139
2.2 ปัญหาการจัดการเรียนรู้และการวัดและประเมินผล ชัยวัฒน์ สุทธิรัตน์ (2546: 172-
174) ศกึ ษาปัญหาการนาหลกั สตู รสถานศกึ ษาไปใชใ้ นการจัดการเรยี นรู้ พบวา่ ปัญหาในโรงเรียนทกุ ขนาด
ผู้สอนไม่เปลยี่ นแปลงพฤติกรรมการสอน ขาดส่อื และแหล่งเรียนรู้ ขาดเอกสารประกอบการเรียนรู้ ผสู้ อน
ไมเ่ ขา้ ใจการวดั และประเมินผลการเรยี นรู้ท่ีถูกต้อง จงึ ควรมกี ารพัฒนาทักษะการจดั การเรียนรใู้ หแ้ ก่ผสู้ อน
มกี ารนิเทศติดตามการจัดการเรียนรู้ จดั ทาเส่ือการเรียนรู้และอบรมการเขียนแผนการจัดการเรียนร้ใู ห้แก่
ผู้สอนในโรงเรียน โดยเฉพาะโรงเรียนขนาดเล็ก อีกทั้งถาวร คาทะแจ่ม (2545) วิจัยพบว่า ครูไม่มีความ
มน่ั ใจในการนาหลักสูตรไปใช้ ผู้เข้าร่วมทุกฝ่ายยังขาดความเข้าใจในวิธีการ กระบวนการและข้ันตอนการ
ดาเนินงาน เช่นเดียวกับที่กรมวิชากร (2545) วิจัยพบว่า บุคลากรในโรงเรียนมีความเข้าใจในเรื่องการใช้
กระบวนการวิจัยในการเรียนรู้และการออกหน่วยการเรียนรู้แบบบูรณาการในระดับน้อย และมณนิภา
ชุติบุตร (2546) วิจัยพบว่า ปัญหาสาคัญของการนาหลักสูตรการศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช 2544
ไปใช้ คือ ครูขาดความรู้ ความเข้าใจเก่ียวกับหลักสูตร เอกสารบางกลุ่มสาระการเรียนรู้ยังไม่มี
ประสิทธิภาพ สื่อการสอนที่ใช้ยังไม่ทันสมัยและดึงดูดความสนใจของผู้เรียน ผู้เรียนแต่ละห้องมีจานวน
มากทาใหด้ แู ลไดไ้ มท่ ัว่ ถงึ และการประชาสมั พนั ธ์ยังมีน้อย
2.3 ปญั หาการนิเทศติดตามการใช้หลักสูตร กรมวชิ าการ (2546) ทาการวิจัยเพื่อติดตามและ
ประเมินผลการใช้หลักสูตร พบว่า สถานศึกษาในระดับมัธยมศึกษา ขาดผู้นิเทศที่มีความรู้ ความชานาญ
และมีประสบการณ์ในการนิเทศ ซ่ึงถาวร คาทะแจ่ม (2545) วิจัยพบว่า โรงเรียนขาดการวางแผนการ
นิเทศ กากับ ติดตามโรงเรียนระหว่างการนาหลักสูตรไปใช้ อีกทั้งมณนิภา ชุติบุตร (2546) วิจัยพบว่า
ศึกษานิเทศกใ์ ห้การนเิ ทศคอ่ นข้างน้อย
กล่าวโดยสรุปแล้ว ปัญหาในการนาหลักสูตรไปใช้นั้นมีในทุกข้ันตอนของการใช้หลักสูตร
โดยเฉพาะขั้นการเตรียมความพร้อมในการนาหลักสูตรไปใช้ ซึ่งมีปัญหาในการเตรียมความพร้อมให้กับ
ผบู้ ริหารและผู้สอน รวมทั้งการเตรียมส่ือการเรียนรู้ และแหล่งเรียนรู้ต่าง ๆ และปัญหาในระหว่างการนา
หลักสูตรไปใช้ ได้แก่ ปัญหาการนาภูมิปัญญาท้องถ่ินมาใช้ในการจัดการเรียนรู้ ปัญหาการจัดการเรียนรู้
ปัญหาการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ และปัญหาใหญ่อีกประการหนึ่งคือ การนิเทศติดตามการใช้
หลกั สตู รทไ่ี มเ่ ป็นปจั จบุ ันและต่อเนื่อง
6. รูปแบบการเปล่ียนแปลงพฤตกิ รรมการใช้หลักสตู ร
จากปัญหาการนาหลักสูตรไปใช้ทไ่ี ด้กลา่ วมากแล้วนั้น ผ้เู กยี่ วข้องกบั การใช้หลักสูตรควรตระหนัก
และหาแนวทางแก้ไข ซึ่งแม็กนีล (McNeil, 1981. P.138-143) เสนอรูปแบบการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม
ในการใชห้ ลักสูตร ดังน้ี
140
1. รูปแบบการวิจัยพัฒนา (Research and Development Model) เป็นรูปแบบที่นิยมกันมาก
รปู แบบการเปลี่ยนแปลงแบบนี้ เป็นการพัฒนาและการวิจัยเกี่ยวกับหลักสูตรหรือโปรแกรมการเรียนต่าง
ๆ จากมหาวิทยาลัยหรือหน่วยงานต่าง ๆ เมื่อมีการตรวจสอบคุณภาพแล้วจึงทาการเผยแพร่ไปยัง
หน่วยงานต่อไป โดยการฝึกอบรมให้กับบุคคลอื่นต่อ ๆ กันไป รูปแบบนี้มีจุดอ่อนที่ผู้ใช้หลักสูตรอาจไม่มี
ความเขา้ ใจหากมไิ ดร้ บั การอบรมเกีย่ วกับหลกั สูตรน้ันกอ่ นนาไปใช้
2. รูปแบบการพัฒนาแบบผสมผสาน (Integrative development Model) รูปแบบการพัฒนา
น้ีดาเนินการกับผู้สอนภายในห้องเรียนหลังจากน้ันจึงออกไปสู่สังคมภายนอก โดยผู้สอนร่วมวิเคราะห์
สภาพปัญหา จากน้ันผู้นาในการพัฒนาหลักสูตรจะเสนอแนะให้ผู้สอนเห็นแนวทางการแก้ปัญหานั้น ซ่ึง
เป็นการผสมผสานความคิดต่าง ๆ ท่ีจะนาไปสู่การปฏิบัติต่อไป จุดอ่อนของรูปแบบน้ีคือ การสิ้นเปลือง
เวลาในการดาเนินการ และการเปล่ียนแปลงเจตคติ ทักษะของผู้สอน และการสร้างความสัมพันธ์ในการ
ทางานร่วมกนั อีกดว้ ย
3. รูปแบบการใช้ตัวกลางสาหรับการเปลี่ยนแปลง (The change agent Model) เป็นรูปแบบท่ี
ใช้บุคคลเป็นตัวกลางในการเปล่ียนแปลง เช่น การให้ผู้บริหารโรงเรียน ผู้อานวยการศูนย์พัฒนาหลักสูตร
หรือกลุ่มคณะทางาน เป็นตัวกลางในการนาการเปลี่ยนแปลง แต่รูปแบบน้ียังมีข้อถกเถียงว่า ใครจะเป็น
ตวั กลางท่ีก่อให้เกิดการเปล่ียนแปลงทด่ี ีท่ีสุด
4. การเปล่ียนแปลงโดยไม่มีรูปแบบ (The non model for change) ไชแมนและไลเบอร์แมน
(Shiman and Lieberman, 1974) วิจัยสรุปว่า การเปลี่ยนแปลงภายในโรงเรียนไม่มีรูปแบบแต่อย่างใด
ซ่ึงเขาได้เสนอแนะว่า การเปล่ียนแปลงไม่ควรเร่ิมจากเป้าหมาย ความสาคัญ การจูงใจ หรือการ
ประเมินผล แต่ควรจะดาเนินการตามสภาพที่เป็นอยู่อย่างแท้จริงของโรงเรียนแต่ละแห่ง โดยมีการ
ประเมินทางเลอื กตา่ ง ๆ ให้เหมาะสมกบั สภาพปญั หาและความตอ้ งการของโรงเรยี นแตล่ ะแหง่ ดว้ ย
ทั้งนี้การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการใช้หลักสูตรที่มีหลายรูปแบบนี้ นักพัฒนาหลักสูตรต้อง
พิจารณาจุดเด่นและจุดด้อยของแต่ละรูปแบบที่แตกต่างกัน แต่โดยรวมแล้วโรงเรียนส่วนใหญ่มักใช้
รปู แบบการเปลี่ยนแปลงโดยไม่มรี ูปแบบ ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงภายในโรงเรียนที่ไม่มีรปู แบบตายตวั แต่
จะเป็นการดาเนนิ การตามสภาพของโรงเรยี นแตล่ ะแห่งน้นั เอง
141
บทสรุป
การนาหลักสูตรไปใช้น้ันจาเป็นต้องดาเนินการอยา่ งเป็นระบบ มีการวางแผนและกาหนดข้ันตอน
ท่ีชัดเจน มอบหมายหน้าท่ีในการดาเนินงาน และรวบรวมข้อมูลเพื่อนาไปใช้ปรับปรุง พัฒนาได้อย่าง
ทนั ท่วงที การนาหลักสูตรไปใช้มีภาระงานที่สาคัญ 3 ประการด้วยกนั คือ งานบริหารและบริการหลกั สตู ร
งานดาเนินการเรยี นการสอนตามหลกั สูตร และงานสนับสนุนและสง่ เสริมการใชห้ ลักสูตร ซ่ึงจะชว่ ยให้การ
นาหลักสตู รไปใชป้ ระสบความสาเรจ็ ตามจดุ มุ่งหมายทก่ี าหนดไว้ หากแต่ปัญหาในการนาหลักสูตรไปใช้ก็มี
หลายประการด้วยเช่นกันไม่ว่าจะเป็นปัญหาเชิงระบบการดาเนินการ หรือปัญหาบุคลากรที่เก่ียวข้อง
หากแต่บุคคลทุกฝ่ายท่ีมีบทบาทหน้าที่ในการนาหลักสูตรไปใช้ต้องปฏิบัติหน้าที่ของตนเองอย่างเข้มแข็ง
และสมบูรณ์แล้ว ย่อมส่งผลให้การใช้หลักสูตรเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ มีปัญหาน้อยท่ีสุด และประสบ
ความสาเร็จอยา่ งแท้จริงได้
เอกสารอา้ งอิง
ใจทิพย์ เช้ือรัตนพงษ์. (2539). การพัฒนาหลักสูตร: หลักการและแนวปฏิบัติ. กรุงเทพฯ: ภาควิชา
บรหิ ารการศึกษา คณะครศุ าสตร์ จฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลยั .
ฆนัท ธาตุทอง. (2556). การพัฒนาหลักสตู รสถานศกึ ษา ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพน้ื ฐาน
พทุ ธศักราช 2551. กรงุ เทพฯ: เพชรเกษมการพมิ พ์.
ชัยวัฒน์ สุทธิรัตน์. (2546). รายงานวิจัย สภาพและปัญหาการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาใน
สถานศึกษาสังกัด สานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาพิษณุโลก เขต1. พิษณุโลก: กลุ่มนิเทศติดตาม
และประเมินผลการจดั การศกึ ษา สานกั งานเขตพน้ื ทีก่ ารศึกษาพษิ ณุโลก เขต1.
ชยั วฒั น์ สุทธริ ัตน.์ (2556). การพฒั นาหลกั สูตร ทฤษฎีสูก่ ารปฏบิ ตั ิ. กรุงเทพฯ: วพี รนิ ท.์
ชูศกั ด์ิ ตวิ ุตานนท์. (2546). การศึกษาสภาพและปัญหาการนาภูมิปัญญาท้องถนิ่ มาใช้ในการจดั กิจกรรม
การเรียนการสอนตามหลักสูตรสถานศึกษา: ศึกษากรณีเฉพาะโรงเรียนนาร่องและโรงเรียน
เครือข่ายในสังกัดสานักงานการประถมศึกษาจังหวัดพิษณุโลก. การศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง
การศกึ ษามหาบัณฑิต สาขาวชิ าบริหารการศึกษา มหาวิทยาลัยนเรศวร. พษิ ณโุ ลก: มหาวทิ ยาลัย
นเรศวร.
ถาวร คาทะแจ่ม. (2545). การบริหารจัดการหลักสูตรการศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช 2544 ของ
โรงเรียนเครือข่ายการใช้หลักสูตร จังหวัดลาพูน. (วิทยานิพนธ์ ศึกษาศาสตร์มหาบัณฑิต).
เชยี งใหม:่ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.
142
ประสิทธ์ิ บรรณศิลป์. (2545). การศึกษาความพร้อมในการใช้หลักสูตรการศึกษาข้ันพ้ืนฐานของ
ผู้บริหารสถานศึกษา โรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษา จังหวัดพิจิตร. การศึกษา
คน้ คว้าดว้ ยตนเอง การศึกษามหาบัณฑิต สาขาวิชาบริหารการศึกษา มหาวิทยาลัยนเรศวร.
พิษณุโลก: มหาวิทยาลยั นเรศวร.
ไพฑูรย์ สินลารัตน์. (2554). การจัดการหลักสูตรและการสอน. (พิมพ์คร้ังที่ 3). กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์
แห่งจฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลัย.
มณนิภา ชุติบุตร. (2546). สรุปการประเมินหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544:
กระบวนการนาหลักสูตรไปใช้. กรุงเทพฯ: หน่วยศึกษานิเทศก์ สานักงานการประถมศึกษา
กรุงเทพมหานคร
รุจีร์ ภู่สาระ และจันทรานี สงวนนาม. (2545). การบริหารหลักสูตรในสถานศึกษา. กรุงเทพฯ:
บคุ๊ พอยท.์
วัชรี บูรณสิงห์. (2544). การบริหารหลักสูตร. (พิมพ์คร้ังท่ี 2). กรุงเทพฯ: สานักพิมพ์มหาวิทยาลัย
รามคาแหง.
วิชาการ,กรม. (2546). รายงานการศึกษาความพร้อมการใช้หลักสูตรการศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช
2544 ปกี ารศกึ ษา 2546. กรงุ เทพฯ: องคก์ ารรบั สง่ สินค้าและพัสดภุ ณั ฑ์ (ร.ส.พ.).
วชิ ยั วงษใ์ หญ.่ (2542). พลงั เรียนรู้ในกระบวนทศั น์ใหม.่ กรุงเทพฯ: คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลัย
ศรีนครนิ ทรวิโรฒ.
สงดั อทุ รานนั ท์. (2532). พ้นื ฐานและการพัฒนาหลักสูตร. (พิมพ์ครัง้ ท่ี 3). กรงุ เทพฯ: มติ รสยาม.
อมรา เล็กเริงสิทธุ์. (2540). หลักสูตรและการจัดการมัธยมศึกษา. (พิมพ์ครั้งท่ี 3). กรุงเทพฯ: ฝ่าย
เอกสารและตารา สถาบันราชภักสวนดสุ ิต.
McNeil, John D. (1981). Curriculum: A Comprehensive Introduction. Boston: Little, Brown
and Company.
Shiman David A. and Ann Lieberman. ( May, 1974) . “A Non-Model for School Change.”
The Education Forum. 38(4), 441.
143
บทท่ี 6
การประเมนิ และปรบั ปรงุ หลักสูตร
จิตตวสิ ทุ ธ์ิ วิมตุ ติปญั ญา
บทนา
การประเมินหลักสูตรเปน็ ขั้นตอนในการศึกษาคุณค่าของหลักสูตรว่าดีหรอื ไม่เพียงใดและมีความ
บกพร่องในส่วนไหน เพ่ือนาผลการประเมินไปปรับปรุงหลักสูตรในโอกาสต่อไป การประเมินหลกั สูตรนน้ั มี
ขอบเขตและระยะการประเมินแตกต่างกันออกไป แล้วแต่จุดประสงค์ของการประเมิน เช่น การประเมิน
เอกสารหลักสูตรในระยะก่อนนาหลักสูตรไปใช้ การประเมินการใช้หลักสูตรในขณะท่ีดาเนินการใช้
หลักสูตร หรือประเมินสัมฤทธิ์ผลของหลักสูตร และประเมินระบบหลักสูตรหลังจากการใช้หลักสูตรแล้ว
การประเมินผลหลกั สูตรนั้นต้องกาหนดลงไปให้แน่ชัดว่าต้องการประเมินอะไร ขอ้ มูลท่นี ามาประเมินต้อง
เช่ือถือได้ การวิเคราะห์ผลการประเมินต้องทาอย่างรอบคอบและเป็นระบบเพ่ือให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
ตามเปา้ หมาย
1. ความหมายของการประเมนิ หลักสตู ร
การประเมินหลกั สตู รเป็นกระบวนการรวมรวมขอ้ มลู สารสนเทศตลอดจนกิจกรรมต่าง ๆ เกยี่ วกับ
หลักสูตรเพ่ือนามาตัดสินคุณค่าหรือคุณภาพของหลักสูตรนั้น นักการศึกษาหลายท่านได้ให้ความหมาย
ของการประเมนิ หลักสตู รไว้ต่าง ๆ กนั ดงั นีค้ อื
สุจรติ เพียรชอบ (2548: 64) กล่าวถึงการประเมินหลักสตู รไวว้ ่าเป็นกระบวนการทส่ี าคัญเพราะ
เป็นการหาคาตอบว่าหลักสูตรสัมฤทธิผลตามท่ีได้ต้ังจุดมุ่งหมายไว้หรือไม่ มากน้อยเพียงใด อะไรเป็น
สาเหตุ ผ้ปู ระเมนิ หลักสูตรจะต้องเปน็ ผู้ท่ีมคี วามรู้ดีท้ังทางดา้ นหลักสูตรและด้านการประเมนิ ผลซ่ึงจะต้อง
เน้นการประเมินทั้งโปรแกรมการศึกษา มิใช่แต่เพียงผลการเรียนปีสุดท้ายเท่านั้น แต่ควรประเมินผลการ
เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผ้เู รียนดว้ ย
สุมิตร คุณานุกร (2533: 198) กล่าวถึงการประเมินหลักสูตรไว้ว่า การประเมินผลหลักสูตรคือ
การหาคาตอบว่าหลักสูตรสัมฤทธิผลตามท่ีกาหนดไว้ในความมุ่งหมายหรือไม่มากน้อยเพียงใด และอะไร
เป็นสาเหตุ การประเมินหลักสูตรเพื่อตดั สินสมั ฤทธิผลของหลกั สูตรนนั้ มขี อบเขตรวมถึง (1) การวิเคราะห์
144
ตัวหลักสูตร (2) การวิเคราะห์กระบวนการของการนาหลักสูตรไปใช้ (3) การวิเคราะห์สัมฤทธิผลในการ
เรยี นของนักเรียน (4) การวิเคราะหโ์ ครงการประเมินหลักสตู ร
สันต์ ธรรมบารุง (2527: 138-139) ได้อธิบายสรุปว่า การประเมินหลักสูตรเป็นการพิจารณา
คณุ คา่ ของหลักสูตร โดยอาศัยการรวบรวมขอ้ มลู และใช้ขอ้ มูลจากการวดั ผลในแง่ตา่ ง ๆ ของสิ่งท่ปี ระเมิน
เพื่อนามาพิจารณาร่วมกันและสรุปว่าหลักสูตรท่ีสร้างขึ้นมานั้นมีคุณค่าประการใด มีคุณภาพดีข้ึนหรือไม่
เพียงไร หรือได้รับผลตามจุดมุ่งหมายที่ตั้งไว้หรือมีส่วนใดท่ีจะต้องปรับปรุงแก้ไขต่อไป และนาเสนอ
ผู้บริหารผู้มีอานาจวินิจฉัยส่ังการดาเนินต่อไป หรือการประเมินหลักสูตร หมายถึง กระบวนการใน
การศึกษาส่วนประกอบต่าง ๆ ของหลักสูตรอันได้แก่หลักสูตร จุดมุ่งหมาย โครงสร้างจุดประสงค์การ
เรยี นรู้ เนื้อหา กิจกรรม ส่ือการเรียนการสอน วิธีสอนและการจัดผลว่าจะสัมพันธก์ ันหรือไม่
วิชัย วงษ์ใหญ่ (2523: 192) ให้ความหมายของประเมินหลักสตู รไว้วา่ การประเมินหลกั สูตรเป็น
การพิจารณาเก่ียวกับคุณค่าของหลักสูตรโดยใช้ผลจากการวัดในแง่มมุ ต่าง ๆ ของสิ่งท่ปี ระเมิน เพื่อนามา
พิจารณาร่วมกัน และสรุปวา่ จะใหค้ ณุ ค่าของหลักสตู รท่พี ฒั นาขึ้นมานัน้ วา่ อย่างไร มีคุณภาพดีหรือไม่เพียงใด
หรือไดผ้ ลตรงตามวัตถุประสงค์ทก่ี าหนดหรือไม่ มสี ว่ นใดท่ีจะต้องปรับปรุงแก้ไข
