ทอล์ก ทริก ไทย
หลักภาษาไทย
๓ปีที่
ชั้น
มัธยม
ศึกษา
กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย
ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน
พุทธศักราช ๒๕๕๑
ทอล์ก ทริก ไทย
หลักภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ ๓
ทอล์ก ทริก ไทย
หลักภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ ๓
จัดทำโดย
ธีรภัทร ไพใหล
สุทธิดา นิยมการ
สาขาวิชาการสอนภาษาไทย
คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร
คำนำ
หนังสือเรียน รายวิชาพื้นฐาน ภาษาไทย หลักภาษาและการใช้ภาษาไทย
ชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ ๓ เล่มนี้ จัดทำขึ้นโดยยึดตามมาตรฐานการเรียนรู้และ
ตัวชี้วัด กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษา
ขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ มุ่งส่งเสริมให้ผู้เรียนได้ศึกษาสาระที่ ๔
หลักการใช้ภาษาไทย ผู้เรียนจะได้เรียนรู้ทักษะการใช้ภาษาไทยที่ถูกต้องและ
เหมาะสมตามสถานการณ์ต่าง ๆ ครอบคลุมทั้งทักษะการอ่าน การเขียน
การฟั ง การดู และการพูด ผู้เรียนสามารถเข้าใจการใช้ไวยากรณ์ภาษาไทย
ตั้งแต่ระดับเสียง พยางค์ คํา ประโยค ไปจนถึงการอ่านข้อความได้อย่างถูกต้อง
และนําความรู้เรื่องการใช้ภาษาไทยไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้
หนังสือเรียน รายวิชาพื้นฐาน ภาษาไทย หลักภาษาและการใช้ภาษาไทย
ชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ ๓ เล่มนี้ มี ๖ หน่วยการเรียนรู้ แต่ละหน่วยการเรียนรู้
ประกอบด้วย มาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัด สาระสำคัญ แผนผังสาระการ
เรียนรู้ เนื้อหาที่ครบตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช
๒๕๕๑ มีกิจกรรมและคําถามคิดวิเคราะห์ เพื่อพัฒนากระบวนการคิดของผู้
เรียนที่สามารถนําไปเชื่อมโยงกับกลุ่มสาระการเรียนรู้อื่น ๆ และนําไปเสริม
ประสบการณ์หรือปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้ นอกจากนี้ยังมีคำศัพท์พร้อม
ความหมายที่สอดคล้องกับเนื้อหาในหน่วยการเรียนรู้ และมีการแทรกความรู้
เพิ่มเติมในเนื้อหาหน่วยการเรียนรู้แต่ละหน่วย
คณะผู้จัดทำหวังเป็ นอย่างยิ่งว่า หนังสือเรียน รายวิชาพื้นฐาน ภาษาไทย
หลักภาษาและการใช้ภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ ๓ เล่มนี้ จะเป็ นเครื่องมือ
ช่วยให้ครูและผู้เรียนเกิดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนบรรลุเป้ าหมายด้านการเรียน
หลักภาษาไทย และนําไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
คณะผู้จัดทำ
สารบัญ
เรื่อง หน้า
ตอนที่ ๑ คําภาษาต่างประเทศที่ใช้ในภาษาไทย ๑
สาเหตุที่ทำให้เกิดการยืมภาษา ๒
อิทธิพลของภาษาต่างประเทศที่มีผลต่อภาษาไทย ๓
วิธีการนำคำภาษาต่างประเทศมาใช้ในภาษาไทย ๓
คำที่มาจากภาษาต่างประเทศ ๖
กิจกรรมเสนอแนะ ๑๘
แบบทดสอบหลังเรียน ๑๕
๒๕
ตอนที่ ๒ ประโยคซับซ้อน ๒๖
ประโยคความเดียวซับซ้อน ๒๗
ประโยคความรวมซับซ้อน ๒๘
ประโยคซับซ้อนที่ซับซ้อน ๒๙
ประโยคแสดงเงื่อนไข ๒๙
ประโยคเงื่อนไขซับซ้อน ๓๑
กิจกรรมเสนอแนะ ๓๒
แบบทดสอบหลังเรียน ๓๙
๔๐
ตอนที่ ๓ ระดับภาษา ๔๒
ระดับพิธีการ ๔๓
ระดับทางการ ๔๔
ระดับกึ่งทางการ
ระดับไม่เป็ นทางการ
สารบัญ
เรื่อง หน้า
ภาษาระดับกันเอง ๔๕
ตารางสรุประดับภาษา ๔๖
กิจกรรมเสนอแนะ ๔๗
แบบทดสอบหลังเรียน ๔๘
ตอนที่ ๔ คำทับศัพท์และศัพท์บัญญัติ ๕๓
คำทับศัพท์ ๕๔
ศัพท์บัญญัติ ๕๕
กิจกรรมเสนอแนะ ๕๗
แบบทดสอบหลังเรียน ๕๘
ตอนที่ ๕ คำศัพท์ทางวิชาการและวิชาชีพ ๖๓
คำศัพท์ทางวิชาการ ๖๔
คำศัพท์วิชาชีพ ๖๘
วิธีใช้คำศัพท์ทางวิชาการและวิชาชีพ ๖๙
กิจกรรมเสนอแนะ ๗๐
แบบทดสอบหลังเรียน ๗๑
ตอนที่ ๖ การแต่งคําประพันธ์ประเภทโคลงสี่สุภาพ ๗๕
โคลงสี่สุภาพ ๗๕
๗๖
ลักษณะคำประพันธ์โคลงสี่สุภาพ ๗๖
คำศัพท์ที่ควรรู้เกี่ยวกับโคลงสี่สุภาพ ๗๘
หลักการแต่งคำประพันธ์โคลงสี่สุภาพ
สารบัญ หน้า
เรื่อง ๗๙
๘๐
กิจกรรมเสนอแนะ ๘๒
แบบทดสอบหลังเรียน ๘๓
บรรณานุกรม ๘๔
ภาคผนวก ๙๓
เฉลยละเอียดแบบทดสอบหลังเรียน ตอนที่ ๑ ๑๐๔
เฉลยละเอียดแบบทดสอบหลังเรียน ตอนที่ ๒ ๑๑๒
เฉลยละเอียดแบบทดสอบหลังเรียน ตอนที่ ๓ ๑๑๙
เฉลยละเอียดแบบทดสอบหลังเรียน ตอนที่ ๔ ๑๒๕
เฉลยละเอียดแบบทดสอบหลังเรียน ตอนที่ ๕ ๑๓๑
เฉลยละเอียดแบบทดสอบหลังเรียน ตอนที่ ๖
ประวัติผู้จัดทำ
มาตรฐ าน
มาตรฐาน ท ๔.๑ เข้าใจธรรมชาติของภาษาและหลักภาษาไทย
การเปลี่ยนแปลงของภาษาและพลังของภาษาภูมิปั ญญาทางภาษาและรักษา
ภาษาไทยไว้เป็ นสมบัติของชาติ
ตั ว ชี้ วั ด
ท ๔.๑ ม.๓/๑ จำแนกและใช้คำภาษาต่างประเทศที่ใช้ในภาษาไทย
ท ๔.๑ ม.๓/๒ วิเคราะห์โครงสร้างประโยคซับซ้อน
ท ๔.๑ ม.๓/๓ วิเคราะห์ระดับภาษา
ท ๔.๑ ม.๓/๔ ใช้คำทับศัพท์และศัพท์บัญญัติ
ท ๔.๑ ม.๓/๕ อธิบายความหมายคำศัพท์ทางวิชาการและวิชาชีพ
ท ๔.๑ ม.๓/๖ แต่งบทร้อยกรอง TO-DO
คํทาี่ภใชา้ใษนาภต่าาษงาปไรทะยเทศ ประโยคซับซ้อน
การแต่งคําประพันธ์ แผนผังสาระการเรียนรู้ ระดับภาษา
ประเภทโคลงสี่สุภาพ
หลักภาษา ม.๓
คำศัพท์ทางวิชาการ คำทับศัพท์
และวิชาชีพ และศัพท์บัญญัติ
อิทธิพลของภาษาต่างประเทศ
ที่มีผลต่อภาษาไทย
สาเหตุที่ทำให้เกิดการยืมภาษา วิธีการนำคำภาษาต่างประเทศ
มาใช้ในภาษาไทย
ลักษณะของ
คำภาษาต่างประเทศ
ที่ยืมมาใช้ในภาษาไทย
คําภาษาต่างประเทศ
ที่ใช้ในภาษาไทย
ภาษาชวา - มาลายู ภาษาเขมร
ภาษาจีน
คำที่มาจาก
ภาษาต่างประเทศ
ภาษาบาลีและสันสกฤต
ภาษาอังกฤษ
ตอนที่ ๑
คําภาษาต่างประเทศที่ใช้ในภาษาไทย
คําที่ใช้กันอยู่ในภาษาไทยทุกวันนี้มีทั้งคําไทยแท้ (คําที่คนไทยหลาย ๆ ถิ่น
ใช้ร่วมกัน มีความหมายเดียวกัน) และคําที่ยืมมาจากภาษาอื่น ซึ่งเป็ นสิ่งที่เกิดขึ้นใน
ทุกภาษาเช่นกัน ตราบใดที่มีการติดต่อ กับชนชาติที่พูดภาษานั้นๆ คํายืมภาษาต่าง
ประเทศที่ไทยนำมาใช้แบ่งเป็ น ๒ กลุ่ม คือ
๑. คํายืมภาษาต่างประเทศที่ไทยเราจำเป็ นต้องใช้ เพราะไทยเราไม่มีคําไทย
ใช้มาก่อน เราก็จําเป็ นที่จะต้องใช้คําในภาษาของเขาเลย อาทิ ซาลาเปา ซีอิ๊ว
