ตอนที่ ๓
ระดับภาษา
ระดับภาษา คือ รูปแบบการใช้ภาษาที่มีความลดหลั่นของถ้อยคำตามโอกาส
กาลเทศะและความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล เช่น การใช้คำสรรพนามว่า ข้าพระพุทธเจ้า
ข้าพเจ้า กระผม ดิฉัน ผม ฉัน หนู ข้า คำที่ใช้แทนตัวผู้พูดเหล่านี้แสดงถึงระดับของ
ภาษาว่ามีความแตกต่างกัน ถึงแม้ผู้ใช้ภาษาจะเป็ นบุคคลเดียวกัน
ระดับพิธีการ
ระดับพิธีการ ใช้สื่อสารกันในที่ประชุมที่จัดขึ้นอย่างเป็ นทางการ ได้แก่
การประชุมรัฐสภา การกล่าวอวยพร การกล่าวต้อนรับ การกล่าวรายงานในพิธี
มอบปริญญาบัตร ประกาศนียบัตร การกล่าวสดุดีหรือการกล่าวเพื่อจรรโลงใจให้
ประจักษ์ในคุณความดี การกล่าวปิ ดพิธี เป็ นต้น ผู้ส่งสารระดับนี้มักเป็ นคนสำคัญ
หรือมีตำแหน่งสูง ผู้รับสารมักอยู่ในวงการเดียวกันหรือเป็ นกลุ่มคนส่วนใหญ่
สัมพันธภาพระหว่างผู้ส่งสารกับผู้รับสารมีต่อกันอย่างเป็ นทางการ ส่วนใหญ่ผู้ส่ง
สารเป็ นผู้กล่าวฝ่ ายเดียว ไม่มีการโต้ตอบ ผู้กล่าวมักต้องเตรียมบทหรือวาทนิพนธ์
มาล่วงหน้าและมักนำเสนอด้วยการอ่านต่อหน้าที่ประชุม
ตัวอย่างการใช้ภาษาระดับพิธีการ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้
ข้าพเจ้ามาปฏิบัติพระราชกรณียกิจแทนพระองค์ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตร
ของมหาวิทยาลัยมหิดลอีกวาระหนึ่ง ขอแสดงความชื่นชมกับผู้ทรงคุณวุฒิและ
บัณฑิตทุกคน ที่ได้รับเกียรติและความสำเร็จ
๔๐
บัณฑิตทุกคน เมื่อสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัย ควรมีความพร้อม
อยู่พอสมควร ในการที่จะออกไปประกอบกิจการงานในหน้าที่ต่างๆ ตามหลัก
วิชาการของตน ปั ญหามีอยู่ว่าบัณฑิตจะทราบได้อย่างไร ว่าตนเองทำงานได้
อย่างมีคุณภาพและได้ผล จึงขอให้ทุกคนทำความเข้าใจเสียแต่ต้นว่า เมื่อใดท่าน
แน่ใจว่ามีความตั้งใจดี มีหลักวิชาดี มีแผนงานดี มีสติสมบูรณ์มั่นคง มีเหตุผลที่
ถูกต้อง และมีความคิดพิจารณาที่ละเอียดรอบคอบพร้อมมูลในตัวแล้วเมื่อนั้น
ท่านสามารถทำงานได้อย่างมีคุณภาพและได้ผล แม้ผลจะยังไม่ปรากฏให้เห็นได้ใน
ทันที แต่ก็เชื่อมั่นได้ว่างานที่ทำจะสำเร็จลุล่วง และได้รับผลอันสมบูรณ์ในภาย
หน้าอย่างแน่นอน
ข้อควรสังเกต
- เป็ นภาษาที่ใช้สื่อสารกันในที่ประชุมที่จัดขึ้นอย่างเป็ นพิธีการ เช่น การ
กล่าวคำปราศรัย การเปิ ดประชุมรัฐสภา การกล่าวสดุดี การกล่าวรายงานใน
พิธีมอบปริญญาบัตรหรือประกาศนียบัตร เป็ นต้น
- ผู้ส่งสาร ต้องเป็ นบุคคลสำคัญหรือตำแหน่งสูงในวงการ ส่วนผู้รับสาร
มักจะเป็ นกลุ่มชน ส่วนใหญ่ ผู้ส่งสารจะเป็ นผู้กล่าวฝ่ ายเดียว ไม่มีการโต้ตอบ
- ลักษณะสารจะเลือกเฟ้ นถ้อยคำที่ไพเราะ เป็ นคำศัพท์ที่เป็ นทางการ
- เป็ นสารที่ต้องเตรียมล่วงหน้าและมีการส่งสารด้วยการอ่าน ผ่านสื่อ
มวลชนต่าง ๆ
๔๑
ภาษาระดับทางการ
ภาษาระดับทางการ ใช้บรรยายหรืออภิปรายอย่างเป็ นทางการในที่ประชุม
หรือใช้ในการเขียนข้อความที่ปรากฏต่อสาธารณชนอย่างเป็ นทางการ หนังสือที่ใช้
ติดต่อกับทางราชการหรือในวงธุรกิจ ผู้ส่งสารและผู้รับสารมักเป็ นบุคคลในวง
อาชีพเดียวกัน ภาษาระดับนี้เป็ นการสื่อสารให้ได้ผลตามจุดประสงค์โดยยึดหลัก
ประหยัดคำและเวลาให้มากที่สุด
ตัวอย่างการใช้ภาษาระดับทางการ
กราบเรียน ฯ พณ ฯ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและ
รัฐบุรุษในนามของราชบัณฑิตยสถาน กระผมมีความปลาบปลื้มยินดีเป็ นอย่างยิ่ง
ที่ท่านประธานองคมนตรี และรัฐบุรุษได้กรุณามาเป็ นประธานในพิธีเปิ ดงาน
ฉลองวันสถาปนาราชบัณฑิตยสถาน
เมื่อการสื่อสารมวลชนและการพิมพ์แพร่หลายขึ้นในประเทศ ระบบค่านิยม
ของกระฎุมพีเหล่านี้ก็จะยิ่งแพร่กระจายไปได้กว้างขึ้น ฝั งแน่นอยู่ในวรรณกรรมที่
ถูกยกย่องว่าเป็ นวรรณกรรมประจำชาติ
ข้อควรสังเกต
- เป็ นภาษาที่ใช้ในการบรรยายหรืออภิปรายอย่างเป็ นทางการในที่ประชุม
ใหญ่ การรายงานทางวิชาการ, หนังสือราชการ (จดหมายราชการ) หรือ
จดหมายที่ติดต่อในวงการธุรกิจ คำนำหนังสือ, ประกาศของทางราชการ ฯลฯ
- การใช้ภาษาจะใช้อย่างเป็ นทางการมุ่งเข้าสู่จุดประสงค์ ที่
ต้องการความรวดเร็ว สารชนิดนี้มีลักษณะตรงไปตรงมาไม่ใช้คาฟุ่ มเฟื อย ไม่
เน้นความไพเราะของถ้อยคำ
๔๒
ภาษาระดับกึ่งทางการ
ภาษาระดับกึ่งทางการ คล้ายกับภาษาระดับทางการ แต่ลดความเป็ นงาน
เป็ นการลงบ้าง เพื่อให้เกิดสัมพันธภาพระหว่างผู้ส่งสารและผู้รับสารซึ่งเป็ นบุคคล
ในกลุ่มเดียวกัน มีการโต้แย้งหรือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันเป็ นระยะๆ มักใช้ใน
การประชุมกลุ่มหรือการอภิปรายกลุ่ม การบรรยายในชั้นเรียน ข่าว บทความใน
หนังสือพิมพ์ เนื้อหามักเป็ นความรู้ทั่วไป ในการดำเนินชีวิตประจำวัน กิจธุระต่างๆ
รวมถึงการปรึกษาหารือร่วมกัน
ตัวอย่างการใช้ภาษาระดับกึ่งทางการ
- คนไทยขาดความมั่นใจและศรัทธาในความกล้าหาญของนายก
- ไม่เคยแม้สักครั้งที่ไปถึงเมืองไหนแล้ว จะไม่ได้ออกไปชม บรรยากาศยาม
เช้าของเมืองนั้น
- ต้องยอมรับว่าเป็ นความฉลาดปราดเปรื่องของผู้จัดที่เลือกอุทยานน้ำตก
แจ้ซ้อนเป็ นที่ประชุม
- กินของไทย ใช้ของไทย ร่วมใจกันประหยัด เป็ นคำขวัญยอดนิยมในปี ท่อง
เที่ยวไทย
ข้อควรสังเกต
- เป็ นภาษาที่ใช้สื่อสารคล้ายกับระดับทางการ แต่ลดความเป็ นการเป็ นงาน
ลงบ้าง การใช้ภาษาระดับนี้ มักใช้ในการประชุมกลุ่มเล็ก การบรรยายใน
ห้องเรียน ข่าวและบทความในหนังสือพิมพ์ โดยทั่วไปจะมีถ้อยคำ สำนวน ที่
ทำให้รู้สึกคุ้นเคยมากกว่าในระดับทางการ
- เนื้อของสาร มักจะเป็ นเรื่องที่เกี่ยวกับความรู้ทั่วไป หรือเป็ นการแสดง
ความคิดเห็นเชิงวิชาการที่เกี่ยวกับการดำเนินชีวิต หรือเรื่องเกี่ยวกับธุรกิจ ใช้
คำศัพท์ทางวิชาการเท่าที่จำเป็ น
๔๓
ภาษาระดับไม่เป็ นทางการ
ภาษาระดับไม่เป็ นทางการ ภาษาระดับนี้มักใช้ในการสนทนาโต้ตอบระหว่าง
บุคคลหรือกลุ่มบุคคลไม่เกิน ๔-๕ คนในสถานที่และกาละที่ไม่ใช่ส่วนตัว อาจจะเป็ น
บุคคลที่คุ้นเคยกัน การเขียนจดหมายระหว่างเพื่อน การรายงานข่าวและการเสนอ
บทความในหนังสือพิมพ์ โดยทั่วไปจะใช้ถ้อยคำสำนวนที่ทำให้รู้สึกคุ้นเคยกัน
