยใน คอื กำหนดปญั หา ตงั้ สมมติฐาน เก็บ
ระบบเอสไอด้วยการใช้ รวบรวมขอ้ มลู วเิ คราะห์ข้อมูล และสรปุ ผล
แฟกเตอร์เปลี่ยนหน่วย ส่วนทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตรม์ ี
13 ทกั ษะ
- ในการทำปฏิบัตกิ ารเคมีความนา่ เชอ่ื ถือ
ของข้อมูลพจิ ารณาได้จากความเทีย่ ง
22
ชอ่ื หน่วย ผลการเรยี นรู้ สาระการเรยี นรู้ เวลา
การเรยี นรู้ (ชว่ั โมง)
และความแม่น ซึ่งสำหรับการวัดนั้นความ
น่าเชื่อถือขึ้นกับทักษะของผู้ทำปฏิบัติการ
และความละเอียดของเครื่องมือและ
อุปกรณ์ที่ใช้ การบอกปริมาณของสารอาจ
ระบุอยู่ในหนว่ ยตา่ ง ๆ
หนว่ ยการเรียนรทู้ ี่ 2 อะตอมและสมบัติของธาตุ
1. สืบค้นข้อมูล สมมติฐาน - นักวิทยาศาสตร์ศึกษาโครงสร้างของ 24
การทดลองหรือ ผลการ อะตอมและเสนอแบบจำลองอะตอมแบบ
ทดลองที่เป็นประจักษ์ ต่าง ๆ จากการศกึ ษาข้อมูล การสงั เกต การ
พ ย า น ใ น ก า ร เ ส น อ ตง้ั สมมติฐาน
แบบจำลองอะตอมของ - นักวิทยาศาสตร์ศึกษาโครงสร้างของ
นักวิทยาศาสตร์และ อะตอมและเสนอแบบจำลองอะตอมแบบ
อธิบายวิวัฒนาการของ ต่าง ๆ จากการศกึ ษาข้อมลู การ
แบบจำลองอะตอม สังเกต การตั้งสมมติฐาน และ ผลการ
ทดลอง
- แบบจำลองอะตอมมีวิวัฒนาการ โดยเร่ิม
จากดอลตันเสนอว่าธาตุประกอบด้วย
อะตอมซึ่งเป็น อนุภาคขนาดเล็กไม่สามารถ
แบ่งแยกได้ ต่อมาทอมสันเสนอว่าอะตอม
ประกอบด้วยอนุภาคที่มีประจุลบ เรียกว่า
อิเล็กตรอน และอนุภาคประจุบวก
รัทเทอร์ฟอร์ดเสนอว่าประจุบวก ที่เรียกว่า
โปรตอน รวมตัวกันอยู่ตรงกง่ึ กลาง อะตอม
เรยี กว่า นิวเคลยี ส ซงึ่ มขี นาดเลก็ มาก และมี
อิเล็กตรอนอยู่รอบนิวเคลียสโบร์เสนอว่า
อิเล็กตรอนเคลื่อนที่เป็นวงรอบนิวเคลียส
โดยแต่ละวงมีระดับพลังงานเฉพาะตัว ใน
ป ั จ จ ุ บ ั น น ั ก ว ิ ท ย า ศ า ส ต ร ์ ย อ ม ร ั บ ว่ า
อิเล็กตรอน เคล่อื นท่ีรวดเรว็ รอบนวิ เคลียส
23
ช่อื หน่วย ผลการเรียนรู้ สาระการเรยี นรู้ เวลา
การเรียนรู้ (ชัว่ โมง)
2 . เ ข ี ย น ส ั ญ ล ั ก ษ ณ์ - ส ั ญ ล ั ก ษ ณ ์ น ิ ว เ ค ล ี ย ร ์ ข อ ง ธ า ตุ
นิวเคลียร์ของธาตุและระบุ ประกอบด้วยสัญลักษณ์ธาตุ เลขอะตอมซ่ึง
จำนวนโปรตอน นิวตรอน แสดงจำนวน โปรตอน และเลขมวลซ่ึง
แ ล ะ อ ิ เ ล ็ ก ต ร อ น ข อ ง แสดงผลรวมของจ ำนวนโปรตอนกับ
อะตอมจากสัญลักษณ์ นิวตรอนอะตอมของธาตุชนิดเดียวกัน ที่มี
นิวเคลยี รร์ วมท้ังบอกความ จำนวนโปรตอนเท่ากัน แต่มี จำนวน
หมายของไอโซโทป นิวตรอน ตา่ งกนั เรยี กวา่ ไอโซโทป
3. อธิบาย และ เขียนการ - การศึกษาสเปกตรัมการเปล่งแสงของ
จัดเรียง อิเล็กตรอน ใน อะตอมแก๊ส ทำให้ทราบว่าอิเล็กตรอน
ระดับ พลังงานหลักและ จัดเรียงอยู่รอบ ๆ นิวเคลียสในระดับ
ระดับ พลังงานย่อย เม่ือ พลังงานหลักต่าง ๆ และแต่ละระดับ
ทราบ เลขอะตอมของธาตุ พลังงานหลักยังแบ่งเป็นระดับพลังงานย่อย
ซึ่งมีบริเวณที่จะพบอิเล็กตรอน เรียกว่า
ออร์บิทัล ได้แตกต่างกัน และอิเล็กตรอนจะ
จัดเรียงในออร์บิทัลให้มีระดับพลังงานต่ำ
ที่สุดสำหรบั อะตอมในสถานะพื้น
4. ระบุหมู่คาบ ความเป็น - ตารางธาตุในปัจจุบันจัดเรียงธาตุตามเลข
โลหะอโลหะ และกงึ่ โลหะ อะตอม และสมบัติที่คล้ายคลึงกันเป็นหมู่
ของธาตุเรพรีเซนเททีฟ และคาบ โดยอาจแบ่งธาตุใน ตารางธาตุ
และธาตุ แทรนซิชันใน เป็นกลุ่มธาตุโลหะ กึ่งโลหะ และอโลหะ
ตารางธาตุ กลุ่มธาตุเรพรีเซนเททีฟและกลุ่มธาตุแทรน
ซิชัน
5. วิเคราะห์และ บอก - ธาตุเรพรเี ซนเททีฟในหมู่เดียวกันมีจำนวน
แนวโน้มสมบัติของธาตุ เวเลนซ์อิเล็กตรอนเท่ากันและ ธาตุที่อยู่ใน
เรพรเี ซนเททฟี ตามหมู่และ คาบเดียวกัน มีเวเลนซ์อิเล็กตรอนในระดับ