เปาะเปี๊ ยะ (ภาษาจีน), บาร์บีคิว (ภาษาอังกฤษ) ฯลฯ
๒. คํายืมภาษาต่างประเทศที่ไทยเราไม่จำเป็ นต้องใช้ เพราะไทยเรามีคําใน
ภาษาไทยให้ มาก่อน อาจแปลเป็ นไทยแล้ว หรือมีศัพท์บัญญัติใช้อยู่แล้ว อาทิ โชว์
(แสดง), ไอเดีย (ความคิด), คอนเฟิ ร์ม (ยืนยัน), สตาร์ต (เริ่ม) ฯลฯ
ประเทศไทยมีการติดต่อกับต่างประเทศมานาน ทำให้มีการยืมคำในไทยเป็ น
จำนวนมาก การนําคําต่างประเทศมาใช้จึงทำให้ไทยมีคําใช้เพิ่ม สาเหตุการยืมคํา
จากภาษาต่างประเทศเข้ามาใช้
สาเหตุที่ทำให้เกิดการยืมภาษา
๑. ด้านภูมิศาสตร์ อาณาเขตใกล้กันทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนภาษา
๒. ด้านการค้า การติดต่อกันเป็ นหนึ่งในปั จจัยการรับภาษา
๓. ด้านศาสนาและวัฒนธรรม การรับศาสนาและวัฒนธรรมจะแฝงคำศัพท์
จากสิ่งเหล่านั้นมาด้วย
๔. ด้านการศึกษา การเรียนในต่างแดน ความรู้ในแขนงต่าง ๆ ที่เพิ่มเติม
เป็ นที่มาของศัพท์
๕. ด้านเทคโนโลยี การรับความเจริญหรือสิ่งประดิษฐ์มาใช้เป็ นการรับเอา
ภาษาของชาตินั้น ๆ มาด้วย
๒
อิทธิพลของภาษาต่างประเทศที่มีผลต่อภาษาไทย
๑. คำไทยมีหลายพยางค์ จากเดิมที่เป็ นคำพยางค์เดียวก็เพิ่มจำนวนพยางค์
เพิ่มขึ้นโดยผสมกับภาษาอื่น
๒. คำไทยเป็ นคำควบกล้ำมากขึ้น ปั จจุบันมีคำควบกล้ำที่มีเสียงควบต่าง
จากเดิมเพิ่มมากขึ้น
๓. มีตัวสะกดหลายตัวที่ไม่ตรงตามมาตราตัวสะกด ทำให้มีการเขียนและ
การออกเสียงที่หลากหลาย
๔. มีคำศัพท์ใช้ในภาษามากขึ้น ทำให้เลือกใช้ได้เหมาะสมกับโอกาส
วิธีการนำคำภาษาต่างประเทศมาใช้ในภาษาไทย
๑. ใช้ตามคำเดิมที่ยืมมา เช่น เมตร (อังกฤษ) หมายถึง หน่วยวัดความยาว
แข (เขมร) หมายถึง ดวงเดือน
๒. เปลี่ยนตัวสะกดให้ผิดไปจากเดิม เพื่อให้ออกเสียงได้สะดวก เช่น เผอิลฺ
(เขมร) เปลี่ยนเป็ น เผอิญ
๓. เปลี่ยนรูปและเสียงให้ผิดไปจากเดิม เพื่อให้เหมาะกับการออกเสียงภาษา
ไทย เช่น ฮวงโล้ว (จีน) เป็ น อั้งโล่
๔. ตัดคำให้มีเสียงสั้นลง เช่น อุโบสถ (บาลีสันสกฤต) เป็ น โบสถ์
๕. แผลงสระและพยัญชนะให้ผิดไปจากเดิม เช่น กีรติ (บาลีสันสกฤต)
ไทยใช้ เกียรติ
๖. เปลี่ยนความหมายไปจากเดิมให้เข้ากับความหมายของภาษาไทย เช่น
โมโห (บาลีสันสกฤต) หมายถึง ความลุ่มหลง ความโง่เขลา ไทยใช้ โกรธ
๗. บัญญัติศัพท์ขึ้นมาใหม่ คือ การสร้างศัพท์ใหม่ที่มีความหมายตรงกับ
ภาษาเดิม เพื่อไม่ทำให้ภาษาไทยวิบัติ ซึ่งการบัญญัติศัพท์มักใช้กับคำภาษาบาลี
สันสกฤตและภาษาอังกฤษ
๓
ตคอำทีน่มาทีจ่าก๑ภาษาต่างประเทศ
ภาษาเขมร
ไทยได้รับอิทธิพลจากภาษาเขมรจากการค้า การสงคราม การเมืองและ
วัฒนธรรม โดยมีสาเหตุการนำมาใช้ดังนี้
สาเหตุที่ไทยนำคำเขมรมาใช้
๑. รูปแบบและการออกเสียงคล้ายคลึงกัน
๒. อดีตเขมรมีความรุ่งเรืองและมีสัมพันธไมตรีต่อกัน
๓. ไทยและเขมรปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์จึงรับคำเขมรมาใช้
เป็ นคำราชาศัพท์
๔. นักปราชญ์ราชบัณฑิตนำคำเขมรมาใช้ในวรรณกรรมด้านศาสนาและ
พิธีกรรม และยังใช้ในจารึกต่าง ๆ
๕. คนไทยและคนเขมรต่างนับถือและนิยมใช้ภาษาของกันและกัน
ลักษณะคำเขมรที่นำมาใช้ในภาษาไทย
๑. ใช้ตัวสะกดไม่ตรงตามมาตรา เช่น แม่กด มักใช้ ด จ ส เป็ นตัวสะกด เช่น
โปรด เผด็จ ตรัส และแม่กน มักใช้ น ญ ร ล เป็ นตัวสะกด เช่น ผสาน เพ็ญ ขจร
ตำบล
๒. พยัญชนะต้นมักเป็ นคำควบกล้ำและคำที่ใช้อักษรนำ คำควบกล้ำ เช่น
ขลาด กระบือ เพลาไพร คำที่มีอักษรนำ เช่น ขจัด โขนง พนม เสวย
๓. นิยมเติมคำหน้าหรืออุปสรรค ลงหน้าคำกริยาหรือวิเศษณ์เพื่อให้ความ
หมายของคำเปลี่ยนไปบ้าง
๓.๑ ใช้ บัง บัน บำ นำหน้าคำต่าง ๆ ซึ่งขึ้นต้นด้วยพยัญชนะวรรค
บัง นำหน้าคำที่ขึ้นต้นด้วยพยัญชนะวรรค ก และเศษวรรค เช่น
เกิด เป็ น บังเกิด
คม เป็ น บังคม
๔
บัน นำหน้าคำที่ขึ้นต้นด้วยพยัญชนะวรรค ต และเศษวรรค เช่น
เทิง เป็ น บันเทิง
ดาล เป็ น บันดาล
บำ (บํ) นำหน้าคำที่ขึ้นต้นด้วยพยัญชนะวรรค ป เช่น
บัด เป็ น บำบัด
เพ็ญ เป็ น บำเพ็ญ
๓.๒ ใช้พยัญชนะ ป ผ นำหน้าคำ เช่น
ราบ เป็ น ปราบ
จญ เป็ น ผจญ, ประจญ
๓.๓ ใช้ กำ นำหน้าคำ เช่น บัง เป็ น กำบัง
๓.๔ ใช้พยัญชนะ ปร นำหน้าคำ เช่น
ชุม เป็ น ประชุม
มูล เป็ น ประมูล
๔. ใช้คำเติมกลาง ลงในคำนาม คำกริยา หรือคำวิเศษณ์ เพื่อให้ความหมาย
เปลี่ยนไปบ้าง
วิธีนำคำเขมรมาใช้ในภาษาไทย
๑. เลือกคำที่ออกเสียงได้สะดวก สอดคล้องกับภาษาไทยโดยไม่ต้องเปลี่ยน
รูปและเสียงของคำ เช่น ฉบับ เขนย กราบ ปรุง ฉลอง ตรัส เกิด
๒. เปลี่ยนแปลงเสียงสระหรือพยัญชนะ ทั้งในด้านการออกเสียงและการ
สะกดคำ
– เปลี่ยนแปลงการออกเสียง เช่น ฏํรา เขมรอ่าน ตอม-รา ไทยใช้ ตำรา
– เปลี่ยนแปลงการสะกดคำ เช่น ถฺนล ไทยใช้ ถนน แขฺส ไทยใช้ กระแส
(กระแสน้ำ)
๓. เปลี่ยนแปลงความหมาย เพื่อความเหมาะสมในภาษาไทย เช่น ฉฺลอง
เขมร หมายถึง ข้าม ไทย หมายถึง พิธีฉลอง กรอง เขมร หมายถึง กำไล ไทยหมาย
ถึง ถัก, ร้อย
๔. กำหนดความหมายขึ้นใหม่ แต่ยังใกล้เคียงความหมายเดิม เช่น ทบวง
ความหมายเดิมคือ หัว ความหมายใหม่คือ หน่วยงานที่มีฐานะต่ำกว่ากระทรวง
๕
แต่สูงกว่ากรม
๕. แผลงอักษรให้มีรูปร่างต่าง ๆ ทั้งพยัญชนะ สระ ตัวสะกด และให้อ่านออก
เสียงอย่างไทย เช่น โสฺวย แผลงเป็ น เสวย ผฺทม แผลงเป็ น ประทม, บรรทม ขฺจก
แผลงเป็ น กระจอก
ตัวอย่างคำยืมภาษาเขมร
กระทรวง กระบือ ขนม เขนย เขม่า
ปรุง เพลิง ควาญ กระแส ทบวง เดิน
โคม สำราญ สไบ เฉลียว ฉะเชิงเทรา
กำเนิด กระโปรง ทลาย ทหาร บำเรอ
บรรทัด ผลาญ กระเพาะ ฉลอง สนิม
สำเนา จรวด ขจาย
๖
ภาษตาอบานลีแทีล่ะส๑ันสกฤต
ในบรรดาภาษาต่างประเทศที่มีอิทธิพลต่อภาษาไทยมากที่สุด คือ ภาษา
บาลีและภาษาสันสกฤต คำยืมในภาษาไทยที่ยืมมาจากทั้งสองภาษานี้ เป็ นคำที่มีใช้
ในชีวิตประจำวันเป็ นจำนวนมากทั้งภาษาพูดและภาษาเขียน ภาษาบาลีเข้ามาทาง
ศาสนาพุทธ ส่วนภาษาสันสกฤตเข้ามาทางศาสนาพราหมณ์และวรรณคดีเรื่อง
มหาภารตะและรามายณะ
สาเหตุที่ไทยนำคำบาลีและสันสกฤตมาใช้
๑. ความสัมพันธ์ทางด้านศาสนา เมื่อศาสนาพราหมณ์และศาสนาพุทธเผย
แพร่เข้ามาสู่ประเทศไทย ศาสนาพราหมณ์ใช้ภาษาสันสกฤต และศาสนาพุทธใช้
