The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

เอกสารประกอบการสอน วิชาพัฒนาหลักสูตร

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by thidarat.ta, 2021-01-17 03:23:36

เอกสารประกอบการสอน วิชาพัฒนาหลักสูตร

เอกสารประกอบการสอน วิชาพัฒนาหลักสูตร

39

ดีไปกว่าการเก็บความจาในสิง่ ที่ควรแก่ความจา เขาจะร้สู ึกยินดแี ละพอใจเมื่อเขาเตบิ โตเป็นผู้ใหญ่ นับถือ
ลักษณะของการศึกษาท่ียึดหลักการฝึกอบรมให้เป็นบุคคลที่ดีมีเหตุผล ท้ังน้ีโดยมีเป้าหมายจะให้ผู้เรียน
สามารถค้นพบชีวติ ที่มีความสุขและมีเหตุผลตามหลักของศาสนาเป็นประการสาคัญ (วิทวัฒน์ ขัตติยะมาน
และอมลวรรณ วีระธรรมโม, 2549: 35)

ขอ้ สังเกตเกีย่ วกบั ปรชั ญาการศึกษานิรันตรนยิ ม มีดังน้ี
1. มีแนวความคิด และความเชื่อใกล้เคียงกับปรัชญาสารัตถนิยม แตย่ ึดหลักความศรัทธาเป็น
หลักการเบอ้ื งต้นของความมีเหตุผลของมนุษย์ และท่ีมาของความรู้
2. จุดมุ่งหมายของการศึกษามงุ่ ท่จี ะเตรียมเด็กให้เป็นผู้ใหญท่ ่ีดใี นอนาคต ทาให้การอ่าน การเขียน
การคดิ เลข มีความสาคญั ในระดบั ประถมศึกษา
อย่างไรก็ตาม ในการพัฒนาหลักสูตรตามแนวปรัชญาการศึกษานิรันตรนิยม พบว่า ยังมี
ขอ้ ดอ้ ย คือ การทถี่ อื วา่ ผู้เรยี นทุกคนเหมอื นกนั เปน็ การขดั กบั หลักจิตวทิ ยาในเรื่องความแตกต่างระหว่าง
บุคคล การเรียนที่ถือเอาผู้สอนเป็นศูนย์กลางจะทาให้ผู้เรียนขาดความคิดริเริ่ม ขาดลักษณะผู้นา เป็นการฝึก
ผู้เรียนให้เป็นผู้ตาม ผู้เรียนน่าจะได้เรียนตามความสามารถและความถนัดของตน ไม่ใช่บังคับให้ทุกคน
เรียนเหมือนกันหมด การวัดผลท่ีเน้นความจาจะนาความรู้ไปใช้ได้น้อย ไม่เหมาะสมกับความต้องการของเด็ก
ไม่เหมาะสมกับสังคมยุคใหม่ ไม่ส่งเสริมความเป็นประชาธิปไตย ทาให้เกิดการแบ่งชนช้ัน และ
กระบวนการเรยี นรอู้ าศัยการขบู่ ังคับเปน็ หลกั
3. ปรัชญาการศึกษาสาขาพิพัฒนาการนิยม (Progressivism)
พิพัฒนาการนิยม เป็นปรัชญาการศึกษาในปัจจุบันของอเมริกา เร่ิมข้ึนในปี ค.ศ.1925 นับเป็น
ทัศนะทางการศึกษาที่มีอิทธิพลมากท่ีสุดในอเมริกา ฌ็อง ฌาค รุสโซ (Jean Jacques Rousseau) เป็นบุคคล
แรกที่หนั มาให้ความสาคัญต่อการพฒั นาการของเดก็ รุสโซ เชอ่ื ว่า การศึกษาจะช่วยพัฒนาเด็กไปในทางท่ดี ไี ด้
แนวคิด และความเช่ือของปรัชญาพิพัฒนาการนิยม เป็นปรัชญาการศึกษาที่ยึดหลักของปรัชญา
สากลของสาขาปฏิบัติการนิยม โดยมีความเช่อื ว่า ผู้เรียนเป็นบุคคลที่มีทักษะพร้อมท่ีจะปฏิบัติงานได้ ผู้เรียน
จะเรียนรู้ได้โดยอาศยั ประสบการณ์ ผู้สอนมีหน้าท่ีจัดประสบการณ์ให้แก่เด็ก ผู้สอนนั้นเป็นผู้นาทางด้านการ
ทดลอง และวิจัย หลักสูตรเป็นเนื้อหาสาระที่เก่ียวกับประสบการณ์ต่าง ๆ ของสังคม เช่น ปัญหาของสังคม
รวมท้ังแนวทางท่ีจะแก้ปัญหานั้น ๆ จนกระท่ัง จอห์น ดิวอี้ (John Dewey) ได้ทาการศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติม
ในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 โลกจึงได้รู้จักปรัชญาพิพัฒนาการนิยม ในนามของ ดิวอ้ี หลักปรัชญาของดิวอ้ีนั้น
แตกต่างจากปรัชญาในสาขาท่ีแล้ว ๆ มา คือ แทนที่จะเน้นการศึกษาเพ่ือพัฒนาความเป็นเลิศทางสติปัญญา
ของผู้เรียน ดิวอี้หันมาเน้นใช้การศึกษาเป็นเครื่องมือในการพัฒนาตัวผู้เรียนแทน โดยเน้นว่าผู้เรียนควรมี
ความเข้าใจ และตระหนักในตนเอง (Self-Realization) ดิวอี้เชื่อว่า ในกระบวนการท่ีเด็กพยายามแก้ปัญหา

40

หรือสนองความสนใจของตนเองนั้น เด็กจะต้องลงมือกระทาอย่างใดอย่างหน่ึง และกระบวนการน้ีเองจะ
เกิดขึ้น หลักการน้ีทาให้เกิดวิธีการเลียนแบบ แก้ปัญหา (Problem Solving) หรือเรียนด้วยการปฏิบัติ
(Learning by Doing) และจากหลักการท่ีว่า การพัฒนา คือ การเปลี่ยนแปลง คนเราจะหยุดพัฒนาไม่ได้
ดงั นั้น การเรียนรู้ของคนเราจึงมิได้หยุดอยู่แต่ในโรงเรียนเท่านั้น แต่จะดาเนินไปตลอดชีวิตของผู้เรียน ทาให้
เกิดความเชื่อว่า การศึกษาคือชีวิต (Education is Life) หลักสูตรที่จัดตามแนวปรัชญานี้ ได้แก่ หลักสูตร
แบบประสบการณห์ รือกิจกรรม (Experience or Activity Curriculum)

การจดั หลักสูตรตามแนวคิดของพิพฒั นาการนยิ ม หนา้ ที่ของโรงเรยี นแบบดังกล่าว ได้แก่ การ
เตรียมพร้อมท่ีจะให้ผู้เรียนเกิดความร่วมมืออย่างกระตือรือร้นต่อการเปล่ียนแปลง จุดเน้นที่สาคัญของ
โรงเรียนตามแนวปรัชญาน้ีอยูท่ ก่ี ารเรยี นรวู้ ิธกี ารคิดมากกว่าสิง่ ท่จี ะคิด จุดเนน้ อยทู่ ่ีการทดลอง จงึ ไม่มีการ
ให้ความสาคัญแก่เนื้อหาใดเป็นพิเศษ แต่จะใช้ประสบการณ์ชีวิตเป็นตัวกาหนดหลักสูตรและเน้ือหาทุก
ชนิด การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ จึงเนน้ วิธีการทางวทิ ยาศาสตร์ มาจัดการเนอ้ื หาวิชาโดยยดึ ประสบการณ์
เป็นศูนย์กลาง หรือ ยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง ส่งเสริมการฝึกหัดทาโครงการต่าง ๆ เพื่อฝึกแก้ปัญหา โดย
อาศัยการอภิปราย ซักถาม และการถกปัญหาร่วมกัน ซึ่งเป็นลักษณะของการจัดการศึกษาที่มุ่งให้ผู้เรียน
มคี วามสามารถ ที่จะพจิ ารณาตัดสนิ ใจ โดยอาศยั ประสบการณ์และผลท่ีเกิดจากการทางานเปน็ กลุ่ม ท้ังน้ี
โดยมีเป้าหมายให้ผู้เรียนมีความสามารถที่จะควบคุมการเปล่ียนแปลง และปรับปรุงตนเองให้อยู่ในสังคม
ได้อยา่ งมีความสขุ (วทิ วฒั น์ ขัตตยิ ะมาน และอมลวรรณ วีระธรรมโม, 2549: 36 - 37)

ข้อสงั เกตในการพัฒนาหลักสูตร ตามแนวปรัชญาการศึกษาพิพฒั นาการนิยม มีดังน้ี
1. ประสบการณ์ของมนุษย์เป็นพื้นฐานของความรู้ มนุษยเ์ รียนรู้สภาพการณ์ของทุกสิ่งในโลก
น้ีที่กาลังเปลี่ยนแปลง ดังนั้นกระบวนการเรยี นรู้ทางวิทยาศาสตร์จะทาใหผ้ ู้เรยี นร้วู า่ คิดอย่างไร
2. กระบวนการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมอย่างไร เน้นการคิดอย่างไร มากกว่าคิดอะไร กระบวน
การศกึ ษาเนน้ กระบวนการของกลุ่ม (Group Process) และมาตรฐานของกลุ่ม (Group Norms)
3. โรงเรียนเป็นสถาบันทางสงั คม และฝึกวิถที างแบบประชาธปิ ไตย มีเสรีภาพภายใตก้ ฎเกณฑ์
ของประชาธปิ ไตย
อย่างไรก็ตาม การพัฒนาหลักสูตรตามแนวปรัชญาการศึกษาพิพัฒนาการนิยม ยังพบว่ามี
ข้อด้อย คือ ผู้เรียนมีความรู้ไม่เป็นชิ้นเป็นอัน ขาดระเบียบวินัยขาดความรับผิดชอบต่อสังคม
ขาดทัศนคติที่จะอนุรักษส์ ถาบันใด ๆ ของสังคม การศึกษาด้อยในคุณภาพ โดยเฉพาะการพัฒนาทางด้าน
สติปัญญา เพราะการสอนท่ีเน้นความต้องการและความสนใจของผู้เรียนนั้น ผู้เรียนส่วนมากยังขาดวุฒิ
ภาวะพอที่จะรู้ความสนใจของตนเอง ธรรมชาติของเด็กชอบเล่นมากกว่าเรียน โดยการจัดหลักสูตรให้
สนองความต้องการและความสนใจของผู้เรียนทั้งหมดเป็นส่ิงท่ีทาได้ยาก เพราะความสนใจ และความ

41

ต้องการบางอย่างของผู้เรียนอาจจะไม่มีประโยชน์ในชีวิต และการเรียนการสอนท่ีเน้นการปรับตัวขอ ง
ผู้เรยี นใหเ้ ข้ากับสงั คมและสิ่งแวดล้อม อาจทาให้สูญเสียความเปน็ ตัวของตัวเอง

4. ปรชั ญาการศึกษาสาขาปฏริ ูปนิยม (Reconstructionism)
ธีโอดอร์ บราเมลด์ (Theodore Beamed) นักปรัชญาการศึกษาชั้นนาของอเมริกาได้รับ

เกียรติใหเ้ ป็นบิดาของปฏิรูปนิยม เนื่องจากปฏิรูปนิยมแยกออกมาจากพิพัฒนาการนิยม แนวคิดและความ
เชื่อของปรัชญาการศึกษาสาขาปฏริ ูปนยิ ม มีความเชื่อเก่ียวกับผเู้ รียน ผู้สอน หลกั สูตร กระบวนการเรียน
การสอนท่ีเน้นในเร่ืองชีวิตและสังคม ตลอดจนลักษณะของการจัดการศึกษาว่า คล้ายคลึงกับปรัชญา
การศึกษาสาขาพิพัฒนาการนิยม แตกต่างกันตรงที่เป้าหมายของสังคมท่ีแตกต่างกัน และแนวความคิด
ของพิพัฒนาการนิยมเองมีลักษณะเป็นกลางจึงไม่สามารถนาไปใช้ในการปฏิรูปการศึกษาในส่วนที่จาเป็น
ได้ (ทศิ นา แขมมณี, 2556: 28)

หลักสูตรท่ีจัดตามแนวปรัชญาน้ี ได้แก่ หลักสูตรท่ียึดหลักสังคมและการดารงชีวิต (Social
Process and Life Function Curriculum) และหลักสูตรแบบแกน (Core Curriculum) ความมุ่งหมาย
ของหลักสูตรจะเน้นการพฒั นาผ้เู รยี นให้มีความรู้ ความสามารถ และทศั นคติทจ่ี ะออกไปปฏิรปู สงั คมให้ดีขึน้

เน้ือหาวิชา และประสบการณ์ท่ีเลือกมาบรรจุในหลักสูตรจะเกี่ยวกับสภาพและปัญหาของ
สังคมเป็นส่วนใหญเ่ น้ือหาวชิ าเหลา่ นจี้ ะเนน้ หนักในหมวดสังคมศึกษา

การสอนจะไมเ่ น้นการถา่ ยทอดวชิ าความรู้ โดยการบรรยายของผู้สอนมากเหมอื นหลักสูตรใน
ปรัชญาสารนิยม แตม่ ุ่งส่งเสริมให้ผเู้ รียนสารวจความสนใจความตอ้ งการของตนเอง และสนองความสนใจ
ด้วยการค้นคว้าหาความรู้ด้วยตนเองเน้นการอภิปราย และแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเร่ืองต่าง ๆ
โดยเฉพาะเร่ืองท่เี ก่ียวกบั ปัญหาของสังคม พร้อมท้ังหาขอ้ เสนอแนะ และแนวทางในการปฏริ ูปสงั คมด้วย

การจัดตารางสอนไม่ออกมาในรูปแบบตารางสอนตายตัว (Block Schedule) แต่จะออกมาในรูป
ของตารางสอนแบบยืดหยุ่น (Flexible Schedule) บางคาบเป็นเวลาช่วงส้ัน ๆ สาหรับการบรรยายนาของ
ผู้สอน บางคาบเปน็ ช่วงเวลาสาหรับการศึกษาค้นคว้าดว้ ยตนเอง

การประเมินผลนอกจากจะวัดผลการเรียนทางดา้ นวชิ าความรู้แล้วยังวัดผลทางดา้ นพัฒนาการ
ของผูเ้ รียน และทศั นคติเกย่ี วกับสงั คมอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม การพัฒนาหลักสูตรตามแนวปรัชญาการศึกษาปฏิรูปนิยม ยังพบว่ามีข้อด้อย
คือ ถ้าระบบและบรรยากาศทางการเมืองไม่เอ้ืออานวยต่อการเปลี่ยนแปลงแล้ว การพัฒนาหลักสูตรตาม
แนวคิดปรัชญาการศึกษาสาขาน้ีก็สาเร็จได้ยาก โดยการทโี่ รงเรยี นจะไปเปล่ียนระบบค่านิยมของสังคมก็มี
โอกาสเป็นไปได้น้อย เว้นแต่สังคมน้ันจะมีเป้าหมายที่จะเปลี่ยนแปลงอยู่แล้ว ซ่ึงการเปล่ียนแปลงอาจ
เกิดขนึ้ ได้ ถ้าการเปล่ยี นแปลงน้นั เหมาะสมกับสภาพและปญั หาทเ่ี กดิ ข้นึ ในสงั คม

42

5. ปรัชญาสาขาอัตถิภาวนยิ มหรือปรัชญาสวภาพนิยม (Existentialism)
แนวคิดและความเช่ือ ปรัชญาสาขาน้ีแพร่หลายในปลายคริสต์ศตวรรษท่ี 19 โดยมีเซอเรน

โอบยึ เคียร์เคอกอร์ (Soren Aabye Kierkegaard) เปน็ ผรู้ ิเร่ิม และฌอ็ ง ปอล ซาทร์ (Jean Paul Sartre)
ได้เผยแพร่ต่อมา จนถึงในคริสต์ศตวรรษที่ 20 โดยมีความเชื่อว่าบุคคลย่อมเป็นตัวของตัวเอง มีเสรีภาพ และ
ความรับผิดชอบของตัวเอง แต่ละคนสามารถกาหนดชีวิตของตนเองได้เป้าหมายของสังคมนั้นต้องมีความ
มุ่งมั่นท่ีจะพัฒนาให้คนเรามีอิสรภาพ และมีความรับผิดชอบ และส่ิงน้ีจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเราพยายาม
เปิดโอกาสหรือยอมรับให้ผู้เรียนมีสิทธิเสรีภาพ ที่จะเป็นผู้เลือกเอง ผู้สอนเป็นเพียงผู้กระตุ้น หลักสูตรก็
ประกอบไปด้วยเนื้อหาสาระทุกสาขาวิชา เพ่ือเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้เลือกตามความถนัดและความสนใจ
ของตนเอง หลักสูตรที่จัดตามแนวปรัชญาน้ี ได้แก่ หลักสูตรเอกัตตภาพ (Individualized Curriculum)
(ทิศนา แขมมณี, 2556: 27)

กระบวนการเรียนการสอนของผู้สอนจะให้เสรีภาพแก่ผู้เรียนมากที่สุดเท่าที่จะทาได้ โดยยึด
หลักให้ผู้เรียนได้มีโอกาสรจู้ ักตนเอง มีผู้สอนกระตุ้นให้แต่ละบุคคลได้ใช้คาถาม นาไปสู่เป้าหมายที่ตนเอง
ต้องการ ซึ่งเป็นการจัดการศึกษาที่เน้นผู้เรียนมีความรับผิดชอบในหน้าที่ของตน ตัวอย่างวิชาที่เด่นชัด
สาหรบั ปรชั ญาการศกึ ษาอตั ถิภาวนิยม ไดแ้ ก่ วชิ าศลิ ปศึกษา เปน็ ตน้

ข้อสงั เกตการพฒั นาหลกั สตู รตามแนวปรัชญาการศึกษาอตั ถิภาวนยิ ม มีดงั น้ี
1. เนน้ เอกตั บคุ คลเป็นสาคัญ คานึงถึงความแตกต่างส่วนบุคคลจึงทาใหแ้ นวคิดทีจ่ ะสง่ เสรมิ ให้
ผู้เรียนมีความร้สู ึกว่าตนเองประสบความสาเรจ็
2. มุ่งส่งเสริมผู้เรียนใน 4 ประการคือ การพัฒนาตนเอง อิสรภาพ การเลือก และความ
รบั ผดิ ชอบ
อย่างไรก็ตาม การพัฒนาหลกั สูตรตามแนวปรัชญาการศกึ ษาอัตถิภาวนยิ ม ยังพบว่ามีข้อด้อย
คือ ในสภาพที่สังคมรักเสรีภาพและความเป็นอิสระส่วนตัวของบุคคลเหนือส่ิงอ่ืน ทาให้สภาพการจัดการ
เรียนการสอนในห้องเรียนเงียบเหงา ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและระหว่างของผู้เรียนลดน้อยลง การ
แลกเปลี่ยนความคิดเห็น การร่วมมือกันทางความคิดของผู้เรียนเป็นไปได้ยาก หลักสูตรที่ยดึ แนวความคิด
ของปรชั ญาอตั ถิภาวนิยมเป็นลกั ษณะของหลักสูตรท่ผี ูเ้ รยี นขาดปฏสิ มั พันธ์กบั สังคม
6. ปรชั ญาวเิ คราะห์ (Philosophical Analysis)
ปรัชญาวิเคราะห์เป็นปรัชญาแนวใหม่ แนวคดิ และความเช่ือปรชั ญาวิเคราะห์ เม่ือนามาใช้กับ
การศึกษาจะนามาใช้ในลักษณะของการวิเคราะห์ความคิดรวบยอดทางการศึกษา ข้อความต่าง ๆ ทาง
การศึกษา เช่น ความพยายามจะอธิบายว่าการสอนคืออะไร การสอนกับการเรียนต่างกันอย่างไร ซ่ึงการ
นาไปใชใ้ นการศกึ ษา สงดั อทุ รานนั ท์ (2532: 68) ได้อธบิ ายไวด้ ังภาพท่ี 2.1

43

กข

คง



ภาพที่ 2.1 การวิเคราะห์ความคิดรวบยอดทางการศกึ ษาตามแนวปรัชญาวเิ คราะห์
สงัด อทุ รานันท์ (2532: 68)

ก หมายถงึ กฎเกณฑ์พนื้ ฐานคา่ นิยมหรอื จุดหมายปลายทาง
ข หมายถึง ข้อเทจ็ จริงต่าง ๆ ทมี่ าจากการสังเกตหรือทฤษฎีและแนวคิดตา่ ง ๆ
ค หมายถึง สิง่ ท่กี ารศกึ ษาจะต้องทา
ง หมายถึง ข้อเทจ็ จริงตา่ ง ๆ ที่ได้จากการสังเกตและประสบการณ์
จ หมายถึง วธิ กี ารเรียนการสอนและการบริการ
ตัวอยา่ งเชน่ เรายอมรับกฎเกณฑ์ (ก) ตามความคิดของอรสิ โตเตลิ วา่ ชวี ิตท่ดี เี ป็นชวี ิตทม่ี ีความสุข
และอริสโตเติลได้เสนอแนวคิดซ่ึงเป็นข้อเท็จจริง (ข) ว่าถ้าจะให้คนมีชีวิตท่ีดีแล้วจาเป็นต้องให้เขาได้มี
ความรู้ความช่วยเหลือใช้จากการศึกษาวิชาคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ และปรัชญา ดังน้ันเราก็จะได้ข้อสรุปว่า
(ค) โรงเรียนผู้สอนให้การศึกษาแก่ผู้เรียนในวิชาคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ และปรัชญา ต่อจากนั้นในข้ันตอน
ต่อไปเราก็พิจารณา (ง) ว่าในสภาพความเป็นจริงแล้ว การให้ความรู้เกี่ยวกับคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ และ
ปรชั ญา ควรจะดาเนินการอยา่ งไร ในที่สุดเรากจ็ ะได้แนวทางในการจดั การเรียนการสอน (จ) ตามต้องการ
กล่าวได้โดยสรุปว่า การที่เราจะพจิ ารณาว่าการศกึ ษาควรจัดข้ึนเพ่ือสิ่งใดและจะมวี ิธีจัดการศึกษา
ไดอ้ ย่างไรนน้ั จาเป็นจะต้องวเิ คราะหก์ ฎเกณฑ์ และข้อเทจ็ จรงิ ต่าง ๆ อย่างเป็นระบบและข้นั ตอน
ปรัชญาวิเคราะห์เป็นการวิเคราะห์ถึงแนวความคิดทางปรัชญาท่ีมีอยู่แล้ว เพ่ือหาเหตุผลสาหรับ
สนับสนุน แนวความคดิ ที่เพงิ่ เกิดใหม่ เนื่องจากปรัชญาสาขานี้เป็นแนวคิดใหม่ ดังนั้นความเข้าใจเกย่ี วกับ
แนวคดิ นี้จึงยงั ไม่แพร่หลายนกั
จากแนวปรัชญาสากลและแนวปรัชญาการศึกษาท่ีได้นาเสนอในเบ้ืองต้นผู้เขียนสามารถสรุปเป็น
ตารางแสดงการเปรียบเทยี บดงั ต่อไปนี้ (แฝงกมล เพชรเกลย้ี ง, 2559)

44

ตารางที่ 2.1 การเปรยี บเทียบปรชั ญาสากลและปรชั ญาการศึกษา

สมัย ปรัชญาทั่วไป ปรชั ญาการศกึ ษา

สมยั เก่า จิตนิยม (Idealism) สารตั ถนิยม (Essentialism)
สจั นยิ ม (Realism) นิรนั ตรนิยม (Perenialism)
เทวนยิ ม (Neo-Thomism)

สมัย ปฏบิ ตั กิ ารนิยม พิพฒั นาการนยิ ม (Progressivism)
ปจั จุบนั (Pragmaticism or Experimentalism)

ปฏิรูปนิยม (Reconstructionism)

แนวคดิ อัตถิภาวนยิ ม (Existentialism) อตั ถิภาวนิยม หรือสวภาพนิยม
ใหม่ ปรัชญาวเิ คราะห์ (Philosophical (Existentialism)

Analysis) ปรชั ญาวเิ คราะห์ (Philosophical Analysis)

กล่าวได้โดยสรุปว่า ปรัชญาการศึกษาเป็นปัจจัยพื้นฐานท่ีสาคัญในการพัฒนาหลักสูตร แต่ถึง

อย่างไรก็ตามในการนาแนวคิดของปรัชญาการศึกษาลัทธิต่าง ๆ มาใช้ในการกาหนดองค์ประกอบของ

หลักสูตรน้ัน ย่อมท่ีจะส่งผลแตกต่างกันออกไป ไม่ว่าจะเป็นจุดมุ่งหมาย เน้ือหาสาระ กิจกรรมการเรียน

การสอน และการประเมินผลหลักสูตร ทั้งน้ีอาจเป็นการยากทีจ่ ะนาหลักการแนวคิดของปรัชญาการศกึ ษา

เพียงปรัชญาเดียวมาใช้ในการพัฒนาหลักสูตร ในทางปฏิบัติจริงนั้นมักดาเนินการในลักษณะผสมผสาน

ปรชั ญาการศกึ ษา

2. พนื้ ฐานด้านจิตวิทยา
จิตวิทยามีส่วนสาคัญต่อการสร้างหรือพัฒนาหลักสูตร โดยเฉพาะจิตวิทยาพัฒนาการและ

จติ วิทยาการเรยี นรู้
พ้ืนฐานเก่ยี วกับจติ วิทยาพฒั นาการ
พัฒนาการเป็นกระบวนการเปล่ียนแปลงท่ีเป็นระบบระเบียบ ทั้งในด้านรูปร่าง ขนาด และ

โครงสรา้ งตลอดจนคณุ ภาพ และประสทิ ธิภาพในการทางานของรา่ งกาย การเปลี่ยนแปลงซึ่งได้รบั อิทธิพล
จากวุฒภิ าวะการเรยี นรู้ และสิ่งแวดล้อมนี้ เกิดขึ้นร่วมกันระหว่างร่างกายและจิตใจ นอกจากหลักสูตรจะ
มีส่วนขององค์ความรู้ที่เก่ียวข้องกับพัฒนาการของมนุษย์ซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียนมีความเข้าใจตนเอง เข้าใจ
ธรรมชาติของมนุษย์แล้ว องค์ความรู้เหล่าน้ียังมีประโยชน์ในแง่ที่สามารถนาไปใช้กับผู้เรียนหรือศึกษา
ผู้เรียน เพ่ือปรับปรุงการจัดการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับธรรมชาติ และความต้องการของผู้เรียน ซ่ึงแฮส
(Hass, 1977: 89) ได้ให้ความเห็นว่า การพัฒนาหลักสูตรควรนาพ้ืนฐานทางพัฒนาการ 5 ด้านมาใช้ คือ