ตามคาบ พลังงานหลัก เดียวกัน ธาตเุ รพรีเซนเททีฟมี
สมบัติทางเคมีคล้ายคลึงกันตามหมู่และมี
แนวโน้มสมบัติบางประการเป็นไปตามหมู่
และตามคาบ เช่น ขนาดอะตอมรัศมีไอออน
24
ช่อื หน่วย ผลการเรยี นรู้ สาระการเรยี นรู้ เวลา
การเรียนรู้ (ช่ัวโมง)
พลังงานไอออไนเซชันอิเล็กโทรเนกาติวิตี
สัมพรรคภาพอิเลก็ ตรอน
6. บอกสมบัติของธาตุ - ธาตุแทรนซิชันเป็นโลหะที่ส่วนใหญ่มี
โลหะแทรนฃซิชัน และ เวเลนซ์อิเล็กตรอนเท่ากับ 2 มขี นาดอะตอม
เปรยี บเทยี บสมบัติ กับธาตุ ใกล้เคียงกัน มีจุดเดือด จุดหลอมเหลว และ
โลหะในกลุ่มธาตุเรพรีเซน ความหนาแน่นสูง เกิดปฏิกิริยากับน้ำได้ช้า
เททฟี กว่าธาตุโลหะในกลุ่มธาตุเรพรีเซนเททีฟ
เมอื่ เกิด เป็นสารประกอบสว่ นใหญจ่ ะมสี ี
7. อธิบายสมบัติ และ - ธาตุแต่ละชนิดมีไอโซโทป ซึ่งในธรรมชาติ
คำนวณครึ่งชีวิต ของ บางธาตุมีไอโซโทปที่แผ่รังสีได้ เนื่องจาก
ไอโซโทป กมั มันตรังสี นิวเคลียสไม่เสถียร เรียกว่า ไอโซโทป
กัมมันตรังสี สำหรับ ธาตุกัมมันตรังสีเป็น
ธาตุที่ทุกไอโซโทปสามารถแผ่รังสีได้รังสีท่ี
เกิดขึ้น เช่น รังสีแอลฟา รังสีบีตา รังสี
แกมมา โดยครึ่งชีวิตของไอโซโทป
กัมมันตรังสีเป็น ระยะเวลาที่ไอโซโทป
กัมมันตรังสีสลายตัวจนเหลือครึ่งหนึ่งของ
ปริมาณ เดิมซึ่งเป็นค่าคงท่ีเฉพาะของแต่ละ
ไอโซโทปกมั มันตรงั สี
8. สืบค้นข้อมูล และ - สมบัติบางประการของธาตุแต่ละชนิดทำ
ยกตัวอย่างการนำธาตุ มา ใหส้ ามารถนำธาตุไปใชป้ ระโยชน์ในด้านต่าง
ใ ช ้ ป ร ะ โ ย ช น ์ ร ว ม ท้ั ง ๆ ได้อย่างหลากหลาย ทั้งนี้การนำธาตไุ ปใช้
ผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิต ต้องตระหนักถึงผลกระทบที่มีต่อ สิ่งมีชีวิต
และ สิง่ แวดล้อม และ สิ่งแวดลอ้ ม โดยเฉพาะสารกมั มนั ตรังสี
ซึ่งตอ้ งมีการจดั การอยา่ งเหมาะสม
25
ชื่อหน่วย ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้ เวลา
การเรยี นรู้ (ชัว่ โมง)
หน่วยการเรียนรทู้ ่ี 3 พันธะเคมี
9. อธบิ ายการเกดิ ไอออน - สารเคมีเกิดจากการยึดเหนี่ยวกันด้วย 24
และการเกิดพนั ธะไอออ พันธะเคมี ซึ่งเกี่ยวข้องกับเวเลนซ์
นิก โดยใชแ้ ผนภาพหรอื อิเล็กตรอนที่แสดงได้ดว้ ยสญั ลักษณ์แบบจุด
สญั ลกั ษณ์แบบจดุ ของลวิ ของลิวอิส โดยการเกิดพันธะเคมีส่วนใหญ่
อิส เปน็ ไปตามกฎออกเตต
- พันธะไอออนิกเกิดจากการยึดเหนี่ยว
ระหว่างประจุไฟฟ้าของไอออนบวกกับ
ไอออนลบ ส่วนใหญ่ไอออนบวกเกิดจาก
โลหะเสยี อเิ ลก็ ตรอน และไอออนลบเกิดจาก
อโลหะรับอิเล็กตรอน สารประกอบที่เกิด
จากพนั ธะไอออนิก เรยี กวา่ สารประกอบไอ
ออนิก สารประกอบไอออนิกไม่อยู่ในรูป
โมเลกุลแต่เป็นโครงผลึกที่ประกอบ ด้วย
ไอออนบวกและไอออนลบ จัดเรียงตัว
ตอ่ เน่อื งกนั ไปท้งั สามมิติ
10. เขียนสูตร และเรียกชื่อ - สารประกอบไอออนิก เขียนแสดงสูตรเคมี
สารประกอบไอออนกิ โดยให้สัญลักษณ์ธาตุที่เป็น ไอออนบวกไว้
ข้างหน้าตามด้วยสัญลักษณ์ธาตุที่เป็น
ไอออนลบ โดยมี ตัวเลขแสดงอัตราส่วน
อ ย ่ า ง ต่ ำ ข อ ง จ ำ น ว น ไ อ อ อ น ท ี ่ เ ป็ น
องค์ประกอบ การเรียกชื่อสารประกอบไอ
ออนกิ ทำได้โดยเรยี กช่ือไอออนบวกแล้วตาม
ดว้ ยชอื่ ไอออนลบสำหรับสารประกอบ
ไอออนิกที่เกิดจากโลหะที่มีเลขออกซิเดชัน
ได้หลายค่า ต้องระบุเลขออกซิเดชันของ
โลหะดว้ ย
26
ช่อื หน่วย ผลการเรยี นรู้ สาระการเรยี นรู้ เวลา
การเรยี นรู้ (ชัว่ โมง)
11. คำนวณ พลังงานท่ี - ปฏิกิริยาการเกิดสารประกอบไอออนิก
เกี่ยวข้องกับปฏิกิริยาการ จากธาตุเกี่ยวข้องกับปฏิกิริยาเคมีหลาย
เกิด สารประกอบไอออนิก ขนั้ ตอน มีทั้งทเ่ี ปน็ ปฏิกริ ิยาดูดพลังงานและ
จากวัฏจักรบอร์นฮาเบอร์ คายพลงั งานซง่ึ แสดงได้ดว้ ยวฏั จักรบอร์นฮา