ภาษาบาลี ในการเผยแผ่ศาสนา ไทยได้รับศาสนาพุทธเป็ นศาสนาประจำชาติ และ
รับคติของศาสนาพราหมณ์มาปฏิบัติในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะในลัทธิธรรมเนียม
ประเพณีต่างๆ เราจึงรับคำในลัทธิทั้งสองเข้ามาใช้ในลักษณะของศัพท์ทางศาสนา
และใช้เป็ นศัพท์สามัญทั่วไปในชีวิตประจำวัน
๒. ความสัมพันธ์ทางด้านประเพณี เมื่อชนชาติอินเดียได้เข้ามาตั้งรกรากใน
ประเทศไทย ก็นำเอาประเพณีของตนเข้ามาปฏิบัติ ทำให้มีคำที่เนื่องด้วยประเพณี
เข้ามาปะปนในภาษาไทย และนานเข้าก็ได้กลายเป็ นคำที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวัน
ของคนไทย เช่น ตรียัมปวาย มาฆบูชา ตักบาตรเทโว ดิถี กระยาสารท เทศน์
มหาชาติ กฐิน จรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ฉัตรมงคล พืชมงคล เป็ นต้น
๓. ความสัมพันธ์ทางด้านวัฒนธรรม อินเดียเป็ นประเทศที่เจริญทางด้าน
วัฒนธรรมมานานอิทธิพลทางด้านวัฒนธรรมของอินเดียมีต่อนานาประเทศทาง
ภาคพื้นตะวันออกก่อนที่วัฒนธรรมตะวันตกจะเข้ามา ไทยได้รับอิทธิพลของอินเดีย
ทุกสาขา เช่น ศิลปะ ดาราศาสตร์ การแต่งกาย สิ่งก่อสร้าง เครื่องมือเครื่องใช้ การ
ใช้ราชาศัพท์
๔. ความสัมพันธ์ทางด้านวิชาการ เนื่องจากวิทยาศาสตร์และวิทยาการ
เจริญกว้างขวางขึ้น ทำให้คำที่เราใช้อยู่เดิมแคบเข้า จึงจำเป็ นต้องรับคำบาลี
สันสกฤต เข้ามาใช้ เพื่อความเจริญและความสะดวก เช่น วิทยุ โทรทัศน์ แพทย์
เภสัช ฯลฯ
๗
ตอนที่ ๑๕. ความสัมพันธ์ทางด้านวรรณคดี วรรณคดีอินเดียมีอิทธิพลต่อวรรณคดี
ไทยเป็ นอย่างยิ่ง ทั้งวรรณคดีสันสกฤต และวรรณคดีที่เนื่องมาจากชาดกใน
พระพุทธศาสนา เมื่อเรารับเอาวรรณคดีเหล่านี้เข้ามา จึงมีศัพท์ต่างๆที่เกี่ยวกับ
วรรณคดีเหล่านี้เข้ามามากมาย เช่น ครุฑ สุเมรู หิมพานต์ ฯลฯ
ลักษณะคำบาลีและสันสกฤตที่นำมาใช้ในภาษาไทย
ภาษาบาลีและสันสกฤตอยู่ในตระกูลภาษาที่มีวิภัตปั จจัย คือเป็ นภาษาที่มี
คำเดิมเป็ นคำธาตุ เมื่อจะใช้คำใดจะต้องนำธาตุไปประกอบกับปั จจัยและวิภัตติ เพื่อ
เป็ นเครื่องหมายบอกพจน์ ลิงค์ บุรุษ กาล มาลา วาจก โครงสร้างของภาษา
ประกอบด้วย ระบบเสียง หน่วยคำ และระบบโครงสร้างของประโยค ภาษาบาลี
และสันสกฤตมีหน่วยเสียง ๒ ประเภท คือ หน่วยเสียงสระและหน่วยเสียงพยัญชนะ
ดังนี้
๑. หน่วยเสียงสระ หน่วยเสียงสระภาษาบาลีมี ๘ หน่วยเสียง คือ อะ อา อิ อี
อุ อู เอ โอ หน่วยเสียงภาษาสันสกฤต ตรงกับภาษาบาลี ๘ หน่วยเสียง และต่างจาก
ภาษาบาลีอีก ๖ หน่วยเสียง เป็ น ๑๔ หน่วยเสียง คือ อะ อา อิ อี อุ อู เอ โอ ไอ เอา
ฤ ฤา ฦ ฦๅ
๒. หน่วยเสียงพยัญชนะ หน่วยเสียงพยัญชนะภาษาบาลีมี ๓๓ หน่วยเสียง
ภาษาสันสกฤตมี ๓๕ หน่วยเสียง เพิ่มหน่วยเสียง ศ ษ หน่วยเสียงพยัญชนะทั้งสอง
ภาษานี้แบ่งออกเป็ น ๒ ประเภทคือ พยัญชนะวรรค และพยัญชนะเศษวรรค
วิธีนำคำบาลีและสันสกฤตมาใช้ในภาษาไทย
ภาษาบาลีและสันสกฤตเป็ นภาษาตระกูลเดียวกัน ลักษณะภาษาและ
โครงสร้างอย่างเดียวกัน ไทยเรารับภาษาทั้งสองมาใช้ พิจารณาได้ดังนี้
๑. ถ้าคำภาษาบาลีและสันสกฤตรูปร่างต่างกัน เมื่อออกเสียงเป็ นภาษาไทย
แล้วได้เสียงเสียงตรงกันเรามักเลือกใช้รูปคำสันสกฤต เพราะภาษาสันสกฤตเข้ามาสู่
ภาษาไทยก่อนภาษาบาลี เราจึงคุ้นกว่า เช่น
๘
บาลี สันสกฤต ไทย
กมฺม กรฺม กรรม
จกฺก จกฺร จักร
๒. ถ้าเสียงต่างกันเล็กน้อยแต่ออกเสียงสะดวกทั้งสองภาษา มักเลือกใช้รูป
ภาษาสันสกฤตมากกว่าภาษาบาลี เพราะเราคุ้นกว่าและเสียงไพเราะกว่า เช่น
บาลี สันสกฤต ไทย
ครุฬ ครุฑ ครุฑ
โสตฺถิ สฺวสฺติ สวัสดี
๓. คำใดรูปสันสกฤตออกเสียงยาก ภาษาบาลีออกเสียงสะดวกกว่า จะเลือก
ใช้ภาษาบาลี เช่น
บาลี สันสกฤต ไทย
ขนฺติ กฺษานฺติ ขันติ
ปจฺจย ปฺรตฺย ปั จจัย
๔. รูปคำภาษาบาลีสันสกฤตออกเสียงต่างกันเล็กน้อยแต่ออกเสียงสะดวก
ทั้งคู่บางทีเรานำมาใช้ทั้งสองรูปในความหมายเดียวกัน เช่น
๙
บาลี สันสกฤต ไทย
กณฺหา กฺฤษฺณา กัณหา,กฤษณา
ขตฺติย กฺษตฺริย ขัตติยะ,กษัตริย์
ตัวอย่างคำยืมภาษาบาลีและสันสกฤต
กบาล กมล การณ์ คณะ คุณ จร จีวร
ชฎา ชล ชัย ชีวะ ชีวิต เดช ทวาร
ทายาท ธน ธานี ธูป นคร นารี นิล นิติ
บรม บาท บาป พสุธา พาณิช พิฆาต
พิรุธ เพดาน ภาชนะ ภาพ โภค มณี
มรณะ รัตนะ รส ราชา รูป โรค ลิขิต
เลขา โลก โลภ วาจา วาตะ วาทะ วานร
วารี วาสนา วิมล วิลาส วิหาร เวลา
สมัย สมาธิ สาธารณะ สาโรช สุข หงส์
หิมะ เหตุ โหร อดีต อภัย อาฆาต
อาวรณ์ อุดม อุทัย อุบาย อุปกรณ์
อุปมา
๑๐
ภาษตาออังนกฤทษี่ ๑
ภาษาอังกฤษเป็ นภาษาในตระกูลอินโด-ยุโรเปี ยน มีวิภัตติปั จจัย เช่นเดียว
กับภาษาบาลี-สันสกฤต ภาษาอังกฤษได้รับความนิยมใช้เป็ นภาษาเพื่อการสื่อสาร
มากที่สุด มีประเทศต่าง ๆ ยอมรับภาษาอังกฤษเป็ นภาษาราชการ ภาษาอังกฤษจึง
กลาย เป็ นภาษาสากลของชาวโลก คนไทยได้ศึกษาภาษาอังกฤษเป็ นภาษาที่สองมา
เป็ นเวลานาน จนภาษาอังกฤษเข้ามามีอิทธิพลต่อชีวิตของคนไทยมากขึ้น ทั้งในด้าน
การพูดและการเขียนสื่อสารในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะในปั จจุบันคนไทยศึกษา
ความรู้และวิทยาการต่าง ๆ จากตำราภาษาอังกฤษ และสนใจเรียนรู้ภาษาอังกฤษ
กันมากขึ้น คำยืมจากภาษาอังกฤษจึงหลั่งไหลเข้ามาในภาษาไทยมากขึ้นทุกขณะทั้ง
ในวงการศึกษา ธุรกิจ การเมือง การบันเทิง เป็ นต้น
สาเหตุที่นำภาษาอังกฤษมาใช้
๑. การเจริญสัมพันธไมตรี การค้าขาย และการเผยแพร่วิทยาการความรู้
๒. การศึกษา การเผยแผ่ศาสนา
๓. แสวงหาอาณานิคมทางประเทศตะวันออก
ลักษณะคำภาษาอังกฤษที่นำมาใช้ในภาษาไทย
๑. ใช้ตามคำเดิม แต่ออกเสียงตรงกับรูปที่เขียน เช่น ลอนดอน ลิตร ไอศกรีม
วัคซีน เบนซิน
๒. ใช้ตามคำเดิม แต่ออกเสียงผิดกับรูปที่เขียน เช่น เมตร อ่านว่า เม็ด
ออฟฟิ ศ อ่านว่า อ๊อฟฟิ ศ
๓. เปลี่ยนคำและเสียงให้ผิดไปจากเดิม เช่น อิงลิช เป็ น อังกฤษ
๔. ตัดรูปสระข้างหลังคำออก แล้วใช้คำไทยประกอบข้างหน้า เช่น อเมริกัน
เป็ น ชาวอเมริกา
๕. เติมไม้ทัณฑฆาตที่พยัญชนะตัวสุดท้ายของคำ เช่น อิงแลนด เป็ น อิง
แลนด์
๖. เติมไม้ทัณฑฆาตลงที่พยัญชนะซึ่งอยู่ในระหว่างคำ เช่น ชอลก เป็ น ชอล์ก