45

1) พื้นฐานทางชีววิทยาของความแตกต่างระหว่างบุคคล 2) วุฒิภาวะทางกาย 3) พัฒนาการและ
สัมฤทธิผลทางสติปัญญา 4) พฒั นาการทางด้านอารมณ์ และ 5 พฒั นาการทางสงั คมและวัฒนธรรม

ในท่ีนี้จะขอกลา่ วถงึ จติ วทิ ยาพฒั นาการของมนุษย์ จิตวิทยาการเรยี นรู้
พัฒนาการของมนุษย์
พัฒนาการของมนุษย์เป็นการทางานประสานกันระหว่างองค์ประกอบท่ีสาคัญ 2 อย่าง คือ
วฒุ ิภาวะ และการเรียนรู้
1. วุฒิภาวะ (Maturity) หมายถึง กระบวนของความเจริญเติบโตสูงสุดของอินทรีย์ในร่างกายท่ี
ทาให้เกิดความพร้อมที่จะทากิจกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งในขณะน้ัน โดยไม่ต้องอาศัยการฝึกฝนหรือเรียนรู้
ใด ๆ หรือเป็นไปโดยธรรมชาติ
วุฒิภาวะประกอบด้วย วุฒิภาวะทางด้านร่างกาย และวุฒิภาวะทางด้านจิตใจ ตามปกติ
กระบวนการพัฒนาของมนุษย์จะดาเนินควบคู่กันไปท้ังร่างกายและจิตใจ วุฒิภาวะทางร่างกายเจริญเต็มที่
เมอื่ เขา้ สูว่ ยั ผู้ใหญ่ตอนตน้
2. การเรียนรู้ (Learning) การเรียนรู้เปน็ การเปล่ียนแปลงพฤตกิ รรมอนั เป็นผลมาจากประสบการณก์ าร
เรียนรู้อาจเกิดข้ึนด้วยการจงใจ หรืออาจเกิดขึ้นโดยไม่ตั้งใจก็ได้ เช่น การคิดคานวณเป็นการเรียนรู้แบบจงใจ
และการเล่นฟุตบอลทาให้เรียนรู้กระบวนการทางานร่วมกนั หรือทาใหเ้ กิดเรียนรู้เร่ืองความสามัคคี ซ่ึงเป็นการ
เรยี นรู้แบบไม่ไดต้ ั้งใจ
เราสามารถแบ่งกระบวนการพัฒนาและการเจริญเติบโตของมนุษย์ตามลักษณะของ
การเปล่ียนแปลงทีเ่ ดน่ ชดั ออกเปน็ 6 ระยะด้วยกนั คือ 1) กระบวนการพัฒนาและการเจริญเตบิ โตภายใน
ครรภ์ 2) กระบวนการพฒั นาและการเจริญเตบิ โตของวยั ทารก 3) กระบวนการพัฒนาและการเจริญเตบิ โต
ของวัยเด็ก 4) กระบวนการพัฒนาและการเจริญเติบโตของวัยรุ่น 5) กระบวนการพัฒนาและการ
เจรญิ เตบิ โตของวยั ผใู้ หญ่ และ 6) กระบวนการพฒั นาและการเจรญิ เติบโตของวยั ชรา
ซึง่ ในบทนีจ้ ะกล่าวเฉพาะระยะท่ีมีความสาคัญที่นักพัฒนาหลักสูตรตอ้ งศึกษา เพ่ือเป็นข้อมูลการ
พฒั นาหลกั สูตร คือ กระบวนการพฒั นาและเจริญเติบโตของวัยเดก็ และวยั รุน่ เทา่ น้นั
กระบวนการพัฒนาของเด็กเป็นกระบวนการพัฒนาที่เป็นไปอย่างรวดเร็ว และมีพัฒนาการที่
แตกตา่ งกนั มาก จงึ ไดแ้ บ่งพฒั นาการในวยั เด็กออกเป็น 3 ระยะ คือ วัยเด็กตอนต้น วัยเด็กตอนกลาง และ
วัยรนุ่

1. วัยเด็กตอนต้น (2 – 5 ปี) ได้แก่ 1) เด็กเรียนรู้การสร้างมโนทัศน์อย่างง่ายเกี่ยวกับสังคมและ
ความเป็นจริงทางวัตถุ 2) เด็กเรียนรู้เสถียรภาพทางกาย 3) เด็กเรียนรู้ความแตกต่างระหว่างเพศและการ
สารวมทางเพศ 4) เด็กเรียนรู้การฝึกควบคุมและการขับถ่ายของเสีย 5) เด็กเรียนรู้การพูด 6) เด็กเรียนรู้

46

การรับประทานอาหาร 7) เด็กเรียนรู้การเดิน 8) เด็กเรียนรู้การฝึกปรับตัวทางอารมณ์ให้เข้ากับบิดา มารดา
พี่น้อง และบคุ คลอื่น และ 9) เดก็ เรียนร้กู ารจาแนกสง่ิ ท่ีถกู และสิ่งท่ีผดิ

2. วยั เด็กตอนกลาง (6 – 12 ปี) ไดแ้ ก่ 1) การฝึกทกั ษะทางกายที่จาเป็นต่อการเล่นเกมง่าย ๆ
2) การสร้างเจตคติท่ีดีต่อตนเองในฐานะอินทรีย์ท่ีกาลังพัฒนา 3) เรียนรู้การเข้ากับคนอื่นในระดับอายุ
เดียวกนั ได้ 4) เรียนรู้บทบาททางสังคมท่ีเหมาะสมของเพศชายและเพศหญิง 5) พัฒนาทักษะพ้ืนฐานการ
อ่าน การเขียน และการคานวณ 6) พัฒนามโนทัศน์ที่จาเป็นสาหรับการดารงชีวิตประจาวัน 7) พัฒนา
หริ ิโอตปั ปะ ศลี ธรรมและค่านยิ มต่าง ๆ 8) สร้างความสามารถในการพ่งึ พาตนเอง และ 9) พัฒนาเจตคติท่ี
มีต่อสถาบนั และกล่มุ ทางสังคม

3. วัยรุ่น (12 – 18 ปี) ได้แก่ 1) การสร้างความสัมพันธ์กับคนท่ีมีระดับอายุเดียวกันท้ังสองเพศ
เป็นความสัมพันธ์ในรูปใหม่ที่มีวฒุ ิภาวะสูงขึ้น 2) การสร้างความสามารถในการดาเนินบทบาททางสังคมของ
เพศชายหรือหญงิ 3) การยอมรับในร่างกายและการใช้ร่างกายอย่างมีประสิทธิภาพ 4) การสร้างอารมณท์ ่ีเป็น
อสิ ระของตนเอง 5) การสร้างหลักประกันในการพึ่งตนเองทางเศรษฐกิจ 6) การเลือกอาชีพและการเตรียมตัว
เพื่อประกอบอาชีพ 7) การเตรียมตัวเพ่อื แต่งงานและสาหรับชีวิตครอบครัว 8) การพัฒนาทักษะทางสติปัญญา
และมโนทัศน์ที่จาเป็นสาหรับประชากรท่ีมีความสามารถ 9) ความปรารถนาและสัมฤทธิผลของพฤติกรรมท่ี
รบั ผดิ ชอบต่อสงั คม และ 10) การมีค่านิยมและจรยิ ธรรมต่าง ๆ ท่ีใชเ้ ปน็ หลักในการประพฤตปิ ฏบิ ัติ

ความสาคัญของจิตวทิ ยาพัฒนาการตอ่ การพัฒนาหลกั สูตร
จากพัฒนาการทางด้านร่างกาย จิตใจ และสติปัญญาที่กล่าวมาแล้ว สามารถนามาพิจารณาใน
การจดั ทาหลกั สูตร ดังน้ี

1. การออกแบบ จัดทา และพัฒนาหลักสูตรควรกาหนดวิชาต่าง ๆ ไว้อย่างมีระเบียบและ
สอดคล้องกับพัฒนาการของผู้เรียนด้านวุฒิภาวะและความพร้อม รวมท้ังความยากง่ายของเน้ือหาวิชา
และนามาจัดลาดบั รายวชิ าท่เี รยี นก่อนหลังอยา่ งเหมาะสม

2. การออกแบบ จัดทาและพฒั นาหลักสตู รตอ้ งคานงึ ถึงความแตกต่างระหวา่ งบุคคล
3. การออกแบบ จัดทาและพฒั นาหลกั สูตร ควรคานึงถงึ ผลประโยชน์ท่จี ะเกดิ แกผ่ ้เู รยี น
4. การออกแบบ จัดทาและพัฒนาหลักสูตร ควรคานึงถึงอัตราความเร็วของการเจริญเติบโต
และพัฒนาการในวัยตา่ ง ๆ ของผูเ้ รียน
5. การออกแบบ จัดทาและพัฒนาหลักสูตร ควรคานึงถึงความจริงท่ีว่าในแต่ละวัยพัฒนาการ
ยอ่ มแสดงออกเดน่ ชดั แตกต่างกันไป
6. การออกแบบ จัดทาและพัฒนาหลักสตู ร ควรคานงึ ถึงความแตกต่างทางเพศ
7. การออกแบบ จัดทาและพัฒนาหลกั สูตร ควรคานงึ ถงึ การปรุงแตง่ บคุ ลกิ ภาพ

47

8. การออกแบบ จัดทาและพัฒนาหลักสูตร ควรมุ่งส่งเสริมพัฒนาการปัจจุบันให้เป็นรากฐาน
ของการพัฒนาในอนาคต

9. การออกแบบ จัดทาและพัฒนาหลักสูตร ควรเริ่มต้นจากสิ่งท่ัวไปก่อนเข้าสู่สิ่งท่ี
เฉพาะเจาะจง

พน้ื ฐานเก่ยี วกับจติ วิทยาการเรยี นรู้
การพัฒนาหลักสูตรน้ัน นักพัฒนาหลักสูตรต้องมีความรู้ความเข้าใจในเร่ืองของการเรียนรู้ของ
มนุษย์ว่า มนุษย์เรียนรู้ได้อย่างไรในสถานการณ์ใด หรือมีอะไรเป็นอุปสรรคในการเรียนรู้บ้าง ธรรมชาติ
ของกระบวนการเรยี นรู้มอี ทิ ธิพลต่อหลกั สตู รในหลายลกั ษณะและในการพฒั นาหลักสตู ร จาเป็นต้องอาศัย
ทฤษฎีการเรียนรู้เป็นอย่างมาก จึงเป็นหน้าที่ของนักพัฒนาหลักสูตรที่ต้องศึกษาทฤษฎีการเรียนรู้ต่าง ๆ
ให้ถ่องแท้ ทั้งน้ีโดยพิจารณาว่าในการเรียนเด็กเรียนสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างไร มีองค์ประกอบอะไรบ้างที่บั่น
ทอนหรือส่งเสริมประสิทธภิ าพในการเรยี นของเดก็ เพื่อท่ีจะไดพ้ จิ ารณาทฤษฎีท่ีเหมาะสมท่ีสดุ มาใชใ้ นการ
พัฒนาหลกั สูตรใหม้ ีประสทิ ธิภาพ

1. ความหมายของการเรียนรู้
การเรียนรู้เกิดขึ้นได้ทกุ หนทุกแห่งในชีวิตประจาวัน ไม่จากัดว่าจะเกิดจากการลองผิดลอง

ถูก การวางเง่ือนไข หรือการเรียนแบบก็ตาม ถือได้ว่าทาให้เกิดการเรียนรู้ได้ท้ังส้ิน การเรียนรู้คือ การท่ี
บุคคลสามารถเปลี่ยนแปลงน้ัน สามารถเกิดข้ึนได้ท้ังพฤติกรรมภายนอกและพฤติกรรมภายใน และการ
เปล่ียนแปลงไดท้ งั้ ด้านความรู้ อารมณ์ และทักษะ

2. ทฤษฎกี ารเรียนรู้ (Theories of Learning)
นักจิตวิทยาหลายคนได้ทาการศึกษาเก่ียวกับการเรียนรู้ของมนุษย์และสัตว์ ทาให้เกิดทฤษฎี

การเรียนรู้หลายทฤษฎี บุคคลเหล่านั้น ได้แก่ ธอร์นไดค์ พาฟลอฟ กัทรี สกินเนอร์ เพียเจต์ ฯลฯ นักจิตวิทยา
เหลา่ น้ีไดศ้ ึกษาเก่ียวกบั การเรียนร้ทู ี่แตกต่างกนั ออกไป จึงสามารถจดั กลมุ่ ของผทู้ ีศ่ ึกษาเก่ียวกบั การเรยี นรู้ได้เป็น
2 กลุ่ม คือ จิตวิทยาการเรียนรู้กลุ่มพฤติกรรมนิยม (Behaviorism Theories) และจิตวิทยาการเรียนรู้กลุ่มพุทธิ
นยิ ม (Cognitive Theories)

2.1 จติ วทิ ยาการเรยี นร้กู ลุ่มพฤตกิ รรมนิยม
จิตวิทยาการเรียนรู้ในกลุ่มน้ีรู้จักกันท่ัวไปในทฤษฎี S - R ซึ่งมีแนวคิดว่าการเรียนรู้

เกิดข้ึนจากพฤติกรรมท่ีเป็นการตอบสนองสิ่งเร้า นักจิตวิทยาพฤติกรรมนิยมท่ีมีชื่อเสียงในกลุ่มน้ี ได้แก่
เอ็ดวาร์ด ลี ธอร์นไดค์ อิวาน พาฟลอฟ และบี เอฟ สกินเนอร์ ฯลฯ ซง่ึ มีความเชือ่ วา่ ศาสตร์แห่งจิตวิทยา
จะต้องยึดการศึกษาเฉพาะ สิ่งท่ีสังเกตได้จากภายนอก เช่น การเคล่ือนไหวของกล้ามเนื้อ สิ่งเร้าทาง

48

กายภาพ และโดยส่วนใหญ่นักจิตวิทยากลุ่มพฤติกรรมนิยมจะทาการศึกษาทดลองกับสัตว์และเด็กทารก
เพราะถอื วา่ เปน็ นกั ชีววิทยาผ้ซู ่ึงมคี วามสนใจเกีย่ วกับกิจกรรมของอินทรยี ภ์ ายใต้สภาพการณ์ต่าง ๆ

2.1.1 ทฤษฎีการเรียนรู้ของธอร์นไดค์หรือทฤษฎีการเช่ือมโยงของธอร์นไดค์ (Thorndike's
Connected Theory)

เอ็ดวาร์ด ลี ธอร์นไดค์ (Edward Lee Thorndike) ธอร์นไดค์ถือว่าการเรียนรู้ การแก้ปัญหา
การศึกษาถึงการเรียนรู้น้ันผู้เรียนตอ้ งมีปัญหาก่อน ธอร์นไดค์ได้พูดถึงทฤษฎีการเรียนรู้วา่ การเรียนรู้เป็น
การเกิดความสัมพันธ์เชื่อมโยง (Connection) ระหว่างส่ิงเร้า (Stimulus) กับปฏิกิริยาตอบสนอง
(Response) ทฤษฎีของธอร์นไดค์ คือ การลองผิดลองถูก (Trial and Error) เขาสรุปว่า การกระทาผดิ ลอง
ถกู สามารถนาไปสู่การเชือ่ มโยงระหว่างส่ิงเร้ากับการตอบสนอง เช่น การทดลองแก้ปัญหา จะใช้หลาย ๆ วิธี
แต่ละวธิ กี ็ตอบสนองตา่ ง ๆ กัน และก็จะมวี ธิ ีท่ีตอบสนองทดี่ แี ละน่าพอใจทส่ี ุด

ธอร์นไดค์ได้สรุปเป็นกฎเก่ียวกับการเรียนรู้ 3 ข้อ (Hergenhahn and Olson, 1993: 56 – 57,
อ้างถึงในทิศนา แขมมณ,ี 2550: 51 – 52) สามารถนาไปใช้ในการเรียน การสอนได้ คอื

1. กฎแห่งความพร้อม (Law of Readiness) กฎน้ีกล่าวถึงสภาพการเรียนรู้จะเกิดข้ึนได้ต้องมี
ความพร้อมทุกด้าน ทุกองค์ประกอบ ไม่ว่าจะเป็นด้านผู้สอน คือ มีความพร้อมด้านการเตรียมเนื้อหาสาระ
ที่จะถ่ายทอด เตรียมส่ือการสอนที่มีประสิทธิภาพ ด้านผู้เรียนก็ต้องมีความพร้อมในเรื่องความสนใจที่จะรับรู้
เนอื้ หาในแต่ละหน่วยการสอน มคี วามพร้อมด้านสตปิ ญั ญาอารมณ์ สงั คม และภาวะทางรา่ งกาย

2. กฎแห่งผล (Law of Effect) การเรียนรู้จะเกิดข้ึนได้ดี หากผู้เรียนรู้ผลการกระทา ผลจากการ
กระทาจะเป็นเหตุท้าทายความสามารถกระทาอีก หรือเม่ือแสดงพฤติกรรม การเรียนรู้แล้วถ้าได้รับผลที่
พึงพอใจผเู้ รียนยอ่ มตอ้ งการจะเรยี นรู้ต่อไปอีก

3. กฎแห่งการฝึกหัด (Law of Exercise) ส่ิงใดก็ตามหากได้มีการกระทาบ่อย ๆ ก็จะเกิดความ
ชานาญเกิดทักษะ หรอื เรยี กว่า กฎแห่งการใช้ (Law of Uses) เมอื่ นาส่ิงท่เี รยี นรู้ไปใชบ้ อ่ ย ๆ จะทาใหก้ าร
เรียนรู้นน้ั คงทนถาวร และสิ่งใดก็ตามหากท้ิงไว้นาน ๆ ย่อมทาได้ไม่ดีเหมือนเดมิ หรือในที่สุดก็เกดิ การลืม
จนไม่ได้เรียนรู้อกี เลยหรอื เรยี กวา่ กฎแห่งการไม่ใช้ (Law of Disuses)

2.1.2 ทฤษฎีการเรียนรขู้ องพาฟลอฟ (Classical Conditioning Theory)
พาฟลอฟ (Pavlov. Ivan, 1849-1936) นักสรีรวิทยาชาวรัสเซีย ได้ศึกษาการเรียนรู้โดยกาหนด
เง่ือนไข (Conditioning) คือการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งเร้ากับการตอบสนองท่ีต้องวางเง่ือนไข
พาฟลอฟ เรียกวา่ ทฤษฎเี ง่ือนไขแบบคลาสสิค (Classical Conditioning) พาฟลอฟ สรปุ เป็นหลกั ทฤษฎี
4 ประการ คอื

49

1. กฎการลดพฤติกรรม หมายถึง การตอบสนองจะลดน้อยลงเร่ือย ๆ ถ้าให้ร่างกายได้รับส่ิงเร้าท่ี
วางเง่ือนไขอย่างเดียวหรือความสัมพนั ธ์ระหว่างสิง่ เร้าที่วางเงื่อนไขกับสิ่งเรา้ ที่ไมว่ างเงื่อนไขห่างกันออกไป
มากขึ้น การลบพฤติกรรมมิใช่การลืม แต่เป็นเพียงการลดลงเร่ือย ๆ เช่น การให้แต่เสียงกระด่ิงโดยไม่ให้
ผงเน้ือตามมาจะทาให้ปฏกิ ิรยิ าน้าลายไหลลดลงเร่อื ย ๆ

2. กฎแห่งการคนื กลับ หมายถึง การตอบสนองที่เกิดจากการวางเงอื่ นไขที่ลดลงเพราะไดร้ ับแตส่ ่ิง
เร้าท่ีวางเง่ือนไขเพียงอย่างเดียว จะกลับปรากฏข้ึนอีกและเพ่ิมมากขึ้น ๆ ถ้าร่างกายมีการเรียนรู้อย่าง
แท้จริงโดย ไม่ต้องมีส่ิงเร้าท่ีวางเง่ือนไขมาเข้าช่วย เช่น การท่ีสุนัขน้าลายไหลอีกเม่ือได้ยินเสียงกระด่ิง
อย่างเดียวโดยไม่ต้องมผี งเน้อื เข้ามาค่กู ับเสยี งกระดิ่ง

3. กฎความคลา้ ยคลึงกัน หมายถึง ถ้าร่างกายมีการเรยี นรู้โดยแสดงอาการตอบสนองจากการวาง
เง่ือนไขต่อส่งิ เร้าท่ีวางเง่ือนไขหนึ่งแล้ว ถ้ามสี ่ิงเร้าอื่นทม่ี ีคุณสมบัติคล้ายคลึงกันกับส่ิงเร้าท่วี างเงื่อนไขเดิม
ร่างกายจะตอบสนองต่อส่ิงเร้าท่ีวางเง่ือนไขน้ัน เช่น ถ้าสุนัขมีอาการน้าลายไหลจากการส่ันกระด่ิงแล้ว
เมอื่ ได้ยินเสยี งระฆงั หรือเสียงทีใ่ กลเ้ คยี งกนั กจ็ ะมอี าการนา้ ลายไหล

4. กฎการจาแนก หมายถึง ถ้าร่างกายมีการเรียนรู้ด้วยการแสดงอาการตอบสนองจากการวาง
เงอ่ื นไขตอ่ สงิ่ เรา้ ท่วี างเงอ่ื นไขเดมิ รา่ งกายจะตอบสนองแตกต่างไปจากส่งิ เรา้ ท่วี างเงอ่ื นไขนัน้ เช่น ถา้ สุนัข
มีอาการน้าลายไหลจากการส่ันกระด่ิงแล้วเม่ือได้ยินเสียงการเคาะไม้จะรู้สึกถึงความแตกต่างและจะไม่มี
อาการน้าลายไหล

ในการพัฒนาหลักสูตรสามารถประยุกต์หลักการวางเงื่อนไขไปใช้ในการเรียนการสอน สุนีย์ ภู่พันธ์
(2546: 106 - 107) ได้กลา่ วไว้ ดงั นี้

1. ในแง่ของความแตกต่างระหว่างบุคคล การสอนจะต้องคานึงถึงสภาพทางร่างกายและอารมณ์
ของผู้เรยี นแตล่ ะคนวา่ ใครเหมาะทจี่ ะสอนเนื้อหาอะไร หรือใหเ้ กดิ การตอบสนองอยา่ งไร

2. การวางเง่ือนไข การวางเง่ือนไขเป็นเร่ืองท่ีเกี่ยวกับพฤติกรรมทางอารมณ์ ซ่ึงผู้สอนสามารถทาให้
ผ้เู รยี นร้สู ึกชอบ หรอื ไมช่ อบเนื้อหาที่เรียนหรือส่ิงแวดล้อมในการเรียนหรือแม้แตต่ ัวผสู้ อนได้

3. การลบพฤติกรรมที่วางเงื่อนไข นอกจากผู้สอนเป็นผู้วางเงื่อนไขให้เด็กสนใจในการเรียนแล้ว
ผู้สอนยังนาความรู้เกี่ยวกับการลดพฤติกรรมไปลดพฤติกรรมที่ไม่ต้องการให้เกิดข้ึนในตัวเด็กไปใช้ในกา ร
จดั การเรียนการสอนได้

4. การสรุปความเหมือนและความแตกต่าง ในการจัดการเรียนการสอนผู้สอนควรส่งเสริมให้
ผู้เรียนมีโอกาสพบส่ิงเร้าใหม่ ๆ เพ่ือจะได้ใช้ความรู้และกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ให้กว้างขวางขึ้น โดยส่งเสริมให้
ผู้เรยี นสรปุ ความเหมือนในทางบวก

50

2.1.3 ทฤษฎีการเรียนรู้ของสกินเนอร์ทฤษฎีการวางเงื่อนไขด้วยการกระทา (Operant
Conditioning Theory)

สกินเนอร์ (B.F.Skinner) เชื่อว่า หลักการเรียนรู้เกิดจากความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมกับ
ส่ิงแวดล้อมเป็นสิ่งท่ีก่อให้เกิดพฤติกรรม และผลของการกระทาของพฤติกรรมนั้นมีอิทธิพลต่อพฤติกรรม
นน้ั ทฤษฎีน้เี นน้ การกระทามากกว่าส่งิ เร้าทผ่ี ู้สอนกาหนดข้ึน จึงสรุปเปน็ กฎการเรียนร้วู า่ กฎการเสรมิ แรง
ซึ่งแบง่ ออกเป็น 2 วิธี คอื

1. การเสริมแรงทันที หรือการเสริมแรงแบบต่อเน่ือง ( Immediately or Continuous
Reinforcement) หมายถึง การเสริมแรงทุกครั้งเมื่อผู้เรียนแสดงพฤติกรรมการเรียนรู้เป็นการเสริมแรง
โดยใช้ความสมา่ เสมอ

2. การเสรมิ แรงเป็นคร้ังคราว (Partially Reinforcement) หมายถึง การเสริมแรงท่ีไม่สม่าเสมอ
คือ มีการเสริมแรงบ้างในบางครงั้ หรือบางครั้งก็งดการเสริมแรงบ้างสลับกันไป การเสริมแรงแบบเป็นครั้ง
เปน็ คราว แบ่งออกเป็น 4 ลักษณะ คอื 2.1) การเสรมิ แรงโดยใช้กาหนดเวลาแบบแนน่ อน เช่น ทุก 2 นาที
ทุก 5 นาที เป็นต้น 2.2) การเสริมแรงโดยใช้พฤติกรรมกาหนดแบบแน่นอน เช่น แสดงพฤติกรรมตามท่ี
กาหนดไว้ 5 คร้ังจะได้รับการเสริมแรง 1 คร้ัง 2.3) การเสริมแรงโดยการใช้ช่วงเวลาเป็นเกณฑ์ เช่น ถ้า
แสดงพฤติกรรมได้ ภายใน 5 นาที จะได้รับการเสริมแรง 1 ครั้ง และ 2.4) การเสริมแรงโดยใช้ช่วงของ
พฤตกิ รรมเป็นเกณฑ์ เชน่ แสดงพฤตกิ รรมในช่วง 3 ถึง 5 คร้งั จะไดร้ บั แรงเสรมิ 1 ครง้ั

กล่าวได้โดยสรุปว่า ระยะแรกของการฝึกนั้นต้องให้รางวัลตอบสนองทุกครั้งการเรียนรู้จะเร็วข้ึน
และดาเนินไปอย่างได้ผลเป็นท่ีน่าพอใจแต่เมื่อเกิดการเรียนรู้แล้ว ควรจะเป็นการเสริมแรงแบบแน่นอน
และใช้การเสริมแรงแบบเป็นระยะ ท้ังนี้เพื่อเป็นการช่วยผู้เรียนให้สามารถปรับตัวเข้ากับสภาพความเป็น
จริงของเหตกุ ารณ์มชี ีวติ เพ่ือการตอบสนองของบคุ คลไมจ่ าเป็นต้องได้รบั การเสริมแรงทุกคร้งั

