The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน รายวิชาสังคมศึกษา
เรื่องการคุ้มครองผู้บริโภค ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2
โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5E)

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by rfeghgsokoppo, 2024-06-21 17:52:57

การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน รายวิชาสังคมศึกษา เรื่องการคุ้มครองผู้บริโภค ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5E)

การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน รายวิชาสังคมศึกษา
เรื่องการคุ้มครองผู้บริโภค ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2
โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5E)

การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน รายวิชาสังคมศึกษา เรื่องการคุ้มครองผู้บริโภค ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5E) วีระพล วะดวงชัย รายงานการวิจัยในชั้นเรียนนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตร ครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชา สังคมศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี 2565


การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน รายวิชาสังคมศึกษา เรื่องการคุ้มครองผู้บริโภค ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5E) วีระพล วะดวงชัย รายงานการวิจัยในชั้นเรียนนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตร ครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชา สังคมศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี 2565


อาจารย์ประจ าหลักสูตรคร ุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาสังคมศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานีอนุมัติให้นับวิจัยในชั้นเรียนฉบับนี้เป็นส ่วนหนึ ่งของการศึกษาตาม หลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาสังคมศึกษา .................................................................................. อาจารย์ที่ปรึกษาหลัก (ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วินัย ภารเวช) .................................................................................. อาจารย์ที่ปรึกษาร่วม (ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ยุธยา หมื่นสาย) .................................................................................. ครูพี่เลี้ยง (นายกนกพล เมืองแก้ว) หัวข้อการศึกษา การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน รายวิชาสังคมศึกษา เรื่องการคุ้มครอง ผู้บริโภค ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ แบบสืบเสาะหาความรู้ (5E) ผู้วิจัย นายวีระพล วะดวงชัย อาจารย์ที่ปรึกษาหลัก ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วินัย ภารเวช อาจารย์ที่ปรึกษาร่วม ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ยุธยา หมื่นสาย ครูพี่เลี้ยง นายกนกพล เมืองแก้ว ปริญญา ครุศาสตรบัณฑิต สาขาสังคมศึกษา ปีการศึกษา 2565


ก บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ คือ เพื่อพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการจัดการ เรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5E)รายวิชาสังคมศึกษา เรื่องการคุ้มครองผู้บริโภค ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 2 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 และเพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน รายวิชาสังคมศึกษา เรื่องการคุ้มครองผู้บริโภค ของชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้รูปแบบการจัดการ เรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5E)ก่อนเรียนและหลังเรียน กลุ่มเป้าหมายเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 2 ได้จากการเลือกแบบเจาะจง จ านวน 44 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ แผนการจัดการ เรียนรู้วิชาสังคมศึกษา จ านวน 6 แผนการจัดการเรียนรู้ และแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องการคุ้มครองผู้บริโภค ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ผลการวิจัยพบว่า 1) แผนการจัดการ เรียนรู้โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้(5E) รายวิชาสังคมศึกษา เรื ่องการ คุ้มครองผู้บริโภค ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที ่2 มีประสิทธิภาพก ่อนและหลังเรียน เท ่ากับ 85.83/81.88 แสดงว่า แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5E) รายวิชาสังคมศึกษา เรื่องการคุ้มมครองผู้บริโภค ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่ผู้วิจัย พัฒนาขึ้นมีประสิทธิภาพสูงกว่าเกณฑ์ 80/80 2) ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การคุ้มครองผู้บริโภคโดยมีคะแนนเฉลี่ยก่อนเรียน เท่ากับ 10.95 และคะแนนเฉลี่ยหลังเรียน เท่ากับ 16.38 ซึ่งมีคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .01 หัวข้อการศึกษา การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน รายวิชาสังคมศึกษา เรื่องการคุ้มครอง ผู้บริโภค ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ แบบสืบเสาะหาความรู้ (5E) ผู้วิจัย นายวีระพล วะดวงชัย อาจารย์ที่ปรึกษาหลัก ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วินัย ภารเวช อาจารย์ที่ปรึกษาร่วม ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ยุธยา หมื่นสาย ครูพี่เลี้ยง นายกนกพล เมืองแก้ว ปริญญา ครุศาสตรบัณฑิต สาขาสังคมศึกษา ปีการศึกษา 2565


ข กิตติกรรมประกาศ รายงานการวิจัยฉบับนี้ส าเร็จได้ด้วยความกรุณาจาก ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วินัย ภารเวช และ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ยุธยา หมื่นสาย อาจารย์ที่ปรึกษา ที่กรุณาให้ค าปรึกษา ค าแนะน า อ่าน และ แก้ไขข้อบกพร่องต่างๆ ของรายงานการวิจัยนี้จนส าเร็จสมบูรณ์ ทั้งเสียสละเวลา และให้ก าลังใจผู้วิจัย มาโดยตลอดจนส าเร็จเรียบร้อย ผู้วิจัยขอกราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูง ขอบพระคุณ นางสุกิต โสภิณ นายกนกพล เมืองแก้ว และนางสาวทองม้วน โยธชัย ที่กรุณา เป็นผู้เชี่ยวชาญให้ความอนุเคราะห์ในการตรวจสอบ พิจารณาเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยและให้ข้อเสนอแนะ ตลอดระยะเวลาด าเนินการวิจัย ขอบพระคุณ ผู้อ านวยการโรงเรียน คณะครู และขอบใจ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่ให้ความอนุเคราะห์ทดลองใช้เครื่องมือในการวิจัย และให้ความร่วมมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล จนได้ข้อมูลอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ ประโยชน์และคุณค่าจากรายงานวิจัยฉบับนี้ ผู้วิจัยขอกุศลแห่งความดีในครั้งนี้แด่พระคุณ บิดา มารดา ผู้มีพระคุณและครูอาจารย์ทุกท่านที่ประสิทธิ์ประสาทวิชาความรู้ท าให้ผู้วิจัยประสบ ความส าเร็จในครั้งนี้ วีระพล วะดวงชัย


ค สารบัญ บทคัดย่อ………………………………………………………………………..................................…….. ก กิตติกรรมประกาศ……………………………………….............................……………………………. ข สารบัญ……………………………………………………………………………….................................... ค สารบัญตาราง…………………………………………………………………………................................ จ สารบัญภาพ…………………………………………………………………………................................... ฉ เรื่อง หน้า 1 บทน า ............................................................................................................................. ... 1 1.1 ความเป็นมาและความส าคัญของปัญหา............................................................... 1 1.2 วัตถุประสงค์ของการวิจัย...................................................................................... 4 1.3 สมมติฐานการวิจัย................................................................................................ 4 1.4 ขอบเขตของการวิจัย............................................................................................ 4 1.5 นิยามศัพท์เฉพาะ.................................................................................................. 5 1.6 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากการวิจัย................................................................ 8 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ........................................................................................ 9 2.1 หลักสูตรแกนกลางทางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551.......................... 9 2.2 หลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม พุทธศักราช 2551................................................................................................. 13 2.3 ตัวชี้วัด และสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551........ 17 2.4 รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5E).......................................... 18 2.5 แผนการจัดการเรียนรู้……………………………………………………………………………….. 23 2.6 ประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้............................................................... 26 2.7 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน........................................................................................ 28 2.8 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง............................................................................................... 29 2.9 กรอบแนวคิดในการวิจัย....................................................................................... 37 3 วิธีด าเนินการวิจัย .......................................................................................................... .... 38 3.1 ประชากรและกลุ่มเป้าหมาย................................................................................. 38 3.2 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ...................................................................................... 38


ง สารบัญ (ต่อ) เรื่อง หน้า 3.3 การสร้างและหาคุณภาพของเครื่องมือ................................................................. 39 3.4 การเก็บรวบรวมข้อมูล ......................................................................................... 41 3.5 การวิเคราะห์ข้อมูล............................................................................................... 42 3.6 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล.............................................................................. 42 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล ……………………………………………………………………....….................... 47 ตอนที่ 1 ผลการพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบ สืบเสาะหาความรู้(5E) ประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80............................................... 47 ตอนที่ 2 ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โดยใช้รูปแบบการจัดการ เรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้(5E)ก่อนเรียนและหลังเรียน…………………………………… 51 5 สรุป อภิปราย และข้อเสนอแนะ.......................................................................................... 55 วัตถุประสงค์................................................................................................................. 55 สมมติฐานการวิจัย........................................................................................................ 55 วิธีด าเนินการวิจัย……………………………………………………………………………………………. 55 สรุปผลการวิจัย............................................................................................................ 57 อภิปรายผล.................................................................................................................. 57 ข้อเสนอแนะ................................................................................................................ 59 เอกสารอ้างอิง………………………………………...............................…………………………………....... 61 ภาคผนวก…………………………………………………………………….................................…………..... 64 ภาคผนวก ก รายชื่อและประวัติผู้เชี่ยวชาญที่ตรวจสอบเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย.. 65 ภาคผนวก ข เครื่องมือที่ใช้ในงานวิจัย……………………………………...................………. 69 ภาคผนวก ค ข้อมูลการหาคุณภาพของเครื่องมือที่ใช้ในงานวิจัย…………………………. 87 ภาคผนวก ง ภาพบรรยากาศการสอนในคาบเรียนที่มีการใช้แผน………………………... 97 ประวัติผู้จัดทำวิจัย……………………………………………………………............................ 99


จ สารบัญตาราง ตารางที่ หน้า 1 ผลรวมของคะแนนก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้ รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5E) ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 2................................................................................................. 48 2 ประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบสืบ เสาะหาความรู้(5E) รายวิชาสังคมศึกษา เรื่องการคุ้มครองผู้บริโภค ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2…………………………………………………………………………………. 51 3 คะแนนเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของผลสัมฤทธิ์ก่อนเรียน และผลสัมฤทธิ์ หลังเรียน เรื่องการคุ้มครองผู้บริโภค ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2…………… 52 4 ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องการคุ้มครองผู้บริโภค ของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2............................................................................... 54 5 ผลการวิเคราะห์แบบประเมินค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ของแผนการจัดการ เรียนรู้หน่วยการเรียนรู้ที่ 9 เรื่อง การคุ้มครองผู้บริโภค โดยผู้เชี่ยวชาญ 3 คน ............................................................................................................................. 88 6 ผลการประเมินความสอดคล้อง (IOC) ของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียน โดยผู้เชี่ยวชาญ 3 คน................................................................................ 89 7 แสดงการค านวณค่าความยากและอ านาจจ าแนกของข้อสอบ โดยใช้เทคนิค 25%..................................................................................................................... 91 8 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์โดยเรียงค่าคะแนนจากสูงไปหาต ่า และใช้เกณฑ์การ แบ่งกลุ่มเก่ง-อ่อนจากเทคนิค 25% เพื่อวิเคราะห์ทางสถิติรายข้อ………………….. 93


ฉ สารบัญภาพ ภาพที่ หน้า 1 กรอบแนวคิดในการวิจัย....................................................................................... 37


1 บทที่ 1 บทน า 1.1 ความเป็นมาและความส าคัญของปัญหา การศึกษาไทยในปัจจุบันมีการจัดการศึกษาตามบริบทของการจัดการศึกษาอันเป็นไปตาม แผนการศึกษาของชาติคือ พัฒนาคน พัฒนาครูอาจารย์ พัฒนาสังคม (ประหยัด พิมพา, 2561) พระราชบัญญัติ การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 การจัดการการศึกษาต้องเป็นไปเพื่อพัฒนาคนไทยให้ เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ทั้งร่างกาย จิตใจ สติปัญญา ความรู้ และคุณธรรม มีจริยธรรมและวัฒนธรรมใน การด ารงชีวิตสามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข และการจัดการศึกษาต้องยึดหลักว่าผู้เรียนทุก คนมีความสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ และถือว่าผู้เรียนมีความส าคัญที่สุด กระบวนการจัดการ ศึกษาต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตามธรรมชาติและเต็มศักยภาพ (ส านักงานคณะกรรมการ กฤษฎีกา ,2542) และหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งพัฒนาผู้เรียนทุกคน ซึ่งเป็นก าลัง ของชาติให้เป็นมนุษย์ที่มีความสมดุลทั้งด้านร่างกาย ความรู้ คุณธรรม (กระทรวงศึกษาธิการ,2551) กลุ ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม เป็นศาสตร์ความรู้หนึ ่งที ่มี ความส าคัญ และมีบทบาทอย่างมากต่อการพัฒนาผู้เรียนให้มีความรู้ความเข้าใจการด ารงชีวิต อยู่ในสภาพสังคมปัจจุบัน ที่มีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา สามารถปรับตัวและปฏิบัติตน ในการอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างถูกต้องเหมาะสม (ฐากร สิทธิโชค , 2564) และขอบข่ายของวิชาสังคม ศึกษากว้างขวาง มีเนื้อหาสาระที ่เป็นการคิดรวบยอดและหลักการจากสาขาวิชาต่างๆ ที่น ามาใช้ ส าหรับการเรียนรู้ได้อีกมาก ประกอบกับการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงของสังคมมีผลกระทบต่อวิชา สังคมศึกษาโดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนที่เป็นขอบข่ายของเนื้อหาความรู้ที่เพิ่มขึ้นและกว้างขวางยิ่งขึ้น เนื้อหาความรู้ที่เป็นข้อเท็จจริงนั้นมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นผู้สอนและผู้เรียนจะต้องมี การเรียนรูที่เลือกสรรข้อมูลความรู้ที่สามารถน ามาสัมพันธ์กับชีวิต และช่วยแก้ปัญหาชีวิตใน ปัจจุบันได้ (พระปรัชญา ชยวุฑฺโฒ และคณะ , 2561) และช่วยให้ผู้เรียนมีความรู้ความเข้าใจการ ด ารงชีวิตของมนุษย์ทั้งในฐานะปัจเจกบุคคลและการอยู่ร่วมในสังคม การปรับตัวตามสภาพแวดล้อม การจัดการทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจ ากัด เข้าใจถึงการพัฒนาเปลี่ยนแปลงตามยุคสมัย กาลเวลา ตาม เหตุปัจจัยต่างๆ เกิดความเข้าใจตนเองและผู้อื่น(กระทรวงศึกษาธิการ , 2551) การเรียนวิชาสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรมที่ผ่านมายังไม่ได้ผล นอกจากมีเนื้อหาตามที่ หลักสูตรก าหนดก็เป็นวิชาการมาก อีกทั้งหลักสูตรและการจัดการเรียนการสอนเน้นความรู้ภาคทฤษฎี