มากกว่าภาษาระดับทางการหรือภาษาที่ใช้กันเฉพาะกลุ่ม เนื้อหาเป็ นเรื่องทั่วๆไป
ในการดำเนินชีวิตประจำวัน กิจธุระต่างๆรวมถึงการปรึกษาหารือหรือร่วมกัน
ตัวอย่างการใช้ภาษาระดับไม่เป็ นทางการ
- เท่าที่พบการทำงานส่งครูของนักเรียน แย่มากจริงๆ
- นายยังไม่แทงเรื่องลงมา ให้ฉันตั้งแต่เมื่อวานนี้
- กวินเธอเป็ นคนซื่อสัตย์ใครๆก็ปลื้มเธอในเรื่องนี้
- ความตั้งใจในการเดินทางของผมครั้งนี้ขึ้นอยู่ที่การหาเส้นทางซอกแซก
ไปที่น้ำตกของอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่
จากกรณีที่หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ เกจิดังแห่งวัดบ้านไร่ ได้อาพาธลงอย่าง
กะทันหัน มีอาการอ่อนเพลียอย่างหนักเนื่องจากต้องตรากตรำทำพิธีปลุกเสก
วัตถุมงคลและเคาะหัวให้กับบรรดาศิษยานุศิษย์ จนไม่มีเวลาพักผ่อน (ภาษา
สนทนาในข่าว)
ข้อควรสังเกต
- เป็ นภาษาที่มักใช้ในการสนทนาโต้ตอบกันของคนที่รู้จักมักคุ้นกัน อยู่ใน
สถานที่และกาละที่ไม่เป็ นการส่วนตัว
- ภาษาที่ใช้ อาจจะเป็ นคำสแลงหรือเป็ นคำที่เข้าใจความหมายตรงกันได้
ในกลุ่มเท่านั้น
- ต้องไม่เป็ นคำหยาบ หรือคำไม่สุภาพ
๔๔
ภาษาระดับกันเอง
ภาษาระดับกันเอง ภาษาระดับนี้มักใช้กันในครอบครัวหรือระหว่างเพื่อน
สนิท สถานที่ใช้มักเป็ นพื้นที่ส่วนตัว เนื้อหาของสารไม่มีขอบเขตจำกัด มักใช้ในการ
พูดจากัน ไม่นิยมบันทึกเป็ นลายลักษณ์อักษรยกเว้นนวนิยายหรือเรื่องสั้นบางตอน
ที่ต้องการความเป็ นจริง (การแบ่งภาษาดังที่กล่าวมาแล้วมิได้หมายความว่าแบ่งกัน
อย่างเด็ดขาด ภาษาระดับหนึ่งอาจเหลื่อมล้ำกับอีกระดับหนึ่งก็ได้)
ตัวอย่างการใช้ภาษาระดับกันเอง
- นายกินเหล้านานหรือยังเสียสุขภาพจริง
-ผู้หญิงที่ปล่อยให้พุงพลุ้ยเป็ นพะโล้อย่างนี้ นอกจากจะดูไม่ได้แล้วยังจะ
ตายไวเสียด้วย
-เย็นนี้รีบกลับมากินแกงสายบัวพริกสดกับกุ้งนะลูก
ข้อควรสังเกต
- การแบ่งระดับภาษาไม่เป็ นการตายตัว ภาษาแต่ละระดับอาจมีการ
เหลื่อมล้ำคาบเกี่ยวกันบ้าง เช่น ระดับทางการ กับ ระดับกึ่งทางการ หรือ
ระดับกึ่งทางการ กับระดับไม่เป็ นทางการ หรือ ระดับไม่เป็ นทางการ กับ
ระดับกันเอง
- ภาษาทั้ง ๕ ระดับ ไม่มีโอกาสใช้พร้อมกัน ระดับที่ใช้มาก คือ ระดับกึ่ง
ทางการ กับ ไม่เป็ นทางการ ส่วนระดับพิธีการ มีโอกาสใช้น้อย ส่วนระดับ
กันเอง บางคนก็ไม่นิยมใช้
- ภาษาบางระดับใช้แทนที่กันไม่ได้ เช่น ระดับพิธีการ, ระดับทางการ หรือ
ระดับทางการ,ระดับกึ่งทางการ จะใช้แทนระดับไม่เป็ นทางการ, ระดับกันเอง
ไม่ได้
- การใช้ภาษาผิดระดับจะเป็ นผลเสียแก่การสื่อสาร
๔๕
ตาราง
สรุประดับภาษา
ระดับ โอกาสและสถานที่ ลักษณะภาษาที่ใช้
ภาษา
๑. พิธีการ การเปิ ดประชุม การกล่าวอวยพร มีลักษณะพิธีรีตอง
การกล่าวสุนทรพจน์ กล่าวรายงาน ภาษาไพเราะ
การกล่าวต้อนรับ สละสลวย
๒. ทางการ จดหมายราชการ จดหมายธุรกิจการ ภาษาทางการ ถ้อยคำตรง
อภิปรายหรือการประชุม ไปตรงมา มีศัพท์เทคนิค
รายงานวิชาการ ประกาศทางการ หรือศัพท์วิชาการบ้าง
๓. กึ่ง การประชุมกลุ่มย่อย การอภิปราย ใช้ภาษาเขียน
ทางการ การเสวนา การบรรยายในห้องเรียน แต่มีภาษาพูดอยู่บ้าง
๔. ไม่เป็ น บทความแสดงความคิดเห็นใน ใช้ภาษาพูดและสุภาพ
ทางการ นิตยสารหรือหนังสือพิมพ์ การสนทนาโต้ตอบไม่เกิน
รายการสาระบันเทิงทางโทรทัศน์ ๕ คน ในสถานที่ไม่ใช่
การปรึกษาหารือกัน ส่วนตัว
ใช้ภาษาพูด อาจมีคำคะนอง
๕. กันเอง การสนทนาเรื่องส่วนตัว หรือภาษถิ่นในวงจำกัด
การทักทายระหว่างเพื่อนสนิท
๔๖
กิจกรรมเสนอแนะ
๑. ให้นักเรียนเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างภาษาพิธีการกับภาษาทางการ
ว่าแตกต่างกันอย่างไร
๒. ให้นักเรียนยกตัวอย่างบทสนทนาในการ์ตูนขำขันมา ๑ ตัวอย่าง แล้วบอก
ด้วยว่าเป็ นภาษาระดับใด
๔๗
แบบทดสอบหลังเรียน
ระดับภาษา
คำชี้แจง จงเลือกกาเครื่องหมาย X ทับอักษร ก ข ค และ ง ที่ถูกที่สุดเพียงข้อเดียว
๑. ระดับภาษามีกี่ระดับ
ก. ๓ ระดับ ข. ๔ ระดับ ค. ๕ ระดับ ง. ๖ ระดับ
๒. ภาษาระดับพิธีการ ใช้เนื่องในโอกาสใด
ก. การประชุมกลุ่มหรืออภิปรายกลุ่ม
ข. การกล่าวรายงานในพิธีมอบปริญญาบัตร
ค. การเขียนจดหมายระหว่างเพื่อน
ง. บทความในหนังสือพิมพ์ กิจธุระต่าง ๆ
๓. เฮ้อ! เซ็ง เงินทองก็ไม่ค่อยจะมี จากข้อความเป็ นภาษาในระดับใด
ก. ภาษาระดับทางการ ข. ภาษาระดับกึ่งทางการ
ค. ภาษาระดับไม่เป็ นทางการ ง. ภาษาระดับกันเอง
๔. ข้อใดอธิบายความหมายของระดับภาษาได้ชัดเจนที่สุด
ก. การใช้ภาษาเป็ นเครื่องมือสื่อสารความรู้ ความคิด ความรู้สึก
ข. การใช้ภาษาตามสัมพันธภาพของบุคคลโดยคำนึงถึงกาลเทศะ
ค. การใช้ภาษาแบบเป็ นทางการ
ง. การใช้ภาษาแบบไม่เป็ นทางการ
๕. ข้อใดใช้ภาษาระดับทางการได้ถูกต้อง
ก. คลอดบุตร ข. เผาศพ ค. ทิ้งจดหมาย ง. ตีตรา
๔๘
๖. คำในข้อใดมักจะใช้ในภาษาระดับสนทนาและระดับกันเองเท่านั้น
ก. อย่างนั้น อย่างนี้ อย่างไร ข. บริโภค รับประทาน เสวย
ค. กระผม ง. ฉัน กัน เรา
๗. ภาษาในข้อใดที่ใช้สื่อสารกันในตลาดร้านค้า
ก. หมอนั่นพูดบ้าน้ำลายอยู่คนเดียว
ข. เขาถูกฆ่าตายหน้าโรงภาพยนต์
ค. บุคคลเหล่านั้นประพฤติตนไม่เรียบร้อย
ง. ชายคนนั้นได้แต่นั่งซึมดื่มสุราตลอดทั้งวัน
๘. คำในข้อใดไม่ใช่ภาษาที่ใช้ในระดับทางการ ข. โรงหนัง แสตมป์
ก. สุนัข สุกร ง. รถประจำทาง หนังสือรับรอง
ค. โรงภาพยนต์ ดวงตราไปรษณีย์
๙. ข้อใดใช้ภาษาระดับสนทนามากที่สุด
ก. การประชุมกลุ่มหรืออภิปรายกลุ่ม
ข. การพูดจากันระหว่างบุคคลภายในครอบครัว
ค. การเขียนจดหมายระหว่างเพื่อน
ง. การเปิ ดประชุมรัฐสภา
๑๐. ข้อใดใช้ภาษาระดับทางการ
ก. นายกรัฐมนตรีกำลังบรรยายเรื่องเศรษฐกิจไทยในปั จจุบัน
ข. คืนนี้ฉันคงต้องไปงานศพของพ่อเพื่อนน่ะ
ค. เด็กวัยรุ่นสมันนี้ชอบโทรศัพท์คุยกับเพื่อน
ง. พ่อคงจะกลับบ้านดึกหน่อยเพราะต้องไปร่วมงานแต่งงานลูกน้องที่บริษัท
๔๙
๑๑. ข้อใดใช้ถ้อยคำสื่อความหมายได้เหมาะกับบุคคล
ก. ขอบคุณนักเรียนมากนะคะที่ตั้งใจเรียน
ข. ขอเชิญบรรทมได้แล้ว ดึกมากแล้ว
ค. อาจารย์คะ กรุณาอธิบายการบ้านข้อนี้ให้หน่อยค่ะ
ง. พระครูวิสุทธิได้รับเชิญไปแสดงปาฐกถาธรรมที่โรงเรียน
๑๒. ระดับภาษาที่ใช้ในการสื่อสารนั้นขึ้นอยู่กับข้อใด