แนวคิดสาคัญอีกอย่างหน่ึงที่ได้จากทฤษฎีของสกินเนอร์ คือ การตั้งจุดมุ่งหมายเชงิ พฤติกรรม ถ้า
ผ้สู อนไม่สามารถต้ังจุดมุ่งหมายเชงิ พฤตกิ รรมได้ ผ้สู อนก็ไม่อาจบอกได้วา่ ผู้เรียนประสบผลสาเร็จในส่ิงที่มุ่ง
หมายหรือไม่ และผู้สอนไม่อาจเสริมแรงได้อยา่ งเหมาะสม เพราะไม่ทราบว่าจะให้แรงเสริมหลงั จากผู้เรยี น
มีพฤติกรรมใดในช้ันเรียน แรงเสริมเป็นส่ิงท่ีสาคัญมาก โดยเฉพาะการเสริมแรงในข้ันทุติยภูมิ ซึ่งได้แก่
การแสดงสีหน้า การชมเชย คะแนน ความรู้สึกท่ีได้รับความสาเร็จและโอกาสท่ีได้ทาในส่ิงท่ีต้องการ ใน
การเรียนการสอนผู้สอนจะตอ้ งเสริมแรงเหลา่ นอ้ี ย่างเหมาะสม

51

2.2 จติ วิทยาการเรียนรกู้ ลุม่ พทุ ธนิ ิยม
นักจิตวิทยากลุ่มพุทธินิยมเป็นกลุ่มท่ีอาศัยการใช้เหตุผล เป็นเคร่ืองมือในการอธิบายปรากฏการณ์
ทางจิตวิทยา และการเรียนรู้ท่ีเกิดขึ้นกับจิตวิทยากลุ่มดังกล่าว ได้แก่ จิตวิทยากลุ่มเกสตอลท์ และ
นักจิตวิทยารุ่นใหม่เช่น เพียเจต์ บรูเนอร์ และกาเย่ เป็นต้น ข้อตกลงเบื้องต้นของทฤษฎีนี้ คือ พฤติกรรม
ของบุคคลจะข้ึนอยู่กับการรู้ - การคิด เก่ียวกับสถานการณ์ที่พฤติกรรมบังเกิดข้ึน ทฤษฎีกลุ่มนี้จะเน้น
ความหมายท่ีมีต่อตนเองของบุคคล การอ้างสรปุ หลกั การและการเรียนด้วยการค้นพบเอง
2.2.1 ทฤษฎขี องกล่มุ เกสตอลท์ (Gestalt's Theory)
นักจิตวิทยากลุ่มนี้มีหลักการและแนวคิดแตกต่างไปจากกลุ่มพฤติกรรมนิยม การคิดและ
กระบวนการแก้ปัญหา การเรยี นรูใ้ นทศั นะของกลุ่มเกสตอลทเ์ กิดจากความคิดในลักษณะของการหยั่งเห็น
(Insight) มิใช่เกิดจากการลองผิดลองถูก หรือการตอบสนองสิ่งเร้าง่าย ๆ ที่สังเกตได้ กลุ่มเกสตอลท์
อธิบายว่าการเรียนรู้ คือ “การหยั่งเห็น”และได้ให้คาจากัดความของการหยั่งเห็นว่า เป็นความรู้สึกใน
ความสัมพันธ์เป็นวิธีการอันมีเหตผุ ลท่ีจะแก้สถานการณ์ท่ีเป็นปัญหา เป็นการแปลความหมายของสิ่งท่ีเขา
ได้รับเข้ามา เพื่อจะได้ใช้เป็นรากฐานในการปฏิบัติการต่าง ๆ การหย่ังเห็นเป็นของผู้เรียนเอง ผู้สอนไม่
สามารถจะถ่ายทอดการหยั่งเห็นให้แก่ผู้เรียนได้ แต่ผู้เรียนจะต้องพัฒนาขึ้นมาเองจากง่ายถึงยากข้ึนไป
เร่อื ย ๆ และสมบูรณ์มากย่งิ ข้ึน โดยมีหลกั การดงั น้ี
1. วธิ กี ารแก้ปญั หาโดยการหย่ังเหน็ จะเกิดขนึ้ ทนั ทที ันใด เป็นความกระจ่างแจง้ ในใจ
2. การเรียนรู้การหยั่งเห็น คือ การท่ีผู้เรียนมองเห็น รับรู้ความสัมพันธ์ของเหตุการณ์ ไม่ใช่เป็น
การตอบสนองของสิง่ เร้าเพียงอย่างเดียว
3. ความรู้เร่ืองความผู้เรียน หรือประสบการณ์ของผู้เรียนล้วนมีส่วนที่จะช่วยให้ผู้เรียนเกิดการ
หยั่งเห็นเหตกุ ารณ์ทเ่ี ป็นปัญหา และชว่ ยใหก้ ารหยั่งเห็นเกิดขน้ึ ไดร้ วดเร็ว
(1) กฎการเรยี นรู้
หลักการเรียนรู้ของทฤษฎี กลุ่มเกสตอลท์เน้นการเรียนรู้ท่ีส่วนรวมมากกว่าส่วนย่อย ซึ่งจะเกิด
จากประสบการณ์ และการเรียนรู้ใน 2 ลักษณะตามท่ี บิกก์ (Bigge, 1982: 190-202) ไดแ้ บง่ ไว้ คอื
(1.1) การรับรู้ (Perception) เป็นการแปลความหมายจากการสัมผัสด้วยอวัยวะสัมผัสทั้ง 5 ส่วน
คือ หู ตา จมูก ล้ิน และผิวหนัง การรับรู้ทางสายตาจะประมาณร้อยละ 75 ของการรับรู้ท้ังหมด ดังน้ันกลุ่ม
เกสตอลท์จึงจัดระเบียบการรับรู้โดยแบ่งเป็น 4 กฎ เรียกว่ากฎแห่งการจัดระเบียบ (The Law of
Organization) คือ 1) กฎแห่งความคล้ายคลึง (Law of Similarity) 2) กฎแห่งความใกล้เคียง (Law of
Proximity) 3) กฎแห่งความต่อเนื่อง (Law of Continuity) และ 4) กฎแห่งความสมบูรณ์ (Law of
Closure)

52

(1.2) การหยั่งเห็น (Insight) หมายถึง การเกิดความคิดแวบขึ้นมาทันทีทันใดในขณะที่มีปัญหา
โดยการมองเห็นแนวทางในการแก้ปัญหาต้ังแต่เร่ิมแรกเป็นขั้นตอนจนสามารถแก้ปัญหาได้ เป็นการ
มองเห็นสถานการณ์ในแนวทางใหม่ ๆ ขึ้น โดยเกิดจากความเข้าใจและความรู้สึกท่ีมีต่อสถานการณ์ว่าได้
ค้นพบแลว้ ผ้เู รียนจะมองเห็นชอ่ งทางการแกป้ ัญหาข้นึ ไดท้ นั ทีทนั ใด

2.2.2 การเรยี นรตู้ ามแนวคดิ ของเพยี เจต์
เพียเจต์ (Jean Piaget) มีแนวคิดท่ีอยู่บนรากฐานของท้ังองค์ประกอบท่ีเป็นพันธุกรรม และ
สิ่งแวดล้อมซ่ึงเป็นหลักท่ีเขาใช้ในการอธิบายพัฒนาการทางสติปัญญา อันเป็นทฤษฎีธรรมชาติระยะ
ขั้นตอนของการพัฒนาการแต่ละตอน มีความสัมพันธ์กับความเจริญเติบโตทางสติปัญญา ซึ่งกาหนดโดย
วุฒิภาวะทางพันธุกรรม มิใช่องค์ประกอบทางด้านสิ่งแวดล้อม และสามารถเป็นทฤษฎีการฝึกฝน เพราะ
ประสบการณ์ของเด็กที่ได้จากส่ิงแวดล้อมมีส่วนกาหนดอายุพัฒนาการของเด็กแต่ละคน เพียเจต์สรุปว่า
พัฒนาการของเด็กสามารถอธิบายได้โดยลาดับของระยะพัฒนาทางชีววิทยาที่คงที่ แสดงให้ปรากฏโดย
ปฏิสัมพันธ์ของเด็กกับสิ่งแวดล้อมพัฒนาการทางสติปัญญาแบ่งออกเป็น 4 ระยะ มีลักษณะดังนี้ (Lall
and Lall, 1983: 45 - 54)
1. ข้ันการรับรู้ทางประสาทและการเคล่ือนไหว (The Sensorimotor Period) (อายุแรกเกิด – 2 ปี)
เป็นระยะแรกของพัฒนาการ เด็กขาดความสามารถในกิจกรรมทางสัญลักษณ์ แต่เพียเจต์รู้สึกว่าในระยะ
สองปีแรกนี้ เด็กได้สร้างโครงสร้างใหญ่และโครงสร้างย่อยทางสติปัญญาแล้ว ซ่ึงจะทาหน้าที่เป็นตัวแยก
พฒั นาการทางการรบั รู้ และสตปิ ญั ญาในเวลาตอ่ มา เป็นระยะทเ่ี ด็กเปลี่ยนจากระยะช่วยเหลอื ตนเองไม่ได้
เลย มาเป็นระยะท่ีพอจะช่วยเหลือตัวเองได้บ้างในบางกิจกรรม ความเปล่ียนแปลงพ้ืนฐานในระยะนี้อาจ
ไดแ้ ก่ การรับรู้ตอ่ สง่ิ แวดลอ้ มของเขาเปลยี่ นไปในขณะที่เขาเริม่ เขา้ ใจและควบคุมมนั ได้
2. ขั้นก่อนการใช้ความคิด (The Preoperational Period) (อายุ 2 - 7 ปี) เป็นระยะท่ีเด็กเริ่มใช้
สัญลักษณ์และภาษาเป็นเคร่ืองมือแทนเหตุการณ์ และวัตถุจากสิ่งแวดล้อมแทนท่ีจะเป็นเพียงการ
ตอบสนองต่อสิ่งเร้าทางกายภาพในขณะน้ัน เด็กจะสรา้ งและใช้สัญลักษณ์แทนส่งิ ของและการกระทา และ
สามารถสร้างการกระทาขึ้นมาใหม่ หรอื เลียนแบบการกระทาทเ่ี กิดขึน้ มาแลว้ หลาย ๆ ชั่วโมงได้ ในขณะที่
แตก่ ่อนเด็กตอบสนองต่อสง่ิ แวดล้อมของเขาได้เฉพาะทเี่ กิดกับเขาโดยตรงและทันทีเทา่ นั้น แตใ่ นชว่ งนี้เขา
เริ่มพฒั นาความสามารถท่ีจะเก็บสิ่งต่าง ๆ ไว้ในสติปัญญาของเขา และเก็บไว้ใช้โอกาสต่อมา แต่อย่างไรก็
ตามเขายงั ไม่สามารถแก้ปัญหาต่าง ๆ อย่างผใู้ หญ่ได้ ในการกระทาบางอยา่ ง

53

3. ข้ันการใช้ความคิดทางรูปธรรม (The Concrete Operation Period) เด็กในระยะน้ีจะ
สามารถแยกแยะระหว่างขนั้ หรอื กล่มุ ของวตั ถุ เช่น ส่งิ มชี ีวติ ตรงข้ามกับสิ่งไม่มชี ีวิต นอกจากนีเ้ ด็กในระยะ
การใช้ความคิดทางรูปธรรม สามารถสัมพันธ์การนับด้วยวาจากับการนับจานวนสิ่งของได้ ในระยะนี้เขา
สามารถแก้ปัญหาง่าย ๆ โดยใช้เหตุผลมากกว่าการลองผิดลองถูก เขาสามารถเรียกปัจจุบันออกจากอดีต
ได้ และจดั เรยี งอนั ดับส่งิ ของจากส่ิงเล็กท่ีสดุ ไปส่สู งิ่ ใหญ่ทส่ี ดุ ได้

4. ข้ันการใช้ความคิดทางนามธรรม (The Formal Operation Period) เป็นระยะที่เด็กมีอายุ
ตั้งแต่ 11 หรอื 12 ปีขึน้ ไป เมอ่ื เดก็ ย่างเข้าในวัยน้ีเขาสามารถจดั การกับตวั แปรหลายตวั ในเวลาเดียวกันได้
และมคี วามเข้าใจความสมั พนั ธ์เชิงนามธรรม ในระยะนกี้ ารหาเหตุผลของเขามลี กั ษณะเหมือนของผู้ใหญ่

ระดบั ของพัฒนาแตกตา่ งกันไปตามบคุ คล การพัฒนาไปสู่ระยะการใชค้ วามคดิ ทางนามธรรม เป็น
ผลมาจากสิ่งท่ีเพียเจต์เรียกว่า “การถ่ายทอดทางสังคม” (Social Transmission) ซ่ึงหมายถึง
ประสบการณ์น่ันเอง เพ่ือเป็นสมมติฐานไว้ให้เลือก เขาแนะนาว่าแต่ละคนมีความแตกต่างกันในแง่ของ
ความถนัด และองค์ประกอบอันนี้รับผิดชอบต่อความแตกต่างที่เห็นได้ชัดในการพัฒนาประเภทของ
ลักษณะการคิดในระยะการใช้ความคดิ แบบนามธรรม

แนวคิดของเพียเจต์อาจนาไปใช้ในการประเมินศักยภาพทางสติปัญญา เพื่อจัดหลักสูตร การ
เรียนรู้ตามระดับสติปญั ญาของผู้เรียน และการเรียนรู้จะข้ึนอยู่กับพัฒนาการทางสติปัญญาของ แต่ละคน
น่ันคือการเน้นการเรียนรู้ท่ีผู้เรียนจะเรียนรู้ด้วยตนเองมากท่ีสุด ผู้สอนเป็นเพียงผู้ร่วมมือในกระบวนการ
เรียนรู้ และเป็นผู้เตรียมเน้ือหาและประสบการณ์ท่ีจะให้เด็กได้ค้นพบความรู้ด้วยตนเองเท่าน้ัน และ
พฒั นาการทางด้านสติปัญญามีความสาคัญในเรื่องการวดั ผล เช่น เด็กที่พัฒนาในข้ันประสาทรับรู้และการ
เคลื่อนไหวก็ควรวัดผลจากการกระทาหรือกิจกรรมทางกลไกหรือการวัดผลเด็กในข้ันปฏิบัติการคิดด้วย
นามธรรมก็ต้องวัดด้วยการใช้เหตุผลท่ีลึกซึ้ง นอกจากนี้ความเช่ือและความคิดของเพียเจต์เก่ียวกับ
พัฒนาการทางสติปัญญาของเด็ก จะช่วยนักพัฒนาหลักสูตรได้เป็นอย่างมากในการกาหนดเน้ือหา และ
กิจกรรมใหเ้ หมาะกบั ผเู้ รยี นในแต่ละวัย

2.2.3 การเรียนรูต้ ามแนวคิดของบรเู นอร์
เจอโรม เอส บรูเนอร์ (Jerome S. Bruner) อธิบายลักษณะพัฒนาการทางสติปัญญาและการคิดของ
มนษุ ยอ์ อกเป็น 3 ขั้น คอื
1. การเรียนรู้จากการสัมผัส (The Enactive Mode) ได้แก่ การเป็นตัวแทนผ่านทางการกระทาด้วย
ตนเอง ปฏิสัมพันธ์ระหว่างเด็กกับวัตถุเหล่าน้ันท่ีให้ความจริงเก่ียวกับวัตถุขั้นน้ีเปรียบได้กับขั้นประสาท
รับรูแ้ ละการเคล่อื นไหวของเพยี เจต์ เป็นขัน้ ที่เด็กจะเรยี นรจู้ ากการกระทามากที่สุด

54

2. การเรียนรู้จากภาพความจา (The Iconic Mode) ได้แก่ รูปแบบที่เก่ียวกับการใช้จินตนาการ
เพ่ือที่จะสรุปและใช้แทนการกระทา เด็กสังเกตและจาลักษณะหรือผิวนอกของวัตถุที่เห็นได้ ขั้นน้ีเปรียบ
ไดก้ บั ข้ันก่อนปฏบิ ัติการคดิ ของเพียเจตซ์ งึ่ จะควบคุมขนั้ การคดิ ก่อนเกดิ ความคิดรวบยอด และการคิดแบบ
ทางนามธรรมลา้ ลกึ ในวัยน้ีเดก็ จะเกี่ยวขอ้ งกับความจริงมากข้นึ จะเกดิ ความคิดจากการรับรเู้ ป็นส่วนใหญ่
อาจจะมจี ินตนาการบา้ งแต่ยังไม่สามารถคดิ ไดล้ ึกซึ้งนกั

3. การเรียนรู้จากสัญลักษณ์ (The Symbolic Mode) เป็นพัฒนาการข้ันสูงสุด ข้ันน้ีเด็กจะสามารถ
เข้าใจความสัมพันธ์ของส่ิงของ สามารถเกิดความคิดรวบยอดในส่ิงต่าง ๆ ที่ซับซ้อนได้มากขึ้น การใช้
สัญลักษณ์ทางภาษามีความคล่องและได้ผลมากกว่าการกระทา หรือภาพ ซ่ึงนาไปสู่จุดสูงสุดของ
ความสามารถทางพุทธิลักษณะได้ ขั้นน้ีเปรียบได้กับขั้นปฏิบัติการคิดด้วยรูปธรรม และขั้นปฏิบัติการคิดด้วย
นามธรรมของเพียเจต์ เด็กจะสามารถเข้าใจความสัมพันธ์ของสิ่งของ สามารถเกิดความคิดรวบยอดในส่ิง
ต่าง ๆ ท่ีซับซ้อนได้มากข้ึน แม้ว่าลักษณะของการเรียนรู้ท้ัง 3 ประเภทน้ีจะจัดลาดับขั้นตอนเอาไว้ แต่
ทฤษฎขี องบรูเนอรไ์ ม่ยึดข้ันทกี่ าหนดไว้เป็นกฎตายตัวเหมือนทฤษฎีของเพยี เจต์ เพียเจต์เน้นข้อจากดั ของ
ความสามารถของเดก็ ในแตล่ ะขั้นแตบ่ รเู นอร์เนน้ ผลงานท่เี ด็กทาไดส้ าเร็จ

การนาทฤษฎีของบรเู นอร์ไปประยกุ ต์ใช้ในการพัฒนาหลักสตู ร ควรคานึงถึงส่งิ ต่อไปน้ี
1. เกี่ยวกับโครงสร้างของความรู้ หลักสูตรโรงเรียนจะต้องเปลี่ยนมาให้ความสาคัญต่อการจัด
ระเบียบหรือการจัดเรียบเรียงเน้ือหา หรือโครงสร้างของความรู้ซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียนได้มองเห็น
ความสมั พันธ์ระหว่างความรู้หรือประสบการณเ์ ดมิ กับความรูห้ รอื ประสบการณใ์ หม่ โดยนัยนี้ การสอนของ
ผู้สอนจะต้องมีวิธีการซึ่งจะส่งเสริมให้ผู้เรียนได้เข้าใจถึงโครงสร้างพ้ืนฐาน หรือจัดเรียบเรียงความรู้ต่าง ๆ
ให้อยใู่ นรูปที่มีความสมั พันธ์กัน และใหส้ อดคล้องกบั พัฒนาการทางสตปิ ญั ญาให้มากที่สุด
2. เก่ียวกับความพร้อม การท่ีคนเราจะเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพน้ัน จาเป็นต้องใช้หลักสูตร
ให้เหมาะสมกับความพร้อมทั้งทางด้านร่างกาย จิตใจ และสติปัญญา จะต้องจัดรูปแบบของกิจกรรม
ทักษะ และการฝึกหัดให้เหมาะสม และสอดคล้องกับความเจริญงอกงามทางสติปัญญาของเด็ก จาก
แนวคิดข้างต้น บรูเนอร์ได้เสนอหลักสูตรแบบใหม่เรียกว่า หลักสูตรแบบเกลียว (Spiral Curriculum) ซ่ึง
เปน็ หลักสูตรทีจ่ ดั สอนพน้ื ฐานทุกวชิ าให้กับเดก็ ทุกระดบั
3. เก่ียวกับการจูงใจ บรูเนอร์ได้เน้นเก่ียวกับการจูงใจ เขาช่ือว่ากิจกรรมทางการใช้สติปัญญาจะ
ประสบผลสาเร็จอย่างเต็มที่ก็ต่อเม่ือผู้เรียนมีความพอใจ ผู้สอนควรสร้างแรงจูงใจภายนอกแล้วค่อย ๆ
เปลี่ยนเป็นแรงจงู ใจภายใน

55

3. ขอ้ มูลพน้ื ฐานด้านสงั คมและวัฒนธรรม
สถานศึกษาเป็นส่วนย่อยส่วนหนึ่งในชุมชน และในภาพกว้างสถานศึกษาจัดเป็นส่วนหนึ่งของ

สังคมด้วย แต่สถานศึกษาจะเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนที่ดีได้ก็ต่อเม่ือสถานศึกษาสามารถทางานร่วมกับ
ชมุ ชนได้ สถานศึกษาแต่ละแห่งต่างก็มีลักษณะเช่นเดียวกับชมุ ชนน่ันคือ ในแต่ละชุมชนต่างก็มีวัฒนธรรม
ของตนเอง วัฒนธรรมเป็นเสมือนกรอบของมาตรฐานท่ีแสดงให้เห็นถึงความเชื่อและค่านิยมที่ได้ปฏิบัติ
มาแล้วเป็นอย่างดี สังคมและวัฒนธรรมและหลักสูตรของสถานศึกษาจึงต้องเก่ียวข้องกันเสมอ (Wood,
1990: 33)

การศึกษาทาหน้าที่สาคัญคือ อนุรักษ์และถ่ายทอดวัฒนธรรมของสังคมไปสู่คนรุ่นหลัง และ
ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมของสังคมให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ต่าง ๆ โดยหน้าที่ดังกล่าวการศึกษาจะช่วยควบคุมการเปลี่ยนแปลงสังคมให้เป็นไปในทิศทางที่พึง
ปรารถนา เพราะฉะน้ันหลักสูตรที่จะนาไปสอนอนุชนเหล่าน้ันจึงต้องมีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับสังคม
อยา่ งแยกไม่ออก และโดยธรรมชาติของสงั คมและวัฒนธรรม มกั มีการเปลย่ี นแปลงไปตามกาลเวลา ดังนั้น
การพฒั นาหลักสูตรจึงจาเปน็ ตอ้ งคานึงถึงข้อมูลทางสังคมและวัฒนธรรมท่ีเป็นปจั จบุ ันอย่เู สมอ ประเดน็ ท่ี
ควรคานึงถึงมดี งั นี้

1. โครงสร้างของสังคม การพัฒนาหลักสูตรจาเป็นต้องศึกษาโครงสร้างของสังคมท่ีเป็นอยู่ใน
ปัจจุบนั และแนวโนม้ โครงสร้างสังคมในอนาคต เพื่อทจ่ี ะไดข้ ้อมูลมาจัดหลักสูตรว่า จะจดั หลักสูตรอยา่ งไร
เพ่ือยกระดับการพัฒนาสังคมเกษตรกรรมและเตรียมพื้นฐานเพ่ือการเปลี่ยนแปลงทางด้านสังคมไปสู่การ
พัฒนาอตุ สาหกรรม และนวตั กรรมสมยั ใหมต่ ามความจาเป็น

2. ค่านิยมและความเช่ือของคนในสังคม เน่ืองจากการศึกษาเป็นตัวการท่ีทาให้เกิดการ
เปล่ียนแปลงในสังคม ดังน้ันการพัฒนาหลักสูตรจึงจาเป็นต้องศึกษาถึงค่านิยมต่าง ๆ ในสังคมไทยว่า
ค่านิยมชนิดไหนสมควรจะได้รับการเปลี่ยนแปลง หรือดารงไว้ หรือค่านิยมชนิดไหนควรสร้างข้ึนใหม่
เพ่อื ใหม้ ีความเหมาะสมกับสภาพสังคมไทยในปัจจุบนั ให้มากทส่ี ุด

3. ธรรมชาติของคนในสังคม ธรรมชาติของคนในแต่ละสังคมย่อมแตกต่างกันออกไป ท้ังน้ีข้ึนอยู่
กับสภาพพื้นฐานทางวัฒนธรรมและค่านิยมนั้น ๆ ในการพัฒนาหลักสูตร ควรคานึงถึงลักษณะธรรมชาติ
บุคลิกภาพของคนในสังคม โดยศกึ ษาพิจารณาว่าลกั ษณะใดควรจะคงไว้ ลักษณะใดควรจะเปลยี่ นแปลงไป
ในทางที่พึงประสงค์ของสภาพสังคมปัจจุบัน เพ่ือท่ีจะจัดการศึกษาในอันท่ีจะสร้างบุคลิกลักษณะของคน
ในสังคมตามทส่ี ังคมตอ้ งการ เพราะหลักสูตรเป็นแนวทางในการสร้างลกั ษณะสังคมในอนาคต

56

4. การช้ีนาสังคมในอนาคต การศึกษาควรมีบทบาทในการช้ีนาสังคมในอนาคตด้วย เพราะใน
อดีตท่ีผ่านมาระบบการศึกษา และระบบพัฒนาหลักสูตรของไทยเป็นลักษณะของการตั้งรับมาโดยตลอด
ฉะนั้นการจัดการศึกษาที่ดีควรใช้การศึกษาเป็นเคร่ืองมือในการพัฒนาประเทศในอนาคตให้เป็นไปตาม
เป้าหมายทวี่ างไว้ นักพฒั นาหลักสูตรจงึ ควรศึกษาข้อมลู ต่าง ๆ ท่เี ป็นเคร่อื งชี้นาสังคมในอนาคต

5. การคานึงถึงความหลากหลายของคนและวัฒนธรรมในสังคม เน่ืองจากในสภาพสังคมปัจจุบัน
เป็นสังคมยุคโลกาภิวัตน์ มีการไหลบ่าของคนแต่ละสังคม ดังนั้นสังคมจึงเป็นท่ีรวมของกลุ่มคนท่ีมีความ
แตกต่างในด้านเชื้อชาติ ศาสนา ค่านิยม และความเช่ือ ในการจัดหลักสูตรสถานศึกษาควรคานึงถึงเร่ือง
เหลา่ นด้ี ้วย

6. ศาสนาและวัฒนธรรมในสังคม ศาสนาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจของคนในสังคม วัฒนธรรม
เป็นสัญลักษณอ์ ันสาคัญท่จี ะแสดงให้ทราบว่าเขาเหล่านัน้ เปน็ คนในสังคมเดียวกนั หรอื เปน็ คนชาติเดียวกัน
การพัฒนาหลักสูตรจงึ จาเป็นต้องคานงึ ถงึ ศาสนาและวัฒนธรรม ความรู้และหลักธรรมทางศาสนาต่าง ๆ นามา
บรรจไุ ว้ในหลักสตู ร