๗. ตัดตัวตามที่เป็ นพยัญชนะซ้ำกับตัวสะกดออกตามหลักการเขียนอักษรซ้ำ
๑๑
ตอนที่ ๑เช่น ฟุตบอลล เป็ น ฟุตบอล
๘. เติมไม้วรรณยุกต์และไม้ไต่คู้ลงไปอย่างคำไทยเพื่อให้ออกเสียงชัดขึ้น เช่น
ก๊าซ เชิ้ต ช็อกโกแลต
๙. ใช้คำคงที่เช่นเดียวกับคำไทย คือไม่เปลี่ยนแปลงรูปอย่างในภาษาเดิม จะ
เป็ นเอกพจน์ พหูพจน์ เป็ นชื่อคนหรือชื่อประเทศ ก็มีรูปคงที่อยู่อย่างนั้น
วิธีนำคำภาษาอังกฤษมาใช้ในภาษาไทย
๑. การยืมคำภาษาอังกฤษโดยวิธีการแปลศัพท์ หมายถึง การยืมคำที่เราไม่
เคยมีหรือไม่เคยรู้จักหรือการกล่าวถึงความคิดหรือนามธรรมซึ่งไม่ใช่ความคิดหรือ
นามธรรมที่เรานึกคิดมาก่อนการยืมคำโดยวิธีการนี้จะต้องใช้วิธีการคิดแปลเป็ นคำ
ภาษาไทยให้มีความหมายตรงกับคำในภาษาอังกฤษ แล้วนำคำนั้นมาใช้สื่อสารใน
ภาษาไทยต่อไปดังตัวอย่างเช่น
คำ ภ า ษ า อั ง ก ฤ ษ คำ ภ า ษ า ไ ท ย
TEA SPOON ช้ อ น ช า
MIDDLE-MAN คนกลาง
บั ญ ชี ดำ
BLACKLIST
๒. การบัญญัติศัพท์ โดยรับเอาเฉพาะความคิดเกี่ยวกับเรื่องนั้นมาสร้างคำ
ขึ้นใหม่ ซึ่งมีเสียงแตกต่างจากคำในภาษาอังกฤษ โดยเฉพาะศัพท์ทางวิชาการจะใช้
วิธีการนี้มาก ผู้ที่ทำหน้าที่ในการบัญญัติศัพท์ขึ้นมาใช้ มักจะเป็ นนักวิชาการสาขา
ต่าง ๆหน่วยงานราชการที่มีหน้าที่รับผิดชอบในการบัญญัติศัพท์ภาษาไทยขึ้นใช้
แทนคำยืมจากภาษาต่างประเทศโดยตรง คือ ราชบัณฑิตยสถาน แต่ก็มีบางคำที่นัก
วิชาการแต่ละคนหรือแต่ละหน่วยงานบัญญัติศัพท์ภาษาไทยมาใช้แทนคำภาษา
อังกฤษไม่ตรงกัน การยืมคำจากภาษาอังกฤษมาสร้างเป็ นคำใหม่เพื่อใช้สื่อสารโดย
วิธีการบัญญัติศัพท์ มีมากมายดังตัวอย่างเช่น
๑๒
ตอนที่ ๑ คำ ภ า ษ า ไ ท ย
คำ ภ า ษ า อั ง ก ฤ ษ
TELEGRAPH โทรเลข
PEDOLOGY ป ฐ พี วิ ท ย า
FEDERAL STATE ส ห พั น ธ รั ฐ
๓. การทับศัพท์ การทับศัพท์เป็ นวิธีการยืมจากภาษาห
นึ่งมาใช้ในอีกภาษา
หนึ่งโดยการถ่ายเสียง และถอดอักษร การยืมคำภาษาอังกฤษโดยวิธีการนี้เป็ นวิธี
การที่ทำได้ง่าย และปรากฏเด่นชัดที่สุดว่าเป็ นคำยืมจากภาษาอังกฤษ คำยืมจาก
ภาษาอังกฤษโดยวิธีการทับศัพท์มีมากมายคำบางคำราชบัณฑิตยสถานได้บัญญัติ
ศัพท์เป็ นคำไทยแล้ว แต่คนไทยนิยมใช้คำทับศัพท์มากกว่าคำทับศัพท์บางคำจึงคุ้นหู
ผู้รับสารมากกว่าศัพท์บัญญัติคำทับศัพท์ภาษาอังกฤษที่ใช้สื่อสารโดยทั่วไป เช่น
ตอนที่ ๑ คำ ภ า ษ า ไ ท ย
คำ ภ า ษ า อั ง ก ฤ ษ
QUOTA โควตา
PHYSICS ฟิ สิ ก ส์
ก อ ล์ ฟ
GOLF
ตัวอย่างคำยืมภาษาอังกฤษ
กราฟ การ์ตูน กิ๊บ คริสต์มาส ไดนาโม ไดโนเสาร์ ครีม คลอรีน คอนกรีต คลินิก
คอนเสิร์ต คอมพิวเตอร์ คุกกี้ เคเบิล เครดิต แคปซูล เคาน์เตอร์ แคลอรี โควตา
ชอล์ก ช็อกโกเลต เช็ค เชิ้ต เชียร์ โชว์ ซีเมนต์ เซลล์ ไซเรน ดีเซลดอลลาร์
ดีเปรสชั่น เต็นท์ ทอนซิล เทอม แท็กซี่ แทรกเตอร์ นิโคติน นิวเคลียร์ ปิ กนิก
เปอร์เซ็นต์ พลาสติก พีระมิด ฟลูออรีน ฟอร์มาลีน ฟั งก์ชัน ฟาร์ม ฟิ สิกส์
๑๓
ภตาษอาจนีนที่ ๑
ไทยและจีนเป็ นมิตรประเทศที่ติดต่อเจริญสัมพันธไมตรี และค้าขายแลก
เปลี่ยนสินค้าและศิลปะ วัฒนธรรมอันดีงามมาช้านาน ชาวจีนที่มาค้าขายได้เข้ามา
ตั้งถิ่นฐานอยู่ในประเทศไทยเป็ นจำนวนมาก ภาษาจีนจึงเข้ามาสู่ไทยโดยทางเชื้อ
ชาติ นอกจากนี้ภาษาจีนและภาษาไทยยังมีลักษณะที่คล้ายคลึงกัน จึงทำให้มีคำ
ภาษาจีนเข้ามาปะปนอยู่ในภาษาไทยจนแทบแยกกันไม่ออก
สาเหตุที่ไทยนำภาษาจีนมาใช้
๑. ภาษาจีนเข้ามาปะปนในภาษาไทย คือ เชื้อสายและการค้าขาย เพราะมี
คนจีนเข้ามาอาศัยอยู่ในประเทศไทยเป็ นจำนวนมาก มีความผูกพันกันในด้านการ
แต่งงาน
๒. การค้าขาย ไทยและจีนทำการค้าระหว่างประเทศมาช้านาน จึงรับภาษา
จีนมาไว้ใช้ในภาษาไทยจำนวนมาก
๓. ไทยรับภาษาจีนมาใช้โดยการทับศัพท์ซึ่งเสียงอาจจะเพี้ยนจากภาษาเดิม
ไปบ้าง
ลักษณะภาษาจีนที่นำมาใช้ในภาษาไทย
ไทยนำคำภาษาจีนมาใช้ โดยมากไทยเลียนเสียงจีนได้ใกล้เคียงกว่าชาติอื่น ๆ
เช่น เกาเหลา ตั้งฉ่าย เต้าทึง เต้าหู้ เต้าฮวย บะฉ่อ พะโล้ แฮ่กึ้น เป็ นต้น มีบางคำที่
นำมาตัดทอนและเปลี่ยนเสียง เช่น เตี้ยะหลิว ตะหลิว บ๊ะหมี่ บะหมี่ ปุ้ งกี ปุ้ งกี๋
วิธีนำคำภาษาจีนมาใช้ในภาษาไทย
๑. นำมาเป็ นชื่ออาหารการกิน เช่น ก๋วยเตี๋ยว เต้าทึง แป๊ ะซะ เฉาก๊วย
จับฉ่าย เป็ นต้น
๒. เป็ นคำที่เกี่ยวกับสิ่งของเครื่องใช้ที่เรารับมาจากชาวจีน เช่น ตะหลิว ตึก
เก้าอี้ เก๋ง ฮวงซุ้ย
๓. เป็ นคำที่เกี่ยวกับการค้าและการจัดระบบทางการค้า เช่น เจ๋ง บ๋วย หุ้น
ห้าง โสหุ้ย เป็ นต้น
๑๔
ตอนที่ ๑
๔. เป็ นคำที่ใช้วรรณยุกต์ตรี จัตวา เป็ นส่วนมาก เช่น ก๋วยจั๊บ กุ๊ย เก๊ เก๊ก
ก๋ง ตุ๋น เป็ นต้น
ตัวอย่างคำยืมภาษาจีน
กงสี กงไฉ่ กงเต็ก ก๋วยเตี๋ยว ก๋วยจั๊บ เกาหลา กุ๊ย เก๊ เก๊ก เกี้ยว เกี๊ยว
เกี๊ยะ กุยเฮง เก๊ก ก๋ง เก้าอี้ ขาก๊วย เข่ง จับกัง จับฉ่าย จับยี่กี จันอับ เจ๊ง เจี๋ยน เจ
เฉาก๊วย เซ้ง เซียน แซ่ แซยิด เซ็งลี้ ซาลาเปา ซิ้ม ตะหลิว เต๋า ตุน ตุ๋น แต๊ะเอีย
เต้าหู้ เต้าฮวย เต้าเจี้ยว โต๊ะ ตังเก บ๊วย บะฉ่อ บะหมี่ บู๊ ปุ้ งกี๋ ปอเปี๊ ยะ แป๊ ะเจี๊ยะ
พะโล้ เย็นตาโฟ หวย ยี่ห้อ ลิ้นจี่ ห้าง หุ้น เอี๊ยม เฮงซวย ฮวงซุ้ย ฮ่องเต้ อั้งโล่
ภาตษาอชวนา ท-ี่มา๑ลายู
ภาษาชวา ปั จจุบันเรียกว่าภาษาอินโดนีเซีย เป็ นภาษาตระกูลคำติดต่อ
ตระกูลเดียวกับภาษามลายู ภาษาชวาที่ไทยยืมมาใช้ส่วนมากเป็ นภาษาเขียน ซึ่งรับ
มาจากวรรณคดีเรื่อง ดาหลังและอิเหนาเป็ นส่วนใหญ่ ถ้อยคำภาษาเหล่านี้ใช้
สื่อสารในวรรณคดี และในบทร้อยกรองต่าง ๆ มากกว่าคำที่นำมาใช้สื่อสารในชีวิต
ประจำวัน
สาเหตุที่ไทยนำภาษาชวา - มาลายูมาใช้
๑. ภาษาจีนเข้ามาปะปนในภาษาไทย คือ เชื้อสายและการค้าขาย เพราะมี
คนจีนเข้ามาอาศัยอยู่ในประเทศไทยเป็ นจำนวนมาก มีความผูกพันกันในด้านการ
แต่งงาน
๒. การค้าขาย ไทยและจีนทำการค้าระหว่างประเทศมาช้านาน จึงรับภาษา
จีนมาไว้ใช้ในภาษาไทยจำนวนมาก
๓. ไทยรับภาษาจีนมาใช้โดยการทับศัพท์ซึ่งเสียงอาจจะเพี้ยนจากภาษาเดิม
ไปบ้าง
๑๕
ลักษณะภาษาชวา - มาลายูที่นำมาใช้ในภาษาไทย
๑. คำยืมภาษาชวา-มลายูส่วนใหญ่เป็ นคำ ๒ พยางค์ คำพยางเดียวมีน้อย
มาก เช่นทุเรียน น้อยหน่า มังคุด สาคูโลมา
