นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๔๗ - ประเด็นว่าเบี้ยเลี้ยงเป็นค่าจ้างหรือไม่ เห็นว่า แม้ลูกจ้างไม่ได้เบี้ยเลี้ยงในวันหยุด วันลา วันไม่มา ทำงาน และได้รับเป็นรายเดือนไม่แน่นอนก็ตาม แต่เบี้ยเลี้ยงเป็นเงินที่จำเลยจ่ายให้แก่ลูกจ้างที่มาทำงานใน เวลาปกติในอัตรารายวันแน่นอน โดยไม่ปรากฏว่าโจทก์จะต้องปฏิบัติงานให้มีผลงานที่เพิ่มขึ้นกว่าเดิม เพื่อให้ เห็นว่าเป็นเงินจูงใจให้ลูกจ้างขยันปฏิบัติงานและเป็นขวัญกำลังใจให้แก่ผู้ปฏิบัติงาน หรือเป็นค่าใช้จ่ายในการ ปฏิบัติงาน ดังนี้ เบี้ยเลี้ยงที่จำเลยจ่ายให้แก่โจทก์จึงเป็นค่าตอบแทนในการทำงานตามสัญญาจ้างสำหรับ ระยะเวลาการทำงานปกติอันเป็นส่วนหนึ่งของค่าจ้าง ที่ศาลแรงงานภาค ๘ วินิจฉัยว่าเบี้ยเลี้ยงเป็นค่าจ้าง ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๕ จึงชอบแล้ว พิพากษายืน ๒. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๓๐๐๘/๒๕๖๑ (เบี้ยเลี้ยงเหมาจ่ายเป็นค่าจ้าง) เรื่อง ลูกจ้างทำงานตำแหน่งพนักงานขายประจำเขตภาคอีสานตอนบน มิใช่อยู่ที่สำนักงาน กรุงเทพแล้วส่งไปทำงานนอกสถานที่เป็นครั้งคราว นายจ้างจ่ายเบี้ยเลี้ยงเหมาจ่ายเดือนละ ๕,๐๐๐ บาท” แม้จะกำหนดเงื่อนไขว่าลูกจ้างมาทำงานไม่ครบ ๑๐ วัน จะคำนวณเป็นวัน วันละ ๕๐๐ บาท หากทำครบ ๑๐ วัน นายจ้างจะจ่ายเบี้ยเลี้ยงไม่เกิน ๕,๐๐๐ บาท อันมีลักษณะเหมาจ่ายเท่ากันทุกเดือน ตลอดมา“เบี้ยเลี้ยงเหมาจ่าย” จึงเป็นส่วนหนึ่งของค่าจ้าง ต้องนำมาเป็นฐานคำนวณค่าชดเชย คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า จำเลยจ้างโจทก์เป็นลูกจ้างตำแหน่งพนักงานขาย ทำงานประจำอยู่ในเขตภาค อีสานตอนบน ๑ จังหวัด ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ ๒๔,๐๐๐ บาท เบี้ยเลี้ยงเหมาจ่ายเดือนละ ๕,๐๐๐ บาท รวมเป็นค่าจ้างเดือนละ ๒๔,๐๐๐ บาท ต่อมาจำเลยมีหนังสือเลิกจ้างให้มีผลวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๘ อ้างต้องปรับโครงสร้าง จำเลยจ่ายค่าชดเชยและเงินอื่น ๆ ยังไม่ครบถ้วน ขอบังคับให้จำเลยจ่าย ค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า และค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม จำเลยให้การว่า เบี้ยเลี้ยงไม่ใช่ค่าจ้าง ศาลแรงงานภาค ๔ พิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าชดเชย สินจ้างแทนการ บอกกล่าวล่วงหน้า และค่าเสียหายจาการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม พร้อมดอกเบี้ย จำเลยอุทธรณ์ ศาลฎีกาเห็นว่า คดีนี้โจทก์ทำงานตำแหน่งพนักงานขายประจำเขตภาคอีสานตอนบน เช่น ขอนแก่น อุดรธานี...ลักษณะงานของโจทก์จึงเป็นการทำงานประจำที่เขตภาคอีสานตอนบน มิใช่ทำงานอยู่ที่ สำนักงานจำเลยที่กรุงเทพมหานครแล้วถูกส่งไปทำงานนอกสถานที่ประจำเป็นครั้งคราว ดังนั้น แม้ระเบียบของ จำเลยระบุให้จ่ายเบี้ยเลี้ยงวันละ ๕๐๐ บาท สูงสุดไม่เกิน ๕,๐๐๐ บาทต่อเดือน ลูกจ้างที่ทำงานประจำ สำนักงานจำเลยที่กรุงเทพฯ จะไม่ได้รับเบี้ยเลี้ยงดังกล่าว การจ่ายเบี้ยเลี้ยงถ้าลูกจ้างมาทำงานไม่ครบ ๑๐ วัน จะคำนวณเป็นรายวัน วันละ ๕๐๐ บาท หากลูกจ้างมาทำงานครบ ๑๐ วัน จำเลยจะจ่ายเบี้ยเลี้ยงไม่เกิน ๕,๐๐๐ บาทต่อเดือน แต่เมื่อพิจารณารายการจ่ายเงินเอกสาร...แล้ว แสดงให้เห็นว่าจำเลยจ่ายเงินค่าเบี้ยเลี้ยง ให้แก่โจทก์เดือนละ ๕,๐๐๐ บาท อันมีลักษณะเป็นการเหมาจ่ายเท่ากันทุกเดือนทั้งที่โจทก์ประจำทำงานอยู่ที่ ต่างจังหวัดตลอดมา แม้กระทั่งในเดือนกันยายน ๒๕๕๘ ที่จำเลยได้ย้ายโจทก์เข้ามาทำงานประจำที่สำนักงาน จำเลยที่กรุงเทพฯ ระหว่างวันที่ ๗ -๒๓ กันยายน ๒๕๕๘ แล้ว จำเลยก็ยังคงจ่ายเบี้ยเลี้ยงให้โจทก์เป็นเงิน สูงสุด ๕,๐๐๐ บาท โดยโจทก์ทำงานประจำที่ต่างจังหวัดเพียง ๕ วัน ตามรายการจ่ายเงิน เงินค่าเบี้ยเลี้ยง
นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๔๘ - ที่จำเลยจ่ายจึงมีวัตถุประสงค์ในการจ่ายเป็นค่าตอบแทนการทำงานตามสัญญาจ้างสำหรับระยะเวลาทำงาน ปกติ อันเป็นส่วนหนึ่งของค่าจ้างที่จำเลยจ่ายให้แก่โจทก์เป็นรายเดือน หาใช่จ่ายเพื่อช่วยเหลืออันเป็น สวัสดิการดังที่จำเลยอุทธรณ์ไม่ ๓. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๗๕๐-๗๕๑/๒๕๕๔ เรื่อง เบี้ยเลี้ยง ค่าน้ำมันรถยนต์ ค่าสึกหรอรถยนต์ ค่าโทรศัพท์ เงินดังกล่าวนายจ้างจ่ายให้ ลูกจ้างประจำลักษณะเหมาจ่ายเป็นรายเดือน ไม่คำนึงถึงว่าจะได้ใช้จ่ายเป็นค่าบำรุงรักษารถยนต์และ ค่าโทรศัพท์ไปหรือไม่เพียงใด ไม่ต้องแสดงใบเสร็จ จึงเป็นค่าจ้าง (มาตรา ๕) จำเลยจ่ายเงินค่าเบี้ยเลี้ยงและค่าน้ำมันรถยนต์ จำนวน ๕,๐๐๐ บาท ค่าสึกหรอรถยนต์ ๒,๐๐๐ บาท และค่าโทรศัพท์ ๑,๐๐๐ บาท รวม ๘,๐๐๐ บาท เงินดังกล่าวจำเลยให้โจทก์ประจำลักษณะ เหมาจ่ายเป็นรายเดือน ไม่คำนึงถึงว่าจะได้ใช้จ่ายเป็นค่าบำรุงรักษารถยนต์และค่าโทรศัพท์ไปหรือไม่เพียงใด โจทก์ไม่ต้องแสดงใบเสร็จเป็นหลักฐานในการรับเงิน การจ่ายเงินดังกล่าวจึงเป็นการจ่ายเพื่อตอบแทน การทำงานของโจทก์ในลักษณะเดียวกันกับค่าจ้าง จึงเป็นค่าจ้างตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๕ ๔. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๗๙๔๕/๒๕๕๔ เรื่อง เบี้ยเลี้ยงฝ่ายขายเดือนละ ๕๐,๐๐๐ บาท เป็นค่าจ้างตามมาตรา ๕ เดิมโจทก์ได้รับเงินส่วนแบ่งการขายอันเป็นเงินที่จำเลยกำหนดว่าหากมียอดขายเบียร์ในจังหวัด ท้องที่นั้นตั้งแต่หนึ่งแสนโหลขึ้นไปจะให้โหลละ ๒ บาท ในแต่ละเดือนได้รับเงินส่วนแบ่งการขายเท่าใด จะแบ่ง ให้ร้อยละ ๒๕ เงินส่วนแบ่งการขายโจทก์จะได้รับไม่แน่นอนในแต่ละเดือน ต่อมาจำเลยได้รับแต่งตั้ง เป็นรักษาการผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด โจทก์ไม่ได้เป็นฝ่ายขายจึงไม่ได้รับเงินส่วนแบ่งการขายแต่จำเลย ตกลงจ่ายเป็นค่าเบี้ยเลี้ยงเดือนละ ๕๐,๐๐๐ บาท ให้แทนโดยจ่ายพร้อมเงินเดือน จำเลยจ่ายเบี้ยเลี้ยงให้แก่ พนักงานในระดับเดียวกับโจทก์ขณะที่อยู่ฝ่ายตลาด เบี้ยเลี้ยงจึงเป็นเงินที่จำเลยจ่ายให้แก่โจทก์ในจำนวน แน่นอนเป็นประจำทุกเดือนและจ่ายให้เมื่อโจทก์ทำงานตำแหน่งผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายการตลาด ไม่มีลักษณะ การจ่ายให้เป็นสวัสดิการแก่โจทก์ เบี้ยเลี้ยงจึงเป็นเงินที่นายจ้างและลูกจ้างตกลงกันจ่ายเป็นค่าตอบแทนในการ ทำงานตามสัญญาจ้างสำหรับระยะเวลาการทำงานปกติเป็นรายเดือนถือเป็นค่าจ้าง โจทก์ทำงานในบริษัทต่าง ๆ ซึ่งเป็นนิติบุคคลจดทะเบียนแยกต่างหากจากกัน แม้ข้อบังคับ การทำงานจะถือว่าเป็นข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ มาตรา ๑๐ วรรคสาม ก็ตาม แต่ก็มีผลใช้บังคับระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างในแต่ละสถานประกอบกิจการเท่านั้น ข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยที่ ๑ จึงมีผลบังคับแก่โจทก์ในช่วงเวลาที่โจทก์เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ ๑ เท่านั้น เมื่อโจทก์โอนมาเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ ๒ เป็นการโอนโดยเป็นการปฏิบัติตามประมวลกฎหมายแพ่ง
นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๔๙ - และพาณิชย์มาตรา ๕๗๗ แม้จะนับอายุงานต่อเนื่องจากนายจ้างคนก่อน แต่จำเลยที่ ๒ กับโจทก์มิได้มี ข้อตกลงเรื่องเกษียณอายุไว้เป็นประการอื่น จึงตกอยู่ในบังคับของข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยที่ ๒ และการโอนดังกล่าวโจทก์ก็ไม่ได้โต้แย้งคัดค้านและทำงานกับจำเลยที่ ๒ เป็นเวลาถึง ๒ ปี ๙ เดือน ถือว่า โจทก์ยินยอมพร้อมใจด้วยโดยปริยาย โจทก์ต้องยอมรับและปฏิบัติตามข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลย ที่ ๒ ด้วย โจทก์ไม่อาจเรียกร้องให้จำเลยที่ ๒ ปฏิบัติตามข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยที่ ๑ ได้ แม้การโอนย้ายจะเป็นเหตุให้สิทธิในการเกษียณอายุงานของโจทก์ลดลงก็ตาม การกำหนดเกษียณอายุก็เป็นเพียงการแจ้งให้ลูกจ้างทราบว่าเมื่อลูกจ้างมีอายุครบตามที่กำหนดไว้ นายจ้างจะไม่จ้างให้ทำงานอีกต่อไปด้วยเหตุชราภาพเท่านั้น หาใช่เป็นกำหนดระยะเวลาการจ้างที่แน่นอนว่า นายจ้างจะต้องจ้างลูกจ้างหรือลูกจ้างจะต้องทำงานให้แก่นายจ้างจนถึงกำหนดเกษียณอายุนั้น นายจ้างหรือ ลูกจ้างบอกเลิกสัญญาจ้างก่อนกำหนดเกษียณอายุก็ได้หรือนายจ้างและลูกจ้างอาจตกลงกันต่อไปหลังกำหนด เกษียณอายุก็ได้ กำหนดเกษียณอายุจึงมิใช่สัญญาจ้างแรงงานที่มีกำหนดระยะเวลาแน่นอน ๕. คำพิพากษาศาลฎีกา ที่ ๓๘๗๙/๒๕๖๑ เรื่อง เบี้ยเลี้ยงเหมาจ่ายพนักงานขายต่างจังหวัดวันละ ๕๐๐ บาท แต่เดือนหนึ่งจ่าย ไม่เกิน ๕,๐๐๐ บาท หากลูกจ้างเดินทางไปทำงานต่างจังหวัดตั้งแต่ ๑๐ ครั้งขึ้นไป จะได้รับเบี้ยเลี้ยง เดือนหนึ่งไม่เกิน ๕,๐๐๐ บาท ถ้าเดินทางไปทำงานต่างจังหวัดไม่ถึง ๑๐ ครั้งต่อเดือน ก็จะไม่ได้รับเงิน เบี้ยเลี้ยงดังกล่าวครบ ๕,๐๐๐ บาท เงินเบี้ยเลี้ยงการทำงานต่างจังหวัดนี้เป็นการจ่ายเงินเพื่อจูงใจให้ ลูกจ้างทำงานมากขึ้นและเป็นสวัสดิการช่วยเหลือลูกจ้าง จึงไม่เป็นค่าจ้าง คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า วันที่ ๒ มิถุนายน ๒๕๕๘ จำเลยจ้างโจทก์ทำงานเป็นลูกจ้างจำเลยตำแหน่ง พนักงานขาย ทำงานประจำในเขตภาคอีสานตอนบน ๑๐ จังหวัด ค่าจ้างเดือนละ ๒๕,๐๐๐ บาท เบี้ยเลี้ยง เหมาจ่ายเดือนละ ๕,๐๐๐ บาท รวมเป็นค่าจ้าง ๓๐,๐๐๐ บาท กำหนดจ่ายทุกสิ้นเดือน โจทก์ทำงานถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๘ จำเลยเลิกจ้างโจทก์เป็นหนังสือฉบับวันที่ ๙ ธันวาคม ๒๕๕๘ และจดหมาย อิเล็กทรอนิกส์เมื่อวันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๕๘ อ้างต้องปรับโครงสร้างภายในองค์กร แต่จำเลยจ่ายค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวไม่ครบถ้วน เนื่องจากไม่นำเบี้ยเลี้ยงมาคำนวณ แต่จำเลยใช้ฐานค่าจ้างอัตรา เดือนละ ๒๕,๐๐๐ บาท เท่านั้น ขอบังคับให้จำเลยจ่ายค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมเป็นระยะเวลา ๑ ปี เป็นเงิน ๓๖๐,๐๐๐ บาท ค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าที่จ่ายไม่ครบถ้วน จำเลยให้การว่า เบี้ยเลี้ยงไม่ใช่ค่าจ้าง ศาลแรงงานภาค ๔ พิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยชำระเงิน ๓๐,๐๐๐ บาท ค่าชดเชย ๕,๐๐๐ บาท สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ๕,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ย จำเลยอุทธรณ์ ประเด็นพิจารณาว่า เงินเบี้ยเลี้ยงการทำงานต่างจังหวัดวันละ ๕๐๐ บาท แต่เดือนหนึ่งจ่าย ไม่เกิน ๕,๐๐๐ บาท เป็นค่าจ้างหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์ทำงานอยู่จังหวัดหนองคาย ถ้าโจทก์ไม่เดินทาง ไปทำงานนอกเขตจังหวัดหนองคายแล้ว โจทก์จะไม่ได้รับเงินค่าเบี้ยเลี้ยงการทำงานต่างจังหวัด เมื่อโจทก์ เดินทางไปทำงานนอกเขตจังหวัดหนองคาย โจทก์จึงจะได้รับเบี้ยเลี้ยงวันละ ๕๐๐ บาท ถ้าเดินทางไปทำงาน
นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๕๐ - ต่างจังหวัดตั้งแต่ ๑๐ ครั้งขึ้นไป จะได้รับเบี้ยเลี้ยงเดือนหนึ่งไม่เกิน ๕,๐๐๐ บาท เท่านั้น ถ้าเดินทางไปทำงาน ต่างจังหวัดไม่ถึง ๑๐ ครั้งต่อเดือน ก็จะไม่ได้รับเงินเบี้ยเลี้ยงดังกล่าวครบ ๕,๐๐๐ บาท ดังนี้ การจ่ายเงิน ค่าเบี้ยเลี้ยงการทำงานต่างจังหวัดเดือนละ ๕,๐๐๐ บาท เป็นการจ่ายนอกเหนือจากเงินค่าจ้าง โดยโจทก์ต้อง เดินทางไปทำงานต่างจังหวัดมากขึ้นกว่ามาตรฐานปกติที่จำเลยนายจ้างวางหลักเกณฑ์ไว้ อันเป็นการจ่ายเงิน เพื่อจูงใจให้โจทก์ลูกจ้างทำงานมากขึ้น ให้ดีมีประสิทธิภาพ และเป็นสวัสดิการช่วยเหลือลูกจ้าง ไม่ถือเป็นการ จ่ายเงินเพื่อตอบแทนการทำงานตามปกติ เงินเบี้ยเลี้ยงการทำงานต่างจังหวัดจึงไม่เป็นค่าจ้าง พิพากษาแก้ เป็นว่า จำเลยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า และค่าจ้างค้างจ่าย พร้อมดอกเบี้ย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานภาค ๔ ๖. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๒๐๘๐/๒๕๕๗ เรื่อง เบี้ยเลี้ยงพนักงานขับรถขนส่งสินค้า เป็นค่าตอบแทนการทำงานล่วงเวลาในวัน ทำงานปกติและวันหยุด เงินเบี้ยเลี้ยงที่นายจ้างจ่ายเพื่อเป็นค่าตอบแทนให้แก่ลูกจ้างที่ทำงานล่วงเวลาในวันทำงานและ วันหยุด ซึ่งจะมีการทดรองจ่ายล่วงหน้าบางส่วนแล้วนำส่วนที่ทดรองจ่ายไปก่อนมาหักออกจากเบี้ยเลี้ยง ที่พนักงานขับรถแต่ละคนมีสิทธิจะได้รับ ซึ่งเมื่อจำเลยจ่ายเบี้ยเลี้ยงแก่โจทก์ครบถ้วนแล้ว จำเลยจึงไม่ต้อง จ่ายเงินให้แก่โจทก์อีก
นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๕๑ - ๑๐. ค่าครองชีพ เป็นค่าจ้าง ๑. คำพิพากษาศาลฎีกา ที่ ๓๐๐๗/๒๕๖๑ (ค่าครองชีพ) เรื่อง เบี้ยเลี้ยงวันละ ๑๘๐ บาท เฉพาะวันที่มาทำงาน แม้ลูกจ้างไม่ได้เบี้ยเลี้ยงในวันหยุด วันลา วันไม่มาทำงาน และได้รับเป็นรายเดือนไม่แน่นอนก็ตาม แต่เบี้ยเลี้ยงเป็นเงินที่จำเลยจ่ายให้แก่ ลูกจ้างที่มาทำงานในเวลาปกติในอัตรารายวันแน่นอน โดยไม่ปรากฏว่าจะต้องปฏิบัติงานให้มีผลงานที่ เพิ่มขึ้นกว่าเดิมเพื่อให้เห็นว่าเป็นเงินจูงใจให้ลูกจ้างขยันปฏิบัติงานและเป็นขวัญกำลังใจให้แก่ผู้ปฏิบัติงาน หรือเป็นค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติงาน “เบี้ยเลี้ยง” จึงค่าจ้าง , ค่าครองชีพ และค่าวิชาชีพ เป็นค่าจ้าง คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า จำเลยประกอบกิจการรับจ้างรักษาความปลอดภัย รับส่งทรัพย์สิน และเติมเงิน ตู้เอทีเอ็ม จำเลยจ้างโจทก์เป็นลูกจ้างตำสุดท้ายเป็นหัวหน้าชุดสาขาสุราษฎร์ธานีมีหน้าที่เติมเงินตู้เอทีเอ็ม รับส่งทรัพย์สิน ได้รับค่าจ้างเดือนละ ๙,๖๙๕ บาท เบี้ยเลี้ยงวันละ ๑๘๐ บาท คิดเป็นเดือนละ ๕,๔๐๐ บาท ค่าอาหารวันละ ๔๐ บาท คิดเป็นเดือนละ ๑,๒๐๐ บาท ค่าครองชีพเดือนละ๗๐๐ บาท และค่าวิชาชีพ เดือนละ ๘๐๐ บาท รวมรายได้ต่อเดือน ๑๗,๗๙๕ บาท ต่อมาวันที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๕๘ จำเลยเลิกจ้างโจทก์ โดยโจทก์มิได้กระทำผิดตามที่กล่าวอ้าง ขอบังคับให้จำเลยจ่ายค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม พร้อมดอกเบี้ย ศาลแรงงานภาค ๘ พิจารณาแล้ว เห็นว่า จำเลยไม่มี พยานหลักฐานยืนยันว่าโจทก์เอาเงินในกล่องบรรจุธนบัตรไป ฟังไม่ได้ว่าทุจริต กระทำผิดอาญาโดยเจตนา แก่จำเลย สำหรับเบี้ยเลี้ยงนั้นถือเป็นค่าจ้างซึ่งกำหนดให้เดือนละ ๔,๓๗๕ บาท เมื่อรวมค่าจ้างที่เป็นเงินเดือน ค่าเบี้ยเลี้ยง ค่าครองชีพ และค่าวิชาชีพแล้ว โจทก์ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ ๑๕,๕๗๐ บาท พิพากษา ให้จำเลยชำระเงินค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ๑๓๗,๕๓๕ บาท พร้อมดอกเบี้ย คำขออื่น ให้ยก จำเลยอุทธรณ์ ประเด็นว่าโจทก์ประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้จำเลยได้รับความเสียหายร้ายแรงหรือไม่ ศาลฎีกา เห็นว่า ศาลแรงงานภาค ๘ ได้วินิจฉัยว่า ข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยระบุในลักษณะกว้างๆ เป็นการทั่วไป ไม่ได้ระบุว่าหากต้องนำกล่องธนบัตรกลับคืนมาในกรณีเปลี่ยนกล่องธนบัตรไม่ได้นั้นมีขั้นตอน การปฏิบัติอย่างไร เมื่อโจทก์ไม่สามารถเปลี่ยนกล่องธนบัตรได้จึงโทรศัพท์สอบถามเจ้าหน้าที่ของจำเลย เจ้าหน้าที่ผู้ประสานงานของจำเลยให้หมายเลขโทรศัพท์ติดต่อกับเจ้าหน้าที่ผู้ดูแลของธนาคาร เมื่อโจทก์ ติดต่อไปเจ้าหน้าที่ผู้ดูแลของธนาคารแนะนำให้นำกล่องชุดที่นำไปเปลี่ยนและกล่องชุดที่นำออกจากตู้กลับมา พร้อมกัน แสดงว่าโจทก์ในฐานะหัวหน้าชุดต้องดำเนินการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าเอง จำเลยไม่สามารถยืนยัน ได้ว่าบุคคลใดเอาเงินของจำเลยไป และเงินหายไปในช่วงเวลาที่ไม่ได้ล็อกซีลหรือไม่ กรณีฟังไม่ได้ว่าเงินที่ สูญหายเกิดจากความประมาทเลินเล่อของโจทก์ด้วย การกระทำของโจทก์จึงไม่เป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับฯ เห็นได้ว่าศาลแรงงานภาค ๘ ได้วินิจฉัยว่าโจทก์ไม่ได้ประมาทเลินเล่อ ดังนี้ ที่โจทก์อุทธรณ์ว่าโจทก์ไม่ได้ใช้ ความระมัดระวังเกี่ยวกับการล็อกซีลกล่องพิลิแกน จึงเป็นอุทธรณ์โต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐาน ของศาลแรงงานภาค ๘ เป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์
นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๕๒ - ประเด็นว่าเบี้ยเลี้ยงเป็นค่าจ้างหรือไม่ เห็นว่า แม้ลูกจ้างไม่ได้เบี้ยเลี้ยงในวันหยุด วันลา วันไม่มา ทำงาน และได้รับเป็นรายเดือนไม่แน่นอนก็ตาม แต่เบี้ยเลี้ยงเป็นเงินที่จำเลยจ่ายให้แก่ลูกจ้างที่มาทำงานใน เวลาปกติในอัตรารายวันแน่นอน โดยไม่ปรากฏว่าโจทก์จะต้องปฏิบัติงานให้มีผลงานที่เพิ่มขึ้นกว่าเดิม เพื่อให้ เห็นว่าเป็นเงินจูงใจให้ลูกจ้างขยันปฏิบัติงานและเป็นขวัญกำลังใจให้แก่ผู้ปฏิบัติงาน หรือเป็นค่าใช้จ่ายในการ ปฏิบัติงาน ดังนี้ เบี้ยเลี้ยงที่จำเลยจ่ายให้แก่โจทก์จึงเป็นค่าตอบแทนในการทำงานตามสัญญาจ้างสำหรับ ระยะเวลาการทำงานปกติอันเป็นส่วนหนึ่งของค่าจ้าง ที่ศาลแรงงานภาค ๘ วินิจฉัยว่าเบี้ยเลี้ยงเป็นค่าจ้าง ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๕ จึงชอบแล้ว พิพากษายืน ๒. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๙๕๐๒-๑๙๙๖๖/๒๕๕๖ (ค่าครองชีพ ค่าระดับงาน) เรื่อง ค่าครองชีพ ค่าระดับงาน เป็นเงินที่นายจ้างจ่ายตอบแทนการทำงานของลูกจ้างโดย จะจ่ายมากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่เนื้อหาหรือคุณค่าของงานที่ทำ จึงเป็นค่าจ้าง โจทก์กับพวกรวม ๔๖๕ คน เป็นสมาชิกสหภาพแรงงาน AAA ฟ้องจำเลยขอให้บังคับจำเลยจ่าย สวัสดิการค่าครองชีพ และค่าระดับงานตามบันทึกข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างฉบับลงวันที่ ๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๔๔ และค่าทำงานนอกเหนือเวลาทำงานปกติที่ขาดหายไปจากการไม่นำค่าครองชีพและค่าระดับงาน มาเป็นฐานคำนวณ จำเลยให้การว่าได้จ่ายค่าครองชีพและค่าระดับงานโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อตอบแทน การทำงาน จ่ายเป็นประจำแน่นอน รวมทั้งนำไปเป็นฐานหักเงินส่งประกันสังคม ศาลแรงงานกลางพิจารณา แล้วเห็นว่า ค่าครองชีพ และค่าระดับงานเป็นค่าจ้าง เมื่อรวมเงินทั้งสองประเภทเข้ากับเงินเดือนแล้วมากกว่า อัตราค่าจ้างขั้นต่ำ โจทก์กับพวกจึงมิอาจเรียกค่าจ้างเพิ่มได้อีก พิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลฎีกามีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า ค่าครองชีพและค่าระดับงานเป็นค่าจ้างหรือไม่ เห็นว่า จำเลย และสหภาพแรงงานยอมรับกันมาตั้งแต่หลักเกณฑ์การจ่ายค่าครองชีพเดิมก่อนมีบันทึกข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพ การจ้างแล้วว่า “ค่าครองชีพ” ต้องนำมารวมเป็นฐานคำนวณค่าล่วงเวลา กล่าวคือถือว่าครองชีพเป็นส่วนหนึ่ง ของค่าจ้างนั่นเอง ต่อมาจำเลยและสหภาพแรงงานทำบันทึกข้อตกลงกันก็ยังระบุในข้อตกลงว่าจำเลยตกลง ปรับค่าครองชีพเป็น ๒,๒๐๐ บาท ตามหลักเกณฑ์เดิมของจำเลย ซึ่งหมายความว่ายังคงถือว่าค่าครองชีพเป็น ส่วนหนึ่งของค่าจ้างที่ต้องรวมเป็นฐานในการคำนวณค่าล่วงเวลาเหมือนเดิม สำหรับค่าระดับงานนั้น บันทึก ข้อตกลงกำหนดค่าระดับงานโดยพิจารณาจากปัจจัย ๔ ประการ ได้แก่ความรู้ในการทำงาน ปริมาณและ รูปแบบในการทำงาน การตัดสินใจ และสภาพแวดล้อมในการทำงาน ซึ่งงานแต่ละงานจะมีค่างานที่แตกต่าง กัน แต่ไม่เกี่ยวกับประสบการณ์ในการทำงานหรืออายุงานของพนักงานคนนั้นถ้าเนื้อหาหรือคุณค่าของงานไม่ เปลี่ยน ระดับงานก็ไม่เปลี่ยน “ค่าระดับงาน” จึงเป็นเงินที่จำเลยจ่ายตอบแทนการทำงานของลูกจ้างโดยจะ จ่ายมากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่เนื้อหาหรือคุณค่าของงานที่ทำ เมื่อไม่ปรากฏข้อเท็จจริงอื่นว่าค่าครองชีพและ ค่าระดับงานไม่ชาเงินที่จำเลยจ่ายตอบแทนการทำงานสำหรับระยะเวลาการทำงานปกติของพนักงาน ดังนั้น ค่าครองชีพและค่าระดับงานจึงถือเป็นค่าจ้างตามมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑
นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๕๓ - ๑๑. ค่าวิชาชีพ เป็นค่าจ้าง ๑. คำพิพากษาศาลฎีกา ที่ ๓๐๐๗/๒๕๖๑ (ค่าวิชาชีพ) เรื่อง เบี้ยเลี้ยงวันละ ๑๘๐ บาท เฉพาะวันที่มาทำงาน แม้ลูกจ้างไม่ได้เบี้ยเลี้ยงในวันหยุด วันลา วันไม่มาทำงาน และได้รับเป็นรายเดือนไม่แน่นอนก็ตาม แต่เบี้ยเลี้ยงเป็นเงินที่จำเลยจ่ายให้แก่ ลูกจ้างที่มาทำงานในเวลาปกติในอัตรารายวันแน่นอน โดยไม่ปรากฏว่าจะต้องปฏิบัติงานให้มีผลงานที่ เพิ่มขึ้นกว่าเดิมเพื่อให้เห็นว่าเป็นเงินจูงใจให้ลูกจ้างขยันปฏิบัติงานและเป็นขวัญกำลังใจให้แก่ผู้ปฏิบัติงาน หรือเป็นค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติงาน “เบี้ยเลี้ยง” จึงค่าจ้าง , ค่าครองชีพ และค่าวิชาชีพ เป็นค่าจ้าง คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า จำเลยประกอบกิจการรับจ้างรักษาความปลอดภัย รับส่งทรัพย์สิน และเติมเงิน ตู้เอทีเอ็ม จำเลยจ้างโจทก์เป็นลูกจ้างตำสุดท้ายเป็นหัวหน้าชุดสาขาสุราษฎร์ธานีมีหน้าที่เติมเงินตู้เอทีเอ็ม รับส่งทรัพย์สิน ได้รับค่าจ้างเดือนละ ๙,๖๙๕ บาท เบี้ยเลี้ยงวันละ ๑๘๐ บาท คิดเป็นเดือนละ ๕,๔๐๐ บาท ค่าอาหารวันละ ๔๐ บาท คิดเป็นเดือนละ ๑,๒๐๐ บาท ค่าครองชีพเดือนละ๗๐๐ บาท และค่าวิชาชีพ เดือนละ ๘๐๐ บาท รวมรายได้ต่อเดือน ๑๗,๗๙๕ บาท ต่อมาวันที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๕๘ จำเลยเลิกจ้างโจทก์ โดยโจทก์มิได้กระทำผิดตามที่กล่าวอ้าง ขอบังคับให้จำเลยจ่ายค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม พร้อมดอกเบี้ย ศาลแรงงานภาค ๘ พิจารณาแล้ว เห็นว่า จำเลยไม่มี พยานหลักฐานยืนยันว่าโจทก์เอาเงินในกล่องบรรจุธนบัตรไป ฟังไม่ได้ว่าทุจริต กระทำผิดอาญาโดยเจตนา แก่จำเลย สำหรับเบี้ยเลี้ยงนั้นถือเป็นค่าจ้างซึ่งกำหนดให้เดือนละ ๔,๓๗๕ บาท เมื่อรวมค่าจ้างที่เป็นเงินเดือน ค่าเบี้ยเลี้ยง ค่าครองชีพ และค่าวิชาชีพแล้ว โจทก์ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ ๑๕,๕๗๐ บาท พิพากษา ให้จำเลยชำระเงินค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ๑๓๗,๕๓๕ บาท พร้อมดอกเบี้ย คำขออื่น ให้ยก จำเลยอุทธรณ์ ประเด็นว่าโจทก์ประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้จำเลยได้รับความเสียหายร้ายแรงหรือไม่ ศาลฎีกา เห็นว่า ศาลแรงงานภาค ๘ ได้วินิจฉัยว่า ข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยระบุในลักษณะกว้างๆ เป็นการทั่วไป ไม่ได้ระบุว่าหากต้องนำกล่องธนบัตรกลับคืนมาในกรณีเปลี่ยนกล่องธนบัตรไม่ได้นั้นมีขั้นตอน การปฏิบัติอย่างไร เมื่อโจทก์ไม่สามารถเปลี่ยนกล่องธนบัตรได้จึงโทรศัพท์สอบถามเจ้าหน้าที่ของจำเลย เจ้าหน้าที่ผู้ประสานงานของจำเลยให้หมายเลขโทรศัพท์ติดต่อกับเจ้าหน้าที่ผู้ดูแลของธนาคาร เมื่อโจทก์ ติดต่อไปเจ้าหน้าที่ผู้ดูแลของธนาคารแนะนำให้นำกล่องชุดที่นำไปเปลี่ยนและกล่องชุดที่นำออกจากตู้กลับมา พร้อมกัน แสดงว่าโจทก์ในฐานะหัวหน้าชุดต้องดำเนินการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าเอง จำเลยไม่สามารถยืนยัน ได้ว่าบุคคลใดเอาเงินของจำเลยไป และเงินหายไปในช่วงเวลาที่ไม่ได้ล็อกซีลหรือไม่ กรณีฟังไม่ได้ว่าเงินที่ สูญหายเกิดจากความประมาทเลินเล่อของโจทก์ด้วย การกระทำของโจทก์จึงไม่เป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับฯ เห็นได้ว่าศาลแรงงานภาค ๘ ได้วินิจฉัยว่าโจทก์ไม่ได้ประมาทเลินเล่อ ดังนี้ ที่โจทก์อุทธรณ์ว่าโจทก์ไม่ได้ใช้ ความระมัดระวังเกี่ยวกับการล็อกซีลกล่องพิลิแกน จึงเป็นอุทธรณ์โต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐาน ของศาลแรงงานภาค ๘ เป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์
นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๕๔ - ประเด็นว่าเบี้ยเลี้ยงเป็นค่าจ้างหรือไม่ เห็นว่า แม้ลูกจ้างไม่ได้เบี้ยเลี้ยงในวันหยุด วันลา วันไม่มา ทำงาน และได้รับเป็นรายเดือนไม่แน่นอนก็ตาม แต่เบี้ยเลี้ยงเป็นเงินที่จำเลยจ่ายให้แก่ลูกจ้างที่มาทำงานใน เวลาปกติในอัตรารายวันแน่นอน โดยไม่ปรากฏว่าโจทก์จะต้องปฏิบัติงานให้มีผลงานที่เพิ่มขึ้นกว่าเดิม เพื่อให้ เห็นว่าเป็นเงินจูงใจให้ลูกจ้างขยันปฏิบัติงานและเป็นขวัญกำลังใจให้แก่ผู้ปฏิบัติงาน หรือเป็นค่าใช้จ่ายในการ ปฏิบัติงาน ดังนี้ เบี้ยเลี้ยงที่จำเลยจ่ายให้แก่โจทก์จึงเป็นค่าตอบแทนในการทำงานตามสัญญาจ้างสำหรับ ระยะเวลาการทำงานปกติอันเป็นส่วนหนึ่งของค่าจ้าง ที่ศาลแรงงานภาค ๘ วินิจฉัยว่าเบี้ยเลี้ยงเป็นค่าจ้าง ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๕ จึงชอบแล้ว พิพากษายืน ๒. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๙๔๔๖ – ๑๙๔๗๘/๒๕๕๗ (เงินเพิ่มค่าวิชาชีพ) เรื่อง เงินประจำตำแหน่งผู้บริหาร เงินเพิ่มค่าวิชาชีพ เงินค่าใบอนุญาตพนักงานควบคุม การจราจรทางอากาศ เป็นค่าจ้าง ส่วนเงินรางวัลพิเศษประจำปี ค่าตอบแทนเหมาจ่ายแทนการจัดรถยนต์ ประจำตำแหน่ง ไม่เป็นค่าจ้าง ตามประกาศคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่อง มาตรฐานขั้น ต่ำของสภาพการจ้างในรัฐวิสาหกิจ คดีนี้โจทก์ทั้ง ๓๓ คน ฟ้องว่าโจทก์กับพวกเป็นลูกจ้างจำเลย จนกระทั่งเกษียณอายุการทำงาน จำเลยจ่ายเงินเพื่อตอบแทนความชอบในการทำงานไม่ครบถ้วน ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว เห็นว่าเงิน ประจำตำแหน่ง เงินเพิ่มพิเศษเนื่องจากเงินเดือนเต็มขั้น เงินเพิ่มค่าวิชาชีพและเงินเพิ่มค่าใบอนุญาตพนักงาน ควบคุมจราจรทางอากาศ เงินรางวัลพิเศษประจำปี เงินค่าตอบแทนเหมาจ่ายแทนการจัดหารถยนต์ประจำ ตำแหน่ง เป็นค่าจ้างที่ต้องนำมาเป็นฐานในการคำนวณเงินเพื่อตอบแทนความชอบในการทำงานเมื่อ เกษียณอายุ พิพากษาให้จำเลยจ่ายเงินเพื่อตอบแทนความชอบในการทำงานที่ขาดไปให้แก่โจทก์กับพวกโจทก์ ที่ ๑๖ และจำเลยอุทธรณ์ ศาลฎีกาเห็นว่า ตามประกาศฯ ข้อ ๔ บัญญัติว่า “ค่าจ้าง” หมายความว่าเงินทุก ประเภทที่นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างเป็นค่าตอบแทนการทำงานในวันและเวลาทำงานปกติ ไม่ว่าจะคำนวณตาม ระยะเวลาหรือคำนวณตามผลงานที่ลูกจ้างทำได้และให้หมายความรวมถึงเงินที่นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างใน วันหยุดและวันลาซึ่งลูกจ้างไม่ได้ทำงานด้วย ทั้งนี้ไม่ว่าจะกำหนด คำนวณ หรือจ่ายในลักษณะใดและโดย วิธีการใด และไม่ว่าจะเรียกชื่ออย่างไร สาระสำคัญของค่าจ้างจึงต้องเป็นเงินที่นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างเป็น ค่าตอบแทนการทำงานในวันและเวลาทำงานปกติ ดังนั้น เงินเพิ่มประจำตำแหน่งผู้บริหาร เงินเพิ่มค่าวิชาชีพ เงินค่าใบอนุญาตพนักงานควบคุมการจราจรทางอากาศ แม้จะจ่ายแยกต่างหากจากเงินเดือนพื้นฐานแต่เป็น การจ่ายในลักษณะเดียวกับเงินเดือนเพื่อตอบแทนการทำงานในวันและเวลาทำงานปกติในตำแหน่งนั้นๆจึงเป็น ค่าจ้าง เช่นเดียวกับเงินเพิ่มพิเศษเนื่องจากเงินเดือนเต็มขั้นร้อยละ ๓.๕ ซึ่งแม้จะเป็นเงินที่เกิดจากการตกลงกัน ระหว่างจำเลยกับสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจวิทยุการบินแห่งประเทศไทย แต่เนื่องจากเงินดังกล่าวมีลักษณะ เป็นเงินที่จำเลยจ่ายให้แก่ลูกจ้างเพื่อตอบแทนการทำงานปกติในวันทำงานของลูกจ้างจึงถือเป็นส่วนหนึ่งของ ค่าจ้าง ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษามาจึงชอบแล้ว
นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๕๕ - สำหรับเงินรางวัลพิเศษประจำปีนั้น จำเลยได้กำหนดเงินรางวัลพิเศษประจำปีไว้ล่วงหน้า แม้ไม่มี กำไรก็จ่ายให้แก่ลูกจ้างโดยเรียกเก็บจากผู้ถือหุ้นเพื่อจ่ายแก่ลูกจ้าง มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างขวัญกำลังใจให้แก่ ลูกจ้างเนื่องจากได้ทุ่มเทอุทิศเวลาทำงานให้แก่นายจ้างด้วยความขยันขันแข็งตลอดเวลาที่ผ่านมา การจ่ายเงิน รางวัลเช่นนี้จึงเป็นเรื่องของการวางแผนการเงินและการลงทุนของนายจ้างในระยะยาว จริงอยู่ในการบริหาร กิจการเชิงธุรกิจผู้บริหารที่มีความรับผิดชอบต่อผู้ลงทุนย่อมจะไม่ยินยอมจ่ายเงินรางวัลพิเศษให้แก่ลูกจ้างหาก ไม่มีกำไรเพื่อรักษาดุลยภาพทางการเงินของกิจการไว้ให้มั่นคงและไม่เพิ่มความเสี่ยงให้แก่กิจการนั้นก็ตามแต่ การที่ผู้บริหารยินยอมจ่ายเงินรางวัลแก่ลูกจ้างทั้งที่ไม่มีกำไรอาจมีเหตุผลอื่น กรณีนี้ย่อมไม่อาจถือได้ว่าเงิน รางวัลพิเศษดังกล่าวจะกลายเป็นค่าตอบแทนการทำงานในเวลาปกติหรือเป็นค่าจ้าง ดังนั้น เงินรางวัลพิเศษ ประจำปีจึงไม่เป็นค่าจ้าง สำหรับค่าตอบแทนเหมาจ่ายแทนการจัดหารถยนต์ประจำตำแหน่ง แม้จะมีวิธีการ จ่ายเงินจำนวนคงที่แน่นอนทุกสิ้นเดือนพร้อมเงินเดือน แต่เงินดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อจัดสวัสดิการในด้าน การคมนาคมให้แก่ลูกจ้างในระดับสูงเพื่อความสะดวกในการปฏิบัติหน้าที่และเหมาะสมกับตำแหน่ง มิได้มี วัตถุประสงค์จ่ายเพื่อตอบแทนการทำงานโดยตรง เหตุผลที่จำเลยเปลี่ยนจากการจัดหารถยนต์พร้อมคนขับ และการดูแลซ่อมบำรุงรถมาเป็นการเหมาจ่ายเป็นเงินจำนวนแน่นอน ก็เป็นวิธีการบริหารจัดการงบประมาณ หรือต้นทุนของจำเลยในส่วนนี้เพื่อให้สามารถกำหนดได้แน่นอนไม่ผันแปรในลักษณะที่ควบคุมได้ยาก เงิน ค่าตอบแทนเหมาจ่ายแทนการจัดหารถยนต์ประจำตำแหน่ง จึงมิใช่ค่าจ้าง พิพากษาแก้เป็น จำเลยไม่ต้องนำดังนั้น เงินรางวัลพิเศษประจำปี และค่าตอบแทนเหมาจ่ายแทน การจัดหารถยนต์ประจำตำแหน่ง มาเป็นฐานคำนวณค่าตอบแทนความชอบในการทำงาน
นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๕๖ - ๑๒. ค่าสวัสดิการ เป็นค่าจ้าง ๑. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๓๖๕๖/๒๕๖๑ เรื่อง เจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคล ได้รับ “ค่าสวัสดิการ” ได้แก่ ค่าเดินทาง ค่าที่พักอาศัย ค่าอาหาร และอื่น ๆ เดือนละ ๙,๐๔๐ บาท เท่ากันทุกเดือน ไม่ต้องนำใบเสร็จหรือหลักฐานมาแสดง สัญญาจ้าง ก็ไม่ได้ระบุว่าหยุดงานหรือไม่มาทำงานจะไม่ได้รับ “ค่าสวัสดิการ” จึงเป็นค่าจ้างที่ต้องนำมาคำนวณฯ ค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า คดีนี้โจทก์ว่า วันที่ ๙ มีนาคม ๒๕๕๘ จำเลยจ้างโจทก์ทำงานเป็นลูกจ้างตำแหน่งเจ้าหน้าที่ฝ่าย บุคคล (สัญญามีกำหนดเวลาการจ้าง) ค่าจ้างเดือนละ ๔๕,๐๐๐ บาท และมีสิทธิได้รับค่าเช่าบ้านเดือนละ ๒,๐๐๐ บาท ค่าน้ำมันรถเดือนละ ๓,๐๐๐ บาท ค่าอาหารเดือนละ ๑,๕๐๐ บาท และค่าใช้จ่ายอื่นเดือนละ ๒,๕๔๐ บาท รวมทั้งสิ้น ๕๔,๐๔๐ บาท ต่อมาวันที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๕๘ จำเลยมีหนังสือเลิกจ้างโจทก์และ จ่ายค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าโดยคำนวณจากฐานค่าจ้างเดือนละ ๔๕,๐๐๐ บาท ซึ่งโจทก์ เห็นว่าไม่ถูกต้อง จำเลยต้องใช้ฐานค่าจ้าง ๕๔,๐๔๐ บาท มาคำนวณ การเลิกจ้างของโจทก์ไม่เป็นธรรมทำให้ โจทก์ได้รับความเสียหายตามระยะเวลาของสัญญาโครงการที่เหลือ ๘ เดือน ขอบังคับให้จำเลยจ่ายค่าชดเชย ๙,๐๔๐ บาท สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วง ๙,๐๔๐ ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ๔๓๒,๓๒๐ บาท ศาลแรงงานภาค ๓ พิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยชำระค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ ไม่เป็นธรรม ๕๔,๐๔๐ บาท ค่าชดเชย ๙,๐๔๐ บาท และสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ๙,๐๔๐ บาท รวมเงิน ๗๒,๑๒๐ บาท พร้อมดอกเบี้ย จำเลยอุทธรณ์ ประเด็นที่จำเลยอุทธรณ์ว่า ค่าสวัสดิการเดือนละ ๙,๐๔๐ บาท ได้แก่ ค่าเดินทาง ค่าที่พักอาศัย ค่าอาหาร และอื่น ๆ นั้นไม่ได้จ่ายในลักษณะเหมาจ่าย ไม่ได้จ่ายเป็นจำนวนเท่ากันทุกเดือน จำเลยจะอนุมัติ จ่ายค่าสวัสดิการโดยพิจารณาว่าลูกจ้างมาทำงานหรือไม่ หาลาหรือไม่มาทำงานก็ไม่ได้ค่าสวัสดิการ โดยจะหัก ค่าสวัสดิการออกตามส่วน ค่าสวัสดิการจึงไม่เป็นค่าจ้าง ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยจ่ายค่าสวัสดิการแก่โจทก์ เท่ากันทุกเดือน โดยโจทก์ไม่ต้องนำใบเสร็จรับเงินรับเงินหรือหลักฐานมาแสดง และสัญญาจ้างไม่มีข้อความใด ระบุว่าหากโจทก์หยุดงานหรือไม่มาทำงาน โจทก์จะไม่ได้รับค่าสวัสดิการหรือจำเลยต้องเห็นสมควรในการจ่าย ค่าสวัสดิการจึงเป็นเงินที่นายจ้างตกลงจ่ายเป็นค่าตอบแทนการทำงานตามสัญญาจ้าง จึงเป็นค่าจ้าง อุทธรณ์ ของจำเลยเป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานภาค ๓ เพื่อนำไปสู่ข้อกฎหมาย ว่าเงินดังกล่าวไม่เป็นค่าจ้าง เป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธี พิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๕๔ วรรคหนึ่ง (เดิม) ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย พิพากษายกอุทธรณ์ ของจำเลย
นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๕๗ - ๑๓. ค่าตำแหน่ง เป็นค่าจ้าง ๑. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๓๙๕๒/๒๕๖๑ (ค่าตำแหน่ง) เรื่อง ค่าตำแหน่งเดือนละ ๑,๐๐๐ บาท ค่าอายุงาน ๑,๕๐๐ บาท ค่าเช่าบ้าน ๓๐๐ บาท ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่ามีลักษณะเป็นสวัสดิการ จึงเป็นค่าจ้างที่ต้องนำมาเป็นฐานในการคำนวณค่าชดเชย , สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าไม่ใช่เงินตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง จึงต้องเสียดอกเบี้ยร้อยละ ๗.๕ ต่อปี คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า จำเลยรับโจทก์เข้าทำงานเป็นลูกจ้างตำแหน่งสุดท้ายเป็นผู้จัดการโรงงาน ค่าจ้างเดือนละ ๕๗,๕๕๐ บาท วันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๕๓ จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยโจทก์ไม่มีความผิด ขอบังคับให้จำเลยจ่ายค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าจ้างวันหยุดพักผ่อนประจำปี ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม พร้อมดอกเบี้ย ศาลแรงงานภาค ๒ พิพากษาให้จำเลยชำระค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าจ้างวันหยุดพักผ่อนประจำปี ๔๕๘,๔๘๑.๖๖ บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ ๑๕ ต่อปี และค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ๑๐๐ บาท คำขออื่นยก จำเลยอุทธรณ์ ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์ได้รับเงินเดือน ๕๔,๐๐๐ บาท ค่าตำแหน่ง ๑,๐๐๐ บาท ค่าอายุงาน ๑,๕๐๐ บาท ค่าเช่าบ้าน ๓๐๐ บาท โดยไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าเงินค่าตำแหน่ง ค่าอายุงาน และค่าเช่าบ้าน ดังกล่าวเป็นเงินในลักษณะสวัสดิการ ดังนั้นที่ศาลแรงงานภาค ๒ ฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์ได้รับค่าจ้างอัตรา สุดท้ายเดือนละ ๕๗,๕๕๐ บาท อันเป็นฐานในการคำนวณค่าชดเชยจึงถูกต้องแล้ว ส่วนสินจ้างแทนการบอก กล่าวล่วงหน้า มิใช่เงินที่นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างเมื่อเลิกจ้างทันทีโดยไม่ต้องทวงถามและมิใช่หนี้เงินที่นายจ้าง ต้องเสียดอกเบี้ยให้แก่ลูกจ้างในระหว่างเวลาผิดนัดร้อยละ ๑๕ ต่อปี ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง คำพิพากษาศาลแรงงานภาค ๒ ในส่วนนี้จึงไม่ชอบ ปัญหานี้แม้คู่ความไม่ได้ อุทธรณ์ขึ้นมา แต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๒ (๕) , ๒๔๖ ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้ง ศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๓๑ จึงเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้องโดยกำหนดให้ จำเลยเสียดอกเบี้ยในระหว่างเวลาผิดนัดอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๒๒๔ วรรคหนึ่ง
นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๕๘ - ๒. คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่ ๔๗๕๖/๒๕๖๑ (ผู้จัดการสหกรณ์ออมทรัพย์) เรื่อง สหกรณ์จ้างผู้จัดการมีกำหนดเวลาการจ้าง ๒ ปี เมื่อครบสัญญามีการต่ออีก ๒ ฉบับ รวมระยะเวลาทั้งหมด ๔ ปี ๑๐ เดือน และตามสัญญากำหนดให้ให้สิทธิแก่คู่สัญญาในการเลิกสัญญาจ้าง ก่อนได้โดยการบอกกล่าวล่วงหน้า ๑ เดือน สัญญาจ้างดังกล่าวจึงไม่เป็นสัญญาจ้างที่มีกำหนดระยะเวลา จ้างไว้แน่นอน ตามมาตรา ๑๑๘ วรรคสาม และวรรคสี่ เลิกจ้างต้องจ่ายค่าชดเชย , ค่าตำแหน่ง นายจ้าง จ่ายเป็นประจำทุกเดือนพร้อมกับเงินเดือนและมีจำนวนที่แน่นอน จึงเป็นค่าจ้าง คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า วันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๕๒ โจทก์เป็นลูกจ้างจำเลยตำแหน่งผู้จัดการสหกรณ์ฯ ค่าจ้างอัตราสุดท้าย ๖๐,๒๓๐ บาท ค่าตำแหน่ง ๒๐,๐๐๐ บาม รวมเป็นเงินเดือน ๘๐,๒๓๐ บาท สัญญาจ้าง ฉบับแรกมีกำหนดเวลา ๒ ปี เมื่อครบกำหนดมีการต่อสัญญาฉบับที่ ๒ และฉบับที่ ๓ มีกำหนดเวลา ๑ ปี ๔ เดือน และ ๑ ปี ๖ เดือน ติดต่อกัน รวมระยะเวลาทำงาน ๔ ปี ๑๐ เดือน ต่อมาวันที่ ภ๐ กันยายน ๒๕๕๗ จำเลยเลิกจ้างโดยโจทก์มิได้กระทำความผิด ขอบังคับให้จำเลยจ่ายค่าชดเชย ๔๘๑,๓๘๐ บาท พร้อมดอกเบี้ย จำเลยให้การว่า สัญญาจ้างระหว่างโจทก์กับจำเลยเป็นสัญญามีกำหนดระยะเวลาแน่นอนตามพระราชบัญญัติ คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๑๑๘ วรรคสาม และระเบียบสหกรณ์ออมทรัพย์ A ระหว่างทำงานโจทก์ มีพฤติการณ์ส่อไปในทางทุจริต เงินประจำตำแหน่งไม่ใช่ค่าจ้าง ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าชดเชย ๔๘๑,๓๘๐ บาท พร้อม ดอกเบี้ย จำเลยอุทธรณ์ ประเด็นสัญญาจ้างมีกำหนดระยะเวลาแน่นอนตามมาตรา ๑๑๘ วรรคสาม และวรรคสี่ หรือไม่ ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ เห็นว่า พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๑๑๘ วรรคสาม บัญญัติให้ความในวรรคหนึ่งมิให้ใช้บังคับแก่ลูกจ้างที่มีกำหนดระยะเวลาการจ้างไว้แน่นอนและเลิกจ้าง ตามกำหนดระยะเวลานั้น ส่วนในวรรคสี่บัญญัติให้การจ้างที่มีกำหนดเวลาตามวรรคสามจะกระทำได้สำหรับ การจ้างงานในโครงการเฉพาะที่มิใช่งานปกติของธุรกิจหรือการค้าของนายจ้าง จะเห็นว่า มาตรา ๑๑๘ วรรคสาม เป็นเรื่องการกำหนดระยะเวลาการจ้างที่ต้องกำหนดไว้แน่นอนโดยที่ไม่สามารถเลิกจ้างกันก่อนครบกำหนด ตามระยะเวลาที่ตกลงกันไว้ ส่วนมาตรา ๑๑๘ วรรคสี่ เป็นเรื่องการกำหนดประเภทของงานที่สามารถจะทำ สัญญาจ้างให้มีกำหนดระยะเวลาการจ้างไว้แน่นอนได้ ซึ่งมี ๓ ประเภท คือ งานในโครงการเฉพาะที่มิใช่งาน ปกติของธุรกิจหรือการค้าของนายจ้าง หรือในงานอันมีลักษณะเป็นครั้งคราวที่มีกำหนดการสิ้นสุดหรือ ความสำเร็จของงานหรือในงานที่เป็นไปตามฤดูกาลและได้จ้างในช่วงเวลาของฤดูกาลนั้น เมื่อข้อเท็จจริง ปรากฏว่า ตามสัญญาจ้างข้อ ๗ กำหนดให้โจทก์และจำเลยจะบอกเลิกสัญญานี้ได้ด้วยการบอกกล่าวล่วงหน้า ๑ เดือน อันเป็นการให้สิทธิแก่คู่สัญญาในการเลิกสัญญาจ้างก่อนครบกำหนดได้ ทั้งมิใช่การเลิกสัญญาในกรณี ผิดสัญญาจ้าง สัญญาจ้างดังกล่าวจึงไม่มีลักษณะเป็นสัญญาจ้างที่มีกำหนดระยะเวลาจ้างไว้แน่นอน ประกอบ กับจำเลยได้ต่อสัญญาให้โจทก์ถึง ๒ ครั้ง และทำงานติดต่อกันมาถึง ๔ ปี ๑๐ เดือน ดังนั้น งานของโจทก์ใน ตำแหน่งผู้จัดการจึงไม่ใช่งานอันมีลักษณะเป็นครั้งคราวที่มีกำหนดการสิ้นสุด ตามความหมายในมาตรา ๑๑๘
นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๕๙ - วรรคสี่ โจทก์จึงมิใช่ลูกจ้างที่มีการกำหนดระยะเวลาการจ้างไว้แน่นอน ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๑๑๘ วรรคสาม และวรรคสี่ ประเด็นเงินประจำตำแหน่งเป็นค่าจ้าง หรือไม่ ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ เห็นว่า การที่ จะพิจารณาว่าเงินใดจะเป็นค่าจ้างหรือไม่จะต้องพิจารณาจากลักษณะการทำงานและวัตถุประสงค์ในการ จ่ายเงินของนายจ้างว่าจ่ายเพื่อวัตถุประสงค์ใดมาพิจารณาประกอบด้วย โดยไม่พิจารณาตามชื่อเรียกว่าเป็นเงิน อะไร เมื่อข้อเท็จจริงที่ศาลแรงงานกลางฟังยุติแล้วว่า จำเลยจ่ายเงินประจำตำแหน่ง ๒๐,๐๐๐ บาท ให้แก่ โจทก์เป็นประจำทุกเดือนพร้อมกับเงินเดือนและมีจำนวนที่แน่นอน จึงเป็นเงินที่นายจ้างและลูกจ้างตกลงกัน จ่ายเป็นค่าตอบแทนในการทำงานตามสัญญาจ้างสำหรับระยะเวลาการทำงานปกติเป็นรายเดือน ทั้งมิใช่เงินที่ จำเลยจ่ายให้แก่โจทก์เพื่อจูงใจให้ทำงานหรือมีผลงานให้มากขึ้น เงินประจำตำแหน่งดังกล่าวจึงเป็นค่าจ้าง ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๕ พิพากษายืน ๓. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๘๓๘/๒๕๕๔ (เงินค่าตำแหน่ง) เรื่อง ลูกจ้างทำงานตำแหน่งผู้จัดการคลังสินค้า นายจ้างตกลงจ่ายค่าตำแหน่งให้เดือนละ ๑,๕๐๐ บาท ซึ่งเงินค่าตำแหน่งเป็นเงินที่จ่ายให้เป็นประจำทุกเดือน เดือนละ ๑,๕๐๐ บาท โดยไม่ได้ความว่า เงินดังกล่าวเป็นเงินสวัสดิการหรือเงินช่วยเหลืออื่นใดแก่โจทก์เงินค่าตำแหน่งจึงเป็นค่าจ้าง จำเลยจ้างโจทก์เป็นลูกจ้างตำแหน่งผู้จัดการคลังสินค้าค่าจ้างเดือนละ ๑๓,๕๐๐ บาท และจำเลย ตกลงจ่ายค่าตำแหน่งให้เดือนละ ๑,๕๐๐ บาท ซึ่งเงินค่าตำแหน่งเป็นเงินที่จำเลยจ่ายให้โจทก์เป็นประจำ ทุกเดือนเดือนละ ๑,๕๐๐ บาท โดยไม่ได้ความว่าเงินดังกล่าวเป็นเงินสวัสดิการหรือเงินช่วยเหลืออื่นใดแก่โจทก์ เช่นนี้ เงินค่าตำแหน่งจึงเป็นเงินที่มีจำนวนแน่นอนที่จำเลยตกลงจ่ายเป็นค่าตอบในการทำงานให้แก่โจทก์ ซึ่งเป็นลูกจ้างตามสัญญาจ้างแรงงานระหว่างจำเลยและโจทก์ จึงเป็นค่าจ้างตามมาตรา ๕
นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๖๐ - ไม่เป็นค่าจ้าง ๑. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๒๖๒๕/๒๕๖๑ (ค่าตำแหน่ง) เรื่อง “ค่าคอมมิชชั่น” จ่ายให้เพื่อจูงใจให้ขายสินค้าได้จำนวนมากที่สุด “ค่ารักษาสินค้า” จ่ายเพื่อสร้างแรงจูงใจให้ลูกจ้างช่วยกันดูแลรักษาสินค้าไม่ให้สูญหาย “ค่าตำแหน่ง” กำหนดขึ้นเพื่อสร้าง แรงจูงใจแก่ลูกจ้างให้พัฒนาการบริการแก่ลูกค้าให้ดีและน่าประทับใจมากยิ่งขึ้นไป เงินทั้งสามประเภทนี้ จึงไม่ใช่ค่าจ้าง ไม่นำมาคำนวณค่าชดเชยและค่าจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งพนักงานตรวจแรงงาน กรณีที่มีคำสั่งให้โจทก์จ่ายค่าชดเชย และสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าให้กับลูกจ้างทั้งสาม โจทก์เห็นว่าไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากโจทก์ ประกอบกิจการขายเครื่องสำอาง นางสาว ส. กับพวก จำเลยร่วม เป็นลูกจ้างโจทก์ตำแหน่งพนักงานขาย ทำงานที่ห้างสรรพสินค้า บ. ระหว่างการทำงานลูกจ้างทั้งสามนำข้อมูลส่วนบุคคลของบิดา มารดา และญาติ มาสมัครบัตรสมาชิกของโจทก์และเก็บค่าสมาชิกไว้เองว่า เมื่อลูกค้าซื้อสินค้าจำเลยร่วมไม่ชักชวนให้สมัครบัตร สมาชิกแต่กลับใช้บัตรสมาชิกดังกล่าวแอบอ้างเป็นรายการซื้อสินค้าของบิดา มารดา หรือญาติของตนเพื่อทำ รายการสะสมคะแนนและนำไปใช้แลกสินค้าของโจทก์โดยไม่ต้องชำระราคา เป็นความผิดร้ายแรง และจำเลย นำค่าคอมมิสชันค่ารักษาสินค้า ค่าตำแหน่ง ค่าพาหนะ มารวมคำนวณค่าชดเชยฯ จึงไม่ถูกต้อง ศาลแรงงาน ภาค ๖ พิจารณาแล้ว พิพากษาให้เพิกถอนคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานในส่วนของจำเลยร่วมที่ ๑ ทั้งหมด และในส่วนของจำเลยร่วมที่ ๓ เฉพาะบางส่วน คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก โจทก์อุทธรณ์ ประเด็นพิจารณาตามอุทธรณ์ว่า ค่าคอมมิสชัน ค่ารักษาสินค้า และค่าตำแหน่ง เป็นค่าจ้าง หรือไม่ศาลฎีกาเห็นว่า “ค่าคอมมิสชัน” เป็นเงินที่โจทก์จ่ายให้จำเลยร่วมทั้งสาม คำนวณจ่ายเป็นร้อยละของ ยอดขายสินค้าในแต่ละเดือนที่พนักงานขายในร้านของโจทก์ทุกคนรวมกัน โดยต้องขายได้ไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๘๕ ของเป้าหมายที่โจทก์กำหนดไว้ ซึ่งพนักงานขายในร้านจะได้รับเท่ากันทุกคน หากขายสินค้าไม่ได้ตามกำหนด โจทก์ก็ไม่จ่าย แสดงว่าเงินดังกล่าวกำหนดขึ้นเพื่อสร้างแรงจูงใจแก่จำเลยร่วมที่ ๒ และจำเลยที่ ๒ ให้ขายสินค้า ให้ได้จำนวนมากที่สุด “ค่ารักษาสินค้า”เป็นเงินที่โจทก์จ่ายให้โดยคำนวณจ่ายเป็นร้อยละของยอดขายสินค้า ในแต่ละเดือนที่พนักงานในร้านทุกคนขายได้รวมกัน โดยมีเงื่อนไขว่าในเดือนนั้นต้องไม่มีสินค้าในร้านสูญหาย หากมีสินค้าสูญหายจะต้องนำราคาสินค้าที่สูญหายมาหักออกก่อนที่จะนำมาเฉลี่ยให้พนักงานขายในร้าน เท่ากันทุกคน กรณีสินค้าสูญหายไปมากกว่าจำนวนเงินค่ารักษาสินค้า จำเลยร่วมที่ ๒ และที่ ๓ ก็จะไม่ได้รับ เงินนี้อันเป็นการสร้างแรงจูงใจให้ลูกจ้างช่วยกันดูแลรักษาสินค้าไม่ให้สูญหาย “ค่าตำแหน่ง” โจทก์จ่ายให้ จำเลยร่วมทั้งสามเป็นพิเศษ คำนวณจากการขายสินค้าบางรายการที่กำหนดไว้ หากขายได้ตามจำนวนที่ กำหนด และยังรวมถึงเงินที่จากคะแนนประเมินการบริการจากลูกค้าที่โจทก์ส่งมาทดสอบพนักงานขาย ประกอบเพื่อจ่ายเงินด้วย หากขายสินค้าไม่ได้หรือไม่ได้คะแนนจากการประเมินของลูกค้า จำเลยร่วมก็จะไม่ได้ เงินส่วนนี้เช่นกัน เงินทั้งสามประเภทนี้ จึงไม่ใช่ค่าจ้างตามมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ พิพากษาแก้เป็นว่า ให้แก้ไขคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานเฉพาะส่วนจำนวนเงินค่าชดเชย
นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๖๑ - และค่าจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าของจำเลยร่วมที่ ๒ และ ที่ ๓ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษา ศาลแรงงานภาค ๖
นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๖๒ - ๑๔. ค่าอายุงาน เป็นค่าจ้าง ๑. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๓๙๕๒/๒๕๖๑ (ค่าอายุงาน) เรื่อง ค่าตำแหน่งเดือนละ ๑,๐๐๐ บาท ค่าอายุงาน ๑,๕๐๐ บาท ค่าเช่าบ้าน ๓๐๐ บาท ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่ามีลักษณะเป็นสวัสดิการ จึงเป็นค่าจ้างที่ต้องนำมาเป็นฐานในการคำนวณค่าชดเชย , สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าไม่ใช่เงินตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง จึงต้องเสียดอกเบี้ยร้อยละ ๗.๕ ต่อปี คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า จำเลยรับโจทก์เข้าทำงานเป็นลูกจ้างตำแหน่งสุดท้ายเป็นผู้จัดการโรงงาน ค่าจ้างเดือนละ ๕๗,๕๕๐ บาท วันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๕๓ จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยโจทก์ไม่มีความผิด ขอบังคับให้จำเลยจ่ายค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าจ้างวันหยุดพักผ่อนประจำปี ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม พร้อมดอกเบี้ย ศาลแรงงานภาค ๒ พิพากษาให้จำเลยชำระค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าจ้างวันหยุดพักผ่อนประจำปี ๔๕๘,๔๘๑.๖๖ บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ ๑๕ ต่อปี และค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ๑๐๐ บาท คำขออื่นยก จำเลยอุทธรณ์ ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์ได้รับเงินเดือน ๕๔,๐๐๐ บาท ค่าตำแหน่ง ๑,๐๐๐ บาท ค่าอายุงาน ๑,๕๐๐ บาท ค่าเช่าบ้าน ๓๐๐ บาท โดยไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าเงินค่าตำแหน่ง ค่าอายุงาน และค่าเช่าบ้าน ดังกล่าวเป็นเงินในลักษณะสวัสดิการ ดังนั้นที่ศาลแรงงานภาค ๒ ฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์ได้รับค่าจ้างอัตรา สุดท้ายเดือนละ ๕๗,๕๕๐ บาท อันเป็นฐานในการคำนวณค่าชดเชยจึงถูกต้องแล้ว ส่วนสินจ้างแทนการบอก กล่าวล่วงหน้า มิใช่เงินที่นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างเมื่อเลิกจ้างทันทีโดยไม่ต้องทวงถามและมิใช่หนี้เงินที่นายจ้าง ต้องเสียดอกเบี้ยให้แก่ลูกจ้างในระหว่างเวลาผิดนัดร้อยละ ๑๕ ต่อปี ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง คำพิพากษาศาลแรงงานภาค ๒ ในส่วนนี้จึงไม่ชอบ ปัญหานี้แม้คู่ความไม่ได้ อุทธรณ์ขึ้นมา แต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๒ (๕) , ๒๔๖ ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้ง ศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๓๑ จึงเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้องโดยกำหนดให้ จำเลยเสียดอกเบี้ยในระหว่างเวลาผิดนัดอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๒๒๔ วรรคหนึ่ง
นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๖๓ - ๑๕. ค่าเช่าบ้าน เป็นค่าจ้าง ๑. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๓๙๕๒/๒๕๖๑ (ค่าเช่าบ้าน) เรื่อง ค่าตำแหน่งเดือนละ ๑,๐๐๐ บาท ค่าอายุงาน ๑,๕๐๐ บาท ค่าเช่าบ้าน ๓๐๐ บาท ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่ามีลักษณะเป็นสวัสดิการ จึงเป็นค่าจ้างที่ต้องนำมาเป็นฐานในการคำนวณค่าชดเชย , สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าไม่ใช่เงินตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง จึงต้องเสียดอกเบี้ยร้อยละ ๗.๕ ต่อปี คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า จำเลยรับโจทก์เข้าทำงานเป็นลูกจ้างตำแหน่งสุดท้ายเป็นผู้จัดการโรงงาน ค่าจ้างเดือนละ ๕๗,๕๕๐ บาท วันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๕๓ จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยโจทก์ไม่มีความผิด ขอบังคับให้จำเลยจ่ายค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าจ้างวันหยุดพักผ่อนประจำปี ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม พร้อมดอกเบี้ย ศาลแรงงานภาค ๒ พิพากษาให้จำเลยชำระค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าจ้างวันหยุดพักผ่อนประจำปี ๔๕๘,๔๘๑.๖๖ บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ ๑๕ ต่อปี และค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ๑๐๐ บาท คำขออื่นยก จำเลยอุทธรณ์ ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์ได้รับเงินเดือน ๕๔,๐๐๐ บาท ค่าตำแหน่ง ๑,๐๐๐ บาท ค่าอายุงาน ๑,๕๐๐ บาท ค่าเช่าบ้าน ๓๐๐ บาท โดยไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าเงินค่าตำแหน่ง ค่าอายุงาน และค่าเช่าบ้าน ดังกล่าวเป็นเงินในลักษณะสวัสดิการ ดังนั้น ที่ศาลแรงงานภาค ๒ ฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์ได้รับค่าจ้างอัตรา สุดท้ายเดือนละ ๕๗,๕๕๐ บาท อันเป็นฐานในการคำนวณค่าชดเชยจึงถูกต้องแล้ว ส่วนสินจ้างแทนการบอก กล่าวล่วงหน้า มิใช่เงินที่นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างเมื่อเลิกจ้างทันทีโดยไม่ต้องทวงถามและมิใช่หนี้เงินที่นายจ้าง ต้องเสียดอกเบี้ยให้แก่ลูกจ้างในระหว่างเวลาผิดนัดร้อยละ ๑๕ ต่อปี ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง คำพิพากษาศาลแรงงานภาค ๒ ในส่วนนี้จึงไม่ชอบ ปัญหานี้แม้คู่ความไม่ได้ อุทธรณ์ขึ้นมา แต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๒ (๕) , ๒๔๖ ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้ง ศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๓๑ จึงเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้องโดยกำหนดให้ จำเลยเสียดอกเบี้ยในระหว่างเวลาผิดนัดอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๒๒๔ วรรคหนึ่ง
นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๖๔ - ไม่เป็นค่าจ้าง ๑. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๓๑๒๙/๒๕๕๘ (ค่าเช่าบ้าน) เรื่อง นายจ้างให้ลูกจ้างออกก่อนวันที่ลูกจ้างประสงค์จะลาออก โดยอ้างว่าลูกจ้างกระทำผิด เป็นการเลิกจ้าง , ค่าเช่าบ้านไม่เป็นค่าจ้าง การที่โจทก์ซึ่งเป็นลูกจ้างแสดงเจตนาลาออกจากงานต่อจำเลยที่ ๑ นายจ้าง เมื่อวันที่ ๗ เมษายน ๒๕๕๒ โดยให้มีผลวันที่ ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๕๒ ย่อมเป็นการแสดงเจตนาบอกเลิกสัญญาจ้างแรงงาน ซึ่งการเลิกสัญญาจ้างแรงงานที่ไม่มีกำหนดระยะเวลานั้นนายจ้างหรือลูกจ้างมีสิทธิแสดงเจตนาบอกเลิกสัญญา จ้างแรงงานได้แต่เพียงฝ่ายเดียวโดยไม่จำต้องให้อีกฝ่ายหนึ่งยินยอมตกลงหรืออนุมัติ แต่ในระหว่างระยะเวลาที่ สัญญาจ้างแรงงานยังมีผลบังคับอยู่นั้น นายจ้างยังคงมีนิติสัมพันธ์ต่อกันจนกว่าสัญญาจ้างแรงงานจะสิ้นผล สำหรับคดีนี้เมื่อวันที่ ๗ เมษายน ๒๕๕๒ โจทก์ยื่นหนังสือลาออกโดยให้มีผลวันที่ ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๕๒ วันที่ ๒๓ เมษายน ๒๕๕๒ ก่อนวันลาออกมีผล จำเลยที่ ๑ มีหนังสือเลิกจ้างโจทก์อ้างว่าโจทก์จงใจทำให้จำเลยที่ ๑ ได้รับความเสียหายและกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้จำเลยที่ ๑ ได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง จึงเท่ากับ ว่าจำเลยที่ ๑ ใช้สิทธิเลิกจ้างโจทก์แล้ว หาใช่จำเลยที่ ๑ ใช้สิทธิให้โจทก์ออกจากงานก่อนครบกำหนดตาม ความประสงค์ที่โจทก์ได้แสดงเจตนาลาออกแต่อย่างใดไม่ ซึ่งเมื่อจำเลยที่ ๑ อ้างเหตุเลิกจ้างโจทก์ไว้ในหนังสือ เลิกจ้างว่าโจทก์กระทำผิด แต่ข้อเท็จจริงตามที่ศาลแรงงานภาค ๒ รับฟังมาได้ความว่าโจทก์ไม่ได้กระทำ ความผิดตามกล่าวอ้าง จำเลยที่ ๑ จึงต้องจ่ายค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าจ้างสำหรับ วันหยุดพักผ่อนประจำปี และค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมแก่โจทก์ ค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีเป็นค่าจ้างตามนิยามมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติ คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ โจทก์จึงมีสิทธิได้รับดอกเบี้ยสำหรับค่าชดเชยและค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อน ประจำปีตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง ในอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี สำหรับวันผิดนัดอันเป็นวันเริ่มคิดดอกเบี้ยผิดนัดนั้น ค่าชดเชยคิดได้นับแต่วันเลิกจ้าง ส่วนค่าจ้างสำหรับ วันหยุดพักผ่อนประจำปีนายจ้างต้องจ่ายภายใน ๓ วัน นับแต่วันเลิกจ้างตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๗๐ วรรคท้าย และสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า นายจ้างต้องจ่ายนับแต่วันทวงถาม เมื่อไม่ปรากฏว่าโจทก์ทวงถามจำเลยให้ชำระสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าในวันใด จำเลยจึงต้องจ่าย ดอกเบี้ยในสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้านับแต่วันฟ้อง สำหรับประเด็นค่าเช่าบ้าน แม้จำเลยที่ ๑ จ่ายค่าเช่าบ้านแก่โจทก์ในอัตราเท่ากันทุกเดือน แต่ จำเลยที่ ๑ จ่ายค่าเช่าบ้านโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือพนักงานตามข้อบังคับการบริหารงานบุคคล โดยถือ เป็นเงินช่วยเหลืออื่น ๆ ตามบทที่ ๕ สวัสดิการและเงินช่วยเหลือ ค่าเช่าบ้านจึงมิใช่ค่าจ้าง
นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๖๕ - ๒. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๓๕๕๕/๒๕๕๗ เรื่อง ค่าเช่าบ้านเดือนละ ๒๔,๐๐๐ บาท ที่นายจ้างจ่ายให้ลูกจ้างซึ่งทำหน้าที่เป็นครูฝึก โยคะนั้น มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือเรื่องที่อยู่อาศัย ไม่ใช่จ่ายเพื่อตอบแทนการทำงานในเวลาทำงาน ปกติ ค่าเช่าบ้านจึงไม่ใช่ค่าจ้าง จำเลยจ้างโจทก์เป็นลูกจ้าง ทำหน้าที่เป็นครูฝึกโยคะ ได้รับค่าจ้างเดือนละ ๖๖,๐๐๐ บาท ค่าเช่าบ้านเดือนละ ๒๔,๐๐๐ บาท ค่าเช่าบ้านนั้นจำเลยจะจ่ายเงินช่วยเหลือค่าที่พักอาศัยให้โจทก์เดือนละ ๒๔,๐๐๐ บาท หากจำเป็นจำเลยสามารถจัดหาที่พักอาศัยให้โจทก์ โจทก์จะไม่มีสิทธิได้รับเงินดังกล่าว และเงิน ดังกล่าวสามารถถูกยกเลิกได้ โดยจำเลยจะบอกกล่าวล่วงหน้าเป็นลายลักษณ์อักษรเป็นเวลา ๑ เดือน ดังนั้น ย่อมเห็นได้ว่าค่าเช่าบ้านที่จำเลยจ่ายให้โจทก์นั้นมีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือเรื่องที่อยู่อาศัย ไม่ใช่จ่ายเพื่อ ตอบแทนการทำงานในเวลาทำงานปกติ อันถือเป็นสวัสดิการที่นายจ้างจัดให้แก่ลูกจ้าง จึงไม่ถือว่าเป็นค่าจ้าง ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๕ ๓. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๒๖๖๐/๒๕๕๖ (ค่าเช่าบ้าน) เรื่อง ค่าเบี้ยกันดารและค่าเช่าบ้าน ไม่ใช่ค่าจ้าง ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๕ จึงไม่นำมารวมเป็นฐานคำนวณค่าชดเชย ค่าเบี้ยกันดารและค่าเช่าบ้านนั้น จำเลยมีระเบียบค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับธุรกิจ หมวดการโยกย้ายที่ อยู่อาศัยข้อ ๖ กำหนดว่า เงินช่วยเหลือค่าทำงานต่างจังหวัดอัตราร้อยละ ๑๕ ของเงินเดือนมูลฐาน และข้อ ๗ กำหนดว่าเงินช่วยเหลือค่าชดเชยที่พักอัตราร้อยละ ๑๕ ของเงินเดือนมูลฐาน จำเลยจะจ่ายเงินทั้งสองประเภท นี้ให้แก่โจทก์เป็นประจำทุกเดือนเมื่อโจทก์ไปทำงานในต่างจังหวัดเพื่อเป็นการช่วยเหลือแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่าย ส่วนตัวและค่าเช่าที่พัก เงินค่าเบี้ยกันดารและค่าเช่าบ้าน จำเลยที่ ๑ มีระเบียบการจ่ายชัดเจนว่าประสงค์ จะช่วยเหลือโจทก์ในด้านเงินค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับส่วนตัวและค่าเช่าที่พักเมื่อโจทก์ต้องไปทำงานในต่างจังหวัด หากโจทก์กลับเข้ามาทำงานในกรุงเทพแล้วจำเลยจะไม่จ่ายเงินทั้งสองประเภทนี้แก่โจทก์ แสดงให้เห็นว่าจำเลย จ่ายเงินทั้งสองประเภทแก่โจทก์เพื่อเป็นสวัสดิการเท่านั้น ไม่ได้จ่ายด้วยวัตถุประสงค์เพื่อตอบแทนในการ ทำงานตามสัญญาจ้างสำหรับระยะเวลาการทำงานปกติ เงินเบี้ยกันดารและค่าเช่าบ้านจึงไม่เป็นค่าจ้าง ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๕ จึงไม่นำมารวมเป็นฐานคำนวณค่าชดเชย ๔. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๒๙๖๗/๒๕๕๕ เรื่อง ค่าเช่าบ้าน ค่าพาหนะ ถือเป็นเงินที่เจตนามาแต่แรกที่จะให้เป็นสวัสดิการ แม้จะจ่าย ให้เป็นประจำทุกเดือนโดยไม่มีเงื่อนไขว่าต้องนำเอกสารมาเบิกจ่ายก็เป็นเพียงวิธีการจ่ายเงินในลักษณะ เหมาจ่ายเพื่อความสะดวกในทางปฏิบัติจึงไม่ใช่ค่าจ้าง จำเลยจ้างโจทก์เป็นลูกจ้างทำงานตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายบุคคลและธุรการโดยตกลงจ่ายค่าเช่า บ้านเดือนละ ๑,๐๐๐ บาท และค่าพาหนะเดือนละ ๑,๐๐๐ บาท ซึ่งจ่ายเป็นประจำทุกเดือน ข้อเท็จจริง
นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๖๖ - ปรากฏว่าสัญญาจ้างระหว่างโจทก์กับจำเลยข้อ ๑ ระบุว่าตกลงจ่ายค่าจ้างเดือนละ ๒๐,๐๐๐ บาท และสวัสดิการ ค่าเช่าบ้านเดือนละ ๑,๐๐๐ บาท ค่าเดินทางเดือนละ ๑,๐๐๐ บาท...ซึ่งสอดคล้องกับประกาศรับสมัครที่ ประกาศรับสมัครตำแหน่งผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายบุคคลและธุรการโดยระบุว่า มีสวัสดิการ เช่น ค่าเช่าบ้าน หอพัก บริษัท รถรับส่งพนักงาน ค่าอาหาร ฯลฯ ในกรณีของโจทก์นั้นไม่ต้องการบ้านพักบริษัทก็จะช่วยเหลือเป็นค่าเช่า เดือนละ ๑,๐๐๐ บาท บ้านพักที่บริษัทจัดให้พนักงานพักอาศัยมี ๘๐ ห้อง สำหรับพนักงานทั่วไปที่ไม่มีบ้านพัก จะได้ค่าเช่าเดือนละ ๕๐๐ บาท ผู้บริหารจะได้เดือนละ ๑,๐๐๐ บาท ดังนั้นจึงเห็นได้ว่าการตกลงจ่ายเงิน ดังกล่าวกันตามสัญญาจ้างของโจทก์กับจำเลยมีเจตนามาแต่แรกที่จะให้เป็นสวัสดิการเพื่อช่วยเหลือ พนักงานนอกเหนือจากค่าจ้างที่กำหนดไว้เป็นเงินเดือน แม้ค่าเช่าบ้านและค่าพาหนะจำเลยจะจ่ายให้โจทก์ เป็นประจำทุกเดือนโดยไม่มีเงื่อนไขว่าต้องนำเอกสารหรือหลักฐานมาเบิกจ่ายก็เป็นเพียงวิธีการจ่ายเงิน ในลักษณะเหมาจ่ายเพื่อความสะดวกในทางปฏิบัติ และมิได้แสดงว่าคู่สัญญาจะเปลี่ยนเจตนาให้สวัสดิการนั้น กลายเป็นค่าจ้างทั้งมิใช่กรณีที่นายจ้างมีเจตนาหลีกเลี่ยงการจ่ายค่าจ้างโดยฝ่าฝืนกฎหมายแต่อย่างใด เงินค่าเช่าบ้านและเงินค่าพาหนะจึงไม่ใช่ค่าจ้างตามมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑
นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๖๗ - ๑๖. เงินเดือน ๆ ที่ ๑๓ เป็นค่าจ้าง ๑. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๐๓๒๗/๒๕๕๘ เรื่อง ตามหนังสือสัญญาจ้างระบุว่า “โจทก์ได้รับค่าจ้างเป็นเงินเดือน เดือนละ ๕๕,๐๐๐ บาท เป็นจำนวน ๑๓ เดือน” เงินเดือนๆ ๑๓ จึงเป็นค่าจ้าง และพาหนะหรือค่าเสื่อมรถยนต์เดือนละ ๑๔,๐๐๐ บาท นายจ้างเหมาจ่ายเท่ากันทุกเดือนไม่ปรากฏว่าเป็นการจ่ายเพื่อสวัสดิการหรือเงินช่วยเหลือ ดังนั้น ค่าพาหนะหรือค่าเสื่อมรถยนต์ จึงเป็นค่าจ้าง โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยจำเลยจ่ายค่าชดเชยขายไป เนื่องจากจำเลยไม่นำเงินเดือนๆ ที่ ๑๓ กับค่าพาหนะมารวมเป็นค่าจ้าง และจำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยไม่เป็นธรรม จำเลยให้การว่าเงินเดือนๆ ที่ ๑๓ เป็นโบนัส และค่าพาหนะจ่ายเพื่อช่วยเหลือค่าบำรุงรักษารถและค่าเสื่อมรถ ไม่ได้จ่ายเป็นประจำ ทุกเดือน ไม่อาจนำมาคำนวณเป็นค่าชดเชย ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าชดเชย ๑๗๖,๙๓๗.๓๓ บาท พร้อมดอกเบี้ย และค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ๖๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ย จำเลยอุทธรณ์ ศาลฎีกาเห็นว่า ตามที่ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงและวินิจฉัยว่า ตามหนังสือสัญญาจ้างงาน ระบุว่า “โจทก์ได้รับค่าจ้างเป็นเงินเดือน เดือนละ ๕๐,๐๐๐ บาท เป็นจำนวน ๑๓ เดือน” จึงเป็นค่าจ้าง ไม่ปรากฏว่ามีข้อตกลงให้ค่าพาหนะหรือค่าเสื่อมราคารถเป็นสวัสดิการหรือเงินช่วยเหลือโจทก์แต่จำเลย เหมาจ่ายเท่ากันทุกเดือน ค่าเสื่อมรถยนต์เดือนละ ๑๔,๐๐๐ บาท จึงเป็นค่าจ้าง ที่จำเลยอุทธรณ์โดยอ้าง คำพยานบุคคลเพื่อแสดงให้เห็นว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์ใช่การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม การกำหนดค่าเสียหาย ไม่ชอบ เงินเดือนๆ ที่ ๑๓ เป็นโบนัส ค่าเสื่อมพาหนะเป็นการจ่ายช่วยเหลือ ศาลแรงงานกลางจึงควรพิจารณา จากที่พยานเบิกความ ศาลฎีกาเห็นว่าอุทธรณ์ของจำเลยล้วนแต่อ้างคำพยานบุคคลมาเพื่อโต้แย้งดุลพินิจ ในการรับฟังข้อเท็จจริงและดุลพินิจในการกำหนดค่าเสียหายของศาลแรงงานกลาง จึงเป็นการอุทธรณ์ ในข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๕๔ วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๖๘ - ๑๗. เงินประจำไซด์ เป็นค่าจ้าง ๑. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๓๗๓/๒๕๕๗ (เงินประจำไซด์) เรื่อง เงินประจำไซด์นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างตำแหน่งผู้จัดการโครงการทุกเดือน เดือนละ ๓๐,๐๐๐ บาท จึงเป็นค่าจ้าง ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๕ โจทก์ทำงานตำแหน่งผู้จัดการโครงการ จำเลยตกลงจ่ายค่าจ้างเดือนละ ๕๐,๐๐๐ บาท และ เงินประจำไซด์งานเดือนละ ๓๐,๐๐๐ บาท เงินประจำไซด์งานเป็นเงินที่จำเลยในฐานะนายจ้างจ่ายให้โจทก์ ในฐานะลูกจ้างเพื่อตอบแทนการทำงาน เพื่อเสริมประสิทธิภาพการทำงาน โดยจำนวนเงินที่จ่ายให้โจทก์ มีจำนวนแน่นอนและจ่ายให้เป็นประจำรายเดือนเช่นเดียวกับเงินเดือน เงินประจำไซด์ถือเป็นค่าจ้าง
นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๖๙ - ๑๘. เงินรางวัลนำเข้า เป็นค่าจ้าง ๑. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๒๕๖๒/๒๕๕๗ (เงินรางวัลนำเข้า /ค่าคอมมิชชั่น) เรื่อง เงินรางวัลนำเข้า (ค่าคอมมิชชั่น) เป็นค่าจ้าง ตามประกาศคณะกรรมการแรงงาน รัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่อง มาตรฐานขั้นต่ำของสภาพการจ้างในรัฐวิสาหกิจ ข้อ ๔ ตามพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๓ มาตรา ๑๓(๑) ประกอบประกาศ คณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่อง มาตรฐานขั้นต่ำของสภาพการจ้างในรัฐวิสาหกิจ ข้อ ๔ ให้คำจำกัดความค่าจ้าง หมายความว่า เงินทุกประเภทที่นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างเป็นค่าตอบแทนการทำงาน ในวันและเวลาทำงานปกติไม่ว่าจะคำนวณตามระยะเวลาหรือคำนวณตามผลงานที่ลูกจ้างทำได้ และให้ หมายความรวมถึงเงินที่นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างในวันหยุดและวันลาซึ่งลูกจ้างไม่ได้ทำงานด้วย ทั้งนี้ ไม่ว่าจะ กำหนด คำนวณ หรือจ่ายในลักษณะใดและโดยวิธีการใด และไม่ว่าจะเรียกชื่ออย่างไร และตามระเบียบของ จำเลยข้อ ๓ ให้คำจำกัดความคำว่า รางวัลนำเข้า หมายถึง เงินที่จำเลยจัดสรรเพื่อประโยชน์ในการขายจาก ค่าโฆษณาหรือค่าสมาชิกหนังสือข่าวและให้เป็นไปตามสัดส่วนอัตรา หลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กรรมการ ผู้จัดการใหญ่กำหนด ศาลฎีกาเห็นว่า เงินรางวัลนำเข้าเป็นเงินที่จำเลยจ่ายให้โจทก์เมื่อทำงานตามหน้าที่ ของตน โดยกำหนดอัตรา หลักเกณฑ์ และเงื่อนไขไว้แน่นอน อันมีลักษณะชี้ชัดว่าจำเลยมุ่งหมายจ่ายให้โจทก์ เพื่อตอบแทนการทำงานตามผลงาน มิใช่จ่ายเพื่อจูงใจให้โจทก์ขยันทำงานแต่อย่างใด เงินรางวัลนำเข้าจึงเป็น ค่าจ้าง ส่วนระเบียบข้อ ๖.๓ กำหนดว่าหากลูกค้าผิดสัญญาหรือผิดนัดชำระเงิน จำเลยทรงไว้ซึ่งสิทธิจะ ระงับการจ่ายรางวัลนำเข้าได้ทั้งหมดนั้นเป็นการให้สิทธิจำเลยซึ่งเป็นนายจ้างเพียงฝ่ายเดียวที่จะไม่จ่ายค่าจ้าง ซึ่งนายจ้างมีหน้าที่ต้องจ่าย อันเป็นการขัดต่อพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๓ มาตรา ๑๓ (๑) ประกอบประกาศคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่อง มาตรฐานขั้นต่ำของ สภาพการจ้างในรัฐวิสาหกิจ ข้อ ๓๑ ซึ่งเป็นกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของ ประชาชน ระเบียบนี้จึงตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๑๕๐
นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๗๐ - ๑๙. เงินค่าใบอนุญาตพนักงานควบคุมการจราจรทางอากาศ เป็นค่าจ้าง ๑. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๙๔๔๖ – ๑๙๔๗๘/๒๕๕๗ เรื่อง เงินประจำตำแหน่งผู้บริหาร เงินเพิ่มค่าวิชาชีพ เงินค่าใบอนุญาตพนักงานควบคุม การจราจรทางอากาศ เป็นค่าจ้าง ส่วนเงินรางวัลพิเศษประจำปี ค่าตอบแทนเหมาจ่ายแทนการจัดรถยนต์ ประจำตำแหน่ง ไม่เป็นค่าจ้าง ตามประกาศคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่อง มาตรฐานขั้น ต่ำของสภาพการจ้างในรัฐวิสาหกิจ คดีนี้โจทก์ทั้ง ๓๓ คน ฟ้องว่าโจทก์กับพวกเป็นลูกจ้างจำเลย จนกระทั่งเกษียณอายุการทำงาน จำเลยจ่ายเงินเพื่อตอบแทนความชอบในการทำงานไม่ครบถ้วน ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว เห็นว่าเงินประจำตำแหน่ง เงินเพิ่มพิเศษเนื่องจากเงินเดือนเต็มขั้น เงินเพิ่มค่าวิชาชีพและเงินเพิ่มค่าใบอนุญาตพนักงานควบคุมจราจรทางอากาศ เงินรางวัลพิเศษประจำปี เงินค่าตอบแทนเหมาจ่ายแทนการจัดหารถยนต์ประจำตำแหน่ง เป็นค่าจ้างที่ต้องนำมาเป็นฐานในการคำนวณ เงินเพื่อตอบแทนความชอบในการทำงานเมื่อเกษียณอายุ พิพากษาให้จำเลยจ่ายเงินเพื่อตอบแทนความชอบ ในการทำงานที่ขาดไปให้แก่โจทก์กับพวกโจทก์ที่ ๑๖ และจำเลยอุทธรณ์ ศาลฎีกาเห็นว่า ตามประกาศฯ ข้อ ๔ บัญญัติว่า “ค่าจ้าง” หมายความว่าเงินทุกประเภทที่นายจ้าง จ่ายให้แก่ลูกจ้างเป็นค่าตอบแทนการทำงานในวันและเวลาทำงานปกติ ไม่ว่าจะคำนวณตามระยะเวลาหรือ คำนวณตามผลงานที่ลูกจ้างทำได้และให้หมายความรวมถึงเงินที่นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างในวันหยุดและวันลา ซึ่งลูกจ้างไม่ได้ทำงานด้วย ทั้งนี้ไม่ว่าจะกำหนด คำนวณ หรือจ่ายในลักษณะใดและโดยวิธีการใด และไม่ว่าจะ เรียกชื่ออย่างไร สาระสำคัญของค่าจ้างจึงต้องเป็นเงินที่นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างเป็นค่าตอบแทนการทำงานใน วันและเวลาทำงานปกติ ดังนั้น เงินเพิ่มประจำตำแหน่งผู้บริหาร เงินเพิ่มค่าวิชาชีพ เงินค่าใบอนุญาตพนักงาน ควบคุมการจราจรทางอากาศ แม้จะจ่ายแยกต่างหากจากเงินเดือนพื้นฐานแต่เป็นการจ่ายในลักษณะเดียวกับ เงินเดือนเพื่อตอบแทนการทำงานในวันและเวลาทำงานปกติในตำแหน่งนั้น ๆ จึงเป็นค่าจ้าง เช่นเดียวกับ เงินเพิ่มพิเศษเนื่องจากเงินเดือนเต็มขั้นร้อยละ ๓.๕ ซึ่งแม้จะเป็นเงินที่เกิดจากการตกลงกันระหว่างจำเลยกับ สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจวิทยุการบินแห่งประเทศไทย แต่เนื่องจากเงินดังกล่าวมีลักษณะเป็นเงินที่จำเลยจ่าย ให้แก่ลูกจ้างเพื่อตอบแทนการทำงานปกติในวันทำงานของลูกจ้างจึงถือเป็นส่วนหนึ่งของค่าจ้าง ที่ศาลแรงงาน กลางพิพากษามาจึงชอบแล้ว สำหรับเงินรางวัลพิเศษประจำปีนั้น จำเลยได้กำหนดเงินรางวัลพิเศษประจำปีไว้ล่วงหน้า แม้ไม่มี กำไรก็จ่ายให้แก่ลูกจ้างโดยเรียกเก็บจากผู้ถือหุ้นเพื่อจ่ายแก่ลูกจ้าง มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างขวัญกำลังใจให้แก่ ลูกจ้างเนื่องจากได้ทุ่มเทอุทิศเวลาทำงานให้แก่นายจ้างด้วยความขยันขันแข็งตลอดเวลาที่ผ่านมา การจ่ายเงิน รางวัลเช่นนี้จึงเป็นเรื่องของการวางแผนการเงินและการลงทุนของนายจ้างในระยะยาว จริงอยู่ในการบริหาร กิจการเชิงธุรกิจผู้บริหารที่มีความรับผิดชอบต่อผู้ลงทุนย่อมจะไม่ยินยอมจ่ายเงินรางวัลพิเศษให้แก่ลูกจ้างหาก ไม่มีกำไรเพื่อรักษาดุลยภาพทางการเงินของกิจการไว้ให้มั่นคงและไม่เพิ่มความเสี่ยงให้แก่กิจการนั้นก็ตาม
นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๗๑ - แต่การที่ผู้บริหารยินยอมจ่ายเงินรางวัลแก่ลูกจ้างทั้งที่ไม่มีกำไรอาจมีเหตุผลอื่น กรณีนี้ย่อมไม่อาจถือได้ว่าเงิน รางวัลพิเศษดังกล่าวจะกลายเป็นค่าตอบแทนการทำงานในเวลาปกติหรือเป็นค่าจ้าง ดังนั้น เงินรางวัลพิเศษ ประจำปีจึงไม่เป็นค่าจ้าง สำหรับค่าตอบแทนเหมาจ่ายแทนการจัดหารถยนต์ประจำตำแหน่ง แม้จะมีวิธีการ จ่ายเงินจำนวนคงที่แน่นอนทุกสิ้นเดือนพร้อมเงินเดือน แต่เงินดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อจัดสวัสดิการในด้าน การคมนาคมให้แก่ลูกจ้างในระดับสูงเพื่อความสะดวกในการปฏิบัติหน้าที่และเหมาะสมกับตำแหน่ง มิได้มี วัตถุประสงค์จ่ายเพื่อตอบแทนการทำงานโดยตรง เหตุผลที่จำเลยเปลี่ยนจากการจัดหารถยนต์พร้อมคนขับ และการดูแลซ่อมบำรุงรถมาเป็นการเหมาจ่ายเป็นเงินจำนวนแน่นอน ก็เป็นวิธีการบริหารจัดการงบประมาณ หรือต้นทุนของจำเลยในส่วนนี้เพื่อให้สามารถกำหนดได้แน่นอนไม่ผันแปรในลักษณะที่ควบคุมได้ยาก เงินค่าตอบแทนเหมาจ่ายแทนการจัดหารถยนต์ประจำตำแหน่ง จึงมิใช่ค่าจ้าง พิพากษาแก้เป็น จำเลยไม่ต้องนำดังนั้น เงินรางวัลพิเศษประจำปี และค่าตอบแทนเหมาจ่ายแทน การจัดหารถยนต์ประจำตำแหน่ง มาเป็นฐานคำนวณค่าตอบแทนความชอบในการทำงาน
นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๗๒ - ๒๐. ค่ารับรอง ค่าน้ำมันรถ เป็นค่าจ้าง ๑. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๗๗๘๐-๗๗๘๒/๒๕๕๖ (ค่ารับรอง ค่าน้ำมันรถ) เรื่อง ค่ารับรอง ค่าน้ำมันรถ แม้ต้องใช้ใบเสร็จประกอบการเบิกแต่นายจ้างจ่ายในอัตราคงที่ เท่ากันทุกเดือน ถือเป็นค่าจ้าง ค่าจ้างมีกำหนดอายุความ ๒ ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๙๓/๓๔ (๙) สำหรับค่าจ้างเดือนสิงหาคม ๒๕๔๕ ถึงกำหนดจ่ายวันที่ ๕ กันยายน ๒๕๔๕ แต่โจทก์ที่ ๓ ฟ้องคดีเมื่อวันที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๔๗ แต่โจทก์ที่ ๓ ฟ้องคดีเมื่อวันที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๔๗ เกินกำหนด ๒ ปี จึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๑๙๓/๓๔ (๙) จำเลยอุทธรณ์ประการแรกว่าสำหรับเงินค่าน้ำมันรถและเงินค่ารับรองลูกค้านั้น โจทก์ทั้งสาม จะต้องนำใบเสร็จรับเงินมาประกอบการเบิกเพื่อแสดงว่าโจทก์ทั้งสามได้มีการจ่ายเงินดังกล่าวไปจริงซึ่งถือว่า เงินดังกล่าวโจทก์ทั้งสามได้สำรองจ่ายไปก่อนแทนจำเลยและถือว่าเป็นค่าใช้จ่ายของจำเลยที่ไม่ได้จัดหารถ ให้แก่โจทก์ทั้งสาม เงินดังกล่าวจึงไม่ใช่ค่าจ้างนั้น เห็นว่า แม้ศาลแรงงานกลางจะฟังข้อเท็จจริงว่าการได้รับ ค่าน้ำมันรถและเงินค่ารับรองลูกค้าจะต้องนำใบเสร็จรับเงินมาประกอบการเบิก แต่ศาลแรงงานกลางก็ฟัง ข้อเท็จจริงต่อไปว่าเงินดังกล่าวจำเลยจ่ายในอัตราคงที่ทุกเดือนด้วยจึงเป็นค่าจ้าง อุทธรณ์ของจำเลยดังกล่าว จึงเป็นการยกข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลางเพียงบางส่วนขึ้นอ้างในอุทธรณ์เพื่อให้ศาลฎีกา ฟังว่าเงินค่าน้ำมันรถและค่ารับรองลูกค้ามิใช่ค่าจ้างจึงเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงต้องห้ามมิใช้อุทธรณ์ ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๕๔ วรรคหนึ่ง ศาลฎีกา ไม่รับวินิจฉัย ๒. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๓๙๓๔/๒๕๕๗ เรื่อง ค่ารับรอง ค่าน้ำมันพาหนะ ค่าโทรศัพท์ นายจ้างมีเจตนาจ่ายเป็นค่าใช้จ่ายมาแต่แรก แม้จะจ่ายเท่ากันทุกเดือน ก็ไม่เป็นค่าจ้าง โจทก์ทำงานตำแหน่งพนักงานส่งเสริมการขาย เดิมจำเลยจ่ายเงินค่ารับรองลูกค้า ค่าน้ำมัน พาหนะ และค่าโทรศัพท์ให้แก่ลูกจ้างในแผนกขาย ซึ่งรวมถึงโจทก์ด้วยตามยอดเงินใบเสร็จรับเงินที่ขอเบิก แต่ต่อมาจำเลยได้จ่ายให้เป็นประจำตามอัตราที่แน่นอนทุกเดือนโดยไม่ต้องมีใบเสร็จรับเงินมาแสดงอีก ประกอบด้วย ค่ารับรองเดือนละ ๗,๐๐๐ บาท ค่าน้ำมันพาหนะเดือนละ ๔,๐๐๐ บาท ค่าโทรศัพท์เดือนละ ๑,๐๐๐ บาท ดังนี้จึงแสดงให้เห็นว่าจำเลยมีวัตถุประสงค์ในการจ่ายเงินดังกล่าวให้แก่โจทก์เพื่อเป็นค่าใช้จ่าย ในการทำงานมิได้จ่ายเพื่อตอบแทนการทำงานของโจทก์โดยตรง แม้จำเลยจะเปลี่ยนแปลงการจ่ายเงินให้แก่ โจทก์โดยไม่ต้องนำใบเสร็จรับเงินมาแสดงอีก ก็เป็นเพียงการเปลี่ยนแปลงวิธีการจ่ายเงินให้เกิดความสะดวก ในการบริหารจัดการเท่านั้น มิได้เป็นการเปลี่ยนแปลงวัตถุประสงค์ของการจ่ายเงิน เงินที่จำเลยจ่ายให้แก่โจทก์ ดังกล่าวจึงมิใช่ค่าจ้างตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๕ ดังนั้นเมื่อจำเลยมีคำสั่งย้าย
นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๗๓ - โจทก์จากตำแหน่งผู้จัดการเขตการขายไปเป็นผู้จัดการประสานงานขายเป็นเหตุให้โจทก์ไม่ได้รับเงินค่ารับรอง ลูกค้า ค่าน้ำมันพาหนะ และค่าโทรศัพท์ จึงมิใช่กรณีจำเลยลดค่าจ้างแต่ประการใด การที่โจทก์ไม่ยอมไป ทำงานในตำแหน่งใหม่ แต่ยังคงทำงานในตำแหน่งเดิมให้จำเลยและต่อมาจำเลยได้มีหนังสือเตือนแล้ว จึงเป็น การฝ่าฝืนคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมายและเป็นธรรมของจำเลย และเป็นการกระทำผิดซ้ำคำเตือน เมื่อจำเลย เลิกจ้างจึงไม่ใช่การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม จำเลยจึงไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย ค่าจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า และค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม
นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๗๔ - ๒๑. ค่าโทรศัพท์ เป็นค่าจ้าง ๑. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๒๘๗๓/๒๕๕๗ เรื่อง ค่าโทรศัพท์เป็นค่าจ้าง ส่วนค่าพาหนะตอบแทนในการปฏิบัติงาน ค่าประกัน อุบัติเหตุ เงินโบนัส เป็นเงินจูงใจให้ทำงานให้มีประสิทธิภาพ จึงมิใช่ค่าจ้าง ค่าโทรศัพท์อัตราเดือนละ ๑,๐๐๐ บาท ในลักษณะเหมาจ่ายเป็นเงินเท่ากันทุกเดือน โดยไม่ คำนึงว่าโจทก์จะใช้จ่ายเป็นค่าโทรศัพท์หรือไม่ หรือได้ใช้เป็นจำนวนมากน้อยเพียงใด ไม่ต้องแสดงใบเสร็จ ค่าโทรศัพท์จึงเป็นเงินที่นายจ้างจ่ายเป็นค่าตอบแทนในการทำงานให้แก่ลูกจ้างตามสัญญาจ้างแรงงาน ถือได้ว่า เป็นค่าจ้างตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๕ ค่าพาหนะตอบแทนในการปฏิบัติงานเดือนละ ๖,๙๐๐ บาท จำเลยมีวัตถุประสงค์จ่ายเพื่อเป็น สวัสดิการในการปฏิบัติงาน เป็นการช่วยเหลือโจทก์ไม่ให้ต้องเป็นภาระค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ได้รับ ไม่แน่นอน จึงไม่ใช่ค่าจ้าง สำหรับค่าประกันอุบัติเหตุเดือนละ ๕๐๐ บาท เงินตอบแทนในการปฏิบัติงานได้ ตามวัตถุประสงค์เฉลี่ยเดือนละ ๑๖,๑๕๘ บาท และเงินโบนัสเฉลี่ยเดือนละ ๖,๘๔๐ บาท เป็นเงินที่จำเลยจ่าย เพื่อจูงใจโจทก์ทำงานให้มีประสิทธิภาพ ขยันตั้งใจทำงาน และเป็นสวัสดิการ มิใช่จ่ายเพื่อตอบแทนการทำงาน โดยตรง ได้รับไม่แน่นอนขึ้นอยู่กับผลงาน จึงไม่ใช่ค่าจ้าง ๒. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๗๕๐-๗๕๑/๒๕๕๔ (ค่าโทรศัพท์) เรื่อง เบี้ยเลี้ยง ค่าน้ำมันรถยนต์ ค่าสึกหรอรถยนต์ ค่าโทรศัพท์ เงินดังกล่าวนายจ้างจ่ายให้ ลูกจ้างประจำลักษณะเหมาจ่ายเป็นรายเดือน ไม่คำนึงถึงว่าจะได้ใช้จ่ายเป็นค่าบำรุงรักษารถยนต์และ ค่าโทรศัพท์ไปหรือไม่เพียงใด ไม่ต้องแสดงใบเสร็จ จึงเป็นค่าจ้าง (มาตรา ๕) จำเลยจ่ายเงินค่าเบี้ยเลี้ยงและค่าน้ำมันรถยนต์ จำนวน ๕,๐๐๐ บาท ค่าสึกหรอรถยนต์ ๒,๐๐๐ บาท และค่าโทรศัพท์ ๑,๐๐๐ บาท รวม ๘,๐๐๐ บาท เงินดังกล่าวจำเลยให้โจทก์ประจำลักษณะ เหมาจ่ายเป็นรายเดือน ไม่คำนึงถึงว่าจะได้ใช้จ่ายเป็นค่าบำรุงรักษารถยนต์และค่าโทรศัพท์ไปหรือไม่เพียงใด โจทก์ไม่ต้องแสดงใบเสร็จเป็นหลักฐานในการรับเงิน การจ่ายเงินดังกล่าวจึงเป็นการจ่ายเพื่อตอบแทน การทำงานของโจทก์ในลักษณะเดียวกันกับค่าจ้าง จึงเป็นค่าจ้างตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๕
นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๗๕ - ไม่เป็นค่าจ้าง ๑. คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่ ๓๐๘๗ - ๓๐๘๙/๒๕๖๓ (ไม่เป็นค่าจ้าง) เรื่อง เงินช่วยเหลือค่ารถและค่าน้ำมัน เงินช่วยเหลือค่าน้ำมันรถกรณีพิเศษ เงินช่วยเหลือ การใช้โทรศัพท์มือถือ เงินช่วยเหลือกรณีปฏิบัติงานประจำต่างจังหวัด แม้นายจ้างจ่ายเป็นจำนนแน่นอน เท่ากันทุกเดือน แต่มีลักษณะเป็นสวัสดิการผู้บริหารและตำแหน่งที่มีสิทธิได้รับ จึงไม่ใช่เงินที่ตอบแทน การทำงาน ก็ไม่ใช่ค่าจ้างที่จะต้องนำมารวมคำนวณค่าชดเชย คดีนี้โจทก์กับพวกรวม ๓ คน ฟ้องว่า วันที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๒๖ จำเลยจ้างโจทก์ที่ ๑ ทำงานเป็น ลูกจ้างครั้งสุดท้ายตำแหน่งผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ค่าจ้างสุดท้ายเดือนละ ๒๖๓,๓๗๐ บาท ประกอบด้วย เงินเดือน ๒๒๐,๘๗๐ บาท ค่ารถและค่าน้ำมันรถเหมาจ่าย ๓๐,๐๐๐ บาท ค่าน้ำมันรถพิเศษเหมาจ่าย ๓,๐๐๐ บาท ค่าโทรศัพท์มือถือเหมาจ่าย ๒,๐๐๐ บาท และค่าปฏิบัติงานประจำต่างจังหวัด ๗,๕๐๐ บาท วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๒๔ จำเลยจ้างโจทก์ที่ ๒ เป็นลูกจ้างครั้งสุดท้ายตำแหน่งผู้ชำนาญการอาวุโส เทียบเท่า รองกรรมการผู้จัดการ ค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ ๕๔๔,๐๐๐ บาท ประกอบด้วยเงินเดือน ๕๐๘,๐๐๐ บาท และ.....วันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๒๔ จำเลยจ้างโจทก์ที่ ๓ ทำงานตำแหน่งผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ค่าจ้างอัตรา สุดท้ายเดือนละ ๒๑๖,๙๑๕ บาท ประกอบด้วยเงินเดือน ๑๘๔,๔๑๕ บาท และ....ต่อมาวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๒ โจทก์ทั้งสามมีอายุครบ ๖๐ ปี จำเลยเลิกจ้างเพราะเกษียณอายุ โจทก์กับพวกทำงานมาครบ ๒๐ ปี ขึ้นไป จึงมีสิทธิได้รับค่าชดเชย ๔๐๐ วัน แต่จำเลยจ่ายค่าชดเชยให้เพียงบางส่วน ขอบังคับให้จำเลยจ่าย ค่าชดเชยที่ยังค้างจ่าย พร้อมดอกเบี้ย จำเลยให้การว่า เงินสวัสดิการช่วยเหลือค่ารถและค่าน้ำมัน เงินสวัสดิการช่วยเหลือค่าน้ำมันรถ เพิ่มเป็นกรณีพิเศษ เงินสวัสดิการช่วยเหลือค่าใช้โทรศัพท์มือถือ.....เป็นเงินเพิ่มพิเศษตามข้อบังคับของจำเลย ไม่ใช่ค่าจ้างที่จะต้องนำมารวมคำนวณเป็นค่าชดเชย โจทก์ทั้งสามได้รับค่าชดเชยครบถ้วนแล้ว ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง โจทก์ทั้งสามอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือแล้วศาลแรงงานกลาง ฟังข้อเท็จจริงและวินิจฉัยว่า เมื่อพิจารณาข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลย หมวดที่ ๑ ได้ความว่า ๑. เงินช่วยเหลือค่ารถและค่าน้ำมัน จำเลยจ่ายเพื่อเป็นการช่วยเหลือค่าพาหนะแก่ผู้บริหารที่มี สิทธิใช้รถยนต์ประจำตำแหน่งและบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายในการเดินทางปฏิบัติงาน ๒. เงินช่วยเหลือค่าน้ำมันรถกรณีพิเศษ จำเลยจ่ายเพื่อช่วยเหลือค่าน้ำมันรถกรณีที่ผู้บริหาร ระดับรองกรรมการผู้จัดการ และผู้จัดการทั่วไป หรือตำแหน่งอื่นที่เทียบเท่าที่มีลักษณะงานประจำ ในความรับผิดชอบต้องใช้รถยนต์เดินทางเพื่อการปฏิบัติงานเกินกว่า ๓,๐๐๐ กิโลเมตรต่อเดือนขึ้นไป ๓. เงินช่วยเหลือการใช้โทรศัพท์มือถือ จ่ายเพื่อช่วยเหลือค่าโทรศัพท์มือถือที่ใช้ในการ ปฏิบัติงานเฉพาะผู้บริหารที่มีหน้าที่รับผิดชอบต้องออกติดต่องานนอกสถานที่
นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๗๖ - ๔. เงินช่วยเหลือกรณีปฏิบัติงานประจำต่างจังหวัด จ่ายเพื่อเป็นการช่วยเหลือ ผ่อนคลายภาระ ค่าใช้จ่ายของลูกจ้างที่ได้รับคำสั่งให้เดินทางไปปฏิบัติงานประจำต่างจังหวัดและเสริมสร้างขวัญกำลังใจในการ ปฏิบัติงานของลูกจ้าง เงินดังกล่าว เป็นเงินเพิ่มพิเศษที่จำเลยจ่ายให้แก่ลูกจ้างเพื่อเป็นการตอบแทนนอกเหนือจาก ค่าจ้าง อันเป็นสวัสดิการและสิทธิประโยชน์ที่ให้แก่ลูกจ้าง แม้จำเลยจะเปลี่ยนจากการจัดหารถยนต์ประจำ ตำแหน่งและโทรศัพท์มือถือ เป็นการจ่ายเงินช่วยเหลือแทน ก็เป็นวิธีบริหารจัดการค่าใช้จ่ายของจำเลยเพื่อ ทดแทนสวัสดิการหรือสิทธิประโยชน์ที่มีอยู่เดิมให้แก่ลูกจ้างระดับบริหาร ไม่ทำให้สวัสดิการหรือสิทธิ ประโยชน์ดังกล่าวกลับกลายเป็นค่าจ้างไปได้ สำหรับเงินช่วยเหลือกรณีปฏิบัติงานต่างจังหวัด ก็เป็นสวัสดิการ หรือสิทธิประโยชน์ที่ให้เฉพาะลูกจ้างที่ปฏิบัติงานในต่างจังหวัดเท่านั้น หากจำเลยโยกย้ายลูกจ้างกลับมา ทำงานในส่วนกลาง กรุงเทพมหานคร หรือปริมณฑล ก็จะไม่ได้รับเงินส่วนนี้ เงินช่วยเหลือค่ารถและค่าน้ำมัน เงินช่วยเหลือค่าน้ำมันรถกรณีพิเศษ เงินช่วยเหลือการใช้โทรศัพท์มือถือ เงินช่วยเหลือกรณีปฏิบัติงาน ประจำต่างจังหวัด จึงไม่ใช่เงินที่นายจ้างและลูกจ้างตกลงกันจ่ายเป็นค่าตอบแทนในการทำงานตามสัญญาจ้าง สำหรับระยเวลาการทำงานปกติตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๕ แม้จำเลย จะจ่ายเงินดังกล่าวเป็นจำนวนแน่นอนเท่ากันทุกเดือน ก็ไม่ใช่ค่าจ้างที่จะต้องนำมารวมคำนวณค่าชดเชย ที่โจทก์อุทธรณ์ในทำนองว่า เงินดังกล่าวเป็นจำนวนเงินเหมาจ่ายที่แน่นอนเท่ากันทุกเดือน โดย ไม่ต้องนำใบเสร็จมาแสดง ทั้งจำเลยยังหักภาษ ณ ที่จ่ายด้วย...... จึงเป็นค่าจ้าง อุทธรณ์ของโจทก์เป็นการ โต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลาง เพื่อนำไปสู่การวินิจฉัยข้อกฎหมายว่าเงิน ดังกล่าวเป็นค่าจ้างหรือไม่ เป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาล แรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๕๔ วรรคหนึ่ง พิพากษายกอุทธรณ์ของโจทก์ ๒. คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่ ๕๐๘๓/๒๕๖๑ (ค่าโทรศัพท์) เรื่อง การที่นายจ้างเลิกจ้างเป็นการใช้สิทธิตามสัญญาจ้างแรงงาน จึงไม่เป็นการละเมิดต่อ ลูกจ้าง เมื่อศาลกำหนดค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมให้แล้ว การที่ศาลแรงงานกำหนด ค่าเสียหายจากการละเมิดจึงเป็นการกำหนดค่าเสียหายที่ซ้ำซ้อนโดยอาศัยมูลเหตุเดียวกัน ย่อมเป็นการ ไม่ชอบ , ค่าเช่ารถยนต์จ่ายให้พนักงานเป็นผู้จัดหารถยนต์มาเอง ส่วนค่าน้ำมันรถยนต์และค่าโทรศัพท์ จ่ายตามที่ใช้จริงมิใช่การเหมาจ่าย ดังนั้น ค่าเช่ารถยนต์ ค่าน้ำมันรถยนต์ และค่าโทรศัพท์ จึงเป็น สวัสดิการ ไม่ใช่ค่าจ้าง คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นลูกจ้างจำเลยตั้งแต่วันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๓๖ ตำแหน่งผู้จัดการ เครื่องดื่มฝ่ายการตลาด ได้รับเงินเดือนเดือนละ ๒๗๗,๒๔๐ บาท ค่าเช่ารถยนต์เดือนละ ๓๗,๕๐๐ บาท ค่าโทรศัพท์เดือนละ ๑,๕๐๐ บาท และค่าน้ำมันรถยนต์ ๒๔๐ ลิตรต่อเดือน รวมเป็นค่าจ้างเดือนละ ๓๒๒,๙๒๔ บาท ต่อมาวันที่ ๒๓ มกราคม ๒๕๖๐ จำเลยเลิกจ้างโจทก์ให้มีผลตั้งแต่วันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐ เป็นต้นไป ขอบังัคบให้จำเลยจ่ายค่าชดเชย ๓,๒๒๙,๒๔๐ บาท ค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี
นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๗๗ - ๑๒๐,๑๓๗ บาท สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ๓๒๒,๙๒๔ บาท เงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพฝ่ายจำเลย ๒,๕๐๔,๗๑๒ บาท เงินโบนัส เป็นเงิน ๖๙๓,๑๐๐ บาท เงินรางวัลจากการแข่งขันพิเศษปี ๒๕๕๙ เป็นเงิน ๒๕๐,๐๐๐ บาท ค่าเสียหายจากการละเมิด ๖,๐๐๐,๐๐๐ บาท ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ๗,๗๕๒,๗๖๘ บาท พร้อมดอกเบี้ย จำเลยให้การว่าโจทก์กระทำผิดวินัยร้ายแรงหลายกรณี ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ๒๗๗,๒๔๐ บาท ค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี ๑๒๐,๑๓๗ บาท ค่าชดเชย ๒,๗๗๒,๔๐๐ บาท เงินโบนัส ๕๒๘,๗๙๕ บาท เงินรางวัลการแข่งขันฯ ๒๕๐,๐๐๐ บาท ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ๒,๗๗๒,๔๐๐ บาท และค่าเสียหายจากการละเมิด ๕๕๔,๔๘๐ บาท พร้อมดอกเบี้ย คำขออื่นให้ยก โจทก์และ จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ เห็นว่า ค่าจ้าง ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๕ นั้น ต้องเป็นเงินที่นายจ้างจ่ายตอบแทนการทำงานให้แก่ลูกจ้างตามที่ตกลงกัน ส่วนสิทธิประโยชน์ ต่าง ๆ ที่นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างเพื่อความสะดวกในการทำงานหรือเป็นสวัสดิการ แม้นายจ้างจะจ่ายเงิน ดังกล่าวจำนวนแน่นอนเท่า ๆ กันทุกเดือน ก็ไม่เป็นค่าจ้าง ข้อเท็จจริงปรากฏว่า จำเลยจะจ่ายค่าเช่ารถยนต์ รายเดือนให้แก่พนักงานเมื่อพนักงานเป็นผู้จัดหารถยนต์มาเอง ส่วนค่าน้ำมันรถยนต์และค่าโทรศัพท์จำเลย จะจ่ายให้แก่พนักงานตามที่ใช้จริงมิใช่การเหมาจ่าย ดังนั้น ค่าเช่ารถยนต์ ค่าน้ำมันรถยนต์ และค่าโทรศัพท์ที่ จำเลยจ่ายให้แก่โจทก์จึงเป็นสวัสดิการที่จำเลยจัดให้โจทก์ซึ่งเป็นพนักงานในตำแหน่งดังกล่าว มิใช่เงินที่ นายจ้างและลูกจ้างตกลงจ่ายเป็นค่าตอบแทนในการทำงานตามสัญญาจ้างสำหรับระยะเวลาการทำงานปกติ เป็นรายเดือนแก่โจทก์จึงไม่ใช่ค่าจ้าง ประเด็นละเมิด ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ เห็นว่า การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์เป็นการใช้สิทธิตาม สัญญาจ้างแรงงานจึงไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์ แม้จำเลยจะเลิกจ้างโจทก์โดยผิดสัญญาจ้างแรงงาน แต่เมื่อ ศาลแรงงานกลางกำหนดค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่มเป็นธรรม เนื่องจากเป็นการเลิกจ้างที่ไม่มีเหตุอัน สมควร ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งเป็นมูลคดีเดียวกันกับการเลิกจ้างโดยผิดสัญญาจ้างแรงงาน หรือตามที่โจทก์ อ้างว่าเป็นการละเมิดก็ตามให้แก่โจทก์แล้ว จึงเป็นการกำหนดค่าเสียหายที่ซ้ำซ้อนโดยอาศัยมูลเหตุเดียวกัน ย่อมเป็นการไม่ชอบ ที่ศาลแรงงานกลางกำหนดค่าเสียหายจาการละเมิดให้แก่โจทก์นั้น ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญ พิเศษไม่เห็นพ้องด้วย พิพากษาแก้เป็น ยกฟ้องโจทก์ในส่วนค่าเสียหายจาการละเมิด นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตาม คำพิพากษาศาลแรงงานกลาง
นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๗๘ - ๓. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๕๑๓-๑๕๑๔/๒๕๕๗ (ค่าโทรศัพท์) เรื่อง เบี้ยเลี้ยง ค่าน้ำมัน ค่าโทรศัพท์ ค่าดูแลลูกค้า ค่าพาหนะ ต้องนำใบเสร็จมาแสดง เงินดังกล่าวจึงเป็นเพียงค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติงาน จึงไม่เป็นค่าจ้าง ค่าคอมมิชชั่น นายจ้างจ่ายเพื่อให้ พนักงานขายที่อยู่ในความดูแลของลูกจ้างทำยอดขายเพิ่ม จึงเป็นการจ่ายเพื่อจูงใจ ไม่เป็นค่าจ้าง จำเลยจ้างโจทก์ทั้งสองเป็นลูกจ้าง ในการทำงานของโจทก์ทั้งสอง หากเดินทางไปทำงานที่ ต่างจังหวัด โจทก์ทั้งสองได้รับเบี้ยเลี้ยง ค่าน้ำมัน ค่าโทรศัพท์ ค่าดูแลลูกค้า ตามที่จ่ายจริง โดยโจทก์ทั้งสอง จะต้องนำใบเสร็จค่าใช้จ่ายมาแสดงต่อจำเลยและจำเลยจะจ่ายเงินคืนให้ตามใบเสร็จ เงินดังกล่าวจึงเป็นเพียง ค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติงานของโจทก์ หาใช่ค่าจ้างไม่ ส่วนค่าพาหนะจำเลยจ่ายให้โจทก์ทั้งสองเพื่อชดเชย กับการที่โจทก์ทั้งสองนำรถยนต์ส่วนตัวไปใช้ในการทำงาน หากไม่นำรถยนต์ส่วนตัวไปใช้ จำเลยก็ไม่จ่ายให้ ค่าพาหนะจึงเป็นเงินที่จำเลยจ่ายเพื่อชดเชยกับการที่โจทก์ทั้งสองนำรถยนต์ส่วนตัวไปใช้ในการทำงาน ค่าพาหนะจึงไม่ใช่ค่าจ้าง ส่วนค่าคอมมิชชั่น จำเลยจ่ายให้เพื่อจูงใจให้ผลงานการขายเพิ่มขึ้น โดยคำนวณจาก ยอดขายของพนักงานขายที่อยู่ในความดูแลของโจทก์ซึ่งแต่ละเดือนจะได้รับไม่เท่ากัน จึงไม่เป็นค่าจ้าง ๔. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๓๙๓๔/๒๕๕๗ (ค่าโทรศัพท์) เรื่อง ค่ารับรอง ค่าน้ำมันพาหนะ ค่าโทรศัพท์ นายจ้างมีเจตนาจ่ายเป็นค่าใช้จ่ายมาแต่แรก แม้จะจ่ายเท่ากันทุกเดือน ก็ไม่เป็นค่าจ้าง โจทก์ทำงานตำแหน่งพนักงานส่งเสริมการขาย เดิมจำเลยจ่ายเงินค่ารับรองลูกค้า ค่าน้ำมัน พาหนะ และค่าโทรศัพท์ให้แก่ลูกจ้างในแผนกขาย ซึ่งรวมถึงโจทก์ด้วยตามยอดเงินใบเสร็จรับเงินที่ขอเบิก แต่ต่อมาจำเลยได้จ่ายให้เป็นประจำตามอัตราที่แน่นอนทุกเดือนโดยไม่ต้องมีใบเสร็จรับเงินมาแสดงอีก ประกอบด้วย ค่ารับรองเดือนละ ๗,๐๐๐ บาท ค่าน้ำมันพาหนะเดือนละ ๔,๐๐๐ บาท ค่าโทรศัพท์เดือนละ ๑,๐๐๐ บาท ดังนี้จึงแสดงให้เห็นว่าจำเลยมีวัตถุประสงค์ในการจ่ายเงินดังกล่าวให้แก่โจทก์เพื่อเป็นค่าใช้จ่าย ในการทำงานมิได้จ่ายเพื่อตอบแทนการทำงานของโจทก์โดยตรง แม้จำเลยจะเปลี่ยนแปลงการจ่ายเงินให้แก่ โจทก์โดยไม่ต้องนำใบเสร็จรับเงินมาแสดงอีก ก็เป็นเพียงการเปลี่ยนแปลงวิธีการจ่ายเงินให้เกิดความสะดวก ในการบริหารจัดการเท่านั้น มิได้เป็นการเปลี่ยนแปลงวัตถุประสงค์ของการจ่ายเงิน เงินที่จำเลยจ่ายให้แก่โจทก์ ดังกล่าวจึงมิใช่ค่าจ้างตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๕ ดังนั้นเมื่อจำเลยมีคำสั่งย้าย โจทก์จากตำแหน่งผู้จัดการเขตการขายไปเป็นผู้จัดการประสานงานขายเป็นเหตุให้โจทก์ไม่ได้รับเงินค่ารับรอง ลูกค้า ค่าน้ำมันพาหนะ และค่าโทรศัพท์ จึงมิใช่กรณีจำเลยลดค่าจ้างแต่ประการใด การที่โจทก์ไม่ยอมไป ทำงานในตำแหน่งใหม่ แต่ยังคงทำงานในตำแหน่งเดิมให้จำเลยและต่อมาจำเลยได้มีหนังสือเตือนแล้ว จึงเป็น การฝ่าฝืนคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมายและเป็นธรรมของจำเลย และเป็นการกระทำผิดซ้ำคำเตือน เมื่อจำเลย เลิกจ้างจึงไม่ใช่การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม จำเลยจึงไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย ค่าจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า และค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม
นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๗๙ - ๒๒. เบี้ยขยัน ไม่เป็นค่าจ้าง ๑. คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่ ๓๔/๒๕๖๓ (คดีฟ้องเพิกถอนคำสั่งพนักงานตรวจแรงงาน) เรื่อง เงื่อนไขการจ่ายเบี้ยขยัน คำนึงถึงการขาดลามาสายหรือชั่วโมงเวลาการทำงาน ตอบแทนเป็นสำคัญหากลูกจ้างไม่มาปฏิบัติงาน มีวัตถุประสงค์ในการจ่ายเพื่อจูงใจให้ลูกจ้างทำงาน ในหน้าที่ตนด้วยความขยันขันแข็งมากขึ้นเป็นสำคัญ โดยจะเห็นได้ว่าลูกจ้างจะต้องมาปฏิบัติงานสอน โดยไม่ขาดลาตามจำนวนวันที่กำหนด ลูกจ้างจึงมีสิทธิได้รับเงินค่าตอบแทนในส่วนหลังนี้เต็มตามจำนวน ที่กำหนดในอัตราเดือนละ ๑๕,๐๐๐ บาท เงินเบี้ยขยันหาใช่เป็นเงินค่าตอบแทนการทำงานโดยตรง จึงไม่เป็นเป็นค่าจ้าง คดีนี้โจทก์(ลูกจ้าง) ฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งพนักงานตรวจแรงงาน (จำเลยที่ ๑) กรณีที่โจทก์ ยื่นคำร้องต่อจำเลยว่าจำเลยที่ ๒ นายจ้าง ค้างจ่ายค่าสอน ค่าภาระงานที่เกี่ยวกับการสอน สื่อการสอน และทำเอกสารต่าง ๆ ๑๕,๐๐๐ บาท แต่จำเลยที่ ๑ มีคำสั่งให้โจทก์จ่ายค่าจ้าง ๒,๕๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ย โจทก์ไม่เห็นด้วยกับคำสั่งดังกล่าว เนื่องจากในช่วงเดือนตุลาคม ๒๕๕๙ โจทก์มีสิทธิได้รับค่าจ้าง นอกจากนี้ จำเลยที่ ๒ ยังค้างจ่ายค่าจ้างเดือนตุลาคม ๒๕๕๘ มีนาคม และเดือนเมษายน ๒๕๕๙ เป็นเงิน ๔๕,๐๐๐ บาท ขอให้เพิกถอนคำสั่งของจำเลยที่ ๑ และบังคับให้จำเลยที่ ๒ จ่ายค่าจ้างรวม ๔๕,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ย จำเลยที่ ๑ ให้การว่า เดือนตุลาคม ๒๕๕๙ ระหว่างวันที่ ๒๕ – ๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๙ ซึ่งเป็นช่วงเปิดภาคเรียน แล้วรวม ๕ วันเท่านั้น จำเลยที่ ๒ จึงมีหน้าที่จ่ายค่าการสอนเป็นเงิน ๒,๕๐๐ บาท ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ เห็นว่า โจทก์เป็นลูกจ้างจำเลยที่ ๒ ซึ่งประกอบกิจการจัดหา ครูผู้สอนแก่โรงเรียนผู้ว่าจ้าง จำเลยที่ ๒ จ้างโจทก์เป็นครูสอนภาษาอังกฤษให้แก่โรงเรียน A ข้อตกลงการจ้าง ตามสัญญาจ้างงาน นายจ้างและลูกจ้างตกลงแบ่งค่าจ้างออกเป็น ๒ ส่วน ส่วนแรกคือเงินเดือนอัตราเดือนละ ๑๐,๐๐๐ บาท ส่วนที่ ๒ เรียกว่า เบี้ยขยัน ซึ่งจะจ่ายเป็นค่าปฏิบัติการสอนส่วนหนึ่ง ค่าอุปกรณ์ เอกสาร และสื่อประกอบการสอน อีกส่วนหนึ่ง โดยจะจ่ายเฉพาะเดือนเปิดภาคการศึกษา คือ มิถุนายน กรกฎาคม สิงหาคม กันยายน พฤศจิกายน ธันวาคม มกราคม และกุมภาพันธ์ ในอัตราเดือนละ ๑๕,๐๐๐ บาท สำหรับ เดือนตุลาคม มีนาคม และเมษายน ซึ่งเป็นเดือนที่ปิดภาคการศึกษาจะไม่มีการจ่ายเบี้ยขยัน มีเงื่อนไขการจ่าย เบี้ยขยันว่า ลูกจ้างจะได้รับเบี้ยขยันเฉพาะวันที่ปฏิบัติการสอนเท่านั้น หากลูกจ้างไม่ปฏิบัติการสอน หรือไม่ทำ อุปกรณ์ เอกสาร สื่อการสอน ลูกจ้างตกลงให้นายจ้างหักเบี้ยขยันได้ตามส่วน ซึ่งตามข้อตกลงดังกล่าวนี้แสดง ให้เห็นเจตนาและวัตถุประสงค์การจ่ายค่าตอบแทนของนายจ้างว่า ประสงค์จะจ่ายค่าตอบแทนเป็น ๒ ส่วน โดยข้อตกลงและเงื่อนไขการจ่ายเบี้ยขยัน คำนึงถึงการขาดลามาสายหรือชั่วโมงเวลาการทำงานตอบแทน เป็นสำคัญ หากลูกจ้างไม่มาปฏิบัติงาน ย่อมแสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าค่าตอบแทนทั้งสองส่วนนี้ มิใช่ ค่าตอบแทนในลักษณะเดียวกัน โดยเฉพาะค่าตอบแทนในส่วนที่ ๒ แม้จะอาศัยการทำงานเป็นเงื่อนไขการจ่าย แต่ก็มีวัตถุประสงค์ในการจ่ายเพื่อจูงใจให้ลูกจ้างทำงานในหน้าที่ตนด้วยความขยันขันแข็งมากขึ้นเป็นสำคัญ
นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๘๐ - โดยจะเห็นได้ว่าลูกจ้างจะต้องมาปฏิบัติงานสอนโดยไม่ขาดลาตามจำนวนวันที่กำหนด ลูกจ้างจึงจีมีสิทธิได้รับ เงินค่าตอบแทนในส่วนหลังนี้เต็มตามจำนวนที่กำหนดในอัตราเดือนละ ๑๕,๐๐๐ บาท จึงเป็นเงินเบี้ยขยัน หาใช่เป็นเงินค่าตอบแทนการทำงานโดยตรงในอันที่จะถือเป็นค่าจ้างไม่ใช่ พิพากษายืน
นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๘๑ - ๒๓. ค่าบริการ หรือ เซอร์วิสชาร์จ ไม่เป็นค่าจ้าง ๑. คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่ ๕๙๗/๒๕๖๓ เรื่อง อำนาจบริหารจัดการ - โรงแรมสาขาที่เปิดใหม่ห่างจากที่ลูกจ้างทำงานประมาณ ๑๒๐ เมตร ประกอบกับสัญญาจ้างยังกำหนดว่า ลูกจ้างจะต้องปฏิบัติงานในหน้าที่ หรืองานอื่นใดที่บริษัท มอบหมายให้ทำอย่างเต็มความสามารถ เมื่อนายจ้างมีคำสั่งมอบหมายงานให้ลูกจ้างไปทำงานที่โรงแรม สาขาแต่ลูกจ้างกลับปฏิเสธที่จะไปทำงานตามที่ได้รับมอบหมาย โดยอ้างเพียงว่าได้มาสมัครทำงานที่เดิม เพียงแห่งเดียวเช่นนี้ ข้อกล่าวอ้างจึงไม่อาจรับฟังได้ เป็นการขัดคำสั่งหรือจงใจฝ่าฝืนไม่เชื่อฟังคำสั่งอัน ชอบด้วยกฎหมายของผู้บังคับบัญชาแล้ว และเป็นความผิดสถานหนักตามข้อบังคับ เลิกจ้างได้โดยไม่จ่าย ค่าชดเชย , ค่าเสียหายจากโรคที่เกิดขึ้นเนื่องจากการทำงาน ค่าเสียหายจากการไม่ออกใบสำคัญการ ทำงาน ค่าเซอร์วิสชาร์จหรือค่าบริการไม่เป็นค่าจ้าง คดีนี้โจทก์ (ลูกจ้าง) ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ ประกอบกิจการโรงแรม มีจำเลยที่ ๒ เป็นกรรมการ ผู้จัดการ จำเลยที่ ๓ เป็นนิติบุคคลประเภทกองทุนสำรองเลี้ยงชีพซึ่งจดทะเบียนแล้ว จำเลยที่ เป็นนิติบุคคล ประเภทบริษัทจำกัด (บริษัทหลักทรัพย์) วันที่ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๓ โจทก์ตกลงทำงานกับจำเลยที่ ๑ ตำแหน่ง ลูกจ้างประจำทำงานในเวลากลางคืนตำแหน่ง (Night Auditor) แผนกบัญชีที่เดียวเท่านั้น จำเลยที่ ๑ และ จำเลยที่ ๒ จะให้โจทก์ไปทำงานที่อื่นไม่ได้ ค่าจ้างเดือนละ ๒๕,๔๔๔ บาท ต่อมาวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ จำเลยที่ ๑ โดยเจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคลแจ้งเลิกจ้างโจทก์ด้วยวาจาเนื่องจากไม่ไปทำงาน ณ สถานที่แห่งใหม่ที่เพิ่ง สร้างเสร็จ (โรงแรม เอ) โจทก์เห็นว่าเป็นการเลิกจ้างที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอบังคับให้จำเลยที่ ๑ และ ๒ จ่ายเงิน ดังนี้ - ค่าเสียหายฐานผิดสัญญาจ้าง ๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ย - ค่าเสียหายจากการกระทำละเมิด ๓,๐๔๖ บาท พร้อมดอกเบี้ย - ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ๒,๔๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ย - ค่าเสียหายจากการไม่ได้รับเงินทดแทนว่างงานภายในกำหนด ๑๐๐,๙๑๖.๑๒ บาท พร้อม ดอกเบี้ย - ค่าเสียหายจากโรคที่เกิดขึ้นเนื่องจากการทำงาน ๓,๐๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ย - ค่าจ้างที่หักค่าจ้างไม่ชอบ และเงินเพิ่มร้อยละ ๑๕ ทุกระยะเวลา ๗ วัน ของต้นเงิน - สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ๒๕,๔๔๔ บาท พร้อมดอกเบี้ย - ค่าล่วงเวลา ๙๑๕,๘๔๐ บาท พร้อมดอกเบี้ย - ค่าชดเชย ๒๐๙,๘๒๗.๓๖ บาท พร้อมดอกเบี้ย - ออกใบสำคัญการทำงานเพื่อแสดงว่าโจทก์ได้ทำงานมานานเท่าใดเป็นงานอะไรบ้างภายใน ๗ วัน หากไม่ดำเนินการภายในกำหนดให้ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหาย ๒๐,๐๐๐ บาท - เงินประกัน ๒,๔๐๐ บาท และเงินเพิ่ม
นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๘๒ - - ให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันหรือแทนกันจ่ายเงินสะสมและผลประโยชน์ของเงินสะสมกองทุนสำรอง เลี้ยงชีพ จ่ายเงินสมทบและผลประโยชน์ของเงินสมทบ พร้อมดอกเบี้ย จำเลยที่ ๑ และ ๒ ให้การว่า โจทก์ฝ่าฝืนข้อบังคับฯ หลายครั้ง นอนหลับในขณะปฏิบัติงาน แสดงกิริยาไม่สุภาพผ่านบทสนทนาทางแอปพลิเคชั่นไลน์ จำเลยออกหนังสือเตือน พักงาน ๗ วัน โจทก์ ขัดคำสั่งไม่ยอมปิดยอดและตรวจสอบบัญชีของโรงแรม บี ที่เพิ่งเปิดให้บริการซึ่งเป็นส่วนขยายบริการโรงแรม ของจำเลยที่ ๑ มีระยะห่างกันประมาณ ๑๒๐ เมตร ไม่เป็นการย้ายให้โจทก์ไปทำงานที่อื่น และจำเลยได้ออก หนังสือเตือนแล้ว และปลดโจทก์ออกจากการเป็นพนักงาน ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ออกใบสำคัญแสดงการทำงานให้แก่โจทก์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๕๘๕ ให้จำเลยที่ ๑ คืนค่าจ้าง ค่าเซอร์วิสชาร์จที่ได้หักไว้ จำนวน ๑๗,๓๙๒ บาท พร้อมดอกเบี้ย คำขออื่นให้ยก โจทก์อุทธรณ์ ๑. ประเด็นค่าเสียหายจากการไม่ออกใบสำคัญการทำงานศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ เห็นว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๕๘๕ บัญญัติว่า เมื่อการจ้างแรงงานสิ้นสุดลงแล้วลูกจ้างชอบที่จะ ได้รับใบสำคัญแสดงว่าลูกจ้างนั้นได้ทำงานมานานเท่าไรและงานที่ทำนั้นเป็นอย่างไร อันเป็นการกำหนดให้ ลูกจ้างมีสิทธิได้รับหนังสือรับรองการทำงาน ส่วนที่โจทก์ฟ้องและมีคำขอท้ายฟ้องว่า หากไม่ดำเนินการภายใน ๗ วัน ให้จำเลยที่ ๑ และ ๒ ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงิน ๒๐,๐๐๐ บาท เมื่อศาลแรงงานกลาง ฟังข้อเท็จจริงว่า ก่อนที่จะมีการฟ้องและดำเนินคดีนี้ โจทก์ไม่เคยไปดำเนินการยื่นคำขอให้จำเลยที่ ๑ ออกใบสำคัญแสดงการทำงานให้ อีกทั้งยังไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าโจทก์ได้รับความเสียหายอย่างไร โจทก์จึง ไม่มีสิทธิได้รับความเสียหายในส่วนนี้ ที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยมานั้น ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ เห็นพ้องด้วย ๒. ประเด็นค่าเซอร์วิสชาร์จหรือค่าบริการถือเป็นค่าจ้างหรือไม่ ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ เห็นว่า เมื่อศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า ค่าเซอร์วิสชาร์จหรือค่าบริการ เป็นเงินที่จำเลยที่ ๑ เรียกเก็บ จากลูกค้าหรือผู้ใช้บริการซึ่งได้ชำระหนี้ให้แก่จำเลยที่ ๑ แล้วนำเงินมาจัดสรรปันส่วนให้ลูกจ้าง จำเลยที่ ๑ จึงเป็นเพียงผู้เรียกเก็บค่าเซอร์วิสชาร์จหรือค่าบริการจากลูกค้าหรือผู้ใช้บริการแล้วนำมาจัดแบ่งให้ลูกจ้าง เท่านั้น ค่าเซอร์วิสชาร์จหรือค่าบริการดังกล่าว จึงมิใช่เงินของจำเลยที่ ๑ ที่จ่ายให้แก่โจทก์แต่อย่างใด และ ไม่ใช่ค่าจ้างตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๕ ๓. ประเด็นมีเหตุเพิกถอนคำสั่งเลิกจ้างหรือไม่ ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษเห็นว่า โรงแรม บี เป็นสาขาหรือส่วนหนึ่งของจำเลยที่ ๑ ซึ่งอยู่ห่างจากโรงแรม เอ ที่ทำงานเดิมที่โจทก์เคยทำงานประมาณ ๑๒๐ เมตร ประกอบกับสัญญาจ้างยังกำหนดว่า ลูกจ้างจะต้องปฏิบัติงานในหน้าที่ หรืองานอื่นใดที่บริษัท มอบหมายให้ทำอย่างเต็มความสามารถ มีประสิทธิภาพ และด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เมื่อจำเลยที่ ๑ มีคำสั่ง มอบหมายให้ทำอย่างเต็มความสามารถ มีประสิทธิภาพ และด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เมื่อจำเลยที่ ๑ มีคำสั่ง มอบหมายงานให้โจทก์ไปทำงานที่โรงแรม บี แต่โจทก์กลับปฏิเสธที่จะไปทำงานตามที่ได้รับมอบหมาย โดยอ้าง เพียงว่าได้มาสมัครทำงานที่โรงแรม เอ เพียงแห่งเดียวเช่นนี้ ข้อกล่าวอ้างของโจทก์จึงไม่อาจรับฟังได้
นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๘๓ - การกระทำของโจทก์เป็นการขัดคำสั่งหรือจงใจฝ่าฝืนไม่เชื่อฟังคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมายของผู้บังคับบัญชา แล้ว และเป็นความผิดสถานหนักตามข้อบังคับ จำเลยที่ ๑ ย่อมมีสิทธิเลิกจ้างได้โดยไม่จ่ายค่าชดเชย กรณีไม่มี เหตุเพิกถอนคำสั่งเลิกจ้าง ที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยปัญหาดังกล่าวมานั้นชอบแล้ว อุทธรณ์ของโจทก์ข้อนี้ฟัง ไม่ขึ้น ๔. ประเด็นโจทก์มีสิทธิได้รับค่าเสียหายจากโรคที่เกิดขึ้นเนื่องจากการทำงานหรือไม่ ศาลอุทธรณ์ คดีชำนัญพิเศษเห็นว่า โจทก์สมัครเข้าทำงานกับจำเลยที่ ๑ ในตำแหน่ง (Night Auditor) หรือพนักงาน ตรวจสอบบัญชีรอบกลางคืนที่แผนกการเงินบัญชี มีหน้าที่สรุปยอดรายได้ของห้องอาหารต่าง ๆ และห้องพัก ตรวจสอบเอกสารรายงานสรุปที่พนักงานรอบกลางวันส่งมา โดยมีวันทำงานในวันจันทร์ อังคาร พุธ เสาร์ และ วันอาทิตย์ทำงานตั้งแต่เวลา ๒๑.๐๐ - ๐๗.๐๐ น. การทำงานในตำแหน่งและเวลาดังกล่าวจึงเกิดจากความ สมัครใจของโจทก์เอง ประกอบกับไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าโจทก์เคยแจ้งให้จำเลยที่ ๑ ทราบว่าไม่ประสงค์จะ ทำงานในเวลาดังกล่าว หรือขอโยกย้าย สับเปลี่ยนไปทำงานในตำแหน่งอื่นแต่อย่างใด จำเลยที่ ๑ จึงไม่ต้อง รับผิดจ่ายค่าเสียหายในส่วนนี้ อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น ๒. คำพิพากษาศาลฎีกา ที่ ๑๙๗๓/๒๕๖๑ (ประกันสังคม) เรื่อง “ค่าบริการ” ของโรงแรม นายจ้างประกอบกิจการโรงแรม เรียกเก็บเงิน “ค่าบริการ” จากลูกค้าร้อยละ ๑๐ ของยอดค่าใช้บริการ แล้วหักออกร้อยละ ๕ เพื่อใช้ซื้อของทดแทนส่วนที่ลูกจ้าง ทำอุปกรณ์เสียหาย ส่วนที่เหลือร้อยละ ๙๕ นำมาแบ่งให้ลูกจ้างจำนวนเท่ากันทุกคน ไม่เคยกำหนดจำนวน ค่าบริการขั้นต่ำที่ลูกจ้างจะได้รับในแต่ละเดือน “ค่าบริการ” จึงไม่ใช่ค่าจ้าง คดีนี้โจทก์ซึ่งเป็นนายจ้าง ฟ้องว่า โจทก์ประกอบกิจการโรงแรม จำเลยได้มีคำสั่งให้โจทก์ชำระ เงินสมทบกองทุนเงินทดแทน แลกองทุนประกันสังคมเพิ่มเติม เนื่องจากจำเลยวินิจฉัยว่า ค่าบริการ ค่าน้ำมัน ค่าโทรศัพท์ และเงินส่วนแบ่งจากยอดใช้บริการสปา เป็นค่าจ้าง โจทก์ไม่เห็นด้วยจึงอุทธรณ์ คณะกรรมการ อุทธรณ์วินิจฉัยว่า ค่าบริการ ค่าน้ำมัน และเงินส่วนแบ่งจากยอดใช้บริการสปา เป็นค่าจ้าง ให้นำมาคำนวณ ส่งเงินสมทบด้วย ส่วนค่าโทรศัพท์ไม่เป็นค่าจ้าง โจทก์ไม่เห็นด้วยขอให้เพิกถอนคำสั่งและคำวินิจฉัยดังกล่าว ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษาให้เพิกถอนคำสั่งของจำเลยและคำวินิจฉัยของคณะกรรมการที่ วินิจฉัยเกี่ยวกับเงินค่าบริการ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก จำเลยอุทธรณ์ ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์เรียกเก็บเงินค่าบริการจากลูกค้าของโจทก์ในอัตราร้อยละ ๑๐ ของยอด ค่าใช้บริการแต่ละครั้ง โจทก์จะนำเงินค่าบริการดังกล่าวที่ได้รับมาหักออกร้อยละ ๕ เพื่อใช้ซื้อของทดแทน ส่วนที่ลูกจ้างของโจทก์ทำอุปกรณ์เสียหาย ส่วนที่เหลือร้อยละ ๙๕ โจทก์นำมาแบ่งให้ลูกจ้างของโจทก์จำนวน เท่ากันทุกคนไม่ว่าลูกจ้างรายนั้นจะให้บริการแก่ลูกค้าที่จ่ายค่าบริการหรือไม่ โจทก์ไม่เคยกำหนดจำนวน ค่าบริการขั้นต่ำที่ลูกจ้างของโจทก์แต่ละคนจะได้รับในแต่ละเดือนว่าจำนวนเท่าใด ทั้งนี้ ลูกจ้างของโจทก์ ตำแหน่งระดับผู้บริหารที่เป็นชาวต่างประเทศเท่านั้นที่จะไม่มีสิทธิได้รับเงินค่าบริการในส่วนนี้ ดังนี้ เมื่อค่าจ้าง คือเงินที่นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างเป็นค่าตอบแทนการทำงานในวันและเวลาทำงานปกติ แต่เงินค่าบริการ ดังกล่าวข้างต้น โดยแท้จริงเป็นเงินที่โจทก์เรียกเก็บจากลูกค้าโจทก์ โดยโจทก์เพียงแต่นำเงินนั้นมาบริหาร
นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๘๔ - จัดการจ่ายให้แก่ลูกจ้างของโจทก์ จึงเป็นกรณีที่โจทก์ทำแทนลูกจ้างเพื่อความสะดวกและเพื่อให้กิจการของ โจทก์ดำเนินไปด้วยความเรียบร้อย เงินค่าบริการดังกล่าวจึงไม่ใช่เงินของโจทก์ผู้เป็นนายจ้าง ค่าบริการจึงไม่ใช่ ค่าจ้าง ตามมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ อันต้องนำมาเป็นฐานในการคำนวณเงิน สมทบเพิ่มเติมเพื่อส่งเข้ากองทุนประกันสังคม ตามมาตรา ๔๖ และมาตรา ๔๗ พิพากษายืน ๓. คำพิพากษาศาลฎีกา ที่ ๕๗๓๔/๒๕๖๑ (ประกันสังคม ) เรื่อง “ค่าเซอร์วิสชาร์จหรือเงินค่าบริการธุรกิจโรงแรม” ไม่เป็นค่าจ้างตามมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ประกอบธุรกิจโรงแรมและส่งเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมและ กองทุนเงินทดแทนโดยถูกต้องตลอดมา จนกระทั่งวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ จำเลยที่ ๒ ในฐานะ ผู้อำนวยการประกันสังคมสั่งให้โจทก์ชำระเงินสมทบประจำปี ๒๕๕๓ เพิ่มเติมในส่วนกองทุนประกันสังคม ๑,๑๔๕,๓๔๐ บาท พร้อมเงินเพิ่ม ๖๕๔,๐๘๗.๐๘ บาท โจทก์อุทธรณ์ คณะกรรมการอุทธรณ์ จำเลยที่ ๓ มีมติ ยกอุทธรณ์ โจทก์ไม่เห็นด้วย เนื่องจากค่าครองชีพเป็นเงินที่มาจากค่าเซอร์วิสชาร์จหรือเงินค่าบริการ ซึ่งเป็น เงินของลูกค้าที่จ่ายให้ลูกจ้างเมื่อมาใช้บริการ ค่าบริการเป็นเงินที่โจทก์เรียกเก็บแทนลูกจ้าง เงินดังกล่าวจึง ไม่ใช่ค่าจ้าง ขอให้เพิกถอนคำสั่งของจำเลยที่ ๒ และคำวินิจฉัยของจำเลยที่ ๓ ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษาให้เพิกถอนคำวินิจฉัยของจำเลยที่ ๓คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก จำเลยทั้งสามอุทธรณ์ จำเลยอุทธรณ์ในทำนองว่าเงินค่าบริการเป็นประโยชน์ใด ๆ ที่ลูกจ้างได้รับเพิ่มจากการ จ้างแรงงานถือเป็นค่าจ้างตามมาตรา ๔๐ (๑) แห่งประมวลรัษฎากร ศาลฎีกาเห็นว่า พระราชบัญญัติ ประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ มาตรา ๕ บัญญัติว่า “ค่าจ้าง” หมายความว่า เงินทุกประเภทที่นายจ้างจ่ายแก่ ลูกจ้างเป็นค่าตอบแทนการทำงานในวันและเวลาทำงานปกติ ไม่ว่าจะจ่ายให้ในวันหยุดตามระยะเวลาหรือ คำนวณตามผลงานที่ลูกจ้างทำได้ และให้หมายความรวมถึงเงินที่นายจ้างจ่ายให้ในวันหยุดและวันลาที่ลูกจ้าง ไม่ได้ทำงานด้วย ทั้งนี้ ไม่ว่าจะกำหนด คำนวณหรือจ่ายในลักษณะใดหรือโดยวิธีการใดและไม่ว่าจะเรียกชื่อ อย่างไร ดังนั้น ค่าเซอร์วิสชาร์จหรือเงินค่าบริการที่โจทก์จ่ายให้ลูกจ้างเป็นเงินที่โจทฺก์เรียกเก็บจากลูกค้าที่มา ใช้บริการของโจทก์ จึงเป็นเงินของลูกค้า โจทก์เป็นเพียงตัวแทนลูกจ้างในการเรียกเก็บเงินดังกล่าวจากลูกค้า มาบริหารจัดการแบ่งให้แก่ลูกจ้าง แม้โจทก์รับรู้ว่าเงินดังกล่าวเป็นรายได้และรายจ่ายของโจทก์ ก็เป็นเพียง การดำเนินการหรือวิธีการทางบัญชีและภาษีตามประมวลรัษฎากรเท่านั้น ไม่ทำให้เงินดังกล่าวเป็นเงิน ของโจทก์ที่จ่ายให้แก่พนักงานเพื่อตอบแทนการทำงานให้แก่โจทก์จึงไม่ใช่ค่าจ้างตามมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ พิพากษายืน
นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๘๕ - ๔. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๒๒๙๒/๒๕๕๘ เรื่อง “ค่าบริการ” นายจ้างเรียกเก็บจากลูกค้าในอัตราร้อยละ ๑๐ นำมาจัดสรรให้แก่ ลูกจ้างอัตราร้อยละ ๗๕ - ๘๐ เพื่อจูงใจให้ลูกจ้างให้บริการลูกค้า ส่วนที่เหลือจัดสรรไว้ในบัญชีกองทุน เซอร์วิสชาร์จสำรองสะสม โดยมีคณะกรรมการสวัสดิการในสถานประกอบกิจการเป็นผู้รับผิดชอบ จัดสรรเงินค่าบริการในแต่ละเดือน “ค่าบริการ” จึงไม่ใช่ค่าจ้างตามมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติ ประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ ตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ มาตรา ๕ บัญญัติว่า ในพระราชบัญญัตินี้ “ค่าจ้าง” หมายความว่า เงินทุกประเภทที่นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างเป็นค่าตอบแทนการทำงานในวันและเวลา ทำงานปกติ ไม่ว่าจะคำนวณตามระยะเวลาหรือคำนวณตามผลงานที่ลูกจ้างทำได้ และให้หมายความรวมถึงเงิน ที่นายจ้างจ่ายให้ในวันหยุดและวันลาซึ่งลูกจ้างไม่ได้ทำงานด้วย ทั้งนี้ไม่ว่าจะกำหนด คำนวณ หรือจ่ายใน ลักษณะใด หรือวิธีการใด และไม่ว่าจะเรียกชื่ออย่างไร โจทก์ประกอบกิจการโรงแรม โจทก์ได้เรียกเก็บเงิน ค่าบริการจากลูกค้าที่มาใช้บริการของโรงแรมโจทก์ในอัตราร้อยละ ๑๐ ของราคาขายห้องพัก อาหารและราคา ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ในโรงแรมแล้วนำมาจัดสรรเป็น ๒ ส่วน ส่วนแรกจัดสรรที่อัตราร้อยละ ๗๕ ในกรณีทั่วไปหรือ อัตราร้อยละ ๘๐ ในกรณีที่รายได้เกิน ๑๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท ในเดือนนั้น แบ่งให้ลูกจ้างประจำทุกคนยกเว้น ผู้จัดการทั่วไปจำนวนเท่ากัน ซึ่งคำนวณจ่ายตามวันที่ทำงานจริงโดยค่าบริการที่จัดสรรจะไม่ต่ำกว่าเดือนละ ๒,๐๐๐ บาท ส่วนที่เหลืออีกร้อยละ ๒๕ หรือ ๒๐ แล้วแต่กรณี จัดสรรไว้ในบัญชีกองทุนเซอร์วิสชาร์จสำรอง สะสมเพื่อสำรองเป็นค่าใช้จ่ายต่าง ๆ แก่ลูกจ้าง เช่น งานเลี้ยงประจำปีสำหรับลูกจ้าง การจัดสัมมนา นอกสถานที่ ค่าใช้จ่ายที่ลูกจ้างทำทรัพย์สินของโจทก์เสียหายโดยประมาท ค่ารักษาพยาบาล ค่าเบี้ยประกัน ชีวิต และโบนัส คณะกรรมการสวัสดิการในสถานประกอบกิจการของโจทก์เป็นผู้รับผิดชอบในเรื่องการจัดสรร เงินค่าบริการในแต่ละเดือน โดยนำมาเฉลี่ยให้แก่ลูกจ้างและแบ่งเก็บสะสมไว้ในบัญชีกองทุนเซอร์วิสชาร์จ สำรองสะสมให้แก่พนักงาน ตลอดจนการตัดสินใจในการใช้จ่ายเงินจากกองทุน กรณีเดือนใดคำนวณค่าบริการ ที่นำมาแบ่งเฉลี่ยให้แก่ลูกจ้างได้ต่ำกว่า ๒,๐๐๐ บาท จะนำเงินจากกองทุนเซอร์วิสชาร์จสำรองสะสมมาชำระ ให้แก่ลูกจ้างจนครบ ๒,๐๐๐ บาท ในปี ๒๕๕๐ และปี ๒๕๕๑ มีการจ่ายค่าบริการให้แก่ลูกจ้างโจทก์เกินกว่า ๒,๐๐๐ บาท ทุกเดือน ฉะนั้นในปี ๒๕๕๐ และ ปี ๒๕๕๑ โจทก์ไม่เคยนำเงินของโจทก์มาจ่ายค่าบริการให้แก่ ลูกจ้างแต่อย่างใด เงินค่าบริการโดยแท้จริงแล้วจึงเป็นเงินที่โจทก์เรียกเก็บจากลูกค้าของโจทก์เพื่อจ่ายให้แก่ ลูกจ้างของโจทก์เพื่อจูงใจให้ลูกจ้างให้บริการลูกค้าด้วยดี จึงมิใช่เงินของโจทก์ผู้เป็นนายจ้างแต่โจทก์ทำหน้าที่ เรียกเก็บเงินดังกล่าวแทนลูกจ้าง ค่าบริการจึงไม่ใช่ค่าจ้างตามมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ อันจะต้องนำมาเป็นฐานคำนวณเงินสมทบเพิ่มเติมประจำปี ๒๕๕๐ และ ปี ๒๕๕๑ เพื่อเข้า กองทุนประกันสังคมตามมาตรา ๔๖ และมาตรา ๔๗ ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษาเพิกถอนคำสั่งจำเลย เฉพาะที่สั่งให้โจทก์ต้องชำระเงินสมทบเพิ่มเติมพร้อมเงินเพิ่มและให้เพิกถอนคำวินิจฉัยของจำเลยชอบแล้ว พิพากษายืน
นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๘๖ - ๒๔. ค่าพาหนะ เป็นค่าจ้าง ๑. คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่ ๖๔๗/๒๕๖๓ เรื่อง “เงินค่าพาหนะวันละ ๔๐ บาท” นายจ้างมีหลักเกณฑ์การจ่ายเงินคือจะจ่ายให้ลูกจ้าง รายวันที่มิได้พักอยู่ในบ้านพักสวัสดิการและมิได้เดินทางโดยสารพาหนะที่นายจ้างจัดรับส่ง โดยจ่ายเฉพาะ วันที่มาทำงานในอัตรา ๔๐ บาทต่อวัน ในแต่ละเดือนจะได้รับไม่เท่ากันขึ้นอยู่กับว่าในเดือนนั้นลูกจ้าง มาทำงานกี่วัน เงินดังกล่าวจึงเป็นสวัสดิการ มิใช่เงินที่นายจ้างจ่ายให้กับลูกจ้างเพื่อตอบแทนการทำงาน ปกติ จึงมิใช่ค่าจ้าง จึงไม่ต้องนำเงินดังกล่าวไปคำนวณเพื่อนำส่งกองทุนประกันสังคม และไม่นำเงิน ดังกล่าวไปรวมคำนวณค่าชดเชย คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นลูกจ้างรายวันตำแหน่งเจ้าหน้าที่พัสดุ ค่าจ้างอัตราสุดท้ายวันละ ๓๙๐ บาท ค่าพาหนะวันละ ๔๐ บาท ต่อมาวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๒ โจทก์เกษียณอายุตามข้อตกลง เกี่ยวสภาพการจ้าง แต่จำเลยทั้งสามไม่นำค่าพาหนะวันละ ๔๐ บาท มาคำนวณจ่ายค่าชดเชย โจทก์จึงมีสิทธิ ได้รับค่าชดเชยเพิ่มอีก และโจทก์ไม่นำค่าพาหนะไปคำนวณเป็นเงินสมทบกองทุนประกันสังคม เป็นละเมิด ต่อโจทก์ ขอบังคับให้จำเลยจ่ายค่าชดเชย ๑๖,๐๐๐ บาท นำเงินคำนวณส่งเป็นเงินสมทบประกันสังคม ค่าเสียหายจากการทำละเมิด ๑๖,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ย จำเลยให้การว่าเงินช่วยเหลือค่าพาหนะไม่ใช่ ค่าจ้างจึงไม่ต้องนำมาคำนวณนำส่งกองทุนประกันสังคม การกระทำของจำเลยไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์ ศาลแรงงานภาค ๒ พิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษเห็นว่า เงินช่วยเหลือค่าพาหนะ มีหลักเกณฑ์การจ่ายเงินคือ จำเลย ที่ ๑ จะจ่ายให้ลูกจ้างรายวันประจำฝ่ายโรงงานและฝ่ายเกษตรกรที่มิได้พักอยู่ในบ้านพักสวัสดิการของจำเลย ที่ ๑ และมิได้เดินทางโดยสารพาหนะที่จำเลยที่ ๑ จัดรับส่ง โดยจ่ายเฉพาะวันที่มาทำงานในอัตรา ๔๐ บาท ต่อวัน ในแต่ละเดือนโจทก์จะได้รับเงินช่วยเหลือค่าพาหนะไม่เท่ากันขึ้นอยู่กับว่าในเดือนนั้นโจทก์มาทำงาน กี่วัน เงินดังกล่าวจึงเป็นสวัสดิการมิใช่เงินที่นายจ้างจ่ายให้กับลูกจ้างเพื่อตอบแทนการทำงานปกติ จึงมิใช่ ค่าจ้าง จึงไม่ต้องนำเงินดังกล่าวไปคำนวณเพื่อนำส่งกองทุนประกันสังคม และไม่นำเงินดังกล่าวไปรวมคำนวณ ค่าชดเชย ที่ศาลแรงงานภาค ๒ พิพากษามานั้นจึงชอบแล้ว พิพากษายืน ๒. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๗๕๐-๗๕๑/๒๕๕๔ เรื่อง เบี้ยเลี้ยง ค่าน้ำมันรถยนต์ ค่าสึกหรอรถยนต์ ค่าโทรศัพท์ เงินดังกล่าวนายจ้างจ่ายให้ ลูกจ้างประจำลักษณะเหมาจ่ายเป็นรายเดือน ไม่คำนึงถึงว่าจะได้ใช้จ่ายเป็นค่าบำรุงรักษารถยนต์และ ค่าโทรศัพท์ไปหรือไม่เพียงใด ไม่ต้องแสดงใบเสร็จ จึงเป็นค่าจ้าง (มาตรา ๕) จำเลยจ่ายเงินค่าเบี้ยเลี้ยงและค่าน้ำมันรถยนต์ จำนวน ๕,๐๐๐ บาท ค่าสึกหรอรถยนต์ ๒,๐๐๐ บาท และค่าโทรศัพท์ ๑,๐๐๐ บาท รวม ๘,๐๐๐ บาท เงินดังกล่าวจำเลยให้โจทก์ประจำลักษณะ เหมาจ่ายเป็นรายเดือน ไม่คำนึงถึงว่าจะได้ใช้จ่ายเป็นค่าบำรุงรักษารถยนต์และค่าโทรศัพท์ไปหรือไม่เพียงใด
นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๘๗ - โจทก์ไม่ต้องแสดงใบเสร็จเป็นหลักฐานในการรับเงิน การจ่ายเงินดังกล่าวจึงเป็นการจ่ายเพื่อตอบแทน การทำงานของโจทก์ในลักษณะเดียวกันกับค่าจ้าง จึงเป็นค่าจ้างตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๕
นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๘๘ - ไม่เป็นค่าจ้าง ๑. คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่ ๓๐๘๗ - ๓๐๘๙/๒๕๖๓ (ไม่เป็นค่าจ้าง) เรื่อง เงินช่วยเหลือค่ารถและค่าน้ำมัน เงินช่วยเหลือค่าน้ำมันรถกรณีพิเศษ เงินช่วยเหลือ การใช้โทรศัพท์มือถือ เงินช่วยเหลือกรณีปฏิบัติงานประจำต่างจังหวัด แม้นายจ้างจ่ายเป็นจำนนแน่นอน เท่ากันทุกเดือน แต่มีลักษณะเป็นสวัสดิการผู้บริหารและตำแหน่งที่มีสิทธิได้รับ จึงไม่ใช่เงินที่ตอบแทน การทำงาน ก็ไม่ใช่ค่าจ้างที่จะต้องนำมารวมคำนวณค่าชดเชย คดีนี้โจทก์กับพวกรวม ๓ คน ฟ้องว่า วันที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๒๖ จำเลยจ้างโจทก์ที่ ๑ ทำงานเป็น ลูกจ้างครั้งสุดท้ายตำแหน่งผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ค่าจ้างสุดท้ายเดือนละ ๒๖๓,๓๗๐ บาท ประกอบด้วย เงินเดือน ๒๒๐,๘๗๐ บาท ค่ารถและค่าน้ำมันรถเหมาจ่าย ๓๐,๐๐๐ บาท ค่าน้ำมันรถพิเศษเหมาจ่าย ๓,๐๐๐ บาท ค่าโทรศัพท์มือถือเหมาจ่าย ๒,๐๐๐ บาท และค่าปฏิบัติงานประจำต่างจังหวัด ๗,๕๐๐ บาท วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๒๔ จำเลยจ้างโจทก์ที่ ๒ เป็นลูกจ้างครั้งสุดท้ายตำแหน่งผู้ชำนาญการอาวุโส เทียบเท่า รองกรรมการผู้จัดการ ค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ ๕๔๔,๐๐๐ บาท ประกอบด้วยเงินเดือน ๕๐๘,๐๐๐ บาท และ.....วันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๒๔ จำเลยจ้างโจทก์ที่ ๓ ทำงานตำแหน่งผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ค่าจ้างอัตรา สุดท้ายเดือนละ ๒๑๖,๙๑๕ บาท ประกอบด้วยเงินเดือน ๑๘๔,๔๑๕ บาท และ....ต่อมาวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๒ โจทก์ทั้งสามมีอายุครบ ๖๐ ปี จำเลยเลิกจ้างเพราะเกษียณอายุโจทก์กับพวกทำงานมาครบ ๒๐ ปี ขึ้นไป จึงมีสิทธิได้รับค่าชดเชย ๔๐๐ วัน แต่จำเลยจ่ายค่าชดเชยให้เพียงบางส่วน ขอบังคับให้จำเลยจ่าย ค่าชดเชยที่ยังค้างจ่าย พร้อมดอกเบี้ย จำเลยให้การว่า เงินสวัสดิการช่วยเหลือค่ารถและค่าน้ำมัน เงินสวัสดิการช่วยเหลือค่าน้ำมันรถ เพิ่มเป็นกรณีพิเศษ เงินสวัสดิการช่วยเหลือค่าใช้โทรศัพท์มือถือ.....เป็นเงินเพิ่มพิเศษตามข้อบังคับของจำเลย ไม่ใช่ค่าจ้างที่จะต้องนำมารวมคำนวณเป็นค่าชดเชย โจทก์ทั้งสามได้รับค่าชดเชยครบถ้วนแล้ว ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง โจทก์ทั้งสามอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือแล้วศาลแรงงานกลาง ฟังข้อเท็จจริงและวินิจฉัยว่า เมื่อพิจารณาข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลย หมวดที่ ๑ ได้ความว่า ๑. เงินช่วยเหลือค่ารถและค่าน้ำมัน จำเลยจ่ายเพื่อเป็นการช่วยเหลือค่าพาหนะแก่ผู้บริหารที่มี สิทธิใช้รถยนต์ประจำตำแหน่งและบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายในการเดินทางปฏิบัติงาน ๒. เงินช่วยเหลือค่าน้ำมันรถกรณีพิเศษ จำเลยจ่ายเพื่อช่วยเหลือค่าน้ำมันรถกรณีที่ผู้บริหาร ระดับรองกรรมการผู้จัดการ และผู้จัดการทั่วไป หรือตำแหน่งอื่นที่เทียบเท่าที่มีลักษณะงานประจำ ในความรับผิดชอบต้องใช้รถยนต์เดินทางเพื่อการปฏิบัติงานเกินกว่า ๓,๐๐๐ กิโลเมตรต่อเดือนขึ้นไป ๓. เงินช่วยเหลือการใช้โทรศัพท์มือถือ จ่ายเพื่อช่วยเหลือค่าโทรศัพท์มือถือที่ใช้ในการ ปฏิบัติงานเฉพาะผู้บริหารที่มีหน้าที่รับผิดชอบต้องออกติดต่องานนอกสถานที่
นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๘๙ - ๔. เงินช่วยเหลือกรณีปฏิบัติงานประจำต่างจังหวัด จ่ายเพื่อเป็นการช่วยเหลือ ผ่อนคลายภาระ ค่าใช้จ่ายของลูกจ้างที่ได้รับคำสั่งให้เดินทางไปปฏิบัติงานประจำต่างจังหวัดและเสริมสร้างขวัญกำลังใจในการ ปฏิบัติงานของลูกจ้าง เงินดังกล่าว เป็นเงินเพิ่มพิเศษที่จำเลยจ่ายให้แก่ลูกจ้างเพื่อเป็นการตอบแทนนอกเหนือจาก ค่าจ้าง อันเป็นสวัสดิการและสิทธิประโยชน์ที่ให้แก่ลูกจ้าง แม้จำเลยจะเปลี่ยนจากการจัดหารถยนต์ประจำ ตำแหน่งและโทรศัพท์มือถือ เป็นการจ่ายเงินช่วยเหลือแทน ก็เป็นวิธีบริหารจัดการค่าใช้จ่ายของจำเลยเพื่อ ทดแทนสวัสดิการหรือสิทธิประโยชน์ที่มีอยู่เดิมให้แก่ลูกจ้างระดับบริหาร ไม่ทำให้สวัสดิการหรือสิทธิ ประโยชน์ดังกล่าวกลับกลายเป็นค่าจ้างไปได้ สำหรับเงินช่วยเหลือกรณีปฏิบัติงานต่างจังหวัด ก็เป็นสวัสดิการ หรือสิทธิประโยชน์ที่ให้เฉพาะลูกจ้างที่ปฏิบัติงานในต่างจังหวัดเท่านั้น หากจำเลยโยกย้ายลูกจ้างกลับมา ทำงานในส่วนกลาง กรุงเทพมหานคร หรือปริมณฑล ก็จะไม่ได้รับเงินส่วนนี้ เงินช่วยเหลือค่ารถและค่าน้ำมัน เงินช่วยเหลือค่าน้ำมันรถกรณีพิเศษ เงินช่วยเหลือการใช้โทรศัพท์มือถือ เงินช่วยเหลือกรณีปฏิบัติงาน ประจำต่างจังหวัด จึงไม่ใช่เงินที่นายจ้างและลูกจ้างตกลงกันจ่ายเป็นค่าตอบแทนในการทำงานตามสัญญาจ้าง สำหรับระยเวลาการทำงานปกติตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๕ แม้จำเลย จะจ่ายเงินดังกล่าวเป็นจำนวนแน่นอนเท่ากันทุกเดือน ก็ไม่ใช่ค่าจ้างที่จะต้องนำมารวมคำนวณค่าชดเชย ที่โจทก์อุทธรณ์ในทำนองว่า เงินดังกล่าวเป็นจำนวนเงินเหมาจ่ายที่แน่นอนเท่ากันทุกเดือน โดย ไม่ต้องนำใบเสร็จมาแสดง ทั้งจำเลยยังหักภาษ ณ ที่จ่ายด้วย...... จึงเป็นค่าจ้าง อุทธรณ์ของโจทก์เป็นการ โต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลาง เพื่อนำไปสู่การวินิจฉัยข้อกฎหมายว่าเงิน ดังกล่าวเป็นค่าจ้างหรือไม่ เป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาล แรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๕๔ วรรคหนึ่ง พิพากษายกอุทธรณ์ของโจทก์ ๒. คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่ ๖๔๒๖ - ๖๔๒๗/๒๕๖๒ (เลิกจ้างไม่เป็นธรรม) เรื่อง การเลิกจ้างด้วยเหตุต้องการปรับปรุงประสิทธิภาพขององค์กร โดยที่ไม่ปรากฏว่า กิจการประสบภาวะทางเศรษฐกิจอย่างยากลำบากถึงขนาดต้องปรับลดจำนวนลูกจ้างเพื่อให้พยุงกิจการให้ ดำเนินต่อไปได้ เหตุในการเลิกจ้างจึงเป็นนโยบายที่คำนึงถึงแต่ประโยชน์ของนายจ้างเพียงฝ่ายเดียว จึงเป็นการเลิกจ้างที่ไม่มีเหตุผลอันสมควร เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม , เงินค่ารถยนต์ประจำตำแหน่ง และค่าน้ำมันรถ เป็นสิทธิประโยชน์และสวัสดิการในรูปแบบที่มิใช่ตัวเงินที่จัดให้เฉพาะผู้บริหารระดับสูง เท่านั้น แม้จะจ่ายเป็นจำนวนเท่า ๆ กันทุกเดือนก็ตามก็มิใช่ค่าจ้าง ประเด็นการเลิกจ้างเป็นธรรมหรือไม่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษเห็นว่า การที่จำเลยเลิกจ้าง โจทก์ทั้งสองด้วยเหตุต้องการปรับปรุงประสิทธิภาพขององค์กร โดยที่ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่ากิจการของจำเลย ประสบภาวะทางเศรษฐกิจอย่างยากลำบากถึงขนาดต้องปรับลดจำนวนลูกจ้างเพื่อให้พยุงกิจการให้ดำเนิน ต่อไปได้ เหตุในการเลิกจ้างโจทก์ทั้งสองจึงเป็นนโยบายของจำเลยที่ประสงค์จะปรับปรุงประสิทธิภาพการ ทำงานขององค์กรและลดค่าใช้จ่ายหรือต้นทุนขององค์กรเท่านั้น โดยโจทก์ทั้งสองไม่ได้กระทำผิด โจทก์ทั้งสอง
นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๙๐ - ทำงานกับจำเลยมาเป็นเวลานาน การเลิกจ้างมีผลให้โจทก์ทั้งสองต้องสูญเสียอาชีพและรายได้เลี้ยงตนเองและ ครอบครัว การเลิกจ้างด้วยเหตุดังกล่าวย่อมเป็นการคำนึงถึงแต่ประโยชน์ของจำเลยที่เป็นนายจ้างเพียง ฝ่ายเดียว จึงเป็นการเลิกจ้างที่ไม่มีเหตุผลอันสมควร เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม คดีนี้โจทก์กับพวกรวม ๒ คน ฟ้องว่า โจทก์ที่ ๑ ทำงานเป็นลูกจ้างจำเลยตำแหน่งผู้จัดการทั่วไป ค่าจ้างเดือนละ ๑๕๕,๕๐๐ บาท (เงินเดือน ๆ ละ ๑๒๙,๕๐๐ บาท เงินค่ารถและค่าน้ำมันรถเหมาจ่ายเดือน ละ ๒๒,๐๐๐ บาท ) โจทก์ที่ ๒ ตำแหน่งผู้จัดการทั่วไป ค่าจ้างเดือนละ ๑๑๑,๓๕๐ บาท (เงินเดือน ๆ ละ ๘๕,๓๕๐ บาท เงินค่ารถและค่าน้ำมันรถเหมาจ่ายเดือนละ ๒๖,๐๐๐ บาท ) ต่อมาวันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ จำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งสอง อ้างเหตุปรับปรุงองค์กร ต้องการลดภาระค่าใช้จ่าย เป็นการเลิกจ้างที่ไม่ เป็นธรรม จำเลยจ่ายค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าไม่ครบถ้วนเนื่องจากไม่นำเงินค่ารถและ ค่าน้ำมันรถมาคำนวณ ขอบังคับให้จำเลยจ่ายค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ค่าชดเชย สินจ้างแทน การบอกกล่าวล่วงหน้าที่ขาดไป พร้อมดอกเบี้ย จำเลยให้การว่า ค่ารถและค่าน้ำมันรถเป็นสวัสดิการทดแทนค่ารถยนต์ จำเลยเลิกจ้างเนื่องจาก มีความจำเป็นต้องปรับปรุงองค์กร จำเลยจ่ายเงินตามตามกฎหมายให้โจทก์ครบถ้วนแล้ว ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์ ประเด็นเงินค่ารถยนต์ประจำตำแหน่งและค่าน้ำมันรถเป็นค่าจ้างหรือไม่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญ พิเศษเห็นว่า จำเลยเคยจัดหารถยนต์ประจำตำแหน่งให้กับลูกจ้างที่ดำรงตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงตั้งแต่ระดับ ผู้จัดการทั่วไปหรือเทียบเท่าเท่านั้น รถยนต์ประจำตำแหน่งจึงเป็นสิทธิประโยชน์และสวัสดิการในรูปแบบที่มิใช่ ตัวเงินที่จำเลยจัดให้เฉพาะผู้บริหารระดับสูงเท่านั้น แม้ต่อมาจำเลยจะยกเลิกการจัดหารรถยนต์ประจำ ตำแหน่งเปลี่ยนเป็นการให้เงินทดแทนเป็นค่ารถเดือนละ ๑๙,๐๐๐ และค่าน้ำมันเดือนละ ๗,๐๐๐ บาท ก็ตาม เงินดังกล่าวเป็นการจ่ายเพื่อเป็นสวัสดิการเช่นเดียวกัน มิใช่เป็นเงินที่นายจ้างและลูกจ้างตกลงกันจ่ายเป็น ค่าตอบแทนในการทำงานตามสัญญาจ้างสำหรับระยะเวลาการทำงานปกติ แม้จะจ่ายเป้นจำนวนเท่า ๆ กันทุก เดือน จึงมิใช่ค่าจ้าง ตามมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ ประเด็นการเลิกจ้างเป็นธรรมหรือไม่ ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษเห็นว่า การที่จำเลยเลิกจ้าง โจทก์ทั้งสองด้วยเหตุต้องการปรับปรุงประสิทธิภาพขององค์กร โดยที่ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่ากิจการของจำเลย ประสบภาวะทางเศรษฐกิจอย่างยากลำบากถึงขนาดต้องปรับลดจำนวนลูกจ้างเพื่อให้พยุงกิจการให้ดำเนิน ต่อไปได้ เหตุในการเลิกจ้างโจทก์ทั้งสองจึงเป็นนโยบายของจำเลยที่ประสงค์จะปรับปรุงประสิทธิภาพการ ทำงานขององค์กรและลดค่าใช้จ่ายหรือต้นทุนขององค์กรเท่านั้น โดยโจทก์ทั้งสองไม่ได้กระทำผิด โจทก์ทั้งสอง ทำงานกับจำเลยมาเป็นเวลานาน การเลิกจ้างมีผลให้โจทก์ทั้งสองต้องสูญเสียอาชีพและรายได้เลี้ยงตนเองและ ครอบครัว การเลิกจ้างด้วยเหตุดังกล่าวย่อมเป็นการคำนึงถึงแต่ประโยชน์ของจำเลยที่เป็นนายจ้างเพียง ฝ่ายเดียว จึงเป็นการเลิกจ้างที่ไม่มีเหตุผลอันสมควร เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม
นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๙๑ - พิพากษาแก้เป็นให้จำเลยจ่ายค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม โดยให้ศาลแรงงานกลาง กำหนดค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม แล้วมีคำพิพากษาใหม่ตามรูปคดี นอกจากที่แก้ให้เป็นไป ตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง
นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๙๒ - ๒๕. เงิน MBO เงิน MIB ไม่เป็นค่าจ้าง ๑. คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่ ๔๐๒๕/๒๕๖๒ เรื่อง เงิน MBO และ MIB มีวัตถุประสงค์เพื่อจูงใจให้ลูกจ้างเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ในหน้าที่ความรับผิดชอบตามเป้าหมายที่วางไว้และการจ่ายเงินดังกล่าวในแต่ละเดือนก็ไม่เท่ากันขึ้นอยู่กับ ผลการปฏิบัติงานของลูกจ้าง เงิน MBO และ MIB จึงไม่ใช่ค่าจ้างที่จะต้องนำมาคำนวณค่าชดเชย คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า วันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๔๗ บริษัท A จำกัด จ้างโจทก์เข้าทำงานในตำแหน่ง ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหาร ต่อมาโอนโจทก์ไปเป็นลูกจ้างของบริษัทต่าง ๆ โดยนับอายุงานต่อเนื่อง จนปี ๒๕๕๕ โอนมาเป็นลูกจ้างจำเลยตำแหน่งหัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหาร ค่าจ้างเดือนละ ๑๕๘,๐๐๐ บาท ค่าต่างจังหวัดเดือนละ ๓๐,๐๐๐ บาท เงินตอบแทนการทำงานตามผลงานที่ทำได้จริงรายเดือน (MBO) เดือน ละ ๑๗,๐๐๐ บาท เงินตอบแทนการทำงานตามผลงาน (MIB) เดือนละ ๗๘,๑๐๐ บาท รวมเป็นค่าจ้างอัตรา สุดท้าย ๒๘๓,๑๐๐ บาท ต่อมาวันที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๕๘ จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยจ่ายค่าชดเชยและสินจ้าง แทนการบอกกล่าวล่วงหน้าไม่ครบถ้วน เนื่องจากไม่นำเงิน MBO และ MIB มาคำนวณ และเป็นการเลิกจ้าง ที่ไม่เป็นธรรม ขอบังคับให้จำเลยจ่ายค่าชดเชย ๙๕๑,๐๐๑ บาท สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ๙๕,๑๐๐ บาท ที่ขาดพร้อมดอกเบี้ย ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ๘,๕๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ย จำเลยให้การว่า เงิน MBO และ MIB ไม่ใช่ค่าจ้าง โจทก์มีผลงานที่ไม่อาจยอมรับได้เนื่องจากผล การปฏิบัติงานต่ำกว่าเป้าหมาย ไม่มีผลงานการบริหารงาน ศาลแรงงานภาค ๒ พิจารณาแล้วเห็นว่า เงิน MBO และ MIB มีวัตถุประสงค์เพื่อจูงใจให้โจทก์ เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานในหน้าที่ความรับผิดชอบตามเป้าหมายที่วางไว้และการจ่ายเงินดังกล่าว ให้แก่โจทก์ในแต่ละเดือนก็ไม่เท่ากันขึ้นอยู่กับผลการปฏิบัติงานของโจทก์ เงิน MBO และ MIB จึงมิใช่เงินที่ จำเลยจ่ายเป็นค่าตอบแทนการทำงานตามสัญญาจ้างสำหรับระยะเวลาการทำงานปกติหรือจ่ายให้ตามผลงาน ที่โจทก์ทำได้ในเวลาทำงานปกติของวันทำงาน จึงไม่ใช่ค่าจ้าง พิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าเสียหายจากการ เลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ๒,๒๕๖,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ย คำขออื่นให้ยก โจทก์อุทธรณ์ในทำนองว่าเงิน MBO และ MIB ไม่ถือเป็นเงินจูงใจ จึงล้วนเป็นอุทธรณ์โต้แย้งข้อเท็จจริงที่ศาลแรงงานภาค ๒ รับฟังมาเพื่อนำไปสู่ การวินิจฉัยในข้อกฎหมายว่าเงิน MBO และ MIB เป็นค่าจ้างหรือไม่ อันเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้ อุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๕๔ วรรคหนึ่ง (เดิม) ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษไม่รับวินิจฉัย อนึ่งคดีนี้ศาลแรงงานภาค ๒ พิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าเสียหาย จากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงินนับถัดจากวันฟ้อง โดยระบุวันฟ้อง วันที่ ๒๘ ธันวาคม ๒๕๕๘ แต่ปรากฏว่าโจทก์ฟ้องวันที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๕๘ ศาลฎีกาจึงเห็นควรแก้ไขเสียให้ ถูกต้อง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานภาค ๒
นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๙๓ - ๒. คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่ ๗๘๕/๒๕๖๐ เรื่อง การจ่ายเงิน MIB (เงินสวัสดิการ) ของนายจ้าง เพื่อกระตุ้นให้ผู้บังคับบัญชา มีส่วนร่วมในการวางแผนกำหนดเป้าหมายล่วงหน้า และเป็นตัวชี้วัดการทำงานของพนักงานเพื่อสร้าง แรงจูงใจให้ลูกจ้างทำงานเป็นทีมไปสู่วัตถุประสงค์หรือเป้าหมายขององค์กรร่วมกัน จึงไม่ใช่ค่าจ้าง คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าเมื่อวันที่ ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๕๘ จำเลยที่ ๑ เลิกจ้างโจทก์ โดยจ่ายค่าชดเชย ไม่ครบถ้วน และเป็นการเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรม และจำเลยที่ ๒ ค้างจ่ายค่าจ้างโจทก์ จำเลยทั้งสองให้การว่า โจทก์ใช้สิทธิไม่สุจริต เงินเอ็มไอบี (เงินสวัสดิการ) เป็นเงินโบนัสรายเดือนที่จ่ายเพื่อจูงใจจึงไม่ใช่ค่าจ้างจะนำมา คำนวณจ่ายค่าชดเชย ศาลแรงงานภาค ๒ พิพากษาให้จำเลยที่ ๑ จ่ายค่าเสียหายจากการเลิกจ้างโดยไม่เป็น ธรรม ๑,๕๑๒,๕๐๐ บาท และเงินเอ็มไอบี (เงินสวัสดิการ) ๑๖๓,๕๑๔ บาท พร้อมดอกเบี้ย คำขออื่นให้ยก และให้ยกฟ้องจำเลยที่ ๒ โจทก์และจำเลยที่ ๑ อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษเห็นว่า ศาลแรงงานภาค ๒ ฟังข้อเท็จจริงและวินิจฉัยว่า การจ่ายเงินเอ็มบีโอและเงินเอ็มไอบี (เงินสวัสดิการ) ของจำเลยที่ ๑ เพื่อกระตุ้น ให้ผู้บังคับบัญชามีส่วนร่วมในการวางแผนกำหนดเป้าหมายล่วงหน้า และเป็นตัวชี้วัดการทำงานของพนักงาน เพื่อสร้างแรงจูงใจให้ลูกจ้างทำงานเป็นทีมไปสู่วัตถุประสงค์หรือเป้าหมายขององค์กรร่วมกัน เห็นได้ว่าการ จ่ายเงินดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อจูงใจให้โจทก์เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานในหน้าที่รับผิดชอบ ให้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ และการจ่ายเงินในแต่ละเดือนก็ไม่เท่ากันขึ้นอยู่กับผลการปฏิบัติงานของโจทก์ จึงมิใช่เงินที่จำเลยจ่ายเป็นค่าตอบแทนการทำงานตามสัญญาจ้างสำหรับระยะเวลาการทำงานปกติ หรือจ่ายให้ ตามผลงานอันจะเป็นค่าจ้างตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๕ ที่โจทก์อุทธรณ์ ในทำนองว่า เงินเอ็มบีโอและเงินเอ็มไอบี (เงินสวัสดิการ) มีรายละเอียดการจ่ายอย่างไรพิจารณาได้จาก คำเบิกความของโจทก์และพยานจำเลย จึงเป็นการอุทธรณ์โต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของ ศาลแรงงานภาค ๒ เพื่อนำไปสู่การวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า เงินเอ็มบีโอและเงินเอ็มไอบี (เงินสวัสดิการ) เป็นค่าจ้างหรือไม่ เป็นอุทธรณ์ข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธี พิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๕๔ วรรคหนึ่ง ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษไม่รับวินิจฉัย สำหรับกรณี ที่ศาลแรงงานภาค ๒ พิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ชำระดอกเบี้ยร้อยละ ๑๕ ต่อปี สำหรับต้นเงินเอ็มไอบี (เงินสวัสดิการ) นั้น เห็นว่า เงินดังกล่าวไม่ใช่ค่าจ้าง จึงมิใช่เงินที่ต้องเสียดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี ดังที่ บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๙ จำเลยจึงต้องรับผิดชำระดอกเบี้ยร้อยละ ๗.๕ ต่อปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๒๒๔ วรรคหนึ่ง เท่านั้น ที่ศาลแรงงานภาค ๒ พิพากษามาจึงไม่ชอบ พิพากษาแก้เป็นให้จำเลยที่ ๑ ชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงิน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานภาค ๒
นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๙๔ - ๓. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๖๗๑๓/๒๕๖๐ เรื่อง “เงินการบริหารงานตามจุดมุ่งหมาย (Management By Objective (MBO))” เป็นเงินที่จ่ายเพื่อจูงใจให้ลูกจ้างทำงานให้ได้ตามเป้าหมาย หากลูกจ้างมีผลงานตามเกณฑ์ที่กำหนดจึงจะ จ่ายให้ จึงมิใช่เป็นการจ่ายเพื่อตอบแทนการทำงานโดยตรง จึงไม่เป็นค่าจ้าง โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นลูกจ้างจำเลยตั้งแต่วันที่ ๑๙ เมษายน ๒๕๔๘ ตำแหน่งสุดท้าย เป็นประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหาร มีหน้าที่ควบคุมดูแลงานก่อสร้างบ้านจัดสรรและงานขายบ้านจัดสรร ค่าจ้าง เดือนละ ๗๖,๓๐๐ บาท เงินช่วยเหลือการปฏิบัติงานที่โรงงาน ๕,๐๐๐ บาท ค่าทำงานเสาร์เว้นเสาร์ ๕,๐๐๐ บาท และค่าจ้างคำนวณตามผลงานเป็นเงินค่าบริหารจัดการตามเป้าหมาย (Management By Objective (MBO))” สูงสุดไม่เกินเดือนละ ๑๐,๐๐๐ บาท เงินค่าจ้างเป็นเงินตอบแทนพิเศษตามเป้าหมาย รายเดือน (Monthly Incentive Bonus (MIB) สูงสุดไม่เกินเดือนละ ๓๐,๐๐๐ บาท ต่อมาวันที่ ๒๗ มกราคม ๒๕๕๒ จำเลยเลิกจ้างโจทก์ อ้างว่าโจทก์บริหารงานขาดประสิทธิภาพ ขอบังคับให้จำเลยจ่ายค่าชดเชย ค่าจ้าง แทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม พร้อมดอกเบี้ย ศาลแรงงานภาค ๒ พิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี ค่าชดเชย พร้อมดอกเบี้ย โจทก์และจำเลยอุทธรณ์ ประเด็นว่า“เงินการบริหารงานตามจุดมุ่งหมาย (Management By Objective (MBO))” เป็นค่าจ้างหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อการจ่ายเงินการบริหารงานตามจุดมุ่งหมาย(Management By Objective (MBO)) จำเลยจะจ่ายให้ลูกจ้างก็ต่อเมื่อมีการประเมินผลในการทำงานของลูกจ้างในแต่ละเดือน ก่อน และนำผลงานของลูกจ้างไปเปรียบเทียบกับเป้าหมายที่ลูกจ้างและหัวหน้างานร่วมกันกำหนดไว้ล่วงหน้า หากผลงานของลูกจ้างได้ตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในเป้าหมาย จำเลยก็จะจ่ายเงินดังกล่าวให้แก่ลูกจ้าง ดังนั้น การจ่ายเงินการบริหารงานตามจุดมุ่งหมาย(Management By Objective (MBO)) จึงเป็นกรณีที่จำเลยตกลง จ่ายเงินเพื่อจูงใจลูกจ้างให้ทำงานให้ได้ผลงานตามเป้าหมายที่ลูกจ้างกับหัวหน้างานร่วมกันกำหนดไว้ล่วงหน้า หากลูกจ้างมีผลงานตามเกณฑ์ที่กำหนดจำเลยจึงจะจ่ายเงินให้ กรณีจึงมิใช่เป็นการจ่ายเพื่อตอบแทนการ ทำงานโดยตรง อีกทั้งการจะจ่ายเงินได้ต้องมีการประเมินผลงานในการทำงานของลูกจ้างในแต่ละเดือนก่อน ซึ่ง มิใช่เป็นการจ่ายเพื่อตอบแทนการทำงานในเวลาปกติของวันทำงานเงินดังกล่าวจึงมิใช่ค่าจ้างตามความหมาย แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๕
นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๙๕ - ๔. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๗๔๘๑/๒๕๖๐ เรื่อง เงิน “MBO” เป็นเงินที่นายจ้างจ่ายให้ตามผลสำเร็จของงานเทียบกับเป้าหมาย ที่กำหนดไว้ล่วงหน้า และเงิน “MIB” เป็นเงินที่จ่ายเนื่องจากลูกจ้างสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่องค์กร เงินทั้งสองประเภทเป็นการจ่ายเพื่อจูงใจในการทำงาน จึงไม่เป็นค่าจ้าง คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยจ้างโจทก์เข้าทำงานเป็นลูกจ้าง ตำแหน่งสุดท้ายเป็นผู้ชำนาญการ ซ่อมบำรุงสายพาน ค่าจ้างสุดท้ายเดือนละ ๗๘,๙๐๐ บาท วันที่ ๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ จำเลยเลิกจ้างโจทก์ ด้วยเหตุเกษียณอายุงาน แต่จำเลยจ่ายค่าชดเชยแก่โจทก์ขาดไปโดยไม่นำเงิน MBO จำนวน ๗,๖๐๐ บาท และเงิน MIB จำนวน ๒๐.๓๐๐ บาทมารวมคำนวณค่าชดเชยด้วย ขอบังคับให้จำเลยจ่ายค่าชดเชยส่วนที่ขาด ๒๙๒,๑๕๐ บาท พร้อมดอกเบี้ย จำเลยให้การว่าเงิน MBO และเงิน MIB เป็นเงินจูงใจในการทำงาน ไม่ใช่ ค่าจ้างตามกฎหมาย ศาลแรงงานภาค ๒ พิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์ได้รับเงินเดือนสุดท้ายเดือนละ ๔๘,๐๐๐ บาท เงินค่าต่างจังหวัดเดือนละ ๓,๐๐๐ บาท และได้รับเงิน MBO และเงิน MIB เงิน MBO เป็นเงินที่จ่ายให้ตามผลสำเร็จของงานเทียบกับ เป้าหมายที่หัวหน้างานและลูกจ้างร่วมกันกำหนดไว้ล่วงหน้าโดยกำหนดให้ลูกจ้างของจำเลยทุกคนทำการ ประเมินผลทุกเดือน และเงิน MIB เป็นเงินที่จ่ายให้เนื่องจากลูกจ้างของจำเลยสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่จำเลยโดยมี วัตถุประสงค์เพื่อสร้างแรงจูงใจให้ลูกจ้างทำงานเป็นทีมไปสู่เป้าหมายขององค์กรร่วมกัน โจทก์จะได้รับเงิน MIB และเงิน MBO ไม่เท่ากันทุกเดือน การจ่ายเงินดังกล่าวจำเลยต้องมีการประเมินผลงานเสียก่อนแล้วจ่าย แก่โจทก์ตามผลงานที่ประเมิน ซึ่งหากไม่ได้ตามเป้าหมายโจทก์จะได้รับเงินดังกล่าวลดลง จึงมีลักษณะ ไม่แน่นอนเพราะการจ่ายต้องมีการประเมินผลการทำงานเสียก่อนถึงจะนำมากำหนดเป็นจำนวนเงินและมิใช่ การเหมาจ่าย การจ่ายเงินดังกล่าวจึงมิได้มีวัตถุประสงค์เพื่อตอบแทนการทำงานของโจทก์โดยตรง แต่เป็น การจ่ายเพื่อจูงใจในการทำงานของโจทก์หรือเพื่อให้ลูกจ้างของจำเลยทำงานได้ตามมาตรฐานหรือบรรลุ เป้าหมายที่กำหนดไว้ล่วงหน้า จึงไม่เป็นค่าจ้างตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๕ ไม่อาจนำมารวมคำนวณค่าชดเชยได้ โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าชดเชยเพิ่มขึ้น
นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ นายเชิดศักดิ์ กำปั่นทอง นิติกรชำนาญการพิเศษ กองนิติการ - ๙๖ - ๒๖. ค่าแทนคนขับรถผู้บริหาร ไม่เป็นค่าจ้าง ๑. คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ ที่ ๒๔๖ – ๒๔๗/๒๕๖๑ (ค่าแทนคนขับรถผู้บริหาร) เรื่อง ลูกจ้างที่ ๑ เล่นพนันผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่นายจ้างมอบให้ใช้ในงาน ลูกจ้างที่ ๒ ได้ ระบุวุฒิการศึกษาในใบสมัครงานและเอกสารประวัติการศึกษาว่าจบการศึกษาระดับปริญญาตรีอันไม่เป็น ความจริง การเลิกจ้างจึงมีเหตุอันสมควร ไม่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม “ค่าแทนคนขับรถผู้บริหาร” เป็นการจ่ายทดแทนการจัดรถยนต์ประจำตำแหน่งพร้อมพนักงานขับรถ จึงไม่ใช่ค่าจ้าง ส่วน “ค่าเช่าบ้าน” เป็นสวัสดิการให้แก่พนักงานที่จำเป็นต้องไปประจำที่สาขาในต่างจังหวัด ไม่ใช่ค่าจ้าง คดีนี้โจทก์ทั้งสองฟ้องว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยไม่เป็นธรรม เนื่องจากโจทก์ทั้งสองเป็น รองประธานสหภาพแรงงานและประธานสหภาพแรงงาน จำเลยเลิกจ้างโดยไม่นำ “ค่าแทนคนขับรถ ผู้บริหาร”มารวมคำนวณเป็นฐานค่าจ้างในการคำนวณค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วง และเงินอื่นๆ ขอบังคับให้จำเลยจ่ายค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีที่จ่ายไม่ครบถ้วน พร้อมดอกเบี้ย จำเลยให้การว่าโจทก์ทั้งสองยื่นคำร้อง ต่อคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์กรณีฝ่าฝืนมาตรา ๑๒๑ แห่งพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ ต่อมาคณะกรรมการฯ มีคำสั่งให้จำเลยจ่ายค่าเสียหาย โดยจำเลยได้จ่ายค่าเสียหายตามคำสั่งของ คณะกรรมการฯ ครบถ้วนแล้ว ถือได้ว่าโจทก์สละสิทธิที่จะไม่ใช้สิทธิตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ และพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ ในมูลเหตุเกี่ยวกับ การเลิกจ้างโจทก์ ค่าแทนคนขับรถผู้บริหารและค่าเช่าบ้านเป็นสวัสดิการไม่ใช่ค่าจ้าง โจทก์ที่ ๑ กระทำผิดโดย เล่นพนันฟุตบอลผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่ โจทก์ที่ ๒ ใช้วุฒิการศึกษาไม่ถูกต้องมาสมัครเข้าทำงาน ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้วเห็นว่า โจทก์ที่ ๑ เล่นพนันผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่จำเลยมอบให้ โจทก์ที่ ๑ ใช้ในกิจการของจำเลย มิได้เป็นการเล่นสนุกกับกลุ่มเพื่อนเพื่อนำเงินเข้ากองกลางใช้ดื่นกินตามที่ โจทก์ที่ ๑ เบิกความ ส่วนโจทก์ที่ ๒ ยังได้ระบุวุฒิการศึกษาในใบสมัครงานและเอกสารประวัติการศึกษาว่าจบ การศึกษาระดับปริญญาตรีอันไม่เป็นความจริงอีกด้วย การที่จำเลยเลิกจ้างด้วยเหตุดังกล่าวจึงไม่ใช่การเลิกจ้าง โดยไม่เป็นธรรม ค่าแทนคนขับรถผู้บริหารเป็นการจ่ายทดแทนการจัดรถยนต์ประจำตำแหน่งพร้อมพนักงาน ขับรถตามระเบียบการจ่ายเงินพิเศษกรณีผู้บริหารขับรถประจำตำแหน่งด้วยคนเอง จึงไม่ใช่ค่าจ้างแต่เป็น สวัสดิการ ส่วนค่าเช่าบ้านเป็นสวัสดิการที่จำเลยมอบให้แก่พนักงานที่จำเป็นต้องไปประจำที่สาขาในต่างจังหวัด ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน จึงไม่ใช่ค่าจ้าง พิพากษายกฟ้อง โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ เห็นว่า ที่โจทก์อุทธรณ์ จำเลยต้องจ่ายเงินเพิ่ม โจทก์ทั้งสองมีสิทธิ ฟ้องเรียกเงินจากจำเลยแม้จะได้รับค่าเสียหายตามคำสั่งคระกรรมการแล้วเพราะเป็นการเรียกค่าเสียหายตาม กฎหมายต่างฉบับก็ดี ไม่ว่าจะรับฟังได้ตามอุทธรณ์หรือไม่ ก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงผลคำพิพากษาของ ศาลแรงงานกลางที่วินิจฉัยว่า การเลิกจ้างโจทก์ทั้งสองไม่ใช่การเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรมและค่าแทนคนขับรถ