ก. ตัวสาร ข. ผู้ส่งสาร ค. ผู้รับสาร ง. ตัวบุคคล และโอกาส
๑๓. ข้อใดเป็ นการพูดที่ไม่เป็ นทางการ ข. การกล่าวคำปราศรัย
ก. การพูดโฆษณาสินค้า ง. การกล่าวรายงาน
ค. การกล่าวสดุดี
๑๔. ข้อใดใช้ภาษาระดับทางการ
ก. หวยบนดินเป็ นที่นิยมกันมาก
ข. โทรทัศน์ช่องเจ็ดสีมีรายการใหม่หลายรายการ
ค. การจราจรในท่าอากาศยานดอนเมืองคับคั่งมาก
ง. สถานีตำรวจดอนเมืองอยู่ใกล้กับสถานีรถไฟดอนเมือง
๑๕. ข้อใดใช้ภาษาระดับไม่เป็ นทางการ
ก. เราจะรักษามุมสงบของป่ าอุ้มผางไว้ได้ด้วยการจัดการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์
ข. ภาวะหนี้เสียเกิดจากความไม่สุจริตของลูกหนี้ การปรับค่าเงินบาท และการที่
รัฐบาลปิ ดสถาบันการเงิน
ค. ประเทศชาติจะเจริญรุ่งเรืองได้ ประชาชนทุกสาขาอาชีพต้องเป็ นคนที่มีทั้ง
ความสามารถและคุณธรรม
ง. การศึกษาสมัยปฏิรูป ครูต้องพยายามให้นักเรียนออกความคิดความเห็น
เรื่องต่าง ๆ เอง โดยครูจะทำหน้าที่เป็ นเพียงผู้จัดการห้องเรียน
๕๐
๑๖. จากข้อความต่อไปนี้ข้อใดภาษาระดับกันเอง
ก. ทำไมผู้หญิงที่มีลูกแล้วถึงอ้วน สาเหตุที่คนมักนึกไม่ถึงคือแม่เสียดายของที่
ลูกกินเหลือ
ข. ผู้หญิงที่ปล่อยให้พุงพลุ้ยเป็ นพะโล้อย่างนี้ นอกจากจะดูไม่ได้แล้วยังจะตายไว
เสียด้วย
ค. การประชมวิชาการเรื่องโรคอ้วนครั้งนี้จัดขึ้นเนื่องจากโรคอ้วนเป็ นปั ญหา
ทางสุขภาพที่ทุกประเทศทั่วโลกกำลังประสบอยู่
ง. การลดน้ำหนักด้วยวิธีง่าย ๆ นั้น เราจะต้องควบคุมอาหารและหลีกเลี่ยง
อาหารที่มีไขมันสูง
๑๗. การเลือกใช้ภาษาต้องคำนึงถึงสิ่งใด
ก. บุคคล ข. กาลเทศะ ค. เนื้อหาสาระ ง. ถูกทุกข้อ
๑๘. ข้อใดเหมาะกับการใช้ภาษาทางการ ข. ใบปลิวโฆษณา
ก. นิทานพื้นบ้าน ง. หนังสือสารานุกรมไทย
ค. จดหมายถึงเพื่อน
๑๙. “ถ้าง่วงก็ต้องนอนเสียให้เต็มอิ่ม จะได้กระปรี้กระเปร่าตลอดวัน” ข้อความดัง
กล่าวเป็ นภาษาประเภทใด
ก. ภาษาสนทนา ข. ภาษาระดับกึ่งทางการ
ค. ภาษาระดับทางการ ง. ภาษาระดับสนิทสนมเป็ นกันเอง
๒๐. ข้อใดเหมาะสำหรับใช้เป็ นภาษาพูด
ก. โปรดขับขี่รถยนต์ด้วยความระมัดระวัง
ข. ตกลงตามนี้ พรุ่งนี้ช่วงเพลเราไปเจอกันที่ตลาด
ค. การคมนาคมขนส่งของประเทศพัฒนาไปอย่างต่อเนื่อง
ง. สภาพอากาศช่วยนี้แปรปรวน ผู้โดยสาร โปรดรัดเข็มขัดนิรภัย
๕๑
การยืมคำภาษาต่างประเทศ
มาใช้ในภาษาไทย
คำทับศัพท์ ศัพท์บัญญัติ
สร้างคำขึ้นมาใหม่ ทับศัพท์
ตอนที่ ๔
คำทับศัพท์และศัพท์บัญญัติ
ไทยมีความสัมพันธ์กับต่างชาติจากการติดต่อทำการค้า การทูต การสอน
ศาสนา ศิลปวัฒนธรรมมาช้านาน จึงมีการยืมคำภาษาต่างประเทศมาใช้ อาจด้วย
วิธีการทับศัพท์หรือสร้างคำศัพท์ใหม่ขึ้นมาใช้ ทั้งในวงวิชาการและทั่วไป การศึกษา
เรื่องการใช้คำในภาษาไทยจะช่วยให้สามารถใช้คำทับศัพท์และศัพท์บัญญัติต่าง ๆ
ได้อย่างถูกต้อง
การยืมคำภาษาต่างประเทศมาใช้ในภาษาไทยมี ๒ วิธีคือ ใช้คำในภาษานั้น
เลย ที่เรียกว่า “คำทับศัพท์” และการบัญญัติศัพท์ขึ้นใหม่ ที่เรียกว่า “ศัพท์บัญญัติ”
คำทับศัพท์
คำทับศัพท์ คือ คำที่ถ่ายเสียงมาจากรูปคำในภาษาอื่น และนำมาเขียนในรูป
แบบของภาษาไทย เพื่อให้คนที่ใช้ภาษาสามารถออกเสียงได้อย่างถูกต้อง หรืออย่าง
น้อยก็ใกล้เคียงกับภาษาเดิม บางคำก็ใช้ตามความสะดวกปากในการออกเสียงจน
แทบจะกลมกลืนกับภาษาไทย คำทับศัพท์นั้นยืมมาจากภาษาต่างประเทศหลาย
ภาษา เช่น ทมิฬ เปอร์เซียร์ อาหรับ ญี่ปุ่ น โปรตุเกส ฝรั่งเศส ฮินดี พม่า มอญ
หลักเกณฑ์การทับศัพท์
๑. ถอดอักษรในภาษาเดิมพอควรแก่การแสดงที่มาของรูปศัพท์
๒. เขียนในรูปที่อ่านได้สะดวกในภาษาไทย
๓. คำทับศัพท์ที่ใช้มานานให้ใช้แบบเดิม เช่น เชิ้ต ก๊าซ แก๊ส
๔. ถ้าตัว T อยู่หน้าคำแทน ตัว “ท” ถ้าตัว T อยู่ท้ายคำแทน ตัว “ต”
๕. ถ้าตัว P อยู่หน้าคำแทน ตัว “พ” ถ้าตัว P อยู่ท้ายคำแทน ตัว “ป”
๕๔
ศัพท์บัญญัติ
ศัพท์บัญญัติ คือ คำที่บัญญัติขึ้นใหม่ในภาษาไทย โดยราชบัณฑิตยสถาน
เป็ นผู้รับรอง เพื่อรองรับศัพท์ใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นตามเทคโนโลยีและความก้าวหน้าด้าน
ต่าง ๆ ของโลก ซึ่งมักจะเป็ นคำที่มาจากภาษาต่างประเทศ การบัญญัติศัพท์ขึ้นใหม่
มีหลัก ๒ ประการ คือ สร้างคำขึ้นมาใหม่ และทับศัพท์
๑. สร้างคำขึ้นมาใหม่
๑.๑ การคิดคำศัพท์ไทยให้ตรงกับความหมายเดิมของคำนั้น ๆ ให้มาก
ที่สุด เช่น
ลำดับ ศัพท์บัญญัติ ภาษาอังกฤษ
๑ น้ำค้างแข็ง frost
๒ ตลาดมืด black market
๓ ค่าผ่านทาง
๔ เครือข่าย toll
๕ network
๖ ปี แสง light year
๗ โลกเสรี
๘ free world
๙ เรือดำน้ำ submarine
๑๐ ไม้ขีดไฟ
ลูกเสือ match
ไฟฟ้ า boy scout
electricity
๕๕
๑.๒ ถ้าหาคำไทยได้ไม่เหมาะสม ให้สร้างคำใหม่โดยใช้คำภาษาบาลีและ
สันสกฤต ซึ่งต้องเป็ นคำที่มีใช้มาก่อนและสามารถออกเสียงได้ง่าย
ลำดับ ศัพท์บัญญัติ ภาษาอังกฤษ
๑ ทฤษฎี theory
๒ วัฒนธรรม culture
๓ philosophy
๔ ปรัชญา activity
๕ กิจกรรม pollution
๖ มลพิษ
๗ มหาวิทยาลัย university
๘ science
๙ วิทยาศาสตร์ spacecraft
๑๐ ยานอวกาศ television
postcard
โทรทัศน์
ไปรษณียบัตร
๒. การทับศัพท์ ในกรณีที่ไม่สามารถหาคำที่เหมาะสมได้ ทั้งคำภาษาไทย
และคำภาษาบาลีสันสกฤต ให้ใช้วิธีทับศัพท์ เช่น
ลำดับ ศัพท์บัญญัติ ภาษาอังกฤษ
๑ เบียร์ beer
๒ ฟิ ล์ม film
๓ คอมพิวเตอร์ computer
๕๖
๔ ลิงก์ link
๕ เว็บไซต์ website
๖ เฟซบุ๊ก
๗ อินเทอร์เน็ต facebook
๘ สมาร์ต Internet
๙ แบดมินตัน
๑๐ ออกซิเจน smart
badminton
oxygen
สรุป
คำทับศัพท์ และคำศัพท์บัญญัตินั้น มีความแตกต่างกัน กล่าวคือ คำทับศัพท์
หมายถึง คำที่ถ่ายเสียงมาจากรูปคำในภาษาอื่น และนำมาเขียนในรูปแบบของภาษา
ไทย เพื่อให้คนที่ใช้ภาษาสามารถออกเสียงได้อย่างถูกต้อง ส่วนคำศัพท์บัญญัติ
หมายถึง คำที่บัญญัติขึ้นเพื่อใช้แทนคำต่างประเทศ
กิจกรรมเสนอแนะ
๑. ให้นักเรียนแบ่งกลุ่มรวบรวมคำทับศัพท์ต่าง ๆ ที่เป็ นภาษาจีน ภาษาอังกฤษ
ภาษาญี่ปุ่ น แล้วนำมาแต่งประโยค จากนั้นนำเสนอหน้าชั้นเรียน
๒. ให้นักเรียนยกตัวอย่างศัพท์บัญญัติในภาษาไทยมา ๑๐ คำ และบอกที่มาด้วย
ว่ามาจากภาษาต่างประเทศว่าอย่างไร
๕๗
แบบทดสอบหลังเรียน
คำทับศัพท์และศัพท์บัญญัติ