กล่าวได้โดยสรุปว่า หลักสูตรมีพื้นฐานจากสังคมเป็นพ้ืนฐานท่ีสาคัญที่สุด นั่นก็เพราะหลักสูตร
ได้รบั อิทธิพลมาจากทางสังคมมากท่สี ดุ ดังท่ีได้กล่าวไวข้ ้างต้นวา่ สถานศึกษาเป็นสถาบันทางสงั คม สมาชิก
ในสังคมเปน็ ผ้สู ร้างและพัฒนาสถานศกึ ษา เพ่อื ใหส้ นองต่อความต้องการของสังคมนนั้ ๆ

4. ข้อมูลพื้นฐานดา้ นเศรษฐกจิ
การศึกษาเป็นเครื่องมือสาคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจ เพราะการศึกษาเป็นเครื่องมอื สาคัญในการ

พฒั นาคนซึ่งเป็นสว่ นประกอบที่สาคญั ที่สุดในทุกระบบเศรษฐกิจ เพราะระบบเศรษฐกิจจะเจริญก้าวหน้า
ได้เพียงใดข้ึนอยู่กับคุณภาพของคนในสังคมนั้น การพัฒนาหลักสูตรให้เหมาะสมกับพื้นฐานทางเศรษฐกิจ
ควรพิจารณาประเด็นต่อไปนี้ (หรรษา นลิ วเิ ชยี ร, 2547: 57)

1. การเตรียมกาลังคน การให้การศึกษาเป็นส่ิงสาคัญในการผลิตกาลังคนในด้านต่าง ๆ ให้เพียงพอ
เหมาะสม และสอดคล้องกับความต้องการในแต่ละสาขาวิชาชีพ เพื่อปอ้ งกันการสูญเปล่าทางการศกึ ษา และเพ่ือ
ลดปญั หาการว่างงานอนั เป็นอุปสรรคตอ่ การพัฒนาประเทศ

2. การพัฒนาอาชีพ การพัฒนาหลักสูตรควรเน้นการส่งเสริมอาชีพส่วนใหญ่ของคนในประเทศ จัด
หลักสูตรเพ่ือพัฒนาอาชีพตามศักยภาพและท้องถิ่น เพื่อพัฒนาอาชีพให้เหมาะสมเป็น การยกระดับรายได้คนใน
ชุมชนให้สูงขึ้น เพ่ือลดปัญหาช่องว่างระหว่างคนรวยและคนจน ลดการหลั่งไหลของประชาชนเข้าไปทางานตาม
เมืองใหญ่ สิ่งเหล่านี้เป็นหน้าท่ีสาคัญที่นักพัฒนาหลักสูตรจะต้องร่วมมือร่วมใจกันจัดทาหลักสูตรเพื่อพัฒนา
อาชีพใหบ้ รรลุผล

57

3. การขยายตัวทางด้านอุตสาหกรรม ปัจจุบันประเทศไทยกาลังพัฒนาจากเกษตรกรรมไปสู่
ภาคอุตสาหกรรมมากข้นึ เรื่อย ๆ นักพัฒนาหลักสูตรควรศึกษาข้อมูลแนวโนม้ และทศิ ทางการขยายตัวทาง
อุตสาหกรรม อุตสาหกรรมดา้ นไหนทีค่ วรจะได้รับการพัฒนาหรอื สง่ เสรมิ หรือเป็นอุตสาหกรรมทต่ี ้องการ
และจาเป็นของสังคมหรือของโลก เพ่ือท่ีจะได้พัฒนาหลักสูตรให้สามารถพัฒนาเยาวชนให้มีความพร้อม
สาหรับการขยายตัวทางดา้ นอุตสาหกรรม สามารถผลิตผู้จบการศึกษาทีส่ ามารถเข้าสู่ภาคอุตสาหกรรมได้
อยา่ งเหมาะสม

4. การพัฒนาคุณลักษณะของบุคคลในระบบเศรษฐกิจของคนไทย การพัฒนาหลักสูตรต้องคานึงถึง
การพัฒนาคุณลักษณะของคนไทย ในหลักสูตรจะต้องบรรจุเนื้อหาสาระ และประสบการณ์การเรียนรู้ท่ีมีการ
ปลูกฝังจิตสานึกในความรับผิดชอบร่วมกัน การสร้างค่านิยมในการทางานร่วมกัน การไม่เอารัดเอาเปรียบ
กัน ความขยันหมั่นเพียร การรู้จักอดออม การมีสติรู้คิด การมีความคิดริเร่ิมสร้างสรรค์ การสร้างเสริม
ความสามารถในการผลิต การสร้างงานและการประกอบอาชีพ ถ้าหลักสูตรในระดับตา่ ง ๆ ได้บรรจุและปลูกฝัง
ส่ิงเหล่าน้ีไว้ท้ังในแนวกว้างและแนวลึกตามระดับการศึกษาแล้ว ผู้จบการศึกษาก็จะเป็นบุคคลที่สามารถ
พฒั นาตนเองใหม้ ีประสทิ ธิภาพทางเศรษฐกิจภายใตค้ วามเจรญิ ทางด้านเศรษฐกิจได้อย่างเหมาะสม

5. การลงทุนทางการศึกษา การจัดการศึกษาในทุกระดับต้องใช้งบประมาณของรัฐ โดยเฉพาะ
การศึกษาข้ันพ้ืนฐาน การจดั การศึกษาควรคานึงถึงงบประมาณเพือ่ การศึกษา แหล่งเงินท่ีจะช่วยเหลือรัฐ
ในรูปงบประมาณในการพัฒนาหลักสูตรควรจัดให้สอดคล้องกับงบประมาณของรัฐ ไม่ว่าในด้านการ
จัดการเรียนการสอน ด้านวัสดุอุปกรณ์ เพื่อให้การใช้หลักสูตรเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และต้อง
คานึงถงึ ผลตอบแทนจากการลงทนุ ในด้านกาลงั คน ปริมาณ และคุณภาพ

5. ข้อมูลพ้นื ฐานด้านการเมอื งการปกครอง
การเมืองการปกครองเป็นเร่ืองที่เกี่ยวกับการจัดระเบียบการอยู่ร่วมกัน ในสังคมหมู่มาก

จาเป็นต้องมีระเบียบแบบแผนหรือกติกาต่าง ๆ สาหรับสมาชิกในสังคมยึดถือเป็นแนวปฏิบัติต่อกัน เพ่ือ
ความสงบเรียบร้อยและการอย่รู ่วมกันอย่างสนั ติ ดังนน้ั การเมืองการปกครองจึงเป็นเรื่องเกี่ยวกบั บทบาท
หนา้ ที่ สทิ ธิ และความรบั ผดิ ชอบทบ่ี ุคคลพงึ มีต่อสังคมและประเทศชาติ

การเมืองการปกครองมีความสัมพันธ์กับการศึกษา ในฐานะที่การศึกษามีหน้าที่ผลิตสมาชิกที่ดี
ให้แก่สังคมให้อยู่ในระบบการปกครองของประเทศชาติ ช่วยให้ผู้เรียนทราบว่าตนมีสิทธ์ิหน้าที่และความ
รับผิดชอบต่อสังคมอย่างไร และควรแสดงแนวคิดและปฏิบัติตนอย่างไร หลักสูตรของประเทศต่าง ๆ จึง
ควรบรรจุเนื้อหาวิชาและประสบการณ์ที่จะปลูกฝังให้ประชากรอยู่ร่วมกันในสังคมได้ด้วยความเป็น
ระเบยี บเรยี บรอ้ ย และสนั ติสขุ

58

วิทวัฒน์ ขัตติยะมาน และอมลวรรณ วีระธรรมโม (2549: 51) กล่าวโดยสรุปไว้ว่า ข้อมูลที่
เก่ียวกบั การเมืองการปกครองที่ควรจะนามาเป็นพ้ืนฐานประกอบการพิจารณาในการพัฒนาหลักสูตรก็คือ
ระบบการเมืองและระบบการปกครอง นโยบายของรัฐ และรากฐานของประชาธิปไตย เป็นตน้

1. ระบบการเมืองการปกครอง เน่ืองจากการศึกษาเป็นเคร่ืองมืออันหน่ึงของสังคม ดังนั้นการศึกษา
กับระบบการเมืองการปกครองจึงแยกกันไม่ออก หลักสูตรของประเทศต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระดับ
ประถมศึกษาซ่ึงเป็นการศึกษาขั้นพื้นฐานมักจะบรรจุเน้ือหาสาระของระบบการเมืองการปกครองไว้ เพ่ือสร้าง
ความเข้าใจให้ประชาชนอยู่ร่วมกันในสังคมไดด้ ้วยความเปน็ ระเบยี บเรียบรอ้ ย ในบางประเทศที่ต้องการปลกู ฝัง
อุดมการณ์ทางการเมืองให้แก่ประชาชน จะบรรจุเน้ือหาเก่ียวกับระบบการเมืองการปกครองไว้ในหลักสูตร
ระดับต่าง ๆ มากเป็นพิเศษ เพราะฉะนั้น ในการพัฒนาหลักสูตรควรเลือกเน้ือหาวิชาประสบการณ์เรียนรู้ และ
การจดั ให้มกี ารเรียนการสอนเกี่ยวกับระบบการเมืองการปกครองทตี่ ้องการปลูกฝัง

2. นโยบายของรัฐ เนื่องจากการศึกษาเป็นส่วนหน่ึงของระบบสังคมจึงมีความจาเป็นต้องสอดคล้องกับ
ระบบอื่น ๆ ในสังคม การท่ีจะให้ระบบต่าง ๆ สามารถเก้ือหนุนส่งเสริมซึ่งกันและกันจึงจาเป็นจะต้องมีการ
ประสานสัมพันธ์ระหว่างระบบเหล่าน้ัน ด้วยเหตุนี้รัฐบาลจึงต้องมีนโยบายแห่งรัฐเพื่อเป็นแนวทางในการ
ดาเนินงานของระบบต่าง ๆ ให้มีความต่อเน่ืองและสอดคล้องซ่ึงกันและกัน นโยบายของรัฐที่เห็นได้ชัด คือ
แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ แผนพัฒนาการศกึ ษา ในการพฒั นาหลักสูตรควรจะได้พจิ ารณานโยบาย
ของรัฐด้วย เพื่อทีจ่ ะได้จัดการศึกษาให้สอดคล้องกัน

3. รากฐานของประชาธิปไตย จากการที่ประเทศไทยได้เปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบ
สมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตยในปี พ.ศ. 2475 น้ัน ความรู้ความเข้าใจตลอดจน
ความรู้สึกนึกคิดต่าง ๆ เก่ียวกับประชาธิปไตยในสังคมไทยยังไม่เพียงพอ หลักสูตรในฐานท่ีเป็นเครื่องมือ
สาหรับพัฒนาคนควรท่ีจะได้วางรากฐานท่ีเก่ียวกับประชาธิปไตยให้แก่สังคม เพื่อให้มีความรู้ความเข้าใจอัน
ถกู ต้องซ่ึงจะสรา้ งสรรคใ์ หท้ ุกคนอยรู่ ่วมกันในสังคมไดอ้ ย่างสันตสิ ขุ และไมม่ ีการเอารดั เอาเปรียบซ่ึงกนั และกนั

6. ข้อมลู พืน้ ฐานดา้ นสภาพปญั หาและแนวทางการแกไ้ ขปัญหาในสังคม
สภาพปัญหาและแนวทางในการแก้ไขปัญหาของสังคม เป็นข้อมูลพื้นฐานท่ีสาคัญที่ต้องศึกษา

สังคมไทยปัจจุบันกาลังประสบปัญหายุ่งยากหลายประการ ท้ังปัญหาส่ิงแวดล้อม ปัญหาสภาพสังคม
ปัญหาเศรษฐกิจ และปัญหาการเมือง ซึ่งการจะแก้ปัญหาเหล่าน้ีมีทั้งระยะสั้นและระยะยาว และการ
แก้ปัญหาอาจทาได้ช่ัวคราวหรืออย่างถาวร การจัดการศึกษาเพ่ือแก้ปัญหาดังกล่าวจึงเป็นเรื่องสาคัญ ที่
นักพัฒนาหลักสูตรจะต้องศึกษาแล้วนามาสร้างเป็นหลักสูตร ปัญหาสาคัญ ๆ ท่ีควรศึกษาดังท่ี (วิทวัฒน์
ขัตติยะมาน และอมลวรรณ วรี ะธรรมโม, 2549: 52) ไดส้ รุปไวค้ ือ

59

1. ปัญหาทางด้านสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ การขยายตัวของอุตสาหกรรม และการใช้เทคโนโลยี
ทาให้เกิดปัญหาสภาวะแวดล้อมทางธรรมชาติในสังคมไทยมากขึ้น เช่น ปัญหาการทาลายป่าไม้ ปัญหา
ความเส่ือมโทรมของดิน ปัญหาน้าเสีย และอากาศเสียจากโรงงานอุตสาหกรรม เป็นต้น ปัญหาต่าง ๆ
สมควรท่ีจะได้ศึกษาข้อเท็จจริงถึงสภาพปัญหาและแนวทางการแก้ไข เพ่ือที่จะนาไปเป็นข้อมูลในการจัด
การศึกษาและพัฒนาหลกั สูตร

2. ปัญหาทางด้านสังคม ปัญหาทางสังคมที่เป็นอยู่ในปัจจุบันมักจะเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลง
ของสังคม ซ่ึงมีสาเหตุมาจากความเจริญทางวัตถุและวัฒนธรรมตะวันตกที่หลั่งไหลเข้ามาอย่างรวดเร็ว
ด้วยอิทธิพลของการส่ือสาร ทาให้คนไทยรับวัฒนธรรมตะวันตกเข้ามามากโดยเฉพาะคนในวัยหนุ่มสาว
หรือเยาวชน ก่อให้เกิดความขัดแย้งทางด้านความคิดระหว่างคนหนุ่มสาวกับผู้ใหญ่ท่ียึดมั่นในวัฒนธรรม
เดิม ทาให้เกิดปญั หาเก่ียวกับยาเสพติด ปัญหาทางเพศ ปัญหาอาชญากรรม ซึ่งการศึกษาปญั หาเหล่านี้จะ
เป็นข้อมูลในการจัดหลักสูตร เพ่ือเตรียมเยาวชนให้สามารถดารงอยู่ในสังคมท่ีเปล่ียนแปลงได้อย่างมี
ความสขุ และไม่เกดิ ปญั หา

3. ปัญหาด้านเศรษฐกิจ การพัฒนาหลักสูตรควรได้ศึกษาปัญหาทางด้านเศรษฐกิจท้ังในอดีต
ปัจจุบัน และแนวโน้มปัญหาท่ีจะเกิดข้ึนในอนาคต เพื่อท่ีจะได้นาข้อมูลทางเศรษฐกจิ ท่ีได้มาจดั การศึกษา
ที่สอดคล้องกับทรัพยากรทางธรรมชาติ และแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ เพ่ือกาหนด
จุดมุ่งหมายของหลักสูตร การสร้างหลักสูตรรายวิชา และการบรรจุเน้ือหาสาระให้ผู้เรียนมีความรู้
ความสามารถ และประสิทธิภาพทางเศรษฐกิจ ทาให้ผู้ท่ีจบการศึกษาในระดับต่าง ๆ สามารถออกใบ
ประกอบอาชีพได้ และสามารถดารงอยู่ได้ในสังคมท่ีมีการเปลี่ยนแปลงทางด้านเศรษฐกิจ โดยไม่เป็น
ปญั หาหรือภาระของสงั คม หรอื จดั การศึกษาเพื่อให้บคุ คลสามารถสรา้ งงานได้

4. ปัญหาทางด้านการเมืองการปกครอง สภาพปัญหาทางด้านการเมืองของไทยเป็นมาอย่าง
ยาวนานสมควรท่ีการศึกษาจะเข้าไปมีบทบาทในการพัฒนาทางด้านการเมือง คือ การให้ความรู้และ
ปลูกฝังในเร่ืองของประชาธิปไตย จึงควรท่ีนักพัฒนาหลักสูตรจะได้ตระหนักและพัฒนาหลักสูตร
เนอื้ หาวชิ า หรอื กจิ กรรมการเรียนการสอน ให้สามารถพฒั นาผู้เรยี นใหม้ จี ิตสานึกและความรู้สึกรับผิดชอบ
ต่อการเมอื งการปกครองของประเทศ

7. ขอ้ มลู พนื้ ฐานด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ความเจริญก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ทาให้สังคมเปล่ียนแปลงไป ผู้เรียนเกิด

ความจาเป็นต้องเพ่ิมความรู้ใหม่ ทักษะใหม่ แล้วต้องเปลี่ยนแปลงเจตคติใหม่ ทาให้เกิดความจาเป็นจะต้อง
สร้างคุณธรรมและความคิดใหม่ เพ่ือให้คนในสังคมสามารถปรับตัวเข้ากับการเปล่ียนแปลงของสังคมได้

60

โดยใช้การศึกษาทาหน้าที่สร้างประชาชน ที่มีคุณภาพและมีความสามารถปรับตัว ให้เข้ากับความเจริญ
ทางดา้ นวทิ ยาศาสตร์ และเทคโนโลยีได้อยา่ งเหมาะสม หลักสตู รทนี่ ามาใช้จึงจาเปน็ ต้องมีความสอดคล้อง
กับความเจรญิ ทางวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ปัจจุบันประเทศไทยได้นาเอาความก้าวหนา้ ทางด้านวิทยา
ศาสตร์และเทคโนโลยีมาใช้ในสังคมอย่างกว้างขวางในทุก ๆ ด้าน ทาให้เกิดผลกระทบต่อสังคมและ
ส่งิ แวดลอ้ มท้งั ทางตรงและทางอ้อม

ดังนั้นผู้เขียนจึงมีความเห็นว่า การจดั การศึกษาควรให้ประชาชนตระหนักถึงสภาพข้อเท็จจริงตา่ ง ๆ
ที่เป็นผลกระทบจากความเจริญทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พร้อมท้ังให้เขาได้รับข้อมูลต่าง ๆ
อย่างเพียงพอ เพื่อให้เขาสามารถเลือกตัดสินใจ ใช้วิธีการปฏิบัติท่ีถูกต้อง ดังน้ันนักพัฒนาหลักสูตรต้อง
ศึกษาข้อมูลทางด้านวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยีท้ังในปจั จุบนั และแนวโน้มความเจริญในอนาคต เพอื่ ทจ่ี ะ
ไดพ้ ฒั นาหลักสูตร เพื่อพฒั นาคนให้สามารถดารงตนอยูไ่ ด้อย่างเหมาะสม ในสงั คมทเี่ ปลีย่ นแปลงไป

8. ขอ้ มลู พื้นฐานด้านสภาพของสังคมในอนาคต
จากสภาพการเปล่ียนแปลงท้ังทางด้านเศรษฐกิจ การเมือง สังคม และความเจริญก้าวหน้าทาง

วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศไทยในปัจจุบัน ช้ีให้เห็นว่าในอนาคตประเทศไทยมีแนวโน้มท่ีจะ
พฒั นาทางดา้ นอตุ สาหกรรมมากขึ้น ซ่ึงจะเป็นผลให้เกิดอุตสาหกรรมใหม่หลากหลายสาขา จากสภาพการ
เปลยี่ นแปลงดังกลา่ ว มผี ลทาใหส้ ังคมเปลี่ยนแปลงไปดังน้ี

1. จะมกี ารสง่ เสริมอุตสาหกรรมขนาดย่อม (SME) รวมทัง้ อตุ สาหกรรมท้องถิ่น (OTOP) มากขน้ึ
2. งานอาชีพอิสระมีแนวโน้มจะมีความสาคัญมากข้ึนในอนาคต ท้ังน้ีเนื่องจากลักษณะของการ
ผลติ อุตสาหกรรมสว่ นใหญม่ กั จะเปน็ การผลติ แบบใชท้ ุนมากกวา่ แรงงาน
3. ในอนาคตสภาพสังคมจะมีการแขง่ ขันและการต่อสู้เพ่ือความอยู่รอดเฉพาะตัวมากขึ้น เพราะที่ดิน
ทากินไม่สามารถขยายเพิ่มให้สมดุลกับประชากรได้ ทาให้เกิดการเข้ามาทางานในเมืองมากข้ึน และ
ภาคอตุ สาหกรรมก็ไม่สามารถรองรับแรงงานได้ทั้งหมด เพราะฉะนนั้ การแข่งขันเพ่ือความอยู่รอดจงึ มมี ากข้ึน
4. การประพฤติปฏิบัติของคนไทยจะเปล่ียนไปจากวัฒนธรรมด้ังเดิม ซึ่งเป็นผลมาจากการ
เปลี่ยนแปลงทางด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง ความเจริญทางด้านเทคโนโลยี และการหล่ังไหลเข้ามา
ของวัฒนธรรมตะวนั ตก ซงึ่ จะมีผลกระทบต่อคุณธรรมจรยิ ธรรม คา่ นยิ ม และสงิ่ แวดลอ้ มของสงั คมไทย
5. ในอนาคตคาดว่าการดาเนินชีวิตของคนไทยจะประสบปัญหา ท้ังในด้านสุขภาพและ การ
ประกอบอาชีพมากขึ้น ซ่ึงเป็นผลกระทบมาจากการเปล่ียนแปลงทางสังคมเศรษฐกิจ และการเพ่ิมของ
ประชากร

61

9. ข้อมลู พน้ื ฐานจากบุคคลภายนอก และนักวิชาการสาขาตา่ ง ๆ
ข้อมูลพื้นฐานจากบุคคลภายนอกเป็นข้อมูลที่สาคัญอีกส่วนหนึ่งที่จะช่วยให้ ข้อมูลในการพัฒนา

หลักสตู รสามารถครอบคลุมความจาเปน็ ในการพัฒนาหลักสูตรได้อย่างกว้างขวาง ข้อมลู ดงั กลา่ ว ได้แก่ ข้อมูล
จากนักวิชาการในสาขาวิชาต่าง ๆ นกั การศึกษา หรือบุคคลท่ีเก่ียวข้องกับการใช้ผลผลิตของการจัดการศึกษา
คอื สถานประกอบการทผี่ ู้จบการศกึ ษาเข้าไปสู่ หรืออาจจะเรยี กขอ้ มูลจากสถานประกอบการ เป็นตน้

1. ข้อมูลจากนักวิชาการ นักวิชาการแต่ละสาขาท่ีมีความรู้ ความสามารถ ความชานาญเฉพาะ
ทาง ย่อมรู้ทฤษฎี หลักของธรรมชาติ โครงสร้าง และระดับความยากง่ายของความรู้ในแต่ละศาสตร์ของ
ตนเป็นอย่างดี คณะพัฒนาหลักสูตรจะต้องปรึกษาและร่วมมือกับนักวิชาการเหล่าน้ี เก่ียวกับการกาหนด
จดุ มุง่ หมายการเรียนรู้ในแต่ละสาขาวิชา ในการกาหนดเน้ือหาวิชาความกว้างความลกึ และความต่อเน่ือง
สัมพันธ์ของเนื้อหาเรื่องในทางปฏิบัติ การพัฒนาหลักสูตรของไทยยังขาดข้อมูลทางด้านนี้มาก ทาให้เกิด
การสูญเปล่าทางการศึกษา นักวิชาการสาขาต่าง ๆ จึงน่าจะมีบทบาทในการพัฒนาหลักสูตรโดยร่วมเป็น
คณะกรรมการพฒั นาหลักสูตรในแตล่ ะสาขา เพอ่ื สรา้ งหลกั สตู รทสี่ มเหตุสมผลและสมจริงทางวิชาการ

2. ข้อมูลจากสถานประกอบการ สถานประกอบการเป็นแหล่งข้อมูลท่ีสาคัญแหล่งหนึ่งที่
นักพัฒนาหลักสูตรไม่ควรมองข้าม เพราะหลักสูตรจะต้องผลิตคนสู่สถานประกอบการต่าง ๆ ในสังคม
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพัฒนาหลักสูตรในระดับอาชีวศึกษา ความต้องการของสถานประกอบการเป็น
ข้อมูลสาคัญท่ีนักพัฒนาหลักสูตรควรนาไปพิจารณา เพ่ือจัดหลักสูตรและการเรียนการสอนให้ผู้จบ
หลักสูตรสามารถเขา้ ไปสูส่ ถานประกอบการได้อยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ

10. พืน้ ฐานทางประวัตศิ าสตรแ์ ละการศึกษาหลกั สตู รเดิม
หากนักพัฒนาหลักสูตรได้ศึกษาประวัติศาสตร์ และประวัติการศึกษาแล้วได้มาวิเคราะห์หา

คาตอบจากคาถามเหล่านี้ หรือคาถามอื่นที่มีประโยชน์เหมาะสมก็จะช่วยให้ได้คาตอบท่ีเป็นประโยชน์
และเป็นขอ้ มลู ในการจัดการศกึ ษาและพัฒนาหลักสูตรปัจจุบนั ได้เปน็ อย่างดี

เพราะฉะน้ัน การที่ต้องมีการวิเคราะห์หลักสูตรเก่า เน่ืองจากในการพัฒนาหลักสูตรนั้น เราต้อง
ต้ังต้นจากสิ่งท่ีเรามีอยู่หรือใช้อยู่ จุดประสงค์ของการวิเคราะห์ก็เพ่ือตรวจสอบว่าหลักสูตรท่ีใช้อยู่น้ันดี
หรือไม่อย่างไร อะไรที่ดีอยู่แล้ว มีอะไรท่ีบกพร่อง ล้าสมัย หรือไม่สามารถสนองความต้องการของผู้เรียน
และสังคมที่เปลีย่ นแปลงไป จดุ เดน่ จดุ ด้อย ข้อดี ข้อบกพร่องขององค์ประกอบต่าง ๆ ของหลักสูตรทั้งใน
แง่ของประสิทธิภาพของการนาไปใช้ รวมท้ังความพึงพอใจของผู้ที่เกี่ยวข้อง ข้อมูลเหล่าน้ีเป็นข้อมูลใน
อดีตที่มีคุณค่าแก่การจัดทาหรือพัฒนาหลักสูตรปัจจุบันซ่ึงในการศึกษาประวัติศาสตร์และประวัติ
การศึกษาควบคู่กันไปนั้น ธารง บัวศรี (2532: 128) ได้แสดงความคิดเห็นว่า หากลองตั้งคาถามต่าง ๆ