เบอร์และพลังงานของปฏิกิริยาการเกิด
สารประกอบไอออนิกเป็นผลรวมของ
พลังงานทุกขน้ั ตอน
12. อธิบายสมบัติของ - สารประกอบไอออนิกส่วนใหญ่มีลักษณะ
สารประกอบไอออนกิ เป็นผลึกของแข็ง เปราะ มีจุดหลอมเหลว
และจุดเดือดสูง ละลายน้ำแล้วแตกตัวเป็น
ไอออนเรยี กวา่ สารละลายอิเล็กโทรไลต์เม่ือ
เป็นของแข็งไม่นำไฟฟ้า แต่ถ้าทำให้
หลอมเหลวหรอื ละลายในนำ้ จะนำไฟฟา้
- สารละลายของสารประกอบไอออนิก
แสดงสมบัติความเป็นกรด-เบส ต่างกัน
สารละลายของสารประกอบคลอไรด์มี
สมบัติเป็นกลาง และสารละลายของ
สารประกอบออกไซด์มสี มบัติเป็นเบส
13. เขยี นสมการไอออนิก - ปฏิกิริยาของสารประกอบไอออนิก
และสมการไอ ออนกิ สุทธิ สามารถเขียนแสดงด้วยสมการไอออนิกหรือ
สมการไอออนิกสุทธิโดยที่สมการไอออนิก
แสดงสารตั้งต้นและผลิตภัณฑ์ทุกชนิดท่ี
แตกตัวได้ในรูปของไอออนส่วนสมการไอ
ออนิกสุทธิแสดงเฉพาะไอออนที่ทำปฏิกิริยา
กัน และผลิตภณั ฑท์ ีเ่ กิดข้ึน
14. อธิบายการเกิดพันธะ - พันธะโคเวเลนต์เป็นการยึดเหนี่ยวที่
โคเวเลนตแ์ บบพนั ธะเดย่ี ว เกิดขึ้นภายในโมเลกุลจากการใช้เวเลนซ์
พันธะคู่และพันธะสาม อิเล็กตรอนร่วมกันของธาตุซึ่งส่วนใหญ่เป็น
ด้วยโครงสร้างลวิ อสิ ธาตุอโลหะ โดยปกตเิ ปน็ ไปตามกฎออกเตต
27
ช่อื หน่วย ผลการเรยี นรู้ สาระการเรียนรู้ เวลา
การเรียนรู้ (ชัว่ โมง)
สารที่ยึดเหนี่ยวกันด้วยพันธะโคเวเลนต์
เรียกว่า สารโคเวเลนต์พันธะโคเวเลนต์เกิด
ได้ทั้งพันธะเดีย่ ว พันธะคู่และพันธะสาม ซึ่ง
สามารถเขียนแสดงได้ด้วยโครงสร้างลิวอิส
โดยแสดงอิเล็กตรอนคู่ร่วมพันธะด้วยจุด
หรือเส้น และแสดงอิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยว
ของแตล่ ะอะตอมดว้ ยจุด
15. เขยี นสูตร และเรียกช่ือ - สูตรโมเลกุลของสารโคเวเลนต์โดยทั่วไป
สารโคเวเลนต์ เขียนแสดงด้วยสัญลักษณ์ของธ าตุ
เรียงลำดับตามค่าอิเล็กโทรเนกาติวิตีจาก
น้อยไปมากโดยมีตัวเลขแสดงจำนวน
อะตอมของธาตุที่มีมากกว่า 1 อะตอมใน
โมเลกลุ
1 6 . ว ิ เ ค ร า ะ ห ์ แ ล ะ - ความยาวพันธะและพลังงานพันธะในสาร
เปรียบเทียบความยาว โคเวเลนต์ขึ้นกับชนิดของอะตอมคู่ร่วม
พันธะและพลังงานพันธะ พันธะและชนิดของพันธะ โดยพันธะเดี่ยว
ในสารโคเวเลนต์รวมท้งั พันธะคู่ และพันธะสาม มีความยาวพันธะ
ค ำ น ว ณ พ ล ั ง ง า น ท่ี และพลังงานพันธะแตกต่างกัน นอกจากน้ี
เกี่ยวข้องกับปฏิกิริยาของ โมเลกุลโคเวเลนต์บางชนิดมีค่าความยาว
สารโคเวเลนตจ์ ากพลังงาน พันธะและพลังงานพันธะแตกต่างจากของ
พันธะ พันธะเดี่ยว พันธะคู่และพันธะสาม ซึ่งสาร
เหล่านี้สามารถเขียนโครงสร้างลิวอิสที่
เหมาะสมไดม้ ากกวา่ 1 โครงสรา้ ง ทเี่ รยี กว่า
โครงสร้างเรโซแนนซ์
- พลังงานพันธะนำมาใช้ในการคำนวณ
พลังงานของปฏิกิริยา ซึ่งได้จากผลต่างของ
พลังงานพันธะรวมของสารตั้ง ต้นกับ
ผลติ ภัณฑ์
28
ช่อื หน่วย ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้ เวลา
การเรียนรู้ (ชวั่ โมง)
17. คาดคะเนรูปร่าง - รูปร่างของโมเลกุลโคเวเลนต์ อาจ
โมเลกุลโคเวเลนต์โดยใช้ พิจารณาโดยใช้ทฤษฎีการผลักระหว่างคู่
ทฤษฎีการผลักระหว่างคู่ อิเล็กตรอนในวงเวเลนซ์(VSEPR) ซึ่งขึ้นอยู่
อิเล็กตรอนในวงเวเลนซ์ กับจำนวนพันธะและจำนวนอิเล็กตรอนคู่
และระบุสภาพขั้วของ โดดเดี่ยวรอบอะตอมกลางโมเลกุลโคเว
โมเลกุลโคเวเลนต์ เลนต์มีทั้งโมเลกุลมีขั้วและไม่มีขั้วสภาพขั้ว
ของโมเลกุลโคเวเลนต์เป็นผลรวมปริมาณ
เวกเตอร์สภาพขั้วของแต่ละพันธะตาม
รปู รา่ งโมเลกุล
18. ระบชุ นิดของแรงยึดเห - แรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุลซึ่งอาจเป็น
