1
รายงานการวจิ ัยในชัน้ เรยี น
เร่ือง
การพฒั นาทกั ษะการฟงั และการพดู ของเดก็ ปฐมวัย
โดยกจิ กรรมการเล่านทิ านด้วยเทคนคิ ทีห่ ลากหลาย
ผูว้ ิจัย
ธวัลรัตน์ กันสม
รายงานการวิจัยปฏบิ ัติการในช้นั เรยี นฉบบั นเี้ ปน็ สว่ นหน่งึ ของการศกึ ษา
รายวชิ า 1005809 การปฏิบตั ิการสอนในสถานศกึ ษา 2 (Internship-Externship 2)
หลกั สตู รศกึ ษาศาสตรบัณฑิต สาขาการศกึ ษาปฐมวัย
คณะครศุ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั สวนดุสิต
ภาคเรยี นที่ 2 ปกี ารศกึ ษา 2563
2
รายงานการวจิ ัยในชัน้ เรยี น
เร่ือง
การพฒั นาทกั ษะการฟงั และการพดู ของเดก็ ปฐมวัย
โดยกจิ กรรมการเล่านทิ านด้วยเทคนคิ ทีห่ ลากหลาย
ผูว้ ิจัย
ธวัลรัตน์ กันสม
รายงานการวิจัยปฏบิ ัติการในช้นั เรยี นฉบบั นเี้ ปน็ สว่ นหน่งึ ของการศกึ ษา
รายวชิ า 1005809 การปฏิบตั ิการสอนในสถานศกึ ษา 2 (Internship-Externship 2)
หลกั สตู รศกึ ษาศาสตรบัณฑิต สาขาการศกึ ษาปฐมวัย
คณะครศุ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั สวนดุสิต
ภาคเรยี นที่ 2 ปกี ารศกึ ษา 2563
3
คำนำ
รายงานการวิจัยในชั้นเรียน เรื่อง การพัฒนาทักษะการฟังและการพูดของเด็กปฐมวัย
โดยกิจกรรมการเล่านิทานด้วยเทคนิคที่หลากหลาย ฉบับน้ีจัดขึ้นเพื่อประกอบการเรียนการสอน
รายวิชา 1005809 การปฏิบัติการสอนในสถานศึกษา 2 ปีการศึกษา 2/2563 โดยมีวัตถุประสงค์
เพื่อพัฒนาและเปรียบเทียบทักษะการฟังและการพูดของเด็กปฐมวัย โดยกิจกรรมการเล่านิทานด้วย
เทคนิคที่หลากหลาย คำนึงถึงพัฒนาการของเด็กทั้ง 4 ด้าน ด้านร่างกาย อารมณ์-จิตใจ สังคม
สติปญั ญา และเสริมสรา้ งคุณค่าชีวติ ที่ดีงามในสงั คมอย่างมปี ระสทิ ธภิ าพ
ทั้งนี้รายงานการวิจัยในชั้นเรียน จะสำเร็จลุร่วงไปด้วยดีจากการให้คำปรึกษาจาก
อาจารย์ ปิยนัยน์ ภู่เจริญ ที่ได้ให้ความกรุณาชี้แนะแนวทางการตรวจสอบและแก้ไขข้อบกพร่องของ
รายงานการวิจยั ในชัน้ เรยี นจนสำเรจ็ ด้วยดี ผจู้ ัดทำหวังเปน็ อย่างย่ิงวา่ ผู้ที่อ่านรายการวิจัยในชั้นเรียน
ฉบับน้ีจะได้รับความรู้จากรายงานการวิจัยในชั้นเรียนเรื่องนี้และหวังว่าจะเป็นประโยชนก์ ับผู้อ่านทกุ
ทา่ น หากมขี อ้ แนะนำหรอื ผดิ พลาดประการใด ผจู้ ดั ทำขอนอ้ มรับไว้ และขออภัยมา ณ ทน่ี ้ีดว้ ย
ผู้จัดทำ
ธวัลรตั น์ กนั สม
ก
กิตติกรรมประกาศ
การวิจัยในชั้นเรียน เรื่อง การพัฒนาทักษะการฟังและการพูดของเด็กปฐมวัย โดยกิจกรรม
การเล่านิทานด้วยเทคนิคที่หลากหลาย ฉบับนี้สำเร็จลุล่วงได้ด้วยความอนุเคราะห์จากหลายๆ ฝ่าย
ดังตอ่ ไปน้ี
ขอกราบขอบพระคุณ อาจารย์ ปิยนัยน์ ภู่เจริญ ที่ปรึกษางานวิจัยที่ได้ให้ความกรุณาในการ
แนะนำ แก้ไขข้อบกพรอ่ งปรับปรงุ จนสำเร็จลรุ ว่ งตามวตั ถุประสงค์
ขอกราบขอพระคุณ อาจารย์ ดร.อุบลรัตน์ หริณวรรณ และ คุณครู เสาวภาพ เครือวัง
ที่กรุณาเป็นผู้เชี่ยวชาญ ในการตรวจแบบประเมินทักษะการฟังและการพูดของเด็กปฐมวัยและ
แผนการจดั ประสบการณ์
ขอขอบคุณกลุ่มประชากร ได้แก่ เด็กนักเรียนโรงเรียนสาธิตลอออุทิศ ลำปาง ที่ให้ความ
รว่ มมือเป็นอยา่ งย่งิ ในการจดั กจิ กรรมการเลา่ นทิ านด้วยเทคนคิ ทหี่ ลากหลายในการเก็บรวบรวมข้อมูล
ในการทำวจิ ยั
ธวัลรตั น์ กนั สม
ข
ชอ่ื เรื่อง : การพัฒนาทกั ษะการฟงั และการพดู ของเดก็ ปฐมวยั โดยกิจกรรมการเล่านทิ านด้วยเทคนคิ
ท่ีหลากหลาย
ผู้วิจัย : นางสาวธวลั รตั น์ กนั สม รหัสประจำตวั นกั ศึกษา 5911081320036
อาจารย์ที่ปรึกษา : อาจารย์ ปยิ นัยน์ ภูเ่ จรญิ และคณุ ครูสุภาภรณ์ ตวั ละมลู
หลักสตู รศกึ ษาศาสตรบัณฑิต สาขาวชิ าการศกึ ษาปฐมวยั
ระยะเวลา เดอื น ธันวาคม พ.ศ. 2563 ถึง เดือน มีนาคม พ.ศ. 2564
จำนวนหน้า : 101 หนา้
บทคดั ย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาและปรียบเทียบ ทักษะการฟังและการพูดของเด็ก
ปฐมวัยก่อนและหลังการจัดกิจกรรมการเล่านิทานด้วยเทคนิคที่หลากหลาย กลุ่มตัวอย่าง เป็นเด็ก
ปฐมวัย ชาย-หญิง ที่มีอายุระหว่าง 1 ปี 6 เดือน ถึง 2 ปี กำลังศึกษาอยู่ในระดับชั้นบ้านหนูน้อย
ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2563 โรงเรียนสาธิตละออุทิศ ลำปาง จำนวน 18 คน โดยผู้วิจัยเลือก
กลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง (Purposive Sampling) ซึ่งเป็นไปตามวัตถุประสงคข์ องการวิจัย เครื่องมือ
ที่ใช้ในการวิจัย 1) แผนประสบการณ์การเล่านิทานด้วยเทคนิคที่หลากหลาย จำนวน 8 แผน
2) แบบประเมินทักษะการฟังและการพูดของเด็กปฐมวัย สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล
การหาค่าเฉลย่ี และส่วนเบยี่ งเบนมาตรฐาน
ผลการวิจัยพบว่า เด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดกิจกกรมการเล่านิทานด้วยเทคนิคที่หลากหลาย
มีทักษะการฟังและการพูดท่ีสูงขึ้น โดยมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 2.84 และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
เทา่ กับ 0.18 ซ่ึงสูงกว่ากอ่ นไดร้ ับการจัดกิจกรรมอยา่ งมีนยั สำคัญทางสถิติทร่ี ะดบั .05
ลายมือชอ่ื นักศึกษา.........................................................
ลายมอื ชือ่ อาจารย์ท่ีปรึกษา 1. ………………………………… อาจารยน์ เิ ทศก์
2. ………………………………… อาจารยพ์ เ่ี ล้ยี ง
ค
สารบญั หน้า
ก
กติ ตกิ รรมประกาศ ข
บทคัดย่อ ค
สารบญั ง
สารบญั ตาราง จ
สารบัญภาพ
บทที่ 1 บทนำ 1
2
ความเปน็ มาและความสำคญั ของปัญหา 3
วตั ถปุ ระสงค์ของการวจิ ัย 4
ขอบเขตการวิจัย 4
ประโยชนท์ ี่คาดว่าจะได้รับ
นิยามศพั ท์เฉพาะ 6
บทท่ี 2 เอกสารและงานวิจัยที่เก่ียวข้อง 6
แนวคิด ทฤษฎี และงานวจิ ัยทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั หลกั สูตรการศกึ ษาปฐมวยั 6
พุทธศักราช 2560 8
ปรัชญาการศึกษาปฐมวยั
จดุ หมาย 10
คุณลักษณะทพี่ งึ ประสงค์ 10
สาระการเรียนรู้ 11
แนวคิด ทฤษฎี และงานวิจัยทีเ่ กีย่ วขอ้ งกบั ทักษะทางดา้ นการฟังและการพูด 12
ความหมายภาษาสำหรบั เด็กปฐมวยั 13
ความสำคญั ของภาษาสำหรบั เด็กปฐมวัย 13
แนวทางในการสง่ เสรมิ ภาษาสำหรบั เด็กปฐมวยั 15
ความหมายทกั ษะทางดา้ นการฟัง 15
ความสำคัญทกั ษะการฟงั 16
แนวทางในการส่งเสริมทักษะการฟัง
ความหมายทักษะทางดา้ นการพูด
ความสำคัญทักษะการพดู
แนวทางในการส่งเสรมิ ทกั ษะการพูด
ค
เแนวคิด ทฤษฎี และงานวจิ ัยท่ีเกย่ี วข้องกับเทคนิคการเลา่ นทิ าน 17
ความหมายของนิทาน 18
ความสำคัญของนิทาน 19
ประเภทของนทิ าน 20
จดุ ประสงคก์ ารเล่านทิ าน 21
เทคนคิ วิธีของการเลา่ นทิ าน 24
งานวิจัยที่เก่ียวขอ้ ง 26
บทท่ี 3 วิธีดำเนินการวจิ ยั 26
27
ประชากรกลุ่มตวั อย่าง 27
แบบแผนการวิจัย 29
เครือ่ งมือท่ใี ชใ้ นการวิจัย 29
ขน้ั ตอนในการสร้างและหาคณุ ภาพเครื่องมือ
วธิ ีการเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู 31
สถิติทใ่ี ชใ้ นการวิเคราะห์ขอ้ มลู
บทที่ 4 ผลการวเิ คราะหข์ ้อมูล 34
ผลการวิเคราะห์ขอ้ มลู 34
บทท่ี 5 สรุปผลการวิจัย อภปิ รายผล และข้อเสนอแนะ 37
สรุปผลการวจิ ยั 38
อภปิ รายผล
ขอ้ เสนอแนะจากการวิจัย 42
บรรณานุกรม 43
44
ภาคผนวก 45
ภาคผนวก ก 47
- รายชื่อผเู้ ช่ยี วชาญ 48
ภาคผนวก ข
- หนงั สือขอความอนเุ คราะหเ์ ป็นผู้เชี่ยวชาญตรวจเครอ่ื งมือวิจัย
ภาคผนวก ค
- แบบประเมนิ หาค่าความสอดคล้องของแบบทักษะการฟังและการพูด
ของเด็กปฐมวัย
ค
ภาคผนวก ง 50
- ตารางคา่ ดชั นคี วามสอดคล้องของผูเ้ ชยี วชาญ 51
52
ภาคผนวก จ 53
- แผนการจดั กิจกรรมการเลา่ นิทานดว้ ยเทคนคิ ที่หลากหลาย 69
70
ภาคผนวก ฉ
- คมู่ อื การใช้แบบประเมินทักษะการฟงั และการพูดของเด็กปฐมวัย 72
ภาคผนวก ช 73
86
- แบบประเมนิ ทักษะการฟังและการพดู ของเด็กปฐมวยั 87
ภาคผนวก ซ 91
92
- คะแนนก่อนและหลังการจดั กิจกรรม
ภาคผนวก ฌ 100
- ภาพกิจกรรม
ประวตั ผิ ู้วจิ ัย
ง
สารบญั ตาราง
ตารางที่ หน้า
1 แบบแผนการวิจยั แบบ One-Group Pretest-Posttest Design 26
2 ผลคะแนนแบบประเมนิ ทกั ษะการฟังและการพดู ของเด็กปฐมวยั ก่อนการจัด 31
กจิ กรรมการเลา่ นิทานด้วยเทคนิคทห่ี ลากหลาย
3 ผลคะแนนแบบประเมนิ ทกั ษะการฟังและการพูดของเด็กปฐมวยั หลงั การจัด 32
กจิ กรรมการเลา่ นทิ านดว้ ยเทคนิคทีห่ ลากหลาย
4 การเปรยี บเทียบคะแนนทกั ษะการฟังและการพดู กอ่ นและหลงั การจัดกิจกรรม 33
การเลา่ นิทานดว้ ยเทคนคิ ทีห่ ลากหลาย
5 หาคา่ ดัชนีความสอดคล้องของผู้เชยี วชาญ 51
สารบญั ภาพ จ
ภาพท่ี หน้า
ภาพที่ 1 กรอบแนวคิด 3
บทที่ 1
บทนำ
ความเป็นมาและความสำคญั ของปญั หา
ภาษานับได้ว่าเป็นสิ่งสำคัญสำหรับชีวิตมนุษย์ เป็นเครื่องมือสำคัญของการคิด เนื่องจาก
ภาษาเป็นเครื่องมือชนิดหนึ่งที่มนุษย์สามารถใช้ติดต่อสื่อสารได้รวดเร็ว เข้าใจง่ายสุดนอกจากน้ัน
ภาษายังเป็นเครื่องมือสำคัญในการติดต่อกับผู้อื่น เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดและความรู้สึกที่มีต่อกัน
การติดต่อแลกเปลี่ยนความคิด ความรู้สึกนี้อาจจะสื่อออกมาได้หลายรูปแบบ เช่น การฟัง การพูด
การอ่าน การเขียน แน่นอนที่สุดวิธีการพูดย่อมเป็นวิธีติดต่อสื่อสารที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด และ
นิยมใช้กันอย่างกว้างขวาง สามารถใช้ติดต่อสื่อสารได้รวดเร็วและเข้าใจง่าย นอกจากนั้นการพัฒนา
ภาษาพูดยังเป็นจุดเริ่มต้นในการพัฒนาภาษาอื่นติดตามมาอีกด้วย ในขั้นตอนกระบวนการทางภาษา
ในวัยเด็กตอนต้นนั้น เด็กยังไม่ค่อยรู้จักภาษาอย่างลึกซึ้ง (สุพัตรา บุ่งง้าว , 2560 : 3) เด็กใช้ภาษา
สื่อสารแสดงความต้องการควบคุมพฤติกรรมของผู้อื่น แสดงความเป็นตัวตนของเด็ก ค้นหาข้อมูล
จนิ ตนาการแลกเปลย่ี นประสบการณ์ หากไม่มีภาษาการตดิ ตอ่ ส่ือสารยอ่ มเป็นไปดว้ ยความยากลำบาก
ภาษาเป็นระบบที่มีความซับซ้อน ครูจึงควรทำความเข้าใจความหมายของภาษาให้กระจ่างชัด เพ่ือ
ปรับมุมมองของตนที่มีต่อภาษาให้ถูกต้อง เพื่อพัฒนาการออกแบบการจัดประสบการณ์ส่งเสริม
ศกั ยภาพทางภาษาใหแ้ กเ่ ดก็ ปฐมวัยได้ (สำนกั งานคณะกรรมการการศึกษาขนั้ พ้นื ฐาน, 2552 : 1)
การเรียนรดู้ า้ นภาษาสำหรับเดก็ ปฐมวัยนั้น เดก็ ควรท่จี ะเรยี นรเู้ ก่ียวกับระบบเสียงเป็นสำคัญ
เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมในการสื่อสารให้กับเด็ก โดยเด็กจะเรียนรู้พื้นฐานของภาษาได้อย่าง
รวดเร็ว จากการจัดกิจกรรมอย่างไม่เป็นทางการ วิธีหนึ่งในการเริ่มต้นสอนภาษาสำหรับเด็กอนุบาล
เริ่มจากหนังสือนทิ านภาพ สำหรับเด็กอนบุ าลในช่วง 2 - 5 ขวบเป็นช่วงที่มีการพัฒนาทางภาษามาก
การพัฒนาทักษะทางภาษาทั้งฟัง พูด อ่าน เขียน ต้องพัฒนาไปพร้อมกัน แต่สิ่งที่ต้องให้ความสำคัญ
ในช่วง 3 ปีแรก คือ พัฒนาทักษะการฟังและการพูด ซึ่งทักษะในด้านนี้จะมีการพัฒนาอย่างเด่นชัด
ในช่วงนี้การเล่าเรื่องจากหนังสือภาพใหเ้ ด็กฟัง ไม่เพียงกระตุ้นจิตนาการของเด็กให้เกิดการสรา้ งภาพ
ขึ้น หากยังเสริมทักษะการฟังให้กับเขา ด้วยการที่เด็กได้ฟังบ่อยครั้งจะช่วยให้เด็กเรยี นรู้คำศัพท์มาก
ขึ้น และประโยคตา่ งๆ ซง่ึ จะเปน็ พ้ืนฐานสำคญั ในการพัฒนาทักษะด้านอ่ืนต่อไป เด็กปฐมวัยควรได้รับ
การพัฒนาและส่งเสริม รวมไปถึงการฝึกการพูดให้เด็กปฐมวัยก็มีความสำคัญและจำเป็น เพราะการ
พูดเป็นเครื่องมือสำคัญของการติดต่อสื่อสาร ที่จะนำไปสู่ความสำเร็จในชีวิตของเด็ก (ลัดดา
บุญมาวรรณ และคณะ, 2560 : 2) ดังนั้น นิทานจึงช่วยกระตุ้นจินตนาการจากการฟังจากเสียงที่เล่า
ออกมา ทำให้เด็กได้ใช้จินตนาการ ในการสร้างเรื่องราวให้เป็นรูปภาพ การเชื่อมโยงในการใช้
จินตนาการจากเสียงเป็นภาพ จะช่วยพัฒนาความฉลาดของเด็ก ซึ่งปลูกฝังให้เด็กเป็นคนช่างคิด
2
และช่างสังเกต และทำให้เด็กได้เรียนรู้ด้านภาษา การที่เด็กได้ฟังเสียง จะทำให้รู้จักคำ ความหมาย
ของคำ รู้จักประโยคและความหมายของประโยค และเป็นการปูพื้นฐานทักษะด้าน การฟัง พูด อ่าน
เขียนให้กบั เดก็ ตอ่ ไป
แนวทางในการส่งเสริมทักษะทางการฟังและการพดู ของเด็กปฐมวัย โดยการใช้นทิ านเป็นสือ่
การสอนที่สำคัญสำหรับเด็กปฐมวัย เพราะ การเล่านิทานเป็นวิธีการให้ความรู้วิธีหนึ่งที่ทำให้เด็ก
เกิดความสนุกสนาน เพลิดเพลิน ให้ความสนใจอยากรู้ อยากทำตาม และมีแรงจูงใจที่จะเปิดรับ
พฤติกรรมทพ่ี งึ ปรารถนา นิทานสามารถทำใหเ้ ด็กคล้อยตามเนอื้ หา นทิ านทีค่ รูเลา่ การไดม้ ปี ฏิสมั พันธ์
