คำพิพากษา เกี่ยวกับ ค่าจ้างไม่เป็นค่าจ้าง 10พ.ศ. 2564 - 2555 เชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ
คำนำ ทุกวันนี้ดูเหมือนว่าข้อพิพาทด้านแรงงานจะมีคดีขึ้นสู่ศาลจำนวนมาก เนื่ องจากความสัมพั นธ์ระห ว่างน ายจ้างและลูกจ้างย่อมก่อให้ เกิด ข้อพิ พ าท ได้เสมอ หากทั้งสองฝ่ายไม่ปฏิบัติต่อกันให้ถูกต้องตามข้อสัญญาและข้อกฎหมาย อีกฝ่ายจำเป็นต้องใช้สิทธิทางศาล ผลของการพิจารณาคดีของศาล ย่อมมีผู้แพ้และชนะคดี และคำพิพากษาของศาลหลายคดี ได้วางแนวทางในการตีความและเรียบเรียงถ้อยคำ ให้เกิดความกระจ่างชัดและสละสลวย การศึกษาคำพิพากษาจึงเป็นวิธีที่ดีวิธีหนึ่ง สำหรับผู้ปฏิบัติงานด้านทรัพยากรบุคคลและผู้สนใจกฎหมายแรงงานที่จะนำไปใช้ประโยชน์ ในการทำงานได้อย่างกว้างขวาง หนังสือเล่มนี้ผู้เขียนได้รวบรวมคำพิพากษาที่น่าสนใจระหว่างปี พ.ศ. 2555 – 2564 ในประเด็นเกี่ยวกับการตีความค่าจ้างตามกฎหมายคุ้มครองแรงงาน และกฎหมายประกันสังคมของเงินประเภทต่าง ๆ เช่น ค่าบริการหรือเซอร์วิสชาร์จ ค่าเที่ยว เงินเพิ่มพิเศษ (Offshore Superviser) เป็นต้น โดยแยกหมวดหมู่ให้สืบค้นได้ง่าย ผู้เขียนจึงมุ่งหวังว่า หนังสือเล่มนี้จะช่วยให้ผู้ทำงานด้านทรัพยากรบุคคลและผู้ที่สนใจศึกษา สะดวก ประหยัดเวลา และเข้าใจกฎหมายมากขึ้น เชิดศักดิ์ กำปั่นทอง สิงหาคม 2564
ก สารบัญ หน้า ค่าจ้าง……………………………....................…….…..……………..…………….…..…….…..…… ค ๑. ค่าชั่วโมงบิน..................................................................................... ๑ ๒. เงินเพิ่มพิเศษ (Offshore Superviser)............................................ ๔ ๓. เงินระดับงาน.............................................................................. ๙ ๔. ค่าคอมมิชชั่น ค่านายหน้า.............................................................. ๑๐ ๕. ค่าเที่ยว........................................................................................... ๑๙ ๖. ค่าขับรถด้วยความปลอดภัย........................................................... ๓๓ ๗. ค่าน้ำมันรถ ค่าสึกหรอ.................................................................... ๓๘ ๘. ค่าตอบแทนตามผลงาน................................................................... ๔๕ ๙. เบี้ยเลี้ยง.......................................................................................... ๔๖ ๑๐ .ค่าครองชีพ..................................................................................... ๕๑ ๑๑. ค่าวิชาชีพ...................................................................................... ๕๓ ๑๒. ค่าสวัสดิการ.................................................................................. ๕๖ ๑๓. ค่าตำแหน่ง.................................................................................... ๕๗ ๑๔. ค่าอายุงาน..................................................................................... ๖๒ ๑๕. ค่าเช่าบ้าน..................................................................................... ๖๓ ๑๖. เงินเดือน ๆ ที่ ๑๓......................................................................... ๖๗ ๑๗. เงินประจำไซด์............................................................................... ๖๘ ๑๘. เงินรางวัลนำเข้า............................................................................ ๖๙ ๑๙. เงินค่าใบอนุญาตพนักงานควบคุมการจราจรทางอากาศ............... ๗๐ ๒๐. ค่ารับรอง....................................................................................... ๗๒ ๒๑. ค่าโทรศัพท์..................................................................................... ๗๔ ๒๒. เบี้ยขยัน......................................................................................... ๗๙ ๒๓. ค่าบริการ หรือ เซอร์วิสชาร์จ........................................................ ๘๑ ๒๔. ค่าพาหนะ...................................................................................... ๘๖ ๒๕. เงิน MBO เงิน MIB....................................................................... ๙๒
ข สารบัญ หน้า ๒๖. ค่าตอบแทนคนขับรถผู้บริหาร...................................................... ๙๖ ๒๗. เงินความสามารถพนักงานแคชเชียร์............................................... ๙๘ ๒๘. ค่ารักษาสินค้า................................................................................. ๙๙ ๒๙. โบนัส.............................................................................................. ๑๐๑ ๓๐. ค่าเช่ารถยนต์................................................................................. ๑๐๓ ๓๑. เงินตอบแทนพิเศษ........................................................................ ๑๐๕ ๓๒. ค่าผ่านทาง.................................................................................... ๑๐๘ ๓๓. ค่ากะดึก........................................................................................ ๑๐๙ ๓๔. ค่าอาหาร...................................................................................... ๑๑๑ ๓๕. ค่าชิ้นงาน...................................................................................... ๑๑๓ ๓๖. ค่าโน็ตบุ๊ก...................................................................................... ๑๑๕ ๓๗. เงินปรับค่าจ้างย้อนหลัง................................................................ ๑๑๖ ๓๘. เบี้ยกันดาร.................................................................................... ๑๑๗ ๓๙. สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า............................................... ๑๑๙ ๔๐. ค่าประกันอุบัติเหตุ........................................................................ ๑๒๐ ๔๑. ค่ากระดาษทิชชู่............................................................................. ๑๒๑ ๔๒. เงินรางวัลการขายรถยนต์.............................................................. ๑๒๓ ๔๓. เงินช่วยเหลือค่าทำงานต่างจังหวัด และค่าที่พัก............................ ๑๒๕
นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๑ - ๑. ค่าชั่วโมงบิน เป็นค่าจ้าง ๑. คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ ที่ ๕๔/๒๕๖๔ เรื่อง ค่าชั่วโมงบินเป็นค่าจ้าง , นายจ้างเลิกจ้างลูกจ้างตำแหน่งนักบินผู้ช่วย โดยเหตุจงใจ หรือละเลย ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของนายจ้างหรือผู้บังคับบัญชา ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ในการปฏิบัติหน้าที่ตามขั้นตอนของนักบินซึ่งอาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่ชีวิตผู้โดยสารและทรัพย์สิน การเลิกจ้างจึงชอบด้วยกฎหมายและระเบียบข้อบังคับแล้ว คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า วันที่ ๓ ตุลาคม ๒๕๕๙ จำเลยจ้างโจทก์เป็นลูกจ้างจำเลย ตำแหน่งนักบิน ผู้ช่วย มีกำหนดระยะเวลา ๖ ปี ได้รับเงินเดือนอัตราสุดท้ายเดือนละ ๙๐,๐๐๐ บาท ค่าชั่วโมงบินขณะ ปฏิบัติการบินชั่วโมงที่ ๑-๕๐ อัตราชั่วโมงละ ๑,๓๕๐ บาท ชั่วโมงที่ ๕๑-๗๐ อัตราชั่วโมงละ ๑,๕๐๐ บาท ชั่วโมงที่ ๗๑ - ๘๐ อัตราชั่วโมงละ ๑,๘๐๐ บาท และชั่วโมงถัดไป อัตราชั่วโมงละ ๒,๑๐๐ บาท ต่อมาวันที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ หัวหน้าฝ่ายการบินแจ้งโจทก์ว่าไม่ต้องทำการบิน แต่ให้โจทก์ย้ายไปปฏิบัติงาน ด้านเอกสาร และเมื่อวันที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๖๒ จำเลยมีจดหมายอิเล็กทรอนิกส์แจ้งเลิกจ้างโจทก์ให้มีผลวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๖๒ เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ขอบังคับให้จำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าชดเชย ค่าเสียหายที่ไม่สามารถทำงานได้ครบกำหนดระยะเวลา ๕,๑๓๖,๐๐๐ บาท ค่าเสียหายจากการเลิก จ้างที่ไม่เป็นธรรม ๒,๑๖๐,๐๐๐ บาท ค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี กับให้จำเลยแจ้งสำนักงาน ประกันสังคมว่าโจทก์ว่างงานเนื่องจากถูกเลิกจ้างโดยโจทก์ไม่ได้กระทำผิด จำเลยให้การว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์และเสนอให้โจทก์ทำงานในส่วนของเอกสารการบินแทนการ ทำการบินแต่โจทก์เพิกเฉย จำเลยเลิกจ้างเนื่องจากโจทก์สุขภาพไม่แข็งแรง มีความบกพร่องทางหูซึ่งเป็น อุปสรรคในการทำงาน ลาป่วยจำนวนมาก ส่งใบรับรองแพทย์ที่ระบุชื่อบุคคลอื่นประกอบการลาป่วยอันเป็น การกระทำทุจริตต่อจำเลย ไม่มีประสิทธิภาพในการปฏิบัติหน้าที่นักบินผู้ช่วย ไม่สนใจและไม่ตั้งใจในการเรียนรู้ ฝึกอบรม ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงในการปฏิบัติหน้าที่ตามขั้นตอนของนักบินซึ่งอาจก่อให้เกิดความ เสียหายแก่ชีวิตผู้โดยสารและทรัพย์สินของจำเลย ระหว่างพิจารณาของศาลแรงงานกลาง คู่ความแถลงรับข้อเท็จจริงร่วมกันว่า ค่าชั่วโมงบิน เป็นค่าจ้าง ตั้งแต่เดือนมิถุนายน - ธันวาคม ๒๕๖๒ โจทก์ทำการบินเฉพาะเดือนตุลาคม ๒๕๖๒ ได้รับค่าชั่วโมง บินเฉพาะเดือนตุลาคม ๒๕๖๒ ๔๐,๓๑๓ และจำเลยแจ้งสำนักงานประกันสังคมเพื่อให้โจทก์มีสิทธิได้รับ ประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงานแล้ว ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษเห็นว่า โจทก์ผ่านการฝึกอบรมการบินและได้รับใบอนุญาต การบินแล้ว แต่ในระหว่างการทำหน้าที่นักบินกลับมีข้อบกพร่องในการบิน จำเลยจึงมีคำสั่งให้โจทก์งดบินและ ให้เข้ารับการฝึกอบรมกับเครื่องบินจำลอง ในระหว่างฝึก โจทก์ลาป่วยบ่อยเป็นเหตุให้ไม่ผ่านการฝึกอบรม
นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๒ - หลายครั้ง เมื่อโจทก์ผ่านการฝึกอบรมแล้ว จำเลยให้โจทก์ฝึกทำการบินจริงกับกัปตัน โดยมีนักบินผู้ช่วยอีกคน ทำหน้าที่นักบินเซฟตี้ด้วย วันดังกล่าวหากเครื่องบินผิดปกติ โจทก์มีหน้าที่แจ้งให้กัปตันทราบและให้ปฏิบัติตาม คู่มือการบิน ขณะมีการนำเครื่องบินลงจอดปรากฏว่า อุปกรณ์ทั้งหมดกางออก แต่ FLAP กางออกไม่หมด ได้แสดงตำแหน่ง ๑๕ องศา ไม่ตรงตำแหน่ง FLAP ที่ตั้งไว้ ๓๐ องศา แต่กัปตันได้นำเครื่องบินลงจอดโดยข้าม การปฏิบัติตามคู่มือการบิน กรณีเครื่องบินผิดปกติตามขั้นตอนที่ถูกต้องในการลงจอดตามคู่มือการบินถือเป็น กรณีร้ายแรง จะทำให้ระยะทางการจอดในรันย์ยาวขึ้นหรือเลยรันเวย์ เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ ก่อนที่จะเกิด เหตุการณ์ในวันดังกล่าวนี้ (๒๑ ตุลาคม ๒๕๖๒) โจทก์มีข้อบกพร่องในการทำการบินมาโดยตลอด จนเป็นเหตุ ให้จำเลยมีคำสั่งให้โจทก์พักการบินและให้โจทก์เข้าฝึกอบรมกับเครื่องบินจำลอง เมื่อฝึกทำการบินจริงก็ละเลย ไม่ปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งการละเลยดังกล่าวเป็นเรื่องร้ายแรง ส่วนที่โจทก์กล่าวอ้างว่าการนำเครื่องบินลงจอดเป็น การตัดสินใจของกัปตันแต่เพียงผู้เดียว เป็นเพียงข้อกล่าวอ้างลอย ๆ ไม่มีหลักฐานอื่นใดมาสนับสนุน ทั้งจำเลย เสนอทางเลือกให้โจทก์ไปทำงานด้านเอกสารการบินแทน แต่โจทก์เพิกเฉย จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยเหตุจงใจ หรือละเลย ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของจำเลยหรือผู้บังคับบัญชา ประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้จำเลยได้รับ ความเสียหายอย่างร้ายแรง การเลิกจ้างของจำเลยชอบด้วยกฎหมายและระเบียบข้อบังคับของจำเลยแล้ว ๒. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๔๖๓๐ - ๔๖๗๓/๒๕๕๙ เรื่อง ค่าชั่วโมงบินเป็นค่าจ้างตามผลงาน ในการคำนวณค่าชดเชย แม้ในเดือนสุดท้ายของ การทำงาน ไม่มีจำนวนชั่วโมงบินก็ตาม ก็ต้องนำระยะเวลาและผลงานของเดือนดังกล่าวมารวมคิด คำนวณเป็นเวลาของการทำงานสุดท้ายด้วย การนำค่าชั่วโมงบินในเดือนย้อนหลังถัดไปมารวมคำนวณ เพิ่มด้วย จึงเป็นการคำนวณที่ไม่ถูกต้อง โจทก์กับพวกฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ จ้างโจทก์กับพวกเป็นลูกจ้างตำแหน่งพนักงานต้อนรับบน เครื่องบินจำเลยประกอบกิจการขนส่งทางอากาศ จำเลยที่ ๑ เลิกจ้างโจทก์โดยไม่เป็นธรรมและจ่ายค่าชดเชย ไม่ครบถ้วนเนื่องจากมิได้นำค่าชั่วโมงบินมาเป็นฐานในการคำนวณค่าชดเชยให้ถูกต้อง ศาลแรงงานกลาง พิพากษาให้จำเลยที่ ๑ จ่ายค่าชดเชยพร้อมดอกเบี้ยในส่วนที่จ่ายไม่ครบ คำขออื่นให้ยก โจทก์กับพวกและ จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์ ศาลฎีกาพิจารณาประเด็นอุทธรณ์ของจำเลยที่ ๑ ที่ว่า การที่ศาลแรงงานคำนวณค่าชดเชย เพิ่มโดยพิจารณาว่าเดือนใดไม่มีค่าชั่วโมงบินก็ต้องนำค่าชั่วโมงบินในเดือนย้อนหลังถัดไปมารวมคำนวณจนกว่า จะครบ ๙๐ วัน หรือ ๑๘๐ วัน แล้วแต่กรณีไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย เห็นว่า จำเลยที่ ๑ บอกเลิกจ้างโจทก์กับพวกวันที่ ๒๙ เมษายน ๒๕๕๒ ให้มีผลวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๕๒ โจทก์กับพวกไม่มี ชั่วโมงบินในเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๒ การคำนวณค่าชดเชยจากค่าจ้างตามผลงานให้แก่ลูกจ้างนั้น กรณีลูกจ้าง ทำงานติดต่อกันครบ ๑ ปี แต่ไม่ครบ ๓ ปี และทำงานครบ ๓ ปี แต่ไม่ครบ ๖ ปี ให้จ่ายไม่น้อยกว่าค่าจ้าง ของการทำงาน ๙๐ วันสุดท้าย และ ๑๘๐ วัน สำหรับลูกจ้างซึ่งได้รับค่าจ้างตามผลงานโดยคำนวณเป็นหน่วย ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๑๑๘ วรรคหนึ่ง เมื่อค่าชั่วโมงบินเป็นค่าตอบแทน การทำงานให้แก่พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินที่ปฏิบัติหน้าที่ตามจำนวนชั่วโมงที่ปฏิบัติจริงในแต่ละเดือน
นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๓ - ค่าชั่วโมงบินจึงเป็นค่าจ้างตามผลงาน ดังนั้น แม้เดือนพฤษภาคม ๒๕๕๒ ซึ่งเป็นเดือนสุดท้ายของการทำงาน โจทก์กับพวกไม่มีจำนวนชั่วโมงบินทำให้ไม่มีค่าชั่วโมงบินก็ตาม ก็ต้องนำระยะเวลาและผลงานของเดือน ดังกล่าวมารวมคิดคำนวณเป็นเวลาของการทำงานสุดท้ายด้วย ที่ศาลแรงงานกลางคำนวณค่าชดเชยสำหรับ ค่าชั่วโมงบินซึ่งเป็นค่าจ้างตามผลงานให้จำเลยที่ ๑ จ่ายเพิ่มแก่โจทก์กับพวก โดยนำค่าชั่วโมงบินของการ ทำงานในเดือนย้อนหลังถัดไปมารวมคำนวณแทนค่าชั่วโมงบินเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๒ จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย เมื่อจำเลยที่ ๑ ได้จ่ายค่าชดเชยให้โจทก์ครบถ้วนแล้วจึงไม่ต้องรับผิดในค่าชดเชยตามฟ้องอีก พิพากษาแก้ เป็นว่าให้ยกฟ้องโจทก์ในส่วนของจำเลยที่ ๑ ด้วย นอกนั้นที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง
นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๔ - ๒. เงินเพิ่มพิเศษ (Offshore Superviser) เป็นค่าจ้าง ๑. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๒๙๙/๒๕๖๔ เรื่อง เงินเพิ่มพิเศษเมื่อทำงานบนแท่นขุดเจาะเป็น “ค่าจ้างตามผลงาน” ต้องนำมารวม คำนวณค่าชดเชย โดยคำนวณตามระยะเวลา ๒๔๐ วันสุดท้ายก่อนลูกจ้างถูกเลิกจ้าง คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองจ้างโจทก์เข้าทำงานเป็นลูกจ้างรายเดือน ตำแหน่งสุดท้าย ทำหน้าที่ Service Superviser I ทำงานบนแท่นขุดเจาะ ๒๑ วัน กลับขึ้นมาพักบนฝั่ง ๑๔ วัน และทำงานที่ สำนักงานบนฝั่งอีก ๗ วัน ค่าจ้างเดือนละ ๒๘,๐๐๐ บาท และเงินเพิ่มพิเศษเมื่อทำงานบนแท่นขุดเจาะ วันละ ๑,๓๐๐ บาท ต่อมาวันที่ ๑๒ กุมภาพัน์ ๒๕๕๘ จำเลยทั้งสองเลิกจ้างโจทก์อ้างเหตุลดจำนวนบุคลากร เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ขณะทำงานโจทก์ทำงานบนแท่นขุดเจาะเกินกว่าชั่วโมงทำงานตามที่กฎหมาย กำหนด ๗,๐๙๒ ชั่วโมง ขอบังคับให้จำเลยทั้งสองจ่ายค่าล่วงเวลา ค่าชดเชย ค่าเสียหายจากการเลิกจ้าง ที่ไม่เป็นธรรม พร้อมดอกเบี้ย จำเลยให้การว่า สิทธิเรียกร้องค่าล่วงเวลาขาดอายุความ ๒ ปีแล้ว เงินเพิ่มพิเศษเมื่อทำงาน บนแท่นขุดเจาะไม่ใช่ค่าจ้าง จำเลยเลิกจ้างโจทก์เนื่องจากมีความจำเป็นต้องลดจำนวนลูกจ้างเพื่อ ประคับประคองธุรกิจ จำเลยที่ ๒ เป็นลูกจ้างจำเลยที่ ๑ ตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายการเงิน จึงไม่ต้องรับผิดในฐานะ ส่วนตัว และไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเลิกจ้าง ระหว่างพิจารณาโจทก์ขอสละประเด็นเรื่องค่าล่วงเวลา และขอ ถอนฟ้องจำเลยที่ ๒ ศาลแรงงานภาค ๙ อนุญาต ศาลแรงงานภาค ๙ พิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ชำระเงินแก่โจทก์๓๖๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ย คำขออื่นให้ยก จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำพากษาศาลแรงงานภาค ๙ ในส่วน การกำหนดค่าชดเชย โดยให้ศาลแรงงานภาค ๙ ฟังข้อเท็จจริงเพิ่มเติมว่า โจทก์ได้เงินเพิ่มพิเศษในระยะเวลา สองร้อยสี่สิบวันสุดท้ายก่อนถูกเลิกจ้างจำนวนเท่าใด แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ศาลแรงงานภาค ๙ พิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ชำระค่าชดเชยแก่โจทก์เป็นเงิน ๒๐๖,๓๒๕ บาท พร้อมดอกเบี้ย จำเลยที่ ๑ ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา ประเด็นเงินเพิ่มพิเศษ (Offshore Superviser) เป็นค่าจ้างหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า การทำงาน บนแท่นขุดเจาะน้ำมันเป็นการทำงานตามปกติตามตำแหน่งหน้าที่ของโจทก์ การที่จำเลยที่ ๑ จ่ายเงินเพิ่ม พิเศษเมื่อทำงานบนแท่นขุดเจาะเพิ่มขึ้นจากเงินเดือนให้แก่โจทก์โดยคิดจากการที่โจทก์ไปทำงานบนแท่นขุด เจาะในวันทำงาน จึงเป็นการจ่ายโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อตอบแทนการทำงานของโจทก์สำหรับระยะเวลาการ ทำงานปกติ โดยคำนวณตามผลงานจากจำนวนวันที่โจทก์ทำงานอยู่บนแท่นขุดเจาะในแต่ละรอบตามตาราง กำหนด ทั้งการที่จำเลยที่ ๑ จ่ายเงินดังกล่าวให้แก่โจทก์ในกรณีโจทก์เจ็บป่วยมิได้ทำงานและยังไม่ได้ถูกส่งกลับ ขึ้นฝั่ง ก็สอดคล้องกับความหมายของคำว่าค่าจ้างที่ให้หมายความรวมถึงเงินที่นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างใน วันหยุดและวันลาที่ลูกจ้างมิได้ทำงานแต่มีสิทธิได้รับตามกฎหมายคุ้มครองแรงงาน ซึ่งการเจ็บป่วยนี้ลูกจ้างมี
นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๕ - สิทธิลาป่วยและได้รับค่าจ้างตามสิทธิที่ที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๓๒ และมาตรา ๕๗ วรรคหนึ่ง จึงเป็นหน้าที่ตามกฎหมายของจำเลยที่ ๑ ที่ต้องจ่ายเงินดังกล่าวให้ แม้โจทก์จะ เจ็บป่วยมิได้ทำงานและยังไม่ได้ถูกส่งตัวกลับขึ้นฝั่งก็ตาม เงินเพิ่มเติมพิเศษเมื่อทำงานบนแท่นขุดเจาะ จึงเป็น “ค่าจ้างตามผลงาน” ที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษวินิจฉัยว่าเงินเพิ่มพิเศษเมื่อทำงานบนแท่นขุดเจาะเป็น ค่าจ้างที่จ่ายให้โดยคำนวณตามผลงานที่ต้องนำมาคำนวณเป็นค่าชดเชยแล้วย้อนสำนวนไปให้ศาลแรงงาน ภาค ๙ ฟังข้อเท็จจริงเพิ่มเติมว่า โจทก์ได้รับเงินเพิ่มพิเศษ ในระยะเวลา ๒๔๐ วันสุดท้ายก่อนถูกเลิกจ้างเป็น จำนวนเท่าใด แล้วให้ศาลแรงงานภาค ๙ พิพากษาคดีในส่วนจำนวนเงินดังกล่าวใหม่นั้น ต้องด้วยความเห็น ของศาลฎีกา พิพากษายืน ๒. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๓๐๐/๒๕๖๔ เรื่อง เพิ่มพิเศษเมื่อทำงานบนแท่นขุดเจาะเป็น “ค่าจ้างตามผลงาน” ต้องนำมารวม คำนวณค่าชดเชย โดยคำนวณตามระยะเวลา ๒๔๐ วันสุดท้ายก่อนลูกจ้างถูกเลิกจ้าง คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองจ้างโจทก์เข้าทำงานเป็นลูกจ้างรายเดือนตำแหน่งสุดท้ายทำ หน้าที่ Svc Operator II-L&P ทำงานบนแท่นขุดเจาะ ๒๘ วัน กลับขึ้นมาพักบนฝั่ง ๒๐ วัน และทำงานที่ สำนักงานบนฝั่งอีก ๘ วัน ค่าจ้างเดือนละ ๒๕,๒๓๒.๕๔ บาท และเงินเพิ่มพิเศษเมื่อทำงานบนแท่นขุดเจาะ วันละ ๑,๓๐๐ บาท ต่อมาวันที่ ๑๗ กุมภาพัน์ ๒๕๕๘ จำเลยทั้งสองเลิกจ้างโจทก์อ้างเหตุลดจำนวนบุคลากร เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ขณะทำงานโจทก์ทำงานบนแท่นขุดเจาะเกินกว่าชั่วโมงทำงานตามที่กฎหมาย กำหนด ๖,๕๕๒ ชั่วโมง ขอบังคับให้จำเลยทั้งสองจ่ายค่าล่วงเวลา ค่าชดเชย ค่าเสียหายจากการเลิกจ้าง ที่ไม่เป็นธรรม พร้อมดอกเบี้ย จำเลยให้การว่า สิทธิเรียกร้องค่าล่วงเวลาขาดอายุความ ๒ ปีแล้ว เงินเพิ่มพิเศษเมื่อทำงาน บนแท่นขุดเจาะไม่ใช่ค่าจ้าง จำเลยเลิกจ้างโจทก์เนื่องจากมีความจำเป็นต้องลดจำนวนลูกจ้างเพื่อ ประคับประคองธุรกิจ จำเลยที่ ๒ เป็นลูกจ้างจำเลยที่ ๑ ตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายการเงิน จึงไม่ต้องรับผิดในฐานะ ส่วนตัว และไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเลิกจ้าง ระหว่างพิจารณาโจทก์ขอสละประเด็นเรื่องค่าล่วงเวลา และขอ ถอนฟ้องจำเลยที่ ๒ ศาลแรงงานภาค ๙ อนุญาต ศาลแรงงานภาค ๙ พิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ชำระเงินแก่โจทก์๒๗๖,๖๓๙.๖๘ บาท พร้อมดอกเบี้ย คำขออื่นให้ยก จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำพากษาศาลแรงงานภาค ๙ ในส่วน การกำหนดค่าชดเชย โดยให้ศาลแรงงานภาค ๙ ฟังข้อเท็จจริงเพิ่มเติมว่า โจทก์ได้เงินเพิ่มพิเศษในระยะเวลา สองร้อยสี่สิบวันสุดท้ายก่อนถูกเลิกจ้างจำนวนเท่าใด แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ศาลแรงงานภาค ๙ พิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ชำระค่าชดเชยแก่โจทก์เป็นเงิน ๑๒๙,๕๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ย จำเลยที่ ๑ ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๖ - ประเด็นเงินเพิ่มพิเศษ เป็นค่าจ้างหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า การทำงานบนแท่นขุดเจาะน้ำมัน เป็นการทำงานตามปกติตามตำแหน่งหน้าที่ของโจทก์ การที่จำเลยที่ ๑ จ่ายเงินเพิ่มพิเศษเมื่อทำงานบนแท่น ขุดเจาะเพิ่มขึ้นจากเงินเดือนให้แก่โจทก์โดยคิดจากการที่โจทก์ไปทำงานบนแท่นขุดเจาะในวันทำงาน จึงเป็น การจ่ายโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อตอบแทนการทำงานของโจทก์สำหรับระยะเวลาการทำงานปกติ โดยคำนวณ ตามผลงานจากจำนวนวันที่โจทก์ทำงานอยู่บนแท่นขุดเจาะในแต่ละรอบตามตารางกำหนด ทั้งการที่จำเลยที่ ๑ จ่ายเงินดังกล่าวให้แก่โจทก์ในกรณีโจทก์เจ็บป่วยมิได้ทำงานและยังไม่ได้ถูกส่งกลับขึ้นฝั่ง ก็สอดคล้องกับ ความหมายของคำว่าค่าจ้างที่ให้หมายความรวมถึงเงินที่นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างในวันหยุดและวันลาที่ลูกจ้าง มิได้ทำงานแต่มีสิทธิได้รับตามกฎหมายคุ้มครองแรงงาน ซึ่งการเจ็บป่วยนี้ลูกจ้างมีสิทธิลาป่วยและได้รับค่าจ้าง ตามสิทธิที่ที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๓๒ และมาตรา ๕๗ วรรคหนึ่ง จึงเป็นหน้าที่ตามกฎหมายของจำเลยที่ ๑ ที่ต้องจ่ายเงินดังกล่าวให้ แม้โจทก์จะเจ็บป่วยมิได้ทำงานและยังไม่ได้ ถูกส่งตัวกลับขึ้นฝั่งก็ตาม เงินเพิ่มเติมพิเศษเมื่อทำงานบนแท่นขุดเจาะ จึงเป็น “ค่าจ้างตามผลงาน” ที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษวินิจฉัยว่าเงินเพิ่มพิเศษเมื่อทำงานบนแท่นขุดเจาะเป็นค่าจ้างที่จ่ายให้โดยคำนวณ ตามผลงานที่ต้องนำมาคำนวณเป็นค่าชดเชยแล้วย้อนสำนวนไปให้ศาลแรงงานภาค ๙ ฟังข้อเท็จจริงเพิ่มเติมว่า โจทก์ได้รับเงินเพิ่มพิเศษ ในระยะเวลา ๒๔๐ วันสุดท้ายก่อนถูกเลิกจ้างเป็นจำนวนเท่าใด แล้วให้ศาลแรงงาน ภาค ๙ พิพากษาคดีในส่วนจำนวนเงินดังกล่าวใหม่นั้น ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา พิพากษายืน ๓. คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่ ๑๖๗๑ - ๑๖๘๐/๒๕๖๒ เรื่อง ค่าเบี้ยเลี้ยงบนแท่นขุดเจาะน้ำมันเป็น “ค่าจ้างตามผลงาน” เมื่อโจทก์เป็นลูกจ้าง รายเดือนทำงานบนแท่นขุดเจาะคราวละ ๒๘ วัน พัก ๒๘ วัน กะละ ๑๒ ชั่วโมง การคำนวณอัตราค่าจ้าง ต่อชั่วโมงในวันทำงานจึงต้องใช้ ๑๒ เป็นตัวหาร , โจทก์ทราบแล้วว่าได้ถูกเลิกจ้าง ย่อมมีอิสระที่จะ ตัดสินใจได้โดยไม่อยู่ในสภาวะที่ต้องเกรงกลัว การทำข้อตกลงสละสิทธิเช่นนี้ไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อย ของประชาชน แต่มีลักษณะเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ ข้อตกลงจึงมีผลผูกพัน โจทก์จึงไม่มี อำนาจฟ้องเรียกเงินทุกประเภท คดีนี้โจทก์กับพวกรวม ๑๐ คน ฟ้องว่า โจทก์กับพวกเป็นลูกจ้างจำเลยตำแหน่งวิศวกร ประจำแท่นขุดเจาะน้ำมันและสำรวจบริเวณอ่าวไทยและทะเลอินโดจีน ทำงานบนแท่นขุดเจาะ ในทะเล ๒๘ วัน กลับขึ้นพักบนฝั่ง ๒๘ วัน ทำงานกะละ ๑๒ ชั่วโมง ได้รับค่าจ้างเป็นค่าจ้างพื้นฐานราย เดือนและเงินเพิ่มพิเศษรายวันเมื่อทำงานบนแท่นขุดเจาะ จำเลยเลิกจ้างโจทก์กับพวกเนื่องจากต้องการปรับ ลดตำแหน่งงานในโครงสร้างองค์กรใหม่ จำเลยค่าชดเชยแล้วแต่ไม่ครบถ้วน และเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ขอบังคับให้จำเลยจ่ายค่าล่วงเวลา ค่าชดเชย ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม พร้อมดอกเบี้ย จำเลยให้การว่า ระหว่างที่โจทก์กับพวกทำงานบนแท่นขุดเจาะ จำเลยจ่ายเบี้ยเลี้ยง (Offshore Allowance) ให้อัตราวันละ ๕๐ ดอลลาร์สหรัฐ สิทธิเรียกร้องค่าล่วงเวลาขาดอายุความ ๒ ปีแล้ว จำเลย
นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๗ - เลิกจ้างโจทก์กับพวกเนื่องจากได้รับผลกระทบจากสภาวะเศรษฐกิจตกต่ำและมีการปิดแท่นขุดเจาะหลายแห่ง จำเป็นต้องลดอัตรากำลังคน โจทก์กับพวกได้รับเงินและตกลงทำบันทึกสละสิทธิเรียกร้องโดยสมัครใจ ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้วเห็นว่า เงินเบี้ยเลี้ยงบนแท่นขุดเจาะ เป็นค่าจ้าง โจทก์กับพวก ทำงานวันละ ๑๒ ชั่วโมง มีเวลาพัก ๑ ชั่วโมง ทำงานเกินเวลาปกติไปสัปดาห์ละ ๒๙ ชั่วโมง การเลิกจ้างมี เหตุอันสมควร ข้อตกลงสละสิทธิประโยชน์เฉพาะส่วนที่อยู่นอกเหนือกฎหมายคุ้มครองแรงงานมีผลบังคับ พิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าชดเชยเป็นเงิน ๑๕,๓๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ ค่าล่วงเวลา ๒๔,๙๘๗.๕๖ ดอลลาร์สหรัฐ แก่โจทก์ที่ ๑ โจทก์ที่ ๒ ..ที่ ๑๑...พร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้อง (วันที่ ๑๑ กันยายน ๒๕๖๐) คำขออื่นให้ยก โจทก์กับพวกและจำเลยอุทธรณ์ ประเด็นอำนาจฟ้องเรียกค่าชดเชยและค่าล่วงเวลา ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ เห็นว่า ในขณะ ทำข้อตกลงร่วมกันในการเลิกสัญญาจ้างและบันทึกสละสิทธิผลประโยชน์ โจทก์ที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๔ - ที่ ๗ และ ที่ ๙ - ที่ ๑๑ ทราบแล้วว่าได้ถูกเลิกจ้าง โจทก์แต่ละคนย่อมมีอิสระที่จะตัดสินใจได้โดยไม่อยู่ในสภาวะที่ ต้องเกรงกลัวจำเลยแต่อย่างใด การทำข้อตกลงเช่นนี้ไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน แต่มีลักษณะ เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๘๕๐ ข้อตกลงจึงมีผล ผูกพัน ดังนั้นโจทก์ที่ ๑...จึงไม่มีอำนาจฟ้องเรียกเงินทุกประเภท ที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยมานั้น ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ ไม่เห็นพ้องด้วย ประเด็นค่าเบี้ยเลี้ยงบนแท่นขุดเจาะน้ำมันหรือเงินเพิ่มพิเศษ เป็นค่าจ้างหรือไม่ หากเป็นจัดว่า เป็นค่าจ้างรายวันหรือตามผลงาน ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ เห็นว่า การที่จำเลยมอบหมายโจทก์ที่ ๓ ไป ทำงานบนแท่นขุดเจาะน้ำมันคราวละ ๒๘ วัน พัก ๒๘ วัน จึงเป็นการทำงานตามปกติสำหรับพนักงานวิศวกร มิใช่เป็นการไปทำงานนอกสถานที่เป็นครั้งคราว เบี้ยเลี้ยงที่จำเลยจ่ายให้โจทก์ที่ ๓ จึงเป็นค่าตอบแทน การทำงานตามสัญญาจ้างสำหรับระยะเวลาการทำงานปกติเป็นส่วนหนึ่งของค่าจ้าง ตามนิยามมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ แต่ตามข้อบังคับฯ โจทก์ที่ ๓ ได้รับเบี้ยเลี้ยงเฉพาะวัน ปฏิบัติงาน ๒๘ วัน ส่วนวันหยุดไม่ได้รับเบี้ยเลี้ยง ค่าเบี้ยเลี้ยงดังกล่าว จึงเป็นเงินที่จำเลยจ่ายเป็น ค่าตอบแทนในการทำงานตามสัญญาจ้างโดย “คำนวณตามผลงาน” ที่ลูกจ้างทำได้ในเวลาทำงานปกติของ วันทำงาน ถือเป็นการคิดคำนวณค่าจ้างเป็นหน่วยการทำงาน โดยอาศัยการจ่ายเบี้ยเลี้ยงรายวันให้เป็นหน่วย การทำงานในแต่ละหน่วย ค่าเบี้ยเลี้ยงบนแทนขุดเจาะจึงเป็น “ค่าจ้างตามผลงาน” ที่ศาลแรงงานกลาง คำนวณค่าชดเชยเพิ่มเติมโดยนำเงินค่าเบี้ยเลี้ยงบนแท่นขุดเจาะน้ำมันในอัตราสุดท้ายรายวันคูณด้วยจำนวน วันที่โจทก์ที่ ๓ มีสิทธิได้รับค่าชดเชย ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ ไม่เห็นพ้องด้วย ประเด็นการคำนวณค่าล่วงเวลาถูกต้องหรือไม่ โดยโจทก์ที่ ๓ อุทธรณ์ว่า ต้องใช้ ๘ ชั่วโมง เป็นตัวหาร และการหักเวลาพักออกไม่ถูกต้องเพราะลักษณะงานเป็นงานที่รับผิดอบอย่างต่อเนื่อง ศาลอุทธรณ์ คดีชำนัญพิเศษ เห็นว่า เมื่อวินิจฉัยว่าค่าเบี้ยเลี้ยง เป็นค่าจ้างตามผลงงาน การคำนวณค่าล่าวงเวลาจึงต้อง คำนวณจากค่าจ้าง ๒ ส่วน และคิดคำนวณตามมาตรา ๖๑ เมื่องานที่โจทก์ทำเป็นงานในกิจการปิโตรเลียมอยู่ ในบังคับของกฎกระทรวง ฉบับที่ ๗ ข้อ ๑ (๑) กำหนดให้นายจ้างและลูกจ้างตกลงกันทำงานปกติวันหนึ่ง
นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๘ - ไม่เกิน ๑๒ ชั่วโมง และข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานกำหนดให้ลูกจ้างทำงานกะละ ๑๒ ชั่วโมง มีเวลาพัก ๑ ชั่วโมง ระยะเวลาทำงานจริงจึงเป็น ๑๑ ชั่วโมง ที่ศาลแรงงานกลางคำนวณรอบการทำงานหนึ่งสัปดาห์ ของโจทก์ที่ ๓ มีชั่วโมงการทำงานรวม ๗๗ ชั่วโมง เกินกว่าที่กำหนดในกฎกระทรวงสัปดาห์ละ ๒๙ ชั่วโมง จึงเป็นการถูกต้องสำหรับการคำนวณจากค่าจ้างพื้นฐานรายเดือนแล้ว และเมื่อกฎหมายกำหนดให้ทำงานได้ วันละ ๑๒ ชั่วโมง การคำนวณอัตราค่าจ้างต่อชั่วโมงในวันทำงานสำหรับการคำนวณจากค่าจ้างพื้นฐาน รายเดือนจึงต้องใช้ ๑๒ เป็นตัวหาร เมื่อจำเลยไม่จ่ายค่าล่วงเวลาเดือนใด โจทก์ต้องฟ้องภายใน ๒ ปี นับแต่วันที่กำหนดจ่ายค่าจ้างของเดือนนั้น ค่าล่วงเวลาในส่วนที่เกิน ๒ ปี จึงขาดอายุความ โจทก์ที่ ๓ จึงมี สิทธิได้รับค่าล่วงเวลาเฉพาะในส่วนที่ยังไม่ขาดอายุความ อนึ่ง การคำนวณค่าชดเชยเพิ่มเติมและค่าล่วงเวลาของโจทก์ที่ ๓ ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษา มายังไม่ถูกต้อง สำหรับค่าชดเชย ต้องคิดจากจ้างตามผลงานโดยคำนวณเป็นหน่วย โจทก์ที่ ๓ มีสิทธิได้รับไม่ น้อยกว่าค่าจ้างของการทำงาน ๒๔๐ วันสุดท้าย ส่วนค่าล่วงเวลาต้องแยกคำนวณค่าจ้างเป็น ๒ ส่วน แต่ศาลแรงงานกลางยังไม่ได้ฟังข้อเท็จจริงยุติ ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ จึงไม่อาจคำนวณได้ พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๔- ที่ ๗ และที่ ๙- ที่ ๑๑ ให้ศาลแรงงานกลาง ฟังข้อเท็จจริงเพิ่มเติมและคำนวณค่าชดเชยกับค่าล่วงเวลาของโจทก์ที่ ๓ เสียใหม่ แล้วพิพากษาใหม่ ตามรูปคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๓ วรรคหนึ่ง (๓) (ข) ประกอบ พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๕๗
นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๙ - ๓. เงินค่าระดับงาน เป็นค่าจ้าง ๑. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๙๕๐๒-๑๙๙๖๖/๒๕๕๖ (ค่าครองชีพ ค่าระดับงาน) เรื่อง ค่าครองชีพ ค่าระดับงาน เป็นเงินที่นายจ้างจ่ายตอบแทนการทำงานของลูกจ้าง โดยจะจ่ายมากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่เนื้อหาหรือคุณค่าของงานที่ทำ จึงเป็นค่าจ้าง โจทก์กับพวกรวม ๔๖๕ คน เป็นสมาชิกสหภาพแรงงาน AAA ฟ้องจำเลยขอให้บังคับจำเลย จ่ายสวัสดิการค่าครองชีพ และค่าระดับงานตามบันทึกข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างฉบับลงวันที่ ๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๔๔ และค่าทำงานนอกเหนือเวลาทำงานปกติที่ขาดหายไปจากการไม่นำค่าครองชีพ และค่าระดับงานมาเป็นฐานคำนวณ จำเลยให้การว่าได้จ่ายค่าครองชีพและค่าระดับงานโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ ตอบแทนการทำงาน จ่ายเป็นประจำแน่นอน รวมทั้งนำไปเป็นฐานหักเงินส่งประกันสังคม ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้วเห็นว่า ค่าครองชีพ และค่าระดับงานเป็นค่าจ้าง เมื่อรวมเงิน ทั้งสองประเภทเข้ากับเงินเดือนแล้วมากกว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ โจทก์กับพวกจึงมิอาจเรียกค่าจ้างเพิ่มได้อีก พิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลฎีกามีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า “ค่าครองชีพ และ ค่าระดับงาน” เป็นค่าจ้างหรือไม่ เห็นว่า จำเลยและสหภาพแรงงานยอมรับกันมาตั้งแต่หลักเกณฑ์การจ่ายค่าครองชีพเดิมก่อนมีบันทึกข้อตกลงเกี่ยวกับ สภาพการจ้างแล้วว่า “ค่าครองชีพ” ต้องนำมารวมเป็นฐานคำนวณค่าล่วงเวลา กล่าวคือถือว่าครองชีพเป็น ส่วนหนึ่งของค่าจ้างนั่นเอง ต่อมาจำเลยและสหภาพแรงงานทำบันทึกข้อตกลงกันก็ยังระบุในข้อตกลงว่าจำเลย ตกลงปรับค่าครองชีพเป็น ๒,๒๐๐ บาท ตามหลักเกณฑ์เดิมของจำเลย ซึ่งหมายความว่ายังคงถือว่าค่าครองชีพ เป็นส่วนหนึ่งของค่าจ้างที่ต้องรวมเป็นฐานในการคำนวณค่าล่วงเวลาเหมือนเดิม สำหรับค่าระดับงานนั้น บันทึกข้อตกลงกำหนดค่าระดับงานโดยพิจารณาจากปัจจัย ๔ ประการ ได้แก่ - ความรู้ในการทำงาน - ปริมาณและรูปแบบในการทำงาน - การตัดสินใจ และสภาพแวดล้อมในการทำงาน - ซึ่งงานแต่ละงานจะมีค่างานที่แตกต่างกันแต่ไม่เกี่ยวกับประสบการณ์ในการทำงานหรืออายุงาน ของพนักงานคนนั้นถ้าเนื้อหาหรือคุณค่าของงานไม่เปลี่ยน ระดับงานก็ไม่เปลี่ยน “ค่าระดับงาน” จึงเป็นเงินที่ จำเลยจ่ายตอบแทนการทำงานของลูกจ้างโดยจะจ่ายมากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่เนื้อหาหรือคุณค่าของงานที่ทำ เมื่อไม่ปรากฏข้อเท็จจริงอื่นว่าค่าครองชีพและค่าระดับงานไม่ใช่เงินที่จำเลยจ่ายตอบแทนการทำงานสำหรับ ระยะเวลาการทำงานปกติของพนักงาน ดังนั้น ค่าครองชีพและค่าระดับงานจึงถือเป็นค่าจ้างตามมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑
นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๑๐ - ๔. ค่าคอมมิชชั่น ค่านายหน้า เป็นค่าจ้าง ๑. คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่ ๒๑๙/๒๕๖๓ เรื่อง ลูกจ้างอำนาจบริหารจัดการโครงการคอนโดมิเนียม นอกจากได้รับเงินเดือน ประจำเดือนละ ๒๐๐,๐๐๐ บาท แล้วยังได้รับ “คอมมิสชันของห้องชุดทุกห้องที่ขาย” ตามอัตราที่กำหนด โดยจะได้รับมากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับจำนวนยอดขายห้องชุดของโครงการ “เงินค่าคอมมิสชัน” จึงเป็นค่าจ้าง คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ เป็นบริษัทจำกัด มีจำเลยที่ ๒ เป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำ การแทน เดือนมกราคม ๒๕๕๒ จำเลยทั้งสองจ้างโจทก์เข้าทำงานกับจำเลยที่ ๑ ด้วยวาจา จนกระทั่งวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๗ จึงได้ทำสัญญาจ้างเป็นหนังสือให้โจทก์เข้าทำงานในตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ได้รับเงินเดือนเดือนละ ๒๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมคอมมิชชั่น ต่อมาวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ จำเลยทั้งสอง มีหนังสือเลิกจ้างโจทก์ให้มีผลทันที โดยโจทก์ไม่ได้กระทำผิดเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ขอให้บังคับจำเลย ทั้งสองจ่ายค่าจ้าง ค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม พร้อมดอกเบี้ย จำเลยทั้งสองให้การว่าโจทก์ทุจริตต่อหน้าที่ กระทำความผิดอาญาโดยเจตนาแก่นายจ้าง และจงใจทำให้นายจ้างได้รับความเสียหาย ศาลแรงงานภาค ๒ พิจารณาแล้วเห็นว่า จำเลยที่ ๑ ประกอบธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และจัดจำหน่ายเป็นเจ้าของโครงการก่อสร้างคอนโดมิเนียม ข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าโจทก์ทุจริตต่อหน้าที่ กระทำผิดอาญาโดยเจตนาต่อนายจ้าง ค่าคอมมิชชั่นที่จะมีการจ่ายเมื่อโครงการสิ้นสุด มิใช่ค่าจ้าง ไม่อาจนำมา คำนวณค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า พิพากษาให้จำเลยที่ ๑จ่ายค่าชดเชย สินจ้าง แทนการบอกกล่าวล่วงหน้า และค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม พร้อมดอกเบี้ยคำขออื่นให้ยกเสีย โจทก์อุทธรณ์ ประเด็นต้องวินิจฉัยว่า “เงินค่าคอมมิสชัน” เป็นค่าจ้าง หรือไม่ ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๕ นิยามความหมายของ “ค่าจ้าง” ไว้ว่า หมายถึงเงินที่นายจ้างและลูกจ้างตกลงกันจ่ายเป็นค่าตอบแทนในการทำงานตามสัญญาจ้างสำหรับระยะเวลา การทำงานปกติเป็นรายชั่วโมง รายวัน รายสัปดาห์ รายเดือน หรือระยะเวลาอื่น หรือจ่ายให้โดยคำนวณ ตามผลงานที่ลูกจ้างทำได้ในเวลาทำงานปกติของวันทำงาน ส่วนเงินจูงใจนั้นมิได้มีบทบัญญัติแห่งกฎหมาย ให้คำนิยามไว้โดยเฉพาะ จึงมีความหมายธรรมดาตามวัตถุประสงค์ของการจ่ายเงินว่า เป็นเงินที่นายจ้างจ่ายให้ เป็นกำลังใจใจการทำงานของลูกจ้าง อันเป็นรางวัลตอบแทนความดีของลูกจ้างที่ทำงานมากกว่าปกติ คดีนี้ จำเลยที่ ๑ จ้างโจทก์เข้าทำงานตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร มีอำนาจบริหารจัดการโครงการ คอนโดมิเนียม นอกจากได้รับเงินเดือนประจำเดือนละ ๒๐๐,๐๐๐ บาทแล้ว ยังได้รับคอมมิสชันของห้องชุด ทุกห้องที่ขายตามอัตราที่กำหนด โดยจะได้รับมากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับจำนวนยอดขายห้องชุดของโครงการ โดยจำเลยที่ ๑ จ่ายค่าคอมมิสชันล่วงหน้าแก่โจทก์จำนวน ๑๐๐,๐๐๐ บาทต่อเดือน ซึ่งจะรวมหักออกจาก
นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๑๑ - เงินงวดสุดท้ายเมื่อสิ้นสุดโครงการ ดังนี้ เงินคอมมิสชันดังกล่าวเป็นเงินส่วนหนึ่งที่จำเลยที่ ๑ จ่ายเป็น ค่าตอบแทนการทำงานโดยคำนวณตามผลงานที่โจทก์ทำได้ มิใช่เป็นรางวัลตอบแทนที่โจทก์ทำงานมากกว่า ปกติโดยกำหนดเป้าหมายหรือยอดขายขั้นต่ำที่โจทก์ต้องทำได้แต่อย่างใด ค่าคอมมิสชันจึงเป็นค่าจ้าง ตามมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ แม้ตามสัญญาจ้างจะกำหนดว่า ค่าคอมมิสชันจะมีการจ่ายเมื่อสิ้นสุดโครงการ ก็เป็นเพียงเงื่อนไขหรือหลักเกณฑ์การจ่ายค่าจ้างที่ตกลงกัน ระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างเกี่ยวกับสภาพการจ้างเท่านั้น หาทำให้ค่าคอมมิสชันซึ่งเป็นค่าจ้างกลายเป็นเงิน ประเภทอื่นไปไม่ ที่ศาลแรงงานภาค ๒ กำหนดค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าโดยมิได้นำ ค่าคอมมิสชันซึ่งเป็นค่าจ้างตามผลงานทั้งหมดมารวมเป็นฐานในการคำนวณจึงไม่ถูกต้อง พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำพิพากษาศาลแรงงานภาค ๒ เฉพาะส่วนที่พิพากษายกคำขอ ของโจทก์ที่ให้จำเลยที่ ๑ จ่ายค่าคอมมิสชัน และส่วนที่เกี่ยวกับการคำนวณค่าชดเชยและสินจ้างแทนการ บอกกล่าวล่วงหน้า ให้ศาลแรงงานภาค ๒ ฟังข้อเท็จจริงในประเด็นดังกล่าวแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานภาค ๒ ๒. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๓๙๕๖/๒๕๖๑ (ประกันสังคม) เรื่อง “ค่าคอมมิชชั่น” เป็นเงินที่ลูกจ้างได้รับจากการขายประกันซึ่งคิดคำนวณจาก ยอดขายประกันที่ขายได้ในแต่ละเดือนทุกยอดขาย ลูกจ้างจะได้รับมากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับจำนวน ยอดขายที่ลูกจ้างสามารถขายได้ “ค่าคอมมิชชั่น” จึงเป็นการจ่ายเพื่อตอบแทนการทำงาน จึงเป็นค่าจ้าง ตามมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ประกอบกิจการประเภทสถาบันการเงินบริการด้านธุรกิจ จำเลยที่ ๑ สำนักงานประกันสังคม มีหนังสือแจ้งให้โจทก์ชำระเงินสมทบเพิ่มเติมเข้ากองทุนเงินทดแทน โดยต้องนำ ค่าคอมมิชชั่นหรือเงินจูงใจการขายไปรวมคำนวณกับเงินเดือนพนักงานเป็นค่าจ้าง โจทก์ไม่เห็นด้วยจึงอุทธรณ์ จำเลยที่ ๒ คณะกรรมการอุทธรณ์ พิจารณาแล้วได้มีคำวินิจฉัยว่าค่าคอมมิชชั่นที่โจทก์จ่ายให้พนักงานขาย ประกันทุกยอดขายเป็นค่าจ้างจึงยกอุทธรณ์ของโจทก์ โจทก์ไม่เห็นด้วย จึงขอให้เพิกถอนคำสั่งและคำวินิจฉัย ดังกล่าว ศาลแรงงานพิจารณาแล้วเห็นว่า ค่าคอมมิชชั่นเป็นเงินที่จ่ายให้พนักงานขายตามหลักเกณฑ์ การจ่ายตามประกาศ โดยโจทก์จะจ่ายให้แก่ลูกจ้างตำแหน่งพนักงานขายประกันที่ทำงานเต็มเดือน และทำ ยอดขายได้ตามเป้าหมายที่กำหนดตามอัตราที่กำหนด ค่าคอมมิชชั่นจึงเป็นเงินที่ลูกจ้างตำแหน่งดังกล่าวได้รับ จากการขายประกันของโจทก์ซึ่งคิดคำนวณจากยอดขายประกันที่ขายได้ในแต่ละเดือนทุกยอดขาย ลูกจ้างจะ ได้รับมากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับจำนวนยอดขายที่ลูกจ้างสามารถขายได้ ค่าคอมมิชชั่นให้พนักงานขายประกัน ของโจทก์มีลักษณะเป็นการจ่ายค่าตอบแทนให้แก่ลูกจ้างเพื่อตอบแทนการทำงานในวันและเวลาทำงานปกติ จึงเป็นค่าจ้าง ตามมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติเงินทดแทน พ.ศ. ๒๕๓๗ แต่เงินสมทบเพิ่มเติมคือ ๘๑๓ บาท
นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๑๒ - มิใช่ ๘๒๓ บาท พิพากษาให้เพิกถอนคำสั่งและคำวินิจฉัยของจำเลยเฉพาะในเรื่องเงินสมทบเพิ่มเติมในกองทุน เงินทดแทน นอกจากนั้นให้เป็นไปตามคำสั่งของจำเลยที่ ๑ และคำวินิจฉัยของจำเลยที่ ๒ โจทก์อุทธรณ์ ศาลฎีกาเห็นว่า ที่โจทก์อุทธรณ์ว่า ค่าคอมมิชชั่นที่จ่ายให้ลูกจ้างนั้นเป็นการจ่ายล่วงหน้า เต็ม ๑ ปีกรมธรรม์ที่ลูกจ้างเสนอขายให้ลูกค้าไม่ว่าลูกค้าจะชำระเบี้ยประกันครั้งเดียวหรือผ่อนชำระก็ตาม ลูกค้าสามารถยกเลิกกรมธรรม์แจ้งยุติความคุ้มครองและขอเบี้ยประกันคืนได้ตลอดเวลาตามความพึงพอใจ ของลูกค้า เมื่อลูกค้ายกเลิกกรมธรรม์และขอเบี้ยประกันคืน โจทก์สามารถเรียกคืนค่าคอมมิชชั่นจากลูกจ้างได้ หากเป็นค่าจ้างแล้วโจทก์ย่อมไม่สามารถเรียกคืนจากลูกจ้างได้ ค่าคอมมิชชั่นดังกล่าวจึงไม่ใช่ค่าจ้างนั้น เป็นข้อที่โจทก์มิได้กล่าวอ้างมาในคำฟ้อง เป็นการยกข้อเท็จจริงขึ้นมาใหม่ในชั้นอุทธรณ์ จึงเป็นอุทธรณ์ ในข้อเท็จจริงต้องห้ามอุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๕๔ วรรคหนึ่ง (เดิม) ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย พิพากษายืน ๓. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๕๐๘๒/๒๕๕๘ เรื่อง ค่าคอมมิชชั่นเป็นค่าจ้างตามผลงานซึ่งการคำนวณค่าชดเชยต้องคำนวณจากรายได้ ย้อนหลังตามระยะเวลาการทำงานของลูกจ้าง , แม้นายจ้างจะมีอำนาจในการโยกย้ายลูกจ้าง แต่การโยกย้ายนั้นทำให้ลูกจ้างเดือดร้อนเกินควร เมื่อลูกจ้างปฏิเสธ จึงไม่ใช่การฝ่าฝืนคำสั่งที่ร้ายแรง เมื่อนายจ้างเลิกจ้างโดยไม่เตือนเป็นหนังสือก่อน นายจ้างจึงต้องจ่ายค่าชดเชยแก่ลูกจ้าง โจทก์เป็นลูกจ้างจำเลยตำแหน่งพนักงานขาย แม้ตามใบสมัครงานระบุว่าสามารถไปประจำ ต่างจังหวัดได้ และบริษัทมีสิทธิเปลี่ยนแปลงสับเปลี่ยนโยกย้ายพนักงานได้ตามความจำเป็น การที่จำเลยมี คำสั่งย้ายโจทก์จากจังหวัดภูเก็ตให้ไปทำงานที่สาขาหัวหินโดยไม่กระทบต่อเงินเดือนและค่าตอบแทนและเป็น การกระทำตามความจำเป็นและเหมาะสม จึงมีอำนาจกระทำได้และเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย แต่การที่ โจทก์ปฏิเสธนั้น แม้จะเป็นการฝ่าฝืนคำสั่งแต่ไม่ได้เป็นกรณีร้ายแรงที่นายจ้างจะเลิกจ้างได้โดยไม่ตักเตือนเป็น หนังสือก่อน ทั้งการออกคำสั่งย้ายก็กระทำก่อนเลิกจ้างเพียง ๒ วัน ย่อมทำให้โจทก์ไม่มีเวลาได้ตัดสินใจ อย่างรอบคอบก่อน จำเลยเลิกจ้างโจทก์จึงต้องจ่ายค่าชดเชย ค่าคอมมิชชั่น จ่ายจากร้อยละของยอดขายที่โจทก์ขายได้ในแต่ละเดือน ค่าคอมมิชชั่นจึงเป็นเงิน ที่นายจ้างจ่ายแก่ลูกจ้างเพื่อตอบแทนการทำงานโดยคำนวณตามผลงานที่ลูกจ้างทำได้ในเวลาทำงานปกติของ วันทำงาน จึงเป็นค่าจ้าง คดีนี้โจทก์มีสิทธิได้รับค่าชดเชยไม่น้อยกว่า ๙๐ วันทำงาน โดยได้รับค่าคอมมิชชั่น แต่ละเดือนไม่เท่ากัน แต่ศาลแรงงานวินิจฉัยอัตราค่าจ้างโจทก์โดยกำหนดคำนวณโดยเฉลี่ยเพื่อความเป็นธรรม ในอัตราเดือนละ ๔๑,๗๐๐ บาท จึงเป็นค่าชดเชย ๑๒๕,๑๐๐ บาท โดยมิได้ฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์มีรายได้ ย้อนหลังเท่ากับค่าจ้างของการทำงาน ๙๐ วันสุดท้ายเพียงใด เมื่อพิจารณาใบแจ้งรายได้ของโจทก์พบว่า มีเพียงเอกสารเดือนมกราคม พฤษภาคม กันยายน ๒๕๕๑ เท่านั้น จึงไม่แน่ชัดว่าโจทก์มีค่าจ้างของการทำงาน ๙๐ วันสุดท้ายเพียงใด จึงไม่อาจกำหนดค่าชดเชยแก่โจทก์ได้ กรณีจึงย้อนสำนวนให้ศาลแรงงานภาค ๘ ฟังข้อเท็จจริงแล้วกำหนดจำนวนค่าชดเชย
นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๑๓ - ๔. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๖๕๓๓-๖๕๓๔/๒๕๕๖ (ค่านายหน้า) เรื่อง เงินค่านายหน้า นายจ้างได้กำหนดหลักเกณฑ์การจ่ายใหม่เป็นอัตราร้อยละ ๑ เมื่อลูกค้าชำระเงินไม่เกิน ๙๐ วัน ได้รับค่านายหน้าอัตราร้อยละ ๐.๘ เมื่อลูกค้าชำระเงินภายใน ๙๐-๑๒๐ วัน หากลูกค้าชำระเงินเกินกว่า ๑๒๐ วัน จะไม่ได้รับค่านายหน้า นอกจากนี้ลูกจ้างจะได้รับค่านายหน้า เมื่อมียอดขายไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๗๐ ของเป้าหมายที่กำหนด การคำนวณค่านายหน้ากำหนดจ่ายพร้อมกับ เงินเดือนประจำแน่นอน แม้นายจ้างจะกำหนดหลักเกณฑ์ใหม่โดยกำหนดตามระยะเวลาที่ลูกค้าชำระเงิน ก็ตาม แต่การทำยอดขายให้ได้ตามเป้าหรือการติดตามทวงหนี้ค่าสินค้าจากลูกค้าก็เป็นส่วนหนึ่งของงาน รับผิดชอบของลูกจ้าง ค่านายหน้าจึงถือเป็นค่าจ้าง ต้องนำมาเป็นฐานคำนวณค่าชดเชย เดิมจำเลยมีข้อตกลงในการจ่ายค่านายหน้าจากการขายให้แก่โจทก์ที่ ๑ และที่ ๒ อัตราร้อยละ ๑ จากยอดขายที่เรียกเก็บจากลูกค้าได้ ต่อมาจำเลยได้กำหนดหลักเกณฑ์การจ่ายค่านายหน้าขึ้นใหม่เป็นอัตรา ร้อยละ ๑ เมื่อลูกค้าชำระเงินไม่เกิน ๙๐ วัน ได้รับค่านายหน้าอัตราร้อยละ ๐.๘ เมื่อลูกค้าชำระเงินภายใน ๙๐ ถึง ๑๒๐ วัน หากลูกค้าชำระเงินเกินกว่า ๑๒๐ วัน จะไม่ได้รับค่านายหน้า ส่วนโจทก์ที่ ๒ จะได้รับ ค่านายหน้าอัตราร้อยละ ๐.๕ ของยอดขายที่ทีมงานขายซึ่งอยู่ในความดูแลของโจทก์ที่ ๒ ทำได้เมื่อลูกค้าชำระ เงินไม่เกิน ๙๐ วันและจะได้รับค่านายหน้าอัตราร้อยละ ๐.๔ เมื่อลูกค้าชำระเงินภายใน ๙๐ วัน ถึง ๑๒๐ วัน หากลูกค้าชำระเงินเกิน ๑๒๐ วัน จะไม่ได้ค่านายหน้า นอกจากนี้โจทก์ที่ ๒ จะได้รับค่านายหน้าเมื่อมียอดขาย ไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๗๐ ของเป้าหมายที่กำหนด การคำนวณค่านายหน้าแก่โจทก์ที่ ๑ และ ๒ มีกำหนดงวดการ จ่ายพร้อมกับเงินเดือนที่เป็นประจำแน่นอน เงินค่านายหน้าจึงเป็นเงินที่นายจ้างลูกจ้างตกลงกันจ่ายเป็น ค่าตอบแทนในการทำงานตามสัญญาจ้างโดยคำนวณจากผลงานที่ลูกจ้างทำได้ในเวลาทำงานปกติของวัน ทำงาน แม้จำเลยจะกำหนดหลักเกณฑ์ใหม่โดยกำหนดตามระยะเวลาที่ลูกค้าชำระเงินก็ตาม แต่การทำ ยอดขายให้ได้ตามเป้าหรือการติดตามทวงหนี้ค่าสินค้าจากลูกค้าก็เป็นส่วนหนึ่งของงานรับผิดชอบของโจทก์ ค่านายหน้าตามหลักเกณฑ์ใหม่จึงเป็นค่าตอบแทนการทำงานนั่นเอง ดังนั้น ค่านายหน้าตามหลักเกณฑ์เดิม และหลักเกณฑ์ใหม่จึงเป็นค่าจ้างตามมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ ต้องนำไป เป็นส่วนหนึ่งในการคำนวณค่าชดเชย
นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๑๔ - ไม่เป็นค่าจ้าง ๑. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๒๖๒๕/๒๕๖๑ (คดีฟ้องเพิกถอนคำสั่งพนักงานตรวจแรงงาน) เรื่อง “ค่าคอมมิชชั่น” จ่ายให้เพื่อจูงใจให้ขายสินค้าได้จำนวนมากที่สุด “ค่ารักษาสินค้า” จ่ายเพื่อสร้างแรงจูงใจให้ลูกจ้างช่วยกันดูแลรักษาสินค้าไม่ให้สูญหาย “ค่าตำแหน่ง” กำหนดขึ้นเพื่อสร้าง แรงจูงใจแก่ลูกจ้างให้พัฒนาการบริการแก่ลูกค้าให้ดีและน่าประทับใจมากยิ่งขึ้นไป เงินทั้งสามประเภทนี้ จึงไม่ใช่ค่าจ้าง ไม่นำมาคำนวณค่าชดเชยและค่าจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งพนักงานตรวจแรงงาน กรณีที่มีคำสั่งให้โจทก์จ่ายค่าชดเชย และสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าให้กับลูกจ้างทั้งสาม โจทก์เห็นว่าไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากโจทก์ ประกอบกิจการขายเครื่องสำอาง นางสาว ส. กับพวก จำเลยร่วม เป็นลูกจ้างโจทก์ตำแหน่งพนักงานขาย ทำงานที่ห้างสรรพสินค้า บ. ระหว่างการทำงานลูกจ้างทั้งสามนำข้อมูลส่วนบุคคลของบิดา มารดา และญาติ มาสมัครบัตรสมาชิกของโจทก์และเก็บค่าสมาชิกไว้เองว่า เมื่อลูกค้าซื้อสินค้าจำเลยร่วมไม่ชักชวนให้สมัครบัตร สมาชิกแต่กลับใช้บัตรสมาชิกดังกล่าวแอบอ้างเป็นรายการซื้อสินค้าของบิดา มารดา หรือญาติของตนเพื่อทำ รายการสะสมคะแนนและนำไปใช้แลกสินค้าของโจทก์โดยไม่ต้องชำระราคา เป็นความผิดร้ายแรง และจำเลย นำค่าคอมมิสชันค่ารักษาสินค้า ค่าตำแหน่ง ค่าพาหนะ มารวมคำนวณค่าชดเชยฯ จึงไม่ถูกต้อง ศาลแรงงาน ภาค ๖ พิจารณาแล้ว พิพากษาให้เพิกถอนคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานในส่วนของจำเลยร่วมที่ ๑ ทั้งหมด และในส่วนของจำเลยร่วมที่ ๓ เฉพาะบางส่วน คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก โจทก์อุทธรณ์ ประเด็นพิจารณาตามอุทธรณ์ว่า ค่าคอมมิชชั่น ค่ารักษาสินค้า และค่าตำแหน่ง เป็นค่าจ้าง หรือไม่ศาลฎีกาเห็นว่า “ค่าคอมมิชชั่น” เป็นเงินที่โจทก์จ่ายให้จำเลยร่วมทั้งสาม คำนวณจ่ายเป็นร้อยละของ ยอดขายสินค้าในแต่ละเดือนที่พนักงานขายในร้านของโจทก์ทุกคนรวมกัน โดยต้องขายได้ไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๘๕ ของเป้าหมายที่โจทก์กำหนดไว้ ซึ่งพนักงานขายในร้านจะได้รับเท่ากันทุกคน หากขายสินค้าไม่ได้ตามกำหนด โจทก์ก็ไม่จ่าย แสดงว่าเงินดังกล่าวกำหนดขึ้นเพื่อสร้างแรงจูงใจแก่จำเลยร่วมที่ ๒ และจำเลยที่ ๒ ให้ขายสินค้า ให้ได้จำนวนมากที่สุด “ค่ารักษาสินค้า”เป็นเงินที่โจทก์จ่ายให้โดยคำนวณจ่ายเป็นร้อยละของยอดขายสินค้า ในแต่ละเดือนที่พนักงานในร้านทุกคนขายได้รวมกัน โดยมีเงื่อนไขว่าในเดือนนั้นต้องไม่มีสินค้าในร้านสูญหาย หากมีสินค้าสูญหายจะต้องนำราคาสินค้าที่สูญหายมาหักออกก่อนที่จะนำมาเฉลี่ยให้พนักงานขายในร้าน เท่ากันทุกคน กรณีสินค้าสูญหายไปมากกว่าจำนวนเงินค่ารักษาสินค้า จำเลยร่วมที่ ๒ และที่ ๓ ก็จะไม่ได้รับ เงินนี้อันเป็นการสร้างแรงจูงใจให้ลูกจ้างช่วยกันดูแลรักษาสินค้าไม่ให้สูญหาย “ค่าตำแหน่ง” โจทก์จ่ายให้ จำเลยร่วมทั้งสามเป็นพิเศษ คำนวณจากการขายสินค้าบางรายการที่กำหนดไว้ หากขายได้ตามจำนวนที่ กำหนด และยังรวมถึงเงินที่จากคะแนนประเมินการบริการจากลูกค้าที่โจทก์ส่งมาทดสอบพนักงานขาย ประกอบเพื่อจ่ายเงินด้วย หากขายสินค้าไม่ได้หรือไม่ได้คะแนนจากการประเมินของลูกค้า จำเลยร่วมก็จะไม่ได้ เงินส่วนนี้เช่นกัน เงินทั้งสามประเภทนี้ จึงไม่ใช่ค่าจ้างตามมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ พิพากษาแก้เป็นว่า ให้แก้ไขคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานเฉพาะส่วนจำนวนเงินค่าชดเชย
นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๑๕ - และค่าจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าของจำเลยร่วมที่ ๒ และ ที่ ๓ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษา ศาลแรงงานภาค ๖ ๒. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๓๙๕๙/๒๕๖๑ (ประกันสังคม) เรื่อง “ค่าคอมมิชชั่นและเงินรางวัลการขาย” จะได้รับก็ต่อเมื่อทำยอดขายได้ตามที่กำหนด หากทำไม่ได้ตามที่กำหนดก็จะไม่ได้รับ “ค่าคอมมิชชั่นและเงินรางวัลการขาย” จึงเป็นเงินจูงใจให้พนักงาน ขายประกันทำยอดขายเพิ่มขึ้น ไม่ใช่จ่ายเพื่อตอบแทนการทำงาน จึงไม่เป็นค่าจ้างตามมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ประกอบกิจการประเภทสถาบันการเงินบริการด้านธุรกิจ จำเลยที่ ๑ สำนักงานประกันสังคม มีหนังสือให้โจทก์ชำระเงินสมทบเพิ่มเติมเข้ากองทุนประกันสังคม โดยต้องนำ ค่าคอมมิชชั่นและเงินรางวัลการขายในปี ๒๕๕๔ ไปรวมคำนวณกับเงินเดือนพนักงานแล้วถือเป็นค่าจ้าง โจทก์ไม่เห็นด้วยจึงอุทธรณ์ จำเลยที่ ๒ คณะกรรมการอุทธรณ์ พิจารณาแล้วได้มีคำวินิจฉัยว่าค่าคอมมิชชั่น และเงินรางวัลการขายเป็นค่าจ้าง จึงมีมติยกอุทธรณ์ของโจทก์ โจทก์ไม่เห็นด้วย จึงขอให้เพิกถอนคำสั่ง และคำวินิจฉัยดังกล่าว ศาลแรงงานพิจารณาแล้วเห็นว่าคำสั่งและคำวินิจฉัยของจำเลยชอบแล้ว พิพากษา ยกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ประเด็นค่าคอมมิชชั่นเป็นค่าจ้างหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า ประกาศกำหนดจ่ายค่าคอมมิชชั่น ของพนักงานขายประกัน ดังนี้ ขายได้ตั้งแต่ ๕๐,๐๐๑ – ๑๐๐,๐๐๐ บาท ได้ค่าคอมมิชชั่น ๔ % ขายได้ ๑๐๐,๐๐๑ – ๒๐๐,๐๐๐ บาท ได้ค่าคอมมิชชั่น ๕.๕ %....ตามเงื่อนไขการจ่าย ค่าคอมมิชชั่นตามประกาศ ของจำเลย พนักงานขายประกันที่ทำยอดขายได้ไม่เกิน ๕๐,๐๐๐ บาท จะไม่ได้รับค่าคอมมิชชั่น ส่วนพนักงาน ขายประกันที่ทำยอดขายได้ ๕๐,๐๐๑ บาท เป็นต้นไป จะได้รับค่าคอมมิชชั่นในอัตรามากหรือน้อยขึ้นอยู่กับ จำนวนยอดขายประกันในแต่ละเดือน แสดงว่าโจทก์ไม่ได้จ่ายค่าคอมมิชชั่นให้พนักงานขายประกัน ตามยอดขายทั้งหมดที่พนักงานขายประกันตามยอดขายทั้งหมดที่พนักงานขายประกันสามารถขายได้ นอกจากนี้ยังปรากฏว่าโจทก์ได้กำหนดเงินมัดจำและกำหนดการคืนเงินมัดจำไว้เหมือนกันทั้งสี่ฉบับว่า พนักงานขายประกันที่ได้ค่าคอมมิชชั่น ๑ – ๑๕,๐๐๐ บาท จะหักไว้เป็นเงินมัดจำ ๕ % ส่วนค่าคอมมิชชั่น ตั้งแต่ ๑๕,๐๐๐ บาทขึ้นไป จะหักเป็นเงินมัดจำ ๑๐ % โดยกำหนดว่าโจทก์จะคืนเงินมัดจำให้พนักงาน ขายประกันเมื่อพนักงานขายประกันสิ้นสุดการปฏิบัติงานโครงการจีทีไลฟท์ และกรมธรรม์ฉบับสุดท้ายที่ พนักงานขายประกันต้องรับผิดชอบมีผลบังคับ ๑ ปี การหักเงินมัดจำไว้จากค่าคอมมิชชั่นเพื่อเป็นหลักประกัน ในกรณีที่ลูกค้ายกเลิกกรมธรรม์หรือไม่ชำระเบี้ยประกัน แสดงว่าเงินค่าคอมมิชชั่นที่พนักงานขายประกันได้รับ พนักงานขายประกันยังไม่ได้เด็ดขาด แต่มีเงื่อนไขต้องจ่ายคืนค่าคอมมิชชั่น เช่นนี้เห็นได้ว่าการจ่ายเงิน ค่าคอมมิชชั่นในคดีนี้มุ่งหมายเพื่อเป็นการจูงใจให้พนักงานขายประกันทำงานอย่างมีประสิทธิภาพในการ หาลูกค้าและตรวจสอบความสามารถในการจ่ายเบี้ยประกันลูกค้า อันเป็นการกระตุ้นให้พนักงานขายประกัน กระตือรือร้นในการหาลูกค้า พนักงานขายประกันจะมีโอกาสได้รับเงินค่าคอมมิชชั่นมากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับ
นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๑๖ - ความขยันและประสิทธิภาพในการทำงานของแต่ละคน ค่าคอมมิชชั่นจึงเป็นเงินจูงใจให้พนักงานขายประกัน ทำยอดขายเพิ่มขึ้น ไม่ใช่จ่ายเพื่อตอบแทนการทำงาน จึงไม่เป็นค่าจ้างตามมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติ ประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ ประเด็นเงินรางวัลการขายเป็นค่าจ้างหรือไม่ศาลฎีกาเห็นว่า ในปี ๒๕๕๔ โจทก์ออกประกาศ เงินรางวัลการขายรายสัปดาห์ของพนักงานขายรายบุคคลรวม ๔ ฉบับ ซึ่งประกาศฯ กำหนดหลักเกณฑ์ การจ่ายเงินรางวัลการขายให้แก่พนักงานขายประกันไว้เหมือนกันว่า ขายได้ ๐ – ๓๕,๐๐๐ บาท ไม่ได้ เงินรางวัลการขายรายสัปดาห์ ขายได้ ๓๕๕๐๑ – ๕๒,๕๐๐ บาท ได้รับเงินรางวัลการขายรายสัปดาห์ ๒๕๐ บาท...ตามเงื่อนไขดังกล่าว พนักงานขายที่ทำยอดขายได้ไม่เกิน ๓๕,๐๐๐ บาท ต่อสัปดาห์ จะไม่ได้รับ เงินรางวัลการขายเลย จะได้รับก็ต่อเมื่อทำยอดขายได้ตั้งแต่ ๓๕,๐๐๑ บาท เป็นต้นไป และจะได้รับเงินรางวัล การขายมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับจำนวนยอดขายทั้งหมดที่พนักงานขายประกันขายได้ แต่จะเริ่มจ่ายเงินรางวัล ให้เมื่อพนักงานขายประกันสามารถทำยอกขายได้ตามที่โจทก์กำหนดไว้ในประกาศ การจ่ายเงินรางวัลการขาย จึงเป็นเงินที่โจทก์จ่ายให้พนักงานขายประกันเพื่อจูงใจให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและทำยอดขายได้ ไม่ใช่ จ่ายเพื่อตอบแทนการทำงานในวันและเวลาทำงานปกติ เงินรางวัลการขายจึงไม่เป็นค่าจ้างตามพระราชบัญญัติ ประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ มาตรา ๕ เมื่อวินิจฉัยมาข้างต้นแล้วว่า ค่าคอมมิชชั่นและเงินรางวัลการขาย ไม่เป็นค่าจ้าง โจทก์จึงไม่มี หน้าที่นำเงินส่วนนี้มารวมกับค่าจ้างเพื่อเป็นฐานคำนวณเงินสมทบที่ส่งเข้ากองทุนประกันสังคม ดังนั้น โจทก์จึง มีสิทธิเรียกเงินสมทบคืน พิพากษาแก้เป็นว่า ให้เพิกถอนคำสั่งและคำวินิจฉัยของคณะกรรมการอุทธรณ์ กับให้ จำเลยที่ ๑ คืนเงินสมทบเพิ่มเติมจำนวน ๑๕๒,๖๔๖ บท แก่โจทก์ หากไม่ชำระภายในระยะเวลาที่กำหนดตาม คำบังคับของศาลแรงงานกลางให้ชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี คำขอนอกจากนี้ให้ยก ๓. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๓๗๓๓/๒๕๖๐ เรื่อง “ค่าคอมมิชชั่น” ค่าคอมมิชชั่นเป็นเงินที่จำเลยจ่ายให้แก่พนักงานขายโดยคำนวณ ให้ตามผลงานที่พนักงานทำยอดขายได้ตามเป้าหมายที่จำเลยกำหนดเป็นรายปี อันเป็นการจ่ายเพื่อจูงใจ ให้พนักงานขายทำยอดขายเพิ่มขึ้น “ค่าคอมมิชชั่น” จึงไม่ใช่ค่าจ้าง คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า จำเลยจ้างโจทก์ทำงานเป็นพนักงานขาย ค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ ๑๘,๐๐๐ บาท ต่อมาวันที่ ๒๒ มีนาคม ๒๕๕๗ จำเลยมีหนังสือเลิกจ้างโจทก์โดยโจทก์มิได้กระทำความผิด ขอบังคับให้จำเลยจ่ายค่าคอมมิสชัน สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าชดเชย ค่าเสียหายจาการเลิกจ้าง ไม่เป็นธรรม พร้อมดอกเบี้ย ศาลแรงงานกลางพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ประเด็นว่าค่าคอมมิสชันเป็นค่าจ้างหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า ค่าจ้าง คือเงินที่นายจ้างจ่ายให้แก่ ลูกจ้างตามสัญญาจ้างโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อตอบแทนการทำงานสำหรับการทำงานหรือผลงานที่ทำได้ในเวลา ทำงานปกติของวันทำงาน หากนายจ้างจ่ายเงินให้แก่ลูกจ้างด้วยวัตถุประสงค์อื่นที่มิใช่เพื่อตอบแทนการทำงาน โดยตรง ก็มิใช่ค่าจ้าง ศาลแรงงานกลางรับฟังข้อเท็จจริงว่า ค่าคอมมิชชั่นเป็นเงินที่จำเลยจ่ายให้แก่พนักงาน
นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๑๗ - ขายโดยคำนวณให้ตามผลงานที่พนักงานทำยอดขายได้ตามเป้าหมายที่จำเลยกำหนดเป็นรายปี โดยจำเลย มีข้อตกลงกับโจทก์ว่าถ้าโจทก์สามารถทำยอดโฆษณารวมต่อเดือนได้ตามเป้าหมายที่จำเลยกำหนดไว้ โจทก์จะได้รับเปอร์เซ็นต์จากยอดขายของทีมงาน หากทำได้ต่ำกว่าเป้าหมาย พนักงานขายจะไม่มีสิทธิได้รับ ค่าคอมมิชชั่น เห็นได้ว่า ค่าคอมมิสชันจำเลยตกลงจ่ายให้เฉพาะพนักงานที่ทำยอดขายได้ตามเป้าที่จำเลย กำหนดอันเป็นการจ่ายเพื่อจูงใจให้พนักงานขายทำยอดขายเพิ่มขึ้น มิใช่เพื่อตอบแทนการทำงานโดยตรง ค่าคอมมิสชันจึงมิใช่ค่าจ้างตามมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ พิพากษายืน ๔. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๕๑๓-๑๕๑๔/๒๕๕๗ เรื่อง เบี้ยเลี้ยง ค่าน้ำมัน ค่าโทรศัพท์ ค่าดูแลลูกค้า ค่าพาหนะ ต้องนำใบเสร็จมาแสดง เงินดังกล่าวจึงเป็นเพียงค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติงาน จึงไม่เป็นค่าจ้าง ค่าคอมมิชชั่น นายจ้างจ่ายเพื่อให้ พนักงานขายที่อยู่ในความดูแลของลูกจ้างทำยอดขายเพิ่ม จึงเป็นการจ่ายเพื่อจูงใจ ไม่เป็นค่าจ้าง จำเลยจ้างโจทก์ทั้งสองเป็นลูกจ้าง ในการทำงานของโจทก์ทั้งสอง หากเดินทางไปทำงานที่ ต่างจังหวัด โจทก์ทั้งสองได้รับเบี้ยเลี้ยง ค่าน้ำมัน ค่าโทรศัพท์ ค่าดูแลลูกค้า ตามที่จ่ายจริง โดยโจทก์ทั้งสอง จะต้องนำใบเสร็จค่าใช้จ่ายมาแสดงต่อจำเลยและจำเลยจะจ่ายเงินคืนให้ตามใบเสร็จ เงินดังกล่าวจึงเป็นเพียง ค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติงานของโจทก์ หาใช่ค่าจ้างไม่ ส่วนค่าพาหนะจำเลยจ่ายให้โจทก์ทั้งสองเพื่อชดเชย กับการที่โจทก์ทั้งสองนำรถยนต์ส่วนตัวไปใช้ในการทำงาน หากไม่นำรถยนต์ส่วนตัวไปใช้ จำเลยก็ไม่จ่ายให้ ค่าพาหนะจึงเป็นเงินที่จำเลยจ่ายเพื่อชดเชยกับการที่โจทก์ทั้งสองนำรถยนต์ส่วนตัวไปใช้ในการทำงาน ค่าพาหนะจึงไม่ใช่ค่าจ้าง ส่วนค่าคอมมิชชั่น จำเลยจ่ายให้เพื่อจูงใจให้ผลงานการขายเพิ่มขึ้น โดยคำนวณ จากยอดขายของพนักงานขายที่อยู่ในความดูแลของโจทก์ซึ่งแต่ละเดือนจะได้รับไม่เท่ากัน จึงไม่เป็นค่าจ้าง ๕. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๔๗๘๔/๒๕๕๗ เรื่อง คดีฟ้องเพิกถอนคำสั่งพนักงานตรวจแรงงาน : เงินรางวัลการขาย (ค่าคอมมิชชั่น) นายจ้างตกลงจ่ายเพื่อจูงใจเพื่อให้พนักงานขายมีรายได้เพิ่ม ไม่ใช่ค่าจ้าง โจทก์เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ ๒ ตำแหน่งพนักงานขาย โจทก์ยื่นคำร้องต่อพนักงานตรวจแรงงาน จำเลยที่ ๑ เพื่อให้จำเลยที่ ๒ จ่ายค่าจ้างตามผลงาน (ค่าคอมมิชชั่น) จำเลยที่ ๑ มีคำสั่งว่าเงินดังกล่าว ไม่ใช่ค่าจ้างแต่เป็นเงินที่จำเลยที่ ๒ จ่ายเพื่อจูงใจเพื่อให้พนักงานขายมีรายได้เพิ่ม โจทก์ไม่เห็นด้วยขอให้ศาล เพิกถอนคำสั่งดังกล่าว ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้เพิกถอนคำสั่งของจำเลยที่ ๑ และให้จำเลยที่ ๒ จ่ายค่าจ้างที่ค้างจำนวน ๖,๕๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ย จำเลยที่ ๒ อุทธรณ์ ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยที่ ๒ มีหลักเกณฑ์การจ่ายเงินรางวัลการขายตามระเบียบเงินรางวัลการขายประจำเดือน การจ่ายเงินรางวัลการขาย มีเจตนาจ่ายเพื่อสร้างแรงจูงใจแก่ลูกจ้างที่ทำงานในตำแหน่งพนักงานขายในการให้บริการแก่ลูกค้าและเพื่อให้ มีรายได้เพิ่มมากขึ้นจากค่าจ้าง เงินรางวัลการขายเป็นเงินที่จ่ายไม่แน่นอนในแต่ละเดือน หากเดือนใดผลงาน ต่ำกว่าเป้ายอดขายขั้นต่ำรายแผนก พนักงานขายในแผนกนั้นก็จะไม่ได้รับเงินรางวัลการขายประจำเดือนนั้น
นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๑๘ - แสดงให้เห็นว่าเงินรางวัลการขายประจำเดือนนี้มิได้เกิดจากการทำงานหรือผลงานโดยคำนวณเป็นหน่วยจาก การขายสินค้าที่โจทก์ทำได้ในเวลาทำงานปกติของวันทำงานของโจทก์โดยตรง เงินรางวัลการขายจึงไม่ใช่ ค่าจ้างตามมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ เมื่อโจทก์ลาออกจากการเป็นพนักงาน โดยไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการจ่ายเงินรางวัลการขาย โจทก์จึงไม่มีสิทธิได้รับเงินรางวัลการขาย คำสั่งพนักงานตรวจแรงงานจึงชอบแล้ว พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์ ๖. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๒๑๗๑๗/๒๕๕๖ เรื่อง “ค่านายหน้า” แม้จะระบุว่าค่านายหน้าจะได้รับหลังลูกค้าชำระค่าสินค้าแล้วภายในวันที่ ๑๕ ของเดือนถัดไป ระหว่างปฏิบัติงานก็ตาม แต่เมื่อไม่มีข้อความตอนใดที่จำกัดสิทธิของพนักงานขายว่า ลาออกแล้วจะไม่ได้รับค่านายหน้าที่ขายได้ในระหว่างยังปฏิบัติงาน จึงไม่อาจแปลความว่าค่าสินค้าต้อง ได้รับชำระระหว่างที่ยังมีสภาพเป็นลูกจ้างอยู่ลูกจ้างจึงมีสิทธิได้รับค่านายหน้า โจทก์ฟ้องว่า จำเลยจ้างโจทก์เป็นพนักงานขาย ค่าจ้างเดือนละ ๑๔,๑๐๐ บาท ระหว่างทำงาน จำเลยตกลงให้ค่านายหน้าจากการขายสินค้า จะชำระให้ใน ๒ เดือน ถัดไปหลังจากสรุปยอดขายในแต่ละเดือน ในเดือนกุมภาพันธ์และมีนาคม ๒๕๕๐ โจทก์ขายสินค้าได้มากกว่า ๔ ล้านบาท คิดเป็นค่านายหน้า ๒๓,๙๖๗ บาท พร้อมดอกเบี้ย จำเลยให้การว่าค่านายหน้าจะจ่ายเมื่อจำเลยได้รับชำระค่าสินค้าแล้วและโจทก์ต้องมีสภาพเป็น พนักงานของจำเลย โจทก์ลาออกมีผลให้ไม่เป้นพนักงานของจำเลยนับแต่วันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๐ จึงไม่เข้าหลักเกณฑ์ที่จะได้รับ ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน๒๓,๙๖๗ บาท พร้อมดอกเบี้ย จำเลยอุทธรณ์ว่า ข้อตกลงในหมายเหตุข้อ ๕ ว่า ค่านายหน้า (ค่าคอมมิสชัน) จะได้รับหลังลูกค้า ชำระค่าสินค้าแล้ว ภายในวันที่ ๑๕ ของเดือนถัดไป ระหว่างปฏิบัติงานนั้น หมายความว่า ค่าสินค้าต้องได้รับ ชำระในระหว่างที่โจทก์ยังมีสภาพเป็นลูกจ้างจำเลยจึงจะมีสิทธิได้รับค่านายหน้า ศาลฎีกาเห็นว่า แม้หมายเหตุข้อ ๕ จะระบุว่าค่านายหน้าจะได้รับหลังลูกค้าชำระค่าสินค้าแล้ว ภายในวันที่ ๑๕ ของเดือนถัดไป ระหว่างปฏิบัติงานก็ตาม แต่เมื่อไม่มีข้อความตอนใดที่จำกัดสิทธิของ พนักงานขายว่าลาออกแล้วจะไม่ได้รับค่านายหน้าที่ขายได้ในระหว่างยังปฏิบัติงานเป็นพนักงานอยู่ จึงไม่ อาจแปลความว่าค่าสินค้าต้องได้รับชำระระหว่างที่โจทก์ยังมีสภาพเป็นลูกจ้างจำเลยอยู่ โจทก์จึงจะได้ ค่านายหน้า ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย พิพากษายืน
นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๑๙ - ๕. ค่าเที่ยว เป็นค่าจ้าง ๑. คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่ ๑๖๖๒ – ๑๖๖๔/๒๕๖๒ เรื่อง ค่าเที่ยวการขับรถเหมาจ่าย และค่าขับรถลักษณะประหยัดน้ำมันเหมาจ่าย เป็นค่าจ้าง แต่ “ค่าขับรถด้วยความปลอดภัย” มีหลักเกณฑ์เงื่อนไขในการจ่ายเงินเพื่อจูงใจ จึงไม่ใช่ค่าจ้าง , ลูกจ้าง ในงาน “ขับรถบรรทุกน้ำมัน” มีสิทธิได้รับค่าตอบแทนการทำงานเกินเวลาปกติ โดยต้องคำนวณค่าจ้าง ตลอดระยะเวลาที่ปฏิบัติงาน ไม่จำกัดเฉพาะเวลาที่ขับรถเท่านั้น แต่หมายความรวมถึง ระยะเวลาที่ลูกจ้าง เดินทางไปที่ทำการเพื่อพักรองานและระยะเวลาที่ต้องดำเนินการต่าง ๆ เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนที่จะ ขับรถไปส่งน้ำมันให้แก่ลูกค้า คดีนี้โจทก์ทั้งสามฟ้องว่า โจทก์ทั้งสามทำงานเป็นลูกจ้างจำเลยตำแหน่งพนักงานขับรถบรรทุก น้ำมัน ค่าจ้างเดือนละ ๙,๒๔๐ บาท ค่าเที่ยวการขับรถเหมาจ่าย ๙,๕๐๐ บาท ค่าขับรถด้วยความปลอดภัย เหมาจ่าย ๓,๐๐๐ บาท ค่าขับรถลักษณะประหยัดน้ำมันเหมาจ่าย ๑๐,๐๐๐ บาท รวมเป็นค่าจ้างเดือนละ ๓๑,๗๔๐ บาท โจทก์ทั้งสามทำงานเกินเวลาทำงานทุกวัน วันละ ไม่น้อยกว่า ๑๐ ชั่วโมง ต่อมาวันที่ ๒๔ มีนาคม ๒๕๖๑ จำเลยเลิกจ้างโจทก์ ที่ ๑ และ ๒ และวันที่ ๑๙ มีนาคม ๒๕๖๑ จำเลยเลิกจ้างโจทก์ที่ ๓ โดยโจทก์มิได้กระทำความผิด ขอบังคับให้จำเลยจ่ายค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าเสียหาย จากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ค่าทำงานเกินเวลา ๑,๐๖๐,๐๒๐ บาท (ของโจทก์ที่ ๑) โจทก์ที่ ๒......... โจทก์ที่ ๓....พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ ๑๕ ต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ จำเลยให้การว่าโจทก์กับพวก กระทำผิดร้ายแรง โจทก์ไม่ได้ทำงานเกินเวลา ค่าเที่ยวการขับรถเหมาจ่าย ค่าขับรถด้วยความปลอดภัย เหมาจ่าย และค่าขับรถลักษณะประหยัดน้ำมันเหมาจ่าย ไม่ใช่ค่าจ้าง ศาลแรงงานภาค ๒ พิจารณาแล้ว เห็นว่า ค่าเที่ยวการขับรถ และค่าขับรถลักษณะประหยัด น้ำมัน เป็นการจ่ายตอบแทนการทำงาน จึงเป็นค่าจ้าง พิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าชดเชยแก่โจทก์ทั้งสาม พร้อมดอกเบี้ย คำขออื่นให้ยก โจทก์ทั้งสามและจำเลยอุทธรณ์ ประเด็น “ค่าขับรถด้วยความปลอดภัย” ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษเห็นว่า เมื่อการจ่าย ค่าขับรถด้วยความปลอดภัยไม่เกิดอุบัติเหตุเหมาจ่ายให้เดือนละ ๓,๐๐๐ บาท มีหลักเกณฑ์ซึ่งเป็นเงื่อนไข ในการจ่ายเงินดังกล่าวเพื่อจูงใจให้โจทก์ทั้งสามซึ่งเป็นพนักงานขับรถบรรทุกน้ำมันจะต้องขับรถด้วยความ ระมัดระวังไม่ให้เกิดอุบัติเหตุจึงจะได้รับเงินดังกล่าวเป็นประจำทุกเดือน หากเกิดอุบัติเหตุโดยเป็นความผิด ของโจทก์ทั้งสามก็จะไม่ได้รับเงินดังกล่าว เงินค่าขับรถด้วยความปลอดภัยที่จำเลยจ่ายให้แก่โจทก์ทั้งสาม จึงมิใช่เงินที่นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างเพื่อเป็นค่าตอบแทนการทำงานโดยตรงตามสัญญาจ้างสำหรับระยะเวลา การทำงานปกติ อันจะถือว่าเป็นค่าจ้างตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๕ ที่จะต้อง นำไปรวมเป็นค่าจ้างในการคำนวณจ่ายค่าชดเชย ประเด็นค่าตอบแทนการทำงานเกินเวลาปกติที่โจทก์อุทธรณ์ว่า การขนส่งน้ำมันต้องทำ ต่อเนื่องไป ทั้งการรอคิวรับงานใช้เวลา ๒ – ๔ ชั่วโมง ต้องเอารถไปตรวจสภาพก่อนแล้วรอรับใบระบุชนิด
นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๒๐ - น้ำมัน ซึ่งต้องใช้เวลาประมาณ ๔ ชั่วโมง หลังจากนั้นต้องไปขอรับเอกสารพร้อมซีลล็อกฝาถังน้ำมัน แล้วนำรถ ไปเข้าคิวบรรจุน้ำมันลงถังใช้เวลาอีก ๒ ชั่วโมง ขับรถบรรทุกน้ำมันไปส่งให้ลูกค้า เวลาในการขับรถขึ้นอยู่กับ สถานที่ที่จะไปส่งน้ำมัน เสร็จแล้วต้องขับรถกลับมาที่ทำการจำเลยเพื่อรอเติมน้ำมันและรอรับงานเที่ยวต่อไป เห็นว่า งานที่โจทก์ทั้งสามต้องปฏิบัติคือ “การขับรถบรรทุกน้ำมัน” ไปส่งให้แก่ลูกค้าของจำเลย ทำงาน จันทร์ – เสาร์ หยุดวันอาทิตย์และวันนักขัตฤกษ์ โจทก์ทั้งสามจึงถือเป็น ลูกจ้างของจำเลยในงานขนส่ง ทางบกตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๖๕ (๙) ประกอบกฎกระทรวง ฉบับที่ ๑๒ (พ.ศ. ๒๕๔๑) ข้อ ๖ มีสิทธิได้รับค่าตอบแทนเป็นเงินเท่ากับอัตราค่าจ้างต่อชั่วโมงในวันทำงาน ตามจำนวนชั่วโมงที่ทำเกินเวลาทำงานปกติตามจำนวนเวลาที่โจทก์ทั้งสามทำงานเกินจากวันละ ๗ ชั่วโมง เพราะเป็นงานเกี่ยวกับการขนส่งวัตถุอันตรายตามกฎกระทรวง ฉบับที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๔๑) โดยต้องคำนวณ ค่าจ้างตลอดระยะเวลาที่โจทก์ทั้งสามปฏิบัติงานให้แก่จำเลย ไม่จำกัดเฉพาะเวลาที่โจทก์ทั้งสามขับรถ เท่านั้นแต่หมายความรวมถึง ระยะเวลาที่โจทก์ทั้งสามเดินทางไปที่ทำการของจำเลยเพื่อพักรองาน และระยะเวลาที่โจทก์ทั้งสามต้องดำเนินการต่าง ๆ เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนที่จะขับรถไปส่งน้ำมันให้แก่ ลูกค้า โดยถือเกณฑ์คำนวณค่าตอบแทนการทำงานเกินเวลาปกติเฉลี่ยจากค่าเที่ยวการขับรถและค่าขับรถ ลักษณะประหยัดน้ำมัน รวมกับค่าจ้างพื้นฐาน ได้ค่าจ้างเฉลี่ยวันละหรือชั่วโมงละเท่าใด แล้วนำค่าจ้างเฉลี่ย รายชั่วโมงนั้นมาคำนวณค่าตอบแทนการทำงานเกินเวลาปกติพร้อมดอกเบี้ยผิดนัดอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป แต่จำนวนเงินดังกล่าวต้องไม่เกินคำขอ โดยพิจารณาพยานหลักฐานจากเอกสาร เกี่ยวกับการจ่ายค่าตอบแทนการทำงานตามมาตรา ๑๑๔ และมาตรา ๑๑๕ ด้วย ฉะนั้น ที่ศาลแรงงานภาค ๒ วินิจฉัยว่า ไม่ปรากฏว่าโจทก์ทั้งสามทำงานเกินเวลาปกติในวันใดและเป็นวันละ ๑๐ ชั่วโมง ได้อย่างไร กรณีจึงไม่อาจกำหนดให้จำเลยจ่ายค่าตอบแทนการทำงานเกินเวลาปกติได้นั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาล อุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ กรณีจึงต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลแรงงานภาค ๒ ฟังข้อเท็จจริงและพิจารณา กำหนดจำนวนค่าตอบแทนการทำงานเกินเวลาปกติ โดยถือเกณฑ์ดังที่ได้วินิจฉัยข้างต้นแล้วพิพากษาคดี ใหม่ ประเด็นสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและเลิกจ้างไม่เป็นธรรม เห็นว่า โจทก์ที่ ๑ และที่ ๒ ทราบว่าข้อเรียกร้องเกี่ยวกับวิธีการจ่ายเงินค่าขับรถลักษณะประหยัดน้ำมันยุติไปแล้ว โดยจำเลยตกลง นำวิธีการจ่ายเงินค่าขับรถลักษณะประหยัดน้ำมันในรูปแบบเดิมกลับมาใช้ตามที่โจทก์ที่ ๑ และที่ ๒ กับพนักงานขับรถบรรทุกน้ำมันของจำเลยเคยยื่นข้อเรียกร้องแล้ว จึงไม่มีเหตุที่จะยื่นข้อเรียกร้องข้อนี้อีก แม้โจทก์ที่ ๑ และที่ ๒ กับพนักงานขับรถบรรทุกน้ำมันของจำเลยยื่นข้อเรียกร้องเกี่ยวกับวิธีการจ่ายเงิน ค่าขับรถลักษณะประหยัดน้ำมันรวมมากับข้อเรียกร้องข้ออื่นต่อจำเลยอีก แต่การยื่นข้อเรียกร้องดังกล่าวไม่ได้ เกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ในการขับรถบรรทุกน้ำมันของโจทก์ที่ ๑ และที่ ๒ จึงรับฟังไม่ได้ว่าโจทก์ที่ ๑ และที่ ๒ กระทำประการอื่นอันไม่สมแก่การปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ลุล่วงไปโดยถูกต้องและสุจริต จึงนำเหตุดังกล่าวมา เลิกจ้างโจทก์ที่ ๑ และที่ ๒ โดยไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๕๘๓ ไม่ได้ เมื่อจำเลยเลิกจ้างโจทก์ที่ ๑ และ ๒ โดยไม่มีเหตุอันควร จึงเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม
นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๒๑ - การที่โจทก์ที่ ๓ ไม่มาขับรถบรรทุกน้ำมันในวันที่ได้รับมอบหมาย โดยอ้างว่าโทรศัพท์ขอลากิจ จากหัวหน้างาน แต่เมื่อหัวหน้างานไม่อนุญาตให้โจทก์ที่ ๓ ลากิจ และโจทก์ที่ ๓ ไม่มาทำงานตามที่ได้รับ มอบหมายในวันที่ ๑๑ มีนาคม ๒๕๖๑ จนเป็นเหตุให้จำเลยต้องถูกลูกค้าแจ้งเตือนการให้บริการ โดยไม่ปรากฏ ว่าโจทก์ที่ ๓ ลาหยุดงานโดยมีเหตุอันสมควร และโจทก์ที่ ๓ ลาหยุดงานถูกต้องตามระเบียบหรือข้อบังคับ เกี่ยวกับการทำงาน ดังนั้น การที่โจทก์ที่ ๓ ไม่มาขับรถตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย แสดงถึงความไม่ รับผิดชอบในการทำงานของโจทก์ที่ ๓ จึงเป็นการกระทำประการอื่นอันไม่สมแก่การปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ ลุล่วงไปโดยถูกต้องและสุจริต จำเลยเลิกจ้างโจทก์ที่ ๓ ได้โดยไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้าตามประมวลกฎหมาย แพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๕๘๓ และเป็นการเลิกจ้างโดยมีเหตุอันควร ไม่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม จำเลยบอกเลิกจ้างโจทก์ที่ ๑ และ ๒ วันที่ ๒๔ มีนาคม ๒๕๖๑ ถือว่าจำเลยบอกกล่าวล่วงหน้า เมื่อก่อนถึงงวดการจ่ายค่าจ้างวันที่ ๓๐ มีนาคม ๒๕๖๑ ซึ่งจะมีผลเป็นการเลิกสัญญาเมื่อถึงกำหนดการจ่าย ค่าจ้างคราวถัดไปคือวันที่ ๑๕ เมษายน ๒๕๖๑ เมื่อจำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งสองให้มีผลวันที่ ๒๕ มีนาคม ๒๕๖๑ โดยไม่มีการบอกกล่าวล่วงหน้า จำเลยจึงต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าเท่ากับค่าจ้าง ที่โจทก์ที่ ๑ และที่ ๒ ผู้เป็นลูกจ้างมีสิทธิได้รับหากอยู่ทำงานจนถึงวันที่ ๑๕ เมษายน ๒๕๖๑ ตามประมวล กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๕๘๒ วรรคหนึ่ง และพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๑๗ วรรคสอง พิพากษาแก้เป็น ให้จำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าแก่โจทก์ที่ ๑ และที่ ๒ พร้อม ดอกเบี้ย ให้จำเลยจ่ายค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมแก่โจทก์ ที่ ๑ และที่ ๒ โดยให้ย้อนสำนวนไป ให้ศาลแรงงานภาค ๒ พิจารณากำหนดค่าเสียหาย ให้ฟังข้อเท็จจริงและพิจารณากำหนดจำนวนค่าตอบแทน การทำงานเกินเวลาปกติแก่โจทก์ทั้งสามตามนัยที่วินิจฉัยข้างต้น หากศาลแรงงานภาค ๒ เห็นว่าข้อเท็จจริง จะเป็นผลให้คำพิพากษาเปลี่ยนแปลงก็ให้ดำเนินการตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณา คดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๕๖ วรรคสอง วรรคสาม นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงาน ภาค ๒ ๒. คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่ ๓๐๒๐ – ๓๐๒๑/๒๕๖๒ เรื่อง ค่าเที่ยวการขับรถเหมาจ่าย และค่าขับรถลักษณะประหยัดน้ำมันเหมาจ่าย เป็นค่าจ้าง แต่ “ค่าขับรถด้วยความปลอดภัย” มีหลักเกณฑ์เงื่อนไขในการจ่ายเงินเพื่อจูงใจ จึงไม่ใช่ค่าจ้าง , ลูกจ้าง ในงาน “ขับรถบรรทุกน้ำมัน” มีสิทธิได้รับค่าตอบแทนการทำงานเกินเวลาปกติ โดยต้องคำนวณค่าจ้าง ตลอดระยะเวลาที่ปฏิบัติงาน ไม่จำกัดเฉพาะเวลาที่ขับรถเท่านั้น แต่หมายความรวมถึง ระยะเวลาที่ลูกจ้าง เดินทางไปที่ทำการเพื่อพักรองานและระยะเวลาที่ต้องดำเนินการต่าง ๆ เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนที่จะ ขับรถไปส่งน้ำมันให้แก่ลูกค้า คดีนี้โจทก์ทั้งสองฟ้องว่า โจทก์ทั้งสองทำงานเป็นลูกจ้างจำเลยตำแหน่งพนักงานขับรถบรรทุก น้ำมัน โจทก์ที่ ๑ ค่าจ้างเดือนละ ๙,๐๐๐ บาท และโจทก์ที่ ๒ ค่าจ้างเดือนละ ๙,๒๕๐ บาท ค่าเที่ยวการขับรถ
นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๒๒ - เหมาจ่าย ๙,๕๐๐ บาท ค่าขับรถด้วยความปลอดภัยเหมาจ่าย ๓,๐๐๐ บาท ค่าขับรถลักษณะประหยัดน้ำมัน เหมาจ่าย ๑๐,๐๐๐ บาท รวมเป็นค่าจ้างเดือนละ ๓๑,๕๐๐ บาท และ ๓๑,๗๕๐ บาท ตามลำดับ โจทก์ทั้งสอง ทำงานเกินเวลาทำงานทุกวัน วันละ ไม่น้อยกว่า ๑๐ ชั่วโมง ต่อมาวันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ จำเลยเลิกจ้าง โจทก์ที่ ๓โดยโจทก์มิได้กระทำความผิด ขอบังคับให้จำเลยจ่ายค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ค่าทำงานล่วงเวลา พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ ๑๕ ต่อปีนับแต่วันฟ้อง จนกว่าจะชำระเสร็จ จำเลยให้การว่าโจทก์กับพวกกระทำผิดร้ายแรง โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าทำงาน เกินเวลา ค่าเที่ยวการขับรถเหมาจ่าย ค่าขับรถด้วยความปลอดภัยเหมาจ่าย และค่าขับรถลักษณะประหยัด น้ำมันเหมาจ่าย ไม่ใช่ค่าจ้าง ศาลแรงงานภาค ๒ พิจารณาแล้วเห็นว่า การกระทำของโจทก์ทั้งสองไม่เป็นการทุจริตต่อหน้าที่ หรือกระทำผิดอาญาโดยเจตนาต่อนายจ้าง ข้อเท็จจริงไม่อาจกำหนดค่าทำงานเกินเวลาปกติของโจทก์ ทั้งสองได้ พิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าเสียหายจากการเลิกจ้าง ที่ไม่เป็นธรรม แก่โจทก์ทั้งสองพร้อมดอกเบี้ย คำขออื่นให้ยก โจทก์ทั้งสองและจำเลยอุทธรณ์ ประเด็น “ค่าขับรถด้วยความปลอดภัย” ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษเห็นว่า เมื่อการจ่าย ค่าขับรถด้วยความปลอดภัยไม่เกิดอุบัติเหตุเหมาจ่ายให้เดือนละ ๓,๐๐๐ บาท มีหลักเกณฑ์ซึ่งเป็นเงื่อนไข ในการจ่ายเงินดังกล่าวเพื่อจูงใจให้โจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นพนักงานขับรถบรรทุกน้ำมันจะต้องขับรถด้วยความ ระมัดระวังไม่ให้เกิดอุบัติเหตุจึงจะได้รับเงินดังกล่าวเป็นประจำทุกเดือน หากเกิดอุบัติเหตุโดยเป็นความผิด ของโจทก์ทั้งสองก็จะไม่ได้รับเงินดังกล่าว เงินค่าขับรถด้วยความปลอดภัยที่จำเลยจ่ายให้แก่โจทก์ทั้งสอง จึงมิใช่เงินที่นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างเพื่อเป็นค่าตอบแทนการทำงานโดยตรงตามสัญญาจ้างสำหรับระยะเวลา การทำงานปกติ จึงไม่เป็นค่าจ้างตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๕ ประเด็นค่าตอบแทนการทำงานเกินเวลาปกติที่โจทก์อุทธรณ์ว่า การขนส่งน้ำมันต้องทำ ต่อเนื่องไป ทั้งการรอคิวรับงานใช้เวลา ๒ – ๔ ชั่วโมง ต้องเอารถไปตรวจสภาพก่อนแล้วรอรับใบระบุชนิด น้ำมัน ซึ่งต้องใช้เวลาประมาณ ๔ ชั่วโมง หลังจากนั้นต้องไปขอรับเอกสารพร้อมซีลล็อกฝาถังน้ำมัน แล้วนำรถ ไปเข้าคิวบรรจุน้ำมันลงถังใช้เวลาอีก ๒ ชั่วโมง ขับรถบรรทุกน้ำมันไปส่งให้ลูกค้า เวลาในการขับรถขึ้นอยู่กับ สถานที่ที่จะไปส่งน้ำมัน เสร็จแล้วต้องขับรถกลับมาที่ทำการจำเลยเพื่อรอเติมน้ำมันและรอรับงานเที่ยวต่อไป เห็นว่า งานที่โจทก์ทั้งสามต้องปฏิบัติคือ “การขับรถบรรทุกน้ำมัน” ไปส่งให้แก่ลูกค้าของจำเลย ทำงาน จันทร์ – เสาร์ หยุดวันอาทิตย์และวันนักขัตฤกษ์ โจทก์ทั้งสองจึงถือเป็น ลูกจ้างของจำเลยในงานขนส่ง ทางบกตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๖๕ (๙) ประกอบกฎกระทรวง ฉบับที่ ๑๒ (พ.ศ. ๒๕๔๑) ข้อ ๖ มีสิทธิได้รับค่าตอบแทนเป็นเงินเท่ากับอัตราค่าจ้างต่อชั่วโมงในวันทำงาน ตามจำนวนชั่วโมงที่ทำเกินเวลาทำงานปกติตามจำนวนเวลาที่โจทก์ทั้งสามทำงานเกินจากวันละ ๗ ชั่วโมง เพราะเป็นงานเกี่ยวกับการขนส่งวัตถุอันตรายตามกฎกระทรวง ฉบับที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๔๑) โดยต้องคำนวณ ค่าจ้างตลอดระยะเวลาที่โจทก์ทั้งสามปฏิบัติงานให้แก่จำเลย ไม่จำกัดเฉพาะเวลาที่โจทก์ทั้งสามขับรถ เท่านั้นแต่หมายความรวมถึง ระยะเวลาที่โจทก์ทั้งสามเดินทางไปที่ทำการของจำเลยเพื่อพักรองาน
นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๒๓ - และระยะเวลาที่โจทก์ทั้งสามต้องดำเนินการต่าง ๆ เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนที่จะขับรถไปส่งน้ำมันให้แก่ ลูกค้า โดยถือเกณฑ์คำนวณค่าตอบแทนการทำงานเกินเวลาปกติเฉลี่ยจากค่าเที่ยวการขับรถและค่าขับรถ ลักษณะประหยัดน้ำมัน รวมกับค่าจ้างพื้นฐาน ได้ค่าจ้างเฉลี่ยวันละหรือชั่วโมงละเท่าใด แล้วนำค่าจ้างเฉลี่ย รายชั่วโมงนั้นมาคำนวณค่าตอบแทนการทำงานเกินเวลาปกติพร้อมดอกเบี้ยผิดนัดอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป แต่จำนวนเงินดังกล่าวต้องไม่เกินคำขอ โดยพิจารณาพยานหลักฐานจากเอกสาร เกี่ยวกับการจ่ายค่าตอบแทนการทำงานตามมาตรา ๑๑๔ และมาตรา ๑๑๕ ด้วย ดังนั้น ที่ศาลแรงงานภาค ๒ วินิจฉัยว่า โจทก์ทั้งสองไม่ได้ทำงานขับรถไปส่งน้ำมันให้แก่ลูกค้าทุกวันและการขับรถไปส่งน้ำมันยังมี ระยะเวลาเริ่มต้นและสิ้นสุดไม่แน่นอนจึงไม่อาจกำหนดให้จำเลยจ่ายค่าทำงานเกินเวลาปกติได้นั้น ศาล อุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษไม่เห็นพ้องด้วย กรณีจึงต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลแรงงานภาค ๒ ฟังข้อเท็จจริง และพิจารณากำหนดจำนวนค่าทำงานเกินเวลาปกติ โดยถือเกณฑ์ดังที่ได้วินิจฉัยข้างต้น แล้วพิพากษา คดีใหม่ พิพากษาแก้เป็น ให้ยกคำพิพากษาศาลแรงงานภาค ๒ ในปัญหาว่าโจทก์ทั้งสองมีสิทธิได้รับค่า ทำงานเกินเวลาปกติหรือไม่ โดยให้ย้อนสำนวนไปให้ศาลแรงงานภาค ๒ ฟังข้อเท็จจริงและพิพากษาในปัญหานี้ ใหม่ต่อไปตามรูปคดี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานภาค ๒ ๓. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๓๗๓๘ – ๓๗๓๙/๒๕๖๑ เรื่อง พนักงานขับรถบรรทุกสินค้า ไม่ได้กำหนดเวลาทำงาน แต่ได้กำหนดให้ใช้ผลงาน เป็นเกณฑ์ในการกำหนดค่าจ้าง ได้รับเงินเดือนและค่าเที่ยว การทำงานต้องอยู่ในความควบคุมดูแล ของหัวหน้างาน ไม่ได้มีอิสระที่จะปฏิบัติงานเวลาใดก็ได้นิติสัมพันธ์จึงเป็นจ้างแรงงาน , ในการทำงาน นายจ้างเชิดนาย ช. ออกเป็นตัวแทน การที่นาย ช บอกเลิกจ้างตามคำสั่งกรรมการผู้มีอำนาจ จึงเสมือน เป็นการบอกเลิกจ้างโดยนายจ้าง คดีนี้โจทก์ทั้งสองฟ้องว่า จำเลยจ้างโจทก์ทั้งสองทำงานเป็นลูกจ้างตำแหน่งพนักงานขับรถ มีหน้าที่ขับรถขนส่งสินค้า โจทก์ที่ ๑ ได้รับเงินเดือนๆ ละ ๓,๐๐๐ บาท และเงินเบี้ยเลี้ยงตามระยะทาง รวมเป็นเงิน ๒๒,๕๐๐ บาท โจทก์ที่ ๒ ได้รับเงินเดือนๆ ละ ๕,๐๐๐ บาท และเงินเบี้ยเลี้ยงตามระยะทาง รวมเป็นเงิน ๒๒,๐๐๐ บาท กำหนดจ่ายทุกวันที่ ๓๐ ของเดือน ในวันที่ ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๕๘ จำเลยเลิกจ้าง โจทก์โดยไม่เป็นธรรม ขอบังคับให้จำเลยจ่ายค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าเสียหายจากการ เลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม พร้อมดอกเบี้ย จำเลยให้การว่า โจทก์ทั้งสองไม่ใช่ลูกจ้าง แต่เป็นลักษณะจ้างเหมา เมื่อโจทก์ทั้งสองทำงานที่รับมอบหมายเสร็จก็มารับงานใหม่หมุนเวียนไป ไม่ได้อยู่ภายใต้บังคับบัญชา เป็นเพียง ลักษณะจ้างทำของ จำเลยจ่ายค่าอาหารให้เดือนละ ๓,๐๐๐ บาท เพื่อเป็นการช่วยเหลือ และโจทก์จะได้รับ ค่าตอบแทนส่วนที่เหลือจากค่าน้ำมันทุกครั้งต่อเที่ยวมากกว่า ๒,๐๐๐ บาท แล้วแต่โจทก์จะบริหารน้ำมัน อย่างไร โจทก์ทั้งสองทำงานได้ระยะหนึ่งแล้วแจ้งต่อจำเลยว่า งานชิ้นนี้ไม่พอกิน จำเลยไม่เคยแจ้งให้โจทก์
นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๒๔ - ออกจากงาน ศาลแรงงานภาค ๔ พิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าชดเชย สินจ้างแทนการ บอกกล่าวล่วงหน้า ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม พร้อมดอกเบี้ย จำเลยอุทธรณ์ ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์ทั้งสองเป็นพนักงานขับรถบรรทุกสินค้าให้จำเลย สัญญาจ้างของโจทก์ ทั้งสองไม่ได้กำหนดเวลาทำงานไว้ แต่ได้กำหนดให้ใช้ผลงานเป็นเกณฑ์ในการกำหนดค่าจ้าง โจทก์ทั้งสองต้อง อยู่ในความควบคุมดูแลของนาย ช. ซึ่งเป็นผู้จ่ายงานและมอบรถยนต์บรรทุกของจำเลยให้โจทก์ทั้งสอง เป็นผู้ขับ โจทก์ทั้งสองต้องขับรถตามคำสั่งของนาย ช. ซึ่งเป็นผู้ควบคุมดูแลพนักงานขับรถบรรทุกของจำเลย และต้องมาทำงานภายในเวลาที่กำหนด ไม่ได้มีอิสระที่จะปฏิบัติงานเวลาใดก็ได้ โจทก์ทั้งสองได้รับค่าจ้าง ตอบแทนการทำงานจากเงินค่าเที่ยวเป็นรายเที่ยว โดยคำนวณตามอัตราค่าน้ำมันที่โจทก์ทั้งสองได้รับ จากจำเลยส่วนที่เหลือจากการทำงานแล้ว และจากเงินเดือนแต่ละเดือนที่จำเลยอ้างว่าเป็นค่าอาหาร ดังนั้น จำเลยมีอำนาจบังคับบัญชาโจทก์ทั้งสอง นิติสัมพันธ์ระหว่างจำเลยกับโจทก์จึงเข้าลักษณะจ้างแรงงาน ในการ ทำงานจำเลยเชิดนาย ช. ออกเป็นตัวแทนจำเลย การที่นาย ช บอกเลิกจ้างโจทก์ตามคำสั่งนาง ณ กรรมการผู้มี อำนาจของจำเลย จึงเสมือนเป็นการบอกเลิกจ้างโดยจำเลย จำเลยต้องจ่ายค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า และค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ประเด็นค่าจ้างที่นำมาคำนวณค่าชดเชย และสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า เมื่อจำเลยจ่าย เป็นเงินเดือนและค่าเที่ยวตามระยะทางที่โจทก์ทั้งสองทำได้ แต่เงินค่าเที่ยวในแต่ละเดือนไม่เท่ากัน เช่นนี้ การคำนวณค่าจ้างจึงต้องพิจารณาตามบทนิยามมาตรา ๕ การที่ศาลแรงงานภาค ๔ กำหนดค่าจ้างเท่ากัน ทุกเดือน คนละเดือนละ ๑๙,๕๐๐ บาท โดยไม่พิจารณาถึงค่าจ้างที่แท้จริงที่ใช้เป็นฐานในการคำนวณค่าชดเชย และสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า จึงเป็นคำพิพากษาที่ไม่ได้ฟังข้อเท็จจริงโดยสรุปและคำวินิจฉัยประเด็น แห่งคดีพร้อมทั้งเหตุผลแก่งคำวินิจฉัยตามข้อเท็จจริงนั้น คำพิพากษาของศาลแรงงานภาค ๔ ในส่วนที่วินิจฉัย ค่าจ้างจึงไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๕๑ วรรคหนึ่ง เห็นสมควรย้อนสำนวนไปให้ศาลแรงงานภาค ๔ ฟังข้อเท็จจริงเกี่ยวกับค่าจ้างที่แท้จริงอันเป็นฐาน ในการคำนวณว่า ค่าจ้าง ซึ่งประกอบด้วยเงินเดือน และเงินค่าเที่ยวอันเป็นค่าจ้างอัตราสุดท้าย ๙๐ วัน และ หรือค่าจ้างของการทำงาน ๙๐ วันสุดท้ายก่อนเลิกจ้างเป็นจำนวนเท่าใด เมื่อเฉลี่ยแล้วได้ค่าจ้างเดือนละเท่าใด วันละเท่าใด อันเป็นฐานในการคำนวณสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๑๗ และประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๕๘๒ แล้ววินิจฉัยในส่วนค่าชดเชย และสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมใหม่ตามรูปคดี ตามประมวล กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา ๒๔๓ (๑) ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณา คดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๓๑
นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๒๕ - ๔. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๔๐๕๓/๒๕๖๑ (คดีเพิกถอนคำสั่งพนักงานตรวจแรงงาน) เรื่อง ลูกจ้างตำแหน่งพนักงานขับรถบรรทุก ๑๘ ล้อ ขณะถอยรถเข้าตู้คอนเทนเนอร์ซึ่งเป็น เพียงตู้เปล่ายังไม่ได้บรรจุสินค้า แต่ลูกจ้างไม่ได้นำขาตั้งตู้หรือขาช้างลง ทำให้ตู้หลุดออกมาจากหัวลาก ลงมาห่างจากพื้นประมาณ ๒๕ เซนติเมตร และกระแทกถูกพื้น เกิดความเสียหายไม่มากนัก ยังไม่ถือว่า เป็นการประมาทเลินเล่อก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรง ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๑๑๙ (๓) เลิกจ้างต้องจ่ายค่าชดเชย, ค่าเที่ยวเป็นค่าจ้าง คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นพนักงานตรวจแรงงาน ได้มีคำสั่งให้โจทก์จ่ายค่าชดเชยให้กับนาย อ. ลูกจ้าง เป็นเงิน ๔๔,๗๕๕.๒๐ บาท โจทก์ไม่เห็นด้วยกับคำสั่งดังกล่าว เนื่องจากนาย อ. ลูกจ้าง เป็นพนักงาน ขับรถบรรทุก ๑๘ ล้อ ไปส่งของให้ห้าง ท. แต่ไม่ปฏิบัติตามขั้นตอนการทำงานและกฎความปลอดภัย ในการทำงานจนเป็นเหตุให้ตู้คอนเทนเนอร์เลื่อนหลุดออกจากท้ายรถทำให้ทรัพย์สินเสียหาย เป็นการประมาท เลินเล่อเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง ฝ่าฝืนข้อบังคับร้ายแรง และจำเลยได้นำค่าเที่ยวมา รวมเป็นฐานในการคำนวณค่าชดเชย คำสั่งของจำเลยจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย โจทก์สมัครเป็นลูกจ้างของจำเลย ที่ ๑ และจำเลยที่ ๑ ตกลงรับโจทก์เข้าทำงานตำแหน่งผู้ควบคุมอาวุโสฝ่ายก่อสร้างและติดตั้งอุปกรณ์ โดย จำเลยที่ ๑ ได้ให้โจทก์ทำสัญญาจ้างแรงงานกับจำเลยที่ ๒ เนื่องจากจำเลยที่ ๒ ประกอบธุรกิจรับเป็นตัวแทน จัดหาบุคลากรดูแลลูกจ้างของจำเลยที่ ๑ และให้บริการที่ปรึกษาเพื่อจ้างลูกจ้าง โดยจำเลยที่ ๒ เป็นผู้จ่าย ค่าจ้างให้โจทก์ โจทก์ได้รับใบอนุญาตทำงาน ศาลแรงงานภาค ๔ พิจารณาแล้วเห็นว่าค่าเที่ยวเป็นค่าจ้าง ความเสียหายที่เกิดขึ้นแม้จะถือว่าเกิดจากความประมาทเลนเล่อของนาย อ. แต่ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่า เกิดความเสียหายร้ายแรง พิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลฎีกาเห็นว่า ขณะที่นาย อ. นำรถถอยเข้าบรรจุสินค้าหรือโหลดสินค้าเข้าตู้คอนเทนเนอร์นั้น ตู้คอนเทนเนอร์เป็นเพียงตู้เปล่ายังไม่ได้บรรจุสินค้าหรือโหลดสินค้าเข้าตู้ดังกล่าว นาย อ. ไม่ได้นำขาตั้งตู้ คอนเทนเนอร์หรือขาช้างลง ทำให้ตู้คอนเทนเนอร์หลุดออกมาจากหัวลากลงมาห่างจากพื้นประมาณ ๒๕ เซนติเมตร และกระแทกถูกพื้นที่ความสูง ๒๕ เซนติเมตร เกิดความเสียหายไม่มากนัก โจทก์อ้างว่าต้องเสีย ค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนขาช้างคดคู้ละ ๒๔,๐๐๐ บาท แต่โจทก์ไม่มีหลักฐานการสั่งซื้อมาแสดง การกระทำของ นาย อ. จึงถือว่าเป็นการประมาทเลินเล่อแต่มิได้ก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรง และแม้จะฝ่าฝืน ข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานแต่ก็มิใช่กรณีร้ายแรงอันจะเป็นข้อยกเว้นที่นายจ้างจะเลิกจ้างได้โดยไม่ต้องจ่าย ค่าชดเชยตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๑๑๙ (๓) และ (๔) ประเด็นค่าเที่ยวเป็นค่าจ้างหรือไม่ เห็นว่า นาย อ. ได้รับเงินเดือนอัตราสุดท้ายเดือนละ ๑๐,๐๒๕ บาท นาย อ. มีหน้าที่ขับรถบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์ตั้งแต่วันจันทร์ – อาทิตย์ มีวันหยุดประจำสัปดาห์ สัปดาห์ละ ๑ วัน การทำงานไม่ได้กำหนดเวลาทำงานปกติ แต่กำหนดตามระยะเวลาส่งสินค้า มีการลงเวลา ทำงานโดยการสแกนลายนิ้วมือและลงในสมุดรอบการทำงาน และการคำนวณค่าเที่ยวคิดตามระยะทางและ จำนวนเที่ยวที่ทำได้ จึงมีลักษณะเป็นการตอบแทนการทำงานโดยคำนวณผลงานที่นาย อ. ทำได้ในเวลาปกติ ของวันทำงาน จึงเป็นค่าจ้าง ไม่มีเหตุเพิกถอนคำสั่งของพนักงานตรวจแรงงาน พิพากษายืน
นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๒๖ - ๕. คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่ ๔๗๕๒/๒๕๖๑ เรื่อง ลูกจ้างตำแหน่งพนักงานขับรถตู้คอนเทนเนอร์ขับรถไปจอดในที่ห้ามจอดและพบ ความผิดปกติของระดับน้ำมัน เป็นความผิดตามประกาศของนายจ้าง นายจ้างได้ตักเตือนและลงโทษพักงาน ๗ วัน โดยไม่ได้รับค่าจ้าง แต่ลูกจ้างยังทำผิดซ้ำอีกภายใน ๑ ปี นับแต่วันกระทำผิดครั้งก่อน นายจ้างจึงเลิกจ้าง ได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย , ค่าเที่ยวเป็นเงินค่าตอบแทนการทำงานนอกเวลาปกติสำหรับงานขนส่ง ทางบกตามกฎกระทรวง ฉบับที่ ๑๒ เมื่อลูกจ้างได้รับครบถ้วนแล้ว จึงไม่มีสิทธิได้รับอีก คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เข้าทำงานเป็นลูกจ้างจำเลยตำแหน่งพนักงานขับรถตู้คอนเทนเนอร์ ๑๘ ล้อ ได้รับค่าจ้าง ๒ ส่วน คือ เงินเดือนประจำเดือนละ ๑๐,๖๒๙ บาท และค่าจ้างตามผลงานเรียกว่า ค่าเที่ยวหรือเบี้ยเลี้ยงจ่ายตอบแทนการขับรถส่งสินค้าขึ้นอยู่กับระยะทางใกล้หรือไกลเฉลี่ยเดือนละ ๑๗,๐๐๐ บาท รวมค่าจ้างเดือนละ ๒๗,๖๒๙ บาท โจทก์ทำงานจันทร์ - เสาร์ เฉลี่ยวันละ ๑๖ ชั่วโมง เป็นการทำงานปกติ ๘ ชั่วโมง และนอกเวลาปกติ ๘ ชั่วโมง โดยไม่ได้รับค่าตอบแทนการทำงานนอกเวลาปกติเป็นเวลา ๒ ปี ต่อมา วันที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๕๙ จำเลยเลิกจ้างโจทก์อ้างกระทำผิดซ้ำคำเตือนซึ่งไม่เป็นความจริง ขอบังคับให้จำเลย จ่ายค่าชดเชย ๒๒๑,๐๓๒ บาท ค่าตอบแทนการทำงานนอกเวลาปกติตั้งแต่ ๖ กรกฎาคม ๒๕๕๘ - ๖ กรกฎาคม ๒๕๖๐ เป็นเงิน ๒๔๓,๕๒๓.๔๔ บาท สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า เป็นเงิน ๒๗,๖๒๙ บาท และค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ๒๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ย จำเลยให้การว่า จำเลย ตรวจสอบรายงานข้อมูลระบบจีพีเอสที่ติดตั้งไว้ในรถบรรทุกพบว่าโจทก์กระทำผิดฝ่าฝืนประกาศของจำเลย โดยจอดรถในพื้นที่ที่ห้ามเข้าและกราฟน้ำมันลดต่ำกะทันหันผิดปกติ สอบสวนแล้วโจทก์รับว่ากระทำผิดจริง จำเลยจึงตักดเตือนเป็นหนังสือและพักงาน ๗ วัน ต่อมาโจทก์กระทำผิดซ้ำลักษณะเดิมอีกภายใน ๑ ปี จำเลย สอบสวนแล้วเห็นว่าโจทก์กระทำผิดจริง จึงเลิกจ้าง ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ เห็นว่า จำเลยมีประกาศเรื่องการกำหนดจุดจอดพัก จุดเติมน้ำมัน และจุดห้ามเข้าประจำปี ๒๕๕๘ และปี ๒๕๕๙ ซึ่งเป็นจุดจอดรถเพิ่มเติมโดยมีรายละเอียด ห้ามมิให้พนักงาน ขับรถบรรทุกทุกคนนำรถเข้าไปจอดยังจุดห้ามจอด หากฝ่าฝืนจะต้องถูกพักงาน ๓ วัน โดยไม่ได้รับค่าจ้าง และ พักงาน ๗ วัน ในกรณีตรวจพบความผิดปกติของกราฟ (ทุจริตน้ำมัน) หรือให้ออกกรณีผิดซ้ำคำเตือน (ทุจริต น้ำมัน) วันที่ ๒๖ มกราคม – ๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ และวันที่ ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ โจทก์ขับรถบรรทุกเข้า ไปจอดยังจุดห้ามจอดตามประกาศและจำเลยตรวจพบด้วยระบบจีพีเอสพบความผิดปกติของระดับน้ำมัน จำเลยสอบสวนแล้วโจทก์ยอมรับว่าได้กระทำผิดจริง จำเลยจึงออกหนังสือเตือนและพักงานโจทก์ ๗ วัน โจทก์ ลงลายมือรับทราบและยอมรับบทลงโทษที่มีข้อความว่าหากกระทำผิดซ้ำคำเตือนอีกครั้งภายใน ๑ ปี โจทก์ยินยอมให้จำเลยเลิกจ้างโดยไม่จ่ายค่าชดเชย ต่อมาวันที่ ๙ ธันวาคม ๒๕๕๙ ซึ่งอยู่ในระยะเวลา ๑ ปี นับแต่โจทก์กระทำผิดจนถูกเตือน โจทก์ได้ขับรถเข้าไปจอดยังจุดห้ามจอบตามประกาศ จำเลยตรวจสอบ พบว่าระดับน้ำมันลดลงประมาณร้อยละ ๖ คิดเป็นปราณน้ำมัน ๒๔ ลิตร โจทก์ได้ลงลายมือชื่อรับทราบผล
นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๒๗ - การสอบสวนแล้ว การกระทำของโจทก์จึงเป็นการกระทำผิดซ้ำคำเตือน จำเลยเลิกจ้างโจทก์ได้โดยไม่ต้องจ่าย ค่าชดเชย สำหรับค่าตอบแทนการทำงานนอกเวลาปกตินั้น จำเลยมีระเบียบการจ่ายและได้จ่ายเงินดังกล่าว ตามกฎกระทรวง ฉบับที่ ๑๒ (พ.ศ. ๒๕๔๑) ข้อ ๖ ซึ่งกำหนดให้จ่ายไม่น้อยกว่าอัตราค่าจ้างต่อชั่วโมง ในวันทำงานตามจำนวนชั่วโมงที่ทำ ค่าตอบแทนดังกล่าวเรียกว่าเบี้ยเลี้ยงหรือค่าเที่ยว จึงถือว่าเป็นเงินที่ นายจ้างจ่ายเพื่อเป็นค่าตอบแทนให้แก่ลูกจ้างที่ทำงานล่วงเวลาในวันทำงานและล่วงเวลาในวันหยุดตาม กฎกระทรวงแล้ว จำเลยจ่ายเงินเบี้ยเลี้ยงให้แก่โจทก์ตลอดมาจนถึงวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๕๙ โจทก์ได้รับ ค่าตอบแทนการทำงานนอกเวลาปกติครบถ้วนแล้ว โจทก์จึงไม่มีสิทธิได้รับดังกล่าวตามฟ้อง ที่โจทก์อุทธรณ์ในทำนองว่ามีการเปลี่ยนแปลงจุดห้ามจอดใหม่ ไม่ทราบจุดใดเป็นจุดห้ามจอด จุดห้ามจอดมีจำนวนมากจึงยากที่จะจดจำ เป็นอุทธรณ์โต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาล แรงงานกลาง เป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษไม่รับวินิจฉัย พิพากษายกอุทธรณ์ของโจทก์ ๖. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๓๗๓๖/๒๕๖๐ เรื่อง ค่าเที่ยวเป็นเงินที่นายจ้างจ่ายให้โดยคำนวณตามผลงานที่ลูกจ้างตำแหน่งขับรถทำได้ ในเวลาทำงานปกติของวันทำงาน “ค่าเที่ยว” จึงเป็นค่าจ้างค่าเที่ยวเป็นค่าจ้าง เมื่อลูกจ้างทำงานครบ ๓ ปี นายจ้างต้องนำค่าเที่ยวย้อนหลัง ๑๘๐ วัน ตามที่นายจ้างจ่ายจริงมาคำนวณค่าชดเชยด้วย คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า วันที่ ๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๒ จำเลยจ้างโจทก์เป็นลูกจ้างตำแหน่งพนักงาน ขับรถเทรลเลอร์ ค่าจ้างเดือนละ ๕,๙๐๔ บาท และค่าเที่ยว วันที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๕๗ จำเลยเลิกจ้างโจทก์ โดยที่โจทก์มิได้กระทำความผิด ในการเลิกจ้าง จำเลยมิได้นำค่าเที่ยวมาคำนวณในการจ่ายค่าชดเชยและ สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า และจำเลยมอบหมายให้โจทก์ทำงานเกินชั่วโมงทำงานปกติตามที่กฎหมาย กำหนดไว้ จำเลยจึงต้องจ่ายค่าตอบแทนการทำงานด้วย ขอบังคับให้จำเลยจ่ายค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอก กล่าวล่วงหน้าที่จ่ายไม่ครบ ค่าตอบแทน ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม พร้อมดอกเบี้ย ศาลรงงาน ภาค ๑ พิจารณาแล้วเห็นว่าค่าเที่ยวไม่ใช่ค่าจ้าง เหตุเลิกจ้างเนื่องจากโจทก์ขับรถเร็วเกินอัตราที่กฎหมาย กำหนด ๒ ครั้ง เทน้ำมันลงพื้นโดยไม่ใช้ภาชนะรองรับ พิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยจ่ายค่าจ้างให้โจทก์เดือนละ ,๙๐๔ บาท และค่าเที่ยวเป็นประจำ ทุกเดือน โดยโจทก์ต้องขับรถบรรทุกส่งน้ำมันให้ครบเที่ยวตามที่จำเลยกำหนด ค่าเที่ยวจึงเป็นเงินที่จำเลยจ่าย ให้โดยคำนวณตามผลงานที่โจทก์ทำได้ในเวลาทำงานปกติของวันทำงาน ค่าเที่ยวจึงเป็นค่าจ้าง ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๕ ที่ศาลแรงงานภาค ๑ วินิจฉัยว่าค่าเที่ยวมิใช่ ค่าจ้างจึงไม่ชอบ แม้โจทก์จะกระทำผิดวินัยตามที่ระบุในหนังสือเลิกจ้าง แต่มิใช่กรณีหนึ่งกรณีใดดังที่ระบุใน พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๑๑๙ (๑) ถึง (๖) และการกระทำผิดซ้ำจำเลยก็ได้ลงโทษ ทางวินัยไปแล้ว เมื่อโจทก์ทำงานติดต่อกันครบ ๓ ปี แต่ไม่ครบ ๖ ปี การคำนวณค่าเที่ยวจึงต้องนำค่าเที่ยว
นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๒๘ - ๑๘๐ วัน ตามที่จำเลยจ่ายให้โจทก์จริงมาคำนวณ ได้แก่ ค่าเที่ยวเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๗ จำนวน ๑๓,๑๕๐ บาท เดือนสิงหาคม ๒๕๕๗จำนวน ๑๕,๘๕๐ บาท เดือนกันยายน ๒๕๕๗ จำนวน ๑๗,๗๐๐ บาท เดือนตุลาคม ๒๕๕๗ จำนวน ๑๔,๑๕๐ บาท เดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๗ จำนวน ๑๓,๗๕๐ บาท และเดือนธันวาคม จำนวน ๑๓,๕๐๐ บาท รวมเป็นค่าชดเชยจากค่าเที่ยว ๘๘,๑๐๐ บาท รวมเป็นค่าชดเชย ๑๒๓,๕๒๔ บาท เมื่อจำเลย จ่ายค่าชดเชยให้โจทก์แล้วเป็นเงิน ๖๕๕,๘๒๘บาท จำเลยจึงต้องจ่ายค่าชดเชยเพิ่มอีกเป็นเงิน ๖๕,๘๒๘ บาท พิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าชดเชยเพิ่มอีก ๕๗,๖๙๖ บาท พร้อมดอกเบี้ย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษา ศาลแรงงานภาค ๑ ๗. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๒๗๐๔/๒๕๕๘ เรื่อง “ค่าเที่ยว” เหมาจ่ายวันละ ๕๐๐ บาท นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างที่ทำงานตำแหน่ง พนักงานขับรถทอย ซึ่งสามารถคำนวณได้ตามจำนวนวันที่ทำในเวลาทำงานตามปกติอันมีลักษณะชี้ชัดว่า มุ่งหมายจ่ายเพื่อเป็นค่าตอบแทนในการทำงาน มิใช่จงใจเพื่อจูงใจ “ค่าเที่ยว” จึงเป็น “ค่าจ้าง” คดีนี้จำเลยจ้างโจทก์เป็นลูกจ้างตำแหน่งพนักงานขับรถทอยประจำสาขาขอนแก่น ค่าจ้างอัตรา สุดท้ายเดือนละ ๙,๒๐๐ บาท ค่าเที่ยวเหมาจ่ายวันละ ๕๐๐ บาท โจทก์มีหน้าที่ขับรถบรรทุกก๊าซตามตาราง กำหนดโดยในสัปดาห์หนึ่งกำหนดให้โจทก์ปฏิบัติหน้าที่ ๑๒ ชั่วโมง จำนวน ๒ วัน บางครั้งเป็นกะเช้า บางครั้ง เป็นกะดึกสลับกัน เมื่อจำเลยจ่าย “ค่าเที่ยว” ให้โจทก์เมื่อโจทก์ทำตามหน้าที่ของตนซึ่งจำเลยกำหนดอัตราไว้ แน่นอนว่าวันหนึ่งจะจ่ายให้เท่าใด สามารถคำนวณได้ตามจำนวนวันที่ทำในเวลาทำงานตามปกติของวันทำงาน อันมีลักษณะชี้ชัดว่าจำเลยมุ่งหมายจ่ายให้โจทก์เพื่อเป็นค่าตอบแทนในการทำงาน มิใช่จงใจจ่ายไปเพื่อจูงใจ ให้โจทก์ขยันทำงาน ทั้งจำเลยยังกำหนดเงินดังกล่าวไว้ในโครงสร้างค่าจ้างแรงงานตามสัญญาจ้างแรงงาน ฉะนั้นเงินค่าเที่ยวจึงเป็น “ค่าจ้าง” ที่ศาลแรงงานภาค ๔ นำเงินค่าเที่ยวมารวมกับเงินเดือนเพื่อเป็นฐาน คำนวณค่าล่วงเวลาย่อมเป็นการถูกต้องแล้ว พิพากษายืน ๘. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๔๒๖๒/๒๕๕๘ เรื่อง การคำนวณค่าชดเชยพนักงานขับรถที่ได้รับค่าเที่ยวซึ่งเป็นค่าจ้างตามผลงาน ต้องนำ เงินค่าเที่ยวที่ได้รับจริงย้อนหลังมาคำนวณ ไม่ใช่ใช้ค่าเฉลี่ย ส่วนสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าเมื่อ ลูกจ้างไม่ได้รับค่าเที่ยวในช่วงดังกล่าว จึงไม่มีค่าจ้างตามผลงานซึ่งจะนำมาใช้เป็นฐานคำนวณ ดังนั้น จึงนำเฉพาะค่าจ้างรายเดือนมาคำนวณเท่านั้น คดีนี้โจทก์ฟ้อง่าโจทก์เป็นลูกจ้างจำเลยที่ ๑ ตำแหน่งพนักงานขับรถเซมิเทรลเลอร์ ได้รับค่าจ้าง เดือนละ ๘,๔๓๒ บาท และค่าเที่ยวเฉลี่ยเดือนละ ๑๖,๘๐๐ บาท กำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันที่ ๑๕ และวันที่ ๓๐ วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๐ จำเลยที่ ๑ เลิกจ้างโจทก์โดยไม่มีความผิด ศาลแรงงานภาค ๒ พิพากษาให้จำเลย ที่ ๑ จ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ๑๒,๖๒๖ บาท ค่าชดเชย ๒๐๑,๘๖๔ บาท พร้อมดอกเบี้ย จำเลย ที่ ๑ อุทธรณ์ประเด็นค่าเที่ยวเป็นค่าจ้างหรือไม่นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยที่ ๑ จะจ่ายค่าเที่ยวให้แก่โจทก์เมื่อ
นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๒๙ - โจทก์ปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้ขับรถยนต์ขนส่งน้ำมันตามหน้าที่ของตน โดยเงินค่าเที่ยวที่โจทก์จะได้รับนั้นสามารถ คำนวณได้แน่นอนขึ้นอยู่กับระยะทางของการขับรถยนต์ในแต่ละเที่ยวตามที่จำเลยที่ ๑ กำหนดหลักเกณฑ์ไว้ ลักษณะการจ่ายค่าเที่ยวของจำเลยที่ ๑ แก่โจทก์ดังกล่าวเป็นการจ่ายเพื่อตอบแทนการทำงานตามสัญญาจ้าง โดยคำนวณตามผลงานที่โจทก์ทำได้ในเวลาทำงานปกติของวันทำงาน เงินค่าเที่ยวจึงเป็นค่าจ้าง อุทธรณ์ประเด็นการจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าชดเชยโดยคำนวณเงินเดือน รวมกับค่าเที่ยวโดยเฉลี่ยชอบหรือไม่นั้น เห็นว่า เมื่อเงินค่าเที่ยวเป็นค่าจ้างตามผลงานแล้ว การที่โจทก์ได้รับ ค่าเที่ยวจนถึงวันที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๕๐ แสดงให้เห็นว่าตั้งแต่วันดังกล่าวจนถึงวันเลิกจ้างโจทก์ไม่ได้รับ ค่าเที่ยวอีก ในวันเลิกจ้างจึงไม่มีค่าจ้างตามผลงานซึ่งจะนำมาใช้เป็นฐานคำนวณให้จำเลยที่ ๑ จ่ายสินจ้าง แทนการบอกกล่าวล่วงหน้าแก่โจทก์ได้ คงคำนวณจากค่าจ้างซึ่งเป็นเงินเดือนเท่านั้น คิดถึงกำหนดจ่ายค่าจ้าง คราวถัดไปในวันที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๕๐ เป็นเงิน ๔,๒๑๖.๕๐ บาท ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๕๘๒ และพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๑๗ วรรคสี่ ส่วนค่าชดเชยนั้น พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๑๑๘ (๔) นอกจาก กำหนดให้นายจ้างจ่ายค่าชดเชยแก่ลูกจ้างโดยคำนวณจากค่าจ้างตามระยะเวลาแล้วยังได้กำหนดให้จ่าย ค่าชดเชยสำหรับค่าจ้างตามผลงานไม่น้อยกว่าค่าจ้างของการทำงาน ๒๔๐ วันสุดท้าย ดังนั้นจำเลยที่ ๑ ต้องนำเงินค่าเที่ยวที่โจทก์ได้รับจริงย้อนหลังขึ้นไป ๒๔๐ วัน นับแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๐ อันเป็นวันเลิกจ้าง คือระหว่างวันที่ ๓ กุมภาพันธ์ – ๓๐ กันยายน ๒๕๕๐ มาคำนวณจ่ายค่าชดเชยสำหรับค่าจ้างตามผลงาน ให้แก่โจทก์ ข้อเท็จจริงปรากฏเพียงว่าโจทก์ได้รับค่าเที่ยวจำนวนน้อยที่สุดโดยเฉลี่ยเดือนละ ๑๖,๘๐๐ บาท โจทก์และจำเลยที่ ๑ ไม่ได้อุทธรณ์โต้แย้งข้อเท็จจริงดังกล่าว และโจทก์ได้รับค่าเที่ยวถึงวันที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๕๐ เท่านั้น เมื่อคำนวณแล้วโจทก์มีสิทธิได้รับค่าชดเชยจากค่าจ้างตามผลงาน ๗๗,๒๘๐ บาท และค่าจ้าง ที่คำนวณตามระยะเวลาเป็นเงินเดือนๆ ละ ๘,๔๓๓ บาท จึงมีสิทธิได้รับค่าชดเชยดังกล่าวอีก ๖๗,๔๖๔ บาท รวมเป็นค่าชดเชย ๑๔๔,๗๔๔ บาท ที่ศาลแรงงานภาค ๒ วินิจฉัยมาจึงไม่ถูกต้อง พิพากษาแก้เป็นให้จำเลยที่ ๑ จ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ๔,๒๑๖.๕๐ บาท และค่าชดเชย ๑๔๔,๗๔๔ บาท ๗. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๒๖๒๑/๒๕๕๘ เรื่อง “ค่าเที่ยว” กำหนดขึ้นจากระยะทางขับรถจากสถานที่จัดส่งสินค้าไปยังสถานที่ ปลายทาง ไม่ได้คำนึงถึงเวลาในการขับรถแต่ละเที่ยวเป็นสำคัญ โดยถือปฏิบัติติดต่อกันมาตั้งแต่เปิดกิจการ ค่าเที่ยวจึงถือเป็นค่าตอบแทนการทำงานในเวลาทำงานปกติโดยปริยาย เป็นค่าจ้างตามมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติเงินทดแทน พ.ศ. ๒๕๓๗ คดีนี้โจทก์ซึ่งเป็นนายจ้างฟ้องเพิกถอนคำสั่งสำนักงานประกันสังคมเขตพื้นที่ ๓ และคำวินิจฉัย ของคณะกรรมการอุทธรณ์ กรณีที่มีคำสั่งและคำวินิจฉัยชำระเงินสมทบเพิ่มเติมเข้ากองทุนเงินทดแทนจำนวน ๕๔,๐๐๗ บาท และ ๘๐,๑๘๐ บาท เนื่องจากโจทก์เห็นว่า “ค่าเที่ยว” เป็นเงินที่จ่ายตอบแทนเกินเวลาทำงาน ปกติแบบเหมาจ่ายไม่เป็นค่าจ้าง จำเลยทั้งสองให้การว่า “ค่าเที่ยว” เป็นค่าจ้างเพราะตอบแทนการทำงานของ
นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๓๐ - ลูกจ้างที่มีหน้าที่ขับรถส่งสินค้า ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว เห็นว่า โจทก์ประกอบกิจการขนส่งทางบก ค่าเที่ยวจ่ายให้ตอบแทนการทำงานโดยมากน้อยขึ้นอยู่กับระยะทางขับรถใกล้ไกลและประเภทของรถยนต์ บรรทุก โจทก์ใช้หลักเกณฑ์ดังกล่าวมาตั้งแต่เปิดกิจการถึงปัจจุบัน หลักเกณฑ์เวลาทำงานของพนักงานขับรถ ขนส่งสินค้ากำหนดกรอบไว้อย่างกว้างๆ เวลาพักและเวลาทำงานให้เป็นไปตามความเหมาะสมของสภาพการ บริหารและการให้บริการของโจทก์ เวลาทำงานปกติใช้เฉพาะพนักงานที่มีการทำงานปกติยกเว้นพนักงานที่ ทำงานขนส่งสินค้าทางบก ค่าเที่ยวกำหนดขึ้นจากระยะทางขับรถจากสถานที่จัดส่งสินค้าอำเภอวังน้อย ไปยัง สถานที่ปลายทาง ไม่ได้คำนึงถึงเวลาในการขับรถแต่ละเที่ยวเป็นสำคัญ เพราะพนักงานขับรถระยะทางใกล้เช่น ๙๐ กิโลเมตร ใช้เวลาไม่เกิน ๘ ชั่วโมง โจทก์ก็คงจ่ายค่าเที่ยวให้ ๒๐๐ บาท พนักงานขับรถขนส่งสินค้าจะไม่มี เวลาเข้าและออกจากงานที่แน่นอน ถือเอาเวลาเริ่มต้นปฏิบัติหน้าที่ขับรถและสิ้นสุดเมื่อส่งของเสร็จ ตามเป้าหมายและนะรถกลับถึงที่ทำการ ซึ่งบางครั้งใช้เวลามากกว่า ๘ หรือ ๙ ชั่วโมง พนักงานขับรถจะต้อง เข้าปฏิบัติหน้าที่ตลอดเวลา ๒๔ ชั่งโมง ตามที่โจทก์มอบหมายและถือปฏิบัติติดต่อกันมาตั้งแต่เปิดกิจการ หลักเกณฑ์ค่าเที่ยวจึงถือเป็นข้อตกลงเกี่ยวกับการจ้างงานและค่าตอบแทนการทำงานในเวลาทำงานปกติโดย ปริยาย ค่าเที่ยวจึงเป็นค่าจ้างตามมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติเงินทดแทน พ.ศ. ๒๕๓๗ พิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ในทำนองว่าโจทก์มีข้อตกลงกับลูกจ้างพนักงานขับรถขนส่งสินค้ารายอื่นว่าการจ่ายค่าเที่ยวเหมา จ่ายรวมค่าทำงานเกินเวลาทำงานปกติอยู่ในนั้นแล้ว ค่าเที่ยวจึงไม่ใช่ค่าจ้าง ศาลฎีกาเห็นว่า อุทธรณ์ของโจทก์ เป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลางที่วินิจฉัยข้อเท็จจริงมาเพื่อนำไปสู่ การวินิจฉัยข้อกฎหมายว่าค่าเที่ยวไม่เป็นค่าจ้าง เป็นอุทธรณ์ข้อเท็จจริง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ๘. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๔๒๖๒/๒๕๕๘ เรื่อง การคำนวณค่าชดเชยพนักงานขับรถที่ได้รับค่าเที่ยวซึ่งเป็นค่าจ้างตามผลงาน ต้องนำ เงินค่าเที่ยวที่ได้รับจริงย้อนหลังมาคำนวณ ไม่ใช่ใช้ค่าเฉลี่ย ส่วนสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าเมื่อ ลูกจ้างไม่ได้รับค่าเที่ยวในช่วงดังกล่าว จึงไม่มีค่าจ้างตามผลงานซึ่งจะนำมาใช้เป็นฐานคำนวณ ดังนั้น จึงนำเฉพาะค่าจ้างรายเดือนมาคำนวณเท่านั้น คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นลูกจ้างจำเลยที่ ๑ ตำแหน่งพนักงานขับรถเซมิเทรลเลอร์ ได้รับค่าจ้าง เดือนละ ๘,๔๓๒ บาท และค่าเที่ยวเฉลี่ยเดือนละ ๑๖,๘๐๐ บาท กำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันที่ ๑๕ และวันที่ ๓๐ วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๐ จำเลยที่ ๑ เลิกจ้างโจทก์โดยไม่มีความผิด ศาลแรงงานภาค ๒ พิพากษาให้จำเลย ที่ ๑ จ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ๑๒,๖๒๖ บาท ค่าชดเชย ๒๐๑,๘๖๔ บาท พร้อมดอกเบี้ย จำเลย ที่ ๑ อุทธรณ์ประเด็นค่าเที่ยวเป็นค่าจ้างหรือไม่นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยที่ ๑ จะจ่ายค่าเที่ยวให้แก่โจทก์เมื่อ โจทก์ปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้ขับรถยนต์ขนส่งน้ำมันตามหน้าที่ของตน โดยเงินค่าเที่ยวที่โจทก์จะได้รับนั้นสามารถ คำนวณได้แน่นอนขึ้นอยู่กับระยะทางของการขับรถยนต์ในแต่ละเที่ยวตามที่จำเลยที่ ๑ กำหนดหลักเกณฑ์ไว้ ลักษณะการจ่ายค่าเที่ยวของจำเลยที่ ๑ แก่โจทก์ดังกล่าวเป็นการจ่ายเพื่อตอบแทนการทำงานตามสัญญาจ้าง โดยคำนวณตามผลงานที่โจทก์ทำได้ในเวลาทำงานปกติของวันทำงาน เงินค่าเที่ยวจึงเป็นค่าจ้าง
นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๓๑ - อุทธรณ์ประเด็นการจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าชดเชยโดยคำนวณเงินเดือน รวมกับค่าเที่ยวโดยเฉลี่ยชอบหรือไม่นั้น เห็นว่า เมื่อเงินค่าเที่ยวเป็นค่าจ้างตามผลงานแล้ว การที่โจทก์ได้รับ ค่าเที่ยวจนถึงวันที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๕๐ แสดงให้เห็นว่าตั้งแต่วันดังกล่าวจนถึงวันเลิกจ้างโจทก์ไม่ได้รับ ค่าเที่ยวอีก ในวันเลิกจ้างจึงไม่มีค่าจ้างตามผลงานซึ่งจะนำมาใช้เป็นฐานคำนวณให้จำเลยที่ ๑ จ่ายสินจ้าง แทนการบอกกล่าวล่วงหน้าแก่โจทก์ได้ คงคำนวณจากค่าจ้างซึ่งเป็นเงินเดือนเท่านั้น คิดถึงกำหนดจ่ายค่าจ้าง คราวถัดไปในวันที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๕๐ เป็นเงิน ๔,๒๑๖.๕๐ บาท ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๕๘๒ และพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๑๗ วรรคสี่ ส่วนค่าชดเชยนั้น พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๑๑๘ (๔) นอกจาก กำหนดให้นายจ้างจ่ายค่าชดเชยแก่ลูกจ้างโดยคำนวณจากค่าจ้างตามระยะเวลาแล้วยังได้กำหนดให้จ่าย ค่าชดเชยสำหรับค่าจ้างตามผลงานไม่น้อยกว่าค่าจ้างของการทำงาน ๒๔๐ วันสุดท้าย ดังนั้นจำเลยที่ ๑ ต้องนำเงินค่าเที่ยวที่โจทก์ได้รับจริงย้อนหลังขึ้นไป ๒๔๐ วัน นับแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๐ อันเป็นวันเลิกจ้าง คือระหว่างวันที่ ๓ กุมภาพันธ์ – ๓๐ กันยายน ๒๕๕๐ มาคำนวณจ่ายค่าชดเชยสำหรับค่าจ้างตามผลงาน ให้แก่โจทก์ ข้อเท็จจริงปรากฏเพียงว่าโจทก์ได้รับค่าเที่ยวจำนวนน้อยที่สุดโดยเฉลี่ยเดือนละ ๑๖,๘๐๐ บาท โจทก์และจำเลยที่ ๑ ไม่ได้อุทธรณ์โต้แย้งข้อเท็จจริงดังกล่าว และโจทก์ได้รับค่าเที่ยวถึงวันที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๕๐ เท่านั้น เมื่อคำนวณแล้วโจทก์มีสิทธิได้รับค่าชดเชยจากค่าจ้างตามผลงาน ๗๗,๒๘๐ บาท และค่าจ้าง ที่คำนวณตามระยะเวลาเป็นเงินเดือนๆ ละ ๘,๔๓๓ บาท จึงมีสิทธิได้รับค่าชดเชยดังกล่าวอีก ๖๗,๔๖๔ บาท รวมเป็นค่าชดเชย ๑๔๔,๗๔๔ บาท ที่ศาลแรงงานภาค ๒ วินิจฉัยมาจึงไม่ถูกต้อง พิพากษาแก้เป็นให้จำเลยที่ ๑ จ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ๔,๒๑๖.๕๐ บาท และค่าชดเชย ๑๔๔,๗๔๔ บาท ๙. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๙๒๒-๑๙๓๐/๒๕๕๕ เรื่อง ค่าเที่ยว ถือเป็นเงินที่ตอบแทนการทำงานทั้งในเวลาทำงานปกติ และช่วงเวลาเกิน เวลาทำงานปกติ โจทก์ทำงานในตำแหน่งพนักงานขับรถบรรทุกหัวลากตู้คอนเทรนเนอร์ได้รับค่าจ้างเดือนละ ๓,๙๗๐ บาท นอกจากนั้นโจทก์ได้รับค่าเที่ยว ซึ่งโจทก์จะได้รับค่าเที่ยวก็ต่อเมื่อโจทก์ได้ขับรถออกไป นอกสถานที่ตามที่จำเลยมอบหมายโดยได้รับค่าเที่ยวในอัตราที่ไม่เท่ากันแล้วแต่สถานที่ที่ไปส่งสินค้าและหากวันใด โจทก์ไม่ได้ขับรถส่งสินค้าจำเลยจะจ่ายค่าตอบแทนพิเศษให้อีกวันละ ๑๐๐ บาท ค่าเที่ยวจึงเป็นเงินที่จำเลยจ่าย เพื่อตอบแทนการทำงานเป็นค่าจ้างตามมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ การทำงานในแต่ละวันอาจจะเกินเวลาทำงานปกติบ้างเนื่องจากสภาพการจราจรติดขัดมีข้อกำหนด ห้ามรถบรรทุกแล่นบางเวลาและอาจต้องรอรับสินค้าบ้างเป็นครั้งคราว แต่จำเลยก็ได้จ่ายค่าเที่ยว ทั้งในเวลาทำงานปกติ และช่วงเวลาเกินเวลาทำงานปกติทุกเที่ยวให้แล้ว ค่าเที่ยวที่จำเลยจ่ายให้จึงเป็น ค่าตอบแทนในการทำงานของโจทก์รวมถึงค่าล่วงเวลา ค่าทำงานในวันหยุดและค่าล่วงเวลาในวันหยุดแล้ว ซึ่งโจทก์ได้ตกลงกับจำเลยโดยจะรับค่าเที่ยวแทนค่าล่วงเวลาทั้งหมด ทั้งเงินค่าเที่ยวโดยเฉลี่ยที่โจทก์ได้รับก็สูงกว่า
นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๓๒ - ค่าล่วงเวลาพื้นฐานมากซึ่งเป็นประโยชน์ต่อโจทก์ ข้อตกลงดังกล่าวจึงไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรม อันดีของประชาชนใช้บังคับได้ ๑๐. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๖๕๕๓-๑๖๕๕๔/๒๕๕๕ เรื่อง ศาลฎีกาย้อนสำนวนให้ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงใหม่ว่าค่าเที่ยวเป็นเงินที่ลูกจ้างได้รับ ในเวลาทำงานปกติ หรือเกินเวลาทำงานปกติ และเป็นค่าจ้างหรือไม่ โจทก์ทั้งสองเป็นลูกจ้างของจำเลยตำแหน่งพนักงานขับรถบรรทุกขนส่งน้ำมัน โจทก์ทั้งสองได้รับ ค่าจ้างเดือนละ ๖,๓๑๐ บาท และค่าเที่ยวประมาณเดือนละ ๙,๕๐๐ – ๑๒,๐๐๐ บาท ต่อมาจำเลยเลิกจ้าง โจทก์ทั้งสองโดยจ่ายค่าชดเชยแต่ไม่นำค่าเที่ยวไปรวมคำนวณด้วย จำเลยให้การว่าค่าเที่ยวไม่เป็นค่าจ้างแต่เป็น เพียงเบี้ยขยันซึ่งเป็นเงินจูงใจในการทำงานตามที่จำเลยมอบหมาย จำเลยจ่ายเบี้ยขยันตามระยะทางที่ขนส่ง อีกทั้งจ่ายเพื่อมิให้พนักงานขับรถกระทำการทุจริตในการส่งสินค้าให้แก่ลูกค้าโดยจ่ายค่ายอมรับสินค้าสูญหาย ให้แก่พนักงานขับรถเพิ่มขึ้นนอกเหนือจากค่าเที่ยวหากพนักงานขับรถขนส่งสินค้าได้ปริมาณที่ถูกต้อง ศาลแรงงานพิพากษายกฟ้อง ศาลฎีกาเห็นว่า เงินค่าเที่ยวตามคำฟ้องของโจทก์จะเป็นค่าจ้างตามมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ หรือไม่ ต้องเป็นเงินค่าเที่ยวที่โจทก์ทั้งสองได้รับในเวลา ทำงานปกติแต่ศาลแรงงานกลางยังไม่ได้ฟังข้อเท็จจริงว่าเงินค่าเที่ยวที่โจทก์ได้รับมาแต่ละครั้งเป็นการรับมาใน เวลาทำงานปกติ หรือเกินเวลาทำงานปกติ และเงินค่าเที่ยวอัตราสุดท้ายของโจทก์ได้รับคนละเท่าใด ศาลฎีกา จึงไม่อาจพิพากษาถึงค่าชดเชยที่โจทก์แต่ละคนยังขาดอยู่เท่าใดได้ จึงต้องย้อนสำนวนให้ศาลแรงงานกลางฟัง ข้อเท็จจริงดังกล่าวเพิ่มเติมตามมาตรา ๕๖ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณา คดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒
นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๓๓ - ๖. ค่าขับรถด้วยความปลอดภัย ไม่เป็นค่าจ้าง ๑. คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่ ๑๖๖๒ – ๑๖๖๔/๒๕๖๒ เรื่อง ค่าเที่ยวการขับรถเหมาจ่าย และค่าขับรถลักษณะประหยัดน้ำมันเหมาจ่าย เป็นค่าจ้าง แต่ “ค่าขับรถด้วยความปลอดภัย” มีหลักเกณฑ์เงื่อนไขในการจ่ายเงินเพื่อจูงใจ จึงไม่ใช่ค่าจ้าง , ลูกจ้าง ในงาน “ขับรถบรรทุกน้ำมัน” มีสิทธิได้รับค่าตอบแทนการทำงานเกินเวลาปกติ โดยต้องคำนวณค่าจ้าง ตลอดระยะเวลาที่ปฏิบัติงาน ไม่จำกัดเฉพาะเวลาที่ขับรถเท่านั้น แต่หมายความรวมถึง ระยะเวลาที่ลูกจ้าง เดินทางไปที่ทำการเพื่อพักรองานและระยะเวลาที่ต้องดำเนินการต่าง ๆ เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนที่จะ ขับรถไปส่งน้ำมันให้แก่ลูกค้า คดีนี้โจทก์ทั้งสามฟ้องว่า โจทก์ทั้งสามทำงานเป็นลูกจ้างจำเลยตำแหน่งพนักงานขับรถบรรทุก น้ำมัน ค่าจ้างเดือนละ ๙,๒๔๐ บาท ค่าเที่ยวการขับรถเหมาจ่าย ๙,๕๐๐ บาท ค่าขับรถด้วยความปลอดภัย เหมาจ่าย ๓,๐๐๐ บาท ค่าขับรถลักษณะประหยัดน้ำมันเหมาจ่าย ๑๐,๐๐๐ บาท รวมเป็นค่าจ้างเดือนละ ๓๑,๗๔๐ บาท โจทก์ทั้งสามทำงานเกินเวลาทำงานทุกวัน วันละ ไม่น้อยกว่า ๑๐ ชั่วโมง ต่อมาวันที่ ๒๔ มีนาคม ๒๕๖๑ จำเลยเลิกจ้างโจทก์ ที่ ๑ และ ๒ และวันที่ ๑๙ มีนาคม ๒๕๖๑ จำเลยเลิกจ้างโจทก์ที่ ๓ โดยโจทก์มิได้กระทำความผิด ขอบังคับให้จำเลยจ่ายค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าเสียหาย จากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ค่าทำงานเกินเวลา ๑,๐๖๐,๐๒๐ บาท (ของโจทก์ที่ ๑) โจทก์ที่ ๒......... โจทก์ที่ ๓....พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ ๑๕ ต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ จำเลยให้การว่าโจทก์กับพวก กระทำผิดร้ายแรง โจทก์ไม่ได้ทำงานเกินเวลา ค่าเที่ยวการขับรถเหมาจ่าย ค่าขับรถด้วยความปลอดภัย เหมาจ่าย และค่าขับรถลักษณะประหยัดน้ำมันเหมาจ่าย ไม่ใช่ค่าจ้าง ศาลแรงงานภาค ๒ พิจารณาแล้ว เห็นว่า ค่าเที่ยวการขับรถ และค่าขับรถลักษณะประหยัด น้ำมัน เป็นการจ่ายตอบแทนการทำงาน จึงเป็นค่าจ้าง พิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าชดเชยแก่โจทก์ทั้งสาม พร้อมดอกเบี้ย คำขออื่นให้ยก โจทก์ทั้งสามและจำเลยอุทธรณ์ ประเด็น “ค่าขับรถด้วยความปลอดภัย” ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษเห็นว่า เมื่อการจ่าย ค่าขับรถด้วยความปลอดภัยไม่เกิดอุบัติเหตุเหมาจ่ายให้เดือนละ ๓,๐๐๐ บาท มีหลักเกณฑ์ซึ่งเป็นเงื่อนไข ในการจ่ายเงินดังกล่าวเพื่อจูงใจให้โจทก์ทั้งสามซึ่งเป็นพนักงานขับรถบรรทุกน้ำมันจะต้องขับรถด้วยความ ระมัดระวังไม่ให้เกิดอุบัติเหตุจึงจะได้รับเงินดังกล่าวเป็นประจำทุกเดือน หากเกิดอุบัติเหตุโดยเป็นความผิด ของโจทก์ทั้งสามก็จะไม่ได้รับเงินดังกล่าว เงินค่าขับรถด้วยความปลอดภัยที่จำเลยจ่ายให้แก่โจทก์ทั้งสาม จึงมิใช่เงินที่นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างเพื่อเป็นค่าตอบแทนการทำงานโดยตรงตามสัญญาจ้างสำหรับระยะเวลา การทำงานปกติ อันจะถือว่าเป็นค่าจ้างตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๕ ที่จะต้อง นำไปรวมเป็นค่าจ้างในการคำนวณจ่ายค่าชดเชย ประเด็นค่าตอบแทนการทำงานเกินเวลาปกติที่โจทก์อุทธรณ์ว่า การขนส่งน้ำมันต้องทำ ต่อเนื่องไป ทั้งการรอคิวรับงานใช้เวลา ๒ – ๔ ชั่วโมง ต้องเอารถไปตรวจสภาพก่อนแล้วรอรับใบระบุชนิด
นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๓๔ - น้ำมัน ซึ่งต้องใช้เวลาประมาณ ๔ ชั่วโมง หลังจากนั้นต้องไปขอรับเอกสารพร้อมซีลล็อกฝาถังน้ำมัน แล้วนำรถ ไปเข้าคิวบรรจุน้ำมันลงถังใช้เวลาอีก ๒ ชั่วโมง ขับรถบรรทุกน้ำมันไปส่งให้ลูกค้า เวลาในการขับรถขึ้นอยู่กับ สถานที่ที่จะไปส่งน้ำมัน เสร็จแล้วต้องขับรถกลับมาที่ทำการจำเลยเพื่อรอเติมน้ำมันและรอรับงานเที่ยวต่อไป เห็นว่า งานที่โจทก์ทั้งสามต้องปฏิบัติคือ “การขับรถบรรทุกน้ำมัน” ไปส่งให้แก่ลูกค้าของจำเลย ทำงาน จันทร์ – เสาร์ หยุดวันอาทิตย์และวันนักขัตฤกษ์ โจทก์ทั้งสามจึงถือเป็น ลูกจ้างของจำเลยในงานขนส่ง ทางบกตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๖๕ (๙) ประกอบกฎกระทรวง ฉบับที่ ๑๒ (พ.ศ. ๒๕๔๑) ข้อ ๖ มีสิทธิได้รับค่าตอบแทนเป็นเงินเท่ากับอัตราค่าจ้างต่อชั่วโมงในวันทำงาน ตามจำนวนชั่วโมงที่ทำเกินเวลาทำงานปกติตามจำนวนเวลาที่โจทก์ทั้งสามทำงานเกินจากวันละ ๗ ชั่วโมง เพราะเป็นงานเกี่ยวกับการขนส่งวัตถุอันตรายตามกฎกระทรวง ฉบับที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๔๑) โดยต้องคำนวณ ค่าจ้างตลอดระยะเวลาที่โจทก์ทั้งสามปฏิบัติงานให้แก่จำเลย ไม่จำกัดเฉพาะเวลาที่โจทก์ทั้งสามขับรถ เท่านั้นแต่หมายความรวมถึง ระยะเวลาที่โจทก์ทั้งสามเดินทางไปที่ทำการของจำเลยเพื่อพักรองาน และระยะเวลาที่โจทก์ทั้งสามต้องดำเนินการต่าง ๆ เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนที่จะขับรถไปส่งน้ำมันให้แก่ ลูกค้า โดยถือเกณฑ์คำนวณค่าตอบแทนการทำงานเกินเวลาปกติเฉลี่ยจากค่าเที่ยวการขับรถและค่าขับรถ ลักษณะประหยัดน้ำมัน รวมกับค่าจ้างพื้นฐาน ได้ค่าจ้างเฉลี่ยวันละหรือชั่วโมงละเท่าใด แล้วนำค่าจ้างเฉลี่ย รายชั่วโมงนั้นมาคำนวณค่าตอบแทนการทำงานเกินเวลาปกติพร้อมดอกเบี้ยผิดนัดอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป แต่จำนวนเงินดังกล่าวต้องไม่เกินคำขอ โดยพิจารณาพยานหลักฐานจากเอกสาร เกี่ยวกับการจ่ายค่าตอบแทนการทำงานตามมาตรา ๑๑๔ และมาตรา ๑๑๕ ด้วย ฉะนั้น ที่ศาลแรงงานภาค ๒ วินิจฉัยว่า ไม่ปรากฏว่าโจทก์ทั้งสามทำงานเกินเวลาปกติในวันใดและเป็นวันละ ๑๐ ชั่วโมง ได้อย่างไร กรณีจึงไม่อาจกำหนดให้จำเลยจ่ายค่าตอบแทนการทำงานเกินเวลาปกติได้นั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาล อุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ กรณีจึงต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลแรงงานภาค ๒ ฟังข้อเท็จจริงและพิจารณา กำหนดจำนวนค่าตอบแทนการทำงานเกินเวลาปกติ โดยถือเกณฑ์ดังที่ได้วินิจฉัยข้างต้นแล้วพิพากษาคดี ใหม่ ประเด็นสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและเลิกจ้างไม่เป็นธรรม เห็นว่า โจทก์ที่ ๑ และที่ ๒ ทราบว่าข้อเรียกร้องเกี่ยวกับวิธีการจ่ายเงินค่าขับรถลักษณะประหยัดน้ำมันยุติไปแล้ว โดยจำเลยตกลง นำวิธีการจ่ายเงินค่าขับรถลักษณะประหยัดน้ำมันในรูปแบบเดิมกลับมาใช้ตามที่โจทก์ที่ ๑ และที่ ๒ กับพนักงานขับรถบรรทุกน้ำมันของจำเลยเคยยื่นข้อเรียกร้องแล้ว จึงไม่มีเหตุที่จะยื่นข้อเรียกร้องข้อนี้อีก แม้โจทก์ที่ ๑ และที่ ๒ กับพนักงานขับรถบรรทุกน้ำมันของจำเลยยื่นข้อเรียกร้องเกี่ยวกับวิธีการจ่ายเงิน ค่าขับรถลักษณะประหยัดน้ำมันรวมมากับข้อเรียกร้องข้ออื่นต่อจำเลยอีก แต่การยื่นข้อเรียกร้องดังกล่าวไม่ได้ เกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ในการขับรถบรรทุกน้ำมันของโจทก์ที่ ๑ และที่ ๒ จึงรับฟังไม่ได้ว่าโจทก์ที่ ๑ และที่ ๒ กระทำประการอื่นอันไม่สมแก่การปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ลุล่วงไปโดยถูกต้องและสุจริต จึงนำเหตุดังกล่าวมา เลิกจ้างโจทก์ที่ ๑ และที่ ๒ โดยไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๕๘๓ ไม่ได้ เมื่อจำเลยเลิกจ้างโจทก์ที่ ๑ และ ๒ โดยไม่มีเหตุอันควร จึงเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม
นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๓๕ - การที่โจทก์ที่ ๓ ไม่มาขับรถบรรทุกน้ำมันในวันที่ได้รับมอบหมาย โดยอ้างว่าโทรศัพท์ขอลากิจ จากหัวหน้างาน แต่เมื่อหัวหน้างานไม่อนุญาตให้โจทก์ที่ ๓ ลากิจ และโจทก์ที่ ๓ ไม่มาทำงานตามที่ได้รับ มอบหมายในวันที่ ๑๑ มีนาคม ๒๕๖๑ จนเป็นเหตุให้จำเลยต้องถูกลูกค้าแจ้งเตือนการให้บริการ โดยไม่ปรากฏ ว่าโจทก์ที่ ๓ ลาหยุดงานโดยมีเหตุอันสมควร และโจทก์ที่ ๓ ลาหยุดงานถูกต้องตามระเบียบหรือข้อบังคับ เกี่ยวกับการทำงาน ดังนั้น การที่โจทก์ที่ ๓ ไม่มาขับรถตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย แสดงถึงความไม่ รับผิดชอบในการทำงานของโจทก์ที่ ๓ จึงเป็นการกระทำประการอื่นอันไม่สมแก่การปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ ลุล่วงไปโดยถูกต้องและสุจริต จำเลยเลิกจ้างโจทก์ที่ ๓ ได้โดยไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้าตามประมวลกฎหมาย แพ่งและพาณิชย์มาตรา ๕๘๓ และเป็นการเลิกจ้างโดยมีเหตุอันควร ไม่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม จำเลยบอกเลิกจ้างโจทก์ที่ ๑ และ ๒ วันที่ ๒๔ มีนาคม ๒๕๖๑ ถือว่าจำเลยบอกกล่าวล่วงหน้า เมื่อก่อนถึงงวดการจ่ายค่าจ้างวันที่ ๓๐ มีนาคม ๒๕๖๑ ซึ่งจะมีผลเป็นการเลิกสัญญาเมื่อถึงกำหนดการจ่าย ค่าจ้างคราวถัดไปคือวันที่ ๑๕ เมษายน ๒๕๖๑ เมื่อจำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งสองให้มีผลวันที่ ๒๕ มีนาคม ๒๕๖๑ โดยไม่มีการบอกกล่าวล่วงหน้า จำเลยจึงต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าเท่ากับค่าจ้าง ที่โจทก์ที่ ๑ และที่ ๒ ผู้เป็นลูกจ้างมีสิทธิได้รับหากอยู่ทำงานจนถึงวันที่ ๑๕ เมษายน ๒๕๖๑ ตามประมวล กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๕๘๒ วรรคหนึ่ง และพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๑๗ วรรคสอง พิพากษาแก้เป็น ให้จำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าแก่โจทก์ที่ ๑ และที่ ๒ พร้อม ดอกเบี้ย ให้จำเลยจ่ายค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมแก่โจทก์ ที่ ๑ และที่ ๒ โดยให้ย้อนสำนวนไป ให้ศาลแรงงานภาค ๒ พิจารณากำหนดค่าเสียหาย ให้ฟังข้อเท็จจริงและพิจารณากำหนดจำนวนค่าตอบแทน การทำงานเกินเวลาปกติแก่โจทก์ทั้งสามตามนัยที่วินิจฉัยข้างต้น หากศาลแรงงานภาค ๒ เห็นว่าข้อเท็จจริง จะเป็นผลให้คำพิพากษาเปลี่ยนแปลงก็ให้ดำเนินการตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณา คดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๕๖ วรรคสอง วรรคสาม นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงาน ภาค ๒ ๒. คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่ ๓๐๒๐ – ๓๐๒๑/๒๕๖๒ เรื่อง ค่าเที่ยวการขับรถเหมาจ่าย และค่าขับรถลักษณะประหยัดน้ำมันเหมาจ่าย เป็นค่าจ้าง แต่ “ค่าขับรถด้วยความปลอดภัย” มีหลักเกณฑ์เงื่อนไขในการจ่ายเงินเพื่อจูงใจ จึงไม่ใช่ค่าจ้าง , ลูกจ้าง ในงาน “ขับรถบรรทุกน้ำมัน” มีสิทธิได้รับค่าตอบแทนการทำงานเกินเวลาปกติ โดยต้องคำนวณค่าจ้าง ตลอดระยะเวลาที่ปฏิบัติงาน ไม่จำกัดเฉพาะเวลาที่ขับรถเท่านั้น แต่หมายความรวมถึง ระยะเวลาที่ลูกจ้าง เดินทางไปที่ทำการเพื่อพักรองานและระยะเวลาที่ต้องดำเนินการต่าง ๆ เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนที่จะ ขับรถไปส่งน้ำมันให้แก่ลูกค้า คดีนี้โจทก์ทั้งสองฟ้องว่า โจทก์ทั้งสองทำงานเป็นลูกจ้างจำเลยตำแหน่งพนักงานขับรถบรรทุก น้ำมัน โจทก์ที่ ๑ ค่าจ้างเดือนละ ๙,๐๐๐ บาท และโจทก์ที่ ๒ ค่าจ้างเดือนละ ๙,๒๕๐ บาท ค่าเที่ยวการขับรถ
นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๓๖ - เหมาจ่าย ๙,๕๐๐ บาท ค่าขับรถด้วยความปลอดภัยเหมาจ่าย ๓,๐๐๐ บาท ค่าขับรถลักษณะประหยัดน้ำมัน เหมาจ่าย ๑๐,๐๐๐ บาท รวมเป็นค่าจ้างเดือนละ ๓๑,๕๐๐ บาท และ ๓๑,๗๕๐ บาท ตามลำดับ โจทก์ทั้งสอง ทำงานเกินเวลาทำงานทุกวัน วันละ ไม่น้อยกว่า ๑๐ ชั่วโมง ต่อมาวันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ จำเลยเลิกจ้าง โจทก์ที่ ๓โดยโจทก์มิได้กระทำความผิด ขอบังคับให้จำเลยจ่ายค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ค่าทำงานล่วงเวลา พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ ๑๕ ต่อปีนับแต่วันฟ้อง จนกว่าจะชำระเสร็จ จำเลยให้การว่าโจทก์กับพวกกระทำผิดร้ายแรง โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าทำงาน เกินเวลา ค่าเที่ยวการขับรถเหมาจ่าย ค่าขับรถด้วยความปลอดภัยเหมาจ่าย และค่าขับรถลักษณะประหยัด น้ำมันเหมาจ่าย ไม่ใช่ค่าจ้าง ศาลแรงงานภาค ๒ พิจารณาแล้วเห็นว่า การกระทำของโจทก์ทั้งสองไม่เป็นการทุจริตต่อหน้าที่ หรือกระทำผิดอาญาโดยเจตนาต่อนายจ้าง ข้อเท็จจริงไม่อาจกำหนดค่าทำงานเกินเวลาปกติของโจทก์ ทั้งสองได้ พิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าเสียหายจากการเลิกจ้าง ที่ไม่เป็นธรรม แก่โจทก์ทั้งสองพร้อมดอกเบี้ย คำขออื่นให้ยก โจทก์ทั้งสองและจำเลยอุทธรณ์ ประเด็น “ค่าขับรถด้วยความปลอดภัย” ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษเห็นว่า เมื่อการจ่าย ค่าขับรถด้วยความปลอดภัยไม่เกิดอุบัติเหตุเหมาจ่ายให้เดือนละ ๓,๐๐๐ บาท มีหลักเกณฑ์ซึ่งเป็นเงื่อนไข ในการจ่ายเงินดังกล่าวเพื่อจูงใจให้โจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นพนักงานขับรถบรรทุกน้ำมันจะต้องขับรถด้วยความ ระมัดระวังไม่ให้เกิดอุบัติเหตุจึงจะได้รับเงินดังกล่าวเป็นประจำทุกเดือน หากเกิดอุบัติเหตุโดยเป็นความผิด ของโจทก์ทั้งสองก็จะไม่ได้รับเงินดังกล่าว เงินค่าขับรถด้วยความปลอดภัยที่จำเลยจ่ายให้แก่โจทก์ทั้งสอง จึงมิใช่เงินที่นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างเพื่อเป็นค่าตอบแทนการทำงานโดยตรงตามสัญญาจ้างสำหรับระยะเวลา การทำงานปกติ จึงไม่เป็นค่าจ้างตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๕ ประเด็นค่าตอบแทนการทำงานเกินเวลาปกติที่โจทก์อุทธรณ์ว่า การขนส่งน้ำมันต้องทำ ต่อเนื่องไป ทั้งการรอคิวรับงานใช้เวลา ๒ – ๔ ชั่วโมง ต้องเอารถไปตรวจสภาพก่อนแล้วรอรับใบระบุชนิด น้ำมัน ซึ่งต้องใช้เวลาประมาณ ๔ ชั่วโมง หลังจากนั้นต้องไปขอรับเอกสารพร้อมซีลล็อกฝาถังน้ำมัน แล้วนำรถ ไปเข้าคิวบรรจุน้ำมันลงถังใช้เวลาอีก ๒ ชั่วโมง ขับรถบรรทุกน้ำมันไปส่งให้ลูกค้า เวลาในการขับรถขึ้นอยู่กับ สถานที่ที่จะไปส่งน้ำมัน เสร็จแล้วต้องขับรถกลับมาที่ทำการจำเลยเพื่อรอเติมน้ำมันและรอรับงานเที่ยวต่อไป เห็นว่า งานที่โจทก์ทั้งสามต้องปฏิบัติคือ “การขับรถบรรทุกน้ำมัน” ไปส่งให้แก่ลูกค้าของจำเลย ทำงาน จันทร์ – เสาร์ หยุดวันอาทิตย์และวันนักขัตฤกษ์ โจทก์ทั้งสองจึงถือเป็น ลูกจ้างของจำเลยในงานขนส่ง ทางบกตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๖๕ (๙) ประกอบกฎกระทรวง ฉบับที่ ๑๒ (พ.ศ. ๒๕๔๑) ข้อ ๖ มีสิทธิได้รับค่าตอบแทนเป็นเงินเท่ากับอัตราค่าจ้างต่อชั่วโมงในวันทำงาน ตามจำนวนชั่วโมงที่ทำเกินเวลาทำงานปกติตามจำนวนเวลาที่โจทก์ทั้งสามทำงานเกินจากวันละ ๗ ชั่วโมง เพราะเป็นงานเกี่ยวกับการขนส่งวัตถุอันตรายตามกฎกระทรวง ฉบับที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๔๑) โดยต้องคำนวณ ค่าจ้างตลอดระยะเวลาที่โจทก์ทั้งสามปฏิบัติงานให้แก่จำเลย ไม่จำกัดเฉพาะเวลาที่โจทก์ทั้งสามขับรถ เท่านั้นแต่หมายความรวมถึง ระยะเวลาที่โจทก์ทั้งสามเดินทางไปที่ทำการของจำเลยเพื่อพักรองาน
นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๓๗ - และระยะเวลาที่โจทก์ทั้งสามต้องดำเนินการต่าง ๆ เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนที่จะขับรถไปส่งน้ำมันให้แก่ ลูกค้า โดยถือเกณฑ์คำนวณค่าตอบแทนการทำงานเกินเวลาปกติเฉลี่ยจากค่าเที่ยวการขับรถและค่าขับรถ ลักษณะประหยัดน้ำมัน รวมกับค่าจ้างพื้นฐาน ได้ค่าจ้างเฉลี่ยวันละหรือชั่วโมงละเท่าใด แล้วนำค่าจ้างเฉลี่ย รายชั่วโมงนั้นมาคำนวณค่าตอบแทนการทำงานเกินเวลาปกติพร้อมดอกเบี้ยผิดนัดอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป แต่จำนวนเงินดังกล่าวต้องไม่เกินคำขอ โดยพิจารณาพยานหลักฐานจากเอกสาร เกี่ยวกับการจ่ายค่าตอบแทนการทำงานตามมาตรา ๑๑๔ และมาตรา ๑๑๕ ด้วย ดังนั้น ที่ศาลแรงงานภาค ๒ วินิจฉัยว่า โจทก์ทั้งสองไม่ได้ทำงานขับรถไปส่งน้ำมันให้แก่ลูกค้าทุกวันและการขับรถไปส่งน้ำมันยังมี ระยะเวลาเริ่มต้นและสิ้นสุดไม่แน่นอนจึงไม่อาจกำหนดให้จำเลยจ่ายค่าทำงานเกินเวลาปกติได้นั้น ศาล อุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษไม่เห็นพ้องด้วย กรณีจึงต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลแรงงานภาค ๒ ฟังข้อเท็จจริง และพิจารณากำหนดจำนวนค่าทำงานเกินเวลาปกติ โดยถือเกณฑ์ดังที่ได้วินิจฉัยข้างต้น แล้วพิพากษา คดีใหม่ พิพากษาแก้เป็น ให้ยกคำพิพากษาศาลแรงงานภาค ๒ ในปัญหาว่าโจทก์ทั้งสองมีสิทธิได้รับค่า ทำงานเกินเวลาปกติหรือไม่ โดยให้ย้อนสำนวนไปให้ศาลแรงงานภาค ๒ ฟังข้อเท็จจริงและพิพากษาในปัญหานี้ ใหม่ต่อไปตามรูปคดี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานภาค ๒
นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๓๘ - ๗. ค่าน้ำมันรถ ค่าสึกหรอ เป็นค่าจ้าง ๑. คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่ ๒๗๙๘/๒๕๖๒ เรื่อง ลูกจ้างละทิ้งหน้าที่การงานไปพบพนักงานตรวจแรงงาน นายจ้างเลิกจ้างได้โดยไม่ต้อง จ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า และค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม แต่ไม่ใช่กรณีละทิ้ง หน้าที่ ๓ วันทำงานติดต่อกัน เลิกจ้างจึงต้องจ่ายค่าชดเชย , ค่าสึกหรอและค่าน้ำมันรถจักรยานยนต์ นายจ้างจ่ายให้ลูกจ้างเท่ากันทุกเดือน ไม่ต้องแสดงใบเสร็จ จึงเป็นค่าจ้าง ตามมาตรา ๕ คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า จำเลยจ้างโจทก์เป็นลูกจ้างจำเลยตำแหน่งพนักงานเก็บเช็คและวางบิล ค่าจ้าง เดือนละ ๒๑,๐๐๐ บาท ปี ๒๕๕๙ โจทก์มีอาการป่วยเส้นเลือดในสมองตีบ ๑ เส้น ในปีนั้น โจทก์ลาป่วย ไม่ต่อเนื่อง ๑๙ วัน เพื่อรักษาตัว ต่อมาวันที่ ๒๑ กันยายน ๒๕๖๐ ฝ่ายบุคคลจำเลยโทรศัพท์แจ้งดจทก์ไม่ต้อง เข้ามาทำงานแต่ให้ไปพบแพทย์เพื่อออกใบรับรองมายืนยันว่าสามารถทำงานกับจำเลยได้ โจทก์ไปพบแพทย์ แพทย์สรุปความเห็นว่าอาการเส้นเลือดสมองตีบไม่เป็นอุปสรรคต่อการขับรถ ต่อมาวันที่ ๒๒ กันยายน ๒๕๖๐ โจทก์เข้าไปทำงานตามปกติและนำใบรับรองแพทย์ยื่นต่อฝ่ายบุคคล แต่จำเลยแจ้งว่าได้ย้ายโจทก์ไปปฏิบัติ หน้าที่โกดังสินค้า ทั้งมีการปรับลดเงินเดือนเหลือ ๑๔,๐๐๐ บาท พร้อมให้ลงลายมือชื่อยินยอม แต่โจทก์ไม่ ยินยอม ต่อมาวันที่ ๒๓ กันยายน ๒๕๖๐ ช่วงเช้า โจทกืทราบจากเพื่อร่วมงานว่าจำเลยเก็บบัตรลงเวลาทำงาน ทั้งไม่มีของใช้และโต๊ะทำงานของโจทก์เหลืออยู่ วันที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๖๐ โจทก์ไปพบพนักงานตรวจแรงงาน เพื่อขอให้ช่วยเจรจาให้จำเลยรับโจทก์กลับเข้าทำงาน พนักงานตรวจแรงงานโทรศัพท์ติดต่อฝ่ายบุคคลแต่ได้รับ แจ้งว่าโจทก์ยังไม่ต้องเข้าไปทำงาน ต่อมาวันที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๖๐ จำเลยเลิกจ้างโจทก์อ้างขาดงานวันที่ ๒๒ - ๒๕ กันยายน ๒๕๖๐ เป็นเวลา ๓ วันทำงาน ขอบังคับให้จำเลยจ่ายค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าว ล่วงหน้า ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม พร้อมดอกเบี้ย ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าชดเชย ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม พร้อมดอกเบี้ย จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ เห็นว่า ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงยุติว่า โจทก์มิได้ขาดงานหรือ ละทิ้งหน้าที่ในวันที่ ๒๒ กันยายน ๒๕๖๐ แต่โจทก์มิได้ไปปฏิบัติงานวันที่ ๒๓ และวันที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๖๐ จึงมิใช่การละทิ้งหน้าที่เป็นเวลา ๓ วันทำงานติดต่อกันโดยไม่มีเหตุอันสมควร ตามพระราชบัญญัติคุ้มครอง แรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๑๑๙ (๕) ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้โจทก์มีสิทธิได้รับค่าชดเชยจึงชอบแล้ว แต่เมื่อโจทก์ละทิ้งหน้าที่ในวันที่ ๒๓ และวันที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๖๐ จึงเป็นการละทิ้งหน้าที่การงานไปเสีย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๕๘๓ จำเลยจึงเลิกจ้างได้โดยไม่ต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอก กล่าวล่วงหน้า และค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม จำเลยจ่ายค่าสึกหรอและค่าน้ำมันรถจักรยานยนต์ให้แก่โจทก์เท่ากันทุกเดือน โดยไม่คำนึงว่า โจทก์ซึ่งเป็นลูกจ้างจะใช้น้ำมันรถจักรยานยนต์หรือไม่ หรือใช้จ่ายไปจำนวนเท่าใด ทั้งไม่ปรากฎว่าโจทก์ต้อง แสดงใบเสร็จค่าน้ำมันรถจักรยานยนต์ที่ใช้ในการปฏิบัติงาน ดังนั้น “เงินค่าสึกหรอและค่าน้ำมัน
นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๓๙ - รถจักรยานยนต์” ที่ใช้ในการปฏิบัติงาน จึงเป็นค่าจ้าง ตามมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยไม่ต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า และและค่าเสียหาย จากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง ๒. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๒๐๗๕ – ๒๐๗๘ /๒๕๕๗ เรื่อง ค่าน้ำมันรถเดือนละ ๔,๔๐๐ บาท ลูกจ้างได้รับเท่ากันทุกเดือน ค่าน้ำมันรถจึงเป็นเงิน ที่จ่ายตอบแทนการทำงาน เป็นค่าจ้าง โจทก์กับพวกเป็นลูกจ้างจำเลยตำแหน่งพนักงานขาย จำเลยจ่ายค่าน้ำมันให้แก่โจทก์กับพวก คนละ ๔,๔๐๐ บาท เป็นประจำทุกเดือน โดยจำเลยเคยออกหนังสือรับรองเงินเดือนให้แก่โจทก์ระบุว่าโจทก์ ที่ ๑ ได้รับอัตราเงินเดือนๆ ละ ๒๘,๔๙๕ บาท ซึ่งเป็นจำนวนที่รวมค่าน้ำมันไว้ด้วย ทั้งตามเอกสารซึ่งแสดง เงินเดือนและรายได้อื่น ๆ ของลูกจ้างก็ปรากฏว่าลูกจ้างของจำเลยซึ่งทำงานในตำแหน่งอื่นที่มิใช่ตำแหน่งที่ จะต้องออกตลาดดังเช่นโจทก์กับพวกทั้งสี่ จำเลยก็จ่ายค่าน้ำมันให้ประจำทุกเดือนด้วย ดังนี้จึงแสดงให้เห็นถึง เจตนาในการจ่ายค่าน้ำมันของจำเลยให้แก่โจทก์ทั้งสี่ว่า จำเลยมีวัตถุประสงค์ในการจ่ายเงินดังกล่าวเพื่อเป็น การตอบแทนในการทำงานตามสัญญาจ้างสำหรับระยะเวลาทำงานตามปกติ ค่าน้ำมันที่จำเลยจ่ายให้แก่โจทก์ ทั้งสี่จึงเป็นค่าจ้างตามมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ ๓. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๗๗๘๐-๗๗๘๒/๒๕๕๖ (ค่ารับรอง ค่าน้ำมันรถ) เรื่อง ค่ารับรอง ค่าน้ำมันรถ แม้ต้องใช้ใบเสร็จประกอบการเบิกแต่นายจ้างจ่ายในอัตราคงที่ เท่ากันทุกเดือน ถือเป็นค่าจ้าง ค่าจ้างมีกำหนดอายุความ ๒ ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๙๓/๓๔ (๙) สำหรับค่าจ้างเดือนสิงหาคม ๒๕๔๕ ถึงกำหนดจ่ายวันที่ ๕ กันยายน ๒๕๔๕ แต่โจทก์ที่ ๓ ฟ้องคดีเมื่อวันที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๔๗ แต่โจทก์ที่ ๓ ฟ้องคดีเมื่อวันที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๔๗ เกินกำหนด ๒ ปี จึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๑๙๓/๓๔ (๙) จำเลยอุทธรณ์ประการแรกว่าสำหรับเงินค่าน้ำมันรถและเงินค่ารับรองลูกค้านั้น โจทก์ทั้งสาม จะต้องนำใบเสร็จรับเงินมาประกอบการเบิกเพื่อแสดงว่าโจทก์ทั้งสามได้มีการจ่ายเงินดังกล่าวไปจริงซึ่งถือว่า เงินดังกล่าวโจทก์ทั้งสามได้สำรองจ่ายไปก่อนแทนจำเลยและถือว่าเป็นค่าใช้จ่ายของจำเลยที่ไม่ได้จัดหารถ ให้แก่โจทก์ทั้งสาม เงินดังกล่าวจึงไม่ใช่ค่าจ้างนั้น เห็นว่า แม้ศาลแรงงานกลางจะฟังข้อเท็จจริงว่าการได้รับ ค่าน้ำมันรถและเงินค่ารับรองลูกค้าจะต้องนำใบเสร็จรับเงินมาประกอบการเบิก แต่ศาลแรงงานกลางก็ฟัง ข้อเท็จจริงต่อไปว่าเงินดังกล่าวจำเลยจ่ายในอัตราคงที่ทุกเดือนด้วยจึงเป็นค่าจ้าง อุทธรณ์ของจำเลยดังกล่าว จึงเป็นการยกข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลางเพียงบางส่วนขึ้นอ้างในอุทธรณ์เพื่อให้ศาลฎีกา ฟังว่าเงินค่าน้ำมันรถและค่ารับรองลูกค้ามิใช่ค่าจ้างจึงเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงต้องห้ามมิใช้อุทธรณ์
นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๔๐ - ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๕๔ วรรคหนึ่ง ศาลฎีกา ไม่รับวินิจฉัย ๔. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๗๕๐-๗๕๑/๒๕๕๔ เรื่อง เบี้ยเลี้ยง ค่าน้ำมันรถยนต์ ค่าสึกหรอรถยนต์ ค่าโทรศัพท์ เงินดังกล่าวนายจ้างจ่ายให้ ลูกจ้างประจำลักษณะเหมาจ่ายเป็นรายเดือน ไม่คำนึงถึงว่าจะได้ใช้จ่ายเป็นค่าบำรุงรักษารถยนต์และ ค่าโทรศัพท์ไปหรือไม่เพียงใด ไม่ต้องแสดงใบเสร็จ จึงเป็นค่าจ้าง (มาตรา ๕) จำเลยจ่ายเงินค่าเบี้ยเลี้ยงและค่าน้ำมันรถยนต์ จำนวน ๕,๐๐๐ บาท ค่าสึกหรอรถยนต์ ๒,๐๐๐ บาท และค่าโทรศัพท์ ๑,๐๐๐ บาท รวม ๘,๐๐๐ บาท เงินดังกล่าวจำเลยให้โจทก์ประจำลักษณะ เหมาจ่ายเป็นรายเดือน ไม่คำนึงถึงว่าจะได้ใช้จ่ายเป็นค่าบำรุงรักษารถยนต์และค่าโทรศัพท์ไปหรือไม่เพียงใด โจทก์ไม่ต้องแสดงใบเสร็จเป็นหลักฐานในการรับเงิน การจ่ายเงินดังกล่าวจึงเป็นการจ่ายเพื่อตอบแทน การทำงานของโจทก์ในลักษณะเดียวกันกับค่าจ้าง จึงเป็นค่าจ้างตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๕
นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๔๑ - ไม่เป็นค่าจ้าง ๑. คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่ ๕๐๘๓/๒๕๖๑ เรื่อง การที่นายจ้างเลิกจ้างเป็นการใช้สิทธิตามสัญญาจ้างแรงงาน จึงไม่เป็นการละเมิดต่อ ลูกจ้าง เมื่อศาลกำหนดค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมให้แล้ว การที่ศาลแรงงานกำหนด ค่าเสียหายจากการละเมิดจึงเป็นการกำหนดค่าเสียหายที่ซ้ำซ้อนโดยอาศัยมูลเหตุเดียวกัน ย่อมเป็นการ ไม่ชอบ , ค่าเช่ารถยนต์จ่ายให้พนักงานเป็นผู้จัดหารถยนต์มาเอง ส่วนค่าน้ำมันรถยนต์และค่าโทรศัพท์ จ่ายตามที่ใช้จริงมิใช่การเหมาจ่าย ดังนั้น ค่าเช่ารถยนต์ ค่าน้ำมันรถยนต์ และค่าโทรศัพท์ จึงเป็น สวัสดิการ ไม่ใช่ค่าจ้าง คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นลูกจ้างจำเลยตั้งแต่วันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๓๖ ตำแหน่งผู้จัดการ เครื่องดื่มฝ่ายการตลาด ได้รับเงินเดือนเดือนละ ๒๗๗,๒๔๐ บาท ค่าเช่ารถยนต์เดือนละ ๓๗,๕๐๐ บาท ค่าโทรศัพท์เดือนละ ๑,๕๐๐ บาท และค่าน้ำมันรถยนต์ ๒๔๐ ลิตรต่อเดือน รวมเป็นค่าจ้างเดือนละ ๓๒๒,๙๒๔ บาท ต่อมาวันที่ ๒๓ มกราคม ๒๕๖๐ จำเลยเลิกจ้างโจทก์ให้มีผลตั้งแต่วันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐ เป็นต้นไป ขอบังัคบให้จำเลยจ่ายค่าชดเชย ๓,๒๒๙,๒๔๐ บาท ค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี ๑๒๐,๑๓๗ บาท สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ๓๒๒,๙๒๔ บาท เงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพฝ่ายจำเลย ๒,๕๐๔,๗๑๒ บาท เงินโบนัส เป็นเงิน ๖๙๓,๑๐๐ บาท เงินรางวัลจากการแข่งขันพิเศษปี ๒๕๕๙ เป็นเงิน ๒๕๐,๐๐๐ บาท ค่าเสียหายจากการละเมิด ๖,๐๐๐,๐๐๐ บาท ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ๗,๗๕๒,๗๖๘ บาท พร้อมดอกเบี้ย จำเลยให้การว่าโจทก์กระทำผิดวินัยร้ายแรงหลายกรณี ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ๒๗๗,๒๔๐ บาท ค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี ๑๒๐,๑๓๗ บาท ค่าชดเชย ๒,๗๗๒,๔๐๐ บาท เงินโบนัส ๕๒๘,๗๙๕ บาท เงินรางวัลการแข่งขันฯ ๒๕๐,๐๐๐ บาท ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ๒,๗๗๒,๔๐๐ บาท และค่าเสียหายจากการละเมิด ๕๕๔,๔๘๐ บาท พร้อมดอกเบี้ย คำขออื่นให้ยก โจทก์และ จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ เห็นว่า ค่าจ้าง ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๕ นั้น ต้องเป็นเงินที่นายจ้างจ่ายตอบแทนการทำงานให้แก่ลูกจ้างตามที่ตกลงกัน ส่วนสิทธิประโยชน์ ต่าง ๆ ที่นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างเพื่อความสะดวกในการทำงานหรือเป็นสวัสดิการ แม้นายจ้างจะจ่ายเงิน ดังกล่าวจำนวนแน่นอนเท่า ๆ กันทุกเดือน ก็ไม่เป็นค่าจ้าง ข้อเท็จจริงปรากฏว่า จำเลยจะจ่ายค่าเช่ารถยนต์ รายเดือนให้แก่พนักงานเมื่อพนักงานเป็นผู้จัดหารถยนต์มาเอง ส่วนค่าน้ำมันรถยนต์และค่าโทรศัพท์จำเลย จะจ่ายให้แก่พนักงานตามที่ใช้จริงมิใช่การเหมาจ่าย ดังนั้น ค่าเช่ารถยนต์ ค่าน้ำมันรถยนต์ และค่าโทรศัพท์ที่ จำเลยจ่ายให้แก่โจทก์จึงเป็นสวัสดิการที่จำเลยจัดให้โจทก์ซึ่งเป็นพนักงานในตำแหน่งดังกล่าว มิใช่เงินที่ นายจ้างและลูกจ้างตกลงจ่ายเป็นค่าตอบแทนในการทำงานตามสัญญาจ้างสำหรับระยะเวลาการทำงานปกติ เป็นรายเดือนแก่โจทก์จึงไม่ใช่ค่าจ้าง
นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๔๒ - ประเด็นละเมิด ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ เห็นว่า การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์เป็นการใช้สิทธิตาม สัญญาจ้างแรงงานจึงไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์ แม้จำเลยจะเลิกจ้างโจทก์โดยผิดสัญญาจ้างแรงงาน แต่เมื่อ ศาลแรงงานกลางกำหนดค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่มเป็นธรรม เนื่องจากเป็นการเลิกจ้างที่ไม่มีเหตุอัน สมควร ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งเป็นมูลคดีเดียวกันกับการเลิกจ้างโดยผิดสัญญาจ้างแรงงาน หรือตามที่โจทก์ อ้างว่าเป็นการละเมิดก็ตามให้แก่โจทก์แล้ว จึงเป็นการกำหนดค่าเสียหายที่ซ้ำซ้อนโดยอาศัยมูลเหตุเดียวกัน ย่อมเป็นการไม่ชอบ ที่ศาลแรงงานกลางกำหนดค่าเสียหายจาการละเมิดให้แก่โจทก์นั้น ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญ พิเศษไม่เห็นพ้องด้วย พิพากษาแก้เป็น ยกฟ้องโจทก์ในส่วนค่าเสียหายจาการละเมิด นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตาม คำพิพากษาศาลแรงงานกลาง ๒. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๕๑๓-๑๕๑๔/๒๕๕๗ เรื่อง เบี้ยเลี้ยง ค่าน้ำมัน ค่าโทรศัพท์ ค่าดูแลลูกค้า ค่าพาหนะ ต้องนำใบเสร็จมาแสดง เงินดังกล่าวจึงเป็นเพียงค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติงาน จึงไม่เป็นค่าจ้าง ค่าคอมมิชชั่น นายจ้างจ่ายเพื่อให้ พนักงานขายที่อยู่ในความดูแลของลูกจ้างทำยอดขายเพิ่ม จึงเป็นการจ่ายเพื่อจูงใจ ไม่เป็นค่าจ้าง จำเลยจ้างโจทก์ทั้งสองเป็นลูกจ้าง ในการทำงานของโจทก์ทั้งสอง หากเดินทางไปทำงานที่ ต่างจังหวัด โจทก์ทั้งสองได้รับเบี้ยเลี้ยง ค่าน้ำมัน ค่าโทรศัพท์ ค่าดูแลลูกค้า ตามที่จ่ายจริง โดยโจทก์ทั้งสอง จะต้องนำใบเสร็จค่าใช้จ่ายมาแสดงต่อจำเลยและจำเลยจะจ่ายเงินคืนให้ตามใบเสร็จ เงินดังกล่าวจึงเป็นเพียง ค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติงานของโจทก์ หาใช่ค่าจ้างไม่ ส่วนค่าพาหนะจำเลยจ่ายให้โจทก์ทั้งสองเพื่อชดเชย กับการที่โจทก์ทั้งสองนำรถยนต์ส่วนตัวไปใช้ในการทำงาน หากไม่นำรถยนต์ส่วนตัวไปใช้ จำเลยก็ไม่จ่ายให้ ค่าพาหนะจึงเป็นเงินที่จำเลยจ่ายเพื่อชดเชยกับการที่โจทก์ทั้งสองนำรถยนต์ส่วนตัวไปใช้ในการทำงาน ค่าพาหนะจึงไม่ใช่ค่าจ้าง ส่วนค่าคอมมิชชั่น จำเลยจ่ายให้เพื่อจูงใจให้ผลงานการขายเพิ่มขึ้น โดยคำนวณจาก ยอดขายของพนักงานขายที่อยู่ในความดูแลของโจทก์ซึ่งแต่ละเดือนจะได้รับไม่เท่ากัน จึงไม่เป็นค่าจ้าง ๓. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๒๑๒๒/๒๕๕๕ เรื่อง ค่าพาหนะเหมาจ่ายเดือนละ ๗๐,๐๐๐ บาท ไม่เป็นค่าจ้างตามระเบียบคณะกรรมการ รัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่อง มาตรฐานของสิทธิประโยชน์ของพนักงานรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. ๒๕๓๔ โจทก์ทำงานในตำแหน่งผู้อำนวยการใหญ่ฝ่ายกิจการพิเศษได้รับค่าจ้างเดือนละ ๑๑๖,๖๘๗ บาท และค่าพาหนะเหมาจ่ายเดือนละ ๗๐,๐๐๐ บาท ซึ่งเดิมโจทก์ได้รับค่าพาหนะเหมาจ่ายรายเดือนๆ ละ ๑๗,๘๓๐ บาท โดยจำเลยเป็นผู้จัดหายานพาหนะและคนขับให้แก่โจทก์ ต่อมารัฐบาลมีนโยบายที่จะลด ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับพาหนะลง จำเลยเป็นรัฐวิสาหกิจจึงได้นำนโยบายดังกล่าวมาใช้บังคับและปรับเปลี่ยน ค่าพาหนะให้แก่โจทก์เดือนละ ๗๐,๐๐๐ บาท โดยโจทก์จะต้องจัดหายานพาหนะและคนขับตลอดจน รับผิดชอบค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องเอง จำเลยจ่ายเงินจำนวนนี้เพื่อแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายของโจทก์เป็นเพียง
นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๔๓ - ค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติงานเท่านั้น แม้จะจ่ายเป็นประจำทุกเดือนโดยไม่ต้องนำหลักฐานมาแสดงเพื่อเบิกจ่าย ก็มิใช่เงินเดือนค่าจ้างตามความหมายของระเบียบคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์เรื่อง มาตรฐานของสิทธิประโยชน์ ของพนักงานรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. ๒๕๓๔ ๔. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๒๙๖๗/๒๕๕๕ เรื่อง ค่าเช่าบ้าน ค่าพาหนะ ถือเป็นเงินที่เจตนามาแต่แรกที่จะให้เป็นสวัสดิการ แม้จะจ่าย ให้เป็นประจำทุกเดือนโดยไม่มีเงื่อนไขว่าต้องนำเอกสารมาเบิกจ่ายก็เป็นเพียงวิธีการจ่ายเงินในลักษณะ เหมาจ่ายเพื่อความสะดวกในทางปฏิบัติจึงไม่ใช่ค่าจ้าง จำเลยจ้างโจทก์เป็นลูกจ้างทำงานตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายบุคคลและธุรการโดยตกลงจ่ายค่าเช่า บ้านเดือนละ ๑,๐๐๐ บาท และค่าพาหนะเดือนละ ๑,๐๐๐ บาท ซึ่งจ่ายเป็นประจำทุกเดือน ข้อเท็จจริง ปรากฏว่าสัญญาจ้างระหว่างโจทก์กับจำเลยข้อ ๑ ระบุว่าตกลงจ่ายค่าจ้างเดือนละ ๒๐,๐๐๐ บาท และสวัสดิการ ค่าเช่าบ้านเดือนละ ๑,๐๐๐ บาท ค่าเดินทางเดือนละ ๑,๐๐๐ บาท...ซึ่งสอดคล้องกับประกาศรับสมัครที่ ประกาศรับสมัครตำแหน่งผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายบุคคลและธุรการโดยระบุว่า มีสวัสดิการ เช่น ค่าเช่าบ้าน หอพัก บริษัท รถรับส่งพนักงาน ค่าอาหาร ฯลฯ ในกรณีของโจทก์นั้นไม่ต้องการบ้านพักบริษัทก็จะช่วยเหลือเป็นค่าเช่า เดือนละ ๑,๐๐๐ บาท บ้านพักที่บริษัทจัดให้พนักงานพักอาศัยมี ๘๐ ห้อง สำหรับพนักงานทั่วไปที่ไม่มีบ้านพัก จะได้ค่าเช่าเดือนละ ๕๐๐ บาท ผู้บริหารจะได้เดือนละ ๑,๐๐๐ บาท ดังนั้นจึงเห็นได้ว่าการตกลงจ่ายเงิน ดังกล่าวกันตามสัญญาจ้างของโจทก์กับจำเลยมีเจตนามาแต่แรกที่จะให้เป็นสวัสดิการเพื่อช่วยเหลือ พนักงานนอกเหนือจากค่าจ้างที่กำหนดไว้เป็นเงินเดือน แม้ค่าเช่าบ้านและค่าพาหนะจำเลยจะจ่ายให้โจทก์ เป็นประจำทุกเดือนโดยไม่มีเงื่อนไขว่าต้องนำเอกสารหรือหลักฐานมาเบิกจ่ายก็เป็นเพียงวิธีการจ่ายเงิน ในลักษณะเหมาจ่ายเพื่อความสะดวกในทางปฏิบัติ และมิได้แสดงว่าคู่สัญญาจะเปลี่ยนเจตนาให้สวัสดิการนั้น กลายเป็นค่าจ้างทั้งมิใช่กรณีที่นายจ้างมีเจตนาหลีกเลี่ยงการจ่ายค่าจ้างโดยฝ่าฝืนกฎหมายแต่อย่างใด เงินค่าเช่าบ้านและเงินค่าพาหนะจึงไม่ใช่ค่าจ้างตามมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ ๕. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๓๘๙๕/๒๕๕๕ เรื่อง ค่าพาหนะเป็นเงินเพิ่มแก่ลูกจ้างเป็นครั้งคราวตามลักษณะการทำงาน ไม่ใช่จ่าย เพื่อตอบแทนการทำงาน จึงไม่ใช่ค่าจ้าง เดิมจำเลยจ่ายค่าพาหนะให้โจทก์เมื่อไปปฏิบัติงานนอกสถานที่เป็นรายครั้งตามค่าใช้จ่ายที่โจทก์ เบิกจ่าย ต่อมาจำเลยเปลี่ยนแปลงโดยให้โจทก์รับค่าพาหนะเป็นการเหมาจ่ายรายเดือน ๆ ละ ๒,๐๐๐ บาท ตามคำสั่งที่ ๑๒/๒๕๒๗ ระบุว่า การอนุมัติค่าพาหนะให้แก่โจทก์ถือว่าเป็นการให้เฉพาะตำแหน่งที่ดำรงอยู่ ในขณะนั้นเท่านั้น หากมีการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งและลักษณะงานที่ไม่จำเป็นจะต้องได้รับค่าพาหนะ จำเลยมีสิทธิ ยกเลิกเงินได้ค่าพาหนะนั้น แปลความได้ว่าจำเลยตกลงให้ค่าพาหนะแก่โจทก์ต่อเมื่อโจทก์มีตำแหน่งและลักษณะงาน ที่ต้องเดินทางมิได้ให้ค่าพาหนะเป็นการถาวรตลอดไปมีการเปลี่ยนแปลงได้ กรณีจึงเป็นการที่นายจ้างให้เงินเพิ่ม
นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๔๔ - แก่ลูกจ้างเป็นครั้งคราวตามลักษณะการทำงาน มิได้ให้เพื่อตอบแทนการทำงานโดยตรงจึงไม่ถือเป็นค่าจ้าง ตามมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ ล
นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๔๕ - ๘. ค่าตอบแทนตามผลงาน เป็นค่าจ้าง ๑. คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ ที่ ๓๔๐/๒๕๖๑ เรื่อง นายจ้างประกอบกิจการนำเที่ยว ตกลงจ่ายเงินตอบแทนให้ลูกจ้างตามผลงานโดย คำนวณตามจำนวนลูกค้าในอัตรา ๗ บาท ต่อลูกค้า ๑ คน ในแต่ละเดือน และอีกร้อยละ ๓ ของเงิน จำนวนร้อยละ ๑ ของค่านายหน้าที่ร้านค้าส่งให้แก่นายจ้าง แม้จะเป็นการจูงใจให้ลูกจ้างเพิ่มประสิทธิภาพ ในการทำงาน แต่ก็เป็นเงินที่นายจ้างตกลงจ่ายให้แก่ลูกจ้างโดยคำนวณจากฐานจำนวนลูกค้าและ ค่านายหน้าที่ร้านค้าส่งให้ในอัตราส่วนแน่นอน มีกำหนดจ่ายทุกเดือน “ค่าตอบแทนตามผลงาน” จึงเป็น ค่าจ้างตามมาตรา ๕ ซึ่งต้องนำมาคิดคำนวณค่าชดเชย คดีนี้โจทก์ว่า จำเลยมีวัตถุประสงค์ประกอบกิจการนำเที่ยว แนะนำชาวต่างชาติเข้ามาท่องเที่ยว ในประเทศไทย โจทก์ทำงานตำแหน่งฝ่ายบัญชีและการเงิน ได้รับค่าจ้างเดือนละ ๓๕,๐๐๐ บาท และค่าจ้าง ตามผลงานโดยคิดคำนวณตามจำนวนลูกค้าในอัตรา ๗ บาท ต่อลูกค้า ๑ คน กับได้รับร้อยละ ๓ ของเงิน จำนวนร้อยละ ๑ ของค่านายหน้าที่ร้านค้าส่งให้แก่จำเลย ซึ่งจำเลยชำระเป็นเงินสดทุกวันที่ ๑๐ ของทุกเดือน ต่อมาวันที่ ๑๐ สิงหาคม ๒๕๕๙ จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยมิได้กระทำความผิด ขอบังคับให้จำเลยจ่ายสินจ้าง แทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าชดเชยส่วนที่จ่ายไม่ครบเนื่องจากไม่นำค่าจ้างตามผลงานไปคำนวณ ค่าเสียหาย จากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม และอื่น ๆ พร้อมดอกเบี้ยและเงินเพิ่ม จำเลยให้การว่าค่าจ้างจากฐานผลงานไม่ใช่ ค่าจ้าง ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าชดเชย ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม พร้อมดอกเบี้ย คำขออื่นให้ยก จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษเห็นว่า เงินตอบแทนที่ลูกจ้างจะได้รับตามผลงานโดยคำนวณตาม จำนวนลูกค้าในอัตรา ๗ บาท ต่อลูกค้า ๑ คน ในแต่ละเดือน และอีกร้อยละ ๓ ของเงินจำนวนร้อยละ ๑ ของค่านายหน้าที่ร้านค้าส่งให้แก่จำเลย ซึ่งกำหนดจ่ายทุกเดือน แม้จะเป็นการจูงใจให้ลูกจ้างเพิ่มประสิทธิภาพ ในการทำงาน แต่ก็เป็นเงินที่นายจ้างตกลงจ่ายให้แก่ลูกจ้าง โดยคำนวณจากฐานจำนวนลูกค้าและค่านายหน้า ที่ร้านค้าส่งให้ในอัตราส่วนแน่นอน มีกำหนดจ่ายในวันที่กำหนดไว้ในทุกเดือน จึงเป็นเงินที่จ่ายให้ลูกจ้างเพื่อ เป็นค่าตอบแทนจากการทำงานคำนวณตามผลงานที่ลูกจ้างทำได้ในเวลาปกติของการทำงาน ถือเป็นค่าจ้าง ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๕ ซึ่งต้องนำมาคิดคำนวณค่าชดเชย พิพากษายืน
นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๔๖ - ๙. เบี้ยเลี้ยง เป็นค่าจ้าง ๑. คำพิพากษาศาลฎีกา ที่ ๓๐๐๗/๒๕๖๑ เรื่อง เบี้ยเลี้ยงวันละ ๑๘๐ บาท เฉพาะวันที่มาทำงาน แม้ลูกจ้างไม่ได้เบี้ยเลี้ยงในวันหยุด วันลา วันไม่มาทำงาน และได้รับเป็นรายเดือนไม่แน่นอนก็ตาม แต่เบี้ยเลี้ยงเป็นเงินที่จำเลยจ่ายให้แก่ ลูกจ้างที่มาทำงานในเวลาปกติในอัตรารายวันแน่นอน โดยไม่ปรากฏว่าจะต้องปฏิบัติงานให้มีผลงานที่ เพิ่มขึ้นกว่าเดิมเพื่อให้เห็นว่าเป็นเงินจูงใจให้ลูกจ้างขยันปฏิบัติงานและเป็นขวัญกำลังใจให้แก่ผู้ปฏิบัติงาน หรือเป็นค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติงาน “เบี้ยเลี้ยง” จึงเป็นค่าจ้าง , ค่าครองชีพ และค่าวิชาชีพ เป็นค่าจ้าง คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า จำเลยประกอบกิจการรับจ้างรักษาความปลอดภัย รับส่งทรัพย์สิน และเติมเงิน ตู้เอทีเอ็ม จำเลยจ้างโจทก์เป็นลูกจ้างตำสุดท้ายเป็นหัวหน้าชุดสาขาสุราษฎร์ธานีมีหน้าที่เติมเงินตู้เอทีเอ็ม รับส่งทรัพย์สิน ได้รับค่าจ้างเดือนละ ๙,๖๙๕ บาท เบี้ยเลี้ยงวันละ ๑๘๐ บาท คิดเป็นเดือนละ ๕,๔๐๐ บาท ค่าอาหารวันละ ๔๐ บาท คิดเป็นเดือนละ ๑,๒๐๐ บาท ค่าครองชีพเดือนละ ๗๐๐ บาท และค่าวิชาชีพ เดือนละ ๘๐๐ บาท รวมรายได้ต่อเดือน ๑๗,๗๙๕ บาท ต่อมาวันที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๕๘ จำเลยเลิกจ้างโจทก์ โดยโจทก์มิได้กระทำผิดตามที่กล่าวอ้าง ขอบังคับให้จำเลยจ่ายค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม พร้อมดอกเบี้ย ศาลแรงงานภาค ๘ พิจารณาแล้ว เห็นว่า จำเลยไม่มี พยานหลักฐานยืนยันว่าโจทก์เอาเงินในกล่องบรรจุธนบัตรไป ฟังไม่ได้ว่าทุจริต กระทำผิดอาญาโดยเจตนา แก่จำเลย สำหรับเบี้ยเลี้ยงนั้นถือเป็นค่าจ้างซึ่งกำหนดให้เดือนละ ๔,๓๗๕ บาท เมื่อรวมค่าจ้างที่เป็นเงินเดือน ค่าเบี้ยเลี้ยง ค่าครองชีพ และค่าวิชาชีพแล้ว โจทก์ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ ๑๕,๕๗๐ บาท พิพากษา ให้จำเลยชำระเงินค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ๑๓๗,๕๓๕ บาท พร้อมดอกเบี้ย คำขออื่น ให้ยก จำเลยอุทธรณ์ ประเด็นว่าโจทก์ประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้จำเลยได้รับความเสียหายร้ายแรงหรือไม่ ศาลฎีกา เห็นว่า ศาลแรงงานภาค ๘ ได้วินิจฉัยว่า ข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยระบุในลักษณะกว้างๆ เป็นการทั่วไป ไม่ได้ระบุว่าหากต้องนำกล่องธนบัตรกลับคืนมาในกรณีเปลี่ยนกล่องธนบัตรไม่ได้นั้นมีขั้นตอน การปฏิบัติอย่างไร เมื่อโจทก์ไม่สามารถเปลี่ยนกล่องธนบัตรได้จึงโทรศัพท์สอบถามเจ้าหน้าที่ของจำเลย เจ้าหน้าที่ผู้ประสานงานของจำเลยให้หมายเลขโทรศัพท์ติดต่อกับเจ้าหน้าที่ผู้ดูแลของธนาคาร เมื่อโจทก์ ติดต่อไปเจ้าหน้าที่ผู้ดูแลของธนาคารแนะนำให้นำกล่องชุดที่นำไปเปลี่ยนและกล่องชุดที่นำออกจากตู้กลับมา พร้อมกัน แสดงว่าโจทก์ในฐานะหัวหน้าชุดต้องดำเนินการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าเอง จำเลยไม่สามารถยืนยัน ได้ว่าบุคคลใดเอาเงินของจำเลยไป และเงินหายไปในช่วงเวลาที่ไม่ได้ล็อกซีลหรือไม่ กรณีฟังไม่ได้ว่าเงินที่ สูญหายเกิดจากความประมาทเลินเล่อของโจทก์ด้วย การกระทำของโจทก์จึงไม่เป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับฯ เห็นได้ว่าศาลแรงงานภาค ๘ ได้วินิจฉัยว่าโจทก์ไม่ได้ประมาทเลินเล่อ ดังนี้ ที่โจทก์อุทธรณ์ว่าโจทก์ไม่ได้ใช้ ความระมัดระวังเกี่ยวกับการล็อกซีลกล่องพิลิแกน จึงเป็นอุทธรณ์โต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐาน ของศาลแรงงานภาค ๘ เป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์