62

แล้ว ลองพิจารณาหาคาตอบจะช่วยให้เห็นความเหมาะสมของการจัดการศึกษาในขณะนั้น ตัวอย่าง
คาถาม เช่น ปัญหาเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองในขณะนั้นเป็นอย่างไร การจัดการศึกษามีจุดมุ่งหมาย
จะแก้ปัญหาดังกล่าวหรือไม่ วิธีการที่ใช้แก้ปัญหาช่วยได้หรือไม่ การจัดการศึกษามีส่วนช่วยยกระดับ
เศรษฐกิจหรือทาให้ระบบสังคมดีขึ้นหรือไม่ มีสิ่งชี้บอกใด ๆ หรือไม่ ท่ีแสดงว่าหลักสูตรได้คานึงถึงความ
แตกต่างระหว่างบุคคล หรือพัฒนาการของผู้เรียน หลักสูตรได้ส่งเสริมการถ่ายทอดวัฒนธรรมหรือ
ปรบั ปรงุ วัฒนธรรมอย่างไร หลกั สตู รมกี ารส่งเสริมจิตสานกึ ในการช่วยตนเองหรอื ไม่ ฯลฯ

11. พ้นื ฐานเกีย่ วกับธรรมชาติของความรู้
การพัฒนาหลักสูตรจะต้องเก่ียวข้องกับความรู้ ไม่ว่าการนาความรู้มาบรรจุไว้ในหลักสูตร หรือ

การจัดหมวดหมู่ความรู้ให้เหมาะสม เพราะฉะน้ันนักพัฒนาหลักสูตร จะต้องมีความรู้ความเข้าใจในเร่ือง
ของความรู้เก่ียวกับแนวคิดของความรู้ โครงสร้างของความรู้ หรือโครงสร้างของสมองกับพัฒนาการ
ทางด้านความรู้ และแบบฉบับของการสร้างความรู้ความเข้าใจ เพราะข้อมูลดังกล่าวมีผลต่อการพัฒนา
หลักสูตรเป็นอย่างยิ่ง ไม่วา่ จะเป็นการออกแบบหลกั สูตรหรอื การจดั ทาหลักสตู รกต็ าม

แนวคดิ เกี่ยวกบั ความรู้
1. ความรู้ คือ วิชาหรือสาขาท่ีเกิดจากการประมวลข้อเท็จจริงและมโนทัศน์ เข้าเป็นหมวดหมู่
อย่างเป็นระเบียบ ตามแนวคิดน้ีเชื่อว่า ความรู้ต่าง ๆ ท่ีมนุษย์ได้ค้นพบ ได้เรียนรู้ หรือได้รวบรวมข้ึนใหม่
คอื ส่ิงท่ีได้ถูกประมวลเข้าไวด้ ้วยกันเปน็ หมวดหมู่ที่เรียกกนั ว่าเป็นวชิ า และเป็นสาขาวชิ า ถ้าหากเอาวิชา
รวมกันเข้าให้อยู่ภายใต้ความหมายที่กว้างข้ึน ตามแนวความคิดน้ีรูปแบบของหลักสูตรจะมีลักษณะเป็น
หลกั สตู รรายวิชาซง่ึ มงุ่ ให้ผูเ้ รียนไดเ้ รียนรู้เนื้อหาวชิ าเปน็ สาคัญ
2. ความรู้ คือ ผลท่ีเกิดจากประสบการณ์ ตามแนวคิดน้ีเช่ือว่า ความรู้ไม่ใช่วิชา เพราะวิชาถ้าอยู่
โดยลาพังจะไม่เกิดอะไรข้ึน แต่ความรู้เป็นผลจากประสบการณ์ที่ผู้เรียนได้รับหรือผู้เรียนได้มีปฏิสัมพันธ์
กับสิ่งแวดล้อมหรือสิ่งท่ตี ้องการเรยี นรู้ ทาให้เกิดการเปลยี่ นแปลงในตัวผเู้ รยี นขึ้น นักพัฒนาหลกั สตู รที่อยู่
ตามแนวคิดน้ี ไม่เห็นด้วยกับการใช้วิชาเป็นพ้ืนฐาน ในการจัดทาหลกั สูตร แต่จะจดั หลักสูตรให้สอดคล้อง
กบั ความต้องการของผูเ้ รยี น
3. ความรู้ คือ สิ่งที่เกิดขึ้นจากการผสมผสานระหว่างวิชากับสาขาวิชาต่าง ๆ กับประสบการณ์
ตามแนวคิดนี้เป็นการรวมสองแนวคิดข้างต้นเข้าด้วยกัน เพราะเห็นว่าทางเนื้อหาวิชาและประสบการณ์
ต่าง ๆ ลว้ นมีความสัมพันธต์ ่อการออกแบบหลักสูตร ซึ่งแนวคิดน้ชี ่วยในการออกแบบและพัฒนาหลักสูตร
มากโดยเฉพาะในการแก้ปัญหาความแตกต่างระหว่างบุคคล การทาหลักสูตรให้สอดคล้องกับพัฒนาการ
ของผเู้ รยี น และการทาหลกั สูตรให้ยืดหยุน่

63

โครงสร้างของความรู้ ในอดีตการเลือกความรู้บรรจุลงในหลักสูตร จะพิจารณาในแง่ของการเลือก
เนื้อหาให้เหมาะสม เพื่อให้บรรลุจุดม่งุ หมายของหลักสูตร ต่อมาเริ่มสนใจเจาะลึกเบื้องหลังของความรู้ เมื่อเบน
จามิน เอส บลูม (Benjamin S. Bloom) ไดจ้ ัดระบบการจาแนกจุดประสงค์การเรยี นรู้แสดงถึงพิสัยต่าง ๆ ของ
ความรู้ ได้แก่ พุทธิพิสัย จิตพิสัยและทักษะพิสัย ต่อมาบรุนเนอร์ (Jerome S.Bruner) ได้วิเคราะห์ความรู้ที่มี
อยใู่ นสาขาวิชาต่าง ๆ โดยแบ่งโครงสร้างออกเป็น 3 ส่วน คือ สว่ นที่เป็นขอ้ เท็จจริง (Facts)

ส่วนท่ีเป็นหลักเกณฑ์ (Principles) และส่วนท่ีเป็นมโนทัศน์ (Concepts) เพราะฉะน้ัน ในการจัดทา
หลักสูตรความรู้เกี่ยวกับโครงสร้างของความรู้เป็นส่ิงจาเป็นที่นักพัฒนาหลักสูตรจะต้องมีความรู้ความเข้าใจ
เพื่อจะได้บรรจุข้อมูลความรู้ลงในหลักสูตรให้บรรลุจุดประสงค์การเรียนรู้ทางด้านพุทธิพิสัย จิตพิสัย และ
ทักษะพิสัย อีกท้ังสามารถเลือกความรู้ที่เป็นข้อเท็จจริง หลักเกณฑ์ หรือมโนทัศน์ ให้เหมาะสมกับการเรียนรู้
ในระดบั ตา่ ง ๆ ได้

โครงสร้างของสมองกับพัฒนาการทางความรู้ ความสัมพันธ์ระหว่างโครงสร้างทางสมองกับ
พัฒนาการทางความรู้ มีผลต่อการออกแบบหลักสูตร เพราะสมองของคนเรา แบ่งออกเป็น 2 ส่วน แต่ละ
สว่ นมีคุณสมบตั ิเฉพาะตัว สมองสว่ นข้างซา้ ยควบคมุ การกระทาบางอย่าง เช่น การอ่าน การเขียน การคิด
เลข และการลาดับความคิดเป็นขั้นตอน รวมท้ังการคิดแบบวิทยาศาสตร์ส่วนสมองข้างขวาจะควบคุมการ
ทางานในด้านศิลปะ การสร้างมโนทัศน์ในสิ่งที่สมองเห็น ความคิดคานึง จินตนาการ และความเพ้อฝัน
เพราะฉะน้ันในการพัฒนาหลักสูตร จะต้องคานึงถึงความสาคัญของการจัดวิชาที่มีส่วนส่งเสริมสมองทั้งสอง
ข้างให้สมดลุ กัน พัฒนาสมองท้ัง 2 ด้านไปพร้อม ๆ กัน

แบบฉบบั ของการสร้างความร้คู วามเขา้ ใจ แบบฉบับของความร้คู วามเข้าใจ หมายถงึ วธิ กี ารท่แี ต่ละ
คนยึดถือเป็นหลักในการประมวลข้อมลู และแสวงหาความหมายของขอ้ มูลนั้น การท่ีทราบว่าผู้ใดมีแบบฉบับ
ในการสร้างองคค์ วามรู้ความเขา้ ใจอย่างไร จะช่วยให้สามารถกาหนดเนื้อหา และวธิ ีการเรียนการสอนได้อยา่ ง
เหมาะสม ทาให้ประสิทธิภาพในการเรียนรู้สูงข้ึน เพราะแบบฉบับของความรู้ความเข้าใจเป็นปัจจัยสาคัญ
อยา่ งหนง่ึ ท่มี ีผลตอ่ การเรยี นของเดก็

ประเภทของความรู้ความเข้าใจ ในเรื่องของความรู้ความเข้าใจนั้น ศาสตราจารย์โจเซฟ อี ฮิล
(Joseph E. Hill) อธิการบดีของวิทยาลัยชุมชนโอคแลนด์ รัฐมิชิแกน สหรัฐอเมริกา ได้ศึกษาวิจัยและ
จาแนกไว้เป็น 4 ประเภท ได้แก่ 1) ประเภทท่ีแสดงสัญลักษณ์ (Symbolic Orientation Set) 2) ประเภทที่
เกี่ยวกับวัฒนธรรมในการตัดสินใจ (Cultural Determinant Set) 3) ประเภทท่ีเก่ียวกับการใช้เหตุผล
(Modalities of Inference Set) และ 4) ประเภทท่ีเกี่ยวกับความจา (Memory Set) (ธารง บัวศรี, 2532: 113
- 114)

64

ข้อมูลเกี่ยวกับธรรมชาติของความรู้ดังกล่าว มีความสาคัญต่อการพัฒนาหลักสูตรและการจัด
การเรียนการสอน นับตั้งแต่การเลือกสิ่งท่ีต้องเรียนรู้ การสร้างความสมดุลทางความรู้ การจัดหลักสูตรที่
สร้างความเขา้ ใจในตนเอง และความสามารถในการแก้ปัญหา สามารถสนองความแตกตา่ งระหว่างบุคคล
และการสร้างศักยภาพในการเส่ียงหาความรู้ความเขา้ ใจตามท่ีผ้เู รียนถนัด เพราะฉะนน้ั นักพฒั นาหลกั สูตร
จงึ ควรให้ความสนใจขอ้ มูลดงั กลา่ วขา้ งตน้ ด้วย

บทสรุป
การพัฒนาหลักสูตรจาเป็นต้องใช้ข้อมูลพ้ืนฐานในด้านต่าง ๆ มาพิจารณา เพ่ือใช้ประกอบในการ

พัฒนาหลักสูตร โดยข้อมูลเหล่าน้ีจะช่วยนักพัฒนาหลักสูตรในการทาการตัดสินใจ การออกแบบหลักสูตรได้
อย่างชัดเจน เหมาะกับความต้องการ ความสนใจของผู้เรียน สอดคล้องกับความต้องการของสังคม สามารถ
พัฒนาให้ผู้เรียนมีความรู้ความสามารถ และทัศนคตทิ ี่ต้องการได้ ประกอบด้วย 1) ข้อมูลพื้นฐานด้านปรัชญา
การศึกษา ได้แก่ แนวคิดของปรัชญาการศึกษาและแนวคิดเกี่ยวกับวิธีการสอนตามปรัชญาน้ัน ๆ 2) ข้อมูล
พื้นฐานด้านจิตวิทยา ได้แก่ จิตวิทยาพัฒนาการ และจิตวิทยาการเรียนรู้ 3) ข้อมูลพ้ืนฐานด้านสังคมและ
วัฒนธรรม ได้แก่ โครงสร้างของสังคม ค่านิยมและความเช่ือของคนในสังคมธรรมชาติของคนในสังคม การ
ชน้ี าสงั คมในอนาคต การคานึงถึงความหลากหลายของคนและวัฒนธรรมในสังคม และศาสนาและวัฒนธรรม
ในสังคม 4) ข้อมูลพื้นฐานด้านเศรษฐกิจ ได้แก่ การเตรียมกาลังคน การพัฒนาอาชีพ การขยายตัวทางด้าน
อุตสาหกรรม การพัฒนาคุณลักษณะของบุคคลในระบบเศรษฐกิจของคนไทย และการลงทุนทางการศึกษา
5) ข้อมูลพ้ืนฐานด้านการเมือง การปกครอง ได้แก่ ระบบการเมืองและระบบการปกครอง นโยบายของรัฐ
และรากฐานของประชาธิปไตย 6) ข้อมูลพ้ืนฐานด้านสภาพปัญหาและแนวทางการแก้ปัญหาในสังคม ได้แก่
ปัญหาทางด้านสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ ปัญหาทางด้านสังคม ปัญหาด้านเศรษฐกิจ และปัญหาทางด้าน
การเมืองการปกครอง 7) ข้อมูลพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้แก่ ข้อมูลทางด้านวิทยาศาสตร์
และเทคโนโลยีในปัจจุบันและแนวโน้มความเจริญทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในอนาคต 8) ข้อมูล
พนื้ ฐานด้านสภาพสังคมในอนาคต ได้แก่ อุตสาหกรรมขนาดยอ่ ม (SME) อุตสาหกรรมท้องถิ่น (OTOP) มีมาก
ขึน้ งานอาชีพอิสระมีแนวโน้มจะมีความสาคัญมากขึ้น สภาพสังคมจะมีการแข่งขนั และการต่อสู้เพ่ือความอยู่
รอดเฉพาะตัวมากขึ้น การประพฤติปฏิบัติของคนไทยจะเปล่ียนไปจากวัฒนธรรมด้ังเดิม และการดาเนินชีวิต
ของคนไทยจะประสบปัญหา 9) ข้อมูลพ้ืนฐานจากบุคคลภายนอกและนักวิชาการสาขาต่าง ๆ ได้แก่ ข้อมูล
จากนักวิชาการ ข้อมูลจากสถานประกอบการ 10) ข้อมูลพ้ืนฐานทางประวัติศาสตร์และการศึกษาหลักสูตร
เดิม ได้แก่ การศึกษาประวัติศาสตร์ และการศึกษาประวัติการศึกษา และ 11) ข้อมูลพื้นฐานด้านธรรมชาติ

65

ของความรู้ ได้แก่ แนวคิดเก่ียวกับความรู้ โครงสร้างของความรู้ โครงสร้างของสมองกับพัฒนาการทางความรู้
แบบฉบบั ของการสร้างความรู้ความเขา้ ใจ และประเภทของความรู้ความเข้าใจ

เอกสารอ้างองิ
ดนชุ า ปนคา. (2556). “การวจิ ัยและพฒั นาหลักสตู รตามทฤษฎกี ารศึกษาเพื่อสงั คมที่ดีกวา่ ”. วารสาร

ศิลปากรศึกษาศาสตรว์ ิจยั . 5(2), 322-334.
ทิศนา แขมมณ.ี (2550). รูปแบบการเรียนการสอนทางเลือกทหี่ ลากหลาย. กรงุ เทพฯ: สานักพิมพ์

จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั .
________. (2556). ศาสตร์การสอน: องคค์ วามรู้เพ่ือการจดั กระบวนการเรียนรู้ทีม่ ีประสิทธภิ าพ. (พิมพ์

ครั้งที่ 15). กรงุ เทพฯ: สานกั พิมพ์จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั .
ธารง บัวศร.ี (2532). ทฤษฎหี ลักสตู ร. (พิมพ์คร้งั ที่ 2). กรงุ เทพฯ: คุรุสภาลาดพรา้ ว.
บุญชม ศรีสะอาด. (2555). การพฒั นาหลักสตู รและการวจิ ัยเกยี่ วกับหลกั สตู ร. กรงุ เทพฯ: สวุ รี ยิ าสาสน์ .
ไพฑรู ย์ สินลารัตน์. (2553). CCPR กรอบคิดใหม่ทางการศึกษา. กรุงเทพฯ: มหาวทิ ยาลัยธรุ กิจบัณฑติ ย.์
แฝงกมล เพชรเกล้ียง. (2559). เอกสารประกอบการสอนรายวชิ าการพัฒนาหลักสูตรและการจดั

การศกึ ษาไทย. กรุงเทพฯ: สหธรรมมกิ .
วิชัย วงษใ์ หญ่. (2537). กระบวนการพฒั นาหลกั สูตรและกระบวนการเรยี นการสอนภาคปฏบิ ตั ิ.

กรุงเทพฯ: สวุ ีรยิ าสาสน์ .
วิทวฒั น์ ขัตตยิ ะมาน และอมลวรรณ วรี ะธรรมโม. (2549). การพัฒนาหลักสตู ร. สงขลา: คณะ

ศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยทักษณิ .
วทิ วัส รุ่งเรืองผล, กฤษฎารตั น์ วัฒนสวุ รรณ และสุรัตน์ ทีรฆาภิบาล. (2562). “การพัฒนาหลกั สูตรและ

แนวทางการสอน เพ่ือสรา้ งนักการตลาดสปู่ ระเทศไทย 4.0”. วารสารสังคมวจิ ยั และพัฒนา.
1(1), 1-27.
สงัด อทุ รานันท์. (2532). พ้นื ฐานและการพฒั นาหลกั สูตร. (พมิ พ์คร้ังที่ 3). กรงุ เทพฯ: มิตรสยาม.
สาโรช บัวศรี. (2514). ขอ้ คิดเกี่ยวกบั ปรัชญาการศึกษาไทย: ความคิดบางประการทางการศึกษา.
กรุงเทพฯ: กรมการฝึกหดั คร.ู
สุชรี า มะหิเมอื ง. (2559). แนวโนม้ ภาพอนาคตการศึกษาและการเรยี นรู้ของไทยในปี พ.ศ. 2573.
กรุงเทพฯ: สานักงานเลขาธกิ ารสภาการศกึ ษา.
สุนยี ์ ภพู่ นั ธ.์ (2546). แนวคิดพ้นื ฐานการสรา้ งและพฒั นาหลกั สูตร. เชยี งใหม่: เดอะโนว์เลจ เซ็นเตอร์.

66

หรรษา นลิ วิเชียร. (2547). การพัฒนาหลักสตู รโดยใชโ้ รงเรยี นเป็นฐานหลกั การและแนวปฏบิ ัต.ิ
ปัตตานี: มหาวทิ ยาลยั สงขลานครินทร์.

Bigge. M. L. (1982). Learning theories for teachers. (4th ed.). New York: Harper & Row,
Publishers.

Hass. G. (1977). Curriculum Planning: A New Approach. Boston: Allyn and Bacon.
Lall. G. R. & Lall, B. M. (1983). Ways children learn. Illinois: Charles C. Thomas Publishers.
Ornstein. A. C. (1993). Curriculum Foundations, Principles and lssues. (2nd ed.). Boston:

Allyn and Bacon.
Pavlov. I. P. (1849 - 1936). Lectures on Conditioned Reflexes. New York: International

Publishers.
Saylor, J. G., & Alexander, W. M. (1974). Planning curriculum for schools. Holt, Rinehart

and Winston.
Wood. G. H. (1990). Teaching for Democracy educational Leadership 48. (3rd ed.). 32 -37.

67

บทที่ 3
การพฒั นาหลกั สตู ร

ธนภัทร จันทร์เจริญ

บทนา
การพัฒนาหลักสูตรเป็นกระบวนการวางแผนการจัดการเรียนรู้ เพ่ือให้ผู้เรียนเกิดการเปล่ียนแปลง

พฤติกรรมตามจุดประสงค์ท่ีกาหนดไว้ และเป็นการวางแผนการประเมินผลเพื่อให้ทราบถึงการเปลี่ยนแปลง
ในตัวผู้เรียนว่าบรรลุตามจุดประสงค์ท่ีมุ่งหมายหรือกาหนดไว้จริงหรือไม่ มากน้อยเพียงใด เพ่ือนาผลที่ได้ไป
ปรับปรุงแก้ไขหรือพัฒนาหลักสูตรให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น หลักสูตรท่ีดีจะต้องเหมาะสมและสอดคล้อง
กับสภาพวิถีชีวิต สังคมของผู้เรียน สภาพเศรษฐกิจ การเปลี่ยนแปลงของสังคม ความก้าวหน้าทางวิทยาการ
และเทคโนโลยีต่าง ๆ ตลอดจนแนวนโยบายของรัฐต่อการพัฒนาประเทศในทุก ๆ ด้าน จึงจะสามารถพัฒนา
ผเู้ รียนให้เทา่ ทนั ตอ่ การเปล่ียนแปลงของสังคมและสามารถดารงชวี ติ อยดู่ ีได้

ความต้องการในการพัฒนาหลักสูตรเป็นสิ่งที่เห็นได้อย่างชัดเจนมาก เพราะการจัดการศึกษา
ไม่ว่าจะเป็นระดับใด รูปแบบใด ก็ล้วนแล้วแต่ต้องอาศัยหลักสูตรเป็นเข็มทิศชี้นาแนวทางในการจัด
การศึกษาทั้งสิ้น การพัฒนาหลักสูตรจึงต้องดาเนินการอย่างมีหลักการ มีระบบ และพัฒนาอย่างต่อเน่ือง
บนพื้นฐานของความร่วมมือและการมีส่วนร่วมของผู้ที่มีส่วนเก่ียวข้องทุกฝ่ายทุกระดับ ตลอดจน
ผู้เชี่ยวชาญภายนอกด้วย จึงจะถือได้ว่ากระบวนการพัฒนาหลักสูตรนั้นมีประสิทธิภาพและเป็นที่ยอมรับ
ได้ในวงวชิ าการ

กระบวนการพัฒนาหลักสูตรท่ีมีประสิทธิภาพ จาเป็นอย่างยิ่งที่นักพัฒนาหลักสูตรจะต้องศึกษา
และทาความเข้าใจในองค์ความรู้ท่ีเก่ียวข้องอย่างละเอียดลึกซึ้งและครอบ คลุมในศาสตร์อย่างชัดเจน
และเพียงพอ ฐานความคิดของการพัฒนาหลักสูตรอยู่ท่ีความเช่ือ ปรัชญา และโลกทัศน์ของผู้รับผิดชอบ
ในการพัฒนาหลักสูตร กอปรกับจะต้องมีความรู้ในหลักวิชาท่ีถูกต้องและชัดเจนเก่ียวกับแนวคิดทฤษฎี
ด้านการพัฒนาหลักสูตรควบคู่กันไป ในบทน้ีจะได้นาเสนอแนวคิดและทฤษฎีท่ีเก่ียวข้องกับการพัฒนา
หลักสูตรในประเด็นตา่ ง ๆ ประกอบด้วย ความหมายของการพัฒนาหลักสูตร ความสาคัญของการพัฒนา
หลักสูตร หลักการพัฒนาหลักสูตร คาศัพท์เกี่ยวกับการพัฒนาหลักสูตร รูปแบบการพัฒนาหลักสูตร
คาถามและข้อแนะนาในการพฒั นาหลกั สูตรและกระบวนการพัฒนาหลักสูตร ซ่ึงมีรายละเอยี ดตามลาดับ
หวั ขอ้ (ธนภัทร จันทร์เจริญ, 2561: 39-53) ดังนี้

68

1. ความหมายของการพฒั นาหลกั สูตร
การพัฒนาหลักสูตร ตรงกับคาศัพท์ในภาษาอังกฤษว่า Curriculum Development ซึ่ง

นกั การศึกษาและนกั พัฒนาหลักสูตรไดใ้ ห้ความหมายไว้ ดงั น้ี
ทาบา (Taba, 1962A: 82) กล่าวว่า การพัฒนาหลักสูตร หมายถึง การเปลี่ยนแปลงปรับปรุง

หลักสูตรอันเดิมให้ได้ผลดีย่ิงข้ึน ท้ังในด้านการวางจุดมุ่งหมาย การจัดเน้ือหา การเรียนการสอน การวัดผล
ประเมินผลและอน่ื ๆ เพื่อให้บรรลุจุดม่งุ หมายใหมท่ ว่ี างไว้

กู๊ด (Good, 1973: 157) ได้กล่าวถึงความหมายของการพัฒนาหลักสูตรไว้ 2 ประการ คือ
1) การปรับปรุงหลักสูตร หมายถึง การพัฒนาหลักสูตรเพื่อให้มีความเหมาะสมกับโรงเรียนหรือระบบ
โรงเรียน จุดมุ่งหมายของการสอน หลักสูตร วิธีสอน รวมท้ังการประเมินผล โดยจัดให้มีการปรับปรุง
หลักสูตรทั้งระบบติดต่อกันไปหรือปรับปรุงโปรแกรมการศึกษาให้เหมาะสม และ 2) การเปลี่ยนแปลง
หลักสูตร หมายถึง การดัดแปลงให้แตกต่างออกไปจากเดิม เป็นการสร้างโอกาสทางการเรียนขึ้นใหม่
โดยการเปลีย่ นแปลงแบบหลักสตู ร

เซเลอร์ และอเล็กซานเดอร์ (Saylor and Alexander, 1974: 86) ให้ความหมายของการพัฒนา
หลักสูตรว่า หมายถึง การจัดทาหลักสูตรเดิมท่ีมีอยู่แล้วให้ดีข้ึน หรือเป็นการจัดทาหลักสูตรใหม่โดยไม่มี
หลักสูตรอยู่ก่อน การพฒั นาหลักสตู รอาจหมายรวมถงึ การสร้างเอกสารอ่ืน ๆ สาหรับนักเรยี นดว้ ย

วิชัย วงษ์ใหญ่ (2525: 10) ให้ความหมายของการพัฒนาหลักสูตรว่า หมายถึง การพยายาม
วางโครงการที่จะช่วยให้นักเรียนได้เรียนรู้ ตรงตามจุดมุ่งหมายท่ีกาหนดไว้ หรือการพัฒนาหลักสูตร
และการสอน คือ ระบบโครงสร้างของการจัดโปรแกรมการสอน การกาหนดจุดมุ่งหมาย เน้ือหาสาระ
การปรับปรุงตาราแบบเรียน คู่มือครู และสื่อการเรียนต่าง ๆ การวัดและการประเมินผลการใช้หลักสูตร
การปรับปรุงแก้ไข และการให้การอบรมครูผู้ใช้หลักสูตรให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของการพัฒนาหลักสูตร
และการสอน รวมท้ังการบริหารและบริหารหลักสูตร

ศกั ด์ิศรี ปาณะกุล และคณะ (2556: 5) กลา่ ววา่ การพัฒนาหลกั สูตร หมายถึง การจัดทาหลกั สูตร
ขนึ้ มาใหม่ โดยท่ียังไม่เคยมีหลักสูตรน้ันมาก่อนเลย กับในอีกความหมายหน่ึง หมายถึง การจัดทาหลักสูตรท่ีมี
อยู่แล้วให้ดีขึ้นกวา่ เดิม