นี่ยระหว่างโมเลกุลโค แรงแผ่กระจายลอนดอน แรงระหว่างขั้ว
เวเลนต์และเปรียบเทียบ และพันธะไฮโดรเจน มีผลต่อจุดหลอมเหลว
จุดหลอมเหลวจุดเดือด จุดเดือด และการละลายน้ำของสาร
และการละลายน้ำของสาร นอกจากนี้สารโคเวเลนต์ส่วนใหญ่ยังมีจุด
โคเวเลนต์ ห ล อ ม เ ห ล ว แ ล ะ จ ุ ด เ ด ื อ ด ต ่ ำ ก ว่ า
สารประกอบไอออนิกเนื่องจากแรงยึด
เหนี่ยวระหว่างโมเลกุลมีค่าน้อยกว่าพันธะ
ไอออนิก
- สารโคเวเลนต์ส่วนใหญ่มีจุดหลอมเหลว
และจดุ เดอื ดต่ำ และไม่ละลายในน้ำ สำหรับ
สารโคเวเลนต์ที่ละลายน้ำมีทั้งแตกตัวและ
ไม่แตกตัวเป็นไอออน สารละลายที่ได้จาก
สารที่ไม่แตกตัวเป็นไอออนจะไม่นำไฟฟ้า
เรียกว่า สารละลายนอนอิเล็กโทรไลต์ส่วน
สารละลายที่ไดจ้ ากสารที่แตกตัวเป็นไอออน
จะนำไฟฟ้า เรียกว่าสารละลายอิเลก็ โทรไลต์
สารละลายของสารประกอบคลอไรด์และ
ออกไซด์จะมสี มบัติเปน็ กรด
29
ช่อื หน่วย ผลการเรยี นรู้ สาระการเรียนรู้ เวลา
การเรียนรู้ (ชัว่ โมง)
19. สืบค้นข้อมูล และ - สารโคเวเลนต์บางชนิดที่มีโครงสร้าง
อธิบายสมบัติของสารโคเว โมเลกุลขนาดใหญ่และมีพันธะโคเวเลนต์
เลนต์โครงร่างตาข่ายชนิด ต่อเนื่องเป็นโครงร่างตาข่าย จะมีจุด
ตา่ ง ๆ หลอมเหลว และจุดเดือดสูง สารโคเวเลนต์
โครงร่างตาข่ายที่มีธาตุองค์ประกอบ
เหมือนกัน แต่มีอัญรูปต่างกันจะมีสมบัติ
ตา่ งกัน เช่น เพชร แกรไฟต์
20. อธิบายการเกิดพันธะ - พันธะโลหะเกิดจากเวเลนซ์อิเล็กตรอน
โลหะและสมบัติของโลหะ ของทุกอะตอมของโลหะเคลื่อนที่อย่าง
อิสระไปทั่วทั้งโลหะ และเกิดแรงยึดเหนี่ยว
กบั โปรตอนในนวิ เคลียสทุกทิศทาง
- โลหะส่วนใหญ่เป็นของแข็ง มีผิวมันวาว
สามารถตีเป็นแผ่นหรือดึงเป็นเส้นได้นำ
ความร้อนและนำไฟฟ้าได้ดีมีจุดหลอมเหลว
และจุดเดือดสงู
21. เปรียบเทียบสมบัติ - สารประกอบไอออนิก สารโคเวเลนต์และ
บ า ง ป ร ะ ก า ร ข อ ง โลหะมีสมบัติเฉพาะตัวบางประการที่
สารประกอบไอออนิก สาร แตกต่างกัน เช่น จุดเดือด จุดหลอมเหลว
โคเวเลนตแ์ ละโลหะ สบื ค้น การละลายน้ำ การนำไฟฟ้า จึงสามารถ
ข ้ อ ม ู ล แ ล ะ น ำ เ ส น อ นำมาใช้ประโยชน์ในด้านต่าง ๆ ได้ตาม
ตัวอย่างการใช้ประโยชน์ ความเหมาะสม
ของสารประกอบไอออนิก
สารโคเวเลนต์และโลหะ
ได้อย่างเหมาะสม
สอบกลางภาคเรียน 3
รวมระหว่างภาคเรยี น 54
สอบปลายภาคเรยี น 3
รวมตลอดภาคเรยี น 60
30
โครงสร้างกำหนดการสอน
ว31221 เคมี 1 กลุม่ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ชนั้ มธั ยมศึกษาปีท่ี 4/3 ภาคเรียนท่ี 1 เวลา 60 ชั่วโมง จำนวน 1.5 หน่วยกติ
แผนที่ เนื้อหา/สาระการเรียนรู้ ช่วั โมง วันท่ีสอน
หน่วยการเรยี นร้ทู ี่ 1 ความปลอดภยั และทักษะในปฏบิ ตั ิการเคมี
1 ความปลอดภัยในการทำงานกับสารเคมี 2 18 พ.ค. 2565
2 อุบัติเหตจุ ากสารเคมี 1 20 พ.ค. 2565
3 การวดั ปริมาณสาร 2 25 พ.ค. 2565
4 หน่วยวดั 1 27 พ.ค. 2565
หน่วยการเรยี นรู้ที่ 2 อะตอมและสมบตั ิของธาตุ
5 แบบจำลองอะตอม 3 1 - 3 มิ.ย. 2565
6 อนุภาคในอะตอมและไอโซโทป 3 8 – 10 มิ.ย. 2565
7 การจัดเรยี งอิเล็กตรอนในอะตอม 3 15 – 17 มิ.ย. 2565
8 ตารางธาตุและสมบัติของธาตุหมู่หลกั 3 22 – 24 มิ.ย. 2565
9 ตารางธาตุและสมบตั ขิ องธาตหุ มู่หลกั 2 3 29 มิ.ย–1 ก.ค. 2565
การทดสอบกลางภาค 3 ช่ัวโมง
10 ธาตแุ ทรนซชิ ัน 3 6 – 8 ก.ค. 2565
11 ธาตุกมั มันตรงั สี 3 13 – 15 ก.ค. 2565
12 การนำธาตุไปใช้ประโยชน์และผลกระทบตอ่ สิ่งมีชีวิต 3 20 – 22 ก.ค. 2565
หน่วยการเรียนรทู้ ี่ 3 พันธะเคมี
13 พนั ธะไอออนิก 3 3 – 5 ส.ค. 2565
14 พนั ธะไอออนิก 2 3 10 – 12 ส.ค. 2565
15 พันธะไอออนิก 3 3 17 – 19 ส.ค. 2565
