- จดั สรรงบประมาณใหเ้ พียงพอ และทดั เทียมกนั ท้งั ในสถานศึกษาของรัฐ และเอกชน
- พฒั นาเช่ือมโยงรอยต่อของแต่ละช่วงวยั ท่ีเริ่มตน้ จากบา้ น ศนู ยด์ ูแลเดก็ เลก็ โรงเรียนอนุบาล
จนถึงช้นั ประถมศึกษา
- สร้างเครือขา่ ยบคุ ลากรทางการศึกษาปฐมวยั และประถมศึกษาในการแลกเปลี่ยนองคค์ วามรู้
และแบง่ ปันขอ้ มูลในการดูแลและพฒั นาคุณภาพเดก็ ปฐมวยั อยา่ งทวั่ ถึง
บทสรุปและข้อเสนอแนะของผู้ศึกษา
การพฒั นาเดก็ ปฐมวยั มีความสาคญั เป็นอยา่ งมาก เน่ืองจากสมองของเด็กไดร้ ับการสร้าง
และพฒั นาอยา่ งรวดเร็ว การพฒั นาเด็กในช่วงน้ีจะเป็นรากฐานสาคญั ของการเรียนรู้ และการ
พฒั นาตลอดชีวิต ซ่ึงถา้ เราปล่อยใหเ้ วลาอนั มีคา่ น้ีผา่ นไปโดยเปล่าประโยชน์ กจ็ ะไมส่ ามารถ
เรียกกลบั คืนมาได้ เพราะการพฒั นาทกั ษะดา้ นตา่ ง ๆ ของมนุษยจ์ ะเกิดข้ึนอยา่ งเตม็ ท่ีในช่วง
ปฐมวยั เทา่ น้นั
ดงั น้นั หลกั สูตรการเรียนการสอนในระดบั ปฐมวยั น้ีควรเป็นไปตามหลกั วชิ าการอนุบาล
ไม่ใช่การจดั การเรียนการสอนตามใจครูหรือผปู้ กครองท่ีเชื่อมนั่ วา่ การอ่านออกเขียนไดข้ องเด็ก
สาคญั กวา่ การที่พวกเขาไดเ้ รียนรู้อยา่ งชาญฉลาด เพอ่ื พฒั นาใหเ้ กิดความสัมพนั ธ์ระหวา่ งสมอง
สายตา และใชม้ ือเขียนเสน้ รู้จกั สีและอุปกรณ์ ในลกั ษณะตา่ ง ๆ กจ็ ะทาใหเ้ ติบโตและเรียน
เร่ืองของการเขียน การอ่าน และการคิดเลขต่อไปไดเ้ ร็วข้ึน ท้งั จะสร้างทกั ษะการคิดวิเคราะห์ให้
เดก็ ไดเ้ ป็นอยา่ งดี นอกจากน้ีหน่วยงานที่เก่ียวขอ้ งท้งั ภาครัฐ ภาคเอกชน รวมท้งั ภาคประชาชน
ระบบการผลิตครู หลกั สูตรการศึกษาและระบบการประเมินผลเพอ่ื การพฒั นาเด็กปฐมวยั ตอ้ งมี
ส่วนร่วมกนั ในการจดั การศึกษาปฐมวยั เพื่อสร้างอนาคตที่สดใสและมนั่ คงใหแ้ ก่สังคมไทย ดงั
วลีที่วา่ “เด็กในวนั น้ี คือผใู้ หญใ่ นวนั หนา้ ”
2.2 หลกั สูตรแกนกลางการศึกษาข้นั พ้นื ฐาน ปี พทุ ธศกั ราช
2551 (ฉบบั ปรับปรุง พทุ ธศกั ราช 2560)
วิสัยทศั น์
มงุ่ พฒั นาผเู้ รียนทุกคนให้มีความรู้คู่คุณธรรม มีสุขภาพร่างกายแขง็ แรง มคี ุณภาพตาม
มาตรฐานการศึกษา ส่งเสริมวิชาการและเทคโนโลยี มีนิสัยรักการอา่ น สืบสานงานประเพณี
วฒั นธรรมไทย มีใจรักส่ิงแวดลอ้ ม นอ้ มนาหลกั ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี งในการดาเนินชีวติ
เนน้ ประสานความร่วมมือจากทกุ ภาคส่วน
พนั ธกจิ โรงเรียน
1.จดั กิจกรรมการเรียนการสอน เพื่อเสริมสร้างนกั เรียนใหม้ ีความรู้คู่คุณธรรม มีร่างกาย
จิตใจท่ีดี สุขภาพแขง็ แรง มีคา่ นิยมและคุณลกั ษณะที่พึงประสงค์
2.จดั กิจกรรมใหผ้ เู้ รียนมีคุณภาพตามมาตรฐานการศึกษา
3.มุ่งเนน้ ใหผ้ เู้ รียนมีการคิดวิเคราะห์ สร้างสรรค์ กา้ วทนั เทคโนโลยี
4.มุ่งเนน้ ใหผ้ เู้ รียนมีใจรักสิ่งแวดลอ้ ม สืบสานประเพณีวฒั นธรรมไทย ใชช้ ีวิตอยอู่ ยา่ ง
พอเพียง
5.สร้างความสมั พนั ธก์ บั ทกุ ภาคส่วนในการช่วยระดมทรัพยากร เพ่อื การส่งเสริมคุณภาพ
การศึกษา
เป้าประสงค์โรงเรียน
1.ผเู้ รียนมีความรู้คูค่ ุณธรรม สุขภาพร่างกายแขง็ แรง มีค่านิยมและคุณลกั ษณะที่พงึ
ประสงค์
2. ผเู้ รียนมีคุณภาพตามมาตรฐานการศึกษา
3. ผเู้ รียนมีการคิดวเิ คราะห์ สร้างสรรค์ กา้ วทนั เทคโนโลยี
4. ผเู้ รียนมีใจรักส่ิงแวดลอ้ ม สืบสานประเพณีวฒั นธรรมไทย ใชช้ ีวติ อยอู่ ยา่ งพอเพยี ง
5.ผเู้ รียนไดร้ ับทรัพยากรจากทุกภาคส่วน ในการส่งเสริมคุณภาพการศึกษา หลกั สูตร
สถานศึกษา (ฉบบั ปรับปรุง พทุ ธศกั ราช 2563) ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาข้นั พ้ืนฐาน
พทุ ธศกั ราช 2551 มุ่งใหผ้ เู้ รียนเกิดสมรรถนะสาคญั 5 ประการ ดงั น้ี
1.ความสามารถในการส่ือสาร เป็นความสามารถในการรับและส่งสาร มีวฒั นธรรมใน
การใชภ้ าษาถ่ายทอดความคิด ความรู้ ความเขา้ ใจ ความรู้สึก และทศั นะของตนเองเพอ่ื
แลกเปลี่ยนขอ้ มูลข่าวสารและประสบการณ์อนั จะเป็นประโยชน์ต่อการพฒั นาตนเองและสงั คม
รวมท้งั การเจรจาต่อรอง เพอื่ ขจดั และลดปัญหาความขดั แยง้ ต่าง ๆ การเลือกรับหรือไม่รับขอ้ มูล
ข่าวสารดว้ ยหลกั เหตุผลและความถูกตอ้ ง ตลอดจนการเลือกใชว้ ิธีการส่ือสารที่มีประสิทธิภาพ
โดยคา่ นิงถึงผลกระทบท่ีมีต่อตนเองและสังคม
2. ความสามารถในการคิด เป็นความสามารถในการคิดวเิ คราะห์ การคิดสงั เคราะห์ การ
คิดอยา่ งสร้างสรรค์ การคิดอยา่ งมีวจิ ารณญาณ และการคิดเป็นระบบ เพื่อนาไปสู่การสร้างองค์
ความรู้หรือสารสนเทศเพื่อการตดั สินใจเกี่ยวกบั ตนเองและสังคมไดอ้ ยา่ งเหมาะสม
3. ความสามารถในการแกป้ ัญหา เป็นความสามารถในการแกป้ ัญหาและอปุ สรรคต่าง ๆ
ที่เผชิญไดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ งเหมาะสม บนพ้นื ฐานของหลกั เหตผุ ล คุณธรรม และขอ้ มลู สารสนเทศ
เขา้ ใจความสัมพนั ธแ์ ละการเปล่ียนแปลงของเหตุการณ์ต่าง ๆ ในสังคม แสวงหาความรู้ ประยกุ ต์
ความรู้มาใชใ้ นการป้องกนั และแกไ้ ขปัญหา และมีการตดั สินใจท่ีมีประสิทธิภาพ โดยคานึงถึง
ผลกระทบท่ีเกิดข้ึนตอ่ ตนเอง สงั คม และสิ่งแวดลอ้ ม
4. ความสามารถในการใชท้ กั ษะชีวติ เป็นความสามารถในการนากระบวนการตา่ ง ๆ ไป
ใชใ้ นการดาเนินชีวติ ประจาวนั การเรียนรู้ดว้ ยตนเอง การเรียนรู้อยา่ งต่อเนื่อง การทางาน และ
การอยรู่ ่วมกนั ในสงั คมดว้ ยการสร้างเสริมความสมั พนั ธอ์ นั ดีระหวา่ งบุคคล การจดั การปัญหา
และความขดั แยง้ ต่าง ๆ อยา่ งเหมาะสมการปรับตวั ใหท้ นั กบั การเปล่ียนแปลงของสงั คมและ
สภาพแวดลอ้ ม และการรู้จกั หลีกเล่ียงพฤติกรรมไมพ่ ึงประสงคท์ ่ีส่งผลกระทบต่อตนเองและ
ผอู้ ่ืน
5. ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี เป็นความสามารถในการเลือก และใชเ้ ทคโนโลยี
ในดา้ นต่าง ๆ และมีทกั ษะกระบวนการทางเทคโนโลยเี พอ่ื การพฒั นาตนเองและสงั คม ในดา้ น
การเรียนรู้ การส่ือสาร การทางาน การแกป้ ัญหาอยา่ งสร้างสรรค์ ถกู ตอ้ งเหมาะสม และมี
คุณธรรม คุณลกั ษณะอนั พึงประสงค์ หลกั สูตรสถานศึกษาโรงเรียนวดั หาดสูง (ฉบบั ปรับปรุง
พุทธศกั ราช 2563) ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาข้นั พ้ืนฐาน พทุ ธศกั ราช 2553 ม่งุ พฒั นา
ผเู้ รียนใหม้ ีคุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ เพ่ือใหส้ ามารถอยรู่ ่วมกบั ผอู้ ่ืนในสงั คมไดอ้ ยา่ งมีความสุข
ในฐานะเป็นพลเมืองไทยและพลโลก ดงั น้ี
1. รักชาติ ศาสน์ กษตั ริย์
2. ชื่อสตั ยส์ ุจริต
3. มีวนิ ยั
4. เรือน
5. อยอู่ ยา่ งพอเพยี ง
6. มงุ่ มนั่ ในการทางาน
7. รักความเป็นไทย
8. มีจิตสาธารณะ
การพฒั นาประเทศใหม้ ีความเจริญกา้ วหนา้ ท้งั ในดา้ นเศรษฐกิจ สงั คม และการเมืองการ
ปกครองน้นั สิ่งท่ีสาคญั ท่ีควรพิจารณาเป็นอนั ดบั แรก คือ การวางรากฐานการศึกษาใหแ้ ก่เยาวชน
การศึกษาเป็นบนั ไดข้นั แรกท่ีนาไปสู่การมีความรู้ ความเขา้ ใจและความสามารถในการแกป้ ัญหา
ตา่ ง ๆ(คณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ,2523, หนา้ 1) การศึกษาจึงเป็นกระบวนการพฒั นา
พ้ืนฐานคุณภาพของมนุษย์ ดงั น้นั การจดั การศึกษา ตอ้ งเป็นไปเพอื่ พฒั นาคนไทย ใหเ้ ป็นมนุษยท์ ่ี
สมบรู ณ์ท้งั ร่างกาย จิตใจ สติปัญญา ความรู้และคุณธรรมมีจริยธรรมและวฒั นธรรมในการดารง
ชีวติ สามารถอยรู่ ่วมกบั ผอู้ ื่นไดอ้ ยา่ งมีความสุข (คณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ,2545, หนา้ 6)
การจดั การศึกษาในทุกระดบั ทกุ ประเภท สิ่งสาคญั นอกเหนือไปจากครู อาจารยผ์ สู้ อน สื่อ และ
อุปกรณ์การสอนแลว้ หลกั สูตรเป็นส่วนที่มีความสาคญั ตอ่ การจดั การเรียนการสอนเป็นอยา่ งยง่ิ
หากไมม่ ีหลกั สูตรแลว้ ก็เหมือนกบั ครูผสู้ อนขาดทิศทางในการจดั การเรียนการสอน (ชูศรี
สุวรรณโชติ, 2544, หนา้ 1) และเน่ืองจากปัจจุบนั ความเจริญกา้ วหนา้ ทางเทคโนโลยี และ
วทิ ยาการดา้ นต่าง ๆมีผลตอ่ การเปลี่ยนแปลงทางสังคมและเศรษฐกิจ ซ่ึงการปรับปรุงและพฒั นา
หลกั สูตรที่เป็นกลไกสาคญั ในการพฒั นาคุณภาพการศึกษาจึงมีความจาเป็นอยา่ งยงิ่ เพื่อส่งเสริม
และพฒั นาผเู้ รียนใน ทุก ๆดา้ นใหเ้ ป็นไปตามความม่งุ หมายของการศึกษาคณะกรรมการ
การศึกษาข้นั พ้ืนฐาน โดยสานกั งานคณะกรรมการการศึกษาข้นั พ้นื ฐานไดด้ าเนินการทบทวน
หลกั สูตรการศึกษาข้นั พ้นื ฐาน พุทธศกั ราช 2544 ในระยะ 6 ปี ที่ผา่ นมาพบวา่ ผลการศึกษา
ดงั กล่าวยงั สะทอ้ นใหเ้ ห็นถึงประเด็นท่ีเป็นปัญหา และความไมช่ ดั เจนของหลกั สูตรหลาย
ประการท้งั ในส่วนของเอกสารของหลกั สูตรกระบวนการนาหลกั สูตรสู่การปฏิบตั ิและผลผลิต
จากการใชห้ ลกั สูตรไดแ้ ก่ ปัญหาความสับสนของผปู้ ฏิบตั ิในระดบั สถานศึกษาในการพฒั นา
หลกั สูตรสถานศึกษา(กระทรวงศึกษาธิการ, 2551, หนา้ 1) จากขอ้ มลู การศึกษาวิจยั ติดตามผลการ
ใชห้ ลกั สูตรการศึกษาข้นั พ้นื ฐาน พทุ ธศกั ราช 2544 พบวา่ สอดคลอ้ งกบั นกั วิจยั หลายท่าน
เกี่ยวกบั ปัญหาการใชห้ ลกั สูตรของครูผสู้ อน พบวา่ มีปัญหาดา้ นความเขา้ ใจเกี่ยวกบั หลกั สูตร
ดา้ นการแปลงหลกั สูตรสู่การสอน ดา้ นการจดั กระบวนการเรียนรู้ ดา้ นสื่อการเรียนรู้และดา้ นการ
วดั และประเมินผล และยงั ช้ีใหเ้ ห็นวา่ มีปัจจยั หลายประการท่ีมีผลต่อการนาหลกั สูตรไปใช้ เช่น
เพศ อายุ วฒุ ิการศึกษา เป็นตน้ เหตผุ ลดงั กลา่ วจึงทาใหม้ ีการปรับปรุงและพฒั นาหลกั สูตรจาก
หลกั สูตรการศึกษาข้นั พ้นื ฐาน พทุ ธศกั ราช 2544 มาเป็นหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาข้นั พ้ืนฐาน
พทุ ธศกั ราช 2551ท่ีมีจุดม่งุ หมายเพื่อพฒั นาผเู้ รียนใหเ้ ป็นคนดี มีปัญญามีความสุข มีศกั ยภาพใน
การศึกษาตอ่ และประกอบอาชีพ ที่บ่งช้ีถึงสมรรถนะสาคญั ของผเู้ รียน และคุณลกั ษณะอนั พึง
ประสงค์ จึงไดก้ าหนดมาตรฐานการเรียนรู้ 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้ คือ กลุ่มสาระการเรียนรู้
ภาษาไทย กล่มุ สาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ กลมุ่ สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์ กลมุ่ สาระการ
เรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวฒั นธรรม กลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและ พลศึกษา กล่มุ สาระ
การเรียนรู้ศิลปะ กลมุ่ สาระการเรียนรู้การงานอาชีพ และเทคโนโลยี และ กลมุ่ สาระการเรียนรู้