กู๊ด (Good, 1973: 209) ได้ให้ความหมายไว้ว่า การประเมินหลักสูตรคือการประเมินผลของ
กิจกรรมการเรียนภายในขอบข่ายของการสอนที่เน้นเฉพาะจุดประสงค์ของการตัดสินใจใจความถู กต้อง
ของจุดมุ่งหมาย ความสัมพันธ์และความต่อเนื่องของเนื้อหาและผลสัมฤทธิ์ของวัตถุประสงค์เฉพาะ ซึ่ง
นาไปสู่การตัดสินใจในการวางแผนการจัดโครงการต่อเนอ่ื งและการหมนุ เวียนของกิจกรรมโครงการตา่ ง ๆ
ท่จี ะจดั ใหม้ ขี ้ึน
ครอนบาช (Cronbach, 1971: 231) ให้ความหมายว่า การประเมินหลักสูตรคือการรวบรวม
ข้อมลู และการใชข้ อ้ มลู เพ่ือตดั สินใจเรือ่ งโปรแกรมหรือหลกั สูตรการศกึ ษา
สตัฟเฟิลบีม และคณะ (Stufflebeam, 1971: 128) ให้ความหมายของการประเมินหลักสูตรว่า
การประเมินหลักสูตรคือ กระบวนการหาข้อมูล เก็บข้อมูล เพ่ือนาไปใช้ประโยชน์ในการตัดสินใจหา
ทางเลือกทีด่ ีกวา่ เดมิ
จากความหมายของการประเมินหลักสูตรท่ีกล่าวมาข้างต้นสรุปได้ว่า การประเมินหลักสูตรคือ
กระบวนการในการพิจารณาตัดสินคุณค่าของหลักสูตรว่าหลักสูตรนั้น ๆ มีประสิทธิภาพอย่างไร เม่ือ
นาไปใช้แล้วบรรลจุ ุดมงุ่ หมายท่ีกาหนดไว้หรือไม่ มีอะไรทีต่ อ้ งแก้ไขเพ่ือนาผลที่ได้มาใชใ้ หเ้ ป็นประโยชน์ใน
การตัดสินใจหาทางเลือกท่ดี ีกว่าตอ่ ไป
145
2. ความจาเปน็ ของการประเมินหลกั สตู ร
หลังจากที่ได้จัดทาหลักสูตรแล้วนาหลักสูตรไปใช้จัดการเรียนการสอนแล้ว จะต้องมีการติดตาม
ผลว่าหลักสูตรที่นาไปใช้แล้วได้ผลประการใด มีปัญหา ข้อบกพร่อง และอุปสรรคในการใช้อย่างไร แม้ว่า
ก่อนท่ีจะนาหลักสูตรไปใช้จะได้ทาการตรวจสอบคุณภาพแล้วก็ตาม แต่ในการตรวจสอบคุณภาพนั้น
บางครั้งไม่ได้ดาเนินการในสภาพการณ์จรงิ อย่างครบถ้วน ดังน้นั เมอ่ื นาหลักสูตรไปใชจ้ ริงอาจจะพบปญั หา
ข้อบกพร่องและอุปสรรคอีกได้ ซึ่งจาเปน็ ต้องมกี ารประเมินหลักสูตรหลงั การใช้เพ่อื จะได้แก้ไขปรบั ปรงุ ส่ิง
ทเ่ี ป็นปญั หา ข้อบกพร่อง และอปุ สรรคเหลา่ น้ัน และทาให้หลักสูตรนั้นเปน็ หลักสตู รทีด่ ีตอ่ ไป
การวัดและประเมินผลการเรียนรู้นับว่าเป็นองค์ประกอบของหลักสูตรที่สาคัญอีกประการหน่ึง
เน่ืองจากการวัดและประเมินผลการเรียนรู้จะมีประโยชนส์ าหรับครูในการนาผลการประเมินการเรียนรู้ไป
ปรบั ปรงุ การเรยี นการสอน หรืออาจใช้ประโยชน์ในการวจิ ัย และพฒั นาการเรียนการสอนให้มีคุณภาพมาก
ย่ิงขึ้น หรือเพ่ือใช้ผลการประเมินการเรียนไปกระตุ้นความพร้อมและแรงจูงใจในการเรียนให้แก่ผู้เรียน
หรืออาจจะเป็นประโยชน์สาหรับผู้บริหารในการใช้เพื่อตัดสินใจเก่ียวกับการบริหารงานบุคคล เช่น การ
ประเมนิ ความดคี วามชอบหรือการเลือ่ นตาแหนง่ ของผู้สอน เปน็ ต้น
ดังนั้น การกาหนดแนวทางการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ไว้ในหลักสูตรจึงต้องกาหนดไว้ให้
ชดั เจนเพอ่ื เป็นแนวทางสาหรบั ผู้สอนและผู้เก่ียวข้องในการวางแผนการประเมินผู้เรียนอย่างมีหลักการ มี
ระบบ รวมทั้งช่วยใหผ้ ู้เรยี นสามารถทราบล่วงหนา้ เพ่อื ใชเ้ ป็นแนวทางในการวางแผนการเรยี นได้อกี ด้วย
หลักการในการดาเนินการวัดและประเมินผลน้ันต้องทาอย่างเป็นระบบ มีความเชื่อมั่นเป็นกลาง
และมีความยุติธรรม ด้วยเคร่ืองมือที่เหมาะสมกับการประเมิน สามารถวัดพฤติกรรมได้ ประเมินในส่ิงท่ี
ปฏิบัติจริงได้ ใช้ข้อมูลจากหลายแหล่งประกอบกัน และให้ผู้เก่ียวข้องให้เข้ามามีส่วนร่วมในการประเมิน
รวมทั้งมีการนาผลท่ไี ด้มาสะท้อนและปรับปรุงการเรียนการสอนให้มปี ระสทิ ธิภาพมากย่ิงขึ้น
การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ในปัจจุบันเน้นท่ีจะประเมินตามสภาพจริง ซ่ึงเป็นการ
ประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียนที่ใช้วิธีการท่ีหลากหลาย โดยเน้นการประเมินทักษะการคิดท่ีซับซ้อน
ทกั ษะการทางาน ความสามารถในการแก้ปัญหาและการแสดงออกที่เกิดจากการปฏิบัตใิ นสภาพจริง โดย
มีผู้เก่ยี วข้องในการประเมินจากหลายฝ่าย
ใจทิพย์ เชื้อรัตนพงษ์ (2539) ได้อธิบายว่า การพัฒนาหลกัสูตรประกอบด้วยสามมิติ
(Dimensions)คือ มิติที่หน่ึงการวางแผนจดัทา หรือยกร่างหลกัสูตร (Curriculum planning) มิติท่ีสอง
การใชห้ ลักสูตร (Curriculum implementation) และมิติสุดท้ายการประเมินผลหลักสตู ร (Curriculum
evaluation) การพัฒนาหลกัสูตรใหม่คุณภาพไ้ด้นั้นย่อมขึ้นอยู่กับว่า แต่ละมิติมีประสิทธิผลมากน้อย
เพียงใด นอกจากนี้ยังมีผู้รู้หรือนกัการศึกษาหลาย ๆ ท่านไดก้ล่าวถึงรูปแบบของกระบวนการพัฒนา
146
หลกัสูตรไว้ต่างกันรวมท้ังแนวทางในการประเมินหลักสูตรทั้งระบบดังน้ันจึงมีความสาคัญในการพัฒนา
ผเู้ รียนใหป้ ระสบความสาเรจ็ (ชมพันธ์ กุญชร ณ อยธุ ยา.2541: 1) ตลอดถึงการประกนั คุณภาพการศึกษา
ท่ีสะท้อนการบริหารจัดการหลักสูตรและการวัดประเมินผลอย่างเป็นระบบ (ชาญเจริญ ซื่อชวกรกุล,
2550)
3. จุดมุ่งหมายของการประเมนิ หลกั สูตร
การประเมินหลักสตู ร มีจดุ มุง่ หมายเพ่อื
1. หาคุณค่าของหลกั สตู ร: หลกั สูตรนน้ั สนองจดุ มุ่งหมายของหลกั สตู รไวห้ รือไม่ และสนองความ
ต้องการของสงั คมเพียงใด
2. ตัดสินเกี่ยวกับรูปแบบ การสอนและการบริหารหลักสูตร: การวางเค้าโครงและรูปแบบของ
หลักสตู ร การสอนตามหลักสตู ร และการบริหารงานเก่ียวกบั หลกั สูตร เป็นไปในทางท่ีถูกต้องหรือไม่
3. วัดคุณภาพผลผลิต: ผูท้ เ่ี รยี นจบตามหลกั สตู รมีคุณภาพเพยี งใด
4. ปรับปรุงหลักสูตร: หลักสูตรมีข้อบกพร่องท้ังหมดอะไรบ้าง และระหว่างการดาเนินการใช้
หลักสูตรมีปัญหาอุปสรรคในแต่ละส่วนของหลักสูตรอะไรบ้าง นาข้อมูลที่ได้จากการประเมินมาปรับปรุง
แกไ้ ขหลกั สตู ร หรอื พิจารณาว่าควรจะใชห้ ลักสูตรตอ่ ไปอีกหรอื ไม่
4. ขอบเขตของการประเมนิ หลักสูตร
ในการประเมนิ หลักสตู รจะตอ้ งประเมนิ ให้ครบทงั้ ระบบของหลกั สูตร ประกอบด้วย
1. การประเมินเอกสารหลักสูตร ตรวจสอบความสอดคล้องระหว่าง หลักการ จุดมุ่งหมาย
โครงสร้าง เนื้อหา ประสบการณ์เรียนรู้ กิจกรรมการเรียนการสอน การวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและ
เกณฑ์การจบหลักสูตร ตรวจสอบการใช้ภาษาในเอกสารหลักสูตรว่าส่ือสารได้ตรงกันหรือไม่ ข้อกาหนด
หรือแนวทางการใช้หลักสูตรมีความชัดเจนเพียงใด วางแผนการจัดการศกึ ษาตามหลักสูตรนี้เหมาะสมกับ
กลุ่มเปา้ หมายและระดบั การศึกษาเพยี งใด
2. การประเมนิ ระบบของหลักสตู ร
2.1. ประเมินจุดมุ่งหมายในระดับต่าง ๆ คือจุดมุ่งหมายของหลักสูตร จุดประสงค์ของกลุ่มวิชา
จุดประสงค์รายวิชา จุดประสงค์การเรียนรู้ในระดับการสอน เพ่ือตรวจสอบความเหมาะสมกับผู้เรียน กับ
สภาพแวดล้อม ระดับความพอเของความคาดหวงั
147
2.2. ประเมินการจัดเนื้อหาหลักสูตร คือความเหมาะสมของสัดส่วนเนื้อหาความรู้และ
ประสบการณ์การเรียนรู้ ความเหมาะสมในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนเพื่อช่วยให้ผู้เรียนเรียนรู้
เนอ้ื หาความรู้และไดร้ บั ประสบการณ์
2.3. ประเมนิ การสอนของผู้สอน คือ ความสามารถและความถูกต้องในการปรับหลกั สูตรมาใช้ใน
ชั้นเรียน ความรู้ความสามารถในเน้ือหาวิชาท่ีสอน การเตรียมการสอน การใช้เทคนิคการสอนการใช้ส่ือ
การสอนและใช้เทคนิคการวัดผลและประเมินผล สอนตามแนวทางของหลักสูตรหรือไม่ ความสัมพันธ์กับ
ผูเ้ รยี นและการสร้างบรรยากาศในชน้ั เรียนเปน็ อยา่ งไร รับผิดชอบ และการจัดกจิ กรรมการเรยี นการสอนท่ี
ช่วยให้ผู้เรยี นบรรลุจดุ ประสงค์การเรียนรู้ จุดประสงค์ของวิชาและจดุ มุง่ หมายของหลกั สตู ร
2.4. ประเมินระบบการบริหารและการจัดการหลักสูตร คือ ประเมินความพร้อมในการใช้
หลักสตู ร โครงสร้างและระบบของสถาบัน การดาเนินงานของสถาบัน การจดั อาคารสถานที่ งบประมาณ
หนว่ ยบริการการศึกษา เช่นหอ้ งสมดุ งานแนะแนว โรงฝึกงาน ฯลฯ และการจดั เวลา
2.5. ประเมินโปรแกรมการประเมินผลสัมฤทธ์ิของผู้เรียน คือ ความสอดคล้องของวิธีการ
ประเมินผลการเรียนกับจุดมุ่งหมายของหลักสูตร ความเหมาะสมของระยะเวลาการประเมินความถูกต้อง
ตามหลกั วชิ าการประเมินผลการเรียน
3. การประเมินผลผลิต ติดตามผลผู้สาเร็จการศึกษาในด้านความรู้ความสามารถและทักษะใน
การปฏิบัติงาน เจตคติต่อวิชาชีพ ความสามารถในการแก้ปัญหาและการปรับตัวกับสภาพงานและ
สภาพแวดล้อมทั่วไป ความสาเร็จในการประกอบอาชีพ ความกระตือรือร้นในการแสวงหาความก้าวหน้า
ในการประกอบอาชีพและในชวี ติ ส่วนตัว
5. กระบวนการประเมินหลักสตู ร
ในการประเมินหลักสตู ร (วชิ ัย วงษ์ใหญ,่ 2523) มีการดาเนนิ การตามขั้นตอนดังน้ี
1. การวางแผนการประเมินหลักสูตร เป็นการวางแผนว่าจะประเมินหลักสูตรทั้งระบบ หรือ
ประเมินหลักสูตรเฉพาะระบบย่อยอันใดอนั หนึ่งเช่นประเมนิ เฉพาะการจัดการเรียนการสอน เป็นต้น แล้ว
กาหนดแผนการเก็บข้อมูล กลุ่มตัวอย่างที่จะเป็นผู้ให้ข้อมูล ระยะเวลาการเก็บข้อมูลและเกณฑ์การ
วิเคราะห์ข้อมูล
2. การรวบรวมข้อมูล ได้แก่การเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง การจัดข้อมูลเป็นหมวดหมู่และการ
เตรยี มการวเิ คราะหข์ อ้ มูล
3. การวิเคราะห์ข้อมูล คือการนาข้อมูลท่ีรวบรวมได้มาวิเคราะห์ตามเกณฑ์และวิธีการวิเคราะห์
ข้อมูลทว่ี างแผนไว้
148
4. การรายงานผลการวิเคราะห์ข้อมูล เป็นการรายงานผลตามข้อมูลจริงที่พบพร้อมท้ังปัญหา
อปุ สรรค และขอ้ ควรปรับปรุงแก้ไข
6. ปัญหาในการประเมินหลักสตู ร
การประเมินหลักสูตรเป็นงานท่ีมีขอบเขตกว้างขวาง มีข้ันตอนในการปฏิบัติงานหลายขั้นตอน
และต้องเกี่ยวข้องกับบุคคลหลายฝ่าย ดังน้ัน ในการประเมินหลักสูตรจึงมักพบกับปัญหาในแต่ละข้ันตอน
หรอื แต่ละกระบวนการที่แตกต่างกนั ไป ปญั หาทมี่ กั พบโดยทว่ั ไปในการประเมนิ หลกั สตู รมีดงั น้ี
1. ปัญหาด้านการวางแผนการประเมินหลักสูตร การประเมินหลักสูตรมักไม่มีการวางแผน
ล่วงหนา้ ทาให้ขาดความละเอียดรอบคอบในการประเมนิ ผล และไมค่ รอบคลุมสง่ิ ทตี่ ้องการประเมิน
2. ปญั หาด้านเวลา การกาหนดเวลาไมเ่ หมาะสม การประเมินหลักสูตรไม่เสรจ็ ตามเวลาทีก่ าหนด
ทาใหไ้ ดข้ ้อมูลเนนิ่ ช้าไม่ทนั ตอ่ การนามาปรบั ปรงุ หลกั สตู ร
3. ปัญหาด้านความเช่ียวชาญของคณะกรรมการประเมิน หรือไม่มีความเชี่ยวชาญในการ
ประเมินผล ทาให้ผลการประเมินท่ีได้ไม่น่าเชื่อถือ ขาดความละเอียดรอบคอบ ซ่ึงมีผลทาให้การแก้ไข
ปรับปรุงปญั หาของหลักสูตรไม่ตรงประเด็น
4. ปัญหาด้านความเที่ยงตรงของข้อมูล ข้อมูลท่ีไม่ใช่ในการประเมินไม่เท่ียงตรง เน่ืองจากผู้
ประเมินมีความกลัวเกี่ยวกับผลการประเมิน จึงทาให้ไม่ได้เสนอข้อมูลตามสภาพความเป็นจริง หรือผู้ถูก
ประเมินกลวั วา่ ผลการประเมนิ ออกมาไม่ดี จงึ ใหข้ อ้ มลู ที่ไมต่ รงกบั สภาพความเป็นจรงิ
5. ปัญหาด้านวิธกี ารประเมิน การประเมินหลักสูตรส่วนมากมาจากประเมินในเชิงปริมาณ ทาให้
ได้ขอ้ คน้ พบทีผ่ ิวเผินไมล่ ึกซ้งึ จึงควรมีการประเมินผลท่ใี ชว้ ิธกี ารประเมินเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพควบคู่
กัน เพ่ือให้ได้ผลสมบรู ณ์และมองเห็นภาพทีช่ ัดเจนย่ิงข้นึ
6. ปัญหาด้านการประเมินหลักสูตรทง้ั ระบบ การประเมินหลักสูตรทั้งระบบมีการดาเนนิ งานน้อย
มาก ส่วนมากมักจะประเมินเฉพาะด้าน เช่น ด้านผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในด้านวิชาการ (Academic
Achievement) เป็นหลกั ทาให้ไม่ทราบสาเหตทุ ่ีแน่ชัด
7. ปัญหาด้านการประเมินหลักสูตรอย่างต่อเนื่อง คณะกรรมการประเมินหลักสูตรหรือผู้ที่
เกยี่ วข้องมกั ไม่ประเมินหลักสูตรอย่างต่อเน่อื ง
8. ปัญหาด้านเกณฑ์การประเมิน เกณฑ์การประเมินหลักสูตรไมช่ ัดเจน ทาให้ผลการประเมินเป็น
ที่ยอมรับ และไมไ่ ดน้ าผลไปใช้ในการปรับปรุงหลักสตู รจรงิ จัง
149
7. รปู แบบการประเมนิ หลักสูตร
รูปแบบการประเมินหลักสูตรนั้นได้มีนักวิชาการด้านหลักสูตรได้คิดไว้หลายรูปแบบดังตัวอย่าง
ต่อไปน้ี ซ่ึงผู้ประเมินหลักสูตรจะเลือกใช้ให้สอดคล้องกับจุดมุ่งหมายของการประเมินหลักสูตรในแต่ละ
ครง้ั ได้
แบบท่ี 1: รูปแบบการประเมินความสอดคล้อง-ผลท่ีเกิดข้ึนของสเต้ก (The Stake
Congruence-Contingency Model)
รูปแบบน้ีคิดขึ้นโดย โรเบิร์ต อี สเต้ก (Robert E. Stake) ให้ตีตารางแบ่งออกเป็น 12 ช่องโดย
แต่ละช่องจะสามารถกรอกข้อมูลเข้าไปได้ ข้อมูลในแต่ละช่องจะแสดงให้เห็นถึงความสอดคล้องของสิ่งท่ี
ตอ้ งการประเมินผลและในขณะเดยี วกนั จะชีใ้ ห้เห็นถึงความสัมพันธ์ของ ตวั แปรตา่ ง ๆ ที่มีอิทธิพลตอ่ การ
บริหารงานหลกั สูตร ดังน้ันรปู แบบน้ีจึงช่วยประเมินในด้านความสอดคล้อง และความสัมพันธ์ของตัวแปร
ในหลักสตู รได้มากเป็นพิเศษ ตัวอย่างตารางการประเมินหลกั สูตรของสเต้ก ดังนี้
ตารางท่ี 6.1 การประเมนิ หลักสูตรของสเต้ก
ขอ้ มูลทใ่ี ช้ในการประเมินหลักสตู ร
เกณฑใ์ นการวิเคราะหห์ ลกั สตู ร ผลท่ี ผลที่ มาตรฐาน ท่ีมาของหลกั การ
คาดหวัง เกดิ ข้นึ ที่ใช้ ตัดสิน
1) สงิ่ ที่มมี าก่อน
- บคุ ลกิ และนิสยั ของนักเรียน
- บคุ ลกิ และนิสยั ของครู
- เนอ้ื หาสาระของหลักสูตร
- วสั ดอุ ปุ กรณก์ ารสอน
- บรเิ วณโรงเรียน
- ระบบการจดั โรงเรียน
- ชุมชน
150
ขอ้ มูลทใ่ี ช้ในการประเมินหลักสูตร
เกณฑ์ในการวเิ คราะห์หลกั สูตร ผลที่ ผลที่ มาตรฐาน ทม่ี าของหลกั การ
คาดหวงั เกดิ ข้นึ ท่ใี ช้ ตดั สนิ
2) กระบวนการในการสอน
- การสือ่ สาร
- เวลาท่จี ดั ให้
- ลาดบั ของเหตุการณ์
- การใหก้ าลงั ใจ
- บรรยากาศ
3) ผลทีเ่ กิดขน้ึ
- สมั ฤทธิ์ผลของนกั เรยี น
- ทศั นคตขิ องนกั เรยี น
- ทกั ษะต่าง ๆ ของนักเรยี น
- ผลทมี่ ีต่อครู
- ผลทมี่ ีตอ่ สถานศกึ ษา
(ทม่ี า: Armstorng. 2003: 280)
จากรปู แบบการประเมินหลักสตู รของสเต้ก จะเหน็ ไดว้ า่ ข้นั ตอนในการประเมินหลกั สูตร คอื
1. การตั้งเกณฑใ์ นการวเิ คราะหห์ ลักสูตร
สเต้ก ได้เสนอหัวขอ้ ของเกณฑ์ที่จะใชใ้ นการประเมินหลักสตู รไว้ 3 หัวขอ้ คือ เร่ืองเกีย่ วกบั สงิ่ ที่
มีมากอ่ น กระบวนการในการสอน และผลที่เกดิ ขึ้น เกณฑ์ของ เสต้ก นี้นับวา่ แตกต่างกบั ของผู้อน่ื ตรงที่ว่า