16 พันธะโคเวเลนต์ 3 24 – 26 ส.ค. 2565
17 พนั ธะโคเวเลนต์ 2 3 31 ส.ค.-2 ก.ย. 2565
18 พันธะโคเวเลนต์ 3 3 7 – 9 ก.ย. 2565
19 พันธะโลหะ 3 14 – 16 ก.ย. 2565
20 การใช้ประโยชน์ของสารประกอบไอออนิก 3 21 – 23 ก.ย. 2565
สารโคเวเลนต์ และโลหะ
การทดสอบปลายภาค 3 ช่ัวโมง
31
โครงสร้างกำหนดการสอน
ว31221 เคมี 1 กลุม่ สาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
ช้นั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 4/5 ภาคเรียนที่ 1 เวลา 60 ช่ัวโมง จำนวน 1.5 หน่วยกติ
แผนท่ี เนื้อหา/สาระการเรยี นรู้ ชว่ั โมง วันท่สี อน
หนว่ ยการเรียนรู้ที่ 1 ความปลอดภัยและทักษะในปฏบิ ัติการเคมี
1 ความปลอดภัยในการทำงานกบั สารเคมี 2 18 พ.ค. 2565
2 อุบตั เิ หตจุ ากสารเคมี 1 19 พ.ค. 2565
3 การวัดปริมาณสาร 2 25 พ.ค. 2565
4 หนว่ ยวดั 1 26 พ.ค. 2565
หนว่ ยการเรียนร้ทู ี่ 2 อะตอมและสมบัติของธาตุ
5 แบบจำลองอะตอม 3 1 - 2 มิ.ย. 2565
6 อนภุ าคในอะตอมและไอโซโทป 3 8 – 9 มิ.ย. 2565
7 การจัดเรียงอเิ ล็กตรอนในอะตอม 3 15 – 16 มิ.ย. 2565
8 ตารางธาตุและสมบตั ิของธาตหุ มู่หลัก 3 22 – 23 ม.ิ ย. 2565
9 ตารางธาตแุ ละสมบตั ขิ องธาตหุ มหู่ ลกั 2 3 29 – 30 ม.ิ ย 2565
การทดสอบกลางภาค 3 ช่ัวโมง
10 ธาตแุ ทรนซชิ ัน 3 6 – 7 ก.ค. 2565
11 ธาตุกัมมนั ตรังสี 3 13 – 14 ก.ค. 2565
12 การนำธาตุไปใช้ประโยชนแ์ ละผลกระทบต่อสงิ่ มชี วี ติ 3 20 – 21 ก.ค. 2565
หน่วยการเรยี นร้ทู ี่ 3 พนั ธะเคมี
13 พันธะไอออนกิ 3 3 – 4 ส.ค. 2565
14 พนั ธะไอออนิก 2 3 10 – 11 ส.ค. 2565
15 พันธะไอออนกิ 3 3 17 – 18 ส.ค. 2565
16 พันธะโคเวเลนต์ 3 24 – 25 ส.ค. 2565
17 พนั ธะโคเวเลนต์ 2 3 31 ส.ค.-1 ก.ย. 2565
18 พันธะโคเวเลนต์ 3 3 7 – 8 ก.ย. 2565
19 พันธะโลหะ 3 14 – 15 ก.ย. 2565
20 การใช้ประโยชน์ของสารประกอบไอออนิก 3 21 – 22 ก.ย. 2565
สารโคเวเลนต์ และโลหะ
การทดสอบปลายภาค 3 ชั่วโมง
32
แผนการจดั การเรยี นรู้
หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 1 ความปลอดภัยและทกั ษะในปฏบิ ตั ิการเคมี
33
แผนการจดั การเรยี นรู้ท่ี 1 รหสั วิชา ว31221
ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 4
กลุ่มสาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รายวชิ าเคมี
หน่วยการเรยี นรทู้ ี่ 1 ความปลอดภัยและทักษะในปฏบิ ตั ิการเคมี เวลา 2 ช่ัวโมง
เรื่อง ความปลอดภัยในการทำงานกบั สารเคมี ผู้สอน นายวิทยา นา่ ชม
ภาคเรียนท่ี 1
1. สาระการเรียนรู้และผลการเรยี นรู้
สาระเคมี 3
เข้าใจหลักการทำปฏิบัติการเคมี การวัดปริมาณสาร หน่วยวัดและการเปลี่ยนหน่วย การคำนวณ
ปริมาณของสาร ความเข้มข้นของสารละลาย รวมทั้งการบูรณาการความรู้และทักษะในการอธิบาย
ปรากฏการณใ์ นชีวติ ประจำวนั และการแก้ปญั หาทางเคมี
ผลการเรียนรู้
1. บอกและอธิบายข้อปฏิบัติเบื้องตน้ และปฏิบัติตนท่ีแสดงถึงความตระหนักในการทำปฏิบัตกิ ารเคมี
เพ่อื ใหม้ ีความปลอดภัยทง้ั ต่อตนเอง ผ้อู ื่นและส่ิงแวดล้อม และเสนอแนวทางแกไ้ ขเม่อื เกดิ อบุ ัติเหตุ
2. สาระสำคัญ
การทดลองถือเป็นหัวใจของการศึกษาค้นคว้าทางเคมีที่สามารถนำไปสู่การคน้ พบและความรู้ใหม่ทาง
เคมีนอกจากนี้ยังสามารถช่วยถ่ายทอดความรู้แก่นักเรียนให้เกิดความรู้และความเข้าใจในบทเรียนได้ดี
ยิ่งขึ้น การทดลองทางเคมีสำหรับนักเรียนนิยมทำในห้องปฏิบัติการและมีความเกี่ยวข้องกับสารเคมี
อุปกรณ์และเครื่องมือต่าง ๆ ผู้ทำปฏิบัติการจึงต้องทราบเกี่ยวกับประเภทของสารเคมีทีใ่ ช้ วิธีปฏิบัติการ