ทางภาษาจากการได้ฟัง ได้ตอบโต้ ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ช่วยให้เด็กพัฒนาภาษาได้อย่างดี (กุลยา
ตันติผลาชีวะ, 2551: 219) นิทานนอกจากจะให้ความความสนุกสนาน เพลิดเพลินแล้ว ในนิทานยังมี
เนื้อเรื่องที่หลากหลายและ ผู้เล่าควรเลือกใช้เทคนิคการเล่านิทานที่หลากหลายให้เหมาะสมกับเด็ก
เช่น นทิ านภาพ นิทานประกอบ การใช้สอ่ื ตา่ งๆ ฯลฯ ซงึ่ เปน็ การเปิดโอกาสให้เด็กได้ฟัง ได้พูดโต้ตอบ
และได้รู้คำศัพท์ใหม่ๆ จากเทคนิคการเล่านิทาน ด้วยวิธีนีจ้ ะชว่ ยพัฒนาทักษะการฟังและการพูดของ
เดก็ มากขึ้น ในขณะเดียวกนั เดก็ กจ็ ะเรียนรู้คณุ คา่ ของความเปน็ คนทส่ี มบรู ณ์
จากการสังเกตพฤติกรรมเด็กระดับชั้น บ้านหนูน้อย ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2563
โรงเรียนสาธิตละอออุทิศ ลำปาง พบว่า เด็กที่เข้ามาเรียนในระดับชั้นบ้านหนูน้อย สามารถพูดเป็น
ประโยคสนทนาได้เป็นบางคน สามารถฟังและปฏิบัติตามคำสั่งที่คุณครูบอกได้ เช่น น้อง ก ไปหยิบ
กระดาษทิชชู่ที่วางอย่บู นโต๊ะให้คุณครูหน่อยค่ะ เด็กพดู ตาม “ไปหยบิ กระดาษทิชชู”่ แล้วเดินไปหยิบ
มาให้คุณครู ซึ่งเด็กบางส่วนยังไมส่ ามารถฟังและพูดเปน็ ประโยคตามครูได้ จากปัญหาดังกลา่ ว ผู้วิจัย
จึงสนใจการพัฒนาทกั ษะ การฟังและการพูดของเด็กปฐมวัย โดยกิจกรรมการเล่านิทานด้วยเทคนคิ ท่ี
หลากหลาย เพื่อพัฒนาทักษะ การฟังและการพูดของเด็กปฐมวัย และเป็นแนวทางสำหรับครูใน
การจัดกิจกรรม เพื่อพัฒนาความสามารถทางการฟังและการพูดของเด็กปฐมวัยให้มีประสิทธิภาพ
ยิง่ ขน้ึ
วตั ถุประสงคก์ ารวิจยั
1. เพื่อพัฒนาทักษะการฟังและการพูดของเด็กปฐมวยั โดยการจดั กจิ กรรมการเลา่ นิทานด้วย
เทคนคิ ท่ีหลากหลาย
2. เพื่อเปรียบเทียบทักษะการฟังและการพูดของเด็กปฐมวัยก่อน และหลังการจัดกิจกรรม
การเลา่ นิทานดว้ ยเทคนิคท่ีหลากหลาย
3
ขอบเขตการวจิ ยั
1. เนือ้ หา
ผู้วิจัยนำการจัดประสบการณ์โดยการเล่านิทานด้วยเทคนิคที่หลากหลาย เพื่อส่งเสริมทักษะ
การฟงั และการพูดสำหรบั เด็กปฐมวัยท่ีนำมาทดลองใช้กบั เด็กปฐมวัย โดยการใชก้ ารจัดประสบการณ์
1. หน่วยลองชิมดูเพื่อรู้รส ได้แก่ นิทานเรื่อง ปิกนิกที่เมืองแชมพู และนิทาน เรื่อง หนูนิดซื้อผลไม้
2. หน่วยร่างกายสื่อภาษา ได้แก่ นิทานเรื่อง ลูกลิงสวัสดี และนิทาน เรื่อง ขอโทษอย่าโกรธนะจ๊ะ
จำนวน 4 สัปดาห์ๆ ละ 2 วนั คือ วันละ 30 นาที ในชว่ งกจิ กรรมนทิ านส่งเสริมกระบวนการคิด
2. ประชากร/กล่มุ ตัวอยา่ ง
ประชากรทใ่ี ช้ในการศึกษาครั้งนี้เป็นเด็กปฐมวยั ชาย-หญิง อายรุ ะหว่าง 1 ปี 6 เดอื น ถึง 2 ปี
ที่กำลังศึกษาอยู่ในระดับชั้นบ้านหนูน้อย ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2563 จำนวน 18 คน ของ
โรงเรียนสาธิตละอออุทิศ อำเภอเมือง จังหวัดลำปาง โดยใช้วิธีการเลือกแบบเจาะจง (Purposive
Sampling) เนื่องจากตรงตามวตั ถปุ ระสงค์ของผูว้ จิ ยั
3. ตวั แปรทีศ่ กึ ษา
ตวั แปรตน้ เทคนิคการเลา่ นิทาน
ตัวแปรตาม ทักษะการฟงั และการพดู
กรอบแนวคิด ตวั แปรตาม
ทกั ษะการฟัง
ตวั แปรต้น - การเข้าใจความหมาย
เทคนิคการเลา่ นทิ าน - การฟงั และปฏิบัตติ ามคำสงั่
- การเลา่ โดยใชห้ นงั สอื Big book ทกั ษะการพดู
- การเลา่ ประกอบฉาก - การบอกชื่อสิง่ ตา่ งๆ
- การเลา่ ไปติดไป - การพูดและแสดงทา่ ทางแบบง่าย
- การเล่าไปวาดไป
- การเล่าไปพบั ไป
- การเลา่ ประกอบเงา
- การเลา่ ประกอบหนุ่ มอื
- การเลา่ ประกอบหุ่นน้วิ มือ
ภาพท่ี 1 กรอบแนวคดิ
4
ประโยชน์ทคี่ าดวา่ จะไดร้ ับจากการวจิ ยั
1. ได้เทคนคิ การเล่านิทานทีเ่ หมาะสมกับเด็กปฐมวัย ในการพฒั นาทักการฟังและการพูดของ
เดก็ ปฐมวยั
2. ไดแ้ นวทางการเดก็ ปฐมวัยดา้ นทกั ษะการฟงั และการพูด โดยใชแ้ นวทางอื่นตอ่ ไป
นิยามศพั ทเ์ ฉพาะ
เด็กปฐมวัย หมายถึง เด็กปฐมวัย ชาย-หญิง อายุระหว่าง 1 ปี 6 เดือน ถึง 2 ปี ซึ่งกำลัง
ศึกษาระดับชน้ั บา้ นหนูนอ้ ย ภาคเรียนที่ 2 ปีการศกึ ษา 2563 โรงเรยี นสาธิตละอออุทิศ ลำปาง
ทักษะการฟัง หมายถึง การบอกความหมายหรือพูดสื่อความหมายที่ได้ยินถูกต้อง
และการฟงั ปฏบิ ตั ติ ามคำสง่ั ได้แก่ การฟงั คำส่งั ไดอ้ ยา่ งเข้าใจและปฏิบัติไดถ้ ูกตอ้ ง
ทักษะการพูด หมายถึง การพูดบอกชื่อสิ่งต่างๆ จากการที่ได้เห็นรูปภาพได้ถูกต้อง
การรู้คำศัพทจ์ ากการทไี่ ด้เห็นรูปภาพแลว้ พูดคำศัพท์น้นั ได้ถูกต้อง
เทคนิคการเล่านิทานที่หลากหลาย หมายถึง การเล่านิทานหลากหลายรูปแบบ ที่กระตุ้น
ความสนใจของเด็ก และการเล่ามีสีสัน สนุกสนาน จึงนำไปสู่การส่งเสริมให้เด็กมีทักษะด้านการฟัง
และการพูด จากการใช้เทคนิคการเล่าที่หลากหลาย ได้แก่ 1. การเล่าโดยใช้หนังสือ Big book
2. การเล่าประกอบฉาก 3.การเล่าไปติดไป 4. การเล่าไปวาดไป 5. การเล่าไปพับไป 6. การเล่า
ประกอบเงา 7. การเล่าประกอบหุ่นมอื 8. การเลา่ ประกอบหุ่นนว้ิ มอื
บทที่ 2
เอกสารและงานวจิ ัยทเี่ กี่ยวข้อง
การพัฒนาทักษะการฟังและการพูดของเด็กปฐมวัย โดยกิจกรรมการเล่านิทานด้วยเทคนิค
ที่หลากหลาย ผู้วิจัยได้ศกึ ษาค้นคว้า และงานวิจยั ที่เก่ียวข้องเพ่ือนำมาเป็นกรอบแนวคิดในการศกึ ษา
ซ่ึงจะนำมาเสนอตามหวั ขอ้ ดังนี้
1. แนวคดิ ทฤษฎี และงานวิจัยทีเ่ กยี่ วขอ้ งกับหลักสตู รการศึกษาปฐมวยั
พุทธศักราช 2560
1.1 ปรชั ญาการศึกษาปฐมวยั
1.2 จดุ หมาย
1.3 คณุ ลกั ษณะที่พงึ ประสงค์
1.4 สาระการเรยี นรู้
2. แนวคิด ทฤษฎี และงานวจิ ัยท่ีเกี่ยวข้องกบั ทกั ษะทางด้านการฟังและการพดู
2.1 ความหมายภาษาสำหรับเดก็ ปฐมวัย
2.2 ความสำคัญของภาษาสำหรับเด็กปฐมวัย
2.3 แนวทางในการสง่ เสริมภาษาสำหรับเด็กปฐมวัย
2.4 ความหมายทกั ษะทางด้านการฟัง
2.5 ความสำคัญทักษะการฟงั
2.6 แนวทางในการส่งเสริมทกั ษะการฟัง
2.7 ความหมายทักษะทางด้านการพดู
2.8 ความสำคญั ทกั ษะการพดู
2.9 แนวทางในการส่งเสรมิ ทกั ษะการพูด
3. แนวคิด ทฤษฎี และงานวิจยั ทเี่ กี่ยวข้องกับเทคนคิ การเลา่ นิทาน
3.1 ความหมายของนิทาน
3.2 ความสำคญั ของนิทาน
3.3 ประเภทของนทิ าน
3.4 จดุ ประสงค์การเลา่ นิทาน
3.5 เทคนคิ วิธขี องการเลา่ นิทาน
4. งานวจิ ัยท่เี ก่ียวข้อง
6
1. แนวคิด ทฤษฎี และงานวิจัยที่เกย่ี วขอ้ งกบั หลักสตู รการศกึ ษาปฐมวัย พุทธศักราช 2560
1.1 ปรัชญาการศกึ ษาปฐมวัย
การศึกษาปฐมวัยเป็นการพัฒนาเด็กตั้งแต่แรกเกิดถึง 6 ปี บริบูรณ์ อย่างเป็นองค์รวม
บนพื้นฐานการอบรมเลี้ยงดูและการส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้ที่สนอ งต่อธรรมชาติและพัฒนาการ
ตามวัยของเด็กแต่ละคนให้เต็มตามศักยภาพภายใต้บริบทสังคมและวัฒนธรรมที่เด็กอาศัยอยู่ ด้วย
ความรักความเอื้ออาทร และความเข้าใจของทุกคนเพื่อสร้างรากฐานคุณภาพชีวิตให้เด็กพัฒนาไปสู่
ความเป็นมนษุ ยท์ สี่ มบูรณ์ เกดิ คุณคา่ ต่อตนเอง ครอบครัว ชุมชน สงั คม และประเทศชาติ
1.2 จดุ หมาย
หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย สำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 3 ปี มุ่งส่งเสริมให้เด็กมีพัฒนาการ
ดา้ นรา่ งกาย อารมณ์จติ ใจ สงั คม และสตปิ ญั ญา ทเ่ี หมาะสมกับวยั ความสามารถความสนใจและความ
แตกต่างระหวา่ งบคุ คล ดงั นี้
1. รา่ งกายเจรญิ เติบโตตามวยั แข็งแรง และมสี ุขภาพดี
2. สขุ ภาพจติ ดีและมีความสขุ
3. มีทักษะชีวิตและสร้างปฏิสัมพันธ์กับบุคคลรอบตัว และอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมี
ความสขุ
4. มีทักษะการใชภ้ าษาสอ่ื สาร และสนใจเรียนรสู้ ่ิงต่างๆ
1.3 คุณลักษณะทพี่ ึงประสงค์
หลักสูตรการศึกษาปฐมวัยสำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 3 ปีกำหนดคุณลักษณะที่พึง
ประสงค์ ดงั น้ี
1. พฒั นาการดา้ นร่างกาย
คณุ ลกั ษณะท่ีพงึ ประสงค์ 1 รา่ งกายเจริญเตบิ โตตามวัยและมีสขุ ภาพดี
คุณลักษณะที่ 1.1 มีน้ำหนัก ส่วนสูง และเส้นรอบศีรษะตามเกณฑ์อายุ : น้ำหนัก
และส่วนสงู ตามเกณฑ์ , เส้นรอบศรี ษะตามเกณฑ์
คณุ ลกั ษณะท่ี 1.2 มรี ่างกายแข็งแรง : มีภูมิตา้ นทานโรค ไมป่ ว่ ยบ่อย ขับถ่ายเป็น
เวลา รบั ประทานอาหาร นอนและพักผอ่ นเหมาะสมกับวัย
คุณลักษณะท่พี งึ ประสงค์ 2 ใช้อวัยวะของร่างกายได้ประสานสมั พนั ธก์ ัน
คุณลักษณะที่ 2.1 ใช้กล้ามเนื้อใหญ่ได้เหมาะสมกับวัย : เดินขึ้นบันไดโดยมือข้าง
หนึ่งจับราวบนั ไดอีกมือจับผู้ใหญ่ และก้าวเท้าวางบนขั้นบันไดเดียวกันก่อน , วิ่งและหยดุ ได้ทันทแี ละ
เริ่มว่ิงใหม่
7
คุณลักษณะท่ี 2.2 ใช้กล้ามเนื้อเล็กและประสานสัมพนั ธ์มือ - ตา ได้เหมาะสมกับ
วยั : วางก้อนไมซ้ อ้ นกันได้ 4-6 ก้อน , เปิดพลิกหนา้ หนงั สือไดท้ ่ลี ะแผน่
2. พฒั นาการด้านอารมณ์จิตใจ
คุณลักษณะที่พึงประสงค์ 3 มีความสุขและแสดงออกทางอารมณ์ได้เหมาะสม
กบั วยั
คณุ ลักษณะท่ี 3.1 ร่าเรงิ แจม่ ใส : อารมดี ยิม้ แยม้ หัวเราะง่าย แววตามคี วามสุข
คุณลักษณะที่ 3.2 แสดงออกทางอารมณ์ได้เหมาะสมกับวัย : แสดงความรักต่อ
ผอู้ นื่ , แสดงความกังวลเมอื่ แยกจากคนใกล้ชิด
คุณลักษณะที่ 3.3 สนใจและมีความสุขกับธรรมชาติสิ่งสวยงามดนตรีและจังหวะ
การเคลื่อนไหว :ตอบสนองต่อธรรมชาติ เสียงเพลง จังหวะดนตรี และสิ่งสวยงามต่างๆ อย่าง
เพลิดเพลิน
3. พฒั นาการดา้ นสงั คม
คุณลักษณะที่พึงประสงค์ 4 รับรู้และสร้างปฏิสัมพันธ์กับบุคคลและสิ่งแวดล้อม
รอบตวั
คุณลักษณะที่ 4.1 ปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมใกล้ตัวได้ : ชอบการออกไปเที่ยว
นอกบ้าน , แสดงความเป็นเจา้ ของ
คุณลักษณะที่ 4.2 เล่นและทำกิจกรรมกับผู้อื่นได้ตามวัย : ชอบเล่นของเล่น
คนเดียว
คณุ ลักษณะที่พึงประสงค์ 5. ชว่ ยเหลอื ตนเองได้เหมาะสมกับวยั
คุณลักษณะท่ี 5.1 ทำกิจวัตรประจำวันด้วยตนเองได้ตามวัย : ใช้ช้อนตักอาหาร
เข้าปาก แตห่ กบ้าง , ชอบชว่ ยเหลืองานบ้านงา่ ยๆ
4. พฒั นาการดา้ นสติปญั ญา
คุณลกั ษณะทีพ่ ึงประสงค์ 6 สอื่ ความหมายและใชภ้ าษาได้เหมาะสมกบั วยั
คุณลักษณะท่ี 6.1 รบั รู้และเข้าใความหมายของภาษาไดต้ ามวยั : ปฏิบัตติ ามคำสง่ั
ได้ 2 คำสง่ั ต่อเนื่อง, สนใจฟังนิทานง่ายๆ
คุณลักษณะที่ 6.2 แสดงออกและ/หรือพูดเพื่อสื่อความหมาย : พูดคำต่อคำ
เช่น ไปเที่ยว
คุณลักษณะท่ีพึงประสงค์ 7 สนใจเรียนรสู้ ิง่ ตา่ งๆ รอบตัว
คณุ ลักษณะที่ 7.1 สนใจและเรียนรู้สงิ่ ต่างๆ รอบตัว : สังเกตสำรวจลองผิดลองถูก
กับคณุ สมบัตขิ องสิง่ ตา่ งๆ
คุณลกั ษณะท่ี 7.2 เรยี นรู้ผ่านการเรยี นแบบ : เลียนแบบคำพดู ทีผ่ ใู้ หญ่พดู
8
คุณลักษณะท่ี 7.3 สำรวจโดยใช้ประสาทสัมผัส : สำรวจตามตู้ลิ้นชักชั้นวางของ
ตะกร้าผ้าขอบเลน่ ลากดงึ ผลกั โยน , ซอบวางรูปทรงลงของ
1.4 สาระการเรยี นรู้
สาระการเรียนรู้ เป็นสื่อกลางในการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ให้กับเด็ก เพื่อส่งเสริม
พฒั นาการ
เดก็ ทุกด้านใหเ้ ปน็ ไปตามจดุ หมายของหลักสูตรท่ีกำหนดประกอบด้วยประสบการณ์สำคัญและสาระท่ี
ควรเรยี นรู้ แบ่งออกเปน็ 2 สว่ น ดังน้ี
1. ประสบการณส์ ำคญั
1.1 ประสบการณ์สำคัญที่ส่งเสริมพัฒนาการด้านร่างกาย เป็นการสนับสนุนให้เด็กได้มี
โอกาสพัฒนาการใช้กล้ามเนื้อใหญ่ กล้ามเนื้อเล็ก การประสานสัมพันธ์ระหว่างกล้ามเนื้อ และระบบ
ประสาทในการทำกิจวัตรประจำวันหรือทำกิจกรรมต่างๆ การนอนหลับพักผ่อนการดูแลสุขภาพ
อนามยั และความปลอดภัยของตนเอง
ประสบการณ์สำคัญท่ีควรส่งเสริม ประกอบด้วยการเคลื่อนไหวสว่ นต่างๆ ของร่างกาย
ตามจงั หวะดนตรี การเลน่ ออกกำลงั กลางแจ้งอย่างอสิ ระ การเคลอ่ื นไหวและการทรงตัว การประสาน
สัมพันธ์ของกล้ามเนื้อ และระบบประสาทการเล่นเครื่องเล่นสัมผัส การวาด การเขียนขีดเขี่ย การปน้ั
การฉีก การตัดปะ การดูแลรักษาความสะอาดของร่างกาย ของใช้ส่วนตัว และการรักษาความ
ปลอดภยั เป็นตน้
1.2 ประสบการณ์สำคญั ทสี่ ่งเสริมพัฒนาการด้านอารมณ์จิตใจ เปน็ การสนับสนุนให้เด็ก
ไดแ้ สดงออกทางอารมณ์ และความรู้สกึ ท่ีเหมาะสมกบั วัย มคี วามสขุ ร่าเรงิ แจ่มใส ไดพ้ ฒั นาความรู้สึก
ท่ีดีตอ่ ตนเอง และความเช่ือม่ันในตนเอง จากการปฏบิ ตั ิกิจกรรมต่างๆ ในชีวิตประจำวัน พ่อแม่หรือผู้
เลี้ยงดู เป็นบุคคลที่มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการทำให้เด็กรู้สึกเป็นที่รัก อบอุ่น มั่นคง เกิดความรู้สกึ
ปลอดภัย ไว้วางใจซ่ึงจะส่งผลให้เด็กเกดิ ความรู้สึกท่ีดีต่อตนเอง และเรยี นรทู้ ีจ่ ะสรา้ งความสัมพันธ์ท่ีดี
กับผู้อื่น
ประสบการณ์สำคัญที่ควรส่งเสริม ประกอบด้วย การรับรู้อารมณ์หรือความรู้สึกของ