ชัยวัฒน์ สุทธิรัตน์ (2559: 75) กล่าวว่าการพัฒนาหลักสูตรมีความหมายอยู่ 2 ลักษณะ คือ
1) เป็นการพัฒนาหลักสูตรเดิมท่ีมีอยู่แล้วให้ดีข้ึน และ 2) เป็นการจัดทาหลักสูตรใหม่ท่ีไม่มีหลักสูตรเดิม
อยู่ก่อนเลย ซึ่งการพัฒนาดังกล่าวจะช่วยพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณลักษณะท่ีดีขึ้น สอดคล้องกับสภาพสังคม
และบรรลุตามจุดมงุ่ หมายท่ีกาหนดไว้

69

จากแนวคิดของนักหลักสตู รทไี่ ด้กล่าวมาข้างต้น สรุปได้วา่ การพัฒนาหลักสูตรมีความหมายกว้าง
ครอบคลุม 2 นัย คือ 1) การสร้างหลักสูตรข้ึนมาใหม่โดยที่ยังไม่เคยมีหลักสูตรน้ันปรากฏมาก่อน
หรือ 2) การพัฒนาหลักสูตรเดิมที่มีอยู่แล้วให้ดีย่ิงขึ้นหรือมีประสิทธิภาพมากข้ึน เหมาะสมสอดคล้องกับ
โรงเรียนหรือระบบโรงเรียน จุดมุ่งหมายของการสอน หลักสูตรและวิธีสอน รวมทั้งการประเมินผล
เพอ่ื พฒั นาผเู้ รยี นใหม้ คี ณุ ลกั ษณะทีด่ ตี ามจุดมุ่งหมายหรือความคาดหวงั ท่ีกาหนดไว้

2. ความสาคญั ของการพฒั นาหลักสตู ร
โลกในปัจจุบันมีสภาวะการเปลี่ยนแปลงท่ีรวดเร็ว รุนแรง ต่อเนื่อง สลับซับซ้อน และเป็นพลวัต

อยู่ตลอดเวลา การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวเป็นผลที่เกิดขึน้ จากสภาพแวดลอ้ มตามธรรมชาติและสิ่งท่ีเกิดขึ้น
จากการสรรค์สร้างส่ิงประดิษฐ์จากความคิดของมนุษย์ โดยอาศัยความเจริญก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยี
และวิทยาการต่าง ๆ ส่งผลกระทบให้สังคม เศรษฐกิจ และด้านอื่น ๆ เกิดการเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย
การศึกษาจึงไม่อาจหยุดนิ่งและใช้วธิ ีการตั้งรับเหมือนในอดีตได้อีกต่อไป การใช้หลกั สูตรเก่าหรือหลักสูตร
เดิม ๆ เพ่ือการจัดการเรียนรู้แบบเดิมจะไม่สามารถพัฒนาทรัพยากรบุคคลให้เป็นต้นทุนทางสังคมท่ีมี
คุณค่าและ มีคุณภาพสอดรับกับความเปลี่ยนแปลงของสังคมในยุคโลกาภิวัตน์ได้กระบวนการพัฒนา
หลักสูตรจึงต้องกระทาอยู่อย่างต่อเน่ืองเป็นระยะ ๆ เพื่อให้เหมาะสมกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น
และก้าวทันต่อความต้องการของสังคมอย่างเพียงพอ การพัฒนาหลักสูตรมีความสาคัญต่อปัจจัยในด้าน
ตา่ ง ๆ ดงั น้ี (ศกั ดศิ์ รี ปาณะกลุ และคณะ, 2556: 5-6)

1. การพัฒนาด้านเศรษฐกิจ สภาวะการเปล่ียนแปลงทางเศรษฐกิจเป็นไปอย่างรวดเร็ว ระบบ
การค้าในระดับโลกหรือภูมิภาคท่ีมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศมีหลายอย่างมากข้ึน การปรับตัว
ทางการค้าไม่เท่าทันสภาวะการเปล่ียนแปลงระดับโลกทาให้เสียเปรียบคู่แข่งในต่างประเทศ อาชีพ
เกดิ ใหมม่ ีมากข้นึ ทกุ ขณะ การพฒั นาใหผ้ ้เู รยี นสามารถสรา้ งอาชีพได้ด้วยตนเองจงึ มีความจาเป็นมากขน้ึ

2. การพัฒนาด้านการเมืองและการปกครอง การปลูกฝังแนวความคิดท่ีช่วยส่งเสริมความเป็น
ประชาธิปไตยอย่างถูกต้องเป็นสิ่งสาคัญและจาเป็นอย่างย่ิง ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาในเรื่องการซื้อสิทธิ
ขายเสียงในการเลอื กผู้แทนแตล่ ะครงั้ ทยี่ งั คงมีมากอยู่ใหห้ มดไป

3. การพัฒนาด้านสังคม โดยสังคมคาดหวังท่ีจะให้การศึกษาช่วยปลูกฝังและถ่ายทอดวัฒนธรรม
ที่ดีงามของสังคมให้ดารงคงอยู่ต่อไป ซ่ึงในขณะน้ีการไหลบ่าทางวัฒนธรรมจากต่างประเทศกาลัง
เคลื่อนย้ายเข้ามาอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะจากสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ตลอดจนปัญหาสังคมในกลุ่มวัยรุ่น
เช่น ปัญหายาเสพติด ปัญหาโรคเอดส์ นอกจากนี้ยังมีปัญหาสังคมอันเนื่องมาจากการพัฒนาประเทศ

70

ในด้านอ่ืน ๆ อีกด้วย เช่น สภาพสังคมท่ีมีความแตกต่างกันมากของสังคมเมืองกับสังคมชนบท สภาพ
ปัญหาต่าง ๆ เหลา่ น้ี หลักสูตรท่ีพฒั นาใหม่ต้องช่วยพฒั นาสังคมใหด้ ขี ้นึ ไดด้ ว้ ย

4. การพัฒนาด้านวิชาการ ความรู้ทางด้านวิทยาการต่าง ๆ มีความเจริญและเพ่ิมข้ึนรวดเร็วมาก
โดยเฉพาะความรู้ความก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ทาให้เกิดเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่ส่งผล
กระทบต่อการเปลี่ยนแปลงของสังคม เช่น เทคโนโลยีสื่อสารโทรคมนาคมคอมพิวเตอร์ ตลอดจนความรู้
ใหม่ ๆ ด้านชีวภาพการปรับแต่งพันธุกรรม การพัฒนาหลักสูตรจึงต้องสามารถเตรียมผู้เรียนให้พร้อม
รบั มือกับวทิ ยาการใหม่ ๆ ได้ทนั กบั ความกา้ วหน้าท่ีเกิดข้นึ

5. การแก้ปัญหาด้านส่ิงแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ การใช้ทรัพยากรธรรมชาติจนเกิน
ขีดจากัด มีผลต่ออนาคตของคนรุ่นต่อ ๆ ไป ทาให้ไม่มีทรัพยากรธรรมชาติเพียงพอ ปัญหามลพิษทางน้า
ทางบกและทางอากาศมีมากขึ้น การพัฒนาหลักสูตรต้องช่วยลดปัญหาเหล่าน้ีลงได้ โดยสอนให้ผู้เรียน
เกิดความรู้ รับรู้ และตระหนักในปัญหาทเ่ี กดิ ขนึ้ เพ่ือจะไดช้ ่วยป้องกนั และแก้ไขปญั หาต่อไปในอนาคต
3. หลักการพัฒนาหลกั สูตร

กระบวนการพัฒนาหลักสูตรท่ีมีประสิทธิภาพจะต้องมีการวางแผนการดาเนินงานอย่างเป็นระบบ
มีลาดับขั้นตอนท่ีต่อเนื่อง ชัดเจนและถูกต้อง จึงจะทาให้การพัฒนาหลักสูตรน้ันมีคุณภาพ การดาเนินการ
เพอื่ พัฒนาหลักสูตรจาเป็นตอ้ งคานึงถงึ หลกั การสาคัญ ดังน้ี (ชยั วัฒน์ สทุ ธิรตั น์, 2559: 75-76)

1. การพัฒนาหลักสูตรจาเป็นต้องมีผู้นาท่ีเช่ียวชาญและมีความสามารถเร่ืองการพัฒนาหลักสูตร
เปน็ อยา่ งดี

2. การพัฒนาหลกั สตู รจาเปน็ ตอ้ งได้รับความชว่ ยเหลือ ความรว่ มมือและการประสานงานอย่างดี
จากบุคคลที่เกี่ยวข้องทกุ ฝา่ ยทุกระดบั

3. การพัฒนาหลักสูตรจาเป็นต้องมีการดาเนินงานอย่างเป็นระเบียบแบบแผนต่อเน่ืองกันไป
เร่ิมตั้งแต่การวางจุดมุ่งหมายในการพัฒนาหลักสูตรจนถึงการประเมินผลหลักสูตร ในการดาเนินงาน
จะต้องคานึงถึงจุดเร่ิมต้นในการเปลี่ยนแปลงว่า การพัฒนาหลักสูตรจะเริ่มที่จุดใด จะเป็นการพัฒนา
ส่วนย่อย หรือการพัฒนาท้ังระบบ และจะดาเนินการอย่างไรในข้ันต่อไป ส่ิงเหล่าน้ีเป็นสิ่งท่ีผู้มีหน้าที่
ในการพัฒนาหลักสูตรไม่ว่าจะเป็นผู้เช่ียวชาญทางด้านการจัดหลักสูตร ครูผู้สอนหรือนักวิชาการทางด้าน
การศึกษาและบุคคลต่าง ๆ ที่เก่ียวข้อง จะต้องร่วมมือกันพิจารณาอย่างรอบคอบและดาเนินการอย่าง
มรี ะเบียบแบบแผนทลี ะข้ันตอน

4. การพัฒนาหลักสูตรจะต้องรวมถึงผลงานต่าง ๆ ทางด้านหลักสูตรที่ได้สร้างขึ้นมาใหม่อย่าง
มีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นเอกสารหลักสูตร เน้ือหารายวิชา การทาการทดสอบหลักสูตร การนาหลักสูตร
ไปใช้ หรอื การจดั การเรียนการสอน

71

5. การพัฒนาหลักสูตรท่ีมีประสิทธิภาพ จะต้องมีการฝึกอบรมให้กับครูประจาการ ให้มีความรู้
ความเข้าใจในหลักสูตรใหม่ ความคิดใหม่ และแนวทางการจัดการเรียนการสอนตามหลักสูตรใหม่
การพฒั นาหลกั สตู รจาเป็นทจ่ี ะต้องคานึงถึงประโยชน์ในการพฒั นาจิตใจ และทัศนคตขิ องผเู้ รียนดว้ ย

4. คาศพั ทท์ ี่เก่ยี วกบั การพัฒนาหลักสูตร
ในการศึกษาทฤษฎีการวางแผนหรือพัฒนาหลักสูตร จะพบว่ามีคาศัพท์อยู่หลายคาที่มี

ความหมายเฉพาะ แต่คล้ายคลึงกัน ดังน้ี (สิริพัชร์ เจษฎาวิโรจน์, 2559: 221; มนสิช สิทธิสมบูรณ์.
ม.ป.ป.: 4-6)

การร่างหลักสูตร (Curriculum Planning) หมายถึง กระบวนการการสร้างหลักสูตร ซ่ึงจะ
กลา่ วถงึ หลักสตู รในรปู ทคี่ าดหวงั หรือท่เี ปน็ แผนอยา่ งหน่ึง

การพัฒนาหลักสูตร (Curriculum Development) หมายถึง การสร้าง Curriculum Materials
รวมทั้งสื่อการเรียนท่ีนักเรียนใช้ มิได้หมายถึงการวางแผนหลักสูตร แต่จะเป็นผลท่ีเกิดขึ้นจากการวางแผน
หลกั สูตร

การสร้างหลักสูตร (Curriculum Construction และ Curriculum Revision) เป็นคาศัพท์ที่ใช้
กนั มาแตด่ ัง้ เดิม หมายถึง การเขียนและการปรับปรงุ รายวิชาท่ศี กึ ษา

การปรับปรุงหลักสูตร (Curriculum Improvement) หมายถึง การปรับปรุงหรือการวางแผน
หลักสูตรในส่วนที่เป็นเป้าประสงค์มากกว่าท่ีจะหมายถึงกระบวนการในการวางแผนหรือพัฒนาหลักสูตร
ทฤษฎีเกี่ยวกับวิชาและเนื้อหาวิชาท่ีจะนาไปสอน ในกรณีท่ีมองหลักสูตรว่า เป็นวิชาและเนื้อหาวิชาท่ีจะ
นาไปสอน ทฤษฎีการพัฒนาหลักสูตรก็จะกล่าวถึงในการเลือกเนื้อหาและการจัดการเนื้อหาลงในระดับ
ชั้นต่าง ๆ

จากความหมายของคาศัพท์ท่ีได้กล่าวมาแล้วในเบ้ืองต้น อาจกล่าวได้ว่า การพัฒนาหลักสูตร
มีความหมายกว้างโดยจะหมายถึง การดาเนินการจัดทาหลักสูตรขึ้นมาใหม่หรือการจัดทาหลักสูตรท่ีมีอยู่
แล้วให้ดีขึ้นก็ได้ ซึ่งคาศัพท์ที่มีความหมายใกล้เคียงกับการพัฒนาหลักสูตรมากท่ีสุดก็คือ การร่างหลักสูตร
(Curriculum Planning) สาหรับการสร้างหลักสูตร ( Curriculum Construction) ค่อนข้างจะมี
ความหมายแคบ คือ มุ่งถึงการสร้างหลักสูตรหรือจัดทารายวิชาขึ้นมาใหม่เพียงอย่างเดียว ส่วนการปรับปรุง
หลกั สตู ร (Curriculum Improvement) ก็คอ่ นข้างจะมุ่งถึงการจัดทาหลักสูตรโดยอาศัยหลักสูตรที่มอี ยเู่ ดิม
เป็นรากฐาน จึงมีความหมายที่แคบกว่าคาว่าการพัฒนาหลกั สูตร

72

5. รูปแบบการพัฒนาหลกั สูตร
รูปแบบของการพัฒนาหลักสูตรโดยท่ัวไปส่วนมากมักจะพัฒนามาจากแนวคิดของนักการศึกษา

ชาวต่างชาติ แต่ละรูปแบบอาจจะมีรายละเอียดหรือข้ันตอนท่ีแตกต่างกันออกไปอยู่บ้าง การเลือกใช้
ข้ึนอยู่กบั ความเหมาะสมและความสนใจของผู้พฒั นาหลักสูตร การนาเสนอในส่วนนจ้ี ะขอนาเสนอรูปแบบ
ของการพฒั นาหลักสตู รตามแนวคดิ ดงั น้ี

1. รูปแบบการพฒั นาหลกั สูตรของไทเลอร์ (Ralph W. Tyler)
ไทเลอร์ได้เสนอแนวคิดพน้ื ฐานในการพัฒนาหลักสตู ร โดยระบวุ ่าการพัฒนาหลกั สูตรน้นั ตอ้ งตอบ
คาถามสาคัญให้ไดท้ ัง้ 4 ข้อ คือ (Tyler, 1949: 3)
1) มีความมงุ่ หมายทางการศึกษา (Educational Purposes) อะไรบ้างทโี่ รงเรียนควรจะแสวงหา
2) มีประสบการณ์ทางการศึกษา (Educational Experiences) อะไรบ้างที่โรงเรียนควรจัดข้ึน
เพือ่ ให้บรรลุจดุ ประสงคท์ ี่กาหนดไว้
3) จะจดั ประสบการณ์ทางการศึกษาอย่างไรจงึ จะทาใหก้ ารสอนมีประสทิ ธิภาพ
4) จะประเมินประสิทธิผลของประสบการณ์ในการเรียนอย่างไรจึงจะตัดสินใจได้ว่าบรรลุถึง
จดุ ประสงค์ท่กี าหนดไว้
จากคาถามข้างต้นนามาสู่การกาหนดรูปแบบการพัฒนาหลักสูตรของไทเลอร์ซึ่งสามารถอธิบาย
รายละเอียดในแต่ละประเด็นได้ ดงั นี้
1) การกาหนดวัตถุประสงค์ (Identify General Objectives) เป็นการคัดเลือกวัตถุประสงค์
ของหลักสูตร โดยอาศัยแหล่งข้อมูล 3 ทางคือ ข้อมูลทางด้านเน้ือหาวิชา ข้อมูลด้านผู้เรียน และข้อมูล
ทางสังคม โดยเรียกว่าวัตถุประสงค์ชั่วคราว (Tentative General Objectives) เม่ือเลือกวัตถุประสงค์
ได้แล้ว ต้องนามากล่ันกรองโดยใช้เกณฑ์การพิจารณา 2 ด้าน คือ พิจารณาจากปรัชญาการศึกษา
ของโรงเรียนปรัชญาทางสังคมและจิตวิทยาการเรียนรู้ วัตถุประสงค์ที่ผ่าน การกล่ันกรองแล้ว จะเป็นลักษณะ
วัตถปุ ระสงค์ทเ่ี จาะจงมากขึ้น ซ่งึ ไทเลอรเ์ รียกวา่ จุดประสงค์การเรยี นการสอน (Instructional Objectives)
2) การเลือกประสบการณ์การเรียนรู้ (Selection of Educational Experiences) โดยคัดเลือก
ใหส้ อดคล้องกับวตั ถปุ ระสงค์ หลกั การเรียนร้แู ละพัฒนาการของผเู้ รยี น
3) การจัดเรียงลาดับประสบการณ์การเรียนรู้ (Organization of Learning Experiences)
เป็นประสบการณ์การเรียนรู้อย่างเป็นระบบ เรียงตามลาดับขั้นตอน ต้องมีเนื้อหาครบทุกด้านท้ังด้าน
ความคิด หลักการ ค่านิยมและทักษะ ต้องมีความสัมพันธ์ สอดคล้องกับธรรมชาติของผู้เรียน
และธรรมชาตขิ องเนื้อหาท่ีมคี วามแตกต่างกนั

73

4) การประเมินผลประสบการณ์การเรียนรู้ ( Evaluation of Learning Experiences)
เป็นขั้นตอนสุดท้ายของการพัฒนาหลักสูตร เน่ืองจากเปน็ ข้ันตอนที่ตรวจสอบว่าประสบการณ์ การเรียนรู้
ทจ่ี ัดสาหรับผู้เรียนน้ัน บรรลุตามวตั ถุประสงค์ที่กาหนดไว้หรอื ไมเ่ พียงใด

จากรูปแบบการพัฒนาหลักสูตรของไทเลอร์ เป็นการใช้ข้อมูลท่ีหลากหลายในการคัดเลือก
จุดมุ่งหมาย โดยอาศัยข้อมูลด้านเน้ือหาวิชา ข้อมูลทางด้านสังคม และข้อมูลด้านตัวผู้เรียน มาช่วย
ในการกาหนดจุดมุ่งหมายชั่วคราวและมีการกลั่นกรองด้วยข้อมูลด้านปรัชญาการศึกษา และจิตวิทยา
การเรียนรู้ อีกครั้งเพ่ือกาหนดเป็นจุดมุ่งหมายท่ีแท้จริงของหลักสูตร ต่อมาจึงดาเนินการเลือก
และจัดประสบการณ์การเรียนรู้ โดยใช้หลักความต่อเน่ืองจากระดับหน่ึงไปยังอีกระดับหนึ่งท่ีสูงขึ้น จากสิ่งท่ี
เกิดก่อนไปสู่สิ่งที่เกิดขึน้ ภายหลัง หรอื จากสิง่ ท่ีง่ายไปสู่สิง่ ที่ยากและบรู ณาการ และการประเมินผลโดยยึด
หลกั การใชเ้ ครื่องมอื ทีม่ ีความเป็นปรนัย มีความเช่อื ม่ันไดแ้ ละมคี วามเทีย่ งตรง

2. รปู แบบการพัฒนาหลักสูตรของทาบา (Hilda Taba)
ทาบาเป็นนักการศึกษาอีกผู้หน่ึง ท่ีมีแนวคิดเก่ียวกับรูปแบบการพัฒนาหลักสูตรท่ีมีข้ันตอน

คลา้ ยรปู แบบของไทเลอร์ ซ่งึ ประกอบด้วย 7 ขน้ั ตอน ดังนี้ (Taba, 1962B: 456-459)
1) การศึกษาวิเคราะห์ความต้องการ (Diagnosis of Needs) ตรวจสภาพปัญหาและความต้องการ

และความจาเปน็ ตา่ ง ๆ ของสังคมและผู้เรยี น
2) การกาหนดจุดมุ่งหมาย (Formulation of Objective) การกาหนดจุดมุ่งหมายให้ชัดเจน

หลังจากการได้ศกึ ษาวเิ คราะหค์ วามตอ้ งการแล้ว
3) การเลือกเนื้อหาสาระ (Selection of Content) จุดมุ่งหมายท่ีกาหนดแล้วจะมีส่วนช่วยเหลือ

ในการเลือกเน้ือหาสาระ ซึ่งนอกจากจะต้องให้สอดคล้องกับจุดมุ่งหมาย วัยและความสามารถของผู้เรียน
แล้ว ยงั จาเป็นตอ้ งมคี วามเชื่อถือและมีความสมั พันธ์ต่อผูเ้ รียนด้วย

4) การจัดรวบรวมเนื้อหาสาระ (Organization of Content) เน้ือหาสาระที่เลือกได้ตอ้ งนามา
จดั ลาดบั โดยคานงึ ถงึ ความต่อเน่อื ง ความยากง่าย วุฒภิ าวะ ความสามารถและความสนใจของผเู้ รยี น

5) การคัดเลือกประสบการณ์การเรียนรู้ (Selection of Learning Experiences) ครูผู้สอน
หรือผู้ที่เกี่ยวข้องจะต้องคัดเลือกประสบการณ์เรียนรู้ให้สอดคล้องกับเนื้อหาวิชาแ ละจุดมุ่งหมาย
ของหลักสูตร

6) การจัดประสบการณ์เรียนรู้ (Organization of Learning Experiences) ประสบการณ์
เรยี นรู้ควรจดั โดยคานึงถงึ เน้อื หาสาระและความตอ่ เนือ่ ง

74

7) การกาหนดส่ิงที่จะประเมินและวิธีการประเมินผล ( Determination of What to
Evaluate and of the Ways and Means of Doing it) คือ การตัดสินใจว่าจะต้องประเมินอะไร
เพ่ือตรวจสอบว่าบรรลตุ ามจดุ มงุ่ หมายท่กี าหนดไวห้ รอื ไม่ และกาหนดดว้ ยว่าจะใชว้ ิธีประเมินอย่างไร

ทั้งน้ี การดาเนินการท้งั 7 ขั้นตอนนี้ ผู้พัฒนาหลักสูตรไมจ่ าเป็นต้องเริ่มทีข่ ้ันแรกเสมอไป สามารถ
เร่ิมไดจ้ ากขั้นตอนทต่ี นเองถนัดหรอื มีความสนใจขน้ั ใดขนั้ หนึง่ กไ็ ด้

3. รปู แบบการพัฒนาหลักสูตรของเซย์เลอรแ์ ละอเล็กซานเดอร์ (Saylor and Alexander)
เซย์เลอร์และอเล็กซานเดอร์ (Saylor and Alexander, 1974: 265) ได้นาเสนอรูปแบบ

การพฒั นาหลักสตู รท่มี ขี ้นั ตอนสัมพนั ธต์ ่อเนื่องกนั ดังภาพที่ 3.1

เปา้ หมาย การออกแบบหลักสูตร การนาหลกั สตู รไปใช้ การประเมนิ หลกั สตู ร
จุดประสงค์และ ผวู้ างแผนหลกั สูตร ผูส้ อนด้วยประสบการณ์ นกั พฒั นาหลกั สตู ร
คัดเลอื กเนือ้ หาและจดั หรอื สาระการเรยี นรู้วธิ ี และครเู ลือกวิธี
ขอบเขต ประสบการณ์การ สอน และสอื่ เพือ่ ช่วยให้ การประเมินหลกั สตู ร
เรียนรใู้ หส้ อดคล้องกัน ผูเ้ รยี นเกดิ การเรยี นรู้

ผลย้อนกลบั และปรับปรุง

ภาพท่ี 3.1 รปู แบบการพัฒนาหลกั สตู รของเซย์เลอร์และอเล็กซานเดอร์ (Saylor and Alexander, 1974: 265)
จากภาพท่ี 3.1 จะเห็นได้ว่าเซย์เลอร์และอเล็กซานเดอร์เสนอรูปแบบการพัฒนาหลักสูตรท่ีเป็น

เชิงระบบโดยเริ่มที่การกาหนดเป้าหมายของหลักสูตรไว้ก่อน แล้วจึงออกแบบสร้างหลักสูตร หลังจากน้ัน
จึงนาหลักสูตรไปใช้ และประเมินผลหลักสูตรตามลาดับ ซ่ึงประมวลผลแล้วต้องมีการนาผล ท่ีได้จาก
การประเมินไปปรับปรุงหลักสูตรอีกครั้งหน่ึงเพื่อให้ได้หลักสูตรท่ีมีคุณภาพสูงขึ้นขบวนการพัฒนาหลักสูตรน้ี
จะดาเนนิ การตอ่ เนอ่ื งกนั เปน็ วงจรที่ไมส่ ้ินสดุ

4. รปู แบบการพัฒนาหลักสูตรของ โอลิวา (Oliva)
แบบจาลองการพฒั นาหลักสูตรของโอลวิ าเป็นความสัมพันธอ์ ย่างละเอยี ดระหว่างองค์ประกอบท่ี

เปน็ สาระสาคัญครอบคลมุ กระบวนการพฒั นาหลักสตู รตงั้ แต่ตน้ จนจบ นักพัฒนาหลักสูตรต้องทาความเขา้ ใจ
แต่ละขั้นโดยตลอด จากข้อมูลพนื้ ฐานการพฒั นาหลักสูตรด้านปรชั ญาถึงการประเมนิ หลักสูตร แนวคิดนเ้ี ป็น
กระบวนการทางานที่เป็นระบบ เปน็ วงจร เชอ่ื มโยงกนั ซง่ึ แสดงไดด้ ังภาพท่ี 3.2

75

ปรชั ญา จุดมงุ่ หมาย วตั ถปุ ระสงค์ การวางแผน การสอน การประเมินผล

ภาพท่ี 3.2 แบบจาลองการพัฒนาหลกั สูตรของโอลิวา
http://lifestyemyself.blogspot.com/p/oliva.html (เข้าถึงเม่อื 7 สิงหาคม 2562)

โอลิวา (Oliva, 1992: 171-175) ได้แนวคดิ ในการพัฒนาหลักสูตร โดยขยายความคิดของ ตนเอง
จากท่ีได้เสนอรูปแบบการพัฒนาหลักสูตรไว้ เมื่อปี ค.ศ. 1976 ไว้แล้ว กระบวนการพัฒนาหลักสูตร
ของโอลวิ า ไดเ้ สนอองคป์ ระกอบตา่ ง ๆ ดังนี้