2 และวิธีการบรรยาย (วรัญญา พักอยู่ , 2562) จึงท าให้ครูผู้สอนมีบทบาทส าคัญอย่างยิ่ง ต้องรู้จักน า วิธีการจัดการเรียนรู้หรือเทคนิคการจัดการเรียนรู้ที ่หลากหลายมาใช้ การจัดกระบวนการจัดการ เรียนรู้ต้องจัดเนื้อหาสาระและกิจกรรมให้สอดคล้องกับความสนใจ และความถนัดของผู้เรียน ค านึงถึง ความแตกต่างระหว่างบุคคล(กาญจนา จันทร์ช่วง ,2560) ส่งผลให้การจัดการเรียนการสอนในปัจจุบัน ครูผู้สอนจ าเป็นต้องมีการหากิจกรรมหรือเทคนิคในการจัดการเรียนการสอนที ่หลากหลาย เพื่อ กระตุ้นความสนใจในการเรียนของผู้เรียน และเพื่อเป็นการส่งเสริมให้ผู้เรียนมีความรู้และทักษะต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ การจัดการเรียนการสอนกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม รายวิชา สังคมศึกษา ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนหนองหานวิทยา พบว่ามีปัญหาที่ส าคัญคือ รายวิชาสังคม ศึกษาเป็นรายวิชาที่มีเนื้อหาค่อนข้างมาก เมื่อเอามาเปรียบเทียบกับเวลาเรียนแล้วถือได้ว่าเวลาเรียน ยังน้อย ท าให้ครูผู้สอนใช้วิธีการจัดการเรียนการสอนแบบบรรยายหรือให้ท าใบงาน เพราะเป็นการ กระชับเนื้อหาเพื ่อให้ทันต ่อเวลาเรียนที ่มี ซึ ่งผลที ่ตามมานั ่นก็คือนักเรียนเกิดความเบื ่อหน ่ายใน บทเรียน ขาดแรงจูงใจในการเรียนหรือแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง และส่งผลให้นักเรียนไม่ให้ความ ร่วมมือเท่าที่ควรในการจัดการเรียนการสอน เช่น การส่งงาน และการเข้าเรียน เป็นต้น จากปัญหา หลายๆอย่างอาจส่งผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในรายวิชาสังคมศึกษาของนักเรียนได้ สภาพปัญหา ดังกล ่าวครูผู้สอนจ าเป็นต้องมีการจัดการเรียนรู้และพัฒนากิจกรรมการเรียนการสอนให้มีความ หลากหลายและเหมาะสมกับความสามารถของนักเรียน แนวทางในการแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการจัดการเรียนการสอน กิจกรรมการเรียนควรมี ความหมายและน่าสนใจให้กับนักเรียน(ขัณธ์ชัย อธิเกียรติ , 2558) และบทบาทของครูผู้สอน ควรมี การสร้างปฏิสัมพันธ์กับผู้เรียน หาวิธีการ ใช้แนวคิด หลักการและทฤษฎีมาประยุกต์ใช้ในการจัดการ เรียนการสอน โดยค านึงถึงความถนัดและความสนใจของผู้เรียน (กมล โพธิเย็น , 2558) การจัดการ เรียนการสอนในปัจจุบันควรมีการเปลี่ยนแปลงจากการให้ความรู้ฝ่ายเดียวคือครูสู่นักเรียน เป็นการที่ นักเรียนเป็นผู้แสวงหาความรู้ด้วยตนเอง และใฝ ่รู้ใฝ ่เรียนเพื่อเป็นการสร้างองค์ความรู้ที่เกิดจาก นักเรียนสู่นักเรียน ครูเป็นผู้คอยให้ค าแนะน าและที่ปรึกษา แนวทางในการจัดการเรียนการสอนที ่แก้ปัญหาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนให้สูงขึ้นและ พัฒนาการเรียนรู้ของนักเรียนให้มีประสิทธิภาพมีหลากหลายแนวทางรวมทั้งการจัดท าแผนการจัดการ เรียนรู้ โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5E) กาจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหา ความรู้เป็นยุทธวิธีในการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลางให้ผู้เรียนสร้างองค์ความรู้ ด้วยตนเอง (จรรยา โท๊ะนาบุตร ,2560) และเป็นกระบวนการที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนได้เรียนรู้


3 วิธีการค้นคว้าความรู้ด้วยตนเองที่เน้นทักษะการแสวงหาความรู้ การสังเกต การส ารวจ กล้าคิดกล้า แสดงออก กล้าตัดสินใจ ใช้กระบวนการคิด และการหาข้อสรุปอย่างมีเหตุผลจนเกิดความคิดรวบยอด สรุปเป็นองค์ความรู้ใหม ่ โดยมีครูเป็นผู้คอยอ านวยความสะดวก ชี้แนะ ช ่วยเหลือ และแก้ปัญหา (กระทรวงศึกษาธิการ , 2559) โดยมีขั้นตอนการเรียนรู้ดังนี้ 1)ขั้นสร้างความสนใจ เป็นการน าเข้าสู่ บทเรียนอาจเกิดขึ้นจากความสงสัยหรือเป็นเรื่องที่เชื่อมโยงกับความรู้เดิม เป็นตัวกระตุ้นให้นักเรียน สร้างค าถาม 2)ขั้นส ารวจและค้นหา เป็นการวางแผนก าหนดแนวทางในการส ารวจ ตรวจสอบ ตั้งสมมติฐาน ก าหนดทางเลือกที่เป็นไปได้ 3)ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป เป็นการน าความรู้ที่สร้างขึ้นไป เชื ่อมโยงกับความรู้เดิม หรือน าข้อสรุปที ่ได้ไปใช้อธิบายสถานการณ์ และ5)ขั้นประเมิน เป็นการ ประเมินการเรียนรู้ด้วยกระบวนการต่างๆ ว่ามีความรู้อะไร อย่างไรมากน้อยเพียงใด และการน าไป ประยุกต์ใช้อย่างไร (สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี , 2546) จากสภาพปัญหาดังกล่าว ผู้วิจัยเห็นว่ารูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5E) เป็นการเรียนรู้ที่เหมาะสมและสอดคล้องกับการจัดการเรียนรู้ เรื่อง การคุ้มครองผู้บริโภค ในระดับชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนหนองหานวิทยา อ าเภอหนองหาน จังหวัดอุดรธานี เพราะเป็นการจัดการ เรียนการสอนที่ให้ผู้เรียนได้เผชิญปัญหาจริง หรือสถานการณ์ปัญหาต่างๆ และยังเป็นการเรียนรู้การ ท างานแบบกลุ่มที่ต้องมีการแบ่งหน้าที่ ระดมความคิด และร่วมด้วยช่วยกันในการท างาน ซึ่งเป็น ทักษะที่ส าคัญเป็นอย่างมากในการด าเนินชีวิตในปัจจุบัน ดังนั้น เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนให้ดีขึ้น จึงจ าเป็นต้องเริ่มต้นที่การ จัดการเรียนการสอน โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5E) ซึ่งเป็นการเรียนรู้ที่ ส่งเสริมองค์ความรู้ที่เกิดจากการแสวงหาความรู้ด้วยตนเองของนักเรียน จึงท าให้นักเรียนมีความรู้ ความเข้าใจ และทักษะในการเรียนรู้เพิ่มมากขึ้น


4 1.2 วัตถุประสงค์ของการวิจัย 1. เพื่อพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5E)รายวิชาสังคมศึกษา เรื ่องการคุ้มครองผู้บริโภค ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที ่ 2 ให้มี ประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2. เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาสังคมศึกษา เรื่องการคุ้มครองผู้บริโภค ของชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5E)ก่อนเรียนและ หลังเรียน 1.3 สมมติฐานการวิจัย 1.3.1 ประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้ โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบสืบ เสาะหาความรู้ (5E) รายวิชาสังคมศึกษา เรื่องการคุ้มครองผู้บริโภค ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 1.3.2 นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่เรียนด้วยการจัดการเรียนโดยใช้รูปแบบการจัดการ เรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5E) รายวิชาสังคมศึกษา เรื ่องการคุ้มครองผู้บริโภค มีผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน 1.4 ขอบเขตของการวิจัย 1.4.1 ด้านเนื้อหา ในการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5E) รายวิชาสังคมศึกษา เรื่องการคุ้มครองผู้บริโภค ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 จ านวน 6 แผน รวม 8 ชั่วโมง ดังรายละเอียดคือ 1. ทดสอบก่อนเรียน จ านวน 1 ชั่วโมง 2. แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 เรื่องสิทธิผู้บริโภค จ านวน 1 ชั่วโมง 3. แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 2 เรื่องกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค 1 จ านวน 1ชั่วโมง 4. แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 3 เรื่องกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค 2 จ านวน 1ชั่วโมง 5. แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 4 เรื่องหน่วยงานคุ้มครองผู้บริโภค จ านวน 1 ชั่วโมง 6. แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 5 เรื่องปกป้องและคุ้มครองผู้บริโภค จ านวน 1ชั่วโมง


5 7. แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 6 เรื่อง ผู้บริโภคสู่ผู้ผลิต จ านวน 1 ชั่วโมง 8. ทดสอบหลังเรียน จ านวน 1 ชั่วโมง 1.4.2 ด้านประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 1.4.2.1 ประชากร ประชากรที ่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที ่ 2 ปีการศึกษา 2565 จ านวน 15 ห้องเรียน จ านวนนักเรียน 633 คน 1.4.2.2 กลุ่มตัวอย่าง กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/8 ปีการศึกษา 2565 จ านวน 44 คน 1.4.3 ด้านตัวแปรที่ใช้ในการวิจัย 1.4.3.1 ตัวแปรต้น คือ กิจกรรมการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ แบบสืบเสาะหาความรู้ (5E)รายวิชาสังคมศึกษา เรื ่องการคุ้มครองผู้บริโภค ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 2 1.4.3.2 ตัวแปรตาม คือ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ แบบสืบเสาะหาความรู้ (5E) รายวิชาสังคมศึกษา เรื ่องการคุ้มครองผู้บริโภค ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 2 1.4.4 ระยะเวลาในการวิจัย ผู้วิจัยค้นคว้าได้ใช้เลาในการทดลองกับนักเรียนกลุ่มตัวอย่างในปีการศึกษา 2565 ผู้วิจัยด าเนินการทดลองในปีการศึกษา 2565 รายวิชาสังคมศึกษา เรื่องการคุ้มครองผู้บริโภค ของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 จ านวน 6 แผน ใช้เวลา 8 ชั่วโมง 1.5 นิยามศัพท์เฉพาะ 1.5.1 การจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5E) หมายถึง การจัดการเรียนรู้ที่ผู้เรียน เรียนรู้ด้วยตนเอง และจากกลุ่มที่ท างานร่วมกัน สามารถสร้างองค์ความรู้ได้ด้วยตนเอง และช่วยให้มี พัฒนาการด้านกระบวนการคิดที่หลากหลาย ซึ่งประกอบไปด้วยขั้นต่างๆ ดังนี้ 1.ขั้นสร้างความสนใจ (Engagement) เป็นขั้นการน าเข้าสู่บทเรียนหรือเรื่องที่สนใจ อาจจะ เกิดขึ้นเองหรือเกิดจากความสงสัย เรื่อง ที่สนใจอาจมาจากเหตุการณ์ปัจจุบันหรือเป็นเรื่องที่เชื่อมโยง


6 กับความรู้เดิมที่เพิ่งเรียนรู้มาแล้ว เป็นตัวกระตุ้นให้นักเรียนสร้างค าถามขึ้นมาก าหนดประเด็นที่จะ ศึกษา 2.ขั้นส ารวจและค้นหา (Exploration) เมื่อประเด็นที่จะศึกษามีความชัดเจนแล้ว จะมีการ วางแผนเพื ่อก าหนดแนวทางการส ารวจตรวจสอบ ตั้งสมมติฐาน ก าหนดทางเลือกที ่เป็นไปได้ ปฏิบัติการเพื่อเก็บรวบรวมข้อมูล หรือข้อมูลสารสนเทศ หรือข้อมูลปรากฏการณ์ต่างๆด้วยวิธีการ ต ่างๆ เช ่น การทดลอง ท ากิจกรรมภาคสนามใช้คอมพิวเตอร์ช ่วยสร้างสถานการณ์จ าลอง (Simulation) ศึกษาจากเอกสารอ้างอิง หรือแหล่งข้อมูลต่างๆ รวบรวมข้อมูลให้มากเพียงพอที่จะใช้ ในขั้นต่อไป 3.ขั้นอธิบายและลงข้อมูลสรุป (Explain) เมื่อมีข้อมูลอย ่างเพียงพอแล้ว น าข้อมูล ข้อมูล สารสนเทศ มาวิเคราะห์ แปรผล สรุปผล พร้อมทั้งจัดท าข้อมูล สรุปผลและอภิปรายผลการทดลอง โดยอ้างอิงหลักฐานที่ชัดเจนและน าเสนอผลงาน ซึ่งแสดงถึงการสร้างองค์ความรู้ใหม่ของนักเรียน 4.ขั้นขยายความรู้ (Elaborate) เป็นขั้นของการจัดกิจกรรมหรือสถานการณ์ให้นักเรียนมี ความรู้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ขยายกรอบความคิดให้กาว้างยิ่งขึ้น มีการเชื่อมโยงความรู้เดิม สู่ความรู้ใหม่ เพื่อให้ เกิดการน าไปสู่การค้นคว้าทดลองเพิ ่มขึ้น ส่งเสริมให้นักเรียนตั้งประเด็น เพื่อให้เกิดการอภิปราย แสดงความคิดเห็นเพิ่มเติมเพื่อความกระจ่างชัดยิ่งขึ้นซักถามนักเรียนให้เกิดความชัดเจนในความรู้ อาจมีการให้ค้นคว้าเพิ่มเติมในประเด็นที่นักเรียนสนใจ 5.ขั้นประเมินผล (Evaluate) เป็นการประเมินผลการเรียนรู้จากการท ากิจกรรมในขั้นที่ 1-4 เพื่อน าความรู้ที่ได้ไปปรับใช้ในชีวิตประจ าวัน และเป็นการประเมินผล โดยการใช้แบบทดสอบ ชุดฝึก การท ากิจกรรม การทดลอง การจัดป้ายนิเทศ เป็นการประเมินผลรายบุคคล รายกลุ ่ม โดยใช้ กระบวนการต่างๆ เพื่อประเมินว่าผู้เรียนมีความรู้อะไรอย่างไร มากน้อยเพียงใด จากความหมายที่กล่าวมาพอสรุปได้ว่า การจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5E) เป็น การเรียนที่ส่งเสริมให้นักเรียนได้ฝึกฝนทักษะในด้านต่างๆ ทั้งในการเรียนและการด ารงชีวิต โดยเริ่ม จากความสนใจหรือการแสวงหาความรู้ด้วยตนเองของนักเรียน จนเกิดเป็นการคิดที ่เป็นระบบมี กระบวนการทั้งการหาเหตุผล การแก้ปัญหา และการท างานร ่วมกับผู้อื ่น ซึ ่งนักเรียนสามารถน า ความรู้ไปต่อยอดได้อีกมากมาย 1.5.2 แผนการจัดการเรียนรู้หมายถึง แผนการเรียนรู้ที่ผู้วิจัยได้ค้นคว้าสร้างขึ้น ในรายวิชา สังคมศึกษา เรื่องการคุ้มครองผู้บริโภค ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้รูปแบบการจัดการ เรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5E) ที่ก าหนดขั้นตอนของการเรียนรู้


7 และผู้จัดการเรียนรู้มุ่งหวังว่าจะท าให้ผู้เรียนเกิดพฤติกรรมการเรียนรู้ที่ดี และผู้เรียนมีความรู้ความ เข้าใจในเนื้อหาตามวัตถุประสงค์การเรียนรู้ 1.5.3 ประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้หมายถึง คุณภาพด้านกระบวนการและ ผลลัพธ์ที่ได้จาการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5E) ในการเรียนรายวิชาสังคมศึกษา เรื่องการ คุ้มครองผู้บริโภค ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ทีมีประสิทธิภาพ ท าให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตาม ผลการเรียนรู้ที่ก าหนดโดยพิจารณาจากเกณฑ์ 80/80 ดังต่อไปนี้ 80 ตัวแรก หมายถึง ร้อยละของคะแนนเฉลี่ยของนักเรียนทุกคนที่ได้จากกระบวนการ ของแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5E)รายวิชาสังคม ศึกษา เรื่องการคุ้มครองผู้บริโภค ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ซึ่งประกอบไปด้วย แบบทดสอบ ย่อยหลังเรียน ใบงาน และแบบประเมินพฤติกรรมของนักเรียน ซึ่งได้คะแนนร้อยละ 80 ขึ้นไป 80 ตัวหลัง หมายถึง ร้อยละของคะแนนเฉลี ่ยของนักเรียนทุกคนที ่ได้จากการท า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียน ที่เรียนด้วยแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการ จัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5E)รายวิชาสังคมศึกษา เรื่องการคุ้มครองผู้บริโภค ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ซึ่งได้คะแนนร้อยละ 80 ขึ้นไป 1.5.4 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง คะแนนที่วัดและประเมินผลจากการตอบ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนกลุ่มตัวอย่าง ก่อนเรียนและหลังเรียน ที่เรียนด้วย แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5E)รายวิชาสังคมศึกษา เรื่องการคุ้มครองผู้บริโภค ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยก าหนดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนตาม เกณฑ์ 80/80 80 ตัวแรก คือ ร้อยละของคะแนนเฉลี ่ยของนักเรียนทุกคน ที ่ได้จากคะแนน ประเมินผลงานระหว่างเรียน และแบบทดสอบย่อย ซึ่งต้องได้ค่าเฉลี่ยตั้งแต่ร้อยละ 80 ขึ้นไป ถือเป็น ประสิทธิภาพของกระบวนการ และ 80 ตัวหลัง คือ นักเรียนทั้งหมดที่ท าแบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนหลังเรียน ได้คะแนนเฉลี่ยร้อยละ 80 ขึ้นไป ถือว่าเป็นประสิทธิภาพของผลลัพธ์