๒. ภาษาชวา-มลายูไม่มีเสียงควบกล้ำ เช่น กะปะ (งู) กุเรา,กุเลา (ปลา)
ตะเบ๊ะอังกะลุง
๓. ภาษาชวา-มลายู ไม่ใช้เสียงวรรณยุกต์แม้ระดับเสียงของคำเปลี่ยนไปแต่
ความหมายของคำยังคงเดิม เช่นกระดังงา กุดัง สลัก กระจูด
วิธีนำคำภาษาชวา – มาลายูมาใช้ในภาษาไทย
๑. ออกเสียงเหมือนหรือใกล้เคียงกับภาษาเดิมและคงความหมายตามภาษา
เดิม เช่น
กง มาจากคำว่า kong (ไม้รูปโค้งที่เป็ นโครงเรือ)
กะปะ มาจากคำว่า kapak (ชื่องูพิษ)
๒. เสียงพยัญชนะบางเสียงเปลี่ยนไปแต่ใกล้เคียงกับเสียงเดิม
ปาเต๊ะ มาจากคำว่า batek กลายมาจากเสียง /b/ เป็ นเสียง /p/
กัญชา มาจากคำว่า ganja กลายมาจากเสียง /j/ เป็ นเสียง /ch/
๓. เสียงสระเปลี่ยนแปลงไป คำที่เสียงสระเปลี่ยนแปลงไปนี้ โดยทั่วไปจะ
เปลี่ยนแปลงไปแต่เพียงเล็กน้อย เช่น เปลี่ยนจากสระเสียงสั้นเป็ นสระเสียงยาว
หรือเปลี่ยนเป็ นเสียงที่มีลักษณะใกล้เคียงกัน ส่วนคำที่เสียงสระเปลี่ยนแปลงไปอย่าง
ชัดเจนมีไม่มากนักและมักจะเปลี่ยนทั้งเสียงพยัญชนะและสระ เช่น
กระแชง มาจากคำว่า kajang (กายัง = เครื่องบังแดดแบบหนึ่ง)
กะละแม มาจากคำว่า kelamai (เกอะลาไม)
๔. คำที่ไทยนำมาออกเสียงประสมสระอะที่พยางค์หน้า บางคำแทรกเสียง “ร”
ควบกล้ำซึ่งอาจจะเป็ นเพราะอิทธิพลของคำไทยที่มีคำลักษณะนี้อยู่มาก เช่น
๑๖
kakatua กระตั๋ว (นกกระตั๋ว)
ketok กระทอก (กระแทกขึ้นลง)
๕. เปลี่ยนแปลงหรือเพิ่มหน่วยเสียงตัวสะกด ส่วนมากจะเป็ นการเปลี่ยน
แปลงตัวสะกดให้ตรงตามมาตราตัวสะกดของไทย เช่น
กระพัน มาจากคำว่า kabal (ทนทานต่อศัสตราวุธ)
กำปั่ น มาจากคำว่า kapal (เรือกำปั่ น)
๖. การกลายเสียงวรรณยุกต์ ระดับเสียงในภาษาชวา–มลายู อยู่ในระดับ
กลางและต่ำ ไม่อยู่ในระดับสูง เช่น บุหรง ชวา–มาลายู ซึ่งชวา–มลายูออกเสียง
ระดับกลางว่า บุ–รง เหตุที่เสียงวรรณยุกต์กลายจากเสียงระดับกลางและต่ำเป็ น
เสียงสูงนั้นก็คงเป็ นเพราะว่าเราได้รับคำเหล่านี้ผ่านเข้ามาทางเสียงชาวปั กษ์ใต้
นัยว่าเพราะนางข้าหลวงผู้ที่นำเรื่องอิเหนามาเล่าถวายเจ้าหญิงสองพระองค์ของ
ไทย เป็ นชาวปั กษ์ใต้ (พระยาอนุมานราชธน, ๒๕๑๐ : ๗๗) สำเนียงภาษาถิ่นใต้นั้น
โดยทั่วไปแล้วจะออกเสียงอยู่ในระดับเสียงสูง คำภาษาชวา – มลายู ที่มีในวรรณคดี
เรื่องอิเหนาจะมีคำที่กลายเสียงในลักษณะนี้จำนวนมาก และส่วนใหญ่พยางค์ท้าย
จะกลายเสียงเป็ นเสียงจัตวา เช่น
bulan บุหลัน (ดวงเดือน)
pandan ปาหนัน (ดอกลำเจียก)
ตัวอย่างคำยืมภาษาชวา - มาลายู
๑. คำที่ใช้ในวรรณคดี เช่นตุนาหงัน สะตาหมัน กระยาหงันบาหยัน (ชื่อพี่เลี้ยง
บุษบา) ระเด่นอสัญแดหวา อิเหนา กิดาหยันบุหลัน
๒. เป็ นคำที่เกี่ยวกับสิ่งของเครื่องใช้ที่เรารับมาจากชาวจีน เช่น ตะหลิว ตึก เก้าอี้
เก๋ง ฮวงซุ้ย
๓. คำที่ใช้เป็ นชื่อพืช เช่นมังคุด ทุเรียน ปาหนัน(ดอกลำเจียก) บุหงา บุหงันน้อยหน่า
กระดังงา สาคู
๑๗
๔. คำที่ใช้เป็ นชื่อสัตว์ เช่นบุหรง (นกยูง) โลมา กระตั้วโนรี อุรังอุตัง
๕. คำที่ใช้เป็ นชื่อสิ่งของ เช่นปั้ นเหน่ง กระชัง
๖. คำที่ใช้ในศิลปวัฒนธรรม เช่นรองเง็ง อังกะลุง ตุนาหงันบุหงารำไป
(ดอกไม้ต่างๆ ปรุงด้วยเครื่องหอม) บูดู ยี่เก
สรุป
การยืมภาษา คือ การรับเอาภาษาผู้ให้มาใช้ในภาษาผู้รับทำให้ภาษานั้นมีคำศัพท์
เพิ่มมากขึ้นการยืมนั้น ผู้ยืมอาจใช้วิธียืมให้เหมาะแก่การใช้ในภาษาของตนมีหลายวิธี ได้แก่
การยืมเสียง การยืมคำการยืมความหมาย การยืมประโยค การยืมสำนวน และบางครั้งยัง
รับเอาไวยากรณ์ภาษาคำยืมนั้นมาด้วยซึ่งการรับภาษาอื่นเข้ามาปะปนในภาษาไทยนั้นมี
สาเหตุหลายประการ ได้แก่ สาเหตุทางประวัติศาสตร์ สาเหตุด้านการเมือง การสงคราม
สาเหตุด้านประเพณีวัฒนธรรม สาเหตุด้านการค้าขาย สาเหตุด้านการทูต สาเหตุด้านการ
ศึกษา และสาเหตุด้านความเจริญด้านเทคโนโลยีต่าง ๆ การรับภาษาต่างประเทศเข้ามา
ปะปนเช่นนี้มีการรับมายาวนาน แสดงถึงพัฒนาการทางด้านภาษาว่ามีการเปลี่ยนแปลง
ตามยุคสมัย เมื่อมีภาษาที่สูญหายไป ก็ย่อมมีภาษาที่เพิ่มเข้ามาทำให้ภาษาไม่ขาดแคลน
สามารถใช้สื่อสารกันได้เป็ นอย่างดี
กิจกรรมเสนอแนะ
๑. ให้นักเรียนยกตัวอย่างคำยืมจากภาษาเขมร ภาษาจีน ภาษาอังกฤษ
ภาษาบาลีและสันสกฤต และภาษาชวา - มาลายู อย่างละ ๕ คำ
๒. ให้นักเรียนแบ่งกลุ่มศึกษาลักษณะคำยืมแต่ละภาษา แล้วออกมารายงาน
หน้าชั้นเรียน
๑๘
แบบทดสอบหลังเรียน
คำยืมภาษาต่างประเทศในภาษาไทย
คำชี้แจง จงเลือกกาเครื่องหมาย X ทับอักษร ก ข ค และ ง ที่ถูกที่สุดเพียงข้อเดียว
๑. “นายทรงกลดเป็ นนักเรียนที่ได้รับ “โควตา” จากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่” คำที่ขีด
เส้นใต้ เป็ นคำที่มาจากภาษาใด
ก. อังกฤษ ข. จีน ค. เขมร ง. ญี่ปุ่ น
๒. เหตุใดจึงมีการยืมคำภาษาต่างประเทศมาใช้ในภาษาไทย
ก. เพราะในปั จจุบันมีคนนิยมใช้กันมาก
ข. เพราะมีวิทยากรเข้ามาเผยแพร่ในประเทศไทย
ค. เพราะมีการติดต่อระหว่างประเทศทั้งด้านการทูต การค้าขาย
ง. เพราะภาษาต่างประเทศมีมากจึงต้องนำมาใช้ในประเทศไทยบ้าง
๓. ข้อใดไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้มีภาษาต่างประเทศเข้ามาปะปนในภาษาไทย
ก. มีอาณาเขตใกล้เคียงติดต่อกัน ข. นับถือสถาบันกษัตริย์เหมือนกัน
ค. มีการไปศึกษาต่อต่างประเทศ ง. ความเจริญทางเทคโนโลยี
๔. คำว่า “นีออน” เป็ นคำที่มาจากภาษาใด
ก. จีน ข. ญี่ปุ่ น ค. เขมร ง. อังกฤษ
๕. ประโยคใดมีคำที่มาจากภาษาจีน
ก. อย่าลืมปิ ดไฟทุกครั้งก่อนนอน
ข. ฉันไม่ชอบเดินคนเดียวตอนเย็น
ค. คุณครูบอกให้จัดโต๊ะและเก้าอี้ให้เรียบร้อย
ง. มีพระห้อยคอแล้วรู้สึกเป็ นสิริมงคล
๑๙
๖. คำยืมภาษาอังกฤษส่วนใหญ่เป็ นคำที่สะกดด้วยพยัญชนะใด
ก. ก ย บ ล ม ข. ส ท ฮ ก ช ค. บ ล ฟ พ ว ง. ฟ ล ส ศ ต
๗. คำข้อใดมาจากภาษาญี่ปุ่ น
ก. สาเก ยูโด ข. กะปิ จวน ค. ขนมปั งซามูไร ง .ปิ่ นโต คาเฟ่
๘. คำยืมที่มาจากภาษาอังกฤษเริ่มเข้ามาในสมัยใด
ก. รัชกาลที่ ๑ ข. รัชกาลที่ ๒ ค. รัชกาลที่ ๓ ง. รัชกาลที่ ๔-๖
๙. คำยืมในภาษาต่างประเทศชาติใด ที่ไทยยืมมาใช้เป็ นคำราชาศัพท์
ก. จีน ข. ญี่ปุ่ น ค. บาลี ง. เขมร