ภาษาตา่ งประเทศ และมีการวดั และประเมินผลการเรียนรู้อยา่ งเป็นระบบกล่มุ สาระการเรียนรู้สุข
ศึกษาและพลศึกษาเป็น 1 ใน 8 กลมุ่ สาระการเรียนรู้ที่ม่งุ ศึกษาดา้ นสุขภาพท่ีมีเป้าหมาย เพ่อื การ
ดารงสุขภาพ การสร้างเสริมสุขภาพและการพฒั นาคุณภาพชีวิตของบุคคล ครอบครัว และชุมชน
ใหย้ ง่ั ยนื ส่วน พลศึกษา มุง่ เนน้ ใหผ้ เู้ รียนใชก้ ิจกรรมการเคลื่อนไหว การออกกาลงั กาย การเลน่
เกม และกีฬา เป็นเครื่องมือในการพฒั นาโดยรวมท้งั ดา้ นร่างกาย จิตใจ อารมณ์ สงั คม สติปัญญา
รวมท้งั สมรรถภาพเพอ่ื สุขภาพและกีฬา (กระทรวงศึกษาธิการ, 2551, หนา้ 164) ตามมาตรฐาน
และตวั ช้ีวดั ช้นั ปี โดยสถานศึกษาสามารถดาเนินการพฒั นาหลกั สูตร ออกแบบกระบวนการ
เรียนรู้ ผลิตสื่อ กิจกรรมการเรียนรู้และวธิ ีการวดั ประเมินผลใหส้ อดคลอ้ งกบั บริบทของ
สถานศึกษา
การนาหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาข้นั พ้ืนฐานพุทธศกั ราช 2551 ไปใชอ้ าจเกิดปัญหา
และอปุ สรรคซ์ ่ึงทาใหไ้ มส่ ามารถพฒั นาคุณภาพผเู้ รียนใหเ้ ป็นไปตามจุดมุ่งหมายของหลกั สูตร
ได้ ดงั น้นั ผวู้ จิ ยั จึงมีความสนใจท่ีจะศึกษาปัญหาการใชห้ ลกั สูตรของโรงเรียนในจงั หวดั
พระนครศรีอยธุ ยาและจงั หวดั อา่ งทอง ซ่ึงมีบริบทใกลเ้ คียงกนั เก่ียวกบั การใชห้ ลกั สูตร
แกนกลางการศึกษาข้นั พ้นื ฐานพทุ ธศกั ราช 2551 โดยการสารวจปัญหาการใชห้ ลกั สูตร จาก
ครูผสู้ อนซ่ึงเป็นผนู้ าหลกั สูตรไปใชโ้ ดยตรง ใชเ้ ป็นขอ้ มูลพ้นื ฐานเกี่ยวกบั ปัญหาการใชห้ ลกั สูตร
ของครูผสู้ อนวิชาพลศึกษา เพ่อื เป็นแนวทางในการพฒั นาและปรับปรุงการจดั กระบวนการ
เรียนรู้ทางพลศึกษาในรายวิชาการจดั กระบวนการเรียนรู้ทางพลศึกษา ในหลกั สูตรครุศาสตร์
บณั ฑิต สาขาวิชาพลศึกษาในการพฒั นาสมรรถนะของนกั ศึกษาสาขาวชิ าพลศึกษา ใหต้ รงกบั
ความตอ้ งการของสถานศึกษารวมท้งั เป็นขอ้ มลู พ้ืนฐานในการนาหลกั สูตรไปใชข้ องครูพล
ศึกษาในโรงเรียนเครือข่ายฝึกประสบการณ์วิชาชีพครู ซ่ึงเป็น ขอ้ มลู ในการพิจารณาเลือก
โรงเรียนฝึกประสบการณ์วิชาชีพครู ของคณะครุศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั พระนครศรีอยธุ ยา
ที่มีความพร้อม และมีประสิทธิภาพของการใชห้ ลกั สูตร ในการดาเนินการจดั ทาหลกั สูตร
สถานศึกษาไดอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพ และบรรลจุ ุดประสงคต์ ามความมงุ่ หมายของหลกั สูตรตอ่ ไป
จากผลการศึกษาปัญหาการใชห้ ลกั สูตรแกนกลางการศึกษาข้นั พ้นื ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551
ของครูผสู้ อนวชิ าพลศึกษา ระดบั ประถมศึกษา โรงเรียนในจงั หวดั พระนครศรีอยธุ ยา และ
จงั หวดั อา่ งทอง ผวู้ จิ ยั และคณะขอนาเสนอการอภิปรายผลการวิจยั ดงั น้ี1. ปัญหาการใชห้ ลกั สูตร
แกนกลางการศึกษาข้นั พ้ืนฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 ของครูผสู้ อนรายวิชาพลศึกษา ระดบั
ประถมศึกษา โรงเรียนในจงั หวดั พระนครศรีอยธุ ยา และจงั หวดั อ่างทอง เมื่อพจิ ารณาปัญหาการ
ใชห้ ลกั สูตรท้งั ดา้ นความเขา้ ใจเกี่ยวกบั หลกั สูตร ดา้ นการนาหลกั สูตรไปสู่การจดั กิจกรรมการ
เรียนรู้ ดา้ นการจดั กระบวนการเรียนรู้ ดา้ นการใชส้ ื่อการเรียนรู้และการจดั สภาพการณ์ภายใน
โรงเรียน และดา้ นการวดั และประเมินผลการเรียนรู้ พบวา่ มีปัญหาการใชห้ ลกั สูตรอยใู่ นระดบั
ปานกลาง ซ่ึงอาจเป็นเพราะการพฒั นาหลกั สูตรไปใชข้ องสถานศึกษายงั ไมช่ ดั เจน ซ่ึงส่วนหน่ึง
ครูผสู้ อนวชิ าพลศึกษา ระดบั ประถมศึกษาส่วนใหญ่ไมม่ ีวฒุ ิทางพลศึกษาแต่ตอ้ งรับผิดชอบสอน
วชิ าพลศึกษา การนาหลกั สูตรไปใชข้ องครูผสู้ อนจึงพบปัญหาในระหวา่ งการจดั การเรียนการ
สอนอยบู่ า้ ง ดงั น้นั การพฒั นาหลกั สูตรจึงจาเป็ นตอ้ งพฒั นาครูผสู้ อนและพฒั นากิจกรรมไป
พร้อมกนั อยา่ งเป็นระบบเพื่อใหผ้ เู้ รียนไดร้ ับผลประโยชนอ์ ยา่ งเตม็ ท่ี หรืออาจกลา่ วไดว้ า่
“หลกั สูตรจะสัมฤทธ์ิผลมากนอ้ ยเพยี งใดน้นั บทบาทสาคญั อยทู่ ี่ครูผสู้ อนนาไปใช”้ นอกจากน้นั
ศิวาภรณ์ จนั ทร์ชนะ (2556) ไดศ้ ึกษาสภาพและปัญหาการใชห้ ลกั สูตรแกนกลางการศึกษาข้นั
พ้ืนฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 พบวา่ การใชห้ ลกั สูตรในโรงเรียนตน้ แบบ มีปัญหาอยใู่ นระดบั มาก
เพราะสถานศึกษาพฒั นาหลกั สูตรไม่สอดคลอ้ งกบั ความตอ้ งของทอ้ งถ่ินและสภาพของ
สถานศึกษาที่เป็นอยู่ ซ่ึงสอดคลอ้ งกบั แนนซ่ี (Nancy. 1992) ที่ช้ีใหเ้ ห็นวา่ การนาหลกั สูตรใหม่
ไปใชน้ ้นั ครูผสู้ อนตอ้ งไดร้ ับการสนบั สนุนและช่วยเหลืออยา่ งต่อเนื่อง เพื่อใหค้ รูผสู้ อนเกิด
ความมนั่ ใจในกระบวนการนาหลกั สูตรไปใชอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพ2. การเปรียบเทียบปัญหาการ
ใชห้ ลกั สูตรแกนกลางการศึกษาข้นั พ้นื ฐาน พุทธศกั ราช 2551 ของครูผสู้ อนวชิ าพลศึกษาระดบั
ประถมศึกษา โรงเรียนในจงั หวดั พระนครศรีอยธุ ยาและจงั หวดั อ่างทองระหวา่ งครูผสู้ อนวชิ าพล
ศึกษาท่ีจบสาขาวิชาพลศึกษา และครูผสู้ อนวชิ าพลศึกษาที่จบสาขาวิชาอ่ืน พบวา่ ปัญหาโดยรวม
ไมแ่ ตกต่างกนั ซ่ึงสอดคลอ้ งกบั การศึกษาวจิ ยั ของ รัชริน พ่มุ พวง (2551) พบวา่ การเปรียบเทียบ
ปัญหาการใชห้ ลกั สูตรใชห้ ลกั สูตรการศึกษาข้นั พ้ืนฐาน พุทธศกั ราช 2544 ของครูผสู้ อน ท่ีจบ
การศึกษาสาขาวชิ าต่างกนั โดยภาพรวมไมแ่ ตกต่างกนั อาจเนื่องมาจากการดาเนินการใช้
หลกั สูตรที่เป็นหัวใจสาคญั ของการจดั การศึกษาน้นั ครูผสู้ อนเป็นหวั ใจสาคญั ของการนา
หลกั สูตรไปใช้ โดยมีภารกิจหลกั คือ ตอ้ งจดั การเรียนการสอนไมว่ า่ หลกั สูตรท่ีใชใ้ นการจดั การ
เรียนการสอนจะเป็นหลกั สูตรใดกต็ าม ดงั น้นั ครูที่จบสาขาวิชาพลศึกษา หรือครูท่ีจบสาขาวชิ า
อ่ืนๆ ต่างกม็ ีหนา้ ที่จดั การเรียนการสอนตามหลกั สูตรเหมือนกนั และครูต่างก็ใหค้ วามสาคญั
และตระหนกั ต่อการเปล่ียนแปลงหลกั สูตรเช่นเดียวกนั จึงมีการปฏิบตั ิและความคิดเห็นเป็นไป
ในทางเดียวกนั จึงอาจมีการเตรียมความพร้อมกบั การใชห้ ลกั สูตร และเตรียมรับมือกบั การ
เปลี่ยนแปลงของหลกั สูตรครูดว้ ยการอบรม สมั มนาประชุมช้ีแจงจากหน่วยงานที่เก่ียวขอ้ ง
เพอื่ ใหเ้ กิดความเขา้ ใจในการนาหลกั สูตรไปใชก้ ่อนการปฏิบตั ิจริงซ่ึงสอดคลอ้ งกบั การ
ศึกษาวิจยั ของ ทศพร สระแกว้ (2550) พบวา่ ภายหลงั การอบรมครูส่วนใหญม่ ีความเขา้ ใจและ
มน่ั ใจในการนาหลกั สูตรไปใชเ้ มื่อเปรียบเทียบปัญหาการใชห้ ลกั สูตรระหวา่ งครูผสู้ อนวิชาพล
ศึกษาท่ีมีคุณวฒุ ิต่างกนั พบวา่ ครูผสู้ อนวชิ าพลศึกษาท่ีจบสาขาวชิ าอื่น มีปัญหาเฉลี่ยรวมมากกวา่
ครูผสู้ อนวิชาพลศึกษาท่ีจบสาขาวิชาพลศึกษาและพบความแตกตา่ งอยา่ งมีนยั สาคญั ทางสถิติที่
ระดบั .05 ในดา้ นการวดั และประเมินผลการเรียนรู้ อาจเนื่องมาจากครูผสู้ อนวิชาพลศึกษาระดบั
ประถมศึกษาส่วนใหญจ่ บการศึกษาในสาขาวชิ าอื่น แต่ตอ้ งรับผดิ ชอบสอนวิชาพลศึกษา อาจไม่
มีความรู้ความถนดั เท่าที่ควรในการสาธิตทกั ษะ หรือกิจกรรมทางกายซ่ึง รวมไปถึงการวดั และ
ประเมินผลทางพลศึกษาที่ตอ้ งมีการวดั และประเมินผลดา้ นทกั ษะและสมรรถภาพทางกายร่วม
ดว้ ยนอกเหนือจากการวดั ความรู้ ดงั น้นั คุณภาพของครูจึงเป็นกญุ แจดอกสาคญั ท่ีจะนาไปสู่การ
ใชห้ ลกั สูตรท่ีมีประสิทธิภาพ อยา่ งไรกต็ ามความชดั เจนของหลกั สูตรในการกาหนดทิศทางการ
นาไปใช้ กาหนดเป้าหมายของหลกั สูตรในการพฒั นาคุณภาพผเู้ รียน และกระบวนการนา
หลกั สูตรไปสู่การปฏิบตั ิ การกาหนดวสิ ยั ทศั นจ์ ุดหมาย สมรรถนะสาคญั ของผเู้ รียน คุณลกั ษณะ
อนั พึงประสงค์ มาตรฐานการเรียนรู้และตวั ช้ีวดั เพื่อใชเ้ ป็นทิศทางในการจดั ทาหลกั สูตรการ
เรียนการสอนในแตล่ ะระดบั กาหนดโครงสร้างเวลาเรียนข้นั ต่าของแตล่ ะกลมุ่ สาระการเรียนรู้
ในแตล่ ะช้นั ปี กม็ ีส่วนช่วยใหค้ รูผสู้ อนนาหลกั สูตรไปใช้ และปฏิบตั ิได้
ข้อเสนอแนะ
1. ดา้ นความเขา้ ใจเกี่ยวกบั หลกั สูตร สานกั งานคณะกรรมการการศึกษาข้นั พ้ืนฐานควรมี
การเผยแพร่ขอ้ มลู การปฏิบตั ิเกี่ยวกบั การนาหลกั สูตรไปใช้ พร้อมเสนอตวั อยา่ งท่ีถูกตอ้ ง เช่น
ตวั อยา่ งการจดั ทาหลกั สูตรสถานศึกษา เป็นตน้
2. ดา้ นการนาหลกั สูตรไปสู่การจดั กิจกรรมการเรียนรู้ โรงเรียนควรจดั ใหค้ รูไดร้ ับการ
อบรมเชิงปฏิบตั ิการเก่ียวกบั การนาหลกั สูตรไปสู่การจดั กิจกรรมการเรียนรู้ และจดั ประชุม วาง
แผนการจดั ทาหลกั สูตรสถานศึกษาร่วมกนั ท้งั ในกล่มุ สาระการเรียนรู้ และทุกกลมุ่ สาระการ
เรียนรู้เพอื่ ความชดั เจนของหลกั สูตร และสอดคลอ้ งกบั ความตอ้ งการของผเู้ รียน
3. ดา้ นการจดั กระบวนการเรียนรู้ ควรสนบั สนุนใหค้ รูไดส้ อนตรงกบั วุฒิการศึกษาของ
ตนเพอ่ื เพิม่ ประสิทธิภาพในการจดั กระบวนการเรียนรู้ และควรมีการจดั ฝึกอบรมสาหรับครูที่
สอนไมต่ รงกบั วฒุ ิการศึกษาในกลุ่มสาระการเรียนรู้ท่ีจะสอนเพ่ิมเติม เพ่ือเพม่ิ ความความมนั่ ใจ
ในการสอน
4. ดา้ นการใชส้ ื่อการเรียนรู้และการจดั สภาพการณ์ภายในโรงเรียน หน่วยงานภาครัฐ
และเอกชนควรเขา้ มามีส่วนร่วมใหก้ ารสนบั สนุนเก่ียวกบั วสั ดุอปุ กรณ์ และสถานที่ใหเ้ หมาะสม
กบั ความตอ้ งการของโรงเรียนและนกั เรียน
5. ดา้ นการวดั และประเมินผลการเรียนรู้ หน่วยงานท่ีเกี่ยวขอ้ งควรจดั อบรมการวดั และ
ประเมินผลตามหลกั สูตร และการวดั และประเมินผลทางพลศึกษา และสนบั สนุนเก่ียวกบั
อุปกรณ์ในการทดสอบสมรรถภาพ
2.3 หลกั สูตรการอาชีวศึกษา
1. การเรียนการสอน
1.1 การเรียนการสอนตามหลกั สูตรน้ี ผเู้ รียนสามารถลงทะเบียนเรียนไดท้ ุกวธิ ีเรียนท่ี
กาหนด และ นาผลการเรียนแต่ละวิธีมาประเมินผลร่วมกนั ได้ สามารถขอเทียบโอนผลการเรียน
และขอเทียบโอนความรู้ และประสบการณ์ได้
1.2 การจดั การเรียนการสอนเนน้ การปฏิบตั ิจริง สามารถจดั การเรียนการสอนได้
หลากหลายรูปแบบ เพอื่ ใหผ้ เู้ รียนมีความรู้ ความเขา้ ใจในหลกั การ วธิ ีการและการดาเนินงาน มี
ทกั ษะการปฏิบตั ิงานตามแบบแผน ในบทลา่ ๆ ท่ีสมั พนั ธ์กนั ส่วนใหญเ่ ป็ นงานประจาใหค้ ะ่ น่า
พ้นื ฐานท่ีใชใ้ นการ นวนอน ก็มีหาย ยามในเรื่อง สามาประยกุ ตใ์ ชค้ วามรู้ พกั รบวิชาชีพ
เทคโนโลยสี ารสนเทศและการสื่อสารในการแกป้ ัญหาและการปฏิบตั ิงานในบริบทใหม่ รวมท้งั