สอน ข้อควรปฏิบัติในการทำปฏิบัติการเคมี และการกำจัดสารเคมีเพื่อให้สามารถทำปฏิบัติการได้อย่าง
ปลอดภยั รวมถงึ มีความรูแ้ ละความสามารถปฐมพยาบาลเบื้องตน้ เพ่ือลดความรนุ แรงและความเสียหายท่ี
เกิดข้นึ ได้
3. จุดประสงค์การเรยี นรู้
3.1 ดา้ นความรู้ (K)
1. ระบคุ วามเป็นอันตรายของสารเคมีจากสัญลักษณ์และขอ้ มูลบนฉลากสารเคมีได้
2. อธบิ ายข้อปฏบิ ัติเบื้องต้นและการปฏิบตั ิตนเพื่อให้มีความปลอดภัย ทั้งตอ่ ตนเอง
3.2 ด้านทักษะ/กระบวนการ (P)
1. เขียนข้อมูลบนฉลากสารเคมไี ด้
34
3.3 ด้านคุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ (A)
1. ตั้งใจเรียนรูแ้ ละแสวงหาความรู้ รับผิดชอบตอ่ หนา้ ท่ที ไ่ี ด้รับมอบมาย
4. สาระการเรียนรู้
4.1 ความปลอดภัยในการทำงานกับสารเคมี
5. การจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ (ใช้รปู แบบการสบื เสาะหาความรู้ 5E)
1. ขนั้ สร้างความสนใจ (Engagement)
1. ครูตรวจสอบความรู้ก่อนเรยี น ผา่ นโปรแกรม Quizizz
2. แบง่ กลมุ่ นักเรยี นออกเปน็ 6 - 7 กลมุ่
3. ครใู ชค้ ำถามนำวา่ การทำปฏิกริ ยิ าเคมีได้อยา่ งปลอดภัยจะต้องคำนึงถึงเร่ืองใดบา้ ง (นกั เรยี นตอบ
ตามความเขา้ ใจ)
4. ครูกระตุ้นความสนใจของนักเรียนโดยนำขวดบรรจุสารเคมีที่มีสัญลักษณ์และข้อมูลในฉลาก
สารเคมี 5 ขวด ได้แก่ 1.Hexane 2.Lithium Chloride 3.Acetone 4.Ammonia Solution 5.Toluene
มาให้นักเรียนดู แล้วให้นักเรียน แต่ละกลุ่มช่วยกันตอบว่า ฉลากของสารแต่ละขวดมีองค์ประกอบ
อะไรบา้ ง
2. ข้ันสำรวจและคน้ หา (Exploration)
5. ครูอธิบายเกี่ยวกับข้อมูลบนฉลากของสารเคมีว่าส่วนมากประกอบด้วย ชื่อผลิตภัณฑ์ รูป
สัญลักษณ์แสดงความเป็นอันตรายของสารเคมีในระบบ GHS ซึ่งเป็นระบบที่ใช้สากล และระบบ NFPA
ซ่ึงเป็นระบบทีใ่ ชใ้ นสหรัฐอเมรกิ า
6. ครถู ามคำถามนักเรยี นเพ่ือตรวจสอบความเข้าใจโดยมีคำถามดังน้ี
- จากฉลากของสารเคมีดังรูป 1.1 (ตามรายละเอียดหนังสือเรียน) สัญลักษณ์ท่ีอยู่บนฉลากของ
กรดไฮโดรคลอริกและแอมโมเนียมคี วามหมายวา่ อย่างไร (แนวคำตอบ : สัญลักษณ์ที่อยู่บนฉลากของกรด
ไฮโดรคลอรกิ หมายความว่า สารน้มี ีฤทธก์ ดั กรอ่ นและเปน็ สารท่มี ีอนั ตรายต่อสุขภาพ และสญั ลักษณ์ท่ีอยู่
บนฉลากของแอมโมเนีย หมายความว่า สารนี้เป็นสารอันตรายมีพิษเฉียบพลันหรือเกิดอันตรายทันที
มีฤทธก์ ดั กร่อน และเป็นสารทต่ี ิดไฟง่ายไมค่ วรวางไวใ้ กลไ้ ฟ)
- ครูนำรูปสัญลักษณ์ของสารไวไฟและสารออกซิไดเซอร์มาให้นักเรียนดูและถามนักเรียนว่า
สญั ลักษณข์ องสารทงั้ 2 ชนดิ แตกตา่ งกันอย่างไร (นกั เรียนตอบตามความเข้าใจ)
- จากสัญลักษณ์ความเป็นอันตรายในระบบ NFPA ของกรดไฮโดรคลอริกและแอมโมเนีย
สารเคมใี ดมคี วามอันตรายมากกว่ากันในด้านความไวไฟ ความเปน็ อนั ตรายต่อสขุ ภาพ และความว่องไวใน
การเกิดปฏิกิริยาเคมี (แนวคำตอบ : แอมโมเนียมีความไวไฟมากกว่ากรดไฮโดรคลอริก แต่กรด
35
ไฮโดรคลอรกิ มคี วามว่องไวในการทำปฏกิ ิริยาเคมีมากกวา่ แอมโมเนยี และสารท้งั 2 ชนดิ มรี ะดบั ความเป็น
อันตรายตอ่ สขุ ภาพเท่ากนั )
7. ครใู หน้ ักเรียนทำกิจกรรม พจิ ารณาข้อมลู บนขวดสารเคมที คี่ รูเตรียมให้ ทัง้ 5 ขวด
3. ข้นั อธิบายและลงข้อสรปุ (Explanation)
8. อภิปรายร่วมกันว่าฉลากสารเคมีในห้องปฏิบัติการของโรงเรียนเหมือนหรือแตกต่างจากฉลากใน
ระบบ GHS และ NFPA หรือไม่ อย่างไร เพื่อให้นักเรียนเข้าใจถึงความเป็นอันตรายของสารเคมีที่ใช้ใน
หอ้ งปฏิบัติการของโรงเรียนอันนำไปสคู่ วามตระหนกั ในการใช้สารเคมีใหป้ ลอดภยั
9. ครูและนักเรียนอภิปรายร่วมกันเกี่ยวกับข้อควรปฏิบัติในการทำปฏิบัติการเคมี ทั้งก่อนทำ