1) กาหนดเป้าหมายของการจัดการศึกษา ปรัชญาและหลักจิตวิทยาการศึกษา ซ่ึงเป้าหมายน้ี
เป็นความเชือ่ ท่ีได้มาจากตอ้ งการของสังคมและผูเ้ รยี น

2) วเิ คราะห์ความตอ้ งการของชุมชน ผู้เรยี นและเน้ือหาวิชา
3) กาหนดจุดหมายของหลักสตู ร
4) กาหนดวตั ถปุ ระสงคข์ องหลักสูตร
5) จดั โครงสร้างของหลกั สตู รและนาหลกั สูตรไปใช้
6) กาหนดจดุ หมายของการเรียนการสอน
7) กาหนดจุดประสงค์การเรียนการสอน
8) เลือกยทุ ธวิธกี ารจดั การเรยี นการสอน
9) เลือกวิธีการประเมนิ ผลก่อนเรียนและหลังเรยี น
10) นายุทธวธิ ีการจดั การเรยี นการสอนไปใช้
11) ประเมนิ ผลการจัดการเรียนการสอนไปใช้
12) ประเมินผลหลักสูตร
รูปแบบการพัฒนาหลักสูตรของ โอลิวา มุ่งเน้นความสัมพันธ์ระหว่างหลักสูตรและการเรียน
การสอนอยา่ งเปน็ ขน้ั ตอนซ่งึ สามารถอธบิ ายได้ดังภาพที่ 3.3

76

ภาพท่ี 3.3 กระบวนการพฒั นาหลกั สูตรของโอลิวา (Oliva)
http://lifestyemyself.blogspot.com/p/oliva.html (เขา้ ถงึ เมอื่ 7 สงิ หาคม 2562)

5. รปู แบบการพัฒนาหลักสตู รของโบแชมพ์ (Beauchamp)
โบแชมพ์ได้เสนอรูปแบบการพัฒนาหลักสูตรเชิงระบบ (Model of Curriculum System) ซ่ึงระบบ
ประกอบด้วย 3 องค์ประกอบสาคัญ คือ ตัวป้อน เน้ือหาและกระบวนการ และผลผลิต (Beauchamp,
1981: 145-149) รูปแบบการพัฒนาหลักสูตรของโบแชมพ์ เริ่มจากการวิเคราะห์ตัวป้อนเข้าของระบบ
หลักสูตร โดยพิจารณาถึงพ้ืนฐานทางการศึกษาลักษณะของชุมชน ลักษณะและบุคลิกภาพของบุคคล
รวมท้ังยังได้วิเคราะห์หลักสูตรที่มีอยู่ ความรู้ของมนุษย์และเนื้อหาวิชาแต่ละวิชา คุณค่าทางสังคม
และวัฒนธรรม และความสนใจของผู้เรียน เพ่ือนาข้อมูลเหล่านี้มากาหนดขอบเขตในการทาหลักสูตร
เลือกบุคลากรท่ีเก่ียวข้อง เลือกลาดับการดาเนินงานและวิธีการดาเนินงานโดยเลือกวัตถุประสงค์
ของหลักสูตร เลือกรูปแบบของหลักสูตร วางแผนและเขียนหลักสูตร จัดวิธีการในการนาหลักสูตรไปใช้
ตลอดจนวธิ ีการประเมินผลและการปรับปรุงหลักสูตร สาหรบั ด้านผลผลติ นั้นจะได้หลักสตู รท่ีประกอบดว้ ย
เนื้อหาที่เพ่ิมขึ้นโดยอาศัยผู้ที่มีส่วนเก่ียวข้องได้ช่วยกันสร้างข้ึน มีการเปล่ียนแปลงเจตคติ และได้ข้อคิดเห็น
ในการนาหลกั สตู รไปสู่การปฏบิ ัตดิ ังภาพที่ 3.4

77

ตวั ป้อน เน้ือหาและกระบวนการ ผลผลติ
(Input) (Output)
(Content and Processes)
-พนื้ ฐานทางการศกึ ษา -ได้หลักสตู รที่ประกอบดว้ ย
-ลักษณะของชุมชน -ขอบเขตในการทาหลักสูตร เน้ือหาท่เี พิ่มขนึ้ โดยผู้ทม่ี สี ว่ น
-ลกั ษณะและบคุ ลิกภาพของ -เลือกบุคลากร เกี่ยวข้อง
บุคคล -เลือกลาดบั การดาเนินงาน -เปลี่ยนแปลงเจตคติ
-วิเคราะห์หลกั สตู รท่มี อี ยู่ และวิธีการ -ได้ขอ้ คิดเห็นในการนา
-ความรู้ของมนุษย์และ -ดาเนินงานโดยการเลือก หลักสตู รไปส่กู ารปฏิบตั ิ
เนือ้ หาวิชาแต่ละวชิ า วัตถปุ ระสงค์ของหลักสูตร
-คุณค่าทางสังคมและ
วฒั นธรรม -วางแผนและเขียนหลักสตู ร
-ความสนใจของผ้เู รียน
-จัดวธิ กี ารในการนาหลกั สูตรไปใช้
-จัดวธิ กี ารในการประเมนิ ผล

และการปรับปรงุ หลกั สตู ร

ภาพที่ 3.4 รปู แบบการพฒั นาหลักสูตรของโบแชมพ์ (Beauchamp, 1981: 146)
จากภาพท่ี 3.4 จะเห็นได้ว่ารูปแบบการพัฒนาหลักสูตรของโบแชมพ์ เร่ิมจากการวิเคราะห์

ตัวป้อนเข้าของระบบหลักสูตร โดยพิจารณาถึงพื้นฐานทางการศึกษาลักษณะของชุมชน ลักษณะ
และบุคลิกภาพของบุคคล รวมทั้งยังได้วิเคราะห์หลักสูตรที่มีอยู่ ความรู้ของมนุษย์และเน้ือหาวิชาแต่ละวิชา
คุณค่าทางสังคมและวัฒนธรรม และความสนใจของผู้เรียน เพื่อนาข้อมูลเหล่าน้ีมากาหนดขอบเขต
ในการทาหลักสูตร เลือกบุคลากรที่เกี่ยวข้อง เลือกลาดับการดาเนินงานและวิธีการดาเนินงานโดยเลือก
วัตถุประสงค์ของหลักสูตร เลือกรูปแบบของหลักสูตร วางแผนและเขียนหลักสูตร จัดวิธีการในการนา
หลักสตู รไปใช้ ตลอดจนวธิ กี ารประเมินผลและการปรับปรุงหลกั สตู ร สาหรับด้านผลผลิตนน้ั จะได้หลกั สตู ร
ท่ีประกอบด้วยเนื้อหาท่ีเพ่ิมขึ้นโดยอาศัยผู้ท่ีมีส่วนเกี่ยวข้องได้ช่วยกันสร้างขึ้น มีการเปล่ียนแปลงเจตคติ
และได้ขอ้ คิดเหน็ ในการนาหลกั สตู รไปสกู่ ารปฏบิ ตั ิ

6. รปู แบบการพฒั นาหลักสตู รแบบ Backward Design
วิโฬฏฐ์ วัฒนานิมิตกูล (2559: 203-206) ไดศ้ ึกษาแนวคดิ ของ วิกกนิ แกรนท์และเจย์แมคทิค

(Wiggins Grant & Jay McTighe, 1998: 2) แลว้ นาเสนอวา่ แนวทางการพัฒนาหลักสูตรแบบ Backward
Design มีรากฐานจากความคิดในเร่ือง“ ความเข้าใจ (Understanding)” ซ่งึ บุคคลท้ัง 2 ดังกล่าวได้เสนอ
แนวคิดไว้ในหนังสือช่ือ“ Understanding by Design” ที่เน้นการเริ่มต้นจากเป้าหมายหรือผลลัพธ์ท่ี
ตอ้ งการ แล้วจงึ ดาเนนิ การพฒั นาหลักสูตรโดยเทยี บจากผลการเรียนรู้กับมาตรฐานและความต้องการทจ่ี ะ

78

ให้ผู้เรียนมีพฤติกรรม นอกจากนั้นยังต้องคานึงถึงความรู้พื้นฐานของผู้เรียน แบบแผนของหลักสูตร การ
วัดผล และมาตรฐานจากภายนอกด้วย สาระสาคัญของการพัฒนาหลักสูตรตามแนวทาง Backward
Design ประกอบดว้ ยขั้นตอน 3 ขนั้ ตอน คือ

ข้นั ตอนที่ 1 การกาหนดผลลัพธ์ทต่ี อ้ งการ (Identify Desired Results) ขน้ั ตอนแรกนเ้ี ริ่มต้นจาก
การตั้งคาถาม 3 ประการคือ 1) ผู้เรียนควรมีความรู้ ความเข้าใจ และสามารถทาอะไรได้บ้าง
2) ความเข้าใจที่จะทาให้เกิดคุณค่ามีอะไรบ้าง 3) ความเข้าใจน้ันจะกาหนดได้อย่างไร การดาเนินการ
ในข้ันน้ีจึงต้องตรวจสอบมาตรฐานการเรียนรู้ในระดับต่าง ๆ และความมุ่งหวังของชุมชน แล้วนามา
กาหนดความคาดหวังของหลักสูตรกาหนดกรอบแนวคิด จัดลาดับเนื้อหาสาระ ซ่ึงสามารถลาดับเป็นภาพ
วงแหวนซ้อนกัน 3 วง ดงั ภาพที่ 3.5

คุณค่าที่ใกลเ้ คยี ง

ความสาคญั ของ
ความรู้ และลงมือทา

ความคงอยู่ของ
ความในใจ

ภาพท่ี 3.5 การจดั ลาดบั หลกั สูตรแบบ Backward Design (Wiggins & McTigle, 1998: 10)
จากภาพที่ 3.5 อธิบายได้ว่า 1) วงแหวนท่ีใหญ่ท่ีสุดกล่าวถึงคุณค่าท่ีใกล้เคียง เป็นเน้ือหา

ที่กาหนดในภาพกว้างที่เก่ียวข้องหรือเป็นพื้นฐานของการเรียนรู้ เช่น กาหนดว่าต้องการให้ผู้เรียน
มีความสามารถในการอ่านเขียน ฟัง มองเห็น ศึกษา วิจัย หรืออื่น ๆ ในด้านใดบ้าง 2) ในวงแหวน
ตอนกลางเป็นความรู้ที่สาคัญ (ข้อเท็จจริง มโนทัศน์ และหลักการ) และทักษะ (กระบวนการ กลยุทธ์
วิธีการ) ซ่ึงเป็นส่วนที่กาหนดถึงประเด็นสาคัญ ๆ ท่ีทาให้ผู้เรียนรอบรู้ทั้งนี้การตรวจสอบความรู้ อาจใช้

79

วิธีการวัดผลท้ังแบบอิงเกณฑ์ และอิงกลุ่ม โดยกาหนดความรู้พื้นฐานและทักษะที่จาเป็นที่จะทาให้
ผู้เรียนมีผลการปฏิบัติได้สาเร็จลุล่วง และ 3) วงแหวนตอนในที่เล็กที่สุด เป็นการแสดงถึงความคงอยู่
ของความเข้าใจในกระบวนวิชาโดยที่ “ความคงอยู่ (Enduring)” กาหนดเฉพาะใจความสาคัญที่ต้องการ
ให้ผู้เรียนเกิดความเข้าใจอย่างลึกซ้ึงและยังคงความรู้น้ันไว้ ทั้งนี้เพื่อยืนยันว่าเน้ือหาใดบ้างที่มีคุณค่า
ต่อความเข้าใจ ดังนั้นเนื้อหาในส่วนน้ีจึงควรได้รับการคัดเลือกภายใต้เกณฑ์ท่ีชัดเจน กล่าวคือควรเป็น
เนื้อหา หัวข้อและกระบวนการท่ีมีลักษณะ ดังน้ี 1) เป็นประเด็นสาคัญ 2) เป็นหลักการสาคัญของวิชา
นน้ั ๆ 3) ตอ้ งมคี วามชัดเจน และ 4) มีศกั ยภาพพอเพียงที่จะทาใหผ้ ูเ้ รยี นผกู พันกบั สงิ่ นน้ั ๆ ตลอดไป

ข้ันตอนท่ี 2 พิจารณาผลที่ยอมรับได้ (Determine Acceptable Evidence) เป็นข้ันตอนที่เน้น
การตรวจสอบถึงหน่วยการเรียนรู้และกระบวนวิชาในลักษณะการวัดผลที่คาดว่าจะเกิดแก่ผู้เรียน
โดยจะต้องมีการยอมรับเกี่ยวกับแผนการเรียนรู้ที่จะทาให้ผู้เรียนประสบความสาเร็จดังน้ันหน่วย
การ เรีย นหรื อกร ะบว นวิช าจึง ต้อง คานึ งถึง ข้ันต อนการจั ดกิจ กร ร มกา รเรี ยนท่ี ส่งเ สริม ควา มสา เร็ จ
ของผู้เรียนอย่างไรก็ตามในการวัดผลต้องคานึงถึงช่วงเวลาและวิธีการวัดผลด้วย ซึ่งลาดับขั้นตอนวิธี
การวัดผลจะเร่ิมตั้งแต่การตรวจสอบว่าผู้เรียนมีความเข้าใจเพียงใดโดยดาเนินการอย่างไม่เป็นทางการ
เช่น การซักถามปากเปล่า การสังเกต พูดคุยอย่างไม่เป็นทางการ ในระหว่างดาเนินการสอนอาจมี
แบบทดสอยย่อยด้วยแบบทดสอบ นอกจากนี้ให้มีการสรา้ งเสริมทางวิชาการและให้ตอบคาถามปลายเปิด
และทา้ ยท่ีสดุ จึงประเมินผลการปฏบิ ตั ดิ ว้ ยการวดั ผลตามสภาพจรงิ

ขนั้ ตอนท่ี 3 การวางแผนจัดประสบการณ์การเรียนและการสอน (Plan Learning Experiences
and Instruction) ในข้นั ตอนสุดทา้ ยน้ีเป็นการออกแบบการจดั ประสบการณก์ ารเรยี นการสอนทีจ่ ะให้เกิด
ความคงอยู่ของความเข้าใจอยู่ในความทรงจาตลอดไปจึงเน้นการวางแผนการจัดกิจกรรมการสอน
โดยคานึงถึงประเด็นหลักดังต่อไปน้ี 1) ความรู้ (ข้อเท็จจริง) มโนทัศน์ และหลักการ) รวมทั้งทักษะ
หรือกระบวนการท่ีผู้เรียนจะมีความรู้และพฤติกรรมท่ีคาดหวัง 2) กิจกรรมที่จะทาให้ผู้เรียนมีความรู้
และทักษะตามท่ีต้องการ 3) วัสดุอุปกรณ์ท่ีจะช่วยเสริมให้ผู้เรียนบรรลุเป้าหมาย และ 4) แบบของ
การสอนทค่ี รอบคลุมจดุ มุ่งหมายได้อย่างมปี ระสิทธผิ ล

7. รูปแบบการพัฒนาหลักสตู รของวิชัย วงษ์ใหญ่
วิชัย วงษ์ใหญ่ (2535: 76-77) ได้นาเสนอรูปแบบการพัฒนาหลักสูตรแบบครบวงจร

(Integrated Curriculum Development Model) ประกอบด้วยระบบใหญ่ ๆ 3 ระบบ คือ ระบบ
การร่างหลักสูตร ระบบการนาหลักสูตรไปใช้ และระบบการประเมินหลักสูตร ระบบทั้ง 3 จะสัมพันธ์
ตอ่ เนอื่ งกันเพอ่ื ใหเ้ กิดภาพรวมทีเ่ ป็นเอกภาพของกระบวนการพัฒนาหลักสูตร ดังภาพท่ี 3.6

80

ระบบการรา่ งหลกั สูตร ระบบการนาหลกั สตู รไปใช้ ระบบการประเมินหลกั สูตร
-ส่งิ กาหนดหลักสูตร -การขออนมุ ัตหิ ลักสตู ร -การวางแผนการประเมิน
-รปู แบบหลักสูตร -การวางแผนการใชห้ ลักสูตร หลักสตู ร
-การตรวจสอบหลักสตู ร -การดาเนนิ การใช้หลักสตู ร -การเกบ็ ข้อมูล
-การปรบั แก้หลักสูตรก่อน -การวเิ คราะหข์ ้อมูล
นาไปใช้ -การรายงานขอ้ มลู

ภาพท่ี 3.6 รูปแบบการพัฒนาหลกั สูตรของวชิ ยั วงษใ์ หญ่ (วิชยั วงษใ์ หญ่, 2535: 76)

จากภาพที่ 3.6 รปู แบบการพัฒนาหลกั สตู รของ วชิ ัย วงษ์ใหญ่ ท้ัง 3 ระบบมีรายละเอยี ด ดังน้ี
1. ระบบการร่างหลกั สูตร ประกอบดว้ ย 4 ขน้ั ตอน ย่อย ๆ คอื

1.1 ส่ิงกาหนดหลักสูตร คือ ขั้นของการเตรียมศึกษาข้อมูลพ้ืนฐานด้านต่าง ๆ ที่จะนามาใช้
สาหรับการพฒั นาหลักสูตร อนั ได้แก่

1) ส่งิ กาหนดทางวิชาการ เป็นสิ่งสาคญั ย่ิง นกั พัฒนาหลักสูตรต้องพยายามหายทุ ธวธิ ปี รับ
ความหลากหลายทางความคิดของผู้เชี่ยวชาญสาขาต่าง ๆ และความสาคัญของสาขาวิชาต่าง ๆ ให้มี
เอกภาพเปน็ ไปตามหลักการและโครงสรา้ งของหลกั สูตรทก่ี าหนดไว้

2) สิ่งกาหนดทางสังคม วัฒนธรรมและเศรษฐกิจ เป็นสิ่งท่ีนักพัฒนาหลักสูตร ควรต้อง
ศึกษาข้อมูลพ้ืนฐานด้านต่าง ๆ ของสิ่งกาหนดเหล่าน้ีอย่างชัดเจนและถูกต้องตามหลักการ จะช่วยให้
การกาหนดรูปแบบ โครงสร้าง และมาตรฐานการศึกษาได้เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย ข้อมูลในด้านน้ี
ได้แก่ ความเชื่อ ค่านิยม ความคาดหวังของสังคม ความต้องการจัดการศึกษา หลักสูตรที่จะพัฒนา
ในอนาคต ผู้สาเร็จการศึกษาตามหลกั สูตรควรมีบทบาทอย่างไรในสงั คม วัฒนธรรมและเศรษฐกิจ

3) ส่ิงกาหนดทางการเมือง จะบ่งช้ีถึงงบประมาณ ระยะเวลาและคุณภาพของการจัด
การศกึ ษา เพื่อให้สอดคลอ้ งกับความจาเป็นตามสภาพการเมอื ง

1.2 รูปแบบหลักสูตร เป็นขั้นของการนาข้อมูลพื้นฐานจากสิ่งกาหนดหลักสูตรต่าง ๆ มาใช้
เพ่ือกาหนดรูปแบบหลักสูตรข้อควรมีลักษณะใด ความมีโครงสร้างและองค์ประกอบหลักสูตรอย่างไร
ซง่ึ จะสะท้อนใหเ้ ห็นภาพรวมและมาตรฐานการศึกษาของแตล่ ะหลกั สตู ร

1.3 การตรวจสอบหลักสูตร เป็นข้ันของการตรวจสอบคุณภาพและศึกษาความเป็นไปได้
ของหลักสูตรท่ีร่างข้ึนเพ่ือปรับปรุงแก้ไขก่อนนาไปใช้จริง วิธีการตรวจสอบมีหลายวิธี เช่น จัดประชุมสัมมนา
ผู้เช่ียวชาญและผู้มีประสบการณ์ตรงในเรื่องน้ัน วิจัยเอกสารหลักสูตร การใช้เทคนิคเดลฟาย (Delphi
Technique) การทดลองใชห้ ลักสูตรเพือ่ ให้ได้ข้อมูลทนี่ าไปสู่การปรบั แก้ก่อนนาไปใชต้ ่อไป

81

1.4 การปรับแก้หลักสูตรก่อนนาไปใช้ เป็นการนาข้อมูลจากข้อ 1.3 ที่ได้จัดหรือสังเคราะห์
เป็นหมวดหมู่ชัดเจน มาปรับแก้ไขหลักสูตรอย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ควรทบทวน
ให้รอบคอบว่าข้อมูลส่วนใดท่ีจะใช้เพื่อปรับแก้หลักสูตรส่วนใด และถ้าปรับแก้แล้วจะไปกระทบหลักการ
โครงสร้างของหลกั สตู รมากนอ้ ยเพยี งใดรวมทั้งชแ้ี นวทางปฏิบตั ใิ ห้ชดั เจนขึน้ หรือไม่

2. ระบบการใชห้ ลกั สูตร ประกอบดว้ ยขนั้ ตอนยอ่ ย 3 ขั้นคอื
2.1 การขออนุมัติหลักสูตร เมื่อได้ตรวจสอบคุณภาพและปรับแก้ไขหลักสูตรเรียบร้อยแล้ว

ข้ันตอนต่อไปก่อนจะนาหลักสูตรไปใช้ก็คือ ต้องนาหลักสูตรไปเสนอหน่วยงานระดับสูงเพ่ือขอความเห็นชอบ
ให้นาไปใช้ได้ เช่น ขออนุมัติจากผู้บริหารสถานศึกษา ผู้อานวยการเขตพื้นที่การศึกษา กระทรวง
ศกึ ษาธกิ าร หรอื หนว่ ยงานทีม่ ีอานาจในการอนมุ ตั ใิ ชห้ ลกั สตู ร

2.2 การวางแผนใช้หลักสูตร เป็นขั้นตอนท่ีดาเนินควบคู่กันกับขั้นการขออนุมัติหลักสูตร เพราะ
ต้องรอเวลาการอนุมัติ ขั้นน้ีเป็นการวางแผนการใช้หลักสูตรประกอบด้วย 1) การประชาสัมพันธ์หลักสูตร
2) การเตรียมงบประมาณ 3) การเตรียมความพร้อมของบุคลากรที่เก่ียวข้องกับหลักสูตร 4) การเตรียมวัสดุ
หลักสูตร 5) การเตรียมงานสนับสนุนอาคารสถานท่ี 6) การเตรียมระบบบริหารหลักสูตรของสถาบันการศึกษา
7) การฝกึ อบรมเชิงปฏบิ ตั ิการใหก้ ับผู้สอน และ 8) การประเมินผลและติดตามการใช้หลกั สตู ร

2.3 ข้ันดาเนินการใช้หลักสูตรหรือบริหารหลักสูตร ถือเป็นขั้นตอนท่ีสาคัญ ดังมีคากล่าวว่า
“หลักสูตรแม้จะปรับปรุงเปลี่ยนแปลงอย่างใด ถ้าผู้สอนผู้สนใจ ไม่เปล่ียนแปลงพฤติกรรมการเรียน
การสอน หลักสูตรใหม่น้ันก็ไม่มีความหมาย” ดังน้ัน นอกจากนักพัฒนาหลักสูตรจะต้องใช้ศาสตร์
คือ การวางแผนการใช้อย่างเป็นระบบและเทคโนโลยีการศึกษามาช่วยเสริมแล้ว ยังต้องใช้ศิลป์ คือต้อง
สร้างความเข้าใจกับผู้ใช้หลักสูตรให้ชัดเจนซึ่งได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา ผู้สอน และผู้เกี่ยวข้อง ซ่ึงเป็น
บุคคลทม่ี ีบทบาทสาคัญมากในการทาให้การใช้หลักสูตรประสบความสาเรจ็

3. ระบบการประเมินหลักสูตร คือ ขั้นตอนสุดท้ายของการพัฒนาหลักสูตรเป็นกระบวนการ
เปรียบเทียบระหว่างผลการใช้หลักสูตรที่วัดได้กับวัตถุประสงค์ของหลักสูตรว่าการปฏิบัติจริงนั้นได้ผล
ใกล้เคียงกบั วัตถุประสงคท์ กี่ าหนดหรอื ไม่ จุดประสงค์ของการประเมินหลักสูตร คอื

3.1 เพอ่ื ศกึ ษาวา่ หลกั สูตรเมอื่ นาไปปฏบิ ัตจิ ริงไดผ้ ลเพยี งใด บรรลวุ ัตถุประสงค์หรือไม่
3.2 เพื่อค้นหาแนวทางปรับปรงุ หลักสูตร หากพบส่ิงบกพร่อง
3.3 เพอ่ื วเิ คราะห์ข้อดีและข้อเสยี ของวธิ ีการจดั ประสบการณ์การเรียนรู้
3.4 เพ่ือช่วยการตัดสินใจของฝ่ายบริหารว่า ควรจะใช้หลักสูตรน้ีต่อไปอีกหรือไม่ โดยระบบ
การประเมินหลักสูตรมี ดังนี้ 1) การวางแผนการประเมินหลักสูตร ว่าจะประเมินหลักสูตรในส่วนใดบ้าง
เช่น ประเมินเอกสารหลักสูตร ประเมินระบบยอ่ ย ๆ ของระบบหลักสูตร หรือประเมนิ ท้ังระบบ พร้อมท้ัง

82

วางแผนการเก็บรวบรวมข้อมูล 2) การเก็บข้อมูล คือ การรวบรวมข้อมูลให้เป็นหมวดหมู่ตามท่ีวางแผน
3) การวิเคราะหข์ ้อมูล คอื การนาขอ้ มลู ที่เก็บรวบรวมมาวิเคราะห์ตามแผนท่ีกาหนด และ 4) การรายงาน
ข้อมูล คือ การจัดทารายงานเพื่อประกอบการตัดสินใจของผู้บริหารและเพื่อการตัดสินใจของคุณค่าของ
หลกั สูตรวา่ เป็นไปตามวัตถุประสงคห์ รือไม่ต้องปรบั แก้ไขสว่ นใด

8. รูปแบบการพฒั นาหลักสูตรของ สงัด อทุ รานันท์
สงัด อุทรานันท์ (2532: 38-43) ได้เสนอแนะวัฏจักรของกระบวนการพัฒนาหลักสูตรไว้ 7

ข้นั ตอน ดังภาพท่ี 3.7

ภาพท่ี 3.7 รปู แบบการพัฒนาหลักสตู รของสงัด อทุ รานนั ท์ (สงัด อทุ รานันท์, 2532: 39)
จากภาพที่ 3.7 รูปแบบการพัฒนาหลักสูตรของ สงัด อุทรานันท์ ได้อธิบายวัฏจักร

ของกระบวนการพฒั นาหลักสูตรทัง้ 7 ขนั้ ตอนได้ ดังนี้
ข้ันที่ 1 การวิเคราะห์ข้อมูลพ้ืนฐาน เป็นกระบวนการท่ีมีความสาคัญและเป็นข้ันตอน