8 1.6 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากการวิจัย 1.6.1 ได้แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5E) รายวิชาสังคมศึกษา เรื่องการคุ้มครองผู้บริโภค ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่เหมาะสมกับการ จัดการเรียนรู้ 1.6.2 ท าให้ทราบผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาสังคมศึกษา เรื่องการ คุ้มครองผู้บริโภค ของชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5E) ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน 1.6.3 สามารถน าไปพัฒนาและปรับปรุงให้เกิดประโยชน์ในการเรียนการสอนกลุ่มสาระการ เรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ต่อไป


9 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ในการศึกษาท าการวิจัยเรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน รายวิชาสังคมศึกษา เรื่องการคุ้มครองผู้บริโภค ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้สืบ เสาะหาความรู้ (5E) ผู้วิจัยได้ค้นคว้าเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ดังนี้ 2.1 หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 2.2 หลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม พุทธศักราช 2551 2.3 ตัวชี้วัด และสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและ วัฒนธรรม ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 2.4 รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5E) 2.5 แผนการจัดการเรียนรู้ 2.6 ประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้ 2.7 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 2.8 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 2.9 กรอบแนวคิดในการวิจัย 2.1 หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 2.1.1 วิสัยทัศน์ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งพัฒนาผู้เรียนทุกคน ซึ่งเป็นก าลังของชาติ ให้เป็น มนุษย์ที่มีความสมดุลทั้งด้านร่างกาย ความรู้ คุณธรรม มีจิตส านึกในความเป็นพลเมืองไทย และเป็น พลโลก ยึดมั่นในการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มีความรู้ และทักษะพื้นฐาน รวมทั้งเจตคติที่จ าเป็นต่อการศึกษาต่อการประกอบอาชีพและการศึกษาตลอดชีวิต โดยมุ่งเน้นผู้เรียนเป็นส าคัญบนพื้นฐานความเชื่อว่าทุกคนสามารถเรียนรู้ และพัฒนาตนเองได้เต็มตาม ศักยภาพ


10 2.1.2 หลักการ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มีหลักการที่ส าคัญ ดังนี้ 1) เป็นหลักสูตรการศึกษาเพื่อความเป็นเอกภาพของชาติ มีจุดหมายและมาตรฐาน การเรียนรู้เป็นเป้าหมายส าหรับพัฒนาเด็กและเยาวชนให้มีความรู้ ทักษะ เจตคติ และคุณธรรมบน พื้นฐานของความเป็นไทยควบคู่กับความเป็นสากล 2) เป็นหลักสูตรการศึกษาเพื่อปวงชน ที่ประชาชนทุกคนมีโอกาสได้รับการศึกษาอย่าง เสมอภาค และมีคุณภาพ 3) เป็นหลักสูตรการศึกษาที่สนองการกระจายอ านาจ ให้สังคมมีส่วนร่วมในการจัด การศึกษาให้สอดคล้องกับสภาพและความต้องการของท้องถิ่น 4) เป็นหลักสูตรการศึกษาที่มีโครงสร้างยืดหยุ่นทั้งด้านสาระการเรียนรู้ เวลา และการ จัดการเรียนรู้ 5) เป็นหลักสูตรการศึกษาที่เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญ 6) เป็นหลักสูตรการศึกษาส าหรับการศึกษาในระบบ นอกระบบ และตามอัธยาศัย ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมายสามารถเทียบโอนผลการเรียนรู้ และประสบการณ์ 2.1.3 จุดหมาย หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานมุ ่งพัฒนาผู้เรียนให้เป็นคนดี มีปัญญา มี ความสุข มีศักยภาพในการศึกษาต่อ และประกอบอาชีพ จึงก าหนดเป็นจุดหมายเพื่อให้เกิดกับผู้เรียน เมื่อจบการศึกษาขั้นพื้นฐาน ดังนี้ 1) มีคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมที่พึงประสงค์ เห็นคุณค่าของตนเอง มีวินัย และปฏิบัติตนตามหลักธรรมของพระพุทธศาสนา หรือศาสนาที ่ตนนับถือ ยึดหลักปรัชญาของ เศรษฐกิจพอเพียง 2) มีความรู้ ความสามารถในการสื่อสาร การคิด การแก้ปัญหา การใช้เทคโนโลยี และมีทักษะชีวิต 3) มีสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดี มีสุขนิสัย และรักการออกก าลังกาย 4) มีความรักชาติ มีจิตส านึกในความเป็นพลเมืองไทยและพลโลก ยึดมั่นในวิถีชีวิต และการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข


11 5) มีจิตส านึกในการอนุรักษ์วัฒนธรรมและภูมิปัญญาไทย การอนุรักษ์และพัฒนา สิ่งแวดล้อม มีจิตสาธารณะที่มุ่งท าประโยชน์และสร้างสิ่งที่ดีงามในสังคม และอยู่ร่วมกันในสังคมอย่าง มีความสุข 2.1.4 สมรรถนะส าคัญของผู้เรียน หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งให้ผู้เรียนเกิดสมรรถนะส าคัญ 5 ประการ ดังนี้ 1) ความสามารถในการสื่อสาร เป็นความสามารถในการรับและส่งสาร มีวัฒนธรรมใน การใช้ภาษาถ่ายทอดความคิด ความรู้ความเข้าใจ ความรู้สึก และทัศนะของตนเองเพื่อแลกเปลี่ยน ข้อมูลข่าวสารและประสบการณ์อันจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาตนเองและสังคม รวมทั้งการเจรจา ต่อรองเพื่อขจัดและลดปัญหาความขัดแย้งต่าง ๆ การเลือกรับหรือไม่รับข้อมูลข่าวสารด้วยหลักเหตุผล และความถูกต้อง ตลอดจนการเลือกใช้วิธีการสื่อสาร ที่มีประสิทธิภาพโดยค านึงถึงผลกระทบที่มีต่อ ตนเองและสังคม 2) ความสามารถในการคิด เป็นความสามารถในการคิดวิเคราะห์ การคิดสังเคราะห์ การคิด อย่างสร้างสรรค์ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ และการคิดเป็นระบบ เพื่อน าไปสู่การสร้างองค์ ความรู้หรือสารสนเทศเพื่อการตัดสินใจเกี่ยวกับตนเองและสังคมได้อย่างเหมาะสม 3) ความสามารถในการแก้ปัญหา เป็นความสามารถในการแก้ปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ ที่เผชิญได้อย่างถูกต้องเหมาะสมบนพื้นฐานของหลักเหตุผล คุณธรรมและข้อมูลสารสนเทศ เข้าใจ ความสัมพันธ์และการเปลี่ยนแปลงของเหตุการณ์ต่าง ๆ ในสังคม แสวงหาความรู้ ประยุกต์ความรู้มา ใช้ในการป้องกันและแก้ไขปัญหา และมีการตัดสินใจที่มีประสิทธิภาพโดยค านึงถึงผลกระทบที่เกิดขึ้น ต่อตนเอง สังคมและสิ่งแวดล้อม 4) ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต เป็นความสามารถในการน ากระบวนการต่างๆ ไปใช้ในการด าเนินชีวิตประจ าวัน การเรียนรู้ด้วยตนเอง การเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง การท างาน และการ อยู่ร่วมกันในสังคมด้วยการสร้างเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างบุคคล การจัดการปัญหาและความ ขัดแย้งต่าง ๆ อย่างเหมาะสม การปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมและสภาพแวดล้อม และการรู้จักหลีกเลี่ยงพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ที่ส่งผลกระทบต่อตนเองและผู้อื่น 5) ความสามารถในการใช้เทคโนโลยีเป็นความสามารถในการเลือก และใช้ เทคโนโลยี ด้านต่างๆ และมีทักษะกระบวนการทางเทคโนโลยี เพื่อการพัฒนาตนเองและสังคม ในด้านการเรียนรู้ การสื่อสาร การท างาน การแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ ถูกต้อง เหมาะสม และมีคุณธรรม


12 2.1.5 คุณลักษณะอันพึงประสงค์ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณลักษณะอันพึงประสงค์ เพื่อให้สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้อย่างมีความสุข ในฐานะเป็นพลเมืองไทยและพลโลก ดังนี้ 1) รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ 2) ซื่อสัตย์สุจริต 3) มีวินัย 4) ใฝ่เรียนรู้ 5) อยู่อย่างพอเพียง 6) มุ่งมั่นในการท างาน 7) รักความเป็นไทย 8) มีจิตสาธารณะ นอกจากนี้ สถานศึกษาสามารถก าหนดคุณลักษณะอันพึงประสงค์เพิ ่มเติมให้ สอดคล้องตามบริบทและจุดเน้นของตนเอง 2.1.6 มาตรฐานการเรียนรู้ การพัฒนาผู้เรียนให้เกิดความสมดุล ต้องค านึงถึงหลักพัฒนาการทางสมองและพหุปัญญา หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน จึงก าหนดให้ผู้เรียนเรียนรู้ 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้ ดังนี้ 1) ภาษาไทย 2) คณิตศาสตร์ 3) วิทยาศาสตร์ 4) สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม 5) สุขศึกษาและพลศึกษา 6) ศิลปะ 7) การงานอาชีพและเทคโนโลยี 8) ภาษาต่างประเทศ ในแต่ละกลุ่มสาระการเรียนรู้ได้ก าหนดมาตรฐานการเรียนรู้เป็นเป้าหมายส าคัญ ของการพัฒนาคุณภาพผู้เรียน มาตรฐานการเรียนรู้ระบุสิ่งที่ผู้เรียนพึงรู้ ปฏิบัติได้ มีคุณธรรมจริยธรรม และค่านิยมที่พึงประสงค์เมื่อจบการศึกษาขั้นพื้นฐาน นอกจากนั้นมาตรฐานการเรียนรู้


13 ยังเป็นกลไกส าคัญในการขับเคลื่อนพัฒนาการศึกษาทั้งระบบ เพราะมาตรฐานการเรียนรู้จะสะท้อนให้ ทราบว่าต้องการอะไร จะสอนอย่างไร และประเมินอย่างไร รวมทั้งเป็นเครื่องมือในการตรวจสอบเพื่อ การประกันคุณภาพการศึกษาโดยใช้ระบบการประเมินคุณภาพภายในและการประเมินคุณภาพ ภายนอก ซึ ่งรวมถึงการทดสอบระดับเขตพื้นที ่การศึกษา และการทดสอบระดับชาติ ระบบการ ตรวจสอบเพื่อประกันคุณภาพดังกล่าวเป็นสิ่งส าคัญที่ช่วยสะท้อนภาพการจัดการศึกษาว่าสามารถ พัฒนาผู้เรียนให้มีคุณภาพตามที่มาตรฐานการเรียนรู้ก าหนดเพียงใด 2.1.7 ตัวชี้วัด ตัวชี้วัดระบุสิ ่งที ่นักเรียนพึงรู้และปฏิบัติได้ รวมทั้งคุณลักษณะของผู้เรียนในแต ่ละ ระดับชั้นซึ่งสะท้อนถึงมาตรฐานการเรียนรู้ มีความเฉพาะเจาะจงและมีความเป็นรูปธรรม น าไปใช้ใน การก าหนดเนื้อหา จัดท าหน่วยการเรียนรู้ จัดการเรียนการสอน และเป็นเกณฑ์ส าคัญส าหรับการวัด ประเมินผลเพื่อตรวจสอบคุณภาพผู้เรียน 1) ตัวชี้วัดชั้นปี เป็นเป้าหมายในการพัฒนาผู้เรียนแต่ละชั้นปีในระดับการศึกษา ภาคบังคับ (ประถมศึกษาปีที่ 1 – มัธยมศึกษาปีที่ 3) 2) ตัวชี้วัดช่วงชั้น เป็นเป้าหมายในการพัฒนาผู้เรียนในระดับมัธยมศึกษาตอน ปลาย(มัธยมศึกษาปีที่ 4- 6) 2.2 หลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม พุทธศักราช 2551 2.2.1 ท าไมต้องเรียนสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม สังคมโลกมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วตลอดเวลา กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ช่วยให้ผู้เรียนมีความรู้ ความเข้าใจ ว่ามนุษย์ด ารงชีวิตอย่างไร ทั้งในฐานะ ปัจเจกบุคคล และการอยู่ร่วมกันในสังคม การปรับตัวตามสภาพแวดล้อม การจัดการทรัพยากรที่มีอยู่ อย่างจ ากัด นอกจากนี้ ยังช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจถึงการพัฒนา เปลี่ยนแปลงตามยุคสมัย กาลเวลา ตาม เหตุปัจจัยต่างๆ ท าให้เกิดความเข้าใจในตนเอง และผู้อื่น มีความอดทน อดกลั้น ยอมรับในความ แตกต่าง และมีคุณธรรม สามารถน าความรู้ไปปรับใช้ในการด าเนินชีวิต เป็นพลเมืองดีของประเทศชาติ และสังคมโลก


14 2.2.2 เรียนรู้อะไรในสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรมว่าด้วยการอยู่ร่วมกันในสังคม ที่มี ความเชื่อมสัมพันธ์กัน และมีความแตกต่างกันอย่างหลากหลาย เพื่อช่วยให้สามารถปรับตนเองกับ บริบทสภาพแวดล้อม เป็นพลเมืองดี มีความรับผิดชอบ มีความรู้ ทักษะ คุณธรรม และค่านิยมที่ เหมาะสม โดยได้ก าหนดสาระต่างๆไว้ ดังนี้ 1) ศาสนา ศีลธรรมและจริยธรรม แนวคิดพื้นฐานเกี ่ยวกับศาสนา ศีลธรรม จริยธรรม หลักธรรมของพระพุทธศาสนาหรือศาสนาที่ตนนับถือ การน าหลักธรรมค าสอนไปปฏิบัติใน การพัฒนาตนเอง และการอยู ่ร่วมกันอย่างสันติสุข เป็นผู้กระท าความดี มีค ่านิยมที ่ดีงาม พัฒนา ตนเองอยู่เสมอ รวมทั้งบ าเพ็ญประโยชน์ต่อสังคมและส่วนรวม 2) หน้าที่พลเมือง วัฒนธรรม และการด าเนินชีวิต ระบบการเมืองการปกครองใน สังคมปัจจุบันการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ลักษณะและ ความส าคัญ การเป็นพลเมืองดี ความแตกต่างและความหลากหลายทางวัฒนธรรม ค่านิยม ความเชื่อ ปลูกฝังค่านิยมด้านประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข สิทธิ หน้าที่ เสรีภาพการ ด าเนินชีวิตอย่างสันติสุขในสังคมไทยและสังคมโลก 3) เศรษฐศาสตร์ การผลิต การแจกจ่าย การบริโภคสินค้า บริการ และการบริหาร จัดการทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจ ากัดอย่างมีประสิทธิภาพ การด ารงชีวิตอย่างมีดุลยภาพ และการน า หลักเศรษฐกิจพอเพียงไปใช้ในชีวิตประจ าวัน 4) ประวัติศาสตร์เวลาและยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ วิธีการทางประวัติศาสตร์ พัฒนาการของมนุษยชาติจากอดีตถึงปัจจุบัน ความสัมพันธ์และเปลี ่ยนแปลงของเหตุการณ์ต ่างๆ ผลกระทบที่เกิดจากเหตุการณ์ส าคัญในอดีต บุคคลส าคัญที่มีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงต่างๆในอดีต ความเป็นมาของชาติไทย วัฒนธรรมและภูมิปัญญาไทย แหล่งอารยธรรมที่ส าคัญของโลก 5) ภูมิศาสตร์ลักษณะของโลกทางกายภาพ ลักษณะทางกายภาพ แหล่ง ทรัพยากร และภูมิอากาศของประเทศไทย และภูมิภาคต่างๆ ของโลก การใช้แผนที่และเครื่องมือทาง ภูมิศาสตร์ ความสัมพันธ์กันของสิ ่งต ่างๆ ในระบบธรรมชาติ ความสัมพันธ์ของมน ุษย์กับ สภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ และสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น การน าเสนอข้อมูลภูมิสารสนเทศ การอนุรักษ์ สิ่งแวดล้อมเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน


15 คุณภาพผู้เรียน จบชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 1) ได้เรียนรู้เรื ่องเกี ่ยวกับตนเองและผู้ที ่อยู ่รอบข้างตลอดจนสภาพแวดล้อมใน ท้องถิ่นที่อยู่อาศัย และเชื่องโยงประสบการณ์ไปสู่โลกกว้าง 2) ผู้เรียนได้รับการพัฒนาให้มีทักษะกระบวนการ และมีข้อมูลที ่จ าเป็นต ่อการ พัฒนาให้เป็น ผู้มีคุณธรรม จริยธรรม ประพฤติปฏิบัติตามหลักค าสอนของศาสนาที่ตนนับถือ มีความ เป็นพลเมืองดี มีความรับผิดชอบ การอยู่ร่วมกันและการท างานกับผู้อื่น มีส่วนร่วมในกิจกรรมของ ห้องเรียน และได้ฝึกหัดในการตัดสินใจ 3) ได้ศึกษาเรื ่องราวเกี ่ยวกับตนเอง ครอบครัว โรงเรียน และชุมชนในลักษณะ การบูรณาการ ผู้เรียนได้เข้าใจแนวคิดเกี ่ยวกับปัจจุบันและอดีต มีความรู้พื้นฐานทางเศรษฐกิจได้ ข้อคิดเกี่ยวกับรายรับ-รายจ่ายของครอบครัว เข้าใจถึงการเป็นผู้ผลิต ผู้บริโภค รู้จักการออมขั้นต้นและ วิธีการเศรษฐกิจพอเพียง 4) ได้รับการพัฒนาแนวคิดพื้นฐานเกี ่ยวกับศาสนา ศีลธรรม จริยธรรม หน้าที่ พลเมือง เศรษฐศาสตร์ ประวัติศาสตร์ และภูมิปัญญา เพื่อเป็นพื้นฐานในการท าความเข้าใจในขั้นที่สูง ต่อไป จบชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 1) ได้เรียนรู้เรื ่องของจังหวัด ภาค และประทศของตนเอง ทั้งเชิงประวัติศาสตร์ ลักษณะทางกายภาพ สังคม ประเพณี และวัฒนธรรม รวมทั้งการเมืองการปกครอง สภาพเศรษฐกิจ โดยเน้นความเป็นประเทศไทย 2) ได้รับการพัฒนาความรู้และความเข้าใจ ในเรื ่องศาสนา ศีลธรรม จริยธรรม ปฏิบัติตนตามหลักค าสอนของศาสนาที่ตนนับถือ รวมทั้งมีส่วนร่วมศาสนพิธี และพิธีกรรมทางศาสนา มากยิ่งขึ้น 3) ได้ศึกษาและปฏิบัติตนตามสถานภาพ บทบาท สิทธิหน้าที่ในฐานะพลเมืองดีของ ท้องถิ ่น จังหวัด ภาค และประเทศ รวมทั้งได้มีส ่วนร ่วมในกิจกรรมตามขนบธรรมเนียมประเพณี วัฒนธรรม ของท้องถิ่นตนเองมากยิ่งขึ้น 4). ได้ศึกษาเปรียบเทียบเรื ่องราวของจังหวัดและภาคต ่างๆของประเทศไทยกับ ประเทศเพื ่อนบ้าน ได้รับการพัฒนาแนวคิดทางสังคมศาสตร์ เกี ่ยวกับศาสนา ศีลธรรมจริยธรรม หน้าที่พลเมือง เศรษฐศาสตร์ ประวัติศาสตร์ และภูมิศาสตร์เพื่อขยายประสบการณ์ไปสู่การท าความ เข้าใจในภูมิภาคซีกโลกตะวันออกและตะวันตกเกี่ยวกับศาสนา คุณธรรม จริยธรรม ค่านิยมความเชื่อ ขนบธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรม การด าเนินชีวิต การจัดระเบียบทางสังคม และการเปลี่ยนแปลง ทางสังคมจากอดีตสู่ปัจจุบัน


16 จบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 1) ได้เรียนรู้และศึกษาเกี ่ยวกับความเป็นไปของโลก โดยการศึกษาประเทศไทย เปรียบเทียบกับประเทศในภูมิภาคต่างๆในโลก เพื่อพัฒนาแนวคิด เรื่องการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข 2) ได้เรียนรู้และพัฒนาให้มีทักษะที่จ าเป็นต ่อการเป็นนักคิดอย่างมีวิจารณญาณ ได้รับการพัฒนาแนวคิด และขยายประสบการณ์ เปรียบเทียบระหว่างประเทศไทยกับประเทศใน ภูมิภาคต่าง ๆ ในโลก ได้แก่ เอเชีย โอเชียเนีย แอฟริกา ยุโรป อเมริกาเหนือ อเมริกาใต้ ในด้านศาสนา คุณธรรม จริยธรรม ค่านิยม ความเชื่อ ขนบธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรม การเมืองการปกครอง ประวัติศาสตร์และภูมิศาสตร์ ด้วยวิธีการทางประวัติศาสตร์ และสังคมศาสตร์ 3) ได้รับการพัฒนาแนวคิดและวิเคราะห์เหตุการณ์ในอนาคต สามารถน ามาใช้เป็น ประโยชน์ในการด าเนินชีวิตและวางแผนการด าเนินงานได้อย่างเหมาะสม จบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 1) ได้เรียนรู้และศึกษาความเป็นไปของโลกอย่างกว้างขวางและลึกซึ้งยิ่งขึ้น 2) ได้รับการส่งเสริมสนับสนุนให้พัฒนาตนเองเป็นพลเมืองที่ดี มีคุณธรรม จริยธรรม ปฏิบัติตามหลักธรรมของศาสนาที่ตนนับถือ รวมทั้งมีค่านิยมอันพึงประสงค์ สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่น และอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข รวมทั้งมีศักยภาพเพื่อการศึกษาต่อในชั้นสูงตามความประสงค์ได้ 3) ได้เรียนรู้เรื่องภูมิปัญญาไทย ความภูมิใจในความเป็นไทย ประวัติศาสตร์ของชาติ ไทยยึดมั่นในวิถีชีวิต และการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข 4) ได้รับการส่งเสริมให้มีนิสัยที่ดีในการบริโภค เลือกและตัดสินใจบริโภคได้อย่าง เหมาะสมมีจิตส านึก และมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ ประเพณีวัฒนธรรมไทย และสิ่งแวดล้อม มีความ รักท้องถิ่นและประเทศชาติ มุ่งท าประโยชน์ และสร้างสิ่งที่ดีงามให้กับสังคม 5) เป็นผู้มีความรู้ความสามารถในการจัดการเรียนรู้ของตนเอง ชี้น าตนเองได้ และ สามารถแสวงหาความรู้จากแหล่งการเรียนรู้ต่างๆในสังคมได้ตลอดชีวิต


17 2.3 ตัวชี้วัด และสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและ วัฒนธรรม ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 2.3.1 สาระและมาตรฐานการเรียนรู้ สาระที่ 1 ศาสนา ศีลธรรม จริยธรรม มาตรฐาน ส 1.1 รู้และเข้าใจประวัติ ความส าคัญ ศาสดา หลักธรรมของ พระพุทธศาสนาหรือศาสนาที ่ตนนับถือและศาสนาอื ่น มีศรัทธาที ่ถูกต้อง ยึดมั่น และปฏิบัติตาม หลักธรรม เพื่ออยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข มาตรฐาน ส 1.2 เข้าใจตระหนักและปฏิบัติตนเป็นศาสนิกชนที่ดี และธ ารง รักษาพระพุทธศาสนาหรือศาสนาที่ตนนับถือ สาระที่ 2 หน้าที่พลเมือง วัฒนธรรม และการด าเนินชีวิตในสังคม มาตรฐาน ส 2.1 เข้าใจและปฏิบัติตนตามหน้าที ่ของการเป็นพลเมืองดี มี ค่านิยมที่ดีงาม และธ ารงรักษาประเพณีและวัฒนธรรมไทย ด ารงชีวิตอยู่ร่วมกันในสังคมไทย และ สังคมโลกอย่างสันติสุข มาตรฐาน ส 2.2 เข้าใจระบบการเมืองการปกครองในสังคมปัจจุบัน ยึดมั่น ศรัทธา และธ ารงรักษาไว้ซึ่งการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข สาระที่ 3 เศรษฐศาสตร์ มาตรฐาน ส 3.1 เข้าใจและสามารถบริหารจัดการทรัพยากรในการผลิตและ การบริโภคการใช้ ทรัพยากรที่มีอยู่จ ากัดได้อย่างมีประสิทธิภาพและคุ้มค่า รวมทั้งเข้าใจหลักการของ เศรษฐกิจพอเพียง เพื่อการด ารงชีวิตอย่างมีดุลยภาพ มาตรฐาน ส 3.2 เข้าใจระบบ และสถาบันทางเศรษฐกิจต่าง ๆ ความสัมพันธ์ ทางเศรษฐกิจ และความจ าเป็นของการร่วมมือกันทางเศรษฐกิจในสังคมโลก สาระที่ 4 ประวัติศาสตร์ มาตรฐาน ส 4.1 เข้าใจความหมาย ความส าคัญของเวลาและยุคสมัยทาง ประวัติศาสตร์ สามารถใช้วิธีการทางประวัติศาสตร์มาวิเคราะห์เหตุการณ์ต่างๆ อย่างเป็นระบบ มาตรฐาน ส 4.2 เข้าใจพัฒนาการของมนุษยชาติจากอดีตจนถึงปัจจุบัน ใน ด้านความสัมพันธ์และการเปลี่ยนแปลงของเหตุการณ์อย ่างต่อเนื ่อง ตระหนักถึงความส าคัญและ สามารถ วิเคราะห์ผลกระทบที่เกิดขึ้น มาตรฐาน ส 4.3 เข้าใจความเป็นมาของชาติไทย วัฒนธรรม ภูมิปัญญาไทย มีความรัก ความภูมิใจและธ ารงความเป็นไทย


18 สาระที่ 5 ภูมิศาสตร์ มาตรฐาน ส 5.1 เข้าใจลักษณะของโลกทางกายภาพ และความสัมพันธ์ของ สรรพสิ่งซึ่งมีผล ต่อกันและกันในระบบของธรรมชาติ ใช้แผนที่และเครื่องมือทางภูมิศาสตร์ ในการ ค้นหาวิเคราะห์ สรุป และใช้ข้อมูลภูมิสารสนเทศอย่างมีประสิทธิภาพ มาตรฐาน ส 5.2 เข้าใจปฏิสัมพันธ์ระหว ่างมนุษย์กับสภาพแวดล้อมทาง กายภาพที่ก่อให้เกิดการสร้างสรรค์วัฒนธรรม มีจิตส านึก และมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ ทรัพยากร และสิ่งแวดล้อมเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน 2.4 รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5E) 2.4.1 ความหมายของการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ กิจกรรมการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้เป็นการสอนที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนแสวงหาความรู้ ด้วยตนเอง เพื่อเป็นสร้างองค์ความรู้ที่เกิดจากตัวผู้เรียน นักการศึกษาหลายท่านได้ให้ความหมาย ไว้ดังนี้ กระทรวงศึกษาธิการ (2559) ได้ให้ความหมายเกี่ยวกับการเรียนรู้แบบสืบเสาะหา ความรู้ไว้ว่า หมายถึง เป็นการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญ เป็นกระบวนการที่ส่งเสริมให้ ผู้เรียนได้เรียนรู้วิธีการค้นคว้าหาความรู้ด้วยตนเอง ที่เน้นทักษะการแสวงหาความรู้การสังเกต การ ส ารวจ กล้าคิดกล้าแสดงออก กล้าตัดสินใจ ใช้กระบวนการคิด และการหาข้อสรุปอย่างมีเหตุผลจน เกิดความคิดรวบยอดสรุปเป็นองค์ความรู้ใหม่ โดยมีครูเป็นผู้อ านวยความสะดวกชี้แนะช่วยเหลือ และ แก้ไขปัญหา สกุล มูลแสดง (2554) การจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้เป็นการเรียนที่ ผู้เรียนเรียนรู้ด้วยตนเอง และจากกลุ่มที่ท างานร่วมกัน สามารถสร้างองค์ความรู้ได้ด้วยตนเอง และ ช่วยให้มีพันธนาการด้านกระบวนการการคิดที่หลากหลาย จรรยา โท๊ะนาบุตร (2560) การจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้เป็นวิธีการ จัดการสอนที ่เน้นให้ผู้เรียนแสวงหาความรู้ด้วยตนเองมีประสบการณ์ตรงในการเรียนรู้โดยใช้ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์และกระบวนการทางความคิด ค้นพบความรู้หรือแนวทางวิทยาศาสตร์ และกระบวนการทางความคิด ค้นพบความรู้หรือแนวทางแก้ปัญหาได้เอง และสามารถน ามใช้ใน ชีวิตประจ าวันได้ส่วนผู้สอนเป็นเพียงผู้อ านวยความสะดวก


19 ทิศนา แขมมณี (2557) การด าเนินการเรียนการสอน โดยผู้สอนกระตุ้นผู้เรียนให้ เกิดค าถาม เกิดความคิด และลงมือเสาะแสวงหาความรู้ เพื่อน ามาประมวลค าตอบหรือหาข้อสรุปด้วย ตนเอง โดยมีครูผู้สอนช่วยอ านวยความสะดวกในการเรียนรู้ในด้านต่างๆ ให้แก่ผู้เรียน เช่น ในด้านการ สืบค้นหาแหล่งความรู้ การศึกษาข้อมูล การวิเคราะห์ การสรุปข้อมูล การอภิปรายโต้แย้งทางวิชาการ และการท างานร่วมกับผู้อื่น สมบัติ การจนารักพงค์ (2545) วิธีการสืบเสาะหาความรู้ (inquiry method) เป็น วิธีที่เน้นให้ครู้ใช้ค าถามเพื่อช่วยให้นักเรียนใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์เสะหาความรู้ได้ดีขึ้น สรุปได้ว่า การเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ หมายถึง การจัดการเรียนการสอนที่ กระตุ้นผู้เรียนให้เกิดค าถาม แล้วให้ผู้เรียนเสาะแสวงหาความรู้เอง โดยผู้สอนเป็นผู้อ านวยความ สะดวกให้กับผู้เรียน หลังจากนั้นผู้เรียนจะสรุปความรู้เป็นของตนเอง และนั่นเป็นการที่ผู้เรียนเกิด การ เรียนรู้ด้วยตนเองและมีการคิดอย่างเป็นระบบ 2.4.2 ขั้นตอนการสร้างนวัตกรรมแบบสืบเสาะหาความรู้ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ 5E หรือการสืบเสาะหาความรู้ (Inquiry Cycle) (สถาบัน ส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 2546 : 219-220) ซึ่งนักวิชาการศึกษาจะน าไปไว้ในส่วน ของขั้นตอนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ เป็นส่วนหนึ่งในการเขียนแผนการจัดการเรียนรู้โดยขั้นตอน การจัดกิจกรรม 5 ขั้น ดังนี้ 1) ขั้นสร้างความสนใจ (engagement) เป็นการน าเข้าสู่บทเรียนหรือเรื่องที่สนใจ ซึ่งอาจเกิดขึ้นเองจากความสงสัย หรืออาจเริ่มจากความสนใจของตัวนักเรียนเองหรือเกิดจาก การ อภิปรายภายในกลุ่ม เรื่องที่น่าสนใจอาจมาจากเหตุการณ์ที่ก าลังเกิดขึ้นอยู่ในช่วงเวลานั้น หรือเป็น เรื่องที่เชื ่อมโยงกับความรู้เดิมที่เพิ่งเรียนรู้มาแล้ว เป็นตัวกระตุ้นให้นักเรียนสร้างค าถาม ก าหนด ประเด็นที่จะศึกษา 2) ขั้นส ารวจและค้นหา (exploration) เมื่อท าความเข้าใจในประเด็นหรือค าถาม ที่สนใจจะศึกษาอย่างถ่องแท้แล้ว ก็มีการวางแผนก าหนดแนวทางการส ารวจตรวจสอบ ตั้งสมมติฐาน ก าหนดทางเลือกที่เป็นไปได้ ลงมือปฏิบัติเพื่อเก็บรวบรวมข้อมูล ข้อสนเทศ หรือ ปรากฏการณ์ต่าง ๆ วิธีการตรวจสอบอาจท าได้หลายวิธี เช่น ท าการทดลอง ท ากิจกรรมภาคสนาม การใช้คอมพิวเตอร์เพื่อ ช่วยสร้างสถานการณ์จ าลอง(simulation) การศึกษาหาข้อมูล จากเอกสารอ้างอิงหรือจากแหล่งข้อมูล ต่าง ๆ เพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลอย่างเพียงพอที่จะใช้ในขั้นต่อไป