เสต้ก ไมไ่ ดพ้ ิจารณาแต่ผลทเี่ กิดข้นึ แต่เพยี งอย่างเดยี ว เพราะการประเมินผลที่ไดร้ ับเท่านั้นไมเ่ พยี งพอท่จี ะ
ประเมินวา่ หลักสตู รท่ีจัดนน้ั ดีหรือไม่เพียงใด เพราะผลที่ได้น้ันขึ้นอยู่กับองค์ประกอบอกี หลายอย่าง เป็น
ต้นว่า หากผู้เรียนไม่สามารถบรรลุตามจุดมุ่งหมายที่วางไวก้ ม็ ไิ ด้หมายความวา่ หลกั สูตรนนั้ เป็นหลกั สตู รท่ี
ไม่ดี การท่ีผู้เรียนไม่สามารถเรียนได้ตามที่ต้องการอาจจะมาจากองค์ประกอบทางด้านเวลา เช่น ให้เวลา
แกผ่ เู้ รียนนอ้ ยไป เวลา ท่ีจัดให้ไมเ่ หมาะสม เป็นต้น
151
ดังนั้น การท่ีจะดูผลท่ีได้รับ และนามาประเมินค่าหลักสูตรน้ันเป็นการไม่เพียงพออาจจะไม่
สามารถช่วยชี้ช่องทางของการปรับปรุงหลักสูตรน้ันแต่อย่างใด ด้วยเหตุนี้ สเต้ก จึงได้เสนอว่า ควรมีการ
พจิ ารณาขอ้ มูลเพื่อประเมนิ หลักสูตรถึง 3 ด้านดว้ ยกันคอื
ก) ดา้ นส่ิงท่ีมมี ากอ่ น ด้านนี้หมายถึง สิ่งใด ๆ ก็ตามท่ีเก่ียวข้องกบั ผลที่ไดร้ ับจากหลักสูตรที่มอี ยู่
ก่อนท่ีจะมีการเรียนการสอนเกิดขึ้น ในทีน่ ้ี สเต้ก ได้จาแนกหัวข้อสาคัญ ๆ ออกเปน็ 7 หัวข้อ ดงั ในตาราง
ช่อง 1) ข้างต้น
ข) ดา้ นกระบวนการในการสอน ด้านน้หี มายถึงปฏิสมั พนั ธ์ตา่ ง ๆ ทเ่ี กิดขึ้นระหวา่ งครูกบั ผู้เรยี น
ผู้เรียนกับผู้เรียน ครูกับผู้ปกครอง ฯลฯ ซ่ึงนับว่าเป็นกระบวนการท่ีมีอิทธิพลต่อการศึกษาตามหลักสูตร
นั้น ๆ ในดา้ นนี้ สเตก้ ไดจ้ าแนกหัวขอ้ ย่อยออกเปน็ 5 หัวขอ้ ดงั ในตารางชอ่ งที่ 2) ขา้ งตน้
ค) ด้านผลท่ีเกิดข้ึน ด้านน้ีหมายถึงผลท่ีเกิดข้ึนจากการใช้หลักสูตรน้ัน มี 5 หัวข้อดังในตาราง
ช่องที่ 3) ข้างต้น
2. การหาข้อมูลมาประกอบ
หลังจากท่ีได้ต้ังเกณฑ์ข้ึนมาเพ่ือนาเป็นแนวทางในการประเมินหลักสูตรแล้ว ผู้ประเมินผลกลัก
สูตรจะต้องทาการเก็บรวบรวมข้อมูลท่ีมีอยู่ มาประกอบการพิจารณา ข้อมูลที่นามาพิจารณาตามแบบ
ตัวอยา่ งของ สเต้ก นีม้ ีอยู่ด้วยกัน 4 หมวด คือ
ก) ผลที่ตอ้ งการหรือผลทคี่ าดหวงั ซ่ึงไดแ้ ก่ จุดมงุ่ หมายและจุดประสงคต์ ่าง ๆ
ข) ผลท่ีเกิดขึ้น ซึ่งได้มาจากแหล่งต่าง ๆ เช่น จากการสังเกต การทดลอง การสัมภาษณ์จาก
แบบสอบถาม จากรายงานและการตดิ ตามผลวิธีต่าง ๆ
ค) มาตรฐานท่ีใช้ซึ่งได้แก่เกณฑ์ต่าง ๆ ผู้เชี่ยวชาญ เช่น ครู นักบริหารเช่ือว่าควรจะใช้ผู้เรียน
ผ้ปู กครอง ฯลฯ เหน็ วา่ ควรจะใช้
ง) ท่ีมาของหลักการตัดสินใจ เช่น ค่านิยมต่าง ๆ ขนบธรรมเนียมประเพณี ความเช่ือต่าง ๆ
เป็นตน้
152
3. วธิ ีใชต้ ารางในการประเมินหลกั สตู ร
เร่ิมต้นด้วยการพิจารณาข้อมูลท้ัง 4 หมวด ตามเกณฑ์ท่ีต้ังข้ึน เช่น จากตารางแบบตัวอย่างของ
สเต้ก ถ้าพิจารณาในแนวนอน จะเร่ิมที่ด้านส่ิงท่ีมีมาก่อน ข้อบุคลิกและนิสัยของผู้เรียน เราก็จะพิจารณา
ว่า ผลท่ีคาดหวังหรือวัตถุประสงค์ ในด้านน้ีคืออะไร และนามาเปรียบเทียบกับผลที่เกิดขึ้นว่า ตรงหรือ
สอดคล้องกับวัตถุประสงค์หรือไม่เพียงใด และผลท่ีเกิดข้ึนน้ัน ใช้มาตรฐานอะไรวัดและถืออะไรเป็นหลัก
ในการตัดสิน
ข้อมลู ตามทคี่ าดหวัง ความสอดคลอ้ ง ข้อมูลตามผลท่ีเกิดข้นึ
ด้านส่งิ ทีม่ มี ากอ่ น ความสอดคล้อง ดา้ นสิ่งท่ีมีมาก่อน
ความสัมพนั ธ์ ความสอดคลอ้ ง ความสัมพันธ์
ด้านกระบวนการในการสอน ด้านกระบวนการในการสอน
ความสมั พนั ธ์ ความสมั พันธ์
ด้านผลทเี่ กดิ ข้นึ ดา้ นผลท่เี กดิ ข้ึน
ภาพท่ี 6.1 การวเิ คราะหถ์ ึงความสอดคล้องกบั ความสมั พันธ์ของหลักสูตร
Armstrong (2003: 280 - 283)
การวิเคราะห์ถึงความสอดคล้องกับความสัมพันธ์ของหลักสูตรนี้ จะเป็นแนวทางช้ีให้เห็นถึง
ข้อบกพรอ่ งต่าง ๆ ซ่งึ จะมสี ว่ นช่วยในการปรับปรงุ หลกั สตู รได้ (Armstorng, 2003: 280-283)
153
แบบที่ 2: รูปแบบบการประเมินหลักสูตรของไฟ เดลตา คัปปา หรือรูปแบบซิป (The Phi
Delta Kappa Committee Model or CIPP Model)
รูปแบบคล้ายคลึงกับรูปแบบแรกในแง่ท่ีเน้นเก่ียวกับการวิเคราะห์หาความสัมพันธ์และความ
สอดคลอ้ งของส่ิงท่ีบรรจอุ ยใู่ นหลกั สตู ร แตแ่ บบท่ี 2 น้ี ให้หวั ขอ้ ทตี่ า่ งไปจากแบบท่ี 1 เล็กน้อย ดงั ภาพ
การประเมิน ก า ร ป ร ะ เ มิ น ก า ร ป ร ะ เ มิ น การประเมินผล
บรบิ ท ปัจจยั ป้อนเขา้ กระบวนการ ผลิต
CONTEXT INPUT PROCESS PRODUCT
EVALUTION EVALUATION VALUATION EVALUATION
ภาพท่ี 6.2 การประเมนิ หลักสูตรของไฟ เดลตา คปั ปา หรอื รูปแบบซปิ (Armstrong, 2003: 277)
การประเมินบริบท เป็นการประเมินการตัดสินใจในการวางแผนก่อนการใช้หลักสูตรความ
ต้องการและความจาเป็นของกลุ่มเป้าหมาย เป้าหมายและจุดมุ่งหมายของหลักสูตร และจุดประสงค์ใน
ระดบั ต่าง ๆ ท่ีสนองตอบต่อความตอ้ งการและความจาเปน็ ซ่ึงอาจประเมนิ โดยการวเิ คราะห์ระบบ สารวจ
ทบทวนเอกสาร รับฟงั ความคิดเหน็ สัมภาษณ์ ทดสอบและวนิ ิจฉัย และใช้เทคนคิ เดลฟาย (Delphi)
การประเมินปัจจัยป้อนเข้า เป็นการประเมินแผนการใช้หลักสูตรโครงสร้างของหลักสูตร การ
ตัดสินใจเลือกเนื้อหา การจัดลาดับเน้ือหา เทคนิควิธีการที่เลือกใช้ ทรัพยากรบุคคล ส่ือการเรียนรู้
งบประมาณ และการกาหนดการใชห้ ลักสูตร ซึง่ อาจประเมนิ โดยการประเมินจากสภาพจรงิ ในการเย่ยี มชม
โปรแกรม และการสารวจความคดิ เหน็
การประเมินกระบวนการ เป็นการประเมินกระบวนการใช้หลักสูตร กระบวนการสอนของครู
กิจกรรมต่าง ๆ ในสถาบัน ปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคลากร ระบบการบริหารจัดการหลักสูตรท้ังหมดและ
ความสอดคล้องของการใช้หลักสูตรกับการออกแบบหลักสูตร ซึ่งอาจประเมินโดยการตรวจสอบ สังเกต
และสอบถามความคดิ เห็น
การประเมินผลผลลัพธ์ เป็นการประเมินว่าหลักสูตรบรรลุเป้าหมายหรือไม่หลังจากได้ใช้หลักสูตร
แล้วหรืออยู่ระหว่างการใช้ ประเมินความสัมพันธ์ระหว่างบริบท ปัจจัยป้อนเข้า และกระบวนการประเมิน
คุณคา่ ของผลผลติ และระบบหลกั สตู รทั้งหมด ซึ่งอาจประเมินโดยการวัดผลลัพธ์ตามเกณฑท์ ี่กาหนด ประเมิน
จากการตดั สินคุณค่าของผมู้ สี ่วนร่วมหรือผู้ที่เก่ยี วข้องกบั หลักสูตร (Armstrong, 2003: 277-280)
154
จากรปู แบบน้ี จะเห็นวา่ วิธีการประเมินหลักสูตรคอื การทผ่ี ู้ประเมนิ หลกั สูตรจะทาการประเมินดา้ น
ต่าง ๆ ทั้ง 4 ด้านดังกล่าว แล้วนามาเทียบกันดูว่า มีความสอดคล้องและมีความสัมพันธ์กันอย่างไร
ตวั อย่างเชน่ ในด้านจุดมุ่งหมายหากต้องการจะสร้างเสริมผู้เรียนให้มีความเป็นนักประชาธิปไตยแล้ว ก็นามา
เทยี บดูว่าระบบโครงสรา้ ง และการบริหารหลักสูตรเปน็ ระบบท่ีเอ้อื ต่อการช่วยให้ผู้เรียนเป็นนกั ประชาธิปไตย
หรือไม่ และจะดูต่อไปว่า การจัดการเรียนการสอนเป็นไปในวิถีทางท่ีช่วยเสริมความเป็นนักประชาธิปไตย
เพียงใด และผลท่ีเกดิ ข้ึนจริง ๆ สอดคล้องกันอย่างไร จากการเทียบข้อมูลตามหัวข้อดังกล่าว จะสามารถช่วย
ให้ผู้ประเมินหลักสูตรได้เห็นว่าหลักสูตรนั้น ๆ มีความสัมพันธ์และสอดคล้องกันเพียงใดและมีจุดใดท่ีควร
แกไ้ ข
แบบที่ 3: รูปแบบการประเมินความไม่สอดคล้องของโพรวัส (Provus’s discrepancy
evaluation model)
SC D Decision Making
P
ภาพที่ 6.3 รูปแบบของมัลคลั ม์ โพรวสั (Malcolm Provus) (Armstrong, 2003: 280)
S = Standard เป็นข้ันแรกของการดาเนินการประเมินหลักสูตรกล่าวคือ ผู้ประเมินจะต้องต้ัง
มาตรฐานของสง่ิ ท่ีตอ้ งการวัดไวเ้ สยี ก่อน
P = Performance หลังจากที่ได้ดาเนินงานข้ันแรกเสร็จลงไปแล้ว ผู้ประเมินจะต้องรวบรวม
ข้อมูลในเรื่องของส่ิงท่ีต้องการวัดมาให้เพียงพอ ข้อมูลท่ีรวบรวมควรเป็นข้อมูลท่ีแสดงให้เห็นเป็น
พฤติกรรมที่ชัดเจน
C = Compare เม่ือตั้งมาตรฐานและรวบรวมข้อมูลเสร็จแล้ว ก็นาข้อมูลนั้นมาเปรียบเทียบกับ
มาตรฐานทตี่ ัง้ ไว้
D = Discrepancy จากการเปรียบเทียบข้อมูลกับมาตรฐานท่ีกาหนดไว้ ผู้ประเมินจะพบว่ามี
ชอ่ งวา่ งอะไรระหวา่ งผลที่เกิดขึน้ กับผลทค่ี าดหวงั
155
Decision - Making ผู้ประเมินจะส่งผลการประเมินไปให้ผู้ท่ีจะต้องตัดสินใจเกี่ยวกับหลักสูตรเพื่อทา
การตัดสินใจอย่างใดอย่างหนึ่งเช่น จะหยุดใช้หลักสูตรนั้นหรือไม่ จะปรับปรุงอะไร หรือเปลี่ยนแปลง ซ่ึง
ขั้นตอนการประเมินดังกล่าวสามารถอธบิ ายเปน็ รูปแบบได้ดังนี้ (Armstrong, 2003: 284 - 286)
เกณฑ์มาตรฐาน การปฏบิ ตั จิ ริง
เปรยี บเทยี บ
ความสอดคล้อง/ไม่สอดคลอ้ ง
ระหว่างการปฏิบตั จิ รงิ กบั เกณฑม์ าตรฐาน
ตัดสนิ ใจ
ยกเลิก ปรับปรุง
ภาพที่ 6.4 กระบวนการในการตดั สนิ ในการประเมินของโพรวสั (Armstrong, 2003: 286)
รูปแบบการประเมินหลักสูตรของโพรวัส นี้นับว่าให้ความสะดวกแก่ผู้ประเมินหลายประการ ผู้
ประเมินผลสามารถท่ีจะหยิบยกขอ้ มลู ใดขอ้ มลู หนึ่ง เชน่ การสอนแต่ละเรือ่ ง หรือกิจกรรมใดกิจกรรมหน่ึง
มาประเมินโดยเฉพาะ โดยดาเนินการตามกระบวนการข้างต้น หรือจะประเมินทง้ั 5 ดา้ น คอื การประเมิน
การออกแบบ (Design) การประเมินการจัดทา (Installation) การประเมินกระบวนการ (Process) การ
ประเมินผลผลติ (Product) และการประเมนิ งบประมาณทใ่ี ช้ไป (Cost) โดยเปรียบเทยี บกับมาตรฐาน
แบบท่ี 4: รูปแบบการประเมินผลการฝึกอบรมของเคิร์ก แพททริค สาหรับพัฒนาทรัพยากร
มนษุ ย์ (Kirkpatrick’s Training Evaluation Model for Human Resource Development)
โดนัล เคิร์ก (Donald L. Kirkpatrick) ได้เสนอรูปแบบการประเมินโปรแกรมการฝึกอบรม
(training programs) โดยให้ประเมิน 4 ระดับ คอื
156
1. ประเมินปฏิกิริยาของผู้เรียน (Reaction of Students) ได้แก่ การประเมินความคิด ความรู้สึก
เกี่ยวกับการฝึกอบรม และประสบการณ์การเรียนรู้ทจ่ี ัดในโปรแกรม โดยใชแ้ บบสอบถามหลังการฝึกอบรม
2. ประเมินการเรียนรู้ (Learning) เป็นการประเมินความร้แู ละความสามารถท่ีเพ่ิมขึ้น โดยมีการ
ประเมินเปรยี บเทียบก่อนและหลังการฝึกอบรมด้วยแบบทดสอบ และอาจใชก้ ารสมั ภาษณร์ ว่ มด้วย
3. ประเมินพฤติกรรม (Behavior) เป็นการประเมินขอบเขตของพฤติกรรมและความสามารถท่ี
พัฒนาขึ้น รวมถึงการนาประสบการณ์จากการฝึกอบรมไปใช้และประยุกต์ใช้ในงาน เมื่อกลับไปทางาน
หลังจากรับการฝึกอบรมแล้ว โดยใช้การสังเกตและสัมภาษณ์เพ่ือประเมินการเปลี่ยนแปลงและร่วมมือใน
การประเมนิ กับหวั หนา้ งาน
4. ประเมินผลลัพธ์ (Results) เป็นการประเมินผลการพัฒนาความสาเร็จของผู้ได้รับการฝึกอบรมแล้ว
ที่มีผลต่อองค์กรหรือชุมชน โดยประเมินจากผลที่เกิดเป็นรูปธรรม เช่น ประเมินเป็นขนาด ผลประกอบการ
รอ้ ยละ ระดับคณุ ภาพ การรบั รองมาตรฐาน การเพ่ิมผลผลติ รายไดบ้ ุคลากร ปริมาณขอ้ ผดิ พลาด เปน็ ต้น
จะเห็นได้ว่าการประเมินโปรแกรมฝึกอบรมจะเน้นการประเมินผลที่เกิดแก่ตัวผู้เข้ารับอบรมที่จะ
ส่งผลถงึ หน่วยงาน ชุมชน สังคม และอาจสะท้อนถงึ ตวั หลักสตู รด้วย
8. การปรบั ปรุงหลกั สูตร
คุณภาพการศึกษาจะเป็นอย่างไรน้ัน ตัวชี้วัดท่ีสาคัญคือคุณภาพของผู้เรียน ซึ่งสะท้อนถึง
กระบวนการในการหล่อหลอมและการสร้างประสบการณ์เรียนรู้ท่ีมีความหมาย ตลอดถึงการนาไปใช้ใน
อนาคตอย่างเกิดประโยชน์และเจริญงอกงาม ในโลกของอนาคตท่ีมีการเปล่ียนแปลงอย่างรวดเร็วและ
ความต้องการของมนุษย์ที่เพิ่มมากข้ึน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจึงมีบทบาทสาคัญต่อการกาหนดและ
ปรับปรุงหลักสูตรให้มีความเท่าทันต่อการเปล่ียนแปลงในอนาคตและศตวรรษที่ 21 ซ่ึงการจัดการศึกษา
ในศตวรรษท่ี 21 ต้องคานึงถึงการพัฒนาให้ประชากรของโลกมีความสามารถในการแข่งขัน โดย
ความสาเรจ็ ของประชากรทเ่ี กดิ ข้ึนมีปจั จัยมาจากการมีความรู้และทักษะที่สาคัญ และมีการจดั การศกึ ษา
ที่มุ่งผสมผสานวิชาแกนกับแนวคิดสาคัญต่าง ๆ ของศตวรรษท่ี 21 และทักษะต่าง ๆ เพ่ือเตรียมความ
พร้อมให้ผู้เรียนก่อนออกไปสู่โลกของการทางาน โดยที่ผู้เรียนต้องได้รับการส่งเสริมให้มีความรู้ในเนื้อหา
และทักษะท่ีจะประยุกต์ใช้และปรับเปล่ียนความรู้เหล่าน้ันให้เข้ากับเป้าหมายที่เป็นประโยชน์และ
สร้างสรรค์ รวมทั้งส่งเสริมให้มีความต่อเน่ืองตามเนื้อหาและสภาพการณ์ท่เี ปลี่ยนแปลงไป จึงอาจกล่าว
ได้ว่า การจัดการศึกษาในศตวรรษท่ี 21 จึงมิใช่ห้องเรียนที่มีเทคโนโลยีสมัยใหม่ มีเน้ือหาวิชาท่ี
หลากหลาย แต่ยังต้องรวมถึงการสร้างจิตสานึกต่อโลก มีทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรมในการใช้
เทคโนโลยีดีจิตัล มีความรู้ มีทักษะชีวิตและการทางาน นอกจากนั้นประชากรในโลกยุคศตวรรษที่ 21
157
ยังต้องสนใจเร่ืองของการประเมินหลักสูตร การพัฒนาทางวิชาชีพและสภาพแวดล้อมของการเรียนรู้ใน
ศตวรรษท่ี 21
บทสรปุ
ในการพัฒนาหลักสูตรจะต้องมีการประเมินหลักสูตรเพ่ือตรวจสอบว่าหลักสูตรที่นาไปใช้แล้วน้ัน
ยงั คงมปี ระเดน็ ใดทต่ี ้องปรับปรงุ อีกบา้ ง หรือสมควรจะใช้หลักสตู รนั้นตอ่ ไปหรือไม่ โดยอาศยั วธิ ีการต่าง ๆ
ในการประเมินหลักสูตร โดยผู้ประเมินสามารถเลือกใช้ให้เหมาะสมกับจุดมุ่งหมายของหลักสูตรเป็นหลัก
เพอื่ ใหไ้ ดข้ ้อมลู ทีเ่ ปน็ จริงนามาวิเคราะหแ์ ละสรุป ชใ้ี ห้เห็นข้อบกพรอ่ งตา่ ง ๆ นาไปเปน็ ข้อมูลในการพฒั นา
หลักสูตรในโอกาสต่อไป ในการประเมินหลักสูตรอาจดาเนินการเป็นระยะ ๆ ระหว่างการใช้หลักสูตรได้
และเมื่อใช้หลักสูตรเสร็จสิ้นหรือครบวงจรแล้วต้องมีการประเมินรวบยอดอีกครั้งหนึ่ง ประเมินให้ครบทุก
องค์ประกอบของหลักสูตรและทั้งระบบของหลักสูตรด้วย และผลจากการประเมินหลักสูตรย่อมมี
คุณประโยชน์ทั้งต่อผู้บริหารและผู้ใช้หลักสูตรตลอดจนประสิทธิภาพของการศึกษา หากมีการประเมิน
อย่างมีระบบ มีเป้าหมาย และมีวิธีการที่ชัดเจนเป็นท่ีน่าเช่ือถือ เมื่อนาไปปรับปรุงแล้วย่อมเป็น
หลักประกันว่าหลักสูตรจะมคี ุณภาพ
เอกสารอา้ งอิง
ใจทพิ ย์ เชอื้ รตั นพงษ.์ (2539). การพัฒนาหลกั สูตร: หลกั การและแนวปฏบิ ัติ. กรงุ เทพฯ: โรงพมิ พ์อลนี
เพรช.
ชมพันธ์ กญุ ชร ณ อยธุ ยา. (2541). เอกสารเก่ยี วกับการพัฒนาหลกั สตู ร. กรงุ เทพฯ: โรงเรียนครทู หาร
กองการศึกษา, กรมยุทธศกึ ษาทหารอากาศ กองบัญชาการฝึกศึกษาทหารอากาศ.