รับผิดชอบตอ่ ตนเอง และผอู้ ่ืน ตลอดจนมีคุณธรรม จริยธรรม จรรยาบรรณวิชาชีพ เจตคติและกิจ
นิสยั ท่ีเหมาะสมในการทางาน
2. การจดั การศึกษาและเวลาเรียน การจดั การศึกษาในระบบปกติ ใชร้ ะยะเวลา 3 ปี
การศึกษา การจดั เวลาเรียนใหด้ าเนินการ ดงั น้ี
2.1 ในปี การศึกษาหน่ึงๆ ใหแ้ บง่ ภาคเรียนออกเป็ น 2 ภาคเรียนปกติหรือระบบทวิภาค
ภาคเรียนละ 18 สปั ดาห์ รวมเวลาการวดั ผล โดยมีเวลาเรียนและจานวนหน่วยกิตตามท่ีกาหนด
และสถานศึกษาอาชีวศึกษาหรือสถาบนั อาจเปิ ดสอนภาคเรียนฤดูร้อนไดอ้ ีกตามที่เห็นสมควร
2.2 การเรียนในระบบช้นั เรียน ใหส้ ถานศึกษาอาชีวศึกษาหรือสถาบนั เปิ ดทาการสอนไม่
นอ้ ยกวา่ สปั ดาห์ละ 5 วนั ๆ ละไมเ่ กิน 7 ชวั่ โมง โดยกาหนดใหจ้ ดั การเรียนการสอนคาบละ 60
นาที
3. การคดิ หน่วยกติ ใหม้ ีจานวนหน่วยกิตตลอดหลกั สูตร ไม่นอ้ ยกวา่ 103 - 110 หน่วยกิต
การคิดหน่วยกิตถือเกณฑด์ งั น้ี
3.1 รายวชิ าทฤษฎีที่ใชเ้ วลาในการบรรยายหรืออภิปราย 1 ชว่ั โมงต่อสปั ดาห์ หรือ 18
ชว่ั โมงตอ่ ภาคเรียน รวมเวลาการวดั ผล มีคา่ เท่ากบั 1 หน่วยกิต
3.2 รายวชิ าปฏิบตั ิ ใชเ้ วลาในการทดลองฝึกปฏิบตั ิในหอ้ งปฏิบตั ิการ 2 ว ง สัปดาห์ หรือ
36 ชวั่ โมงตอ่ ภาคเรียน รวมเวลาการวดั ผล มีค่าเทา่ กบั 1 หน่วยกิ
3.3 รายวิชาปฏิบตั ิท่ีใชเ้ วลาในการฝึกปฏิบตั ิในโรงฝึกงานหรือภาคสนาม 3 ชว่ั โมงตอ่
สัปดาห์ หรือ 54 ชวั่ โมงตอ่ ภาคเรียน รวมเวลาการวดั ผล มีคา่ เท่ากบั 1 หน่วยกิต
3.4 การฝึกอาชีพในการศึกษาระบบทวภิ าคี ท่ีใชเ้ วลาไม่นอ้ ยกวา่ 54 ชว่ั โมงต่อภาคเรียน
รวมเวลาการวดั ผล มีค่าเท่ากบั 1 หน่วยกิต
3.5 การฝึกประสบการณ์สมรรถนะวิชาชีพในสถานประกอบการ ที่ใชเ้ วลาไม่นอ้ ยกวา่ 4
ชว่ั โมงต่อภาคเรียน รวมเวลาการวดั ผล มีคา่ เทา่ กบั 1 หน่วยกิต
3.6 การทาโครงงานพฒั นาสมรรถนะวชิ าชีพท่ีใชเ้ วลาไมน่ อ้ ยกวา่ 54 ชว่ั โมงตอ่ ภาคเรียน
รวมเวลาการวดั ผล มีคา่ เท่ากบั 1 หน่วยกิต
4. โครงสร้างหลกั สูตร
โครงสร้างของหลกั สูตรประกาศนียบตั รวชิ าชีพ พทุ ธศกั ราช 2562 แบ่งเป็น 3 หมวดวชิ า
และ กวนในหลกั สูตร ดงั น้ี
4.1 หมวดวิชาสมรรถนะแกนกลาง ไมน่ อ้ ยกวา่ 22 หน่วยกิต
4.1.1 กลุ่มวิชาภาษาไทย
4.1.2 กลุ่มวิชาภาษาตา่ งประเทศ
4.1.3 กลุ่มวชิ าวิทยาศาสตร์
4.1.4 กลมุ่ วชิ าคณิตศาสตร์
4.1.5 กลุม่ วชิ าสังคมศึกษา
4.1.6 กล่มุ วิชาสุขศึกษาและพลศึกษา
4.2 หมวดวชิ าสมรรถนะวิชาชีพ ไมน่ อ้ ยกวา่ 71 หน่วยกิต
4.2.1 กลมุ่ สมรรถนะวิชาชีพพ้นื ฐาน
4.2.2 กลุม่ สมรรถนะวชิ าชีพเฉพาะ
4.2.3 กลุม่ สมรรถนะวชิ าชีพเลือก
4.2.4 ฝึกประสบการณ์สมรรถนะวิชาชีพ
4.2.5 โครงงานพฒั นาสมรรถนะวชิ าชีพ
4.3 หมวดวิชาเลือกเสรี ไม่นอ้ ยกวา่ 10 หน่วยกิต
4.4 กิจกรรมเสริมหลกั สูตร (2 ชว่ั โมง/สปั ดาห)์ - หน่วยกิต
หมายเหตุ
1)จานวนหน่วยกิตของแต่ละหมวดวชิ าและกล่มุ วชิ าในหลกั สูตร ใหเ้ ป็นไปตามที่กาหนดไว้ ใน
โครงสร้างของแต่ละประเภทวิชาและสาขาวิชา
2) การพฒั นารายวิชาในกลุ่มสมรรถนะวชิ าชีพพ้ืนฐานและกล่มุ สมรรถนะวิชาชีพเฉพาะ จะเป็น
รายวชิ าบงั คบั ที่สะทอ้ นความเป็นสาขาวิชาตามมาตรฐานการศึกษาวิชาชีพ ดา้ นสมรรถนะ
วิชาชีพของสาขาวชิ า ซ่ึงยดึ โยง กบั มาตรฐานอาชีพ จึงตอ้ งพฒั นากลุม่ รายวิชาใหค้ รบจานวน
หน่วยกิตที่กาหนด และผเู้ รียนตอ้ งเรียนทุกรายวิชา
3)สถานศึกษาอาชีวศึกษาหรือสถาบนั สามารถจดั รายวชิ าเลือกตามที่กาหนดไวใ้ นหลกั สูตร และ
หรือพฒั นาเพิ่มตามความตอ้ งการเฉพาะดา้ นของสถานประกอบการหรือตามยทุ ธศาสตร์ภมู ิภาค
เพ่ือเพ่ิมขีด ความสามารถในการแข่งขนั ของประเทศ ท้งั น้ี ตอ้ งเป็นไปตามเงื่อนไขและมาตรฐาน
การศึกษาวิชาชีพ ที่ประเภทวชิ า สาขาวิชาและสาขางานกาหนด
5. การฝึ กประสบการณ์สมรรถนะวชิ าชีพ
เป็นการจดั กระบวนการเรียนรู้โดยความร่วมมือระหวา่ งสถานศึกษาอาชีวศึกษาหรือสถาบนั
กบั ภาคการผลิต และหรือภาคบริการ หลงั จากผเู้ รียนไดเ้ รียนรู้ภาคทฤษฎีและการฝึกหดั หรือ
ฝึกปฏิบตั ิเบ้ืองตน้ ในสถานศึกษา อาชีวศึกษาหรือสถาบนั แลว้ ระยะเวลาหน่ึง ท้งั น้ี เพอ่ื เปิ ด
โอกาสใหผ้ เู้ รียนไดเ้ รียนรู้จากประสบการณ์จริง ไดส้ ัมผสั กบั การปฏิบตั ิงานอาชีพ เครื่องมือ
เครื่องจกั ร อุปกรณ์ที่ทนั สมยั และบรรยากาศการทางานร่วมกนั ส่งเสริมการฝึกทกั ษะ
กระบวนการคิด การจดั การ การเผชิญสถานการณ์ ซ่ึงจะช่วยใหผ้ เู้ รียนทาได้ คิดเป็น ทาเป็น
และเกิดการใฝ่ รู้อยา่ งต่อเน่ือง ตลอดจนเกิดความมนั่ ใจและเจตคติที่ดีในการทางานและการ
ประกอบ อาชีพอิสระ โดยการจดั ฝึกประสบการณ์สมรรถนะวิชาชีพตอ้ งดาเนินการ ดงั น้ี
5.1สถานศึกษาอาชีวศึกษาหรือสถาบนั ตอ้ งจดั ใหม้ ีการฝึกประสบการณ์สมรรถนะ
วชิ าชีพ ในรูปของ การฝึกงานในสถานประกอบการ แหล่งวิทยาการ รัฐวสิ าหกิจหรือ
หน่วยงานของรัฐ ในภาคเรียนที่ 5 และหรือ ภาคเรียนที่ 6 โดยใชเ้ วลารวมไม่นอ้ ยกวา่ 320
ชวั่ โมง กาหนดใหม้ ีคา่ เท่ากบั 4 หน่วยกิต กรณีสถานศึกษาอาชีวศึกษาหรือสถาบนั ตอ้ งการ
เพ่ิมพนู ประสบการณ์สมรรถนะวชิ าชีพ สามารถนารายวิชาที่ตรงหรือสมั พนั ธก์ บั ลกั ษณะ
งานไปเรียนหรือฝึกในสถานประกอบการ รัฐวสิ าหกิจหรือ หน่วยงานของรัฐในภาคเรียนท่ี
จดั ฝึกประสบการณ์สมรรถนะวชิ าชีพได้ รวมไม่นอ้ ยกวา่ 1 ภาคเรียน
5.2 การตดั สินผลการเรียนและใหร้ ะดบั ผลการเรียน ใหป้ ฏิบตั ิเช่นเดียวกบั รายวชิ าอ่ืน
6.โครงงานพฒั นาสมรรถนะวชิ าชีพ เป็นรายวิชาท่ีเปิ ดโอกาสใหผ้ เู้ รียนไดศ้ ึกษาคน้ ควา้
บูรณาการความรู้ ทกั ษะและประสบการณ์ จากส่ิงท่ีไดเ้ รียนรู้ ลงมือปฏิบตั ิดว้ ยตนเองตาม
ความถนดั และความสนใจ ต้งั แตก่ ารเลือกหวั ขอ้ หรือเรื่อง ท่ีจะศึกษา ทดลอง พฒั นาและหรือ
ประดิษฐค์ ิดคน้ โดยการวางแผน กาหนดข้นั ตอนกระบวนการ ดาเนินการ ประเมินผล สรุป
และจดั ทารายงานเพ่อื นาเสนอ ซ่ึงอาจทาเป็นรายบุคคลหรือกลุ่มกไ็ ด้ ท้งั น้ี ข้ึนอยกู่ บั ลกั ษณะ
ของโครงงานน้นั ๆ โดยการจดั ทาโครงงานพฒั นาสมรรถนะวิชาชีพดงั กล่าวตอ้ งดาเนินการ
ดงั น้ี
6.1สถานศึกษาอาชีวศึกษาหรือสถาบนั ตอ้ งจดั ใหผ้ เู้ รียนจดั ทาโครงงานพฒั นาสมรรถนะ
วชิ าชีพ ท่ีสมั พนั ธห์ รือสอดคลอ้ งกบั สาขาวชิ า ในภาคเรียนที่ 5 และหรือภาคเรียนที่ 6 รวม
จานวน 4 หน่วยกิต ใชเ้ วลา ไม่นอ้ ยกวา่ 216 ชว่ั โมง ท้งั น้ี สถานศึกษาอาชีวศึกษาหรือสถาบนั
ตอ้ งจดั ใหม้ ีชวั่ โมงเรียน 4 ชว่ั โมงต่อสัปดาห์ กรณีที่กาหนดใหเ้ รียนรายวชิ าโครงงาน 4 หน่วย
กิต หากจดั ใหเ้ รียนรายวิชาโครงงาน 2 หน่วยกิต คือ โครงงาน 1 และโครงงาน 2 ให้
สถานศึกษา อาชีวศึกษาหรือสถาบนั จดั ใหม้ ีชว่ั โมงเรียนต่อสปั ดาห์ที่เทียบเคียงกบั เกณฑ์
ดงั กลา่ วขา้ งตน้
6.2 การตดั สินผลการเรียนและใหร้ ะดบั ผลการเรียน ใหป้ ฏิบตั ิเช่นเดียวกบั รายวิชาอ่ืน
7.กจิ กรรมเสริมหลักสูตร
7.1 สถานศึกษาอาชีวศึกษาหรือสถาบนั ตอ้ งจดั ใหม้ ีกิจกรรมเสริมหลกั สูตร ไม่นอ้ ยกวา่ 2
ชว่ั โมงต่อสัปดาห์ ทุกภาคเรียน เพอ่ื ส่งเสริมสมรรถนะแกนกลางและหรือสมรรถนะวชิ าชีพ
ปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรม ค่านิยม ระเบียบวนิ ยั การต่อตา้ นความรุนแรง สารเสพติดและการ
ทจุ ริต เสริมสร้างการเป็นพลเมืองไทยและพลโลก ในดา้ นการรักชาติ เทิดทูนพระมหากษตั ริย์
ส่งเสริมการปกครองระบอบประชาธิปไตยอนั มีพระมหากษตั ริย์ ทรงเป็นประมขุ ทะนุบารุง
ศาสนา ศิลปะ วฒั นธรรม ภมู ิปัญญาไทย ปลูกฝังจิตสานึกและจิตอาสาในการอนุรักษ์
ส่ิงแวดลอ้ มและทาประโยชน์ต่อชุมชนและทอ้ งถ่ิน ท้งั น้ี โดยใชก้ ระบวนการกล่มุ ในการ
วางแผน ลงมือปฏิบตั ิ ประเมินผล และปรับปรุงการทางาน สาหรับนกั เรียนอาชีวศึกษาระบบทวิ
ภาคี ใหเ้ ขา้ ร่วมกิจกรรมที่สถานประกอบการจดั ข้ึน
7.2การประเมินผลกิจกรรมเสริมหลกั สูตร ใหเ้ ป็นไปตามระเบียบกระทรวงศึกษาธิการวา่
ดว้ ยการ จดั การศึกษาและการประเมินผลการเรียนตามหลกั สูตรประกาศนียบตั รวิชาชีพ
8. การจัดแผนการเรียน เป็นการกาหนดรายวชิ าตามโครงสร้างหลกั สูตรที่จะดาเนินการเรียนการ
สอนในแตล่ ะภาคเรียน โดยจดั อตั ราส่วนการเรียนรู้ภาคทฤษฎีตอ่ ภาคปฏิบตั ิในหมวดวชิ า
สมรรถนะวิชาชีพ ประมาณ 20 : 80 ท้งั น้ี ข้ึนอยกู่ บั ลกั ษณะหรือกระบวนการจดั การเรียนรู้ของแต่
ละสาขาวิชา ซ่ึงมีขอ้ เสนอแนะดงั น้ี
8.1 จดั รายวชิ าในแต่ละภาคเรียน โดยคานึงถึงรายวิชาที่ตอ้ งเรียนตามลาดบั ก่อน-หลงั
ความง่าย-ยาก รายวิชา ความเชื่อ ละเชื่อมโยงมพนั ธก์ บั รายงาน วชิ ารณาการจดั การเรียนรู้
ร่วมกนั ในลกั ษณะของงาน โครงงานและหรือช้ินงานในแตล่ ะภาคเรียน
8.2จดั ใหผ้ เู้ รียนเรียนรายวิชาบงั คบั ในหมวดวิชาสมรรถนะแกนกลาง หมวดวชิ า
สมรรถนะวิชาชีพ ในกลมุ่ สมรรถนะวชิ าชีพพ้นื ฐานและกลุ่มสมรรถนะวิชาชีพเพาะ และ
กิจกรรมเสริมหลกั สูตรใหค้ รบ ตามท่ีกาหนดในโครงสร้างหลกั สูตร
8.2.1 การจดั รายวิชาในหมวดวชิ าสมรรถนะแกนกลาง ควรจดั กระจายทุกภาค
เรียน
8.2.2 การจดั รายวิชาในกลมุ่ สมรรถนะวิชาชีพพ้นื ฐาน โดยเฉพาะรายวชิ าที่เป็น
พ้นื ฐานของ การเรียนวชิ าชีพควรจดั ใหเ้ รียนในภาคเรียนท่ี 1
8.2.3 การจดั รายวชิ าในกล่มุ สมรรถนะวิชาชีพเฉพาะ ควรจดั ใหเ้ รียนก่อนรายวชิ า
ในกลุม่ สมรรถนะ วิชาชีพเลือกและรายวชิ าในหมวดวชิ าเลือกเสรี
8.3จดั ใหผ้ เู้ รียนไดเ้ ลือกเรียนรายวชิ าในกลุ่มสมรรถนะวิชาชีพเลือกและหมวดวิชาเลือก
เสรี ตามความถนดั ความสนใจ เพื่อสนบั สนุนการประกอบอาชีพหรือศึกษาตอ่
8.4จดั รายวชิ าทวภิ าคีท่ีนาไปเรียนและฝึกในสถานประกอบการ รัฐวสิ าหกิจ หรือ
หน่วยงานของรัฐ โดยประสานงานร่วมกบั สถานประกอบการ รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานของรัฐ
เพ่อื พิจารณากาหนดภาคเรียน ที่จดั ฝึกอาชีพ รวมท้งั กาหนดรายวิชาหรือกล่มุ วชิ าท่ีตรงกบั
ลกั ษณะงานของสถานประกอบการ รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานรัฐนาไปร่วมฝึกวิชาชีพอื่นๆ
8.5 จดั รายวิชาฝึกงานในภาคเรียนที่ 5 หรือ 6 คร้ังเดียว จานวน 4 หน่วยกิต 320 ชว่ั โมง
(เฉล่ีย 20 ชว่ั โมง ตอ่ สัปดาหต์ อ่ ภาคเรียน) หรือ จดั ใหล้ งทะเบียนเรียนเป็น 2 คร้ัง คือ ภาคเรียนท่ี
5 จานวน 2 หน่วยกิต และ ภาคเรียนที่ 6 จานวน 2 หน่วยกิต รายวิชาละ 160 ชว่ั โมง (เฉล่ีย 10