ตนเอง การแสดงอารมณ์ที่เป็นสุข การควบคุมอารมณ์ และการแสดงออก การเล่นอิสระ การเล่น
บทบาทสมมติ การชน่ื ชมธรรมชาติ การเพาะปลกู อย่างงา่ ย การเลี้ยงสัตว์ การฟงั นิทาน การร้องเพลง
การท่องคำคล้องจอง การทำกิจกรรมศลิ ปะตา่ งๆ ตามความสนใจ เปน็ ต้น
1.3 ประสบการณ์สำคัญที่ส่งเสริมพัฒนาการด้านสังคม เป็นการสนับสนุนให้เด็กได้
มีโอกาสปฏิสัมพันธ์กับบุคคลและสิ่งแวดล้อมต่างๆ รอบตัวในชีวิตประจำวัน ได้ปฏิบัติกิจกรรมต่างๆ
และปรับตัวอยู่ในสังคม เด็กควรมีโอกาสได้เลน่ และทำกิจกรรมร่วมกับผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นผูใ้ หญ่เด็กวัย
เดยี วกันหรอื ต่างวยั เพศเดยี วกันหรอื ตา่ งเพศอย่างสมำ่ เสมอ
9
ประสบการณ์สำคัญที่ควรส่งเสริม ประกอบด้วยการช่วย เหลือตนเองในกิจวัตร
ประจำวันตามวัย การเล่นอย่างอิสระ การเล่นรวมกลุ่มกับผู้อื่น การแบ่งปันหรือการให้ การอดทน
รอคอยตามวัย การใช้ภาษาบอกความต้องการ การออกไปเล่นนอกบ้าน การไปสวนสาธารณะการ
ออกไปรว่ มกิจกรรมในศาสนสถาน เป็นตน้
1.4 ประสบการณ์สำคัญที่ส่งเสริมพัฒนาการด้านสติปัญญา เป็นการสนับสนุนให้เด็ก
ได้รับรู้และเรียนรู้สิ่งต่างๆ รอบตัวในชีวิตประจำวันผ่านประสาทสัมผัสทั้งห้า และการเคลื่อนไหว
ได้พัฒนาการใช้ภาษาสื่อความหมายและความคิด รู้จักสังเกตคุณลักษณะต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสี ขนาด
รปู รา่ ง รูปทรงผิวสัมผสั จดจำชือ่ เรียกส่ิงต่างๆ รอบตวั
ประสบการณ์สำคัญที่ควรส่งเสริม ประกอบด้วย การตอบคำถามจากการคิด
การเชื่อมโยงจากประสบการณ์เดิม การเรียงลำดับเหตุการณ์ การยืดหยุ่นความคิดตามวัย การจดจ่อ
ใส่ใจ การสังเกตวัตถุหรือสิ่งของที่มีสีสันและรูปทรงที่แตกต่างกัน การฟังเสียงต่างๆ รอบตัว การฟัง
นิทานหรือเรื่องราว สั้น ๆ การพูดบอกความต้องการ การเล่าเรื่องราวการสำรวจ และการทดลอง
อย่างง่ายๆ การคิดวางแผนที่ไม่ซับซ้อน การคิดตัดสินใจหรือคิดแก้ปัญหาในเรื่องที่ง่ายๆ ด้วยตนเอง
การแสดงความคิดสรา้ งสรรค์ และจินตนาการ เป็นต้น
2. สาระทีค่ วรเรยี นรู้
เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับตัวเด็กเป็นลำดับแรกแล้ว จึงขยายไปสู่เรื่องที่อยู่ใกล้ตัวเด็กเพื่อ
นำไปใช้ในการดำเนินชีวิตประจำวันเด็ก ควรได้รับการอบรมเลี้ยงดูและส่งเสริมพัฒนาการและการ
เรียนรู้ใหเ้ หมาะกับวยั ดงั น้ี
1. เรื่องราวเกี่ยวกับตัวเด็ก เด็กควรเรียนรู้เกี่ยวกับชื่อและเพศของตนเอง
การเรียกชื่อส่วนต่างๆ ของใบหน้าและร่างกายการดูแลตนเองเบื้องต้นโดยมีผู้ใหญ่ให้การช่วยเหลือ
การล้างมือการขับถ่าย การรับประทานอาหาร การถอด และสวมใส่เสื้อผ้า การรักษาความปลอดภัย
และการนอนหลับพกั ผอ่ น
2. เรื่องราวเกี่ยวกับบุคคลและสถานที่แวดล้อมเด็ก เด็กควรเรียนรู้เกี่ยวกับบุคคล
ภายในครอบครัว และบุคคลภายนอกครอบครัว การรจู้ ักชื่อเรียก หรอื สรรพนามแทนตวั ของญาติหรือ
ผู้เลี้ยงดูวิธีปฏิบัติกับผู้อื่นอย่างเหมาะสม การทักทายด้วยการไหว้ การเล่นกับพี่น้องในบ้านการไป
เที่ยวตลาด และสถานท่ีต่างๆ ในชุมชนการเล่นที่สนามเด็กเล่นการเข้าร่วมกิจกรรมทางศาสนา
วฒั นธรรมและประเพณี
3. ธรรมชาติรอบตัวเด็ก ควรเรียนรู้เกี่ยวกับการสำรวจสิ่งต่างๆ ในธรรมชาติรอบตัว
เช่น สัตว์ พืช ดอกไม้ ใบไม้ ผ่านการใช้ประสาทสัมผัสทั้งห้า การเล่นน้ำเล่นทรายการเลี้ยงสัตว์ต่างๆ
ทีไ่ ม่เป็นอันตรายการเดนิ เลน่ ในสวนการเพาะปลูกอย่างงา่ ย
10
4. สิ่งต่างๆรอบตัวเด็ก เด็กควรเรียนรู้เกี่ยวกับชื่อของเล่นของใช้ที่อยู่รอบตัวการ
เชื่อมโยงลักษณะหรือคุณสมบัติอย่างง่ายๆของสิ่งต่างๆที่อยู่ใกล้ตัวเด็กเช่นสีรูปร่าง รูปทรงขนาด
ผวิ สัมผัส
2. แนวคิด ทฤษฎี และงานวจิ ัยทเ่ี ก่ียวข้องกับทกั ษะทางดา้ นการฟังและการพูด
2.1 ความหมายภาษาสำหรบั เด็กปฐมวัย
ภาษาเป็นเครื่องมือในการติดต่อสื่อสารระหว่างมนุษย์ ซึ่งต้องอาศัยทักษะการฟังและการ
พูด เพือ่ ให้ผู้อ่นื เข้าใจความหมายหรอื แสดงความรู้สกึ ความคดิ เห็น ซ่ึงมผี ใู้ หค้ วามหมายไว้ ดังน้ี
ราชบัณฑิตยสถาน (2554 : 822) กล่าวว่า ถ้อยคำที่ใช้ พูด หรือ เขียน เพื่อสื่อความหมาย
ของชนกลุม่ หน่ึงหรือ เพื่อสอ่ื ความหมายเฉพาะวงการเสยี งตัวหนังสือ หรืออากปั กริยาทส่ี ่ือความหมาย
ได้ โดยปริยายหมายความว่า สาระเรอ่ื งราวเนอ้ื ความท่ีเข้าใจกันได้
อารีย์ คำสังฆะ (2554 : 8) กล่าวว่า ภาษาเป็นหัวใจของความเป็นมนุษย์มนุษย์ใช้ภาษา
ในการติดตอ่ สือ่ สารใชเ้ ปน็ เคร่ืองมอื ในการแสวงหาความรู้ บอกความตอ้ งการถา่ ยทอดความคดิ เจตคติ
ความรู้สึก และจนิ ตนาการ
เกตน์นิภา ฮาดคันทุง (2561 : 22) กล่าวว่า ภาษาเป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งที่มนุษย์ใช้
ทำความเข้าใจซึ่งกันและกันและยังเป็นวิธีการสื่อสารความคิด ความรู้สึกถ่ายทอดแลกเปลี่ยน
ประสบการณ์ใหผ้ ู้อ่ืนเขา้ ใจ โดยการแสดงออกดว้ ยอากัปกิริยาหรือการใชส้ ญั ลักษณ์ สำหรับเด็กภาษา
เป็นเครื่องมือในการเรียนรู้ที่เกิดจากการติดต่อสื่อสารด้วยวิธีการต่าง ๆ เช่น การพูด การเขียน
การทำท่าทางประกอบตลอดจนการใชส้ ญั ลกั ษณ์หลายรปู แบบนำเสนอความคิด
สรุปได้ว่า ภาษาเป็นสื่อกลางในการติดติอสื่อสารที่ทำให้มนุษย์เข้าใจซึ่งกันและกัน อีกท้ัง
เด็กใช้ภาษาพูดในการสื่อสารความคิด ความคิดเห็น และคำถาม ระหว่างการเรียนรู้กิจกรรมการพูด
เด็กใช้ภาษา ได้หลากหลายวิธี ได้แก่ การพูด การเขียน การทำท่าทางที่สำคัญผู้ส่งสารต้องเลือก
ให้ภาษาทเ่ี หมาะสมทจ่ี ะให้ผู้ฟงั เข้าใจ
2.2 ความสำคญั ของภาษาสำหรับเด็กปฐมวยั
ภาษาเปน็ เครอ่ื งมือถา่ ยทอดความรู้ความเข้าใจซึ่งกันและกันในสงั คม ดังน้ันทุกคนในสังคม
จะต้องรู้จักพูดจาสอ่ื ความหมาย และใช้ภาษาของตนใหถ้ ูกต้อง ซ่ึงมีผกู้ ลา่ วถงึ ความสำคญั ดงั นี้
กุลยา ตันติผลาชีวะ (2551 : 111) กล่าวว่า ภาษาเป็นส่วนหนึ่งของพัฒนาการสติปัญญา
เด็กก่อนวัยเรียน เป็นวัยที่มีพัฒนาการทางภาษามากรู้จักคำศัพท์มากขึ้น พัฒนาคำพูดเดี่ยวสู่คำพูด
เปน็ วลี และประโยคในทส่ี ดุ
11
ทิศนา แขมมณี และคนอื่นๆ (2553 : 107) กลา่ วว่า เดก็ จำเปน็ ต้องรู้ภาษา เพ่ือใช้ในการ
คิด และส่อื ความหมาย การปรับตวั รบั ความรู้ใหม่เด็กสามารถใช้ภาษาในการติดต่อกับผู้อ่ืน ทำให้เกิด
ความเขา้ ใจซ่งึ กนั และกนั
หรรษา นิลวิเชียร (2557 : 201) กล่าวว่า คนทุกคนที่เกิดมาต้องรู้จักพูดจากการสื่อ
ความหมายและใช้ภาษาของตนให้ถูกต้อง การสอนศิลปะภาษาสำหรับเด็กก่อนวัยเรียนคว รเป็น
การเตรียมความพร้อม
ในการสื่อสารให้กับเด็ก โดยเด็กจะเรียนรู้พื้นฐานของภาษาได้อย่างรวดเร็วจากการจัดกิจกรรมท้ัง
ทางตรงและทางอ้อม
สรุปได้ว่า ภาษาสำหรับเด็กปฐมวัย มีความสำคัญเป็นอย่างมาก เด็กจำเป็นจะต้องเรียนรู้
ภาษา เพื่อใช้ในการสื่อความหมายการคิดจินตนาการ การแสดงออก และการปรับตัวเข้ากับ
สิ่งแวดล้อม ซึ่งเด็กจะต้องมีความพร้อมทางภาษาในด้านการฟัง และการพูด ไปพร้อมๆ กัน เพื่อให้
เดก็ มีพฒั นาการครบทุกด้าน
2.3 แนวทางในการสง่ เสริมภาษาสำหรบั เด็กปฐมวัย
จีรวรรณ นนทะชัย (2555 : 18) กล่าวว่า เด็กปฐมวัยมีพัฒนาการทางภาษา อย่างรวดเรว็
จากฟัง อย่างไม่รู้ความเป็นรู้เรื่องมากมาย จากพูดไม่ได้เป็นพูดได้คล่องแคล่ว จากอ่านไม่ได้เป็นอ่าน
ได้จากคำคนุ้ หรอื อา่ นจากสัญลักษณ์งา่ ยๆจากเขียน แบบขีดเข่ยี เปน็ เขยี นแบบสอื่ ความได้ พฒั นาการ
ทางภาษาที่รวดเร็วมากมายในวัย นี้ได้รับการส่งเ ส ริมอย่างเห มาะสมจ ะช ่วยให้เด็กใช้ภ า ษา ได้
เป็นอย่างดี
เกตน์นิภา ฮาดคันทุง (2561 : 22) กล่าวว่า เสนอแนวทางในการส่งเสริมพัฒนาการทาง
ภาษาให้กบั เดก็ ไว้ ดังนี้
1. ให้เด็กมีส่วนร่วมในกระบวนการสื่อสารพฤติกรรมของเด็ก เช่น การยิ้มการส่งเสียง
ออ้ แอ้ และการเปล่งเสยี งตา่ ง ๆ
2. การสนทนาช่วยสรา้ งกรอบของพัฒนาการทางภาษา
3. พูดกับเด็กดว้ ยเสียงน่มุ นวลจรงิ ใจสบตากบั เด็กบ่อย ๆ แมว้ า่ เดก็ จะไมพ่ ดู กบั เรา
4. เรียกชื่อเดก็ เมื่อต้องการมีปฏิสัมพันธ์กับเด็กเพื่อที่เด็กจะได้ใช้ชื่อในการสนทนาและ
รู้จักชอ่ื ตัวเอง
5. ใช้วิถีทางที่หลากหลายในการกระตุ้นและส่งเสริมพัฒนาการทางภาษาประกอบด้วย
การเล่านิทาน การรอ้ งเพลง การฟงั เทป บันทกึ เพลง เปิดโอกาสใหเ้ ด็กมีปฏิสัมพันธ์กับผู้ใหญ่และเด็ก
คนอ่ืน ๆ ด้วย
6. สนบั สนนุ เด็กได้พดู กับเดก็ และผู้ใหญ่คนอื่น ๆ เพ่อื แลกเปล่ียนข่าวสาร
12
7. ช่วยให้เด็กได้พูดคยุ ในหลาย ๆ สถานการณ์โดยพาเดก็ ไปยังสถานที่ต่าง ๆ เพื่อที่เดก็
จะได้ใช้ภาษากับบุคคลที่หลากหลายวิธีการนี้จะทำให้เด็กเกิดแนวคิดและเผชิญกับเหตุการณ์ที่ต้อง
ใช้ภาษา
8. ส่งเสริมให้เด็กใช้ภาษาในวิถีทางที่แตกต่างกันเช่นในการถามคำถามบอกความรู้สึก
อธบิ ายสิ่งตา่ ง ๆ
9. สง่ เสรมิ ใหเ้ ดก็ ไดม้ ปี ระสบการณใ์ นการท่ีจะรกู้ ารใชภ้ าษาทเ่ี ปน็ คำแนะนำและคำสง่ั
10. ควรสนทนากับเด็กว่าเขาต้องการทำอะไรและเขาควรทำอย่างไรเด็กจะเรียนรู้ภาษา
โดยผ่านข้อมลู ย้อนกลับเช่นการถามการตอบคำถามและพูดวิจารณเ์ กีย่ วกับกิจกรรมต่าง ๆ ซึ่งเป็นส่งิ
ท่แี สดงวา่ เด็กมีความตั้งใจและรูว้ า่ เขาทำอะไร
ณัฐวดี ศิลากรณ์ (2556 : 12) กล่าววา่ แนวทางในการส่งเสริมภาษาให้เด็กปฐมวัยมีหลาย
วิธี ทั้งการจัดสภาพแวดล้อม สื่อ และวิธีการนำเสนอที่เร้าความสนใจเด็ก ซึ่งจะช่วยสร้างความพร้อม
ทางภาษาให้เกิดขึ้นในตัวเด็ก การฟัง การอ่าน ในสิ่งที่เด็กสนใจ เด็กจะได้รับความรู้ อยากพูดอยาก
เขียน สื่อสารออกมาอย่างมั่นใจ และมีความสุข เป็นความพร้อมที่ผู้ใหญ่สามารถช่วยส่งเสริมให้
กับเดก็ ได้
สรุปได้ว่า แนวทางการสง่ เสริมภาษามีหลายวิธี เช่น การเล่าเรือ่ งประกอบภาพ เล่นนิทาน
โดยมีการจัดสภาพแวดล้อม จัดสื่อ และวิธีการเล่า เพื่อดึงดูดความสนใจของเด็กที่จะช่วยพัฒนาด้าน
การฟงั การอ่าน สกู่ ารอยากพดู อยากเขยี น และช่วยใหเ้ ดก็ จดจำข้อมูลต่างๆ ได้ง่ายขึ้นด้วย
2.4 ความหมายทักษะทางดา้ นการฟัง
ราชบณั ฑิตยสถาน (2554 : 811) กลา่ ววา่ การฟงั คือ การคอยรับเสียงด้วยหู ไดย้ นิ
นงลักษณ์ งามขำ (2551 : 8) กล่าวว่า การฟังเริ่มต้นจากการได้ยินรับรู้เข้าใจคิดแล้ว
นำไปใช้ประโยชน์ เป็นกระบวนการที่เป็นขั้นตอน และเป็นลำดับของผู้ฟังทักษะ การฟังเป็นสิ่งที่ควร
ส่งเสริมแก่เด็กปฐมวัย นั้นส่วนใหญ่เป็นการฟังเสียงธรรมชาติ จังหวะดนตรี และเสียงเพลง ซึ่งการฟงั
ของเดก็ ปฐมวัย
ดวงกมล พลคร (2553 : 35) กล่าวว่า การฟังการรับรู้เสียงผ่านประสาทสัมผัสทางหู
โดยการได้ยินอย่างเข้าใจความหมายสามารถดีความ และเชื่อมโยงเสียงที่รับรู้โดยผ่านสื่อ
กับประสบการณ์ได้
พีรยา กิตติ์วรกุล (2562 : 11) กล่าวว่า การฟังเป็นกระบวนการรับรู้สารหรือสิ่งเร้าที่มา
กระทบโสตสัมผัสแล้วทำการวิเคราะห์สารหรือสิ่งเร้านั้น ๆ เพื่อให้เข้าใจความหมายตรงตาม
วัตถุประสงคข์ องผพู้ ดู หรือผู้ส่งสารโดยอาศยั ประสบการณ์ทม่ี ีอยูช่ ว่ ยในการวิเคราะห์หรือตคี วาม
13
สรุปได้ว่า การฟงั ของเด็ก เป็นการรับรูผ้ า่ นประสาทสัมผัสทางหู ทีเ่ ด็กไดร้ บั เสียงแล้วนำไป
สร้างเสริมพัฒนาการทางภาษามากกว่าการใช้ เพื่อพัฒนาปัญญาเด็กจะเก็บคำพูด หรือเรื่องราวจาก
สิ่งที่ฟังมา ทำให้เป็นคำศัพท์ เป็นประโยคที่ จะถ่ายทอดไปสู่การพูด ถ้าเรื่องราวที่เด็กได้ฟังมีความ
ชดั เจนงา่ ยต่อการเขา้ ใจ เข้าใจรบั รู้ และความหมายท่ตี รงกันทักษะการฟังเปน็ ส่ิงทีค่ วรส่งเสริมแก่เด็ก
ปฐมวัย
2.5 ความสำคญั ทักษะการฟัง
ภัทรครา พันธุ์สีดา (2551 : 13) กล่าวว่า ความสำคัญของทักษะการฟังว่าการฟังเป็น
ทักษะทางภาษาที่ใช้มากที่สุด และมีส่วนสำคัญต่อการพูด การอ่าน และการเขียน การฟัง ช่วยให้
ได้รับความรู้ประสบการณ์ความสนุกสนานสร้างมนุษย์สัมพันธ์และส่งผลต่อการเลือกประเมินและ
ตัดสินใจ
ดวงกมล พลคร (2553 : 35) กล่าวว่า ทักษะการฟังมีความสำคัญต่อการติดต่อ
สื่อ ความหมายเป็นทักษะที่ใช้มากที่สุด ซึ่งมีส่วนสำคัญต่อการพูด การอ่าน และการเขียน ซึ่งการฟัง
จะทำไดด้ ตี อ้ งอาศยั การฝกึ ฝน
พรี ยา กิตติ์วรกุล (2562 : 11) กลา่ วว่า ความสำคญั ในการฟังเป็นทักษะท่ีมีความสำคัญใน
การติดต่อสื่อสาร มีส่วนสำคัญต่อการพูด การอ่าน และการเขียน ซึ่งการฟังจะทำได้ดีต้องอาศัยการ
ฝึกฝน
ณภัทรสร จรจรัญ (2551 : 11) กล่าวว่า ความสำคัญของทักษะการฟังไว้ว่า พัฒนาการ
ทางการฟังและความสามารถทางการฟังของเด็กปฐมวัยจะเป็นทักษะทางภาษาที่เด็กเรียนรู้ได้ดีกว่า