๑๐. คำว่า “กระดาษ” เป็ นคำที่ยืมมาจากภาษาใด ค. ภาษาจีน ง. ภาษาเขมร
ก. ภาษาชวา – มลายู ข. ภาษาโปรตุเกส
๑๑. การยืมคำภาษาบาลีมาใช้ในไทย มีสาเหตุมาจากข้อใด
ก.ศาสนาพุทธ ข. การปกครอง ค. การค้าขาย ง.เป็ นภาษาถิ่น
๑๒. คำภาษาชวาเข้ามาในภาษาไทยพร้อมกับวรรณคดีเรื่องใด ง. รามเกียรติ์
ก. ดาหลังและอิเหนา ข. ลิลิตเพชรมงกุฎ ค. ระเด่นลันได
๑๓. ข้อใดไม่ใช่คำภาษาจีนเกี่ยวกับอาหารและขนม
ก. แป๊ ะซะ ข. อั้งโล่ ค. แฮ่กึ๊น ง. เจี๋ยน
๑๔. ข้อใดมีคำภาษาเขมร ๒ คำ และคำภาษาชวา-มลายู ๑ คำ
ก. จำหน่าย ยี่เก โนรี ข. เสวย แข บุหงา
ค. ขจี บำเพ็ญ กังวล ง. บุหงา ปั้ นเหน่ง ก ระชัง
๒๐
๑๕. ข้อใดเป็ นคำที่มาจากภาษาต่างประเทศทุกคำ
ก. เกาเหลา ข้าวเปล่า ข. บันได แก้วน้ำ
ค. ทุเรียน จานข้าว ง. กัลปั งหา กีตาร์
๑๖. ข้อใดกล่าวถึงข้อสังเกตลักษณะของคำที่มาจากภาษาเขมรได้ถูกต้อง
ก. เป็ นคำที่สะกดตรงตามมาตรา ข. มักใช้พยัญชนะ ศ ษ
ค. มีวรรณยุกต์หลากหลาย ง. มักจะเป็ นคำควบกล้ำ
๑๗. ข้อใดเป็ นคำที่มาจากภาษาอังกฤษทุกคำ ข. เกียร์ ดีเซล จับกัง
ก. คอนเสิร์ต แท็กซี่ นอต ง. จาระบี เรดาห์ สักหลาด
ค. ทีวี บัดกรี ชอล์ก
๑๘. ข้อใดเป็ นคำที่มาจากภาษาจีนทุกคำ ข. คะน้า ท้อ สึนามิ
ก. โบตั๋น กุยช่าย เท็มปุระ ง. จับเลี้ยง ซาโยนาระ โหวงเฮ้ง
ค. ก๋วยเตี๋ยว โจ๊ก โอเลี้ยง
๑๙. ข้อใดเป็ นคำที่มาจากภาษาเขมรทุกคำ ข. โควตา ธำมรงค์ โก๋แก่
ก. ยูโด จรวด บรรทม ง. บะหมี่ ตำรวจ คาราเต้
ค. กำเนิด บันได ตรัส
๒๐. “กัปตันทีมฟุตบอลของไทยได้รับแรงเชียร์จากแฟนคลับอย่างแน่นอน” มีคำที่มา
จากภาษาอังกฤษกี่คำ
ก. ๔ คำ ข. ๕ คำ ค. ๖ คำ ง. ๗ คำ
๒๑. “ก๋งของฉันชอบกิน แป๊ ะซะ พะโล้ ก๋วยจั๊บ แต่ไม่ชอบกิน เต้าทึง เต้าหู้ เต้าส่วน”
ชื่ออาหารที่กล่าวถึงมาจากภาษาใด
ก. ไทยแท้ ข. จีน ค. ชวา ง. เขมร
๒๑
๒๒. บันดาลลงบันได บันทึกให้ดูจงดี รื่นเริงบันเทิงมี บันลือลั่นสนั่นดัง คำว่า “บัน”
ที่ปรากฏในบทร้อยกรองข้างต้น เป็ นคำที่มาจากภาษาใด
ก. เขมร ข. ไทยแท้ ค. จีน ง. โปรตุเกตุ
๒๓. คำในข้อใดเป็ นคำภาษาเขมร
ก. เพลิง ข. เพชร ค. มรกต ง. บูรณ
๒๔. คำว่า “เมตตา วิญญาณ” ยืมมาจากภาษาใด
ก. ภาษาบาลี ข. ภาษาโปรตุเกส ค. ภาษาจีน ง. ภาษาเขมร
๒๕. ข้อใดไม่ใช่อิทธิพลของภาษาต่างประเทศที่มีผลต่อภาษาไทย
ก . คำไทยเป็ นคำควบกล้ำมากขึ้น
ข. มีตัวสะกดหลายตัวที่ไม่ตรงตามมาตราตัวสะกด
ค. มีคำศัพท์ใช้ในภาษามากขึ้น
ง. ทำให้ภาษาไทยลดลง
๒๖. ไทยเราใช้คำภาษาเขมร ดังหลักฐานปรากฏในวรรณคดีหลายเรื่องยกเว้นข้อใด
ก. สี่แผ่นดิน ข. ลิลิตพระลอ ค. มหาชาติคำหลวง ง. สมุทรโฆษคำฉันท์
๒๗. ภาษาเขมรเข้ามาปะปนกับภาษาไทย ดังนั้นภาษาถิ่นเขมรจึงคล้ายคลึงกับ
ภาษาพูดของคนไทยในท้องถิ่นใด
ก. เหนือ ข. อีสานใต้ ค. ตะวันออก ง. อีสานเหนือ
๒๘. คำในข้อใดไม่มีคำที่มาจากภาษาเขมร
ก. ผู้หญิงยิงเรือ ข. ดูฉงนสนเท่ห์
ค. ขี้ขลาดตาขาว ง. ครวญคร่ำร่ำไห้
๒๒
๒๙. คำใดต่อไปนี้เป็ นคำภาษาบาลี
ก. มัจฉา ข. ศานติ ค. บุษบา ง. สัตย์
๓๐. “คุณพ่อชวนคุณแม่ไปกินบะหมี่ฮ่องเต้ที่เยาวราช” คำที่ขีดเส้นใต้เป็ นคำที่มา
จากภาษาใด
ก. ไทยแท้ ข. จีน ค. ชวา ง. เขมร
๒๓
ประโยคความรวม
ซับซ้อน
ประโยคความเดียว
ซับซ้อน
ประโยคซับซ้อน
ประโยคซับซ้อน ประโยค
แสดงเงื่อนไข
ที่ซับซ้อน
ประโยคเงื่อนไข
ซับซ้อน
ตอนที่ ๒
ประโยคซับซ้อน
ประโยค ประโยคที่เราใช้ในการสื่อสารกันส่วนใหญ่จะเป็ นประโยคความเดียว
ประโยคความรวม และ ประโยคความซ้อน ซึ่งเป็ นประโยคที่มีโครงสร้างง่าย ๆ
ไม่สลับซับซ้อน กล่าวคือ ถ้าเป็ นประโยคความเดียวก็จะประกอบด้วยบทประธาน
บทกริยา หรือบทประธาน บทกริยา และบทกรรม ซึ่งไม่มีส่วนขยายหรือถ้ามีก็เป็ น
ส่วนขยายที่เป็ นคําหรือกลุ่มคําเล็ก ๆ เพียงคําเดียวหรือกลุ่มเดียว สําหรับประโยค
ความรวมจะประกอบด้วยประโยคความเดียวเพียง ๒ ประโยค ประโยคความซ้อน
จะประกอบด้วยประโยคหลักและมีประโยคย่อยเพียงประโยคเดียวทําหน้าที่ขยาย
ประโยคหลัก
ประโยคความเดียวซับซ้อน
ประโยคความเดียวซับซ้อน คือ ประโยคความเดียวที่มีส่วนขยายทั้งบท
ประธาน บทกริยาหรือบทกรรม เพียงบทใดบทหนึ่งหรือหลาย ๆ บทก็ได้ ทั้งนี้เพื่อ
ให้ข้อความมีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น
๑. ประโยคความเดียวซับซ้อนที่ภาคประธาน
๑) ส่วนขยายเป็ นกลุ่มคําที่มีคําบุพบทนําหน้า เช่น
เครื่องปั้ นดินเผาของชุมชนเกาะเกร็ด จังหวัดนนทบุรีเป็ นที่นิยมของ
นักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศ
ตัวแทนเยาวชนจาก ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ประมาณ ๕๐ คน จะเดิน
ทางมาเยี่ยมชมทําเนียบรัฐบาล
๒) ประธานเป็ นกลุ่มคําที่มีคําว่า “การ” หรือ “ความ” นําหน้า เช่น
ความสามัคคีปรองดองของคนในชาติ เป็ นปั จจัยแห่งความสงบสุข
การส่งเสริมการออกกําลังกายของผู้สูงอายุ ช่วยให้สุขภาพแข็งแรง
ยิ่งขึ้น
๒๖
๓) ประธานมีส่วนขยายเป็ นคําหรือกลุ่มคําปะปนกัน เช่น
สินค้านานาชนิดหลากหลายรูปแบบจากร้านค้าชุมชน แสดงถึง
ภูมิปั ญญาของชาวบ้านเป็ นอย่างดี
ประโยคนี้ประธาน คือ สินค้า
หลากหลายรูปแบบ ขยายกลุ่มคํา สินค้านานาชนิด
จากร้านค้าชุมชน ขยายกลุ่มคํา สินค้านานาชนิดหลากหลายรูปแบบ
๒. ประโยคความเดียวซับซ้อนที่ภาคแสดง
๑) กริยาหรือตัวแสดงเป็ นกลุ่มคํา
นักกีฬาวิ่งกระโดดกระโจนข้ามรั้วด้วยความดีใจ
ชาวบ้านพยายามจ้องมองดูต้นไม้ประหลาดด้วยความสนใจ
๒) กริยาหรือตัวแสดงมีส่วนขยายอยู่หลายแห่งในประโยค
ทุกเช้าก่อนเข้าเรียนครูตรวจการแต่งกายนักเรียนอย่างละเอียด
หน้าแถว
ประโยคนี้ กริยา คือ ตรวจ
ทุกเช้าก่อนเข้าเรียน อยู่ต้นประโยค ขยายกริยา ตรวจ
อย่างละเอียดหน้าแถว อยู่ท้ายประโยค ขยายกริยา ตรวจ
๓) กริยาหรือตัวแสดงมีส่วนขยายต่อเนื่องกันหลายทอด
นักเรียนค่อย ๆ จัดดอกกุหลาบใส่แจกันบนโต๊ะครู
ประโยคนี้ กริยาหรือตัวแสดง คือ จัด
ค่อย ๆ ขยายกริยา จัด
ใส่ ขยายกริยา จัด
ประโยคความรวมซับซ้อน
ประโยคความรวมซับซ้อน คือ ประโยคความรวมที่ประกอบด้วยประโยค
ความเดียวมากกว่า สองประโยค โดยมีสันธานเป็ นตัวเชื่อมเนื้อความของประโยค