20 3) ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป (explanation) เมื่อได้ข้อมูลอย่างเพียงพอจากการ ส ารวจตรวจสอบแล้ว จึงน าข้อมูลข้อสนเทศที่ได้มาวิเคราะห์ แปลผล สรุปผลและน าเสนอ 4) ขั้นขยายความรู้ (elaboration) เป็นการน าความรู้ที ่สร้างขึ้นไปเชื่อมโยงกับ ความรู้เดิมหรือแนวคิดที่ได้ค้นคว้าเพิ่มเติมหรือน าแบบจ าลองหรือข้อสรุปที่ได้ไปใช้อธิบายสถานการณ์ หรือเหตุการณ์อื่น ๆ ท าให้เกิดความรู้กว้างขวางขึ้นผลที่ได้ในรูปต่าง ๆ 5) ขั้นประเมิน (evaluation) เป็นการประเมินการเรียนรู้ด้วยกระบวนการต่าง ๆ ว่า นักเรียนมีความรู้อะไรบ้าง อย่างไร และมากน้อยเพียงใด จากขั้นนี้จะน าไปสู ่การน าความรู้ไป ประยุกต์ใช้ในเรื่องอื่น ๆ สรุปได้ว่า ขั้นตอนการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5E) ประกอบไปด้วย 5 ขั้นตอน ได้แก ่1)ขั้นสร้างความสนใจ เป็นการน าเข้าสู ่บทเรียนอาจเกิดขึ้นจากความสงสัยหรือเป็นเรื ่องที่ เชื ่อมโยงกับความรู้เดิม เป็นตัวกระตุ้นให้นักเรียนสร้างค าถาม 2)ขั้นส ารวจและค้นหา เป็นการ วางแผนก าหนดแนวทางในการส ารวจ ตรวจสอบ ตั้งสมมติฐาน ก าหนดทางเลือกที่เป็นไปได้ 3)ขั้น อธิบายและลงข้อสรุป เป็นการน าความรู้ที่สร้างขึ้นไปเชื่อมโยงกับความรู้เดิม หรือน าข้อสรุปที่ได้ไปใช้ อธิบายสถานการณ์ และ5)ขั้นประเมิน เป็นการประเมินการเรียนรู้ด้วยกระบวนการต่างๆ ว่ามีความรู้ อะไร อย่างไรมากน้อยเพียงใด และการน าไปประยุกต์ใช้อย่างไร 2.4.3 บทบาทผู้สอนในกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ จรรยา โท๊ะนาบุตร (2560) ขั้นตอนการเรียนการสอนในกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้นตอน สิ่งที่ผู้สอนควรท า 1) การสร้างความสนใจ(Engagement) โดยผู้สอนควรสร้างความสนใจ สร้างความ อยากรู้อยากเห็น มีการตั้งค าถามกระตุ้นให้ผู้เรียนคิดดึงเอาค าตอบที่ยังไม่ครอบคลุมสิ่งที่ผู้เรียนรู้หรือ แนวคิดหรือเนื้อหา 2) การส ารวจและค้นหา(Exploration) โดยผู้สอนส่งเสริมให้ผู้เรียนท างานร่วมกัน ในการส ารวจ ตรวจสอบ สังเกตและฟังการโต้ตอบกันระหว่างผู้เรียนกับผู้เรียน ท าการซักถามเพื่อ น าไปสู่การส ารวจตรวจสอบของผู้เรียน และให้เวลาผู้เรียนในการคิดข้อสงสัยตลอดจนปัญหาต่าง ๆ และท าหน้าที่ให้ค าปรึกษาแก่ผู้เรียน 3) การอธิบายและลงข้อสรุป(Explanation) โดยผู้สอนส่งเสริมให้ผู้เรียนอธิบาย แนวคิด หรือให้ค าจ ากัดความด้วยค าพูดของผู้เรียนเอง ให้ผู้เรียนแสดงหลักฐาน ให้เหตุผลและอธิบาย


21 ให้กระจ ่าง ให้ผู้เรียนอธิบาย ให้ค าจ ากัดความและชี้บอกส ่วนต ่างๆ ในแผนภาพให้ผู้เรียนใช้ ประสบการณ์เดิมของตนเป็นพื้นฐานในการอธิบายแนวคิด 4) การขยายความรู้(Elaboration) โดยผู้สอนคาดหวังให้ผู้เรียนได้ใช้ประโยชน์จาก การชี้บอก ส ่วนประกอบต่างๆ ในแผนภาพค าจ ากัดความและอธิบายสิ่งที่เรียนรู้มาแล้ว ส่งเสริมให้ ผู้เรียนน าสิ่งที่ผู้เรียนได้เรียนรู้ไปประยุกต์ใช้หรือขยายความรู้และทักษะในสถานการณ์ใหม่ ให้ผู้เรียน อธิบายอย่างมีความหมาย ให้ผู้เรียนอ้างอิงข้อมูลที่มีอยู่พร้อมทั้งแสดงหลักฐานและถามค าถามผู้เรียน ว่าได้เรียนรู้อะไรบ้าง หรือได้แนวคิดอะไร 5) การประเมินผล (Evaluation) โดยผู้สอนสังเกตผู้เรียนในการน าแนวคิดและ ทักษะใหม ่ไปประยุกต์ใช้ประเมินความรู้และทักษะผู้เรียน หาหลักฐานที ่แสดงว ่าผู้เรียนเปลี ่ยน ความคิดหรือพฤติกรรม ให้ผู้เรียนประเมินการเรียนรู้และทักษะกระบวนการกลุ ่ม ถามค าถาม ปลายเปิด เช่น ท าไมผู้เรียนจึงคิดเช่นนั้น สรุปได้ว่า บทบาทผู้สอนในกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ คือ ผู้สอนต้องเป็นผู้สอนต้อง เป็นผู้กระตุ้นผู้เรียนให้เกิดความสนใจ และความอยากรู้อยากเห็นของตัวผู้เรียน ซึ่งอาจใช้เป็นการตั้ง ค าถาม หรือหาประเด็นปัญหามาให้นักเรียนช ่วยกันคิดวิเคราะห์ เพื ่อหาเหตุผลของค าถามและ ประเด็นปัญหาเหล ่านั้น อีกทั้งผู้สอนมีหน้าที ่คอยอ านวยความสะดวก และให้ค าแนะน า เพื่อเปิด โอกาสให้ผู้เรียนได้แสวงหาความรู้ด้วยตนเอง 2.4.4 บทบาทของผู้เรียนในการเรียนการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ 1) การสร้างความสนใจ(Engagement) โดยผู้เรียนถามค าถาม เช่น ท าไมสิ่งนี้จึง เกิดขึ้นฉันได้เรียนรู้อะไรบ้างเกี่ยวกับสิ่งนี้แสดงความสนใจ 2) การส ารวจและค้นหา(Exploration) โดยผู้เรียนคิดอย่างอิสระแต่อยู่ในขอบเขต ของกิจกรรม ทดสอบการคาดคะเนและสมมติฐาน คาดคะเนและตั้งสมมติฐานใหม่ พยายามหาทาง เลือกในการแก้ปัญหาและอภิปรายทางเลือกเหล่านั้นกับคนอื่น บันทึกการสังเกตและให้ข้อคิดเห็น และลงข้อสรุป 3) การอธิบายและลงข้อสรุป(Explanation) โดยผู้เรียนอธิบายการแก้ปัญหาหรือ ค าตอบที่ซับซ้อน ฟังค าอธิบายของคนอื่นอย่างคิดวิเคราะห์ถามค าถามเกี่ยวกับสิ่งที่คนอื่นได้อธิบาย ฟังและพยายามท าความเข้าใจเกี่ยวกับสิ่งที่ครูอธิบายอ้างอิงกิจกรรมที่ได้ปฏิบัติมาแล้ว ใช้ข้อมูลที่ได้ จากการบันทึกหรือสังเกตในการอธิบาย


22 4) การขยายความรู้(Elaboration) โดยผู้เรียนอธิบายการแก้ปัญหาหรือค าตอบที่ ซับซ้อน ฟังค าอธิบายของคนอื่นอย่างคิดวิเคราะห์ถามค าถามเกี่ยวกับสิ่งที่คนอื่นได้อธิบาย ฟังและ พยายามท าความเข้าใจเกี่ยวกับสิ่งที่ผู้สอนอธิบาย อ้างอิงกิจกรรมที่ได้ปฏิบัติมาแล้ว ใช้ข้อมูลที่ได้จาก การบันทึกหรือสังเกตในการอธิบาย 5) การประเมินผล (Evaluation) โดยผู้เรียนตอบค าถามปลายเปิด โดยใช้การ สังเกต หลักฐานและค าอธิบายที่ยอมรับมาแล้ว แสดงออกถึงความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับความคิดรวบ ยอดหรือทักษะประเมินความก้าวหน้าด้วยตนเอง ถามค าถามเพื่อให้มีการตรวจสอบต่อไป สรุปได้ว่า บทบาทของผู้เรียนในการเรียนการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ คือ ผู้เรียนต้อง เป็นผู้ทีมีความคิดที่อิสระแต่อยู่ในขอบเขตของกิจกรรม และผู้เรียนต้องสามารถแก้ปัญหาอย่างเป็น ระบบโดยผ่านการคิดวิเคราะห์และให้เหตุผลของปัญหาเหล่านั้น 2.4.5 ความมุ่งหมายของการจัดการเรียนรู้สืบเสาะหาความรู้ 5E ความมุ่งหมายของการจัดการเรียนแบบสืบเสาะหาความรู้ 5E นักวิชาการศึกษาหลายท่าน ได้ให้ความหมาย ดังนี้ กระทรวงศึกษาธิการ (2559) ได้ก าหนดเป้าหมายของการเรียนโดยใช้การจัดการเรียนรู้ สืบเสาะหาความรู้ 5E ที่ต้องเกิดกับผู้เรียน ดังนี้ 1) เพื่อให้ผู้เรียนสามารถสรุปใจความส าคัญจากเรื่องที่สืบค้นได้ 2) เพื่อให้ผู้เรียนสามารถน าข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์ แปลผลสรุปผลได้ 3) เพื ่อให้ผู้เรียนสามารถน าความรู้ที ่สร้างขึ้นไปเชื ่อมโยงกับ ความรู้เดิมและ เชื่อมโยงกับเรื่องต่างๆ ท าให้เกิดความรู้กว้างขึ้น 4) เพื่อให้ผู้เรียนมีนิสัยรักการสืบค้นจากเทคโนโลยีอย่างรู้เท่าทันโลกปัจจุบัน เสาวรสธ์พลโคตร (2550) ได้กล่าวเกี่ยวกับความมุ่งหมายของการจัดการเรียนรู้โดยใช้ รูปแบบ 5E ดังนี้ 1) เพื่อให้การจัดการเรียนรู้/กิจกรรมการเรียนรู้จะกระตุ้นให้นักเรียนเกิดความคิด วิเคราะห์ในเรื่องที่จะเรียน จนสามารถตั้งค าถามที่ต้องการจะสืบเสาะหาค าตอบได้ด้วยตนเอง 2) เพื่อให้นักเรียนได้ศึกษา ค้นคว้าหาความรู้ค าตอบโดยใช้กระบวนการหาความรู้ ที่เหมาะสม


23 3) เพื่อให้ครูได้ช่วยพัฒนาทักษะที่จ าเป็นส าหรับนักเรียนในการศึกษาวิเคราะห์ และสรุปข้อมูล หรือสร้างความรู้ที่มีความหมายต่อตัวผู้เรียน เช่น ทักษะการวิเคราะห์สิ่งที่อ่าน การ น าเสนอข้อมูล การอภิปรายและโต้แย้งทางวิชาการ และการท างานกลุ่ม เป็นต้น 4) เพื่อให้นักเรียนได้เกิดความคิดสร้างสรรค์ให้โอกาสนักเรียนได้ใช้ความคิดของ ตนเองได้มากที่สุด ทั้งนี้กิจกรรมที่จะให้นักเรียนส ารวจตรวจสอบแล้วต้องเชื่อมโยงกับความคิดเดิม และน าไปสู่การแสวงหาความรู้ใหม่และได้ใช้กระบวนการและทักษะต่าง ๆ ทางวิทยาศาสตร์และการ สืบเสาะหาความรู้ สรุปได้ว่า ความมุ่งหมายของการจัดการเรียนแบบสืบเสาะหาความรู้ 5E เป็นการจัดการ เรียนการสอนที่ให้นักเรียนได้คิดวิเคราะห์ด้วยตนเอง ในเรื่องที่นักเรียนสนใจที่จะศึกษาเพื่อหาค าตอบ โดยใช้กระบวนการสืบค้นหรือค้นคว้าหาความรู้แบบวิทยาศาสตร์ ท าให้นักเรียนเกิดความคิด สร้างสรรค์ และได้ใช้ความคิดของตนเอง ได้เรียนรู้ด้วยตนเองมากที่สุด 2.5 แผนการจัดการเรียนรู้ 2.5.1 ความหมายของแผนการจัดการเรียนรู้ รุ่งทิวา จักร์กร (2527) ได้ให้ความหมายไว้ว่า การวางแผนการสอน (Planning for Instruction) เป็นสิ่งหนึ่งที่จะช่วยให้ผู้สอนจัดการเรียนการสอนให้เป็นไปตามจุดมุ่งหมายของ หลักสูตร อาภรณ์ ใจเที่ยง (2550) ได้ให้ความหมายไว้ว่า แผนการสอน คือ แผนการจัด กิจกรรมการเรียนการสอน การใช้สื ่อการสอน การวัดผลประเมินผลให้สอดคล้องกับเนื้อหาและ จุดประสงค์ที่ก าหนดไว้ในหลักสูตร สุพิน บุญชูวงศ์ (2544) ได้ให้ความหมายไว้ว ่า แผนการสอนคือการวางแผน ก าหนดรูปแบบของบทเรียนแต่ละ เรื่อง ซึ่งจะเป็นแนวในการด าเนินการจัดการเรียนการสอนแก่ครูให้ เป็นไปตามจุดมุ่งหมาย ความคิดรวบยอด เนื้อหาและการวัดผลประเมินผลที่ก าหนดไว้ในหลักสูตร