ด้านอ่ืน ๆ ครู
จึงควรให้ความสำคัญกับการสอนฟงั ในฐานะทเี่ ป็นทกั ษะท่เี ด็กปฐมวยั เรียนร้ไู ด้ก่อนการพูด
สรุปได้ว่า ทักษะการฟังมีความสำคัญต่อการพูดการสื่อสารของมนุษย์ในชีวิตประจำวันซึ่ง
ครูเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาทักษะการฟังควบคู่กับทักษะการอ่าน ทักษะการเขียน และ
ทักษะการพดู อยา่ งสอดรับกัน อนั เป็นพนื้ ฐานสำคญั ในการเรียนรูข้ องเด็กตอ่ ไปในอนาคต
2.6 แนวทางในการส่งเสริมทักษะการฟัง
นงลักษณ์ รักพงษ์ (2560 : 14) กล่าวว่า การส่งเสริมพัฒนาทักษะการฟังการฟังเป็น
ทักษะพื้นฐานในการเรียนรู้ภาษาของบุคคลในระดับต่อไป และเป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาคุณภาพ
ชีวิต การส่งเสริมความสามารถในการฟังให้แก่เด็กปฐมวัย ย่อมช่วยให้เด็กเจริญงอกงามอย่าง
มีคณุ ภาพ และดำรงชีวติ อยใู่ นสังคมได้อย่างมคี วามสุข ทง้ั น้เี นือ่ งจากการฟังเป็นการรับข้อมูลเบื้องต้น
14
ในการพิจารณาไตร่ตรองเพื่อการตัดสินใจ ฉะนั้นผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการฟังควรจะรู้เทคนิควิธี
การพัฒนาทักษะการฟังใหก้ บั เด็กปฐมวยั ได้อย่างถูกต้อง ดงั ตวั อยา่ งทักษะการฟัง ต่อไปนี้
1. ครูต้องพยายามจัดกิจกรรมที่น่าสนใจ และน่าสนุก โดยวางแผนการจัดกิจกรรม แต่ละ
ช่วงเวลาตามความสนใจของเดก็ และจัดสิง่ แวดล้อมให้เหมาะสมกับการฟัง
2. กระตุ้นให้นักเรียนทราบว่าการฟังเปน็ เร่อื งท่ีจำเปน็
3. การสอนฟังให้เด็ก โดยวิธีการที่ครพู ูดให้ชัดแต่เบาพอที่จะให้เดก็ สนใจฟังและควรใหเ้ วลา
เดก็ ในการรบั ฟงั หรือเตรยี มตวั ใหม้ ากพอเพ่อื ใหเ้ ด็กหยดุ กิจกรรมอนื่ แล้วหนั มาสนใจฟังครูและท่ีสำคัญ
ครูควรใชค้ ำอธบิ ายงา่ ยๆ
4. ครูต้องเป็นผู้ฟังที่ดี โดยทำตัวอย่างให้เด็กเห็นได้ชัดเจน เช่น การหันหน้าไปทางผู้พูด
เปน็ ต้น
5. สร้างบรรยากาศท่ดี ีสำหรับเด็กและครู
6. ช่วยใหเ้ ด็กพัฒนาการรับรู้เสียง ใหร้ จู้ ักแยกเสยี งทไ่ี ดย้ นิ ในชีวิตประจำวัน
7. เปิดโอกาสให้เด็กได้ทำกิจกรรมต่างๆ ให้เด็กได้ฟังเรื่องหรือประสบการณ์ที่มีความหมาย
เพอื่ เพ่มิ พนู ความรู้
ศุภจิรา สมศรี (2560 : 14) กลา่ วว่า ในการสอนทกั ษะการฟังให้กบั เด็กปฐมวัยน้นั ควรพูด
ให้มีความชัดเจน ไมเ่ สียงดังหรือเสยี งคอ่ ยเกินไป และทีส่ ำคัญไมค่ วรพูดมากเกนิ ไปเด็กอาจเบ่ือที่จะฟัง
และให้โอกาสเด็กในการเตรียมตัวที่จะฟังครูควรใช้คำพูดที่ง่าย ๆ ในการฟังสำหรับเด็กปฐมวัยน้ัน
สามารถจัดกิจกรรมได้หลายรูปแบบ เช่น การฟังเพลง การฟังนิทาน การฟังเสียงดนตรี และการฟัง
เสยี งตา่ ง ๆ และวิธีทีใ่ กลต้ ัวเด็กและสามารถเข้าใจได้ง่ายอีกวิธีหนงึ่ คือ การฟงั นทิ าน
ดารารัตน์ อุทัยพยัคฆ์ (2563) กล่าวว่า การจัดกิจกรรมที่จะสามารถส่งเสริมทักษะการฟงั
ให้กับเด็กปฐมวยั ดงั นี้
1. การฟังเพลงหรือดนตรี หรือการทำท่าทางประกอบเพลง เด็กจะมีความสนุกสนาน
จากการได้ร้องเพลง และเพลงที่นำมาให้เด็กร้องต้องเหมาะสมกับวัย เครื่องดนตรีสามารถทำมาจาก
เศษวสั ดไุ ด้ เช่น กระป๋อง ขวดลักษณะตา่ งๆ เปน็ ตน้
2. คำคลอ้ งจอง คำกลอน ซึ่งจะตอ้ งไม่ยาวมากควรสัน้ ๆ และสามารถจำได้ง่ายและอย่าง
รวดเรว็ หรือเปน็ ภาษาท่เี ด็กคนุ้ เคย
3. เกมต่างๆ ซึ่งมีกฎ กติกาง่ายๆ เด็กเล่นแล้วมีความสนุกสนานเพลิดเพลนิ ไม่เน้นการ
แข่งขนั แตใ่ ห้เด็กได้รว่ มเล่น อย่างสนกุ สนาน และให้เดก็ ไดฝ้ ึกการฟงั ให้เขา้ ใจในกติกาของการเล่น
4. ปริศนาคำทาย เป็นกิจกรรมที่เด็กทำแล้วเกิดความสนุกสนานซึ่งผู้ใหญ่จะต้องมี
เทคนิคในการใช้ปรศิ นาคำทายโดยจะต้องเหมาะสมกับวัยของเด็ก
15
กจิ กรรมดังกลา่ วถา้ เด็กไดท้ ำและมปี ระสบการณ์อยู่เรื่อยๆ จะเปน็ การพฒั นาความสามารถ
ในดา้ นการฟงั สำหรับเดก็ ปฐมวัยอย่างมคี ณุ ภาพ
สรุปได้ว่า แนวทางการส่งเสริมทักษะการฟัง โดยการจัดกิจกกรมการเล่านิทานครูจะต้อง
เลือกนิทานที่ดึงดูดความสนใจเด็ก ใช้น้ำเสียงในการพูดที่ชัดเจน มีหลากหลายเสียง ใช้คำพูดง่ายๆ
และควรเปิดโอการให้เด็กไดซ้ ักถาม
2.7 ความหมายทกั ษะทางด้านการพูด
ดวงกมล พลคร (2553 : 36) กล่าวว่า การพูดเป็นการสื่อสารของมนุษย์ โดยการเปล่ง
เสียงออกมาเป็นถ้อยคำ น้ำเสียงภาษา และอากัปกิริยา เพื่อถ่ายทอดความรู้สึกความคิด และความ
ต้องการของผู้พูดไปสู่ผู้ฟังให้เข้าใจ อาจเป็นการแสดงความรู้สึกนึกคิด ความต้องการ ความรู้ และ
ประสบการณ์ ซง่ึ ตอ้ งอาศัยกระบวนการต่างๆ ทำงานอยา่ งต่อเนื่องและประสานกนั
ณัฐวดี ศิลิลากรณ์ (2556 : 18) ก ล่าวว่า การพูดเป็นรากฐานของการพัฒนาทางภาษา
ช่วยส่งเสริมพัฒนาการด้านสติปัญญา เป็นเครื่องมือสื่อสารที่ช่วยให้เด็กเกิดพัฒนาการในการสื่อ
ความหมายเพอื่ ใชใ้ นการติดตอ่ กบั ผู้อ่ืนและอย่รู ่วมกับผู้อื่นในสงั คมได้อยา่ งปกตสิ ุข
ณริ ัชญา ย่ีสุน่ เรอื ง (2560 : 7) กลา่ วว่า การพดู เปน็ การตดิ ตอ่ ส่อื สารกบั ผูอ้ ืน่ โดยการ
เปลง่ เสยี งออกมาเปน็ ถ้อยคำ เพ่อื ส่งสารใหผ้ ู้ฟงั เข้าใจ ความตอ้ งการ ความรู้สกึ นึกคดิ ของตนเอง
สรุปได้ว่า การพูด เป็นการพูดเปล่งเสียงออกมาเป็นภาษา เพื่อถ่ายทอด
ความรู้ ความรู้สึก ความคิด หรือความต้องการของผู้พูดไปยังผู้ฟัง โดยใช้ถ้อยคำ น้ำเสียง และ
อากปั กริ ิยา จนเปน็ ทเี่ ข้าใจกนั ได้
2.8 ความสำคญั ทกั ษะการพูด
ศิวพร นิลสุข (2551 : 28) กล่าวว่า การพูดเป็นสิ่งสำคัญ และจำเป็นอย่างยิ่งต่อการ
ดำรงชีวิตของมนุษย์ในสังคมการพูดเป็นเครื่องมือที่จะช่วยให้กิจการต่าง ๆ สำเร็จไปด้วยดีเนื่องจาก
การพดู ต้องอาศัยน้ำเสยี งเปน็ สื่อการทผี่ ู้พูดสามารถใช้ระดับเสียงต่าง ๆ กันตามสถานการณ์ต่าง ๆ ได้
อยา่ งเหมาะสมกจ็ ะช่วยโนม้ น้าวจติ ใจของผู้ฟังไปในทางทีผ่ ู้พดู ม่งุ หมายไดง้ ่ายนอกจากนี้ในการพูดผู้ฟัง
ยังจะได้เห็นสีหน้าท่าทางของผู้พูดเป็นส่วนประกอบยิ่งทำให้เกิดความเข้าใจได้ดีขึ้นและการพูดยัง
สามารถสื่อความหมายไดอ้ ย่างรวดเรว็ กว่าการสอ่ื ความหมายด้วยวธิ ีอื่น ๆ
เกตน์นิภา ฮาดคันทุง (2561 : 22) กล่าวว่า การพูดมีความสำคัญสำหรับเด็กปฐมวัยเป็น
อย่างมาก เพราะ เป็นสิ่งสำคัญที่เด็กจะต้องใช้การพูด เพื่อการสื่อความหมายกับพ่อ แม่ ครู และผู้
ใกล้ชิด ที่แวดล้อมเด็กให้เข้าถึงความต้องการต่าง ๆ ทั้งนี้ต้องอาศัยประสบการณ์การเรียนรู้การทำ
16
กิจกรรมที่ส่งเสริมการพูดและการฝึกพูดซ้ำ ๆ อยู่เสมอ จึงจะทำให้เด็กเกิดการเรียนรู้และเข้าใจ
ความหมายของคำศพั ท์ใหม่ ๆ มากขนึ้ สามารถพูดได้ถกู ต้องชัดเจนยงิ่ ขึน้
สรุปได้ว่า การพูดเป็นทักษะทางภาษาที่สำคัญอย่างหนึ่ง ใช้ในการสื่อสาร การถ่ายทอด
ความรู้สึกนึกคดิ และความคิดเห็น เพื่อให้ผู้อื่นได้รู้ไดเ้ ขา้ ใจ โดยเฉพาะอย่างย่ิงในเด็กปฐมวยั หากผู้ท่ี
เกี่ยวข้อง คือ พ่อ แม่ ครู รู้วิธีการท่ีจะส่งเสริมทางทักษะการพูดทีเ่ หมาะสมและให้แก่เด็กบ่อยๆ ก็จะ
ทำให้เดก็ พูดไดช้ ัดเจนข้ึน
2.9 แนวทางในการส่งเสริมทักษะการพูด
แนวทางที่จะช่วยส่งเสริมพัฒนาการทางการพูดสำหรับเด็กนั้น มีหลายรูปแบบเป็น
กิจกรรมที่เปิดโอกาสให้เด็กได้พูดคุย ซักถาม และแสดงความคิดเห็นอย่างอิสระ เพื่อให้เด็กเกิด
ประสบการณต์ รงเกดิ การเรยี นรู้ ไดพ้ ฒั นาครบทุกด้าน (กรมวชิ าการ, 2540 : 36-37) ตามแนวการจัด
กิจกรรมเสริมประสบการณท์ ่สี ามารถจัดได้หลากหลายวธิ ี ดังนี้
1. การสนทนาอภิปราย เป็นการส่งเสริมพัฒนาการทางภาษาในการพูด การฟัง รู้จัก
แสดงความคิดเห็น และยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น ซึ่งสื่อที่ใช้อาจเป็นของจริง ของจำลอง
รปู ภาพสถานการณ์จำลอง ฯลฯ
2. การเล่านิทาน เป็นการเล่าเรื่องต่างๆ ส่วนมากจะเป็นเรื่องที่เน้นการปลูกฝังให้เกิด
คุณธรรมจริยธรรม วิธีการนี้จะช่วยให้เด็กเข้าใจได้ดีขึ้น ในการเล่านิทานสื่อที่ใช้อาจจะเป็นรูปภาพ
หนังสือนทิ านหนุ่ การ แสดงท่าทางประกอบการเล่าเรื่อง
3. การสาธิต เป็นการจัดกิจกรรมที่ต้องการให้เด็กได้สังเกต และเรียนรู้ ตามขั้นตอน
ของกิจกรรมนั้น ๆ ในบางครั้งครูอาจให้เด็กอาสาสมัครเป็นผู้สาธิตร่วมกับครู เพื่อนำไปสู่การปฏิบัติ
จริงเช่น การเพาะเมล็ด การเป่าลกู โป่ง การเล่นเกมการศึกษา
4. การทดลอง ปฏิบัติการเป็นกิจกรรมที่จัดให้เด็กได้รับประสบการณ์ตรง เพราะได้
ทดลองปฏิบัติด้วยตนเองได้สังเกตการเปลี่ยนแปลง ฝึกการสังเกต การคิดแก้ปัญหา และส่งเสริมให้
เด็กมีความอยากรู้อยากเหน็ และค้นพบดว้ ยตวั เอง เช่น การประกอบอาหาร การทดลองวทิ ยาศาสตร์
ง่ายๆ การเลย้ี งหนอนผีเสือ้ การปลกู พืช ฯลฯ
5. การศึกษานอกสถาน ที่เป็นการจัดกิจกรรม ที่ทำให้เด็กได้รับประสบการณ์ตรงอีก
รูปแบบหนึ่งด้วยการพาเด็กไปทัศนศึกษาสื่อต่างๆ รอบโรงเรียนหรือสถานที่นอกโรงเรียนเพื่อเป็น
การเพิม่ พนู ประสบการณแ์ ก่เด็ก
6. การเล่นบทบาทสมมติเป็นตัวละครต่างๆ ตามเนื้อเรื่องในนิทานหรือเรื่องราวต่างๆ
อาจใชส้ ่อื ประกอบการเล่นสมมติ เพอ่ื เรา้ ความสนใจและกอ่ ให้เกิดความสนกุ สนาน เชน่ หนุ่ สวมศีรษะ
ที่คาดศีรษะรูปคน และสัตว์รปู แบบต่างๆ เคร่ืองแตง่ กาย และอปุ กรณข์ องจรงิ ชนิดต่างๆ
17
7. การร้องเพลง เล่นเกม ท่องคำคล้องจอง เป็นการจัดให้เด็กได้แสดงออก เพื่อความ
สนกุ สนานเพลิดเพลินและเรียนรูเ้ ก่ยี วกบั ภาษาและจังหวะ
ณัฐวดี ศิลิลากรณ์ (2556 : 22) กล่าวว่า ส่งเสริมการพูดของเด็กปฐมวัยสามารถทำได้
หลายวิธี เช่น การเล่นเกม การเล่นบทบาทสมมติ การร้องเพลง การเล่านิทาน การไปศึกษานอก
สถานท่ตี ลอดจนการทดลองปฏบิ ัตจิ ริง ซึ่งเปน็ สิง่ จำเปน็ ที่ครูและผเู้ กย่ี วข้องด้านการศึกษาปฐมวัยควร
ให้ความสำคญั และเลือกวธิ ีปฏิบัตติ ามความเหมาะสม
ดารารัตน์ อุทัยพยัคฆ์ (2563) กล่าวว่า การส่งเสริมทักษะการพูดให้กับเด็กปฐมวัยนั้นมี
ปัจจัยหลายอย่างต่อการพัฒนาทักษะการพูดทั้งสภาพแวดล้อม พ่อแม่หรือบุคคลแวดล้อม ครูผู้สอน
ตัวเดก็ เองเป็นตน้ สำหรบั แนวทางทสี่ ง่ เสรมิ ทักษะการพูดใหก้ ับเด็กมี ดงั น้ี
1. การพดู คยุ กับเดก็ เป็นประจำ
2. การเปน็ แบบอยา่ งในการพดู ท่ดี ใี ห้กบั เดก็
3. ให้โอกาสกับเด็กในการพูดหรือเล่าประสบการณ์ของเด็กเอง หรือให้มีการเล่าข่าวหรือ
เหตุการณป์ ระจำวนั
4. สร้างบรรยากาศและสง่ิ แวดล้อมท่ีอบอุ่น มีอสิ ระเพื่อส่งเสรมิ การพูดและการแสดงความ
คดิ เหน็
5. การฝึกพูดควรเป็นสภาพที่ธรรมชาติและเด็กมีความรู้สึกว่าเป็นสิ่งปกติ และควรฝึกใน
กลมุ่ เลก็ เพอ่ื ครแู ละเดก็ ไดม้ กี ารสื่อสารกันโดยตรง
6. ฝึกการมมี ารยาทในการพูด การใช้คำพดู ตา่ งๆอยา่ งเหมาะสม และถกู กาลเทศะ
7. ใช้กิจกรรมการร้องเพลง เล่นเกม ท่องคำคล้องจอง การเล่นบทบาทสมมติ การปฏิบัติ
กิจกรรมโดยใช้แนวทางดังกลา่ วจะสง่ เสรมิ ใหเ้ ด็กได้มีทกั ษะการพูดอยา่ งมีคณุ ภาพ
สรุปได้ว่า แนวทางในการส่งเสริมทักษะการพูด สามารถจัดกิจกรรมได้หลากหลาย เช่น
การเล่านิทาน การทดลอง การเล่นบทบาทสมมุติ การไปทัศน์ศึกษานอกสถานที่ การเล่าเรื่องจาก
ประสบการณ์จริงที่อยู่ใกล้ตัวเด็กรวมไปถึงสิ่งที่อยู่รอบตัวเด็ก การพูดแสดงความรู้สึก รวมไปถึงการ
สรา้ งบรรยากาศ เพือ่ สง่ เสริมการพดู และการแสดงความคดิ เหน็
3. แนวคดิ ทฤษฎี และงานวจิ ยั ท่ีเก่ยี วขอ้ งกับเทคนิคการเลา่ นิทาน
3.1 ความหมายของนทิ าน
บบุ ผา เรืองรอง (2551 : ออนไลน์) กล่าวว่า นทิ านเป็นเร่ืองราวทเี่ ลา่ สบื ต่อกันมา หรือมีผู้
แต่งขึ้นต้องการสอนคนในการดำรงชีวิต เพื่อความสนุกสนานเพลิดเพลินนิทานส่วนใหญ่จะถ่ายทอด
ด้วยวิธีมขุ ปาฐะ ทีท่ ัง้ ผเู้ ล่า และผ้ฟู งั ตา่ งมงุ่ สนองความสขุ ทางจติ ใจของคน
18
ดวงสมร ศรใี สคำ (2552 : 29) กล่าววา่ นทิ านเป็นเร่ืองราวที่เล่าสบื ต่อกัน เพื่อให้ผู้ฟังเกิด
ความสนุกสนานเพลิดเพลิน และเกิดความรู้สามารถนำมาปรับเปลี่ยนประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวนั ได้
จารุณี ศรีเผือก (2554 : 17) กล่าวว่า นิทาน คือ เรื่องที่เล่าสืบต่อกันมาเพ่ือให้เด็กเกิด
ความสนุกสนาน และความบันเทิง ซึ่งนิทานอาจเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องที่สมมติขึ้นทำให้เด็ก
เกิดจินตนาการจากเรื่องได้แง่คิดคติสอนใจเด็กสามารถนำไปเป็นต้นแบบต่อการปฏิบัติตนใน
ชีวิตประจำวนั และใช้ในอนาคตได้
ณัฐวดี ศิลากร (2556 : 9) กล่าวว่า นิทานเป็นเรื่องเล่าที่แต่งขึ้นมาโดยการผูกเรื่องตาม
ความคิดจินตนาการ เพื่อความสนุกสนานเพลิดเพลิน และสอดแทรกแนวคิดคติสอนใจปลูกฝัง