ชว่ั โมงตอ่ สปั ดาหต์ ่อภาคเรียน) ตามเง่ือนไข ของหลกั สูตรสาขาวิชาน้นั ๆ ในภาคเรียนที่จดั
ฝึกงานน้ี ใหส้ ถานศึกษาพจิ ารณากาหนดรายวิชาหรือกลุม่ วิชาท่ีตรงกบั ลกั ษณะงาน ของสถาน
ประกอบการ รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานของรัฐ เพอื่ นาไปเรียนและฝึกปฏิบตั ิในภาคเรียนที่จดั
ฝึกงานดว้ ย การจดั ฝึกงานในภาคเรียนฤดูร้อนสามารถทาไดโ้ ดยตอ้ งพิจารณาระยะเวลาในการ
ฝึกใหค้ รบ ตามที่หลกั สูตรกาหนด
8.6 จดั รายวิชาโครงงานในภาคเรียนท่ี 5 หรือ 6 คร้งั เดียว จานวน 4 หน่วยกิต (12 ชวั่ โมง
ต่อสัปดาห์ ตอ่ ภาคเรียน) หรือ จดั ใหล้ งทะเบียนเรียนเป็น 2 คร้ัง คือ ภาคเรียนที่ 5 และภาคเรียนที่
6 รวม 4 หน่วยกิต (6 ชว่ั โมงต่อสปั ดาห์ตอ่ ภาคเรียน) ตามเงื่อนไขของหลกั สูตรสาขาวิชาน้นั ๆ
8.7 จดั กิจกรรมเสริมหลกั สูตรในแต่ละภาคเรียน ภาคเรียนละไม่นอ้ ยกวา่ 2 ชวั่ โมงตอ่
สปั ดาห์
8.8 จดั จานวนหน่วยกิตรวมในแตล่ ะภาคเรียน ไม่เกิน 22 หน่วยกิต สาหรับการเรียนแบบ
เตม็ เวลา และไม่เกิน 12 หน่วยกิต สาหรับการเรียนแบบไม่เตม็ เวลา ส่วนภาคเรียนฤดูร้อนจดั ได้
ไมเ่ กิน 12 หน่วยกิต ท้งั น้ี เวลาในการจดั การเรียนการสอนในภาคเรียนปกติและภาคเรียนฤดูร้อน
โดยเฉล่ียไม่ควรเกิน 35 ชวั่ โมง ต่อสัปดาห์ ส่วนการเรียนแบบไม่เตม็ เวลาไม่ควรเกิน 25 ชวั่ โมง
ตอ่ สปั ดาห์ ท้งั น้ี หากสถานศึกษาอาชีวศึกษาหรือสถาบนั มีเหตผุ ลและความจาเป็นในการจดั
หน่วยกิตและ เวลาในการจดั การเรียนการสอนแตล่ ะภาคเรียนท่ีแตกต่างไปจากเกณฑข์ า้ งตน้
อาจทาไดแ้ ต่ตอ้ งไม่กระทบตอ่ มาตรฐานและคุณภาพการศึกษา
9. การศึกษาระบบทวภิ าคี เป็นรูปแบบการจดั การศึกษาที่เกิดจากขอ้ ตกลงร่วมกนั ระหวา่ ง
สถานศึกษาอาชีวศึกษาหรือสถาบนั กบั สถานประกอบการ รัฐวสิ าหกิจ หรือหน่วยงานของรัฐ
โดยผเู้ รียนใชเ้ วลาส่วนหน่ึงในสถานศึกษาอาชีวศึกษา หรือสถาบนั และเรียนภาคปฏิบตั ิใน
สถานประกอบการ รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานของรัฐ เพ่ือใหก้ ารจดั การศึกษาระบบทวภิ าคี
สามารถเพ่ิมขีดความสามารถดา้ นการผลิตและพฒั นากาลงั คนตรงตามความตอ้ งการของ ผใู้ ช้
และเป็นไปตามจุดหมายของหลกั สูตร ท้งั น้ี สถานศึกษาอาชีวศึกษาหรือสถาบนั ตอ้ งดาเนินการ
ดงั น้ี
9.1 นารายวชิ าทวภิ าคีในกลมุ่ สมรรถนะวชิ าชีพเลือก รวมไม่นอ้ ยกวา่ 18 หน่วยกิต ไป
ร่วมกาหนด รายละเอียดของรายวิชากบั สถานประกอบการ รัฐวสิ าหกิจ หรือหน่วยงานของรัฐท่ี
ร่วมจดั การศึกษาระบบทวิภาคี ไดแ้ ก่ จุดประสงคร์ ายวชิ า สมรรถนะรายวิชา คาอธิบายรายวชิ า
เวลาที่ใชฝ้ ึกและจานวนหน่วยกิตใหส้ อดคลอ้ งกบั ลกั ษณะงานของสถานประกอบการ
รัฐวสิ าหกิจ หรือหน่วยงานของรัฐ รวมท้งั สมรรถนะวชิ าชีพของสาขางาน ท้งั น้ี การกาหนด
จานวนหน่วยกิตและจานวนชว่ั โมงที่ใชฝ้ ึกอาชีพของแต่ละรายวชิ าทวภิ าคีใหเ้ ป็นไปตามท่ี
หลกั สูตรกาหนด และใหร้ ายงานการพฒั นารายวิชาดงั กล่าวใหส้ านกั งานคณะกรรมการการ
อาชีวศึกษาทราบดว้ ย
รัฐวสิ าหกิจ หรือหน่วยงานของรัฐที่ร่วมจดั การศึกษาระบบทวิภาคี เพือ่ นาไปใชใ้ นการฝึกอาชีพ
และดาเนินการ รายวิชา 10 จาก 12 เรียนระบบทวิภาคีตามความพร้อมของสถานประกอบการ
รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานของรัฐ ทวภิ าคีร่วมกนั โดยอาจนารายวชิ าอ่ืนท่ีสอดคลอ้ งกบั ลกั ษณะ
งานของสถานประกอบการ รัฐวสิ าหกิจ หรือรัฐ อ่ืน ๆ ไป แลว้ ก็ได้
10. การเข้าเรียน ผเู้ ขา้ เรียนตอ้ งสาเร็จการศึกษาไม่ต่ากวา่ ระดบั มธั ยมศึกษาปี ท่ี 3 หรือเทียบเทา่
และมีคุณสมบตั ิ เป็นไปตามระเบียบกระทรวงศึกษาธิการวา่ ดว้ ยการจดั การศึกษาและการ
ประเมินผลการเรียนตามหลกั สูตร ประกาศนียบตั รวชิ าชีพ
11. การประเมนิ ผลการเรียน เนน้ การประเมินสภาพจริง ท้งั น้ี ใหเ้ ป็นไปตามระเบียบ
กระทรวงศึกษาธิการวา่ ดว้ ยการจดั การศึกษา และการประเมินผลการเรียนตามหลกั สูตร
ประกาศนียบตั รวิชาชีพ
12. การสาเร็จการศึกษาตามหลกั สูตร
12.1 ไดร้ ายวชิ าและจานวนหน่วยกิตสะสมในทุกหมวดวิชา ครบถว้ นตามท่ีกาหนดไวใ้ น
หลกั สูตร ประเภทวชิ าและสาขาวิชา และตามแผนการเรียนท่ีสถานศึกษากาหนด
12.2 ไดค้ า่ ระดบั คะแนนเฉล่ียสะสมไมต่ ่ากวา่ 2,00 แต่ละ
12.3 ผา่ นเกณฑก์ ารประเมินมาตรฐานวิชาชีพ
12.4 ไดเ้ ขา้ ร่วมปฏิบตั ิกิจกรรมเสริมหลกั สูตรตามแผนการเรียนที่สถานศึกษากาหนด
และ “ผา่ น” ทกุ ภาคเรียน
13. การพฒั นาตามหลกั สูตร
13.1 หมวดวชิ าสมรรถนะแกนกลาง สถานศึกษาอาชีวศึกษาหรือสถาบนั สามารถพฒั นา
รายวิชาเพิม่ เติม ในแต่ละกลมุ่ วชิ า เพ่อื เลือกเรียนนอกเหนือจากรายวชิ าท่ีกาหนดใหเ้ ป็นวิชา
บงั คบั ได้ โดยสามารถพฒั นาเป็นรายวชิ า หรือลกั ษณะบูรณาการ ผสมผสานเน้ือหาวชิ าที่
ครอบคลุมสาระของกลุ่มวิชาภาษาไทย กลมุ่ วชิ าภาษาต่างประเทศ กลมุ่ วิชาวิทยาศาสตร์ กล่มุ
วชิ าคณิตศาสตร์ กลมุ่ วชิ าสงั คมศึกษา กลุม่ วิชาสุขศึกษาและพลศึกษา ในสดั ส่วน เสน โดย
พิจารณาจากมาตรฐานการเรียนรู้ของกลมุ่ วิชาน้นั ๆ เพ่อื ใหบ้ รรลุจุดประสงคข์ องหมวดวชิ า
สมรรถนะแกนกลาง
13.2 หมวดวชิ าสมรรถนะวิชาชีพ สถานศึกษาอาชีวศึกษาหรือสถาบนั สามารถเพิม่ เติม
รายละเอียด ของรายวิชาในแต่ละกลุม่ วชิ าในการจดั ทาแผนการจดั การเรียนรู้ และสามารถพฒั นา
รายวิชาเพม่ิ เติมในกลุ่มสมรรถนะ วิชาชีพเลือกได้ ตามความตอ้ งการของสถานประกอบการหรือ
ยทุ ธศาสตร์ของภูมิภาคเพ่อื เพ่มิ ขีดความสามารถ ในการแขง่ ขนั ของประเทศ ท้งั น้ี ตอ้ งพิจารณา
ใหส้ อดคลอ้ งกบั จุดประสงคส์ าขาวชิ าและสมรรถนะวชิ าชีพ สาขางานดว้ ย
13.3 หมวดวิชาเลือกเสรี สถานศึกษาอาชีวศึกษาหรือสถาบนั สามารถพฒั นารายวชิ า
เพม่ิ เติมได้ ตามความตอ้ งการของสถานประกอบการ ชุมชน ทอ้ งถิ่น หรือยทุ ธศาสตร์ของภมู ิภาค
เพ่อื เพ่ิมขีดความสามารถ ในการแขง่ ขนั ของประเทศ และหรือเพือ่ การศึกษาตอ่ ท้งั น้ี การกาหนด
รหสั วิชา จานวนหน่วยกิตและจานวนชวั่ โมงเรียนใหเ้ ป็นไปตามท่ีหลกั สูตรกาหนด
14. การปรับปรุงแก้ไข พฒั นารายวชิ า กลมุ่ วชิ าและการอนุมตั ิหลกั สูตร
14.1การพฒั นา การปรับปรุงหลกั สูตร ระดบั ประกาศนียบตั รวิชาชีพ ใหเ้ ป็นหนา้ ที่ของ
สานกั งานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา สถาบนั การอาชีวศึกษา และสถานศึกษา โดยความ
เห็นชอบของคณะกรรมการการอาชีวศึกษา
14.2การอนุมตั ิหลกั สูตร ใหเ้ ป็นหนา้ ท่ีของสานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา โดย
ความเห็นชอบ ของคณะกรรมการการอาชีวศึกษา
14.3 การประกาศใชห้ ลกั สูตร ใหท้ าเป็นประกาศกระทรวงศึกษาธิการ
14.4การพฒั นารายวิชาหรือกลุ่มวิชาเพ่มิ เติม สถานศึกษาอาชีวศึกษาหรือสถาบนั สามารถ
ดาเนินการได้ โดยตอ้ งรายงานใหส้ านกั งานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาทราบ
15. การประกนั คณุ ภาพของหลกั สูตรและการจัดการเรียนการสอน ใหท้ กุ หลกั สูตรกาหนดระบบ
ประกนั คุณภาพของหลกั สูตรและการจดั การเรียนการสอนไวใ้ หช้ ดั เจน อยา่ งนอ้ ยประกอบดว้ ย 4
ดา้ น คือ
15.1 หลกั สูตรที่ยดึ โยงกบั มาตรฐานอาชีพ
1.5.2 ครูทรัพยากรและดาบสนุน
15.3 วธิ ีการจดั การเรียนรู้ การวดั และประเมินผล
15.4 ผลู้ า่ การศึกษา ใหส้ านกั งานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา สถาบนั การอาชีวศึกษา
และสถานศึกษาจดั ใหม้ ีการประเมิน และรายงานผลการดาเนินการหลกั สูตร เพื่อพฒั นาหรือ
ปรับปรุงหลกั สูตรท่ีอยใู่ นความรับผดิ ชอบอยา่ งตอ่ เน่ือง อยา่ งนอ้ ยทกุ 5 ปี
หลกั สูตรอาชีวศึกษาถูกออกแบบมาไม่เหมาะกบั ความพร้อมของผเู้ รียน และละเลย
ทกั ษะความรู้พ้ืนฐานนกั เรียนทีจบการศึกษาระดบั มธั ยมศึกษาตอนตน้ จ่านวนมากมีทกั ษะ
พ้นื ฐานดา้ นคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ในระดบั ต่ามาก โดยเฉพาะอยา่ งยงิ นกั เรียนอาชีวศึกษา
ซึงมกั จะมีผลการเรียนระดบั มธั ยมตน้ ไมด่ ี จากโครงการส่ารวจผลสมั ฤทธ์ิดา้ นการศึกษา PISA
ของ OECD พบวา่ นกั เรียนอาชีวศึกษาส่วนใหญ่มีทกั ษะดา้ นคณิตศาสตร์ต่าในระดบั ทีไม่
สามารถใชง้ านไดเ้ ลย นกั เรียนอาชีวศึกษากวา่ 75% มีทกั ษะดา้ นคณิตศาสตร์ต่ากวา่ ระดบั 2 และ
มีนกั เรียนถึง 32% ทีมีทกั ษะดา้ นคณิตศาสตร์ระดบั 0 (ต่าทีสุด) ท้งั น้ี นกั เรียนทีมีทกั ษะทาง
คณิตศาสตร์ระดบั ต่ากวา่ ระดบั 2 จะไม่สามารถคิดคา่ นวณโดยใชส้ ูตรหรือนิยามทางคณิตศาสตร์
อยา่ งงา่ ยที สุดได้ เช่นไม่สามารถตอบค่าถามตอ่ ไปน้ีได“้ เฮเลนขีจกั รยานเป็นเวลา 15 นาที
ในช่วง 10 นาทีแรกเธอข่ีได้ 4 กิโลเมตร และในช่วง 5 นาทีหลงั เธอข่ีได้ 2 กิโลเมตร ถามวา่ ช่วง
ไหนทีเฮเลนขีจกั รยานไดเ้ ร็วกวา่ ”8การพฒั นาทกั ษะดา้ นคณิตศาสตร์และความรู้พ้ืนฐานอื่นๆ จึง
มีความส่าคญั มากในการปรับพ้ืนฐานการศึกษาของผเู้ รียน ตวั อยา่ งทีชดั เจนทีสุดคือ ทกั ษะการ
เขียนแบบเทคนิคซึงเป็นทกั ษะพ้นื ฐานของงานช่างตอ้ งการพ้ืนฐานความรู้ดา้ นเรขาคณิต
นอกจากน้ี ผทู้ า่ งานเกี่ยวกบั เครืองกลน้นั ตอ้ งสามารถแทนสูตรและแปลงหน่วยได้ ซึงจาเป็นตอ้ ง
ใชท้ กั ษะทางพชี คณิต ในขณะที การร่างแบบชิ้นงานจ่าเป็นตอ้ งใชค้ วามรู้ตรีโกณมิติ ส่วนการ
ควบคุมคุณภาพ (quality control) และงานวดั ละเอียดตอ้ งใชค้ วามรู้ดา้ นสถิติ
ดงั น้นั นกั เรียนอาชีวศึกษาจะไมส่ ามารถมีทกั ษะช่างที่ดีไดเ้ ลยหากไมม่ ีการปูพ้ืนฐาน
คณิตศาสตร์พ้นื ฐานมาก่อน
2. เนื้อหาหลกั สูตรไม่เชื่อมโยงกบั ทกั ษะทีต่ ้องใช้ในโลกการทางานจริง
2.1 สถานศึกษาไม่เปิ ดสอนสาขาท่ีตรงกบั ความตอ้ งการของสถานประกอบการสาขาที
วิทยาลยั อาชีวศึกษาจ่านวนมากเปิ ดสอนไม่ใช่สาขาทีสถานประกอบการตอ้ งการ ท้งั น้ี ภายใต้
สมมติฐานวา่ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงดา้ นสดั ส่วนสาขาอาชีพในตลาดแรงงานมากนกั ระบบ
อาชีวศึกษาทีสอดคลอ้ งกบั ตลาดแรงงานควรสามารถผลิตแรงงานรุ่นใหมเ่ พื่อทดแทนแรงงานที
เกษยี ณอายหุ รือแรงงานทีหนั ไปประกอบอาชีพอื่น ดงั น้นั สัดส่วนนกั เรียนอาชีวศึกษาท่ี
เหมาะสมในแตล่ ะสาขาควรจะใกลเ้ คียงกบั สดั ส่วนสาขาอาชีพในตลาดแรงงานจริง อยา่ งไรก็
ตาม เมื่อเราพจิ ารณาขอ้ มูลนกั เรียนในแต่ละสาขา เราจะพบวา่ แรงงานทีอาชีวศึกษาผลิตส่วน