ปฏิบัติการ ขณะทำปฏิบัติการ และหลังทำปฏิบัติการ ซึ่งควรได้ข้อสรุปว่า ข้อควรปฏิบัติก่อนการทำ
ปฏิบัติการเคมี เชน่ ศึกษาข้ันตอนการทำปฏบิ ตั ิการ ศึกษาขอ้ มูลสารเคมี ขอ้ ควรปฏบิ ัตขิ ณะทำปฏบิ ัตกิ าร
เคมี เชน่ แตง่ กายใหเ้ หมาะสม โดยสวมแว่นตานิรภยั ใส่เส้ือคลมุ ปฏิบตั ิการ สวมถงุ มือ
10. ครูใหค้ วามรู้เกี่ยวกบั แนวทางในการกำจัดสารเคมีทใี่ ช้แล้วหรือทเ่ี หลือใช้จากการทำปฏิบัติการ
เคมี
4. ขัน้ ขยายความรู้ (Elaboration)
11. ครูตง้ั คำถามเพอ่ื ขยายความเขา้ ใจของนักเรียนดังน้ี
- สารประกอบโลหะเป็นพิษ เช่น ตะกั่ว แคดเมี่ยม ที่ใช้แล้วหรือที่เหลือใช้จากการทำ
ปฏิบัติการเคมี เมื่อรวบรวมไว้แล้วเทลงอ่างน้ำ ได้หรือไม่ เพราะเหตุใด (แนวคำตอบ : ไม่ได้ เพราะจะทำ
ใหส้ ่งิ แวดลอ้ มเปน็ พษิ จึงควรส่งให้บริษทั รับกำจัดสารเคมี)
- นอกจากการกำจัดสารเคมีที่ถูกวิธีแล้วยังมีวธิ ีการอื่นที่สามารถนำมาใช้เพ่ือให้เกิดความเป็น
มิตรต่อสิ่งแวดล้อมหรือไม่ (แนวคำตอบ : มี ได้แก่ ออกแบบการทดลองที่ไม่ก่อให้เกิดของเสียที่เป็น
อนั ตราย เลือกใช้สารเคมีและปฏิกิริยาเคมีท่ีปลอดภยั และมีความคุ้มค่าในการใช้พลังงาน ใช้อุปกรณ์แทน
สำหรบั ทำปฏิบตั กิ ารแบบย่อสว่ น เพ่ือเป็นการลดการใช้สารเคมแี ละพลงั งาน อีกท้ังยงั สามารถลดปริมาณ
ของเสียที่เกดิ ขน้ึ ได้อีกด้วย)
5. ขั้นประเมิน (Evaluation)
14. ประเมินจากการตอบคำถาม โดยใช้คำถามดังน้ี จากฉลากของกรดไฮโดรคลอริกและ
แอมโมเนยี สารเคมีท้ังสองมีอันตรายตามระบบ GHS อยา่ งไรบา้ ง
15. ประเมินจากการอภปิ รายร่วมกนั เก่ยี วกบั ข้อควรปฏบิ ตั ใิ นการทำปฏบิ ตั กิ ารเคมี
16. ประเมนิ จากการทำกิจกรรม การพิจารณาขอ้ มลู บนขวดสารเคมี
36
6. ส่อื /แหล่งการเรยี นรู้
6.1 สอื่ การเรียนรู้
1. โปรแกรม Quizizz ตรวจสอบความรกู้ ่อนเรียน
2. ขวดบรรจุสารเคมี 1.Hexane 2.Lithium Chloride 3.Acetone 4.Ammonia Solution
5.Toluene
3. Power Point ประกอบการสอน ความปลอดภยั และทกั ษะในปฏบิ ตั ิการเคมี
4. ใบกจิ กรรมท่ี 1 การพจิ ารณาขอ้ มลู บนขวดสารเคมี
5. หนังสือเรียนรายวิชาเพิ่มเติมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เคมี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 เล่ม 1
(สสวท.)
6.2 แหลง่ การเรยี นรู้
-
37
38
แบบสงั เกตพฤติกรรมรายบคุ คลช้ันมธั ยมศกึ ษาปที ี่ 4/3
39
เรอ่ื ง ความปลอดภัยในการทำงานกบั สารเคมี
คำชี้แจง จงทำเครื่องหมาย ลงในช่องที่ตรงกับพฤติกรรมที่ผู้เรียนแสดงออก โดยจำแนกระดับ
พฤติกรรมการแสดงออกไวเ้ ป็น 3 คะแนน ดังน้ี
3 คะแนน หมายถงึ ผู้เรียนมีพฤติกรรมในระดบั ดี
2 คะแนน หมายถงึ ผู้เรยี นมีพฤติกรรมในระดับปานกลาง
1 คะแนน หมายถงึ ผู้เรียนมีพฤติกรรมในระดบั ปรับปรงุ
ช่ือ-สกุล รายการประเมนิ คะแนน ร้อยละ สรุปผลการ
รวม ประเมิน
ความใส่ใจ การเสนอ ความรว่ มมอื การยอมรับฟงั
ในการ ความคดิ เห็น ในการทำงาน คนอนื่
ทำงาน
เลข ่ีท
3 2 1 3 2 1 3 2 1 3 2 1 12 100 ผา่ น ไม่ผ่าน
1 นายจกั รพล บญุ สทิ ธ์ิ
2 นายอชิรา อินทะนู
3 เด็กชายเจษฎาภรณ์ หมทอง
4 นายชลศกั ดิ์ เหล่าภกั ดี
5 นายออมสนิ สร้อยธนู
6 นายธนันธร พาลาศรี
7 นายอัมรนิ ทร์ กำยาน
8 นายเวโรจน์ ทะโจปะรงั
9 นายจักรแก้ว นามหนิ ลาย
10 นายธนกร ไขบัว
11 นางสาวสภุ าวดี ดมี าก
12 นางสาวฐิติยาภรณ์ ไชยบุบผา
13 นางสาววมิ ลณฐั หาญณรงค์
14 นางสาวรตั นาภรณ์ แกว้ หาดี
15 นางสาวกรรณกิ าร์ ครุ ิมา
16 นางสาวจรี นนั ท์ ทองหล่อ
17 นางสาวศริ นิ โรจน์ อนุ่ อก
18 นางสาวอรไพลิน ภมู ิเพง็
19 นางสาวกัลยรัตน์ จนั ทานี