ชาญเจริญ ซ่ือชวกรกุล. (2550). การดาเนินงานประกันคณภาพภายในเพ่ือรองรับการประเมิน ภายนอก
รอบที่สองของโรงเรียนโปงหลวงวิทยารัชมังคลาภิเษก จังหวัดลาปาง. (การค้นคว้าแบบอิสระ
ศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต) เชียงใหม่: มหาวิทยาลัยเชยี งใหม่.
ฐรี ะ ประวาลพฤกษ์. (2538). การพฒั นาบุคคลและการฝึกอบรม. กรงุ เทพฯ: สานักงานสภาสถาบันราชภัฎ.
ดาราวรรณ สวุ รรณชฎ. (2540). ความคดิ เห็นของนายทหารสญั ญาบตั รเหลา่ สารบรรณที่มีต่อการฝึกอบรม
หลกั สูตรช้นั นายรอ้ ยเหล่าสารบรรณ กองบัญชาการทหารสูงสดุ . (ปริญญานิพนธก์ ารศึกษา
มหาบัณฑติ ). กรงุ เทพฯ: มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์.
วิชัย วงษใ์ หญ.่ (2523). พัฒนาหลักสตู รและการสอน. กรุงเทพฯ: รุ่งเรืองธรรม.
158
ทิศนา แขมมณ.ี (2540). “การประเมินหลักสูตร”. รวมบทความทางการประเมินโครงการ. (พิมพ์ครงั้ ท่ี 4).
กรุงเทพฯ: สานักพิมพ์จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลัย.
สจุ รติ เพียรชอบ. (2548). E Learning การพัฒนาหลักสูตร. กรุงเทพฯ: สานักพิมพ์จุฬาลงกรณ์
มหาวทิ ยาลัย.
สนั ต์ ธรรมบารงุ . (2527). หลกั สูตรและการบริหารหลกั สูตร. กรงุ เทพฯ: การศาสนา.
สุมิตร คณุ านกุ ร. (2533). หลักสูตรและการสอน. กรงุ เทพฯ: ชวนพมิ พ์ .
Armstrong, G., & Kotler, P. (2003). Marketing and introduction. (6th ed.). New Jersey: Pearson
Education
Conbach, L. J. ( 1971) . Essentials of Psychological Testing. (3rded). New York: Harper &
Row.P161.
Good, C. V. (1973). Dictionary of Education. New York:McGraw - Hill Book Company.
Washington,D.C.:Office of Vocational and Adult Education (ED).
Stake, R. E. ( 1967) . “The Countenence of Education Evaluation” . Teacher College
Record. 68 (April1967).
Stufflebeam, D. L., Foley, W. J., Gephart, W. J., Guba, E. G., Hammond, R. L., Merriman, H.
O., & Provus, M. M. (1971). Educational evaluation and decision making. Itasca. IL:
Peacock.
159
บทท่ี 7
การออกแบบและการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา
อารีวรรณ เอี่ยมสะอาด
บทนา
การออกแบบและการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา เป็นกระบวนการที่มีเป้าหมายที่สาคัญเพ่ือให้
ได้หลักสตู รทีน่ ามาใชใ้ นการจัดการเรียนการสอนในสถานศึกษาอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธผิ ลสูงคือ
ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้อย่างเต็มศักยภาพตรงตามจุดมุ่งหมายท่ีกาหนดไว้ ดังน้ันผู้ท่ีรับผิดชอบในการการ
ออกแบบและการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา จึงจาเป็นต้องมีความเข้าใจเก่ียวกับการออกแบบและการ
พัฒนาหลกั สูตรสถานศึกษา มปี ระเดน็ ท่ีสาคญั ดงั นี้
1. การออกแบบและการพฒั นาหลักสูตรสถานศึกษา
2. แนวโน้มของหลักสตู รสาหรับพฒั นาผูเ้ รยี นในศตวรรษท่ี 21
3. ข้ันตอนการพัฒนาหลกั สตู รสถานศกึ ษา
แตล่ ะประเด็นมีสาระสาคญั ดังน้ี
1. การออกแบบและการพัฒนาหลกั สูตรสถานศกึ ษา
การออกแบบและการพัฒนาหลกั สูตรสถานศึกษา หมายถึง การออกแบบหลักสูตรที่สถานศึกษา
หรือโรงเรียนพัฒนาขึ้นให้สอดคล้องกับสภาพท้องถ่ินและธรรมชาติของผู้เรียนในสถานศึกษาน้ัน ๆ โดยมี
โครงสร้างของหลักสูตรท่ีเป็นไปตามข้อกาหนดของหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช
2551 และมาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัด กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และสาระ
ภูมิศาสตร์ ในกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) ตาม
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 ซ่ึงในการพัฒนาคณุ ภาพผู้เรียนตามหลักสูตร
แกนกลางการศกึ ษาข้ันพืน้ ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 มีการกาหนดสาระการเรียนรู้ ประกอบดว้ ย องค์ความรู้
ทักษะหรือกระบวนการเรียนรู้ และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ซ่ึงกาหนดให้ผู้เรียนทุกคนในระดับ
การศึกษาข้นั พ้ืนฐานจาเป็นต้องเรียนรู้ โดยแบ่งเป็น 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้ โดยศกึ ษาความสัมพันธ์ของ
การพัฒนาคุณภาพผู้เรยี นตามหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาขั้นพืน้ ฐานดงั ภาพที่ 7.1
160
ภาษาไทย: ความรู้ ทักษะและ คณติ ศาสตร์: การนาความรู้ทักษะ วิทยาศาสตร์: การนาความรแู้ ละ
วัฒนธรรมการใชภ้ าษา เพ่อื การ และกระบวนการทางคณิตศาสตร์ไป กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ไปใช้
สอ่ื สาร ความชืน่ ชม การเห็นคณุ คา่ ใชใ้ น การแก้ปญั หา การดาเนนิ ในการศกึ ษา ค้นควา้ หาความรู้ และ
ภูมปิ ัญญา ไทย และภูมิใจในภาษา ชวี ิต และศกึ ษาตอ่ การมเี หตมุ ผี ล แกป้ ัญหาอยา่ งเป็นระบบ การคดิ
ประจาชาติ มเี จตคติทดี่ ตี ่อคณติ ศาสตร์ อย่างเปน็ เหตเุ ปน็ ผล คดิ วิเคราะห์
พัฒนาการคิดอยา่ งเปน็ ระบบและ คิดสรา้ งสรรค์ และจิตวิทยาศาสตร์
สรา้ งสรรค์
ภาษาตา่ งประเทศ: ความรู้ องคค์ วามรู้ ทกั ษะสาคัญ สังคมศกึ ษา ศาสนาและวัฒนธรรม:
ทกั ษะ เจตคติ และวฒั นธรรม และคณุ ลกั ษณะ การอยรู่ ว่ มกนั ในสงั คมไทยและสังคม
การใชภ้ าษาต่างประเทศในการ โลกอยา่ งสนั ตสิ ุข การเปน็ พลเมอื งดี
สอื่ สาร การแสวงหาความรู้ ในหลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษา ศรัทธาในหลักธรรมของศาสนา
และการประกอบอาชีพ ขน้ั พนื้ ฐาน การเหน็ คณุ คา่ ของทรพั ยากรและ
สิง่ แวดล้อม ความรักชาติ และภมู ใิ จ
ในความเปน็ ไทย
การงานอาชพี และเทคโนโลย:ี ศิลปะ: ความรแู้ ละทกั ษะในการ สขุ ศึกษาและพลศกึ ษา: ความรู้ ทกั ษะ
ความรู้ ทักษะ และเจตคตใิ นการ คิดริเร่ิม จนิ ตนาการ สรา้ งสรรค์ และเจตคตใิ นการสรา้ งเสริมสุขภาพ
ทางาน การจัดการ การดารงชวี ติ งานศิลปะ สนุ ทรยี ภาพและการ พลานามัยของตนเองและผอู้ ื่น การ
การประกอบอาชีพ และการใช้ เหน็ คณุ คา่ ทางศิลปะ ปอ้ งกนั และปฏบิ ัตติ อ่ สง่ิ ตา่ ง ๆ ทมี่ ผี ล
เทคโนโลยี ตอ่ สขุ ภาพอยา่ งถกู วิธแี ละทกั ษะในการ
ดาเนนิ ชีวิต
ภาพท่ี 7.1 ความสัมพนั ธ์ของการพฒั นาคุณภาพผเู้ รียนตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน
กระทรวงศกึ ษาธกิ าร (2551: 10)
161
2. แนวโน้มของหลกั สตู รสาหรับพฒั นาผ้เู รยี นในศตวรรษที่ 21
จากแนวคิดสาคัญของการพัฒนาคือการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ โดยกระบวนการทางการศึกษา
ซึ่งเครื่องมือสาคัญของการจัดการศึกษา คือ หลักสูตร โดยนัยดังกล่าวนี้การจัดหลักสูตรจึงต้องให้
สอดคล้องกับบริบทของสังคมและเป้าหมายของการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในขณะนั้น ในปัจจุบันนี้คือ
ศตวรรษที่ 21 เป็นช่วงของการ เปล่ยี นแปลงทางสังคม และความกา้ วหน้าทางวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี
การจัดหลักสูตรเพื่อพัฒนาทรัพยากร มนุษย์จึงต้องพัฒนาให้บุคคลมีศักยภาพท่ีสามารถดารงชีวิตอยู่ใน
สังคมได้อย่างปกติสุข ซึ่งคนในศตวรรษท่ี 21 น้ีจะต้องมีทักษะท่ีสาคัญและแตกต่างจากในอดีตท่ีผ่านมา
ทกั ษะเพ่อื การดารงชีวิตในศตวรรษท่ี 21 กาหนดไวว้ ่า บคุ คลตอ้ งมีทกั ษะอยา่ งนอ้ ย 4 ด้าน ไดแ้ ก่
1. ทักษะด้านความรู้ จะต้องมีความรู้เก่ียวกับโลก (Global Awareness) ความรู้เก่ียวกับ
การเงิน เศรษฐศาสตร์ ธุรกิจ และการเป็นผู้ประกอบการ (Financial, Economics, Business and
Entrepreneurial Literacy) ความรู้ด้านการเป็นพลเมืองที่ดี (Civic Literacy) ความรู้ด้านสุขภาพ
(Health Literacy) และความรดู้ ้านสิ่งแวดลอ้ ม (Environmental Literacy)
2. ทักษะด้านการเรียนรู้และนวัตกรรม จะเป็นตัวกาหนดความพร้อมของผู้เรียนเข้าสู่โลกการ
ทางานท่ีมีความซับซ้อนมากข้ึนในปัจจุบัน ได้แก่ ความริเริ่มสร้างสรรค์และนวัตกรรม การคิดอย่างมี
วิจารณญาณและการแก้ปญั หา การสือ่ สารและการร่วมมือ
3. ทักษะด้านสารสนเทศ สื่อ และเทคโนโลยี เน่ืองด้วยในปัจจุบันมีการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร
ผ่านทางสื่อและเทคโนโลยีมากมาย ผู้เรียนจึงต้องมีความสามารถในการแสดงทักษะการคิดอย่างมี
วิจารณญาณและปฏิบัติงานได้หลากหลาย โดยอาศัยความรู้ในหลายด้านคือ ความรู้ด้านสารสนเทศ
ความรู้เกย่ี วกับส่อื และความรู้ดา้ นเทคโนโลยี
4. ทักษะด้านชีวิตและอาชีพ ในการดารงชีวิตและทางานในยุคปัจจุบันให้ประสบความสาเร็จ
ผู้เรียนจะต้องพัฒนาทักษะชีวิตที่สาคัญดังต่อไปนี้ ความยืดหยุ่นและการปรับตัว การริเร่ิมสร้างสรรค์และ
เป็นตัวของตัวเอง ทักษะสังคมและสังคมข้ามวัฒนธรรม การเป็นผู้สร้างหรือผู้ผลิต (Productivity) และ
ความรับผดิ ชอบเชอ่ื ถือได้ (Accountability) และภาวะผู้นาและความรับผดิ ชอบ (Responsibility)
การพัฒนาให้เกิดทักษะทั้ง 4 ด้าน ดังกล่าว ทุกคนจะต้องเรียนรู้ตลอดชีวิต ด้วยวิธีการเรียนรู้ 3R
x7C ซึ่ง 3R คือ Reading (อ่านออก), (W)Riting (เขียนได)้ , และ (A)Rithemetics (คิดเลขเป็น) และ 7C ได้แก่
Critical Thinking and Problem Solving (ทักษะด้านการคิดอย่างมีวิจารณญาณ และทักษะในการ
แก้ปัญหา) Creativity and Innovation (ทักษะด้านการสร้างสรรค์ และนวัตกรรม) Cross-cultural
Understanding (ทักษะด้านความเข้าใจความต่างวัฒนธรรม ต่างกระบวนทัศน์) Collaboration,
Teamwork and Leadership (ทั กษะด้ านความร่ วมมื อ การท างานเป็ นที ม และภาวะผู้ น า)
162
Communications, Information, and Media Literacy (ทักษะด้านการส่ือสารสารสนเทศ และรู้เท่าทัน
ส่ือ) Computing and ICT Literacy (ทักษะด้านคอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร)
Career and Learning Skills (ทกั ษะอาชีพ และทักษะการเรียนรู้)
จากแนวคิดทักษะ การเรียนรู้ในศตวรรษท่ี 21 และกรอบแนวคิดเพื่อการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21
การเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 เป็นการกาหนดแนวทางยุทธศาสตร์ในการจัดการเรียนรู้ โดยร่วมกันสร้าง
รูปแบบและแนวปฏิบัติในการเสริมสร้างประสิทธิภาพของการจัดการเรียนรู้ในศตวรรษท่ี 21 โดยเน้นท่ี
องค์ความรู้ ทักษะ ความเชี่ยวชาญและสมรรถนะท่ีเกิดกับตัวผู้เรียน เพ่ือใช้ในการดารงชีวิตในสังคมแห่ง
ความเปล่ียนแปลงในปัจจุบัน โดยจะอ้างถึงรูปแบบ (Model) ที่พัฒนามาจากเครือข่ายองค์กรความ
ร่วมมือเพื่อทักษะแห่งการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 (Partnership For 21st Century Skills) ท่ีมีชื่อย่อว่า
เครือข่าย P21 ซ่ึงได้พัฒนากรอบแนวคดิ เพือ่ การเรยี นรู้ในศตวรรษท่ี 21 โดยผสมผสานองค์ความรู้ ทักษะ
เฉพาะดา้ น ความชานาญการและความรู้เทา่ ทันดา้ นต่าง ๆ เข้าด้วยกนั เพือ่ ความสาเร็จของผู้เรียนท้งั ด้าน
การทางานและการดาเนนิ ชวี ิต (อารวี รรณ เอ่ียมสะอาด, 2559: 17-18) ดงั ภาพท่ี 7.2
ภาพท่ี 7.2 กรอบแนวคิดเพ่ือการเรียนร้ใู นศตวรรษที่ 21 (21st Century Learning Framework)
อารีวรรณ เอ่ียมสะอาด (2559: 18)
163
กรอบแนวคิดเชิงมโนทัศน์สาหรับทักษะแห่งศตวรรษท่ี 21 เป็นท่ียอมรับในการสร้างทักษะการ
เรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 (Model of 21st Century Outcomes and Support Systems) ซึ่งเป็นท่ี
ยอมรับอย่างกว้างขวางเน่ืองด้วยเป็นกรอบแนวคิดท่ีเน้นผลลัพธ์ที่เกิดกับผู้เรียน (Student Outcomes)
ทั้งในด้านความรู้สาระวชิ าหลัก (Core Subjects) และทักษะแห่งศตวรรษท่ี 21 ทีจ่ ะช่วยผู้เรียนได้เตรียม
ความพร้อมในหลากหลายด้าน รวมทั้งระบบสนับสนุนการเรียนรู้ ได้แก่มาตรฐานและการประเมิน
หลักสูตรและการเรียนการสอน การพัฒนาครู สภาพแวดล้อมท่ีเหมาะสมต่อการเรียนในศตวรรษท่ี 21
ดงั นั้น การเรียนรู้ในศตวรรษท่ี 21 ตอ้ งก้าวข้าม “สาระวิชา” ไปสู่การเรียนรู้ “ทักษะแห่งศตวรรษท่ี 21”
(21st Century Skills)
จากทักษะท่ีต้องพัฒนาคนในศตวรรษที่ 21 ดังกล่าวน้ัน ในการจัดหลักสูตรและการเรียนการ
สอน “สาระวิชาก็มีความสาคัญ แต่ไม่เพียงพอสาหรับการเรียนรู้เพื่อมีชีวิตในโลกยุคศตวรรษท่ี 21
ปจั จบุ ันการเรียนรู้สาระวชิ า (content หรือ subject matter) ควรเป็นการเรยี นจากการค้นคว้าเอง ของ
ศิษย์ โดยครูช่วยแนะนา และช่วยออกแบบกิจกรรมที่ช่วยให้ผู้เรียนแต่ละคนสามารถประเมินความ
ก้าวหน้าของการเรียนรู้ของตนเองได้” ซ่ึง สาระวิชาหลัก (Core Subjects) ประกอบด้วย ภาษาแม่ และ
ภาษาสาคัญของโลก ศิลปะ คณิตศาสตร์ การปกครองและหน้าที่พลเมือง เศรษฐศาสตร์ วิทยาศาสตร์
ภมู ิศาสตร์ และ ประวัตศิ าสตร์ โดยวิชาแกนหลักนจ้ี ะนามาสู่การกาหนดเปน็ กรอบแนวคิดและยทุ ธศาสตร์
สาคัญต่อการหลักสูตร และการจัดการเรียนรู้ในเนื้อหาเชิงสหวิทยาการ (Interdisciplinary) หรือหัวข้อ
สาหรับศตวรรษท่ี 21 โดยการส่งเสริมความเข้าใจในเน้ือหาวิชาแกนหลัก และสอดแทรกทักษะแห่ง
ศตวรรษท่ี 21 เขา้ ไปในทุกวชิ าแกนหลกั (อารวี รรณ เอ่ียมสะอาด, 2559: 18-19)
ในทานองเดียวกัน ไพฑูรย์ สินลารัตน์ (2559: 47-50) ได้ให้ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการจัด
การศึกษาเพ่ือพัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะในศตวรรษที่ 21 บนพื้นฐานของ UNESCO’s Guidelines ที่ได้ให้
ขอ้ เสนอแนะไว้ว่า คนรุ่นใหม่ต้องมีลักษณะ 4 อย่าง (Four pillars) คือ (1) Learning how to learn (2)
Learning how to do (3) Learning how to work (4) Learning how to be ซึ่งในการจัดหลักสูตร
การศึกษาจะต้องชี้ชัดลงไปว่า ต้องให้ผู้เรียนรู้วิธีการเรียนรู้อย่างวิเคราะห์ วิจารณ์ (Learning how to
learn critically) รู้วิธีทาอย่างสร้างสรรค์ (Learning how to do creatively) รู้วิธีทางานอย่างมี
ความก้าวหน้า (Learning how to work constructively) และรู้วิธีอยู่ด้วยกัน (Learning how to be
wisely) โดยนยั ดังกล่าวน้ี คนในศตวรรษท่ี 21 จึงต้องมคี ุณลกั ษณะ 4 ประการ คอื
1. Smart consumer เป็นคนที่รู้จักคิดวิเคราะห์มีวิจารณญาณในการเลือกอย่างมีเหตุผล ไม่
หลงตามคาโฆษณา และไมต่ ามกระแสสังคมโดยไม่มองตนเอง
164
2. Break-though Thinking สามารถคิดสร้างสรรค์ส่ิงใหม่ ๆ ขึน้ ได้ในสงั คมไทยดว้ ยตนเองแล้ว
พัฒนาตามความคิดนั้นหรือพัฒนาผลงานจากความคิดน้ัน ๆ ได้เพื่อให้ได้ผลงานที่อยู่บนพื้นฐานของ
สงั คมไทย รวมท้ังสามารถคิดพัฒนาผลงานต่อยอดจากตา่ งประเทศได้ดว้ ย
3. Social concerned หมายถึงการมีความรู้สึกร่วมได้ร่วมเสียกับสังคม มีสานึกทางสังคม
ตระหนักว่าปัญหาและทางออกของสังคมจะต้องเป็นความรับผิดชอบร่วมกัน ทุกคนต้องมีส่วนร่วมในการ
แก้ไขสังคมไทยและสังคมโลกไปพร้อม ๆ กัน
4. Thai Pride มคี วามภาคภูมิใจในวฒั นธรรมของตนเองควบคูไ่ ปกบั การเห็นคุณคา่ ของคนอ่นื
จากคุณลักษณะทั้งสี่ประการดังกล่าว ประมวลเป็นคุณลักษณะของผู้เรียนในศตวรรษท่ี 21 ที่
เรยี กวา่ CCPR Model ได้ดงั นี้
C: Critical Mind มองสงั คมรอบดา้ น รูท้ ม่ี าท่ีไป และ เข้าใจเหตแุ ลผล
C: Creative Mind คดิ ตอ่ ยอดจากท่มี ีอยู่ ประยกุ ต์และใช้ประโยชน์ และมองประเด็นใหมไ่ ด้
P: Productive Mind คานึงถึงผลผลิต มีวิธกี ารและคุณภาพ และคุณค่าของผลงาน
R: Responsible Mind นึกถึงสังคมและประเทศชาติ มีจิตสานึกสาธารณะ และมีคุณธรรม
จริยธรรม / ความดีงาม
การกาหนดคุณลักษณะของผู้เรียนดังกล่าว ได้นามาใช้เป็นพ้ืนฐานของหลักสูตรตาม CCPR
Model ท่กี าหนดเนอื้ หาสาระทีต่ ้องให้ผเู้ รียนไดเ้ รยี นรู้ ไว้ สป่ี ระการ คือ
ประการแรก เรียนความรู้ท่ัวโลกและภูมิปัญญาไทยและขณะเดียวกันต้องเรียนนวัตกรรมใหม่
ของโลก เพือ่ ให้ทนั กบั การเปลยี่ นแปลงทเ่ี กิดขน้ึ
ประการที่สอง ต้องให้ศึกษาทางเลือกโดยเฉพาะอย่างยิ่งอนาคตเป็นโลกท่ีมีทางเลือก
หลากหลาย
ประการทสี่ าม เรยี นรกู้ ารวิเคราะห์นวัตกรรมใหมข่ องโลก
ประการทสี่ ี่ เรียนรกู้ ระบวนการท่ีจะแสวงหาความรใู้ หม่
จากแนวคิดของหลักสูตรเพ่ือพัฒนาผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 ดังกล่าว จึงสามารถกล่าวได้ว่า
หลักสูตรในศตวรรษที่ 21 จะเป็นหลักสูตรท่ีแตกต่างจากหลักสูตรแบบเดิม และมีความโดดเด่นท่ีมีเน้ือหาของ
หลักสูตรที่เป็นสหวิทยาการ (Interdisciplinary) ในลักษณะที่เป็นหลักสูตรแบบบูรณาการ (Integrated
Curriculum) เนื้อหาของหลักสูตรเน้นการพัฒนาคุณลักษณะของผู้เรียนให้เป็นผู้ที่คิดวเิ คราะห์ สังเคราะห์และ
สร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ อย่างมีเหตุผล และเป็นประโยชน์ต่อการดารงชีวิตท้ังต่อตนเองและสังคม นอกจากนั้น
เนื้อหาของหลักสูตร นอกจากเนื้อหาท่ีเป็นองค์ความรู้เดิมแล้ว ยังต้องสร้างเน้ือหาใหม่ที่ตอบต่อความต้องการ
ของสังคม เชน่ เน้อื หาเกี่ยวกับการดูแลผสู้ งู อายุเพราะสงั คมกาลังเป็นสงั คมผูส้ งู อายุ เป็นตน้
165
3. ขนั้ ตอนการพฒั นาหลักสูตรสถานศึกษา
การพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาเป็นความจาเป็นที่ทุกสถานศึกษาต้องพึงปฏิบัติตามหลักสูตร
แกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 และมาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัด กลุ่มสาระการ
เรียนรู้คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และสาระภูมิศาสตร์ ในกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และ
วัฒนธรรม (ฉบับปรับปรงุ พ.ศ. 2560) ตามหลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาขน้ั พื้นฐาน พุทธศักราช 2551 มี
ข้ันตอนการพัฒนาหลักสตู ร ดงั น้ี
1. วิเคราะห์และรวบรวมข้อมูลพ้ืนฐาน ได้แก่ 1) ประวัติและปรัชญาการศึกษา 2) สังคมและ
วัฒนธรรม 3) ความรเู้ กีย่ วกบั ผเู้ รียน 4) ทฤษฏีการเรียนรู้ 5) ธรรมชาตขิ องเนอื้ หาสาระ 6) ความต้องการ
ของสถานศกึ ษา นกั เรยี นและผู้ปกครอง และ 7) ขอ้ มูลของสถานศกึ ษา เป็นตน้
2. ประชุมช้แี จงคณะผ้บู รหิ ารและคณะครูในสถานศกึ ษาในการพฒั นาหลักสตู ร
3. จดั ประชมุ เชงิ ปฏิบัตกิ ารแบบมสี ว่ นรว่ มแต่ละกลุ่มสาระการเรียนรู้ โดยมขี ้ันตอนสาคัญดงั น้ี
3.1 แจกเอกสารทส่ี าคญั 1) หลกั สตู รแกนกลางการศึกษาข้นั พ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 2)
มาตรฐานการเรียนรู้และตัวช้ีวัด กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และสาระภูมิศาสตร์ ใน
กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) ตามหลักสูตร
แกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 3) มาตรฐานการเรียนรู้และตัวช้ีวัด ตามหลักสูตร
แกนกลางการศึกษาข้ันพนื้ ฐาน พุทธศักราช 2551
3.2 กาหนดวิสยั ทศั น์ พนั ธกจิ ของสถานศึกษาร่วมกนั
3.3 แบ่งกลมุ่ ตามสาระการเรียนรแู้ ตล่ ะระดบั ช้นั และดาเนินการ ดังตารางท่ี 7.1
ตารางท่ี 7.1 โครงสร้างหลักสูตร วชิ า................... ชัน้ ........................โรงเรยี น.............