ใหญอ่ ยใู่ นสาขาทีมีการจา้ งงานนอ้ ย ในขณะทีสาขาอาชีพทีมีการจา้ งงานมากกลบั มีแรงงานที
ผลิตออกมาไม่มากเมือพิจารณาตลาดการจา้ งงานประมาณ 3.3 ลา้ นต่าแหน่งในสาขาช่างเทคนิค
4 สาขาหลกั คือ ช่างเทคนิคโรงงาน ช่างก่อสร้าง ช่างไฟฟ้าและช่างยนต์ เราจะพบวา่ ใน
ตลาดแรงงานมีสดั ส่วนช่างเทคนิคโรงงานและช่างก่อสร้างรวมกนั ประมาณ 80% แต่มีจ่านวน
นกั เรียนปวช. ในสาขาดงั กล่าวเพยี งประมาณ 30% ในทางกลบั กนั มีนกั เรียนอาชีวศึกษา 70% ที
เรียนสาขาช่างไฟฟ้าและช่างยนต์ ซ่ึงเป็นสาขาทีมีการจา้ งงานรวมกนั เพียง 20%มีสาเหตสุ าคญั 2
ประการท่ีทาใหร้ ะบบอาชีวศึกษาไทยไม่ตอบสนองต่อความตอ้ งการของสถานประกอบการ น้นั
คือ หน่ึง วทิ ยาลยั อาชีวศึกษาสามารถเลือกเปิ ดสอนสาขาใดก็ได้ โดยไม่ตอ้ งพิจารณาความ
ตอ้ งการของสถานประกอบการ และ สอง การขาดระบบฐานขอ้ มูลตลาดแรงงานทีจะสามารถ
นามาช่วยวางแผนการผลิตกาลงั คน
ประการแรก วิทยาลยั อาชีวศึกษาสามารถเลือกเปิ ดสอนสาขาใดก็ได้ โดยไมต่ อ้ งพจิ ารณา
ความตอ้ งการของสถานประกอบการในปัจจุบนั หากวิทยาลยั อาชีวะศึกษาใดจะเปิ ดสอน
หลกั สูตรทีมีการเปิ ดสอนอยแู่ ลว้ เช่น หลกั สูตรแกนกลางของ สอศ. ก็จะตอ้ งขออนุมตั ิจากส่านกั
นโยบายและแผนงานอาชีวศึกษา ซ่ึงจะพิจารณาปัจจยั สาคญั 2 ขอ้ คือ จานวนนกั เรียนท่ีคาดวา่ มา
จะสมคั รเรียน และความพร้อมของวทิ ยาลยั 9 โดยความตอ้ งการแรงงานของสถานประกอบการ
ไม่ไดเ้ ป็นปัจจยั หลกั ในการพิจารณา ดงั น้นั ความตอ้ งการเขา้ ศึกษาทีสะทอ้ นผา่ น “จานวน
นกั เรียนทีคาดวา่ มาจะสมคั รเรียน” จึงไมจ่ าเป็ นตอ้ งสอดคลอ้ งกบั ความตอ้ งการแรงงานของ
สถานประกอบการ โดยเฉพาะอยา่ งยงิ เมือผเู้ รียนและผปู้ กครองขาดขอ้ มูลความตอ้ งการของ
สถานประกอบการ
ประการท่ีสอง การขาดระบบฐานขอ้ มูลตลาดแรงงานที่จะสามารถนามาช่วยวางแผนการ
ผลิตกาลงั คนสถานศึกษาจะสามารถเปิ ดสอนสาขาวิชาทีตรงกบั ความตอ้ งการของสถาน
ประกอบการไดก้ ต็ อ่ เมื อรู้ความตอ้ งการแรงงานของสถานประกอบการอยา่ งแมน่ ยา่ พอสมควร
อยา่ งไรกต็ าม ในปัจจุบนั เรายงั ไมม่ ีระบบฐานขอ้ มูลดงั กลา่ ว ทา่ การเปิ ดสอนสาขาทีตรงกบั ความ
ตอ้ งการของสถานประกอบการทาไดย้ าก
1. แมใ้ นกรณีท่ีเปิ ดสอนไดต้ รงสาขา แตเ่ น้ือหาหลกั สูตรไมต่ รงกบั ทกั ษะความรู้ท่ี
นายจา้ งตอ้ งการล่าพงั การเปิ ดสอนใหต้ รงสาขาน้นั ยงั ไม่เพยี งพอ เพราะรายละเอียดของเน้ือหา
ในหลกั สูตรน้นั ก็มีความสาคญั ไมย่ งิ หยอ่ นไปกวา่ กนั เช่น หลกั สูตรอาจตรงความตอ้ งการ แต่
ลา้ สมยั เพราะสอนเทคนิคการผลิตทีโรงงานเลิกใชก้ นั ไปแลว้ หรือหลกั สูตรอาจจะไมไ่ ดบ้ รรจุ
ทกั ษะทีตอ้ งใชง้ านจริง หรือแมห้ ลกั สูตรจะบรรจุเน้ือหาไดค้ รบถว้ น แต่การใหน้ ้าหนกั
ความสาคญั ของแตล่ ะหวั ขอ้ อาจไมส่ ะทอ้ นสภาพการทา่ งานทีเกิดข้ึนจริง ดงั ตวั อยา่ งต่อไปน้ี
ปัจจยั สาคญั ทีท่าใหเ้ กิดความไม่สอดคลอ้ งระหวา่ งเน้ือหาหลกั สูตรกบั ความตอ้ งการของสถาน
ประกอบการน้นั เก่ียวขอ้ งกบั 1) ระบบการจดั ท่าเน้ือหาหลกั สูตรท่ีถูกกาหนดโดยอาจารยใ์ น
วทิ ยาลยั อาชีวศึกษาเป็นหลกั และ 2) การทีอาจารยอ์ าชีวศึกษาเกือบท้งั หมดไม่มีประสบการณ์
การท่างานในภาคเอกชน เมือปัจจยั ท้งั 2 อยา่ งมาประกอบกนั กจ็ ะทา่ ใหห้ ลกั สูตรอาชีวศึกษาเตม็
ไปดว้ ยเน้ือหาทีกาหนดโดยอาจารยอ์ าชีวศึกษาผซู้ ึงไมม่ ีความรู้ความเขา้ ใจโลกของสถาน
ประกอบการจริง เน้ือหาหลกั สูตรทีไดม้ าจึงมีลกั ษณะเป็น “เชิงวิชาการ” มากกวา่ “เชิงปฏิบตั ิ”
และไมส่ ามารถตอบสนองความตอ้ งการของสถานประกอบการได้
2. แมห้ ลกั สูตรจะสอนทกั ษะความรู้ที่นายจา้ งตอ้ งการ แต่ผเู้ รียนยงั ขาดความเช่ียวชาญจน
ไม่สามารถทางานไดจ้ ริงแมจ้ ะเปิ ดสอนไดต้ รงสาขา และเน้ือหาหลกั สูตรตรงกบั ความตอ้ งการ
ของสถานประกอบการ แต่หากไมส่ ามารถท่าใหผ้ เู้ รียนเกิดความเชียวชาญจริง การเรียนการสอน
ก็จะไม่ก่อใหเ้ กิดประโยชน์ เราไมม่ ีหลกั ฐานขอ้ มูลการวดั สมรรถนะทกั ษะอาชีพของผจู้ บ
อาชีวศึกษา จึงไมส่ ามารถพสิ ูจนป์ ัญหาผเู้ รียนขาดความเชียวชาญทกั ษะไดอ้ ยา่ งชดั แจง้ อยา่ งไรก็
ตาม ขอ้ มูลจากการสมั ภาษณ์ทีสถานประกอบการหลายแห่งช้ีไปในทิศทางเดียวกนั วา่ ผจู้ บ
อาชีวศึกษาไม่สามารถทางานไดจ้ ริง นอกจากน้ี หลกั ฐานแวดลอ้ มหลายอยา่ งยงั ช้ีวา่ ระบบ
อาชีวศึกษาในปัจจุบนั ไม่น่าจะสามารถทาใหผ้ เู้ รียนเชียวชาญทกั ษะการทางานจริง
ประการแรก ดงั ทีไดก้ ล่าวไปในตอนตน้ ทกั ษะช่างหลายอยา่ งจ่าเป็นตอ้ งอาศยั ความเชียวชาญ
ทกั ษะความรู้พ้ืนฐาน ซึงนกั เรียนอาชีวศึกษาไทยยงั ขาด และหลกั สูตรอาชีวศึกษาก็ไม่ไดแ้ กไ้ ข
จุดอ่อนในส่วนน้ี
ประการที่สอง อาจารยอ์ าชีวศึกษาส่วนใหญ่ขาดประสบการณ์ในสถานประกอบการ จึงไมม่ ี
ทกั ษะทีจะตอ้ งใชใ้ นสถานประกอบการจริง
ประการท่สี าม ระบบผลิตอาจารยอ์ าชีวศึกษาไทยในปัจจุบนั ไม่สามารถรับประกนั ไดว้ า่ อาจารย์
ท่ี จบออกมาจะมีความเชียวชาญทกั ษะช่างเทคนิค นบั ต้งั แต่ปี 2546 ซึงมีการออก
พระราชบญั ญตั ิสภาอาจารยแ์ ละบคุ ลากรทางการศึกษา ผทู้ ีจะไดร้ ับเขา้ บรรจุเป็นขา้ ราชการ
จะตอ้ งมีใบประกอบวชิ าชีพซึงวธิ ีการหลกั ทีจะไดม้ าคือการสาเร็จการศึกษาจากหลกั สูตรครุ
ศาสตร์ทีคุรุสภาใหก้ ารรับรอง ในกรณีของอาชีวศึกษาสายเทคนิค หลกั สูตรทีจะน่าไปสู่การได้
ใบประกอบวชิ าชีพคือหลกั สูตรครุศาสตร์อุตสาหกรรม ซ่ึงมีขอ้ บกพร่องสาคญั คือมีการฝึก
ทกั ษะฝีมือช่างไม่เพยี งพอ อาจารยจ์ ่านวนหน่ึงทีสาเร็จการศึกษาจากหลกั สูตรเหลา่ จึงไมม่ ีทกั ษะ
อาชีพ
2.3.1 ประกาศนียบตั รวิชาชีพ (ปวช.) พทุ ธศกั ราช
2562
1.ปัญหาการบริหารหลกั สูตรประกาศนียบตั รวิชาชีพ (ทวศิ ึกษา) ในโรงเรียนมธั ยมศึกษา
สงั กดั สานกั งานเขตพ้ืนที่การศึกษามธั ยมศึกษาเขต 40 โดยภาพรวมมีปัญหาอยใู่ นระดบั ปาน
กลาง เมื่อพจิ ารณารายดา้ น พบวา่ ดา้ นที่มีค่าเฉล่ียสูงสุด คือ ดา้ นการปรับปรุงพฒั นาหลกั สูตร
รองลงมา คือ ดา้ นการปฏิบตั ิตามแผนการบริหารหลกั สูตร และมีคา่ เฉล่ียต่าสุด คือ ดา้ นการวาง
แผนการบริหารหลกั สูตร ท้งั น้ีอาจมีสาเหตุเน่ืองมาจากการจดั การหลกั สูตรประกาศนียบตั ร
วชิ าชีพ (ทวศิ ึกษา) ในโรงเรียนมธั ยมศึกษาเป็นรูปแบบการจดั การศึกษาแนวใหม่ เพราะให้
สอดคลอ้ งกบั นโยบายของรัฐบาลและการเปล่ียนแปลงทางดา้ นเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ
และนโยบายของสานกั งานคณะกรรมการการศึกษาข้นั พ้ืนฐาน ปี 2558 ท่ีกาหนดใหก้ ารจดั
การศึกษาระดบั มธั ยมศึกษาตอนปลายไดถ้ กู แบ่งการศึกษาออกเป็น 2 ประเภท ดงั น้ี ประเภท
สามญั ศึกษา หน่วยงานที่รับผดิ ชอบ คือ สานกั งานคณะกรรมการการศึกษาข้นั พ้นื ฐาน และ
ประเภทอาชีวศึกษาหน่วยงานท่ีรับผิดชอบคือ สานกั งานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา จาก
สภาวการณ์ปัจจุบนั ท่ีตอ้ งเผชิญการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สงั คม และเทคโนโลยอี ยา่ ง
รวดเร็ว ทาใหท้ ุกคนในสงั คมตอ้ งพยายามปรับตวั ใหส้ ามารถดารงชีวติ อยไู่ ด้ จึงทาใหส้ ังคมหนั
มาใหค้ วามสนใจกบั การพฒั นาคุณภาพชีวิตดว้ ยการศึกษามากข้ึนโดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ ดา้ น
อาชีวศึกษา ท้งั น้ี เพอ่ื ตอบสนองต่อความตอ้ งการท้งั ในการศึกษาต่อและการประกอบอาชีพ
กอปรกบั รัฐบาล โดยกระทรวงศึกษาธิการไดใ้ หค้ วามสาคญั กบั การจดั การอาชีวศึกษาเพื่อ
ตอ้ งการใหน้ กั เรียนสนใจเรียนสายอาชีพมากข้ึน เม่ือสาเร็จการศึกษาแลว้ สามารถทางานไดท้ นั ที
ดงั น้นั เพื่อเป็นการสนองนโยบายดงั กล่าวขา้ งตน้ จึงกาหนดใหด้ าเนินการเปิ ดสอนหลกั สูตร
ประกาศนียบตั รวิชาชีพ (ปวช.) ในโรงเรียนมธั ยมศึกษา สังกดั สานกั งานคณะกรรมการการศึกษา
ข้นั พ้นื ฐานการดาเนินการดงั กล่าว ไดเ้ ริ่มตน้ มาในระยะเวลาไม่นาน ผเู้ กี่ยวขอ้ งจึงมีความรู้ความ
เขา้ ใจในเร่ืองดงั กล่าวนอ้ ยประกอบกบั โรงเรียนมธั ยมศึกษาที่เขา้ ร่วมโครงการจดั การศึกษาเรียน
ร่วมหลกั สูตรอาชีวศึกษาและมธั ยมศึกษาตอนปลาย (ทวิศึกษา) เป็นโรงเรียนขนาดเลก็ และขนาด
กลางต้งั อยใู่ นชนบทความพร้อมในดา้ นปัจจยั การบริหารจึงมีความจ ากดั
2.ดา้ นการวางแผนการบริหารหลกั สูตรพบวา่ ปัญหาการบริหารหลกั สูตร
ประกาศนียบตั รวชิ าชีพ(ทวิศึกษา) ในโรงเรียนมธั ยมศึกษา สังกดั สานกั งานเขตพ้นื ที่การศึกษา
มธั ยมศึกษาเขต 40 โดยภาพรวมอยใู่ นระดบั ปานกลาง ดา้ นท่ีมีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ปัญหาการ
วเิ คราะหส์ ภาพความตอ้ งการของผเู้ รียน ชุมชน เพ่อื เป็นแนวทางในการกาหนดวสิ ัยทศั น์และ
เป้าหมายของหลกั สูตร ท้งั น้ีอาจเป็นเพราะวา่ ไดร้ ับการกากบั ดูแลจากผทู้ ี่ไดร้ ับมอบหมายจากผู้
อานวยการของโรงเรียนท่ีเปิ ดหลกั สูตรประกาศนียบตั รวิชาชีพ (ทวิศึกษา) ท้งั 5 โรงเรียนซ่ึง
ปฏิบตั ิงานที่เกี่ยวขอ้ งกบั งานวชิ าการ เช่น งานหลกั สูตร งานจดั ตารางการเรียนการสอน ทา
หนา้ ท่ีประสานงานกบั อาจารยข์ องสถานศึกษาคู่สัญญาในสงั กดั สานกั งานคณะกรรมการการ
อาชีวศึกษาและเป็นผตู้ ิดตามแกไ้ ขปัญหาในการดาเนินงานประสานงานกบั ผูป้ กครอง นกั เรียน
ตอ่ เน่ืองไป ซ่ึงสอดคลอ้ งกบั งานวจิ ยั ของ อาภรณ์ทิพย์ เช่ืองยาง(2549) ไดท้ าการศึกษาเรื่อง
ปัญหาการบริหารหลกั สูตรสถานศึกษาของสถานศึกษาข้นั พ้ืนฐานสังกดั สานกั งานเขตพ้ืนที่
การศึกษา ผลการวิจยั พบวา่ ดา้ นการเตรียมความพร้อม มีปัญหาระดบั ปานกลาง
3.ดา้ นการปฏิบตั ิตามแผนการบริหารหลกั สูตร พบวา่ ปัญหาการบริหารหลกั สูตร
ประกาศนียบตั รวิชาชีพ(ทวศิ ึกษา) ในโรงเรียนมธั ยมศึกษา สงั กดั สานกั งานเขตพ้ืนท่ีการศึกษา
มธั ยมศึกษาเขต 40 โดยภาพรวมอยใู่ นระดบั ปานกลาง ดา้ นท่ีมีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ การส่งเสริมการ
จดั ทาวิจยั ในช้นั เรียน ท้งั น้ีอาจเป็นเพราะวา่ เป็นนโยบายท่ีกระทรวงศึกษาธิการไดก้ าหนดแนว
ทางการจดั การศึกษาเรียนร่วมหลกั สูตรอาชีวศึกษาและมธั ยมศึกษาตอนปลาย(ทวิศึกษา)
รัฐมนตรีวา่ การกระทรวงศึกษาธิการไดล้ งนามในประกาศ เมื่อวนั ที่ 27 ตลุ าคม 2558
กระบวนการเป็นไปตามโครงสร้างหลกั สูตรอาชีวศึกษาระดบั ประกาศนียบตั รวิชาชีพ (ปวช.)