20 นางสาวชวลั นุช เครอื เนตร
21 นางสาวณชั ชา ผนั ผ่อน
40
ชือ่ -สกุล รายการประเมนิ คะแนน ร้อยละ สรปุ ผลการ
รวม ประเมนิ
การเสนอ ความรว่ มมือ
ความใส่ใจ ความคดิ เหน็ ในการทำงาน การยอมรบั ฟงั
ในการ คนอืน่
ทำงาน
เลข ่ีท
3 2 1 3 2 1 3 2 1 3 2 1 12 100 ผา่ น ไม่ผา่ น
22 นางสาววชริ าภรณร์ าชศรีเมือง
23 นางสาวสธุ าสนิ ี แกว้ วเิ ศษ
24 นางสาวธิดาพร คำสะอ้งิ
25 นางสาวชุตกิ าญจน์ งามหนกั
26 นางสาวณฐั ประภา นกั รอ้ ง
27 นางสาวกชพร ดวงจันทร์
28 นางสาวจรี ะนนั ท์ นาใจคง
29 นางสาวนริศรา ศรีสนุ ทร
30 นางสาวปนดั ดา ภูมไิ ธสง
31 นางสาวปนดิ ตา ประทยั บตุ ร
32 นางสาวพิมพกิ า ทา้ วจนั ทร์
33 นางสาวพยิ ดา เลขกระโทก
34 นางสาวสทุ ธดิ า แกว้ ดวงดี
35 เดก็ หญงิ สภุ านนั ท์ กราบกราน
36 นางสาวสุภาวนิ ี นึกชอบ
37 นางสาวอลิตา ดิษฐนลิ พงษ์
เกณฑ์การประเมิน
รอ้ ยละ 75 ขึน้ ไป ( 9 - 12 คะแนน) ผ่านเกณฑ์
นอ้ ยกวา่ ร้อยละ 75 ( 0 – 8 คะแนน ) ไม่ผ่านเกณฑ์
ลงชื่อ.........................................ผู้สอน
(นายวิทยา นา่ ชม)
วันที่............เดอื น........................พ.ศ..............
41
เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน
ประเดน็ ท่ปี ระเมิน เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน
321
ความใส่ใจในการ เมื่อเกิดปัญหาหรือไม่ สว่ นใหญเ่ มอ่ื เกิดปัญหา เมื่อเกิดปัญหาหรือไม่
ทำงาน เข้าใจบทเรียนทุกคร้ัง หรือไม่เข้าใจบทเรียน เข้าใจบทเรียนทุกครั้ง
มักซักถามและมีความ ทกุ ครั้งมกั ซักถามและมี มักซักถามและมีความ
พยายามในการค้นหา ความพยายามในการ พยายามในการค้นหา
คำตอบอยเู่ สมอ คน้ หาคำตอบ คำตอบเป็นบางครง้ั
การเสนอความคิดเหน็ ส่วนใหญ่เสนอความคดิ เสนอความคิดเห็น กล้า ไม่เสนอความคิดเห็น
เห็น กล้าแสดงออกที่ แสดงออกที่จะพูดในสิ่ง กล้าแสดงออกที่จะพูด
จะพดู ในสิง่ ท่ีถูกหรือดี ที่ถกู หรอื ดี บางครัง้ ในสิ่งท่ถี ูกหรอื ดี
ความร่วมมือในการ ใหค้ วามรว่ มมือในการ ส ่ ว น ใ ห ญ ่ ใ ห ้ ค ว า ม ให้ความร่วมมือในการ
ทำงาน ทำงานกลุ่มและ ร่วมมือในการทำงาน ทำงานกลมุ่ และ
ปฏบิ ัติงานทสี่ มาชกิ ใน กลุ่มและปฏิบัติงานที่ ปฏิบัติงานที่สมาชิกใน
กลุ่มมอบหมายด้วย ส ม า ช ิ ก ใ น ก ลุ่ ม กลุ่มมอบหมายได้เป็น
ความเต็มใจทกุ คร้ัง มอบหมายได้ บางคร้ัง
การยอมรับฟังคนอ่ืน ยอมรับฟังความคิดเห็น ยอมรับฟังความคิดเห็น ไม่ยอมรับฟังความ
ที่ดีและมีเหตุผลของ ที่ดีและมีเหตุผลของ คิดเหน็ ท่ดี แี ละมีเหตุผล
ผู้อื่นทุกครั้ง ไม่ยึด ผอู้ น่ื บา้ ง แต่บางครั้งจะ ของผู้อื่น มักยึดความ
ความคิดเห็นของตนแต่ ยึดความคดิ เห็นของตน คิดเห็นของตนแต่ฝ่าย
ฝ่ายเดียว เดียว
42
แบบสงั เกตพฤตกิ รรมการทำงานกลุ่ม
ชอื่ กลุ่ม..........................................................................................................................................ชั้น ม.4/3
คำชี้แจง : ใหผ้ สู้ อนสังเกตพฤติกรรมของนกั เรยี นในระหวา่ งเรียนและนอกเวลาเรยี น แล้วขีด ✓ ลงใน
ชอ่ ง ท่ีตรงกบั ระดับคะแนน
ลำดับที่ รายการประเมิน ระดับคะแนน
321
1 การแบง่ หน้าท่ีกันอย่างเหมาะสม
2 ความร่วมมือกนั ทำงาน
3 การแสดงความคดิ เหน็
4 การรับฟงั ความคดิ เหน็
5 ความมนี ้ำใจช่วยเหลอื กนั
รวม
เกณฑ์การตัดสนิ คุณภาพ ลงชือ่ .................................................ผปู้ ระเมนิ
(นายวิทยา นา่ ชม)
ชว่ งคะแนน ระดับคะแนน
วนั ท.ี่ .........เดอื น..............................ปี 2565
12 - 15 ดี
8 - 11 พอใช้
ตำ่ กว่า 8 ปรบั ปรงุ