ของการพัฒนาหลักสูตร เพ่ือให้ทราบถึงสภาพปัญหา ความต้องการทางของสังคมและผู้เรียน จะช่วยให้
สามารถจดั หลักสูตรให้สนองตอ่ ความต้องการและสามารถแก้ปัญหาแตกต่าง ๆ ได้

ข้ันที่ 2 การกาหนดจุดมุ่งหมายของหลักสูตร เป็นข้ันตอนท่ีกระทาหลังจากการวิเคราะห์และได้
ทราบถึงสภาพปัญหา ตลอดจนความต้องการต่าง ๆ การกาหนดจุดมุ่งหมายของหลักสูตรนั้น เป็นการมุ่ง
แกไ้ ขปญั หา และสนองความตอ้ งการทีไ่ ดจ้ ากการวเิ คราะห์ข้อมูล

83

ข้ันที่ 3 การคัดเลือก การจัดเน้ือหาสาระ และการจัดการเรียนรู้ เน้ือหาสาระและประสบการณ์เรียนรู้
ท่ีนามาจัดไว้ในหลักสูตรต้องผ่านการพิจารณากล่ันกรอง และสอดคล้องกับจุดมุ่งหมายที่กาหนดไว้

ขน้ั ที่ 4 การกาหนดมาตรการวัดผลประเมินผล ขั้นน้ีมุ่งทีจ่ ะหาเกณฑ์มาตรฐานเพื่อท่ีใช้ในการวัด
ประเมินวา่ วัดผลประเมินผลอะไรบ้าง ซงึ่ สอดคลอ้ งกับเจตนารมณห์ รือจุดม่งุ หมายของหลักสตู ร

ข้ันที่ 5 การทดลองใช้หลักสูตร ขั้นตอนนี้มุ่งหาจุดอ่อนหรือข้อบกพร่องต่าง ๆ ของหลักสูตร
หลังได้มกี ารรา่ งหลักสูตรเสร็จแลว้ ท้งั น้ีเพือ่ หาวธิ ีแก้ไขและปรับปรุงแกไ้ ขให้ดยี ิง่ ขึน้

ข้ันที่ 6 การประเมินผลการใช้หลักสูตร หลังจากได้นาหลักสูตรไปทดลองใช้แล้ว ก็ควรประเมินผล
จากการใชว้ ่า หลักสูตรที่สร้างขนึ้ มีความเหมาะสม สอดคลอ้ งและมจี ดุ ใดบ้างที่ควรได้รับการปรับปรุงแก้ไขบ้าง

ข้ันท่ี 7 การปรับปรุงแก้ไขหลักสูตร หลังจากท่ีได้มีการตรวจสอบและประเมินเบื้องต้นแล้ว
หาพบว่ายังมีข้อบกพร่องจะต้องแก้ไขปรับปรุงให้ถูกต้องหรือเหมาะสมก่อนท่ีจะนาหลักสูตรไปใช้ใน
สถานทจ่ี รงิ ทงั้ นี้เพ่ือใหห้ ลกั สตู รไดบ้ รรลุตามเป้าหมายท่ีกาหนดไว้

จากแนวคิดของ สงัด อุทรานันท์ สรุปข้ันตอนของการพัฒนาหลักสูตร คือ การวิเคราะห์ข้อมูล
พื้นฐาน การกาหนดจุดมุ่งหมายของหลักสูตร การคัดเลือกเน้ือหาสาระ การกาหนดแนวทาง การวัดผล
ประเมนิ ผล การทดลองใชแ้ ละการปรบั ปรุงแกไ้ ข การนาหลกั สตู รไปใช้ และนามาปรบั ปรงุ แกไ้ ข
6. ประเด็นคาถามและข้อแนะนาในการพัฒนาหลกั สูตร

ในการดาเนินการเพื่อพัฒนาหลักสูตร ผู้มีส่วนเก่ียวข้องจาเป็นต้องศึกษาและทาความเข้าใจ
ในประเดน็ ดังต่อไปน้ี (สนุ ทร โคตรบรรเทา, 2553: 34-37)

1. กระบวนการวางแผนหลักสูตรมีคาถาม ดังนี้ 1) ผู้แต่งตั้งสมาชิกคณะกรรมการวางแผน
หลักสูตรเป็นใคร 2) ผู้ท่ีเข้ามาเป็นผู้แทนในคณะกรรมการมีใครบ้าง 3) ผู้กาหนดลาดับความสาคัญ
มาตรฐานและสมรรถภาพเป็นใคร 4) ความต้องการ ปัญหาและประเด็นโต้แย้ง มีการกาหนดไว้อย่างไร
5) ผูต้ ้ังเปา้ หมายและวตั ถุประสงคเ์ ป็นใคร และ 6) เปา้ หมายและวตั ถุประสงค์เปน็ ประเภทใดบา้ ง

2. กระบวนการการนาหลักสูตรไปใช้มีคาถาม ดังนี้ 1) ผู้กาหนดว่าความรู้อะไรสาคัญท่ีสุดเป็นใคร
2) ผู้ตัดสินใจเกี่ยวกับวัสดุและส่ือการสอนเป็นใคร 3) ผู้ประเมินครูเป็นใคร และใช้เกณฑ์วัดอย่างไร
4) ผ้ตู ัดสินใจว่าจะมกี ารเตรยี มและวิธีการฝกึ ครสู าหรบั โครงการเป็นใคร และ 5) ผู้กาหนดว่าจะต้องใชเ้ งิน
และทรพั ยากรมากหรือนอ้ ยเป็นใคร

3. กระบวนการประเมินผลหลักสูตรมีคาถาม ดังน้ี 1) ผู้ตัดสินใจเกี่ยวกับวิธีการประเมินผล
หลักสูตรเป็นใคร 2) ผู้ตัดสินใจเกี่ยวกับวิธีดาเนินการประเมินข้อทดสอบและวิธีการนาไปใช้เป็นใคร 3) การ
ประเมินผลสัมพันธ์กับเป้าหมายและวัตถุประสงค์หรือไม่ 4) โครงการใช้ได้หรือไม่ ใช้ได้มากน้อยเพียงใด

84

และจะปรับปรุงได้อย่างไร 5) ผู้รับผิดชอบในการรายงานผลลัพธ์และการเผยแพร่เป็นใคร และ 6) ต้องมี
การเปรยี บเทียบหรือตดั สินใจเกยี่ วกับโครงการหรือไม่ว่าทาไมต้องทาและไมท่ า

4. ข้อแนะนาสาหรับผู้บริหารในการพัฒนาหลักสูตรมี ดังน้ี 1) คณะกรรมการสร้างหลักสูตรควร
ประกอบด้วยครู ผู้ปกครองและผูบ้ ริหารสถาบัน ซึ่งอาจจะมนี ักเรียนเป็นกรรมการด้วยก็ได้ 2) คณะกรรมการ
ควรสร้างพันธกิจหรือความมุ่งหมายในระยะแรกหรือในการประชุมคร้ังแรก ๆ 3) ควรพิจารณาความต้องการ
และอันดับความสาคัญให้สอดคล้องกับนักเรียนและสังคม 4) ควรมีการทบทวนเป้าหมายและวัตถุประสงค์
ของสถานศกึ ษา แต่ไมค่ วรถอื เป็นเกณฑ์นาทางในการพฒั นาหลักสตู ร เกณฑ์เชน่ น้ีตามปกตจิ ะกาหนดปรัชญา
การศึกษากวา้ ง ๆ ท่จี ะนาทางการพัฒนาหลักสตู ร 5) ควรเปรยี บเทยี บการออกแบบหลกั สตู รต่าง ๆ ในแง่ข้อดี
และข้อบกพร่อง เช่น ค่าใช้จ่าย การกาหนดตารางเรียน ขนาดช้ันเรียน อาคารสถานที่ บุคลากรท่ีต้องการ
และความสัมพันธ์กับโครงงานปัจจุบันที่กาลังทาอยู่ เป็นต้น 6) เพ่ือช่วยให้ครูเข้าใจชัดเจนเกี่ยวกับการ
ออกแบบหลักสูตรใหม่ หรือปรับปรุงหลักสูตร ควรช้ีให้เห็นทักษะด้านพุทธิศึกษาและด้านสุนทรียภาพท่ี
คาดหวัง ความคิดรวบยอดและผลลัพธ์สุดท้าย 7) ผู้อานวยการสถานศึกษามีผลกระทบสาคัญต่อการพัฒนา
หลักสูตร จากการมีอิทธิพลเกี่ยวกับบรรยากาศของสถานศึกษาและการสนับสนุนกระบวนการทาหลักสูตร
8) ผู้บริหารเขตพื้นท่ีโดยเฉพาะผู้อานวยการเขตพื้นท่ี มีผลกระทบการพัฒนาหลักสูตรเพยี งผิวเผิน เพราะงาน
และความสนใจมศี ูนยร์ วมอย่ทู ี่กจิ กรรมการบริหารจดั การบทบาททางหลักสตู รมนี ้อย แตก่ ารสนับสนนุ และรอ
การอนุมัติมีความจาเป็น 9) การศึกษาของรัฐยิ่งมีผลกระทบต่อการพัฒนาหลักสูตรน้อยลง แม้ว่าหลายฝ่าย
จัดพิมพ์คู่มือเอกสารและรายงานที่เป็นประโยชน์ อย่างไรก็ดี นักการศึกษาเหล่าน้ีเป็นผู้กาหนดนโยบาย กฎ
และระเบียบที่มีผลกระทบต่อหลักสูตรและการสอน และ 10) อิทธิพลของกลุ่มสนใจพิเศษและนักการเมือง
ทอ้ งถิน่ ไม่ควรมองข้ามการแบง่ เป็นฝ่ายหรอื ความขัดแย้งมกั เป็นอุปสรรคต่อความพยายามที่มีเหตผุ ลสาหรับ
การปฏิรปู และการเจรจาอยา่ งมคี วามหมายระหวา่ งนักการศึกษากบั ผปู้ กครองในเร่อื งเกีย่ วกับการศึกษา

7. กระบวนการพัฒนาหลักสูตร
การพฒั นาหลักสตู รมีกระบวนการที่เปน็ ขัน้ ตอน ดงั นี้ (สริ ิพัชร์ เจษฎาวิโรจน์, 2559: 224-225)
1. การศึกษาข้อมลู พืน้ ฐาน เป็นการศึกษาข้อมูลในด้านต่าง ๆ ทีเ่ ก่ียวขอ้ งกบั โรงเรียนและนักเรียน

สภาพและปัญหาของชุมชน เพ่ือใช้เป็นแนวทางในการกาหนดองค์ประกอบต่าง ๆ ของหลักสูตร
เช่น จดุ หมาย เนือ้ หาสาระ กจิ กรรม การวัดและการประเมินผล

2. การกาหนดเป้าหมายและวัตถุประสงค์ เป็นการบอกถึงความต้องการอย่างชัดเจนท่ีปรารถนา
จะให้เกิดการเปล่ียนแปลงที่สาคัญแก่ผู้เรียน ควรเขียนให้สอดคล้องกับปรัชญาหรืออุดมการณ์ สนอง
ความต้องการของผู้เรยี นและสังคม รวมท้งั แกป้ ัญหาของสังคมและสามารถปฏิบัติได้จรงิ

85

3. การออกแบบหลักสูตร เป็นการหารูปแบบ วิธีการวางแผนพัฒนาหลักสูตร จัดเตรียม
องค์ประกอบหลัก เช่น เนื้อหาสาระ วิธีการสอน สื่อการเรียนการสอน กิจกรรมหรือประสบการณ์ของ
ผู้เรียน เพื่อกาหนดแนวทางการดาเนินงาน

4. การนาหลักสูตรไปใช้ เป็นการนาเอาหลักสูตรท่ีได้พัฒนาตามขึ้นตามข้ันตอนที่กาหนดไปทดลอง
ใช้สอนกับผู้เรียน ประสิทธิภาพของหลักสูตรขึ้นอยู่กับคณะครูท่ีสอน ถ้ามีความมุ่งมั่นในการสอนแบบบูรณา
การและจัดกิจกรรมการเรียนการสอนได้เหมาะสม จะทาให้บรรลุผลสาเร็จด้วยดี และในการใช้หลักสูตรนั้น
อาจจะต้องมีการยืดหยุ่นเนื้อหาสาระหรือวิธีการจัดกิจกรรมให้สอดคล้องกบั ผูเ้ รียนดว้ ย

5. การประเมนิ ผลหลกั สูตร เปน็ การพจิ ารณาเกีย่ วกับคุณค่าของหลักสตู ร ประเมนิ เพ่ือตรวจสอบ
ดเู นื้อหาสาระ กจิ กรรม ประสบการณก์ ารเรียนรทู้ ี่จดั ใหผ้ ู้เรียนวา่ เหมาะสมหรือไม่ เพียงใด การบรู ณาการ
บรรลุตามวัตถุประสงค์ที่กาหนดไว้หรือไม่ และมีข้อสังเกตใดเกิดขึ้นในระหว่างใช้หลักสูตรบ้าง สรุปเป็น
ประเดน็ ๆ และบันทกึ ไว้

6. การปรับปรุงแก้ไขหลักสูตร เป็นการทบทวนดูองค์ประกอบท้ังหมดของหลักสูตรต้ังแต่ข้ันท่ี 1
จนถงึ ข้ันท่ี 5 เพื่อดูว่าจะมีส่วนใดที่ต้องปรับปรงุ แก้ไขบ้าง ดว้ ยเหตุผลใด และใช้วิธกี ารใด อีกทง้ั ข้อสังเกต
ที่ได้ควรนามาประกอบในการพจิ ารณาปรบั ปรุงแก้ไขหลักสตู รดว้ ย
บทสรุป

จากหลักการ แนวคิด และทฤษฎีเกี่ยวกับการพัฒนาหลักสูตรท่ีได้นาเสนอมาในเบื้องต้น ได้ชี้ให้เห็น
ว่า ประเทศชาติจะพัฒนาได้ก็ต้องอาศัยการศึกษา การศึกษาจะดีได้ก็ต้องอาศัยหลักสูตรท่ีมีคุณภาพ หลักสูตร
จะมีคุณภาพก็ต้องดาเนินการอยา่ งมีหลักการ มีระบบและพัฒนาอย่างต่อเน่ือง โดยอาศัยความร่วมมือและการ
มีส่วนร่วมของผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายทุกระดับ กระบวนการพัฒนาหลักสูตรประกอบด้วยหลายขั้นตอน ซ่ึงต้องทา
ให้สาเร็จตามลาดับเพื่อให้การพัฒนาหลักสูตรมีความสมบูรณ์ งานท่ีต้องทาในแต่ละข้ันตอนนั้นมีความ
หลากหลาย แต่ก็มีการกาหนดผลท่ีแน่นอนเอาไว้กระบวนการพัฒนาหลักสูตรเป็นกิจกรรมท่ีทาเป็นวัฏจักร มี
ความเป็นพลวัตรมากกว่าจะเป็นกิจกรรมคงท่ี การพัฒนาหลักสูตรโดยท่ัวไปต้องยึดหลักพัฒนาผู้เรียนให้มี
คุณภาพท้ังด้านความรู้ ทักษะที่จาเป็นสาหรับการดารงชีวิตในสังคมที่มีการเปลี่ยนแปลง และมีคุณธรรม
จริยธรรม ที่สาคัญต้องสามารถแสวงหาความรู้เพ่ือพัฒนาตนเองอยา่ งต่อเนื่องในอนาคตได้ กระบวนการพัฒนา
หลักสูตรโดยรวมควรประกอบด้วย ข้ันตอน การวิเคราะห์และรวบรวมข้อมูลพื้นฐาน การกาหนดหลักการ การ
กาหนดจุดมุ่งหมาย การเลือกและจัดเนื้อหาหลักสูตร การกาหนดแนวทางการประเมินผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน
การตรวจสอบคุณภาพและปรับแก้หลักสูตรก่อนนาไปใช้ นอกจากนี้หลักสูตรที่พัฒนาขึ้นแล้วยังต้องมีการ
ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงให้เหมาะสมทันสมัยอยู่เสมอ เป็นวัฎจักรของการพัฒนาท่ีไม่หยุดยั้ง เพอ่ื ให้ได้หลักสูตรท่ี
เท่าทนั ต่อบริบทและสภาพการณ์ของโลกทีม่ ีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา

86

เอกสารอา้ งอิง
ชัยวัฒน์ สทุ ธิรัตน.์ (2559). การพัฒนาหลกั สูตร ทฤษฎีสกู่ ารปฏบิ ตั ิ. (พมิ พค์ รง้ั ที่ 5). กรงุ เทพฯ: วีพรินท.์
ธนภทั ร จันทรเ์ จรญิ . (2561). การพฒั นาหลกั สูตร. ในเอกสารประกอบการสอนรายวิชาการพฒั นา

หลักสตู ร คณะครุศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั บา้ นสมเด็จเจ้าพระยา. กรงุ เทพฯ: สหธรรมมิก.
มนสิช สิทธสิ มบรู ณ.์ (ม.ป.ป.). ศาสตรห์ ลกั สตู ร. พิษณโุ ลก: มหาวทิ ยาลยั นเรศวร.
วชิ ัย วงษ์ใหญ่. (2523). พัฒนาหลักสตู รและการสอน: มิตใิ หม.่ กรงุ เทพฯ: รงุ่ เรืองธรรม.

. (2525). พฒั นาหลักสูตรและการสอน–มิติใหม่. (พมิ พ์คร้ังท่ี 3). กรุงเทพฯ: สวุ รี ยิ าสาสน์ .
. (2535). การพฒั นาหลกั สตู รแบบครบวงจร. กรุงเทพฯ: สุวีรยิ าสาส์น.
วโิ ฬฏฐ์ วฒั นานิมติ กลู . (2559). การพัฒนาหลกั สูตรและการสอน ปัจจัยความสาเร็จของการจดั
การศกึ ษา. กรุงเทพฯ: สหธรรมมกิ .
ศักดศิ์ รี ปาณะกุล และคณะ. (2556). หลกั สตู รและการจดั การเรียนร.ู้ (พมิ พ์ครั้งท่ี 3). กรงุ เทพฯ:
มหาวทิ ยาลัยรามคาแหง.
สงัด อุทรานนั ท์. (2532). พ้ืนฐานและหลักการพัฒนาหลักสูตร. (พมิ พ์ครัง้ ที่ 3). กรุงเทพฯ: มติ รสยาม.
สิรพิ ชั ร์ เจษฏาวโิ รจน์. (2559). การพฒั นาหลักสตู รสถานศึกษา. (ฉบับปรับปรงุ ใหม)่ .
กรงุ เทพฯ: มหาวิทยาลยั รามคาแหง.
สนุ ทร โคตรบรรเทา. (2553). การพฒั นาหลักสตู รและการนาไปใช.้ กรุงเทพฯ: ปัญญาชน.
Beauchamp, G. A. (1981). Curriculum Theory. (4th ed). Liiinois: F. E. Peacock Publisher.
Good, C. V. (1973). Dictionary of Education. (3rd.ed). New York: McGraw Hill.
Oliva. P. F. (1982). Developing the curriculum. New York: Harper Collins.
Saylor, J. G. & Alexander, W. M. (1974). Planning Curriculum for School. New York:
Holt, Rinehart and Winston.
Taba, H. (1962A). Curriculum Development Theory and Practice. New York:
Harcourt, Brace & World, INC.
. (1962B). Curriculum: Theory and Practice. Javanovich: Harcourt, Brace.
Tyler, R. (1949). Basic Principle of Curriculum and Instruction: Syllabus for
Education 305. Chicago: The University of Chicago Press.
Wiggins G. & McTighe, J. (1998). Understanding by design. Prentice Hall, Inc.

87

บทที่ 4
การสรา้ งหลกั สตู ร

วโิ ฬฏฐ์ วัฒนานิมติ กูล

บทนา
ดังได้กล่าวแล้วในบททีผ่ ่าน ๆ มาเกี่ยวกบั ความหมายของการพัฒนาหลักสูตรที่ครอบคลุม 2 นัย คือ

1) การสร้างหลักสูตรข้ึนมาใหม่โดยที่ยังไม่เคยมีหลักสูตรน้ันปรากฏมาก่อน 2) การพัฒนาหลักสูตร เดิมที่มี
อยู่แล้วให้ดียิ่งข้ึนหรือมีประสิทธิภาพมากข้ึน เหมาะสมสอดคล้องกับบริบทของระบบการศึกษาสถานศึกษา
จุดมุ่งหมายของการสอน วิธีการสอน รวมทั้งการวัดและประเมินผล อย่างไรก็ตามหากพิจารณาในมุมมอง
ของกระบวนการพัฒนาหลักสูตรจะครอบคลุมกระบวนการหลัก 3 กระบวนการ ประกอบด้วย การสร้าง
หลักสูตร การนาหลักสูตรไปใช้ และการประเมินผลหลักสูตร ดังนั้นในการศึกษาเก่ียวกับกระบวนการสร้าง
หลักสูตรน้ันควรมีความเข้าใจที่ตรงกันในเบื้องต้นก่อนว่า การสร้างหรือจัดทาหลักสูตรนั้นอาจเกิดขึ้นได้ใน
2 กรณีดังกล่าวแล้ว กล่าวคือ (1) การสร้างหลักสูตรข้ึนใหม่ (2) การปรับปรุงแก้ไขหลักสูตรท่ีมีอยู่เดิม
สาหรับในทีน่ ้ีจะใชค้ าว่า “การสรา้ งหลักสูตร” โดยใหห้ มายความถึงการสรา้ งหลักสูตรท้ัง 2 กรณีดงั กลา่ ว

เม่ือกล่าวถึงการสร้างหรือจัดทาหลักสูตรน้ัน คงต้องพิจารณาทบทวนถึงแนวคิดของนักการศึกษา
ต่าง ๆ ท่ีได้ให้แนวคิดในการพัฒนาหลักสูตรไว้หลายแนวทางด้วยกัน แต่ถ้าหากพิจารณาเฉพาะเจาะจง
ลงไปในสว่ นที่เปน็ การสรา้ งหลกั สตู รแลว้ จะเหน็ ได้วา่ มีขัน้ ตอนสาคญั ๆ ในการสร้างหลักสูตร 10 ขั้นตอน ได้แก่

1. การวิเคราะหข์ ้อมลู พน้ื ฐาน
2. การกาหนดจดุ หมายของหลักสูตร
3. การกาหนดรูปแบบและโครงสรา้ งของหลกั สูตร
4. การกาหนดจุดประสงคข์ องวชิ า
5. การคดั เลือกเนือ้ หาวชิ า
6. การกาหนดจุดประสงคก์ ารเรยี นรู้
7. การกาหนดประสบการณก์ ารเรยี นรู้
8. การกาหนดกิจกรรมการเรียนการสอน
9. การกาหนดวธิ กี ารประเมนิ ผลการเรยี นรู้
10. การจัดทาวัสดหุ ลกั สตู รและส่อื การเรียนการสอน

88

เมอ่ื ได้ดาเนินการครบท้งั 10 ขนั้ ตอนแล้ว จะไดห้ ลักสูตรทีอ่ าจเรียกได้วา่ “หลักสตู รต้นแบบ” ซ่ึง
เป็นหลกั สูตรทมี่ ีองค์ประกอบของหลกั สูตรท่ีครบถ้วน ท่ีพรอ้ มจะนาไปทดลองใชเ้ พื่อการปรบั ปรุงแก้ไขให้
สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ภายหลังจากนั้นจึงนาหลักสูตรนี้ไปสู่กระบวนการนาไปใช้ปฏิบัติจริง และกระบวนการ
ประเมินหลกั สตู รต่อไป

สาหรับสาระของบทนี้ จะไดน้ าเสนอขั้นตอนในการสรา้ งหลักสูตรทั้ง 10 ข้ันตอน ดงั กลา่ วขา้ งตน้ ดงั น้ี

ขนั้ ตอนที่ 1 การวเิ คราะห์ข้อมลู พน้ื ฐาน
ในการสร้างหลักสูตรนั้น ก่อนที่นักพัฒนาหลักสูตรจะกาหนดองค์ประกอบสาคัญของหลักสูตร

ได้แก่ จดุ หมาย เนื้อหาสาระ ประสบการณ์เรียนรู้ ฯลฯ เพอ่ื ให้ผเู้ รียนมีพัฒนาการในดา้ นตา่ ง ๆ และบรรจุ
เป้าหมายท่ีกาหนดน้ัน นักพัฒนาหลักสูตรจะต้องวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐานที่สาคัญ และสัมพันธ์กับ
การศึกษานั้น ๆ อาทิ ปรัชญาการศึกษาของประเทศหรือสังคมคืออะไร ผู้เรียนและสังคมมีสภาพปัญหา
และความต้องการจาเป็นอะไร การสนองความต้องการทางจิตวิทยาของปัจเจกบุคคลได้อย่างไร เป็นต้น
ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับข้อมูลพื้นฐานเหล่าน้ีจะช่วยกาหนดองค์ประกอบต่าง ๆ ของหลักสูตรได้อย่าง
เหมาะสมและทาใหห้ ลักสูตรท่ีสรา้ งขึ้นนส้ี ามารถแก้ไขปัญหาและตอบสนองความต้องการของผู้เรียนและ
สังคมได้อย่างมปี ระสทิ ธิภาพ

อย่างไรก็ตามวิธีการศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐาน อาจกระทาได้หลากหลายวิธี ซ่ึงในท่ีนี้จะ
นาเสนอวิธีการไว้ 2 ประการ คือ การวิเคราะห์สถานการณ์และการประเมินความจาเป็น มีสาระสาคัญ
สรุปได้ ดังนี้

1. การวิเคราะห์สถานการณ์ (Situational Analysis)
ในการประมวลข้อมูลพื้นฐานเพื่อการสร้างหลักสูตร อาจเร่ิมตันด้วยการตรวจสอบสถานการณ์

ตา่ ง ๆ ในปัจจุบัน โดยวิเคราะห์จากองคป์ ระกอบของสถานการณ์ดังต่อไปน้ี
1.1 องคป์ ระกอบภายนอก ประกอบดว้ ย
1.1.1 นโยบายและเปา้ หมายของการจดั การศกึ ษา
1.1.2 การเปลีย่ นแปลงและความคาดหวงั ทางดา้ นสงั คมและวฒั นธรรม
1.1.3 แนวโนม้ ของเนือ้ หาวิชาทเี่ ปลย่ี นแปลงไป
1.1.4 แหล่งสนับสนนุ การเปลี่ยนแปลง เชน่ งบประมาณ แหลง่ วิทยาการต่าง ๆ เป็นต้น
1.2 องค์ประกอบภายใน ประกอบดว้ ย
1.2.1 ผู้เรียน เช่น พัฒนาการของผู้เรียน พัฒนาการทางด้านสติปัญญา บุคลิกภาพ

พฒั นาการดา้ นจริยธรรม คา่ นิยม เจตคติ ความตอ้ งการ แนวโนม้ พฤติกรรมทางสงั คมในอนาคต เปน็ ต้น


Click to View FlipBook Version