คุณธรรมจริยธรรม เพื่อเปน็ แนวทางในการปฏบิ ัติตนทด่ี ใี นการอยรู่ ่วมกนั ในสงั คม
จุไรรัตน์ มณีฉาย (2558 : 62) กล่าวว่า นิทาน คือ เรื่องราวที่เล่าสืบต่อกันมาหรือเรื่อง
ที่ผูกขึ้นโดยจุดมุ่งหมายท่ีจะถ่ายทอดความรู้สกึ นึกคดิ ที่ดงี ามและยงั สอดแทรกคติสอนใจเพือ่ เป็นแนว
ทางการปฏบิ ัตใิ ห้แกเ่ ดก็ ๆ นอกจากน้ยี ังไดร้ ับความสนกุ สนานเพลดิ เพลินอีกดว้ ย
พัณณ์ชิตา สิรภัทรศรีเสมอ (2555 : 7) กล่าวว่า นิทานเป็นเรื่องราวที่เล่าสืบต่อกันมาช้า
นาน อาจจะเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นจากความเป็นจริงหรือเป็นเรื่องราวที่เกิดจากจนิ ตนาการของผู้แตง่
สอดแทรกแนวคิดคุณธรรม จริยธรรม ความดคี วามงามมีจุดม่งุ หมายเพอ่ื ให้ผู้ฟังได้รับความสนุกสนาน
เพลดิ เพลนิ และสามารถนำไปเป็นแนวทางปฏบิ ตั ิตนที่ถูกท่ีควรในการดำรงชีวติ ในสังคม
สรุปได้ว่า นิทานเป็นเรื่องที่เล่ากันต่อ ๆ มาจากคนรุ่นหนึ่งสู่คนอีกรุ่นหนึ่งโดยไม่ทราบว่า
ใครเป็นผู้แต่ง นิทานทำให้ผู้ฟังเกิดความสนุกสนานเพลิดเพลิน และยังสอดแทรกแนวคิดคติสอนใจ
ปลูกฝังคณุ ธรรมจริยธรรม ทจี่ ะสามารถนำมาประยกุ ตใ์ ชใ้ นชีวติ ประจำวัน
3.2 ความสำคญั ของนิทาน
วิเชียร เกษประทุม (2550 : 9-10) กล่าวว่า ความสำคัญของนิทาน คุณค่า และ
มีประโยชนด์ ังน้ี
1. นิทานให้ความสนุกสนานเพลิดเพลนิ เปน็ การผอ่ นคลายความเครยี ดและช่วยให้เวลา
ผา่ นไปอยา่ งไมน่ ่าเบื่อหนา่ ย
2. นทิ านชว่ ยกระชับความสัมพันธ์ในครอบครวั เด็กบางคนอาจมองผู้ใหญว่ ่าเป็นบุคคลท่ี
ข้บี น่ ชอบดุด่า น่าเบอื่ หนว่ ย หรือนา่ เกรงขาม แตถ่ า้ ผใู้ หญ่มเี วลาเล่านิทานใหเ้ ด็กฟังบ้างนิทานที่สนุก
ๆ กจ็ ะช่วยใหเ้ ด็กอยากอยู่ใกลช้ ิดผู้ใหญค่ วามเกรงกลวั หรอื เบ่ือหนา่ ยผ้ใู หญ่ลง
3. นทิ านให้การศึกษาและเสรมิ สร้างจนิ ตนาการ
19
4. นิทานให้ข้อคิดและคติเตือนใจ ช่วยปลูกฝังคุณธรรมต่างๆ ที่สังคมพึงประสงค์ให้ แก่
ผู้ฟัง เช่น ให้ซื่อสัตว์ให้เชื่อผู้ใหญ่ให้พูดจาไพเราะอ่อนหวานให้มีความเอื้อเผื่อเผื่อแผ่ให้ขยันขันแข็ง
เปน็ ตน้
5. นิทานชว่ ยสะทอ้ นให้เหน็ สภาพของสังคมในอดีตหลายๆดา้ น
สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (2550 : 11-16) กล่าวว่า ความสำคัญ ของนิทานว่า
นิทานเป็นสิ่งที่สำคัญ ต่อชีวิตทั้งและผู้ใหญ่ เพราะนอกจากนิทาน จะช่วยให้เด็กๆ มีความสุขสนุก
หรรษาแล้ว ยังเป็นโลกแห่งจินตนาการที่สมบูรณ์แบบที่คอยช่วยถักทอสายใยความรักความฝัน สาน
สัมพันธ์อันอบอุ่น ความละมุนละไมในกลุ่มสมาชิกของครอบครัว อีกทั้งนิทานยังให้แง่คิดคติสอนใจ
และปรชั ญาชีวิตอนั ลำ ลกึ แก่เด็ก นทิ านมีความสำคัญต่อพัฒนาการของเด็ก ดังนี้
1. ช่วยพัฒนาเด็กทางด้านลักษณะชีวิต เด็กได้เรียนรู้ถึงลักษณะชีวิตที่ดีผ่านนิทานที่
ปรารถนาให้เด็กมีพฤตกิ รรมทีด่ เี ช่น มคี ณุ ธรรมจริยธรรม มีความกลา้ หาญ มคี วามยุตธิ รรม
2. การพฒั นาเด็กดา้ นบุคลิกภาพ บุคลกิ ภาพเป็นองคป์ ระกอบท่มี ีอยู่มากในนิทานซ่ึงเด็ก
จะไดร้ บั ร้ถู งึ บุคลิกภาพที่ดที ่ีจะช่วยให้อยูใ่ นสังคมได้อย่างดีเช่น ความเชือ่ มน่ั การรักษาตนความสุภาพ
ออ่ นนอ้ ม ความมีมารยาทท่ดี คี วามเปน็ ผ้นู ำ
3. การพฒั นาเด็กดา้ นความรู้และสตปิ ญั ญา
4. การพฒั นาเด็กในดา้ นทักษะและความสามารถ
5. การพัฒนาเด็กในด้านสุขภาพ นิทานเป็นกระบวนการหนึ่งที่กำหนดบทบาท ในด้าน
สุขภาพให้เกิดแก่เด็ก เพราะเมื่อเด็ก ได้อ่านหรือ ฟังนิทานแล้วจะก่อให้เกิด การเรียนรู้ในการที่จะ
รักษาสขุ ภาพกายและสุขภาพจติ ของตน
ณิรัชญา ยี่สุ่นเรือง (2560 : 13) กล่าวว่า นิทานให้ความเพลิดเพลินสนุกสนาน และผ่อน
คลายความเครียดสร้างเสริมจินตนา การส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรม กระชับความสัมพันธ์ใน
ครอบครัวสะท้อนให้เห็นสภาพของสังคมในอดีตในหลาย ๆ ด้านช่วยพัฒนาเด็กทางคุณลักษณะ
ชีวิตท่ีดี
สรุปได้ว่า ความสำคัญของนิทานให้ความสนุกสนาน เพลิดเพลิน และช่วยให้เด็กมีความสุข
ให้แง่คิดและคติสอนใจ การจัดประสบการณ์ให้เด็กโดยใช้นิทานเป็นสิ่งจำเป็น เพราะการเล่านิทาน
สามารถใชเ้ ป็นเครอ่ื งมอื ในการพัฒนาและเตรยี มความพร้อมให้กับเด็ก
3.3 ประเภทของนทิ าน
จิระประภา บุณนติ ย์ และคณะ (2551: 17-21) ไดแ้ บ่งนทิ านออกเปน็ 5 ประเภทดังน้ี
20
1. นิทานปรัมปรา มีลักษณะที่เห็นได้ชัดคือเป็นเรื่องค่อนข้างยาวและเป็นเรื่องสมมุติว่า
เกิดขึ้นในที่ใดที่หนึง่ ไม่กำหนดไว้ชัดเจนว่าที่ไหนและมักขึ้นตน้ ว่า“ ในกาลครั้งหนึ่ง” ตัวบุคคลในเรื่อง
ไม่ใชม่ นษุ ยธ์ รรมดามอี ทิ ธิฤทธิ์ปาฏหิ าริย์
2. นิทานท้องถิ่น มีขนาดสั้นกว่านิทานปรัมปรา เป็นเรื่องเหตุการณ์เดียวและเกี่ยวกับ
ความเช่ือขนบธรรมเนียมประเพณโี ชคลางหรือคตนิ ยิ ม
3. เทพนยิ าย เปน็ นิทานที่มเี ทวดานางฟ้า
4. นิทานเรื่องสัตว์ ตัวเอกของเรื่องจะเป็นสัตว์มีความคิดและการกระทำต่างๆเหมือน
มนุษยธ์ รรมดามักเป็นเร่อื งตลกขบขันและมีคติสอนใจ
5. นทิ านตลกขบขัน เป็นเรือ่ งสนั้ ๆ เก่ียวกบั การแสดงปฏภิ าณไหวพริบการผจญภัยจาก
ประเภทของนิทานที่ก ล่าวข้างต้นสรุปได้ว่านิทานมีหลายประเภททั้งนิทานที่มีเนื้อหาสาระเกี่ยวข้อง
กับความเชื่อขนบธรรมเนียมประเพณีที่ปฏิบัติสืบทอดกันมาเป็นระยะเวลานานและนิทานที่มีเนื้อหา
สาระเก่ยี วขอ้ งกับเหตุการณ์ปัจจุบันท่สี ่งเสริมคณุ ธรรมจรยิ ธรรมความรู้ทางสงั คมและส่ิงแวดลอ้ ม
ชนาธิป บุบผามาศ (2553 : 18) กล่าวว่า ประเภทของนิทานแบ่งออกได้หลายประเภท
โดยใช้หลักเกณฑ์การแบ่งทต่ี ่างกันไปตามรูปแบบและเน้ือหาของนทิ าน
สุกันยา อินทร์นุรักษ์ (2553 : 37) กล่าวว่า การจัดแบ่งประเภทของนิทานที่แตกต่างกัน
ด้วยเป็น เพราะการศึกษาและสำรวจนิทานด้วยจุดมุ่งหมายและเกณฑ์ที่ต่างกันอย่างไรก็ตาม
การการศึกษา และการสำรวจนิทานนี้ ทำให้ได้รับความรู้เกี่ยวกับนิทานมากมาย และการจัดแบ่ง
ประเภทของนิทานก็ทำให้ผู้เล่า หรือ นักเล่านิทานได้รับความสะดวกในการเลือกนิทานมาใช้
และสามารถดัดแปลงแต่งเติมนิทานที่เล่าให้สมบูรณ์และเหมาะกับวัตถุประส งค์ที่ต้องการนำเสนอ
แก่ผฟู้ ังได้อย่างมปี ระสิทธิภาพย่ิงข้นึ
สรุปได้ว่า ประเภทของนิทานมีนิทานหลายประเภท โดยแบ่งตามเนื้อหาสาระของนิทาน
เชน่ นทิ านปรัมปรา นทิ านท้องถิน่ เทพนิยาย นทิ านเรอ่ื งสัตว์ นทิ านตลกขบขัน เป็นตน้
3.4 จดุ ประสงค์การเล่านทิ าน
กรมวิชาการ (2546 : 143-144) ได้ให้ข้อคิดในการเล่านิทาน เพื่อนำเด็กปฐมวัยไปสู่การ
อา่ นดงั นี้
1. ฝึกการฟัง การที่เด็กมีความสนใจและตั้งใจฟัง เด็กจะสามารถจดจำชื่อลักษณะตัว
ละคร ความต่อเนื่องของเร่ืองราวได้ ไดร้ ู้จักคำศัพทใ์ หม่ ขณะท่คี รูเล่าเด็กมีอารมณ์คล้อยตามเร่ืองราว
เปน็ อยา่ งดี
21
2. ฝึกการพูด ครูให้เด็กหัดพูดคำศัพท์ใหม่ ข้อความบางตอน หรือคำกลอนง่าย ๆ จาก
นทิ านให้เด็กมีส่วนรว่ มในการเล่านทิ านเช่นการวจิ ารณ์นทิ านที่ได้ ฟังตอบคำถามจากเรื่อง หรือหดั เล่า
เร่ืองทีต่ นเองชอบ
3. ฝึกการสังเกต เด็กทุกคนมักช่างสังเกตและจะมีคำถามอะไร หรือทำไมอยู่เสมอครูผู้
เล่าจะต้องตอบข้อสงสัยนั้น ให้เป็นที่พอใจอาจเป็นขณะที่กำลังเล่าหากไม่เป็นการขัดจังหวะการเล่า
มากเกินไป หรืออาจบอกให้รอจนครูเล่าจบก่อน การให้ข้อสงสัยเป็นการตอบสนองความอยากรู้ เพ่ือ
พัฒนาสมองและเพม่ิ พนู ประสบการณ์ให้กับเด็กมากขนึ้
จิระประภา บุณนิตย์ และคณะ (2551 : 23-24) กำหนดจุดมุ่งหมายในการเล่านิทานไว้
ดังนี้
1. เพ่ือสนองความต้องการทางธรรมชาติของเด็กเพราะโดยธรรมชาติแลว้ เด็ก ๆ ชอบฟัง
นิทาน
2. เพื่อช่วยให้เด็กมีจิตใจเบิกบาน ผ่อนคลายอารมณ์ ความเครียด และสร้างเสริม
อารมณข์ นั ใหก้ บั เดก็
3. เพื่อเป็นการปกป้องส่งเสริมพัฒนาการทางความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการ
ของเดก็
4. เพอ่ื สง่ เสรมิ พฒั นาการทางดา้ นภาษาของเด็ก
5. เพ่ือชว่ ยให้เด็กได้เรยี นรวู้ ิชาการต่างๆทสี่ อดแทรกอยใู่ นนิทานเรื่องน้นั ๆ
6. เพอื่ ชว่ ยกระตุ้นใหเ้ ดก็ อยากอา่ นหนังสือ
7. เพอ่ื ชว่ ยให้ผู้ใหญแ่ ละเด็กมคี วามใกลช้ ิดสนิทสนมกนั มคี วามสัมพนั ธ์ท่ดี ีตอ่ กัน
สรุปได้ว่า นิทานช่วยเสริมสร้างความสนุกสนาน และช่วยพัฒนาเรียนทางด้านภาษา
ความคิดสร้างสรรค์ ช่วยสร้างสมาธิ พัฒนาทักษะการฟัง การพูด และไม่ใช่มีเพียงความสนุกเท่านั้น
แตย่ งั สามารถสรา้ งความมัน่ ใจ และกระตุน้ พัฒนาการในการเรยี นใหก้ ับผเู้ รยี นได้อีกด้วย
3.5 เทคนิควธิ ขี องการเลา่ นทิ าน
การเล่านิทานให้สนุก และเป็นที่ชื่นชอบของผู้ฟัง มีความจำเป็นที่ผู้เล่าจะต้องมีเทคนิคใน
การเลา่ ซึง่ เกิดจากการฝกึ ฝนอบรม จนเป็นทักษะ หรือเกดิ จากความสามารถเฉพาะตัวทม่ี า แตด่ ง้ั เดิม
ทง้ั นีห้ ากครูในฐานะท่เี ปน็ ผู้เลา่ มคี วามตอ้ งการเป็นผ้เู ล่าทีด่ ี เกง่ มีความสามารถในการจูงใจนกั เรียนที่
เปน็ ผูฟ้ ัง ควรท่ีจะศึกษาค้นควา้ หาความรู้ ทดลองปฏบิ ตั ิ และเล่านทิ านให้เด็กฟังอยเู่ สมอเป็นประจำมี
นักการศึกษาหลายทา่ นไดใ้ ห้ทรรศนะถงึ หลักในการเลา่ นิทานให้ประสบผลสำเร็จไว้ ดงั น้ี
จิระประภา บุณนิตย์ และคณะ (2551: 53 – 58) กล่าวถึง ศิลปะการเล่านิทาน พอสรุปได้
ดังน้ี
22
1. เสียงของผเู้ ลา่ ต้องใช้เสยี งตวั เองใหไ้ ดค้ วามหมายตามจุดประสงค์ เสียงชัดเจน ระดับ
เสียง และจังหวะ เหมาะสมตามทอ้ งเร่อื ง
2. ท่าทางของผู้เล่า การทำท่าทางเป็นสิ่งที่จำเป็น แต่ควรทำเพียงเล็กน้อยเพียงเพื่อให้
เด็กเกดิ มโนภาพ ไม่ควรเปน็ การแสดงทจี่ รงิ จัง
3. จังหวะการพูด จะพูดช้าหรือเร็ว ขึ้นอยู่กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเรื่องที่ เล่าจังหวะ
การพดู จะทำให้นิทานน่าสนใจช่องว่างระหวา่ งการพูด ทำให้เด็กใจจดใจจ่อว่า ต่อไปจะเกดิ อะไรขนึ้
4. การเตรียมตวั ลว่ งหน้าของผูเ้ ลา่ เพือ่ ใหเ้ ข้าใจอย่างถอ่ งแท้ว่าเรื่องจะดำเนินไปอย่างไร
ผ้เู ล่าควรจำเนือ้ เรื่องในนิทานใหไ้ ด้
5. การใช้สายตาทอดไปที่เด็ก เพื่อจะได้เห็นถึงความรู้สึกของผู้เล่า ที่ฉายออกมาทาง
ดวงตา เวลาฟงั นทิ าน สายตาเด็กจะจบั จอ้ งอยทู่ ่ผี ู้เลา่
6. การใช้คำถาม ถามเด็กขณะเล่า เพื่อเป็นการดึงความสนใจของเด็กหลังจากที่เล่า
นิทานไปได้ระยะหนึ่ง
7. ใช้สื่อประกอบการเล่านิทาน อาจเป็นการวาดภาพใช้ภาพประกอบใช้หุ่นหรือตุ๊กตา
ประกอบจะทำให้บรรยากาศในการเล่านทิ านสนกุ สนานน่าสนใจย่ิงขนึ้
เยาวลกั ษณ์ สมบัตินิมิต (2553 : 33) กล่าวว่า เทคนิคการเลา่ เร่ืองมีหลากหลายรูปแบบซึ่ง
ผู้เล่าสามารถนำผลมาใช้เล่าให้เหมาะสมกับสถานการณ์ หรือวัตถุประสงค์อีกทั้งผู้เล่าสามารถคิด
ประดิษฐ์เทคนิคการเล่าแบบใหม่ ๆ เพื่อสนองวัตถุประสงค์ ในการเล่าและทำให้การเล่านิทาน้ัน
สนุกสนาน และนา่ สนใจย่ิงขน้ึ ซึง่ เทคนคิ การเล่านิทานมีหลายเทคนคิ ดังตอ่ ไปน้ี
1. การเล่าปากเปล่า วิธีนี้จุดสนใจจะอยู่ที่ผู้เล่า ซึ่งต้องเตรียมตัวใหพ้ ร้อม เช่น อ่านเนื้อ
เรื่องมาก่อน จับประเด็นที่สาระสำคัญของเรื่องไม่จำเป็นต้องเหมือนกับที่อ่านเสมอไปน้ำเสียงต้อง
น่าฟัง มอี ารมณ์รว่ มไปกับเรื่องทีเ่ ล่าบคุ ลกิ ของผู้เล่าต้องนา่ สนใจไมน่ ่งิ หรอื หลุกหลกิ จนเกนิ ไปเสอ้ื ผ้าท่ี
สวมใส่ต้องทำให้เกิดความมั่นใจในการเคลื่อนไหว นอกจากนี้บรรยากาศในการเล่าก็สำคัญควรมี
อากาศถ่ายเทไมร่ อ้ นหรอื แออัดเกนิ ไปมีความเงยี บเพ่ือให้ผู้ฟงั เกิดสมาธิ
2. การเล่าโดยใช้หนงั สือประกอบ วิธีนี้ผู้เล่าต้องอ่านนิทานให้ขึน้ ใจศึกษาภาพประกอบ
ว่าหน้าใดมีเนื้อหาอย่างไร การถือและพลิกหนังสือ ต้องไม่บังรูปภาพในหนังสือถือหนังสือในระดับท่ี
ผู้ฟังเห็นได้ชัดจัดท่ีน่ังใหเ้ หมาะสม เพื่อจะได้เห็นภาพได้ทุกคนขนาดของภาพในหนังสือตอ้ งมีขนาดที่
มองเหน็ ได้ชัดเจน
3. การเล่าโดยใช้ภาพประกอบ ต้องใช้ภาพที่มีขนาดเห็นได้ชัดเจนมีจำนวนภาพที่อาจ
ปรบั ใหพ้ อเหมาะกับการเล่า การถอื ภาพ ให้ตวั หนงั สอื ขา้ งหลงั ภาพอยใู่ นระดบั สายตาใชม้ ือข้างท่ีถนัด
ดึงภาพทแี่ ลว้ มาสอดดา้ นหลัง
23
4. การเล่าโดยใช้สื่อใกล้ตัว เป็นการหยิบฉวยเอาของใกล้ตัวมาใช้เป็นสื่อเพราะเด็ก
สามารถใช้จนิ ตนาการให้สอดคล้องกับเนื้อหาของนิทานนัน้ ๆ ได้สง่ิ สำคญั อยู่ท่ีผเู้ ลา่ จะสามารถชกั จูงให้
ภาพคลอ้ ยตามเนื้อเร่ืองในนทิ านมากน้อยเพยี งใด
5. เลา่ โดยใชศ้ ิลปะ ได้แก่ เลา่ ไปพับไปโดยนำเอาข้ันตอนการพับกระดาษมาเลา่ ประกอบ