24 เรวณี ชัยเชาวรัตน์ (2559) ได้ให้ความหมายไว้ว ่า แผนการจัดการเรียนรู้ หมายถึง เอกสารที่ครูผู้สอนจัดท าขึ้นเพื่อเป็นเครื่องมือส าคัญส าหรับครูในการจัดการเรียนการสอน และเป็นแนวทางการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่เขียนไว้ล่วงหน้า ท าให้ผู้สอนมีความพร้อมและมั่นใจว่า จะสามารถสอนได้เพราะแผนการจัดการเรียนรู้อธิบายถึง ขั้นตอน และรายละเอียดของการจัดการ เรียนรู้ในแต่ละครั้งจากการออกแบบการจัดการเรียนการสอนว่าจะจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยวิธีการ ใดจึงจะบรรลุจุดประสงค์ที่ก าหนดไว้ และด าเนินการสอนได้ราบรื่น ศูนย์ส ่งเสริมและพัฒนาอาชีวศึกษาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (2556) ได้ให้ ความหมายไว้ว่า แผนการเรียนรู้ หมายถึง การจัดเตรียมการสอนไว้ล่วงหน้าเป็นลายลักษณ์อักษร โดย ผู้สอนจะก าหนด ขั้นตอนการพัฒนาผู้เรียนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม สอดคล้องและเป็นไป ตามจุดมุ ่งหมายของ หลักสูตรตามสภาพของผู้เรียน เครื ่องมือ วัสดุ อุปกรณ์และท้องถิ ่นอย ่างมี ประสิทธิภาพ สรุปได้ว่า แผนการจัดการเรียนรู้ คือ แผนการหรือโครงสร้างที่จัดท าไว้เป็นลาย ลักษณ์อักษร เพื่อการปฏิบัติการสอนในวิชาหนึ ่ง เป็นการเตรียมการสอนอย ่างเป็นระบบและเป็น เครื่องมือที่ช่วยให้ครูพัฒนาการจัดการเรียนการสอนไปสู่จุดมุ่งหมายการเรียนรู้ และจุดมุ่งหมายของ หลักสูตร อย่างมีประสิทธิภาพ 2.5.2 ความส าคัญของแผนการจัดการเรียนรู้ ประภาพร สุขพูล (2544 : 49) ได้สรุปความส าคัญของแผนการสอน ดังนี้ 1) ส่งเสริมให้ครูใฝ่ศึกษาหาความรู้ ทั้งหลักสูตรและการจัดกิจกรรม การเรียนการสอน 2) ครูได้เตรียมการสอนไว้ล่วงหน้า 3) อ านวยความสะดวกแก่ครูที่ไม่มีประสบการณ์ด้านการสอน 4) ให้เป็นคู่มือส าหรับครูที่มาสอนแทน เมื่อติดธุระหรือลา 5) ท าให้การวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเป็นไปตามจุดประสงค์ที่ก าหนดไว้ 6) เพื่อเป็นแนวทางในการแนะน าหรือนิเทศการเรียนการสอน


25 สุวิทย์ มูลค าและคณะ (2549 : 58) ให้ความส าคัญของแผนการจัดการเรียนรู้ไว้ ดังนี้ 1) ท าให้เกิดการวางแผนวิธีสอนที ่ดีวิธีเรียนที ่ดีที ่เกิดจากการผสมผสาน ความรู้และจิตวิทยาการศึกษา 2) ช่วยให้ครูผู้สอนมีคู่มือการจัดกิจกรรมการเรียนการรู้ที่ท าไว้ล่วงหน้าด้วย ตนเอง และท าให้ครูมีความมั่นใจในการจัดการเรียนรู้ได้ตามเป้าหมาย 3) ช ่วยให้ครูผู้สอนทราบว ่าการสอนของตนได้เดินไปในทิศทางใด หรือ ทราบว่าจะสอนอะไร ด้วยวิธีใด สอนท าไม สอนอย่างไร จะใช้สื่อและแหล่งเรียนรู้อะไรและจะวัดผล และประเมินผลอย่างไร 4) ส่งเสริมให้ครูผู้สอนใฝ่ศึกษาหาความรู้ทั้งเรื่องหลักสูตร วิธีการจัดการ เรียนรู้จะจัดหาและใช้สื่อแหล่งเรียนรู้ตลอดจนการวัดผลประเมินผล 5) ใช้เป็นคู่มือส าหรับครูที่มาสอน (จัดการเรียนรู้) แทนได้ 6) แผนการจัดการเรียนรู้ที่น าไปใช้และพัฒนาแล้วจะเกิดประโยชน์ต่อ วงการศึกษา 7) เป็นผลงานทางวิชาการที่แสดงถึงความช านาญและความเชี่ยวชาญของ ครูผู้สอนส าหรับประกอบการประเมินเพื่อขอเลื่อนต าแหน่งและวิทยฐานะครูให้สูงขึ้น สรุปได้ว่า แผนการจัดการเรียนรู้หรือแผนการสอนมีความส าคัญช่วยให้ครูผู้สอน มีคู่มือการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ท าไว้ล่วงหน้าด้วยตนเอง และท าให้ครูมีความมั่นใจในการจัดการ เรียนรู้ได้ตามเป้าหมาย และยังช่วยให้ครูผู้สอนทราบว่าการสอนของตนได้เดินไปในทิศทางใดหรือ ทราบว่าจะสอนอะไร ด้วยวิธีใด สอนท าไม สอนอย่างไร จะใช้สื่อและแหล่งเรียนรู้อะไร และจะวัดผล และประเมินผลอย่างไรเพื่อให้บรรลุผลตามเป้าหมายที่ก าหนด 2.5.3 ประเภทของแผนการจัดการเรียนรู้ ชนาธิป พรกุล (2551) อธิบายเกี่ยวกับประเภทของแผนการจัดการเรียนรู้ ไว้ว่า แผนการจัดการเรียนรู้มี 2 ประเภท คือ 1) แผนการจัดการเรียนรู้ระดับหน่วยการเรียนรู้ แผนการจัดการเรียนรู้ระดับหน่วยการเรียนรู้ เป็นแผนที่ระบุเฉพาะกิจกรรม หลัก ๆ ที่ ผู้สอนหรือผู้เรียนท า โดยไม่มีรายละเอียด เป็นการเขียนเค้าโครงว่า ใน 1 หน่วยการเรียนรู้


26 ผู้สอนและผู้เรียนต้องท าอะไรบ้าง แต่ไม่ได้บอกว่าท าอย่างไร ผลของการกระท าหรือผลการเรียนรู้ เขียนไว้กว้างๆ ไม่ลงลึกถึงพฤติกรรม ก่อนท าการสอนควรเขียนแผนการจัดการเรียนรู้เป็นรายชั่วโมง 2) แผนการจัดการเรียนรู้ ระดับรายชั่วโมงหรือครั้ง แผนการจัดการเรียนรู้ ระดับรายชั่วโมงหรือครั้ง อาจเรียกอีกอย่างว่าเป็น “แผนรายคาบ” เนื่องจากเป็นแผนที่ระบุทั้งกิจกรรมหลัก กิจกรรมย่อย และวิธีท ากิจกรรมเหล่านั้น รวมทั้งมี การยกตัวอย ่างและการถามค าถาม เมื ่อจบบทเรียนผู้เรียนต้องแสดงผลการเรียนรู้เป็น พฤติกรรมที่ ผู้สอนก าหนดไว้ในจุดประสงค์ 2.6 ประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้ ประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้ หมายถึง การน าแผนการจัดการเรียนรู้ไปทดลองใช้ ตามขั้นตอนที่ก าหนดไว้แล้วน าไปปรับปรุงเพื่อน าไปสอนจริงให้ได้ประสิทธิภาพตามเกณฑ์ที่ก าหนดไว้ การวิจัยทางหลักสูตรและการสอนนักวิจัยจะใช้การจัดการเรียนรู้เป็นนวัตกรรมเป็นเครื่องมือ ในการวิจัย ซึ่งต้องหาคุณภาพของนวัตกรรมที่ใช้ นิยมหาค่าประสิทธิภาพของ (ซึ่งไม่ใช่ค่าสถิติ) เป็น ขั้นตอนท าการทดลองจริงกับกลุ่มตัวอย่างที่ก าหนดไว้แล้ว สามารถหาประสิทธาภพของสื่อ(E1/E2) ในขั้นตอนการตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือที่ใช้กบนักเรียนที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่างด้วยรายละเอียด ดังนี้ (ชวลิต ชูก าแพง. 2553 : 131-132) 1) ประสิทธิภาพของกระบวนการ (E1) เป็นค ่าที ่บ ่งบอกว่าการจัดการเรียนรู้นั้นสามารถ พัฒนาผู้เรียนให้เกิดการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องหรือไม่ภายในกิจกรรมที่ก าหนดให้ โดยมีการเก็บข้อมูล ของผลการเรียนรู้ซึ่งสามารสะท้อนให้เห็นถึงพัฒนาการและความงอกงามของผู้เรียนได้โดยทั ่วไป มักจะค านวณจากคะแนนที่ได้จากการท าแบบทดสอบย่อยหรือคะแนนจากพฤติกรรมการเรียนหรือ คะแนนจากกิจกรรมการเข้ากลุ่ม (ไม่ใช่คะแนนจากการท าแบบฝึกหัดหรือแบบฝึกทักษะ) ซึ่งค านวณ ได้จากสูตร 1 = ∑ 100 เมื่อ E1 แทน ประสิทธิภาพของกระบวนการ ∑ แทน ผลรวมของคะแนนทุกส่วน


27 N แทน จ านวนผู้เรียน A แทน คะแนนเต็มของทั้งหมด 2) ประสิทธิภาพของผลลัพธ์ (E2) ค่าที่บ่งบอกวาการจัดการเรียนรู้นั้นส่งผลให้ผู้เรียนเกิด สัมฤทธิ์ผลได้หรือไม ่บรรลุวัตถุประสงค์หรือเป็นไปตามที ่ก าหนดไว้ในการจัดการเรียนรู้มากน้อย เพียงใดซึ่งค านวณจากคะแนนที่ได้จากการท าแบบสดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน (ทดสอบหลัง เรียน) ของผู้เรียนทุกคน ซึ่งค านวณได้จากสูตร 2 = ∑ 100 เมื่อ E2 แทน ประสิทธิภาพของผลลัพธ์ ∑ แทน ผลรวมของคะแนนจากแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน N แทน จ านวนผู้เรียน A แทน คะแนนเต็มของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน การหาค่าประสิทธิภาพจะต้องมีการณ์ก าหนดเกณฑ์เพื่อใช้ในการพิจารณา โดยเกณฑ์ดังกล่าวนิยมใช้ หลักการเรียนแบบรอบรู้คือตั้งเกณฑ์ไว้ที่ร้อยละ 80 และยอมรับความผิดพลาดได้ไม่เกินร้อยละ 2.5 ดังนั้นต้องมีประสิทธิภาพไม่ต ่ากว่า 80-2.5 = 77.5 ส่วนการก าหนดเกณฑ์ ความผิดพลาดที่ยอมรับได้ คือไม ่ควรเกินร้อยละ 5 นอกจากนั้นยังพิจารณาจากหลายปัจจัย เช ่น ประเภทของสื ่อนวัตกรรม สติปัญญาของกลุ่มผู้เรียน และวุฒิภาวะของกลุ่มผู้เรียน เป็นต้น โดยทั่วไปนวัตกรรมการสอนที่มุ่งเน้น การพัฒนาทักษะมักจะก าหนดเกณฑ์ประสิทธิภาพต ่ากว่าการพัฒนาการเรียนรู้ทั้งนี้เนื่องจากการ พัฒนาทักษะต้องใช้เวลามากกวา ยกตัวอย่างเช ่น นวัตกรรมที่เน้นการพัฒนาความรู้ อาจก าหนด เท่ากับ 80/80 ส่วนนวัตกรรมที่เน้นการพัฒนาทักษะต่าง ๆ อาจก าหนด E1/E2 ที่ 75/75 เป็นต้น สรุปในการวิจัยครั้งนี้ เกณฑ์ในการหาประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้ คือเกณฑ์ 80/80 80 ตัวแรกคือ (E1) ร้อยละของคะแนนเฉลี ่ยของนักเรียนทุกคน ที ่ได้จากคะแนนประเมิน พฤติกรรม ผลงานระหว่างเรียน และแบบทดสอบย่อย ซึ่งต้องได้ค่าเฉลี่ยตั้งแต่ร้อยละ80 ขึ้นไป ถือ เป็นประสิทธิภาพของกระบวนการ 80 ตัวหลัง (E2) คือนักเรียนทั้งหมดที่ท าแบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนหลังเรียน ได้คะแนนเฉลี่ยร้อยละ 80 ขึ้นไป ถือว่าเป็นประสิทธิภาพของผลลัพธ์


28 2.7 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 2.7.1 ความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สมนึก ภัททิยธนี(2546) สรุปว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ความสามารถ ในการพยายามเข้าถึงความรู้ซึ่งเกิดจากการท างานที่ประสานกัน และต้องอาศัยความพยายามอย่าง มาก ทั้งองค์ประกอบที่เกี่ยวข้องกับสติปัญญา และองค์ประกอบที่ไม่ใช่สติปัญญา แสดงออกในรูป ความส าเร็จ ซึ่งสามารถและสังเกตวัดได้ด้วยเครื่องมือทางจิตวิทยาหรือแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนทั่วไป สนทยา เขมวิรัตน์ (2549) ได้ให้ความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ความรู้หรือความสามารถของบุคคลที่ได้จากการเรียนรู้ และความสามารถ โดยสามารถ น าไปใช้ใน การแก้ปัญหาหรือศึกษาต ่อเนื ่องได้ ซึ ่งผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสามารถวัดได้ด้วย แบบทดสอบ ผลสัมฤทธิ์ทั่วไป สายสุนีย์ ปาวงศ์ (2548) ได้ให้ความหมายผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึงผลของ การเรียนการสอนหรือความสามารถที่เกิดขึ้นในตัวของผู้เรียนทั้งทางด้านความรู้และทักษะอันเกิดจาก การได้รับการฝึกฝนอบรมสั่งสอน สรุปได้ว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง คุณลักษณะ และ ความรู้ความสามารถ ของบุคคลที่ต้องอาศัยสมรรถภาพทางสมองและประสบการณ์ ทักษะ ความรอบรู้ที่ได้รับจากการเรียน การสอน การฝึกฝน อบรม สั่งสอน ประสบการณ์ท าให้เกิดความส าเร็จหรือความสามารถในด้านต่างๆ ซึ่งสามารถวัดเป็นคะแนนได้จากแบบทดสอบทางภาคทฤษฎีหรือภาคปฏิบัติ 2.7.2 จุดมุ่งหมายของการวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ (2550) ได้สรุปผลการศึกษาว่าองค์ประกอบที่มี อิทธิพลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนทั้งในและนอกห้องเรียนประกอบด้วยองค์ประกอบใน ด้านต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ 1) ด้านร่างกาย ได้แก่ อัตราการเจริญเติบโต สุขภาพทางกาย ข้อบกพร่องทางกาย และบุคลิกภาพท่าทาง 2) ด้านความรัก ได้แก ่ ความสัมพันธ์ของบิดามารดา ความสัมพันธ์ของคนใน ครอบครัว


29 3) ด้านวัฒนธรรมและสังคม ได้แก ่ ขนบธรรมเนียมประเพณี ความเป็นอยู ่ของ ครอบครัว สภาพแวดล้อมทางบ้าน การอบรมทางบ้าน และฐานะทางบ้าน 4) ด้านความสัมพันธ์ในเพื่อนวัยเดียวกัน ได้แก่ ความสัมพันธ์ของนักเรียนกับเพื่อน วัยเดียวกันทั้งที่บ้านและที่โรงเรียน 5) ด้านการพัฒนาแห่งตน ได้แก่ สติปัญญา ความสนใจ เจตคติต่อการเรียน 6) การปรับตน ได้แก่ ปัญหาการปรับตัว การแสดงออกทางอารมณ์ 2.8 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง พุทธิพงษ์ ศุภมัสดุอังกูร (2557 : บทคัดย่อ) ได้วิจัยเรื่องการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนและความสามารถในการคิดวิเคราะห์เรื่องภัยพิบัติทางธรรมชาติ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ด้วยการจัดการเรียนรู้แบบวัฏจักรการสืบเสาะหาความรู้ (5E) มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง ภัยพิบัติทางธรรมชาติ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ก่อนเรียนและ หลังเรียนด้วยการจัดการเรียนรู้แบบวัฏจักรการสืบเสาะหาความรู้ (5E) 2) ศึกษาความสามารถในการ คิดวิเคราะห์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที ่ 5 ที ่เรียนด้วยการจัดการเรียนรู้แบบวัฏจักรการสืบ เสาะหาความรู้ (5E) 3) ศึกษาความคิดเห็นของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ แบบวัฏจักรการสืบเสาะหาความรู้ (5E) กลุ่มตัวอย่างคือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/3 โรงเรียน สมุทรปราการ ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2557 มีนักเรียนทั้งหมด 43 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย 1) แผนการจัดการเรียนรู้แบบวัฏจักรการสืบเสาะหาความรู้ (5E) 2) แบบทดสอบวัด ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 3) แบบทดสอบวัดความสามารถในการคิดวิเคราะห์ 4) แบบสอบถามความ คิดเห็นของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้แบบวัฏจักรการสืบเสาะหาความรู้ (5E) สถิติที่ใช้ในการ วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย (̅), ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.), ค่าร้อยละ (%) และการทดสอบ ค่าทีแบบไม่เป็นอิสระต่อกัน (t-test dependent) ผลการวิจัยพบว่า1) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง ภัยพิบัติทางธรรมชาติของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่เรียนด้วยการจัดการเรียนรู้แบบวัฏจักรการ สืบเสาะหาความรู้ (5E) สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2) ความสามารถในการ คิดวิเคราะห์ เรื่อง ภัยพิบัติทางธรรมชาติ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่เรียนด้วยการจัดการ เรียนรู้แบบวัฏจักรการสืบเสาะหาความรู้ (5E) อยู่ในระดับสูง (̅= 16.35)