คำชี้แจง จงเลือกกาเครื่องหมาย X ทับอักษร ก ข ค และ ง ที่ถูกที่สุดเพียงข้อเดียว
๑. การยืมคำภาษาต่างประเทศมาใช้ในภาษาไทยมี ๒ วิธี คือ
ก. คำทับศัพท์ และศัพท์บัญญัติ ข. คำยืม และคำสนธิ
ค. คำบาลีและคำทับศัพท์ ง. คำยืมภาษาต่างประเทศ และทับศัพท์
๒. “คำที่บัญญัติขึ้นใหม่ในภาษาไทย โดยราชบัณฑิตยสถานเป็ นผู้รับรอง” เป็ นความ
หมายของข้อใด
ก. คำทับศัพท์ ข. คำสนธิ
ค. ศัพท์บัญญัติ ง. คำยืมภาษาต่างประเทศ
๓. “คำที่ถ่ายเสียงมาจากรูปคำในภาษาอื่น และนำมาเขียนในรูปแบบของภาษาไทย”
เป็ นความหมายของข้อใด
ก. คำทับศัพท์ ข. คำสนธิ
ค. ศัพท์บัญญัติ ง. คำยืมภาษาต่างประเทศ
๔. คำทับศัพท์ และคำศัพท์บัญญัตินั้น มีความแตกต่างกัน อย่างไร
ก. คำทับศัพท์คำทับศัพท์ หมายถึง คำที่เลียนแบบทั้งตัวอักษรและเสียงจาก
ภาษาต่างประเทศ ส่วนคำศัพท์บัญญัติ หมายถึง คำที่บัญญัติขึ้นเพื่อใช้แทนคำต่าง
ประเทศ
ข. คำทับศัพท์ หมายถึง คำที่ถ่ายเสียงมาจากรูปคำในภาษาอื่น และนำมา
เขียนในรูปแบบของภาษาไทย เพื่อให้คนที่ใช้ภาษาสามารถออกเสียงได้อย่างถูกต้อง
ส่วนคำศัพท์บัญญัติ หมายถึง คำที่มีการสลับความหมายของคำเนื่องจากมีการ
ออกเสียงเหมือนกัน
๕๘
ค. คำทับศัพท์ หมายถึง คำที่เลียบแบบตัวอักษรจากภาษาอื่น แต่ไม่ได้เลียน
แบบเสียง เพื่อให้คนที่ใช้ภาษาสามารถเขียนได้อย่างถูกต้อง ส่วนคำศัพท์บัญญัติ
หมายถึง คำที่บัญญัติขึ้นเพื่อใช้แทนคำต่างประเทศ
ง. คำทับศัพท์ หมายถึง คำที่ถ่ายเสียงมาจากรูปคำในภาษาอื่น และนำมาเขียน
ในรูปแบบของภาษาไทย เพื่อให้คนที่ใช้ภาษาสามารถออกเสียงได้อย่างถูกต้อง ส่วน
คำศัพท์บัญญัติ หมายถึง คำที่บัญญัติขึ้นเพื่อใช้แทนคำต่างประเทศ
๕. ข้อใดเป็ นคำทับศัพท์ทุกคำ ข. สุขภาพ อุปสงค์
ก. ทรัมเป็ ต เชิ้ต ง. ไฟฟ้ า เบียร์
ค. เค้ก โทรทัศน์
๖. “น้องชอบรับประทานช็อกโกแลตมาก ฉันและแม่จึงเตือนว่าไม่ดีต่อสุขภาพ
หากรับประทานมาก ๆจะทำให้มีบุคลิกภาพไม่ดี” จากข้อความข้างต้นคำใดเป็ น
คำทับศัพท์
ก. สุขภาพ ข. บุคลิกภาพ ค. ช็อกโกแลต ง. รับประทาน
๗. ประโยคใดไม่มีการใช้ศัพท์บัญญัติ
ก. คุณพ่อต้องจ่ายเงินทุกครั้งที่ผ่านทางนี้
ข. รัฐบาลมีนโยบายจัดซื้อเรือดำน้ำลำใหม่
ค. ไม้ขีดไฟเพียงก้านเดียวไม่อาจสู้กับแสงของดวงอาทิตย์ได้
ง. ห้องเช่าแห่งนี้มีทั้งห้องพัดลมและห้องที่มีเครื่องปรับอากาศ ซึ่งมีราคาต่างกัน
๘. ข้อใดใช้ศัพท์บัญญัติแทนคำภาษาอังกฤษได้ถูกต้อง
ก. culture – ทฤษฎี ข. image – วิสัยทัศน์
ค. frost – น้ำค้างแข็ง ง. television – โทรศัพท์
๙. คำในข้อใดเป็ นการเปลี่ยนเสียงและคำในภาษาไทย ง. ทีม (team)
ก. คัตชู (court shoes) ข. เชิ้ต (shirt) ค. เรือบด (boat)
๕๙
๑๐. ข้อใดใช้คำทับศัพท์โดยไม่จำเป็ น ข. ช็อกโกแลตจากญี่ปุ่ นอร่อยมาก
ก. เด็ก ๆ ชอบทานไอศกรีมแก้ระหาย ง. นักกีฬาบาสเกตบอลได้รับรางวัล
ค. แม่ให้ฉันฝากเงินที่แบงก์ทุกเดือน
๑๑. “เฟซบุ๊กประกาศโอ๊ตเลิกรากับแฟนเป็ นเรื่องเซนซิทีฟมาก” ประโยคข้างต้น
ไม่ปรากฎคำชนิดใด
ก. คำทับศัพท์จำเป็ น ข. คำทับศัพท์ไม่จำเป็ น
ค. ศัพท์บัญญัติ ง . ไม่มีข้อถูก
๑๒. ข้อใดมีศัพท์บัญญัติปรากฏอยู่
ก. วิชาประวัติศาสตร์เป็ นวิชาเกี่ยวกับอดีต
ข. ประเทศไทยจัดอยู่ในทวีปเอเชีย
ค. ไอคอนสยามเปิ ดตัววันศุกร์นี้
ง. ฉันชอบร้องเพลงคาราโอเกะ
๑๓. ข้อใดจำเป็ นต้องใช้คำทับศัพท์
ก. เขาชอบเปิ ดยูทูบฟั งเพลงเกาหลี
ข. สงกรานต์ให้ฉันไปเที่ยวต่างประเทศฟรี
ค. เฌอปรางส่งอีเมลมาหาปั นทุกวัน
ง. ทีวีช่วงนี้มีแต่ข่าวดาราเลิกกัน
๑๔. ข้อใดจำเป็ นต้องใช้คำทับศัพท์
ก. น้องชายชอบไปกางเต็นท์กับเพื่อน ๆ
ข. เบอร์โทรศัพท์นี้ไม่สามารถติดต่อได้ชั่วคราว
ค. ช่วยบอกแอคเคาท์ของเธออีกครั้ง
ง. ห้ามใส่กางเกงยีนส์เข้าโรงเรียน
๖๐
๑๕. ข้อใดจับคู่ศัพท์บัญญัติได้ถูกต้อง ข. CPU - หน่วยประมวลผลกลาง
ก. Scan – ตรวจจับ ง. Mouse - ตัวจิ๋ว
ค. Keyboard – แป้ นพิมพ์
๑๖. ข้อใดจำเป็ นต้องใช้คำทับศัพท์
ก. รถคันนี้ใช้น้ำมันดีเซลในการขับเคลื่อน
ข. ช่วยชัทดาวน์เครื่องข้าง ๆ หน่อย
ค. เขาถูกดีลีทความทรงจำบางส่วน
ง. นักเรียนโอเพ่นหนังสือหน้า ๑๙
๑๗. ข้อใดเป็ นศัพท์บัญญัติคำว่า “black market”
ก. ตลาดมืด ข. ค่าผ่านทาง ค. เครือข่าย ง. ปี แสง
๑๘. ข้อใดเป็ นศัพท์บัญญัติคำว่า “toll”
ก. ตลาดมืด ข. ค่าผ่านทาง ค. เครือข่าย ง. ปี แสง
๑๙. ข้อใดเป็ นศัพท์บัญญัติคำว่า “network”
ก. ตลาดมืด ข. ค่าผ่านทาง ค. เครือข่าย ง. ปี แสง
๒๐. ข้อใดเป็ นศัพท์บัญญัติคำว่า “light year”
ก. ตลาดมืด ข. ค่าผ่านทาง ค. เครือข่าย ง. ปี แสง
๖๑
ศั พ ท์ ภ า ษ า ไ ท ย ศั พ ท์ สุ ข ศึ ก ษ า
ศั พ ท์ ค ณิ ต ศ า ส ต ร์ และพลศึกษา
ศั พ ท์ วิ ท ย า ศ า ส ต ร์ ศั พ ท์ ศิ ล ป ะ
ศั พ ท์ สั ง ค ม ศึ ก ษ า
คำศัพท์ทางวิชาการ
ศั พ ท์ ก า ร ง า น อ า ชี พ
และเทคโนโลยี
คำ ศั พ ท์ ท า ง วิ ช า ก า ร
และวิชาชีพ
ศั พ ท์ วิ ช า ชี พ ค รู คำศัพท์วิชาชีพ
ศั พ ท์ ทั น ต แ พ ท ย์
ศั พ ท์ ก ฎ ห ม า ย
ศั พ ท์ แ พ ท ย์
ตอนที่ ๕
คำศัพท์ทางวิชาการและวิชาชีพ
คำศัพท์ทางวิชาการ
คำศัพท์ทางวิชาการ หมายถึง คำศัพท์ที่กล่าวถึงหรืออธิบายเรื่องราวที่เป็ น
ความรู้ทางวิชาการแขนงต่าง ๆ ศัพท์วิชาการเป็ นคำที่ผู้ศึกษาวิชาการนั้น ๆ จะ
เข้าใจร่วมกันได้ดี ส่วนมากเป็ นคำที่รับมาจากภาษาต่างประเทศ
เมื่อคำศัพท์ทางวิชาการส่วนมากเป็ นคำที่รับเข้ามาจากภาษาต่างประเทศ
นักวิชาการในสาขานั้น ๆ จึงต้องมีการแปล การสร้างคำขึ้นเป็ นศัพท์บัญญัติ และ
กำหนดให้มีความหมายตรงกับคำในภาษาต่างประเทศเหล่านั้น
ลักษณะคำศัพท์ทางวิชาการ
๑. คำที่ใช้ในวาทกรรมทางวิชาการทั้งในการพูดและการเขียน โดยเฉพาะ
อย่างยิ่งในตำราทางวิชาการ
๒. คำจำกัดความของคำศัพท์ทางวิชาการอาจแตกต่างกัน ซึ่งขึ้นอยู่กับแหล่ง
ที่มาและบริบทคำเหล่านั้นถูกนำมาใช้
๓. ศัพท์ทางวิชาการส่วนใหญ่จะปรากฏในคำสำคัญ และคำที่แสดงแนวคิด/
มโนทัศน์
ความสำคัญของคำศัพท์ทางวิชาการ
การเข้าใจความหมายของคำศัพท์เหล่านี้จะทำให้เรารู้และเข้าใจวิทยาการ
และสิ่งที่เกิดขึ้นได้เป็ นอย่างดีทุกวันนี้เราอยู่ในโลกของวิทยาการความรู้ใหม่ ๆ เกิด