นิทานเลา่ ไปตดั ไปเปน็ การเล่าทใ่ี ชก้ ารตัดกระดาษให้ออกมาเปน็ ตัวละครหรือฉากระหวา่ งท่ผี ู้เล่าจะตัด
กระดาษออกเปน็ รูปตา่ งๆ วาดไปเล่าไปวธิ นี ้ผี ู้เล่าต้องมคี วามสามารถในการวาดรูปที่ฉับไวซึง่ ควรมีการ
ฝกึ
ณัฐวดี ศิลากรณ์ (2556 : 37) แบง่ รูปแบบของการเล่านทิ านไว้ 8 ประเภทดังนี้
1. การเล่านิทานปากเปล่า ผู้เล่าจะใช้คำพูดถ่ายทอดเรื่องราวด้วยเสียงตามธรรมชาติ
ของตนเอง ผู้เล่าบางคนมีความสามารถพิเศษในการทำเสียงเลียนเสียงต่างๆ ช่วยให้นิทานน่าสนใจ
มากข้นึ
2. การเล่านิทานประกอบภาพวาด ในสมัยโบราณมีการเล่านิทานประกอบภาพวาดลง
บนพ้นื ดิน พน้ื ทราย ฝาผนงั ของถำ้ แผ่นหนงั ตอ่ มาเรมิ่ วาดลงบนกระดาษและผา้
3. การเล่านิทานประกอบภาพ ผู้เล่าจะเตรยี มหนังสือนิทานที่มีภาพประกอบสวย ๆ ให้
ผฟู้ งั ไดช้ มในขณะฟังนทิ านหนังสือบางเล่มอาจมีเฉพาะภาพ แต่ไม่มตี วั อักษรผู้เล่าต้องเตรียมเนื้อเร่ือง
ให้สัมพนั ธ์กับภาพ
4. การเล่านิทานประกอบเส้นเชือก ผู้เล่าจะเตรียมเชือกนำปลายทัง้ 2 ข้างมาผูกติดกัน
ใชน้ ิว้ มือทัง้ 10 น้ิวทำเส้นเชอื กเป็นรปู ตา่ งๆ หรอื อาจใช้เส้นเชือกวางเปน็ รปู ร่างตา่ งๆ บนกระดานหรือ
แผน่ ใส
5. การเล่านทิ านประกอบหุน่ ประดิษฐ์ ผู้เล่าจะเตรยี มหนุ่ ใหส้ มั พันธ์กับเน้ือเรื่องขณะเล่า
นิทานจะนำหุ่นออกมาแสดงประกอบหุ่นที่ใช้มีลักษณะหลากหลาย เช่น หุ่นถุงกระดาษ หุ่นกระบอก
ห่นุ ถงุ เท้า ห่นุ มือ เป็นตน้
6. การเล่านิทานประกอบหุ่นปะ ผเู้ ลา่ ตอ้ งเตรียมกระดาษผ้าสำลีกระดานแม่เหล็ก หรือ
เวลาที่จำลอง และเตรียมตัวละคร ที่ทำจากกระดาษดา้ นหลังตดิ กระดาษทรายสำหรับติดบนกระดาน
ผา้ สำลีจะทำให้นทิ านสนกุ สนานยง่ิ ขึน้
7. การเล่านิทานประกอบการพับผ้าเช็ดหน้า หรือการพับกระดาษ ผู้เล่าต้องเตรียม
กระดาษเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสหรือ สี่เหลี่ยมผืนผ้า ขณะเล่านิทานครูต้องสาธิตการพับผ้า หรือ
กระดาษเป็นรูปสัตว์รูปดอกไม้สิ่งของต่างๆ เด็กจะสนุกสนานทั้งยังได้ฝึกทักษะการใช้กล้ามเนื้อเล็ก
และสายตาไปด้วย
24
8. การเล่านิทานประกอบการร้องเพลง ผู้เล่าอาจนำนิทานมาเขียนใหม่ให้เป็นบทเพลง
และใส่ทำนองกระตุ้นให้เด็กสนใจในเพลงคนไทยสมัยก่อนมักนำเนื้อหาของนิทานมาขบั ร้องทำให้เกดิ
ความไพเราะในการใช้ภาษาเช่นตำนานดาวลกู ไก่
สรุปได้ว่า เทคนิคการเล่านิทานเป็นสื่ออย่างหนึ่งในการจัดการเรียนการสอนสำหรับเด็ก
ปฐมวยั ซ่งึ การเล่านิทานมีเทคนิคการเลา่ ทหี่ ลากหลายรูปแบบ การเล่าแบบนิทานแบบปากเปล่า การ
เล่าโดยใชห้ นงั สอื เลา่ โดยใช้ศิลปะ และการเลา่ นิทานประกอบสื่อวัสดุอปุ กรณต์ ่างๆ เป็นต้น และผเู้ ล่า
นิทานจะตอ้ งทราบเทคนิคพื้นฐานในการเลา่ นิทาน เช่น เลา่ ด้วยน้ำเสียงทช่ี ัดเจน ท่าทาง สายตา และ
อุปกรณ์ในการเลา่ ตามความเหมาะสม ที่สำคัญควรให้เด็กมีส่วนร่วมในการเลา่ นทิ าน
4. งานวจิ ยั ท่ีเก่ียวข้อง
เกตน์นิภา ฮาดคันทุง (2561) ได้ทำการจัดประสบการณ์โดยการเล่านิทานด้วยเทคนิคที่
หลากหลาย ประกอบด้วยแผนการจัดประสบการณ์จำนวน 19 แผน การตรวจสอบความเหมาะสม
โดยผูเ้ ชี่ยวชาญจำนวน 5 ทา่ นพบวา่ การจดั ประสบการณ์มีคุณภาพในระดบั มากทีส่ ุด ดัชนีประสทิ ธผิ ล
พบว่ามีค่าดัชนีประสิทธิผลเท่ากับ 0.6468 ผลการทดลองใช้การจัดประสบการณ์ พบว่าทักษะ
ทางด้านการฟังและการพูดของเด็กปฐมวัย ที่ได้รับการจัดประสบการณ์โดยการเล่านิทานด้วยเทคนิค
ทห่ี ลากหลายหลังเรยี นสงู กวา่ ก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคญั ทางสถติ ิทีร่ ะดับ .05
ศุภจิรา สมศรี (2560) ได้ทำการศึกษาการพัฒนาทักษะการใช้ภาษาด้านทักษะการฟังเป็น
การพัฒนาทักษะพื้นฐานที่เหมาะสมสำหรับเด็กปฐมวัย ผลการศึกษาพบว่า การใช้กิจกรรมการเล่า
นิทานพื้นบ้าน ส่งผลทำให้เด็กปฐมวัยมีการพัฒนาทักษะการฟังนักเรียนมีคะแนนเฉลี่ยทักษะการฟัง
หลังการจัดกิจกรรมสูงกว่าก่อนการจัดกิจกรรม โดยทักษะการฟังด้านการปฏิบัติตามคำสั่งมากที่สุด
รองลงมาคือ ตอบคำถามเกี่ยวกับเรื่องที่ฟัง และบอกความหมายของคำศัพท์ จากเนื้อเรื่องนิทาน
ตามลำดับ และการเปรียบเทียบทักษะการฟังของเด็กปฐมวัยก่อนและหลังการจัดกิจกรรมการเล่า
นิทานพื้นบ้าน พบว่าโดยภาพรวมพัฒนาการทางภาษาของเด็กปฐมวัยโดยใช้กิจกรรมการเล่านิทาน
พนื้ บา้ น หลงั การจดั กิจกรรมสงู กว่ากอ่ นการจัดกจิ กรรมอย่างมีนยั สำคัญทางสถิติที่ระดบั .05
ณัฐวดี ศิลากรณ์ (2556) ได้ทำการศึกษาระดับความสามารถทางการพูดของเด็กปฐมวัยและ
เปรียบเทียบความสามารถทางการพูดของเด็กปฐมวัย ผลการวิจัยพบว่า หลังการทดลองระดับ
ความสามารถทางการพูดของเด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดกิจกรรมเล่านิทานประกอบหุ่น โดยรวม และ
รายด้านอยู่ในระดับสูง และความสามารถด้านการพูดของเด็กปฐมวัย หลังการจัดกิจกรรมเล่านิทาน
ประกอบหนุ่ มีค่าสูงกว่าก่อนการจัดกิจกรรมอย่างมนี ัยสำคัญทางสถิตทิ ่ีระดับ .01 ซงึ่ แสดงว่าแผนการ
จัดกจิ กรรมเล่านิทานประกอบหุ่นสามารถพัฒนาให้เด็กปฐมวัยมีความสามารถทางการพูดสูงข้ึนอย่าง
ชดั เจน
25
รสสุคนธ์ แนวบุตร และคณะ (2553) ได้ทำการศึกษารพัฒนาทักษะการฟังและการพูดของ
เด็กปฐมวัยโดยการใช้กิจกรรมการเล่านิทานพื้นบ้าน ผลการวิจัยพบว่า เด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัด
กจิ กรรมการเล่านิทานพนื้ บ้าน มคี วามสามารถทางภาษาดา้ นการฟัง และการพดู ท้งั โดยภาพรวมและ
รายด้าน ด้านการฟัง โดยภาพรวมหลังการจัดกิจกรรมมีค่าเฉล่ียเท่ากับ 16.28 ด้านการพูด โดย
ภาพรวมหลงั การจัดกิจกรรมมคี ่าเฉลี่ยเท่ากับ 17.06 ความสามารถทางภาษาของเด็กปฐมวัยหลังการ
จัดกิจกรรมโดยใช้นิทานพื้นบ้านด้านการฟัง การพูด สูงกว่าความสามารถทางภาษาก่อนการจัด
กิจกรรมโดยใชน้ ทิ านพ้ืนบ้านอย่างมนี ยั สําคัญทางสถติ ทิ ร่ี ะดบั .01 ทุกด้าน
ดวงสมร ศรีใสคำ (2552) ได้ทำการศึกษาผลของกิจกรรมการเล่านิทานพื้นบ้านที่มีต่อ
พัฒนาการทางภาษาด้านการพูดของนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 2 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏ
มหาสารคาม เพื่อส่งเสริมพัฒนาการทางด้านการพูด โดยใช้กิจกรรมการเล่านิทานพื้นบ้านที่มี
ประสทิ ธภิ าพตามเกณฑ์ 80/80 หาคา่ ดัชนปี ระสิทธิผลของแผนการจัดกิจกรรมการเล่านิทานพื้นบ้าน
ทีม่ ีตอ่ พฒั นาการทางภาษาด้านการพูดกลุ่มตวั อยา่ ง ไดแ้ ก่ นักเรยี นชัน้ อนุบาลปที ่ี 2 จำนวน 10 คนซึ่ง
ได้มาโดยเลือกแบบเจาะจงโดยเลือกเด็กกลุ่มท่ีมีปัญหาการพดู ล่าช้าเครื่องมือท่ีใช้ในการศึกษาค้นคว้า
แบ่งเป็น 2 ชนิด ได้แก่ แผนและแบบประเมินความสามารถด้านการพูดผลการศึกษา พบว่า
ประสิทธิภาพของแผนการจัดกิจกรรมเล่านิทานพื้นบ้านที่มีต่อพัฒนาการทางภาษาด้านการพูดของ
นักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 2 มีประสิทธิภาพเท่ากับ 82.77 / 88.33 ดัชนีประสิทธิผลของแผนการจัด
กจิ กรรมเล่านทิ านพนื้ บ้านที่มตี ่อพัฒนาการทางภาษาดา้ นการพูดมคี า่ เทา่ กบั 0.7558
Amoriggi. (1988) ได้ศึกษาความสามารถในการเล่านิทานของเด็กปฐมวัย โดยผู้วิจัยเล่า
นทิ านให้เด็กปฐมวยั ฟังแลว้ ใหเ้ ด็กย้อนกลับและเล่าเรื่องต่อจากผ้วู ิจยั เปน็ เวลา 2 สปั ดาห์ เดก็ สามารถ
เล่านิทานได้ถูกต้องการเรียงลำดับเหตุการณ์ต่าง ๆ พัฒนามากขึ้นในขณะทำการทดลองเด็กสามารถ
นำเอานิทานที่ฟงั ไปประยุกตแ์ ละเล่าเรื่องต่อไปหลังทดลองผ่านไป 3 สัปดาห์
Simpson. (1988) ได้ศึกษาลักษณะภาษาพูดของเด็กปฐมวัยอายุ 4 ปี ที่ได้รับการจัด
ประสบการณ์การเล่านิทานแบบเลา่ เรือ่ ง ผลการวิจัยพบว่า การเล่าเรื่องซ้ำช่วยส่งเสรมิ ความสามารถ
ด้านการสื่อสารมากขน้ึ อย่างมนี ัยสำคัญกล่าวคือชว่ ยให้เด็กพัฒนาความสามารถในการถ่ายทอดภาษา
ให้ชัดเจนละเอียดลออครอบคลุมความหมายท่ีต้องการสื่อให้ผู้อื่นได้รับรูแ้ ละเข้าใจซึ่งความสามารถนี้
วดั ไดเ้ ป็นจำนวนคำตอ่ ประโยค (Length of a T-Unit) ไม่ได้วดั ที่ปรมิ าณคำ
บทท่ี 3
วธิ กี ารดำเนินการศกึ ษาค้นควา้
การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงทดลอง (Experimental Research) มีวัตถุประสงค์เพ่ือ
เปรยี บเทียบทักษะการฟังและการพูดของเด็กปฐมวัย กอ่ นและหลังการจัดกิจกรรมการเล่านิทานด้วย
เทคนคิ ที่หลากหลาย ซ่งึ ผ้วู จิ ยั ไดด้ ำเนินการตามขัน้ ตอนดงั น้ี
1. ประชากรกลมุ่ ตัวอยา่ ง
2. แบบแผนการวิจยั
3. เคร่อื งมือทใี่ ชใ้ นการวจิ ัย
4. ข้ันตอนในการสร้างและหาคณุ ภาพเครือ่ งมอื
5. การเก็บรวบรวมข้อมูล
6. สถิตทิ ีใ่ ช้ในการวิเคราะห์ขอ้ มลู
1. ประชากรและกลุ่มตัวอยา่ ง
ประชากรทใี่ ชใ้ นการศกึ ษาคร้ังนี้เปน็ เดก็ ปฐมวยั ชาย-หญิง อายุระหว่าง 1 ปี 6 เดอื น ถึง 2 ปี
ที่กำลังศึกษาอยู่ในระดับชั้นบ้านหนูน้อย ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2563 จำนวน 18 คน ของ
โรงเรียนสาธิตละอออุทิศ อำเภอเมือง จังหวัดลำปาง โดยใช้วิธีการเลือกแบบเจาะจง (Purposive
Sampling) เน่อื งจากตรงตามวตั ถุประสงค์ของผวู้ ิจยั
2. แบบแผนการวจิ ัย
การวจิ ัยครั้งนเี้ ปน็ การวจิ ัยเชิงทดลอง (Experimental Research) ซงึ่ ผู้วจิ ัยไดด้ ำเนนิ การ
ทดลองตามแบบแผนการวจิ ยั แบบ One – Group Pretest – Posttest Design ตามตาราง 1 ดงั นี้
ตารางท่ี 1 แบบแผนการทดลอง
กลมุ่ กอ่ นสอบ Pretest ทดลอง หลงั สอบ Posttest
ทดลอง O1 X O2
ความหมายของสัญลักษณ์
O1 คือ การทดสอบแบบประเมินทักษะการฟังและการพูดก่อนการทำ
กิจกรรม
X คอื การจัดกจิ กรรมการเล่านิทานประกอบภาพดว้ ยเทคนิคท่ีหลากหลาย
27
O2 คอื การทดสอบแบบประเมนิ ทักษะการฟงั และการพูดหลงั การทดลอง
3. เคร่อื งมือท่ีใชใ้ นการวิจัย
เครอ่ื งมือในการเล่านทิ านดว้ ยเทคนิคท่หี ลากหลาย ดงั นี้
1. แผนการประสบการณ์การจัดกิจกรรมการเล่านิทานด้วยเทคนิคที่หลากหลาย
จำนวน 8 แผน
2. แบบประเมินทักษะการฟังและการพดู ของเด็กปฐมวยั ประกอบไปด้วย
ตอนที่ 1 แบบประเมินทักษะการฟัง
ตอนท่ี 2 แบบประเมินทกั ษะการพูด
4. ข้นั ตอนในการสร้างและการหาคุณภาพเครื่องมือ
4.1 การสร้างแผนการจัดประสบการณ์นิทานส่งเสริมกระบวนการคดิ ทีส่ อดแทรกเทคนิคการ
เล่านิทาน มขี ้ันตอน ดงั น้ี
1. ศึกษาหลกั สูตรการศึกษาปฐมวยั พุทธศกั ราช 2560 ของกระทรวงศกึ ษาธิการ
2. ศึกษาแนวคิด ทฤษฎี หลักการ และเอกสารงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับ ทักษะการฟัง
ทักษะการพูด และเทคนิคการเลา่ นิทานท่หี ลากหลาย
3. ศึกษาเอกสาร ตำรา และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการวัดทักษะการฟังและการพูดของ
เดก็ ปฐมวยั
4. จัดทำแผนการจัดกจิ กรรมการเล่านิทานดว้ ยเทคนิคทีห่ ลากหลาย โดยเลือกเล่านิทาน
ที่มีคำศัพท์ง่าย และเหมาะสมกับเด็กปฐมวัยระดับชั้นบ้านหนูน้อยจำนวน 8 แผน ในช่วงกิจกรรม
นิทานสง่ เสรมิ กระบวนการคิด โดยสอดแทรกเทคนิคการเลา่ นิทานมรี ายละเอียด ดังนี้
1. การเลา่ โดยใช้หนังสือ Big book
2. การเลา่ ประกอบฉาก
3. การเล่าไปติดไป
4. การเล่าไปวาดไป
5. การเลา่ ไปพบั ไป
6. การเล่าประกอบเงา
7. การเล่าประกอบหนุ่ มอื
8. การเล่าประกอบห่นุ น้วิ มอื
5. นำแผนการจัดกิจกรรมการเล่านิทานให้ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อตรวจสอบความถูกต้อง ตาม
หลักแนวคิด ทฤษฎี และรูปแบบการจัดกจิ กรรมการเลา่ นิทานด้วยเทคนคิ ท่ีหลากหลาย
6. ปรบั ปรุงแผนการสอนตามคำแนะนำของผู้เชยี่ วชาญ
28
7. นำแผนการจัดกิจกรรมการเล่านิทานด้วยเทคนิคที่หลากหลาย ไปทดลองใช้กับ
นักเรียนระดับช้ันบา้ นหนูนอ้ ย 4 สปั ดาห์ๆ ละ 2 วัน วนั ละ 30 นาที
4.2 การสร้างแบบประเมินทักษะการฟงั และการพูด มีการดำเนินตามขนั้ ตอน ดงั นี้
1. ศึกษาเอกสาร ตำรา และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการสร้างแบบประเมินทักษะ การฟัง
และการพูดของเด็กปฐมวยั
2. การสร้างแบบประเมินทักษะการฟังและการพูด โดยมีจำนวนทั้งหมด 20 ข้อ ซึ่งมี
รายละเอียดดังนี้
ตอนท่ี 1 แบบประเมนิ ทักษะการฟงั
แบบประเมินที่ 1.1 การเขา้ ใจความหมาย จำนวน 5 ข้อ
แบบประเมนิ ที่ 1.2 การฟงั และปฏิบัตติ ามคำส่งั จำนวน 5 ข้อ
ตอนท่ี 2 แบบประเมินทักษะการพดู
แบบประเมนิ ท่ี 2.1 การบอกชอ่ื สิง่ ต่างๆ จำนวน 5 ข้อ
แบบประเมินท่ี 2.2 การพดู และแสดงท่าทางแบบงา่ ย จำนวน 5 ขอ้