หนว่ ยการเรยี นรู้ มาตรฐาน/ สาระการเรยี นรู้ สาระสาคญั นา้ หนัก
(ชม.) ตัวชีว้ ดั คะแนน
(100)
166
3.4 เขียนคาอธบิ ายรายวิชา ให้พจิ ารณาคาสาคัญจากมาตรฐานการเรียนรู้และตวั ช้ีวัด โดยเขยี น
ให้ครบ 3 ด้าน คือ 1) ด้านความรู้ (Knowledge – K) แบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ 1.1) เนื้อหาสาระของ
วชิ านักคดิ คือ สาระวชิ าที่ผู้เรียนตอ้ งเรยี นรู้ ประกอบด้วยเครือ่ งมอื ชว่ ยคิด กระบวนการคดิ ทกั ษะการคิด
และ 1.2) ความรู้บูรณาการ คือ สาระเรื่องราวต่าง ๆ ที่เป็นสภาพการณ์ท่ีกาหนดสภาพแวดล้อมรอบตัว
ปัญหาในชีวิตประจาวัน ที่ถูกนามาคิด ซึ่งเนื้อหาจะเป็นสาระของวิชาใดก็ได้ จึงเป็นความรู้เชิงบูรณาการ
2) ด้านทักษะ/กระบวนการ (Process-P) คือ กระบวนการจัดการเรียนการสอนเพ่ือพัฒนากระบวนการ
คิดท่ีเน้นการฝึกปฏิบัติจริง ได้สร้างผู้เรียนให้เกิดทักษะชีวิต และ 3) ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์
(Attribute- A) คือ คุณลักษณะท่ีปลูกฝังของรายวิชา ได้แก่ ใจกว้าง ขยัน ใฝ่เรียนใฝ่รู้ กระตือรือร้นช่าง
คิดผสมผสาน ขยัน ตอ่ สู้ อดทน เป็นธรรม มน่ั ใจในตนเอง ช่างวเิ คราะห์ กล้าคดิ กลา้ เสย่ี ง มีนา้ ใจ น่ารกั น่า
คบ เป็นต้น
คาสาคญั ของเน้ือหาสาระบ่งบอกให้ทราบว่า ผูเ้ รียนหรือนักเรยี นจะตอ้ งเรียนรู้เน้อื หาสาระใดบา้ ง
สว่ นคาสาคัญในเร่ืองทักษะกระบวนการนั้น มุ่งเน้นการฝึกปฏิบัติ รวมทั้งคุณลักษณะที่ต้องการปลูกฝังให้
เกิดแก่ผู้เรียนเพ่ือให้บรรลุมาตรฐานที่กาหนด ส่วนคาอธิบายรายวิชาควรประกอบไปด้วย ชื่อรายวิชา
รหสั วชิ า กลมุ่ สาระการเรยี นรู้ ระดบั ชัน้ จานวนเวลา หรือจานวนหน่วยกิต ดังตัวอย่าง
คาอธบิ ายรายวชิ า............... ช้ัน.............................
ยอ่ หนา้ แรก ดา้ นความรู้
ยอ่ หน้าท่ี 2 ด้านทักษะ/ กระบวนการ
ยอ่ หน้าที่ 2 ด้านคุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค์
มาตรฐานการเรียนรู้/ ตัวช้ีวัด
รวม........................... ตัวชว้ี ดั
4. รวบรวมและจัดทารูปเล่มหลักสูตรสถานศึกษาโดยรวมทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้และทุกชั้นปี
รวมท้งั ตรวจสอบความเรยี บร้อย
5. คณะกรรมการสถานศกึ ษาประเมนิ หลกั สตู รสถานศกึ ษาตามตัวอยา่ งตารางที่ 7.2 (อารีวรรณ
เอ่ียมสะอาด, 2559)
167
ตารางท่ี 7.2 แบบประเมนิ เอกสารหลักสตู รสถานศึกษา
ไม่มี มี / ระดบั คุณภาพ
องคป์ ระกอบหลกั (0) ปรับปรุง พอใช้ ดี ดมี าก
(1) (2) (3) (4)
1. วิสัยทัศน์
2. จดุ หมาย
3. สมรรถนะสาคัญของผู้เรยี น
4. คณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงค์
5. มาตรฐานการเรียนรู้และตัวช้ีวัด 8 กลุ่มสาระฯ/ กิจกรรม
พฒั นาผเู้ รยี น
6. โครงสรา้ งหลกั สตู รสถานศึกษา/เวลาเรียน
7. รายวิชาตามกลมุ่ สาระการเรยี นรูพ้ ืน้ ฐาน
8. คาอธบิ ายรายวชิ ากลมุ่ สาระการเรียนรู้พืน้ ฐาน
9. หนว่ ยการเรียนรู้กลมุ่ สาระการเรียนรูพ้ ้ืนฐาน
10. รายวิชาเพิ่มเติม
11. คาอธิบายรายวชิ าเพม่ิ เตมิ
12. โครงสร้างรายวชิ า
12. หน่วยการเรียนรู้สาระการเรยี นรู้เพมิ่ เตมิ (ถา้ มี)
13. กิจกรรมพฒั นาผเู้ รียน (แนะแนว,ชมุ นมุ ,เพ่อื สังคม)
14. การจัดการเรียนร้แู ละการส่งเสริมการเรยี นรู้
15. สื่อและแหลง่ เรียนรู้
16. การวดั และประเมนิ ผล
17. การบริหารจดั การหลกั สตู รสถานศกึ ษา
18. มีหลักสูตรสถานศึกษาท่ีสอดแทรกคุณธรรมนาความรู้
และประยุกต์ใช้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง/ประวัติศาสตร์/
อาชีพในชมุ ชน
รวม
เฉล่ีย
168
จุดเดน่ ทพ่ี บ
........................................................................................................................... ..........................
จุดทตี่ ้องพัฒนา
............................................................................................................................. ........................
บทสรุป
การออกแบบและการพฒั นาหลกั สูตรสถานศึกษา หมายถึง การทส่ี ถานศกึ ษาพัฒนาหลักสูตรของ
ตนเองสอดคล้องกับบริบทของตนเอง โดยมีโครงสร้างของหลักสูตรที่เป็นไปตามข้อกาหนดของหลักสูตร
แกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 และมาตรฐานการเรียนรู้และตัวช้ีวัด กลุ่มสาระการ
เรียนรู้คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และสาระภูมิศาสตร์ ในกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และ
วัฒนธรรม (ฉบับปรบั ปรงุ พ.ศ. 2560) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขนั้ พ้นื ฐาน พุทธศักราช 2551
แนวโน้มของหลักสูตรสาหรับพัฒนาผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 เป็นช่วงของการเปลี่ยนแปลงทาง
สังคม และความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ ต้องพัฒนาบุคคลให้มีมีทักษะอย่างน้อย 4 ด้าน ได้แก่
1) ทักษะด้านความรู้ 2)ทักษะดา้ นการเรียนรแู้ ละนวัตกรรม 3) ทักษะด้านสารสนเทศ ส่ือ และเทคโนโลยี
และ 4) ทักษะดา้ นชวี ติ และอาชีพ
ขั้นตอนการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา สรุปดังนี้ 1) วิเคราะห์และรวบรวมข้อมูลพ้ืนฐาน
2) ประชุมชี้แจงคณะผู้บริหารและคณะครูในสถานศึกษาเก่ียวกับการพัฒนาหลักสูตร 3) จัดประชุมเชิง
ปฏบิ ัติการแบบมีสว่ นรว่ มแต่ละกลุ่มสาระการเรียนรู้ 4) รวบรวมและจัดทารปู เล่มสถานศึกษาโดยรวมทุก
กล่มุ สาระการเรียนรู้และทุกชั้นปี และ 5) คณะกรรมการสถานศกึ ษาประเมินหลักสูตร
เอกสารอา้ งอิง
กระทรวงศึกษาธิการ. (2551). หลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาขน้ั พื้นฐาน พทุ ธศกั ราช 2551. กรงุ เทพฯ:
คุรสุ ภาลาดพร้าว.
ไพฑูรย์ สินลารตั น์. (2559). คิดเพอ่ื ครู. กรงุ เทพฯ: วิทยาลัยครศุ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธุรกิจบัณฑติ ย.์
อารีวรรณ เอี่ยมสะอาด. (2559). ปรัชญาการศึกษาเชิงสร้างสรรค์และผลิตภาพ. กรุงเทพฯ: วิทยาลัย
ครศุ าสตร์ มหาวทิ ยาลัยธรุ กิจบัณฑติ ย์.
_____. (2559). การพฒั นาหลกั สูตร. กรุงเทพฯ: PROTEXTS.COM บรษิ ทั แดเนก็ ซ์ อินเตอร์
คอรป์ อเรชัน่ จากัด.
169
บทท่ี 8
หลักสตู รแกนกลางการศึกษาข้นั พื้นฐาน และหลักสูตรสถานศึกษา
ธิดารตั น์ ตนั นริ ัตร์
บทนา
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 เกดิ จากหน่วยงานทางด้านการศึกษา
ที่รับผิดชอบได้ติดตามและประเมินผลการใช้หลักสูตรการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2544 พบว่า มีจุดดี
เช่น 1) ช่วยส่งเสริมการกระจายอานาจทางการศึกษา ทาให้ท้องถิ่นและสถานศึกษามีส่วนร่วมและ
มีบทบาทสาคัญในการพัฒนาหลักสูตรให้สอดคล้องกับความต้องการของตนเอง และ 2) มีแนวคิดและ
หลักการในการส่งเสริมการพัฒนาผู้เรียนแบบองค์รวมอย่างชัดเจน แต่อย่างไรก็ตาม ก็ยังสะท้อนสภาพ
ปัญหาและความไม่ชัดเจนหลายประการ เช่น 1) ความไม่ชัดเจนของเอกสารต่าง ๆ ท่ีเกี่ยวกับหลักสูตร
2) กระบวนการนาหลักสูตรสถานศึกษาไปสู่การปฏิบัติไม่ชัดเจน 3) ความสับสนของผู้ปฏิบัติในระดับ
สถานศึกษาในการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา 4) สถานศึกษาส่วนใหญ่กาหนดสาระการเรียนรู้และผล
การเรยี นร้ไู วจ้ านวนมาก ทาให้หลักสตู รมีเนอ้ื หาจานวนมาก 5) การวัดประเมนิ ผลการเรยี นรยู้ ังไมส่ ะทอ้ น
มาตรฐานการเรียนรู้เท่าที่ควร 6) การจัดทาเอกสารหลักฐานทางการศึกษา และการเทียบโอนผลการ
เรยี นยังพบปัญหาในการดาเนนิ งาน และ 7) คณุ ภาพในดา้ นความรู้ ทักษะ ความสามารถ และคุณลกั ษณะ
พึงประสงคย์ งั ไมไ่ ดต้ ามเปา้ หมายที่กาหนดไว้มากนกั (วิโฬฏฐ์ วฒั นานมิ ิตรกลู , 2559: 40-42)
1. หลกั สตู รแกนกลางการศึกษาข้ันพนื้ ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551
จากปัญหาหลักสูตรการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2544 คณะกรรมการการศึกษาข้ันพื้นฐาน
จึงได้ทบทวน และปรับปรุงเป็นหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 มีหลักการ
สาคญั ดงั น้ี (กระทรวงศกึ ษาธิการ, 2551: 1-3)
1. หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานได้กาหนดมาตรฐานการเรียนรู้ สมรรถนะสาคัญ และ
คุณลักษณะอันพึงประสงค์ของผู้เรียนไว้เป็นเป้าหมายของการจัดกระบวนการเรียนรู้ทุกกลุ่มสาระการ
เรียนรู้ ให้ผู้เรียนมีคุณภาพตามเป้าหมาย โดยส่งเสริมให้เรียนรู้จากการเผชิญหน้ากับสถานการณ์ การได้
สัมผัสสัมพันธ์กับส่ิงแวดล้อม มนุษย์และธรรมชาติ ลงมือปฏิบัติจริง ฝึกให้คิดเป็น ทาเป็นแก้ปัญหาเป็น
รักการอา่ น และใฝร่ ู้ ใฝเ่ รยี นอยา่ งตอ่ เนื่อง
170
2. หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐานได้กาหนดมาตรฐานการเรียนรู้และตัวช้ีวัดชั้นปีของ
แต่ละกลุ่มสาระการเรียนรู้ เพ่ือให้ครูผู้สอนมองเห็นผลคาดหวังท่ีต้องพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียนให้มี
ความรู้ ความสามารถ และทักษะท่ีสาคัญของแต่ละช้ันปี และต่อเนื่องจนจบการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน ดังนั้น
การจัดทาสาระการเรียนรู้ การกาหนดเนื้อหา การจัดทาหน่วยการเรียนรู้ การจัดการเรียนการสอน และ
การวัดประเมินผลการเรียนรู้ จะต้องสะท้อนคุณภาพของผู้เรียนตามมาตรฐานการเรียนรู้ และตัวชี้วัด
ที่กาหนดไว้ในหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน เพ่ือใช้ตรวจสอบคุณภาพผู้เรียน และเทียบโอน
ผลการเรยี นไดอ้ ยา่ งมีประสิทธภิ าพ
3. การจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาคุณภาพผู้เรียนให้มีคุณลักษณะตามที่กาหนดไว้ในหลักสูตร
แกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน ต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนได้ค้นพบความรู้เอง มีส่วนร่วมในการสร้างผลการ
เรียนรู้ท่ีมีความหมายแก่ตนเอง ผู้สอนต้องออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ และจัดประสบการณ์การเรียนรู้
อย่างเป็นระบบ เน้นประโยชน์สูงสุดท่ีจะเกิดแก่ผู้เรียน และคานึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล พัฒนา
ผเู้ รียนจนเตม็ ศกั ยภาพตามความถนดั และความสนใจเปน็ รายบุคล
4. การจัดการเรียนรู้ให้ผู้เรียนบรรลุเปา้ หมายตามมาตรฐานการเรียนรู้และตัวช้ีวัดช้ันปีจะต้องใช้
กระบวนการการเรียนรู้ท่ีหลากหลาย ได้แก่ กระบวนการเรียนรู้จากประสบการณ์จริง กระบวนการคิด
กระบวนการสร้างความรู้ กระบวนการทางสังคม กระบวนการแก้ปัญหา กระบวนการปฏิบัติ
กระบวนการพัฒนาค่านิยม กระบวนการบูรณาการ ฯลฯ กระบวนการท่ีผู้สอนต้องฝึกฝนให้ผู้เรยี นเกิดการ
เรยี นรู้และพัฒนาตนเองจนบรรลมุ าตรฐาน การเรียนรขู้ องหลกั สูตรอย่างมีประสิทธิภาพ
5. ผู้สอนต้องออกแบบการจัดการเรียนรู้โดยศึกษาวิเคราะห์มาตรฐานการเรียนรู้ ตัวช้ีวัด
สมรรถนะสาคัญของผู้เรียน คุณลักษณะอันพงึ ประสงค์ และสาระการเรียนรู้ทเ่ี หมาะสมกับวยั ผู้เรียน แล้ว
จึงเลือกใช้วิธีสอนและเทคนิคการสอน สื่อ แหล่งเรียนรู้ เครื่องมือ และวิธีการวัดและประเมินผลท่ีมี
คุณภาพ เพือ่ พัฒนาผู้เรยี นไปส่เู ปา้ หมายการเรียนรทู้ ่ีกาหนดไว้อยา่ งมีประสิทธิภาพ และเต็มตามศักยภาพ
ของผู้เรยี นแตล่ ะคน
กระทรวงศึกษาธิการ (2551: 4-30) จึงได้กาหนดส่วนประกอบสาคัญของหลักสูตรแกนกลาง
การศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ได้แก่ วิสัยทัศน์ เป้าหมาย สมรรถนะสาคัญของผู้เรียน
คุณลกั ษณะอันพึงประสงค์ มาตรฐานการเรยี นรู้และตัวชี้วดั กิจกรรมพัฒนาผ้เู รยี น และการวัดประเมินผล
ซึ่งมีความสัมพันธ์กันเป็นระบบ ส่งผลตอ่ คณุ ภาพผู้เรียน การศึกษาตอ่ การประกอบอาชีพ และการเรยี นรู้
ตลอดชีวติ ดงั ภาพที่ 8.1
171
วิสยั ทศั น์ คุณลักษณะ กิจกรรมการเรียนการสอน
เปา้ หมาย อนั พึงประสงค์ 67 มาตรฐานการเรยี นรู้ 2,190 ตวั ชว้ี ดั
8 ประการ 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้
สมรรถนะสาคญั กจิ กรรมพัฒนาผ้เู รยี น
5 ข้อ กิจกรรมแนะแนว
กิจกรรมนกั เรียน
กิจกรรมสาธารณะประโยชน์
ศกึ ษาต่อ การวดั และประเมินผล
ประกอบอาชีพ คณุ ภาพผูเ้ รยี น
การเรยี นรู้ตลอดชวี ติ
ภาพท่ี 8.1 ส่วนประกอบสาคัญของหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551
กระทรวงศกึ ษาธกิ าร (2551: 4-30)
จากภาพท่ี 8.1 วิสัยทัศน์ของหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน คือมุ่งพัฒนาผู้เรียนทุกคน
ซ่งึ เปน็ กาลังของชาติ ให้เป็นมนุษย์ที่มีความสมดุลท้งั ดา้ นร่างกาย ความรู้คณุ ธรรม มีจติ สานึกในความเป็น
พลเมืองไทย และพลโลก ยึดม่ันในการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็น
ประมุขมีความรู้และทักษะพื้นฐาน รวมท้ังเจตคติท่ีจาเป็นต่อการศึกษา หรือต่อการประกอบอาชีพ
โดยม่งุ เน้นผเู้ รียนเปน็ สาคัญบนพ้ืนฐานความเช่ือวา่ ทุกคนสามารถเรียนรแู้ ละพัฒนาตนเองไดเ้ ต็มศักยภาพ
คุณลักษณะอันพงึ ประสงค์ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐานพฒั นาผ้เู รยี นให้มีคุณลกั ษณะ
อันพึงประสงค์ เพื่อให้สามารถอยู่ร่วมกับผู้อ่ืนในสังคมได้อย่างมีความสุขในฐานะเป็นพลเมืองไทยและ
พลโลก ดังนี้ 1) รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ 2) ซ่ือสัตย์สุจริต 3) มีวินัย 4) ใฝ่เรียนรู้ 5) อยู่อย่างพอเพียง
6) มุ่งมั่นในการทางาน 7) รักความเปน็ ไทย และ 8) มจี ติ สาธารณะ
172
สมรรถนะสาคญั ของผู้เรยี น จานวน 5 ข้อ ไดแ้ ก่
1. ความสามารถในการสอ่ื สาร เป็นความสามารถในการรับและส่งสาร มีวัฒนธรรมในการใช้ภาษา
ถา่ ยทอดความคิดความรู้ความเข้าใจ ความรู้สึกและทศั นะของตนเอง เพื่อแลกเปล่ียนข้อมูลข่าวสาร และ
ประสบการณ์อันเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาตนเอง และสังคมรวมท้ังการเจรจาต่อรองเพ่ือขจัด และ
ลดปัญหาความขัดแย้งต่าง ๆ การเลือกรับหรือไม่รับข้อมูลข่าวสารพิจารณาจากความถูกต้อง ตลอดจน
การเลือกใช้วิธีการสื่อสารทม่ี ีประสทิ ธิภาพโดยคานึงถงึ ผลกระทบท่ีมีตอ่ ตนเองและสงั คม
2. ความสามารถในการคิด เป็นความสามารถในการคิดวิเคราะห์การคิดสังเคราะห์การคิด
สร้างสรรค์การคิดอย่างมีวิจารณญาณ การคิดเป็นระบบเพ่ือนาไปสู่การสร้างองค์ความรู้หรือสารสนเทศ
เพอ่ื การตดั สนิ ใจเกีย่ วกบั ตนเองและสังคมได้อย่างเหมาะสม
3. ความสามารถในการแก้ปัญหา เป็นความสามารถในการแก้ปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ ท่ีเผชิญได้
อย่างถูกต้องเหมาะสมบนพื้นฐานของหลักเหตุผล คุณธรรมและข้อมูลสารสนเทศ เข้าใจความสัมพันธ์ และ