ความเดียวทั้ง ๒ ประโยค และ เนื้อความหรือใจความเป็ นอย่างเดียวกันหรือต่างกัน
ก็ได้
๒๗
๑. ประโยคความรวมที่มีส่วนประกอบเป็ นประโยคความเดียวซับซ้อน
พืชสมุนไพรมิได้มีประโยชน์เฉพาะการปรุงอาหารเท่านั้น แต่ยังนํามาทํา
ยาสมุนไพร รักษาโรคอีกด้วย
ประโยคนี้เป็ นประโยคความเดียว ๒ ประโยค มีสันธาน แต่ เป็ นตัวเชื่อม
ดังนี้ – พืชสมุนไพรมิได้มีประโยชน์เฉพาะการปรุงอาหารเท่านั้น
- (พืชสมุนไพร) ยังนํามาทํายาสมุนไพรรักษาโรคอีกด้วย
๒. ประโยคความรวมที่มีส่วนประกอบเป็ นประโยคความรวม
เขารับประทานอาหารรสจัด แต่ฉันรับประทานผลไม้รสเปรี้ยว ดังนั้นเขา
จึง ปวดท้อง แต่ฉันท้องเสีย
๓. ประโยคความรวมที่มีส่วนประกอบเป็ นประโยคความซ้อน
เขาตั้งใจจะไปนมัสการพระธาตุที่ประดิษฐานบนเจดีย์ภูเขาทอง ประสบปั ญหา
เพราะฝนตกหนัก
ประโยคซับซ้อนที่ซับซ้อน
ประโยคซับซ้อนที่ซับซ้อน เกิดจากประโยคสามัญที่แบ่งเป็ นประโยคความ
เดียว ประโยคความรวม และประโยคความซ้อน จากประโยคทั้งสามนี้เพิ่มคำขยาย
หรือข้อความขยาย การรวมประโยคสามัญดังกล่าวเข้าด้วยกันทำให้กลายเป็ น
ประโยคซับซ้อนขึ้น แต่สามารถสื่อสารชัดเจนและสละสลวย
๑. ประโยคหลักหรือประโยคย่อยเป็ นประโยคความเดียวซับซ้อน
นักกีฬากําลังฝึ กซ้อมอยู่กลางสนาม ซึ่งเพิ่งสร้างเสร็จเรียบร้อย
เมื่อสัปดาห์ก่อน
๒. ประโยคความซ้อน ซึ่งมีส่วนประกอบเป็ นประโยคความรวม
ละครพูดเรื่องเห็นแก่ลูกที่ครูและนักเรียนแสดงได้รับความสนใจ
เป็ นอย่างมาก
๓. ประโยคความซ้อน ซึ่งมีส่วนประกอบเป็ นประโยคความซ้อน
ครูบอกแก่ลูกศิษย์ทั้งหลายว่า เราควรมีจิตใจเข้มแข็งอดทนจึงจะต่อสู้กับ
อุปสรรคนานัปการที่เข้ามารุมล้อมรอบตัวเราได้
๒๘
ประโยคแสดงเงื่อนไข
ประโยคแสดงเงื่อนไข คือ ประโยคที่ประกอบด้วยประโยคความเดียวตั้งแต่
สองประโยคขึ้นไปเชื่อมกันด้วยสันธานและมีใจความเป็ นเงื่อนไขต่อกัน คือ ประโยค
หนึ่งเป็ นตัวเงื่อนไข อีกประโยคหนึ่งเป็ นผลที่ตามมา เช่น
เขาจะกลับบ้านก็ต่อเมื่อเขาออกกําลังกายเสร็จ
เขาออกกําลังกายเสร็จ : เงื่อนไข
เขาจะกลับบ้าน : ผลที่ตามมา
๑. ประโยคที่แสดงเงื่อนไขที่มีลักษณะคล้ายประโยคความรวม
ถ้าเจ้าบ่าวมีเพียงพร้าเหน็บหลังมาฝ่ ายหญิงก็จะยกเจ้าสาวให้
เจ้าบ่าวมีเพียงพร้าเหน็บหลังมา : เงื่อนไข
ฝ่ ายหญิงจะยกเจ้าสาวให้ : ผลที่ตามมา
หากชายหญิงประสงค์จะแต่งงานกัน ฝ่ ายชายต้องไปสู่ขอฝ่ ายหญิงก่อน
ชายหญิงประสงค์จะแต่งงานกัน : เงื่อนไข
ฝ่ ายชายต้องไปสู่ขอฝ่ ายหญิงก่อน : ผลที่ตามมา
๒. ประโยคแสดงเงื่อนไขที่มีลักษณะคล้ายประโยคความซ้อน
เพื่อนเจ้าบ่าวเจ้าสาวส่วนมากเป็ นบุคคลที่เจ้าบ่าวเจ้าสาวรักใคร่ใกล้ชิด
เจ้าบ่าวเจ้าสาวรักใคร่ใกล้ชิด : เงื่อนไข
เพื่อนเจ้าบ่าวเจ้าสาวส่วนมากเป็ นบุคคล : ผลที่ตามมา
ประโยคเงื่อนไขซับซ้อน
ประโยคเงื่อนไขซับซ้อน คือ ประโยคเงื่อนไขที่ประกอบด้วยประโยคที่เป็ นตัว
เงื่อนไขหรือผลที่ตามมามากกว่าหนึ่งประโยค
เงื่อนไขมากกว่าหนึ่งประโยค
ถ้าเราทําความชั่วแล้วพยายามปกปิ ดความชั่วนั้นไว้ ความชั่วนั้นก็คงจะปรากฏขึ้น
สักวันหนึ่ง
๒๙
ประโยคนี้ประกอบด้วย
เราทําความชั่ว : เงื่อนไขที่ ๑
เราพยายามปกปิ ดความชั่วนั้นไว้ : เงื่อนไขที่ ๒
ความชั่วนั้นก็จะปรากฏขึ้นสักวันหนึ่ง : ผลที่ตามมา
ผลที่ตามมามากกว่าหนึ่งประโยค
ถ้าเราทําความชั่วแล้วพยายามปกปิ ดความชั่วนั้นไว้ ความชั่วนั้นก็จะปรากฏ
ขึ้นและนําความเดือดร้อนมาให้สักวันหนึ่ง
ประโยคนี้ประกอบด้วย
เราทําความชั่ว : เงื่อนไขที่ ๑
เราพยายามปกปิ ดความชั่วนั้นไว้ : เงื่อนไขที่ ๒
ความชั่วนั้นจะปรากฏขึ้น : ผลที่ตามมาที่ ๑ (ความชั่ว)
นําความเดือดร้อนมาให้สักวันหนึ่ง : ผลที่ตามมาที่ ๒
สรุป
ประโยคที่เราใช้ในภาษาไทยมีทั้งประโยคความเดียว ประโยคความรวม ประโยค
ความซ้อน ประโยคแสดงเงื่อนไข แต่ในการพูดการเขียนในชีวิตประจําวัน เราใช้ประโยค
ที่มีโครงสร้างซับซ้อนกว่าประโยคดังกล่าวเพื่อความชัดเจนในการสื่อสาร นักเรียน
จําเป็ นต้องมีความรู้เกี่ยวกับประโยคเป็ นอย่างดีเพื่อสามารถนําไปใช้ได้อย่างถูกต้อง
๓๐
กิจกรรมเสนอแนะ
๑. แบ่งนักเรียนออกเป็ น ๕ กลุ่ม ให้แต่ละกลุ่มศึกษาค้นคว้าเรื่องประโยคตาม
หัวข้อต่อไปนี้ แล้วออกมานำเสนอหน้าชั้นเรียน
กลุ่มที่ ๑ ประโยคความเดียวซับซ้อน
กลุ่มที่ ๒ ประโยคความรวมซับซ้อน
กลุ่มที่ ๓ ประโยคความซ้อนซับซ้อน
กลุ่มที่ ๔ ประโยคแสดงเงื่อนไข
กลุ่มที่ ๕ ประโยคเงื่อนไขซับซ้อน
๒. ให้นักเรียนคัดลอกประโยคซับซ้อนจากหนังสือหรือสื่ออื่น ๆ คนละ ๒๐
ประโยค แล้วนำมาวิเคราะห์ว่าเป็ นประโยคซับซ้อนประเภทใด ประกอบด้วย
ประโยคใดบ้าง
๓๑
แบบทดสอบหลังเรียน
ประโยคซับซ้อน
คำชี้แจง จงเลือกกาเครื่องหมาย X ทับอักษร ก ข ค และ ง ที่ถูกที่สุดเพียงข้อเดียว
๑. ข้อใดกล่าวถึง ประโยคสามัญ ได้ถูกต้อง
ก. มีประโยคหลักและอนุประโยค
ข. มีหลาย ๆ ประโยคมาเชื่อมต่อกันด้วยคำสันธาน
ค. ประกอบด้วยภาคประธานและภาคแสดง
ง. มีการนำประโยคย่อย ๒ ประโยคขึ้นไปรวมกัน
๒. ข้อใดกล่าวถึง นามานุประโยค ได้ถูกต้อง
ก. อนุประโยคที่ถูกขยายให้ซับซ้อนมากยิ่งขึ้น ซึ่งอาจรวมกับประโยคสามัญ
และประโยคซ้อน
ข. อนุประโยคที่ทำหน้าที่เหมือนคำวิเศษณ์ ขยายคำกริยา หรือคำวิเศษณ์
ค. อนุประโยคที่ทำหน้าที่ขยายคำนามโดยมี ที่ ซึ่ง อัน เป็ นประธานของอนุ
ประโยค
ง. อนุประโยคที่ทำหน้าที่เหมือนนามวลี ทำหน้าที่เป็ นประธาน กรรม หรือ
หน่วยเติมเต็มก็ได้
๓. ข้อใดกล่าวถึง คุณานุประโยค ได้ถูกต้อง
ก. อนุประโยคที่ถูกขยายให้ซับซ้อนมากยิ่งขึ้น ซึ่งอาจรวมกับประโยคสามัญ
และประโยคซ้อน
ข. อนุประโยคที่ทำหน้าที่เหมือนคำวิเศษณ์ ขยายคำกริยา หรือคำวิเศษณ์
ค. อนุประโยคที่ทำหน้าที่ขยายคำนามโดยมี ที่ ซึ่ง อัน เป็ นประธานของอนุ
ประโยค
ง. อนุประโยคที่ทำหน้าที่เหมือนนามวลี ทำหน้าที่เป็ นประธาน กรรม หรือ
หน่วยเติมเต็มก็ได้
๓๒
๔. ข้อใดกล่าวถึง วิเศษณานุประโยค ได้ถูกต้อง
ก. อนุประโยคที่ถูกขยายให้ซับซ้อนมากยิ่งขึ้น ซึ่งอาจรวมกับประโยคสามัญ
และประโยคซ้อน
ข. อนุประโยคที่ทำหน้าที่เหมือนคำวิเศษณ์ ขยายคำกริยา หรือคำวิเศษณ์