3. นำแบบทักษะการฟังและการพูด และคู่มือดำเนินการวัดที่สร้างขึ้น เสนอต่อ
ผู้เชี่ยวชาญดา้ นการศึกษาปฐมวยั จำนวน 3 ทา่ น เพื่อตรวจสอบความเท่ียงของคำถาม
4. หาค่าความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาของแบบประเมินทักษะการฟังและการพูด โดยนำ
แบบประเมนิ ทักษะการฟงั และการพูดไปให้ผู้เช่ียวชาญพจิ ารณา 3 ท่าน ไดแ้ ก่
1. อาจารย์ ดร. อบุ ลรตั น์ หริณวรรณ อาจารยผ์ ู้สอนประจำ มหาวิทยาลยั
สวนดุสิต ศนู ย์การศกึ ษานอกที่ต้งั ลำปาง
2. อาจารย์ ปยิ นยั น์ ภเู่ จรญิ อาจารย์ผู้สอนประจำ มหาวิทยาลัย
สวนดุสิต ศนู ยก์ ารศึกษานอกที่ตง้ั ลำปาง
3. คุณครู เสาวภาพ เครือวัง คณุ ครผู ้สู อนระดบั ขนั้ อนบุ าล 3
โรงเรียนสาธิตลอออทุ ศิ ลำปาง
โดยใช้สตู ร IOC แล้วพจิ ารณาลงความเห็นให้คะแนน ดังนี้
+1 คอื แน่ใจว่าขอ้ คำถามมคี วามเหาะสม
0 คือ ไม่แน่ใจวา่ ขอ้ คำถามมคี วามเหาะสมหรือไม่
-1 คือ แน่ใจวา่ ข้อคำถามไมม่ ีความเหาะสม
จากนั้นนำข้อมูลที่ได้รวบรวมจากความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญมาคำนวณหาค่า IOC โดยใช้
ดัชนีความสอดคล้อง (Index of Item Objective Congruence) ของผู้เชี่ยวชาญมาคำนวณค่าดัชนี
ความสอดคล้องตามสูตรดังกล่าวแล้วเลือกค่าดัชนีความสอดคล้องตั้งแต่ 0.5 ขึ้นไปซึ่งค่า IOC
29
ของแบบประเมินทักษะการฟังและการพูดทั้งหมด 20 ข้อ อยู่ระหว่าง 0.67-1.00 สามารถ
นำแบบสอบถามไปใช้ได้จรงิ นอกจากนผี้ ู้เช่ยี วชาญได้ให้ข้อเสนอแนะเพ่ิมเติมดังต่อไปนี้
1. ควรปรบั ข้อความบางขอ้ ใหช้ ดั เจน
2. ปรับแก้ข้อความ ขอ้ ที่ 1.3 เปน็ เดก็ ดรู ปู ภาพแล้วบอกวา่ เปน็ ภาพอะไร
3. ใช้รปู ภาพท่ีชัดเจน
5. นำแบบประเมินทักษะการฟังและการพูดที่ผ่านการปรับปรุงแก้ไขเรียบร้อยแล้ว
ไปทดลองใช้
6. จัดทำแบบประเมินทักษะการฟังและการพูดฉบับสมบูรณ์ และจัดทำคู่มือ
แบบประเมินทกั ษะการฟังและการพดู
5. วธิ ีการเกบ็ รวบรวมข้อมูล
วิธดี ำเนนิ การทดลอง
การวิจัยครั้งนี้ดำเนินการทดลองในปีการศึกษา 2563 ทำการทดลองเป็นเวลา 4 สัปดาห์
สปั ดาหล์ ะ 2 วนั วนั ละ 30 นาที รวมทั้งสน้ิ 8 คร้ัง ซ่ึงมีลำดบั ข้ันตอน ดังน้ี
1. ผู้วิจัยใช้แบบประเมินทักษะการฟังและการพูดเด็กปฐมวยั เพื่อทราบ ทักษะในการฟังและ
การพูดของเด็กปฐมวยั กอ่ นการทดลอง (Pre-test)
2. ผู้วิจัยดำเนินการทดลองในกิจกรรมการเล่านิทานด้วยเทคนิคที่หลากหลายใช้เวลา
ทดลอง 4 สัปดาห์ สปั ดาหล์ ะ 2 วัน วันละ 30 นาที รวมท้ังสิน้ 8 คร้งั
3. เมื่อดำเนินการทดลองครบ 8 ครั้ง ผู้วิจัยทำการทดสอบหลังการทดลอง (Post-test) กับ
กลุม่ ตัวอย่าง โดยใชแ้ บบประเมนิ ทกั ษะการฟังและการพดู ของเดก็ ปฐมวัย ชุดเดยี วกันกับแบบทดสอบ
ที่ใช้ทดสอบกอ่ นการทดลอง
4. นำคะแนนที่ไดจ้ ากการทดสอบไปทำการวเิ คราะห์ขอ้ มลู ดว้ ยวธิ ีการทางสถติ ิ
6. สถิตทิ ใ่ี ช้ในการวเิ คราะห์ขอ้ มูล
1. การวิเคราะห์ข้อมลู นำข้อมลู ทไี่ ดม้ าวเิ คราะหโ์ ดยหาคา่ เฉลีย่ (µ) สว่ นเบยี่ งเบนมาตรฐาน
( ) โดยใชโ้ ปรแกรม และนำเสนอข้อมูลโดยใช้ตารางประกอบคำบรรยาย
2. ตรวจสอบคุณภาพของแบบประเมินทักษะการฟังและการพูด ด้านความเที่ยงตรงของ
เน้อื หา โดยคำนวณจากสูตร ดงั น้ี (บญุ ชม ศรสี ะอาด, 2553)
IOC = ΣR
N
เมือ่ IOC คอื ดชั นคี วามสอดคล้อง A
R คือ ผลรวมของคะแนนพิจารณาของผ้เู ชี่ยวชาญ
30
N คือ จำนวนผเู้ ชีย่ วชาญ
3. การหาค่าคะแนนสถิติพื้นฐานของคะแนนแบบประเมินทักษะการฟังและการพูดของเด็ก
ปฐมวัย ท้ังก่อนและหลังการจัดกจิ กรรมโดยใชค้ ่าเฉลีย่ และคา่ เบย่ี งเบนมาตรฐาน
3.1 ค่าเฉลี่ย (µ) โดยมีสูตร ดงั น้ี (สมบัตร ท้ายเรือคำ, 2555)
µ = ∑
เมือ่ µ แทน คา่ เฉลยี่ เลขคณิต
∑ แทน ผลบวกของข้อมูลทุกค่า
แทน จำนวนข้อมลู ทงั้ หมด
3.2 ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) โดยมสี ตู รดังนี้ (บุญชม ศรสี ะอาด,
2553)
= √( − ̅)2
−1
เมอื่ แทน คา่ ความเบ่ยี งเบนมาตรฐาน
แทน ข้อมูล ( ตวั ที่ 1,2,3...,n)
µ แทน คา่ เฉลีย่ เลขคณิต
แทน จำนวนข้อมลู ทง้ั หมด
4. เปรียบเทียบความแตกต่างของคะแนนเฉล่ยี จากแบบประเมนิ ทักษะการฟงั และการพูด
กอ่ นและหลังการจดั กจิ กรรมการเลา่ นทิ านดว้ ยเทคนิคการเลา่ ท่หี ลากหลาย
บทท่ี 4
ผลการวเิ คราะหข์ อ้ มลู
การศึกษาคน้ ควา้ ในครัง้ น้ี ผวู้ จิ ัยได้เสนอผลการวเิ คราะหข์ ้อมูลตามลำดบั ขัน้ ตอนดังต่อไปน้ี
ตอนที่ 1 ผลคะแนนคะแนนแบบประเมินทักษะการฟังและการพูดของเด็กปฐมวยั
ตอนที่ 2 การเปรียบเทียบคะแนนทักษะการฟังและการพูด ก่อนและหลังการจัดกิจกรรม
การเล่านทิ านด้วยเทคนคิ ท่ีหลากหลาย
ผลการวเิ คราะห์ขอ้ มูล
ตอนท่ี 1 ผลคะแนนแบบประเมนิ ทักษะการฟังและการพูดของเด็กปฐมวยั
การวเิ คราะห์ข้อมูลในส่วนน้ี ผวู้ จิ ัยได้นำคะแนนจากแบบประเมินทักษะการฟังและการพูด
ก่อนและหลังการจดั กิจกรรมมาวิเคราะห์หาคา่ เฉลีย่ และส่วนเบ่ยี งเบนมาตรฐาน ดังแสดงในตาราง 2
ตารางที่ 2 ตารางแสดงผลการประเมินทักษะการฟังและการพูดก่อนการจัดกิจกรรมการเล่านิทาน
ดว้ ยเทคนคิ ที่หลากหลาย
ก่อน
ทกั ษะ พฤติกรรมดา้ น N µ ระดบั
1. การเขา้ ใจความหมาย 18 1.82 0.34 พอใช้
ทักษะการฟัง 2. การฟงั และการปฏิบัตติ ามคำสงั่ 18 1.85 0.28 พอใช้
1. การบอกส่ิงต่างๆ 18 1.71 0.35 พอใช้
ทกั ษะการพูด 2. การพดู และแสดงท่าทางแบบงา่ ย 18 1.81 0.27 พอใช้
รวมเฉลี่ย 18 1.70 0.23 พอใช้
จากตารางที่ 2 พบว่า ผลประเมินทักษะการฟังและการพูดก่อนการจัดกิจกรรมมีคะแนน
เฉลี่ยโดยรวม เท่ากับ 1.70 และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เท่ากับ 0.23 อยู่ในระดับ พอใช้ โดย
สามารถแบ่งเป็นรายด้าน ดังน้ี
ด้านการเข้าใจความหมาย มีคะแนนเฉลี่ย เท่ากับ 1.82 และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
เท่ากับ 0.34 อยู่ในระดับ พอใช้ ด้านการฟังและการปฏิบัติตามคำสั่ง มีคะแนนเฉลี่ย เท่ากับ 1.85
และค่าส่วนเบีย่ งเบนมาตรฐาน เท่ากับ 0.28 อยู่ในระดับ พอใช้ ด้านการบอกสิ่งตา่ งๆ มีคะแนนเฉลยี่
32
เท่ากับ 1.71 และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เท่ากับ 0.35 อยู่ในระดับ พอใช้ ด้านการพูดและแสดง
ท่าทางแบบงา่ ย มคี ะแนนเฉล่ีย เทา่ กับ 1.81 และค่าสว่ นเบี่ยงเบนมาตรฐาน เท่ากับ 0.27 อยใู่ นระดบั
พอใช้
ตารางที่ 3 ผลการทักษะการฟังและการพูดหลังการจัดกิจกรรมการเล่านิทานด้วยเทคนิคท่ี
หลากหลาย
หลัง
ทักษะ พฤตกิ รรมด้าน N µ ระดบั
1. การเขา้ ใจความหมาย 18 2.83 0.29 ดีมาก
ทักษะการฟัง 2. การฟังและการปฏบิ ตั ติ ามคำสง่ั 18 2.87 0.18 ดมี าก
1. การบอกสิง่ ต่างๆ 18 2.77 0.32 ดมี าก
ทักษะการพดู 2. การพูดและแสดงท่าทางแบบงา่ ย 18 2.88 0.12 ดมี าก
รวมเฉลย่ี 18 2.84 0.18 ดีมาก
จากตารางที่ 3 พบวา่ ผลประเมนิ ทกั ษะการฟังและการพูดหลังการจัดกจิ กรรมมีคะแนนเฉล่ีย
โดยรวม เท่ากับ 2.84 และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เท่ากับ 0.18 อยู่ในระดับ ดีมาก โดยสามารถ
แบง่ เป็นรายด้าน ดงั น้ี
ด้านการเข้าใจความหมาย มีคะแนนเฉลี่ย เท่ากับ 2.83 และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
เท่ากับ 0.29 อยู่ในระดับ ดีมาก ด้านการฟังและการปฏิบัติตามคำสั่ง มมีคะแนนเฉลี่ย เท่ากับ 2.87
และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เท่ากับ 0.18 อยู่ในระดับ ดีมาก ด้านการบอกสิ่งต่างๆ คะแนนเฉลี่ย
เท่ากับ 2.77 และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เท่ากับ 0.32 อยู่ในระดับ ดีมาก ด้านการพูดและแสดง
ท่าทางแบบง่าย มคี ะแนนเฉลยี่ เท่ากบั 2.88 และค่าสว่ นเบ่ยี งเบนมาตรฐาน เท่ากับ 0.12 อยู่ในระดบั
ดีมาก
ตอนที่ 2 การเปรียบเทียบคะแนนทักษะการฟังและการพูด ก่อนและหลังการจัดกิจกรรม
การเลา่ นิทานดว้ ยเทคนคิ ทห่ี ลากหลาย
การวิเคราะห์ข้อมูลในส่วนนี้ ผู้วิจัยได้นำคะแนนจากแบบประเมินทักษะการฟังละการพูด
ของเด็กปฐมวัย มาวิเคราะห์หาค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าความแตกต่าง โดยใช้
t-test ทดสอบคา่ นัยสำคญั ทางสถิติ ดังแสดงตารางที่ 4
33
ตารางที่ 4 การเปรียบเทียบทักษะการฟังและการพูดก่อนและหลังการจัดกิจกรรมการเล่านิทานด้วย
เทคนิคทหี่ ลากหลาย
ทกั ษะการฟังแลการพดู N µ ระดบั t sig
กอ่ นจัดกจิ กรรม 18 1.70 0.23 พอใช้
หลงั จัดกจิ กรรม 18 2.84 0.18 ดีมาก 34.02 .000**
** มีนัยสำคญั ทางสถติ ิทร่ี ะดับ .05
จากตารางท่ี 4 การเปรียบเทยี บทักษะการฟังและการพูดก่อนและหลังการจัดกจิ กรรม พบว่า
คะแนนหลังเรียนของผู้เรียนมีค่าเฉลี่ย เท่ากับ 2.84 และมีค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เท่ากับ0.18
คะแนนก่อนเรียนของผู้เรียนมีค่าเฉลี่ย เท่ากับ 1.70 และมีค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เท่ากับ 0.23
ดังนั้นสรุปได้ว่า เด็กปฐมวัยหลังได้รับการจัดกิจกรรมการเล่านิทานด้วยเทคนิคที่หลากหลายสูงกว่า
กอ่ นการจัดกิจกรรมอย่างมีนยั สำคัญทางสถิติทรี่ ะดับ .05
บทที่ 5
สรุป อภปิ รายผล และขอ้ เสนอแนะ
การวิจัยครั้งน้ีเป็นการวิจัยเชิงทดลอง (Experimental Research) ผู้วิจัยใชก้ ลุ่มทดลองกลมุ่
เดียวเพื่อพัฒนาทักษะการฟังและการพูดของเด็กปฐมวัย ที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเล่านิทานด้วย
เทคนิคที่หลากหลายเป็นแนวทางในการส่งเสริมทักษะการฟังและการพูดของเด็กปฐมวัย พัฒนาการ
จัดกิจกรรมการเล่านิทานด้วยเทคนิคที่หลากหลายสำหรับครู เพื่อพัฒนาทักษะด้านอื่น ๆ ของเด็ก
ปฐมวยั ตอ่ ไปซ่งึ ลำดับข้ันตอนของการวิจยั และผลของการวจิ ัยโดยสรปุ ดังน้ี
สรุปผลการวิจัย
ผลการวิจัยพบวา่ เด็กปฐมวยั ท่ีไดร้ บั การจัดกิจกกรมการเลา่ นิทานด้วยเทคนิคท่ีหลากหลายมี
ทักษะการฟังและการพูดที่สูงขึ้น โดยมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 2.84 และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
เทา่ กับ 0.18 ซึ่งสูงกวา่ ก่อนได้รบั การจดั กิจกรรมอย่างมีนยั สำคัญทางสถติ ทิ ีร่ ะดับ .05
อภปิ รายผล
การวิจัยในครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนาและเปรียบเทียบทักษะการฟังและการพูดของเด็ก
ปฐมวัยก่อนและหลังได้รับการจัดกจิ กรรมการเล่านิทานด้วยเทคนิคทห่ี ลากหลาย ซ่ึงสามารถอภิปราย
ผลการวจิ ยั ได้ ดังนี้
1. เด็กปฐมวัยหลังได้รับการจัดกิจกรรมการเล่านิทานด้วยเทคนิคที่หลากหลายมีทักษะการ
ฟังและการพูดสูงขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ที่ว่าเด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเล่า
นิทานด้วยเทคนิคที่หลากหลายมีทักษะการฟังและการพูดสูงขึ้นที่เป็นเช่นนี้ เนื่องจากผู้วิจัยได้
เล่านิทานด้วยเทคนิคท่ีหลากหลาย เพ่ือให้เด็กได้ฟังเนื้อหาในนิทานทำใหเ้ ด็กเขา้ ใจความหมายของคำ
และยังได้รับความสนุกสนานเพลิดเพลินจากนิทานอีกด้วย และจากการได้ฟังการสนทนาพูดคุย
เกี่ยวกับฟังนิทาน เปน็ การเพิ่มเตมิ ประสบการณ์การเรยี นรู้ทักษะทางด้านการฟังและการพดู ให้กับเด็ก
ปฐมวัย ซึ่งสอดคล้องกับ (กุลยา ตันติผลาชีวะ 2551: 146) ได้กล่าวว่า การฟังของเด็กเป็นการรับรู้
เรื่องราวด้วยประสาทสัมผัสทางหู ที่เด็กจะนำไปสร้างเสริมพัฒนาการทางภาษามากกว่าการใช้เพื่อ
พัฒนาปัญญาเด็กจะเก็บคำพูด เรื่องราว จากสิ่งที่ฟังมาสานต่อเป็นคำศัพท์ เป็นประโยค ที่ถ่ายทอด
ไปสู่การพูดถ้าเรื่องราวที่เด็กได้ฟังมีความชัดเจนง่ายต่อการเข้าใจเด็กจะได้คำศัพท์ และมี
ความสามารถเพิ่มขึ้น จากการที่ผู้วิจัยได้ให้เด็กฟังนิทาน หน่วยลองชิมดูเพื่อรู้รส ได้แก่ นิทานเรื่อง
ปิกนิกทีเ่ มืองแชมพู และนิทานเรื่อง หนูนดิ ซื้อผลไม้ หนว่ ยร่างกายส่ือภาษา ได้แก่ นิทานเร่ือง ลูกลิง
สวัสดี และนิทานเรื่อง ขอโทษอย่าโกรธนะจ๊ะ ขณะที่เด็กฟังนิทานต้องใช้สมาธิตั้งใจจดจำ สิ่งที่ได้ยิน
35
สามารถพดู ตอบเป็นคำท่ีมีความหมาย พูดประโยคเปน็ คำพูดงา่ ยๆ ให้ผอู้ ่นื เข้าใจได้ เช่น กนิ แตงโม ใส่
เสื้อ กล้วยสีเหลือง ผู้วิจัยจึงฝึกให้เด็กฝึกพูดเป็นคำพร้อมความหมาย และเลี ยนแบบเสียง
แบบเสียงพูด การเลียนแบบทำท่าทางต่างๆ เช่น ทำทางทางเลียนแบบเสียงสัตว์ การแสดงความรัก
โดยการกอด การสวัสดี เป็นต้น ดังนั้น ครูจึงมีบทบาทสำคัญช่วยในการกระตุ้นคอยชี้แนะ ชมเชย
ใหเ้ ด็กไดแ้ สดงออกอยา่ งอิสระในการฟังและการพูด โดยจดั บรรยากาศและสภาพแวดล้อมทเี่ หมาะสม