ขึ้นอย่างรวดเร็วและจำนวนมาก ความรู้และสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจะเป็ นที่รู้จักผ่าน
ภาษาหรือคำศัพท์ต่าง ๆ
๖๔
ตัวอย่างคำศัพท์ทางวิชาการ
ศัพท์ภาษาไทย เช่น
การเปรียบเทียบว่าสิ่งหนึ่งเหมือนกับอีกสิ่งหนึ่ง
อุปลักษณ์ โดยการนำของสองสิ่งที่ต่างจำพวกกันแต่มีลักษณะเด่นเหมือนกันมา
เปรียบเทียบกัน
ภาพที่เกิดขึ้นในใจ หรือที่คิดว่าควรจะเป็ นเช่นนั้น หลังจากที่อ่าน
จินตภาพ
บทประพันธ์ร้อยกรอง หรืองานเขียนชิ้นใดชิ้นหนึ่ง
ศัพท์คณิตศาสตร์ เช่น
คณิตศาสตร์แขนงหนึ่งที่ว่าด้วยการจำแนกประเภท สมบัติ
เรขาคณิต
และโครงสร้างของรูปทรงต่าง ๆ เช่น สามเหลี่ยม วงกลม วงรี
องศา หน่วยในการวัดขนาดของมุม
ศัพท์วิทยาศาสตร์ เช่น
สารอินทรีย์ประเภทโปรตีน มีอยู่ทั้งในพืช และสัตว์ เป็ นตัวเร่ง
เอนไซม์ ปฏิกิริยาเคมีของกรรมวิธีต่าง ๆ ทางชีววิทยา เช่น การย่อยอาหาร
กระบวนการเมแทบอลิซึม
วิตามิน กลุ่มสารอินทรีย์ซึ่งเป็ นสารอาหารจำเป็ นที่ร่างกายต้องการแต่เพียง
จำนวนน้อย ๆ และจะขาดไม่ได้ เพราะมีบทบาทในการควบคุมการ
ทำงานของเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกายให้เป็ นปกติ
๖๕
เซลล์ หน่วยชีวิตที่เล็กที่สุดของสิ่งมีชีวิต มีส่วนประกอบหลักคือ เยื่อหุ้ม
เซลล์ไซโทพลาซึมและนิวเคลียส
ศัพท์สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม เช่น
ชาติพันธุ์ กลุ่มคนที่มีวัฒนธรรมขนบธรรมเนียมประเพณี ภาษาพูดเดียวกัน
และมีความเกี่ยวเนื่องกันทางเชื้อชาติ
วัฒนธรรม วิถีชีวิตของหมู่คณะที่แสดงออกทางพฤติกรรม ภาษา และกิจกรรม
ของสังคม
ศัพท์สุขศึกษาและพลศึกษา เช่น
สุขสมรรถนะ ความสามารถในการปฏิบัติภารกิจประจําวัน
สภาวะความสมบูรณ์ของร่างกายที่จะประกอบกิจกรรมทางกาย
สมรรถภาพ
ทางกาย ต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีพลังงานเหลือไว้ใช้ในสภาวะที่
จำเป็ น
๖๖
ศัพท์การงานอาชีพและเทคโนโลยี เช่น
อุปกรณ์ เครื่องมือหรืออุปกรณ์ที่สามารถอ่านข้อมูล และส่งข้อมูลเข้าไป
รับเข้า เก็บในเครื่องคอมพิวเตอร์ได้เพื่อให้ทำการประมวลผลต่อไป
หน่วย เป็ นอุปกรณ์ที่ใช้ในการเก็บข้อมูลและคำสั่งที่อยู่ระหว่างการ
ความจำหลัก ประมวลผลของคอมพิวเตอร์หรือในขณะที่เปิ ดเครื่องคอมพิวเตอร์
ใช้งาน
หน่วย ส่วนที่ทำหน้าที่ปฏิบัติตามคำสั่งที่รับมาจากหน่วยรับข้อมูลและ
ประมวล ควบคุมการปฏิบัติงานของเครื่องคอมพิวเตอร์
กลาง
ศัพท์ศิลปะ (ดนตรี นาฏศิลป์ ทัศนศิลป์ ) เช่น
การประพันธ์เพลงรูปแบบหนึ่ง ส่วนมากมีสามท่อน ในอัตราจังหวะ
เร็ว-ช้า-เร็ว ส่วนที่สำคัญที่สุด คือ ต้องมีการเล่นประชันกัน โดยอาจ
คอนแชร์โต จะเป็ นการเดี่ยวเครื่องดนตรีประชันกับวงดนตรี หรือกลุ่มเครื่อง
ดนตรีประชันกับวงดนตรีก็ได้
กระบวนเพลง ท่วงทำนองของเพลง
๖๗
คำศัพท์วิชาชีพ
คำศัพท์วิชาชีพ หมายถึง คำศัพท์ที่เกี่ยวข้องกับการประกอบอาชีพต่าง ๆ
เช่น แพทย์ นักกฎหมาย ครู นักปกครอง
ลักษณะคำศัพท์ทางวิชาชีพ
เป็ นคำที่เกี่ยวข้องในกลุ่มสาขาวิชาชีพต่าง ๆ
ความสำคัญของคำศัพท์ทางวิชาชีพ
ทุกวันนี้เราอยู่ในโลกของวิทยาการ ความรู้ใหม่ ๆ เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและ
จำนวนมาก ความรู้และสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น จะเป็ นที่รู้จักผ่านภาษาหรือคำศัพท์
ต่าง ๆ การเข้าใจความหมายของคำศัพท์เหล่านี้จะทำให้เรารู้และเข้าใจวิทยาการ
และสิ่งที่เกิดขึ้นได้เป็ นอย่างดี
ตัวอย่างคำศัพท์ทางวิชาชีพ
ศัพท์วิชาชีพครู เช่น
การปรับเปลี่ยนพัฒนาเพื่อให้การศึกษาสามารถสร้างคนดีให้กับ
การปฏิรูป
การศึกษา สังคมและเป็ นพลังในการพัฒนาประเทศให้สามารถแข่งขันกับนานา
อารยประเทศ
ผู้เรียนเป็ น การคำนึงถึงประโยชน์ที่ผู้เรียนจะได้รับให้มากที่สุดใน
ศูนย์กลาง กระบวนการเรียนการสอน
ศัพท์ทันตแพทย์ เช่น
การติดเชื้อและอักเสบของเหงือก เอ็นยึดปริทันต์ หรือกระดูกที่อยู่
โรคปริทันต์
รอบฟั น
๖๘
ศัพท์กฎหมาย เช่น
คดีอาญา คดีที่เกี่ยวกับการกระทำที่กฎหมายบัญญัติว่า เป็ นความผิด
และมีโทษทางอาญา เช่น คดีฆาตกรรม
คดีแพ่ง คดีที่ฟ้ องเพื่อเรียกเงินระหว่างกัน เช่น คดีกู้ยืมเงิน คดีผิดสัญญา
คดีเช่าทรัพย์ คดีตั๋วเงิน คดีจำนอง คดีซื้อขาย คดีมรดก เป็ นต้น
ศัพท์แพทย์ เช่น
โรคความจำเสื่อม หรือหลงลืมในวัยชรา เกิดจากความผิดปกติของ
อัลไซเมอร์
โปรตีนในสมอง
วัคซีน ผลิตภัณฑ์ชีวภาพที่ประกอบด้วย เชื้อไวรัส หรือแบคทีเรียที่ถูกฆ่า
หรือทำให้มีฤทธิ์อ่อนแรงจนไม่สามารถก่อโรคได้ ใช้ฉีดเข้าสู่ร่างกาย
เพื่อกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันโรค ซึ่งเกิดจากเชื้อนั้น ๆ
วิธีใช้คำศัพท์ทางวิชาการและวิชาชีพ
๑. ต้องเข้าใจความหมายของคําศัพท์นั้น เพื่อที่จะใช้ได้ถูกต้องทั้งการพูด
และการเขียน
๒. สะกดให้ถูกต้องตามที่กําหนดไว้ หากไม่มั่นใจควร ตรวจสอบกับ
พจนานุกรมศัพท์บัญญัติของวิชาการแขนงนั้น ๆ
๓. หากเป็ นภาษาระดับทางการให้ใช้คําศัพท์บัญญัติ แทนการ ทับศัพท์ เช่น
ชุดคําสั่ง - โปรแกรม ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ - อีเมล
๖๙
กิจกรรมเสนอแนะ
๑. ให้นักเรียนรวบรวมค้นคว้าคำศัพท์ทางวิชาการมา ๑๐ คำ โดยกำหนดให้หา
ตามหัวข้อดังต่อไปนี้
๑.๑ ศัพท์ภาษาไทย ๑.๒ ศัพท์คณิตศาสตร์ ๑.๓ ศัพท์วิทยาศาสตร์
๒. ให้นักเรียนยกตัวอย่างคำศัพท์ทางวิชาชีพมาหมวดละ ๑๐ คำ
๗๐
แบบทดสอบหลังเรียน
คำศัพท์ทางวิชาการและวิชาชีพ
คำชี้แจง จงเลือกกาเครื่องหมาย X ทับอักษร ก ข ค และ ง ที่ถูกที่สุดเพียงข้อเดียว
๑. “คำศัพท์ที่กล่าวถึงหรืออธิบายเรื่องราวที่เป็ นความรู้ทางวิชาการแขนงต่าง ๆ
ศัพท์วิชาการเป็ นคำที่ผู้ศึกษาวิชาการนั้น ๆ จะเข้าใจร่วมกันได้ดี” คือความหมาย
ของอะไร
ก. ศัพท์วิชาชีพครู ข. คำศัพท์ทางวิชาการ
ค. คำศัพท์วิชาชีพ ง. ศัพท์กฎหมาย
๒. “คำศัพท์ที่เกี่ยวข้องกับการประกอบอาชีพต่าง ๆ เช่น แพทย์ นักกฎหมาย ครู
นักปกครอง” คือความหมายของอะไร
ก. ศัพท์วิชาชีพครู ข. คำศัพท์ทางวิชาการ
ค. คำศัพท์วิชาชีพ ง. ศัพท์กฎหมาย
๓. เรามักพบคำศัพท์ทางวิชาการและวิชาชีพจากที่ใด?