การเปลี่ยนแปลงของเหตุการณ์ต่าง ๆ ในสังคม แสวงหาความรู้ประยุกต์ความรู้มาใช้ในการป้องกัน และแก้ไข
ปญั หาและมกี ารตัดสนิ ใจทีม่ ีประสิทธิภาพโดยคานงึ ถึงผลกระทบที่เกดิ ขึน้ ต่อตนเองสังคมและส่ิงแวดลอ้ ม
4. ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต เป็นความสามารถในการนากระบวนการต่าง ๆ ไปใช้ในการ
ดาเนนิ ชีวติ ประจาวันการเรียนร้ดู ้วยตนเองการเรยี นรู้อย่างต่อเนื่องการทางานและการอยู่รว่ มกนั ในสังคม
ด้วยการสร้างเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างบุคคล การจัดการปัญหาและความขัดแย้งอย่างเหมาะสม
การปรับตัวให้ทันกับการเปล่ียนแปลงของสังคมและสภาพแวดล้อม รวมทั้งการรู้จักหลีกเล่ียงพฤติกรรม
ทไี่ ม่พึงประสงคท์ ่สี ง่ ผลกระทบตอ่ ตนเองและผูอ้ ื่น
5. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี เป็นความสามารถในการเลือกใช้เทคโนโลยีด้านต่าง ๆ และ
มีทักษะกระบวนการทางเทคโนโลยีเพ่ือการพัฒนาตนเองและสังคมในด้านการเรียนรู้การส่ือสารการ
ทางานการแก้ปัญหาอยา่ งสรา้ งสรรค์ ถูกตอ้ งเหมาะสมและมคี ณุ ธรรม
มาตรฐานการเรียนรู้ หมายถึง สิ่งที่ผู้เรียนรู้และสามารถทาอะไรได้ตามท่ีกาหนดไว้ มาตรฐานการ
เรียนรู้มี 2 ประเภท ได้แก่ 1) มาตรฐานวิชาการ (Academic Standard) เป็นส่ิงที่ผู้เรียนต้องรู้และเข้าใจ
อย่างลึกซึ้งและสามารถทาได้ในช่วงเวลาท่ีกาหนด และ 2) มาตรฐานการปฏิบัติ (Performance
Standard) เป็นผลการปฏบิ ัตหิ รือระดับความสามารถทผ่ี เู้ รียนจะต้องแสดงออก
ตัวชี้วัดมีลักษณะการเขียนที่ประกอบด้วยคากริยา และประเด็นของสาระหลัก โดยระบุส่ิงที่ผู้เรียน
ต้องรู้และปฏิบัติได้รวมท้ังคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของผู้เรียนในแต่ละระดับช้ัน ซึ่งต้องมีความสอดคล้อง
กบั มาตรฐานการเรียนรู้ มคี วามเฉพาะเจาะจงและเป็นรูปธรรม รวมท้ังนาไปใช้กาหนดเนื้อหาสาระการจัดทา
หนว่ ยการเรยี นรู้ การจดั การเรยี นรู้ และเป็นเกณฑ์สาหรับการวดั ประเมินผล เพือ่ ตรวจสอบคุณภาพผ้เู รียน
173
ตารางท่ี 8.1 เปรียบเทยี บเวลาเรียน จาแนกตามระดบั การศกึ ษา
ระดบั ประถมศกึ ษา ระดับมัธยมศึกษาตอนตน้ ระดบั มัธยมศกึ ษาตอนปลาย
หลักสูตรเป็นรายปี มีเวลาเรียน หลักสูตรเป็นรายภาค มีเวลา หลักสูตรเป็นรายภาค มีเวลา
วนั ละไมเ่ กนิ 5 ช่ัวโมง เรียนวนั ละไมเ่ กิน 6 ชั่วโมง* เรียนวนั ละไมน่ ้อยกว่า 6 ชัว่ โมง*
* ใช้เกณฑ์ 40 ช่วั โมงตอ่ ภาคเรยี น มีค่าน้าหนกั เทา่ กบั 1 หน่วยกิต
หลักการจัดการเรียนรู้
1. ยึดหลักผู้เรยี นมคี วามสาคญั เชอื่ ว่าทุกคนสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้
2. จัดกระบวนการเรียนรู้ เน้นการเรียนรู้ด้วยตนเองเป็นหลัก ใช้วิธีการสอนท่ีหลากหลาย
เหมาะสมกับผเู้ รยี นรายบคุ คล
3. ออกแบบการจัดการเรียนรู้ใช้วิธีการ กิจกรรมสื่อและแหล่งเรียนรู้ การวัดและประเมิน ผลที่
เหมาะสมกบั ผู้เรียน
ส่อื การเรยี นรู้
สื่อการเรียนรู้เป็นตัวกลางสาหรับส่งเสริมและสนับสนุนกระบวนการเรียนรู้ของผู้เรียนอย่างมี
ประสทิ ธิภาพ เช่น สอื่ ธรรมชาติ สอื่ สิง่ พิมพ์ สอ่ื เทคโนโลยี ตลอดจนเครอื ขา่ ยการเรียนรูท้ ี่มใี นทอ้ งถ่ิน การ
ใช้สื่อการเรียนรู้จะต้องเลือกให้มีความเหมาะสมกับระดับพัฒนาการและรูปแบบการเรียนรู้ท่ีหลากหลาย
ของผ้เู รียนแต่ละคน
การวัดและประเมนิ ผลการเรียนรู้
การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ มี 4 ระดบั ไดแ้ ก่
1. การประเมินระดับช้ันเรียน เป็นการและประเมินผลท่ีอยู่ในกระบวนการจัดการเรียนรู้ เน้นการ
วดั และประเมนิ ผลตามสภาพจรงิ
2. การประเมินระดับสถานศึกษา เป็นการวัดและประเมินผลการเรียนเป็นรายปี รายภาค รวมท้ัง
การอา่ น วเิ คราะห์และเขยี น คุณลกั ษณะอันพึงประสงค์ และกจิ กรรมพัฒนาผ้เู รียน
3. การประเมินระดับเขตพื้นที่การศึกษา เป็นการประเมินคุณภาพผู้เรียนตามาตรฐานการเรียนรู้
เพอื่ ใช้เป็นขอ้ มูลพ้นื ฐานสาหรับการพฒั นาคณุ ภาพการศึกษาของเขตพ้ืนทกี่ ารศกึ ษา
4. การประเมินระดับชาติ เป็นการประเมินคุณภาพผู้เรียนในระดับชาติตามมาตรฐานการเรียนรู้
ท่ีสถานศึกษาต้องจัดให้ผู้เรียนทุกคนท่ีเรียนในชั้นประถมศึกษาปีท่ี 3 ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6
ช้ันมธั ยมศกึ ษาปที ี่ 3 และช้นั มธั ยมศกึ ษาปีที่ 6 เขา้ รบั การประเมิน
174
การตัดสนิ ผลการเรยี น
1. ผู้เรียนตอ้ งมเี วลาเรยี นไมน่ ้อยกว่าร้อยละ 80 ของเวลาเรยี นทัง้ หมด
2. ผู้เรยี นตอ้ งได้รับการประเมินทกุ ตัวชี้วดั และผา่ นตามเกณฑ์ที่สถานศึกษากาหนด
3. ผ้เู รียนต้องไดร้ บั การตดั สินผลการเรียนทุกรายวชิ า
4. ผู้เรียนต้องได้รับการประเมิน และมีผลการประเมินผ่านตามเกณฑ์ที่สถานศึกษากาหนด
ในการอ่าน คิดวเิ คราะห์และเขยี น คุณลกั ษณะอนั พึงประสงค์ และกจิ กรรมพฒั นาผูเ้ รยี น
การพิจารณาเลื่อนชั้น ถ้าผู้เรียนมีข้อบกพร่องเพียงเล็กน้อย และสถานศึกษาพิจารณาเห็นว่า
สามารถพัฒนาและสอนซ่อมเสริมได้ ให้อยู่ในดุลพินิจของสถานศึกษาที่จะผ่อนผันให้เลื่อนชั้นได้ แต่
หากผู้เรียนไม่ผ่านรายวิชาจานวนมาก และมีแนวโน้มว่าจะเป็นปัญหาต่อการเรียนในระดับชั้นที่สูงขึ้น
สถานศึกษาอาจตั้งคณะกรรมการพิจารณาให้เรียนซ้าชั้นได้ ท้ังนี้ให้คานึงถึงวุฒิภาวะและความรู้
ความสามารถของผู้เรียนเปน็ สาคัญ
เกณฑก์ ารจบการศึกษา
ตารางท่ี 8.2 เปรียบเทียบการเกณฑ์การจบการศึกษา จาแนกตามระดบั การศึกษา
ระดับประถมศึกษา ระดบั มัธยมศกึ ษาตอนต้น ระดบั มัธยมศึกษาตอนปลาย
ผู้เรียนเรียนสาระพ้ืนฐาน และ ผู้เรียนเรียนรายวิชาพ้ืนฐานและ ผู้เรียนเรียนรายวิชาพื้นฐานและ
สาระ/กิจกรรมเพิ่มเติม ตาม เพ่ิมเติมโดยเป็นวิชาพ้ืนฐาน 66 เพมิ่ เตมิ โดยเปน็ รายวชิ าพืน้ ฐาน
โครงสร้างเวลาเรียนท่ีหลักสูตร หน่วยกิตและรายวิชาเพิ่มเติม 41 ห น่ ว ย กิ ต แ ล ะ ร า ย วิ ช า
แกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน ตามที่สถานศึกษากาหนด เพิ่ มเ ติ มต า มท่ี ส ถา น ศึก ษ า
กาหนด กาหนด
ผู้เรียนต้องมีผลการประเมินสาระ ผู้เรียนต้องได้หน่วยกิตตลอด ผู้เรียนต้องได้หน่วยกิตตลอด
พ้ืนฐานผ่านเกณฑ์การประเมิน หลักสูตรไมน่ อ้ ยกวา่ 77 หนว่ ยกิต หลกั สตู รไมน่ ้อยกวา่ 77 หนว่ ยกิต
ตามท่สี ถานศกึ ษากาหนด เป็นสาระพื้นฐาน 66 หน่วยกิต เป็นสาระพ้ืนฐาน 41 หน่วยกิต
และสาระเพมิ่ เติมไมน่ อ้ ยกว่า 11 และสาระเพ่มิ เติมไมน่ ้อยกวา่ 36
หนว่ ยกติ หนว่ ยกิต
ผูเ้ รียนมผี ลการประเมินการอา่ น วิเคราะหแ์ ละเขยี น ในระดบั ทผ่ี ่านเกณฑก์ ารประเมนิ ตามสถานศกึ ษากาหนด
ผูเ้ รยี นมีผลการประเมินคุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ในระดบั ทผี่ ่านเกณฑ์การประเมินตามท่ีสถานศกึ ษากาหนด
ผู้เรยี นเข้าร่วมกิจกรรมพฒั นาผ้เู รยี นและมผี ลการประเมนิ ผา่ นเกณฑก์ ารประเมินตามทีส่ ถานศกึ ษากาหนด
175
การเทียบโอนผลการเรยี น
การเทียบโอนผลการเรียนควรดาเนินการในช่วงก่อนเปิดภาคเรียน หรือต้นภาคเรียนที่
สถานศึกษารับผู้ขอเทียบโอนเป็นผู้เรียน ท้ังนี้ ผู้เรียนที่ได้รับการเทียบโอนผลการเรียนต้องศึกษาต่อเนื่อง
ในสถานศึกษาที่รับเทียบโอนอย่างน้อย 1 ภาคเรียน โดยสถานศึกษาท่ีรับการเทียบโอนควรกาหนด
รายวิชา จานวนหน่วยกิตที่จะรับเทียบโอนตามความเหมาะสม การเทียบโอนผลการเรียนสามารถ
ดาเนินการได้ดังนี้ 1) พิจารณาจากหลักฐานการศึกษาและเอกสารอ่ืน ๆ ที่ให้ข้อมูลแสดงความรู้
ความสามารถของผเู้ รียน 2) พิจารณาจากความรู้ ความสามารถของผู้เรียน โดยการทดสอบดว้ ยวิธีต่าง ๆ
ทง้ั ภาคความรแู้ ละภาคปฏบิ ตั ิ และ 3) พิจารณาจากความสามารถและการปฏบิ ัติในสภาพจรงิ
บทบาทผ้สู อนและผูเ้ รียน
ผสู้ อนและผเู้ รยี นมีบทบาทหนา้ ทีท่ ่แี ตกตา่ งกนั มรี ายละเอียดดงั ตาราง
ตารางท่ี 8.3 เปรียบเทยี บบทบาทผสู้ อนและผเู้ รยี น
บทบาทผู้สอน บทบาทของผู้เรียน
1. วิเคราะห์ผู้เรียนและนาข้อมูลมาวางแผนการ 1. กาหนดเป้าหมายการเรียนรู้ วางแผนและ
จัดการเรียนรู้ ให้สอดคล้องกับความต้องการและ รับผิดชอบการเรียนรู้ของตนเอง โดยผู้เรียนต้อง
ความสนใจของผ้เู รยี น วิเคราะหค์ วามตอ้ งการของตนเอง
2. กาหนดผลการเรียนรู้ ด้านความรู้ การคิด 2. แสวงหาความรู้จากแหล่งการเรียนรู้ วิเคราะห์
ทักษะ กระบวนการ และคุณลักษณะอันพึง สังเคราะห์ความรู้ ต้ังคาถามและหาแนวทาง
ประสงค์ แก้ปัญหาด้วยวิธกี ารตา่ ง ๆ
3. ออกแบบและจัดการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับการ 3. ลงมือปฏิบัติ สรุปส่ิงท่ีเรียนรู้ด้วยตนเองและ
พฒั นาสมอง และความแตกต่างระหวา่ งบคุ คล นาไปประยุกตใ์ ชใ้ นสถานการณต์ า่ ง ๆ
4. จัดบรรยากาศท่ีเอ้ือต่อการเรียนรู้ และระบบ 4. มีปฏิสัมพันธ์ในการเรียนรู้และร่วมกิจกรรมกับ
การดูแลชว่ ยเหลือผเู้ รยี น กลมุ่ เพือ่ นและผ้สู อน
5. เลือกใช้ส่ือเทคโนโลยีภูมิปัญญาท้องถ่ินที่ 5. ประเมินและพัฒนาการเรียนรู้ของตนเองอย่าง
เหมาะสมกับกจิ กรรมการเรียนรู้ ต่อเนื่อง ควรประเมินระหว่างเรียน เพราะจะทา
6. ใช้วธิ ีการประเมินตามสภาพจริง ควรเลือกวิธีการ ใหท้ ราบปัญหาและแก้ปญั หาได้ทันที
ประเมินให้สอดคลอ้ งกับจดุ ประสงค์การเรียนรู้
7. นาผลการประเมินมาพัฒนาผู้เรียน และ
ปรับปรงุ การจัดการเรยี นรู้
176
กระทรวงศึกษาธิการได้ประกาศใช้หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551
ให้เป็นหลักสูตรแกนกลางของประเทศเม่ือวันท่ี 11 กรกฎาคม 2551 เร่ิมใช้ในโรงเรียนต้นแบบการใช้
หลักสูตรและโรงเรียนที่มีความพร้อมในปีการศึกษา 2552 และเริ่มใช้ในโรงเรียนท่ัวไปในปีการศึกษา
2553 ตัวอย่างความแตกต่างของหลกั สูตรการศึกษาขัน้ พืน้ ฐาน พทุ ธศกั ราช 2544 กับหลกั สูตรแกนกลาง
การศกึ ษาข้ันพ้นื ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 มีดังตาราง (กระทรวงศึกษาธิการ, 2544, 2551)
ตารางท่ี 8.4 เปรียบเทียบข้อมูลในหลักสูตรการศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช 2544 และหลักสูตร
แกนกลางการศึกษาขัน้ พ้ืนฐาน พทุ ธศกั ราช 2551
หลกั สูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน หลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาขั้นพนื้ ฐาน
พุทธศักราช 2544 พทุ ธศกั ราช 2551
การกาหนดหลักการของหลักสูตร
1) เปน็ การศึกษาเพื่อความเป็นเอกภาพของชาติ 1) เป็นหลกั สูตรการศกึ ษาเพื่อความเปน็ เอกภาพ
มุง่ เนน้ ความเป็นไทยควบคู่ความเป็นสากล ของชาติ มีมาตรฐานการเรยี นรู้ เป็นเปา้ หมาย
2) เปน็ การศึกษาเพื่อปวงชนทปี่ ระชาชนทุกคนจะ สาหรับพฒั นาเยาวชนให้มคี วามรแู้ ละคุณธรรมบน
ได้รับการศึกษาอย่างเสมอภาคและเท่าเทียมกัน พ้ืนฐานความเป็นไทย ควบคู่กับความเป็นสากล
โดยสงั คมมีส่วนรว่ มในการจดั การศึกษา 2) เปน็ หลักสูตรการศึกษาเพ่ือปวงชน
3) สง่ เสริมใหผ้ ูเ้ รยี นได้พฒั นาและเรียนร้ดู ว้ ย ท่ปี ระชาชนทุกคนมีโอกาสได้รับการศึกษาอยา่ ง
ตนเองอยา่ งต่อเนือ่ งตลอดชวี ิต โดยถอื วา่ ผู้เรยี น เสมอภาคและมีคุณภาพอย่างเท่าเทียมกัน
มคี วามสาคัญท่ีสุด สามารถพัฒนาตามธรรมชาติ 3) เป็นหลักสตู รการศกึ ษาทต่ี อบสนองการ
และเต็มตามศักยภาพ กระจายอานาจให้สังคมมีสว่ นรว่ มในการจัด
4) เป็นหลักสูตรที่มีโครงสรา้ งยดื หยุน่ ทัง้ ดา้ นสาระ การศึกษาให้สอดคล้องกบั สภาพ และความ
เวลา และการจัดการเรียนรู้ ตอ้ งการของท้องถ่นิ
5) เปน็ หลักสตู รทจี่ ัดการศึกษาได้ทุกรูปแบบ 4) เปน็ หลักสตู รการศกึ ษาทีม่ ีโครงสร้างยดื หยนุ่ ท้งั
ครอบคลุมทกุ กลมุ่ เป้าหมายสามารถเทยี บโอน ด้านสาระการเรยี นรู้ เวลา และการจดั การเรียนรู้
ผลการเรยี นร้แู ละประสบการณ์ 5) เป็นหลักสูตรการศึกษาท่เี น้นผู้เรยี นมี
ความสาคญั ท่ีสดุ
6) เปน็ หลกั สตู รการศกึ ษาทีจ่ ัดการศึกษาได้
ทุกรูปแบบ ครอบคลุมทกุ กลุ่มเปา้ หมายสามารถ
เทยี บโอนผลการเรยี นรู้ และประสบการณ์
177
หลักสูตรการศึกษาข้ันพื้นฐาน หลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาขัน้ พนื้ ฐาน
พทุ ธศักราช 2544 พุทธศกั ราช 2551
การกาหนดจุดหมายของหลักสูตร
1) เหน็ คุณคา่ ของตนเอง มีวินัยในตนเอง ปฏบิ ัตติ าม 1) มคี ุณธรรม จริยธรรม และค่านยิ มท่ีพงึ ประสงค์
หลักธรรมของพระพุทธศาสนาหรอื ศาสนาทต่ี นนับถือ ตามหลกั ปรัชญาเศรษฐกจิ พอเพยี ง เหน็ คุณค่า
มีคุณธรรมจรยิ ธรรม และค่านยิ มที่พงึ ประสงค์ ของตนเองมีวินัยและปฏิบัติตนตามหลกั ธรรมของ
2) มีความคดิ สร้างสรรค์ ใฝร่ ู้ ใฝ่เรียน รักการอ่าน พระพุทธศาสนา หรือศาสนาทต่ี นนับถือ
รกั การเขยี น และรักการคน้ ควา้
3) มคี วามรู้อนั สากล รู้เทา่ ทันการเปลี่ยนแปลงและ 2) มีความรู้อันเป็นสากล มีทักษะในการจดั การ
ความเจริญกา้ วหน้าทางวิทยาการมที ักษะและ ทักษะกระบวนการคดิ ทักษะในการดาเนนิ ชีวิต
ศกั ยภาพในการจัดการการส่ือสาร และการใช้ ทักษะในการส่ือสาร และการใช้เทคโนโลยี
เทคโนโลยี ปรบั วธิ กี ารคิดวิธกี ารทางานได้ 3) มสี ขุ ภาพกายและสุขภาพจิตทด่ี ี มสี ขุ นสิ ยั และ
เหมาะสมกับสถานการณ์ รักการออกกาลงั กาย
4) มีทักษะและกระบวนการโดยเฉพาะทาง 4) มีจิตสานกึ ในการเปน็ พลเมืองไทย และพลโลก
คณติ ศาสตร์ วทิ ยาศาสตร์ ทักษะการคดิ การสร้าง ยดึ มนั่ ในวิถีชวี ติ และการปกครองในระบอบ
ปญั ญา และทักษะในการดาเนินชีวติ ประชาธปิ ไตย อนั มพี ระมหากษตั ริยท์ รงเป็น
5) รักการออกกาลังกาย ดูแลตนเองให้มีสุขภาพ ประมุข
และบคุ ลกิ ภาพทดี่ ี 5) มีจิตสานกึ ในการอนรุ กั ษว์ ัฒนธรรมและ
6) มีประสิทธิภาพในการผลติ และการบริโภคมี ภมู ปิ ญั ญาไทย การอนุรักษ์และพฒั นาสิง่ แวดล้อม
คา่ นยิ มเป็นผ้ผู ลติ มากกวา่ เป็นผู้บรโิ ภค มจี ิตสาธารณะที่มุ่งทาประโยชน์ และสรา้ งสิ่งท่ีดี
7) เข้าใจในประวัตศิ าสตร์ของชาตไิ ทย ภมู ิใจใน งามและอยูร่ ่วมกันในสงั คมอย่างมีความสขุ
ความเปน็ ไทย เป็นพลเมืองดียึดมั่นในวิถีชวี ิตและ
การปกครองในระบบประชาธิปไตยอนั มี
พระมหากษัตรยิ ท์ รงเปน็ ประมขุ
8) มีจิตสานึกในการอนุรกั ษ์ภาษาไทย ศลิ ปะ
วัฒนธรรม ประเพณี กีฬา ภมู ิปัญญาไทย
ทรพั ยากรธรรมชาติ และพฒั นาสิ่งแวดล้อม
9) รักประเทศชาติและท้องถ่ิน ม่งุ ทาประโยชนแ์ ละ
สร้างสงิ่ ทีด่ ีงามให้สงั คม
178
หลกั สูตรการศึกษาขน้ั พ้ืนฐาน หลกั สูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพน้ื ฐาน
พุทธศักราช 2544 พุทธศกั ราช 2551
โครงสรา้ งหลักสตู ร
โครงสร้างหลกั สูตรกาหนดเป็น 4 ช่วงชนั้ ดงั น้ี โครงสรา้ งหลกั สูตรกาหนดเป็น 3 ระดบั ดังนี้