พุทธศกั ราช 2556 และโรงเรียนท่ีเปิ ดเรียนตามโครงการยงั ไม่มีนกั เรียนที่จบการศึกษา ตาม
หลกั สูตร การติดตามและประเมินงานในช่วงที่ผา่ นมาสภาพปัญหาท่ีประสบอยยู่ งั เหมือนๆ กนั
จึงใชก้ ระบวนการแกป้ ัญหาโดยการประสานงานระหวา่ งโรงเรียนกบั สถาบนั อาชีวศึกษาที่ทา
ความร่วมมือต่อกนั
4. ดา้ นการตรวจสอบประเมินผลการบริหารหลกั สูตร พบวา่ ปัญหาการบริหารหลกั สูตร
ประกาศนียบตั รวชิ าชีพ (ทวศิ ึกษา) ในโรงเรียนมธั ยมศึกษา สงั กดั สานกั งานเขตพ้นื ท่ีการศึกษา
มธั ยมศึกษาเขต 40 โดยภาพรวมอยใู่ นระดบั ปานกลาง ท้งั น้ีเป็น
เพราะวา่ โรงเรียนท่ีเปิ ดหลกั สูตร ประกาศนียบตั รวิชาชีพ (ทวิศึกษา) ในโรงเรียนมธั ยมศึกษาท้งั
5 โรงเรียนยงั ไม่มีขอ้ สรุปในการจดั การปัญหาการรายงานการนิเทศภายใน การจดั ทาเอกสาร
หลกั ฐานการนิเทศ กากบั ติดตามท่ีเป็นปัจจุบนั และเป็นระบบ อีกท้งั ยงั ไมม่ ีคณะกรรมการ หรือ
หน่วยงานในระดบั สานกั งานเขตพ้นื ท่ีการศึกษา และในระดบั จงั หวดั โดยสานกั งานศึกษาธิการ
จงั หวดั เขา้ มาร่วมกาหนดแนวทางหรือประสานงานแบบบรู ณาการร่วมกนั 5. ดา้ นการปรับปรุง
พฒั นาหลกั สูตร พบวา่ ปัญหาการบริหารหลกั สูตรประกาศนียบตั รวชิ าชีพ (ทวศิ ึกษา)ใน
โรงเรียนมธั ยมศึกษา สังกดั สานกั งานเขตพ้ืนท่ีการศึกษามธั ยมศึกษา เขต 40 โดยภาพรวมอยใู่ น
ระดบั ปานกลางท้งั น้ีเป็นเพราะวา่ สถานศึกษาพบปัญหาการบริหารหลกั สูตรประกาศนียบตั ร
วชิ าชีพ (ทวศิ ึกษา) ในโรงเรียนมธั ยมศึกษา สงั กดั สานกั งานเขตพ้นื ที่การศึกษามธั ยมศึกษา เขต
40 ขอ้ ท่ีมีคา่ เฉลี่ยสูงสุด คือ ปัญหาการนาขอ้ เสนอแนะของคณะกรรมการหรือผรู้ ับผิดชอบมา
ปรับปรุงและพฒั นากระบวนการบริหารจดั การหลกั สูตรซ่ึงสอดคลอ้ งกบั งานวจิ ยั ของ อาภรณ์
ทิพย์ เช่ืองยาง (2549) ไดท้ าการศึกษาเรื่อง ปัญหาการบริหารหลกั สูตรสถานศึกษาของ
สถานศึกษาข้นั พ้ืนฐานสังกดั สานกั งานเขตพ้ืนที่การศึกษากระบ่ี ผลการวิจยั พบวา่ ดา้ นการ
ปรับปรุงพฒั นาหลกั สูตรสถานศึกษา โดยภาพรวมมีปัญหาระดบั ปานกลาง และสอดคลอ้ งกบั
งานวจิ ยั ของ จาปา สุขสว่าง(2555) ไดท้ าการศึกษาเร่ือง ปัญหาการบริหารหลกั สูตรสถานศึกษา
ในกลมุ่ เครือข่ายแกลงบูรพา สังกดั สานกั งานเขตพ้ืนที่การศึกษาประถมศึกษาระยอง เขต 2
ผลการวิจยั พบวา่ ดา้ นการปรับปรุงพฒั นากระบวนการบริหารจดั การหลกั สูตร โดยรวมอยใู่ น
ระดบั ปานกลางขอ้ เสนอแนะ
1. ข้อเสนอแนะในการนาผลการวิจัยไปใช้
1.1สถานศึกษาควรมีการวิเคราะห์สภาพความตอ้ งการของผเู้ รียน ชุมชน เพอ่ื เป็น
แนวทางในการก าหนดวสิ ัยทศั นแ์ ละเป้าหมายของหลกั สูตร และส่งเสริมการศึกษาวิจยั และ
พฒั นาการจดั การเรียนรู้ในวชิ าที่ตนรับผิดชอบและใชผ้ ลการวจิ ยั ในการปรับการเรียนการสอน
1.2สถานศึกษาควรส่งเสริมการจดั ทา วิจยั ในช้นั เรียน การจดั แหลง่ คน้ ควา้ ความรู้เพิ่มเติม
เก่ียวกบั การจดั การเรียนการสอนของครู พฒั นานวตั กรรมและเทคโนโลยีทางการศึกษาสาหรับ
ผเู้ รียน
1.3สถานศึกษา หรือผดู้ แู ลนโยบาย ควรมีกระบวนการตรวจสอบความกา้ วหนา้ ของ
ผเู้ รียนดว้ ยเทคนิคและวิธีการอนั หลากหลาย มีการรายงานการนิเทศภายใน การจดั ทาเอกสาร
หลกั ฐานการนิเทศ กากบั ติดตามที่เป็นปัจจุบนั และเป็นระบบ
1.4สถานศึกษาควรมีการแต่งต้งั คณะกรรมการหรือผรู้ ับผิดชอบมาปรับปรุงและพฒั นา
กระบวนการบริหารจดั การหลกั สูตร พฒั นาระบบการจดั ทาขอ้ มลู สารสนเทศเก่ียวกบั การบริหาร
จดั การหลกั สูตรท่ีทนั สมยั
1.5สถานศึกษาควรประเมินผลโครงการตามแผนพฒั นาการศึกษาและควรใชข้ อ้ มลู
ยอ้ นกลบั เพอื่ ปรับปรุงแกไ้ ขปัญหาการบริหารหลกั สูตร
2. ข้อเสนอแนะในการวจิ ัยคร้ังต่อไป
2.1ควรศึกษาประสิทธิภาพการบริหารหลกั สูตรประกาศนียบตั รวิชาชีพ (ทวิศึกษา) ใน
โรงเรียนมธั ยมศึกษา สังกดั สานกั งานเขตพ้นื ท่ีการศึกษามธั ยมศึกษาเขต 40
2.2ควรศึกษาการประเมินผลการใชห้ ลกั สูตรประกาศนียบตั รวิชาชีพ (ทวิศึกษา) ใน
โรงเรียนมธั ยมศึกษาในระยะ 3 ปี เพอ่ื ศึกษาความกา้ วหนา้ ในการใชห้ ลกั สูตร
2.3ควรศึกษาปัจจยั ท่ีส่งผลตอ่ ปัญหาการบริหารหลกั สูตรประกาศนียบตั รวชิ าชีพ (ทวิ
ศึกษา)เพอ่ื ใหไ้ ดข้ อ้ มลู ในการนามาเป็นแนวทางในการปรับปรุงและการพฒั นาการบริหาร
หลกั สูตรประกาศนียบตั รวิชาชีพ(ทวิศึกษา) ตอ่ ไป
2.4ควรศึกษาสภาพและปัญหาการจดั ครูใหเ้ ขา้ สอนตรงตามวชิ าเอก เพอ่ื เป็นขอ้ มูล ใน
การพฒั นาการเรียนการสอนใหม้ ีคุณภาพ
2.3.2 หลกั สูตรประกาศนียบตั รวิชาชีพช้นั สูง
(ปวส.) พุทธศกั ราช 2563
สาเหตดุ ้านหลกั สูตรและการเรียนการสอน
หลกั สูตรเป็นเอกสารรวบรวมมวลประสบการณ์ตา่ งๆแผนงานโครงการเน้ือหาสาระและ
กิจกรรมตลอดจนวิธีการจดั การเรียนการสอนและการประเมินผลการเรียนรู้ทีจะเป็นแนวทางใน
การจดั การเรียนการสอนเพอื่ พฒั นาผเู้ รียนใหม้ ีความรู้ความสามารถเจตคติและพฤติกรรมทีพึง
ประสงคใ์ หส้ อดคลอ้ งกบั จุดมุ่งหมายที่กาหนดมีบุคคลและนกั วิชาการทีใหค้ วามหมายของ
หลกั สูตรไวด้ งั น้ีใจทิพย์ เช้ือรัตนพงษ์ (2539, หนา้ 11-12) กลา่ ววา่ หลกั สูตรหมายถึงเครืองชีนา
ทางในการจดั ความรู้และประสบการณ์แก่ผเู้ รียนซึงครูจะตอ้ งปฏิบตั ิตามเพอ่ื ใหผ้ เู้ รียนไดร้ ับ
การศึกษาทีมงุ่ สู่จุดหมายเดียวกนั หลกั สูตรจึงเป็นหวั ใจสาคญั ของการศึกษาและเป็นเครืองมือชี
ถึงความเจริญของชาติถา้ ประเทศใดมีหลกั สูตรทีเหมาะสมและมีประสิทธิภาพคนในประเทศนนั
กย็ อ่ มมีความรู้และศกั ยภาพในการพฒั นาประเทศไดอ้ ยา่ งเตม็ ทีเมธี ปิ ลนั ธนานนท์ (2543, หนา้
60) กล่าววา่ หลกั สูตรหมายถึงผลรวมของสถานศึกษาทีไดว้ างแนวและจดั ข้ึนไวอ้ ยา่ งมีระบบเพ่ือ
ช่วยใหเ้ กิดมีปฏิสมั พนั ธข์ ้ึนในระหวา่ งผเู้ รียนกบั ระบบการสอนทีจะนาไปสู่การเรียนรู้เพราะ
แกนกลางของหลกั สูตรน้นั อยทู่ ีการเรียนรู้และการเรียนรู้นนั จาเป็นจะตอ้ งประกอบดว้ ย
เน้ือหาวชิ าและกระบวนการต่าง ๆ ร่วมกนั อมั รา เลก็ เริงสินธุ์ (2547, หนา้ 8-9) อธิบายวา่ หลกั สูตร
หมายถึงเอกสารทีบรรจุแผนงานหรือโครงการและเน้ือหากิจกรรมตา่ ง ๆ ที่จดั ใหแ้ ก่ผเู้ รียนเพือ่
พฒั นาผเู้ รียนทงั ในดา้ นความรู้ทศั นคติและพฤติกรรมต่าง ๆ อนั พึงปรารถนาของสงั คมน้นั ๆ อนั
จะทาใหผ้ เู้ รียนสามารถดารงชีวิตอยใู่ นสงั คมไดอ้ ยา่ งมีความสุขโดยท่ีแผนงานหรือโครงการน้นั
ๆ จะตอ้ งมีองคป์ ระกอบที่สมบูรณ์ คือมีจุดม่งุ หมายท่ีชดั เจนมีการกาหนดเน้ือหาสาระ
ประสบการณ์ท่ีมีคุณค่าตอ่ ผเู้ รียนมีแนวทางการดาเนินงานท่ีเป็นระบบระเบียบมีการทาแผนงาน
และโครงการน้นั ปฏิบตั ิในสถาบนั การศึกษาจนทาใหผ้ เู้ รียนเกิดการเปล่ียนแปลงพฤติกรรมจน
สามารถวดั ผลประเมินผลการเปล่ียนแปลงพฤติกรรมของผเู้ รียนไดC้ arroll (1963 อา้ งถึงใน สุ
รางค์ โคว้ ตระกลู , 2552, หนา้ 13) กลา่ ววา่ การสอนที่มีประสิทธิภาพไมไ่ ดข้ ้ึนกบั การสอนของครู
เทา่ น้นั แตข่ ้ึนกบั ผเู้ รียนดว้ ยคุณลกั ษณะของผเู้ รียนมีส่วนใหเ้ รียนรู้ในอตั ราความเร็วแตกตา่ งกนั
ดว้ ยคือ
1. ความถนดั (Aptitude) ความสามารถของผเู้ รียนที่จะเรียนรู้
2. ความสามารถที่จะเขา้ ใจส่ิงท่ีครูสอน (Ability to understandInstruction)
3. ความพยายาม (Perseverance) สาหรับการเรียนรู้ซึงมาจากแรงจูงใจที่จะเรียนรู้
4. การมีโอกาสครูใหเ้ วลาในการเรียนรู้สิ่งท่ีครูสอนโดยคานึงถึงความสามารถและความ
ถนดั ของผเู้ รียน
Brophy (1992 อา้ งถึงใน อทุ ยั ลือสกลุ , 2553, หนา้ 14) นกั จิตวิทยาการศึกษาท่ีไดท้ าการ
วจิ ยั เก่ียวกบั การสอนและการเรียนรู้ไดใ้ หค้ วามหมายของการเป็นครูที่ดีและมีประสิทธิภาพวา่
เป็นครูท่ีสามารถสอนให้ผเู้ รียนมีสัมฤทธิผลในการเรียนรู้และสามารถนาความรู้ท่ีเรียนไป
ประยกุ ตใ์ ชใ้ นชีวิตประจาวนั ไดด้ งั น้นั ครูทีสามารถสอนอยา่ งมีประสิทธิภาพหมายถึงการสอน
ของครูสามารถใหผ้ เู้ รียนเกิดการเรียนรู้ตามความถนดั และความสามารถของทุกคน
สรุปไดว้ า่ หลกั สูตรการเรียนการสอนมีความสาคญั ยงิ ในการจดั การเรียนการสอนของ
ผเู้ รียนเพราะหลกั สูตรไดร้ วมจุดมุง่ หมายของการศึกษาในแตล่ ะระดบั เน้ือหาสาระและ
ประสบการณ์ท้งั หลายของผเู้ รียนเขา้ ไวด้ ว้ ยกนั หลกั สูตรจึงเป็นรากฐานของการจดั การเรียนการ
สอน ซ่ึงจะมีผลใหน้ กั ศึกษาไดร้ ับความสาเร็จในการศึกษาเลา่ เรียนเป็นอยา่ งดี
สาเหตดุ ้านส่วนตวั ของนกั เรียน นกั ศึกษา
สาเหตุดา้ นส่วนตวั ของนกั ศึกษาเป็นเรื่องเฉพาะบุคคลที่เกี่ยวกบั ร่างกายจิตใจอารมณ์
สังคมสติปัญญาค่านิยมเจตคติพฤติกรรมความสมั พนั ธท์ างสังคมพ้นื ฐานความรู้ครอบครัว
บคุ ลิกภาพเป็นตน้ ซ่ึงสิ่งต่าง ๆ เหล่านี จะแสดงออกในช่วงวยั รุ่นหรือช่วงของนกั ศึกษาเป็นส่วน
ใหญ่เนื่องจากเป็นช่วงของการเปล่ียนแปลงหรือเป็ นกระบวนการในการพฒั นาจากความเป็นเด็ก
ไปสู่ความเป็นผใู้ หญ่ (ชยั มงคลจารูญ, 2548, หนา้ 34) ไมต่ อ้ งการใหม้ กี ารบงั คบั ควบคุมแต่
ตอ้ งการอิสรภาพ ดงั นนั ในการจดั การศึกษาจึงตอ้ งคานึงถึงปัจจยั สาคญั น้ีเพราะนกั ศึกษาเป็น
องคป์ ระกอบสาคญั ของระบบการศึกษาเพราะถา้ ขาดนกั ศึกษาการเรียนการสอนก็จะไม่เกิดข้ึน
การศึกษาขอ้ มลู ของผเู้ รียนเป็นส่ิงสาคญั ในการจดั การเรียนการสอนใหม้ ีประสิทธิภาพและเกิด
ประสิทธิผลสถานศึกษาและครูผสู้ อนจึงควรศึกษาขอ้ มูลส่วนตวั ในดา้ นตา่ ง ๆ ของผเู้ รียนเช่น
สภาพแวดลอ้ มเศรษฐกิจสงั คมความตอ้ งการความสนใจและความมงุ่ หวงั ตอ่ สาขาวชิ าที่เรียน
ปัญหาเก่ียวกบั ตวั ผเู้ รียนความพร้อมในการเรียนรู้ปัญหายาเสพติดสภาพแวดลอ้ มเน้ือหาวิชายาก
เกินไปการปรับตวั เขา้ กบั สภาพการเรียนใหม่ไมไ่ ดแ้ บง่ เวลาเรียนไมเ่ หมาะสมขาดความพยายาม
ขาดความตงั ใจในการเรียนเขา้ ร่วมกิจกรรมมากเกินไปปรับตวั เขา้ กบั เพื่อน ๆ ไมไ่ ดแ้ ละความ
แตกตา่ งระหวา่ งบคุ คลอาจเป็นองคป์ ระกอบท่ีสาคญั ของการวางแผนจดั การเรียนการสอนเพราะ
ส่ิงต่าง ๆ เหลา่ น้ีอาจส่งผลใหน้ กั ศึกษามีผลการเรียนท่ีไมด่ ีจะเป็นปัญหาทาใหก้ ารเรียนการสอน
ไมส่ มั ฤทธิผลและส่งผลใหเ้ ป็นสาเหตุการออกกลางคนั ไดอ้ ยา่ งไรกต็ ามการที่นกั ศึกษาออก
กลางคนั อาจจะไมไ่ ดม้ าจากสาเหตุใดสาเหตหุ น่ึงแตอ่ าจมีองคป์ ระกอบอ่ืนเขา้ มาเกี่ยวขอ้ งไดแ้ ก่
ความรับผิดชอบต่อตนเอง
ความรับผิดชอบหมายถึงการยอมรับผลการกระทาของตนเองและการสามารถควบคุม
ตนเองไดโ้ ดยไม่กระทาในส่ิงท่ีจะเกิดความเดือดร้อนแก่ผอู้ ่ืนรวมท้งั มีการเลง็ เห็นหรือสามารถ
คาดคะเนส่ิงท่ีจะเกิดข้ึนจากการกระทาของตนท่ีจะมีตอ่ ตนเองและผอู้ ื่นดว้ ยถา้ นกั ศึกษา ผซู้ ่ึงมี
ความประพฤติดีพยายามศึกษาเล่าเรียนเพอ่ื ใหส้ าเร็จการศึกษาตามท่ีไดต้ ้งั ใจไวป้ ระพฤติตนอยู่
ในระเบียบวินยั ไมก่ ่อความเดือดร้อนใหแ้ ก่ตนเองและผอู้ ื่นยอมรับผลจากการกระทาของตนเอง
ทงั ที่ดีหรือที่ไดท้ าผดิ พลาดไปและรู้สึกนึกคิดไดว้ า่ การกระทาใดผิดหรือถูกหากรู้วา่ การกระทา
ใดผดิ ก็ไมป่ ระพฤติปฏิบตั ิอีกและประพฤติปฏิบตั ิแตใ่ นส่ิงท่ีถูกตอ้ งอยเู่ สมอจึงจดั ไดว้ า่ เป็น
บคุ คลที่มีความรับผิดชอบ
กระทรวงศึกษาธิการไดศ้ ึกษาปัจจยั ท่ีส่งผลต่อการออกกลางคนั ที่เกี่ยวขอ้ งกบั ดา้ น