ก. ตำราเรียน ข. การอภิปราย ค. อินเทอร์เน็ต ง.ถูกทุกข้อ
๔. คนที่สูบบุหรี่มักเป็ นโรคถุงลมโป่ งพอง และ ยังทำลายบรรยากาศบริสุทธิ์ คำที่
ขีดเส้นใต้มาจากกลุ่มคำวิชาชีพและวิชาการแขนงใด
ก. พยาบาล และ วิทยาศาตร์ ข. พยาบาล และ สุขศึกษา
ค. แพทย์ และ พละศึกษา ง. แพทย์ และ วิทยาศาตร์
๕. ข้อใดเป็ นศัพท์วิชาการ
ก. ชีดี ข. โอเวอร์ ค. เน็ต ง. เอทิลแอลกอฮอล์
๗๑
๖. ขอใดเป็ นศัพท์ทางวิทยาศาตร์
ก. พลาสมา ข. บุพบท ค. ธุรกรรม ง. กระทงความ
๗. ข้อใดเป็ นศัพท์ทางคณิตสาตร์
ก. รากที่สอง ข. อุปสงค์ ค. เซลล์ ง. คดีแดง
๘. ข้อใดเป็ นศัพท์ทางเศรษฐศาสตร์
ก. คอร์ด ข. ไตรมาส ค. คลอโรฟิ ลล์ ง.อาญาแผ่นดิน
๙. ข้อใดเป็ นศัพท์ทางกฎหมาย
ก. เอกนาม ข. คดี ค. เงินเฟ้ อ ง. อุปทาน
๑๐. “การปฏิรูปการศึกษา” เป็ นศัพท์ทางวิชาชีพอะไร
ก. ศัพท์วิชาชีพครู ข. ศัพท์วิชาชีพกฎหมาย
ค. คำศัพท์วิชาชีพแพทย์ ง. ศัพท์วิชาชีพทันตแพทย์
๑๑. “ผู้เรียนเป็ นศูนย์กลาง” เป็ นศัพท์ทางวิชาชีพอะไร
ก. ศัพท์วิชาชีพครู ข. ศัพท์วิชาชีพกฎหมาย
ค. คำศัพท์วิชาชีพแพทย์ ง. ศัพท์วิชาชีพทันตแพทย์
๑๒. “โรคปริทันต์” เป็ นศัพท์ทางวิชาชีพอะไร
ก. ศัพท์วิชาชีพครู ข. ศัพท์วิชาชีพกฎหมาย
ค. คำศัพท์วิชาชีพแพทย์ ง. ศัพท์วิชาชีพทันตแพทย์
๑๓ “คดีอาญา” เป็ นศัพท์ทางวิชาชีพอะไร
ก. ศัพท์วิชาชีพครู ข. ศัพท์วิชาชีพกฎหมาย
ค. คำศัพท์วิชาชีพแพทย์ ง. ศัพท์วิชาชีพทันตแพทย์
๗๒
๑๔. “คดีแพ่ง” เป็ นศัพท์ทางวิชาชีพอะไร
ก. ศัพท์วิชาชีพครู ข. ศัพท์วิชาชีพกฎหมาย
ค. คำศัพท์วิชาชีพแพทย์ ง. ศัพท์วิชาชีพทันตแพทย์
๑๕. “อัลไซเมอร์” เป็ นศัพท์ทางวิชาชีพอะไร
ก. ศัพท์วิชาชีพครู ข. ศัพท์วิชาชีพกฎหมาย
ค. คำศัพท์วิชาชีพแพทย์ ง. ศัพท์วิชาชีพทันตแพทย์
๑๖. ข้อใดเป็ นศัพท์แพทย์ที่มีความหมายว่า แผนกดูแลผู้ป่ วยที่มีอาการหนัก
ก. อีอาร์ ข. โอพีดี ค. ไอซียู ง. ดีเอ็นเอ
๑๗. ศัพท์กฎหมายข้อใด หมายถึง ผู้มีอำนาจและหน้าที่ในการพิจารณาพิพากษา
คดีในศาล
ก. ผู้พิพากษา ข. ผู้ต้องหา ค. จำเลย ง. พยาน
๑๘. “วัคซีน” เป็ นศัพท์ทางวิชาชีพอะไร
ก. ศัพท์วิชาชีพครู ข. ศัพท์วิชาชีพกฎหมาย
ค. คำศัพท์วิชาชีพแพทย์ ง. ศัพท์วิชาชีพทันตแพทย์
๑๙. “วิตามิน” เป็ นศัพท์ทางวิชาการอะไร
ก. ศัพท์ภาษาไทย ข. ศัพท์คณิตศาสตร์
ค. ศัพท์วิทยาศาสตร์ ง. ศัพท์สังคมศึกษา
๒๐. “วัฒนธรรม” เป็ นศัพท์ทางวิชาการอะไร
ก. ศัพท์ภาษาไทย ข. ศัพท์คณิตศาสตร์
ค. ศัพท์วิทยาศาสตร์ ง. ศัพท์สังคมศึกษา
๗๓
ตอนที่ ๖
การแต่งคำประพันธ์ประเภทโคลงสี่สุภาพ
ผังฉันทลักษณ์
ตัวอย่างโคลงสี่สุภาพ
เสียงลือเสียงเล่าอ้าง อันใด พี่เอย
เสียงย่อมยอยศใคร ทั่วหล้า
สองเขือพี่หลับใหล ลืมตื่น ฤาพี่
สองพี่คิดเองอ้า อย่าได้ ถามเผือ
(ลิลิตพระลอ)
โคลงสี่สุภาพ
โคลงสี่สุภาพ เป็ นโคลงชนิดหนึ่งที่กวีหรือคนส่วนใหญ่นิยมแต่งมากที่สุด
ด้วยลักษณะและเสน่ห์ของการบังคับตามฉันทลักษณ์ที่มีวรรณยุกต์เอก โท ที่ลงตัว
ไพเราะสวยงาม ซึ่งคำว่า “สุภาพ” นี้หมายถึง คำที่ไม่มีรูปวรรณยุกต์
๗๕
ลักษณะคำประพันธ์โคลงสี่สุภาพ
- บทมี ๔ บาท
- บาทมี ๒ วรรค (หน้า-หลัง)
- วรรคแรก (หน้า) ของทุกบาทมี ๕ คำ วรรคที่ ๒ (หลัง) บาทที่ ๑-๓ มี
จำนวน ๒ คำ ยกเว้นบาทที่ ๒ และ บาทที่๓ มีคำสร้อย และบาทที่ ๔ มีจำนวน ๔
คำ รวม ๑ บทมีจำนวน ๓๐ คำ ไม่นับคำสร้อย
- โคลงสี่สุภาพ ๑ บท มีคำเอก ๗ แห่ง โท ๔ แห่ง
- คำสุดท้ายของบาทที่ ๑ สัมผัสกับคำที่ ๕ ของวรรคแรกในบาทที่ ๒ และ ๓
- คำสุดท้ายของบาทที่ ๒ สัมผัสกับคำที่ ๕ ของวรรคแรกในบาทที่ ๔
- หากแต่งหลายบทคำสุดท้ายของบทแรกส่งสัมผัสไปยังคำที่ ๑ หรือ ๒
หรือ ๓ ของวรรคแรกในบทต่อไป
คำศัพท์ที่ควรรู้เกี่ยวกับโคลงสี่สุภาพ
๑. คำเอก คือ คำที่กำกับด้วยรูปวรรคยุกต์เอก เช่น แก่ ค่า ใส เฉพาะคำเอก
นี้ในโคลง อนุญาตให้ใช้คำตายแทนได้ คำตาย คือ คำที่สะกดในแม่ กก กด กบ เช่น
ปิ ด ฉาก นัด พบ สวัสดิ์ ศิริ
๒. คำโท คือ คำที่กำกับด้วยรูปวรรณยุกต์โท เช่น ร้อง ไห้ ไม้ ล้ม ต้ม ข้าว
๓. คำเอกโทษ คือ การนำคำที่ปกติใช้วรรณยุกต์โทกำกับมา มาใช้
วรรณยุกต์เอกกำกับแทน เพื่อใช้แทนที่คำเอก ในตำแหน่งบังคับของโคลงเช่น
หมั้นหมาย เขียนเป็ น มั่นหมาย มั่น เป็ นคำเอกโทษ
เขี้ยวคม เขียนเป็ น เคี่ยวคม เคี่ยว เป็ นคำเอกโทษ
๗๖
๔. คำโทโทษ คือ การนำคำที่ปกติใช้วรรณยุกต์เอกกำกับ มาใช้วรรณยุกต์
โทกำกับแทน เพื่อให้ใช้แทนคำโทในตำแหน่งบังคับ เช่น
หยอกเล่น เขียนเป็ น หยอกเหล้น เหล้น เป็ นคำโทโทษ
มั่นคง เขียนเป็ น หมั้นคง หมั้น เป็ นคำโทโทษ
ชมพู่ เขียนเป็ น ชมผู้ ผู้ เป็ นคำโทโทษ
๕. คำเป็ น ได้แก่ คำที่มีลักษณะ ดังต่อไปนี้
๑. คำที่พยัญชนะประสมกับสระเสียงยาวในแม่ ก กา เช่น มา ดู ปู เวลา
ปี ฯลฯ
๒. คำที่พยัญชนะประสมกับสระ –ำ ใ - ไ - เ – า เช่น จำ น้ำ ใช่ เผ่า เสา
ไป ฯลฯ
๓. คำที่มีตัวสะกดอยู่ในแม่ กง กน กม เกย เกอว เช่น จริง กิน กรรม สาว
ฉุย ฯลฯ
๖. คำตาย คำที่มีลักษณะ ดังต่อไปนี้
๑. คำที่พยัญชนะประสมกับสระเสียงสั้นในแม่ ก กา เช่น กะทิ เพราะ ดุ
แคะ ฯลฯ
๒. คำที่มีตัวสะกดในแม่ กก กบ กด เช่น บทบาท ลาภ เมฆ เลข ธูป ฯลฯ
๗. คำสร้อย คือ คำที่จะใช้ต่อเมื่อความขาด หรือยังไม่สมบูรณ์ หากได้ใจ
ความอยู่แล้วไม่ต้องใส่ เพราะจะทำให้ "รกสร้อย"
คำสร้อยที่นิยมใช้กันเป็ นแบบแผนมีทั้งหมด ๑๘ คำ
๑. พ่อ ใช้ขยายความเฉพาะบุคคล
๒. แม่ ใช้ขยายความเฉพาะบุคคล หรือเป็ นคำร้องเรียก