30 ซูไรดา จารง และคณะ (2559 : บทคัดย่อ) ได้วิจัยเรื่องผลการจัดการเรียนรู้แบบวัฏจักรการ สืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น (5E)สาระเศรษฐศาสตร์ เรื่องการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนคณะราษฏรบ ารุง จังหวัดยะลา มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสาระเศรษฐศาสตร์ เรื่องการเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ แบบสืบเสาะหาความรู้แบบวัฏจักรการเรียนรู้ 5 ขั้น (5E) และ 2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนสาระเศรษฐศาสตร์ เรื่องการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 3 หลังได้รับการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้แบบวัฏจักรการเรียนรู้ 5 ขั้น (5E) กับเกณฑ์ (ร้อยละ 75) โดยกลุ ่มตัวอย ่างที่ใช้ในการวิจัยเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่3/4 โรงเรียนคณะราษฎรบ ารุง จังหวัดยะลา ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2559 ซึ่งได้มาจากการสุ่มแบบ กลุ ่ม 1 ห้องเรียน จ านวน 32 คน เครื ่องมือที ่ใช้ในการวิจัย ได้แก ่ แผนการจัดการเรียนรู้สาระ เศรษฐศาสตร์ เรื่องการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ จ านวน 8 แผน และแบบทดสอบวัดผล สัมฤทธิ์ทางการเรียนสาระเศรษฐศาสตร์ เรื่องการรวมกลุ ่มทางเศรษฐกิจระหว ่างประเทศ ท าการ วิเคราะห์ข้อมูลโดยเปรียบเทียบความแตกต่างของคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลัง เรียน โดยใช้การทดสอบค ่าที (T-Test) แบบ Dependent Sample และเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนสาระเศรษฐศาสตร์ เรื่องการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศกับเกณฑ์ที่ก าหนด โดยใช้การทดสอบค่าที (T-Test) แบบ One Sample ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สาระเศรษฐศาสตร์ เรื่องการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้แบบวัฏจักรการเรียนรู้ 5 ขั้น (5E) หลังเรียนสูงกว่า ก ่อนเรียนอย ่างมีนัยส าคัญที่ระดับ .05 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสาระเศรษฐศาสตร์ เรื ่องการ รวมกลุ่มทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 75 อย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ปฏิภาณ สร้างค า (2560 : บทคัดย่อ) ได้วิจัยเรื่องการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ไทยสมัยประชาธิปไตย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยการจัดการเรียนรู้แบบ สืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น (5E) มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1)เพื่อหาประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ไทยสมัยประชาธิปไตย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยการจัดการเรียนรู้ แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น (5E) มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 75/75 2)เพื่อหาดัชนีประสิทธิผลของ แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ไทยสมัยประชาธิปไตย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น (5E) และ3)เพื่อศึกษาความพึงพอใจต่อการจัดการ เรียนรู้ เรื่องพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ไทยสมัยประชาธิปไตย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3


31 โดยการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น (5E) กลุ่มตัวอย่างได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2560 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยมหาสารคาม (ฝ่ายมัธยม) สังกัด ส านักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา จ า นวน 37 คน จาก 1 ห้องเรียน ซึ่งได้มาโดยการเลือกสุ่ม แบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้แบบ สืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น (5E) เรื ่องพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ไทยสมัยประชาธิปไตย ชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 3 จ า นวน 8 แผน ท า การสอนแผนละ 50 นาที แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียน เรื่อง พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ไทยสมัยประชาธิปไตย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จ า นวน 30 ข้อ มีค่าความยากรายข้อตั้งแต่ 0.25 ถึง 0.72 มีค่าอ านาจจ าแนกรายข้อ ตั้งแต่ 0.29 ถึง 0.82 มีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.83 และแบบวัดความพึงพอใจต่อการจัดการ เรียนรู้ เรื่อง พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ไทยสมัยประชาธิปไตย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยการจัดการ เรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น (5E) ซึ่งเป็นมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ จ า นวน 15 ข้อ มี ค่าอ า นาจจ าแนกรายข้อ () ตั้งแต่ 0.22 ถึง 0.78 และมีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.76 สถิติ ที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า 1) แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ไทยสมัยประชาธิปไตย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น (5E) มีประสิทธิภาพ (E1/E2) เท ่ากับ 83.00/80.81 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่ก า หนดไว้ 2) ค่าดัชนีประสิทธิผลของแผนการจัดการเรีย นรู้ เรื่อง พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ไทยสมัยประชาธิปไตย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยการจัดการเรียนรู้แบบ สืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น (5E) มีค่าเท่ากับ 0.5749 หรือคิดเป็นร้อยละ 57.49 3) ความพึงพอใจต่อ การจัดการเรียนรู้ เรื่อง พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ไทยสมัยประชาธิปไตย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดย การจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น (5E) มีความพึงพอใจโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (̅= 4.52) วชิระ สามกองาม (2561 : ง) ) ได้วิจัยเรื่องการศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความ ใฝ่รู้ใฝ่เรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้(5E) ร่วมกับการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อจัดการเรียนการเรียนรู้ วิชาสังคมศึกษา ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาสังคมศึกษาก่อนและหลังที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ แบบสืบเสาะหาความรู้ (5E) ร่วมกับการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อจัดการเรียนการสอนของนักเรียน 2) เพื ่อเปรียบเทียบความใฝ่รู้ใฝ ่เรียนของนักเรียนก ่อนและหลังที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบสืบ เสาะหาความรู้ (5E) ร่วมกับการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อจัดการเรียนการสอน


32 ของนักเรียนกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนสตรีวิทยา จ านวน 34 คน ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2562 ซึ่งได้จากการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) เครื่องมือวิจัย คือ 1) แผนการจัดการเรียนรู้ จ านวน 2 แผน 2) แบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบบ 4 ตัวเลือก จ านวน 20 ข้อ มีค่าความเที ่ยงตรงเชิงเนื้อหาระหว่าง 0.67-100 ค่าความยาก ง่ายอยู่ ระหว่าง 0.43 0.77 ค่าอ านาจจ าแนกอยู่ระหว่าง 0.40 - 0.86 และมีค่าความเชื่อมั่น เท่ากับ 0.98 3) แบบวัดความใฝ่รู้ใฝ่เรียน เป็นแบบมาตรส่วนประมาณค่า (Rating Scale) 5 ระดับ จ านวน 20 ข้อ ใช้ แบบแผนการวิจัยแบบกึ่งทดลองหนึ่งกลุ่ม ทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน (One - group PretestPosttest Design) วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติ (t-test for dependent) ผลการวิจัยพบว่า 1) นักเรียน ที ่ได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยวิธีการสอนแบบสืบเสาะหา ความรู้ (5E) ร ่วมกับการใช้ เทคโนโลยีสารสนเทศ หลังเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงกว่าก่อน เรียนอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ ระดับ .05 2) นักเรียนที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยวิธีการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5E) ร่วมกับการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ หลังเรียนมีความใฝ่รู้ใฝ่เรียน สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยส าคัญ ทางสถิติที่ระดับ .05 สุกัญญา เพ็ชรนาค (2562 : บทคัดย่อ) ได้วิจัยเรื่องการพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้แบบสืบ เสาะหาความรู้ 5E รายวิชาภูมิศาสตร์ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนา กิจกรรมการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5E รายวิชาภูมิศาสตร์ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยกิจกรรมการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5E รายวิชา ภูมิศาสตร์ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที ่ 3 ก ่อนเรียนและหลังเรียน 3) เปรียบเทียบทักษะการคิด วิเคราะห์โดยกิจกรรมการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5E รายวิชาภูมิศาสตร์ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 3 ก่อนเรียนและหลังเรียน และ 4) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ต่อ กิจกรรมการเรียนรู้แบบการสืบเสาะหาความรู้ 5E กลุ่มตัวอย่างคือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/3 ปี การศึกษา 2562 จ านวน 28 คน โรงเรียนเทศบาลบูรพาพิทยาคาร ใช้วิธีการสุ่มแบบกลุ่ม การวิจัย แบบกลุ่มเดียวทดสอบก่อนเรียนและ หลังเรียน เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้แบบสืบ เสาะหาความรู้ 5E แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบบวัดทักษะการคิดวิเคราะห์ และ แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อกิจกรรมการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5E สถิติที่ใช้ ได้แก่ ค่าเฉลี่ย (̅) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และสถิติทดสอบทีกรณีกลุ่มไม่อิสระ ผลการวิจัย พบว่า 1) การพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5E รายวิชาภูมิศาสตร์ นักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยรวมอยู่ในระดับเหมาะสมมากที่สุด 2) นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดย


33 กิจกรรมการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5E รายวิชาภูมิศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หลังเรียนสูง กว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3) นักเรียนมีทักษะการคิดวิเคราะห์โดยกิจกรรม การเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5E รายวิชาภูมิศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หลังเรียนสูงกว่าก่อน เรียน อย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 4) นักเรียนมีความพึงพอใจต่อกิจกรรมการเรียนรู้แบบการ สืบเสาะหาความรู้ 5E โดยรวมอยู่ในระดับมาก อนุรักษ์ สวัสดี (2562 : ฆ) ได้วิจัยเรื่องการพัฒนาการคิดวิเคราะห์การเรียนรู้โดยใช้การ สืบเสาะหาความรู้ในรายวิชาสังคมศึกษาของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาการคิดวิเคราะห์การเรียนรู้วิชาสังคมศึกษาโดยใช้การสืบเสาะหาความรู้ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 4 2) ศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาสังคมศึกษาของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 3) ศึกษาความพึงพอใจต่อการเรียนรู้โดยใช้การสืบเสาะหาความรู้ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 กลุ่มตัวอย่างคือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่เรียนวิชาสังคมศึกษาอยู่ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2561 โรงเรียนราชวินิตบางเขน ห้องเรียน จ านวน 30 คน โดยการสุ ่มแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้วิชาสังคมศึกษา โดยใช้การคิด วิเคราะห์ และการสืบเสาะหาความรู้ 2) แบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาสังคมศึกษา 3) แบบวัด การคิดวิเคราะห์โดยใช้แนวคิดของบลูม 4) แบบประเมินการท างานกลุ ่มและรายบุคคล 5) แบบสอบถามความพึงพอใจต่อการเรียนโดยใช้การสืบเสาะหาความรู้ การวิเคราะห์ข้อมูลและสถิติที่ใช้ ได้แก่ 1) ค าร้อยละ 2) ค่าเฉลี่ย 3) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และ 4) Paired Sample t-test ผลการวิจัยพบว่า 1) การคิดวิเคราะห์ของนักเรียนรายบุคคลมีคะแนนไม่ต ่ากว่าร้อยละ 80 ผ่านเกณฑ์ จ านวน 29 คน คิดเป็นร้อยละ 96.67 และนักเรียนที่มีคะแนนไม่ผ่านเกณฑ์ จ านวน 1 คน คิดเป็นร้อย ละ 3.33 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาสังคมศึกษาของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 หลังเรียนสูง กว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3) ผลการศึกษาระดับความพึงพอใจต่อการเรียนรู้ โดยใช้การเสาะหาความรู้ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก (Mean 4.39, S.D .= 0.68) ติณณ์ณภัทร เพชรศิริวรรณ์(2563 : บทคัดย่อ) ได้วิจัยเรื่องการพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้ แบบ 5E เรื่อง ภูมิศาสตร์ทวีปยุโรป รายวิชาสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ส าหรับนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 2 มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนากิจกรรมการเรียนรู้แบบ 5E เรื่อง ภูมิศาสตร์ทวีปยุโรป รายวิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ส าหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ให้มีประสิทธิภาพ ตามเกณฑ์ 80/80 2) ตรวจสอบประสิทธิผลของกิจกรรมการเรียนรู้ ตามเกณฑ์ดัชนีประสิทธิผลตั้งแต่


34 ร้อยละ 50 ขึ้นไป 3) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระหว ่างก ่อนเรียนและหลังเรียนด้วย กิจกรรมการเรียนรู้ และ4) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อกิจกรรมการเรียนรู้ กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที ่ 2/2 โรงเรียนพรเจริญวิทยา สังกัดส านักงานเขตพื้นที ่การศึกษา มัธยมศึกษา เขต 21 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2562 จ านวน 1 ห้องเรียน รวมจ านวนทั้งสิ้น 30 คน ซึ่งได้มาโดยการสุ่มแบบแบ่งกลุ่ม (Cluster Random Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้แบบ 5E จ านวน 10 แผน 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน จ านวน 50 ข้อ มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.90 และ 3) แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อกิจกรรม การเรียนรู้ชนิดมาตราส ่วนประมาณค ่า 5 ระดับ (Rating scale) จ านวน 16 ข้อ สถิติที ่ใช้ในการ วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าทีชนิดไม่อิสระต่อ กัน (Dependent samples t-test ผลการวิจัยพบว ่า 1) กิจกรรมการเรียนรู้ที ่พัฒนาขึ้น มี ประสิทธิภาพ เท่ากับ 82.70/86.80 ซึ่งผ่านเกณฑ์ที่ตั้งไว้ที่ 80/80 2) กิจกรรมการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้น มีค่าดัชนีประสิทธิผลเท่ากับ 0.6118 (คิดเป็นร้อยละ 61.18) ซึ่งผ่านเกณฑ์ที่ตั้งไว้ที่ตั้งแต่ร้อยละ 50 3) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนหลังเรียนด้วยกิจกรรมการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้น สูงกว่าก่อนเรียน อย ่างมีนัยส าคัญทางสถิติที ่ระดับ .01 4. ความพึงพอใจของนักเรียนที ่มีต่อกิจกรรมการเรียนรู้ที่ พัฒนาขึ้นโดยภาพรวม อยู่ในระดับมากที่สุด (X= 4.58, S.D. = 0.56) เดือนเพ็ญ สังข์งาม (2563 : บทคัดย่อ) ได้วิจัยเรื่องการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสาระ ภูมิศาสตร์ เรื่อง ทวีปอเมริกาเหนือ ที่จัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5E) ส าหรับนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที ่ 3 มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อพัฒนาการจัดการเรียนรู้สาระภูมิศาสตร์ เรื่อง ทวีป อเมริกาเหนือ ที่จัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5E) ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่มี ประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2) ศึกษาเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสาระภูมิศาสตร์ เรื่อง ทวีปอเมริกาเหนือที่จัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5E) ส าหรับนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 3 โรงเรียนโกสุมวิทยาสรรค์ จังหวัดมหาสารคาม ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน กลุ่มตัวอย่างคือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/3 จ านวน 30 คน ซึ่งได้มาโดยการสุ่มตัวอย่างแบบ One Group Pre– test Post–test Design ซึ่งมีกลุ่มเป้าหมายกลุ่มเดียว ดังตัวอย่าง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ มี 2 ชนิดได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้สาระภูมิศาสตร์ เรื่อง ทวีปอเมริกาเหนือ ที่จัดการเรียนรู้แบบสืบ เสาะหาความรู้ (5E) 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางงการเรียน จ านวน 30 ข้อ ซึ่งเครื่องมือเหล่านี้ ได้รับการตรวจสอบคุณภาพจากผู้เชี ่ยวชาญ จ านวน 3 ท ่าน ค านวณค ่า IOC ได้ 0.80 ขึ้นไปทุก รายการสถิติที่ใช้ในการศึกษาค้นคว้า ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน


35 และการวิเคราะห์ข้อมูลโดยการใช้สถิติทดสอบที (t-test) ผลการวิจัยพบว่า 1) ประสิทธิภาพส าหรับ การจัดการเรียนรู้สาระภูมิศาสตร์ เรื่อง ทวีปอเมริกาเหนือ ที่จัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5E) ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีค่าเท่ากับ 85.61/82.61 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ 80/80 ที่ตั้งไว้ 2) ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสาระภูมิศาสตร์ เรื่อง ทวีปอเมริกาเหนือที่จัดการเรียนรู้ แบบสืบเสาะหาความรู้ (5E) ส าหรับนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐานที่ตั้งไว้ จันทร์จิรา ดินเตบ และคณะ (2564 : บทคัดย่อ) ได้วิจัยเรื่องการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียน ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้รูปแบบสืบเสาะหาความรู้(5E) ร่วมกับ การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศใน การจัดการเรียนรู้รูปแบบออนไลน์รายวิชาสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรมเรื่อง กฎหมายกับชีวิต ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที ่ 3 โรงเรียนหาดใหญ ่พิทยาคม อ าเภอหาดใหญ ่ จังหวัดสงขลา มี วัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้รูปแบบสืบเสาะหา ความรู้ (5E) ร่วมกับการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการจัดการเรียนรู้รูปแบบออนไลน์เรื่อง กฎหมาย กับชีวิต ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/1 โรงเรียน หาดใหญ่พิทยาคม อ าเภอ หาดใหญ่ จังหวัด สงขลา 2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังเรียนหลังการจัดการเรียนรู้รูปแบบ สืบเสาะหาความรู้ (5E) ร่วมกับการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการจัดการเรียนรู้รูปแบบออนไลน์เรื่อง กฎหมายกับชีวิต ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/1 โรงเรียน หาดใหญ่พิทยาคม อ าเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา กลุ่มตัวอย่างได้แก่นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/1 ประจ าปีการศึกษา 2564 โรงเรียน หาดใหญ่พิทยาคม อ าเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา จ านวน 21 คนเครื่องมือที ่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ประกอบด้วย 1) แผนการจัดการเรียนรู้กลุ ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม สาระที่ 2 (หน้าที่พลเมืองฯ) ชั้นมัธยมศึกษาที่ 3 จ านวน 4 แผน 2) นวัตกรรมที่เลือกใช้รูปแบบการ เรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5E) ร่วมการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อจัดการเรียนรู้แบบออนไลน์ 3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกลุ่มสาระการเรียนรู้ สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม เรื่อง กฎหมายกับชีวิต เป็นแบบทดสอบชนิดเลือกตอบมี 4ตัวเลือกจ านวน 20ข้อ จ านวน 1 ฉบับ ผลการวิจัยพบว่า 1) หลังเรียนโดยใช้หลังจากที่ได้รับการจัดการเรียนรู้รูปแบบสืบเสาะหาความรู้ (5E) ร่วมกับการใช้ เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อจัดการเรียนการสอนของนักเรียนในรูปแบบออนไลน์นักเรียน มีคะแนนเฉลี่ยรวมสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 22.86 2) ก่อนเรียนด้วยการจัดการเรียนรู้รูปแบบสืบเสาะ หาความรู้ (5E) ร่วมกับการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อจัดการเรียนการสอนของนักเรียนในรูปแบบ ออนไลน์นักเรียนท าคะแนนสูงสุดได้ 9 คะแนน คะแนนต ่าสุด 4 คะแนน คะแนนเฉลี่ย 5.62.คะแนน


36 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 1.86 และหลังเรียนด้วยการจัดการเรียนรู้รูปแบบสืบเสาะหาความรู้ (5E) ร่วมกับการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อจัดการเรียนการสอนของนักเรียนในรูปแบบออนไลน์ นักเรียน ท าคะแนนสูงสุดได้ 10 คะแนน คะแนนต ่าสุด 5 คะแนน คะแนนเฉลี ่ย 7.90 คะแนน และส ่วน เบี่ยงเบนมาตรฐาน 1.89 แสดงให้เห็นว่าหลังเรียนด้วยการจัดการเรียนรู้รูปแบบสืบเสาะหาความรู้(5E) ร่วมกับการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศนักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงกว่าก่อนเรียน เสาวณีย์ ปฐมนรา และคณะ (2564 : บทคัดย่อ) ได้วิจัยเรื่องการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนและความสามารถในการท างานกลุ่ม โดยการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะร่วมกับการเรียนรู้แบบ ร่วมมือในสาระภูมิศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อเปรียบเทียบ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสาระภูมิศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6ก่อนเรียนกับหลังเรียนโดย ใช้การจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะร่วมกับการเรียนรู้แบบร่วมมือ2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนสาระภูมิศาสตร์ตามแนวทางของสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หลัง เรียนโดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะร่วมกับการเรียนรู้แบบร่วมมือกับเกณฑ์ที่ก าหนด และ 3) เพื่อศึกษาพัฒนาการของความสามารถในการท างานกลุ่มของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โดยใช้ การจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะร่วมกับการเรียนรู้แบบร่วมมือ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาที่ 6โรงเรียนบ้านทุ่งตาแก้วที่ก าลังศึกษาในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2562ข้อมูล ได้แก่ 1) แผนการเรียนรู้แบบสืบเสาะร่วมกับการเรียนรู้แบบร่วมมือ จ านวน 5 หน่วยการ เรียนรู้ มี 13 แผน 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสาระภูมิศาสตร์ 3) แบบทดสอบ วัด ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสาระภูมิศาสตร์ตามแนวทางของสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห ่งชาติ (องค์การมหาชน) ปีการศึกษา 2558 และปีการศึกษา 2559และ 4) แบบวัดความสามารถในการ ท างานกลุ ่ม วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค ่าเฉลี ่ย ส ่วนเบี ่ยงเบนมาตรฐานและการทดสอบค ่าที ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสาระภูมิศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โดย ใช้การจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะร่วมกับการเรียนรู้แบบร่วมมือหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมี นัยส าคัญทางสถิต ที่ระดับ .05 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสาระภูมิศาสตร์ตามแนวทางของสถาบัน ทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ(องค์การมหาชน) โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะร่วมกับการ เรียนรู้แบบร่วมมือหลังเรียนสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 60 อย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 3) ความสามารถในการท างานกลุ่มของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โดยใช้การจัดการเรียนรู้ แบบสืบเสาะร่วมกับการเรียนรู้แบบร่วมมือหลังเรียนครั้งที่ 5 สูงกว่าก่อนเรียน และสูงกว่าหลังการ เรียนครั้งที่ 1 ครั้งที่ 2 ครั้งที่ 3 และครั้งที่ 4 ตามล าดับ


37 2.9 กรอบแนวคิดในการวิจัย จากการศึกษาหลักการแนวคิดและประโยชน์ของการเรียนการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5E) ผู้วิจัยจึงก าหนดเป็นกรอบแนวคิดดังนี้ (ภาพที่ 1 กรอบแนวคิดในการวิจัย) ตัวแปรต้น (แผนการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะ หาความรู้ 5E) ตัวแปรตาม (ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน)


38 บทที่ 3 วิธีการด าเนินการวิจัย การวิจัยเรื่องการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน รายวิชาสังคมศึกษา เรื่อง การคุ้มครอง ผู้บริโภค ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้สืบเสาะหาความรู้5E ผู้วิจัยได้ท าการศึกษาวิจัยค้นคว้าตามหัวข้อดังต่อไปนี้ 3.1 ประชากรและกลุ่มเป้าหมาย 3.2 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 3.3 การสร้างและการหาคุณภาพของเครื่องมือ 3.4 การเก็บรวบรวมข้อมูล 3.5 การวิเคราะห์ข้อมูล 3.6 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล 3.1 ประชากรและกลุ่มเป้าหมาย ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้คือนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่ก าลังศึกษาในปีการศึกษา 2565 จ านวน 633 คน กลุ่มเป้าหมายที ่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/8 ที่ก าลังศึกษาในปี การศึกษา 2565 จ านวน 44 คน 3.2 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5E) เรื่อง การคุ้มครองผู้บริโภค ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 จ านวน 6 แผน รวม 8 ชั่วโมง 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การคุ้มครองผู้บริโภค ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นจ านวน 30 ข้อ ต้องใช้จริง 20 ข้อ


39 3.3 การสร้างและการหาคุณภาพของเครื่องมือ 3.3.1 แผนการจัดการเรียนรู้ แผนการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5E) ผู้วิจัยได้ด าเนินการสร้างแผนการ จัดการเรียนรู้ ดังนี้ 1) ศึกษาและวิเคราะห์แนวคิด ทฤษฎี และท าการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ แผนการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5E) 2) ศึกษาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระสังคม ศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม คู ่มือครู หนังสือเรียนวิชาสังคมศึกษา ชั้นมัธยมศึกษาปีที ่ 2 และ หลักสูตรสถานศึกษาของโรงเรียน 3) วิเคราะห์มาตรฐานการเรียนรู้ ตัวชี้วัด และสาระการเรียนรู้ หน่วยการเรียนรู้ที่ 9 เรื่อง การคุ้มครองผู้บริโภค 4) ก าหนดกิจกรรมการเรียนการสอน สื่อการสอน การประเมินผล โดยให้สอดคล้อง กับเนื้อหา และจุดประสงค์การเรียนรู้ด้วยการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5E 5) จัดท าแผนการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5E จ านวน 6 แผน แผนละ 1 ชั่วโมง และท าการทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ก่อน-หลัง 2 ชั่วโมง รวม 8 ชั่วโมง 6) น าแผนการจัดการเรียนรู้ให้ผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่าน ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการสอนวิชา สังคมศึกษา ประกอบด้วย 6.1) นางสุกิต โสภิณ หัวหน้ากลุ่มสาระสังคมศึกษาฯ 6.2) นายกนกพล เมืองแก้ว ครูพี่เลี้ยง 6.3) นางสาวทองม้วน โยธชัย ครูช านาญการ เพื ่อประเมินคุรภาพของแผนการจัดการเรียนรู้ ให้ค าแนะน าเกี ่ยวกับรูปแบบ เนื้อหา กิจกรรม จุดประสงค์และการวัดประเมินผล ซึ่งได้ค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) เท่ากับ 1.00 ทุกแผน โดยมี เกณฑ์การให้คะแนน ดังนี้ ให้คะแนน +1 คือ แน่ใจว่าแผนการจัดการเรียนรู้นั้นสอดคล้องและเหมาะสม ให้คะแนน 0 คือ ไม่แน่ใจว่าแผนการจัดการเรียนรู้นั้นสอดคล้องหรือไม่ ให้คะแนน -1 คือ แน่ใจว่าแผนการจัดการเรียนรู้นั้นไม่สอดคล้อง


40 7) ปรับปรุงแก้ไขแผนการจัดการเรียนรู้ตามค าแนะน า และข้อเสนอแนะของ ผู้เชี่ยวชาญ 8) น าแผนการจัดการเรียนรู้ที ่ปรับปรุงและแก้ไขไปทดลองใช้กับนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 2/6 ที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่าง เพื่อหาข้อบกพร่อง 9) น าแผนการจัดการเรียนรู้มาปรับปรุงแก้ไขเป็นฉบับสมบูรณ์และน าไปใช้กับกลุ่ม ตัวอย่าง 3.3.2 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การคุ้มครองผู้บริโภค ที่ผู้วิจัยได้สร้างขึ้น เป็นทดสอบชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก โดยครอบคลุมเนื้อหาและตัวชี้วัดในแต ่ละแผนการจัดการ เรียนรู้ จ านวน 30 ข้อ ผู้วิจัยได้ด าเนินการสร้างตามขั้นตอน ดังนี้ 1) ศึกษาหลักสูตรและหนังสือเรียนกลุ ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และ วัฒนธรรม หน่วยการเรียนรู้ที่ 9 เรื่อง การคุ้มครองผู้บริโภค ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 และ และเอกสาร ที่เกี่ยวข้อง วิธีการสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 2) ศึกษาจุดประสงค์การเรียนรู้ มาตรฐานการเรียนรู้ ตัวชี้วัด และสาระการเรียนรู้ หน่วยการเรียนรู้ที่ 9 เรื่อง การคุ้มครองผู้บริโภค ก าหนดกรอบเนื้อหาในการสร้างแบบทดสอบวัด ผลสัมฤทธิ์ โดยวิเคราะห์เนื้อหาให้ครอบคลุมแผนการจัดการเรียนรู้ในแต่ละแผน 3) สร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน การคุ้มครองผู้บริโภค มีลักษณะแบบ ปรนัย 4 ตัวเลือก โดยสร้างข้อสอบมากกว่าจ านวนข้อสอบที่ต้องการ เป็นจ านวน 30 ข้อ มีสัดส่วน จ านวนข้อแต ่ละตัวชี้วัด ให้สอดคล้องตรงกับตัวชี้วัดตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 และจุดประสงค์การเรียนรู้ที่ต้องการวัด 4) น าแบบทดสอบที่สร้างขึ้นไปเสนอครูพี่เลี้ยงเพื่อตรวจสอบความสอดคล้องระหว่าง ข้อสอบ เนื้อหา และพฤติกรรมที่จะวัด ขอค าแนะน าและข้อเสนอแนะในการปรับปรุงแก้ไข 5) น าแบบทดสอบที ่ปรับปรุงแล้ว เสนอผู้เชี่ยวชาญจ านวน 3 ท่าน เพื่อตรวจสอบ ความถูกต้องเหมาะสม ความสอดคล้องกับเนื้อหา และจุดประสงค์การเรียนรู้ รวมถึงความครอบคลุม ของค าถาม โดยพิจารณาจากค่า IOC ตั้งแต่ 0.50 ขึ้นไปซึ่งได้ข้อค าถามที่มีค่า IOC ตั้งแต่ 0.50 - 1.00 จ านวน 30 ข้อ โดยเลือกใช้ 20 ข้อ


41 6) จัดพิมพ์แบบทดสอบที ่ปรับปรุงแก้ไขสมบูรณ์แล้ว ไปทดสอบใช้กับนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที ่ 3/1 ที ่มีลักษณะคล้ายคลึงกับกลุ่มตัวอย ่าง และเรียนเรื ่องการคุ้มครองผู้บริโภค มาแล้ว เพื่อหาคุณภาพของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ น าแบบทดสอบมาตรวจให้คะแนน แล้วน าผล การวัดมาเรียงค่าคะแนนจากสูงไปหาต ่า เพื่อวิเคราะห์ทางสถิติรายข้อ ดังนี้ 6.1) หาค่าความยากง่าย (p) โดยพิจารณาความยากง่ายตามเกณฑ์ คือ อยู่ระหว่าง 0.20 - 0.80 และครอบคลุมเนื้อหา 6.2) หาค่าอ านาจจ าแนก (r) โดยพิจารณาจากเกณฑ์ค่าอ านาจจ าแนกตั้งแต่ 0.20 ขึ้นไป 6.3) หาค่าสัมประสิทธิ์ความเชื่อมั่นของแบบวัด โดยใช้สูตรการหาค่าสัมประสิทธิ์ ความเชื่อมั่นของแบบวัด ค านวณจากสูตร KR – 20 คูเดอร์ – ริชาร์ดสัน 7) น าแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที ่ปรับปรุงแก้ไขแล้ว ไปใช้กับ กลุ่มเป้าหมาย 3.4 การเก็บรวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยได้ด าเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลตามขั้นตอน ดังนี้ 1) ทดสอบก่อนเรียนด้วยแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน จ านวน 20 ข้อ 2) ด าเนินการสอนตามแผนการจัดการเรียนรู้ทั้งหมด 6 แผน รวมเวลาเรียน 8 ชั่วโมง 3) ทดสอบหลังเรียนด้วยแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน จ านวน 20 ข้อ 4) น าคะแนนจากแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไปวิเคราะห์โดยใช้วิธีทาง สถิติเพื่อทดสอบสมมติฐานและสรุปผลการวิจัย


Click to View FlipBook Version