ส่วนตวั ของนกั เรียนนกั ศึกษาไวด้ งั น้ี (กระทรวงศึกษาธิการ, 2540, )
1. การยา้ ยสถานศึกษาประเด็นการยา้ ยมีความสัมพนั ธก์ บั การออกกลางคนั ของนกั เรียน
นกั ศึกษาเพราะการยา้ ยสถานศึกษาทาใหข้ าดประสบการณ์ในสถานศึกษาใหม่ขาดกลุม่ เพอื่ นที่
จะคอยช่วยเหลือท้งั ในเร่ืองการเรียนการใหก้ าลงั ใจการปรับตวั ใหเ้ ขา้ กบั สังคมใหม่ก็ยอ่ มส่งผล
ต่อการเรียนและการที่ผลการเรียนถกู กระทบกระเทือนก็จะส่งผลต่อความเบ่ือหน่ายตอ่ การเรียน
และเป็นสาเหตขุ องการออกกลางคนั ไดน้ อกจากน้ีการยา้ ยสถานศึกษาท่ีวา่ มีความเก่ียวขอ้ งกบั ผล
การเรียนที่ตาลงของนกั เรียนนกั ศึกษาเนืองจากตอ้ งอยหู่ ่างไกลพ่อแมผ่ ปู้ กครองทาใหไ้ มส่ ามารถ
ควบคุมดูแลไดอ้ ยา่ งใกลช้ ิด
2. เพศมีผลต่อการออกกลางคนั ของนกั เรียนนกั ศึกษาเพศหญิงที่ออกกลางคนั มากกวา่
เพศชายในสถานศึกษาเนื่องจากการต้งั ครรภแ์ ละเพ่อื การแตง่ งานมีครอบครัว
3. การถกู ลงโทษมกั จะเก่ียวขอ้ งกบั ตวั แปรอื่นเช่น ไม่ทางาน ไม่ทาการบา้ น การทาผิด
ระเบียบวนิ ยั ของสถานศึกษาการขาดเรียนการทะเลาะวิวาทการติดยาเสพติดชูส้ าว การถูกทา
โทษมีผลตอ่ จิตใจนกั เรียนนกั ศึกษาและส่งผลตอ่ การออกกลางคนั ในที่สุด
4. สติปัญญามีผลโดยตรงต่อผลการเรียนการท่ีบุคคลมีความแตกตา่ งกนั สติปัญญาเป็น
องคป์ ระกอบหน่ึงที่สาคญั โดยเฉพาะการเรียนรู้ของแต่ละบุคคลนกั เรียนนกั ศึกษาที่มีสติปัญญาดี
สามารถเล่าเรียนไดด้ ีกวา่ นกั เรียนนกั ศึกษาท่ีมีสติปัญญาไมค่ อ่ ยดี ดงั น้นั สติปัญญาจึงส่งผลต่อ
การออกกลางคนั
5. การเบ่ือหน่ายตอ่ การเรียนนกั เรียนนกั ศึกษาที่เบ่ือหน่ายตอ่ การเรียนจะมีอตั ราเสียงใน
การออกกลางคนั เพราะการเบ่ือหน่ายตอ่ การเรียนเป็ นอปุ สรรคโดยตรงตอ่ การประสบผลสาเร็จ
ในการเรียนและนาไปสู่การออกกลางคนั
6. สาเหตดุ า้ นสถานศึกษามกั จะมงุ่ ไปท่ีพฤติกรรมของนกั เรียนนกั ศึกษาเป็นความ
ประพฤติความตงั ใจความสนใจทศั นคติตอ่ การเรียนผลการเรียนตาและการตกซ้าช้นั จะมี
ความสัมพนั ธก์ บั การออกกลางคนั
7. การสนบั สนุนทางบา้ นนกั เรียนนกั ศึกษาท่ีไดร้ ับการสนบั สนุนจากทางบา้ นจะออก
กลางคนั นอ้ ยกวา่ นกั เรียนนกั ศึกษาที่ไมไ่ ดร้ ับการสนบั สนุนทางบา้ นและการสนบั สนุนทางบา้ น
มีผลต่อการเรียนของนกั เรียนนกั ศึกษาดว้ ย
8. การขาดเรียนมีสาเหตุมาจากหลายสาเหตนุ กั เรียนนกั ศึกษามาเรียนมากทาใหก้ ารออก
กลางคนั นอ้ ยและถา้ นกั เรียนนกั ศึกษามาเรียนนอ้ ยมีความเสียงในการออกกลางคนั มาก
พฤติกรรมขาดเรียนมีสาเหตจุ ากสภาพแวดลอ้ มในสถานศึกษาและความน่าสนใจของกิจกรรม
ในช้นั เรียนการหนีเรียนถือเป็นสาเหตุการออกกลางคนั ดว้ ยเช่นกนั เพราะทาใหเ้ วลาเรียนไม่
เพยี งพอ
9. พฤติกรรมเบี่ยงเบนนกั เรียนนกั ศึกษาที่มีพฤติกรรมใชส้ ารเสพติดพฤติกรรมเส่ียงเสื่อม
เสียในเร่ืองต่าง ๆ มีความสมั พนั ธก์ บั การออกกลางคนั ของนกั เรียนนกั ศึกษาจากท่ีกล่าวมา
ขา้ งตน้ เก่ียวกบั สาเหตุดา้ นส่วนตวั ของนกั เรียน นกั ศึกษาพอสรุปไดว้ า่ นกั เรียน นกั ศึกษาเป็น
ส่วนสาคญั ของระบบการเรียนการสอนถา้ ไมม่ ีนกั เรียน นกั ศึกษาการเรียนการสอนก็จะไม่
สามารถเกิดข้ึนไดน้ กั เรียน นกั ศึกษาจะตอ้ งมีความพร้อมทีจะรับการเรียนรู้และประสบการณ์
ใหมๆ่ ท่ีจะเกิดข้ึนในสถานศึกษาอยา่ งไรกต็ ามจากการศึกษาพบวา่ การออกกลางคนั มีสาเหตมุ า
จากเรื่องส่วนตวั ของนกั เรียนนกั ศึกษาเป็นสาคญั อนั เป็นผลมาจากปัญหาดา้ นการศึกษาเล่าเรียน
ดา้ นร่างกายจิตใจอารมณ์สงั คมสติปัญญาสภาพแวดลอ้ มทวั่ ไปพฤติกรรมเบี่ยงเบนการคบเพอ่ื น
การยา้ ยสถานศึกษาการถูกทาโทษการเสพสารเสพติดสภาพครอบครัวทีส่งผลตอ่ ตวั นกั เรียน
นกั ศึกษาและพ้นื ฐานความรู้เดิมทีมีนอ้ ยทาใหเ้ กิดความเบื่อหน่ายตอ่ การเรียนส่งผลใหข้ าดเรียน
บอ่ ยและผลสุดทา้ ยตอ้ งออกจากสถานศึกษาก่อนที่จะเรียนจบครบตามท่ีหลกั สูตรกาหนด
2.3.3 หลกั สูตรปริญญาตรีสายเทคโนโลยหี รือสาย
ปฏิบตั ิการ
2.4 หลกั สูตรอดุ มศึกษา (ภายใตก้ รอบมาตรฐานคณุ วฒุ ิ
อุดมศึกษา)
คณุ ภาพอดุ มศึกษาไทยในปัจจุบนั ไดม้ ีการพฒั นาอยา่ งตอ่ เนื่อง โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อส่งเสริมและ
พฒั นาผเู้ รียนใหม้ ีการพฒั นาความรู้ระดบั สูงเพอื่ นาไปใชป้ ระโยชน์ต่อสังคมในอนาคต การศึกษาใน
ระดบั อุดมศึกษาน้นั ยงั รวมถึงการใหผ้ เู้ รียนคน้ ควา้ หาความรู้ดว้ ยตนเอง เพื่อใหผ้ ลผลิตของอดุ มศึกษาซ่ึงเป็น
บณั ฑิตท่ีสาเร็จการศึกษาออกไปน้นั มีความสมบูรณ์ท้งั ดา้ นร่างกาย จิตใจ และสติปัญญาควบคู่ไปกบั ความรู้
ทางวิชาการ แมว้ า่ การพฒั นาคุณภาพของการอดุ มศึกษาไทยมีการดาเนินการมาอยา่ งต่อเน่ือง แต่ในปัจจุบนั ก็
ยงั พบวา่ คณุ ภาพอุดมศึกษายงั ไม่มีคณุ ภาพเท่าที่ควรในหลายประเด็น สาเหตุหลกั มีหลายประการ
ประกอบดว้ ย
1. สถาบนั อดุ มศึกษาปรับตวั ไม่ทนั ต่อการเปล่ียนแปลง โดยเฉพาะในเร่ืองการสร้างและพฒั นาคณุ ภาพ
มาตรฐานการเรียนการสอนและการวจิ ยั เปิ ดหลกั สูตรตามความพอใจ โดยไมค่ านึงถึงคณุ ภาพและ
มาตรฐานการศึกษา ขาดการวางแผนพฒั นาสถาบนั ในระยะยาว รวมถึงคณะกรรมการบริหาร
สถาบนั /สภาสถาบนั อดุ มศึกษาท้งั ของรัฐและเอกชนหลายแห่งไมม่ ีการบริหารจดั การท่ีดี
2. มหาวทิ ยาลยั ไทยโดยภาพรวมยงั มีจุดออ่ นเรื่องการบริหารจดั การเชิงคุณภาพ โดยเฉพาะการเป็น
มหาวทิ ยาลยั วิจยั ซ่ึงจะสงั เกตไดว้ า่ มหาวิทยาลยั ท่ีติดอนั ดบั มหาวิทยาลยั ช้นั นาของโลกลว้ นเป็น
มหาวิทยาลยั วจิ ยั ท้งั สิ้น
3. ทิศทางการพฒั นาสถาบนั อุดมศึกษาในภาพรวมไมช่ ดั เจน เกิดความซ้าซอ้ นในเรื่องการใหบ้ ริการ
บุคลากรท่ีจะเขา้ มาในมหาวิทยาลยั เช่น ผบู้ ริหาร ส่วนหน่ึงไมม่ ีความรู้ทางดา้ นการบริหาร แตจ่ ะมี
ความรู้เฉพาะดา้ นงานวิชาการเท่าน้นั รัฐบาลควรมีการจดั อบรมการเป็นผบู้ ริหารข้นึ มาเหมือนกบั
ขา้ ราชการสายอ่ืน
4. บณั ฑิตที่จบการศึกษาออกมาบางส่วนไมไ่ ดค้ ุณภาพ และมีปัญหาในดา้ นภาษาองั กฤษ
สถาบนั การศึกษาควรดึงผปู้ ระกอบการเขา้ ไปร่วมพฒั นาหลกั สูตรและพฒั นาบคุ ลากร และเปิ ด
โอกาสใหน้ กั ศึกษาเขา้ ไปฝึกงานในสถานประกอบการต้งั แต่ยงั เรียนอยู่ รวมถึงวกิ ฤติอุดมศึกษาไทย
ช่วง 7 ปี ที่ผา่ นมา ท้งั มหาวิทยาลยั รัฐและมหาวทิ ยาลยั ราชภฏั 300 แห่ง และเปิ ดหลกั ระดบั ปริญญา
ตรีและโท บางแห่งใชก้ ลยทุ ธ์ "จบงา่ ย" ในการดึงดูดผเู้ รียน ขณะที่ผเู้ รียนเขา้ มาเรียนเพอ่ื หวงั ใบ
ปริญญาตามสโลแกนจ่ายครบจบแน่ ซ่ึงเป็นการทาลายคุณภาพอดุ มศึกษาไทย และทาใหบ้ ณั ฑิตที่
สาเร็จการศึกษาออกมาไมม่ ีคุณภาพตามที่สังคมคาดหวงั ไว้
5. การจดั ต้งั สถาบนั อดุ มศึกษาส่วนใหญ่เป็นการจดั ต้งั ดว้ ยเหตผุ ลทางการเมือง ไม่ไดค้ านึงถึงคุณภาพ
และความพร้อมของการเป็นสถาบนั อดุ มศึกษา รวมถึงไมม่ ีการจดั ระบบความหลากหลายของ
สถาบนั อดุ มศึกษา ทาใหท้ ิศทางการส่งเสริมพฒั นาและกากบั มาตรฐานไม่ชดั เจนและไมต่ อ่ เน่ือง อีก
ท้งั สถาบนั อดุ มศึกษาไทยในปัจจุบนั ส่วนมากมุ่งเขา้ สู่ธุรกิจอุดมศึกษา มีการขายปริญญาบตั ร เปิ ด
หลกั สูตรจานวนมาก การถา่ ยทอดความรู้แบบสาเร็จรูปตามแบบตะวนั ตก เน่ืองจากมหาวทิ ยาลยั
ไทยกา้ วเขา้ สู่กบั ดกั ทางธุรกิจการศึกษา
6. รัฐบาลไม่มีการควบคมุ การเปิ ดสาขาวชิ าของแตล่ ะมหาวทิ ยาลยั ใหต้ รงตามความตอ้ งการของ
ประเทศและตลาดแรงงาน ดงั น้นั ควรส่งเสริมใหน้ ิสิตนกั ศึกษากูเ้ งินเพ่ือศึกษาในสาขาวิชาที่
ตลาดแรงงานตอ้ งการ เพ่ือใหบ้ ณั ฑิตที่จบออกมามีงานทา
7. จาก พรบ. การศึกษา 15 ปี ระหวา่ งปี พ.ศ. 2533-2547 ที่ผา่ นมาไดม้ ีการกาหนดสัดส่วนผเู้ รียนสาย
วิทยาศาสตร์และสายสังคมท่ี 50 : 50 และกาหนดใหแ้ ต่ละมหาวทิ ยาลยั มีสัดส่วนอาจารยท์ ่ีจบ
ปริญญาเอกปริญญาโท และปริญญาตรี อยทู่ ่ี 3:6:1ท่ีสาคญั ตอ้ งการใหผ้ ูเ้ รียนรับภาระคา่ เรียนเพ่มิ ข้นึ
เม่ือสิ้นแผนฯสามารถดาเนินการตามเป้าหมายไดห้ ลายเรื่อง แต่ที่ยงั ทาไม่ไดค้ ือ สดั ส่วนผเู้ รียนสาย
วทิ ยแ์ ละสายสังคม 50:50 น้นั ทาไดเ้ ฉพาะในมหาวิทยาลยั ปิ ด สัดส่วนอาจารยท์ ่ีจบปริญญาเอก
ปริญญาโท และปริญญาตรี น้นั ทาไดเ้ ฉพาะในมหาวิทยาลยั รัฐเพียง 24 แห่งเทา่ น้นั
แนวทางในการพฒั นาการอุดมศึกษาของไทยในอนาคต
ผลการวจิ ยั ของสานกั งานเลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) เร่ือง ผลกระทบโลกาภิวตั น์ต่อการจดั
การศึกษาไทยในอีก 5 ปี ขา้ งหนา้ ( เกรียงศกั ด์ิ เจริญวงศศ์ กั ด์ิ , 2550 ) ซ่ึงเป็นท่ีปรึกษาโครงการวิจยั ได้
คาดการณ์แนวโนม้ สาคญั ของสถาบนั อุดมศึกษาไทยไวห้ ลายประการ
สถาบนั อุดมศึกษาแสวงหาเอกลกั ษณ์ดา้ นคุณภาพและความแตกตา่ ง ผเู้ รียนมีความตอ้ งการ
การศึกษาที่มีคุณภาพและสอดคลอ้ งกบั ความตอ้ งการของตลาดแรงงาน และผเู้ รียนมีโอกาสเลือก
สถาบนั อุดมศึกษาไดม้ ากข้ึน ส่งผลใหส้ ถาบนั อดุ มศึกษาต่างพยายามพฒั นาตนเองใหแ้ ข่งขนั ได้ ดว้ ยเหตุน้ี
สถาบนั อุดมศึกษาจึงตอ้ งคน้ หาเอกลกั ษณ์เฉพาะที่ถนดั ทาไดด้ ี มีความเชี่ยวชาญ และมีประสิทธิภาพท่ีสุด
เพ่อื ทุม่ ทรัพยากรในการพฒั นาหลกั สูตร การจดั การเรียนการสอน การวิจยั
สถาบนั อดุ มศึกษาจะเชื่อมโยงเป็นเครือขา่ ย สภาพของความจากดั ทางทรัพยากร ส่งผลให้
สถาบนั อุดมศึกษาตา่ งมงุ่ สร้างเครือขา่ ยความร่วมมือกบั หน่วยงานภายหรือสถาบนั อุดมศึกษาอื่น ๆ มากข้ึน
เพื่อเสริมจุดออ่ นจุดแขง็ กนั และกนั หรือแลกเปลี่ยนองคค์ วามรู้
สถาบนั อุดมศึกษามุ่งจดั การศึกษาเฉพาะทาง มีแนวโนม้ วา่ จะมีบางมหาวิทยาลยั มุง่ จดั การศึกษา
เฉพาะที่เป็นการลงลึกระดบั เช่ียวชาญ อนั เป็นการพฒั นาการจดั การศึกษาท่ีมีคุณภาพระดบั สูง และเป็นการ
เพ่มิ ความสามารถแข่งขนั ใหม้ หาวิทยาลยั
สถาบนั อดุ มศึกษามงุ่ ผลิตผลงานวิจยั จากสภาพการแขง่ ขนั ของสถาบนั อุดมศึกษาท่ีรุนแรงข้ึน
ส่งผลใหม้ หาวทิ ยาลยั บางแห่งอาจปรับยทุ ธศาสตร์ไปสู่ทิศการมงุ่ ผลิตผลงานวิจยั ท่ีมีคุณภาพ โดยสร้างองค์
ความรู้และนวตั กรรมใหม่ ๆ รวมถึงการบุกเบิกการใชเ้ ทคโนโลยสี มยั ใหม่ จนเป็นท่ีรู้จกั และยอมรับจาก
นกั ศึกษาทว่ั โลก
สถาบนั อุดมศึกษาบนเครือขา่ ยอินเทอร์เนต็ มีการใชป้ ระโยชน์จากเทคโนโลยสี ารสนเทศเพ่ือการ
สร้างความสามารถในการแข่งขนั การพฒั นาคุณภาพการเรียนการสอน และการผลิตผเู้ รียนใหเ้ ป็นที่ตอ้ งการ
ของตลาดแรงงาน อยา่ งไรก็ตาม ขอ้ พึงระวงั ในการจดั การศึกษารูปแบบน้ี คือ คุณภาพการจดั การศึกษา
สถาบนั อุดมศึกษาท่ีใชห้ ลกั สูตรตน้ แบบจากตา่ งประเทศ การขยายตวั ดา้ นการลงทนุ ทางการศึกษาท่ี
แข่งขนั มากข้ึน สถาบนั อุดมศึกษาที่มีช่ือเสียงระดบั โลกพยายามทาตลาดการศึกษาไปยงั ประเทศตา่ ง ๆ
รวมถึงประเทศไทย ในขณะท่ีคนในสังคมไทยต่างตอ้ งการหลกั สูตรการศึกษาที่มีคุณภาพที่มีความน่าเชื่อถือ
ระดบั สากล หรืออาจเป็นการเปิ ดหลกั สูตรร่วมกนั ระหวา่ งมหาวิทยาลยั ในประเทศไทยกบั มหาวทิ ยาลยั ท่ีมี
ชื่อเสียงในต่างประเทศ เป็นตน้
สถาบนั อดุ มศึกษาไทยยงั ไมส่ ามารถขยายตลาดการศึกษาไปยงั ต่างประเทศ การเปิ ดเสรีทางการ
ศึกษาของไทยยงั ไม่มีความพร้อมเพียงพอ ความสามารถในการแข่งขนั กบั สถาบนั อดุ มศึกษาจาก
ต่างประเทศที่มีคณุ ภาพมากกวา่