๓. พี่ ใช้ขยายความเฉพาะบุคคล อาจใช้เป็ นสรรพนามบุรุษที่ ๑ หรือ
บุรุษที่ ๒ ก็ได้
๔. เลย ใช้ในความหมายเชิงปฏิเสธ
๗๗
๕. เทอญ มีความหมายเชิงขอให้มี หรือ ขอให้เป็ น
๖. นา มีความหมายว่าดังนั้น เช่นนั้น
๗. นอ มีความหมายเช่นเดียวกับคำอุทานว่า หนอ หรือ นั่นเอง
๘. บารนี สร้อยคำนี้นิยมใช้มากในลิลิตพระลอ มีความหมายว่า ดังนี้
เช่นนี้
๙. รา มีความหมายว่า เถอะ เถิด
๑๐. ฤๅ มีความหมายเชิงถาม เหมือนกับคำว่า หรือ
๑๑. เนอ มีความหมายว่า ดังนั้น เช่นนั้น
๑๒. ฮา มีความหมายเข่นเดียวกับคำสร้อย นา
๑๓. แล มีความหมายว่า อย่างนั้น เป็ นเช่นนั้น
๑๔. ก็ดี มีความหมายทำนองเดียวกับ ฉันใดก็ฉันนั้น
๑๕. แฮ มีความหมายว่า เป็ นอย่างนั้นนั่นเอง ทำนองเดียวกับ
คำสร้อยแล
๑๖. อา ไม่มีความหมายแน่ชัด แต่จะวางไว้หลังคำร้องเรียกให้ครบ
พยางค์ เช่น พ่ออา แม่อา พี่อา หรือเป็ นคำออกเสียงพูดในเชิงรำพึงด้วยวิตกกังวล
๑๗. เอย ใช้เมื่ออยู่หลังคำร้องเรียกเหมือนคำว่าเอ๋ยในคำประพันธ์อื่น
หรือวางไว้ให้คำครบตามบังคับ
๑๘. เฮย ใช้เน้นความเห็นคล้อยตามข้อความที่กล่าวหน้าสร้อยคำนั้น
เฮย มาจากคำเขมรว่า "เหย" แปลว่า "แล้ว" จึงน่าจะมีความหมายว่า
หลักการแต่งคำประพันธ์ (โคลงสี่สุภาพ)
๑. ตำแหน่งที่บังคับวรรณยุกต์เอกอาจใช้คำตายแทนได้
๒. คำที่ ๗ ของบาทที่ ๑ และคำที่ ๕ ของบาทที่ ๒ และ ๓ ห้ามใช้คำที่มีรูป
วรรณยุกต์
๓. คำสุดท้ายของบทนิยมใช้เสียงจัตวาและห้ามใช้คำตายหรือคำที่มีรูปวรรณยุกต์
๔. คำที่ ๕ และ ๖ ของทุกบาทอาจมีสัมผัสพยัญชนะจะทำให้โคลงมีความไพเราะ
มากยิ่งขึ้น
๕. คำที่ ๔ และ ๕ ของบาทแรกสามารถสลับตำแหน่งเอกโท กันได้
๗๘
กิจกรรมเสนอแนะ
๑. ให้นักเรียนแต่งโคลงสี่สุภาพคนละ ๒ บท แล้วมานำเสนอหน้าชั้นเรียน
๒. ให้นักเรียนศึกษาเรื่องโคลงสี่สุภาพ แล้วสรุปเป็ นแผนที่ความคิด
๗๙
แบบทดสอบหลังเรียน
การแต่งคำประพันธ์ประเภทโคลงสี่สุภาพ
คำชี้แจง จงเลือกกาเครื่องหมาย X ทับอักษร ก ข ค และ ง ที่ถูกที่สุดเพียงข้อเดียว
๑. ข้อใดเป็ นคำประพันธ์ที่มีลักษณะเด่น คือ การบังคับวรรณยุกต์เอก-โท
ก. โคลง ข. กาพย์ ค. ฉันท์ ง. ร่าย
อ่านบทร้อยกรองที่กำหนด แล้วตอบคำถามข้อ ๒-๓
แจ้วแจ้วจักจั่นจ้า จับใจ
หริ่งหริ่งเรื่อยเรไร ร่ำร้อง
แซงแซวส่งเสียงใส ทราบโสต
แหนงนิ่งนึกนุชน้อง นิ่มเนื้อนวลนาง
โคลงนิราศสุพรรณ : สุนทรภู่
๒. โคลงสี่สุภาพบทนี้บาทใดใช้คำตายแทนตำแหน่งคำเอก
ก. บาทที่ ๑ ข. บาทที่ ๒ ค. บาทที่ ๓ ง. บาทที่ ๔
๓. โคลงสี่สุภาพบทนี้ปรากฏคุณค่าด้านวรรณศิลป์ ตรงกับข้อใดเด่นชัดที่สุด
ก. เล่นเสียงสัมผัส ข. เล่นคำพ้องเสียง
ค. เล่นเสียงพยัญชนะ ง. เล่นเสียงวรรณยุกต์
๔. “คำที่กำกับด้วยรูปวรรคยุกต์เอก” คือความหมายของข้อใด
ก. คำเอก ข. คำโท ค. คำเอกโทษ ง. คำโทโทษ
๕. “คำที่กำกับด้วยรูปวรรณยุกต์โท” คือความหมายของข้อใด
ก. คำเอก ข. คำโท ค. คำเอกโทษ ง. คำโทโทษ
๘๐
๖. “การนำคำที่ปกติใช้วรรณยุกต์โทกำกับมา มาใช้ วรรณยุกต์เอกกำกับแทน เพื่อ
ใช้แทนที่คำเอก ในตำแหน่งบังคับของโคลง” คือความหมายของข้อใด
ก. คำเอก ข. คำโท ค. คำเอกโทษ ง. คำโทโทษ
๗. “การนำคำที่ปกติใช้วรรณยุกต์เอกกำกับ มาใช้วรรณยุกต์โทกำกับแทน เพื่อให้
ใช้แทนคำโทในตำแหน่งบังคับ” คือความหมายของข้อใด
ก. คำเอก ข. คำโท ค. คำเอกโทษ ง. คำโทโทษ
๘. โคลงสี่สุภาพบังคับเอกโทกี่ตำแหน่ง
ก. เอก ๗ โท ๔ ข. เอก ๔ โท ๗ ค. เอก ๔ โท ๔ ง. เอก ๗ โท ๗
๙. โคลงสี่สุภาพมีคำสร้อยได้กี่แห่ง
ก. ๑ แห่ง ข. ๒ แห่ง ค. ๓ แห่ง ง. ๔ แห่ง
๑๐. โคลงสี่สุภาพมีจำนวนคำกี่คำ
ก. ๑๐ คำ ข. ๒๐ คำ ค. ๓๐ คำ ง. ๔๐ คำ
๑๑. โคลงสี่สุภาพมีจำนวนคำกี่คำ หากนับคำสร้อย
ก. ๑๔ คำ ข. ๒๔ คำ ค. ๓๔ คำ ง. ๔๔ คำ
๑๒. โคลงสี่สุภาพบทหนึ่งมีกี่บาท
ก. ๘ บาท ข. ๔ บาท ค. ๖ บาท ง. ๒ บาท
๑๓. ในการแต่งบทร้อยกรองประเภทโคลง อาจมีสร้อยคำเพิ่มได้ในบาทใด
ก. บาทที่ ๑ และบาทที่ ๓ ข. บาทที่ ๒ และบาทที่ ๓
ค. บาทที่ ๒ และบาทที่ ๔ ง. บาทที่ ๓ และบาทที่ ๔
๘๑
๑๔. บทร้อยกรองประเภทโคลง ปรากฏเป็ นหลักฐานครั้งแรกในวรรณคดีเรื่องใด
ก. กาพย์ห่อโคลงประพาสธารทองแดง ข. ลิลิตโองการแช่งน้ำ
ค. กำสรวลโคลงดั้น ง. ไตรภูมิพระร่วง
๑๕. “พยางค์ที่ประสมด้วยสระเสียงยาวไม่มีตัวสะกด หรือพยางค์ที่สะกดด้วยมาตรา
กง กน กม เกย เกอว และพยางค์ที่ประสมด้วยสระอำ ใอ ไอ เอา” คือความหมาย
ของอะไร
ก. คำเป็ น ข. คำตาย ค. คำผสม ง. คำไม่แท้
๑๖. “พยางค์ที่สะกดด้วยมาตรากก กด กบ เช่น ขาด โคก และสระเสียงสั้น ไม่มีตัว
สะกด ยกเว้น อำ ใอ ไอ เอา เช่น จะ เละ โปะ” คือความหมายของอะไร
ก. คำเป็ น ข. คำตาย ค. คำผสม ง. คำไม่แท้
๑๗. ข้อใดไม่ใช่คำตาย
ก. เลข ข. ราก ค. เกาะ ง. ปลา
๑๘. “คำที่จะใช้ต่อเมื่อความขาด หรือยังไม่สมบูรณ์” คือความหมายของอะไร
ก. คำเป็ น ข. คำตาย ค. คำผสม ง. คำสร้อย
๑๙. คำประพันธ์ประเภทโคลงคำสุดท้ายของบาทที่ ๑ สัมผัสกับคำที่เท่าไหร่ของ
บาทใด
ก. ๕ ของวรรคแรกในบาทที่ ๒ และ ๓ ข. ๕ ของวรรคแรกในบาทที่ ๕ และ ๓
ค. ๒ ของวรรคแรกในบาทที่ ๒ และ ๖ ง. ๘ ของวรรคแรกในบาทที่ ๙ และ ๖
๒๐. คำประพันธ์ประเภทโคลงคำสุดท้ายของบาทที่ ๒ สัมผัสกับคำที่เท่าไหร่ของ
บาทใด
ก. ๖ ของวรรคแรกในบาทที่ ๔ ข. ๔ ของวรรคแรกในบาทที่ ๔
ค. ๕ ของวรรคแรกในบาทที่ ๔ ง. ๕ ของวรรคแรกในบาทที่ ๘
๘๒
บรรณานุกรม
กาญจนา นาคสกุล และคณะ. ๒๕๔๕. บรรทัดฐานภาษาไทย เล่ม ๑-๒.