ค. อนุประโยคที่ทำหน้าที่ขยายคำนามโดยมี ที่ ซึ่ง อัน เป็ นประธานของอนุ
ประโยค
ง. อนุประโยคที่ทำหน้าที่เหมือนนามวลี ทำหน้าที่เป็ นประธาน กรรม หรือ
หน่วยเติมเต็มก็ได้
๕. ข้อใดคือคำเชื่อมระหว่างประโยค ให้เป็ น ประโยความรวม
ก. แล้ว แล้วก็ แต่ จึง หรือ ข. ที่ ซึ่ง อัน เพราะ
ค. กับ แก่ แต่ แด่ ต่อ ง. ช่าง ชาว การ ความ
๖. ข้อใดคือองค์ประกอบสำคัญของประโยค ข. ภาคขยายประธาน
ก. ภาคประธาน ง. ภาคประธาน ภาคขยายประธาน
ค. ภาคประธานและภาคแสดง
๗. ประโยครวม คือข้อใด
ก. ประโยคย่อยตั้งแต่ ๒ ประโยคขึ้นไปรวมเข้าเป็ นประโยคเดียวกัน
ข. ประโยคที่มีการขยายประโยคให้ซับซ้อนขึ้น
ค. ประโยคที่มีประโยคหลักและอนุประโยค
ง. ประโยคที่มีส่วนประกอบทั้งภาคประธานและภาคแสดงมีส่วนขยาย
๘. ข้อใดให้ความหมายของประโยคซับซ้อน ได้ถูกต้องที่สุด
ก. ประโยคที่มีประโยคหลักและอนุประโยค
ข. ประโยคที่ทำหน้าที่เหมือนนามวลี
ค. ประโยคที่มีการขยายอีกขั้นหนึ่ง
ง. ประโยคที่ทำหน้าที่ขยายคำนาม
๓๓
๙. การศึกษาเรื่องประโยคซับซ้อนมีประโยชน์อย่างไร
ก. ช่วยในการวิเคราะห์ประโยคได้ถูกต้อง
ข. ช่วยในการพูดและเขียนให้ได้ใจความชัดเจน
ค. ช่วยให้เห็นส่วนขยายของภาคประธานและภาคแสดงชัดเจน
ง. ถูกทุกข้อ
๑๐. ประโยคซับซ้อน มีกี่ชนิด
ก. ๒ ชนิด ข. ๓ ชนิด ค. ๔ ชนิด ง. ๕ ชนิด
๑๑. ประโยครวมที่ซับซ้อน ไม่ได้เกิดจากการรวมของประโยคใด
ก. สามัญ + สามัญ ข. ซ้อน + สามัญ ค. ซ้อน + ซ้อน ง. สามัญ + ซ้อน
๑๒. ประโยคที่ทำหน้าที่เหมือนนามวลี ทำหน้าที่เป็ นประธาน กรรม หรือหน่วย
เติมเต็มก็ได้ คือข้อใด
ก. นามานุประโยค ข. คุณานุประโยค
ค. วิเศษณานุประโยค ง. สันธาณานุประโยค
๑๓. ข้อใดกล่าวถูกต้อง
ก. ในการพูดและเขียน หากใช้ประโยคซับซ้อนมากๆจะทำให้ผู้ฟั งเข้าใจง่ายขึ้น
ข. ประโยคสามัญ รวมกับ ประโยคซ้อน เป็ นประโยคซับซ้อนได้
ค. ประโยครวมมักจะมีคำว่า และ และก็ แต่ จึง หรือ
ง. ประโยคสามัญมักจะมีคำว่า เพราะ อยู่ในประโยค
๑๔. ข้อใดกล่าวผิด
ก. ประโยคสามัญ มีภาคประธาน และภาคแสดง อย่างละ ๑
ข. ประโยครวม เกิดจากประโยคสามัญ ๒ ประโยคขึ้นไป โดยมีสันธานเป็ นตัว
เชื่อม
๓๔
ค. "เธอใส่กางเกงสีขาวขายาวยืนอยู่หน้าโรงเรียน" เป็ นประโยคสามัญที่ซับซ้อน
ง. คำว่า ที่ ซึ่ง อัน ห้ามใช้ในประโยครวมที่ซับซ้อน
๑๕. “ประโยคเงื่อนไขที่ประกอบด้วยประโยคที่เป็ นตัวเงื่อนไขหรือผลที่ตามมา
มากกว่าหนึ่งประโยค” คือความหมายของประโยคชนิดใด
ก. ประโยคเงื่อนไขซับซ้อน ข. ประโยคเงื่อนไขซับซ้อนที่ซับซ้อน
ค. ประโยคแสดงเงื่อนไข ง. ประโยคแสดงเงื่อนไขที่ซับซ้อน
๑๖. “ประโยคที่ประกอบด้วยประโยคความเดียวตั้งแต่สองประโยคขึ้น ไปเชื่อมกัน
ด้วยสันธานและมีใจความเป็ นเงื่อนไขต่อกัน คือ ประโยคหนึ่งเป็ นตัวเงื่อนไข
อีกประโยคหนึ่งเป็ นผลที่ตามมา” คือความหมายของประโยคชนิดใด
ก. ประโยคเงื่อนไขซับซ้อน ข. ประโยคเงื่อนไขซับซ้อนที่ซับซ้อน
ค. ประโยคแสดงเงื่อนไข ง. ประโยคแสดงเงื่อนไขที่ซับซ้อน
๑๗. “เขาจะกลับบ้านก็ต่อเมื่อเขาออกกําลังกายเสร็จ” ข้อความใดเป็ นผลที่ตามมา
จากเงื่อนไข
ก. ต่อเมื่อ ข. ออกกําลังกาย
ค. เขาออกกําลังกายเสร็จ ง. เขาจะกลับบ้าน
๑๘. “เขาจะกลับบ้านก็ต่อเมื่อเขาออกกําลังกายเสร็จ” ข้อความใดเงื่อนไข
ก. ต่อเมื่อ ข. ออกกําลังกาย
ค. เขาออกกําลังกายเสร็จ ง. เขาจะกลับบ้าน
๑๙. “ถ้าเจ้าบ่าวมีเพียงพร้าเหน็บหลังมาฝ่ ายหญิงก็จะยกเจ้าสาวให้” ข้อความใด
เป็ นเงื่อนไข
ก. ถ้าเจ้าบ่าว ข. ถ้าเจ้าบ่าวมีเพียงพร้าเหน็บหลังมา
ค. ฝ่ ายหญิง ง. ฝ่ ายหญิงก็จะยกเจ้าสาวให้
๓๕
๒๐. “ถ้าเจ้าบ่าวมีเพียงพร้าเหน็บหลังมาฝ่ ายหญิงก็จะยกเจ้าสาวให้”
ข้อความใดเป็ นผลที่ตามมาจากเงื่อนไข
ก. ถ้าเจ้าบ่าว ข. ถ้าเจ้าบ่าวมีเพียงพร้าเหน็บหลังมา
ค. ฝ่ ายหญิง ง. ฝ่ ายหญิงก็จะยกเจ้าสาวให้
๒๑. ข้อใดเป็ นประโยค ข. ชามก๋วยเตี๋ยวใบใหญ่
ก. อนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี ง. ข้างกระถางต้นไม้
ค. ไก่ขัน
๒๒. ประโยคเงื่อนไขที่ประกอบด้วยประโยคที่เป็ นตัวเงื่อนไขหรือผลที่ตามมา
มากกว่าหนึ่งประโยค เรียกว่าประโยคอะไร
ก. ประโยคเงื่อนไขซับซ้อน ข. ประโยคแสดงเงื่อนไข
ค. ประโยคแสดงเงื่อนไขซับซ้อน ง. ประโยคเงื่อนไขซับซ้อนที่ซับซ้อน
๒๓. “ครูใบตองที่สอนวิชาภาษาไทยเป็ นคนสวยมาก ๆ” จากประโยคข้างต้น ข้อใด
ต่อไปนี้กล่าวถูกต้อง
ก. ประโยคหลัก คือ “ครูใบตองเป็ นคนสวยมาก ๆ”
ข. ประโยคย่อยเป็ น วิเศษณานุประโยค
ค. ประโยคย่อย คือ “ที่สอนวิชาภาษาไทยเป็ นคนสวยมากๆ”
ง. ถูกทุกข้อ
๒๔. ข้อใดต่อไปนี้ เป็ นประโยคความซ้อนที่มีประโยคย่อยเป็ นวิเศษณานุประโยค
ก. เธอดูหนังสือมากจนปวดศีรษะ
ข. ครูกรเล่นฟุตบอล เพราะครูกรสอนวิชาพละ
ค. ครูผู้ชายที่เดินมาคือครูกร
ง. ถูกทุกข้อ
๓๖
๒๕. ข้อใดต่อไปนี้ เป็ นประโยคความซ้อนที่มีประโยคย่อยเป็ นวิเศษณานุประโยค
ก. นกซึ่งมีขนสวยบินเร็ว
ข. เธอร้องเพลงเพราะเหมือนนักร้องร้อง
ค. ฉันกินมะม่วง
ง. นกสวยบินเร็วจน
๒๖. “พระราชาองค์นี้ทรงทศพิธราชธรรมดียิ่ง ดังนั้นราษฎรจึงรักพระองค์จนพวก
เขาสละชีพเพื่อพระองค์ได้” คือประโยคประเภทใด
ก. ประโยคซ้อน ข. ประโยคซับซ้อน
ค. ประโยคซ้อนซับ ง. ประโยคซ้อนที่ซับซ้อน
๒๗. “ประโยครวมที่มีส่วนขยายเพิ่มขึ้นเนื่องจากมีประโยครวมซ้อนกันหลายชั้น”
คือความหมายของประโยคชนิดใด
ก. ประโยคซ้อน ข. ประโยคซับซ้อน
ค. ประโยครวมที่ซับซ้อน ง. ประโยคซ้อนที่ซับซ้อน
๒๘. “ประโยคความซ้อนที่มีประโยคย่อยมากกว่าหนึ่งประโยค” คือความหมายของ
ประโยคชนิดใด
ก. ประโยคซ้อน ข. ประโยคซับซ้อน
ค. ประโยครวมที่ซับซ้อน ง. ประโยคซ้อนที่ซับซ้อน
๒๙. “คำพูด หรือข้อความตอนหนึ่ง ๆ ที่ได้ความบริบูรณ์ ประกอบด้วย ภาค
ประธาน และภาคแสดง”
คือความหมายของอะไร
ก. กริยา ข. ประธาน ค. ภาคแสดง ง. ประโยค
๓๐. “ส่วนที่เป็ นการกระทำของประธานในประโยค” คือความหมายของอะไร
ก. กริยา ข. ประธาน ค. ภาคแสดง ง. ประโยค
๓๗
ระดับพิธีการ
ภาษาระดับกันเอง ภาษาระดับทางการ
ระดับภาษา
ภาษาระดับ ภาษาระดับ
ไม่เป็ นทางการ กึ่งทางการ