สถาบนั อุดมศึกษาที่มุ่งเชิงพาณิชยม์ ากข้นึ การเปล่ียนแปลงสถาบนั อุดมศึกษาเป็นมหาวิทยาลยั ใน
กากบั ส่งผลใหส้ ถาบนั อดุ มศึกษาไทยตอ้ งพ่ึงตวั เองมากข้ึน โดยพฒั นาไปสู่การดาเนินกิจการเชิงพาณิชยม์ าก
ข้นึ โดยเฉพาะในกลุ่มสถาบนั อุดมศึกษาเอกชน ท่ีตอ้ งหารายไดเ้ ล้ียงตวั เองมากกวา่ สถาบนั อุดมศึกษาของรัฐ
ดงั จะเห็นไดจ้ ากมหาวทิ ยาลยั ในประเทศไทยหลายแห่งในปัจจุบนั ต่างหาช่องทางท่ีจะนารายไดเ้ ขา้ สู่
มหาวิทยาลยั ในรูปแบบต่าง ๆ เช่น การจดั ทาโฆษณา การเปิ ดหลกั สูตรปริญญาโท ปริญญาเอก
3. แนวโนม้ การพฒั นาหลกั สูตรในศตวรรษท่ี 21
ความเจริญกา้ วหนา้ อยา่ งรวดเร็วทางดา้ นเทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสาร
(Information and Communication Technology : ICT) ทาใหท้ กั ษะที่จาเป็นสาหรับคนใน ยคุ
ศตวรรษท่ี 21 มีความแตกตา่ งไปจากยคุ ศตวรรษที่ 20 เหตุเน่ืองจากงานท่ีเคยใชค้ นทางานกบั
เคร่ืองจกั รกาลงั เปล่ียนแปลงอยา่ งต่อเนื่อง เพราะคอมพวิ เตอร์และเทคโนโลยโี ทรคมนาคมได้
ขยายขีดความสามารถจนสามารถทางานแทนท่ีคนได้ ทาใหส้ ดั ส่วนแรงงานลดลงเกิดข้ึนในงาน
ท่ีใชส้ มั ผสั รับรู้อยา่ งจาเจและงานท่ีใชแ้ รงงานแบบซ้าๆซากๆ ซ่ึงเป็นงานที่ป้อนคาสัง่ ให้
คอมพวิ เตอร์ทาแทน แต่สดั ส่วนแรงงานระดบั ชาติบางส่วนที่เพิ่มข้ึนในงานที่เนน้ การคิดอยา่ ง
ผเู้ ชี่ยวชาญและตอ้ งใช้ การสื่อสารที่ซบั ซอ้ นซ่ึงเป็ นงานท่ีคอมพวิ เตอร์ไม่สามารถทาแทนได้
องคป์ ระกอบของการคิดอยา่ งเชี่ยวชาญคือ การเชื่อมโยงแบบแผนหรือระบบอยา่ งมี
ประสิทธิผลโดยใชค้ วามรู้อยา่ งละเอียดและการรู้เทา่ ทนั ความคิด (metacognition) ซ่ึงการคน้ พบ
วธิ ีการแกไ้ ขปัญหาดว้ ยตนเองโดยที่วธิ ีการมาตรฐานทวั่ ไปใชไ้ ม่ไดผ้ ลคือทกั ษะท่ีสาคญั ยง่ิ ของ
มนุษยใ์ นโลกยคุ เทคโนโลยสี ารสนเทศและการสื่อสารท่ีมีการสื่อสารอนั ซบั ซอ้ น โดยในแต่ละ
วนิ าทีมีการแลกเปล่ียนขอ้ มูลจานวนมากมายท้งั แบบวจั นภาษา (verbal)และแบบอวจั นภาษา
(nonverbal) โดยท่ีทิศทางของขอ้ มูลมีการปรับเปล่ียนตลอดเวลา เพราะการสื่อสารจะพฒั นาไป
อยา่ งที่ไม่อาจคาดเดาได้ ดงั น้นั คนจึงตอ้ งมีความเช่ียวชาญในการสื่อสารท่ีซบั ซอ้ นข้ึนจากยคุ เดิม
ตอ้ งมีไหวพริบในการตอบคาถามเฉพาะหนา้ อยา่ งฉบั พลนั และควบคุมการเจรจา ถกเถียง ที่ไม่
เป็นระเบียบไดอ้ ยา่ งราบร่ืน หรือถา้ เป็นครูกต็ อ้ งเป็ นครูท่ีเช่ียวชาญในการส่ือสารและมีไหวพริบ
ในการจดั การและควบคุมหอ้ งเรียนที่วนุ่ วายใหเ้ ป็นหอ้ งเรียนที่มีการเรียนรู้อยา่ งเป็นระบบ
ราบรื่น และสามารถส่งเสริมใหผ้ เู้ รียนเกิดองคค์ วามรู้ท่ีชดั เจน
ทกั ษะการร่วมมือทางานนบั วา่ เป็นอีกทกั ษะหน่ึงท่ีมีความสาคญั ยง่ิ ต่อคนในศตวรรษที่ 21
มากเพราะความสาเร็จของงานในระบบเศรษฐกิจท่ีใชค้ วามรู้ตอ้ งอาศยั การทางานเป็นทีมมากข้ึน
โดยท่ีความเช่ียวชาญและบทบาทของสมาชิกในทีมต่างช่วยเสริมซ่ึงกนั และกนั ซ่ึงพนกั งานใน
ศตวรรษท่ี 21 จะสามารถทางานใหป้ ระสบความสาเร็จไดโ้ ดยใชป้ ฏิสัมพนั ธ์ผา่ นสื่อ (mediated
interaction) กบั เพื่อนร่วมงานในอีกเมือง อีกประเทศ หรืออีกซีกโลกไดโ้ ดยไมเ่ คยพบปะกนั เลย
ดงั น้นั ทกั ษะในการมีปฏิสัมพนั ธก์ บั ผอู้ ่ืนเพอ่ื ร่วมทางานจึงมีความสาคญั อยา่ งยงิ่ และทกั ษะน้ี
น่าจะมีความซบั ซอ้ นมากข้ึนในความเจริญท่ีมีอยา่ งไม่หยดุ ย้งั
จากความเจริญกา้ วหนา้ อยา่ งรวดเร็วทางดา้ นเทคโนโลยสี ารสนเทศและการส่ือสารน้ีทา
ใหเ้ ราไดร้ ับขอ้ มลู ขา่ วสารมากมายที่ไหลบ่ า่ เขา้ มาอยา่ งรวดเร็ว ซ่ึงในศตวรรษท่ี 21 เราคงไม่
คน้ หาขอ้ มูลจากหนงั สือในหอ้ งสมดุ อยา่ งในศตวรรษที่ 20 แต่เราสามารถคน้ หาขอ้ มลู จาก
โปรแกรมคน้ หาสมยั ใหม่ซ่ึงอาจไดข้ อ้ มูลหลายหม่ืนหลายแสนชิ้นภายในไม่กี่วินาที แต่ขอ้ มูล
เหล่าน้นั คงมีจานวนไมน่ อ้ ยท่ีไมต่ รงกบั ความตอ้ งการของเราหรือไม่ตรงกบั วตั ถปุ ระสงคท์ ี่
กาหนดไว้ หรืออาจพบขอ้ มลู ท่ีขดั แยง้ กนั ดงั น้นั ความสามารถในการกรองขอ้ มลู ขา่ วสารจึงเป็น
อีกทกั ษะหน่ึงที่มีความจาเป็นอยา่ งยงิ่ ที่ตอ้ งไดร้ ับการพฒั นาเพือ่ ใหค้ นสามารถเลือก แยกแยะ
และสกดั เฉพาะขอ้ มลู ข่าวสารท่ีสาคญั ต่อการตดั สินใจ เพอ่ื ดาเนินการเรื่องใดเรื่องหน่ึงไดอ้ ยา่ งมี
ประสิทธิภาพ
เมื่อพจิ ารณาถึงการจดั การศึกษาของไทยในปัจจุบนั ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษา ข้นั
พ้นื ฐาน พุทธศกั ราช 2551 (กระทรวงศึกษาธิการ, 2552: 25) ท่ีไดน้ าเสนอแนวทางการจดั การ
เรียนรู้โดยเนน้ “การจดั การเรียนรู้ท่ีเนน้ ผเู้ รียนเป็นสาคญั โดยผเู้ รียนจะตอ้ งอาศยั กระบวนการ
เรียนรู้ที่หลากหลายเป็นเครื่องมือที่จะนาพาตนเองไปสู่เป้าหมายของหลกั สูตร ซ่ึงกระบวนการ
เรียนรู้ที่จาเป็นสาหรับผเู้ รียน ไดแ้ ก่ กระบวนการเรียนรู้แบบบูรณาการ กระบวนการสร้างความรู้
กระบวนการคิด กระบวนการทางสังคม กระบวนการเผชิญสถานการณ์และแกป้ ัญหา
กระบวนการเรียนรู้จากประสบการณ์จริง กระบวนการปฏิบตั ิ ลงมือทาจริง กระบวนการจดั การ
กระบวนการวจิ ยั กระบวนการเรียนรู้ดว้ ยตนเอง และกระบวนการพฒั นาลกั ษณะนิสยั ซ่ึงผสู้ อน
จาเป็นตอ้ งศึกษาทาความเขา้ ใจในกระบวนการเรียนรู้ต่างๆ เพ่อื ใหส้ ามารถเลือกใชใ้ นการจดั
กระบวนการเรียนรู้ไดอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพ” เมื่อนามาเทียบเคียงกบั ทกั ษะผเู้ รียนในศตวรรษที่
21 ท่ีควรไดร้ ับการพฒั นาแลว้ นบั วา่ เป็นหลกั สูตรท่ีมีความพยายามใหค้ รูผสู้ อนไดพ้ ฒั นาตนเอง
เพ่ือพฒั นาผเู้ รียนใหเ้ รียนรู้โดยผา่ นกระบวนการเรียนรู้ของตนเองมากข้ึน แต่ยงั ไม่เนน้ ย้าที่
ชดั เจนในเร่ืองของทกั ษะสาคญั ในการใชเ้ ทคโนโลยใี นศตวรรษท่ี 21 ซ่ึงการใชเ้ ทคโนโลยี
สารสนเทศและการสื่อสารของโรงเรียนในปัจจุบนั น้ียงั ถือวา่ เป็นแนวทางเดิมแบบศตวรรษที่ 20
ซ่ึงใชไ้ อซีทีเป็นเคร่ืองมือเพ่ิมประสิทธิผลของการสอนแบบเก่า เช่น การใชโ้ ปรแกรม
ประมวลผลคาเพอื่ เพิ่มผลงาน การใชค้ อมพวิ เตอร์พิมพง์ าน การใชโ้ ปรแกรมช่วยคานวณขอ้ มูล
ซ่ึงเป็นการเพมิ่ ความสะดวกในการทางาน แตก่ ารใชเ้ ทคโนโลยดี งั กลา่ วยงั ไม่ไดใ้ ชป้ ระโยชน์
จากไอซีทีไดอ้ ยา่ งเตม็ ท่ีในการแสดงความคิดเห็น แลกเปลี่ยนประสบการณ์ ตีความ ตดั สินใจ
และใชส้ ารสนเทศในการสร้างสรรคช์ ิ้นงาน ซ่ึงเป็ นทกั ษะท่ีจาเป็นอยา่ งยงิ่ ในการทางานและการ
ใชช้ ีวิตของคนในศตวรรษท่ี 21 ดงั น้นั แนวโนม้ การปรับปรุงแกไ้ ขหลกั สูตรการศึกษาข้นั พ้นื ฐาน
จึงจาเป็นตอ้ งมีการปรับเปลี่ยนแนวทางการพฒั นาครูและผเู้ รียนใหท้ นั ตอ่ การเปลี่ยนแปลงของ
โลกในอนาคต
กรอบความคิดหลกั สาหรับทกั ษะแห่งศตวรรษท่ี 21
เพือ่ ใหเ้ ห็นฐานความคิดและแนวทางการพฒั นาหลกั สูตรในศตวรรษท่ี 21 ท่ีชดั เจน จึงได้
นาเสนอกรอบความคิดเชิงมโนทศั น์เก่ียวกบั ทกั ษะที่จาเป็นของผเู้ รียนในศตวรรษที่ 21 ของ
องคก์ รและบุคคลต่างๆ ไวด้ งั ตอ่ ไปน้ี (วรพจน์ วงศก์ ิจรุ่งเรือง และ อธิป จิตตฤกษ,์ 2554: 118-
137)
1. กรอบความคิดของภาคีเพอื่ ทกั ษะแห่งศตวรรษที่ 21 (Partnership for 21st Century
Skills,2007) ไดน้ าเสนอแนวคิดเก่ียวกบั ทกั ษะแห่งศตวรรษที่ 21ที่ถูกนาไปใชอ้ า้ งอิง อยา่ ง
กวา้ งขวาง ดงั น้ี
1.1 วชิ าแกน (core subject) พระราชบญั ญตั ิการศึกษาพ้ืนฐานถว้ นหนา้ ค.ศ. 2001 (No
Child Left Behind Act of 2001) ของสหรัฐอเมริกา ไดก้ าหนดวิชาแกนท่ีจาเป็นตอ้ งเรียนรู้ไว้ คือ
วิชาภาษาองั กฤษ การอ่าน ศิลปะการใชภ้ าษา คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ภาษาตา่ งประเทศ หนา้ ที่
พลเมือง การปกครอง เศรษฐศาสตร์ ศิลปะ ประวตั ิศาสตร์ และภูมิศาสตร์
1.2 เน้ือหาสาหรับศตวรรษท่ี 21 เน้ือหาในสาขาใหมๆ่ ท่ีสาคญั ตอ่ ความสาเร็จในที่ทางาน
และชุมชน แต่โรงเรียนต่างๆในทกุ วนั น้ีไม่ไดเ้ นน้ ในการนาไปสอน ไดแ้ ก่ จิตสานึกตอ่ โลก
ความรู้พ้ืนฐานดา้ นการเงิน เศรษฐกิจ ธุรกิจ และการเป็นผปู้ ระกอบการ ความรู้พ้นื ฐานดา้ น
พลเมือง และความตระหนกั ในสุขภาพและสวสั ดิภาพ
1.3 ทกั ษะการเรียนรู้และการคิด นอกจากการเรียนรู้เน้ือหาวชิ าการแลว้ นกั เรียนจาเป็นตอ้ ง
รู้จกั วิธีการเรียนรู้อยา่ งต่อเน่ืองตลอดชีวิต รู้จกั ใชส้ ่ิงที่เรียนมาอยา่ งมีประสิทธิภาพและ
สร้างสรรค์ ทกั ษะการเรียนรู้และการคิด ประกอบดว้ ย การคิดเชิงวิพากษ์ ทกั ษะการแกป้ ัญหา
ทกั ษะการสร้างสรรคแ์ ละผลิตนวตั กรรม ทกั ษะการทางานร่วมกนั ทกั ษะการเรียนรู้ตามบริบท
และทกั ษะพ้นื ฐานดา้ นขอ้ มลู และสื่อ
1.4 ความรู้พ้ืนฐานไอซีที (ICT literacy) ความรู้พ้นื ฐานดา้ นเทคโนโลยีสารสนเทศและการ
สื่อสาร คือความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยเี พ่อื พฒั นาความรู้และทกั ษะแห่งศตวรรษที่ 21 ใน
บริบทของการเรียนรู้วชิ าแกน นกั เรียนตอ้ งใชเ้ ทคโนโลยใี หเ้ ป็นเพ่อื เรียนรู้เน้ือหาและทกั ษะ
และจะไดเ้ รียนรู้วธิ ีการเรียนรู้ การคิดเชิงวิพากษ์ การแกไ้ ขปัญหา การใชข้ อ้ มูลข่าวสาร การ
สื่อสาร การผลิตนวตั กรรม และการร่วมมือทางาน
1.5 ทกั ษะชีวติ ทกั ษะชีวิตท่ีสาคญั ท่ีควรส่งเสริมใหผ้ เู้ รียน ไดแ้ ก่ ความเป็นผนู้ า ความมี
จริยธรรม การรู้จกั รับผิดชอบ ความสามารถในการปรับตวั การรู้จกั เพ่ิมพนู ประสิทธิผลของ
ตนเอง ความรับผิดชอบต่อตนเอง ทกั ษะในการเขา้ ถึงคน ความสามารถในการช้ีนาตนเอง และ
ความรับผดิ ชอบต่อสังคม
คณุ ลกั ษณะทส่ี าคญั ของผ้เู รียนในศตวรรษที่ 21
จากแนวคิดขององคก์ ร ผทู้ ี่เก่ียวขอ้ ง และนกั การศึกษาขา้ งตน้ แสดงใหเ้ ห็นถึงคุณลกั ษณะของ
ผเู้ รียนในศตวรรษท่ี 21 ที่ควรจะไดร้ ับการพฒั นามี 3 องคป์ ระกอบหลกั ดงั น้ี
1. ดา้ นความรู้ ความรู้ท่ีควรไดร้ ับการส่งเสริมใหผ้ เู้ รียนในศตวรรษท่ี 21 ประกอบดว้ ย
จิตสานึกต่อโลก การเงิน เศรษฐกิจ ธุรกิจ และการเป็นผปู้ ระกอบการ ความเป็นพลเมือง
วฒั นธรรมมนุษยแ์ ละโลกทางกายภาพและโลกธรรมชาติ สุขภาพและสวสั ดิภาพ วิทยาศาสตร์
เทคโนโลยสี ารสนเทศและการส่ือสาร ความรู้พ้ืนฐานเชิงทศั นาการ” (visual literacy) ความรู้
พ้นื ฐานทางขอ้ มูลข่าวสาร ความรู้พ้นื ฐานทางพหุวฒั นธรรม (multicultural literacy) และความรู้
พ้นื ฐานในเรื่องปริมาณ
2. ดา้ นทกั ษะการเรียนรู้และการคิด ทกั ษะการเรียนรู้และการคิดที่ควรไดร้ ับการส่งเสริม
ใหผ้ เู้ รียนในศตวรรษท่ี 21 ประกอบดว้ ย ความอยากรู้/จิตแห่งวทิ ยาการ (Disciplined Mind) การ
คิดระดบั สูง การคิดเชิงวพิ ากษ์ ทกั ษะการแกป้ ัญหา จดั การและแกไ้ ขความขดั แยง้ ทกั ษะการ
สังเคราะห์ (Synthesizing Mind) ทกั ษะการคิดเชิงสร้างสรรคแ์ ละผลิตนวตั กรรม ทกั ษะการ
ทางานเป็นทีม/การทางานร่วมกนั /การสร้างเครือขา่ ย ทกั ษะปฏิสมั พนั ธ์ระหวา่ งบุคคล/การเรียนรู้
แบบมีส่วนร่วม ทกั ษะการเรียนรู้ตามบริบท ทกั ษะดา้ นไอซีที ทกั ษะการใชว้ ิธีการเรียนรู้ ทกั ษะ
การใชข้ อ้ มูลขา่ วสารและการสื่อสาร ทกั ษะการผลิตนวตั กรรม ทกั ษะการจดั ลาดบั ความสาคญั
ทกั ษะการวางแผนและการจดั การเพ่อื ม่งุ ผลลพั ธ์ ทกั ษะการใชเ้ ครื่องมือจริงอยา่ งมีประสิทธิภาพ