กรุงเทพมหานคร: สถาบัน ภาษาไทย กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ.
กำชัย ทองหล่อ. ๒๕๔๓. หลักภาษาไทย. กรุงเทพมหานคร: รวมสาส์น.
กุสุมา รักษมณี และคณะ. ๒๕๓๑. สังกัปภาษา ๒. กรุงเทพมหานคร:
อักษรเจริญทัศน์.
สุโขทัยธรรมาธิราช. มหาวิทยาลัย. ๒๕๔๓. เอกสารการสอนชุดการใช้ภาษาไทย
(ฉบับปรับปรุง หน่วยที่ ๑-๔). นนทบุรี: โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยสุโขทัย
ธรรมาธิราช.
จิตต์นิภา ศรีไสย์ และคณะ. ๒๕๕๕. หลักภาษาและการใช้ภาษาไทย.
กรุงเทพมหานคร: สถาบันพัฒนาคุณภาพวิชาการ.
๘๒
ภาคผนวก
เฉลยละเอียด แบบทดสอบหลังเรียน
ตอนที่ ๑ คำยืมภาษาต่างประเทศในภาษาไทย
๑. “นายทรงกลดเป็ นนักเรียนที่ได้รับ “โควตา” จากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่” คำที่ขีด
เส้นใต้ เป็ นคำที่มาจากภาษาใด
ก. อังกฤษ ข. จีน ค. เขมร ง. ญี่ปุ่ น
เฉลย ก.อังกฤษ
แนวคิด/เหตุผล
โควตา มาจากคำภาษาอังกฤษ quota แปลว่า การกำหนดปริมาณ
๒. เหตุใดจึงมีการยืมคำภาษาต่างประเทศมาใช้ในภาษาไทย
ก. เพราะในปั จจุบันมีคนนิยมใช้กันมาก
ข. เพราะมีวิทยากรเข้ามาเผยแพร่ในประเทศไทย
ค. เพราะมีการติดต่อระหว่างประเทศทั้งด้านการทูต การค้าขาย
ง. เพราะภาษาต่างประเทศมีมากจึงต้องนำมาใช้ในประเทศไทยบ้าง
เฉลย ค. เพราะมีการติดต่อระหว่างประเทศทั้งด้านการทูต การค้าขาย
แนวคิด/เหตุผล
ประเทศไทยมีชายแดนติดต่อกับทะเลทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนทางการทูต
การค้า และวัฒนธรรม
๓. ข้อใดไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้มีภาษาต่างประเทศเข้ามาปะปนในภาษาไทย
ก. มีอาณาเขตใกล้เคียงติดต่อกัน ข. นับถือสถาบันกษัตริย์เหมือนกัน
ค. มีการไปศึกษาต่อต่างประเทศ ง. ความเจริญทางเทคโนโลยี
เฉลย ข. นับถือสถาบันกษัตริย์เหมือนกัน
แนวคิด/เหตุผล
การนับถือสถาบันกษัตริย์เหมือนกัน ไม่มีผลในการยืมคำจากภาษาต่างประเทศ
มาใช้ในไทย เพราะการยืมคำเกิดจากปั จจัยต่าง ๆ เช่น การค้าขาย ชายแดนติดต่อ
กัน การไปศึกษาทางประเทศ การเข้ามาของศาสนา เป็ นต้น
๘๔
๔. คำว่า “นีออน” เป็ นคำที่มาจากภาษาใด
ก. จีน ข. ญี่ปุ่ น ค. เขมร ง. อังกฤษ
เฉลย ง. อังกฤษ
แนวคิด/เหตุผล
นีออน มาจากคำภาษาอังกฤษ neon แปลว่า ธาตุลำดับที่ ๑๐ มีสัญลักษณ์ Ne
๕. ประโยคใดมีคำที่มาจากภาษาจีน
ก. อย่าลืมปิ ดไฟทุกครั้งก่อนนอน
ข. ฉันไม่ชอบเดินคนเดียวตอนเย็น
ค. คุณครูบอกให้จัดโต๊ะและเก้าอี้ให้เรียบร้อย
ง. มีพระห้อยคอแล้วรู้สึกเป็ นสิริมงคล
เฉลย ค. คุณครูบอกให้จัดโต๊ะและเก้าอี้ให้เรียบร้อย
แนวคิด/เหตุผล
โต๊ะ มาจากคำภาษาจีน แปลว่า สิ่งที่ทำด้วยไม้เป็ นต้น พื้นราบ เป็ นรูปต่าง ๆ
มีขา สำหรับเป็ นที่เขียนหนังสือ ตั้งเครื่องบูชา หรือวางสิ่งของต่าง ๆ
เก้าอี้ มาจากคำภาษาจีน แปลว่า ที่สำหรับนั่ง มีขาและพนักพิง มักยกย้ายไปมา
ได้ มีหลายชนิด
๖. คำยืมภาษาอังกฤษส่วนใหญ่เป็ นคำที่สะกดด้วยพยัญชนะใด
ก. ก ย บ ล ม ข. ส ท ฮ ก ช ค. บ ล ฟ พ ว ง. ฟ ล ส ศ ต
เฉลย ง. ฟ ล ส ศ ต
แนวคิด/เหตุผล
คำยืมภาษาอังกฤษส่วนใหญ่เป็ นคำที่สะกดด้วยพยัญชนะ ฟ ล ส ศ ต เช่น กราฟ
กอล์ฟบอล อีเมล โบนัส โฟกัส แก๊ส ชอกโกแลต เป็ นต้น
๗. คำข้อใดมาจากภาษาญี่ปุ่ น
ก. สาเก ยูโด ข. กะปิ จวน ค. ขนมปั งซามูไร ง .ปิ่ นโต คาเฟ่
เฉลย ก. สาเกยูโด
๘๕
แนวคิด/เหตุผล
สาเก มาจากคำภาษาญี่ปุ่ น แปลว่า เป็ นคำเรียกของคำว่า "สุรา" ในประเทศ
ญี่ปุ่ น
ยูโด มาจากคำภาษาญี่ปุ่ น แปลว่า ศิลปะการป้ องกันตัวประเภทหนึ่งที่ถือกำเนิด
จากประเทศญี่ปุ่ น
๘. คำยืมที่มาจากภาษาอังกฤษเริ่มเข้ามาในสมัยใด
ก. รัชกาลที่ ๑ ข. รัชกาลที่ ๒ ค. รัชกาลที่ ๓ ง. รัชกาลที่ ๔-๖
เฉลย ค. รัชกาลที่ ๓
แนวคิด/เหตุผล
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เริ่มมีคณะทูตสอนศาสนาเข้า
มา และได้นำวิทยาการใหม่ ๆ เช่น การพิมพ์ การแพทย์ เข้ามาเผยแพร่คำภาษา
อังกฤษจึงเริ่มปรากฏในเอกสารภาษาไทยตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๓ มากมาย เช่น ชื่อ
ชนชาติ
ชื่อบุคคล ชื่อยศ, บรรดาศักดิ์ ชื่อประเทศ ชื่อเมือง ชื่อศาสนา เป็ นต้น
๙. คำยืมในภาษาต่างประเทศชาติใด ที่ไทยยืมมาใช้เป็ นคำราชาศัพท์
ก. จีน ข. ญี่ปุ่ น ค. บาลี ง. เขมร
เฉลย ง.เขมร
แนวคิด/เหตุผล
คำเขมรส่วนมากใช้เป็ นคำราชาศัพท์ในไทย เช่น ขนง ขนอง เขนย เสวย
บรรทม เสด็จ โปรด เป็ นต้น
๑๐. คำว่า “กระดาษ” เป็ นคำที่ยืมมาจากภาษาใด
ก. ภาษาชวา – มลายู ข. ภาษาโปรตุเกส ค. ภาษาจีน ง. ภาษา
เขมร
เฉลย ข. ภาษาโปรตุเกส
แนวคิด/เหตุผล
กระดาษ (สันนิษฐานว่าเพี้ยนมากจาก “กราตัส”) ซึ่งเป็ นคำภาษาโปรตุเกส
๘๖
๑๑. การยืมคำภาษาบาลีมาใช้ในไทย มีสาเหตุมาจากข้อใด
ก.ศาสนาพุทธ ข. การปกครอง ค. การค้าขาย ง.เป็ นภาษาถิ่น
เฉลย ก. ศาสนาพุทธ
แนวคิด/เหตุผล
เมื่อศาสนาพุทธเผยแพร่เข้ามาสู่ประเทศ ศาสนาพุทธใช้ภาษาบาลีในการ
เผยแผ่ศาสนา
๑๒. คำภาษาชวาเข้ามาในภาษาไทยพร้อมกับวรรณคดีเรื่องใด
ก. ดาหลังและอิเหนา ข. ลิลิตเพชรมงกุฎ ค. ระเด่นลันได ง. รามเกียรติ์
เฉลย ก. ดาหลังและอิเหนา
แนวคิด/เหตุผล
เรื่องอิเหนา หรือที่เรียกกันว่านิทานปั นหยีนั้น เป็ นนิทานที่เล่าแพร่หลายกัน
มากในชวา เชื่อกันว่าเป็ นนิยายอิงประวัติศาสตร์ของชวา ในสมัยพุทธศตวรรษที่
๑๖ ปรุงแต่งมาจากพงศาวดารชวา และมีด้วยกันหลายสำนวน พงศาวดารเรียก
อิเหนาว่า “ ปั นจี อินู กรัตปาตี” (Panji Inu Kartapati)
๑๓. ข้อใดไม่ใช่คำภาษาจีนเกี่ยวกับอาหารและขนม
ก. แป๊ ะซะ ข. อั้งโล่ ค. แฮ่กึ๊น ง. เจี๋ยน
เฉลย ข. อั้งโล่
แนวคิด/เหตุผล
อั้งโล่ หมายถึง เตาไฟดินเผาชนิดหนึ่งของจีนทำเป็ นรูปคล้ายถัง
๑๔. ข้อใดมีคำภาษาเขมร ๒ คำ และคำภาษาชวา-มลายู ๑ คำ
ก. จำหน่าย ยี่เก โนรี ข. เสวย แข บุหงา
ค. ขจี บำเพ็ญ กังวล ง. บุหงา ปั้ นเหน่ง ก ระชัง
เฉลย ข. เสวย แข บุหงา
๘๗