ชว่ งชนั้ ที่ 1 ชน้ั ประถมศึกษาปที ี่ 1-3 (ป.1-3) 1) ระดบั ประถมศึกษา (ป.1-6)
ชว่ งชน้ั ท่ี 2 ชนั้ ประถมศึกษาปีท่ี 4-6 (ป.4-6) 2) ระดบั มัธยมศึกษาตอนตน้ (ม.1-3)
ชว่ งชั้นที่ 3 ชนั้ มัธยมศึกษาปีท่ี 1-3 (ม.1-3) 3) ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย (ม.4-6)
ชว่ งชั้นท่ี 4 ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีที่ 4-6 (ม.4-6)
กาหนดมาตรฐานการเรียนรู้
1. กาหนดมาตรฐานการเรียนรู้ 76 มาตรฐาน 1. ปรับปรุงมาตรฐานการเรียนร้ใู ห้มีความชัดเจน
2. กาหนดมาตรฐานการเรยี นรชู้ ว่ งชัน้ โดยกาหนด ลดความซา้ ซ้อน โดยลดลงเหลอื 67 มาตรฐาน
ชว่ ง ๆ ละ 3 ปี ซึง่ เปน็ คณุ ภาพของผู้เรียนเม่ือจบ 2. กาหนดตัวช้ีวัดชน้ั ปีสาหรบั การศึกษาภาค
ชั้น ป.3 ซ่ึงเปน็ คุณภาพของผู้เรียนเมอ่ื จบชน้ั ป.3 บงั คับ (ป.1- ม.3) และตัวช้วี ดั ช่วงชนั้ สาหรบั
ป.6 ม.3 ม.6 และให้สถานศึกษานาไปเป็นกาหนด มธั ยมศกึ ษาตอนปลาย (ม. 4-6) เพ่ือชว่ ยให้การ
ผลการเรียนร้ทู ่ีคาดหวัง ซ่งึ ทาใหข้ าดเอกภาพและ จัดการเรียนรแู้ ละการวดั และประเมินผลมี
มีปัญหาในการเทยี บโอนผลการเรียนรู้ เป้าหมายท่ชี ัดเจนในแตล่ ะระดบั ชั้น
กิจกรรม
1. กิจกรรมแนะแนว เพ่มิ เติมกจิ กรรมเพื่อสงั คมและสาธารณประโยชน์
2. กจิ กรรมนกั เรยี น ประกอบดว้ ย ก) ระดบั ประถมศกึ ษา รวม 6 ปี 60 ชั่วโมง
- กิจกรรมลกู เสอื เนตรนารี ยวุ กาชาด ผู้บาเพ็ญ ข) ระดบั มัธยมศึกษาตอนตน้ รวม 3 ปี 45 ชว่ั โมง
ประโยชน์ และนกั ศึกษาวชิ าทหาร ค) ระดับมัธยมศึกษาตอนปลายรวม 3 ปี 60
- กิจกรรมชมุ นมุ ชมรม ชวั่ โมง
การวดั และประเมินผล และการจบหลักสูตร
1. หลักสูตรกาหนดให้สถานศึกษากาหนดเกณฑ์ 1. หลกั สูตรแกนกลางฯ กาหนดเกณฑก์ ลางการ
การจบหลกั สูตรเอง รวมทั้งจัดทาแนวทางการวดั จบหลักสูตร การตัดสนิ ผลการเรยี นการใหร้ ะดบั
และประเมินผลตามเกณฑ์ ท่ีสถานศึกษากาหนด ผลการเรียน การรายงานผลการเรยี น และ
เอกสารหลักฐานการศึกษาท่ีกระทรวงควบคุม
เพอ่ื ใหส้ ถานศึกษาจดั ทาแนวปฏบิ ตั ิการวดั และ
ประเมินผลการเรยี น
179
หลักสูตรการศกึ ษาข้นั พื้นฐาน หลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขน้ั พนื้ ฐาน
พทุ ธศกั ราช 2544 พทุ ธศักราช 2551
2. การตัดสินผลการเรยี น 2. การตดั สินผลการเรียน
- ระดบั ประถมศึกษา และมัธยมศกึ ษาตอนต้น - ระดับประถมศึกษา ตดั สินผลการเรยี นเป็นรายปี
ตัดสนิ ผลการเรียนเป็นรายปี
- ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ตดั สนิ ผลการเรียน - ระดบั มธั ยมศึกษาตอนตน้ และตอนปลาย ตดั สนิ
เป็นรายภาค ผลการเรยี นเปน็ รายภาค
จากข้างต้น สรุปลักษณะของหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 มี
รายละเอียดดังนี้ 1) เป็นหลักสูตรที่สถานศึกษาและท้องถ่ินนาไปใช้เป็นกรอบทิศทางในการจัดทา
หลักสูตรสถานศึกษาและการจัดการเรียนรู้ 2) มีมาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัดเป็นเป้าหมายของการ
พฒั นาการเรียนรู้ของผู้เรยี น และ 3) ใช้เป็นกรอบทิศทางสาหรับการจดั การศึกษาทุกรูปแบบและทกุ กลุ่ม
ของผเู้ รยี นในระดบั การศึกษาข้นั พน้ื ฐาน (วิโฬฏฐ์ วัฒนานมิ ิตรกลู , 2559: 42)
2. หลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขน้ั พื้นฐาน พุทธศกั ราช 2551 (ฉบับปรับปรงุ พ.ศ. 2560)
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 ซ่ึงใช้มาเป็นเวลานานกว่า 8 ปี
สานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน โดยสานักวิชาการและมาตรฐานการศึกษาได้ดาเนินการ
ติดตามผลการนาหลักสูตรไปสู่การปฏิบัติอย่างต่อเนื่องในหลายรูปแบบทั้งการประชุมรับฟังความคิดเห็น
การนิเทศติดตามผลการใช้หลกั สูตรของโรงเรยี นการรบั ฟังความคดิ เหน็ ผ่านเว็บไซต์ของสานักวิชาการและ
มาตรฐานการศึกษารายงานผลการวิจัยของหน่วยงานและองค์กรท่ีเก่ียวข้องกับหลักสูตรและการใช้
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 ผลจากการศึกษาพบว่า มีข้อดี เช่น กาหนด
เป้าหมายการพัฒนาไว้ชัดเจนมีความยดื หยุ่นเพียงพอให้สถานศึกษาบริหารจัดการหลักสูตรสถานศึกษาได้
สาหรับปัญหาท่ีพบส่วนใหญ่เกิดจากการนาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช 2551
สู่การปฏิบัติในสถานศึกษาและในห้องเรียน นอกจากนี้ การศกึ ษาข้อมูลทิศทางและกรอบยุทธศาสตร์ของ
แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับท่ี 12 (พ.ศ. 2560 – 2564) ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงเวลาของการ
ปฏิรูปประเทศและสถานการณ์โลกท่ีเปล่ียนแปลงอย่างรวดเร็วและเช่ือมโยงใกล้ชิดกันมากขึ้น โดยจัดทา
บนพ้ืนฐานของกรอบยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ. 2560 – 2579) ซงึ่ เป็นแผนหลักของการพัฒนาประเทศ
และเป้าหมายของการพัฒนาท่ียั่งยืน รวมทั้งการปรับโครงสร้างประเทศไปสู่ประเทศ 4.0 ซ่ึงยุทธศาสตร์
ชาตินี้ ประกอบดว้ ย 6 ยุทธศาสตร์ ไดแ้ ก่ ยุทธศาสตร์ที่ 1 ดา้ นความมนั่ คง ยุทธศาสตรท์ ่ี 2 ด้านการสรา้ ง
ความสามารถในการแข่งขัน ยทุ ธศาสตรท์ ี่ 3 การพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพคน ยุทธศาสตร์ท่ี 4 ด้าน
180
การสร้างโอกาสความเสมอภาคและเท่าเทียมกันทางสังคม ยุทธศาสตร์ที่ 5 ด้านการสร้างการเติบโตบน
คุณภาพชีวิตท่ีเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และยุทธศาสตร์ท่ี 6 ด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการ
บริหารจดั การภาครัฐ
เพื่อมุ่งสวู่ ิสัยทัศนแ์ ละทิศทางการพฒั นาประเทศความม่ันคง ม่ังคั่ง ยั่งยืนเป็นประเทศพฒั นาแล้ว
ด้วยการพัฒนาตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงประเด็นท่ีสาคัญเพ่ือแปลงแผนไปสู่การปฏิบัติให้
เกิดผลสัมฤทธิ์ได้อย่างแท้จริงตามยุทธศาสตร์การพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพคนคือการเตรียมความ
พร้อมด้านกาลังคนและการเสริมสร้างศักยภาพของประชากรในทุกช่วงวัยมุ่งเน้นการยกระดับคุณภาพทุน
มนุษย์ของประเทศ โดยพัฒนาคนใหเ้ หมาะสมตามช่วงวัย เพื่อให้เติบโตอยา่ งมีคุณภาพการพัฒนาทักษะที่
สอดคล้องกับความต้องการในตลาดแรงงานและทักษะท่ีจาเป็นต่อการดารงชีวติ ในศตวรรษที่ 21 ของคน
ในแต่ละช่วงวัยตามความเหมาะสมการเตรียมความพร้อมของกาลังคนด้านวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีท่ี
จะเปลี่ยนแปลงในอนาคตตลอดจนการยกระดับคุณภาพการศึกษาสู่ความเป็นเลิศ ดังน้ัน เพ่ือให้การ
ขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติเก่ียวกับการเตรียมความพร้อมคนให้สามารถปรับตัวรองรับผลกระทบจากการ
เปล่ียนแปลงได้อยา่ งเหมาะสม
กระทรวงศึกษาธิการจึงมีคาส่ังให้ใช้หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551
(ฉบบั ปรบั ปรุง พ.ศ. 2560) ยกตัวอยา่ งคาส่งั ท่ีสาคญั ดังน้ี (กระทรวงศกึ ษาธกิ าร, 2561)
1. คาสั่ง ที่ สพฐ. 1239/2560 เร่ือง ให้ใช้มาตรฐานการเรียนรู้และตัวช้ีวัดกลุ่มสาระการเรียนรู้
คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และสาระภูมิศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) ตามหลักสูตรแกนกลาง
การศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 ลงวันท่ี 7 สิงหาคม พ.ศ. 2560 โดยรัฐมนตรีว่าการ
กระทรวงศึกษาธกิ าร คือ นายธรี ะเกียรติ เจรญิ เศรษฐศิลป์ มรี ายละเอียดดังน้ี
เพอ่ื ให้การจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานสอดคล้องกบั การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคม วฒั นธรรม
สภาพแวดล้อม และความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีท่ีเจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็วเป็นการพัฒนา
และเสริมสร้างศักยภาพคนให้สามารถเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ การยกระดับ
คุณภาพการศึกษาและการเรียนรู้ให้มีคุณภาพและมาตรฐานระดับสากล สอดคล้องกับประเทศไทย 4.0
โลกในศตวรรษท่ี 21 และทัดเทียมกับนานาชาติ ผู้เรียนมีศักยภาพในการแข่งขันและดารงชีวิตอย่าง
สรา้ งสรรค์ในประชาคมโลก ตามหลกั ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง
181
ฉะนั้น อาศัยอานาจตามความในมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542
และที่แก้ไขเพ่ิมเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 และมาตรา 12 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบราชการ
กระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. 2546 กระทรวงศึกษาธิการจึงประกาศใช้มาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัด
กลุ่มสาระการเรียนรู้คณติ ศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และสาระภูมิศาสตร์ ในกลุ่มสาระการเรียนรู้สงั คมศึกษา
ศาสนาและวัฒนธรรม (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน
พุทธศักราช 2551 แทนมาตรฐานการเรียนรู้และตัวช้ีวัด กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์วิทยาศาสตร์
และสาระภูมิศาสตร์ ในกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ในหลักสูตรแกนกลาง
การศกึ ษาขั้นพ้นื ฐาน พุทธศกั ราช 2551
เงื่อนไขและระยะเวลาการใช้มาตรฐานการเรียนรู้และตัวช้ีวัด กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์
วิทยาศาสตร์ และสาระภูมิศาสตร์ ในกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม (ฉบับ
ปรับปรุง พ.ศ. 2560) ใหเ้ ปน็ ไปดงั นี้
1. ปกี ารศึกษา 2561 ให้ใชใ้ นช้นั ประถมศกึ ษาปีท่ี 1 และ 4 และชนั้ มัธยมศึกษาปีที่ 1 และ4
2. ปกี ารศกึ ษา 2562 ให้ใชใ้ นชนั้ ประถมศึกษาปที ่ี 1 2 4 และ 5 และชั้นมัธยมศกึ ษาปีท่ี 1 2 4 และ 5
3. ต้ังแตป่ กี ารศกึ ษา 2563 เป็นตน้ ไป ให้ใชใ้ นทุกชน้ั เรียน
ให้เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาข้ันพื้นฐานมีอานาจในการยกเลิก เพิ่มเติม เปล่ียนแปลง
มาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัด กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์วิทยาศาสตร์ และสาระภูมิศาสตร์ใน
กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) ตามหลักสูตร
แกนกลางการศึกษาข้นั พื้นฐาน พทุ ธศักราช 2551
2. คาสั่ง สพฐ. ที่ 922/2561 เรื่อง การปรับปรุงโครงสร้างเวลาเรียน ตามหลักสูตรแกนกลาง
การศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 ลงวันที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2561 โดยความเห็นชอบของ
คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน มีอานาจในการยกเลิก เพิ่มเติม เปล่ียนแปลงหลักสูตรแกนกลาง
การศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 ให้เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายและวิธีการจัดการศึกษา ดังน้ัน
เพ่ือให้สถานศึกษาสามารถบริหารจัดการเวลาเรียนได้เหมาะสมกับบริบทและจุดเน้นของสถานศึกษา
จึงปรับปรุงโครงสร้างเวลาเรียนให้มีความยืดหยุ่น ทั้งนี้ ควรคานึงถึง ศักยภาพและพัฒนาการตามช่วงวัย
ของผเู้ รียนและเกณฑ์การจบหลักสูตร มีรายละเอยี ดดงั นี้
182
ตารางที่ 8.5 เปรยี บเทียบการปรับปรงุ โครงสรา้ งเวลาเรียน จาแนกตามระดบั การศกึ ษา
ระดบั ประถมศึกษา ระดับมัธยมศกึ ษาตอนต้น ระดับมธั ยมศกึ ษาตอนปลาย
ปรบั เวลาเรยี นพน้ื ฐานของแต่ละกลุ่มสาระการเรียนรู้ไดต้ ามความเหมาะสม สอดคลอ้ งกับบริบท
จุดเนน้ ของสถานศึกษา และศักยภาพของผเู้ รยี น โดยจัดเวลาเรียนพื้นฐานสาหรับสาระประวัติศาสตร์
ต้จัดเวลาเรียนพ้ืนฐานสาหรับ จัดเวลาเรียนพ้ืนฐานสาหรับ จัดเวลาเรียนพื้นฐานสาหรับ
สาระประวัติศาสตร์ 40 ช่ัวโมง สาระประวัติศาสตร์ 40 ชั่วโมง สาระประวัติศาสตร์ รวม 3 ปี
ต่อปี และตอ้ งมีเวลาเรียนพื้นฐาน ต่อ ปี แ ล ะ ต้ อ งมี เ ว ล า เ รี ย น 80 ช่ัวโมงต่อปี และมีเวลาเรียน
รวม จานวน 840 ชั่วโมงต่อปี พ้นื ฐานรวม จานวน 480 ชวั่ โมง พื้นฐานรวม 3 ปี จานวน 1,640
และผู้เรียนต้องมีคุณภาพตาม ต่อปี หรือ 22 หน่วยกิตต่อปี ชั่วโมง หรือ 41 หน่วยกิต และ
มาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัด และผู้เรียนต้องมีคุณภาพตาม ผู้ เ รี ย น ต้ อ ง มี คุ ณ ภ า พ ต า ม
ท่กี าหนด มาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัด มาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัดท่ี
ที่กาหนด และสอดคล้องกับ กาหนด และสอดคล้องกับเกณฑ์
เกณฑก์ ารจบหลักสตู ร การจบหลักสูตร
จัดเวลาเรียนเพ่ิมเติม โดยจัดเป็นรายวิชาเพ่ิมเติม หรือกิจกรรมเพิ่มเติมให้สอดคล้องกับ จุดเน้นและ
ความพรอ้ มของสถานศึกษา และเกณฑก์ ารจบหลกั สูตร
*เฉพาะระดบั ช้ันประถมศึกษาปีท่ี 1 - 3 สถานศึกษาอาจจัดให้เป็นเวลาสาหรับสาระการเรยี นรู้พื้นฐาน
ในกลุ่มสาระการเรียนรภู้ าษาไทยและกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์
จดั เวลาสาหรบั กจิ กรรมพฒั นาผู้เรยี น จานวน 120 ชั่วโมงต่อปี กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน รวม 3 ปี
จานวน 360 ชัว่ โมง
จัดเวลาเรยี นรวมทงั้ หมด ให้เปน็ ไปตามความเหมาะสมของสถานศกึ ษา ทัง้ น้ี ควรคานึงถึง ศกั ยภาพ
และพฒั นาการตามช่วงวยั ของผเู้ รียนและเกณฑ์การจบหลกั สตู ร
จากขา้ งต้นสรปุ ไดว้ ่า หลกั สตู รแกนกลางการศึกษาขัน้ พื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ฉบับปรับปรุง
พ.ศ. 2560 มกี ารเปล่ียนแปลงจากหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขนั้ พนื้ ฐาน พุทธศกั ราช 2551 ดงั น้ี
1. กลุ่มสาระการเรียนรู้ท่ีมีการปรับปรุง คือ คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และสังคมศึกษาฯ ใน
สาระภูมิศาสตร์ ส่วนกลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชพี และเทคโนโลยี มกี ารย้ายสาระที่ 2 การออกแบบ
และเทคโนโลยี และสาระที่ 3 เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร มาเป็นสาระที่ 4 ของกลุ่มสาระการ
เรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์
183
2. การเปลี่ยนแปลงท่ีเกิดขึ้นในแต่ละกลุ่มสาระการเรียนรู้ ยังคงมีรายวิชาพ้ืนฐานและเพ่ิมเติม
เหมือนเดิม แต่ในส่วนของรายวิชาเพ่ิมเติม มีการกาหนดผลการเรียนรู้ในหลักสูตร ให้มีความชัดเจนและ
ง่ายสาหรบั การนาไปใช้มากย่งิ ข้ึน โดยมีรายละเอียดดังน้ี
2.1 กลมุ่ สาระการเรียนรคู้ ณิตศาสตร์ แบง่ รายวิชาออกเป็น 2 รายวิชา ไดแ้ ก่
รายวิชาคณิตศาสตรพ์ ้ืนฐาน ท่ีกาหนดสาระการเรียนรูแ้ กนกลาง กาหนดมาตรฐานการเรยี นรู้และ