เอื้อตอ่ การเรียนรตู้ ามความสนใจของเดก็ จะชว่ ยสง่ ผลให้การเรียนรู้ได้อย่างมีความสขุ ซง่ึ สอดคลอ้ งกับ
(สิริมา ภิญโญอนันตพงษ์ 2550 : 60) ที่กล่าวว่า การส่งเสริมและการสร้างบรรยากาศที่เอื้อต่อการ
เรียนรู้ของเดก็ เป็นสิ่งจำเป็นในการเป็นแรงเสริมใหเ้ กิดการเรียนรู้สำหรับเด็ก เนื่องจากเด็กเริ่มเรยี นรู้
ภาษาจากการฟังแล้วเลียนแบบเสียงมาเป็นภาษาพูด ถ้าเด็กได้รับการฝึกฝนและได้รับการแนะนำ
อย่างถูกตอ้ ง เด็กจะมที กั ษะการฟงั และการพูดไดอ้ ย่างมีประสทิ ธิภาพ
2. การเปรียบเทียบเด็กปฐมวัยหลังได้รับการจัดกิจกรรมการเล่านิทานด้วยเทคนิคท่ี
หลากหลาย มีทักษะการฟังและการพูดสูงขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ที่ว่าเด็กปฐมวัยได้รับการ
จัดกิจกรรมการเล่านิทานด้วยเทคนิคที่หลากหลายมีทักษะการฟังและการพูดสูงขึ้น โดยสามารถแบ่ง
ได้ดังน้ี
ด้านการเข้าใจความหมาย หลังการจัดกิจกรรมการจัดกิจกรรมการเล่านิทานด้วยเทคนิคท่ี
หลากหลาย พบว่า เด็กมีความสามารถด้านการเข้าใจความหมายสูงกว่าก่อนการจัดกิจกรรมที่เป็น
เช่นนี้เพราะ เป็นการเปิดโอกาสให้เด็กได้ฟังนิทาน การสนทนาพูดคุย ฟังเพลง และที่สำคัญเด็กได้ฟงั
ปริศนาคำทาย ซึ่งทำให้เด็กจดจำและเข้าใจได้ง่ายในขณะที่ฟังเด็กต้องใช้สมาธิจดจำ สิ่งที่ได้ยิน มา
สานต่อเป็นคำศัพท์ เป็นประโยค ที่ถ่ายทอดไปสู่การพูด ซึ่งเด็กจะได้ยินคำถามจากเนื้อหาในนิทาน
และปริศนาคำทาย เดก็ จะรู้ความหมายของคำนนั้ ๆ จากการได้ยนิ ไปสู่การพดู ตอ่ ไป
ด้านการฟังและการปฏิบัติตามคำสั่ง หลังการจัดกิจกรรมการจัดกิจกรรมการเล่านิทานด้วย
เทคนิคที่หลากหลาย พบว่า เด็กมีความสามารถด้านการฟังและการปฏิบัติตามคำสั่งสูงกว่าก่อนการ
จดั กจิ กรรมที่เป็นเช่นน้ีเพราะ การให้เด็กได้มีปฏสิ ัมพันธ์กบั เพ่ือนและครูมีการติดต่อส่ือสารท่ีเกิดจาก
การฟังการให้เดก็ ได้ปฏิบตั ติ ามข้อตกลงร่วมกนั ในการทำกิจกรรม เช่น การแสดงท่าทางประกอบเพลง
และพูดปริศนาคำทาย คิดหาคำตอบฟังการเล่าเรื่องเกี่ยวกับคำตอบในปริศนาคำทาย ซึ่งจากการท่ี
เด็กได้ฟังและปฏิบัติตามต่อเนื่องเป็นเวลา 4 สัปดาห์จะช่วยส่งผลในด้านการฟังทำให้เด็กฟังคำสั่งได้
เขา้ ใจ สามารถปฏบิ ัติตามไดถ้ กู ตอ้ ง
ด้านการบอกสิ่งต่างๆ หลังการจัดกิจกรรมการจัดกิจกรรมการเล่านิทานด้วยเทคนิคที่
หลากหลาย พบว่า หลงั การจดั กิจกรรมสูงกวา่ ก่อนการจัดกจิ กรรมท่ีเปน็ เช่นน้ีเพราะ การจัดกิจกรรม
การเล่านิทานด้วยเทคนิคที่หลากหลายเป็น การเปิดโอกาสให้เด็กพูดแสดงออกอย่างอิสระจากการ
ตอบคำตอบจากปริศนาคำทาย การพูดชื่อสัตว์ ผลไม้ และสิ่งต่างๆที่เห็นได้จากนิทาน การร่วมแสดง
36
ความคดิ เหน็ พูดคุยซักถามโตต้ อบกนั ระหวา่ งฟังนทิ าน ซ่งึ การทีเ่ ด็กไดฝ้ ึกพดู บ่อยๆ จะชว่ ยส่งเสริมให้
เดก็ กล้าพดู กลา้ แสดงออกส่งผลต่อดา้ นการพดู ในดา้ นการบอกส่ิงต่างๆ
ด้านการพูดและการแสดงทา่ ทางแบบง่าย หลังการจัดกิจกรรมการจัดกิจกรรมการเลา่ นิทาน
ด้วยเทคนิคที่หลากหลาย พบว่า หลังการจัดกิจกรรมสูงกว่าก่อนการจัดกิจกรรมที่เป็นเช่นนี้เพราะ
ครูฝึกให้เด็กพูดและแสดงท่าทางตามเน้ือหาในนิทาน หรือแสดงท่าทางอยา่ งอิสระ เช่น การยิ้ม โกรธ
รอ้ งไห้ สวัสดี ขอบคณุ การแสดงความรัก การปฏิเสธ โดยการส่ายหนา้ เปน็ ตน้ เดก็ จึงสามารถส่ือสาร
ใหผ้ ู้อน่ื ไดเ้ ขา้ ใจ
ดังนั้น เมื่อผู้วิจัยได้นำกิจกรรมการเล่านิทานด้วยเทคนิคที่หลากหลายมาเล่า พบว่า เด็กให้
ความสนใจและมีความกระตือรือร้นที่จะเข้าใจความหมายของคำศัพท์มากขึ้น มีความมั่นใจในการ
ตอบคำถามมากข้ึนสามารถจดจำคำศัพท์ใหม่ ๆ อีกท้งั นำไปปฏิบตั ิตามคำสั่งและใช้ได้อย่างถูกต้องจึง
สง่ ผลใหห้ ลังการจัดกิจกรรมมคี ่าเฉลี่ยทักษะการฟงั เพ่ิมข้ึน ซึง่ สอดคล้องกับ (นงลกั ษณ์ งามขำ 2551)
ที่กล่าวว่า ทักษะการฟังเริ่มจากการฟังเสียงคนใกล้ชิดมาเป็นการฟังและปฏิบัติตามคำสั่งได้ การฟัง
เรื่องสั้น สามารถถ่ายทอดให้ผู้อื่นรับฟังได้ ซึ่ง การพัฒนาทักษะการฟังจึงเป็นสิ่งสำคัญมากที่ผู้สอน
จะต้องสอนให้เด็กรู้จักการเข้าใจความหมาย การสอนทักษะการฟังปฏิบัติตามคำสั่งได้ถูกต้องและ
เหมาะสม เพื่อจะช่วยให้เด็กปฐมวัยเรียนรู้และพัฒนาทักษะการฟังได้ดีขึ้น เด็กให้ความสนใจและมี
ความกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้สิ่งต่างๆ รอบตัวเด็กและการแสดงท่าทาง เลียนแบบเสียง ซึ่งเด็กให้
ความสนใจ และมีแรงจงู ใจในการตอบคำถามและเรียบเรียงคพดู ให้เป็นประโยคได้อย่างถกู ต้องชัดเจน
มากขึ้น และนำไปใช้ได้อย่างถูกต้องจึงส่งผลให้หลังการจัดกิจกรรมมีค่าเฉลี่ยทักษะการฟังเพิ่มข้ึน
ซึ่งสอดคล้องกับ (ณัฐวดี ศิลากรณ์ 2556) ที่กล่าวว่า การจะช่วยให้เด็กมีทักษะในการพูด คือ
การพูดคุยกับเด็กบอ่ ยๆ คำพูดต่างๆ ของเด็กมักเป็นคำที่ได้รับมาจากผู้ใกล้ชิด หลังจากนั้นเด็กจึงเรมิ่
เรียนรู้คำต่างๆ เอง ดังนั้น การพูดของครูซึ่งเป็นบุคคลที่ใกล้ชิดกับเด็ก จึงเป็นสิ่งสำคัญมาก เช่น
การสอนให้เด็กรู้จักความหมาย ของคำ การสอนคำจากท่าทางการสอน โดยการอ่านนิทานให้ฟัง
และการหดั ให้เด็กไดพ้ ูดคยุ สนทนาตอบคำถาม เปน็ ต้น
ดงั น้ันสรปุ ไดว้ ่า กจิ กรรมการเล่านิทานด้วยเทคนคิ ทีห่ ลากหลาย เป็นกิจกรรมที่ทำให้เด็กเกิด
ความสนุสนานเพลิดเพลิน และตอบสนองต่อความต้องการของเด็ก ทั้งนี้จึงได้เรียนรู้จากกิจกรรม
การเล่านิทานด้วยเทคนิคที่หลากหลาย ช่วยส่งผลต่อการพัฒนาทักษะการฟัง ในด้านของการเข้าใจ
ความหมาย การฟังและปฏิบัติตามคำสั่ง ทักษะการพูด ในด้านการบอกชื่อสิ่งต่างๆ การพูดและแสดง
ท่าทางแบบง่าย ซึ่งพัฒนาการในแต่ละด้านของทักษะการฟังและการพูดของเด็กปฐมวัย มีความ
แตกต่างกันตามความสามารถพน้ื ฐานเดิมของเด็กแตล่ ะคน
37
ข้อเสนอแนะ
1. ในการจดั กิจกรรมเล่านิทานด้วยเทคนิคท่ีหลากหลายควรมกี ารเคลื่อนไหวและจังหวะตาม
เพลงในการเกบ็ เดก็
2. ในการพัฒนาทักษะการฟังและการพูด โดยการจัดกิจกรรมการเล่านิทานด้วยเทคนิค
ที่หลากหลาย ครูควรใช้การเสริมแรงกระตุ้นให้เด็กเกิดกำลังใจในการพัฒนาตนเอง เช่น ให้คำชมเชย
เม่อื เดก็ แสดงพฤตกิ รรมที่เหมาะสม เด็กจะได้มีความรูส้ ึกทีอ่ บอุ่นมีความสุขในการทำกจิ กรรม
3. ควรสนับสนุนให้ครผู ู้สอน นำการจัดประสบการณ์การเล่านิทานด้วยเทคนิคที่หลากหลาย
ไปใช้ในการจัดกจิ กรรมให้กับเด็กปฐมวยั เพ่ือใหเ้ ด็กเกิดการพฒั นาทักษะทางภาษาครบท้งั 4 ดา้ น
ข้อเสนอแนะในการทำวจิ ยั คร้งั ต่อไป
1. ในการศึกษาครั้งต่อไป ควรมีการจัดกิจกรรมการเล่านิทานด้วยเทคนิคที่หลากหลาย
เพื่อพัฒนาทักษะอืน่ ๆ เชน่ ทกั ษะการอ่าน ทักษะการเขียน
2. ควรมกี ารจดั กจิ กรรมเสริมทักษะการฟังและการพูดโดยใช้เทคนิควธิ ีการใหม่ ๆ ใช้สื่อท่ีทำ
ให้เด็กเกิดความสนใจและตื่นเต้น เช่น สื่อจริงที่เด็กสามารถสัมผัสได้ และสื่อที่ทันสมัยที่เด็กสนใจ
เปน็ ตน้
3. ควรมีการเปรียบเทียบทักษะการฟังและการพูด โดยใช้เทคนิควิธีอื่น เช่น ปริศนาคำทาย
การใช้บัตรคำประกอบภาพ เกมการศึกษา และการเลน่ บทบาทสมมติ เป็นต้น
บรรณานกุ รม
39
บรรณานุกรม
กระทรวงศกึ ษาธกิ าร. (2552). สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพืน้ ฐาน. กรุงเทพฯ :
คุรสุ ภาลาดพรา้ ว.
เกตนน์ ภิ า ฮาดคันทงุ . (2561). การพัฒนาการจัดประสบการณ์โดยการเล่านิทานดว้ ยเทคนคิ ที่
หลากหลายเพ่ือส่งเสริมทกั ษะทางด้านการฟงั และการพูดสำหรับเด็กปฐมวยั ทไ่ี มไ่ ดใ้ ช้
ภาษาไทยเปน็ ภาษาแม่. วิทยานพิ นธ์ปริญญามหาบัณฑติ มหาวิทยาลยั นเรศวน.
กลุ ยา ตันตผิ ลาชวี ะ. (2551). ความหมายของการพูด. กรงุ เทพฯ : โชติสขุ การพิมพ.์
จารุณี ศรีเผอื ก (2554). การเปรยี บเทียบพฤติกรรมทางสงั คมของเด็กปฐมวัยทีมีระดับความฉลาด
ทางอารมณ์ ต่างกัน หลังการจดั กิจกรรมการเลา่ นทิ านประกอบภาพด้วยการตอบคําถาม
และดว้ ยการแสดงบทบาทสมมติ. วิทยานิพนธ์ กศ.ม. พระนครศรีอยธุ ยา มหาวทิ ยาลัย
ราชภัฏพระนครศรีอยธุ ยา.
จริ ประภา บณุ นติ ย์ และคณะ. (2551 ). วิธีชว่ ยให้เด็กรักการอา่ น. กรุงเทพฯ. ชมรมเด็ก.
จไุ รรัตน์ มณฉี าย. (2558). รายงานผลการใช้หนังสอื นิทานประกอบภาพเพ่อื พัฒนาความฉลาด
ทางอารมณ์ประกอบกจิกรรมการเล่านิทาน ของนกั เรียนชัน้ อนบุ าลปที ่ี 3. กองการศึกษา
เทศบาลเมืองทุ่งสง กรมส่งเสรมิ การปกครองทอ้ งถ่นิ กระทรวงมหาดไทย.
ชนาธปิ บบุ ผามาศ. (2553). การคิดเชิงเหตุผลของเดก็ ปฐมวัยทไ่ี ดร้ ับการจัดกจิ กรรมการเล่า
นทิ าน อสี ปประกอบคาํ ถาม. วิทยานิพนธ์ปริญญาศึกษาศาสตรมหาบณั ฑิต มหาวิทยาลยั
ศรนี ครนิ ทรวิโรฒ ประสานมิตร.
ณริ ัชญา ยีส่ ุ่นเรือง. (2560). การพฒั นาทักษะการพดู ของเดก็ ปฐมวัย โดยการใช้กิจกรรมการล่า
นิทานประกอบภาพ. กรงุ เทพฯ : มหาวิทยาลัยสวนดสุ ิต.
ณัฐวดี ศลิ ากรณ์. (2556). ความสามารถทางการพูดของเด็กปฐมวัยท่ีได้รบั การจัดกจิ กรรม การเลา่
นิทานประกอบหนุ่ . ปรญิ ญานพิ นธก์ ารศึกษามหาบณั ฑิต สาขาวิชาการศึกษา ปฐมวัย
บณั ฑติ วทิ ยาลยั มหาวิทยาลยั ศรีนครินทรวิโรฒ.
ดวงกมล พลคร. (2553). การพัฒนาแบบประเมินทักษะทางภาษาสาํ หรบั เด็กปฐมวยั . วิทยานิพนธ์
ครุศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลยั ราชภัฎเพช็ รบูรณ.์
ดวงสมร ศรีใสคำ. (2552). ผลของกจิ กรรมการเล่านิทานพื้นบ้านที่มตี อ่ พัฒนาการ ทางภาษา
ดา้ นการพูดของนกั เรียนชั้นอนุบาลปที ่ี 2 โรงเรยี นสาธิตมหาวทิ ยาลยั ราชภฏั
มหาสารคาม. การศึกษา กศ.ม. มหาสารคาม : มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม.
บุปผา เรอื งรอง. (2551). เทคนคิ การเล่านทิ าน. นครราชศรมี า : มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรม.
นงลักษณ์ งามขำ. (2551). ความสามารถด้านการฟงั และการพูดของเดก็ ปฐมวัยทไ่ี ดร้ ับการจัด
40
กิจกรรมเสริมประสบการณ์โดยใชป้ รศิ นาคำทาย. ปรญิ ญานิพนธ์ กศ.ม. การศึกษา
ปฐมวัย บัณฑิตวิทยาลยั มหาวิทยาลยั ศรนี ครนิ ทรวโิ รฒ.
พีรยา กิตติ์วรกุล. (2562). การจัดประสบการณ์การเรยี นรู้โดยใช้หนังสอื คำคล้องจองประกอบภาพ
เพือ่ พัฒนาทักษะทางภาษาดา้ นการฟังการพูด. วารสาร เทคโนโลยแี ละสื่อสารการศึกษา
คณะศึกษาศาสตรม์ หาวิทยาลยั มหาสารคาม. 2 (6), 4-5.
พณั ณช์ ิตา สริ ภัทรศรเี สมอ. (2555). ผลการจดั กิจกรรมการเล่านทิ านประกอบภาพท่ีมีตอ่ การรบั รู้
การอนุรักษ์สงิ่ แวดล้อมของเดก็ ปฐมวัย. วิทยานิพนธป์ ริญญาครศุ าสตรมหาบัณฑิต
มหาวทิ ยาลัยราชภัฏไลยอลงกรณ์.
ภัทรดรา พนั ธุ สีดา. (2551). การพัฒนารปู แบบการเรยี นการสอนแบบ SPARPS เพือ่ เสรมิ สรา้ ง.
ทกั ษะทางภาษาของเดก็ ปฐมวยั . ปริญญานิพนธ กศ.ด. (การศกึ ษาปฐมวัย) มหาวิทยาลยั ศรี
นครนิ ทรวิโรฒ.
เยาวลกั ษณ์ สมบตั นิ ิมิต. (2553). ผลการเลา่ นทิ านเชิงคณิตที มีผลต่อทักษะพื้นฐานทาง
คณิตศาสตร์ เด็กปฐมวัย โรงเรยี นปรยิ ตั ิรังสรรค์ จงั หวัดเพชรบรีุ . วทิ ยานพิ นธป์ ริญญาครุ
ศาสตร มหาบัณฑิต มหาวทิ ยาลัยราชภัฏเพชรบุร.ี
ราชบัณฑติ ยสถาน. (2546). พจนานกรมฉบับราชบณั ฑติ ยสถาน พ.ศ. 2542. กรุงเทพฯ : นานมี
บุคสพบั ลเิ คช้นั ส.์
ลดั ดา บญุ มาวรรณ แลคณะ. (2560). การจดั ประสบการณ์โดยใช้เทคนิคการเล่านทิ านแบบเลา่ ซ้ำ
เพือ่ พฒั นาความสามารถ ด้านการจบั ใจความและการพูดสอ่ื สารของเดก็ ปฐมวยั . คณะครุ
ศาสตร์ : มหาวิทยาลัยราชภฏั เชียงราย.
วเิ ชียร เกษประทุม. (2550). นทิ านพน้ื บา้ น. กรุงเทพฯ : พัฒนาศกึ ษา.
สกุ ันยา อินทรน์ รุ ักษ.์ (2553). ผลการจัดกจิ กรรมการเล่านิทานประกอบการเคลื่อนไหวท่ีมตี ่อ
ความสามารถในการใช้กลา้ มเน้ือเลก็ ของเดก็ ปฐมวยั สถานเลย้ี งเดก็ มายดโ์ ฮมเดยแ์ คร์
เนอสเซอรี่. วทิ ยานิพนธป์ ริญญาศกึ ษาศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยศรีนครินทร วิโรฒ
ประสานมติ ร.
สุพตั รา บงุ่ ง้าว. (2560). การใช้นทิ านภาพเพ่ือพัฒนาทักษะการฟงั และการพูด. กรงุ เทพฯ :
มหาวิทยาลัยสวนดุสติ .
สุภาจริ า สมศรี. (2560). การพฒั นาทักษะการฟงั ของเดก็ ปฐมวัยโดยใชก้ จิ กรรมการเล่านิทาน
พ้นื บ้านอีสาน. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลยั สวนดสุ ิต.
หรรษา นิลวเิ ชียร. (2557). “การสอนเขียนแก่เดก็ ปฐมวัย,” สารพัฒนา หลกั สตู ร. 11(110) : 8.
ศิวพร นิลสุข. (2551). พัฒนาการและการเรยี นรู้ ภาษาของเดก็ ปฐมวยั . มหาวิทยาลยั มหาสารคาม.
สำนักวิทยบริการมหาสารคาม.