ตัวช้ีวัด สาหรับผู้เรียน ชั้น ป.1-ม.3 และ ม.4-6 แผนการเรียนอ่ืน ๆ จานวน 3 สาระการเรียนรู้ ได้แก่
สาระที่ 1 จานวนและพีชคณิต สาระท่ี 2 การวัดและเรขาคณิต และสาระที่ 3 สถิตแิ ละความนา่ จะเปน็
รายวิชาคณิตศาสตร์เพ่ิมเติม ที่กาหนดสาระการเรียนรู้เพ่ิมเติม กาหนดผลการเรียนรู้ท่ีเช่ือมโยง
กับมาตรฐานการเรียนรู้ในสาระที่ 1-3 และผลการเรียนรู้ในสาระแคลคูลัส สาหรับผู้เรียนช้ัน ม.4-6
แผนการเรยี นวทิ ยาศาสตร์
ท้ังน้ีรายวิชาเพิ่มเติมอื่น ๆ สามารถเปิดสอนได้ตามความพร้อมและจุดเน้นของโรงเรียน ตาม
ความตอ้ งการและความถนัดของผู้เรียน โดยโรงเรียนกาหนดผลการเรียนรขู้ องรายวิชานน้ั ๆ
2.2 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ แบง่ รายวชิ าออกเปน็ 2 รายวชิ า ได้แก่
รายวิชาวิทยาศาสตร์พื้นฐาน ที่กาหนดสาระการเรียนรู้แกนกลาง กาหนดมาตรฐานการเรียนรู้
และตัวช้ีวัด สาหรับผเู้ รียนช้นั ป.1-ม.3 และ ม.4-6 แผนการเรียนอื่น ๆ จานวน 4 สาระการเรียนรู้ ได้แก่
สาระท่ี 1 วิทยาศาสตร์ชีวภาพ สาระที่ 2 วิทยาศาสตร์กายภาพ สาระท่ี 3 วิทยาศาสตร์โลกและอวกาศ
และสาระที่ 4 เทคโนโลยี ซ่งึ ประกอบด้วย การออกแบบและเทคโนโลยี วทิ ยาการคานวณ
วิทยาศาสตรเ์ พิ่มเตมิ ทก่ี าหนดสาระการเรยี นรูเ้ พ่ิมเตมิ และกาหนดผลการเรียนรู้ สาหรบั ผู้เรียน
ช้ัน ม.4-6 แผนการเรียนวิทยาศาสตร์ จานวน 4 สาระการเรียนรู้ ได้แก่ 1) สาระชีววิทยา 2) สาระเคมี
3) สาระฟิสิกส์ และ 4) สาระโลก ดาราศาสตร์ อวกาศ
ท้ังนี้รายวิชาเพิ่มเติมอื่น ๆ สามารถเปิดสอนได้ตามความพร้อมและจุดเน้นของโรงเรียน ตาม
ความต้องการและความถนัดของผ้เู รยี น โดยโรงเรยี นกาหนดผลการเรยี นรขู้ องรายวิชาน้ัน ๆ
2.3 กลมุ่ สาระการเรยี นรู้สังคมศกึ ษา ศาสนาและวฒั นธรรม
กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรมมีการตัดเนื้อหา เพิ่มเน้ือหา เปลี่ยนคา
และข้อความบางส่วน และปรับสาระภูมิศาสตร์ที่ให้ความสาคัญกับการรู้เรื่องภูมิศาสตร์ (Geo-Literacy)
ซึ่งเน้นความรู้ทางภูมิศาสตร์ ความสามารถทางภูมิศาสตร์ ทักษะทางภูมิศาสตร์และกระบวนการทาง
ภูมศิ าสตร์
184
3. การจัดรายวิชาตามโครงสร้างของหลักสูตรและการปรับหลักสูตรสถานศึกษา ยังคงมีรายวิชา
พ้ืนฐานและเพ่ิมเติมเหมือนเดิม แต่ต้องมีการเปิดรายวิชาใหม่ในกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์
เน่ืองจากมีการย้ายสาระที่ 2 การออกแบบและเทคโนโลยี และสาระที่ 3 เทคโนโลยีสารสนเทศและการ
ส่ือสาร จากกลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยีมาเป็นสาระที่ 4 ของกลุ่มสาระการเรียนรู้
วิทยาศาสตร์ ซ่ึงประกอบด้วย มาตรฐาน ว 4.1 การออกแบบและเทคโนโลยี และ มาตรฐาน ว 4.2
วทิ ยาการคานวณ โดยเฉพาะวชิ าคอมพิวเตอร์เดิม ท่ีจะต้องเปลีย่ นรหสั วชิ าจาก "ง" มาเปน็ "ว"
จากข้างต้น แสดงให้เห็นว่า หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 ฉบับ
ปรบั ปรุง พ.ศ. 2560 มีการปรับปรงุ ขอ้ มูลในบางกลมุ่ สาระการเรียนรู้ เพื่อให้พัฒนาศักยภาพของผเู้ รยี นให้
ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของสังคมโลก และการปรับปรุงดังกล่าว จึงมีผลทาให้มีการเปลี่ยนแปลงใน
หลักสตู รสถานศกึ ษาดว้ ย
3. หลกั สตู รสถานศกึ ษา
สถานศึกษาเป็นหน่วยงานท่ีจัดการศึกษาเป็นแหล่งของการแสวงหาความรู้จงึ ต้องมีหลักสูตรเป็น
ของตนเอง คอื หลักสูตรสถานศึกษาต้องครอบคลุมภาระงานการจัดการศกึ ษาทกุ ด้านหลกั สูตรสถานศึกษา
จึงประกอบด้วยการเรียนรู้ท้ังมวลเป็นประสบการณ์อ่ืน ๆ ท่ีสถานศึกษาแต่ละแห่งวางแผนเพ่ือพัฒนา
ผู้เรียนซ่งึ เกดิ จากการมสี ว่ นร่วมของบุคลากรและผู้เก่ยี วข้องทง้ั ภายในและภายนอกสถานศึกษา
หลักสูตรสถานศึกษาเป็นแบบแผนหรือแนวทางหรือข้อกาหนดของการจัดการที่จะพัฒนาให้
ผเู้ รียนมีความรู้ ความสามารถโดยส่งเสริมให้แตล่ ะบุคคลพัฒนาไปสู่ศักยภาพสูงสดุ ของตนรวมถึงระดับข้ัน
ของมวลประสบการณ์ท่ีก่อให้เกิดการเรียนรู้สะสมซ่ึงจะช่วยให้ผู้เรียนนาความรู้ไปสู่การปฏิบัติได้
ประสบการณ์สาเรจ็ ในการเรยี นรดู้ ้วยตนเอง รจู้ ักตนเอง มีชวี ิตอยู่ในโรงเรียน ชุมชน สังคม และโลกอย่าง
มีความสขุ
ความสาคญั และความจาเป็นของหลักสตู รสถานศึกษา
สถานศึกษาจาเป็นต้องจัดทาหลักสูตรสถานศึกษาตามกรอบของห ลักสูตรแกนกลางที่
กรมวิชาการกาหนดไว้ พระราชบญั ญตั ิการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 (สานกั งานคณะกรรมการการศึกษา
แห่งชาติ, 2545: 9)
“… มาตรา 27 ให้คณะกรรมการการศึกษาข้ันพื้นฐานกาหนดหลักสูตรแกนกลาง
การศึกษาขั้นพ้ืนฐานเพอ่ื ความเป็นไทย ความเป็นพลเมืองท่ีดีของชาติ การดารงชีวิต และ
การประกอบอาชีพตลอดจนเพอื่ การศึกษาต่อ
185
ให้สถานศึกษาขั้นพื้นฐานมีหน้าท่ีทาสาระของหลักสูตรตามวัตถุประสงค์ใน
วรรคหน่ึงในสว่ นทเี่ กยี่ วกับสภาพปัญหาในชุมชนและสงั คม ภมู ิปญั ญาทอ้ งถิ่น คุณลกั ษณะ
อนั พงึ ประสงคเ์ พอ่ื เป็นสมาชิกทดี่ ขี องครอบครวั ชุมชน สงั คม และประเทศชาติ…”
จากมาตรา 27 ระบุข้อความท่ีมีส่วนเกี่ยวข้องกับบทบาทหน้าที่ของสถานศึกษา ในการนา
หลักสูตรไปใช้โดยตรง ซึ่งกาหนดไว้ว่า ให้คณะกรรมการการศึกษาข้ันพื้นฐานกาหนดหลักสูตรแนวทาง
การศึกษาขั้นพ้ืนฐานเพื่อความเป็นไทย ความเป็นพลเมืองท่ีดีของชาติ การดารงชีวิตและการประกอบ
อาชีพ ตลอดจนเพ่ือการศึกษาต่อ และให้สถานศึกษาขั้นพ้ืนฐาน มีหน้าท่ีจัดทาสาระของหลักสูตรตาม
วัตถุประสงค์ในวรรคหน่ึงในส่วนที่เก่ียวกับปัญหาในชุมชนและสังคมภูมิปัญญาท้องถ่ิน คุณลักษณะอันพึง
ประสงค์เพือ่ เปน็ สมาชกิ ทด่ี ขี องครอบครวั ชมุ ชน สงั คม และประเทศชาติ
จากข้างต้นจะเห็นได้ว่า สถานศึกษามีหน้าท่ีจัดทาสาระของหลักสูตร จากหลักสูตรแกนกลาง
การศึกษาขั้นพื้นฐาน ในส่วนท่ีเกี่ยวกับปัญหาในชุมชนและสังคมภูมิปัญญาท้องถิ่น คุณลักษณะอันพึง
ประสงค์ เพอ่ื เป็นสมาชิกทด่ี ขี องครอบครัว ชมุ ชนและประเทศชาติ รวมทั้งทาหลักสตู รใหเ้ ปน็ ไปตามความ
ต้องการของผู้เรียน โดยมณนิภา ชุติบุตร (2538: 5) ไดเ้ สนอแนวทางการนาภูมิปัญญาท้องถิ่นไปใช้ในการ
จดั ทาหลักสูตรสถานศกึ ษาดงั นี้
1. เนน้ การศึกษา วิเคราะห์ ทาความเขา้ ใจวิธคี ิดและความคิดของภมู ิปัญญาท้องถน่ิ
2. นากระบวนการหรือแนวคิดของภมู ิปัญญาท้องถิ่นมาจัดทาหลกั สูตรสถานศึกษา
3. นากระบวนการคดิ ของภูมิปญั ญาชาวบ้านมาเสรมิ สรา้ งกบั แนวคิดแบบวิทยาศาสตร์
4. สรา้ งกระบวนการคิด หลายมุมโดยสง่ เสริมใหผ้ ู้เรียนได้คิดอย่างอสิ ระแล้วเช่ือมโยงกับชีวิตจริง
5. ให้ภูมปิ ญั ญาท้องถ่นิ มีสว่ นร่วมในการจดั ทาหลกั สตู ร
หลักสูตรท่ีสร้างข้ึนจาเป็นต้องมีความสอดคล้องกับสภาพปัญหา และสนองความต้องการของ
สังคมที่ใช้หลักสูตรนั้น ๆ โดยเหตุน้ี หลักสูตรท่ีสร้างขึ้นมุ่งหมายในการใช้ในชุมชนแห่งใดแห่งหนึ่ง
โดยเฉพาะ ก็ย่อมสามารถตอบสนองต่อความต้องการของสังคมได้มากที่สุด ท้องถิ่นและชุมชนมีสภาพที่
แตกต่างกัน เทคโนโลยีมีการพัฒนาอย่างรวดเร็วการจะทาหลักสูตรระดับชาติไปใช้กับท้องถิ่นก็ไม่ทันกับ
ความเจริญของเทคโนโลยี สถานศกึ ษาจงึ ต้องจัดทาหลกั สูตรสถานศกึ ษาเอง
186
จุดมุ่งหมายทีส่ าคญั ของหลักสตู รสถานศึกษา
1. หลักสูตรสถานศกึ ษาควรพัฒนาผู้เรียนให้เรียนรอู้ ย่างมีความสุข เพอื่ ให้มีความรู้ความสามารถ
มีทักษะการเรียนที่สาคญั ๆ มกี ระบวนการคดิ อย่างมีเหตมุ ผี ล มโี อกาสใชข้ อ้ มลู สารสนเทศ และเทคโนโลยี
ส่ือสาร หลักสูตรสถานศึกษาควรส่งเสริมจิตใจท่ีอยากรู้อยากเห็น สร้างความม่ันใจและให้กาลังใจในการ
เรยี นรแู้ ละเปน็ บุคคลท่สี ามารถเรียนร้ไู ด้ตลอดเวลา
2. หลักสูตรสถานศึกษาควรส่งเสริมการพัฒนาด้านจิตวิญญาณ จริยธรรม สังคม และวัฒนธรรม
โดยเฉพาะพัฒนาผู้เรียนให้เกิดความเข้าใจและศรัทธาในความเช่ือของตน ความเชื่อและวัฒนธรรมท่ี
แตกต่างกัน มีอิทธิพลต่อบุคคลและสังคมสถานศึกษาควรต้องพัฒนาหลักคุณธรรมและความอิสระของ
ผเู้ รียน มีความพร้อมในการเป็นผู้บริโภคทตี่ ัดสินใจแบบมีข้อมูลและเปน็ อสิ ระเข้าใจในความรับผดิ ชอบท่ีมี
ต่อสังคมโดยรวม สามารถช่วยพัฒนาสังคมให้ความเป็นธรรม มีความเสมอภาค มีความตระหนัก เข้าใจ
และยอมรับท่ีตนดารงอยู่ได้ ยึดม่ันในข้อตกลงร่วมกันต่อการพัฒนาที่ย่ังยืนท้ังในระบบส่วนตน ระดับ
ท้องถ่ิน ระดับชาติ และระดับโลก หลักสูตรที่มีความหลากหลายตามสภาพและบริบทของท้องถ่ินท่ี
แตกตา่ งกัน แตก่ ม็ คี วามเช่ือมโยงกับสาระการเรยี นรู้จากหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขัน้ พ้นื ฐาน
วิชัย วงษ์ใหญ่ (2550: 2) หลักสูตรสถานศึกษาที่ดีต้องครอบคลุมภาระงานการจัดการศึกษาทุก
ด้านของสถานศึกษา ประกอบด้วย 10 องค์ประกอบ ได้แก่ 1) วิสัยทัศน์ โดยสถานศึกษาจาเป็นต้อง
กาหนดวิสัยทัศน์เพื่อมองอนาคตว่า โลกและสังคมรอบ ๆ จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร สถานศึกษาจะต้อง
ปรับหลักสูตรอย่างไร จึงจะพัฒนาผู้เรียนให้เหมาะสมและสอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงาน
2) พันธกิจ 3) คุณลักษณะอันพึงประสงค์ 4) จุดหมาย 5) โครงสร้าง 6) คาอธิบายรายวิชา 7) หน่วยการ
เรียนรู้ 8) กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน 9) ระเบียบการวัดและประเมินผล และ 10) คณะกรรมการบริหาร
หลกั สูตรสถานศกึ ษา
ปัจจัยสาคัญท่ีมีผลต่อความสาเร็จของการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา คือ การทาความเข้าใจ
กระบวนการของการพัฒนาหลกั สูตรสถานศกึ ษาทุกขน้ั ตอน ในเชิงทฤษฎีหรือเชงิ หลักการไมเ่ ป็นเร่ืองยาก
แต่อย่างใด เมื่อนาขน้ั ตอนและกระบวนการนั้นไปดาเนินการ มักจะเกิดปญั หาและมีอุปสรรคอยู่เสมอ ซ่งึ มี
ตัวอย่างให้เห็นอยู่เสมอ ความล้มเหลวของสถานศึกษาในการดาเนินการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาจะ
ขึ้นอย่กู บั ตัวแปรหรือเงอ่ื นไขหลายประการ ได้แก่
1. ความสามารถในการบริหารจัดการหลักสูตร เพราะการบริหารจัดการเป็นหวั ใจสาคัญของการ
พัฒนาหลักสตู รสถานศกึ ษา หลักสูตรของสถานศกึ ษามคี ุณภาพและประสิทธิภาพหรือไม่กข็ ึ้นอยู่กับปัจจัย
การบรหิ ารจัดการหลกั สตู รอยา่ งเป็นระบบ
187
2. การปรับเปล่ียนพฤติกรรมของผู้เก่ียวข้อง เพราะการพัฒนาหลักสูตรทั้งทางตรงและทางอ้อม
ทั้งผู้บริหาร ครูผู้สอน นักเรยี น ผปู้ กครอง และชุมชน เน่อื งจากหลักสูตรการศกึ ษาข้นั พืน้ ฐานเปน็ หลักสตู ร
ท่ีกระจายอานาจการจัดการศึกษาแก่สถานศึกษา ทั้งในด้านการบริหารวิชาการ การบริหารจัดการ และ
การใช้หลักสูตร เป็นกระบวนการนาหลกั สูตรแกนกลางในระดับชาติไปสู่การปฏิบัติในสถานศึกษา จึงต้อง
ได้รับการสนบั สนุน ส่งเสรมิ และร่วมมือจากบคุ ลากรทเ่ี กย่ี วขอ้ งทุกระดบั
3. การมีส่วนร่วมของบุคลากรท่ีเกี่ยวข้อง เพราะการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาจะประสบ
ผลสาเร็จได้ด้วยดี จะต้องได้รับความร่วมมือและการมีส่วนร่วมในการดาเนินงานจากบุคลากรทุกฝ่าย ทั้ง
ในสถานศึกษาและนอกสถานศึกษาไม่ว่าจะเป็นผู้บริหารสถานศึกษา ครู นักเรียน บิดามารดา ผู้ปกครอง
และบุคคลหรือหน่วยงานในชุมชน ได้แก่ องค์กรชุมชน องคก์ รปกครองส่วนทอ้ งถิ่น เอกชน องค์กรเอกชน
องคก์ รวิชาชพี สถาบนั ศาสนา สถานประกอบการและสถาบันสงั คมอืน่
จากข้างต้น หลักสูตรสถานศึกษามีความจาเป็นอย่างย่ิง ดังน้ัน ควรต้องได้รับการประเมินและ
ปรบั ปรุงหลกั สตู รสถานศึกษาให้มคี ุณภาพมากยิ่งข้ึน เช่น วางแผนปรับปรุงหรือจัดทาหลกั สูตรใหม่ จัดหา
และจัดสรรงบประมาณ เป็นต้น เพื่อให้การจัดการศึกษาของแต่ละสถานศึกษามีประสิทธิภาพและ
ประสทิ ธิผลสูงสุด
บทสรปุ
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 เป็นการปรับปรุงจากหลักสูตร
การศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2544 และได้มีการปรับปรุงให้สอดคล้องกับการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ
เก่ียวกับการเตรียมความพร้อมคนให้สามารถปรับตัวรองรับผลกระทบจากการเปล่ียนแปลงได้อย่าง
เหมาะสม กระทรวงศึกษาธกิ ารจงึ มีคาส่ังใหใ้ ช้หลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาขน้ั พื้นฐาน พทุ ธศักราช 2551
(ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) ท่ีม่งุ พัฒนาผู้เรียนทุกคน ซึ่งเป็นกาลงั ของชาติใหเ้ ป็นมนษุ ย์ที่มีความสมดุลทั้ง
ด้านร่างกาย ความรู้ คุณธรรม มีจิตสานึกในความเป็นพลเมืองไทยและเป็นพลโลก ยึดมั่นในการปกครอง
ตามระบอบประชาธิปไตยอนั มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมขุ มคี วามรู้และทกั ษะพืน้ ฐาน รวมทง้ั เจตคติ
ที่จาเป็นต่อการศึกษาต่อการประกอบอาชีพและการศึกษาตลอดชีวิต เพ่ือให้จัดการศึกษาเหมาะสมกับ
บริบทของแต่ละสถานศึกษา สถานศึกษาจึงนาข้อมูลสภาพที่เป็นปัญหาหรือความต้องการในชุมชนและ
สังคมภูมิปัญญาท้องถิ่น คุณลักษณะอันพึงประสงค์มาจัดทาสาระของหลักสูตร และจัดการเรียนรู้ที่เน้น
ตามความสามารถ ความถนดั ความสนใจของผู้เรียน โดยยึดหลักสูตรการศกึ ษาขั้นพื้นฐานเป็นกรอบหรือ
แนวทางในการจัดทาหลักสูตรสถานศึกษาข้ึน ดังน้ัน หลักสูตรสถานศึกษาเป็นหัวใจสาคัญสาหรับการจัด
การศึกษาใหม้ ีคณุ ภาพ
188
เอกสารอ้างองิ
กระทรวงศึกษาธกิ าร. (2544). หลักสูตรการศึกษาขนั้ พื้นฐาน พทุ ธศักราช 2544. กรุงเทพฯ: องค์การ
รบั ส่งสนิ ค้าและพสั ดภุ ณั ฑ์ (รสพ.).
_____. (2551). หลักสตู รแกนกลางการศึกษาขัน้ พน้ื ฐาน พุทธศักราช 2551. กรุงเทพฯ: ชมุ นุมสหกรณ์
การเกษตรแห่งประเทศไทย.
_____. (2561). หลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาข้ันพื้นฐาน พทุ ธศักราช 2551 และมาตรฐานการเรยี นรู้
และตัวช้ีวัดฯ (ฉบบั ปรบั ปรุง พ.ศ. 2560). กรงุ เทพฯ: กระทรวงศึกษาธิการ.
คณะกรรมการการศึกษาแหง่ ชาติ, สานักงาน. (2545). พระราชบญั ญตั กิ ารศึกษาแหง่ ชาติ พ.ศ. 2542 และท่ี
แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบบั ที่ 3) พ.ศ. 2553. กรงุ เทพฯ: พริกหวานกราฟฟคิ .
มณนิภา ชตุ บิ ตุ ร. (2538). แนวทางการใช้ภมู ิปัญญาท้องถ่ินในการจัดการเรียนการสอน. หมู่บ้าน, 7(87): 5.
วิชยั วงษใ์ หญ.่ (2550). “หลกั สูตรสถานศึกษา” สารานุกรมวิชาชพี คร:ู เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จ
พระเจา้ อยหู่ วั เนอ่ื งในโอกาสฉลองสริ ริ าชสมบตั คิ รบ 60 ปี. กรงุ เทพฯ: สานกั งานเลขาธกิ าร
ครุ ุสภา.
วโิ ฬฏฐ์ วัฒนานมิ ติ กูล. (2559). การพัฒนาหลกั สตู รและการสอน ปัจจัยความสาเร็จของการจัดการศึกษา.
กรุงเทพฯ: สหธรรมิก.